**รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)  (อ่าน 27529 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สงสารน้องทุกตอนที่อ่านแต่ก็สงสารได้ไม่สุด เพราะน้องก็ทำตัวเองด้วยเหมือนกัน
ที่ว่าทิ้งเลม่อนไม่ได้คงไม่ใช่แค่ว่าเผลอข่มขืนอย่างเดียวแต่มีเหตุที่ทำให้พี่เรนพี่ของเลม่อนต้องตายด้วยหรือเปล่า
เราเดาเอานะ เพราะไม่งั้นคนอย่างคุณยะจะแคร์เลม่อนมากขนาดนี้หรือ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เมื่อไหร่เรื่องพี่เลม่อนจะกระจ่างงงงง
สงสารทุกคน

ออฟไลน์ skyberry

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อ่านแล้วบั่นทอนหัวใจมาก มันจะจบแฮปปี้ใช่ไหมคะ กลัวใจคนเขียนจัง  :katai1:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ยิ่งอ่านยิ่งเครียด ปวดหัวตุบๆ  :hao7:

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
อยากสคิปไปตอนจบ ="=

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 26

สุดท้าย... ครบรอบวันเกิดของผมปีนี้ก็ไร้เงาของเขา ไม่ต่างจากทุกปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยรักษาคำพูดกับผมได้ แต่ดีแล้วที่เขาไม่มา เพราะถ้าเขามา พี่เลม่อนก็คงมีคำด่าทอส่งมาให้ผมเป็นของขวัญวันเกิดอีกแน่

พี่เลม่อนเลิกส่งข้อความมาด่าผม แต่ก็ใช่ว่าจะหายไปจากชีวิตผมนะครับ เจ้าตัวยังส่งข้อความไลน์มาหาผมอยู่ ไม่ใช่คำด่าแต่เป็นคำโอ้อวดความสัมพันธ์ที่กลับไปเหมือนเดิมของเขากับอีกคนหนึ่ง ข้อความพิมพ์มาไม่เยอะเท่ากับรูปถ่ายคู่ของพวกเขาสองคน โดยเฉพาะวันเกิดผมที่เจ้าตัวส่งรูปคู่ซึ่งถ่ายที่ต่างประเทศมาให้ผมทุกชั่วโมง

ผมเจ็บปวดนะแต่จะให้ร้องไห้ฟูมฟายก็ไม่อยากทำอีกแล้ว เพราะคืนนั้นผมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลแล้วมั้ง นั่งร้องไห้ตั้งแต่อยู่ในรถของหมอภามที่ขับมาส่ง มานอนร้องไห้ต่อในห้องนอนของตัวเอง แต่น้ำตาก็ไม่ได้ทำให้ความจริงมันเปลี่ยนไป คืนนั้นผมก็ยังต้องนอนคนเดียว ไม่มีข้อความจากเขา ไม่มีความห่วงหาที่ส่งมาถึง ไม่มีแม้แต่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ จากคืนนั้นจนถึงคืนนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าผ่านมานานกี่ค่ำคืนแล้วที่ต้องนอนคนเดียว แม้แต่การเจอหน้าเขาในบางวันที่คุณย่าตามตัวให้กลับมาร่วมโต๊ะอาหารพร้อมหน้าครอบครัวตรัยธาดา ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ราวกับว่าช่วงเวลาเจ็ดเดือนที่ผ่านมานั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ต่างคนต่างไร้คำพูด ไร้ความทรงจำที่เคยมีร่วมกัน สิ่งที่ผมสัมผัสได้มีเพียงความห่างไกลและคำเลิกราแบบที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูดออกมา

เรื่องระหว่างผมกับเขา เริ่มต้นขึ้นง่ายๆ และจบง่ายยิ่งกว่าซะอีก ไม่มีคำบอกเลิก มีแค่สายตาที่ไม่หลงเหลือความรู้สึกที่ผมเคยเห็นในดวงตาคู่นั้นของเขา สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงความมืดมิดไม่ต่างจากท้องฟ้ายามนี้ที่ผมกำลังลอยตัวบนผิวน้ำมองมันอยู่

...มืดมิดเสียจนอ้างว้าง

ผมกลับมาแหวกว่ายกลางสายน้ำเย็นชืดในเวลาค่ำคืนเหมือนเดิม ราวกับจะประชดความห่วงใยที่เคยได้รับจากเขาเมื่อครั้งก่อน ผมอยู่ในสระน้ำทุกคืน แช่อยู่ในน้ำครั้งละไม่ต่ำกว่าชั่วโมง นานสุดก็ประมาณสี่ชั่วโมงมั้ง เช้ามาป่วยเลย โดนคุณย่าดุจนหูชาเลยวันนั้น

แต่ผมก็ไม่เข็ดหรอก

ตริ๊ง...

ขณะที่ผมพลิกตัวตั้งใจจะดำลงไปก้นสระ เสียงจากโทรศัพท์ที่ผมวางไว้ข้างสระก็ดังแทรกความเงียบที่มีเพียงเสียงลมกลางคืนพัดผ่านขึ้นมา ผมเลยต้องเปลี่ยนเป้าหมายจากก้นสระมาเป็นข้างสระแทน ผมยกตัวขึ้นจากน้ำมานั่งข้างขอบสระ เช็ดมือกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่วางอยู่ใกล้ๆ ให้แห้งก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายคนที่วิดีโอคอลมาหา

“เซ็กซี่นะ” พอเห็นหน้าเท่านั้นแหละ ฝ่ายนั้นก็ทักมาเลย ทำหน้าตากรุ้มกริ่มตามประสาคนเจ้าชู้

“เซ็กซี่ตรงไหน” เห็นแค่ช่วงอกนิดเดียวนี่นะ แต่ผมก็หันไปคว้าเสื้อคลุมมาห่มตัวไว้

“ตรงที่เป็นคนที่ดีนกำลังจีบอยู่ไง” เจ้าตัวพูดพร้อมกับปล่อยสายสีขาวขุ่นลอยฟุ้ง ดีนก็นั่งอยู่ข้างสระว่ายน้ำเหมือนผมเลย “ปิดทำไม ขอดูหน่อยไม่ได้หรือไง หวงเหรอ”

“มันหนาว” ขึ้นจากน้ำพอโดนลมก็ต้องหนาวเป็นธรรมดาแหละ “แต่นี่จีบหรือหน้าหม้อกันแน่” เรื่องของผมกับดีนเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้ว

ดีนขอจีบผมอย่างจริงจัง (เจ้าตัวว่าอย่างนั้นนะ) เมื่อเย็นนี้เอง

ครับ... ผมแอบไปสูบบุหรี่กับดีน

น้ำตาผมหยุดไหลแต่ความเจ็บปวดไม่ได้จางไปไหน ผมยังคงรู้สึกเจ็บกับความสัมพันธ์ที่พลิกกลับไปมา วนเวียนซ้ำซากจนไม่เข้าใจว่าทำไมผมยังรักเขาอยู่ได้ ทำไมต้องยึดติดกับผู้ชายคนนี้คนเดียว ต่อให้เจ็บปวดมากมายแค่ไหน ผมก็ยังรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม มันยากที่จะห้ามไม่ให้ผมรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม และยากยิ่งกว่าเมื่อต้องบังคับให้เลิกรักเขา เพราะอย่างนี้ผมถึงต้องกลับไปหาสิ่งไม่ดีเพื่อเยียวยาบางช่วงเวลาที่ผมดึงความรู้สึกกลับมาให้เข้มแข็งไม่ได้

“ตรงไหนที่เรียกว่าหน้าหม้อ” เจ้าตัวว่า พ่นควันสีขาวออกมาอีกตามเคย เห็นแล้วอยากสูบตามเลย “นี่ดีนจีบพีจริงๆ นะ พีเป็นคนแรกเลยที่ดีนอยากจีบ ไม่ใช่จีบเพราะเพื่อนยุ” ดีนเล่าว่า แฟนแต่ละคนมาจากโดนเพื่อนยุให้จีบทั้งนั้น แถมจีบกี่รายก็สำเร็จ ไม่เคยกินแห้วเลย

“รู้แล้วน่า” เพราะเจ้าตัวบอกผมไปเมื่อตอนเย็น “ดีนรอแป๊บนะ ขอวิ่งเข้าไปเอาบุหรี่ในห้องก่อน” บอกเสร็จ ผมก็วางโทรศัพท์ลงบนเก้าอี้ ให้คนในจองดูความมืดของท้องฟ้าตอนกลางคืนที่ไร้ดวงดาวไปก่อน

ผมวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาล้วงเอาบุหรี่ที่พันไว้ด้วยกระดาษสีขาวในซอกเล็กๆ ของกระเป๋าออกมา พร้อมกับไฟแช็กด้วย

ไฟแช็กอันนี้ผมซื้อเอง ส่วนบุหรี่นั้นดีนเป็นคนแบ่งให้ เขาให้ผมทุกเย็น ครั้งละมวน (ไม่นับเวลาที่แอบไปสูบกับดีนที่ห้องน้ำหรือหลังโรงเรียนนะครับ) ดีนบอกว่าไม่อยากให้ผมสูบมาก อันที่จริงผมก็ไม่ถึงกับติด (มั้ง) จะสูบแค่ตอนเหงาๆ

“มาแล้ว” ผมบอกเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับอีกฝ่าย พร้อมกับปล่อยควันสีขาวออกจากริมฝีปาก รสชาติบุหรี่กลายเป็นสิ่งคุ้นชินสำหรับผมไปเสียแล้ว โดยเฉพาะมวนนี้ที่มีกลิ่นองุ่นอ่อนๆ เวลาสูบให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่สุด

“หูยย เด็กไม่ดีแอบสูบบุหรี่ เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็จับได้หรอก” ดีนไม่รู้หรอกว่าผมอยู่บ้านเรือนไทยหลังนี้คนเดียวมานานมากแล้ว

“คนให้มากกว่าที่ไม่ดี” ผมต่อว่าอย่างอารมณ์ดี “รู้ว่าไม่ดีแล้วให้มาทำไม”

“ความรักคือการแบ่งปัน”

“ตรรกะอะนะ”

“พี”

“ว่า”

“ขอดูแบบเต็มตัวหน่อยสิ”

“ทะลึ่งละ” ผมส่ายหน้าให้กับคำขอที่เหมือนล้อเล่น

“อ้าว ไม่ได้เหรอ ?” ทำหน้าทะเล้น

“อยากคุยต่อไหมหรือว่าจะให้ปิดเครื่องเลย” ผมถามกลับเสียงเข้ม

“ไม่ก็ไม่ ว่าแต่ดึกแล้วยังจะเล่นน้ำอีกนะ ไม่หนาวหรือไง” ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้ว

“ดีนก็เหมือนกัน ดึกแล้วยังจะเล่นน้ำอีก” เพราะเจ้าตัวก็นั่งข้างสระเหมือนผมนั่นแหละ ต่างกันแค่ตรงที่ดีนใส่เสื้อกล้าม ส่วนผมตอนแรกเปลือยท่อนบน หลังจากถูกล้อว่าเซ็กซี่ก็เลยเอาเสื้อคลุมมาห่มตัวเอาไว้

“แต่สระของดีนอยู่ในบ้านนะ ของพีอยู่กลางแจ้ง ระวังพรุ่งนี้จะไม่สบายเอา มาเรียนไม่ได้ ดีนก็อดเจอหน้าแฟนน่ะสิ”

“ใครแฟน ?”

“ดีนคุยกับใคร คนนั้นแหละแฟนดีน”

“งั้นไม่คุยละ ไม่อยากเป็นแฟนกับคนมโนเก่ง” ผมแกล้งทำท่าจะวางโทรศัพท์ลง ดีนร้องเสียงหลงออกมาเลย เพราะคิดว่าผมจะทำจริง

“เฮ้ย! อย่าดิ ใจร้ายว่ะ” เจ้าตัวทำหน้ายุ่ง ผมสังเกตมานานแล้วว่าดีนเป็นคนเอาแต่ใจพอสมควร แต่น้อยกว่าผมนะ พอใครขัดใจนี่คิ้วกับปากนี่มาก่อนเลย

“ใจร้ายแล้วรักปะล่ะ” บางทีการเปิดใจให้ใครสักคนก็น่าจะดีกับหัวใจที่อ่อนแอของผมได้ สำหรับผม ดีนเป็นคนดี ถึงจะเกเรไปบ้างแต่ก็ดูจริงใจกับผมมาก ยอมรับว่าอยู่กับดีนแล้วผมมีความสุขได้อย่างเด็กผู้ชายทั่วไป บางครั้งก็สนุกจนลืมใครบางคนออกไปจากความคิดได้เลยด้วยซ้ำ

“รักดิ ไม่รักจะจีบหรือไง แต่จีบยากชะมัด”

“จีบยังไม่ถึงวันเลย ท้อแล้ว ?” ผมแกล้งแหย่

“ใครว่าจีบไม่ถึงวัน ดีนจีบพีตั้งแต่วันที่เจอกันในห้องน้ำแล้วเถอะ ว่าแต่...เป็นแฟนกันได้ยังเนี่ย ดีนจีบพีมาตั้งนานแล้วนะ”

“...”

ครั้งนี้เสียงของดีน คำพูดของดีนแทบจะไม่เข้าหัวผมเลยด้วยซ้ำ เมื่อเสียงเปิดประตูบานใหญ่ของเรือนไทยดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของคนที่หายไปจากเรือนหลังนี้นานจนผมไม่อยากนับว่ากี่วันแล้ว หรือาจจะเป็นเดือนแล้วก็ได้

“พี... มีอะไรหรือเปล่า”

“...” ผมได้ยินที่ดีนถาม แต่สายตาผมไม่ได้อยู่ที่เจ้าตัว วูบหนึ่งของความคิด ผมอยากเอาบุหรี่ที่ใกล้หมดมวนไปซ่อน แต่คงซ่อนไม่ทันแล้ว เลยคีบมันขึ้นมาสูบ อัดควันเข้าไปในลำคอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนกดปลายสีแดงลงบนกระป๋องน้ำอัดลมเปล่า (ผมใช้มันแทนที่เขี่ยบุหรี่ ตอนเช้าก็จะเอาไปทิ้งนอกบ้าน ทิ้งที่นี่ไม่ได้หรอก กลัวโดนพี่วิภาที่ขึ้นมาทำความสะอาดเรือนเจอเศษซากพวกนี้)

“พี่ชายมาเหรอ” ดีนถามยังกับตาเห็น

“อืม” ผมพยักหน้าให้เจ้าของคำถาม ก่อนปล่อยควันสีขาวสุดท้ายออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

“เขาเห็นไหมว่าพีสูบบุหรี่” ดีนเบาเสียงลง

“จะเหลือเหรอ” ผมตอบยิ้มๆ

“ยังจะยิ้มอยู่ได้ ไม่กลัวโดนดุหรือไง” สีหน้าเป็นห่วงผมมาก

“ไม่อะ” เรื่องอะไรจะต้องกลัว “เขารู้เรื่องที่เราสูบบุหรี่นานแล้ว ก็ไม่เห็นจะว่าอะไร” ถึงดีนจะลดเสียงลงเพราะกลัวคนที่เขาเข้าใจว่าเป็นพี่ชายของผมได้ยิน แต่ผมก็ยังพูดกับดีนด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้เบาลงแม้แต่น้อย

เมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ ผมยิ่งได้กลิ่นเหล้าโชยมาจากร่างกายนั้น ช่วงที่เขากับผมรักกันหวานอยู่ เขากลับมานอนบ้านทุกคืน... และนอนกอดผมจนถึงเช้า ร่างกายนี้ไม่เคยจะพกกลิ่นเหล้าติดตัวกลับมาด้วยเลย

และเขาก็เดินผ่านผมไป ไม่มีคำทักทาย ไม่มีแม้แต่คำดุด่าเรื่องที่ผมกลับมาสูบบุหรี่อีก ช่วงเจ็ดเดือนที่ผมคบกับเขา เขาเคยบอกให้ผมเลิกสูบบุหรี่ ผมก็รับปากเพราะมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ ก็ผมไม่ได้สูบบุหรี่จนติดเหมือนดีน ตอนอยู่กับเขา ผมไม่เคยคิดถึงบุหรี่หรือนึกถึงอะไรเลย นอกจากเขาและความรักของเขา

...เขาที่เป็นทุกความรู้สึกในหัวใจผม

“ทะเลาะกันเหรอ ?”

เสียงของดีนที่ผ่านลำโพงโทรศัพท์ออกมาเรียกผมให้กลับไปหาเขา เพราะว่าผมเผลอมองตามแผ่นหลังกว้างที่หายเข้าไปในห้องนอนของเขา ความรู้สึกน้อยใจตีตื้นขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว

“อืม คงงั้นแหละ...” ครั้งนี้เสียงผมเบาลง

“พี...” ใบหน้าของดีนเต็มไปด้วยความสงสัย เหมือนอยากพูดหรือถามบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าถาม

“อยากรู้อะไรก็ถามมาสิ” ผมก็อยากเล่า อยากระบายให้ใครสักคนที่ไม่ใช่ปาลินฟัง ไม่ใช่ว่าผมไม่ให้ความสำคัญกับปาลินนะ เพียงแต่ไม่อยากเอาเรื่องไม่สบายใจของผมไปเพิ่มความไม่สบายใจให้กับอีกฝ่าย ตอนนี้ปาลินก็เจอปัญหาหนักพอตัว

“อยากถามว่ะ แต่กลัวพีโกรธ” 

“ถามมาก่อนสิ” ผมเปิดโอกาสให้ดีนได้ถาม เพื่อที่ผมจะได้มีข้ออ้างระบายความจริงที่มันอัดแน่นอยู่ในอกบอกใครไม่ได้ออกมา

“สัญญาได้ปะว่าจะไม่โกรธถ้าดีนถาม”

“อืม...”

“คือเขากับพีไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ใช่ปะ”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

“แสดงว่าใช่”

“อืม...เราไม่ใช่ลูกชายของบ้านนี้ เราแค่เด็กที่ถูกขอมาเลี้ยง” ...หรือจะพูดให้ถูกคือได้รับความปรานีให้เกิดมา

“ว่าแล้วเชียว!” ดีนทำเสียงเหมือนสะใจที่ตัวเองคิดถูก “หน้าตาก็ไม่เหมือนกัน พี่ชาย...เอ่อ...พี่ชายปลอมๆ ของพีก็ทำตัวไม่เหมือนพี่ชาย ส่วนพีก็...” ดีนไม่ได้พูดต่อ เจ้าตัวหันไปดึงบุหรี่ออกจากซองมาคาบไว้ที่ปาก ก่อนจุดไฟสีแดงตรงปลายมวน

ผมก็ได้แต่มองดีนที่พ่นควันสีขาวขึ้นไปในอากาศ ช่วงที่ผมคบกับคุณยะ มีหลายครั้งที่พี่ชายปลอมๆ (ตามที่ดีนนิยามให้) ไปรับไปส่งผมที่โรงเรียน เลยทำให้ดีนเจอผมกับคุณยะอยู่หลายครั้ง และนั่นคงทำให้ดีนเห็นความไม่ปกติในความสัมพันธ์หรือเปล่า

พ่นควันสีขาวอยู่หลายอึดใจนั่นแหละ ดีนถึงเอาบุหรี่ออกห่างจากปากได้

“ถามจริงเลยนะพี” หน้าตาคนพูดจริงจังขึ้น “คนที่หักอกพีคือ...เขา...ใช่ปะ ?” ดีนไม่ใช่เด็กเรียนเก่งมาก แต่เรื่องมองอะไรได้ทะลุแล้วก็คงเก่งมากเลยทีเดียว

“อืม...” ผมก็ได้แค่ตอบรับไปเบาๆ

“ยังรักอยู่เหรอ ?”

“...” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ขอบตาร้อนผ่าวกับความจริงที่ว่า... พอรักไปแล้ว ทำยังไงก็เลิกรักไม่ได้

“แบบนี้เราก็หมดหวังสินะ”

“มั้ง...”

“ถ้า ‘มั้ง’ แปลว่าดีนยังมีหวังใช่ปะ”

“...” ผมไม่ทันจะตอบดีนเลยว่า... ต่อให้มีหวังก็ไม่เห็นทางสมหวัง ทว่ากลิ่นแอลกอฮอล์กับเสียงเข้มจัดก็ขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

“เลิกคุยแล้วก็เข้าไปนอนซะทีพี” เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังผม กลิ่นเหล้านี่หึ่งเลย เพิ่งรู้สึกก็ตอนนี้แหละว่ากลิ่นของมึนเมานี่มันเหม็นจริงๆ ตอนดื่มเองไม่รู้เลยว่ากลิ่นจะแรงได้ขนาดนี้ แต่จะว่าไปผมก็เคยเจอคุณยะตอนเมาครั้งหนึ่งนี่นา

...คืนนั้นที่สระว่ายน้ำนี่แหละที่เขากลับมาพร้อมกลิ่นเหล้า ผมที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำ ถูกเขาฉุดขึ้นมา พร้อมกับยัดเยียดจูบแรกที่จดจำมาจนถึงวันนี้

“อย่ามายุ่งกับชีวิตผม” ผมไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองหน้าเขาที่ยืนกดดันอยู่ด้านหลัง

“ฉันก็ไม่อยากยุ่งนักหรอกพี แต่นี่มันดึกแล้ว เธอจะคุยอะไรกันนักหนา” เสียงเขาไม่พอใจ ก็ไม่ต่างจากผมนักหรอก ยิ่งเขาห้าม ผมก็ยิ่งจะทำ ทำทุกอย่างที่ขัดกับสิ่งที่เขาอยากให้ผมทำ

“เรื่องของผม” นานแล้วที่ผมไม่ได้พูดประโยคนี้ใส่เขา

“อย่าดื้อพี” เสียงเขาอ่อนลง เพียงแต่อารมณ์ของผมไม่ได้อ่อนตามไปกับน้ำเสียงของเขา ความเจ็บปวดที่สะสมมาตั้งแต่ที่เขาทิ้งผมไว้ข้างหลัง มันทำให้ผมอยากต่อต้านเขาทุกอย่าง กลับไปเป็นเด็กดื้อที่เอาแต่ใจตัวเองและเห็นเขาเป็นศัตรู

“บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับชีวิตผม ผมจะนั่งคุยจนถึงเช้าก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ” ...ไม่มีวันที่เขากับผมจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว...ใช่ไหม

...ไม่ใช่เพราะผมไม่รักเขา

...เป็นเขาต่างหากที่ไม่รักผม

“แต่ที่เธอทำอยู่คือการประชดฉัน” เขาพูดถูก ผมกำลังประชดเขา

“มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องประชดคุณ” แต่ผมไม่ยอมรับหรอกว่ากำลังประชดเขา

“ถามตัวเองดูสิพี คนที่รู้คำตอบดีที่สุดคือเธอ ไม่ใช่ฉัน!” เขาคงใกล้ความอดทนกับผมเต็มที เพราะเขาเมาด้วยแหละผมว่า ความอดทนของเขาถึงต่ำกว่าที่เคยเป็น

“คุณนั่นแหละที่รู้คำตอบดีกว่าผม!” อารมณ์ของผมก็ไม่ต่างจากเขา “เพราะคุณคนเดียวที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้!!”

เขาทำอะไรพี่เลม่อนไว้ ผมไม่รู้หรอก แต่สิ่งที่เขาทำไว้กับผม ความเจ็บปวดก็คงไม่น้อยไปกว่าที่ฝ่ายนั้นรู้สึก หรือเป็นผมเองด้วยซ้ำที่เจ็บปวดยาวนานกว่าพี่เลม่อนไม่รู้กี่เท่า เพราะผมคือคนที่ ‘เขาไม่เลือก’ ขณะที่กี่ครั้งเขาก็เลือกแต่พี่เลม่อน

“...” เขาไม่เถียง

“...” ส่วนผมก็หลับตา ข่มความร้อนผ่าวที่ขอบตาให้จางลง มันไม่ได้ผลหรอกแต่ผมก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหนแล้ว

ในความเงียบที่ผ่านไปไม่กี่วินาที แต่ก็นานราวกับทั้งชีวิตของผมกับเขารวมกัน เสียงของบุคคลที่สามก็ดังออกมาจากลำโพง

“พี...” ตัวของดีนอยู่ไกล แต่เจ้าตัวก็รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่าง “...คบกันไหม”

ถ้าเขาไม่อยู่ตรงนี้ คำตอบนี้คงไม่ออกจากปากของผมง่ายๆ

“เอาสิ คบก็คบ” ...เขาจะได้รู้จักรสชาติความสูญเสียบ้าง

“คบกันแล้วก็ต้องเชื่อฟังดีนนะ”

“ดีนก็ต้องเชื่อฟังเราด้วย... อย่าทำให้เราเจ็บ” ...เหมือนที่คนบางคนทำ

“ดีนไม่ทำให้พีเจ็บหรอกน่า ว่าแต่เข้าไปนอนเถอะนะ มันดึกแล้ว” คำพูดที่ไม่ต่างจากคำสั่งของคนที่ยังยืนอยู่ด้านหลังผม แต่ผมก็เชื่อฟัง พร้อมทำตามอย่างว่าง่าย

“ดีนก็นอนด้วยนะ” 

“รู้แล้ว” ดีนยิ้ม ทำมือเป็นรูปมินิฮาร์ตส่งมาให้ผมด้วย ผมอยากจะขำกับท่าทางกรุ้มกริ่มของอีกฝ่ายที่ทำเหมือนผมเป็นสาวน้อยอยากได้มินิฮาร์ตอย่างนั้นแหละ แต่ก็ขำไม่ออกหรอกเพราะคนที่ยังยืนกดดันผมอยู่ข้างหลัง

ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากริมฝีปากหนา ทว่าความรู้สึกมันบอกผมว่า เขาไม่พอใจกับบทสนทนาระหว่างผมกับดีนเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องที่ผมตกลงคบกับดีน

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ผมปิดหน้าจอโทรศัพท์ ลุกขึ้นยื่นเตรียมจะเดินกลับเข้าไปในห้อง แต่ร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์กลับก้าวขึ้นมาขวางทางผมไว้

“หลีก!” ผมขยับไปทางซ้าย เขาก็ขยับตามมาขวาง

“ประชดฉันแล้วได้อะไรพี”

“ได้ความสะใจไง!” ผมตะคอกใส่หน้าเขาทันทีอย่างหมดความอดทน

บางทีผมอาจจะรอเวลานี้มานานแล้วก็ได้

“หลีก!! ผมจะไปนอน” แต่เขาก็ยังไม่หลีก ผมจะเดินไปทางขวา เขาก็ขยับมาขวางไว้อีกตามเคย

“ฉันไม่อยากให้เธอเป็นแบบนี้ ไม่อยากให้เธอเจ็บปวด” เขาก็พูดคำเดิมๆ ที่เหมือนห่วงใยผม แต่สิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาเลือกล้วนแต่ทำให้ผมเจ็บปวดทั้งนั้น “อย่าทำร้ายตัวเองเพราะฉันได้ไหมพี เลิกประชดประชัน แล้วใช้ชีวิตให้มีความสุข... โดยที่ไม่ต้องมีฉัน”

หึ! ...ใช้ชีวิตให้มีความสุข โดยที่ไม่ต้องมีเขาอย่างนั้นเหรอ ?

“คุณก็พูดง่ายสิ...” ผมจ้องหน้าเขาเขม็ง เข้าในผมเจ็บปวดไปหมด “...เพราะคุณไม่ใช่ผม” เขาคิดว่าผมทำอย่างที่เขาบอกได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ ไม่คิดหรือไงว่า ถ้ามันทำได้ง่ายแบบที่เขาต้องการ ผมคงทำได้ไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องวนเวียนอยู่กับความเจ็บซ้ำซากนี้หรอก

...เดี๋ยวถูกรัก เดี๋ยวถูกทิ้ง แต่ก็ยังรักเขาแค่คนเดียวเหมือนคนโง่ๆ

“การเลิกรักฉัน มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ” คำถามของเขาเหมือนปลายมีดแหลมที่กดลึกลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาพูดเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยรักใครมาก่อน ไม่รู้ว่าพอได้รักใครหมดหัวใจ ตกลงไปในหลุมรักที่ลึกนั้นแล้ว มันยากที่จะปีนพ้นขึ้นมา ยากที่จะเลิกรัก

“แล้วคุณ...คิดว่ามันง่ายหรือไง” เสียงของผมสั่น ขอบตาหนักด้วยน้ำตา ก่อนที่มันจะทะลักออกมาเต็มสองแก้ม

“...” เขาหันหนี ไม่มีคำตอบที่ผมต้องการ

“สำหรับคุณ...ฮึก...มันคงง่ายมากสินะ...ก็แค่หลอกเด็กคนหนึ่งด้วยคำรักซ้ำๆ บอกว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผม...ฮึก...แต่...ทุกวันนี้คุณก็ยังอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องมีผม...แล้ว...ยังจะมีหน้ามาบอก...ฮึก...ให้ผมมีความสุข...โดยที่ไม่ต้องมี...ฮึก...คุณ...นี่นะ...” ยิ่งพูดน้ำตาผมยิ่งไหล มองเขาผ่านม่านน้ำตา ขณะที่เขาก็ยังไม่กล้าหันมามองสภาพน้ำตาอาบหน้าของผม “คุณเคยเจ็บปวดบ้างไหม...ฮึก...ที่เห็นผมเป็นแบบนี้เพราะคุณ...คงไม่เคยเลยสินะ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่เอาแต่ทิ้งผม”

“...” ใบหน้าคมเข้มค่อยๆ หันกลับมามองสายน้ำตาของผม ดวงตาของเขาเรียบเฉย ไร้ความรู้สึกผิด เขาไม่สงสารน้ำตาของผมเลยหรือไงนะ

“ผมถามคุณบ้าง...แค่เลือกผม...มันยากหรือไง ทำไมคุณทำไม่ได้...ฮึก...ทำไมคุณไม่ทำ” เป็นคำถามที่ผมอยากถามเขามากที่สุด แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่เคยมีคำตอบอะไรให้ผม นอกจากคำพูดที่ไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดนั้นจบสิ้นลง กลับยิ่งทำให้เขาไกลออกไปจากผมมากขึ้น

“ฉันขอโทษ” เขาไม่มีคำแก้ตัว มีเพียงคำพูดที่ไม่ต่างจากคำตัดขาดความสัมพันธ์ “ลืมมันได้ไหม เพื่อตัวเธอเอง”

“เพื่อตัวคุณมากกว่า! อยากให้ผมลืม เพราะคุณจะได้ไม่รู้สึกผิดสินะ แต่ขอโทษ ผมจะไม่ลืมสิ่งที่คุณทำกับผม ผมจะจำมันไปจนวันตาย คุณก็จำไว้เหมือนกันว่าที่ผมเป็นแบบนี้เพราะคุณ คุณจะได้รู้สึกผิดไปตลอดชีวิต!”

“เท่านี้ฉันก็รู้สึกผิดมากพอแล้วพี” แววตาเขาสั่นไหว ก่อนจะเบือนหน้าหนีสายตาปวดร้าวของผม เอ่ยถ้อยคำที่โหดร้ายไม่เปลี่ยน “...ให้มันจบได้ไหมพี เลิกยึดติดกับฉัน เลิกรักฉัน เลิกทำร้ายตัวเองเพื่อประชดฉัน มันไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่เธอจะแย่งลง”

...เขาบอกผมแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว เขาเคยเห็นสักครั้งไหมว่าผมทำได้

“พยายามได้ไหมพี เลิกรักฉันซะที” เขาคิดว่ามันง่ายไม่ต่างจากพลิกฝ่ามือหรือไง

“...ผมพยายามแล้ว” ผมเหนื่อยล้าเต็มทน “มันไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง พยายามให้ตาย ผมก็ทำไม่ได้” หัวใจของผมสลายไปแล้วกี่ครั้งนะ ผมไม่เคยนับ

“พี” เขาถอนหายใจ ทอดสายตามาที่ผมอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับความเจ็บปวดที่สลายกลายเป็นสายน้ำตา “ฉันขอโทษ”

คำพูดของเขาเยียวยาหัวใจผมไม่ได้ ไม่เคยได้ มีแต่จะทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่า เจ็บลึกลงไปอีก

“ขอโทษ”

“...” ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดี น้ำตาผมยังไหล

“ฉันขอโทษ” ร่างสูงใหญ่ที่คลุ้งกลิ่นเหล้าขยับเข้ามาใกล้ ก่อนท่อนแขนแข็งแรงจะโอบกอดผมเอาไว้ “ขอโทษที่ฉันปกป้องหัวใจเธอไม่ได้” ไม่ว่าเขาจะเอาคำไหนมาปลอบโยนผม มันก็ไม่ทำให้ผมเจ็บปวดน้อยลงได้

“ผมไม่มีวันยกโทษให้คุณ!” สองมือผมผลักตัวเขาออกไปเต็มแรง แต่ก็เอาร่างหนาออกไปไม่ได้ เพราะท่อนแขนนั้นรัดผมแน่นมาก แล้วผมก็พยายามลงอีกที ใช้แรงที่มากขึ้น หวังจะผลักเขาให้กระเด็นไปไกลๆ เลย แต่ทุกอย่างผิดคาด กลับเป็นผมเสียเองที่กระเด็นไปข้างหลัง เพราะจังหวะนั้นคนตัวหนาดันถอนอ้อมกอดออกพอดีนี่สิ

“ปล่อยผม...!!”

“พี!!” เขาพยายามจะคว้าตัวผมไว้ มันก็ไม่ทัน กลายเป็นว่านอกจากผมจะหงายหลังลงสระว่ายน้ำ เขาเองก็ถลาตามผมมาติดๆ

ตูม!

ตูม!!

เสียงน้ำในสระแตกกระจายสองครั้งติด

“แค่กๆๆ”

“พีเป็นไงบ้าง” เสียงเขาตื่นตกใจ ใบหน้าคมเข้มที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาแสดงอาการเป็นห่วงผมอย่างมาก แถมยังว่ายมากอดตัวผมไว้อีก เหมือนกลัวผมจะจมน้ำอย่างนั้นแหละ

“ผมไม่เป็นไร” เขาลืมหรือไงว่าผมแค่ตกน้ำ ไม่ได้จมน้ำซะหน่อย “ปล่อยผมได้แล้ว ผมจะขึ้น” ผมบอกเพราะเขายังไม่ยอมปล่อยมือจากตัวผม หลังจากที่เขาลากพาผมมาเกาะที่ขอบสระ

“ไม่อยากปล่อยเลย” มือก็เช็ดน้ำออกจากหน้าผมไปด้วย สายตายามนี้ของเขาก็แทบไม่ต้องพูดถึง หวานไม่ต่างจากน้ำเสียง

“อย่ามาพูดแบบนี้ ทั้งที่คุณสั่งให้ผมเลิกรักคุณ” ผมพูดอย่างไม่พอใจ พร้อมกับแกะมือเขาออกไปจากตัวผมด้วยแต่ก็ไม่สำเร็จ

“นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้กอดกัน” เขาถามแบบไม่สนใจอาการต่อต้านของผมเลยสักนิด

“...”

“สามสิบเอ็ดวันแล้วสินะ” แล้วก็ตอบคำถามของตัวเอง

“...” ผมก็ได้แต่เม้มปากให้กับคำตอบนั้น... มันเท่ากับจำนวนที่ผมนั่งนับอยู่ทุกคืน

“คิดถึง”

“...” คำพูดสั้นๆ ที่ทำให้ทุกความพยายามของผมพังทลายลงมาอย่างย่อยยับ

“คิดถึงมากจริงๆ” เขาย้ำมันลงมาบนความย่อยยับของผม ราวกับจะไม่ยอมให้ผมกอบกู้เศษซากของความพยายามนั้นขึ้นมา

“...”

“คิดถึงฉันไหมคนดี”

...ยิ่งกว่าคิดถึง เพราะแม้แต่ในความฝัน ผมก็ยังวิ่งตามหาเขาไปทุกหนทุกแห่ง แต่ไม่เคยเจอเขาสักครั้งเดียว

“คุณบอกให้ผมพยายาม แต่คุณเองกลับทำลายความพยายามของผม” เขาต้องใจร้ายขนาดไหนนะ ถึงทำกับผมแบบนี้ได้อย่างไม่รู้สึกผิด... เรื่องยื่นความหวัง ก่อนกระชากทิ้ง

“ฉันขอ...”

“ไม่ต้องขอโทษ เพราะผมไม่มีวันยกโทษให้...อื้ออ” เพราะผมไม่ยอมให้เขาพูดจนจบประโยค เขาก็เลยไม่ยอมให้ผมพูดจนจบไปด้วยกัน ริมฝีปากหนาถึงได้ประกบจูบลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็อ่อนโยนจนผมไม่รู้จะต่อต้านคำสั่งของหัวใจด้วยวิธีไหน

สมองผมสั่งให้ผลักตัวเขาออกไปให้ไกล แต่หัวใจผมกลับกล่อมให้ผมเบียดร่างกายที่สั่นสะท้านเข้าหาร่างกายแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ความอบอุ่นที่ผมเฝ้าฝันถึง แม้แต่ในสายน้ำเย็นจัดก็ไม่ทำให้อ้อมกอดของเขาอุ่นน้อยลง

“คิดถึง” เขากระซิบมันที่ริมฝีปากผม ข้างแก้มผม บนเนื้อตัวของผม “...เธอคิดถึงฉันไหม”

“ไม่เลยสักนิด”

...ไม่เคยไม่คิดถึงเขา

“ดีแล้ว” เขาแกล้งเชื่อคำโกหกของผม เพราะเขาอยากได้คำตอบแบบนี้จากผม เพื่อให้เขารู้สึกผิดน้อยลง

“ก็ปล่อยสิ” ผมพยายามจะผลักเขาออกไปจากตัว มันก็ไม่สำเร็จเหมือนหลายๆ ครั้งนั่นแหละ

“ไม่อยากปล่อย อยากกอดเธอไว้ทั้งคืน” เขาเอ่ยออกมาเสียงหวานนุ่ม ไม่ต่างจากหน่วยตาที่ฉ่ำหวาน พูดเหมือนเมื่อหลายนาทีก่อนไม่เคยไล่ผมให้เลิกรักเขา

“ไปกอดคนของ...อือออ...”

ริมฝีปากผมถูกครอบครองอีกครั้ง และมันก็ไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านมาเลย ที่ผมเต็มใจให้เขาช่วงชิงลมหายใจของตัวเอง ปล่อยให้เรียวลิ้นของเราสัมผัสกันแบบที่แทบไม่อยากแยกจากกันไปไหน ยอมแม้กระทั่งให้เขาอุ้มขึ้นจากสายน้ำเย็นจัด โอบกอดเอาร่างสั่นสะท้านของผมและร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาไปเติมเต็มความคิดถึงและโหยหากันและกันมากกว่าสามสิบเอ็ดคืนบนเตียงกว้างในห้องนอนของเขา

“คิดถึง”

เขากระซิบคำนี้ทั้งคืน จนมันล่องลอยอยู่เต็มห้องกว้าง แม้แต่ตอนที่ผมหลับใหลหลังจากปลดปล่อยสายน้ำอุ่นร้อนออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้ คำว่าคิดถึงจากปากของเขาก็ยังเป็นคำที่ผมได้ยินเป็นคำสุดท้าย

.

.

.

Rrrrrr

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเบาๆ แต่ก็ดังมากพอที่จะปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากความเหนื่อยล้าตลอดค่ำคืนมันดังอยู่อย่างนั้นโดยที่เจ้าของโทรศัพท์ยังคงนิ่งเฉย มือของเขายังคงลูบแผ่วเบาอยู่บนหัวผม แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป ผมคิดว่าเขาคงจะตัดสายทิ้ง

Rrrrrr

มันดังขึ้นอีกและครั้งนี้เขารับมัน คงเพราะคิดว่าผมยังหลับสนิท แบบที่ว่าไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเขา เขาถึงได้กดรับและพูดกับคนปลายสาย โดยที่ไม่ได้ลุกเดินไปคุยที่อื่น และมือของเขาก็ยังลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน

“อยู่ที่โรงแรม”

...เขาโกหก

“พี่จะโกหกเธอทำไม”

...ก็กำลังโกหกอยู่นี่ไง

“คิดมาก”

“...”

“ช่างมันเถอะ แล้วนี่ได้นอนหรือยัง ไม่ใช่เอาแต่ร้องไห้นะ”

“...”

“ไปนอนได้แล้ว”

“...”

“ไว้ตอนเย็นค่อยเจอกัน”

“...”

“อะไรก็ได้พี่กินได้หมด”

“...”

“พี่อยู่คนเดียว”

“...”

“อย่างอแงน่าเลม่อน พี่บอกว่าอยู่คนเดียวก็อยู่คนเดียวสิ”

“...”

“เฮ้อ...พี่รักเธอ พอใจหรือยัง วางสายแล้วไปนอนได้แล้ว”

“...”

“เลม่อน!”

“...”

“อย่าขู่พี่”

“...”

“โอเค พี่จะกลับ”

บทสนทนาระหว่างเขากับคนปลายสายเงียบไป สักพักเขาก็ลดตัวลงมานอนข้างตัวผม ท่อนแขนของเขาโอบตัวผมเอาไว้ ปลายจมูกโด่งแตะข้างแก้ม ไล่ลงไปที่ต้นคอ แผ่นหลัง และจบที่ข้างหูของผม พร้อมคำพูดแผ่วเบา

“ฉันต้องไปแล้วนะ”

“...”เขารู้ใช่ไหมว่าผมตื่นนานแล้ว

“โกรธไหม ?”

“...” มันทั้งโกรธ โหยหา และคิดถึง

 “ฉันขอโทษ”

“...”

“พี” ริมฝีปากร้อนจัดจูบลงมาที่ไหล่ จากนั้นก็รั้งตัวผมให้หันไปหาเขา “คุยกันหน่อย”

“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณทั้งนั้น” ผมปัดมือเขาที่ลูบแผ่วเบาบนแก้ม ก่อนผลักร่างหนาออกไปแล้วค่อยๆ ลุกลงจากเตียงอย่างทุลักทุเลพอสมควรจากเรื่องอย่างว่า พอลุกขึ้นยืนความอุ่นร้อนที่คั่งค้างอยู่ในช่องทางค่อยๆ ไหลออกมา

“ต่อไปถ้าจะทำอะไรผมก็ใช้ถุงยางด้วย อย่ามามักง่ายกับผม”

เพราะผมรู้ว่าความสัมพันธ์ที่สิ้นสุดลงไป มันไม่ได้หมายความว่าผมกับเขาจะขาดจากกันได้อย่างเด็ดขาด ดูอย่างคืนนี้ แค่เขาจูบ ร่างกายของผมก็พร้อมยอมเป็นของเขาอย่างง่ายดาย และผมก็คงอยู่กับความสัมพันธ์แบบนี้ไปอีกนาน เพราะหัวใจผมไม่เคยเข้มแข็งได้เลย มันยอมเขาทุกอย่าง จนน่ารำคาญและโง่เง่าสิ้นดีที่ยังรักแค่เขาคนเดียว

ผมเคยคิดว่าเมื่อโตขึ้นผมจะเข้มแข็งกว่านี้

แต่ก็ไม่เลย

ยิ่งโต... ผมก็ยิ่งอ่อนแอลงทุกวันและทุกครั้งที่เจอเขา

.

.

.

อ่านตอนที่ 27 ด้านล่าง


ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 27

เครื่องดื่มรสชาติขมเข้มแต่คุ้นเคยสำหรับผมไปเสียแล้วกำลังไหลผ่านคอผมลงไปอย่างไม่ขาดระยะ เป็นแก้วที่เท่าไรไม่รู้ รู้แต่ว่านั่งตัวตรงไม่ได้แล้ว ต้องเอาตัวหนักๆ ที่คล้ายจะไร้กระดูกไปพิงพักไว้กับคนที่ตัวหนากว่าผมไปพอสมควร

“ไหวอยู่ไหมเนี่ย ?” เจ้าของที่พักพิงก้มใบหน้าลงมาถาม ไม่แค่ถามแต่กดริมฝีปากบนหน้าผากผมด้วย เรียกเสียงโห่แซวจากรอบโต๊ะ ที่มีกันอยู่สามคน รวมผมกับดีนก็เป็นห้าคน แล้วก็มีอีกสองคนที่ตอนนี้ไปห้องน้ำคือปาลินกับอ้าย เด็กผู้ชายที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มของดีน แต่ก็ตัวใหญ่กว่าผมไปหน่อยหนึ่ง เพื่อนในกลุ่มดีจะมี ต้น เอ้ เก่ง และอ้าย ส่วนของผมมีคนเดียวคือปาลิน

พวกเราทั้งหมดมาฉลองสอบมิดเทอมเสร็จครับ สถานที่ฉลองก็ที่เดิม ร้านของน้าชายดีน และเสียงดนตรีไม่ได้แสบแก้วหูเหมือนครั้งแรก ยิ่งน้ำเมาไหลผ่านลำคอลงไปเยอะเท่าไร เสียงดนตรีกระแทกกระทั้นก็ไม่สามารถทำอะไรผมได้อีก มิหนำซ้ำผมยังสนุกไปกับมันอีกด้วย

“ขอหน่อย” พูดจบ ของไม่ดีในมือดีนก็มาจ่อที่ปากผมทันที ผมอัดความหอมหวานด้วยกลิ่นหอมขององุ่นอ่อนๆ เข้าไปเต็มปอด ก่อนปล่อยควันสีขาวออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ควันยังไม่ทันจางหมดจากริมฝีปากเลยด้วยซ้ำ เจ้าของบุหรี่ก็ประกบจูบลงมา

ตั้งแต่ที่ตอบตกลงคบกับดีนไปคืนนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ดีนจูบผม จูบของดีนไม่ได้อ่อนด้อยแต่เทียบไม่ได้เลยกับจูบของอีกคนหนึ่ง

“เฮ้ยๆๆ พอก่อน อย่าเพิ่งกินกันตอนนี้ พวกกูอิจฉาโว้ย” แล้วก็ตามด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานที่เห็นผมจูบกับดีน

พวกเพื่อนของดีนทั้งสี่คน รับได้ครับที่ดีนคบกับผม แถมยังชอบด้วยซ้ำที่ดีนคบกับผม พวกนี้บอกว่าผมน่ารัก เคยเล็งผมอยู่เหมือนกันแต่ไม่กล้า ที่ไม่กล้าไม่ใช่เพราะกลัวผมหรอก แต่กลัวโดนหัวหน้าแก๊งถีบเอาเพราะดีนจองผมไว้ก่อนแล้ว

“อิจฉากูก็ไปหามาสักคนสิวะ...เอาอีกไหม” พูดกับเพื่อนตัวเองแล้วก็หันมายื่นบุหรี่ที่ใกล้หมดมวนให้ผมอีกครั้ง มีหรือผมจะปฏิเสธ

“คืนนี้พีระวังตัวไว้ให้ดีละ เผื่อว่าดีนมันอยากจะเปลี่ยนสถานะจากแฟนเป็น...” คำสุดท้ายไม่ได้หลุดออกมาจากปากต้น แต่ริมฝีปากนั้นก็ขยับเป็นคำที่ชัดเจน เลยโดนผมหยิบถั่วในจานที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าปาเข้าเต็มๆ แต่ต้นไม่โกรธเลย แถมหัวเราะชอบใจซะอีก 

“ข้ามศพกูไปให้ได้ก่อนละกัน” คนที่ไม่แตะเหล้าแม้แต่หยดเดียวเดินกลับเข้ามา ปาลินทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัวหนึ่ง ตามด้วยร่างเล็กๆ ของอ้ายที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน

“มึงก็เหมือน คิดจะแดกเพื่อนกูฟรีๆ เตรียมแดกตีนพวกกูไว้หรือยัง” เก่งพูด

“ใครวะ ?”

เอ้กับต้นถามขึ้นพร้อมกัน ผมก็อยากรู้เหมือนกัน มองหน้าปาลิน เจ้าตัวก็หลบตา ทำไมปาลินมีความลับกับผม... หรือว่าผมมีความลับกับปาลินก่อนกันแน่

“พวกมึงมีเพื่อนสนิทกี่คนวะ” เก่งถามอย่างหงุดหงิด ถ้าเก่งถามแบบนี้ก็แสดงว่า... สายตาผมเปลี่ยนจากหน้าปาลินไปที่คนตัวเล็กทันที แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มบางๆ ให้ผม

“สี่” เอ้ตอบ สีหน้ายังงงอยู่ “มึง กู ไอ้ต้น ไอ้ดีน แล้วก็...อย่าบอกนะว่า...” สงสัยจะคิดออกแล้วถึงได้อ้าปากค้างไปเลย

“อ้าย...มึง!” เป็นต้นที่เอ่ยชื่อเพื่อนคนสุดท้ายออกมา

“บ้าน่าพวกมึง กูกับปีไม่มีอะไรกันโว้ย” เจ้าของชื่อโวยวายกลบเกลื่อน ทั้งที่เมื่อกี้ยังยิ้มเหมือนจะยอมรับกับผมอยู่เลย

ส่วนปาลินนั่งเงียบกริบ ผมไม่คิดมาก่อนว่าปาลินชอบผู้ชาย แล้วผู้ชายคนนั้นก็เป็นอ้ายด้วย อ้ายนี่ถือว่าหน้าตาขัดกับเพื่อนในแก๊งมาก เจ้าตัวเป็นผู้ชายตัวขาวจั๊วะ รูปร่างบอบบาง เห็นอย่างนี้ใครจะไปเชื่อว่าส่งรุ่นพี่ต่างโรงเรียนไปนอนโรงพยาบาลมาแล้วถึงสองราย!

“ห่า มึงเห็นกูตาบอดหรือไง ปากเจ่อมาขนาดนี้” เก่งพูดมาอย่างนั้น ทั้งเอ้ ต้น ดีน และผมพากันมองที่ปากอ้ายแทบจะเป็นตาเดียวกัน ตรงที่พวกเรานั่งไม่สว่างเท่าไรหรอก แต่ก็เห็นชัดครับ อ้ายนี่รีบเอาหน้าไปซ่อนไว้หลังปาลินเลย

“ไวไฟจังวะเพื่อนกู” ดีนแซว

“ถ้าอย่างอ้ายเรียกไวไฟ มึงนี่ไม่จรวดเลยหรือวะ คุยกันวันแรกมึงก็จะล่อเขาแล้ว” เป็นรอบสองที่ถั่วในจานลอยไปกระทบหน้าต้นรัวๆ ทั้งจากมือผมและดีน และอีกตามเคยที่ต้นจะหัวเราะชอบใจที่โดนปาถั่วใส่หน้า

“พอๆ มึง กูไม่ได้กินพอดี” เอ้...ผู้ชายสายกินของกลุ่มรีบห้าม พร้อมกับยกจานถั่วหนีทันที

“กูไม่อยากจะเชื่อ เพื่อนกูโดนสอย” ต้นพึมพำเบาๆ เป็นคนเดียวมั้งที่ดูจะตกใจกว่าใครพวก

“สอยบ้านป๊ามึงดิ” อ้ายเอาใบหน้าแดงก่ำออกมาจากหลังปาลิน เจ้าตัวด่าเสียงเบาเพราะยังเขินกับความลับที่ถูกเปิดเผย

“คบกันตั้งแต่เมื่อไรปี” ผมถามด้วยความอยากรู้ พักหลังผมกับปาลินห่างกันไปพอสมควร แม้เราจะเรียนอยู่ห้องเดียวกัน เป็นเพื่อนกันแค่สองคน แต่พักเที่ยงหรือหลังเลิกเรียน ตัวผมก็ติดอยู่กับดีน จนคนนอกมองว่าผมเป็นกลุ่มเดียวกับดีนไปแล้ว

บางครั้งปาลินก็เดินหน้างอตามผมไปเข้ากลุ่มกับพวกดีนด้วย หรือว่าช่วงนั้นเองที่ปาลินกับอ้ายคลิกกัน

“ไปกันใหญ่แล้วพี ไม่ได้คบ” เป็นอ้ายที่ปฏิเสธ ส่วนปาลินยังปิดปากเงียบ

“อ้าว! ดูดจนปากเพื่อนกูเจ่อขนาดนี้ มึงยังไม่ขอเพื่อนกูคบอีกเหรอวะ” เก่งพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สงสัยอยากแดกตีนพวกกูละมั้ง” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทำท่าจะลุกไปซัดหมัดใส่เพื่อนนอกกลุ่ม ดีที่ดีนคว้าแขนไว้ก่อน


“เพื่อนกันน่ามึง” ดีนดึงตัวเก่งให้นั่งลง แล้วก็กอดคอเอาไว้ไม่ให้เก่งลุกมาอาละวาด เก่งเองก็ซดเหล้าไปหลายแก้วแล้ว แอลกอฮอล์ในร่างกายก็ทำให้อารมณ์ร้อนกว่าปกติ

“มึงก็เวอร์ไปเก่ง กูกับปีแค่จูบกัน จูบเล่นๆ งี้ ไม่ได้จริงจังอะไรเลย” อ้ายแก้ตัวอีกครั้ง แต่ดูความแดงของใบหน้าแล้ว ผมว่าอ้ายคงชอบปาลินนั่นแหละ ไม่มีหรอกจูบเล่นๆ น่ะ

“มีจูบเล่นๆ ด้วยเพื่อนกู แรดนะมึง” เอ้พูดแซวขึ้นมาทั้งที่ถั่วยังเต็มปาก

“เจอตีนแรดหน่อยไหมมึง” อ้ายยกเท้าขึ้นมาจะถีบเพื่อน แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างปากพูดก็ถูกคนข้างตัวดึงเอาไปกอด พร้อมกับจูบที่แก้มอ้ายเบาๆ เรียกเสียงโห่ร้องจากเพื่อนของอ้ายเกือบทุกคน ยกเว้นเก่งที่ยังอารมณ์ไม่ดีอยู่

“คบกันวันนี้” สุดท้ายปาลินก็ยอมรับออกมา ทำเอาแก้มอ้ายที่ว่าแดงอยู่ แดงขึ้นอีก จนผมกลัวว่าหน้าอ้ายจะแตกขึ้นมาจริงๆ เจ้าตัวรีบเอาใบหน้าที่แดงจัดยิ่งกว่าลูกมะเขือเทศสุกซุกเข้าไปในอกของปาลิน หนีเสียงโห่แซวที่ดังยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าทั้งโต๊ะมีคนนั่งสิบยี่สิบคนก็ไปม่ปาน ดังจนโต๊ะรอบๆ หรืออาจจะทั้งร้านเลยก็ได้มั้ง พากันมองมาที่โต๊ะของพวกเรา นี่ขนาดอยู่ในมุมอับและหนีสายตาของคนในร้านแล้วนะ

“หญิงอ้ายอย่าอายเยอะ กูไม่อยากมีเพื่อนเป็นแต๋ว” เอ้แซวทั้งที่ยังโห่เสียงดังออกจากปาก

“ป๊ามึงดิไอ้เอ้” คนถูกแซวด่าทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่กับอกของปาลิน

“ทำเพื่อนกูเสียใจมึงโดนแน่” เก่งคนเดียวละมั้งที่ยังคงคอนเซ็ปหวงเพื่อน เจ้าตัวจ้องหน้าปาลินด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ปาลินเองก็จ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ ผมเพิ่งเคยเห็นปาลินเป็นแบบนี้ครั้งแรก

“พี” ดีนขยับเข้ามาโอบเอวผม กระซิบเสียงเบาเพื่อดึงผมออกมาจากความร้อนระอุระหว่างเก่งกับปาลิน “ได้เวลาไปข้างบนกันแล้ว” ริมฝีปากของดีนคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม มือที่โอบตัวผมอยู่นั้นก็เริ่มลูบไปตามเนื้อตัวของผม

“...” ผมไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นอย่างไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว เพราะเตรียมพร้อมสำหรับเวลานี้อยู่นานแล้ว

คิดว่าผมโง่ใช่ไหม ?

ใช่ครับ

ผมโง่... โง่มานานแล้ว

และชอบทำอะไรแบบโง่ๆ ด้วย

“เดี๋ยวมา” ดีนบอกพวกเพื่อนตัวเอง แล้วก็ตามเคยครับที่เสียงโห่แซวจะดังขึ้น เรียกสายตาจากโต๊ะรอบๆ อีกแล้ว

“เช้าเลยก็ได้ว่ะ พวกกูรอไหว” เอ้พูด

“แต่กูไม่รอโว้ย เพราะกูก็จะไปสวรรค์เหมือนกัน ไปไอ้เก่ง พี่สาวโต๊ะนั้นมองกูกับมึงนานแล้วว่ะ” ว่าแล้วต้นก็กอดคอเก่งที่หน้าไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ลุกเดินไปหาสาวโต๊ะที่ตั้งเยี่ยงไปทางซ้ายมือของโต๊ะพวกเรา

“อ้าวพวกมึง รอกูด้วยสิวะ” เอ้วางจานถั่วแทบไม่ทัน เจ้าตัวคว้าแก้วเหล้าขึ้นมากระดกทีเดียวหมดเหลือไว้แต่น้ำแข็ง เดินตามต้นกับเก่งไป ผมมองตาม พี่สาวโต๊ะนั้นมีห้าคน แต่ละคนล้วนแต่ยินดีให้เด็กมัธยมหน้าตาใสกิ๊กนั่งร่วมโต๊ะ

“พี” ปาลินเรียกก่อนที่ผมจะถูกดีนโอบเอวพาออกไปจากโต๊ะ เจ้าตัวมองผมเป็นเชิงตำหนิและบอกให้ผมเลิกล้มสิ่งที่คิดจะทำ

“ไม่ต้องห่วงน่า” ไม่ได้มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงจริงๆ นั่นแหละ สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ผมเดินไปกับดีนก็ไม่มากไปกว่าครั้งที่แล้วหรอก ผมก็แค่อยากยั่ว ‘ใครบางคน’ เท่านั้นเอง

“ไม่ต้องห่วงพีหรอกน่า กลับไปห่วงอ้ายมันเถอะ ไอ้นี่เมาแล้วชอบน็อกกลางอากาศ”

“ห่านี่ เผากูนะมึง” อ้ายพูดแทรกขึ้นมาเพราะตัวเองถูกเผา “คืนนี้กูไม่เมาโว้ย”

“ขอให้จริงเถอะ” ดีนว่า แล้วหันมาพูดกับผม “ไปกันเถอะที่รัก” มือดีนโอบเอวแน่นขึ้น พาผมเดินไปที่บันไดเดิมที่เคยเหยียบขึ้นไปยังชั้นสามมาแล้วครั้งหนึ่ง

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมาถึงทางเดินที่มีแสงสว่างเพียงน้อยนิดบนชั้นสาม ผมก็ถูกผลักเบาๆ ไปติดกับผนังกำแพง เสียงดนตรีจังหวะเร้าใจจากชั้นล่างดังลอยขึ้นมาให้หัวใจได้รัวแรงกับสิ่งที่กำลังจะทำ

“เริ่มเลยนะ” ดีนกระซิบเสียงเบาข้างแก้ม หอมแก้มไปพลางด้วย

“อืม...อื้ออ...” พอผมพยักหน้า ริมฝีปากของดีนก็ประกบจูบลงมา ผมจูบตาม ทำให้ทุกอย่างมันเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติมากที่สุด อันที่จริงก็ไม่ได้แสดงอะไรมากหรอก ในเมื่อร่างกายผมเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์

“อย่าถีบดีนล่ะ” ดีนกลับมากระซิบที่ข้างหูผมอีกครั้ง ริมฝีปากนั้นก็งับใบหูของผมไปด้วย ชวนให้จั๊กจี้พอสมควร

“ไม่หรอกน่า” เพราะทุกอย่างมันต้องสมจริง ไม่อย่างนั้นคงทำให้คนที่ตามผมกับดีนมาตบะแตกไม่ได้หรอก

“คราวนี้ของจริงแล้วนะเด็กดื้อ” จบคำพูดที่เจือไปด้วยอารมณ์หยอกล้อ ทั้งปากและลิ้นของดีนก็เข้าครอบครองตั้งแต่ซอกคอ ไล่ลงไปตามหน้าอกเปลือยเปล่าเพราะชายเสื้อยืดถูกดึงขึ้นไปมากองไว้ที่เหนือราวนม ก่อนริมฝีปากของดีนจะหยอกล้อกับเม็ดเล็กๆ บนยอดอกของผม ความชื้นแฉะจากปลายลิ้นอุ้นทำให้ผมเสียวขึ้นมานิดๆ แต่ไม่ชอบเอามากๆ เกือบเผลอผลักศีรษะดีนออกไป แต่ก็ห้ามมือตัวเองด้วยการกำไหล่ของดีนไว้ได้ทัน

ผมเชิดใบหน้าขึ้นเมื่อความแฉะชื้นละจากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง ขณะที่สะโพกของผมกำลังถูกบีบขย้ำอย่างแรง ดีนพูดจริงทำจริง แม้จะเป็นการแสดงแต่ก็สมจริงทุกอย่าง

“ดะ...ดีน...พอก่อน” ผมรีบดึงใบหน้าดีนขึ้นมา กระซิบแผ่วเบากับริมฝีปากร้ายกาจเกินวัย “เราจะไม่ไหว” ร่างกายผมไม่ใช่ก้อนหินนี่นา โดนปากดีนไปขนาดนั้น “พอแล้ว ไม่เอาแล้ว เข้าไปข้างในเถอะ” ผมดึงชายเสื้อยืดลงตามเดิม

“จูบอีกนิดก่อน” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เอาปากผมไปอีกครั้ง จูบจนผมคิดว่าตัวเองพลาดไปจริงๆ ที่ขอร้องให้ดีนช่วย

“อื้อ...พอแล้วดีน...พอ” ผมทุบไหล่ดีนที่เอาแต่จูบปากผมไม่ยอมปล่อย มือก็ลากเลื้อยเข้าไปใต้เสื้อยืด ลูบไล้แผ่นหลัง ลากไปจนจบที่สะโพกอีกจนได้

“ไม่อยากเข้าอะ เข้าไปก็ทำแบบนี้ไม่ได้น่ะสิ” ดวงตาของดีนฉ่ำหวานตามอารมณ์ของเด็กวัยรุ่น “อีกนิดนะ เป็นค่าจ้างของดีนไง มันจะได้คุ้มหน่อย เผื่อว่าดีนต้องเจอมือตีนของเขา”

จากนั้นริมฝีปากร้อนรุ่มก็งับเข้าที่ต้นคอผมจนเจ็บจี๊ด ก่อนที่ปลายลิ้นชื้นแฉะจะฉกลงมาบนความเจ็บนั้น

“หวานว่ะ ตัวพีหว้านหวาน คบกันจริงๆ ได้ปะ รับรองว่าดีนไม่ทำให้พีเสียใจเหมือนเขาแน่”

“มะ...อื้ออ...” คำปฏิเสธหายเข้าไปในปากดีนเสียแล้ว สุดท้ายผมก็ต้องจ่ายค่าจ้างที่มากเกินไปสำหรับแผนการแก้แค้นเอาคืนใครบางคน ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะพุ่งเข้ามาซัดหมัดใส่ดีนแม้แต่นิดเดียว

เขามัวทำอะไรอยู่นะ!!

“ดีน! พอแล้ว” ผมเผลอตวาดใส่ดีนที่ปล่อยกลีบปากผมเป็นอิสระแล้วกำลังจะลงไปเล่นกับอกผมต่ออีก

“ดุว่ะ” ว่าหน้ามุ่ย

“ก็บอกแล้วว่าให้พอแต่ไม่พอเองนี่นา” ผมเริ่มโกรธดีนแล้วที่ทำมากเกินไป

“สงสัยจะไม่ได้ผล” คำพูดของดีนทำให้ผมยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ แล้วเจ้าตัวก็ช่วยผมคิดหาทางออกให้กับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามแผนแบบเด็กๆ ของผม “เอาไงต่อ จะกลับลงไปหรือว่าเข้าไปในห้อง อยู่ในนั้นสักชั่วโมงสองชั่วโมงค่อยลงไป”

“เข้าไปข้างในละกัน” ผมยังไม่อยากกลับไปข้างล่างด้วยใบหน้าหงิกงอที่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ผมคิด

“โอเค” ดีนว่า โอบเอวพาผมเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ภายในห้องที่แสงสว่างจากหลอดไฟนีออนกลางห้องกำลังทำงานอยู่นั้น มีแค่เตียง โต๊ะเก้าอี้หนึ่งชุด และตู้เสื้อผ้าขนาดเล็ก เลยตู้เสื้อผ้าไปนิดน่าจะเป็นประตูห้องน้ำ

เข้ามาแล้วดีนก็ปล่อยตัวผมเป็นอิสระ พอเห็นเตียงความมึนเมาจากแอลกอฮอล์ในร่างกายก็บอกให้ผมเดินตรงไปหามัน และทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าบนความหนานุ่มของที่นอน ที่ตามมาติดๆ คือร่างของหลานชายเจ้าของผับ ดีนทิ้งตัวลงนอนหงาย ก่อนตะแคงตัวหันหน้าเข้าหาผม

“น่าสงสาร เขาไม่รัก เขาไม่สนใจ” ดีนล้อผม เรื่องที่แผนล่มไม่เป็นท่า

“อยากให้โกรธใช่ไหม ?” ถามกลับเสียงขุ่น หงุดหงิดที่ดีนล้อเล่นแบบไม่ดูหน้าผมเลย

“อยากให้รักมากกว่า” เจ้าตัวว่า พลางดึงแก้มผมเบาๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลูบ “อยากเป็นแฟนจริงๆ ว่ะพี ไม่เอาแฟนหลอกๆ แบบนี้ได้ปะ”

“อย่าเลย” ผมยังไม่อยากรักใคร นอกจากเขาคนเดียว

“ใจแข็งชะมัด ว่าแต่จูบอีกทีได้ไหมเนี่ย”

“พอแล้ว จูบไปเยอะแล้วนะ” 

“ครั้งสุดท้ายไง”

“ไม่” ผมตอบเสียงแข็ง แต่จะสู้คนดื้อแบบดีนได้อย่างไร

ดีนไม่สนคำพูดผมเลย จู่โจมทันทีแบบไม่ให้ผมตั้งตัว จับตัวผมพลิกกลับไปนอนหงาย แล้วก็ลุกขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้ รวบมือทั้งสองข้างของผมกดไว้กับที่นอน


เจ้าตัวไม่ได้ใช้กำลังกับผม เพราะผมไม่ได้ต่อต้าน ขึ้นมาคร่อมบนตัวผมแบบนี้แล้ว ผมก็คงต้องยอมแหละ อย่างน้อยดีนก็ดีกับผมนะ เข้าใจผมทุกอย่าง ไม่มีถามเซ้าซี้ แม้แต่ที่ขอผมคบในคืนนั้นก็เพราะรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร แถมยังรู้ว่าผมต้องการอะไรในตอนนั้นด้วย

...ดีนรู้ว่าผมอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อประชดคนที่หักอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ไม่ดิ้นหน่อยเหรอ”

“แล้วจะยอมปล่อยหรือไง”

“ก็นะ อาจจะปล่อยก็ได้ หรือไม่ปล่อยก็ได้” เจ้าตัวว่า ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ “แต่ตอนนี้อยากจูบว่ะ ปากพีน่าจูบ”

แต่ไม่ทันที่ดีนจะได้ทำอย่างที่ปากพูดออกมา เพียงแค่โน้มใบหน้าลงมาใกล้ ริมฝีปากดีนห่างจากริมฝีปากผมไปไม่ถึงนิ้วด้วยมั้ง ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา เสียงที่ผมไม่คุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับร่างของดีนที่ถูกดึงออกจากตัวผม และลากลงไปจากเตียง

“หยุดเลยไอ้หลานตัวแสบ!” เป็นน้าชายของดีนนี่เอง

“เบาๆ หน่อยน้าภีม ผมเจ็บนะเนี่ย” คนเป็นหลานโวยวายเสียงไม่ดังมากหรอก เพราะยังให้ความเคารพคนเป็นน้ามากพอสมควร “แล้วนี่ผู้ใหญ่มายุ่งอะไรกับเรื่องของเด็กล่ะครับ”

“เหอะ! คิดว่าฉันอยากยุ่งหรือไงไอ้หลานเวร ทำอะไรแต่ละอย่างเนี่ย คงกลัวฉันไม่เอาไปฟ้องแม่แกใช่ไหม ทั้งพี่ทั้งน้อง เอาแต่เรื่องปวดหัวมาให้ฉัน” น้าภีมของดีนบ่นหลานตัวเองเสร็จ ก็หันมาจัดการผมต่อ “เราก็อีกคน ประชดอะไรก็ให้เอาแค่พอดี อย่าทำตัวเหมือนเด็กมีปัญหา หลานฉันจะซวยไปด้วย”

ผมที่กำลังหย่อนขาลงเตียงถึงกับชะงักไปเลยกับคำพูดของน้าชายดีน และสายตาผมก็มองเลยไปที่ประตูห้องที่ยังคงเปิดกว้างค้างอยู่อย่างนั้น ตรงนั้นร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยยืนกอดอกมองมาที่ผมก่อนแล้ว

"เคลียร์กันได้ตามสบายนะครับ ผมขอตัวเอาไอ้หลานเวรนี้ไปเก็บก่อน” ว่าแล้วน้าภีมของดีนก็ลากตัวดีนออกไปทันที ดีนโวยวายหลายอย่าง ไม่รู้อะไรบ้างเพราะหูผมไม่ทำงานเสียแล้ว ที่กำลังทำงานหนักคือหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความกลัว ก็สิ่งที่ผมทำไม่ใช่เรื่องดีเลย ถึงจะทำไปเพราะจะประชดเขาก็เถอะ

ตอนคิดทำไม่ได้กลัวหรอก แต่พอมาเจอสายตาดุดันกึ่งเกรี้ยวกราดของคุณยะ ผมก็พ่ายแพ้ให้กับความกลัวที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย

เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ที่ดีนเดินกลับเข้ามานั่งข้างผมอีกครั้ง หลังจากเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่หน้าร้าน เจ้าตัวบอกว่าเห็นคุณยะมาที่นี่กับหมอภาม จำเหตุการณ์คืนนั้นได้ไหมที่ดีนพาผมมาที่ชั้นสามเป็นครั้งแรก ที่คุณยะมาเจอผมนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะคืนนั้นหมอภามมาหาเพื่อน ซึ่งก็คือเจ้าของผับหรือก็คือน้าชายของดีน (เรื่องนี้ดีนก็เพิ่งเล่าให้ผมฟังวันนี้เอง) หมอภามเห็นผม เลยโทรไปบอกคุณยะ

พอดีนบอกว่าเห็นคุณยะ ผมก็เลยเดาว่าคุณยะคงจะตามมาดูผมแน่ๆ เลยคิดแผนประชดเขา ทำให้เขาเห็นเหตุการณ์วันนั้นซ้ำอีกครั้ง อยากให้เขารู้สึกว่ากำลังจะเสียผมไปบ้าง

“บอกพ่อแม่ฉันหรือยังว่ามาที่นี่” ช่วงขายาวก้าวมาหยุดตรงหน้าผม เขาเริ่มต้นบทลงโทษด้วยการทำให้ผมรู้สึกผิด

“...” ผมไม่รู้จะหาคำพูดไหนไปตอบโต้เขา หรือแก้ต่างให้กับคำโกหกของตัวเอง ผมบอกคุณปู่คุณย่าว่าจะไปกินหมูกระทะกับเพื่อนๆ ฉลองสอบเสร็จ แล้วจะนอนค้างที่บ้านของปาลิน... ผมโกหกพวกท่านอีกแล้ว หลายครั้งแล้วที่ผมพูดโกหก จนเหมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติของผมไปเสียแล้ว

ผมรู้สึกผิด ยิ่งถูกเขามองหน้าด้วยสายตาผิดหวังแต่ร้อนแรงก็ยิ่งรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น 

“คราวนี้โกหกว่าอะไรอีกล่ะ” เขาก็ยังคงถามจี้ให้ผมรู้สึกผิด

“...”

“ประชดฉันแล้วได้อะไร” เสียงเขาอ่อนลง ขณะที่ผมกลับรู้สึกว่าทั้งคำถามและน้ำเสียงของเขาแสดงถึงความเบื่อหน่ายสิ่งที่ผมทำ

“...” ไม่เคยได้อะไรกลับมาเลย นอกจากความเจ็บช้ำของตัวเอง

“กินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นยา มันดีแล้วหรือไง” เขาก็ยังถาม กดดันให้ผมรู้สึกผิดไปเรื่อยๆ “ถ้าจะทำเพราะประชดฉัน ก็เลิกซะ เพราะคนที่เจ็บปวดคือเธอไม่ใช่ฉัน”

“...” นั่นสินะ ผมน่าจะฉลาดได้แล้ว สิ่งที่ผมทำเพื่อประชดเขา สุดท้ายก็มีแค่ผมนี่แหละที่เจ็บปวดไปกับมัน

“พี” ดวงตาสีดำที่เหมือนมีกองไฟย่อมๆ อยู่ในนั้นทอดมองผมเหมือนอยากจะจับผมเขย่าให้สาสมกับความเป็นเด็กไม่ดีขึ้นทุกวันของผม

“...” ผมยังเงียบเหมือนเดิม พลางเอาตัวเองออกมาจากมุมอับที่ถูกร่างสูงใหญ่บดบังไว้ ไม่มีอะไรต้องพูดกับเขา เพราะผมก็อยากให้เขาเห็นแค่นี้แหละ ว่าเขาทำให้เด็กคนหนึ่งใช้ชีวิตเหลวแหลกมากแค่ไหน

“พี...” เขาเรียกผม ตอนที่มือผมจับลูกบิดเปิดประตูและกำลังจะก้าวออกไป “ถ้าเธอยังไม่สำนึก ฉันก็คงต้องบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ฉัน”

“ห้ามบอก!” ผมหันกลับไปมองหน้าเขาทันที ท่ามกลางเสียงดนตรีจังหวะกระแทกกระทั้นจากด้านล่าง ดังเบาๆ แทรกเข้ามา “อย่ามายุ่งเรื่องของผม”

กี่ครั้งที่ผมพูดประโยคนี้ออกมา ความจริงกลับไม่เคยอยากให้เป็นอย่างที่ปากพูดเลย เพราะผมยังต้องการเขา อยากให้เขากลับเข้ามาอยู่ในชีวิตผม ในสายตาผม... ไม่อยากให้เขาทอดทิ้งผมไปไหน แต่ก็ไม่เคยมีอะไรที่เป็นดังใจผมสักอย่าง

“หึ...” เขาทำเสียงเยาะเย้ยในลำคอเบาๆ “พูดได้แล้วสินะ เมื่อกี้ยังเป็นใบ้อยู่เลย”

“เพราะผมไม่อยากพูดกับคุณไง”

“แน่ใจนะว่าไม่อยากคุยกับฉัน” เขาเดินมาใกล้ มือของเขาเอื้อมผ่านตัวผมไปด้านหลัง จากนั้นก็...

ปัง!

เขาดึงประตูปิดเสียงดังจนผมสะดุ้ง เผลอก้าวถอยหลังไปชนกับประตูห้อง โดยมีร่างสูงใหญ่ก้าวตามติดมา ก่อนที่มือข้างหนึ่งของเขาจะวางลงบนประตูเหนือศีรษะของผม

“ออกไปไกลๆ” ยกมือขึ้นผลักอกเขา แต่ก็เหมือนทุกครั้งที่ทำอะไรกำแพงหนาแบบเขาไม่ได้ มิหนำซ้ำร่างกายผมก็เต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ ที่เห็นว่าผมยืนประชดประชันอยู่เนี่ย ใช่ว่าผมจะปกตินะ ความแข็งแรงของร่างกายลดลงไปเกินครึ่งตั้งนานแล้ว

“รังเกียจฉัน ?”

“ใช่!” ...เกลียดที่เขาไม่เลือกผม

“แน่ใจ ?” ยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ผมยังไม่ทันขยับปากโต้กลับรอยยิ้มของเขา ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบจูบลงมาแบบไม่ให้ผมได้ตั้งตัวเลย

...ความอ่อนโยนที่คุ้นเคยทำผมสะท้าน

...รสชาติที่คุ้นเคยทำให้ผมลืมทุกอย่าง

ผมจูบกลับไปอย่างที่ใจโหยหา นานกี่วันหรือกี่เดือนแล้วนะที่ผมไม่ได้จูบกับเขา ไม่ถูกอุ้งมือร้อนผ่าวนี้ลูบไล้ไปทั่วร่างกาย

ผมอยากเข้าข้างตัวเองว่าเขาก็โหยหาผมเหมือนกัน เพราะเขาเอาแต่จูบผม จูบแบบไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากผมเป็นอิสระเลย แม้แต่เสียงโทรศัพท์ของเขาที่ดังขึ้นก็ไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกโหยหาของผมกับเขาได้

Rrrrrr...

มันดังแล้วก็ดับไป ไม่เหมือนเสียงจูบที่ดังก้องในความเงียบที่ความวุ่นวายภายนอกไม่สามารถย่างกายเข้ามาได้ มันดังยาวนานและไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดง่ายๆ เขาจูบผมเหมือนอยากให้ผมตายไปกับความหอมหวานที่หัวใจเรียกร้อง

Rrrrrr...

อีกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ของเขากรีดร้องขึ้นมา ราวกับว่าผมได้ยินเสียงกรีดร้องของเจ้าของสายเรียกเข้าแทรกตามออกมาด้วย แต่เขาก็ยังจูบผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมก็ตอบกลับเขาไปอย่างสุดความสามารถ

Rrrrrr...

มันดังขึ้นอีกแล้ว ครั้งนี้ความพยายามนั้นกำลังประสบความสำเร็จ เพียงแต่ผมจะไม่ยื่นมือไปขัดขวาง

“ห้ามรับ” ผมพูดเอาแต่ใจ ดึงโทรศัพท์ที่เจ้าของมันเพิ่งล้วงออกมาจากกระเป๋ามาไว้ในมือตัวเองอย่างถือวิสาสะ “ตอนนี้มันเป็นเวลาของผม”

“ไม่ใช่เวลาของเธอ” คำพูดของเขาไม่ต่างจากมือที่ผลักผมตกหน้าผา แล้วเขาก็ดึงเอาโทรศัพท์ออกจากมือผม ยกมันขึ้นแนบหู

“เมื่อกี้พี่เข้าห้องน้ำ” เขาแก้ตัวกับคนปลายสาย

“...”

“อย่าจับผิดพี่ให้มากได้ไหมเลม่อน พี่บอกว่าเลิกแล้วก็คือเลิก”

ใช่แล้ว... เขาเลิกกับผมแล้ว แต่เขาก็ยังจูบผม จูบที่ทำให้ผมมีความหวังขนาดมหึมา ก่อนจะแตกสลายเหลือเพียงฝุ่นพิษ

“พี่เคลียร์งานเสร็จก็จะกลับแล้วน่า”

“...”

“ไม่ต้องรอ”

“...”

“พี่ห่วงเธอนะ”

...อิจฉาที่สุด

ต้องตายแล้วเกิดใหม่ไหมกว่าผมจะได้รับในสิ่งที่พี่เลม่อนได้จากเขา

“รักตัวเองบ้าง”

...นั่นสินะ

ทำไมผมไม่รักตัวเองบ้าง

ผมควรเริ่มรักตัวเองด้วยการออกไปจากห้องนี้ ออกไปให้ไกลจากคนคนนี้ ก่อนที่ผมจะทนกับความจริงตรงหน้าไม่ได้ เมื่อคิดได้ผมก็เปิดประตูออกมาทันที

“จะไปไหน ?”

ผมเดินเกาะผนังไปจนใกล้จะถึงบันได เสียงเข้มๆ ของเขาก็ตั้งคำถามตามหลังมา

“ไปหาเพื่อน” เสียงของผมหงุดหงิดมาก มันมาจากความอิจฉาคนที่เขากำลังจะกลับไปหา... คนที่จะได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาทั้งคืน

“เธอต้องกลับบ้าน”

“ไม่!!”

ยังไม่ทันก้าวขาลงบันไดเลยด้วยซ้ำ ตัวก็ลอยขึ้นจากพื้นทันที

“ปล่อยผมลงนะ!!” ผมดิ้นเต็มแรงคนเมาที่ยังไงก็เอาชนะคนแข็งแรงอย่างเขาไม่ได้

“อย่าดิ้น เดี๋ยวก็ตกบันไดกันทั้งคู่” เขาก้มลงมาดุเสียงเข้มจัด ผมเลยเลิกดิ้นเพราะกลัวตกบันไดอย่างที่เขาขู่ไว้ ทางเดินลงบันไดก็ไม่ได้สว่างมากด้วย พลาดตกลงไปนี่ก็ไม่อยากนึกเลยว่าต้องเย็บหัวกี่เข็ม เผลอๆ จะต้องใส่เผือกเดินไม่ได้อีกไม่รู้กี่เดือน

...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ลึกๆ ผมก็ชอบให้เขาอุ้ม ชอบที่จะได้สัมผัสความอบอุ่นจากร่างกายของเขา จนเมื่อเขายัดผมเข้าไปนั่งมึนๆ ในรถของเขานั่นแหละ ความอบอุ่นที่อยากเอามาเป็นของผมคนเดียว โดยไม่ต้องแบ่งให้ใครก็จากออกไป

“เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่ง” ผมห้ามเขาที่กำลังหมุนพวงมาลัยรถออกไปจากลานจอด เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมปาลินไปเสียสนิท “เพื่อนผมยังอยู่ข้างใน ผมขอโทรตามเพื่อนก่อน” ผมต้องพาปาลินกลับบ้าน หรือไม่ก็ให้ปาลินเป็นฝ่ายไปนอนที่บ้านผมแทน (จากที่ตอนแรกผมจะไปนอนที่คอนโดฯ ใหม่ของปาลิน)

“ถ้าเพื่อนที่ชื่อปี” เขาหันมาพูดกับผม สายตาของเขาที่มองผม มันทำให้ผมรู้สึกผิดอีกแล้ว “ฉันให้ภามพากลับบ้านตั้งแต่ที่เธอฟัดกับเด็กนั่นแล้วล่ะ”

เขาจงใจเน้นตรงคำว่า ‘ฟัด’ เป็นพิเศษ

“ใช้คำว่า...เอา...ก็ได้นะครับ” มีหรือผมจะยอมแพ้ ปากอย่างผมก็สู้เท่าที่จะสู้ได้ แค่ได้เอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ผมก็พอใจแล้วล่ะ

“...” เขาขบกรามแน่นเลย ก่อนจะระบายความโกรธหรืออะไรก็แล้วแต่ลงบนปลายเท้าที่ทำให้ตัวรถทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วเกินปกติ

หึ... เขาแพ้ผม ผมชนะเขา

มันเป็นความรู้สึกที่โคตรจะมีความสุข หลังจากที่ผมแพ้เขาแทบจะทุกครั้งและเกือบทุกเรื่อง

“ถ้าคุณไม่เข้ามา ผมกับเขาก็คงเอากันไปหลายน้ำแล้ว” ฝีปากของผมนี่ใช่ย่อยนะครับ อารมณ์อยากประชดประชันทำให้ปากผมทำงานก่อนสมองด้วยซ้ำ

“ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้ใครมายุ่งกับของของฉัน”

“แล้วไง... เกี่ยวอะไรกับผม” ผมแกล้งถาม เห็นเขาโมโห ผมก็ยิ่งสะใจ “ของของคุณก็รอคุณอยู่บนเตียงไม่ใช่หรือไง อย่ามาสับสนแถวนี้”

“อย่ายั่วให้มากพี ความอดทนฉันไม่ได้มากอย่างที่เธอคิด”

“หึ” ผมเบ้ปากใส่คำพูดพวกนั้นทันที แต่ตัวคนพูดไม่เห็นหรอกเพราะตามองแต่ทางข้างหน้า “ผมก็เหมือนกัน”

“...”

“...”

เขาไม่พูด ผมก็ไม่พูด ต่างคนก็ต่างนั่งเงียบ ถ้าหยุดหายใจกันได้คงทำไปแล้ว จนกระทั่งผมเห็นว่ารถคันนี้กำลังมุ่งหน้าไปที่โรงแรมพุฒิธาดา ไม่ใช่บ้านตรัยธาดาที่ควรต้องเป็น

“ผมจะกลับบ้าน”

“กลัวพ่อกับแม่ฉันไม่รู้หรือไงว่าไปทำตัวเหลวไหลอะไรมา” ขู่ได้ตลอด

“คุณปู่คุณย่าหลับแล้ว” นี่ก็จะห้าทุ่มแล้ว ผมว่าท่านทั้งสองเข้านอนไปแล้วมั้ง

“หลับก็ตื่นได้ ถ้าฉันปลุก”

“ต้องการอะไร!”

“...” เขาแค่หันมามองหน้าผม แล้วหันกลับไปมองทางต่อ

“ผมจะกลับบ้าน” บอกความต้องการของตัวเองอีกครั้ง แต่เขาก็ยังขับรถตรงไปข้างหน้า ไปตามทางที่มุ่งสู่พุฒิธาดาด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ

“อยากให้ฉันปลุกพ่อกับแม่มาดูหลานรักทำตัวเหลวไหลตั้งแต่อายุเท่านี้หรือไง ทั้งที่พวกเขาดูแลเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่ต่างจากหลานในไส้”

“คุณจะย้ำเพื่ออะไร!!” ย้ำอยู่นั่นแหละว่าผมไม่ได้เป็นอะไรกับครอบครัวเขา

“เธอจะได้ทำตัวให้ดีขึ้นไง ทำอะไรก็นึกถึงนามสกุลฉันบ้าง โดนตำรวจจับขึ้นมาคนที่เสียชื่อเสียงก็คือครอบครัวของฉัน”

“ผมเลวลงก็เพราะคุณนั่นแหละ!!”

“เธอทำตัวเองพี ไม่ใช่ฉัน” เขามองหน้าผมได้นานขึ้นเพราะตอนนี้รถจอดติดไฟแดง “ฉันบอกให้เธอเลิกรักฉัน แต่ไม่ได้สั่งให้เธอไปดื่มเหล้า สูบบุหรี่... มั่วผู้ชาย”

คำพูดของเขาไม่ต่างจากมือที่ตบหน้าผมจนหัน และมันก็เจ็บลึกไปถึงหัวใจอ่อนแอของผมด้วย ผมได้แต่กัดฟันทนกับความเจ็บนั้น จนกระทั่งล้อรถหมุนและกำลังเลี้ยวเข้าสู่ตัวโรงแรมพุฒิธาดา ริมฝีปากผมถึงได้ขยับเป็นคำพูดออกมาได้

“คุณก็มั่วเหมือนกัน” เสียงของผมเบามากแต่ก็ดังพอที่จะทำให้เขาได้ยิน “นอนกับคนคนเดียว มันไม่พอหรือไง ถึงต้องเอาคนนู้นคนนี้มานอนด้วย” แม้กระทั่งห้องทำงานเขาก็ไม่เว้น

ตอนนี้มีข่าวว่าเขากำลังคบหากับลูกสาวคุณก้องกับคุณนฤมล หรือก็คือน้องนุชที่แม่ของหมอภามแนะนำให้รู้จักในงานเลี้ยงวันเกิดนั่นแหละ แล้วยังแว่วมาว่าคั่วอยู่กับดาราสาวดาวรุ่งคนหนึ่งด้วย มีรูปหลุดของคนทั้งคู่ที่นั่งติดกันในผับชั้นใต้ดินของพุฒิธาดาเป็นหลักฐานยืนยัน

ถ้าผมเป็นพี่เลม่อน ผมไม่ตามหึงหวงเด็กคนหนึ่งที่ถูกเขาทิ้งไปแล้วหรอก ผมจะตามวีนพวกผู้หญิงที่ล้อมหน้าล้อมหลังเขามากกว่า ผมแปลกใจจริงๆ ว่าทำไมพี่เลม่อนถึงไม่เดือดร้อนใจกับการที่เขามีผู้หญิงคนอื่นบ้างเลย

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“ฉันเลิกแล้ว” เขาบอกตอนที่รถวิ่งมาจอดหน้าโรงแรม ก่อนเปิดประตูลงไป ผมเลยต้องตามออกมาด้วย ก่อนที่พนักงานคนหนึ่งของโรงแรมจะเข้ามารับเอารถของเขาไปเก็บ

“เหอะ...ก็ยังเห็นมีข่าวอยู่นี่” ผมทำเสียงเยาะใส่เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ผมเดินตามเข้าไปในตัวโรงแรม พนักงานหลายคนยิ้มนอบน้อมและทำความเคารพเขาตลอดทางเดินไปจนถึงหน้าประตูลิฟต์ ส่วนผมก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเดินให้ตรง ไม่เป๋ซ้ายเป๋ขวาให้อายทั้งพนักงานและแขกของโรงแรม

“เธอจะเชื่อฉันหรือเชื่อข่าว” ประตูลิฟต์เปิดออก เขาก้าวเข้าไปอยู่ในห้องโดยสารสีเงินและทองแวววาวนั้น แต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม จนเขาต้องออกปากสั่งเสียงเข้มจัด “เข้ามา”

“ผมจะเปิดห้องที่โรงแรมนอน” ผมไม่อยากขึ้นไปเพ้นต์เฮ้าส์กับเขา เพราะผมกลัวตัวเองจะทนความเย้ายวนจากร่างกายของเขาไม่ไหว ผมรู้ตัวว่าหลงใหลไปกับความสัมพันธ์ทางร่างกาย ไม่ต่างจากที่หลงรักเจ้าของร่างสูงใหญ่นี้เลย

“อย่าดื้อ” ว่าแล้วเขาก็ยื่นแขนยาวๆ มาดึงตัวผมเข้าไปในนั้น ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเลื่อนปิดและเคลื่อนตัวสู่ชั้นที่เป็นจุดหมายปลายทางเดียว

“ปล่อยผมได้แล้ว” ผมบอกเขาที่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากตัวผม ตอนที่เขาดึงแขนผมเข้ามาในลิฟต์ สภาพผมที่กระดูกแขนกระดูกขาอ่อนไปหมดเพราะเหล้าที่ดื่มไปหลายแก้วทำให้เสียหลัก เซไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างง่ายดาย

เขายอมปล่อยแขนจากตัวผมแต่โดยดี แต่ก่อนปล่อยริมฝีปากของเขาก็กดลงมาเบาๆ ที่ศีรษะของผม

...การกระทำที่ทำให้ผมอ่อนแอได้เสมอ

“ผมเชื่อข่าว”

อาจจะตอบคำถามของเขาช้าไปมาก แต่ผมก็อยากตอบให้เขารู้สึกเสียบ้างว่า คำพูดของเขาไม่มีความน่าเชื่อถือเท่ากับสิ่งที่ผมเห็นจากข่าวบันเทิงตามเว็บฯ ข่าวออนไลน์ต่างๆ และจากคุณย่าที่เอ่ยถึงคุณนุชด้วยความชื่นชมบ่อยๆ ในระยะหลังนี้ เรียกว่าคุณนุชกำลังกลายเป็นว่าที่สะใภ้คนโตของบ้านตรัยธาดาไปเสียแล้ว ส่วนคนเก่าอย่างคุณแก้ว ตกกระป๋องไปนานแล้ว หลังจากที่เปลี่ยนใจขายรีสอร์ตให้กับผู้ชายคนนั้นไป... คนที่เป็นศัตรูกับคุณยะ คนที่ผมเข้าใจผิดว่าเขาใส่สูทมาเที่ยวนั่นแหละ

ผมรู้จากคุณปู่กับคุณย่า ท่านบอกว่าเขาคนนั้นเป็นลูกชายของคุณชลธี เจ้าของโรงแรมสยาม ชโยดม โรงแรมที่ก่อตั้งมาก่อนพุฒิธาดาเกือบสิบปีแน่ะ ผู้ก่อตั้งโรงแรมคือคุณชโยดม บิดาของคุณชลธีเจ้าของคนปัจจุบัน และอีกไม่นานก็คงจะวางมือและให้ลูกชายคนโตคือคุณชลัช (คนที่เป็นศัตรูกับคุณยะ) นั่งเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดแทนตัวเอง

ตริ๊ง...

เสียงเล็กๆ ดังขึ้น พร้อมกับประตูลิฟต์ที่เลื่อนออกจากกัน

“ก็แล้วแต่เธอ” เขาตอบ ก่อนจะก้าวขาออกไปจากห้องสี่เหลี่ยม แต่ก็ไม่ลืมที่จะดึงเอาตัวผมตามออกไปด้วย

นี่ถ้าเขาลืมนะ ผมก็กะว่าจะกดลิฟต์กลับลงไปข้างล่าง แล้วเปิดห้องของโรงแรมเป็นที่หลับนอนในคืนนี้แทนห้องในเพนต์เฮ้าส์ของเขา

“ปล่อยได้แล้ว ผมไม่ใช่เด็กนะถึงจะเดินเองไม่ได้” ผมดึงมือตัวเองกลับมา เขายอมปล่อยเพราะอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูห้องเพนต์เฮ้าส์แล้ว

“เธอก็แค่โตแต่ตัว” เขาว่าค่อนขอดผม ส่วนมือก็กดรหัสเปิดล็อกประตูห้องไปด้วย โดยที่ไม่ต้องใช้คีย์การ์ดเหมือนเมื่อก่อน

“ก็เรื่องของผม” ไม่จำเป็นต้องย้ำเลย ผมก็รู้หรอกว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน

...ขี้หึง ขี้หวง ใช้อารมณ์แบบเด็กๆ

“วันเกิดฉัน วันเกิดเธอ วันเกิดซันกับแซน”

“...?” ผมมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยิน ตอนนี้เขายืนอยู่ที่กรอบประตู เปิดประตูค้างไว้ให้ผมเดินผ่านเข้าไปข้างในห้องก่อนเขา

ผมเดินผ่านเขาเข้ามาข้างในห้องแล้ว ความสงสัยถึงได้รับคำตอบจากคนที่เดินตามเข้ามาหลังจากปิดประตูห้องเรียบร้อย ทำให้ดูเหมือนโลกทั้งใบมีแค่ผมกับเขา...แค่สองคน

มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าผมกับเขายังผูกพันกันด้วยข้อตกลงเดิม

“รหัสเปิดประตู”

“...” ผมหันกลับไปมองหน้าคนพูด มุมปากของเขาดูมีรอยยิ้มบางๆ ที่ขับให้ใบหน้าคมเข้มดูอ่อนโยนต่อจิตใจผมเหลือเกิน

“ไม่เห็นจำเป็นต้องบอก ไม่ได้อยากรู้” ผมรีบหันหน้าไปทางอื่นก่อนที่หัวจิตหัวใจจะตกลงไปในหลุมรักของเขาลึกไปกว่านี้ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็แทบไม่มีแสงจันทร์แสงตะวันส่องมาถึงแล้วนะ ขืนลึกไปกว่านี้ผมคงได้ขาดอากาศหายใจแน่ๆ

“ก็อย่าจำ” เสียงทุ้มหวานกระซิบอยู่ใกล้ผิวแก้มที่ร้อนจัด ผมเบี่ยงตัวหนีสัมผัสที่ใกล้ชิดจนเกินไปนั้น

“แล้วบอกทำไมล่ะ” บอกแบบนี้แล้วใครจะไม่จำ วิธีเดียวที่จะทำให้ผมจำไม่ได้คือเอาไม้ฟาดหัวผมให้สลบและตื่นขึ้นมาความจำเสื่อมนั่นแหละ

“แค่อยากบอก เผื่อเธออยากรู้ แต่ถึงเธอไม่อยากรู้ ฉันก็อยากจะบอก”

ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำเลย ว่าความรู้สึกของเขาที่มีให้ผมยังเหมือนเดิม เพียงแต่เขาไม่เลือกผม

“ไปบอกคนของคุณนู่น ไม่ต้องมาบอกผม” แต่ผมก็ปากหาเรื่องแบบนี้แหละ โดยเฉพาะเรื่องที่ทิ่มแทงหัวใจตัวเองตลอดเวลา

...ถ้าไม่มีพี่เลม่อน ความรักของผมคงจะสมหวังไปนานแล้ว

“บางเรื่องก็ไม่ต้องประชดหรือดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยว ห้องนี้มีแค่เธอกับฉัน ก็พูดเรื่องของเธอกับฉันก็พอ ไม่ต้องไปลากคนมาอยู่ด้วย”

“เหอะ...” คืนนี้ผมเบ้ปากใส่เขาเป็นรอบที่สามสี่ห้าแล้วมั้ง ถึงจะเป็นกิริยาที่ไม่น่ารักแต่ก็อดไม่ได้จริงๆ คำพูดของเขาแต่ละประโยคไม่เข้าท่าเลยสักอย่าง “พี่เลม่อนไม่น่าจะใช่คนอื่นสำหรับคุณนะ”

“ทุกคนเป็นคนอื่นสำหรับฉัน ยกเว้นครอบครัวฉัน...” เขามองหน้าผมตรงๆ ดวงตาที่ทอดมองผมให้ความรู้สึกว่าผมกำลังถูกโอบอุ้มเอาไว้ “...และเธอ”

...เขาเก่งเสมอเรื่องที่ทำให้ผมอ่อนแอซ้ำซาก จมลึกลงไปในหลุมรักของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ยอมให้ผมมีโอกาสได้ปีนขึ้นมาเลย มีแต่จะฝังผมลงไปให้ลึกที่สุด

ผมพยายามหักห้ามความรู้สึกมากมายที่บีบอัดอยู่ในอกและกำลังจะตีตื้นขึ้นมา ด้วยการกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่นที่สุด ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดพุ่งออกมา พลางเดินเลี่ยงไปยังทางเดินที่จะพาผมและจิตใจที่อ่อนแอของตัวเองหลบหนีไปจากสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจนี้

ไม่ไว้ใจตัวเองนี่แหละ!

กลัวตัวเองจะโผเข้าไปกอดเขา อ้อนวอนแบบเดิมๆ ที่จะทำให้ผมไปเจอจุดจบแบบเดิม แต่เขาก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมทำอย่างที่ตั้งใจได้ เพราะตอนที่ผมกำลังเอื้อมจับลูกบิดประตูห้องนอนของเด็กแฝดที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในห้องหรอก มือของเขาก็เอื้อมไปจับมันได้ก่อนผมแค่เสี้ยววินาทีเอง

มือผมชะงักและค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนถูกมือข้างที่จับลูกบิดไว้นั่นแหละย้อนมากุมมือผมเอาไว้ พร้อมกับถูกดึงตัวเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ของเขา เพียงแค่แผ่นหลังผมสัมผัสเข้ากับอกกว้างแสนอบอุ่นนั้น ความแข็งแรงที่เหลือน้อยนิดก็พังทลายลงทันที ซากของมันก็แทบแหลกละเอียด

“คิดถึง” เขาก้มลงมากระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู ริมฝีปากกดลงบนแก้มบอกย้ำความหมายของคำที่เอ่ยออกมา

“...ฮึก” น้ำตาผมร่วงจากตาทันที ความอ่อนแอผลักให้ผมต้องหันกลับไปโอบกอดเขาตอบ ฝากใบหน้านองน้ำตาไว้ในอกของเขา

ผมบอกแล้วว่าเขาเก่ง

...ให้ความหวังเก่ง

...ทำลายก็เก่ง

แค่คำพูดเขาไม่กี่คำ แค่เขาทำให้ผมรู้สึกพิเศษขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ผมก็พร้อมจะกลับไปเป็นเด็กดีของเขา กลับไปเป็นคนว่านอนสอนง่าย ราวกับว่าก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ชวนเขาทะเลาะแทบทุกคำ ประชดประชันเขาด้วยความงี่เง่าแบบเด็กๆ มาตลอดทั้งทาง

“คิดถึงฉันไหม” ริมฝีปากอุ่นจัดจูบซับลงมาที่กลุ่มผมของผมซ้ำๆ และผมเชื่อว่าเขาได้คำตอบก่อนที่ผมจะเอ่ยออกมาซะอีก

“ฮึก...คิดถึงมากที่สุดเลยครับ” ผมยอมรับด้วยน้ำตา ไม่เหลือกำลังจะที่ฝืนความรู้สึกของตัวเองได้อีก “น้องพีรักคุณยะ...”

เมื่อรัก... ผมก็จะบอกว่ารัก

แต่เมื่อไม่รัก... มันก็คงไม่มีวันนั้นที่ผมไม่รักเขา

ผมเชื่อว่าผมเกิดมาเพื่อรักเขา ต่อให้ผมเจอใครอีกมากมาย ผมก็ยังมั่นใจว่าคนที่ผมจะรักอย่างสุดหัวใจได้ก็มีแค่เขาคนเดียว

เขาที่กำลังบอกผมว่า...

“ฉันรักเธอไม่ได้”

“แต่คุณยะก็รักผม” ผมแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง ทั้งน้ำเสียงของเขา อ้อมกอดของเขา และความรู้สึกของผมบอกเช่นนั้น “คุณยะรักผม แต่ทำไมต้องเลือกพี่เลม่อน ทำไมต้องทำร้ายหัวใจตัวเอง ทำร้ายหัวใจผมด้วย” ผมเงยหน้าขึ้นจากอกกว้าง มองใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความอึดอัด ดวงตาสีราตรีของเขาหม่นแสงลง 

“เธอจะเกลียดฉันไหม ถ้าฉันจะบอก...”

“ผมไม่เกลียด น้องพีไม่เกลียดคุณยะ” ผมชิงพูดก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ไม่รู้ว่าคำพูดที่เหลือของเขาจะเป็นไปในแง่ไหน ดีหรือร้าย ผมก็อยากจะบอกเขาว่าผมไม่มีวันที่จะเกลียดคนที่ตัวเองรักหมดหัวใจหรอก

“ฟังฉันให้จบก่อน แล้วค่อยตอบก็ได้” เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ มืออุ่นช่วยเช็ดน้ำตาบนแก้มผมไปด้วย

“ก็ผมอยากตอบเลยไง” อยากทำให้เขาสบายใจด้วยว่า ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะไม่เกลียดเขา

“ไปนั่งก่อน” เขาพาผมกลับไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เช็ดน้ำตาให้ผมจนหมดจากใบหน้า เขาถึงเริ่มพูด “ฉันไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ดีนักหรอกนะ”

“น้องพีรู้” สิ่งที่เขาทำกับผมมาตลอด บอกความจริงข้อนี้มาแล้ว เพียงแต่ผมก็ไม่ได้ชอบเขาที่ดีพร้อม ผมรักเขาที่เป็นคุณยะคนที่ผมเฝ้ามองมาตลอด ตั้งแต่เห็นหน้าเขาผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของอานุ

“เธอจะไม่แก้ต่างให้ฉันหน่อยเหรอ” เขาถามยิ้มๆ ดูผ่อนคลายขึ้น

“ไม่” ผมส่ายหน้า เขายิ้มกว้างขึ้น ก่อนยิ้มนั้นจะหุบลง เมื่อเขาเริ่มต้นพูดสิ่งที่หยุดค้างไปก่อนหน้านี้

“ฉัน...” หน้าเขาซีดลง มองหน้าผมเงียบๆ ก่อนเอ่ยความจริงที่เขาเก็บไว้เป็นความลับกับผม แม้แต่คุณปู่คุณย่าก็คงไม่รู้ “ฉันต้องรับผิดชอบเลม่อน เพราะฉันเคย...ข่มขืนเขา”

“...” ผมอึ้งไปกับสิ่งที่เขาสารภาพออกมา ได้แต่มองหน้าเขาค้างอยู่แบบนั้น มันเกินกว่าที่ผมจะคิดไปถึง หรือว่าผมไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้เลย ผมคิดแต่ว่าความสัมพันธ์ของคุณยะกับพี่เลม่อนคือความพอใจของทั้งสองฝ่าย

พี่เลม่อนเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าสวยหวาน เป็นเด็กวัยรุ่นที่มีเสน่ห์แบบที่ใครเห็นก็ต้องชอบ มีแฟนคลับตั้งแต่ยังไม่เป็นนักแสดงด้วยซ้ำ

ส่วนคุณยะ เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ฐานะดี ตระกูลดี เป็นถึงเจ้าของโรงแรมกลางเมือง มีคนหน้าตาดีรายล้อมอยู่รอบตัว และถ้าพี่เลม่อนเป็นหนึ่งในคนจำนวนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด

เพียงแต่คำว่า ‘ข่มขืน’ จะไม่หมายถึง การไม่เต็มใจ ไม่สมยอม และตามมาด้วยการใช้กำลัง

“ทำไมคุณยะถึงทำแบบนั้น” ผมกลั้นใจถาม “รักพี่เลม่อนมากหรือครับ เลยต้องใช้กำลัง” ยอมรับว่าผมรับไม่ได้กับสิ่งที่เขาสารภาพ แต่จะให้ผมเกลียดเขา ผมก็เกลียดไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่เพราะไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง แต่เพราะ...ผมรักเขา

“เปล่า” เขาส่ายหน้า “ฉันบอกเธอไปแล้ว ว่าฉันรักเธอ”

“แล้วทำไม...”

“คืนนั้นฉันเมามาก ตื่นมาตอนเช้าก็เจอเลม่อนนอนตัวเปล่าอยู่ลนเตียงกับฉัน”

“คุณยะอาจจะไม่ได้ข่มขืน” ผมพยายามคิดในแง่ดี “บางทีอาจจะแค่นอนเฉยๆ”

“ถ้าแค่นั้นจริงๆ ทำไมฉันจะไม่รู้” เขายิ้มจางๆ ให้กับความคิดโลกสวยของผม “ฉันอยากสารภาพอีกเรื่อง...”

“...” เรื่องอะไรอีก มันจะเลวร้ายกว่าเรื่องแรกหรือเปล่า ผมรอคอยด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ หวาดกลัวว่าจะร้ายแรงจนทำให้ผมเกลียดเขา

“คืนนั้นฉันเมามากและคิดว่าเลม่อนคือ...” ใบหน้าของเขาหมดรอยยิ้ม “...เธอ”

“...” ทำเอาผมอึ้งอีกแล้ว ความเมาทำให้เขาคิดว่าพี่เลม่อนเป็นผมอย่างนั้นเหรอ แล้วผมควรรู้สึกอย่างไรดี เพราะผมอย่างนั้นเหรอที่ทำให้พี่เลม่อนถูกเขาข่มขืน

“เกลียดฉันไหม”

“...” ผมหาเสียงตัวเองไม่เจอ ได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ฉันทำแบบนั้นกับเลม่อน” เขาพูดออกมาช้าๆ ครั้งนี้เขาไม่กล้าสบตาผม ใบหน้าของเขาซุกอยู่ในอุ้งมือ “...ทั้งที่เขาอายุยังไม่ถึงสิบห้า”

“...” นับย้อนไปก็เป็นเวลาหกปีใช่ไหม ไม่น่าล่ะคืนนั้นที่หน้าบ้านหมอภาม พี่เลม่อนถึงพูดเป็นเชิงขู่คุณยะเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหกปีก่อน

“พี่เลม่อนขู่ให้คุณยะรับผิดชอบเหรอครับ” มันก็น่าจะเป็นแบบที่ผมคิด แต่ผมก็คิดผิด เมื่อคุณยะตอบกลับมาว่า

“ฉันเต็มใจรับผิดชอบ” เขาลดมือลงจากใบหน้าลง แล้วหันมาสบตาผมเหมือนเดิม ผมเห็นดวงตาเขาแดงก่ำ เพียงแต่ไม่มีน้ำตาออกมา “ถ้าเธอเห็นสภาพเลม่อนวันนั้น เธอจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงต้องรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้”

“แต่คุณยะจะรับผิดชอบพี่เลม่อนเพราะเรื่องนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้นะครับ” ผมอยากเห็นแก่ตัว อยากให้เขาเลิกรู้สึกผิดกับสิ่งที่กลับไปแก้ไขไม่ได้ ความสงสารไม่ใช่ความรัก และผมไม่อยากให้คุณยะอยู่กับความสงสารไปตลอดชีวิต แล้วทิ้งผมไว้กับความไม่สมหวัง

“มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้”

“แล้วมันเรื่องอะไรอีกครับ คุณยะก็บอกผมมาสิ” ผมอยากรู้ และถ้าผมเห็นช่องทางที่จะทำให้เขาเลิกรับผิดชอบชีวิตพี่เลม่อนได้ ผมก็จะทำ... เพราะผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่อยากเสียคุณยะให้ใครทั้งนั้น

“เลม่อนไม่เหลือใครแล้ว เขามีแค่ฉันคนเดียว”

“แต่เขายังมีครอบครัวของอานี่ครับ” เท่าที่ผมพอรู้เกี่ยวกับประวัติอดีตคนดังของโรงเรียน คือพ่อแม่และพี่ชายของพี่เลม่อนเสียหมดแล้ว คนที่ดูแลพี่เลม่อนคือน้องชายของพ่อ ที่เป็นถึงเจ้าของธุรกิจประกันชีวิต รวยตั้งไม่รู้เท่าไร แค่หลานคนเดียวเลี้ยงดูให้สุขสบายได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลยสักนิดที่คุณยะจะต้องมาคอยดูแล

“ตอนนี้เลม่อนอยู่ในความดูแลของฉัน ครอบครัวนั้นไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวหลายปีแล้ว”

“คุณยะก็ไม่ต้องดูแลสิครับ” ความเห็นแก่ตัวทำให้ผมเริ่มหงุดหงิด “พี่เลม่อนก็โตแล้ว เขาดูแลตัวเองได้ คุณยะจะห่วงอะไรเยอะแยะ”

“ต่อให้เขาโตแค่ไหน เขาก็ต้องมีฉันคอยดูแลปกป้อง เพราะฉันรับปากพี่ชายของเลม่อนไว้แล้ว เธออาจยังไม่รู้ว่าฉันกับพี่ของเลม่อนเป็นเพื่อนรักกัน” ผมไม่เคยรู้จริงๆ นั่นแหละ “คำสัญญาที่ฉันให้ไว้กับเพื่อน ยังไงฉันก็ต้องรักษามันไว้ให้ได้”

ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เลม่อนถึงบอกว่าตัวเองรู้จักคุณยะก่อนผม เพราะคุณยะเป็นพี่ชายของพี่เลม่อน อาจจะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้พี่เลม่อนรู้จักคุณยะก่อนผม

“แล้วผมล่ะ”

“เธอก็อยู่กับฉัน อยู่กับครอบครัวฉันตลอดไป” เขายิ้มจางๆ แต่ผมไม่ได้ต้องการรอยยิ้มที่บีบบังคับให้ผมต้องยอมเสียเขาไป ทั้งที่เราสองคนรักกัน

“แต่ผมไม่ต้องการแบบนี้” ผมมองตาเขาอย่างร้องขอ “คุณยะดูแลพี่เลม่อนเหมือนพี่ชายก็ได้”

“มันไม่ได้พี เขาไม่ยอม”

“ไม่ยอมก็ช่างเขาสิ ทำไมคุณยะต้องยอมเขาตลอดด้วย” เสียงผมขุ่นเพราะอารมณ์ที่กรุ่นขึ้น

“ที่ฉันยอมเพราะฉันทำผิดกับเขา” ผมรู้ว่าสิ่งที่คุณยะทำกับเด็กที่อายุไม่ถึงสิบห้า มันโหดร้าย แต่มันสมควรแล้วเหรอที่ต้องใช้ความสุขทั้งชีวิตเพื่อรับผิดชอบ

นักโทษยังได้รับการอภัยโทษเลย ทำไมคุณยะจะได้รับการให้อภัยไม่ได้

“แต่มันนานมาแล้วนะครับ แล้วคุณยะก็รับผิดชอบมาพอแล้ว” ผมชี้ให้เขาเห็น ว่าเขาควรปลดปล่อยตัวเองจากความผิดนี้เสียที ผมยอมให้เขาดูแลพี่เลม่อนเหมือนน้องชายก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบทุกวันนี้ ที่พี่เลม่อนเอาแต่ป่าวประกาศว่าคุณยะเป็นของตัวเอง ทั้งที่คุณยะไม่ใช่ของพี่เลม่อน

...คุณยะเป็นของผมต่างหาก!

“ฉันมีสัญญาที่ต้องรักษา” เสียงเขาอ่อนลง มองตาผมเหมือนอยากจะให้ผมเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เขาเลือกทำ

“ผมต้องยอมใช่ไหม” ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ไม่ว่าผมจะพยายามขอร้องเขาแค่ไหนก็สูญเปล่า

“ฉันขอโทษ”

“ถ้าผมไม่ยกโทษให้ล่ะ”

“...”

“ถ้าผมให้คุณยะเลือกล่ะ คุณยะจะเลือกผมหรือพี่เลม่อน”

“ฉันเลือกเธอมาตลอดนะพี เพียงแต่...” เขาถอนหายใจเบาๆ เหมือนจนด้วยทางออกที่ดีกว่านี้ “ฉันปล่อยเลม่อนไปไม่ได้”

“แต่ทิ้งผมได้” ความจริงที่เจ็บปวด

“...”

“ผมยอมก็ได้ จะไม่เรียกร้องอะไรอีกแล้ว” ผมตัดสินใจในที่สุด จำใจยอมรับ เพราะเหนื่อยที่จะต่อสู้กับการตัดสินใจของเขา “งั้นผมไปนอนนะครับ”  ว่าแล้วผมก็ลุกเดินกลับไปยังจุดหมายเดิมคือห้องนอนของสองแฝด

“พี” ร่างสูงใหญ่เดินตามมากอดผมจากด้านหลัง ตัวผมจมลงไปในอกเขา ริมฝีปากคลอเคลียบนผิวแก้ม กับเสียงแหบพร่า “...ฉันไม่อยากเสียเธอไป”

ผมสัมผัสถึงแรงสั่นน้อยๆ จากร่างกายที่โอบกอดผม

“ผมก็เหมือนกันครับ” ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่รู้สึก “ไม่อยากเสียคุณยะให้ใคร แต่คุณยะเลือกที่จะไปจากผมทุกครั้ง”

“แล้วถ้าฉันขอเธอล่ะ” เขากอดผมแน่นขึ้น “กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม”

“แบบไหนครับ”

“อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”

“แบบที่ไม่ให้พี่เลม่อนรู้อย่างนั้นหรือครับ”

ถ้าใช่... ผมก็ควรปฏิเสธ

“ใช่”

และผมก็ควรปฏิเสธ แต่ผมก็ยัง...

“แล้วคุณยะจะทิ้งผมอีกไหม”

แค่เขากอดผม ความเข้มแข็งของผมก็พังยับเยิน

“ฉันไม่รู้” เขาคลายวงแขนลง จับตัวผมหมุนกลับมาสบตากัน ผมเห็นแต่ความไม่มั่นใจในดวงตาที่อยู่ตรงหน้า “แต่ฉันไม่อยากให้เราเลิกกัน”

“ผมก็ไม่อยากเลิก” ไม่อยากให้ผมกับเขากลายเป็นคนอื่น ทั้งที่ยังรักกัน

เขารักผมมากแค่ไหน ผมไม่มีทางรู้หรอก แต่ผมรู้ว่าตัวเองรักเขามากขนาดไหน มันมากจริงๆ นะ มากจนผมคิดว่าเด็กอายุแค่สิบหกจะสามารถรักคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้เชียวเหรอ แต่ความรู้สึกของผมก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว

แค่เขาดีกับผม แค่เขาขอเริ่มต้นใหม่ ผมก็ยินยอมที่จะกลับไปเดินเส้นทางเดิม ที่ต้องเจอจุดจบแบบเดิมซ้ำซาก เจ็บปวดเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม เพราะถ้าผมรักเขามากขึ้น ผมก็ต้องเจ็บปวดมากขึ้นด้วยเช่นกัน

“มาเริ่มกันใหม่นะ” ครั้งนี้คำพูดของเขามาพร้อมริมฝีปากอุ่นจัดที่ทาบลงมาอย่างนุ่มนวล จูบอ่อนโยนของเขาทำให้ผมหมดทางหนีไปจากความโง่เขลานี้

“ครับ” ผมรู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือความเจ็บปวด ผมก็ยังเลือกอย่างเต็มใจ

“ฉันรักเธอ”

“ผมก็รักคุณยะ”

...รักมากที่สุด

หัวใจของผม ไม่เคย...ไม่รักเขา

จบตอนที่ 27
(สัก 5 ทุ่มจะมาลงตอนที่ 28-29 ค่ะ ตอนนี้ขอไปรีไรท์อีกนิดก่อนนะคะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2019 00:47:31 โดย i_ang »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อยากจะตีคุณยะแรงๆ คนสร้างเรื่องนี่เอง ไม่ใช่เลม่อนเลย

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 28

หลังจากคืนที่คุณยะบอกเหตุผลที่ทำให้เขาทิ้งพี่เลม่อนไปไหนไม่ได้ ต้องดูแลไปตลอดชีวิต ถึงผมจะมองว่ามันไม่ยุติธรรมกับความรักของผมเลย ผมก็กลายเป็นคนในเงา กลับไปใช้ความสัมพันธ์แบบเดิมที่ตัวเองเคยยื่นข้อเสนอให้คุณยะมาครั้งหนึ่ง มาตอนนี้เป็นคุณยะบ้างที่ยื่นมันคืนมาให้ผม เพียงแต่หนนี้ต่างไปจากครั้งที่แล้ว คุณยะไม่ได้มีเวลาให้ผมมากนัก เรียกว่าน้อยนิดเสียด้วยซ้ำ สัปดาห์หนึ่งผมได้นอนกอดเขาแค่วันเดียว บางสัปดาห์ก็ไม่ได้กอดเลย


แต่ยังดีที่เขากลับมากินข้าวเย็นที่บ้านบ่อยขึ้น บางวันที่เขาหอบเอาเด็กแฝดไปนอนที่โรงแรมกับเขา ผมก็ยิ้มขึ้นมาได้บ้างว่าเขาไม่ได้ไปอยู่กับพี่เลม่อน ที่ผมมั่นใจเพราะผมแอบหลอกถามเด็กทั้งสองคนมาแล้ว ว่าตอนไปนอนกับคนเป็นพ่อ คุณยะพาใครมานอนด้วยไหม ทั้งสองบอกว่าไม่มีใคร พ่อยะของตัวเองเอาแต่นั่งทำงาน ทำงานเสร็จก็มานอนกับพวกตน

ผมเคยถามเขาว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะมีที่สิ้นสุดไหม แทนที่เขาจะตอบ เขากลับย้อนถามผมกลับมาว่า...

‘ความสุขของเธออยู่ตรงไหน ?’

เขาเป็นแบบนี้ประจำ ไม่ชอบตอบคำถาม แต่ใช้คำถามแทนคำตอบ

‘... แต่สำหรับฉัน ความสุขของฉันคือการที่เธอไม่โกรธหรือเกลียดฉัน ไม่ทำร้ายตัวเองเพื่อประชดฉัน ได้เห็นเธอยิ้มให้ฉันทุกครั้งที่เจอหน้ากัน และรู้ว่าเธอรักฉัน เท่านี้ฉันก็มีความสุขมากแล้วนะพี’

พอเขาพูดมาแบบนี้ คำถามของผมก็ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ และผมก็เลิกที่จะถามมันกับเขา เพราะความสุขของผมก็ไม่ต่างจากเขานักหรอก แค่รู้ว่าเขารักผม ผมก็มีความสุขมากแล้ว แม้ความทุกข์ใจของผมที่ต้องแบ่งเขาให้พี่เลม่อนจะกองสูงเท่าภูเขาก็ตาม

‘แบบนี้ดีแล้ว ไม่ต้องมีจุดจบ แค่รู้ว่าฉันมีเธอ เธอมีฉัน’

เฮ้อ... ก็ผมจะทำอะไรได้มากไปกว่าอยู่ในที่ที่คุณยะให้ผมอยู่ล่ะ เพราะตรงนี้คือที่ที่เดียวที่ผมจะได้อยู่กับเขา ผมก็ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าเราสองคนรักกัน และคุณยะไม่ได้รักพี่เลม่อน สิ่งที่พี่เลม่อนได้จากคุณยะก็แค่ความรับผิดชอบและคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายของพี่เลม่อน ผมต้องดีใจสิว่าผมได้ความรักของคุณยะ ได้ในสิ่งที่พี่เลม่อนไม่มีวันจะได้

คุณยะรักผม

คุณยะไม่ได้รักพี่เลม่อน

ผมก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งความอดทนของพี่เลม่อนจะหมดลง วันที่เจ้าตัวยอมแพ้ให้กับ ‘ความไม่รัก’ ของคุณยะ ผมเชื่อว่าการอยู่กับคนที่เขาไม่ได้รักเรา มันไม่มีความสุขหรอก ส่วนผมเองก็ต้องอดทนให้มากขึ้นทุกวัน เพื่อรอวันที่พี่เลม่อนยอมแพ้และเดินออกไปจากชีวิตของคุณยะเอง

พูดถึงพี่เลม่อน ช่วงสองสามเดือนมานี่เขากลับมาก่อกวนผมทางไลน์อีกครั้ง และตอนนี้ก็ส่งข้อความมาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านๆ มา ทุกครั้งพี่เลม่อนจะส่งรูปของเขากับคุณยะมาเยาะเย้ยผม หรือไม่ก็ถามว่าคุณยะอยู่กับผมหรือเปล่า ทุกครั้งที่เขาถามหาคุณยะ นั่นคือตอนที่คุณยะอยู่กับผมจริงๆ

LemoN : อยากเจอกันหน่อยไหม ?

...ไม่เคยอยากเจอสักนิดเลย และผมกำลังจะพิมพ์สิ่งที่คิดลงไปและส่งให้อีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันได้พิมพ์แม้แต่อักษรตัวเดียว ข้อความที่สองของพี่เลม่อนก็ส่งตามมาอย่างรวดเร็ว

LemoN : เผื่อกูเห็นหน้ามึงแล้วนึกสงสารขึ้นมา จะได้สงเคราะห์บอกว่าพ่อของมึงเป็นใคร

P.Phirach : พี่รู้จักพ่อผม ?

...ผมพิมพ์ถามกลับไปอย่างไม่เชื่อเท่าไร

LemoN : ไม่

LemoN : แต่กูรู้ว่าพ่อมึงเป็นใคร

LemoN : พรุ่งนี้ออกมาเจอกูสิ

LemoN : มึงได้รู้แน่ว่าพ่อมึงเป็นใคร

P.Phirach : ผมจะเชื่อพี่ได้ยังไงว่าเขาเป็นพ่อผมจริงๆ

LemoN : แล้วแต่มึง กูไม่ได้ขอร้องให้มึงเชื่อ

LemoN : ตกลงมึงจะมาไหม ?

...ผมควรจะไปไหม ?

ถึงผมอยากจะรู้ว่าพ่อกับแม่ของตัวเองเป็นใคร แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าไม่พร้อมจะรับรู้ว่าคนทั้งคู่ที่ทิ้งผมไปเป็นใคร ทว่าผมก็แพ้ให้กับความอยากรู้

P.Phirach : เจอกันที่ไหนครับ

LemoN : บ่ายสอง ร้าน coffee – day โรงแรมสยาม ชโยดม

LemoN : และถ้ามึงจะฉลาดสักนิด ก็อย่าให้พี่ยะรู้

LemoN : ไม่อย่างนั้นชาตินี้ทั้งชาติ มึงก็ไม่มีทางรู้ว่าพ่อมึงเป็นใคร

P.Phirach : แล้วแม่ผมล่ะ พี่รู้ไหม

LemoN : เฮอะ มีอะไรที่คนอย่างกูไม่รู้

LemoN : เผื่อมึงจะโง่ลืมว่ากูคือเมียพี่ยะ

LemoN : ผัวเมียกันก็ต้องรู้ทุกเรื่องของกันและกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ?

...หึ คิดว่าผมจะเจ็บปวดกับคำโกหกสินะ ไม่หรอก ผมรู้ความจริงระหว่างเขากับคุณยะหมดแล้ว

LemoN : แต่กูว่ามึงรอถามพ่อมึงดีกว่ามั้ง

... อย่าว่าแต่จะรอถามผู้ชายที่มีฐานะเป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผมครึ่งหนึ่งเลย แค่จะกล้าไปตามหาเขา ก็ยังไม่รู้เลยว่าผมจะกล้าหรือเปล่า

“เลม่อนเหรอ ?” คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำและมีเพียงกางเกงผ้าขายาวตัวเดียวบนร่างกายแข็งแรงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจเท่าไร

“ไม่ใช่ครับ” ผมส่ายหน้า รีบปิดหน้าจอแชตทันที กลัวเขาจะเห็นข้อความที่ผมคุยกับพี่เลม่อน

“แล้วคุยกับใคร ?” บอกแล้วจะมีใครเชื่อไหมว่า ผู้ชายตัวใหญ่ที่กำลังดึงตัวผมเข้าไปกอด จูบแก้มจูบปากผมอยู่เนี่ยทำตัวยังกับแฟนสาวที่นั่งเช็กโทรศัพท์แฟนหนุ่ม ถ้าเห็นผมคุยโทรศัพท์หรือคุยไลน์ เขาก็จะถามตลอดว่าเป็นใคร แบบในตอนนี้นี่แหละ

“ปีครับ” แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ส่งโทรศัพท์ให้เขาดูแบบทุกที ตอบเสร็จผมก็ผละออกจากตัวเขา แกล้งทำเหมือนว่าจะไปชาร์จแบตมือถือที่โต๊ะเขียนหนังสือ ตอนที่หันหลังให้เขาผมก็ลบข้อความที่คุยกับพี่เลม่อนวันนี้ทิ้ง

ลบเสร็จก็เสียบสายชาร์จโทรศัพท์ไว้แล้วกลับมาหาเขา มาอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ผมรัก

“พรุ่งนี้ฉันจะไปดูโรงแรมที่พัทยา ไปด้วยไหม” เขานอนกอดผมไว้หลวมๆ

“พรุ่งนี้ผมมีนัดไปดูหนังกับปีครับ” ผมคิดคำโกหกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถึงอยากจะไปกับเขา เพื่อผมจะได้อยู่กับเขาพรุ่งนี้อีกวันหนึ่ง แต่ทำไงได้ผมนัดกับพี่เลม่อนไว้แล้ว

“แล้วคืนนี้ฉันจะ...” เขาพูดออกมาไม่หมด แต่คำที่เหลือก็ใช้มือที่ลูบบนสะโพกของผมพูดแทน

“ผมมีนัดตอนบ่าย” บอกตามตรงเลยว่าผมก็อยากมีอะไรกับเขานะ ต่อให้พรุ่งนี้ต้องไปหาพี่เลม่อนในสภาพไม่ปกติก็เถอะ เพราะผมกับเขา เราไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ากันมาไม่รู้กี่เดือนแล้ว ก็ตั้งแต่ที่ผมกับเขาเลิกกันคราวก่อน

คืนแรกที่เรากลับมาคืนดีกัน คืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมกับคุณยะแค่นอนกอดกัน อาจเป็นเพราะเราต่างก็ยังอยู่ในอารมณ์ที่หนักกันทั้งสองฝ่าย เลยไม่มีอารมณ์ทำเรื่องอย่างว่า ส่วนคืนอื่นๆ หลังจากนั้นก็เหมือนจะได้นอนกันแบบลึกซึ้งนะ ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะเสียทุกครั้งเพราะเจ้าตัวพุงกลม ที่ขยันมาเคาะประตูราวกับรู้เวลาที่ควรต้องมา

แต่ตอนที่ชุดนอนของผมกำลังจะถูกถอดและโยนทิ้งไปข้างเตียง เสียงประตูก็ดังขึ้นหยุด มันหยุดการกระทำของคุณยะลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับเจ้าตัวพุงกลมที่วิ่งถือหมอนน้ำตานองหน้าเข้ามายืนข้างเตียง ผมรีบดึงเสื้อที่ร่นไปกองอยู่ที่อกลงแทบไม่ทัน ส่วนคุณยะก็ลุกลงจากเตียงไปอุ้มลูกชายตัวน้อยขึ้นมานั่งบนตักของตัวเอง

“ทำไมคุณยะไม่ล็อกห้อง” ผมกระซิบถามเสียงเข้มแต่ดังเบา ไม่ได้โกรธหรือโมโหที่ทานตะวันโผล่พรวดเข้ามาแบบนี้หรอก กลัวแต่ว่าถ้าแฝดพี่เข้ามาช้ากว่านี้อาจจะเจอสิ่งที่ไม่ควรเห็นก็ได้

“ฉันลืม” เขาส่งสายตาขอโทษมาให้ผม ก่อนจะก้มหน้าลงไปหาลูกชายคนโตที่เอาแต่นั่งสะอึกสะอื้น “คราวนี้เป็นอะไรอีกเจ้าตัวยุ่ง”

ทั้งคุณยะและผมไม่ตกใจเลยที่เห็นทานตะวันร้องไห้น้ำตานองหน้า เพราะเห็นจนชิน และรู้ว่าที่เจ้าตัวร้องไห้ไม่ใช่เจ็บปวดตรงไหนหรอก แต่เป็นเพราะน้องชายฝาแฝดไม่ตามใจ เลยต้องหอบเอาน้ำตามาฟ้องคนเป็นพ่อเช่นทุกครั้ง

“ฮึก...ก็...ฮึก...แซนไม่ให้ซัน...ฮึก...มาหาพ่อยะกับพี่พี...ฮึก...” ร้องไห้ขี้มูกโป่งเลย “แล้วก็ขู่...ฮึก...ขู่ซันว่า...ฮึก...ถ้ามาจะโกรธ...ฮื่อออ...” เจ้าตัวบอกพลางร้องไห้ไปพลาง สะอื้นตัวโยนจนน่าขำปนน่าเอ็นดู

“พอแล้วๆ ไม่ร้องแล้วนะเจ้าตัวยุ่ง ร้องเยอะแล้วป่วย พรุ่งนี้จะไม่ได้กินขนมไอติมนะรู้ไหม” คนเป็นพ่อย่อมรู้วิธีรับมือกับคนเป็นลูก แค่เอาเรื่องกินมาขู่ มือเล็กๆ ก็ปาดน้ำตาทิ้งทันที เสียงสะอื้นแบบหนักหน่วงเมื่อครู่ก็เบาลงแทบจะทันที

“...ซันไม่...ร้องแล้วครับพ่อยะ”

“นอนกอดพี่พีก่อนนะ เดี๋ยวพ่อมา” ว่าแล้วก็ยกเจ้าตัวเล็กมาให้ผม ก่อนลุกลงจากเตียง เดินออกจากห้องไป

“ตะกี้พี่พีกับพ่อยะทำอะไรกันครับ” ว่าแล้วเชียวเห็นจนได้ ยังดีนะที่ผมกับคุณยะยังไม่ไปไกลกว่าการจูบและลูบคลำ เลยพอจะโกหกเด็กแบบเนียนๆ ไปได้ว่า

“...กอดกันครับ เหมือนที่กอดซันแบบนี้ไง” ผมดึงเจ้าตัวยุ่งลงมานอนกอด หยิบเอาหมอนใบเล็กของเจ้าตัวมาให้หนุนด้วย

“กอดๆ ซันอยากกอดพี่พี ไม่กอดแซนแล้ว” เจ้าตัวซุกตัวเข้ามาในอกผม ผมกอดและลูบแผ่นหลังที่ยังคงเหลือรอยสั่นสะอื้นอยู่หน่อยๆ

สักพักคุณยะก็กลับเข้ามาพร้อมกับถิรที่หอบหมอนใบเล็กของตัวเองมาด้วย

“แซนขอนอนด้วยนะครับพี่พี” แฝดน้องบอกก่อนจะปีนขึ้นมาบนเตียง

“ตัวเองมาทำไม” พอได้ยินเสียงถิร ทานตะวันก็หันกลับไปมองค้อนน้องชายทันที

“พ่อยะบอกให้เค้ามานอนด้วย” บอกแล้วก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ พี่ชายนั่นแหละ ซึ่งก็เป็นที่ประจำของเด็กทั้งสองคน

อย่างที่บอกครับว่าผมกับคุณยะถูกขัดจังหวะทุกครั้งเลย และหลังจากนั้นเด็กแฝดทั้งสองก็จะมาจับจองพื้นที่กลางเตียงและแยกผมกับคุณยะออกจากกันไปโดยปริยาย

“ตัวเองห้ามกอดพี่พี” นี่ก็ประโยคฮิตติดปากเด็กพุงกลม

“ไม่กอดหรอกน่า”

“ชิส์” ทานตะวันยู่ปากใส่คนเป็นน้องที่ตอนนี้นอนหลับตาไปแล้ว ไม่เห็นสิ่งที่พี่ชายทำหรอก

“นอนได้แล้วเจ้าตัวยุ่ง” คุณยะเดินกลับมาหลังจากปิดไฟกลางเรียบร้อย แต่ห้องยังไม่มืดสนิทเพราะยังมีแสงจากโคมไฟข้างเตียงนอนให้ความสว่างอยู่

“ครับพ่อยะ” แล้วเจ้าตัวก็หันหน้ากลับมากอดผม หลับตาลงอย่างว่าง่าย ตัวนุ่มนิ่มสั่นน้อยๆ จากการร้องไห้หนักเมื่อครู่ ผมเลยต้องลูบแผ่นหลังของเจ้าตัวยุ่งไปด้วย

และก่อนที่ห้องจะมืดสนิท ริมฝีปากของคุณยะก็เดินทางมาหยุดบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา หลังจากที่เขาจูบหน้าผากลูกชายทั้งสองของเขาก่อนหน้านี้ไปแล้ว

“ฉันรักเธอนะ” เขากระซิบบอกเบาๆ แต่ก็ดังกึกก้องในหัวใจของผมทุกครั้งที่เขาเอ่ยคำนี้ออกมาให้ผมฟัง

“รักเหมือนกันครับ” ผมกระซิบตอบเขา ก่อนจะหลับตาลงไปพร้อมกับความรู้สึกบางอย่าง อาจจะเป็นความรู้สึกของการรอคอยที่ยาวนานมาตลอดตั้งแต่ที่รู้ความจริงว่าผมไม่ใช่ลูกของคุณยะ

พรุ่งนี้แล้วสินะ

พรุ่งนี้ผมจะรู้เสียทีว่าใครคือคนที่ไม่อยากให้ผมเกิดมาบนโลกใบนี้

.

.

.

ผมนั่งกินเค้กสามชิ้นกับน้ำผลไม้หมดไปเป็นแก้วที่สามแล้วนั่นแหละ พี่เลม่อนถึงกระหืดกระหอบมาทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าผมได้ ผมเดาจากใบหน้าสวยงามที่ปรุงแต่งด้วยเครื่องสำอาง ว่าเจ้าตัวคงติดถ่ายซีรีส์ถึงได้มาช้ากว่าเวลานัดถึงสองชั่วโมง จากที่นัดไว้ตอนบ่ายสอง เจ้าตัวมาถึงตอนบ่ายสี่

ดีนะที่ผมเอาหนังสือเรียนมาอ่านด้วย เวลาที่หมดไปกับการรอพี่เลม่อนเลยไม่สูญเปล่า แต่ก็ใช่ว่าเนื้อหาหนังสือจะเข้าสมองผมเท่าไร เพราะเอาแต่มองประตูร้านว่าเมื่อไรพี่เลม่อนจะเดินเข้ามาเสียที

“โทษทีกองถ่ายลากยาวไปหน่อย” ผมไม่คิดนะว่าจะได้ยินคำขอโทษจากปากคนอย่างพี่เลม่อน ที่เห็นผมเป็นศัตรูหัวใจของเขามาตลอด

“กินนี่ก่อนครับ” ผมเลื่อนแก้วน้ำมะนาวที่ผมสั่งไปเมื่อหลายนาทีก่อนและพนักงานเอามาเสิร์ฟตอนนี้พอดี

“ขอบใจ” อีกแล้วที่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากพี่เลม่อน สงสัยเจ้าตัวคงหิวน้ำนั่นแหละ พอจับหลอดได้ก็ดูดจนน้ำมะนาวหมดแก้วเลย

พี่เลม่อนเป็นผู้ชายที่ดูดีจริงๆ เขามีใบหน้าที่ได้รูปและสวยงามมาก ยิ่งใบหน้าถูกเคลือบด้วยเครื่องสำอางแบบนี้ก็ยิ่งดูสวยหวานเหมือนเจ้าชายน้อยๆ งดงามเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นเจ้าของถ้อยคำหยาบคายที่ใช้ด่าผมผ่านหน้าจอ รวมถึงรูปและคลิปที่เจ้าตัวถ่ายมาทำร้ายผมตอนช่วงแรกๆ นั้นด้วย ซึ่งตอนหลังไม่มีแล้วครับ มีแต่รูปที่ใส่เสื้อผ้าครบทั้งคู่

บางครั้งผมก็อยากมองทะลุไปถึงความรู้สึกของพี่เลม่อน ว่าเจ้าตัวยังคงเจ็บปวดกับเหตุการณ์เลวร้ายที่ถูกคุณยะข่มขืนอยู่หรือเปล่า อยากจะรู้ด้วยว่าเมื่อไรความอดทนของคนคนนี้จะหมดลง เมื่อไรเขาจะมีความคิดที่จะเดินออกไปจากชีวิตคุณยะ เมื่อไรหัวใจของเขาจะเลิกรักคุณยะได้ เผื่อว่าเขาจะได้เจอคนที่รักเขาจริงๆ ไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยเพราะต้องรับผิดชอบสิ่งที่เผลอทำลงไปอย่างไม่รู้ตัว

ผมก็เพิ่งมารู้ไม่นานนี้เองว่า ทำไมคุณยะถึงไม่ค่อยดื่มเหล้า เพราะเหล้าทำให้เขาขาดสติและเผลอข่มขืนพี่เลม่อนและต้องรับผิดชอบมาจนถึงวันนี้

“มองอะไร!” เสียงขุ่นจัดของพี่เลม่อนดึงผมออกมาจากภวังค์ความคิด “หน้ากูมีอะไรงั้นเหรอ ?”

“เปล่าครับ”

“หึ... มองยังไงหน้ากูก็ไม่เหมือนหน้าพ่อมึง” พูดแล้วก็เบ้ปากใส่ผม

ภาพเจ้าชายน้อยผู้งดงามแตกกระจายไปแล้วครับ ที่เหลืออยู่ตรงหน้าผมก็แค่คนหยาบคายคนหนึ่งเท่านั้นเอง

“พ่อผมเป็นใคร” เข้าเรื่องเลยละกัน จะได้ไม่ต้องทนนั่งมองหน้าคนที่สวยแต่เปลือกนอก แต่ข้างในนั้นทั้งแข็งกระด้างและหยาบคาย

พี่เลม่อนล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้ของตัวเอง ก่อนหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าผม และผมก็แทบจะลืมหายใจกับสิ่งที่อยู่ในรูปถ่ายนั้น

“พ่อมึงคือคนที่ใส่เสื้อนักศึกษา”

ผมหยิบรูปถ่ายใบนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ ด้วยมือที่สั่นน้อยๆ และหัวใจที่เต้นแรงและหวาดผวา ในรูปมีเด็กวัยรุ่นสามคน และมีคนที่ใส่เสื้อนักศึกษาเพียงคนเดียว เขาคนนั้นยืนอยู่ตรงกลางและกอดคอเด็กผู้ชายสองคนไว้คนละข้าง ซึ่งหนึ่งในสองคนนั้นผมรู้จักเป็นอย่างดีก็คือคุณยะ ส่วนอีกคนถ้าให้เดา ผมคิดว่าเป็นพี่ชายของพี่เลม่อน เพราะเค้าโครงหน้าเหมือนกันมาก ตัดข้อสงสัยที่ว่าพี่เลม่อนได้รูปพวกนี้มาได้อย่างไร แต่พี่เลม่อนแน่ใจได้อย่างไรว่าคนคนนี้เป็นพ่อของผมจริง

“พี่รู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นพ่อผม” บางทีพี่เลม่อนอาจจะมัวขึ้นมาเองก็ได้ ผมนี่นะจะเป็นลูกของ...ลูกชายเจ้าของโรงแรมนี้

...โรงแรมสยาม ชโยดม

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ใช่ครับ! ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางรูป คนที่สวมชุดนักศึกษาเพียงคนเดียวนี้ หน้าตาเหมือนคนที่ผมเจอที่รีสอร์ต คนที่สวมสูทและเป็นศัตรูกับคุณยะ

...คนที่ชื่อชลัช

“มึงคิดว่ากูมั่วขึ้นมาเองงั้นสิ” เขายิ้มเยาะ “กูจะบอกให้ว่าคนที่อยู่ในรูปอีกคนคือพี่ชายของกู และเขาก็บอกเรื่องนี้กับกูเอง ส่วนมึงจะไม่เชื่อก็เรื่องของมึง แต่กูว่ามึงเชื่อเถอะว่าเขาคือพ่อของมึง”

ผมก้มมองดูใบหน้าของคุณชลัชในรูปนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกของผมไม่ถึงกับตื่นเต้นดีใจจนอยากจะวิ่งไปหาตามหาเขาทั่วโรงแรม ไม่รู้สึกถึงความผูกพันที่แบบว่าต้องกลั่นออกมาเป็นสายน้ำตา ผมมองรูปถ่ายนี้ด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อว่าคนคนนี้คือพ่อของผม มองใบหน้าเขาที่แทบไม่ต่างจากตอนปัจจุบัน เพียงแต่คนในรูปอ่อนเยาว์กว่า ส่วนคนที่ผมเจอเมื่อปีที่แล้วดูเป็นหนุ่มใหญ่และมีคำพูดแสนร้ายกาจที่ทำให้คุณยะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และเขาก็เคยแช่งให้ผมกับคุณยะตกนรกมาแล้ว

ผมก็นึกไปถึงเหตุการณ์คืนวันนั้นที่คุณยะรุนแรงกับผมผิดไปจากทุกครั้ง เขาทำกับผมแรงอยู่แล้วแต่คืนนั้นมันแรงจนผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง

‘คุณยะโกรธเขาแต่เอามาลงที่น้องพีใช่ไหม’

คำถามที่ไม่ได้คำตอบในคืนนั้น แต่วันนี้ผมได้คำตอบแล้ว เพราะเขาโกรธคนคนนั้น ไม่ใช่แค่โกรธ อาจจะโกรธแค้นอย่างที่สุด ถึงได้เอาความรู้สึกนั้นมาระบายลงที่ผม ผมอยากให้ตัวเองคิดมากไปเอง แต่มันก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

...เขาเกลียดเจ้าของสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวผม

แต่ทำไมถึงยอมให้ผมเกิดมาล่ะ ยอมที่จะเลี้ยงดูผมจนโตมาถึงวันนี้ หรือเป็นเพราะคุณยะเคยรักคนที่เป็นเจ้าของสายเลือดอีกครึ่งหนึ่งในตัวผม

“แล้วแม่ผมล่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกคนหนึ่งที่กุมความลับเรื่องพ่อกับแม่ผมเอาไว้อีกครั้ง 

“ถามพ่อมึงเองสิ” เขาตอบผมตอนที่พนักงานรับออเดอร์เสร็จและเดินกลับไปแล้ว “กูอุตส่าห์นัดมึงมาเจอที่โรงแรมพ่อมึงแล้ว มึงก็ไปหาเขาสิ”

“แต่ผมอยากรู้ตอนนี้” ผมไม่กล้าเดินไปหาเขาและบอกว่าตัวเองเป็นลูกเขาหรอก เพราะถ้าผมทำอย่างนั้น ผลลัพธ์มันมีมากกว่าสองอย่างแน่นอน อย่างแรกเขาอาจจะไม่เชื่อและไล่ผมกลับ หรืออย่างที่สองรับรู้แต่ไม่ยอมรับ หรือถ้าเขาเชื่อว่าผมเป็นลูกของเขา เขาก็อาจจะเอาตัวผมกลับไปอยู่กับเขา ซึ่งผมยังไม่อยากกลายเป็นคนนอกครอบครัวตรัยธาดาอย่างแท้จริง

“กูไม่จำเป็นต้องบอกมึง แต่ถ้ามึงอยากรู้จริงๆ มึงก็ออกมาจากครอบครัวพี่ยะสิ แล้วกูจะบอกว่าแม่ของมึงเป็นใคร กูมีทั้งที่อยู่และเบอร์โทรเลยนะ สนไหมล่ะ ไม่ว่ามึงจะไปหาพ่อหรือแม่มึง มึงก็สบายไปทั้งชาติ”

“พี่ทำแบบนี้ทำไม ในเมื่อผมกับคุณยะก็ไม่ได้คบกันแล้ว ผมยอมถอยออกมาแล้วนะ” ถึงจะไม่ใช่ความจริงก็เถอะ แต่ผมมั่นใจนะว่าความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะเป็นความลับมากกว่าครั้งที่เคยผ่านมา เพราะเราสองคนไม่เคยโทรหากันเลย ไม่แม้แต่จะคุยไลน์กัน คุณยะกลับมานอนกับผมก็แทบนับครั้งได้ พี่เลม่อนไม่น่าจะรู้ได้ว่าเราสองคนกลับมาคบกันอีกครั้ง 

“กูพอใจ” เขายักไหล่ได้น่าเกลียดที่สุดในสายตาผม

“งั้นผมก็พอใจที่จะใช้นามสกุลตรัยธาดาต่อไป” พี่เลม่อนตาลุกวาวด้วยความโกรธทันที และยิ่งลุกเป็นไฟเมื่อผมเอ่ยออกไปอีกว่า “ส่วนเรื่องพ่อแม่ของผม บอกตามตรงถึงผมรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ผมก็ไม่รู้สึกอยากกลับไปหาคนที่ไม่อยากให้ผมเกิดมาหรอก”

“หน้าด้าน” เจ้าตัวข่มอารมณ์ของตัวเองไว้สุดฤทธิ์ ถึงจะด่าผมแต่เสียงก็เบามาก คงไม่ให้เสียงดังไปถึงโต๊ะข้างๆ ไม่อย่างนั้นนักแสดงวัยรุ่นแบบเขาอาจจะตกเป็นข่าวไม่ดีก็ได้ ยิ่งตอนนี้หลายคนในร้านก็เริ่มมองมาที่โต๊ะผมกับเขาแล้ว “มึงก็รู้แล้วว่าพ่อมึงเป็นใคร ทำไมไม่ไปหาเขาวะ”

ผมพอเริ่มรู้เหตุผลที่พี่เลม่อนเอาเรื่องพ่อมาบอกผมแล้วละ เพราะอยากให้ผมออกจากครอบครัวตรัยธาดาและออกไปจากชีวิตของคุณยะสินะ

...บอกเลยว่าไม่สำเร็จหรอก!

“เขาไม่ได้ต้องผมมาตั้งนานแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องกลับเข้าไปในชีวิตพวกเขา” ผมบอกสิ่งที่เป็นความจริงที่สุด ครั้งหนึ่งคนเป็นพ่อไม่ต้องการก้อนเลือดที่อยู่ในร่างกายผู้หญิงคนหนึ่ง วันนี้เขาก็ไม่ควรรู้ว่าก้อนเลือดก้อนนั้นเติบโตมาจนถึงวันนี้

“มึงนี่หลงผัวกูกว่าที่คิดอีกนะ” มาอีกแล้วครับคำหยาบที่พี่เลม่อนชอบใช้แสดงความเป็นเจ้าของคุณยะของผม

...คุณยะเป็นของผม ไม่ใช่ของเขา

ผมอยากตะโกนความจริงข้อนี้ใส่หน้าพี่เลม่อนให้หงายหลังไปเลย แต่ต้องอดทนเอาไว้ ต้องเลือกพูดสิ่งที่ควรต้องพูดออกไปช้าๆ และโกหกให้แนบเนียนที่สุด

“ผมกับคุณยะเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน” ผมยังยืนยันที่จะโกหกต่อไป เพราะผมกลัวว่าถ้าพี่เลม่อนรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะที่ยังคบกันอยู่โดยไม่ให้เขารู้ เขาก็จะกลับไปขู่คุณยะ ใช้น้ำตาและความผิดพลาดของคุณยะขู่ให้เลิกกับผมอีก

ผมไม่ยอมให้คุณยะถูกขู่จนต้องเลิกกับผมอีกครั้งหรอก!

“มึงนอนอ้าขาให้ผัวกูนี่นะ ยังกล้ามาพูดว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน”

คำหยาบคายของพี่เลม่อนทำอะไรผมได้ไม่มากเท่าไร ถึงมันจะจริงแต่ผมก็รู้ว่าระหว่างเราสองคนคือความรัก ไม่ใช่ความสงสารในแบบที่พี่เลม่อนได้จากคุณยะ และความจริงข้อนี่แหละคือน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงต้นความอดทนของผมให้เติบโตขึ้นทุกวัน จนวันหนึ่งผมของมันจะฉ่ำหวานเหมือนความรักของผมกับคุณยะ ที่จะไร้ตัวขัดขวางแบบพี่เลม่อนไปตลอดกาล

“พี่จะเชื่อผมหรือไม่เชื่อก็ตามใจครับ แต่ผมยืนยันว่าตอนนี้ผมกับคุณยะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว นอกจากนามสกุลที่เหมือนกัน” ปฏิเสธเข้าไว้ โกหกเข้าไว้ ผมได้แต่บอกตัวเองแบบนี้ซ้ำๆ

“โกหก!” คราวนี้พี่เลม่อนไม่ออมเสียงเลย เขาตะโกนใส่หน้าผม จนคนทั้งร้านหันมามอง พอรู้ตัว เขาก็ลดเสียงลง แต่น้ำเสียงยังขุ่นคลั่กเหมือนเดิม “มึงคิดว่ากูโง่หรือไงที่ไม่รู้ว่าลับหลังกู มึงให้ท่าผัวกูยังไงบ้าง”

“ก็แล้วแต่พี่จะคิดละกัน แต่ผมยืนยันเหมือนเดิมว่าผมกับคุณยะไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”

“มึงมันหน้าด้าน”

“...”

“มึงรู้ไหมว่าพี่ยะทำอะไรกูบ้าง” ผมเห็นลูกตาหวานๆ ของพี่เลม่อนเริ่มขึ้นสีแดง เสียงสั่นน้อยๆ ฟ้องอารมณ์ที่ก่อตัวอยู่ภายใน

...เจ็บปวด

พี่เลม่อนกำลังเจ็บปวด

และผมไม่อยากเห็นความเจ็บปวดของคนตรงหน้าเลย เพราะไม่ชิน เพราะที่ผ่านมาพี่เลม่อนมีแต่ความร้ายกาจ แล้วคนที่เจ็บปวดจากความร้ายกาจของเขาก็คือผม ผมไม่อยากใจอ่อนกับน้ำตาของคนที่แย่งคุณยะไปจากผม คนที่ขังคุณยะไว้กับเขาด้วยความผิดพลาดในอดีต

“ผมไม่รู้” ผมโกหก “แต่พี่ไม่ต้องเล่าให้ผมฟังหรอก ถ้ามันจะทำให้พี่เจ็บปวด” ประโยคสุดท้ายผมพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ

“เขาหักหลังกูซ้ำๆ ก็เพราะมึง” เขาโทษผม ทำไมเขาไม่โทษตัวเองบ้างที่ไม่ใช่คนที่คุณยะรัก 

“ผมบอกพี่ไปหลายครั้งแล้วนะว่า ผมกับคุณยะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันแล้ว” ผมก็เป็นคนที่พูดโกหกได้หน้าตายอย่างที่สุด เริ่มรู้สึกเกลียดคำโกหกของตัวเองแล้วสิ ยิ่งเห็นน้ำตาที่หยดลงบนแก้มของพี่เลม่อน ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดจนอยากจะเป็นฝ่ายถอยเสียเอง

...แต่ผมก็ยังปักหลักอยู่ที่เดิม

ด้วยเหตุผลสองข้อคือ...ผมรักคุณยะ และคุณยะรักผม

“เขาข่มขืนกู” ความจริงที่ผมไม่อยากได้ยินซ้ำเป็นครั้งที่สองหลุดออกมาจากปากที่ติดจะสั่นของพี่เลม่อน “มึงว่าเขาเลวไหม”

“...” ผมไม่มีคำตอบให้พี่เลม่อน ทั้งที่ผมมีคำตอบอยู่แล้ว


“มึงอยากจะอยู่กับคนเลวแบบนี้ไปตลอดชีวิตเหรอ ?” เขาถามอีก และผมอยากจะถามพี่เลม่อนกลับไปเหมือนกันว่า...ถ้าคุณยะเลวอย่างที่เขาว่า ทำไมเขาถึงไม่ออกไปจากชีวิตคุณยะล่ะ ทำไมถึงต้องทนอยู่กับคนเลวๆ ด้วย

นั่นเพราะพี่เลม่อนรักคุณยะใช่ไหมล่ะ ก็เหมือนผมนั่นแหละ

ถึงอยากจะถามพี่เลม่อนกลับไปอย่างนั้น แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบ มองน้ำตาพี่เลม่อนที่ไหลไปตามผิวแก้ม ก่อนที่เจ้าตัวจะดึงทิชชูบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้หมดไปจากใบหน้า นานเกือบสิบนาทีที่ความเงียบเกิดขึ้นบนโต๊ะ และเป็นพี่เลม่อนที่เอ่ยทำลายความเงียบลง

“หึ...เขาเล่าให้มึงฟังแล้วใช่ไหม”

“เปล่าครับ” ผมก็ยังเลือกที่จะโกหกให้ถึงที่สุด

“แล้วทำไมมึงไม่ตกใจ”

“ก็ผมกับคุณยะไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว เรื่องที่เขาเคยทำ ไม่เกี่ยวกับผม ทำไมผมจะต้องตกใจกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับผมด้วยล่ะ”

“...” ลูกตาแดงก่ำมองผมเหมือนอยากแทงให้ทะลุ

“ถ้าเอาแต่ระแวงจนไม่มีความสุข ผมว่าพี่ควรจะออกมานะครับ” ผมไม่ได้หวังดีกับเขาหรอก ก็แค่อยากทำให้ความอดทนของพี่เลม่อนหมดลงซะที

“กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น คนที่ต้องไปคือมึง!” พูดจบ พี่เลม่อนก็คว้ากระเป้าเป้ ลุกจากโต๊ะเดินออกจากร้านไปเลย

เฮ้อ... ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนกับคำโกหกในหลายๆ ครั้งของตัวเอง นึกเกลียดตัวเองที่พูดคำโกหกได้อย่างหน้าตาเฉย เหมือนไม่รู้สึกผิดอะไรเลย ความจริงผมก็รู้สึกผิดนะที่เอาแต่พูดเรื่องโกหก แต่ถ้าผมพูดความจริงแล้วทำให้ต้องเลิกกับคุณยะอีกครั้ง ผมก็ขอเลือกใช้คำโกหกที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะยังเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อรอให้วันที่ความอดทนของพี่เลม่อนหมดลงไปเอง

ผมดึงสายตากลับมาที่รูปถ่ายที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ รูปของเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่น่าจะให้นิยามของความสนิทสนมนี้ว่า ‘เพื่อนต่างรุ่น’

ผมอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้คุณยะกับเขาคนนี้เกลียดขี้หน้ากันและตัดขาดความเป็นเพื่อนต่างรุ่นกันได้ มันจะเป็นเพราะเรื่องผู้หญิงคนที่อุ้มท้องผมมาหรือเปล่า ที่ทำให้ทั้งสองแตกหักกัน ถ้าให้ผมเดาเรื่องมันอาจเริ่มต้นที่...

คุณยะรักกับผู้หญิงที่เป็นแม่ของผม แต่แล้วเธอก็หักอกคุณยะด้วยการไปรักกับเพื่อนรุ่นพี่ของคุณยะ ทั้งสองคนเลยแตกหักกัน แต่พอเธอท้องผม เขาก็ไม่รับผิดชอบ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้ทิ้งเธอไปและสั่งให้เธอทำแท้งผม ส่วนคุณยะที่ยังรักเธออยู่นั้น พอรู้ว่าเธอ ก็เลยรับเป็นพ่อให้กับเด็กในท้องก็คือผม แต่เธอก็คงหมดรักคุณยะแล้วจริงๆ และคงเกลียดคนไร้ความรับผิดชอบเข้ากระดูกดำ ถึงได้คลอดและทิ้งสายเลือดของเธอกับเขาไว้ให้คุณยะ โดยที่ไม่ยอมบอกเขาคนนั้นว่าเธอได้ให้กำเนิดผมออกมาแล้ว

เรื่องคงเป็นแบบนี้ละมั้ง

...พ่อของผมคือเขาคนนี้

ผมควรรู้สึกดีใจใช่ไหม แต่ผมกลับรู้สึกขมขื่นจนไม่อยากจะเชื่อว่าคนคนนี้คือพ่อของตัวเอง พูดตรงๆ เลยว่า ผมไม่ต้องการพ่อหรือแม่เลย เพราะเท่าที่ผมมีอยู่ตอนนี้ ผมก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองขาดความอบอุ่นเลยสักนิด

หรืออาจเป็นเพราะตั้งแต่เด็กผมเข้าใจว่าคุณยะเป็นพ่อ และพ่อแบบคุณยะก็ไม่ได้มาสนใจไยดีลูกอย่างผมเลย ผมเลยเติบโตมากับความรู้สึกที่ว่า พ่อก็แค่คนคนหนึ่งที่ผมจะมีหรือไม่มีก็ได้ ในเมื่อผมก็มีคุณปู่กับคุณย่าที่คอยตามใจผมสารพัด ไม่เคยดุด่าหรือใช้ไม้เรียวกับผม ทั้งที่ผมทั้งดื้อและซน เอาแต่ใจก็ที่หนึ่ง แต่ท่านทั้งสองก็รักและโอบกอดผมด้วยความรักความอบอุ่นเสมอมา

“พ่อ...” ปากผมขยับเอ่ยคำนี้ออกมา ด้วยความรู้สึกว่างเปล่าอย่างที่สุด

ทั้งที่ความรู้สึกของผมว่างเปล่า ไร้ซึ่งความตื้นตันใจที่รู้ว่าใครคือพ่อแท้ๆ ของผม ทว่าผมก็ยังนั่งอยู่ในร้านแห่งนี้ เฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา มองหาใครบางคนที่หน้าตาเหมือนคนในรูปที่ผมถืออยู่ในมือ ด้วยความหวังว่าเขาจะเดินผ่านมาให้ผมเห็น แม้ความหวังจะริบหรี่ก็ตาม เพราะวันนี้เป็นวันหยุด เขาคนนั้นอาจจะไม่มาทำงาน หรือถ้าเขาบ้างานเหมือนคุณยะ วันนี้เขาก็อาจจะนั่งอยู่ในห้องทำงานบนชั้นไหนสักชั้นของโรงแรมแห่งนี้ คงไม่ยอมเสียเวลาที่มีค่าและทำเงินได้มหาศาลของเขาเพื่อกาแฟแค่แก้วเดียวหรอกมั้ง

จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง คุณย่าโทรมาตามนั่นแหละ ผมถึงยอมลุกจากเก้าอี้และเดินออกไปจากร้านที่แทบจะไม่เหลือลูกค้าแล้ว

ผมไม่หวังที่จะได้เจอเขาหรอกนะ เพียงแต่มันก็ต้องมีความรู้สึกที่อยากเจออยู่บ้างใช่ไหมล่ะ อย่างน้อยเขาก็คือพ่อ แม้จะเป็นพ่อที่ไม่เคยต้องการก้อนเนื้ออย่างผมเลยก็ตาม พอผมคิดว่าวันนี้คงไม่มีทางได้เจอเขาแล้วแน่ๆ มันก็รู้สึกผิดหวัง แต่พอเลิกหวังก็ดันเจออย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ตอนที่ผมใกล้จะเดินพ้นเขตโรงแรมสยาม ชโยดมออกมา รถเบนซ์คันสีขาววาววับสะอาดหมดจดก็ชะลอความเร็วลงและจอดห่างจากตัวผมไม่มากนัก พร้อมกับกระจกรถของห้องโดยสารตอนหลังที่เลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าที่มาวัยขึ้นของเจ้าของชุดนักศึกษาในรูปถ่ายในมือผม

ผมรีบเอารูปซ่อนไว้ด้านหลัง กลัวเขาจะเห็น แล้วเกิดสงสัยขึ้นมาว่าผมมีรูปนี้ได้ยังไงและถือมาทำไมที่นี่

“พี่ชายใช้ให้มาสืบอะไรเหรอหนู” ดูเขาถามสิ และปากของเขาก็ร้ายกาจเหมือนเดิม “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ฉันพูดอะไรผิดไปหรือไง อ้อ...สงสัยฉันจะพูดผิดจริงๆ เพราะเธอกับพี่ชายคงไม่อยากเป็นพี่น้องกันเท่าไร ...นรกของพวกเธอคงหอมหวานน่าดู”

...นรกอีกแล้ว!

เขาจะรู้ตัวไหมนะว่ากำลังแช่งลูกชายตัวเองให้ตกนรก แต่ก็อย่างว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยอยากให้ผมตาย และต่อให้เขารู้ว่าผมเป็นลูกที่บังเอิญลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้ เขาก็คงไม่ไยดีหรืออยากจะอ้าแขนรับผมหรอก หรืออาจจะเจ็บแค้นเลยก็ได้ที่ผมมันดื้อด้านเกิดมาจนได้ ทั้งที่เขาไม่อยากให้เกิด

จู่ๆ ขอบตาผมก็ร้อนขึ้นมา จนไม่สามารถทนมองหน้าเขาได้ ผมก้าวเท้ายาวๆ ออกมาจากตรงนั้นทันที มือก็ขยำรูปถ่ายจนเป็นก้อนกลมก่อนจะซุกมันลงไปในกระเป๋ากางเกง

“มีมารยาทหน่อยสิหนู ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ” เสียงเขาตะโกนตามหลังผมมา และมันใกล้มากด้วย “จะรีบไปไหน คุยกันก่อน” เขาคว้าแขนผม ความรู้สึกนั้นราวกับว่าถูกเชือกที่มีคมเหมือนมีดกรีดรัดข้อมือผมเอาไว้

“อย่ามายุ่งกับผม!” ผมสะบัดแขนอย่างแรง และมันคงแรงเกินไปด้วยซ้ำ เขาถึงทำหน้าตกใจแต่ก็ยังกำข้อมือผมอยู่ “ปล่อยมือผม!!”

“หนูจริงจังไปหรือเปล่า ฉันแค่จะคุยด้วยเฉยๆ” เขาพูดด้วยสีหน้าที่ยังไม่หายตกใจกับท่าทางที่ร้อนเป็นไฟของผม แต่มือก็ยังจับแน่นอยู่ที่ข้อมือของผมเหมือนเดิม

“ผมไม่อยากคุยกับคุณ” ผมผ่อนเสียงลง เพราะกลัวตัวเองจะเผลอทำพิรุธให้เขาสงสัยว่าทำไมถึงได้เดือดขนาดนี้ “แล้วก็ปล่อยมือผมได้แล้ว ผมจะกลับบ้าน” ตอนนี้ก็มืดแล้วด้วย

“ฉันว่าเธอต้องการความช่วยเหลือนะ” ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จนได้ฟังประโยคต่อมาของเขา “เธอโดนพี่ชายข่มขู่หรือเปล่า ถ้าเธออยากให้ฉันช่วยอะไรก็บอกได้นะ”

“ผมไม่มีอะไรให้คุณช่วยทั้งนั้น แต่ถ้าคุณอยากช่วยก็ช่วยปล่อยมือผมได้แล้ว” แล้วเขาก็ยอมปล่อยมือผม

“เธอไม่คิดว่าสิ่งที่เธอกับพี่ชายทำมันผิดหรือไง” แต่เขาก็ยังอยากจะวุ่นวายกับชีวิตผม

“ผมกับคุณยะรักกัน ไม่ใช่เรื่องผิด” ผมจ้องหน้าผู้ชายที่ไม่มีส่วนไหนบนใบหน้าที่ผมเอามาจากเขาเลย ลองบอกใครว่าผมเป็นลูกเขา รับรองว่าไม่มีใครเชื่อหรอก

“ฉันว่ามันผิดน่ะ”

“ไม่ผิด!” ต่อให้เขาไม่รู้ความจริงว่าผมกับคุณยะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ผมก็โกรธเขาที่ยังพูดใส่ร้ายความรักของผมกับคุณอย่างผิดๆ จากความไม่รู้ของเขาเอง

“เอ้า ไม่ผิดก็ไม่ผิด” เขายกมือยอมแพ้

“แล้วนี่เธอมาทำอะไรที่นี่ ค่ำมืดแล้วยังไม่ยอมกลับบ้าน” ครั้งนี้เขาถามแบบผู้ใหญ่ที่ไม่หาเรื่องเด็กอย่างผมแล้ว

“ก็กำลังจะกลับ” ผมพูดไม่มีหางเสียง แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะที่พูดจากับคนที่อยู่ในฐานะพ่อไปแบบนั้น

“ให้ฉันไปส่งไหม” เขาถาม

“ไม่ต้อง... ครับ” พูดให้มีหางเสียงกับเขาหน่อยก็ได้ อย่างน้อยเขาก็คือพ่อ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าผมเป็นลูกก็ตาม “ผมขึ้นแท็กซี่กลับเองได้ครับ”

“งั้นก็กลับดีๆ ล่ะ ขึ้นแท็กซี่ก็อย่าเอาแต่เล่นมือถือ เดี๋ยวนี้อันตรายมันเยอะ มีทั้งจี้ ปล้น ฆ่า ข่มขืน บางทีมันก็ไม่เว้นหรอกนะว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” เตือนซะผมไม่อยากขึ้นแท็กซี่เลย แต่ก็ดูจะหวังดีกับผมไม่น้อยเลย ถ้าไม่มีประโยคหลังๆ ตามมาอีก “หน้าตาน่ารักแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเธอ พี่ชายเธอมีหวังได้เป็นบ้าตายแน่ อ้อ...ฝากบอกพี่ชายเธอด้วยล่ะ ให้ทำบุญมากๆ เผื่อว่านรกจะได้ตื้นขึ้น”

ปากเขานี่จริงๆ เลย!

“ผมจะทำเผื่อคุณด้วย!” พูดจบผมก็หมุนตัวเดินออกมาทันที พร้อมกับความรู้สึกว่านรกกินกบาลผมไปมากแล้วแน่ๆ

เอาจริงๆ เลยนะ ครั้งที่ผมพูดไม่ดีกับคุณยะตอนที่ยังไม่รู้ความจริงว่าเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของตัวเอง ผมยังไม่รู้สึกว่านรกจะกินกบาลได้เท่ากับตอนนี้เลย

...ผมขอโทษนะครับ

ก็ได้แต่ขอโทษเขาเบาๆ

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 29

“ทำแบบนี้ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลย”

คำถามที่ถูกเอ่ยออกมาดึงผมให้เอาสายตากลับเข้ามาในร้าน coffee – day หลังจากที่เอาแต่มองผ่านกระจกใสออกไปนอกร้าน เพื่อมองหาใครบางคนที่ไม่ว่าจะมานั่งที่นี่เป็นเดือนๆ แล้วก็ยังไม่เห็นเขาผ่านมาแถวนี้แม้แต่ครั้งเดียวเลย

ผมไม่ได้อยากเจอคนที่เป็นเจ้าของสายเลือดครึ่งหนึ่งในตัวผม ก็แค่อยากจะเห็นเขาผ่านเข้ามาในสายตา จะได้บอกย้ำกับตัวเองว่าคนคนนี้คือพ่อของผม เชื่อไหมว่าวันที่รู้ความจริงว่าเขาเป็นพ่อ กลับบ้านไปผมก็นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์จนถึงเช้า ไม่หลับไม่นอนเพราะเอาแต่เชิร์ทหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงาน รวมทั้งเรื่องวงศาคณาญาติของเขาด้วย หาเท่าที่โลกอินเทอร์เน็ตจะบอกผมเกี่ยวกับตัวเขาได้

ที่ผมได้มาคือเขายังโสด มีข่าวว่าเคยคบหากับดาราสาวสองสามคนได้มั้ง ซึ่งก็ไม่เยอะเลยเมื่อเทียบกับคุณยะ ไม่เคยมีข่าวกับผู้ชายด้วย เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยของไทย แล้วไปต่อปริญญาโทที่อเมริกา เขามีน้องสาวที่แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว มีหลานหญิงชายสองคน ส่วนเขาก็ยังไร้วี่แววว่าจะแต่งงาน และอนาคตก็จะรับช่วงบริหารโรงแรมต่อจากบิดาที่ใกล้เกษียณเต็มทีแล้ว ก็พ่อของเขาอายุเท่าคุณปู่ของผมเลย 

“กลับกันเถอะ” ดีนชวนผมกลับ หลังจากที่เพิ่งพูดไปไม่ถึงสิบนาที

“ดีนกลับไปก่อนเลย เราอยากจะอยู่ต่ออีกนิดหนึ่ง” วันนี้เป็นวันแรกที่ดีนตามมานั่งรอเขาคนนั้นกับผม เมื่อวานตอนเย็นดีนชวนผมไปดูหนังฉลองสอบไฟนอล ผมก็เผลอบอกดีนไปว่าไม่ว่างเพราะต้องมาเฝ้าพ่อ เจ้าตัวเลยเป็นเพื่อนคนแรกและคนเดียวที่รู้เรื่องพ่อของผมว่าเป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมสยาม ชโยดม

“แต่นี่มันจะทุ่มแล้ว” ดีนก้มดูนาฬิกาบนข้อมือ พลางเก็บหนังสือการ์ตูนที่ออกไปซื้อมาเมื่อตอนเที่ยงเพื่ออ่านฆ่าเวลาใส่กระเป๋าเป้

“สองทุ่มค่อยกลับ” ผมบอก เป็นเวลาประจำที่ผมยอมเดินออกจากร้าน พร้อมกับความผิดหวังเล็กๆ ที่ไม่เจอเขา “ดีนกลับไปเลย ไม่ต้องรอเรา” ไม่น่าให้ดีนมาด้วยเลย ผมนั่งเงียบๆ คนเดียวยังจะสบายใจกว่า ไม่ต้องมีใครมากวนใจและชวนกลับทุกสิบนาที

“ไม่ได้สิ มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน” ดีนดึงการ์ตูนเล่มที่ยังอ่านค้างไว้ออกมาจากกระเป๋าเป้อีกรอบ “ว่าแต่จะไม่บอกเขาจริงๆ เหรอว่าพีเป็นลูกเขา”

“ไม่” ผมส่ายหน้า เจอคำถามแบบนี้ของดีนมาสิบกว่ารอบแล้วมั้ง

“ทำไมล่ะพี เป็นดีนนะ ดีนเดินไปบอกเขาตั้งแต่วันแรกที่รู้ความจริงแล้ว”

ผมถอนหายใจเอาความรู้สึกหน่วงๆ ออกไปจากอก

“เรากลัว” มันมีหลายเหตุการณ์ที่ผมกลัวว่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่ผมเดินไปบอกเขาว่า... ผมเป็นลูก

“พีกลัวอะไร”

“หลายอย่าง”

“เอามาสักอย่าง” ดีนวางการ์ตูนลง เท้าคางรอฟังคำตอบของผม หน้าตานี่คือเริ่มรำคาญหน่อยๆ แล้ว

“กลัวเขาจะไม่เชื่อว่าเราเป็นลูกเขา” เพราะผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเป็นพ่อของผม หลักฐานก็มีแค่คำพูดของพี่เลม่อนกับรูปถ่ายที่บอกว่าครั้งหนึ่งคุณยะกับเขาคนนั้นเคยสนิทกัน บวกกับคำพูดหนึ่งของคุณยะเมื่อปีที่แล้วตอนเจอเขาที่รีสอร์ต ก็ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าเขาเป็นพ่อของผมตามที่พี่เลม่อนบอกหรือเปล่า

‘ห่วงลูกของมึงที่ไม่มีโอกาสเกิดมาดูโลกเถอะ’

จะเป็นแค่คำพูดประชดหรือประโยคความจริง ผมก็ไม่มีทางรู้ แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะที่เด็กคนนั้นไม่ได้โชคดีเหมือนผม บางทีคุณชลัชอาจจะทำผู้หญิงท้องและไม่รับผิดชอบจริงๆ แล้วเธอคนนั้นก็ทำแท้งลูกของเธอกับเขาไปแล้ว คุณยะถึงได้พูดประโยคนั้นออกมา

“เขาไม่เชื่อก็ตรวจดีเอ็นเอสิ จะยากอะไร”

“ถ้าตรวจแล้วไม่ใช่ล่ะ” ผมนึกไม่ออกเลยว่าตอนนั้นผมจะรู้สึกอย่างไร จะกล้าสู้หน้าเขาที่ถูกผมกล่าวหาว่าเป็นพ่อหรือเปล่า

“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ” ดีนก็พูดง่าย เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

“แล้วถ้าใช่ล่ะ” คือเรื่องที่ผมกลัวมากกว่าเรื่องที่ผมไม่ใช่ลูกของเขาซะอีก หากเป็นเรื่องจริง ผมเป็นลูกของเขา ผมอาจจะต้องไปจากครอบครัวตรัยธาดา ยิ่งกว่านั้นผมก็กลัวเขาจะใช้สิทธิ์ความเป็นพ่อขัดขวางความรักของผมกับคุณยะ เนื่องจากเขาไม่ชอบคุณยะ และคุณยะก็ไม่ชอบเขาด้วย

“ถ้าใช่ พีก็จะได้มีพ่อ”

“เราไม่อยากมีพ่อ” ผมสารภาพ ถ้าการมีพ่อแล้วทำให้ผมต้องไปจากครอบครัวตรัยธาดา ผมก็ไม่อยากมีพ่อหรือแม่หรอก

“เรื่องมากว่ะพี” ดีนเริ่มหงุดหงิด “งั้นก็กลับสิ ไม่ต้องมานั่งรอเหมือนอยากเจอพ่อหรอก”

“หงุดหงิดทำไมล่ะเนี่ย” ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆ อยากบอกนักเชียวว่าผมไม่ได้ขอร้องให้มาด้วยสักหน่อย ตัวเองอยากขอมาด้วยเองนะ

“โทษที” ดีนมองหน้าผมอย่างขอโทษ แต่ยังไม่เลิกบ่นปนด่าผม “แต่พีทำตัวน่ารำคาญไง กลัวเขาไม่รับเป็นลูก บอกว่าไม่อยากมีพ่อ แต่ก็มานั่งไร้สาระอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน”

“ก็เราพอใจไง” ผมก็เคืองขึ้นมาหน่อยหนึ่งที่โดนดีนว่า

“เอาจริงๆ พีกลัวอะไรกันแน่” ดีนปักหลักตั้งคำถามกับผมใหม่ “พีกลัวความจริงที่ว่า...เมื่อก่อนคุณยะของพีเคยรักกับแม่ของตัวเองใช่ปะ” ดีนจะเดาเก่งเกินไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้นะครับว่าผมกับคุณยะกลับมาคบกันอีกครั้ง ดีนยังเข้าใจแค่ว่าผมตัดใจจากคุณยะไม่ได้ และแผนนัวเนียเพื่อประชดคุณยะคืนนั้นก็ไม่ได้ผล


“อืม” ผมยอมรับ

มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ยิ้มได้ซะหน่อย ถ้ารู้ว่าครั้งหนึ่งคนที่ผมรัก เขารักแม่ของผม และที่เขารักผม จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขารักผมจริงๆ ไม่ใช่เห็นผมเป็นตัวแทนของคนที่เขารัก

ผมรู้ตัวว่าไม่ควรคิดมาก แต่มันอดคิดไปในแง่ร้ายไม่ได้เลย ดังนั้นไม่รู้มากไปกว่านี้ซะดีกว่า ผมอยากอยู่เฉยๆ กับความจริงเพียงไม่กี่อย่าง รู้เท่าที่ผมอยากรู้ จะได้ไม่ต้องเจ็บไปเสียทุกทาง เพราะการไปเผชิญหน้ากับคนที่เขาไม่ต้องการผม แล้วบอกว่าผมเป็นลูกเขา หากเขาไม่เชื่อก็เจ็บปวด หากเขาเชื่อ เขาก็จะเอาตัวผมไป จากนั้นผมก็ต้องมารับรู้ว่าใครเป็นแม่ของผม หน้าตาของเธอสวยขนาดไหน ถึงกลายเป็นคนที่คุณยะเคยรัก แล้วถ้าเธอกลับมา ผมก็กลัวคุณยะจะเปลี่ยนใจไปจากผม

เฮ้อ... ผมยังไม่เห็นทางไหนที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้เลย นอกจากอยู่เฉยๆ ไปแบบนี้แหละ ไม่ต้องออกไปแสดงตัวให้เจ้าของสายเลือดยอมรับว่าผมคือลูก ทุกวันนี้ผมก็มีความสุขมากพอแล้วกับครอบครัวตรัยธาดา มีทั้งคุณปู่คุณย่า อานุ อาภา หลานทั้งสามคน และก็คุณยะ...คนสำคัญ คนที่เป็นความรักของผม

“ทำใจเถอะพี ดีนว่า...” เจ้าตัวดูดชาเขียวอีกอึกใหญ่ ถึงจะขยับปากพูดต่อ แต่ผมว่าไม่พูดจะดีกว่านะ “...คุณยะเห็นพีเป็นตัวแทนแน่นอน”

“...” ย้ำจัง

“ถ้าลูกเจ้าของโรงแรมนี่เป็นพ่อของพีจริงๆ แสดงว่าพีต้องหน้าตาเหมือนแม่ล้านเปอร์เซ็นต์” คิดผิดจริงๆ ที่ยอมให้ดีนมาด้วย ไม่คิดจะให้กำลังใจผมเลย

“เราว่าดีนกลับไปเถอะ” อยู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่ทำให้ผมจิตใจห่อเหี่ยว ทั้งที่ผมพยายามจะคิดเรื่องนี้ให้น้อยลงแล้วนะ

“พูดความจริงก็โกรธหรือไง” เจ้าตัวว่า แล้วก็กลับไปดูดชาเขียวจนหมดแก้ว จากนั้นก็ลุกเดินไปที่เคาน์เตอร์ น่าจะไปสั่งขนมกับเครื่องดื่มเพิ่มนั่นแหละ

พอกลับมานั่งที่เดิมก็ตั้งหน้าตั้งตาพูดบั่นทอนจิตใจผมต่อ

“ดีนอยากรู้ว่ะพี” ดีนทำหน้าจริงจัง แต่มือก็ก็ยังตักเลม่อนพายที่เหลือคำเดียวเข้าปาก เคี้ยวแล้วกลืนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ปากว่างพอที่จะยิงคำถามที่ผมยากจะตอบ “ทำไมพีถึงรักเขา แล้วรักเข้าไปได้ยังไงในเมื่อตอนแรกเขาเป็นพี่ชายพี”

เจอคำถามนี้เข้าไปเค้กส้มบนจานของผมจืดสนิทไปเลย

“จะว่าเราผิดปกติใช่ไหม”

“ประมาณนั้น”

“เราอาจจะผิดปกติกว่าที่ดีนคิดก็ได้ เพราะภายในครอบครัวของเรา คุณยะเป็นพ่อ ไม่ใช่พี่” ดีนทำตาโตเลย

“จริงปะ ? ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม” 

“จะล้อเล่นเพื่อ”

“ทำไมเป็นงี้ล่ะ” เมื่อดีนถาม ผมก็จะตอบ ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว

“คุณปู่คุณย่าบอกว่าที่ไม่ให้คนนอกรู้ว่าเราเป็นลูกของคุณยะ เพราะคุณยะจะถูกมองไม่ดีที่มีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย”

“ซับซ้อนว่ะ”

ผมเห็นด้วยกับดีนนะ ตอนเด็กก็เคยงงเหมือนกัน ทำไมถึงบอกใครไม่ได้ว่าคุณยะเป็นพ่อ แต่พอคุณปู่คุณย่าอธิบายให้ฟัง ผมก็เข้าใจ เพราะต่อให้คุณยะเป็นพ่อหรือพี่ชาย ก็ไม่มีอะไรต่างไปจากที่เป็นอยู่ เขาก็ยังห่างไกลจากผมอยู่เหมือนเดิม เฉพาะตอนนั้นนะ เพราะตอนนี้ไม่แล้ว

“บอกตั้งแต่แรกว่าพีเป็นลูกหลงจะไม่ง่ายกว่าหรือไง” ดีนสงสัย ผมก็สงสัยเหมือนกัน เพียงแต่ข้อสงสัยนี้ผมไม่กล้าเอาไปถามคุณปู่คุณย่า ถามไม่ได้เด็ดขาด ขืนถามความก็แตกสิว่าผมรู้ความจริงหมดแล้ว

“แล้วมันเป็นไงวะพี ไอ้ความรู้สึกที่แอบรักแอบชอบพ่อตัว” ผมว่าดีนจะเหมือนปาลินเข้าไปทุกวันแล้วนะ ตั้งคำถามได้ตลอด ที่ผมไม่อยากบอกเรื่องพวกนี้กับปาลินเพราะไม่อยากตอบคำถามที่ไม่อยากตอบ คิดว่าจะรอดแล้วนะ ดันมาเจอดีนอีกจนได้

“ไม่รู้สิ” เรื่องความรู้สึกมันอธิบายอยากนะ

“ต้องรู้สิ” ดีนก็ยังเซ้าซี้จะเอาคำตอบให้ได้

“ก็...” ผมถอนหายใจก่อนตอบ ดีนจะได้เลิกเซ้าซี้เสียที “เราไม่เคยรู้สึกเลยว่าคุณยะเป็นพ่อ” เมื่อเทียบกับตอนที่พี่เลม่อนบอกว่าคนในรูปคือพ่อของผม และตอนที่เขาลงจากรถมาหาเรื่องผม ผมยังรู้สึกถึงความเป็นพ่อออกมาจากร่างกายของคุณชลัชมากกว่าคุณยะซะอีก (ถึงแม้ตอนแรกที่ผมเจอเขาที่รีสอร์ต ผมจะไม่รู้สึกถึงสายเลือดและความผูกพันเลยก็ตาม)

“อ้าว ? ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นพ่อ แล้วรู้สึกว่าเขาเป็นอะไร”

“ตอนเห็นเขาผ่านจอคอมฯ ก็เหมือนเห็นของเล่นที่อยากได้มากๆ มั้ง คิดแต่ว่าสักวันของเล่นชิ้นนี้ที่อยู่ในจอจะต้องเป็นของเรา พอโตขึ้นก็เริ่มรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่ของเล่น แต่เราก็ยังอยากจะได้เขามาเป็นของเรา และยิ่งเขาไม่สนใจเรา ทำเฉยเมยใส่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าจะต้องเอาชนะเขาให้ได้ ทำให้เขาหันมาสนใจเราให้ได้ อะไรทำนองนี้แหละ”

“เฮ้อ... งงเข้าไปอีก”

“ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเข้าใจเลย ไม่ใช่เรื่องของดีนซะหน่อย” ผมว่า พลางรับแก้วเครื่องดื่มที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ เพราะดีนน่าจะสั่งมาให้ผมด้วย ส่วนเจ้าตัวนั้นดูดชาเขียวปั่นแก้วใหม่ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ไม่ใช่เรื่องของดีนก็เหมือนใช่นั่นแหละ” เจ้าตัวว่า พร้อมกับมองหน้าผมด้วยสายตาหวานๆ ทั้งที่หลายนาทีก่อนยังทำท่ารำคาญผมอยู่เลย “...เพราะดีนกำลังจีบพีอยู่นะ เรื่องของพี ดีนก็อยากจะรู้ให้มากที่สุด”

“แต่เมื่อกี้ยังทำหน้ารำคาญเราอยู่เลยนะ” ผมแซว เจ้าตัวหัวเราะคำพูดผมทันที

“เป็นตัวของตัวเองให้พีเห็นตั้งแต่ตอนจีบไง รู้สึกยังไงก็แสดงออกมาเลย พอเป็นแฟนกันแล้วพีจะได้ไม่หาว่าดีนเปลี่ยนไปไง”

“ตรรกะอะนะ” ผมส่ายหน้าเบาๆ ให้กับคำพูดของดีน ก่อนก้มตักเค้กชิ้นใหม่ที่ดีนสั่งมาให้เข้าปาก เค้กที่นี่อร่อยมาก ทำให้การเฝ้ารอของผมไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก อย่างน้อยก็มีความหวานหอมของเค้กคอยปลอบประโลมจิตใจ

แต่ก็นั่นแหละ ของทุกอย่างย่อมมีสองด้าน เค้กอร่อยก็จริง นั่งกินจนเพลิน วันหนึ่งผมกินเค้กไม่ต่ำกว่าสามชิ้น เครื่องดื่มอีกล่ะ ความอร่อยแสนหวานที่ตามมาด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น มันเพิ่มขึ้นจริงๆ นะครับ คุณยะยังทักเลยว่าผมอ้วนขึ้น

“อ้าว...น้อง โลกกลมชะมัด ไม่คิดว่าจะเจอน้องที่นี่” เสียงที่ดังใกล้เข้ามา ผมรู้สึกว่าคุ้นอย่างประหลาด รวมทั้งคำเรียกขานนั้นด้วย พอเงยหน้าขึ้นก็เจอเจ้าของคำทักทายที่ผมจำได้ทันทีว่าเป็นใคร

“สวัสดีครับพี่” ผมยกมือไหว้เขา ส่วนเขาก็ยกมือไหว้ผมแทบไม่ทัน คงไม่คิดว่าผมจะไหว้เขาละมั้ง “แล้วพี่มา...”

ผมค้างคำถามไว้เท่านั้น คำที่เหลือหลุดออกจากริมฝีปากมาไม่ได้ เพราะคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้างพี่คนนี้ทำให้ผมต้องปิดปากอย่างรวดเร็ว

...พ่อ

ในที่สุดความบังเอิญก็มีจริง แม้จะเป็นความบังเอิญที่มาจากความตั้งใจของผมก็ตาม

“น้องชาย...คุณยะนี่เอง”

ผมคิดว่าเขาจงใจยั่วผมน่ะ อยากปาความจริงใส่เขาให้รู้แล้วรู้รอด จะได้เลิกกล่าวหาความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะซะที

“ช่วงนี้มาบ่อยนะ เห็นมาทุกวัน”

อยากจะเถียงกลับไปว่า ผมไม่ได้มาทุกวันซะหน่อย เขาจะมาเห็นผมทุกวันได้ยังไง แต่ก็สะดุดตรงที่เขาบอกว่า ‘เห็นผม’ นี่แหละ

เขาเห็นผมมาที่นี่ด้วยเหรอ ?

หรือเขาแค่พูดมั่วๆ แต่ดันใกล้เคียงความจริง

“มีอะไรกับฉันหรือเปล่า ?”

คำถามของเขาทำให้ผมใจสั่นขึ้นมาทันที กลัวว่าเขาจะฉลาดจนเดาเรื่องทุกอย่างออก เพราะถ้าผมหน้าเหมือนแม่ ใบหน้าของผมก็คงจะสะกิดใจเขาบ้าง

“...” ใจสั่นจนหาเสียงตัวเองไม่เจอแล้ว ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ จะพูดก็พูดไม่ได้ เพราะไม่รู้จะงัดเอาคำโกหกไหนมาตอบเขา สมองผมรวนไปหมดแล้ว

“เพื่อนผมชอบเค้กร้านนี้” และเป็นดีนที่ช่วยผมไว้ทัน

เฮ้อ...เพิ่งเห็นข้อดีของการมีดีนมานั่งเป็นเพื่อนก็ตอนนี้แหละ

“อร่อยกว่าที่พุฒิธาดาอีกงั้นเหรอ” เขาแกล้งรวนผมอีกแล้ว “ถ้าฉันเป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่ที่นั่นคงเสียใจแย่ที่น้องชายเจ้าของโรงแรมมากินเค้กถึงที่นี่ เพราะอร่อยกว่าที่นั่น ทั้งที่ออกจะเป็นร้านดัง” ก็จริงอย่างที่เขาว่า ร้านเบเกอรี่ที่พุฒิธาดาเป็นหนึ่งในสามร้านดังตลอดกาลเชียวนะ ถึงเค้กที่นี่จะอร่อยมากก็ตาม แต่ที่พุฒิธาดาชนะเลิศกว่า

แต่ว่าประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น!

มันอยู่ที่คำพูดของเขามากกว่า นี่ขนาดเขายังไม่รู้ว่าผมเป็นลูกที่เขาไม่ต้องการ เขายังฟาดฟันผมด้วยคำพูดร้ายกาจขนาดนี้ ไม่สนว่าผมจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ฝีปากยังสู้คนอายุมากกว่าไม่ได้ ถ้าเขารู้ว่าผมเป็นลูก ปากของเขาจะทำร้ายผมได้มากขนาดไหนกันนะ คุณยะว่าร้ายแล้วก็สู้เขาคนนี้ไม่ได้เลยจริงๆ

“ดีนกลับเถอะ” ผมหันไปบอกดีน พยายามข่มความหงุดหงิดไว้สุดฤทธิ์ ไม่อยากตอบโต้ให้ตัวเองต้องมานั่งเสียใจทีหลังที่พูดไม่ดีกับบุพการี ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพ่อผมจริงๆ ก็เถอะ

ดีนรีบเก็บการ์ตูนใส่กระเป๋าทันที ส่วนคนที่เดินเข้ามาทักผมคนแรกนั้น ตอนนี้ถอยไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังเจ้านายของตัวเองแล้ว ผมเดาเอานะว่าต้องใช่แน่ๆ เพราะเขาซื้อรีสอร์ตของคุณแก้วไปแล้ว ก็มีสถานะเป็นนายจ้างของพนักงานของที่นั่นทุกคน

“ไปพี” ดีนลุกขึ้นและคว้าแขนผมลุกเจ้าเก้าอี้ พาเดินไปที่เคาน์เตอร์ของร้านเพื่อจ่ายค่าน้ำและขนม

ผมให้ดีจ่ายให้ก่อนเพราะยังไม่มีอารมณ์อยากจะล้วงกระเป๋าตังค์ออกจากกระเป๋าเป้ เนื่องจากเจ้าของคำพูดร้ายกาจยังเดินตามผมมา ดูเขาตั้งใจหาเรื่องผมเต็มที่เลย เหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็กก็ไม่ปาน

“ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ ลืมพกมารยาทมาด้วยหรือไง หรือที่บ้านไม่ได้สอนว่าควรปฏิบัติยังไงกับคนที่อายุมากกว่า”

“อ้าวลุง!” ดีนหันมาทันที เสียงขุ่นจัดตามสไตล์เด็กหลังห้อง หลังจากยื่นแบงค์พันสามใบให้พนักงานของทางร้านเรียบร้อย “ลุงอย่าลามปามเพื่อนผมสิครับ เป็นผู้ใหญ่ก็หัดมีมารยาทกับเด็กบ้าง ไม่อายพนักงานหรือไงที่เดินตามมากัดเด็กอยู่ได้”

“ดีน...พอ” ผมรีบห้ามดีน แล้วก็หันไปรับเงินทอนที่พนักงานวางบนถาดส่งมาให้ แต่ก็หยิบออกมาไม่หมดหรอก เหลือว่าให้เป็นค่าสถานที่ด้วยเพราะผมกับดีนยึดโต๊ะตัวนั้นไว้ตลอดตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ

“แล้วนี่ใคร ?”

แทนที่จะสะอึกหรือหน้าตึงกับคำพูดของดีนที่ไม่ให้เกียรติอายุที่มากกว่าของตน และอายุของเขาก็ไม่น่าจะเป็นลุงของดีนได้ เขากลับยิ้มอ่อนให้กับความเกเรของเด็กคนหนึ่ง

“แฟน ?” ปากเขาช่างหาเรื่องจริงๆ

“เพื่อนครับ” ผมตอบอย่างใจเย็นที่สุด

“เพื่อน ? แน่ใจ ?”

“จะเพื่อน จะแฟน หรือจะเอากัน มันก็ไม่เกี่ยวกับลุง” ดีนเป็นฝ่ายเดือดแทนผม

ผมไม่รู้ว่าเขากับคุณยะเกลียดกันมากขนาดไหน ทั้งสองถึงได้เอาความโกรธเกลียดนั้นมาลงกับผมคนเดียวเลย ผมว่าที่เขาพูดจาแบบนี้ใส่ผม เพราะเห็นว่าผมเป็นคนของคุณยะ...คนที่เขาเกลียด

“ไปกันเถอะ” ผมดึงแขนดีนออกมา กลัวจะเปิดศึกฉะกับเจ้าของโรงแรม แบบนั้นพวกผมก็มีแต่แพ้กับแพ้ เป็นเด็กแต่ดันไม่มีมารยาท ถึงคนเริ่มจะไม่ใช่พวกผมก็เถอะ

ดีนฮึดฮัดแต่ก็ยอมตามมาโดยดี จนเดินพ้นออกมานอกตัวโรงแรมแล้วนั่นแหละ ผมถึงปล่อยแขนอีกฝ่ายให้เดินเอง
.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย

“หน้ามันกวนโอ๊ยจริงๆ ว่ะ” เจ้าตัวว่าอย่างมีอารมณ์ แต่ก็รีบขอโทษผมทันที เมื่อนึกได้ว่าคนคนนั้นเป็นพ่อผม “โทษทีที่ด่าพ่อของพี”

“เขาอาจจะไม่ใช่พ่อของเราก็ได้” แต่ใจผมนี่รู้สึกเกือบเต็มร้อยแล้วว่าเขาคือพ่อแท้ๆ ของตัวเอง

“ขอให้จริงเถอะ ไม่อยากให้พีมีพ่อแบบนี้เลยว่ะ ผู้ใหญ่อะไรหาเรื่องเด็ก ว่าแต่เขาดูเหมือนไม่ชอบพีเลย” ดีนยังไม่รู้ว่าคุณยะกับเขาเคยมีปัญหากัน “พีเคยไปทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า”

“ไม่เคย แต่เขาน่าจะเคยมีปัญหากับคุณยะ พอเห็นว่าเราเป็นน้องคุณยะเลยพานเกลียดไปด้วยละมั้ง”

“เข้าล็อก!” ดีนดีดนิ้ว แล้วพูดสรุป “สองคนนี้ต้องรักแม่ของพีทั้งคู่แน่ แล้วแย่งกันจีบแม่ของพี แต่สุดท้ายแม่ของพีก็เลือกพ่อของพี” ก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดเท่าไรหรอก

“คงงั้น”

“แท็กซี่มาแล้ว” พอเดินไปถึงถนน รถแท็กซี่ก็วิ่งมาจอดข้างผมกับดีน โดยที่ยังไม่ทันโบกเรียกด้วยซ้ำ “พีไปก่อนเลย เดี๋ยวเรารออีกคัน” ดีนบอก บ้านผมกับดีนอยู่คนละทางกัน เลยต้องนั่งคนละคัน

“ขอบใจ” แล้วก็หันไปบอกแท็กซี่ว่าให้ไปส่งที่ไหน

“แล้วพรุ่งนี้จะมาอีกไหม ?” ดีนถามตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ

“ไม่มาแล้ว” ช่วงนี้มาไม่ได้แล้วต่างหาก เขาบอกว่าเห็นผมทุกวัน ถึงเขาจะมั่วว่าผมมาทุกวัน แต่ผมก็อดคิดไม่ได้หรอกว่าเขาเห็นผมมาที่นี่บ่อยๆ อาจจะเห็นทุกครั้งที่ผมมาเลยก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่ควรมาบ่อยๆ เพราะจะทำให้เขาสงสัยและตามหาความจริงก็ได้ว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผมมาที่นี่

ผมกลัวเขาสืบเจอความจริงที่ผมไม่อยากให้เขารู้เลยจริงๆ

.

.

.

“คุณยะ...วันนี้มาได้หรือครับ” ผมแปลกใจที่เปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วเจอเขานั่งอยู่บนเตียง ทุกทีที่เขากลับมานอนกับผม เขาจะมาตั้งแต่ตอนค่ำ ไม่เคยสักครั้งที่จะมาเอาตอนเกือบห้าทุ่มแบบนี้ นี่ผมก็เพิ่งขึ้นจากสระเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเอง โชคดีเป็นบ้าที่เขาไม่เจอตอนผมแหวกว่ายไปมาอยู่ในน้ำนานสองนาน ไม่อย่างนั้นโดนบ่นจนหูชาแน่

เชื่อไหมว่า คุณยะเป็นผู้ชายที่ขี้บ่นเหมือนผู้หญิงเลย

“วันนี้ออกไปไหนกับใคร” เขาผิดปกติไป ไม่ตรงเข้ามากอดผมและกระซิบด้วยคำหวาน บอกว่าเขาคิดถึงผม เขาทำแค่ลุกขึ้นยืน ข่มให้ผมกลัวหน่อยๆ ด้วยความสูงใหญ่ของเขากับใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม และติดจะกรุ่นด้วยอารมณ์บางอย่างที่เขาดูจะระงับมันไว้อย่างที่สุด

“ไปกินเค้กกับปีครับ” เปลี่ยนจากดีนเป็นปาลิน เพราะคุณยะไม่ชอบดีนตั้งแต่วันที่ไปตามผมที่ผับแล้วเจอดีนกอดจูบผมนั่นแหละ แล้วพอมารู้ว่าเป็นคนสอนให้ผู้ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และให้ผมเล่นยา คุณยะก็ยิ่งไม่ชอบดีนเข้าไปอีก

เขาห้ามไม่ให้ผมคบกับดีน ผมก็รับปากนะ เพียงแต่ไม่ได้ทำตาม จะให้ผมเลิกคบดีนได้ยังไงในเมื่อดีนไม่ได้ผิดอะไร สิ่งที่ดีนยื่นให้ผม ก็เป็นเพราะผมเลือกที่จะรับมันมาเอง

“อย่าโกหกฉัน” เขาเสียงเข้มขึ้นและเต็มไปด้วยความโกรธที่ควบคุมไว้ไม่หมด ยื่นโทรศัพท์ให้ผมดูรูปที่อยู่ในนั้น รูปที่อยู่ในแชตไลน์ของเขากับพี่เลม่อน และมันเป็นรูปที่พี่เลม่อนน่าจะแคปมาจากเฟซบุ๊กของดีน เป็นรูปคู่ของผมกับเจ้าของเฟซฯ

ผมไม่น่าลืมเลยว่ามีคนชอบยุ่งกับชีวิตผม เพื่อทำให้ความรักระหว่างผมกับเขาพังลง

“ผมขอโทษครับ” ผมบอกเสียงเบา ยอมรับว่าตัวเองผิดที่โกหก

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกคบกับเด็กนั่น” เขาดึงโทรศัพท์กลับไป มองหน้าผมอย่างคาดโทษ

“แต่ดีนเป็นเพื่อนผม” ผมเถียงกลับเบาๆ กลัวเขาจะโกรธมากกว่าเดิม

“มีเพื่อนที่ไหนจะกอดจูบกันขนาดนั้น หลายครั้งแล้วนะพี” เป็นอีกครั้งที่เขายื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าผม ครั้งนี้เป็นรูปแอบถ่ายของผมกับดีนในชุดนักเรียน “แล้วนี่ทำอะไรกัน อธิบายมาพี นี่มันกลางวันและในโรงเรียนนะ” 

ผมจำได้ว่าเหตุการณ์ในรูปเกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว วันนั้นปาลินไม่สบาย ไม่มาเรียน ตอนเที่ยงผมเลยต้องนั่งอยู่คนเดียว แล้วดีนก็เข้ามานั่งคุยด้วย ที่จริงจะชวนผมไปสูบบุหรี่นั่นแหละ แต่ผมไม่ไป เจ้าตัวเลยเปลี่ยนใจและนั่งเป็นเพื่อนผม เรานั่งกันที่ม้าหินใต้ร่มไม้ แล้วผมก็เกิดเคืองตาขึ้นมา ไม่รู้ว่าขนตาหรืออะไรปลิวเข้าตาหรือเปล่า ดีนเลยช่วยดูให้ก็แค่นั้นเอง เหตุการณ์ไม่ได้เหมือนในรูปที่แอบถ่ายออกมาเลยสักนิด


รูปที่แอบถ่ายออกมาเหมือนผมกับดีนจูบกันเลย

“คุณยะก็น่าจะรู้นะครับว่ามันเป็นมุมกล้อง” ผมบอกอย่างใจเย็น รู้ว่าเขาโมโหที่ผมขัดคำสั่งเขา แถมเมื่อกี้ยังไม่ยอมบอกเขาไปตรงๆ ว่าวันนี้ไปกับดีนมา เขาเลยพาลไปเสียทุกอย่าง รูปแอบถ่ายที่เด็กปอสองมองยังรู้เลยว่าเป็นมุมกล้อง เขาก็ไม่น่าที่จะมองไม่ออก “พี่เลม่อนส่งให้คุณยะดูก็เพื่อจะให้โกรธพี ให้เราทะเลาะกัน แล้วก็เลิกกัน” ผมอธิบายเพิ่มเพื่อให้ความโกรธของเขาลดลง

“ฉันรู้” เขาดูจะใจเย็นลงมานิดหนึ่ง

“รู้แล้วทำไมถึงโกรธล่ะครับ คุณยะก็รู้ว่าน้องพีรักคุณยะคนเดียว ไม่อย่างนั้นน้องพีจะยอมอยู่แบบนี้หรือครับ” แล้วผมก็เดินเข้าไปกอดเข้า ซบใบหน้าลงบนอกเขาอย่างอ้อนๆ หูผมได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเขาชัดมาก มันเต้นแรงเพราะอารมณ์ที่ไม่ปกติ

“เธอไปทำอะไรที่โรงแรมนั่น” เขาจับไหล่ผมแล้วดึงตัวออกมา เขามองเข้ามาในตาผม “ไปที่สยาม ชโยดมทำไม”

“...” ผมเห็นทั้งความโกรธและหวาดกลัวในดวงตาสีราตรี มันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย กลัวเขาจะรู้ว่าผมรู้ความจริงเรื่องพ่อแล้ว กลัวเขาจะไล่ผมไปหาพ่อตัวเอง เพราะการที่ผมไปที่นั่นก็เหมือนว่าผมต้องการไปหาพ่อ กลับไปหาคนที่เป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผม ซึ่งไม่ใช่ความจริงเลย ผมไม่ต้องการกลับไปอยู่กับคนที่ไม่อยากให้ผมเกิด คนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นลูกและยืนอยู่ตรงหน้าเขาถึงสามครั้ง

“บอกฉันมาพี เธอไปทำอะไรที่นั่น” เขาคาดคั้นเอาคำตอบ มือเขากำไหล่ผมแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บหน่อยๆ ผมแปลกใจว่าในรูปที่ดีนโพสต์แล้วถูกแคปมาให้เขาดู ไม่มีส่วนไหนที่บอกถึงความเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในโรงแรมสยาม ชโยดมเลย

“ไปกินเค้ก” ผมบอกความจริงไปแค่ครึ่งเดียว

“พีอย่าโกหก” เขาไม่เชื่อ

“ก็... ดีนชวนไปกิน” ชีวิตผมจะมีแต่คำโกหกหรือไงนะ ยิ่งโตผมก็ยิ่งโกหกมากขึ้นทุกวัน แต่ก็ดีกว่าพูดความจริงแล้วทำให้ผมต้องไปจากเขา

“เธอไม่ได้ปิดบังอะไรฉันใช่ไหม”

“น้องพีไม่มีอะไรปิดบังคุณยะทั้งนั้น” ผมพยายามพูดให้เขาเชื่อ ถามเขากลับเพื่อให้เขาเข้าใจว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวลูกชายเจ้าของโรงแรมเลย “คุณยะโกรธพีหรือครับที่พีไปกินเค้กที่โรงแรมอื่น ไม่กินร้านเค้กที่โรงแรมของเรา” และก็ได้ผลมากทีเดียว

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับจะให้มันหอบเอาอารมณ์ที่ไม่ปกติของเขาออกไปให้หมด

“เปล่า” เขาเอ่ย

“แต่คุณยะเหมือนโกรธน้องพีเลย” ผมพยายามทำให้เขาเชื่อที่สุดว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยจริงๆ “ที่น้องพีไปกินเค้กที่ร้านนั้น เพราะดีนชวน บอกว่าเค้กที่นั่นอร่อยมาก น้องพีก็เลยต้องไปลองชิมว่าอร่อยมากจริงไหม”

“แล้วอร่อยไหมล่ะ” เขาเริ่มมีรอยยิ้ม ผมนี่โล่งอกเลย 

“อร่อยครับ” ผมรีบตอบ “แต่อร่อยสู้ร้านที่โรงแรมของเราไม่ได้” อันนี้จริงสุด

“งั้นเหรอ” รอยยิ้มเขาเริ่มเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเป็นประกายหวานเยิ้ม และมือที่ไล่ลงจากช่วงเอวของผมไปยังสะโพก “ฉันก็อยากกินเค้กอร่อยๆ เหมือนกัน”

...เค้กที่ไม่ใช่เค้ก นั่นแหละที่เขาหมายถึง

“พรุ่งนี้ไปกินสิครับ” ผมแกล้งทำไม่เข้าใจคำพูดและมือไม้ของเขาที่เปลี่ยนจากลูบแผ่วเบาเป็นขย้ำเป็นจังหวะเนิบช้า

“อยากกินเค้กก้อนนี้” ก้อนที่เขาโน้มใบหน้าลงมางับเข้าที่ปลายจมูก ก่อนเลื่อนลงมากัดริมฝีปากของผมอย่างอ้อยอิ่ง ราวกับกำลังละเลียดอยู่กับครีมสีขาวของเค้กก้อนเดียวที่มีในโลก

“อึก...คุณยะ...” แค่โดนเขาหยอกเย้าที่ริมฝีปาก ความรู้สึกภายในร่างกายก็เหมือนจะลุกฮือขึ้นอย่างง่ายดาย “...ทำกันไหม” ผมเป็นเด็กใจกล้าจริงๆ

แต่นาทีนี้ผมต้องกล้า เพราะเราสองคนไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ากันมานานแล้วจริงๆ เนื่องจากถูกสองเด็กแฝดขัดขวางด้วยความใส่ซื่อเสียทุกครั้งเลย แต่ครั้งนี้ความใสซื่อของเด็กแฝดคงมาขัดขวางผมกับคุณยะไม่ได้แล้ว เพราะคืนนี้ทั้งคู่ไปนอนที่เรือนไทยของอาภา

“ยังต้องถามอีกเหรอ” เขายิ้มหวาน ดันผมให้ก้าวถอยไปด้านหลัง ไปชนกับเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปบนที่นอนนุ่มของตัวเอง โดยมีร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยความต้องการไม่ต่างจากผมทาบทับลงมา จากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ร่างกายเรียกร้อง เสื้อผ้าถูกทอดทิ้ง ไร้ความจำเป็นในค่ำคืนนี้

ร่างเปลือยเปล่าของผมถูกจับพลิกให้คว่ำไปกับเตียงนอน สะโพกถูกยกขึ้นเพื่อให้นิ้วแกร่งที่ชุ่มเจลเนื้อใสสอดเข้าไปขยายช่องทางคับแคบให้พร้อมสำหรับฝากฝังสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเข้ามา

“พี... อยู่กับฉันนะ” เสียงแหบพร่าของเขากระซิบอยู่ชิดกับหูของผม ตัวตนร้อนจัดชำแรกเข้ามาอย่างช้าๆ ผิดจากที่เคย “...อย่าไปไหน”

“อือ...อะ...น้องพี...ไม่ไปไหน” ร่างกายผมสั่นสะท้านกับความแข็งกร้าวที่เข้ามาในช่องทางคับแคบของผมอย่างถึงที่สุดแล้ว

“ฉันรักเธอ” คำบอกรักของเขาทำให้หัวใจผมเต้นแรงเสมอ แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าคำบอกรักของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และเขาก็ยังย้ำคำพูดที่ไม่ต่างจากคำขอร้องซ้ำอีกครั้ง “...อย่าไปไหน”

ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าเขากำลังกลัวผมจะไปจากเขา หากผมรู้ความจริงว่าตัวเองเป็นลูกใคร เขากลัวว่าพ่อแท้ๆ ของผมที่เกลียดขี้หน้าเขาจะพรากเอาตัวผมไป

“น้องพีรักคุณยะ...น้องพีจะอยู่กับคุณยะ” ผมบอกเขาให้มั่นใจ ไม่มีทางที่ผมจะไปจากเขา “ต่อให้คุณยะไล่ น้องพีก็ไม่ไป...อะ...อื้อออ...” ผมถูกจับใบหน้าให้หันไปรับจูบหอมหวานที่เป็นเหมือนรางวัลสำหรับคำพูดที่ทำให้เขาพอใจ

“น่ารักแบบนี้ใครจะไล่ได้ลงคอ” เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ

“คุณยะไล่พีตั้งหลายครั้งแล้วนะ” ผมแกล้งเถียงกลับ แต่มันก็เป็นความจริงนะ

“ช่างจำเกินไปแล้ว” เขาว่าอย่างเอ็นดู

“ก็น้องพี...อะ...อืออ...” ผมขยับปากจะบอกว่าผมเป็นคนจำเก่ง ยิ่งเป็นคำบอกรักของเขา ผมก็ยิ่งจำได้ขึ้นใจ แต่พูดได้ไม่กี่คำก็ต้องหลุดครางออกมาแทน เพราะสะโพกสอบเริ่มขยับเข้าออกภายในช่องทางคับแคบนั้น

...แต่มันไม่เหมือนเดิม

ทุกครั้งที่มีอะไรกัน คุณยะจะไม่เชื่องช้าแบบนี้ หรือเขาไม่อยากทำ

“คุณยะ...ทำไมไม่ทำ...เหมือนเดิม...” ผมกลั้นใจถามออกไป ใจนี่เสียไปแล้ว “...ไม่อยากทำหรือครับ” เจอคำถามของผมเข้าไปเขาหยุดชะงักทันที ก่อนจะโน้มตัวลงมาหาผม

“กลัวน้องพีเจ็บ เลยต้องทำเบาๆ” ลมหายใจร้อนเป่ารดอยู่บนแก้มของผม มือลูบไล้ไปตามร่างกายผมอย่างทะนุถนอม เขาทำแบบนี้ทำให้ใจผมกลับมาดีเหมือนเดิม

“ทุกทีไม่เห็นกลัวเลย” ใส่ผมไม่ยั้งเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเห็นผมมีน้ำตา เขาก็ยิ่งทำให้ผมน้ำตาไหลไม่หยุด

“แต่ตอนนี้กลัวแล้ว” จมูกโด่งของคุณยะกดลงมาบนแก้มผม แช่ค้างอยู่อย่างนั้น พร้อมคำพูดแผ่วเบา “คุณยะกลัวทำให้น้องพีเจ็บ แล้วน้องพีจะหนีคุณยะไป”

“บอกแล้วว่าไม่หนีไปไหน ต่อให้ไล่ก็ไม่ไป” ผมยังยืนยันคำเดิม และเรียกร้องให้เขาทำแบบที่เคยทำมาตลอด “ทำเถอะครับคุณยะ น้องพีทนได้”

“ชอบความรุนแรงหรือไง” น้ำเสียงของเขาฟังดูมีความสุขมากขึ้นกว่าสามสี่ประโยคที่แล้ว

“ไม่ได้ชอบ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนเอ่ยป้อนคำหวานเอาใจเขา “แต่น้องพีรักคุณยะ อยากให้คุณยะมีความสุข คุณยะจะได้ไม่ไปกอดใครนอกจากน้องพีคนเดียว” คำหวานสำหรับเขา แต่ไอ้ที่ห้อยตามไปด้วยคือการขอร้องในแบบของผมเอง ไม่ขอตรงๆ หรอกแต่จะพูดให้เขาเห็นใจผมแทน

“ฉันไม่กอดใครแล้วนอกจากเธอคนเดียว”

“สัญญานะ” เวลานี้ผมก็ยังมีอารมณ์ยื่นนิ้วก้อยไปหาเขา เขาเกี่ยวก้อยกลับมาทันที

“สัญญา” เขายิ้ม หอมแก้มผม และสานต่อสิ่งที่ทำค้างไว้เมื่อครู่ ตัวตนร้อนจัดเริ่มเคลื่อนไหวในจังหวะที่ผมคุ้นเคยมาตลอด มันทั้งเจ็บ จุก อึดอัด เสียวซ่าน และมีความสุขปนกันไปหมด แต่ที่มากสุดคงเป็นความสุขที่ถูกเขาโอบกอดด้วยความรักในแบบที่เขาชื่นชอบ

ผมไม่รู้ว่าตัวเองชอบแบบไหน แต่ชอบทุกอย่างที่เขาทำกับร่างกายผม รุนแรงและอัดเต็มด้วยความต้องการในแบบของผู้ใหญ่

“อ๊ะ...!” ผมกรีดร้องยาวนานเป็นครั้งที่สอง และรับรู้ถึงสายน้ำอุ่นร้อนที่ฉีดพ่นอยู่ภายในช่องทางคับแคบของตัวเอง ร่างกายหนาชุ่มเหงื่อทิ้งทับลงมาบนตัวที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อไม่แพ้กันของผม

หัวใจของคุณยะเต้นรัวแรงไม่ต่างจากหัวใจของผม และผมชอบความรู้สึกตอนนี้ที่สุด เพราะได้สัมผัสทั้งตัวตนและหัวใจที่เต้นของเขา ราวกับว่าทุกอย่างของเขาเป็นของผมเพียงคนเดียว มีผมเพียงคนเดียวที่ได้เป็นเจ้าของเขา และผมเพียงคนเดียวที่ทำให้เขามีความสุขได้มากขนาดนี้

จนหายเหนื่อยบ้างแล้วเขาก็ทิ้งตัวลงไปนอนข้างกายผม ดึงตัวผมพลิกกลับมาหาเขา

“พี” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อผม มันทั้งอ่อนโยนและเรียกร้อง

“ครับ...อืออ...” ริมฝีปากของเขาประกบจูบลงมา หวานเหมือนเดิม

“สัญญากับฉันนะว่าจะไม่ไปที่โรงแรมนั่นอีก” เขาเป็นฝ่ายขอคำสัญญาจากผมบ้าง สิ่งที่เขาขอบอกให้ผมรู้ว่าเขายังเป็นกังวลกับเรื่องที่ผมไปสยาม ชโยดม

“ครับ พีสัญญา” สัญญาแล้วก็ตั้งใจว่าจะทำให้ได้ เพื่อให้เขาสบายใจ

เขายิ้มพอใจกับคำสัญญาของผม

“จำไว้เสมอนะพี ว่าฉันรักเธอ”

เป็นผมบ้างที่ยิ้มให้กับคำบอกรักของเขา

“ครับ”

ในเมื่อเขารักผม ผมก็จะทำให้เขาสบายใจ โดยจะไม่ไปที่สยาม ชโยดมอีก

.

.

.

แต่...

ใครจะคิดละว่าผมจะถูกดีนลากมาที่โรงแรมสยาม ชโยดมอีกจนได้ ทั้งที่รับปากคุณยะไปแล้วว่าจะไม่มาที่นี่อีก แต่วันนี้คุณยะบินไปภูเก็ตตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นว่าจะไปดูเกาะส่วนตัวที่เจ้าของซึ่งเป็นญาติกับเพื่อนคุณยะต้องการขายด่วนและคุณก็หาซื้อเกาะเพื่อทำโรงแรมในเครือพุฒิธาดาอยู่พอดีด้วย แว่วว่าเกาะที่นั่นน้ำทะเลสวยไม่แพ้มัลดีฟย์เลยนะ

แล้วอีกสองคุณยะถึงจะกลับ งั้นผมขอผิดคำพูดกับคุณยะวันหนึ่งละกัน แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ผมจะอยู่ในงานปาร์ตี้วันเกิดแฟนสาวของเก่งในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมสยาม ชโยดม

งานปาร์ตี้วันเกิดจัดในรูปแบบค็อกเทลครับ เน้นอาหารทานเล่นซะมากกว่า แต่ละเมนูทำมาเป็นชิ้นแบบพอดีคำ ไม่ต้องใช้ช้อนหรือส้อม เพราะทุกอย่างหยิบจับได้สะดวกด้วยไม้จิ้มอันเล็กๆ เท่านั้น ถึงจะเป็นเมนูทานเล่นแต่ถ้ากินทุกอย่างที่เจ้าของวันเกิดจัดมาให้แล้วละก็ ผมว่าอิ่มไม่ต่างจากอาหารจานหลักเลยนะ ยืนยันได้จากตอนนี้ที่ผมเริ่มอิ่มแล้วแต่ก็ยังยัดกุ้งบาบีคิวได้เข้าไปในท้องอยู่ ที่ผมเล็งต่อไปก็คงเป็นของหวานในช้อนกระเบื้องสีหวาน

ในงานไม่มีโต๊ะให้นั่งทานนะครับเพราะจะออกแนวยืนกินและยืนเต้นแบบมันๆ มากกว่า แต่ก็ยังมีโซฟาเดี่ยวให้ผมนั่งหลบมุมอยู่เงียบๆ คนเดียว ขณะที่ด้านหน้าผมเต็มไปด้วยเสียงเพลงและความสนุกสนานของทุกคนในงาน ยิ่งผมนั่งอยู่ในมุมที่เรียกว่าแทบจะลับตาคน เพราะซ่อนตัวเองไว้ในกลุ่มลูกโป่งที่ตั้งเรียงราย ผมก็ยิ่งเห็นคนในงานปาร์ตี้ที่มีไม่ต่ำกว่าห้าสิบคนอยู่ในอาการมึนเมาและเต้นกันสุดเหวี่ยงท่ามกลางแสงไฟสลัวแต่หลากสีสันจนคิดว่าพรุ่งนี้เช้าพวกเขาจะตื่นขึ้นมาในสภาพไหนกันนะ

เฮ้อ... อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ผมเองก็ด้วย นั่งอยู่นี่ก็ใช่ว่าจะนั่งตัวตรงได้นะ ผมคอพับคออ่อนไปกับพนักโซฟาเหมือนกัน ตัวนี่อ่อนไปยันกระดูกละ

เอาตามตรงเลยถึงดีนจะไม่คะยั้นคะยอให้ผมกินตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน ผมก็ใช่ว่าจะไม่หยิบขึ้นมาดื่มเอง เพราะว่าทั้งงานมีแต่เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำเปล่าตั้งอยู่บาร์ไม่กี่ขวดเอง แถมยังมีพนักงานเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มไปทั่วงาน ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์หรือหยิบจับขึ้นมาชงเอง ทุกอย่างดูสะดวกสบายไปเสียทุกอย่าง หมดแก้วก็แค่เปลี่ยนแก้วใหม่ และผมเองก็ไม่ปฏิเสธที่จะหยิบมันขึ้นมาดื่มตามประสาวัยรุ่นทั่วไป

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“ว่าไง ยอมแพ้แล้วเหรอ” ดีนที่ผมเห็นนัวเนียอยู่กับผู้หญิงรุ่นพี่เมื่อหลายนาทีก่อนเดินกลับมาหาผม อยากจะบอกว่ามีแค่กลุ่มดีน (ห้าคน) กับผมเท่านั้นที่เป็นเด็กมัธยมปลาย ส่วนที่เหลือเป็นนักศึกษากันทั้งนั้น เพราะว่าแฟนของเก่งเป็นเด็กมหา’ลัยครับ 

ดีนเดินมาพร้อมกับแก้วค็อกเทลบรรจุน้ำสีหวานแต่ฤทธิ์เดชของมันนี่จัดจ้านต่างจากหน้าตาลิบลับ เจ้าตัวยื่นแก้วค็อกเทลให้ผม พอผมรับมาถือก็ทิ้งตัวลงนั่งบนที่วางมือ แขนก็พาดมาบนไหล่ของผม ปลายนิ้วของดีนเคาะเป็นจังหวะไปตามเสียงดนตรีที่ปกคลุมไปทั่วห้องจัดเลี้ยง

“ไม่ไหวแล้วดีน” ผมบอก แต่ก็ยังยกเครื่องดื่มสีสวยจรดริมฝีปาก ปล่อยให้ความเย็นและรสชาติถูกใจวัยรุ่นของมันไหลลงไปในคอ ทิ้งเพียงกลิ่นและรสชาติที่ยังคลุ้งอยู่ในอุ้งปาก

ผมก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ได้ลิ้มลองรสชาติของแอลกอฮอล์แล้วหลงใหลไปกับมัน ยิ่งอยู่ในสถานที่แบบนี้ก็ยิ่งปฏิเสธไม่ได้ ที่สำคัญคือใจยังไม่แข็งแรงพอครับ ถ้าจะหยุดยกแก้วเครื่องดื่มได้ก็ต้องเดินออกไปจากเลี้ยงเท่านั้นแหละ

“กลับได้หรือยัง” ผมดูนาฬิกา ตอนนี้ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว ปาร์ตี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกเลย จำนวนแขกก็ยังเท่าเดิมนะผมว่า

“ก็ว่าจะชวนพีอยู่เหมือนกัน ขี้เกียจมีเรื่องกับเพื่อนพี่พราว” ประโยคแรกดีอยู่นะ แต่ประโยคหลังนี่ จะมีเรื่องกับใครอีกล่ะเนี่ย

“อย่าซ่าน่าดีน รุ่นพี่ทั้งนั้นนะ” มีพวกเราหกคนที่เด็กที่สุด “เกรงใจพี่พราวด้วย เค้าอุตส่าห์ชวนเรามางาน เดี๋ยวจะทำงานเขาพัง หมดสนุกกันหมด”

ดีนบอกว่าพี่พราวกับผม ถ้าจะนับญาติกันก็ยังได้เลยนะครับ เพราะพ่อของเธอเป็นพี่ชายของสามีน้องสาวของคุณชลัช

งงกันไหม ?

เอาเป็นว่านับญาติกันได้ในกรณีที่ผมเป็นลูกชายของคุณชลัชก็แล้วกัน เพราะถ้าไม่มีคำยืนยันจากคุณยะว่าผมเป็นลูกของคุณชลัช หรือยังไม่ได้ตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ความเป็นสายเลือดเดียวกัน ผมก็ยังมีโอกาสที่จะไม่เป็นลูกชายของเขา แม้เปอร์เซ็นต์จะน้อยนิดก็ตาม เพราะทั้งความรู้สึกของผมที่บอกว่าใช่ และตัวคุณยะเองที่ออกอาการอย่างมากที่รู้ว่าผมมาที่โรงแรมนี้

“รุ่นพี่ก็รุ่นพี่สิ คิดว่าดีนจะกลัวหรือไง” ดีนว่า พลางดึงตัวผมลุกจากโซฟา แล้วทิ้งตัวลงมานั่งแทนที่ผม จากนั้นก็ดึงตัวผมให้นั่งลงไปบนตัก

“ทำอะไร!” ผมตกใจที่ดีนจะดึงหน้าผมเข้าไปจูบ มือก็ยันหน้าเจ้าตัวเอาไว้ไม่ให้จูบปากผมได้สำเร็จ

“อย่าดิ้นสิ” บอกเสียงขุ่นแบบไม่พอใจ “ดีนแค่จะทำให้ไอ้เวรนั่นเห็นว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน”

“หา ?” ผมงง

“ก็มันกับเพื่อนเล็งพีอยู่น่ะสิ”

“ไม่จริงมั้ง” ผมคิดว่าหน้าตาตัวเองไม่ได้โดดเด่นพอที่จะทำให้ใครนึกอยากจะเล็งผมหรอกนะ

“จริง!” หน้าตาดีนนี่จะงับหัวผมได้อยู่แล้ว “ลองมันเสนอหน้ามาหาพีนะ ดีนกระทืบมันแน่”

“พวกพี่เขาเป็นผู้หญิงนะ ดีนจะกระทืบผู้หญิงหรือไง” ผมปรามความเป็นนักเลงของดีน ที่แม้แต่ผู้หญิงก็คิดจะทำร้ายได้ลงคอ

“นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่เนี่ยพี!” ดีนแทบจะตะคอกใส่หน้าผมแล้วมั้ง ผมว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายโดนกระทืบเสียก่อนละมั้ง ผมไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไป ดีนถึงได้ขึ้นขนาดนี้ “คิดว่าเป็นผู้หญิงมาชอบ ดีนจะหัวเสียหรือไง ที่หัวเสียอยู่เนี่ยเพราะมันเป็นผู้ชาย”

“ก็ไม่รู้ไง” ไม่คิดว่าจะมีผู้ชายมาชอบผมนี่นา 

“ตอนนี้รู้แล้วก็เอามือออกจากหน้าดีนซะที” ดีนสั่งเสียงขุ่น อารมณ์ไม่เย็นลงเลย “ดีนจะได้โชว์ให้พวกมันเห็นว่าพีเป็นแฟนดีน”

“จะทำไปทำไม” ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของดีน ทั้งที่ความจริงนี่ไม่ใช่ปัญหาเลยด้วยซ้ำ ก็แค่มีคนมาสนใจผม ผมไม่ได้สนใจตอบซะหน่อย 

“อย่าถามมากได้ปะ” มองผมตาเขียวละ แต่เสียงอ่อนลง “ดีนแค่ทำเหมือนจะจูบเท่านั้น ไม่จูบจริงหรอกน่า”

ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ไม่ยอมรวมมือเดี๋ยวดีนก็หงุดหงิดไม่เลิก ผมเอามือที่ยันคางดีนไว้ลงมาวางบนตักตัวเอง ปล่อยให้ดีนจับต้นคอผมกดให้โน้มลงมาหาใบหน้าของเขา ในมุมที่คิดว่าหากมีคนมองมาทางนี้ก็ต้องเห็นว่าผมกับดีนกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม

ทั้งที่ความจริงก็แค่...

“อื้อออ...”

แม่ง!

ดีนจูบผมจริงๆ จูบแบบสอดลิ้นเลย กว่าผมจะทันรู้ตัวก็ถูกล็อกหน้าล็อกคอเอาไว้เรียบร้อย ดิ้นไม่หลุด กำมือทุบไหล่ทุบหลังดีนไม่รู้กี่สิบที อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระ จนเจ้าตัวพอใจแล้วนั่นแหละถึงได้ยอมปล่อยผม

“นี่มันไม่ใช่อย่างที่พูดแล้วนะดีน!” ผมฟาดมือใส่ตัวดีนไปอีกหลายที แต่เจ้าไม่ยักจะสะทกสะท้าน ผมไม่ได้ตกใจนะที่ดีนจูบผม เราเคยจูบกันแล้ว แต่โมโหมากกว่าที่ดีนบอกว่าจะทำเหมือนจูบ แต่เอาเข้าจริงก็จูบผมจริงๆ

“เอาน่า ดีนแค่เล่นให้สมบทบาท พวกนั้นจะได้เลิกสนใจพีไง” ดีนว่า

“งั้นกลับได้หรือยัง” ผมผ่อนอารมณ์ลง พยายามคิดว่าที่ดีนทำเพราะหวังดีไม่อยากให้รุ่นพี่พวกนั้นมายุ่งกับผม

“ได้” ว่าแล้วก็ดันตัวผมลุกขึ้น ก่อนลุกขึ้นตาม “แต่ไปโชว์ให้พวกมันดูอีกนิดหนึ่งก่อน”

ผมยังไม่ทันได้อ้าปากห้ามด้วยซ้ำ ดีนก็เอาตัวผมไปเต้นอยู่กลางห้อง พร้อมกับเครื่องดื่มในมือคนละแก้ว ผมจำต้องฝืนเต้นไปบ้าง แต่พอเต้นๆ ไปมันก็สนุกดี เสียงดนตรีที่ผมไม่ชอบเท่าไรก็คล้ายจะรื่นหูขึ้น มีเอ้กับต้นควงสาวสวยที่ส่วนเว้าส่วนโค้งโคตรชัดเจนมาก แต่ไม่เห็นเก่งกับอ้ายเลย

จนกระทั่งเครื่องดื่มในมือหมดเป็นแก้วที่สี่ ดีนถึงได้ดึงตัวผมไปหาพี่พราว พูดอะไรอยู่สองสามประโยคที่ผมไม่ได้ยิน เพราะเสียงดนตรีมันกลบหมด แถมสองคนนั้นก็พูดเหมือนจะกินหูกันเลย

ถึงหูไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนกระซิบกระซาบอะไรกัน แต่ผมก็เห็นพี่พราวหยิบเอาคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋าใบเล็กสีส้มแต่ราคาแพงสุดๆ ยื่นให้ดีน ได้คีย์การ์ดมาดีนก็หันไปทางพวกพี่ผู้ชายที่ยืนถือแก้วเหล้าและสูบบุหรี่ไปด้วย แล้วชูคีย์การ์ดให้พวกนั้นดู ก่อนจะกอดคอพาผมออกมาจากงานปาร์ตี้

“หึ... ให้รู้ซะบ้างว่าของใครเป็นของใคร” พูดอย่างอารมณ์ดี เราสองคนเดินตามทางที่จะพาไปจบที่หน้าประตูลิฟต์

“ปล่อยได้แล้ว” ผมพยายามเอามือดีนออกไปจากไหล่ แต่ดีนก็ยังยื้อเอาไว้ ผมเลยปล่อยเลยตามเลย อีกอย่างผมก็เมามากแล้วด้วย ดีนกอดคอผมไว้ก็เหมือนช่วยประคองผมไปในตัว

“เล่นตัว” ดีนพึมพำเบาๆ เจ้าตัวก็เมาไม่ต่างจากผมเท่าไร ดีนดื่มเหล้าเก่งนะ แถมยังคอแข็งด้วย ตอนอยู่ในงานปาร์ตี้ผมเห็นดีนไม่ยอมปล่อยให้มือว่างจากเครื่องดื่มเลย ทั้งดื่มทั้งเต้น มีนัวเนียกับผู้หญิงด้วย ตั้งแต่เลิกกับมายด์ ผมก็ไม่เห็นว่าดีนจะคบกับใครอีกเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมหรือเปล่าที่ทำให้ดีนไม่สนใจผู้หญิงคนไหน แต่เรื่องนัวเนียตอนเมาเนี่ยมีแน่นอน

“กดขึ้นชั้นบนทำไม” ผมถามเมื่อเข้ามาในลิฟต์แล้วดีนกดปุ่มตัวเลขไปที่ชั้นยี่สิบ ไม่ใช่ล่างตามที่ควรต้องเป็น

“เมาแล้วขี้เกียจกลับบ้าน นอนนี่ละกัน พี่พราวให้อันนี้มาแล้วด้วย”

‘อันนี้’ ที่ดีนชูให้ผมดู คือคีย์การ์ดที่ผมเห็นพี่พราวหยิบออกจากกระเป๋ามาให้ดีน

“แต่เราไม่ได้บอกที่บ้านไว้นะว่าจะค้างที่นี่” วันนี้ผมขออนุญาตคุณปู่กับคุณย่า แต่ไม่ได้บอกหรอกว่างานปาร์ตี้จัดที่โรงแรมสยาม ชโยดม เพราะกลัวว่าท่านทั้งสองจะเผลอพูดให้คุณยะฟัง ถ้าคุณยะรู้ว่าผมมาที่นี่ทั้งที่รับปากเขาไว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะโดนโกรธขนาดไหน แถมยังมากับดีนอีกด้วย

“ก็โทรไปบอกสิจะยากอะไร” พูดง่ายตลอด

“แต่...” ผมจะค้าน แต่ก้มดูสภาพตัวเองแล้วก็คิดว่าค้างที่นี่น่าจะดีกว่า ขืนกลับไปสภาพนี้ถ้าคุณปู่คุณย่ายังไม่เข้านอน ท่านทั้งสองคงผิดหวังในตัวผมน่าดูเลย

สุดท้ายผมก็ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นยี่สิบ ผมก้าวตามดีนออกไป พลางกดโทรไปด้วย แล้วก็ยกขึ้นแนบหู ฟังเสียงรอสายไม่นานก็ได้ยินเสียงของอีกฝั่ง

“น้องพีใกล้ถึงแล้วหรือคะ” พี่วิภาถาม น้ำเสียงงัวเงียหน่อยๆ 

“เปล่าครับ”

“อ้าว ยังไม่กลับหรือคะ แต่ดึกมากแล้วนะคะ”

“คือพีโทรมาบอกว่าคืนนี้จะนอนที่คอนโดฯ ปีครับ พี่วิภาช่วยบอกคุณปู่กับคุณย่าด้วยนะครับ” เพราะผมไม่กล้าบอกเอง กลัวท่านได้ยินเสียงที่ผิดไปจากปกติ (เสียงคนเมาน่ะครับ) แล้วจะจับได้ว่าผมดื่มเหล้า เลยต้องโทรให้พี่วิภาบอกพวกท่านแทนผม

“คุณท่านทั้งสองเพิ่งเข้านอนไปเมื่อกี้เองค่ะ”

โล่งอกไปหน่อย

“ที่ไม่กลับมาเพราะดื่มเหล้าใช่ไหมคะ” พี่วิภาถาม คงรู้ได้จากเสียงคนเมาของผมนี่แหละ

“ครับ” กับพี่วิภาไม่มีอะไรต้องปิดแล้ว เพราะเจ้าตัวรู้ว่าผมดื่มเหล้า “งั้นแค่นี้นะครับ พี่วิภาไปนอนเถอะครับ”

“ค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะน้องพี”

“ครับ”

รับคำเสร็จผมก็ลดโทรศัพท์ลง กดวางสายแล้วก็ยัดกลับไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม เงยหน้าขึ้นมาก็เดินมาถึงประตูห้องที่ผมจะต้องนอนคืนนี้

“แล้วพี่พราวนอนไหนล่ะ” ผมถามด้วยความสงสัย คิดว่าห้องนี้พี่พราวคงเปิดไว้นอนหลังปาร์ตี้จบ

“นอนกับเก่งไง”

“หา ?” ผมตาโตเลย คือถึงผมจะมีอะไรกับคุณยะตั้งแต่อายุยังไม่เต็มสิบหก และถึงแม้พี่พราวจะเป็นเด็กมหา’ลัย แต่ว่าการที่เจ้าตัวเพิ่งคบกับเก่งไม่ถึงสองสัปดาห์ (ดีนบอกอย่างนั้น) ก็จะนอนห้องเดียวกันแล้วนี่นะ เอาตรงๆ คือผมก็ไม่ได้โลกสวยมากพอที่จะคิดว่าเก่งกับพี่พราวจะนอนจับมือกันเฉยๆ หรอก

“ตกใจทำไม มีอะไรน่าตกใจ วิน-วินทั้งสองฝ่าย” ดีนหัวเราะ ตอนแรกเหมือนจะเสียบคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้อง แต่ก็เปลี่ยนใจเดินเลยไปที่ประตูของห้องติดกันแทน ผมก็เดินตามไปด้วย

ดีนเคาะประตูห้องสองสามที แล้วหยุด สักพักประตูห้องก็เปิดออก คนที่เปิดประตูห้องออกมาคือเก่ง หน้านี่แดงก่ำเลย ผมคิดว่าไม่ได้แดงเพราะเหล้าที่กินเข้าไปหรอก แต่เพราะโกรธหรือโมโหอะไรสักอย่างมากกว่า


“อ้ายมันก่อเรื่องอะไรอีกวะ” ดีนถามเพื่อน

“เหมือนเดิมแหละ เมาแล้วงอแงจะเอาโน่นเอานี่” เก่งตอบอย่างเซ็งๆ

ผมได้ยินเสียงโวยวายเบาๆ ของอ้ายลอดออกมาด้วยแหละ

“ต้องให้กูช่วยจัดการไหม”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวก็หมดฤทธิ์เองแหละ”

“พี่พราวฝากมาให้” ดีนล้วงเอาคีย์การ์ดอีกใบออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้เก่ง “ถ้าไม่ลงไปที่งานอีก ก็เข้าไปกระดิกเท้านอนรอพี่พราวได้เลย เห็นบอกว่าอีกสักครึ่งชั่วโมงก็จะขึ้นมาแล้ว”

“ขอบใจ แล้วนี่...” เก่งมองหน้าผมนิดหนึ่ง แล้วก็หันไปยิ้มกับเพื่อนตัวเอง “...โชคดี” พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็ถอยกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู

“เมื่อกี้ยิ้มทำไม” ผมเริ่มระแวง

“ปากไม่ได้มีไว้พูดอย่างเดียวนะพี ไม่รู้หรือไง” ดูตอบดิ “เอาน่าอย่าคิดมาก ดีนไม่ทำอะไรคนที่ไม่เต็มใจหรอก”

จะเชื่อได้ไหมเนี่ย แต่ที่ผ่านมาดีนก็ดีกับผมมากนะ หวังดีกับผมไม่ต่างจากปาลินเลย ถึงนิสัยจะต่างกันก็เถอะ

“ปะ เข้าห้อง” ดีนดันตัวผมกลับไปที่ประตูห้องเดิม สอดคีย์การ์ดและผลักประตูเข้าไป ดีนก้าวเข้าไปก่อน พอผมเดินตามเข้าไปและประตูห้องยังไม่ทันปิดสนิทด้วยซ้ำ ก็ถูกดีนผลักไปติดกำแพงข้างประตู ก่อนที่เจ้าตัวจะประกบจูบลงมาบนปากผม

“อื้ออ...ยะ...อย่าดีน” ผมพยายามเบี่ยงหน้าหนีริมฝีปากของดีน ผลักตัวดีนออกไปแต่สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ กลายเป็นว่าตอนนี้ดีนทั้งกอดทั้งลูบไปตามผิวกายใต้เสื้อของผมไปแล้ว “ดีน...ไหนบอกจะไม่ทำไง” ผมรีบร้อห้วงเสียงห้วนจัดเมื่อริมฝีปากมีโอกาสเป็นอิสระ 

“นิดเดียวได้ไหมพี รู้ปะว่าดีนจะทนไม่ไหวแล้วนะ” ดีนพูดตาเยิ้ม “ยิ่งเห็นพวกนั้นจ้องจะงาบพี ดีนยิ่งหงุดหงิดว่ะ”

“ก็ไปต่อยพวกนั้นสิจะได้หายหงุดหงิด” ครั้งนี้ผมจะไม่ห้ามเลย ดีกว่าให้ดีนเอาอารมณ์หงุดหงิดมาเอาเปรียบผมอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้

“ไม่อะ แบบนี้ดีกว่า” ว่าพลางจูบปากผมต่อ ดีที่ผมไหวตัวได้ก่อนเลยเม้มปากแน่นเลย “อย่าดื้อดิวะพี ดีนชอบพีจริงๆ นะ”

“แต่เราไม่ได้ชอบดีน” ผมบอกอีกฝ่ายผ่านริมฝีปากที่ถูกปิดไว้ด้วยอุ้งมือของตัวเอง

“เจ็บว่ะ” สีหน้าและน้ำเสียงของดีนไม่ต่างจากคำพูดที่ปล่อยออกมา “ไม่คิดจะหวั่นไหวกับดีนสักนิดเลยหรือไง”

“...” ผมส่ายหน้า ผมไม่เคยหวั่นไหวกับใคร ไม่เคยนึกอยากรักใครเท่ากับที่อยากจะรักคุณยะ

“รู้ตัวไหมว่าพีใจร้ายมาก” เจ้าตัวตัดพ้อ ดวงตาหม่นแสงลง “แล้วมาให้ความหวังดีนทำไมวะ”

“...เราไม่เคย” ผมพูดออกมาช้าๆ เพราะกลัวคำพูดของตัวเองจะไปทำให้คนที่ผมคิดว่าเขาคือเพื่อนเสียใจไปมากกว่านี้

“แล้วที่คุยกับเราทุกวันนี่ ไม่ใช่ให้ความหวังหรือไง”

“ดีนเป็นเพื่อน” ผมให้ได้แค่นี้

“พีก็รู้ว่าดีนอยากเป็นมากกว่าเพื่อน”

“...” ผมรู้ เพียงแต่ผมคิดว่าดีนคงไม่จริงจัง สักพักก็คงมีเป้าหมายใหม่

...ก๊อก...ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ช่วยให้ผมหาวิธีออกจากสถานการณ์ตึงเครียดนี้ได้ ผมเอื้อมมือจะไปเปิดประตูห้องให้คนข้างนอก ที่ผมเดาว่าอาจจะเป็นเก่งหรือไม่ก็พี่พราวคนที่ให้คีย์การ์ดห้องนี้กับดีน

“ไม่ต้องเปิด” ดีนดึงมือผมไว้ก่อนที่จะเอื้อมถึงประตู

“เผื่อเป็นเก่งหรือพี่พราว” ผมบอก พยายามดึงมือออก แต่ดีนก็กำมือผมไว้แน่นเลย

“ช่างแม่งสิ ไม่อยากอยู่กับดีนขนาดนี้เลยหรือไง” ก็ใครอยากจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้กันเล่า ที่สำคัญผมก็มีคนที่สามารถกอดจูบผมได้คนเดียวเท่านั้น คือคุณยะ

...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังรัวขึ้นอีกครั้ง

“ดีนเปิดเถอะ เผื่อเก่งมีเรื่องให้ช่วย อาจจะตามให้ดีนไปช่วยดูอ้ายก็ได้” ผมพูดกล่อม

“อ้ายมันตัวแค่นั้น เก่งมันเอาอยู่น่า ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” ดีนพูดอย่างไม่สบอารมณ์

...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

“เปิดเถอะ...อื้อออ...” ดีนจูบผมอีกจนได้ ผมจะเม้มปากไม่ให้ลิ้นของดีนเข้ามาในปากก็ไม่ทันเสียแล้ว แถมครั้งนี้ดีนไม่ใช่แค่เอามือลูบตัวผม แต่เจ้าตัวเลื่อนมือไปยังเป้ากางเกงผมแล้วขย้ำ

“เป็นของดีนนะ” เสียงแหบพร่าอย่างคนเมากระซิบติดริมฝีปากผม ก่อนจะลากเอาตัวผมเข้าไปด้านใน ความเมาทำให้ดีนดูจะมีแรงมากยิ่งขึ้น ผิดจากผมที่เหมือนจะอ่อนแรงลง

“ไม่นะดีน!” ผมถูกผลักลงไปบนเตียง มีร่างของดีนทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับประกบจูบลงมาอีกครั้ง “อื้อออ...ดีน...หยุด” ผมยกมือจะทุบอีกฝ่าย แต่เจ้าตัวก็รู้ทัน จับแขนผมกดแนบไปกับเตียง 

ริมฝีปากของผมตกเป็นของดีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมอยากจะร้องไห้แต่น้ำตามันไม่ไหล มันอาจเป็นความผิดของผมเองที่เผลอไปให้ความหวังดีน

ถ้า...ถ้า...ดีนไม่หยุด ผมจะทำยังไงดี ผมจะกล้าเอาหน้าไปสู้คนที่ผมรักได้ยังไง คุณยะต้องโกรธผมมากแน่ๆ ทั้งที่เขาบอกผมแล้วว่าให้เลิกคบกับดีน แต่ผมก็ยังดื้อเพราะคิดว่าดีนเป็นเพื่อนและเขาดีกับผมมาตลอด ถึงจะพาผมเกเรไปบ้างก็เถอะ แต่ข้อนี้ผมไม่โทษดีนหรอก

“เกลียดดีนไหม” จู่ๆ ดีนก็หยุดการกระทำลง เขาปล่อยมือจากแขนผม แต่ยังคร่อมอยู่เหนือร่างของผม

“ไม่” ผมส่ายหน้า เพราะผมคิดว่าดีนคือเพื่อน และผมก็มีส่วนผิดด้วย

“ขอโทษ ไม่ทำแล้ว แต่ขอจูบหน่อยนะ นิดเดียวก็ได้”

“...” ท่าทีที่อ่อนลงของดีนทำให้ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ อย่างน้อยผมก็คิดว่ามันจะช่วยปลอบโยนความเจ็บปวดของดีนได้

“ให้ได้แบบนี้สิ นี่แหละรู้ไหมว่าคือการให้ความหวัง” ดีนยิ้มอ่อน เจือแววเศร้า “อยากโดนอีกใช่ไหม ถึงได้อ่อยดีนแบบนี้ มันน่าจัดให้สักดอกสองดอก” แต่คำพูดนี่ไม่น่าสงสารเลยสักนิด

“ลุกไปเลยนะ!” น่าโมโหชะมัด

“ไม่อยากลุกอะ” เจ้าตัวทำหน้ากวนโอ๊ยมาก “แล้วพีก็อนุญาตให้ดีนจูบแล้วนะ ดีนจะพลาดโอกาสดีๆ ได้ยังไง ถือว่าจูบทิ้งทวนก่อนที่จะไม่ได้จูบอีกต่อไป” พูดจบก็ลดใบหน้าลงมาหาผม เป้าหมายของดีนคือริมฝีปากของผม และอีกแค่นิดเดียวเท่านั้นดีนก็จะถึงเป้าหมายที่ต้องการ หากเสียงเปิดประตูจะไม่ดังขึ้นมาเสียก่อน

...แกรก

พร้อมกับร่างของผู้ชายสองคนที่โผล่เข้ามาให้เห็นพร้อมกัน คนหนึ่งพกความโกรธมาเต็มใบหน้า ส่วนอีกคนมองผมด้วยสายตาที่ติดจะดูถูกผมหน่อยๆ เพราะสถานการณ์บนเตียงของผมกับดีนสมควรที่จะถูกมองอย่างนั้นจริงๆ

“คุณยะ...”

ชื่อของผู้ชายคนที่ผมรักเขาหมดหัวใจหลุดออกมาจากริมฝีปากอย่างเบาบาง แต่ก็เหมือนดังยิ่งกว่าเสียงของสายฟ้าฟาด

ส่วนอีกคนคือ...คุณชลัช

จบตอนที่ 29
(สักตีสองตีสามหรือตีสี่จะเอาตอนที่ 30+31 มาลงนะคะ ขอรีไรท์ให้เสร็จก่อน)

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 30

“กี่ครั้งแล้วพี”

เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ผมเดินตามเขาออกมาจากห้องพักชั้นยี่สิบของสยาม ชโยดม จนถึงเพ้นต์เฮ้าส์ชั้นสามสิบสองของพุฒิธาดา เพิ่งเปิดปากเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเข้ามาเจอผมกับดีนอยู่ด้วยกันบนเตียงในสภาพล่อแหลม ที่มองอย่างไรก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่เขาไม่ควรคิดแบบนั้น เพราะเขาก็รู้ว่าผมมีแค่เขาคนเดียว รักเขาคนเดียว

“บอกฉันว่าเธอนอนกับมันกี่ครั้ง” เขาถามย้ำ ไม่หันกลับมามองหน้าผมเลยด้วยซ้ำ

ตั้งแต่ออกจากโรงแรมสยาม ชโยดม เขาแทบไม่มองหน้าผมเลย เอาแต่เงียบ ผมรู้ว่าเขากำลังข่มความโกรธเกรี้ยวไว้อย่างสุดความสามารถ ผมถึงได้นั่งเงียบมาตลอดทาง จนถึงตอนนี้แหละที่ผมกับเขามีคำพูดต่อกัน

“คุณยะกำลังเข้าผิด” ผมเดินเข้าไปกอดเขาจากด้านหลัง ซบหน้าไว้กับแผ่นหลังกว้าง ไอร้อนระอุออกมาจากร่างกายเขาแบบที่ผมสัมผัสได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่ความอบอุ่นที่เป็นมาตลอด “พีไม่เคยนอนกับดีนนะครับ เราเป็นเพื่อนกัน” ถึงดีนอยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนก็ตาม แต่สำหรับผมดีนคือเพื่อน ไม่ต่างจากปาลิน

“แล้วที่ฉันเห็นมันคืออะไร”

“คือ...” จะบอกยังไงดี ผมนึกคำโกหกไม่ออกเลย บอกความจริงก็ไม่ได้

“คืออะไรล่ะพี” ครั้งนี้เขาปลดมือผมออกจากตัว หันกลับมาจ้องหน้าผม สายตาของเขาขุ่นคลั่ก พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ “ที่ฉันเห็นคือเธอนอนอ้าขาให้มัน!” เขาจับไหล่ผมเขย่า

“เรา...เอ่อ...เราแค่เล่นกันครับ” มันเป็นคำแก้ตัวที่โง่เง่าและเขาไม่เชื่อ

“เล่น!” เขาตะคอกเสียงขุ่นจัด มือที่กำไหล่ผมไว้เพิ่มแรงบีบลงมาจนผมเจ็บ แต่ก็ไม่กล้าบอกให้เขาปล่อย ตอนนี้ร่างกายเขาไม่ต่างจากภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุ “เล่นกันบนเตียง เล่นจูบปากให้คนเห็นทั้งงานงั้นเหรอพี”

“...!?” ที่เขาพูด หมายถึงที่ดีนจูบผมในปาร์ตี้วันเกิดพี่พราวอย่างนั้นเหรอ และผมก็ได้คำตอบ เมื่อเขาปล่อยมือจากไหล่ผม ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า สักพักก็ยื่นรูปถ่ายที่ถูกส่งมาให้เขาในแชตไลน์

ทำไมทุกอย่างต้องมีหลักฐานด้วยนะ!

“ดูให้หมดพี” เขายัดโทรศัพท์ใส่มือผม “แล้วตอบฉันมาว่าเธอเล่นแบบนี้กับมันมากี่ครั้งแล้วหะ!”

ผมเลื่อนปลายนิ้วบนหน้าจอสี่เหลี่ยมของโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นไป เพื่อดูรูปถ่ายของผมกับดีนตั้งแต่เข้ามาในงานจนถึงตอนที่ถูกดีนกอดคอออกจากห้อง คนที่ถ่ายรูปผมจับภาพทุกช่วงเวลาที่ผมสนุกสนานอยู่กับเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ ควันบุหรี่ที่ลอยออกจากริมฝีปากของผม แผ่นหลังของผมที่กำลังนั่งอยู่บนตักของดีนและจูบกัน รวมทั้งตอนที่ผมถูกดีนดึงเอาตัวไปเต้นอยู่กลางห้องท่ามกลางเสียงดนตรีหวีดดังและแสงไฟหลากสีที่ไม่ต่างจากในเทคหรือผับ มีแม้กระทั่งรูปที่มือของดีนวางอยู่บนสะโพกของผมตอนที่เต้นกันอยู่นั้น ผมเองก็เพิ่งรู้ว่ามือของดีนไหลไปตามร่างกายของผม คล้ายกับว่าผมกับดีนกำลังนัวเนียกันไม่ต่างจากคู่ของคนอื่นๆ ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวเลยว่ามือดีนจะไหลไปทั่วขนาดนั้น หรือเพราะความเมาทำให้ผมไม่มีสติพอที่จะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

“ตอบมาพีว่าเธอเล่นแบบนี้กับไอ้เด็กนี่มากี่ครั้งหะ!!”

“...” มือที่กำโทรศัพท์ไว้สั่นแบบที่ผมห้ามไม่ได้ ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าที่เกรี้ยวกราดนั้นเลย และผมไม่อยากจะเชื่อด้วยว่า คนที่ส่งรูปในงานปาร์ตี้มาให้คุณยะคือ...คุณชลัช

ตอนแรกผมเข้าใจว่าเป็นพี่เลม่อน ที่อาจจะรู้จากใครสักคนในงานปาร์ตี้ว่าผมอยู่ในงานนั้นด้วย เลยใช้ให้คนคนนั้นถ่ายรูปผมอย่างละเอียด เจ้าตัวจะได้เอารูปพวกนี้ส่งไปให้คุณยะดู เพื่อทำให้คุณยะโกรธผม แต่พอดูชื่อและรูปของคนที่ส่งพวกมันมาให้คุณยะกลับไม่ใช่พี่เลม่อน แต่เป็นคุณชลัช

พร้อมกับคำถากถางแบบสองแง่สองง่าม

‘...สงสัยน้องชายยังไม่อิ่ม เลยมากินกับเพื่อนต่อ ฉันขอเตือนด้วยความหวังดีในฐานะพี่ชายที่หวังดีกับนายเสมอ...เลี้ยงให้อิ่มหน่อยนะ ต่อไปจะได้ไม่ต้องไปหากินนอกบ้าน เดี๋ยวจะซวยเอาเชื้อโรคเข้าบ้านละแย่เลย’

...ถ้าเขาไม่ใช่พ่อของผม ผมจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้

“ฉันจะทำยังไงกับเธอดีหะพี”

“พีขอโทษ พีไม่ได้ตั้งใจ” ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ ที่ผมเห็นคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธจัด ถ้าเขาจับผมหักแขนหักขาได้ เขาก็คงจะทำมันไปแล้ว

“ถามจริงพี” เขาถามเสียงเข้มกดดัน ใจผมสั่นไปหมด กลัวเขาโกรธและบอกเลิกผม “เธอนอนกับเด็กนั่นแล้วใช่ไหม”

“พีไม่เคยนอนกับดีน จริงๆ นะ” ผมโผเข้ากอดเขา แต่เขากลับถอยหนี ผมเลยคว้าได้แค่ความว่างเปล่า สายตาเขาที่ทอดมองมาที่ผมเต็มไปด้วยความผิดหวัง มันทำให้ผมเจ็บปวด “พีรักคุณยะ พีไม่นอนกับใครนอกจากคุณยะคนเดียว”

“รักฉัน ?” เขาเค้นเสียงถาม “แต่ไปเปิดห้องนอนกับมัน”

“พีแค่จะเข้าไปนอน” ผมบอก แต่เขาไม่ฟังเลย

“ถ้าฉันไม่เข้าไปเจอ เธอกับไอ้เด็กนั่นก็คงคลานขึ้นสวรรค์แล้วมั้ง” เขายิ้มเยาะ คำพูดใส่ร้ายนั้นเสียบแทงเข้ามาในหัวใจผมจนพรุน แค่รูปที่มีคนแอบถ่ายผมไว้ตลอดงานปาร์ตี้ (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนถ่ายแล้วส่งให้คุณชลัช) กับที่เขาเห็นผมอยู่กับดีนบนเตียง เขาก็ตัดสินได้แล้วเหรอว่าผมกับดีนมีอะไรกัน

“พีมีคุณยะคนเดียว” ผมเดินเข้าไปกอดเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้ถอยหลังหนีไปไหน ผมกอดเขาแน่นเพราะกลัวเขาผลักผมออกไป แต่ก็อดตัดพ้อเขาไม่ได้ “คุณยะยังเคยนอนกับใครตั้งเยอะแยะ น้องพียังยอมรับได้เลย” แรกๆ ผมอาจจะรับไม่ได้ เคยรังเกียจสิ่งที่เขาทำ แต่หลังจากที่ผมกับเขาใจตรงกัน ผมก็พยายามมองข้ามมันไป เพราะเขาสัญญาแล้วว่าจะมีแค่ผมคนเดียว ไม่ไปกอดใครที่ไหนอีกแล้ว

แต่ไม่คิดว่าคำตัดพ้อนั้นจะทำให้เขาเข้าใจผิดผมอีกแล้ว

“เธออยากให้ฉันยอมรับเรื่องที่เธอไปนอนอ้าขาให้ใครก็ได้งั้นเหรอ ?”

อดคิดอย่างน้อยใจไม่ได้ที่เขาใช้คำว่า ‘อ้าขา’ กับผมหลายครั้ง มันเหมือนคำดูถูกที่ไม่ต่างจากสายตาของเขาที่มองมาผมอยู่ในตอนนี้เลย

...มองไม่เห็นความรักอยู่ในนั้น

“พีไม่ได้หมายความอย่างนั้น พีแค่...” คำว่า ‘น้อยใจ’ ไม่ทันได้ออกจากปากผม เพราะเสียงโทรศัพท์ของเขาที่อยู่ในมือผมดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

Rrrrrr…

เจ้าของสายเรียกเข้าคือพี่เลม่อน และผมก็กดตัดสายทิ้งทันที

“อย่ายุ่งกับของฉัน”

แล้วเขาก็ดึงเอาโทรศัพท์ไปจากมือผม ผมก็ได้แต่มองตามเขาที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ยืนหันหลังให้ผม เจ็บปวดไปกับคำพูดเหินห่างนั้น

“มีอะไรเลม่อน...ทำไมวันนี้เลิกกองดึก...อยู่ที่ไหน...ฉันจะรีบไป” เขาพูดไม่กี่ประโยคแล้วก็วางสาย แต่ไม่กี่ประโยคนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีเขาก็จะไปจากผม ทั้งที่เรายังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลย

“ห้ามไป” ผมพูดขึ้นตอนเขากำลังเดินไปที่ประตูห้องเพนส์เฮ้าส์

“เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน” เขาหันกลับมามองหน้าผมอย่างเฉยชา

“แล้วถ้าน้องพีขอล่ะ...” ผมมองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างอ้อนวอน ไม่อยากให้เขาออกไปทั้งที่เรายังไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน เขายังเข้าใจผมผิดอยู่เลย “...ไม่ไปหาพี่เลม่อนได้ไหม อยู่กับน้องพีนะ...ฮึก...นะครับคุณยะ” ผมเดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาช้าๆ กอดเขาไว้ให้แน่นที่สุด

“ปล่อย” เขาค่อยๆ แกะมือผม ผลักผมออกไปจากตัวเขา หันหลังให้ผมอีกครั้ง

“ถ้าคุณยะออกไป” ผมตัดสินใจขู่เขา หวังว่าจะได้ผล ถ้าเขายังแคร์ผมอยู่ “...เราเลิกกัน”

ดูเหมือนจะได้ผล มือของเขาแตะประตูค้างไว้อย่างนั้น ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าผม และนั่นทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ได้ผลสักนิด

“เธอก็ต้องการแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” เขาแสยะยิ้ม “จะได้กลับไปคบกับไอ้เด็กนั่น เสเพลเกเรแบบนั้นคงจะถูกใจเธอมากกว่าฉัน แต่ยังไงก็เพลาๆ เรื่องปาร์ตี้ยาด้วยละกัน ฉันไม่อยากเห็นพ่อกับแม่ฉันต้องไปประกันตัวเธอที่สถานีตำรวจ ชื่อเสียงพวกท่านจะป่นปี้เพราะคนนอกอย่างเธอซะเปล่าๆ”

อึก!

คำพูดของเขาเป็นยิ่งกว่ามีดที่เสียบค้างและกดลึกลงมาซ้ำๆ นานแล้วที่คำพูดทำนองนี้ไม่ได้หลุดออกมาจากปากของเขา

“ทำตัวเหมือนแม่เธอไม่มีผิด... มั่วไปทั่ว”

...แม่

ผมเหมือนแม่...ผู้หญิงที่เขาทั้งเกลียดทั้งรักใช่ไหม ?

แต่...ผมไม่เหมือนเธอคนนั้น คุณยะจะมาเมารวมเพราะความเข้าใจผิดไม่ได้

“ผมไม่ได้มั่ว...ฮึก...ผมไม่เหมือนแม่” ผมเถียงทั้งน้ำตา เพราะผมไม่อยากเหมือนคนที่เขาเคยรัก ไม่อยากเป็นตัวแทน โดยเฉพาะตัวแทนที่ต้องมารองรับความเกลียดชังทั้งหมดของคุณยะไปตลอดทั้งชีวิต

“...” เขามองหน้าผมนิ่งนาน แต่เป็นการมองที่ไม่ต่างจากการเหยียบให้ผมจมลงไปในความผิดที่ผมไม่ได้ก่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจริงระหว่างพวกเขาทั้งสามคนเป็นยังไง

“อยากกลับไปหาพ่อแม่ของเธอไหม” สิ่งที่ผมกลัวกำลังจะเกิดขึ้นแล้วใช่ไหม

“พี...ฮึก...ไม่อยาก” ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา ผมอยากอยู่กับเขา อยากเป็นครอบครัวตรัยธาดาเหมือนเดิม ไม่อยากไปใช้นามสกุลของเขาคนนั้น

“แต่ฉันอยาก... อยากเห็นหน้ามันตอนรู้ว่าเธอเป็นลูก อยากรู้ว่ามันจะภูมิใจมากแค่ไหนที่มีลูกแบบเธอ”

“คุณยะไม่รักน้องพีแล้วเหรอ” ผมอยากรู้ เพราะเขากำลังกลับมาโหดร้ายกับผมเหมือนตอนที่เขายังไม่รักผม

“...”

“พีผิดอะไร ทำไมคุณยะถึงไม่รักพีแล้ว” 

“เธอผิดตั้งแต่ยังไม่เกิด ผิดที่ทำให้ ‘มัน’ มาเยาะเย้ยฉัน ผิดที่คิดจะสวมเขาให้ฉันไงล่ะพี”

“แล้วให้พีเกิดมาทำไม” ถ้าจะเกลียดเจ้าของสายเลือดในตัวผมขนาดนี้

“...” เขาไม่ตอบ แต่หันไปกระชากประตูเปิดและเดินออกไปจากห้องทันที ขณะที่ผมไร้ซึ่งคำพูดจะมาเหนี่ยวรั้งตัวเขาเอาไว้

ผมผิดจริงๆ สินะ

...ผิดตั้งแต่ที่เกิดมา

...ผิดที่รักเขา

.

.

.

ผมก้าวลงจากแท็กซี่หลังจากจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย ตรงหน้าผมที่สูงตระหง่านขึ้นไปบนฟ้าคือโรงแรมสยาม ชโยดม ผมมาที่นี่ในสภาพตาบวมช้ำและแดงก่ำจากการนอนร้องไห้มาทั้งคืน สภาพที่ใครเห็นก็ต้องตกใจ แม้แต่ผมเองยังตกใจตัวเองเลยตอนส่องกระจก พี่แอลเลขาของคุณยะที่ขึ้นมาเอาชุดทำงานลงไปให้เจ้านายของเธอเห็นยังตกใจจนอ้าปากค้าง ปรี่เข้ามากอดผมไว้ด้วยความสงสาร ปลอบผมว่าคุณยะแค่โกรธผม รอใจเย็นอีกสักนิดก็คงจะขึ้นมาง้อผม แต่ผมก็ไม่เห็นวี่แววว่าคุณยะจะกลับมาหาผม มาขอโทษผม ผมนั่งรอตั้งแต่แปดโมงครึ่งที่พี่แอลออกไป รอจนถึงเที่ยงก็ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเปิดประตูเข้ามา

ผมตัดสินใจลงไปหาเขา แต่ก็เป็นพี่แอลอีกนั่นแหละที่ห้ามไม่ให้ผมเข้าไปเพราะพี่เลม่อนอยู่ในห้องกับเขา

สุดท้ายผมก็ต้องถอย แล้วเลือกมาที่นี่แทน ไม่รู้ทำไมแต่ก็เป็นที่ที่เดียวที่ผมอยากมา... ถ้าผมเข้าไปบอกว่าผมเป็นลูกเขา ผมจะรู้ความจริงที่อยากรู้ไหม... ว่าแม่ผมเป็นใคร คุณยะเคยรักแม่ของผมมากแค่ไหน คุณชลัชทำอะไรถึงทำให้คุณยะเกลียดมาจนถึงวันนี้

“สวัสดีค่ะ ติดต่อห้องพักหรือคะ” พนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ถามด้วยรอยยิ้ม ที่พยายามจะไม่แสดงความตกใจออกมาทางสีหน้าที่เห็นสภาพใบหน้าช้ำน้ำตาของผม

“ไม่ใช่ครับ” ผมตอบก่อนบอกจุดประสงค์ที่มายืนตรงนี้ “ผมอยากขอพบคุณชลัช”

“พบ...คุณชลัชหรือคะ” เธอถามเหมือนเห็นเป็นเรื่องไม่เข้าท่าที่เด็กอย่างผม ซึ่งเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้จะขอพบลูกชายเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ “เอ่อ...แล้วได้นัดไว้หรือเปล่าคะ”

“ไม่ครับ แต่รบกวนพี่ช่วยโทรขึ้นไปบอกเลขาคุณชลัชได้ไหมครับว่าผมมีเรื่องสำคัญมากจะพูดกับคุณชลัช” ...ความลับที่เขาไม่เคยรู้มาถึงสิบหกปี

“พี่เกรงว่าตอนนี้คงจะไม่ได้ค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ยังไงน้องให้ชื่อและเบอร์โทรติดต่อไว้ก่อนนะ แล้วพี่จะบอกเลขาของคุณชลัชให้ ถ้าท่านให้เข้าพบได้พี่จะโทรกลับไปบอกนะคะ”

“ครับ” ผมรับคำอย่างเสียไม่ได้ เข้าใจว่าเธอไม่มีอำนาจที่จะปล่อยให้เด็กอย่างผมขึ้นไปพบผู้บริหารระดับสูงได้ง่ายๆ ทุกอย่างต้องมีขั้นตอนและกลั่นกรองอย่างละเอียด

“ฝากชื่อและเบอร์โทรไว้นะคะ” เธอย้ำอีกครั้ง พร้อมกับยื่นกระดาษโน้ตที่มีโลโก้ของทางโรงแรมอยู่บนหัวกระดาษให้ผมพร้อมปากกา ผมรับมาเขียนชื่อและเบอร์โทรศัพท์มือลงไป และไม่ลืมที่จะดึงเอาบัตรประชาชนออกมาจากกระเป๋าตังค์ แนบไปกับกระดาษแผ่นเล็กนั้นด้วย เพื่อยืนยันชื่อที่ผมเขียนลงไป และมันอาจจะเป็นทางลัดที่ทำให้ผมได้พบคุณชลัชวันนี้เลย

“นี่ครับ”

“พีรัช ตรัยธาดา” เธอทวนชื่อผมเบาๆ ก่อนยื่นบัตรประชาชนคืนให้ผม แล้วถาม “น้องเป็นอะไรกับคุณอารยะเจ้าของพุฒิธาดาหรือเปล่าคะ”

“ผมเป็นน้องชายครับ” เพราะนามสกุลของตรัยธาดาทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ผมไม่ได้เป็นแค่เด็กที่ไหนก็ไม่รู้ในสายตาของพนักงานคนนี้อีกต่อไป

“งั้นเชิญน้องพีรัชนั่งที่โซฟาตรงนั้นก่อนนะคะ” เธอก้าวออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ เดินนำผมไปนั่งที่ชุดโซฟาที่ตั้งวางอยู่ไม่ไกลนัก “พี่จะโทรขึ้นไปเรียนเลขาคุณชลัชให้นะคะ” แล้วก็เดินกลับไปที่หลังเคาน์เตอร์และก็เปิดประตูด้านหลังเคาน์เตอร์เข้าไปอีกที หายเข้าไปสักพักใหญ่ๆ ถึงได้กลับออกมา

“คุณชลัชเชิญให้ขึ้นไปพบได้ค่ะ เชิญน้องพีรัชตามมาทางนี้ค่ะ” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มที่คล้ายจะหยิบยื่นให้แขกวีไอพีมากกว่าตอนแรก

“ครับ”

ผมก้าวตามเธอไป ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกผลักให้เดินไปยังหน้าผาสูงชัน ที่ด้านล่างคือหุบเหวลึกที่จะพรากทุกสิ่งที่ผมเคยมีตลอดสิบหกปีไปตลอดกาล

ผมตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม ?

ผมพร้อมที่จะออกมาจากครอบครัวตรัยธาดาแล้วใช่ไหม ?

และพร้อมจะตัดใจจากคุณยะแล้วจริงๆ เหรอ ?

“น้องคะ น้องพีรัชคะ ลิฟต์มาแล้วค่ะ”

“คะ...ครับ” ผมยิ้มขอโทษให้เธอที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดความเครียดของตัวเอง ก่อนจะก้าวตามเธอเข้าไปในห้องโดยสารสี่เหลี่ยมที่จะพาผมขึ้นไปบนหน้าผาสูง

ผมมองหมายเลขชั้นที่หมายด้วยความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว มือที่กำเข้าหากันทั้งสองข้างนั้นชื้นเม็ดเหงื่อ ราวกับว่ามันจะไหลเป็นสายน้ำได้เลยทีเดียว ทั้งที่อากาศเย็นเฉียบและคล้ายจะกรีดผิวเนื้อของผมก็ไม่ปาน


ถึงอยากให้ระยะทางไปหน้าผาสูงยาวไกลไปอีกสักอีกสิบยี่สิบชั่วโมง แต่ผมก็รู้ดีกว่าระยะทางจากชั้นล็อบบี้จนถึงชั้นสิบแปดใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที สุดท้ายผมก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานของเขา

“เชิญข้างในได้เลยครับ” เลขาหน้าห้องของคุณชลัชเป็นผู้ชาย หน้าตาท่าทางและรอยยิ้มเป็นมิตรอย่างมากทีเดียว เขายิ้มให้ผมและผายมือให้ผมผลักประตูบานนั้นเข้าไปด้วยตัวเอง

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยเบาๆ สูดหายใจเข้าลึก พลางขยับปลายเท้าเข้าไปใกล้ประตูมากพอที่จะผลักมันเข้าไปด้านใน

ขาผมหนักราวกับเสาปูน ก้าวแทบไม่ออก แต่ผมก็ลากเอามันเข้าไปเผชิญหน้ากับเจ้าของห้องที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้ม ไร้เนกไท กระดุมยังปลดถึงสามเม็ด ต่างกับคุณยะลิบลับ รายนั้นแต่งตัวถูกระเบียบความเป็นผู้บริหารทุกกระเบียดนิ้ว

...คุณยะ

ผมกล้าไปจากเขาแล้วจริงๆ ใช่ไหม ?

คำถามดังซ้ำๆ ในหัวผม ภาพของคุณยะแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มของเขา ความอบอุ่นของเขา คำบอกรักของเขา แม้แต่ความใจร้ายของเขาที่สาดใส่ผมนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม ทั้งหมดมันทำให้ผมได้แต่ยืนจับประตูค้างอยู่อย่างนั้น

“เข้ามาสิ” จนกระทั่งเจ้าของห้องเอ่ยออกมา ผมถึงได้ปล่อยมือจากที่จับประตู “มีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับฉัน ? หรือว่าเรื่องเมื่อคืน” เขาปิดแฟ้มและวางปากกาในมือลง

...ไม่ใช่เรื่องเมื่อคืนหรอกแต่มันเป็นผลกระทบจากเรื่องเมื่อคืนต่างหาก

“จะยืนอยู่ตรงนั้นแล้วคุยกับฉันหรือไง” เขาถามเสียงดุตามมาอีก เพราะผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินเข้าไปหาเขาที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ “งั้นก็ตามใจ อยากยืนคุยตรงนั้นก็เอา มีอะไรว่ามา”

“ผมเป็น...”

...ลูกคุณ

คำคำนี้ไม่ยอมหลุดออกมาจากปากผม

“เป็น ?” เขาทวนคำกลับมา ยืนตัวขึ้นหน่อยๆ คล้ายอยากจะฟังคำที่ผมยังพูดออกมาไม่หมด

ผมยังลังเล...บอกความจริงออกไป ผมอาจจะต้องไปอยู่กับเขา

“ว่าไง จะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่มีเวลามานั่งรอเธอพูดเป็นชั่วโมงๆ หรอกนะ...กลัวดอกพิกุลร่วงหรือไง” ปากคอก็ยังร้ายกาจกับเด็กที่ไม่มีทางสู้เหมือนเดิม

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้!

“ผมจะมาบอกคุณว่า...ผมเกลียดสิ่งที่คุณทำกับผม เกลียดที่คุณรังแกเด็กอย่างผม ทั้งที่ผมไม่เคยทำร้ายอะไรคุณเลย ผมเกลียด...” ...เกลียดที่คุณเป็นพ่อที่ใจร้ายที่สุดในโลก

“มาเพื่อบอกแค่นี้” เขาขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเยาะ ไม่ได้รู้สึกรู้สาไปกับคำพูดของผมแม้แต่นิดเดียว “ฉันจะรับไว้ละกัน เผื่อเธอจะได้สบายใจขึ้น แต่ว่า...เรื่องเมื่อคืน เธอทำตัวเองนะ ฉันไม่เกี่ยว”

ใช่! ผมทำตัวเอง

ถ้าผมไม่ไปกับดีน ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เข้าไปในห้องกับดีน ไม่อยู่กับดีนบนเตียง ผมก็คงไม่มีจุดจบอย่างเมื่อคืน

“แล้วมีอะไรอีกไหม” เขาถาม พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ ท่าทางผ่อนคลายและมีความสุข ต่างกับผมเหลือเกินที่ร้องไห้มาทั้งคืนกับสิ่งที่เขาทำร้ายผม

“มี!” ผมมองหน้าเขาเขม็ง กลั่นคำพูดออกมาอย่างเจ็บปวดที่สุด “คุณจะไม่มีวันรู้ความจริงไปตลอดชีวิต...คุณชลัช!” พูดจับผมก็หันหลังให้เขาทันที มือจับประตูกระชากออกอย่างแรง กะว่าก้าวขาออกไปแล้วผมจะปิดประตูให้ดังสนั่นไปทั้งชั้นสิบแปดเลย

“เดี๋ยวก่อน” เขาเรียกผมไว้ก่อนที่จะก้าวออกไป

“...” และผมก็เผลอหันกลับไปหาเขา สิ่งที่ผมเห็นคือเขาที่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาในระดับสายตา แม้แต่คนโง่ก็รู้ครับว่าเขากำลังยกมันขึ้นมาถ่ายรูปผมไว้

“เผื่อพี่ชายเธออยากเห็นสภาพน้องชายตัวเอง” เขาพูดยิ้มๆ

...ผมขออนุญาตเกลียดรอยยิ้มของเขาได้ไหม!

.

.

.

“ผมขอบูลเบอรี่ชีสเค้กกับน้ำมะนาวครับ” ผมบอกพนักงานสาวร่างอวบอิ่มของร้านเชิญครับ ร้านกาแฟและเบเกอรี่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ คลินิกรักษาสัตว์ของอานุ

หลังจากออกมาจากโรงแรมสยาม ชโยดม ด้วยความโมโหแบบที่หัวแทบร้อนไหม้ ทั้งที่ตอนเข้าไปผมเหมือนถูกห่อด้วยแท่งน้ำแข็ง ผมก็ไม่รู้จะไปไหนดี จะไปหาดีนที่ไลน์มาหาผมทั้งคืน ตอนนี้ก็ยังไลน์มาหาผมอยู่แต่ผมไม่อ่าน ผมก็ไม่อยากจะไป ไม่อยากเจอหน้าดีนตอนนี้ เพราะผมก็โกรธดีนด้วยที่มีส่วนทำให้ผมถูกคุณยะเข้าใจผิด ส่วนเพื่อนอีกคนของผมอย่างปาลิน ไปต่างจังหวัดกับอาจารย์เพ็ญศิริตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ

ให้กลับบ้านด้วยสภาพแบบนี้ก็คงไม่ได้ ถึงแม้รอบหน่วยตาของผมจะหายบวมแล้วก็ตาม แต่ผมคงซ่อนความเจ็บปวดจากสายตาของพวกท่านไม่ได้ เพราะลำพังแค่นั่งอยู่ตรงนี้ น้ำตาผมก็ปริ่มๆ จะไหลออกมาได้ทุกนาทีอยู่แล้ว แต่ผมก็โทรบอกท่านทั้งสองแล้วว่าผมจะค้างที่บ้านเพื่อนอีกคืนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้ผมจะนอนที่ไหน สงสัยต้องหาโรงแรมนอนไปก่อน

ถ้าผมกินเค้กเสร็จ ผมอาจจะไปหาอานุ ไปกอดอานุ เอาความอบอุ่นของอานุมาเติมเต็มในส่วนที่ถูกทำลายลงไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วบนชั้นสิบแปดของสยาม ชโยดม... สิ่งที่ผมไม่เคยได้จากพ่อของตัวเอง

แต่ถ้าน้ำตาของผมมันควบคุมไม่ได้ ผมก็คงเอาหน้าเปื้อนน้ำตาและลูกตาแดงๆ ไปหาอานุไม่ได้หรอก

ครืดๆๆๆ...

ผมยังไม่ทันตักเค้กเข้าปาก โทรศัพท์ที่ผมวางไว้ข้างจานเค้กก็สั่นอย่างแรง (ผมปิดเสียงไว้ครับ) ชื่อที่อยู่บนหน้าจอ เป็นชื่อของคนที่ผมไม่คิดว่าจะโทรมาหาผม ทั้งที่ตลอดทั้งวันผมอยากเจอเขาแทบตาย ผมเดาสาเหตุที่เขาโทรมาหาผมได้เลย คงเป็นเพราะเรื่องที่ผมไปหาคุณชลัชแน่ๆ

อยากจะรับสายเขานะ แต่ผมรู้ว่าตอนนี้เขาคงโกรธผมมากกว่าเมื่อคืนแน่ๆ ผมเลยปล่อยให้โทรศัพท์สั่นอยู่อย่างนั้น ดีที่เคาน์เตอร์บาร์ที่ผมนั่งอยู่นี้มีแค่ผมคนเดียว ไม่อย่างนั้นเสียงสั่นครืดๆ จะต้องไปรบกวนพวกเขาพอสมควร

ชีสเค้กที่ผมตักเข้าปาก ความหอมหวานและรสชาตินุ่มลิ้นของมันไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นได้เลย เพราะโทรศัพท์ของผมไม่ยอมหยุดสั่นเสียที มันเคยเลิกสั่นแต่ก็กลับมาสั่นต่อ ตอนนี้เป็นรอบที่ห้าได้แล้วมั้ง จนกระทั่งมันหยุดสั่น

ครืด...

เปลี่ยนเป็นข้อความไลน์เด้งขึ้นมาแทน และรัวๆ ด้วย ไม่รู้มาก่อนว่าคุณยะจะพิมพ์ได้ไวขนาดนี้ ผมอ่านแทบไม่ทัน คือผมไม่ได้กดเข้าไปอ่าน เพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมอ่านแล้วไม่ตอบ ผมก็อาศัยตอนที่มันเด้งขึ้นมาบนหน้าจอแทน แต่สุดท้ายผมก็ทนความอยากรู้ของตัวเองไม่ได้ อยากรู้ว่าระดับความโกรธที่ถ่ายทอดลงมาในตัวอักษรบนแชตไลน์อยู่ในระดับไหน ...ผมพอจะรับมือได้หรือเปล่า

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
อย่างแรกเลยเมื่อเปิดดูคือคุณยะส่งรูปของผมที่ถูกถ่ายโดยคุณชลัชเข้ามา คิดไว้ไม่มีผิดว่าเขาต้องเอารูปผมไปเยาะเย้ยคุณยะ

YA : ไปที่นั่นทำไม

YA : ฉันบอกแล้วว่าไม่ให้เธอไปที่นั่นอีก

YA : ไปที่นั่นทำไมพี ตอบฉัน

YA : พี อย่าเงียบ!

YA : อยากให้ฉันโมโหใช่ไหม

YA : จะตอบฉันไหมพีว่าไปที่นั่นทำไม

YA : ไปหามันทำไหม

YA : หรือว่าเธออยากไปอยู่กับมัน

YA : เธอไปพูดอะไรกับมันหะพี

YA : จะเอาแบบนี้ใช่ไหมพี

YA : รับโทรศัพท์

อ่านข้อความจบโทรศัพท์ในมือก็สั่นอีกครั้งจากคนเดิม เจ้าของแชตยาวเหยียดนั่นแหละ เอาไงดี ผมควรรับสายเขาไหม ผมไม่อยากฟังเสียงเขาตะคอกใส่ เพราะเท่าที่อ่านข้อความที่เขาพิมพ์มารัวๆ ก็บอกอารมณ์ของเขาได้เป็นอย่างดี

จนกระทั่งโทรศัพท์หยุดสั่นเป็นรอบที่สามนั่นแหละ ข้อความไลน์ถึงได้เด้งขึ้นมาอีกครั้ง

YA : อย่าให้ฉันหมดความอดทน

YA : อยู่ไหน

YA : บอกมาพีว่าเธออยู่ไหน

YA : อยากให้ฉันเอารูปเมื่อคืนให้คุณปู่คุณย่าเธอดูไหม

YA : พ่อแม่ฉันจะได้รู้ไงว่าเด็กที่ว่านอนสอนง่ายแบบเธอเบื้องหลังมันเป็นยังไง

YA : ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นยา มั่วเซ็กซ์ ทั้งที่ครอบครัวฉันก็สอนเธอมาดี แต่เลือดเลวๆ ของพ่อแม่เธอมันก็แรงจนครอบครัวฉันเอาไม่อยู่

...ทำไมเขาถึงได้ใช้คำที่เหยียบย่ำผมนักนะ ผมรู้ตัวว่าผมไม่ได้เป็นเด็กดี แต่ก็ไม่ควรถูกคนที่เคยบอกรักผมดูถูกขนาดนี้

P.Phirach : อยู่ไหนก็เรื่องของผม

P.Phirach : เราเลิกกันแล้ว

P.Phirach : คุณไม่ต้องมายุ่งกับผม

P.Phirach : เราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว

P.Phirach : เชิญคุณมีความสุขกับพี่เลม่อนไปเลย

P.Phirach : ส่วนผมจะทำอะไรก็เรื่องของผม

P.Phirach : จะไปหาใครก็เรื่องของผม

P.Phirach : จะดีจะเลวก็เรื่องของผม

P.Phirach : ต่อให้ผมเล่นยาจนตายก็เรื่องของผม

P.Phirach : อย่ามายุ่ง!

...ผมพิมพ์ตอบไปอย่างรวดเร็ว รัวๆ ด้วย อารมณ์ผมตอนนี้มันปนกันไปหมด โกรธ โมโห น้อยใจ และอยากจะประชดเขา

YA : มีที่ไปแล้วสินะถึงได้ปากเก่งแบบนี้

P.Phirach : ผมไม่มีที่ไปที่ไหนทั้งนั้น

P.Phirach : แต่ผมจะไม่กลับไปหาคุณอีกแล้ว

...มันคือเรื่องประชดครับ ผมจะไปที่ไหนได้ สุดท้ายก็ต้องกลับบ้านตรัยธาดา

P.Phirach : แล้วถ้าคุณอยากฟ้องคุณปู่คุณย่าก็ฟ้องไปเลย

...ผมมั่นใจว่าคุณปู่คุณย่ารักผม ถ้าผมขอโทษ ท่านทั้งสองต้องให้อภัยอยู่แล้ว

P.Phirach : แต่ผมจะไม่พูดกับคุณอีกต่อไป

...ผมขู่เขา ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า แค่เขาใช้วิธีแบบเดิมคือทำดีกับผม พูดเสียงหวานกับผม ผมก็ไม่พ้นยอมเขาอีกตามเคย

ข้อความล่าสุดที่ผมส่งไปขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่ยังไม่มีข้อความจากอีกฝั่งโผล่ออกมาเลย จนผ่านไปเกือบนาทีมั้ง โทรศัพท์ของผมก็สั่นขึ้นมาอีก และเป็นคนเดิมนั่นแหละที่โทรเข้ามา

หึ...ผมไม่รับสายหรอก

มันสั่นแล้วก็หยุดไป

YA : รับโทรศัพท์ฉัน

P.Phirach : ไม่!

P.Phirach : ผมไม่อยากคุยกับคุณ

P.Phirach : คุณใจร้าย

P.Phirach : ผมเกลียดคุณ

...ทั้งเกลียด ทั้งรัก

YA : อย่ามาประชดฉัน

YA : รับโทรศัพท์

P.Phirach : ไม่!!

P.Phirach : อย่ามายุ่งกับผมอีก ผมไม่รักคุณแล้ว เกลียดคุณที่สุดในโลกเลย จำไว้!!

...แล้วข้อความของเขาก็หายไป

ผมจ้องหน้าจอโทรศัพท์ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีกแล้วนานหลายนาที โดยไม่ทำอะไรเลย น้ำแข็งในแก้วมะนาวละลายเกือบหมด โดยที่ผมยังไม่ได้ลิ้มรสชาติของมันเลย ส่วนเค้กก็แทบไม่มีอารมณ์ตักเข้าปาก

ครืนๆๆๆ...

ผมรู้สึกโล่งอกทันทีที่โทรศัพท์สั่น คิดว่าเป็นเขาที่โทรมาหาผม แต่ก็ไม่ใช่ ครั้งนี้เป็นอานุ

“ครับ อานุ” ผมกดรับสายของคนเป็นอา นึกเดาได้ว่าเลยว่าอานุโทรมาทำไม

“พี่อยู่ไหน” อานุคงถูกพี่ชายสั่งให้โทรมาหาผม ฟังจากคำถามก็รู้ ผมจะไม่ตอบก็ได้ แต่เพราะเป็นอานุไง ผมไม่อยากให้อานุลำบากใจ

“อยู่ที่ร้านเชิญครับข้างคลินิกของอานุครับ”

“แล้วทำไมไม่ไปหาอาก่อน”

“พีอยากกินเค้ก กินเสร็จก็จะไปหาอานุ”

“อยู่นั่นนะ อากำลังจะไปหา”

“ครับ”

.

.

.

“พี”

ผมสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่อานุเรียกชื่อผมมาจากด้านหลังเพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ (เพลินแบบเครียดๆ นะครับ)

“อานุ” ผมยกมือขึ้นไหว้ หน่วยตาเริ่มร้อนขึ้นมาอีกแล้วทันทีที่เห็นหน้าอานุ เห็นอานุก็เหมือนเห็นพ่อในแบบที่ตัวเองอยากมี อานุใจดี อ่อนโยน เข้าใจผม ตามใจผมทุกอย่าง

“ทะเลาะกับคุณยะมาหรือไง” อานุถามพลางดึงเก้าอี้มานั่งข้างผม “มีเรื่องอะไรจะบอกอาไหม หรืออยากให้อาช่วยอะไรพีหรือเปล่า บอกอาได้นะ อาช่วยพีได้เสมอ” ผมเห็นแววตาอานุที่มองผมดูเป็นกังวลใจไม่น้อยเลย เพราะอานุรักผม เห็นผมเศร้าและเหมือนจะมีปัญหากับพี่ชายตัวเองก็คงอดที่จะกังวลใจและเป็นห่วงไม่ได้

“...” ผมอยากบอกทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ชายอานุ แต่ผมก็ไม่กล้า ถึงอานุจะดีกับผม รักผมมาก ตามใจผมทุกอย่าง แต่เพราะผมเป็นเด็กดี ไม่เคยทำตัวร้ายกาจให้อานุเห็น อานุถึงยังรักและเอ็นดูผมที่เป็นเด็กดี แต่ถ้าอานุรู้ว่าผมเป็นเด็กไม่ดี ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ เคยเล่นยา และหลงรักพี่ชายของอานุ ความรู้สึกของอานุจะเปลี่ยนไปไหม

...แค่คิดน้ำตาผมก็ล้นขอบตา จนต้องรีบยกมือขึ้นมาปาดมันทิ้งไป

“พี” อานุยกมือขึ้นลูบศีรษะผม “ไปหลังร้านดีกว่านะ”

“...?” คำพูดของอานุทำผมงง อานุชวนผมไปหลังร้านเชิญครับ ทำเหมือนกับว่าอานุสนิทกับเจ้าของร้านอย่างนั้นแหละ หรือจะใช่ ตอบความสงสัยของตัวเองแล้ว ผมก็คว้าเป้เดินตามหลังอานุไป

ระหว่างที่เดินตามหลังอานุ ผมก็สังเกตว่าผู้ชายตัวสูงผิวขาวและหน้าตาดีมากที่กำลังยืนล้างจานอยู่ที่อ่างล้างหันมายิ้มให้อานุ เจ้าตัวไม่แสดงสีหน้าแปลกใจที่เห็นผมเดินตามอานุเข้ามาเลย ยิ้มให้อานุเสร็จเขาก็หันไปล้างจานต่อตามเดิม หรือเขาคนนี้จะเป็นเพื่อนของอานุและเป็นเจ้าของร้านด้วย

พอเดินเข้ามาในห้องขนาดเล็กแต่ก็ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าสบายตา อานุก็พาผมไปนั่งที่เตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง จับตัวผมให้นั่งลงและอานุก็นั่งตาม

“อารักพีมากนะ ต่อให้คนผิดคือพี่ชายของอา อาก็จะไม่เข้าข้างเขา อาจะอยู่ข้างพี”

“ตะ...แต่...ถ้าพีผิดล่ะครับ อานุยังจะอยู่ข้างพีไหมครับ” ถึงผมจะคิดว่าตัวเองไม่ผิด คนผิดคือคุณยะที่เข้าใจผิดผมและไม่ยอมฟังคำอธิบายของผมเลย แต่ผมก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่าในสายตาของคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ที่เห็นรูปพวกนั้นและเห็นผมตอนอยู่บนเตียงกับดีนจะคิดแบบเดียวกับคุณยะหรือเปล่า

แล้วถ้าอานุรู้ว่าผมไม่ได้น่ารักและเป็นเด็กดีแบบที่เขาเข้าใจ อานุจะยังอยู่ข้างผมเหมือนที่พูดออกมาก่อนรู้ความจริงหรือเปล่า คิดพลางน้ำตาก็ไหลเพราะไม่อยากเห็นอานุเปลี่ยนไป

พอน้ำตาผมไหล อานุก็ดึงผมเข้าไปกอด อ้อมกอดของอานุอบอุ่นและเต็มไปด้วยความใจดีเหมือนทุกครั้ง

“ที่ว่าผิด...พีทำอะไรผิด” อานุถามอยู่เหนือศีรษะผม

“พีไม่รู้” ...ความจริงคือผมไม่กล้าบอกความจริงกับอานุต่างหาก

“ไม่รู้ก็คือไม่ผิด” อานุปลอบผมไปตามที่เจ้าตัวเข้าใจ

“แต่คุณยะบอก... คุณยะบอกว่าพีผิด” ...ผิดที่เกิดเป็นลูกของคนที่คุณยะเกลียด

“ไม่หรอกพี คุณยะอาจจะพูดเพราะโกรธ” อานุดึงตัวผมออกมาตอนที่ถามผมว่า “...พีทำอะไรให้คุณยะโกรธหรือเปล่า

“พี...พี...” ผมจะบอกได้ยังไงว่าผมทำตัวไม่ดีเรื่องอะไรบ้าง คุณยะถึงได้โกรธถึงขั้นเอาการกระทำของผมไปเหมารวมกับของคนที่ผมแทบไม่รู้จักพวกเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ของผม

“พร้อมเมื่อไรก็บอกอานะ” คงเห็นผมเอาแต่ปล่อยน้ำตา อานุถึงเลิกถาม แล้วให้กำลังใจแทน “อาอยู่ข้างพีเสมอนะ”

ผมก็ได้แต่หวังว่าวันที่อานุรู้ว่าผมไม่ใช่เด็กดี เขาจะยังอยู่ข้างผม...

Rrrrrr...

มันเป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์อานุ

“คุณยะโทรมา อารับนะ”

“ไม่รับได้ไหมครับอานุ พีไม่อยากคุยกับคุณยะ” ก็ผมกลัวคุณยะโมโหจนโพล่งเรื่องไม่ดีของผมออกมาให้อานุรู้

“ไม่ได้ครับ” อานุปฏิเสธ “พีจะหนีคุณยะไปตลอดไม่ได้นะ คุยให้รู้เรื่อง ไม่ต้องกลัว อาอยู่ข้างพีเสมอนะ”

“ครับอานุ” ผมจำต้องเชื่อฟังอานุ

“พี...คุณยะจะคุยด้วย” คุยกับพี่ชายตัวเองไม่กี่คำ อานุก็หันมาบอกผมว่าคุณยะจะคุยกับผม

“...” ผมส่ายหน้าทันที อานุก็คงไม่อยากบังคับผมถึงได้กลับไปคุยกับคุณยะต่อ สักพักก็หันมาบอกผมต่อว่า

“พี เดี๋ยวคุณยะจะมารับ”

“อานุ...พีไม่อยากไปกับคุณยะ” ผมรีบบอก กลัวคุณยะมารับผมแล้วจะด่าผมต่อหน้าอานุ

และเสียงของผมคงลอดเข้าไปในโทรศัพท์และคนปลายสายคงได้ยินไปด้วย อานุถึงได้พูดกับพี่ชายตัวเองว่า

“พี่ยะ ผมขอนะ ใจเย็นๆ ก่อน”

“...” ผมไม่รู้ว่าคุณยะพูดอะไรกับอานุ คนตรงหน้าผมถึงได้มีสีหน้าที่โกรธขึ้นมาทันที

“หงุดหงิดก็วางสาย แล้วไม่ต้องมารับ ผมจะเอาหลานไปนอนด้วยคืนนี้” อานุกำลังโมโหพี่ชายตัวเอง

ผมรู้สึกผิดขึ้นมาเลยที่ทำให้พี่น้องทะเลาะกัน แต่ผมก็แอบดีใจนะที่อานุอยู่ข้างผมแบบที่เจ้าตัวบอกจริงๆ

“พี่ยะกำลังอารมณ์ร้อน เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก ผมสงสารพี ขอเถอะ ตอนนี้ก็ร้องไห้จนตาบวม ไม่สงสารบ้างหรือไงพี่ยะ”

ถ้าอานุเห็นสภาพผมตอนเช้าจะต้องสงสารผมมากกว่านี้แน่ๆ

“พีคุยกับคุณยะหน่อยนะ” อานุยื่นโทรศัพท์ให้ผม

“พี่ไม่อยากคุย” ผมปฏิเสธที่จะคุยกับคนปลายสาย

“คุยหน่อยนะ คุณยะจะได้หมดห่วง” อานุพูดกล่อมให้ผมยอมคุยกับคุณยะ และตามด้วยคำขู่กลายๆ “ถ้าไม่คุย อาก็ไม่รู้นะว่า คุณยะจะโมโหแล้วตามมาเอาตัวพีกลับไปหรือเปล่า ถ้ามันเป็นอย่างนั้น อาก็ไม่รู้จะช่วยพีได้ยังไง”

แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากรับโทรศัพท์จากมืออานุมาแนบหู กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ว่า

“ครับคุณยะ”

“เลิกร้องไห้ซะ” มาคำแรกก็สั่งเลย ถ้าอานุไม่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ผมคงจะเถียงเขากลับไปแล้วว่า เพราะใครล่ะทำให้ผมร้องไห้ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ แต่ที่ผมเอ่ยออกมาก็แค่คำว่า...

“ครับ” สั้นๆ

“โกรธฉันมากหรือไง ถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์”

“ครับ”

“ฉันมากกว่านะที่ต้องโกรธเธอ”

“ครับ” ผมตอบแบบประชดเขา

“พี อย่าประชด”

“ครับ”

“จะเอาแบบนี้ใช่ไหมพี”

“ครับ”

“เอาโทรศัพท์ให้นุ ฉันจะคุยกับน้องชายฉัน”

“ครับ” ผมยืนโทรศัพท์ให้อานุ “อานุครับ คุณยะจะคุยด้วย”

“ครับพี่ยะ ได้ครับ” อานุพูดกับคนปลายสาย พลางลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวอามานะ” บอกแล้วก็เปิดประตูออกจากห้องไป ผมก็ได้แต่มองตามและก็หวังว่าคุณยะจะไม่โกรธผมจนเล่าวีรกรรมของผมให้น้องชายตัวเองฟังนะ
.

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ที่ไหน ?

ผมถามตัวเองเบาๆ พลางขยับตัวลงจากเตียง ก่อนจะจำได้ว่าที่นี่คือห้องพักหลังร้านเชิญครับที่อานุพาผมเข้ามา อานุบอกว่าที่นี่เป็นร้านเพื่อนของตัวเอง แต่ตอนนี้อานุไม่อยู่แล้ว

“น้องพีหิวหรือยังครับ” ผมเปิดประตูออกมาก็เจอคำถามของเจ้าของร้านเชิญครับที่เป็นเพื่อนอานุ ความหิวของผมทำงานอย่างรวดเร็ว

“ครับ” วันนี้ผมมีแค่เค้กแค่ครึ่งชิ้นตกถึงท้อง

ผมมองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะเอาตัวไปไว้ตรงไหน อานุก็ไม่อยู่ด้วยสิ เจ้าตัวบอกว่าคืนนี้จะให้ผมไปนอนที่คอนโดฯ ของเจ้าของร้านเชิญครับ

“รอก่อนนะคะน้องพี พี่ยีนกำลังอุ่นข้าวผัดปูให้อยู่ค่ะ” พี่สาวร่างอวบอิ่มหันมาบอกผม ก่อนเอาจานข้าวผัดใส่เข้าไปในเตาไมโครเวฟ

“ครับ” ขณะที่ผมกำลังยืนคิดอยู่ว่าจะทำอะไรดี จะหาที่นั่งรอข้าวที่พี่ยีนกำลังอุ่นให้ หรือเข้าไปช่วยเป็นลูกมืออาฟ้า (อานุให้เรียกแบบนั้น) ที่กำลังยืนคนอะไรสักอย่างในหม้อที่หน้าเตา ทำตัวให้เป็นประโยชน์ตอบแทนที่พักสำหรับคืนนี้ ตอนนั้นเองผู้ชายสองคนก็เดินหน้ายุ่งเข้ามา

“ฟ้า” คนแรกเป็นหนุ่มลูกครึ่ง แต่ดูแล้วไม่ใช่ลูกครึ่งจ๋าเท่าไร

“อะไร” เสียงอาฟ้ารำคาญ แต่ก็ดูแล้วสองคนนี้สนิทสนมกันมากเลยทีเดียว

“คืนนี้ไปนอนด้วยนะ” แล้วผมจะนอนไหนล่ะเนี่ย แต่อาฟ้าก็ไม่ได้สนใจเขาเลย แถมยังทำหน้ารำคาญอีกด้วย ฝ่ายนั้นเลยเรียกร้องความสนใจด้วยการจับมือคุณฟ้า ผมแอบเห็นผู้ชายคนที่สองที่เดินตามหลังคนที่หนึ่งเข้ามาเมื่อกี้ มองตาไม่กะพริบเลย

ชักยังไงแล้วสิ เหมือนคนที่สองกำลังหึงคนที่หนึ่งอยู่เลย ที่ผมคิดแบบนี้เพราะอาการพวกนี้ผมเป็นบ่อย

เชื่อไหมว่า แม้แต่ตอนที่คุณยะคุยเรื่องงานกับพี่แอล ผมยังแอบหึงเลยครับ รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่ทำให้คนสองคนอยู่ใกล้กัน แต่ผมก็ห้ามความรู้สึกหึงหวงไม่ได้

“ได้แล้วค่ะน้องพี” พี่ยีนเดินมาหาผมพร้อมกับจานข้าวผัดปูหอมๆ บนถาดไม้

“ขอบคุณครับ” ผมรับมันมาถือ พลางบอกขอบคุณเธอ และไม่ลืมที่จะบอกอีกคนหนึ่งด้วย “อาฟ้าครับ พีออกไปทานข้างนอกนะครับ”

“ครับ” อาฟ้าเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม ก่อนจะหันไปจัดการงานของตัวเองต่อ

ผมเดินถือจานข้าวผัดปูมานั่งที่โต๊ะไม่ไกลจากประตูห้องครัวเท่าไร นั่งกินได้ไม่กี่คำประตูห้องครัวก็เปิดออกมาอย่างแรง พร้อมกับร่างของผู้ชายตัวเล็ก (แต่ก็ใหญ่กว่าผม เพราะเขาน่าจะอายุมากกว่าผม) ที่เดินกระแทกเท้าออกมา ตามมาด้วยชายหนุ่มลูกครึ่ง แบบนี้ผมคงไม่ต้องเดาความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่แล้วมั้ง มียื้อยุดฉุดกระชากกันด้วย

“อย่ามาจับกู!” เริ่มประโยคแรกก็น่ากลัวเลย คนตัวเล็กไม่มีอาการกลัวคนตัวใหญ่เลย แถมทำท่าจะซัดกำปั้นใส่อีกฝ่ายด้วย ดีที่คนตัวใหญ่จับมือไว้ทันก่อนที่มันจะกระแทกหน้าตัวเอง

“หึงหรือไง”

“ใครหึงมึง!! สำคัญตัวผิดไปแล้ว”

“พูดกับผัวให้เพราะหน่อย หลายครั้งแล้วนะ”

หื้อ...ใช้คำนี้เลยเหรอ ไม่รู้ว่าเขาเห็นผมนั่งอยู่ตรงนี้หรือเปล่าเนี่ย ถึงผมจะตัวเล็กกว่าคนในรุ่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เล็กเหมือนเด็กห้าขวบนะครับ ช่วยเห็นผมหน่อยได้ไหม จะได้ไม่มาทะเลาะตบตีกันตรงหน้าผม

“ไอ้เหี้ย!! กูไม่มีผัว!!!” เสียงตะโกนทำเอาผมสะดุ้งเลย

“หึๆ เดี๋ยวพี่พาไปทบทวน”

“พ่องมึงดิ”

“อายน้องเขาหน่อย”

ผมนี่ก้มหน้าตักข้าวผัดปูเข้าปากแทบไม่ทัน พวกเขาเห็นผมแล้วใช่ไหม ผมไม่ควรมานั่งตรงนี้เลย แต่จะให้ผมไปนั่งตรงไหนได้ล่ะ

“แม่ง! เพราะมึงนั่นแหละ” คนตัวเล็กกว่าโกรธจนหน้าแดงหน้าดำแล้ว

“เพราะเราต่างหาก ปะ กลับบ้าน”

“กูไม่กลับ!!”

“ชอบให้ใช้กำลังใช่ไหม ได้!”

ถึงจะเห็นผมแล้ว เขาก็ยังไม่เลิกทะเลาะกัน ผมยังได้ยินเสียงโต้กันไปมา ตามด้วยเสียงโวยวายลั่นร้าน ผมแอบเงยหน้าขึ้นจานข้าวผัดปูดูพวกเขาสองคนที่ทั้งทะเลาะและลากกันออกไปจากร้าน จากนั้นในบรรยากาศในร้านถึงกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม

ผมนั่งกินข้าวต่อจนหมดจาน ตอนที่พี่ยีนเดินหิ้วกระเป๋าผ้าใบใหญ่ออกมาจากหลังร้าน

“อิ่มไหมคะ ถ้าไม่อิ่มพี่ยีนไปต้มมาม่าให้ชามโตๆ เลย เอาไหมคะ” เธอถาม

“อิ่มครับ”

“อยากกินเค้กหรือคุกกี้ไหม พี่ยีนจะไปเอามาให้” เธอถามอีกครั้งอย่างใจดี

“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรครับ พีอิ่มแล้ว”

“งั้นพี่กลับแล้วนะคะน้องพี แต่ถ้าอยากได้อะไรก็บอกพี่ฟ้านะ เขาใจดี” ว่าแล้วเธอก็เดินถือกระเป๋าออกไปจากร้านอีกราย ตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับอาฟ้า ผมควรเข้าไปช่วยอาฟ้าหน่อยดีไหม เผื่อบางทีเขาอาจต้องการลูกมือคอยช่วยหยิบจำนู่นนี่นั่นให้

ผมคิดจะกลับเข้าไปหลังเพื่อช่วยอาฟ้าแต่ยังไม่ทันหยิบจานขึ้นมาถือเลยด้วยซ้ำ ไลน์ของดีนก็เด้งขึ้นมาเสียก่อน ผมจะทำไม่สนใจเหมือนที่ทำมาตลอดทั้งวันก็ไม่ได้ เห็นดีนขยันส่งมาเป็นร้อยๆ ข้อความแล้วมั้ง ถ้าจะไม่ตอบข้อความกลับไปก็เหมือนตัวเองใจร้ายกับเพื่อนไปหน่อย ผมเลยต้องพักเรื่องที่จะเข้าไปช่วยงานอาฟ้าไว้ก่อน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไปอ่านข้อความของดีน

ยาวมาก... ร้อยสามสิบสามข้อความ

ผมอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง เพราะข้อความก็เหมือนๆ กันคือถามว่าผมเป็นไงบ้าง คุณยะทำอะไรผมหรือเปล่า ขอโทษที่ทำให้มีปัญหา ทำไมไม่อ่าน โกรธมากใช่ไหม รับสายหน่อย อะไรทำนองนี้แหละ จนถึงข้อความล่าสุด

Oh-deen : เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่ไหม

...และข้อความล่าสุดกว่า

Oh-deen : เฮ้ออออ อ่านซะที

P.Phirach : เราไม่ได้โกรธ อย่าคิดมากสิ ดีนเป็นเพื่อนของเราเสมอแหละ

Oh-deen : จะไม่ให้คิดได้ยังไง ไลน์ไปก็ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับ รู้ไหมดีนพิมพ์จนนิ้วล็อกแล้วเนี่ย

P.Phirach : จะโกรธก็ตอนบ่นเยอะนี่แหละ

Oh-deen : ขอโทษเรื่องเมื่อคืนนะพี ดีนก็เมาด้วยเลยคุมตัวเองไม่ค่อยได้

Oh-deen : เห็นปากพีแล้วก็ห้ามใจไม่ไหวว่ะ คนอะไรปากน่าดูดชะมัด

P.Phirach : ขอโกรธได้เลยได้ไหม

Oh-deen : ไม่ได้ 555+

Oh-deen : ใครใช้ให้เกิดมาปากน่าจูบล่ะ

P.Phirach : จะไม่จบใช่ไหม อยากให้โกรธ ? เอาไหม ทำให้ได้นะ

Oh-deen : ใจร้ายว่ะ ว่าแต่พรุ่งนี้ไปหาได้ปะ อยากเลี้ยงขอโทษ

P.Phirach : เอาไว้เปิดเทอมละกัน

Oh-deen : โหย อีกตั้งครึ่งเดือนเลยนะ จะไม่ให้ดีนเจอหน้าเลยหรือไง

Oh-deen : แบบนี้ดีนก็คิดถึงแย่สิ

P.Phirach : นี่ดีน เราพูดจริงๆ นะ เลิกคิดกับเราเกินเพื่อนได้ไหม

...ผมควรจริงจังเสียที และต่อจากนี้ผมก็จะระวังตัวกับดีนมากขึ้น

Oh-deen : ถ้าตอบว่าไม่ได้จะโกรธปะ

P.Phirach : ไม่โกรธแต่คงไปไหนด้วยไม่ได้แล้วนะ

Oh-deen : ใจร้ายได้ตลอดจริงๆ ว่ะพี

P.Phirach : ก็จำเป็นต้องใจร้ายเพราะถ้าใจดี ดีนก็จะทำแบบเดิมอีก

Oh-deen : ก็ได้ๆๆๆ เลิกคิดเกินเพื่อนก็ได้

Oh-deen : งั้นพรุ่งนี้พีเลี้ยงข้าวปลอบใจคนอกหักหน่อยได้ปะ

P.Phirach : เปิดเทอมละกัน จะเลี้ยงทั้งเดือนเลย

Oh-deen : โหยยยยยย นี่จะให้ถึงเปิดเทอมจริงๆ เหรอ

...‘จริง’

ผมกำลังพิมพ์คำนี้ลงไปแต่ยังไม่ทันกดส่ง เสียงกระดิ่งเล็กๆ ที่ติดอยู่ด้านในของประตูร้านเชิญครับก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน ตอนแรกผมคิดว่าเป็นอานุ แต่ไม่ใช่

“คุณยะ...” ผมครางชื่อของเขาออกมาแทบไม่พ้นลำคอ ขณะที่ร่างสูงใหญ่เดินตรงมาหาผม

“กลับบ้าน” เขามาหยุดตรงหน้าผม เอ่ยสั่งเสียงเรียบ

“ไม่” ผมส่ายหน้า ก่อนเอ่ยย้ำถึงความสัมพันธ์ที่เขาปาใส่ผมเมื่อคืน “เราเลิกกันแล้ว ดังนั้นคุณยะก็ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก กลับไปหาพี่เลม่อนเถอะ ตอนนี้คงนอนรอคุณยะอยู่บนเตียงแล้วมั้ง” พูดเองก็เจ็บเอง ความปากร้าย ชอบประชดประชันของผมคงได้จากพ่อมากไปหน่อยมั้ง... ถ้าคุณชลัชเป็นพ่อของผมจริงๆ น่ะนะ

“อย่ามาประชดฉันพี”

“พีไม่ได้ประชด อย่าเข้าใจผิด คุณยะเลือกที่จะทิ้งพีเอง” ประชดเพราะความน้อยใจล้วนๆ เขาไม่รู้หรอกว่าผมนั่งร้องไห้กลางห้องนั่งเล่นทั้งคืน เจ็บปวดแค่ไหนกับการที่เขาด่าว่าผมแบบนั้น “เมื่อคืนคุณยะจำไม่ได้ใช่ไหมว่าด่าอะไรพีไปบ้าง ถ้าคิดว่าพีเหมือนแม่ จนไม่อยากเห็นหน้าพี ก็ไม่ต้องมาสนใจพีสิ”

เขานิ่งไปนิดหนึ่ง หลบสายตาผมด้วย แต่สักพักก็กลับมาจ้องผมเขม็ง ก่อนจะเอื้อมมาจับแขนผม ดึงตัวผมขึ้นจากเก้าอี้ แต่ผมก็จับขอบโต๊ะไว้ทัน ไม่ยอมให้เขาดึงเอาตัวออกไปง่ายๆ

“กลับไปเคลียร์กันที่บ้าน” เขาพูด ยังออกแรงดึงผมอยู่

“ไม่กลับ”

“อย่าดื้อพี อยากให้ความลับแตกหรือไงหะ!”

ผมส่ายหน้ารัวๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากโต๊ะ

“พีไม่ไป ปล่อยพี!”

“อย่าดื้อให้มากพี! อย่าให้ฉันหมดความอดทน!” ดูจากหน้าตาและน้ำเสียงก็คงจะใกล้แล้วจริงๆ

“ไม่!”

“อยากลองดีหรือไง!” เขาดึงแขนผมแรงขึ้น

“ไม่ไป...ไม่ๆๆ”

ขณะที่มือผมจะหมดแรง เจ้าของร้านเชิญครับก็วิ่งออกมาจากหลังร้านอย่างได้จังหวะเวลา

 “คุณจะทำอะไรหลานผม!!” วิ่งมาถึงก็ดึงเอาตัวผมมาหลบไว้ด้านหลัง ท่าทางพร้อมจะปกป้องผมอย่างเต็มที่ “ไม่ต้องกลัวนะครับน้องพี”

อาฟ้าต้องเข้าใจผิดแน่ๆ ว่าคุณยะเป็นคนร้าย แต่คนร้ายที่ไหนจะสวมสูทผูกไทเป็นผู้บริหารแบบนี้ ยิ่งหน้าแบบคุณยะแล้วด้วย ห่างไกลจากคำว่าโจรผู้ร้ายลิบลับ และที่สำคัญหน้าก็เหมือนอานุด้วย อาฟ้าคงลืมสังเกตแน่ๆ

ผมจะอ้าปากบอกอาฟ้าว่าคุณยะไม่ใช่โจรผู้ร้ายที่ไหน แต่ก็ไม่ทันเพราะคุณยะเป็นฝ่ายพูดแทนผมไปแล้ว

 “จำได้ว่าผมมีน้องชายคนเดียว แล้วเขาก็ไม่ใช่คุณ” คุณยะปรายตามองอาฟ้าแบบไม่พอใจนิดๆ

“เอ่อ... คุณเป็นพ่อของ...” 

“ครับ ผมเป็นพ่อของหลานคุณ”

“ขอโทษครับ ผมนึกว่า....” อาฟ้ายังพูดไม่จบเลย คุณยะก็พูดแทรกขึ้น

“กลับบ้านกับคุณยะได้หรือยัง”

“คุณยะอนุญาตให้พีนอนกับอานุแล้วนะครับ” ผมทวงเสียงเบา เพราะไม่อยากประชดประชันคุณยะต่อหน้าอาฟ้า

ต่อหน้าคนอื่น ผมไม่อยากทำตัวเป็นเด็กที่ไม่น่ารักหรอกครับ ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าผมทะเลาะกับคุณยะต่อหน้าอาฟ้า อาฟ้าอาจจะสงสัยความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะขึ้นมาก็ได้ แล้วเรื่องก็จะถึงหูอานุ บอกตามตรงว่า ผมไม่อยากให้คนในครอบครัวรับรู้ความสัมพันธ์นี้ เพราะทุกอย่างระหว่างผมกับคุณยะ มันไม่หนักแน่นเอาซะเลย ทั้งที่ผมรักเขามาก แต่ปัญหาก็มากตามไปด้วย โดยเฉพาะปัญหาใหญ่คือพี่เลม่อน ที่ผมไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหมดความอดทนกับคุณยะ เมื่อไรจะเลิกรักคุณยะ ผมกลัวตัวเองจะเป็นฝ่ายหมดความอดทนไปเสียก่อน

“แต่ตอนนี้คุณยะเปลี่ยนใจ” ส่วนเขาก็เบาอารมณ์ร้อนลง คงคิดเหมือนผมนั่นแหละ ไม่อยากให้ใครสงสัยในความสัมพันธ์ของเราสองคน

...คุณยะก็อยากปกปิดเหมือนกัน

มันทำให้ผมอดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ ว่าคุณยะอยากซ่อนผมไว้ในที่ที่ไม่มีใครเห็น ไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเป็นอะไรกับผม โดยเฉพาะครอบครัวของตัวเอง

แล้วผมก็เจ็บปวดกับความคิดของตัวเอง ยิ่งนึกถึงคำบอกรักของเขา ผมก็ยิ่งเจ็บ เพราะไม่รู้เลยว่ามันมีความจริงมากแค่ไหน ผมจะต้องอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไร ที่ผมยอมทนอยู่กับความสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้นก็เพราะมั่นใจว่าเขารักผม ทว่าตอนนี้ ความมั่นใจนั้นเริ่มสั่นคลอน พร้อมจะผุพังลงทุกเมื่อ

“แต่...” พอน้อยใจผมก็อยากจะปฏิเสธเขา น้ำตาล้นตาขึ้นมาอีกจนได้

“ไม่มีแต่ ไปเอากระเป๋ามา แล้วกลับบ้านกับคุณยะ อย่าให้หงุดหงิดไปมากกว่านี้นะพี” พูดขู่เสียงขุ่น ขยับจะเอื้อมมาดึงตัวผมออกจากที่ซ่อน

“ไม่ครับ...ฮึก...พีไม่กลับ...” น้ำตาผมไหล กำเสื้อด้านหลังของอาฟ้าไว้แน่นที่สุด ไม่อยากให้คุณยะเอาตัวผมไปได้ตามใจชอบ

แล้วอานุก็เปิดประตูเข้ามาในจังหวะนั้นพอดี น้ำตาผมก็ยิ่งไหล แต่เป็นน้ำตาของความดีใจนะที่เห็นอานุ เพราะอานุจะอยู่ข้างผม อานุบอกอย่างนั้น

“พี่ยะ! มาทำอะไรที่นี่” หน้าตาอานุโกรธมาก เดินมาถึงก็ดึงเอาตัวผมเข้าไปกอด ลูบหัวลูบหลังอย่างปลอบโยน กระซิบกับผมเบาๆ ว่า “อามาแล้ว ไม่ต้องกลัว”

“จะตะโกนทำไม แล้วนั่นจะโอ๋กันไปถึงไหน เพราะโอ๋กันอย่างนี้ไง ฉันถึงแตะต้องอะไรไม่ได้”

...พูดยังกับว่าเขาไม่เคยทำอะไรผมอย่างนั้นแหละ ทั้งบ้านก็มีแค่เขานี่แหละที่แตะต้องผมได้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหวานหูหรือคำด่าว่าที่ทำให้ผมเจ็บช้ำ

“รับปากแล้วนะว่าจะให้พีนอนกับผม”

“รับได้ก็เลิกได้โว้ย เอาพีมาให้ฉัน” ประโยคสุดท้ายเขาเบาเสียงลง พร้อมกับอ้อมแขนของอานุที่คลายออกจากตัวผม

“ไปหาคุณยะนะ อานุอยู่ตรงนี้แล้ว คุณยะไม่กล้าทำอะไรพีหรอก” อานุกระซิบบอกผมเบาๆ ก่อนส่งผมให้กับพี่ชายตัวเอง ทีแรกผมก็ขืนตัวไว้แต่ก็ไม่อยากทำให้อานุสงสัย บวกกับที่คุณยะเอื้อมมือมาดึงตัวผมด้วย สุดท้ายผมก็จำต้องไปอยู่ในอ้อมแขนของคุณยะ

“โตแล้วไม่ร้องนะครับคุณดีของคุณยะ” เดี๋ยวก็ด่าผม เดี๋ยวก็มาพูดดีกับผม บอกตามตรงผมตามอารมณ์และคำพูดของคุณยะไม่ทันเลย แต่ถ้าเลือกได้ ผมก็อยากให้เขากอดผมและปลอบโยนหัวใจของผมด้วยคำพูดหวานๆ แบบนี้มากกว่า และมันทำให้ผมใจอ่อนกับเขาได้เสมอ

“ฮึก...ก็คุณยะว่าพี” ผมตัดพ้อเสียงเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ อานุกับอาฟ้าไม่ได้ยินหรอก นอกจากคนที่กอดผมอยู่

“ก็ดูทำแต่ละอย่างสิ มันน่าไหมล่ะ” เสียงของคุณยะก็เบาไม่ต่างจากผม ก่อนเจ้าตัวจะหันไปใช้เสียงปกติสั่งน้องชายตัวเอง

“นายไปเอากระเป๋าของพีมา ฉันจะพาพีกลับบ้าน”

แต่อานุไม่ยอม

“ให้พีตัดสินใจว่าจะนอนกับใคร”

.

.

.

อานุบอกให้ผมตัดสินใจและการตัดสินใจของผมทำให้คุณยะไม่พอใจ แต่ก็ยังตามมาที่คอนโดฯ ของอาฟ้าด้วย แถมยังมาด้วยสภาพใบหน้าไม่สบอารมณ์และมองน้องชายตัวเองตาขุ่นขวาง แต่ยังดีที่กับอาฟ้า คุณยะยังมีรอยยิ้มให้อยู่บ้าง

ไม่สิ...น่าจะยิ้มให้อาฟ้าเยอะพอสมควร เจ้าตัวคงเดาความสัมพันธ์ของน้องชายตัวเองกับเจ้าของร้านเชิญครับได้แล้วมั้ง

คอนโดฯ ของอาฟ้าไม่ใหญ่มากครับ เท่าที่ผมสังเกตน่าจะเคยเป็นคอนโดฯ แบบสองห้องนอน แต่คงถูกรีโนเวทใหม่ให้เหลือแค่ห้องนอนห้องเดียว ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าห้องนอนที่เหลืออยู่ห้องเดียวนั้นจะกว้างแค่ไหน เพราะผมกับคุณยะนอนที่ห้องนั่งเล่นครับ ไม่ได้เข้าไปในห้องส่วนตัวของอาฟ้า

“ไม่รู้จะมานอนที่นี่ทำไมให้ลำบาก” คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินบ่นมาแต่ไกลเลย ตอนอานุกับอาฟ้าอยู่ด้วยนี่ไม่มีบ่นเลยครับ เห็นบอกอาฟ้าว่าตัวเองนอนที่ไหนก็ได้

“...” ผมแกล้งไม่ได้ยิน พอจะล้มตัวลงนอนบนฟูกก็ถูกเขาดึงตัวไว้ก่อน

“อย่าเพิ่งนอน มาคุยกับฉันก่อน” ตอนอยู่กันแค่สองคน เสียงนี่เปลี่ยนเลย ผมเลยมองตาขวาง แต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าเดินตามเขาไปนั่งที่โซฟา เพราะไม่อยากชวนเขาทะเลาะ มันจะเป็นการรบกวนอานุกับอาฟ้าเสียเปล่าๆ

ผมเดินตามเขาไป แต่เดินเลยไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวอีกตัวหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับตัวที่เขานั่ง มีโต๊ะกระจกตั้งอยู่ตรงกลาง

“ไปที่นั่นทำไม” เขาก็ยังถามวนอยู่กับแต่เรื่องเก่า ถ้าผมไม่ให้คำตอบ เขาก็คงจะถามไม่หยุด เผลอๆ จะอารมณ์ร้อนขึ้นมาอีก

“ไปหาคุณชลัช” ผมตอบไปตามความจริง แต่ไม่คิดจะบอกความจริงทั้งหมดเหรอ

“ไปหามันทำไม” เสียงเขาเข้มขึ้น แววตาของเขาดูระแวงหน่อยๆ

“ผมไม่ชอบสิ่งที่เขาทำ” ผมเริ่มบอกความจริงครึ่งเดียวนั้น

“...” ดวงตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องทุกคำพูดของผม ราวกับจะค้นหาว่ามีคำพูดไหนบ้างที่ไม่เป็นความจริง

“เขาว่าคุณยะ เขาว่าผม” ผมหมายถึงข้อความที่คุณชลัชส่งให้คุณยะก่อนที่จะส่งรูปของผมตอนอยู่ในงานปาร์ตี้ที่มีตั้งสิบกว่ารูปตามมา “ทั้งที่เขาไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องของผมกับคุณยะ”

ผมแอบเห็นเขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ และตัวเขาก็ดูผ่อนคลายขึ้น จากที่นั่งโน้มตัวมาข้างหน้าหน่อยๆ เขาก็เริ่มเอนหลังพิงไว้กับพนักโซฟา

“พีเลยไปหาเขา ไปบอกเขาว่าอย่ามายุ่งเรื่องของพีกับคุณยะอีก”

“เธอจะโทษเขาไม่ได้นะพี” เขาว่าเสียงเรียบเป็นเชิงตำหนิ “ที่เขาได้รูปแล้วส่งให้ฉันก็เพราะเธอเป็นคนทำให้เกิดรูปพวกนั้นเอง”

“พีรู้ว่าตัวเองผิด แต่เขาก็ไม่ควรมายุ่งกับเรื่องของเราสองคนนะครับ” ผมเถียงเสียงอ่อนลงเพราะรู้ตัวว่าผิดจริง “เขาทำให้คุณยะโกรธพี ทำให้เราทะเลาะกัน” ข้อนี้แหละที่ทำให้ผมโกรธเขาคนนั้น ที่ได้ภาพพวกนั้นมา เจ้าตัวคงสั่งใครสักคนให้จับตาดูผมและถ่ายรูปมาเพื่อเยาะเย้ยคุณยะ

ที่จริงผมก็อยากรู้นะว่า ถ้าเขารู้ความจริงว่าผมเป็นลูก เขาจะมีความสุขที่ได้ถากถางคุณยะอยู่ไหม ยังจะใช้คำพูดทำร้ายจิตใจคนฟังที่เป็นลูกของเขาอีกหรือเปล่า

“แล้วคิดบ้างไหม...” สายตาที่เขามองมาเริ่มขุ่นขึ้นมาหน่อยๆ เมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อคืน “...ถ้าฉันไม่เห็นรูปพวกนั้น ถ้าเขาไม่ส่งรูปให้ฉันดู ไม่ตามฉันให้มาเอาตัวเธอกลับ มันจะเกิดอะไรขึ้น”

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ผมทำหน้างอ เพราะคำพูดของเขาใส่ร้ายผมเกินไป ก่อนเขาจะเข้ามา ดีนคิดจะใช้กำลังกับผมก็เถอะ แต่ดีนก็เปลี่ยนใจแล้ว ดังนั้นผมะไม่เป็นอันตรายอะไรเลย

“เธอแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ ?” เขาขมวดคิ้วไม่พอใจ “เธอเมา เด็กนั่นเมา อะไรก็เกิดขึ้นได้ แล้วรู้ไหมว่ามันเล่นยาด้วย”

“...” ผมเถียงไม่ออก เพราะดีนเล่นยาจริงๆ ดีนชวนผมเหมือนกัน แต่ผมไม่เอาด้วย แต่ว่าดีนก็เล่นไม่เยอะนะเท่าที่ผมสังเกต อย่าว่าผมไม่ห้ามดีน ผมห้ามแล้วแต่ดีนทำหูทวนลม บอกว่าแค่นิดหน่อยเอง

“ฉันบอกไปแล้วว่าให้เธอเลิกคบเด็กนั่น ชวนกันทำแต่ละเรื่อง มันดีกับตัวเธอตรงไหนบ้าง”

“ดีนเป็นเพื่อนจะให้เลิกคบได้ยังไง” ผมแย้งเบาๆ เขามองตาดุทันที

“มานั่งนี่” เขาบอก ผมทำตามอย่างว่าง่าย ก็ใจผมเป็นของเขาไปแล้วนี่นา การได้อยู่ใกล้เขาคือความสุขของผม

เดินไม่กี่ก้าวผมก็ไปอยู่ตรงหน้าคุณยะแล้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งพาดบนตักของเขา... ที่นั่งบนโซฟาเดี่ยวก็มีแค่บนตักของเขาที่ผมจะนั่งลงไปได้ จะให้ผมนั่งบนที่พักแขนก็ไม่น่าจะดีเท่าไร และคุณยะก็คงอยากให้ผมนั่งบนตักเขานั่นแหละ

“แล้วฉันเป็นอะไรกับเธอ” ท่อนแขนแกร่งโอบรอบตัวผมไว้หลวมๆ แต่ก็ให้ความอบอุ่นยิ่งกว่าผ้าห่มผืนหนาๆ ซะอีก “...บอกมาสิ...พี...ฉันเป็นอะไรกับเธอ” เสียงทุ้มนุ่มนวลย้ำซ้ำ ดวงตาของเขาทำให้หัวใจของผมเริ่มกลับมายิ้มได้อีกครั้ง โลกที่เซื่องซึมมาตลอดทั้งวันกลายเปลี่ยนเป็นสีชมพูเชื่อมเลย

“เป็นคนใจร้าย ชอบด่าน้องพี โมโหทีไรเป็นต้องด่าน้องพีทุกที” นี่แหละที่เป็นเขา คนที่ทำให้ผมรักจนหลง

“แล้วน่าโดนไหมล่ะ” เขาหัวเราะเบาๆ “เธอน่ะ... ดื้อมากรู้ไหม เถียงฉันได้ทุกคำ มีข้อแก้ตัวตลอด พอเถียงไม่ขึ้นก็ใช้น้ำตามาช่วย...เด็กขี้โกง”

“ไม่ได้ขี้โกงสักหน่อย เสียใจน้ำตาก็ต้องไหลสิ” ผมค้านคำกล่าวหาที่เต็มไปด้วยเอ็นดูของเขา ราวกับเมื่อคืนก่อนไม่เคยทะเลาะกันอย่างรุนแรงอย่างนั้นแหละ “อีกอย่างน้องพีมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเองนะ” ผมอ้อนน้อยๆ เอนตัวลงไปซบอกกว้างแสนอบอุ่นของเขา

เฮ้อ... ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ที่สุด

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักของเราสองคน

“เห็นไหม เถียงฉันอีกแล้ว” เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น

“ไม่ได้เถียงนะ ก็คุณยะชอบพูดเหมือนน้องพีเป็นเด็กไม่ดี คุณปู่ คุณย่า อานุ อาภา ยังชมพีเลย ไม่มีใครด่าพีเหมือนที่คุณยะทำหรอก เลิกใจร้ายกับพีได้ไหมครับคุณยะ ใจร้ายกับพีทีไร รู้ไหมว่าพีเจ็บนะ เจ็บมากด้วย”

“อย่ามาอ้อน” มือของเขาลูบลงมาที่หัวของผมอย่างนุ่มนวล ไม่ต่างจากน้ำเสียงที่กระซิบบอก “...ฉันขอโทษที่พูดกับเธอรุนแรงแบบนั้น เมื่อคืนฉันโมโหมากไปหน่อย เลยควบคุมตัวเองไม่ได้”

“น้องพีก็ขอโทษคุณยะเหมือนกัน” ผมเงยหน้าขึ้นจากอกเขา ประคองใบหน้าหล่อเหลาที่เคลือบไว้ด้วยรอยยิ้มละมุน ก่อนแนบริมฝีปากบนแก้มซ้ายของเขา “ดีกันแล้วนะครับ ไม่โกรธน้องพีแล้วนะ”

“ดีกันแล้ว ไม่โกรธแล้ว” เขายิ้มให้ผม ยิ้มที่เป็นยิ่งกว่าความสุขของผม

“คุณยะ...พีมีเรื่องอยากขอ” ผมทำหน้าเศร้า

“จะอ้อนอะไรอีก” เขาถามยิ้มๆ

“ต่อไปอย่าด่าเหมารวมได้ไหมครับ”

“...” รอยยิ้มของเขาหุบลง คงรู้แล้วว่าผมจะพูดเรื่องอะไร

“น้องพีไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรให้คุณยะโกรธ หรือทำให้คุณยะเสียใจด้วยเรื่องอะไร น้องพีเกิดมาโดยไม่รู้เรื่องของพวกเขาเลยจริงๆ ถ้าคุณยะโกรธน้องพีก็โกรธแค่เรื่องที่น้องพีทำได้ไหม อย่าเหมารวมว่าน้องพีเป็นเหมือนพวกเขา เพราะน้องพีไม่เหมือนพวกเขา ไม่เคยทำให้คุณยะเสียใจเลย”

...มีแต่คุณยะที่ทำให้น้องพีเสียใจซ้ำๆ

ผมพูดต่อในใจ

“รับปากน้องพีนะ ต่อไปห้ามเอาเรื่องของพวกเขามาด่าน้องพี”

“ฉันรับปาก” เขาดึงใบหน้าผมลงมาเผื่อประทับริมฝีปากมาที่หน้าผาก ก่อนผละออกไป “มีอะไรอีกไหมที่อยากขอฉัน”

“ขอให้รักน้องพีคนเดียว”

“อ้อนตลอด” เขาว่าแล้วยิ้ม

“อ้อนคุณยะคนเดียว” เพราะอ้อนเขาแล้วผมมีความสุข ยิ่งอ้อนแล้วได้รับความใจดีจากเขา ผมก็ยิ่งอยากอ้อนไปตลอดชีวิต

แล้วเขาก็หอมแก้มผมย้ำๆ แบบซ้ายทีขวาที จนไม่รู้ว่าจากแก้มเปลี่ยนเป็นริมฝีปากตอนไหน รู้ตัวอีกทีมือทั้งสองข้างของเขาก็เปลี่ยนจากโอบกอดเป็นไต่ไปทั่วแผ่นหลังของผม

“อื้ออ...ไม่เอาคุณยะ” ผมเอาริมฝีปากหนีจากเรียวลิ้นที่กำลังจะเข้ามาชิมความหวาน (เขาบอกประจำว่าปากผมหวาน) “ทำไม่ได้นะ เดี๋ยวอานุรู้” และที่นี่ไม่ใช่ห้องของผมหรือคุณยะด้วย แต่เป็นคอนโดฯ ของอาฟ้าที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง จะมาทำเรื่องอย่างว่ากันได้ยังไง

“อย่าให้รู้สิ” พูดง่ายไปไหม!

“ไม่เอานะ พีไม่ให้ทำนะ” ผมก็ได้แต่ห้ามเสียงเบา ไม่กล้าตะโกนเสียงดังเพราะกลัวเสียงจะดังเข้าไปในห้องนอนของอาฟ้า ขณะที่คุณยะเริ่มใช้กำลังที่มากกว่าจับผมเปลี่ยนท่านั่ง จากนั่งพาดตักเป็นนั่งคร่อมแทน

“แต่คุณยะจะทำ”

“คุณยะ!” กระแทกเสียงขุ่นจัดใส่เขา กระแทกแบบเบาๆ นั่นแหละ ดังได้ซะที่ไหน เสียงดังลอดเข้าไปแล้วอานุโผล่ออกมาจบไม่สวยแน่ เพราะตอนนี้ทั้งห้องก็ยังสว่างไม่ต่างจากเวลากลางวัน “ไม่อายหรือไง ไม่ใช่ห้องของเรานะ”

“...”

“...”

เขาใช้ความเงียบกดดันผม ลูกตาสีดำวาววับและหวานเชื่อมนั้นด้วยที่จ้องจนผมเริ่มเป๋ออกจากจุดยืนของตัวเอง

“คุณยะ...ห้ามมองน้องพีแบบนี้” ผมท้วงเสียงอ่อน โดนจ้องแบบนี้ผมก็จะไม่รอดเอาน่ะสิ “พีกลัวอานุออกมาเจอ”

“อานุของพีนอนกอดแฟนหลับไปแล้วมั้ง ไม่ออกมาหรอก... เชื่อคุณยะนะครับคนดี” ประโยคสุดท้ายโคตรของโคตรหวาน

“แต่ที่นี่ไม่ใช่ห้องของเรา” เสียงผมอ่อนลงไปอีก เห็นรางๆ แล้วว่าจะต้องพบจุดจบในอีกไม่ช้านี้อย่างแน่นอน

“คุณยะจะไปปิดไฟ”

จบคำพูดของเขาแค่เพียงอึดใจเดียวทั้งห้องก็มืดลง มีเพียงแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือที่ทำให้คนตัวสูงใหญ่อย่างคุณยะเดินกลับมาจัดการเสื้อผ้าบนร่างกายผมให้พ้นไปจากตัวได้อย่างง่ายดาย

“คุณยะหื่น” ผมต่อว่าเขาในความเงียบที่โอบล้อมด้วยความมืดของค่ำคืนอย่างแท้จริง ไม่มีแสงไฟส่องสว่างแต่ก็ยังเห็นร่างกายของคนที่คร่อมอยู่บนตัวของผมอย่างชัดเจน

“เด็กมันยั่วไง” เขาบอกด้วยเสียงที่เริ่มแหบพร่าจากอารมณ์รักที่คุอยู่ภายใน พรมจูบไปทั่วแผ่นอกของผม ก่อนจู่โจมที่ยอดอก

“อึก...พีไม่ได้ยั่ว...อือ...ชอบใส่ร้ายพีตลอด” ผมเถียงไปพร้อมกับปล่อยเสียงครางเบาอย่างไม่เห็นด้วยกับคำใส่ร้ายของเขา ครั้งก่อนๆ อาจจะยั่วแต่ครั้งนี้ไม่ได้ยั่วเลยสักนิด ขัดขืนด้วยซ้ำ เป็นเขานั่นแหละที่ใช้สายตาหวานเชื่อมขู่บังคับให้ผมยอมพ่ายแพ้

“เธอขึ้นมานั่งบนตักฉัน” 

“ก็คุณยะเรียกพี่ให้...อื้อออ...”

และแล้วผมก็หมดโอกาสได้เถียงเพราะถูกเรียวลิ้นแสนชำนาญหลอกล่อจนหลงใหลไปกับความหอมหวานที่อีกฝ่ายปรนเปรอเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า

“อึก...คุณยะ...ฮ๊าาา...” ความทนของผมจบลงด้วยอุ้งมือหนาและร้อนจัด ก่อนช่องทางรักจะรองรับตัวตนแข็งกร้าวของคุณยะที่แทรกกายเข้ามาช้าๆ ไม่ได้รวดเร็วหรือเอาแต่ใจเหมือนที่เขาชอบทำ เพราะครั้งนี้ตัวช่วยของเราสองคนมีแค่ลาวาขาวข้นของผมเท่านั้น มันจึงยากและเจ็บปวดอย่างที่สุด ให้ความรู้สึกเหมือนครั้งแรกที่ผมมีอะไรกับคุณยะเลย

“ทนหน่อยนะคนดี” เสียงกระซิบหวานคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากผม ขณะที่ตัวตนของคนพูดแทรกลึกเข้ามาเรื่อยๆ

“คะ...ครับ...ฮึก...” ผมสะอื้น ตัวสั่น ร่างกายเหมือนจะฉีกขาด

“อยากให้คุณยะถอยไหม ?” สะโพกสอบหยุดขยับ แต่ความเจ็บก็ยังเท่าเดิม

“ไม่...ต้อง...ครับ...”

“คนดี” เขากดริมฝีปากบนแก้มผมแบบไม่ออมแรงเลย มันเหมือนว่าอารมณ์ของเขาเริ่มหยุดไม่อยู่แล้ว “คุณยะรักน้องพีนะครับ” คำหวานกระซิบบอกให้หัวใจผมโบยบินออกไปจากความเจ็บปวดที่กำลังฉีกทึ้งร่างกายผมอยู่

“พีก็รักคุณยะ...ฮึก...รักมากๆ เลย...พี...ฮึก...พีไม่เคยมีใครนอกจากคุณยะคนเดียว” บางความทรงจำในค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นเหมือนหนามแหลมที่ตำนิ้ว และมันยังคงฝังอยู่อย่างนั้น

“คุณยะรู้ครับ”

“คุณยะต้องกอดแค่น้องพีคนเดียวนะ” ความเจ็บปวดของร่างกายทำให้ผมพร่ำความต้องการของตัวเองออกมาซ้ำๆ “...นะครับ...ห้ามกอดใคร ห้ามรักใครนอกจากน้องพี มีแค่น้องพีคนเดียว...นะครับคุณยะ”

“ฉันมีเธอคนเดียว” เขาเอ่ยคำที่ผมอยากฟัง คำที่ทำให้ความเจ็บปวดที่ต้องรองรับตัวตนร้อนระอุของเขาค่อยๆ จางลงไป

“ห้ามกอดใคร”

“ไม่กอดใคร”

“กอดน้องพีคนเดียว”

“คุณยะจะกอดน้องพีคนเดียว” เขาเอ่ยมันออกมาพร้อมกับตัวตนที่เข้ามาในร่างกายผมจนถึงที่สุดแล้ว

“ทำให้น้องพีมีความสุขคนเดียวนะ” ผมก็ยังเรียกร้อง เพราะอยากล่องลอยไปตามคำหวานของเขา ผมชอบที่คุณยะพูดกับผมด้วยคำพูดหวานๆ คำที่เอาอกเอาใจผมทุกอย่าง ทำให้ผมเหมือนเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตเขา

“คุณยะจะกอดน้องพีคนเดียว ไม่กอดใครอีกแล้ว...สัญญาครับคนดี” เขาเอ่ยคำหวานออกมาพร้อมกับร่างกายที่กระแทกกระทั้นเข้ามาในช่องทางด้านล่างของผม

“รักน้องพีคนเดียว...ด้วยนะครับ...”

หรือว่าที่ผมเอาแต่เรียกร้องเพราะลึกๆ ผมไม่มั่นใจสิ่งที่อยู่ในหัวใจเขา ผมกลัวสักวันหนึ่งจะพบความจริงว่า...คำบอกรักของคุณยะไม่ได้เป็นของผม แต่เป็นของใครอีกคน ผู้หญิงที่เขาทั้งรักและเกลียด

“ฉันรักเธอคนเดียวพี...ไม่เคยรักใคร”

ผมเชื่อได้ใช่ไหม

แต่ผมก็จะเชื่อ

.

.

.

“อ่า...”

ความอุ่นร้อนที่ราดรดบนหน้าท้องของผมทำให้ใบหน้าผมค่อยๆ เห่อร้อนขึ้นมาทั้งที่ยังชุ่มด้วยเม็ดเหงื่อจากกิจกรรมที่ดูดเอาเรี่ยวแรงของผมไปเกือบหมดร่าง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาปลดปล่อยข้างนอกและบนตัวผม

“อยากต่ออีกสักรอบ” ดูคำพูดหื่นกามของเขาสิ

“ไม่ต้องเลย! ไม่ใช่บ้านเรานะ” ผมทำเสียงเข้มใส่เขา ทุบไหล่เขาไปเต็มแรงด้วย แต่แล้วเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่นานก็ย้อนกลับมาในความทรงจำ “คุณยะ... เมื่อกี้พีไม่ได้ร้องดังเกินไปใช่ไหม” ผมถามอย่างไม่มั่นใจเท่าไร เพราะตอนที่ผมเสร็จ สติผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

“ไม่หรอก อย่าคิดมาก” คุณยะลูบหัวผมเป็นเชิงปลอบไม่ให้คิดมาก “ไป คุณยะจะพาไปล้างตัว” บอกก่อนจะหยิบเสื้อผ้าผมกับเสื้อผ้าเขาขึ้นมาพาดบ่า (เสื้อที่ผมกับคุณยะใส่คืนนี้เป็นของอานุครับ ดูแล้วอานุจะหอบเสื้อผ้ามาไว้ที่นี่เยอะเลย) จากนั้นก็ช้อนตัวผมเข้าสู่วงแขนแข็งแรง อุ้มพาผมไปยังห้องน้ำเพื่อล้างครอบอะไรต่อมิอะไรออกจากร่างกาย

ทุกอย่างคล้ายจะดี ผมกับคุณยะกลับมาคืนดีกันแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีอะไรที่ดีแบบที่ผมเข้าใจเลยสักนิด หลังจากเขาอุ้มผมออกจากห้องน้ำในสภาพสะอาดหมดจดมาวางบนที่นอนจำเป็นซึ่งปูราบไปกับพื้นห้องนั่งเล่น โทรศัพท์ของผมก็สว่างวาบขึ้นมา บอกว่ามีข้อความจากอีกฝั่งหนึ่งส่งถึงผม คนที่ส่งมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ...พี่เลม่อน

ผมไม่รู้ว่าพี่เลม่อนมีญาณทิพย์หรือเปล่า เพราะเจ้าตัวมักจะส่งข้อความมาหาทุกครั้งที่คุณยะอยู่กับผม ครั้งนี้ก็ด้วย พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูก็เห็นว่าคนมีญาณส่งข้อความมาให้ผมนานแล้ว

LemoN : พี่ยะอยู่กับมึงใช่ไหม

...ประโยคประจำของเขาเลย

LemoN : หน้าด้าน

LemoN : เมื่อคืนพี่ยะอยู่กับกู

...ไม่บอกผมก็รู้ เลยเผลอเบ้ปากให้ข้อความขี้อวดของเขา

P.Phirach : แล้วไงครับ คุณยะก็อยู่กับพี่ทุกคืนไม่ใช่หรือไง

P.Phirach : หรือว่าเขาไม่ได้นอนกับพี่ทุกคืน แต่แอบไปนอนกับคนอื่นด้วย

...ผมจิ้มข้อความส่งไป อดไม่ได้ที่แขวะอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกว่าผมเป็นผู้ชนะ

LemoN : อย่าปากดีกับกู!

LemoN : คนอย่างมึงกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง

LemoN : ตอแหล

P.Phirach : ผมจะนอนแล้ว พี่ก็นอนเถอะครับ บางทีดึกๆ คุณยะอาจจะกลับไปนอนกอดพี่เหมือนทุกคืน

ข้อความที่ผมส่งไปขึ้นสถานะว่าอ่านแล้ว จากนั้นพี่เลม่อนก็เงียบไป จนผมคิดว่าเขายอมแพ้แล้ว แต่ก็ไม่ พี่เลม่อนไม่พิมพ์ข้อความส่งมาแล้วแต่ส่งอย่างอื่นมาให้ผมรัวๆ เลย

...ทั้งคลิปและรูป

มือผมสั่นไปหมด

เหมือนถูกพี่เลม่อนตบหน้า

ผมเคยคิดว่าตัวเองชนะพี่เลม่อน เพราะผมเอาคุณยะมาเป็นของผมได้ทั้งตัวและหัวใจ ส่วนพี่เลม่อนก็ได้แค่หลอกตัวเองไปวันๆ

LemoN : เผื่อคืนนี้มึงจะฝันดีที่ได้ใช้ผัวคนเดียวกับกู

LemoN : แอบๆ ซ่อนๆ ก็ไม่ต่างจากเมียน้อย

ข้อความของพี่เลม่อนเหมือนค้อนที่ตอกตะปูลงมาบนอก

LemoN : อย่าแค่ดูล่ะ ศึกษาด้วย มึงจะได้รู้ว่าพี่ยะชอบแบบไหน

LemoN : เขาจะได้เอามึงบ่อยๆ เหมือนที่เอากับกู

คำพูดหยาบคายแต่คงทำร้ายผมได้ไม่เท่ากับความจริงที่อยู่ในรูปและคลิปที่อีกฝ่ายส่งมาเยาะเย้ยผม และทำให้ผมตาสว่างขึ้น

“ยังไม่นอนอีก แล้วนั่นคุยกับใคร” คนที่เดินกลับออกมาจากห้องน้ำหลังจากเข้าไปทำความสะอาดห้องน้ำอีกรอบนั้นเอ่ยเสียงดุ

“คุณยะ...” เสียงผมสั่น เจ้าของชื่อที่เดินผ่านผมเพื่อจะไปปิดไฟกลางห้องหยุดปลายเท้าลง “...ทำไมต้องนอนกับพี่เลม่อน...ฮึก...สัญญากับพีแล้วนะว่าจะไม่กอดใครนอกจากพีคนเดียว” น้ำตาผมไหลช้าๆ

เขาเดินกลับมาหาผม ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าผมก่อนดึงผมเข้าไปกอด ลูบปลอบและตามด้วยคำขอโทษที่ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของผมดีขึ้นมาเลย

“ฉันขอโทษ”

“คุณยะไม่เคยรักษาคำพูดของตัวเลยสักครั้ง” ผมตัดพ้อ ดันตัวออกจากอ้อมกอดของเขา จ้องหน้าเขาด้วยน้ำตา “พี่เลม่อนมีอะไรดีหรือครับ ทำไมคุณยะถึงติดใจเขาขนาดนี้ ทำไมถึงเลิกมีอะไรกับเขาไม่ได้ซะที”

เขาเอื้อมมาดึงตัวผมเข้าไปกอดอีกครั้ง แต่ผมสะบัดตัวออกมา ไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัวผมได้

“อย่ามาแตะตัวผม” ผมมองเขาตาขวาง มองทั้งน้ำตาที่มันไหลไม่หยุด

ผมไม่ชอบความหึงหวงของตัวเองเลย มันทำให้ผมเหมือนถูกเผาทั้งเป็น และรู้สึกเกลียดสิ่งที่เขาทำลับหลังผม ต่อไปผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่ไปมีอะไรกับพี่เลม่อนอีก ที่ผ่านมาอีกล่ะ กี่ครั้งที่เขาบอกผมว่าไม่ได้กอดพี่เลม่อน แต่ความจริงทุกครั้งที่เขาอยู่กับพี่เลม่อน อาจจะจบค่ำคืนกันบนเตียงทุกครั้งก็ได้

...เขาจะพูดโกหกผมกี่ครั้งก็ได้

เพราะผมไม่มีทางรู้ความจริงที่เกิดขึ้นลับหลังผม เขาพูดอะไรผมก็พร้อมยอมเชื่อ หลงไปกับคำสัญญาหวานซึ้งที่มีให้ผมครั้งแล้วครั้งเล่า

“จะไปไหน” เขาคว้าแขนผมไว้ตอนที่ผมหอบผ้าห่มเตรียมจะลุกไปนอนที่อื่น ความรู้สึกหึงหวงที่เต็มไปด้วยความโกรธที่เขานอนกับพี่เลม่อน ทำให้ผมไม่อยากอยู่ใกล้เขาแม้แต่วินาทีเดียว

“ผมจะไปนอนที่โซฟา” ผมสะบัดแขนเขาทิ้ง ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามือของเขาที่เมื่อวานใช้โอบกอดพี่เลม่อนมานั้นน่ารังเกียจ มันสกปรกจนผมไม่อยากให้เนื้อตัวของผมแปดเปื้อน

...เขาไม่ใช่ของผมแค่คนเดียว

...พยายามแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเป็นของผมแค่คนเดียว

ผมเกลียดความจริงนี้ที่สุด

และลับหลังผม เขาจะป้อนคำหวานให้พี่เลม่อนเหมือนที่ป้อนให้ผมหรือเปล่า คำหวานของเขาทำให้ผมไม่ระแวงเลยสักนิดว่ามาจากคำโกหกหลอกลวง

“ฟังฉันอธิบายก่อนสิพี” เขาเดินตามหลังผมมา

“งั้นคุณยะก็ฟังนี่ก่อน” ผมทิ้งผ้าห่มลงพื้นอย่างโมโห แล้วก็เปิดไลน์ของพี่เลม่อนขึ้นมา กดคลิปอันสุดท้ายให้เคลื่อนไหวและส่งเสียงน่ารังเกียจนั้นออกมา เสียงไม่ดังมาก แต่ในความเงียบที่มีแค่ผมกับเขา เสียงความสุขสมระหว่างเขากับพี่เลม่อนก็ดังพอที่จะทำให้ผมยกมือขึ้นปิดหูทันทีหลังจากยัดโทรศัพท์ใส่มือเขาแล้ว

แต่แค่ไม่กี่วินาทีเขาก็ลดโทรศัพท์ลง กำมันไว้ข้างลำตัว

“ฉัน...”

“ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ผมไม่อยากฟัง” ผมพูดแทรกก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร “คุณยะเคยถามผมว่านอนกับดีนมากี่ครั้งใช่ไหม... งั้นผมถามคุณยะบ้างว่านอนกับพี่เลม่อนมากี่ครั้งแล้วหลังจากที่สัญญาว่าจะกอดผมแค่คนเดียว ผมขอความจริงสักครั้งได้ไหม อย่าโกหกผม อย่าทำให้ผมรู้สึกโง่ยิ่งกว่าวัวยิ่งกว่าควาย” ผมเค้นเสียงถาม มองหน้าเขานิ่งราวกับจะเจาะลึกลงไปหาความจริงที่เขาซ่อนผมเอาไว้

“แค่เมื่อวาน... ครั้งเดียว”

“ผมไม่อยากจะเชื่อ” คำพูดของเขาเชื่อไม่ได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมโง่เองที่ลืมความจริงข้อนี้ไปเสียสนิท เพราะความรักความหลงบังตาเอาไว้แท้ๆ “...ว่าคนอย่างคุณยะจะทนมีแค่ผมคนเดียวจนถึงเมื่อวานได้”

“อย่าประชดได้ไหมพี อยากให้เรากลับมาทะเลาะกันอีกหรือไง” เขาพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน ทำราวกับว่าผมเป็นคนเริ่มต้นสร้างปัญหา ทั้งที่เขานั่นแหละเป็นฝ่ายทำให้เราสองคนวนเวียนอยู่กับการทะเลาะและเลิกรากัน

“หึ...ต้องให้ผมยิ้มผมดีใจหรือครับที่เห็นคุณยะเอากับคนอื่น “ผมหัวเราะทั้งน้ำตา ขมปร่าไปทั้งความรู้สึก “ตอนที่คุณยะเห็นผมอยู่บนเตียงกับดีน คุณยะยิ้มได้ไหมล่ะ หัวเราะได้ไหม หรือว่าสมเพชที่ตัวเองก็แค่คนโง่ๆ คนหนึ่งที่ซื่อสัตย์กับความสัมพันธ์ แต่อีกคนกลับทรยศหักตลอดเวลา”

“มันจะไปกันใหญ่แล้วพี” เขาหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง มองผมตาขวาง ผมก็มองตาขวางเหมือนกัน 

“คุณยะว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือไง” ผมถามกลับ เขาเงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยคำพูดที่ทำให้ผมเป็นฝ่ายผิด ส่วนเขาเป็นคนที่ถูกกระทำ

“มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยพี” เขาพูดมันออกมาช้าๆ ราวกับจะใช้ทุกคำกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง “เราจะไม่ต้องทะเลาะกันด้วยซ้ำ ถ้าเมื่อวานเธอไม่ดื่มจนเมาและไปต่อกับไอ้เด็กนั่นบนเตียง”


“ผมผิดตรงไหน” ผมไม่เห็นความผิดของตัวเองเลย “ผมแค่เที่ยวกับเพื่อน ดื่มกินเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ต่อให้ผมเมาผมก็ไม่ได้ไปเอากับใคร ไม่เหมือนคุณยะที่เมาแล้วก็ไปเอากับคนอื่น”

“แล้วคิดไหมว่าถ้าฉันไม่เมา ฉันจะไปเอากับคนอื่นไหม”

“จะบอกว่าเมาแล้วจะเอากับใครก็ได้งั้นเหรอ”

“...” เขาเงียบ

“ตอบมาสิ ทำไมคุณยะไม่ตอบล่ะ พีจะได้รู้ว่าถ้าเมาแล้วเอากับใครก็ได้ พีจะได้ทำตามบ้าง” ผมกัดฟันพูดทั้งน้ำตา “...แล้วถ้าพีทำ ก็อย่ามาว่าพีแล้วกัน”

“ก็เอาสิ อยากทำอะไรก็เรื่องของเธอ ถ้าเธอคิดว่ามันดี ฉันก็ไม่มีสิทธิ์” เขากระแทกเสียงกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาหน้าเปียกน้ำตาของผมชาไปเลย ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะหน้าทีวีกับถุงกระดาษที่ใส่เสื้อผ้าชุดเมื่อตอนกลางวันของเขาขึ้นมาถือ เตรียมตัวจะหนีปัญหาอย่างที่เขาชอบทำ

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นห้องเหมือนคนที่หมดเรี่ยวแรง ใจหนึ่งผมก็อยากจะรั้งเขา ไม่อยากให้เขาทิ้งผมไว้ข้างหลังแบบนี้ เขาชอบหนีปัญหา ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความเจ็บซ้ำซาก แต่อีกใจหนึ่ง ผมก็เหนื่อยจนอยากจะหยุดรักเขาตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป มันเลยทำให้ผมได้แค่มองตามแผ่นหลังของเขาที่ไกลออกไป จนเขาเดินเกือบถึงประตูห้อง เขาก็หยุด พร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นไปดู หันหน้ามามองผมนิดหนึ่ง

“...อย่ารับ” เสียงของผมแทบไม่หลุดออกจากริมฝีปาก มันเบาบางยิ่งกว่าเสียงลมพัด และคงดังไปไม่ถึงเขา คุณยะถึงได้ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

ผมกลัวว่าคนที่โทรมาหาเขาจะเป็นพี่เลม่อน กลัวว่าเขาจะกลับไปหาและไปมีอะไรกับพี่เลม่อนอีก

“อืม...” เขาตอบรับเบาๆ กับคนปลายสาย จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงประตูห้องนอนที่มีอยู่เพียงห้องเดียวเปิดออก

ที่ผมคิดว่าเป็นพี่เลม่อนโทรมาหาเขาคงไม่ใช่แล้ว

“พี” อานุเรียกผม แต่ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตาเพราะอายที่อานุต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้ “เข้าไปนอนข้างในกับอานะ”

“...ฮึก...พีขอโทษ...” ผมนึกออกแต่คำคำนี้

“ขอโทษอาทำไม” อานุถามเสียงอ่อนโยน ดึงเอาตัวผมเข้าไปกอด

“...ไม่...ฮึก...ไม่รู้...”

“เข้าไปนอนนะ อาพาเข้าไป” แล้วผมก็ถูกอานุอุ้มขึ้นจากพื้น ผมซบหน้าเข้ากับอกอานุทันที หลับตาลงเหมือนอยากให้ทุกอย่างเป็นความฝัน เพื่อที่ผมจะตื่นขึ้นมาพบความจริงว่าเรื่องระหว่างผมกับคุณยะยังเป็นความลับ

ผมกลัวอานุจะรับเรื่องระหว่างผมกับพี่ชายตัวเองไม่ได้ กลัวว่าความลับจะไปถึงหูคุณปู่กับคุณย่า ผมไม่รู้ว่าท่านทั้งสองยังจะรักเอ็นดูผมเหมือนหลานในไส้เหมือนเดิมไหม... และถ้าท่านทั้งสองรับไม่ได้ จะไล่ผมออกจากครอบครัวหรือเปล่า

“พี่ยะอยู่ตรงนี้แหละ!” เสียงเข้มจัดแบบที่ผมไม่เคยได้เย็นมันหลุดออกมาจากคนเป็นอาเลยสักครั้ง อานุโกรธมากใช่ไหม

โกรธคุณยะ

หรือ...

โกรธผม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 31

หลังจากที่อานุอุ้มผมเข้ามาในห้องนอนอาฟ้า ผมร้องไห้จนหลับไปและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น รู้แต่ว่าตอนนี้ผมย้ายมานอนที่บ้านเรือนไทยของอานุ พร้อมกับคำสั่งห้ามของอานุที่ไม่ให้คุณยะเข้าใกล้ผม สองวันมานี่ผมเลยไม่ได้เจอคุณยะ แม้แต่เสียงของเขา ผมยังไม่ได้ยินเลย แต่เป็นเพราะผมไม่อยากได้ยินเสียงเขามากกว่า เนื่องจากกลัวตัวเองใจอ่อน แค่เห็นรูปที่เขาส่งทางไลน์มาให้ผมดู ผมก็สงสารจนอยากจะกลับไปหาเขา ไปดูให้เห็นกับตาว่าเขาเจ็บมากแค่ไหน

‘โดนนุต่อย ข้อหาพรากผู้เยาว์’

นี่คือข้อความที่เขาส่งมาหลังจากส่งรูปถ่ายใบหน้าที่แต้มด้วยม่วงอมเขียวอมแดงของเขาเมื่อตอนเย็นของเมื่อวาน

อันที่จริงผมก็พอจะเดาเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากผมร้องไห้และหลับไปบนเตียงของอาฟ้าได้อยู่นะ เพราะพอตอนสายๆ ของอีกวัน อานุกลับมาพาผมกลับบ้านในสภาพที่มุมปากมีรอยช้ำสีแดง แต่ที่นึกไม่ถึงคือสภาพอานุยังดีกว่าคุณยะหลายเท่า นี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คุยยะไม่กลับบ้าน เพราะไม่อยากให้คุณย่าตกใจ ขนาดของอานุไม่ช้ำเท่าไร คุณย่ายังบ่นแล้วบ่นอีก (อานุไม่ได้บอกคุณย่านะครับว่าต่อยกับพี่ชายตัวเองมา อานุบอกว่าโดนคนบ้าที่ไหนไม่รู้อยู่ๆ ก็เดินมาต่อยปาก) คุณย่าเลยบ่นเรื่องที่อานุไม่เดินไม่ระวัง ปล่อยให้คนบ้าเดินมาต่อยได้ยังไง

ผมอ่านข้อความของคุณยะตลอดสองวันที่ผ่านมา แต่ไม่เคยตอบกลับไป ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดถึงเขานะ คิดถึงมากด้วยแหละ ยังรักเขาเหมือนเดิม เพียงแต่ผมเหนื่อยกับการที่ต้องทะเลาะกับเขาด้วยเรื่องความหึงหวง โดยเฉพาะความหึงหวงของผมเอง ตราบใดที่เขายังไม่ยอมปล่อยมือจากพี่เลม่อน ผมก็คงไม่มีวันมีความสุขได้จริงๆ หรอก

...บางที

อาจเป็นผมเองที่หมดความอดทนก่อน

...หรือบางที


อาจเป็นคุณยะที่หมดความอดทนก่อน เพราะวันนี้เขายังไม่โทรหาผมเลย อย่าว่าแต่ไม่โทรเลย ข้อความก็ยังไม่มีมาให้ผมอ่าน คุณยะเงียบหายไปทั้งวัน ผมคิดถึงเขาถึงขนาดที่ต้องเปิดรูปเขาขึ้นมาดูไม่รู้กี่รอบแล้ว ส่วนมากก็เป็นรูปที่ผมถ่ายกับเขาตอนอยู่ที่รีสอร์ต

...หรือผมควรส่งข้อความไปหาเขา

ผมก้มมองโทรศัพท์ในมือ หน้าจอสีดำสะท้อนเงาใบหน้าของผมที่กำลังกัดริมฝีปากล่างเบาๆ อย่างชั่งใจว่าจะทำตามที่คิดดีมั้ย แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะโยนโทรศัพท์ไปอีกฟากหนึ่งของเตียง จะได้ไม่เผลอหยิบขึ้นมาแล้วติดต่อกลับไปหาเขา ไม่อย่างนั้นความอดทนของผมตลอดทั้งสองวันที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า และอานุต้องผิดหวังในตัวผมมากแน่ๆ

โทรศัพท์มือถือนอนอยู่ตรงนั้น ห่างจากมือผมไปพอสมควร แต่มันก็อยู่ใกล้สายตาของผมมาก มากเสียจนอยากเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมา แล้วกดส่งข้อความไปหาคนที่ผมคิดถึง อยากถามว่าทำไมวันนี้เขาถึงไม่โทรหาผม ทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกว่าคิดถึงผมเหมือนทุกวัน

ร่างกายผมเริ่มขยับเข้าไปหาเครื่องมือสื่อสารที่จะทำให้ผมกับคุณยะใกล้กันแม้จะอยู่ห่างไกลกัน และเกือบจะเอื้อมถึงอยู่แล้วเชียว หากเสียงเคาะประตูจะไม่ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...

ตอนแรกผมคิดว่าเป็นอานุ พอหย่อนขาลงจากเตียงเท่านั้นแหละ เสียงเคาะประตูรัวๆ ก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงที่ผมคุ้นเคย...คนที่ผมคิดถึง

“พีเปิดประตู คุณยะเองนะ”

ผมก้าวช้าๆ ไปจนถึงประตู พยายามหักห้ามความต้องการของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ทั้งที่มือกำลังเอื้อมไปที่กลอนประตู

“อานุห้ามไม่ให้คุณยะมาหาผม” ผมพูดผ่านบานประตูออกไปในระดับที่ดังพอสมควร เพื่อให้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องได้ยิน ที่ผมต้องอ้างคำพูดของอานุเพราะผมกลัวตัวเองจะใจอ่อนให้เขา กลัวว่าผมจะยอมคืนดีกับเขาแบบทุกครั้งที่ผ่านมา แล้วก็จะจบแบบเดิมอีกตามเคย

...ผมเหนื่อยแล้ว

รักก็เหนื่อย

เกลียดก็เหนื่อย

ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งแต่ทำไมต้องมาแบกรับความรู้สึกมากมายแบบนี้ด้วย ผมถามตัวเองว่า ผมควรมีชีวิตวัยรุ่นที่สดใสและมีความรักที่สามารถเปิดเผยได้ไม่ใช่หรือไง แต่ความรักของผมกับคุณยะ นอกจากจะเปิดเผยไม่ได้แล้ว ยังมืดมนและไม่เห็นหนทางที่จะมีความสุขได้ตลอดไปเลย

“นุอนุญาตแล้ว” คำตอบของเขาไม่น่าเชื่อเท่าไร แต่ทำไมใจผมถึงได้ชนะสมองเสมอนะ เพียงแค่เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา “...ไม่คิดถึงฉันหรือไง”

...คิดถึงสิ

คิดถึงมากที่สุด เพราะอย่างนั้นมือผมถึงได้ปลดกลอนประตูออก พร้อมกับดึงประตูให้ห่างออกจากกัน เพื่อให้คนที่กำลังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าผมได้เดินผ่านกรอบประตูเข้ามา

“ห้ามกอดผม!” ผมสั่งเสียงจริงจัง ก้าวถอยไปข้างหลังทันทีที่เขากางแขนจะโอบกอดผม

ไม่ได้!

ผมจะให้เขาเข้าใกล้จนไม่เหลือระยะห่างไม่ได้ ไม่อย่างนั้นผมก็จะไม่มีวันหนีเขาพ้น

“...” รอยยิ้มของเขาค่อยๆ หุบลง เช่นเดียวกับที่แขนทั้งสองข้างของเขาทิ้งลงไปข้างลำตัว

“คุณมีธุระอะไรกับผม” ผมเลือกใช้คำเรียกขานที่สร้างความห่างเหิน สร้างระยะห่างให้กับความรักที่มีแต่จะทำให้ผมเสียน้ำตา

“ไม่มี” เขาพูดมันออกมาช้าๆ มองหน้าผมเหมือนอยากจับตีก้นที่ผมใช้คำพูดห่างเหินกับเขา “...ต้องมีด้วยหรือไงถึงจะมาหาเมียตัวเองได้” เขายิ้มร้ายกาจ จนอยากจะหาอะไรมาทุบให้ทรุดไปเลย แล้วเขาก็เดินผ่านผมเข้าไปในห้อง

แต่แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นแหละ เขาก็ต้องหยุดปลายเท้าลง หันกลับมาหาผมด้วยสีหน้าที่พยายามจะทำให้เป็นปกติที่สุด แต่ก็ยังเห็นชัดว่าเขาตกใจกับคำพูดของผมมากจริงๆ

“ออกไป... อย่าบังคับให้ผมต้องกลับไปที่โรงแรมนั่นอีก เพราะถ้าไปแล้ว ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีก”

มันจะเป็นวิธีสุดท้ายที่ผมเลือกทำ เพราะยังไงผมก็ไม่อยากไปจากที่นี่ ไม่อยากเป็นคนนอกครอบครัวตรัยธาดา... และไม่อยากกลับไปอยู่กับคนที่ไม่เคยต้องการผมมาตั้งแต่แรก ทั้งหมดที่พูดไปก็แค่คำขู่ให้เขาออกไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่ความคิดถึงจะทำให้ผมใจอ่อนให้กับเขา เพื่อจะกลับไปเจ็บช้ำเหมือนเดิมอีกครั้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เขาเงียบไปนานเกือบนาทีกว่าจะขยับริมฝีปากปล่อยคำพูดที่ดังแทบไม่พ้นลำคอออกมา

“...เธอรู้”

ใช่! ผมรู้... แต่ที่เอ่ยออกไปกลับเป็นอีกประโยคหนึ่ง

“คุณออกไปได้แล้ว” ครั้งนี้สมองชนะหัวใจอย่างไม่เห็นฝุ่นเลย “ถ้าออกมาจากห้องน้ำแล้วคุณยังอยู่ในนี้ ผมก็จะเป็นฝ่ายไปเอง” ผมพูดโดยไม่มองหน้าเขา ไม่อยากให้ใจอ่อน บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าต้องเข้มแข็งและเด็ดขาดได้แล้ว

พูดจบผมก็เดินผ่านเขาเข้าไปซ่อนตัวในห้องน้ำนานเกือบสิบนาทีถึงได้เปิดประตูห้องน้ำออกมา และพบว่าเขาไม่อยู่แล้ว ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเหงาที่มากกว่าตอนก่อนเขาจะก้าวเข้ามาเสียอีก

...ผมยังรักเขา

ไม่ได้รักน้อยลงเลย เพียงแต่ผมพยายามที่จะเลิกรักเขาให้ได้... ในสักวันหนึ่ง

.

.

.

ตริ๊ง...

ผมที่พลิกตัวไปมาเกินชั่วโมงแล้วมั้งเพราะนอนไม่หลับ ลืมตาขึ้นมาในความมืดที่มีแสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์วาบขึ้นมาพร้อมกับเสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชต มีไม่กี่คนหรอกที่ผมคุยไลน์ด้วย แต่คนที่ผมไม่อยากให้เป็นเจ้าของข้อความไลน์ที่ดังรัวอยู่ในตอนนี้ก็คือพี่เลม่อน

เฮ้อ... แต่ก็นั่นแหละ ยิ่งไม่อยากก็ยิ่งต้องเจอ

ทั้งที่รู้ว่าแต่ละข้อความของพี่เลม่อนมีแต่จะทำร้ายผม แต่ผมก็ยังเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความของพี่เลม่อน อยากรู้ว่าคืนนี้เขาจะส่งอะไรมาทำร้ายผมให้เจ็บปวดไปกับความจริงที่เกิดขึ้นระหว่างพี่เลม่อนกับคุณยะ

เปิดมาก็เจอเลยครับ

...รูปถ่ายของพี่เลม่อน

แม้จะมีไม่กี่รูปและมีแค่พี่เลม่อนคนเดียวอยู่ในรูปพวกนั้น ทว่าสิ่งที่ทำให้ความเจ็บปวดและอาการหึงหวงของผมตีกันไปมาคือสถานที่ที่อยู่เบื้องหลังรูปของพี่เลม่อน

...เพนต์เฮ้าส์บนชั้นสามสิบสองของพุฒิธาดา

ทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัวเล็กๆ ห้องนอน และจบที่บนเตียงนอนของคุณยะ ในสภาพที่เจ้าตัวซุกอยู่ในผ้าห่มผืนที่ผมเคยห่ม พร้อมกับเปลือยท่อนบนอวดร่องรอยสีกุหลาบจางๆ บนเตียงที่ยับย่นนั้นก็มีเสื้อของคุณยะกองอยู่ด้วย

LemoN : ขอโทษที่ต้องให้มึงดูแค่รูปกูคนเดียว

LemoN : แต่กูหวังดีกับมึงนะ เห็นแค่รูปกู มึงจะได้เสียใจน้อยลงไง

LemoN : หรืออยากได้รูปคู่ของกูกับพี่ยะ

LemoN : บอกมาสิ กูจะได้แบ่งปันความสุขของกูกับพี่ยะให้มึงอิจฉาไปทั้งคืน

LemoN : แต่คลิปคงไม่มีนะ เพราะกลัวมึงจะตายซะก่อน

LemoN : อ้าว... อ่านแล้วไม่ตอบ กลั้นใจตายอยู่หรือไง

LemoN : ตายๆ ไปซะก็ได้นะคนอย่างมึง

LemoN : กูจะได้มีความสุขซะที

LemoN : ไม่ต้องมาระแวงว่าวันไหนมึงจะหน้าด้านเอาผัวกูไปกกอีก!

P.Phirach : งั้นพี่ก็เลิกระแวงได้เลย

P.Phirach : ผมไม่อยากได้ผัวพี่

...ผมพิมพ์กลับไป และพี่เลม่อนก็พิมพ์กลับมาอย่างรวดเร็ว ด้วยคำด่าแบบเดิมๆ ที่ทำให้ผมหน้าชาได้ทุกครั้ง จนคิดไปแล้วว่าผมคงเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ

LemoN : ตอแหล!

LemoN : หน้าด้านยิ่งกว่าหมา!

LemoN : มึงอยากได้ผัวกูจะเป็นจะตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง

LemoN : ขนาดกูบอกแล้วว่าพ่อมึงเป็นใคร มึงก็ยังไม่ไปหาเขา เพราะห่วงแต่จะอ้าขาให้ผัวกู

LemoN : กูเตือนมึงไว้เลยนะ ถ้ามึงยังจะร่านอ้าขาให้ผัวกูเอาอยู่อีกละก็ กูนี่แหละจะเป็นคนไปบอกพ่อมึงให้มาลากมึงออกไปจากชีวิตผัวกู

...ข้อความขู่ของพี่เลม่อนทำเอาผมกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นจริง คนอย่างพี่เลม่อนทำได้อยู่แล้วเพื่อกำจัดผมออกไปจากคุณยะ

P.Phirach : อย่าบอกนะ ผมขอร้อง

...เพราะผมยังไม่อยากออกไปจากครอบครัวตรัยธาดา ไม่อยากไปเริ่มต้นกับครอบครัวที่ผมไม่รู้จัก ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาจะอ้าแขนรับผมไว้หรือเปล่า หรือจะมองว่าผมเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่เขาไม่ต้องการ เหมือนที่เคยไม่ต้องการผมตอนที่อยู่ในท้องเธอคนนั้น

LemoN : มึงก็เลิกอ้าขาให้ผัวสักทีสิ

LemoN : ทำตัวให้สมกับที่เขาอนุญาตให้มึงเกิดมาหน่อย

LemoN : ไม่อย่างนั้นมึงก็เตรียมเก็บกระเป๋าไปอยู่กับพ่อมึงได้เลย

...แล้วก็ไม่มีข้อความจากพี่เลม่อนมาอีก

ผมปิดหน้าจอโทรศัพท์ วางมันไว้ที่เดิมบนโต๊ะข้างเตียงนอน ก่อนขยับตัวลงนอน... และเป็นการนอนไม่หลับเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มมาคือคำถามว่าผมจะทำยังไงดี ถ้าพี่เลม่อนเอาเรื่องผมไปบอกคุณชลัชขึ้นมาจริงๆ

ผมต้องทำอะไรสักอย่างสิ จะปล่อยให้พี่เลม่อนเอาเรื่องนี้มาขู่ผมไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าวันไหนที่คำขู่จะกลายเป็นเรื่องจริง คิดได้ดังนั้นผมก็ลุกขึ้นจากเตียง เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง เปิดหน้าจอและเลื่อนหาชื่อของคนที่คิดว่าจะช่วยผมได้มากที่สุดและกดโทรออกทันที

Rrrrrr...

เสียงสัญญารอสายดังขึ้น มันเป็นจังหวะเดียวที่ผมแว่วได้ยินเสียงโทรศัพท์เครื่องหนึ่งดังเบาลอดเข้ามาในห้อง จะใช่เสียงโทรศัพท์ของอานุหรือเปล่า ผมเดาพลางลุกลงจากเตียงเดินไปที่ประตู หูก็ฟังทั้งเสียงรอสายและเงี่ยฟังเสียงที่ดังเบาอยู่นอกห้อง จนผมเดินไปถึงประตูและเปิดมันออกนั่นแหละ เสียงโทรศัพท์ของใครบางคนก็เงียบหายไปพร้อมกับเสียงของคนปลายสายที่ดังผ่านออกมา

“อยากคุยกับฉันแล้วเหรอ ?”

“คุณยะ...” ผมลดโทรศัพท์ลงจากหู ก่อนกดตัดสายทิ้ง ไม่จำเป็นที่ต้องคุยกันผ่านโทรศัพท์ ในเมื่อคนที่ผมต้องการขอให้เขาช่วยหยุดพี่เลม่อนยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว “มาตั้งแต่เมื่อไร”

ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ไม่ได้ต้องการให้เขาได้ยิน ทว่าระยะห่างกันแค่ไม่กี่ก้าวกับความเงียบของเวลาตีสองที่เงียบสงัด เขาก็ยังได้ยินมัน

“สี่ทุ่มได้มั้ง” เขาตอบ พลางเดินเข้ามาใกล้ผม จนผมต้องถอยหลังเข้ามาในห้อง ส่วนเขาเข้ามาในห้องได้ก็จัดการปิดประตูห้องทันที ลงกลอนด้วย

“จะ...ทำอะไร” ผมเริ่มระแวงกับท่าทีคุกคามของเขา ยิ่งนึกถึงคำขู่ของพี่เลม่อนที่ห้ามไม่ให้ผมมีอะไรกับเขา ผมก็ยิ่งต้องถอยออกมาให้ห่างร่างสูงใหญ่ให้มากที่สุด แต่ก็อย่างว่า ห้องไม่ได้กว้างเหมือนสนามฟุตบอล ผมจะหนีเขาไปได้ไกลเท่าไรเชียว ตอนนี้ก็ถอยไปสุดทางที่ประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว หนีให้รอดก็คงต้องกระโดดหน้าต่างลงไป และจบด้วยความพิการของตัวเอง

“โทรมาหาฉันเองนะ... จะกลัวอะไร”

...ก็กลัวหน้าตาท่าทางที่ไม่น่าไว้ใจและกลิ่นเหล้าจางๆ ที่ได้จากตัวเขานี่แหละ

“ผมไม่ได้โทรให้คุณมาทำหน้าตาไม่น่าไว้ใจใส่ผมแบบนี้”

“แล้วมีอะไร โทรหาฉันทำไม” เขาผ่อนสีหน้าเจ้าเล่ห์ลง เพิ่มความจริงจังขึ้น แต่ที่ไม่หยุดลงคือการใช้ร่างกายที่สูงและหนากว่ามากมาคุกคามผม ด้วยการเดินมาใกล้จนแทบไม่เหลือระยะปลอดภัยให้ผมได้อุ่นใจ มือข้างหนึ่งเท้าอยู่ข้างแก้มผมและอีกข้างกำลังหยอกล้อกับไฝเม็ดนั้น

สัมผัสของเขาอ่อนโยนอย่างทุกที หัวใจผมก็ซัดเซไปตามความอ่อนโยนที่หลอกล่ออยู่เบื้องหน้า เขาต้องรู้จุดอ่อนของผมแน่ๆ ว่าพ่ายให้กับความอ่อนโยนและใจดีของเขาเสมอ ผมอยากให้เขาใช้อารมณ์เกรี้ยวกราดกับผมมากกว่า เพราะผมจะได้โต้กลับไปในแบบเดียวกัน พอเขาทำแบบนี้ ผมก็แทบไปไม่เป็นเอาซะเลย

“ออก...ไปไกลๆ ผมนะ” คำสั่งแผ่วจางเสียงยิ่งกว่าน้ำหนักของปุยนุ่น มือแทนที่จะผลักตัวเขาออกไปกลับทำได้แค่ขยำชายเสื้อเชิ้ตของเขาแน่นเสียยิ่งกว่าแน่น “ยะ...อย่า...อื้ออ...”

ไม่ทันเสียแล้ว หลบไม่ทันริมฝีปากที่ทาบทับลงมาบดเบียดแต่ก็อ่อนโยนและนุ่มนวลเหมือนอย่างที่เขาทำมาตลอด ยิ่งทำให้ผมไม่รู้จะหยิบเอาความรู้สึกไหนมาต่อต้านสัมผัสแสนหอมหวานนี้

ยามนี้กลายเป็นว่าผมกำเสื้อเขาแน่นขึ้น ความคิดที่จะผลักเขาออกไปไม่มีอยู่ในหัวสมองแม้แต่นิดเดียว มีแต่จะยินยอมให้เรียวลิ้นของเขารุกล้ำเข้ามาภายใน ตอบรับสัมผัสของเขาด้วยความเต็มใจอย่างที่เป็นมาเสมอ ปลายลิ้นของเราช่วงชิงความหวานของกันและกันอย่างยาวนาน ราวกับว่าไกลห่างจากกันมานานนับปี ทั้งที่เพียงไม่กี่วันเท่านั้นที่เราไม่ได้จูบกันอย่างดูดดื่มเช่นนี้

“อ่า...” ผมหอบใจหนักและเหนื่อยหลังจากจูบแสนหอมหวานจบลง ขณะที่ริมฝีปากของเขาเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ มันไต่ลงไปกลั่นแกล้งผิวเนื้อบริเวณซอกคอของผม ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นขึ้นมาเป็นบางครั้ง แน่นอนว่าเช้ามาคอผมต้องขึ้นสีเข้มอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“ไปที่เตียงนะ” กระซิบคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ก่อนที่ดวงตาสีราตรีจะเคลื่อนมาจับใบหน้าที่เห่อร้อนของผม

“ไม่...” เสียงผมเบาหวิว “...ผมจะไม่นอนกับคุณอีกแล้ว” หวังว่ามันเกิดขึ้นได้จริง

“...”

“ผมไม่อยากใช้ของร่วมกับใคร... ผมขยะแขยง” คำพูดแบบเดิมของผมกลับมาอีกครั้ง หลังจากหายไปจากริมฝีปากผมนานพอสมควร “...คุณมันสกปรก”

รูปที่พี่เลม่อนส่งมาให้ผมเมื่อกี้ก็บอกแล้วว่าก่อนเขามาที่นี่ เขาเพิ่งนอนกับพี่เลม่อนมา ทำไมเขาถึงไม่รู้จักพอ มีอะไรกับพี่เลม่อนแล้ว ยังจะมามีอะไรกับผมอีก อยากจะแช่งให้ความเป็นชายของเขาพิการไปตลอดชีวิตจริงๆ

“...” ดวงตาของเขาวูบไหวไปนิดหนึ่ง ก่อนคลายมือที่โอบรัดผมไว้แนบแน่นกับเนื้อตัวของเขาลง แล้วดึงมือกลับไปซุกกระเป๋ากางเกง ถอยออกมาจากผม ไปยืนอยู่กลางห้อง “โทรหาฉันทำไม”

“เรื่องเมียคุณ”

“เลม่อนทำอะไรเธออีก ?” เขาถามกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมเจ็บจี๊ดที่หัวใจทันที เพราะเขาไม่ปฏิเสธคำที่ผมใช้เรียกพี่เลม่อนเลย

...ทำไมไม่ปฏิเสธว่าไม่ใช่!

“พี่เลม่อนจะไปบอก...คุณชลัช...”

“...” สีหน้าเขาเครียดขึ้นทั้งที่ผมยังพูดไม่จบ แบบนี้แล้วผมควรมั่นใจได้แล้วใช่มั้ยว่าผมเป็นลูกของคุณชลัช
 
“...ว่าผมเป็นลูกเขา” พูดจบ ใบหน้าที่เคร่งเครียดของเขาแทบลุกเป็นไฟ ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็ว “คุณช่วยไปห้ามพี่เลม่อนได้มั้ยว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับคุณชลัช” มือของเขาชะงักกลางอากาศทันทีที่ผมพูดจบ ก่อนจะค่อยๆ ลดโทรศัพท์ในมือลงและเก็บใส่กระเป๋าไปตามเดิม

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง


ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“เธอไม่อยากไปอยู่กับเขา ?” เขาถาม ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มหน่อยๆ และมันดูไม่น่าไว้ใจเลย หรือว่าผมพลาดอะไรไป เขาถึงได้ยิ้มราวกับว่ากำลังได้เปรียบผม ส่วนผมก็เพลี่ยงพล้ำเสียท่าให้กับเขาไปอย่างไม่รู้ตัว

“ผมแค่ยังไม่พร้อมตอนนี้” ผมตอบอย่างระมัดระวัง แต่รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็ยังคงไม่เลือนหาย มิหนำซ้ำยังดูจะมากกว่าเดิมด้วย มันลุกลามไปถึงดวงตาสีดำวาววับนั้นด้วย

“ตอนนี้ไม่พร้อมงั้นเหรอ ?” เขายิ้ม จนผมระแวงความคิดของเขาในตอนนี้ “แล้วพรุ่งนี้ล่ะ เธอพร้อมมั้ย ?” เขาถามมาอีก

“...” ผมส่ายหน้า รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกคุกคามด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ

“เมื่อไรเธอจะพร้อม ?” เขาก็ยังป้อนคำถามต่อไม่หยุด “วันเสาร์หน้าดีมั้ย ?”

“คุณต้องการกันแน่!” ถามเสียงขุ่นออกไป ตอนนี้ผมระแวงไปหมดแล้ว ผมคิดผิดใช่มั้ยที่หวังพึ่งเขา คิดว่าเขาจะช่วยผมได้

...เขาก็คงอยากจะเอาตัวผมไปส่งคืนคุณชลัชแล้วสินะ

“อยู่ที่เธอมากกว่า... ว่าต้องการอะไร” เขาย้อน

“อย่าให้คุณชลัชรู้ว่าผมเป็นลูกเขา” ผมกำลังเล่นไปตามเกมของเขา ไม่รู้ว่าจะพาตัวเองไปจบที่จุดไหน

“ก็ได้”

ผมยิ้มออกมาอย่างโล่งอก แต่ก็แค่ไม่กี่วินาที เมื่อเจ้าของรอยยิ้มร้ายกาจเอ่ยออกมาอีกประโยคหนึ่ง

“ถ้าเธอยอมนอนกับฉัน”

“คุณยะ!” ข้อเสนอของเขาเอาเปรียบผมที่สุด ผมเคยนอนกับเขามาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งไม่เคยอยู่ในเงื่อนไขที่เอาเปรียบผมแบบนี้ ทุกครั้งผมเต็มใจนอนกับเขา... เพราะผมรักเขา และถึงแม้ตอนนี้ นาทีนี้ ผมยังรักเขาเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่อยากจะนอนกับเขา

“ปฏิเสธก็ได้ ฉันไม่บังคับ” เขายิ้มเยือกเย็น เดินเข้ามาใกล้ผม ใกล้จนปลายนิ้วของเขาแตะเข้ากับแก้มผม ลากลงมาจนถึงริมฝีปาก “...และไม่ต้องให้เลม่อนไปบอกพ่อของเธอ เพราะฉันนี่แหละจะเอาเธอไปคืนเขาเอง”

...คำพูดของเขายืนยันแล้วว่าผมเป็นลูกของคุณชลัช

“แต่เมียคุณบอกว่าถ้าผม ‘อ้าขา’ ให้คุณ เขาจะไปบอกคุณชลัชเรื่องผม” ผมยกเอาเรื่องที่พี่เลม่อนขู่ผมขึ้นมาอ้าง ไม่ลืมที่จะใส่คำพูดที่ทั้งเขาและพี่เลม่อนชอบปาใส่ผม

“...” เขาเงียบ

“...” ผมก็เงียบ

ต่างคนต่างมองหน้ากัน ในความเงียบที่เกิดขึ้นผมเห็นเขาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนเอ่ยคำพูดออกมา

“เรื่องนั้นฉันจัดการเอง”

“คุณจะทำจริงๆ ใช่ไหม” ผมถามเสียงอ่อนลง

“จริง” ปล่อยมือจากริมฝีปากของผม แล้วตวัดร่างของผมขึ้นสู่อ้อมแขน

“ผมยังไม่ได้ตอบตกลง!”

“ฉันรู้ว่าเธอจะไม่ปฏิเสธ” ว่าแล้วก็อุ้มพาผมไปที่เตียงนอนที่ตั้งไกลออกไปแค่ไม่กี่ก้าว

“...” ก็เหลือทางไหนให้ผมปฏิเสธบ้างล่ะ!

“ฉันคิดถึงเธอจะแย่อยู่แล้วนะพี” เขาวางผมลงบนเตียง

“ไปคิดถึงเมียคุณนู่นสิ” ผมว่าอย่างไม่สบอารมณ์ “เพิ่งเอากันมาไม่ใช่เหรอ ยังไม่อิ่มหรือไง” พออารมณ์ไม่ดีแล้วปากผมก็ร้ายไม่ใช่เล่นเหมือนกัน คำประชดประชันมาเต็ม

“เลม่อนบอกเธอแบบนั้นเหรอ” วางผมเสร็จ เขาก็ตามลงมาแนบอยู่ข้างกาย ท่อนแขนหนักพาดเกี่ยวอยู่บนตัวผม ก่อนดึงผมให้หันหน้าไปคุยกับเขา

“...” ผมไม่ตอบ อยากเอารูปในมือถือให้เขาดู แต่ก็ไม่อยากจะเห็นรูปพวกนั้นซ้ำเป็นหนที่สอง เลยเลือกที่จะนิ่งแทนคำตอบ

“ทำไมเธอเชื่อเขามากกว่าฉัน”

“...” พูดยังกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทั้งที่เขาเป็นคนทำตัวเองทั้งนั้น ถ้าไม่ไปนอนกับพี่เลม่อน แล้วจะมีหลักฐานพวกนั้นอยู่ในโทรศัพท์ผมหรือไง

“กี่ครั้งแล้วที่เราทะเลาะกันเพราะเธอเชื่อเลม่อนมากกว่าฉัน”

“...” ผมไม่ได้เชื่อพี่เลม่อน ผมเชื่อหลักฐานที่ฝ่ายนั้นส่งมาให้ผมต่างหาก

“พี”

“...” ผมหันหน้าหนีเขา

“พี” เขาดึงหน้าผมกลับมา บีบคางผมหน่อยๆ ด้วย

“น่ารำคาญ!” ผมบอกเสียงขุ่น และก็อดประชดเขานิดๆ ไม่ได้ “แค่นอนด้วยใช่มั้ย”

ผมจะนอนเฉยๆ ทำให้รู้ไปเลยว่าผมไม่เต็มใจนอนกับเขาแม้แต่นิดเดียว เดี๋ยวก็รู้ว่า ‘ท่อนไม้’ เป็นยังไง ผมปักหลักไว้ในใจแล้วว่าจะไม่ให้ความร่วมมือกับเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“ครางด้วยก็ได้”

“ทุเรศว่ะ!” ผมค้อนตาจะกลับอยู่แล้ว ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย รู้ก็รู้ว่าเขาเคยยอมผมซะที่ไหน

“อย่าใช้ ‘ว่ะ’ กับฉัน” เขาเตือนเสียงเข้ม ลูกตานี่เหมือนถือไม้เรียวเตรียมฟาดก้นผมก็ไม่ปาน แต่มีหรือผมจะยอมแพ้ ยิ่งเขาห้าม ผมก็ยิ่งจะทำ

“ปากของผม ผมจะพูดอะไรก็ได้” ผมพูดแบบไม่ยอมหลบสายตาดุๆ ของเขาแม้แต่วินาทีเดียว “... ‘มึงกู’ ยังพูดได้เลย อยากฟังไหมล่ะ” ผมเคยขึ้นมึงกูกับเขาเมื่อนานมาแล้ว ช่วงที่ผมโกรธเขาสุดๆ นั่นแหละ

“เฮ้อ...” เขาจงใจถอนหายใจเสียงดัง พลางก้มหน้าลงมางับปากล่างผมอย่างแรงเลย

“ผมเจ็บนะ!” เจ็บจริงไม่ได้แกล้งเจ็บด้วย

“ก็ปากฉัน ฉันจะใช้ทำอะไรก็ได้” เขาเอาคำพูดผมมาย้อน “ทำได้เยอะกว่าเธอด้วยพี” พูดพลางทำตากรุ้มกริ่ม มือก็เริ่มเปลี่ยนจากวางเฉยๆ เป็นลากไล้เข้ามาในร่มผ้า พลางร่างหนาก็ยกตัวขึ้นมาอยู่เหนือร่างกายผม

“...” ผมกัดริมฝีปากเอาไว้ไม่ให้หลุดเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว ยามที่เขาใช้ปลายนิ้วบีบเบาๆ ที่ยอดอกของผม จมูกโด่งลากไปตามลำคอ ริมฝีปากกัดย้ำบนผิวกายอ่อน ผมคิดว่ามันต้องขึ้นสีแดงในตอนเช้าแน่ๆ


“หึ...” เสียงหัวเราะเบาบางดังขึ้นตอนที่เขาละริมฝีปากจากหน้าอกเปลือยเปล่าของผม เพราะเสื้อตัวที่ผมใส่อยู่ถูกเขาถอดไปจากตัวเมื่อหลายนาทีก่อน “...นี่คือวิธีต่อต้านเหรอ ?”

“...” เห็นอยู่จะถามทำไม

“ขอให้สำเร็จนะ” เขาพูดกลั้วรอยขำที่เหมือนเสียงเยาะเย้ยความสามารถของผม คิดว่าผมจะแพ้เขาอย่างนั้นเหรอ

หึ! ดูถูกเกินไปแล้ว คอยดูเถอะเขาจะรู้ว่าท่อนไม้มีจริง!

.

.

.

‘ท่อนไม้’ ไม่มีจริง!

ที่มีก็แค่ ‘เด็กคนหนึ่ง’ ที่พ่ายแพ้ให้กับความหื่นของ ‘ผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์’

“ไม่ต้องมาแตะตัวผม” ผมปัดมือออกไปจากไหล่ หลังจากที่เขาอุ้มพาผมออกมาจากห้องน้ำกลับมาที่เตียงนอนที่เรียบตึงเหมือนไม่เคยถูกใช้เป็นสนามรบมาก่อน

“ดื้อจนฉันเหนื่อย”

สองแง่สองง่ามหรือเปล่า? ผมก็ไม่รู้ แต่ผมจะคิดว่าเขาจงใจพูดไปทางสองแง่สองง่าม เพราะผมดื้อไม่ให้เขาทำความสะอาดเนื้อตัวผมแบบทุกซอกทุกมุมไง เลยทำให้เขาโมโหหน่อยๆ และจัดการผมต่ออย่างหน้าด้านที่สุด

แต่... ผมก็ดันแปลงร่างเป็นท่อนไม้ไม่ได้สักทีนี่สิ แค่โดนจูบหอมหวานของเขาเล่นงาน ผมก็กลายร่างเป็นตุ๊กตายางให้เขากอดจนต้องปล่อยสายน้ำออกมาเป็นรอบที่สอง ตัวอ่อนไร้กระดูกให้เขาจัดการทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมได้อย่างสิ้นฤทธิ์เดช

“ออกไปไกลๆ ผม” ผมบอกอีก เมื่อร่างกายที่ติดจะเย็นหน่อยๆ เพราะเขาก็ต้องทำความสะอาดร่างกายแบบเดียวกับผมประกบติดอยู่กับแผ่นหลังของผม

“อย่าดื้อ... ระวังจะเสียน้ำอีกรอบ” เขาขู่ ดึงเอาหัวผมไปหนุนต้นแขนของเขาแทนหมอนใบใหญ่ที่ตอนนี้เขาดึงเอาไปหนุนแทนผมแล้ว

“...” ไม่ดื้อก็ได้ แต่ใช่ว่าผมจะยอมคืนดีกับเขาง่ายๆ ตัดแล้วตัดเลย จนกว่าเขาจะยอมปล่อยมือจากพี่เลม่อน

ตอนนี้ผมไม่หวังให้พี่เลม่อนหมดความอดทนแล้วละ ผมยอมแพ้เอง... ง่ายกว่า

“วันนี้เลม่อนส่งอะไรให้เธอ” ถามพลางจูบขมับผมอยู่หลายที

“รูปตอนคุณเอาเขาเสร็จไง”

“รูปเก่าหรือเปล่า”

“...” จะปฏิเสธละซี่

“พี” เขาชะโงกหน้าขึ้นมามองหน้าผมที่ตอนนี้มุดหน้าเข้าหาแขนใหญ่ๆ ของเขาเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากเห็นหน้าเขา

“ดูเองสิ” ผมบอกเสียงห้วน ก่อนที่เขาจะขยับตัวเล็กน้อย คงจะขยับตัวไปเอื้อมหยิบมือผมนั่นแหละ สักพักก็ถามออกมาว่า...

“รหัสอะไร”

“...” เมื่อก่อนเขารู้รหัสล็อกหน้าจอของผมครับ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนรหัสใหม่แล้ว

“บอกมาพี”

“...” ผมยังปิดปากสนิท ไม่อยากให้เขารู้รหัสใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยน

“หึ...” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น “รักฉันมากสินะ” พูดแบบนี้แสดงว่าเขาปลดล็อกได้แล้ว

น่าเจ็บใจชะมัด!!

ผมไม่น่าเปลี่ยนรหัสใหม่เลยให้ตายสิ!

“0803... ง่ายดีนะ ไม่ต้องจำเลย”

มันจำง่ายเพราะเป็นเลขวันเกิดของ...เขากับผม

“...” ผมเงียบเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือผมอายที่เขาจำได้ว่าผมยังรักเขาอยู่ เพราะผมเพิ่งเปลี่ยนรหัสไปเมื่อสองวันก่อนนี่เอง

ครั้งนี้เขาก็เงียบไปบ้าง ที่เงียบคงเพราะอ่านข้อความแชตของพี่เลม่อนอยู่มั้ง

“ไม่ต้องไปพูดนะว่าเห็นที่เขาไลน์มาหาผม เดี๋ยวเขาจะไลน์มาด่าผมอีกว่าขี้ฟ้อง” ผมพูดเพราะอารมณ์ประชดล้วนๆ

“เธอขี้หึงต่างหาก”

“...” ผมรู้ตัวหรอกน่า ไม่ต้องบอก!

เขากลับไปเงียบอีกครั้ง สักพักใหญ่เลยเขาถึงได้ขยับตัว ผมได้ยินเสียงวางมือถือลงบนโต๊ะข้างเตียงแรงพอสมควร บอกอารมณ์ว่าเขาคงไม่พอใจกับสิ่งที่เปิดไปเจอ

...ผมอยากให้เขาโกรธพี่เลม่อนบ้างจัง กลับไปบอกเลิกเลยยิ่งดี

“อย่าเชื่อเลม่อนมากนัก” เขากลับลงมานอนกอดผม กอดแน่นกว่าเดิมด้วย “เชื่อฉันบ้าง”

“...” ผมเชื่อหลักฐาน ไม่มีหลักฐานผมจะเชื่อหรือไง

“วันนี้ฉันไม่ได้มีอะไรกับเขา” เขาค่อยๆ พูดอยู่เหนือศีรษะผม

“...” ผมไม่อยากฟังคำแก้ตัวของเขานักหรอก แต่ผมไปไหนไม่ได้ต่างหาก ถูกเขารัดไว้แน่นขนาดนี้

“ฉันแค่เรียกเขาไปถามว่าได้บอกเรื่องพ่อของเธอกับเธอหรือเปล่า”

“...” เข้าเค้าเหมือนกัน แต่ทำไมเพิ่งมาถามวันนี้ล่ะ แล้วทำไมโทรไปถาม เรียกมาทำไมถึงในห้อง ในหัวผมมีแต่คำถาม แต่ก็ไม่อยากขยับปากถามออกไปหรอก เป็นเขาเองที่รู้ใจผมเหลือเกินว่าอยากได้คำอธิบายอะไรจากเขา

“ฉันไม่ได้เรียกเขามาคุยตั้งแต่วันนั้นเพราะเขาติดถ่ายละครที่ต่างจังหวัด แล้วที่ไม่โทรคุยเพราะฉันอยากดูว่าเขาจะโกหกฉันหรือเปล่า เพราะถ้าคุยโทรศัพท์เขาจะโกหกฉันยังไงก็ได้... จริงไหม?”

จริง! แต่ขอโทษ ผมไม่หลงกลพูดกับเขาหรอก

“เป็นใบ้ ?”

“...” เหอะ! ผมอยากตาบอดด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องเห็นทั้งรูปและคลิปของเขากับพี่เลม่อนในอนาคตอีก

“ดื้อกับฉันมากๆ ระวังจะฉันจะปราบจนเธอดื้อไม่ออกนะพี”

นึกว่าผมจะกลัวหรือไง

เออ! กลัวก็ได้ เพราะพูดจบมือของเขาก็เคลื่อนตัวลงไปยังส่วนล่างของผม

“หยุดเลย! คุณจะเอาเปรียบผมมากเกินไปแล้วนะ” ผมจับมือเขาไว้ทันก่อนที่จะถึงจุดยุทธศาสตร์ของผม

“เธอก็เอาเปรียบฉันเหมือนกัน ปล่อยให้ฉันเหนื่อยอยู่คนเดียว” เสียงของเขาติดรอยขำ ผมคิดว่าเขาจะหมายถึงเรื่องอย่างว่า เลยหันขวับไปมองหน้าเขาด้วยสายตาร้อนแรง เตรียมจะอ้าปากด่าให้สาสม แต่เขาดันชิงพูดก่อนที่ผมจะได้ทำอย่างที่คิด “...ฉันพูดจนเมื่อยปากหมดแล้วเนี่ย”

“...” ดีนะที่ผมยั้งปากทัน

พอหันหน้ากลับ เสียงหัวเราะแบบเดิมก็ดังมากระทบหูอีกระลอก

“เงียบได้แล้ว ผมจะนอน”

“เธอก็นอนอยู่นะพี” เขาไม่เคยยอมผมเลยจริงๆ

“ผมจะหลับ”

“ฟังความจริงจากปากฉันอีกเรื่องก่อน”

“พูดมาสิ”

เขายังไม่พูดออกมา เพราะริมฝีปากถูกใช้งานอย่างอื่นก่อน นั่นคือหอมแก้มผม แช่ค้างไว้หลายวินาทีเลยกว่าจะถอนริมฝีปากออกไป

“วันนั้นที่ฉันมีอะไรกับเลม่อน เพราะฉันเมามาก” เขาเริ่มพูด “เมาเกือบๆ จะเท่ากับคืนที่ฉันข่มขืนเขา...แล้วฉันก็เห็นเขาเป็นเธออีกแล้ว”

“...” ท่องเอาไว้... ก็แค่คำแก้ตัว

“ตั้งแต่วันที่กลับจากรีสอร์ตฉันไม่เคยนอนกับเลม่อนเลย” เขาจูบลงมาที่ข้างขมับผม “...เชื่อฉันนะ”

“...” ผมก็อยากเชื่อ เคยเชื่อไปแล้วด้วย แต่ตอนนี้มันยากมากนะที่จะเชื่อคำพูดของเขา

“ความจริงจากปากฉันไม่น่าเชื่อเท่ากับคำพูดของเลม่อนเลยหรือไง” น้ำเสียงเขาเหมือนตัดพ้อ มันดังเบาจนกำแพงแข็งแรงของผมสั่นอย่างรุนแรง “เธอก็เห็นว่ารูปที่วันนี้เลม่อนส่งมาไม่มีฉันเลยสักรูป ถ้าฉันมีอะไรกับเขาจริงๆ มีหรือเขาจะไม่ถ่ายรูปฉันส่งมาให้เธอดู”

“...” มันก็จริง ทุกครั้งที่พี่เลม่อนส่งรูปหรือคลิปมาเยอะเย้ยผม มันจะมีคุณยะอยู่ในรูปเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่มี

“ตั้งแต่กลับมาจากรีสอร์ต เขาไม่เคยส่งรูปที่บอกว่าฉันมีอะไรกับเขาให้เธอเลยใช่ไหม นอกจากวันที่เราทะเลาะกัน”

“...” คำพูดของเขากลับมามีน้ำหนักในใจผมอีกจนได้

“พี” เขาดึงใบหน้าผมให้หันไปหาเขา “เชื่อฉันแล้วใช่ไหม”

“...” ผมหลุบตาลงต่ำ ไม่อยากเห็นชัยชนะที่แต้มแต่งบนใบหน้าเขา เพราะมันหมายถึงว่าคนที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้คือผม

“ตอบฉันมาสิ...” เขาช้อนปลายคางผมขึ้นมามองแววตาเว้าวอนเอาคำตอบที่อยากได้จากผม “...ว่าเธอเชื่อฉัน”

“ไม่เชื่อ” เสียงผมเบาหวิว ต่อให้ใจของผมจะเชื่อเขาไปแล้วก็ตาม แต่ผมก็อยากให้ตัวเองหนักแน่นกว่าที่เคยผ่านมา ทุกครั้งพอทะเลาะกัน เขากลับมาง้อผมด้วยคำหวานมากมาย ผมก็ยอมใจอ่อนอย่างง่ายดาย แล้วจุดจบก็ลงเอยที่ความเจ็บปวดของผมฝ่ายเดียว

...ตราบใดที่เขายังไม่ปล่อยมือจากพี่เลม่อน

ผมก็จะไม่เอาตัวเองไปจมอยู่กับความหวังลมๆ แล้งๆ ที่เมื่อไรก็ไม่มีทางจะสมหวัง มีแต่ความเจ็บปวดที่รอต้อนรับผมไปตลอดสองข้างทางจนถึงปลายทาง

“เธอเชื่อฉันแล้วต่างหาก” เขาพูดอย่างมั่นใจ

“ก็แล้วแต่คุณจะคิดเข้าข้างตัวเอง” ผมพูดเสียงแข็ง ไม่อยากให้เขาได้ใจไปมากกว่านี้ “แต่ผมบอกคุณเลยว่า... มันจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม จนกว่าคุณจะโยนพี่เลม่อนออกไปจากชีวิตคุณ” พูดจบผมก็พลิกตัวนอนหันหลังให้เขาทันที ดึงผ้าห่มมาคลุมมิดหัวเลยด้วย

...ดีแล้วที่ผมเข้มแข็งขึ้น

ทั้งหมดก็เพื่อตัวผมเอง ผมไม่อยากเจ็บซ้ำซาก เพราะมันเหนื่อยกับหนทางที่เห็นแล้วว่ามีแต่ความเจ็บปวดรายล้อมเต็มไปหมด

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง


ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตริ๊ง...

มาอีกแล้วเสียงเดิมกับข้อความเดิมๆ เพราะคนที่คิดเงื่อนไขเอาเปรียบร่างกายผมนั่นแหละที่ทำให้พี่เลม่อนส่งข้อความมาด่าผม

ครั้งนี้พี่เลม่อนไม่ได้ทักทายผมด้วยคำด่า เจ้าตัวมาพร้อมคำถามที่ทำเอาผมสังหรณ์ใจแปลกๆ

LemoN : ใครเอ่ย ?

...แนบรูปผู้หญิงคนหนึ่งในชุดนักศึกษา ความซีดของรูปไม่ได้ทำให้ความสวยของเธอลดลงเลย

เธอเป็นใคร ?

LemoN : อีกรูปละกัน

...ครั้งนี้เป็นรูปของผู้หญิงคนเดิม ชุดเดิมคือชุดนักศึกษา แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือผู้ชายสองคนที่นั่งเยื้องอยู่ด้านหลังของเธอ คนโตกว่าสอนคนที่ตัวเล็กกว่าเล่นกีตาร์อยู่มั้ง...ถ้าผมเดาไม่ผิดนะ

เขาสองคนผมจำได้ว่าเป็นใคร...คุณยะกับคุณชลัช

LemoN : คิดออกหรือยังว่าผู้หญิงในรูปเป็นใคร

LemoN : ถ้ามึงโง่คิดไม่ออก กูจะบอกให้เอาบุญว่ะ


P.Phirach : ไม่ต้อง ผมไม่อยากรู้

...เพราะผมไม่อยากรู้ ถึงผมจะรู้แล้วก็ตาม ในเมื่อพี่เลม่อนส่งมาขนาดนี้ เขาคงไม่ส่งรูปผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตผมมาให้ดูหรอก

LemoN : แต่กูอยากบอก

...ถ้าเป็นการคุยกันด้วยเสียง ยืนอยู่ต่อหน้ากัน ผมคงวิ่งหนีความจริงที่จะออกมาจากปากของพี่เลม่อนได้ แต่ผมคงหนีจากข้อความที่โผล่ขึ้นมาทางฝั่งซ้ายมือไม่ได้

LemoN : แม่มึงไง ชื่อพิณ

... คนที่อุ้มท้องผมและทิ้งผมไว้กับคุณยะชื่อ ‘พิณ’ อย่างนั้นเหรอ

LemoN : รู้ปะว่าพี่ยะละเมอเรียกชื่อนี้บ่อยๆ

LemoN : ยิ่งตอนเขาเมามากๆ นะ คร่ำครวญหาแต่แม่มึง

LemoN : เพราะเขารักแม่มึงมาก

LemoN : มึงก็แค่ตัวแทนคนที่เขารัก

LemoN : พี่ยะไม่ได้รักมึง แต่เขารักแม่ของมึง

LemoN : จำใส่กะโหลกเน่าๆ ของมึงไว้ด้วย จะได้ไม่มั่นหน้ามั่นโหนกว่าเขารักมึง

LemoN : พี่ยะแค่เห็นหน้ามึงเหมือนคนที่เขารัก แต่เขาไม่มีวันรักมึง

P.Phirach : เมื่อไรพี่จะเลิกยุ่งกับฉันผม

...ผมพิมพ์ถามอย่างหมดความอดทน เกลียดทุกข้อความที่เขาส่งมา เกลียดความจริงที่เขาขยันเอามาเยาะเย้ยผม

LemoN : จนกว่ามึงจะเลิกอ้าขาให้ผัวกูไง

P.Phirach : ผมไม่ได้ยุ่งกับเขาแล้ว

...ผมโกหก เมื่อคืนผมก็ยังทำอย่างที่พี่เลม่อนด่า ถึงจะถูกเงื่อนไขเห็นแก่ตัวของคุณยะขู่ แต่สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ไม่เข้มแข็งพอ ร่างกายมันโหยหาสัมผัสของเขาไปเสียแล้ว

LemoN : โกหก!

LemoN : เมื่อคืนมึงก็เพิ่งนอนกับผัวกู

ผมเบื่อคำด่าทอที่หยาบคายของเขา เหนื่อยเกินกว่าจะพิมพ์ส่งข้อความกลับไปโต้เถียงเขา ถึงเวลาที่ผมควรทำสิ่งที่ควรทำมานาน ควรทำตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาส่งข้อความหยาบคาย รูป และคลิปพวกนั้นมาให้ผมด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังโง่ ปล่อยให้พี่เลม่อนใช้คำหยาบกับผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

‘คุณบล็อก LemoN แล้ว’

 แต่ก่อนที่ข้อความนี้จะอยู่บนหน้าจอ ผมไม่ลืมที่จะเซฟสองรูปล่าสุดที่ฝ่ายนั้นส่งมา

แล้วผมก็เปิดรูปที่เซฟไว้ขึ้นมาดู เพ่งมองใบหน้าเธอที่นั่งเท้าคางฉีกยิ้มสดใสให้กล้อง รูปหน้าของเธอกลมมน ผิวแก้มเนียนใส ดวงตาสองชั้นเรียวยาวใต้ขนตาหนาเป็นประกายวาววับเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา ริมฝีปากของเธอก็เป็นรูปหัวใจสีหวาน จมูกสวยเข้ากับรูปหน้าของเธอ ใบหน้าของเธอถูกล้อมกรอบไว้ด้วยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนจากการย้อมและทำลอนบางๆ

ใครเห็นรูปเธอก็ต้องบอกว่า...นอกจากเธอจะดูสวยแล้ว เธอก็ยังดูน่ารัก เป็นผู้หญิงที่มองว่าสวยก็สวยจัด มองว่าน่ารักก็ชวนให้หลงใหล ยิ่งตัวเธอเป็นหญิงสาวร่างเล็กและบอบบางคล้ายโดนลมแรงก็คงจะปลิวได้นั่นแหละ ทำให้เธอดูน่าทะนุถนอม

นี่แค่รูปนะครับ ผมยังรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยและน่ารักได้มากขนาดนี้ และถ้าเรื่องที่ทำให้คุณยะกับคุณชลัชเกลียดกันเพราะเธอคนนี้ ผมว่าก็สมเหตุสมผลอย่างที่สุด

แต่ว่า...เธอคนนี้เป็นแม่ผมจริงๆ ใช่ไหม

ผมก้มดูรูปเธออีกครั้ง จดจำแทบทุกตารางนิ้วบนใบหน้าของเธอเอาไว้ พลางเดินไปที่กระจกเงาบานใหญ่ มองดูเงาสะท้อนของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง โดยเฉพาะใบหน้าที่บอกว่านี่คือผม เด็กผู้ชายที่เหมือนแม่มากกว่าพ่อ

ผมเหมือนเธอจริงๆ ใช่ไหม

อยากให้คำตอบว่าไม่ใช่ ไม่เหมือนเลยสักนิด แต่ความจริงที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมหนีความจริงไปไม่พ้น แล้วข้อความที่พี่เลม่อนส่งมา

‘...มึงก็แค่ตัวแทนคนที่เขารัก...พี่ยะไม่ได้รักมึง แต่เขารักแม่ของมึง’

เขาบอกให้ผมเลิกเชื่อคำพูดของพี่เลม่อน แต่ผมไม่เคยทำได้เลย เพราะแต่ละเรื่องที่พี่เลม่อนเอามาเยาะเย้ยผม ไม่มีเรื่องไหนที่เหมือนเป็นเรื่องโกหกเลย ตั้งแต่เรื่องรูปกับคลิปที่บอกถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับคุณยะ เรื่องที่คุณชลัชเป็นพ่อของผม เรื่องที่เธอคนนี้เป็นแม่ของผม ก็มองไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องโกหกได้เลย ในเมื่อหน้าผมคล้ายเธอขนาดนี้

‘...จำใส่กะโหลกเน่าๆ ของมึงไว้ด้วย จะได้ไม่มั่นหน้ามั่นโหนกว่าเขารักมึง’

ใช่ ผมเคยมั่นใจว่าเขารักผม เมื่อสิบนาทีที่แล้วก็ยังมั่นใจ ทว่าตอนนี้ความมั่นใจของผมติดลบไปแล้ว

หน่วยตาของคนในกระจกกำลังล้นด้วยน้ำอุ่นร้อน เช่นเดียวกับผมที่รู้สึกถึงสายน้ำตาที่ไหลออกมาช้าๆ

ผมเป็นตัวแทนของแม่จริงเหรอ ?

คำบอกรักของเขาไม่มีความจริงสักนิดเลยเหรอ ?

...แกรก

ผมรีบเช็ดน้ำตาออกไปจากแก้มอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนเข้ามา (ผมไม่ได้ล็อกเพราะเขาสั่งห้ามไว้) ผมรีบหันปลายเท้าไปที่ประตูห้องน้ำ ตั้งใจจะเอาใบหน้าช้ำน้ำตาไปซ่อนไว้ในนั้น แต่ก็ถูกเขาคว้าตัวไว้เสียก่อนที่จะทันได้เปิดประตูเข้าไป

“เลม่อนทำอะไรเธอ” ไม่แปลกใจเลยที่เขาถามแบบนี้ เพราะเขาคงรู้ดีว่ามีแค่เขากับพี่เลม่อนเท่านั้นที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ได้ เมื่อเขาไม่ได้ทำ ก็ต้องเป็นพี่เลม่อน “เขาส่งข้อความอะไรมาปั่นหัวเธออีก” เขาถามพลางถอนหายใจเบาๆ

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ” ถ้าผมบอก เขาจะเห็นรูปของเธอ ซึ่งผมไม่อยากให้เขาเห็น ไม่อยากเห็นแววตาอาลัยอาวรณ์ของเขาที่มีต่อเธอ

“บอกฉันมาพี” เขาพูดเสียงเข้มขึ้น พร้อมกับจับใบหน้าผมเอาไว้ไม่ให้เบือนหนีไปทางไหนได้

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร อย่าถามมากได้ไหมมันน่ารำคาญ อยากรู้อะไรก็ไปถามเมียคุณโน่น!” ผมโวยวายกลบเกลื่อน ก่อนเดินกลับไปที่เตียง วางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วก้าวขึ้นไปนอน ดึงผ้ามาห่มแล้วหลับตาลง บังคับให้ตัวเองหลับให้เร็วที่สุด แต่ก็ทำได้ยาก โดยเฉพาะหูผมกำลังเงี่ยฟังเสียงที่เกิดขึ้นในห้องนี้

“เลม่อนอยู่ไหน ฉันจะคุยกับเขา”

“...”

“ไปตามตัวมา”

เสียงเงียบไปสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงของคุณยะอีกครั้ง

“เธอทำอะไรอีกแล้วเลม่อน”

เสียงเขาขุ่นจัด ฟังน่ากลัวด้วย

“ความจริงอะไร ?”

“...”

“เลม่อน!” เสียงเขาดังสนั่นจนผมสะดุ้งเลย

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเขาจะเกรี้ยวกราดระดับไหน เพราะผมหลับตาปี๋ไปแล้ว แต่ก็ได้ยินเสียงหงุดหงิดที่ระบายออกมาทางลมหายใจหนักหน่วงพักใหญ่เลย จนเขาเริ่มสงบลงนั่นแหละเตียงข้างตัวผมถึงได้ยวบลง

“รหัสอะไร ?” คงหยิบโทรศัพท์ผมมาดูสิ่งที่คนของเขาทำกับผมสินะ

“...” เรื่องอะไรผมจะบอก ผมเพิ่งเปลี่ยนรหัสเมื่อเช้านี่เอง

“พี” เขาเรียกผมเสียงอ่อนใจ พลางถอนหายใจเมื่อผมยังเงียบเหมือนเดิม

“...” ผมได้ยินเสียงวางโทรศัพท์ลง ก่อนที่เขาจะลุกออกไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดและปิด

ผ่านไปนานจนผมเกือบเคลิ้มหลับไปแล้วกว่าที่ประตูห้องน้ำจะเปิดออกอีกครั้ง สักพักไฟในห้องก็ดับหลง พร้อมกับร่างกายหอมกลิ่นสบู่ก้าวขึ้นมานอนบนเตียงกับผม เขานอนร่วมเตียงกับผมเท่านั้นจริงๆ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายเราสองคนที่สัมผัสกันเลย แม้แต่ผ้าห่มเขาก็ไม่ดึงไปห่มตัวเลยด้วยซ้ำ

ผมเริ่มนับหนึ่ง สอง สาม... กะว่าจะนับไปจนถึงหลักร้อยหลักพัน จะได้เบี่ยงเบนความสนใจไปจากการกระทำของเขา แต่นับถึงแค่สามสิบสาม ผมก็ทนไม่ไหว หลุดปากถามเขาออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่เขาทำห่างเหินใส่

“ประท้วงผมหรือไง”

“...” เงียบ

ความเงียบมันน่าอึดอัดจริงๆ ให้ตายเถอะ นึกถึงตอนที่ผมเงียบใส่เขาเลย เขาก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผมในตอนนี้แน่ๆ ที่อยากจับตัวเขย่าให้หัวโยกหัวคลอนไปเลย

“เป็นใบ้หรือไง” ผมเอาคำพูดของเขามาใช้บ้าง

“...” แต่ก็เงียบ

“จะไม่พูดกับผมก็กลับไปนอนห้องของคุณเลย”

“...” เงียบอีกตามเคย น่าโมโหชะมัด

“งั้นผมออกไปเองก็ได้!” หงุดหงิดที่สุด นี่ขนาดผมสะบัดผ้าห่มออกจากตัว หย่อนขาลงข้างเตียงแล้วนะ เขาก็ยังนอนนิ่ง

“...”

 “คุณยะ!” หัวผมเหมือนกาน้ำร้อนที่กำลังพ่นควันได้เลยนะ

“...”

ผมรู้ซึ้งแล้วว่าความรู้สึกที่ถูกเงียบใส่มันทั้งน่าโมโห ชวนหงุดหงิด และทรมานใจจริงๆ เพราะอารมณ์พวกนี้แหละทำให้สุดท้ายผมต้องยอมแพ้

“เมียคุณส่งข้อความมาด่าผม”

“...” มีการขยับร่างกายเล็กน้อย เป็นสัญญาณที่ดี อารมณ์กาน้ำร้อนพ่นควันเหลือเพียงความขมุกขมัวจางๆ

“เรื่องที่ผมนอนกับคุณเมื่อคืน คุณบอกเขาทำไม กลัวเขาจะเหงาปากหรือไง” ผมอดประชดเขาหน่อยๆ ไม่ได้ และแน่นอนว่าผมคงจะบอกเขาแค่เรื่องเดียว ส่วนอีกเรื่อง... ผมไม่บอกหรอก พี่เลม่อนก็คงไม่บอกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็คงบอกตั้งแต่ที่เขาโทรหาเมื่อกี้แล้ว

“แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ?” ถามมาแบบนี้เหมือนเขากำลังร้อนตัว คิดว่าพี่เลม่อนจะเอาความลับเรื่องแม่มาบอกผมสินะ

“คุณคิดว่าพี่เลม่อนมีความจริงเรื่องอะไรมาทำร้ายผมได้อีกล่ะ” ผมถามกลับ เจ็บในอกเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาใช้ผมเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่เขารัก และตอนนี้เธออยู่ไหนกันนะ ผมแค่อยากรู้แต่ไม่อยากไปตาหาเธอแล้วบอกว่าผมคือลูกหรอก

“เรื่องที่ทำให้เธอร้องไห้ไงล่ะพี” เขาพูด พลางขยับตัวขึ้นนั่งในห้องที่มืดสลัว เอื้อมมือมาสัมผัสผิวแก้มของผมแผ่วเบา ก่อนโน้มใบหน้าลงมาหาผมแล้วประกบจูบอย่างอ่อนหวานแบบที่เป็นเขา

...แบบที่ผมไปไหนไม่รอด

“บอกได้หรือยังว่าเลม่อนเอาเรื่องไม่จริงอะไรมาเป่าหูเธอให้โกรธฉันอีก” เขาผละริมฝีปากออกมาถาม มือข้างหนึ่งของเขาจับปลายผมเอาไว้

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ผมปัดมือเขาออกไปจากหน้า แล้วทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้เขา ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวตามลงมา ครั้งนี้เขาไม่ได้ทิ้งระยะห่างแบบคนละฝั่งเตียงแต่เอาแผ่นอกกว้างเข้ามาประชิดแผ่นหลังผม โอบกอดผมไว้ในอ้อมอกอุ่นที่ผมหลงใหล

ผมอยากปัดมือเขาออกไปให้พ้นจากร่างกายเมื่อฝ่ามืออุ่นร้อนเริ่มขยับ แต่ผมก็แพ้ให้กับความต้องการของตัวเอง ผมต่อต้านเขาได้แค่ในความคิดเท่า มันไม่ได้เคยได้ผลในทางปฏิบัติ

“พี...คนดี” เสียงทุ้มนั้นบอกทุกความต้องการของเขา สัมผัสลึกซึ้งระหว่างผมกับเขาเริ่มต้นอีกครั้งเหมือนเมื่อวันก่อน เหมือนที่เคยผ่านมา

“...คุณยะ” ผมเผลอเรียกชื่อเขาตลอดเวลาที่เขาแทรกกายเข้ามาในช่องทางของผม ในความมืดสลัวผมเห็นดวงตาที่เปล่งประกายแห่งความสุขสม แต่ผมอยากมองเห็นให้มากกว่าที่ดวงตารับรู้ อยากค้นไปให้ลึกจนถึงก้นบ่อลึกนั้น ว่าแท้จริงแล้วยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในหัวใจของเขามาตลอด และผมก็แค่ตัวแทนของเธอ ตัวแทนที่ไม่มีทางที่จะเป็นตัวจริง

.

.

.

ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

เสียงเคาะประตูด้านนอกดังขึ้น ปลุกผมตื่นขึ้นมาเจอกับแสงของยามสายที่ลอดเข้ามาภายในห้องและความจริงที่ว่า

...คุณยะยังนอนอยู่บนเตียง

และสภาพผมกับเขาไม่ต่างกัน ไม่มีเสื้อสักชิ้นติดตัว เพราะเมื่อคืนหลังจากพาผมไปล้างตัวเอาคราบต่างๆ ออกไปจากร่างกาย คุณยะก็ไม่ยอมให้ผมใส่เสื้อผ้า ผมก็ไม่อยากจะเถียงกับเขา กลัวได้เถียงกันยาวและจบลงแบบเดิมอีก แถมตอนนั้นก็ง่วงด้วยเลยนอนทั้งที่ตัวเปลือยเปล่า

“น้องพี...ตื่นหรือยัง สายมากแล้วนะลูก”

เสียงคุณย่าดังผ่านประตูห้องเข้ามา ผมทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเพราะไม่ได้เตรียมใจไว้เลยว่าคุณย่าจะยืนอยู่หน้าห้องในเช้าที่ผมยังนอนอยู่ในอ้อมกอดของคุณยะ สมองสั่งให้ขานตอบคุณยายออกไป แต่เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอ เสียงมันเลยผ่านออกไปไม่ได้

ผมจะหันไปปลุกคนที่กอดผมไว้ทั้งคืน ให้ตื่นขึ้นมาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ ทว่าก็ช้าไปเสียแล้ว

“ย่าเข้าไปแล้วนะลูก” เพราะคุณย่าปิดโอกาสนั้นไปเสียแล้ว

“...!” เสี้ยววินาทีที่ได้ยินคำพูดของคุณย่า ผมเหมือนถูกสตั๊นเอาไว้ในก้อนน้ำแข็งมหึมา ร่างกายกระดิกไม่ได้เลย และกว่าที่ริมฝีปากของผมจะขยับได้แค่นิดเดียว ไม่ทันได้เอ่ยห้ามตามที่สมองสั่ง คุณย่าก็เปิดประตูเข้าเจอกับความลับที่ผมกับคุณยะซ่อนเอาไว้

“คะ...คุณย่า...อย่า...”

“...!!” คุณย่านิ่งค้างไปทันที ขณะที่ผมลุกพรวดออกจากวงแขนของคุณยะ ในสภาพที่กำผ้าห่มเอาไว้แนบอก สายตาของท่านบอกว่าท่านตกใจกับสิ่งที่เห็น สิ่งที่ท่านไม่เคยนึกว่าจะเกิดขึ้นในครอบครัวตรัยธาดา ก่อนที่ท่านจะเลื่อนสายตาไปยังคนที่งัวเงียตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับเขาถูกคนเป็นแม่จับได้

ทำไมวันนี้เขาไม่ไปทำงาน!

ทั้งที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุด ทั้งที่สายขนาดนี้แล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่ต้องสายแล้วแน่ๆ คุณย่าถึงได้มาตามตัวผมถึงที่นี่

ถ้าคุณยะไปทำงาน... ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้เป็นล้านๆ เท่า

และถ้าเขาจะไม่ลุกขึ้นมาดึงเอาตัวผมเข้าไปกอด จูบหน้าผาก จูบแก้มของผม ทั้งที่ยังงัวเงียและตายังปิดอยู่แบบนี้

“ตายะ!! ปล่อยหลานแม่เดี๋ยวนี้” เสียงคุณย่าน่ากลัวอย่างที่สุด ผมไม่เคยเห็นคุณย่าพูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัวแบบนี้มาก่อน

“คุณแม่!” คุณยะตื่นเต็มตา เขาค่อยๆ ปล่อยแขนจากตัวผม

“ออกมาคุยกับแม่ข้างนอก!” คุณย่าสั่งเสียงเฉียบ สายตาของท่านเลื่อนกลับมาที่ผม น้ำเสียงที่เคยโกรธกรุ่นก่อนหน้านี้ผ่อนลง “ส่วนพีไปอาบน้ำแต่งตัวนะลูก จะได้ลงไปกินข้าวเช้ากัน”

“ครับ” ผมตอบเสียงเบาพลางก้มหน้ามองตักตัวเอง ไม่กล้าสบตาคุณย่าเลย ผมกลัวสายตาของท่านมองผมจะเปลี่ยนไป

คุณย่าเดินออกไปแล้ว

“ไม่เป็นไร” คุณยะดึงตัวผมที่แข็งทื่อเข้าสู่อ้อมกอด “แม่ของฉันรักเธอมาก ท่านไม่โกรธเธอหรอก ไม่ต้องคิดมาก”

ผมเปล่าคิดมาก แต่ผมกลัว... กลัวตัวตนของผมในตรัยธาดาจะไม่เหมือนเดิม


จบตอนที่ 31


 :hao5:
เม้าท์ๆๆ
หมดเกลี้ยงแล้วนะคะ จากนี้ไปก็จะลงตามปกติคือแต่งจบก็จะลงเลย
ตอนที่ 32 ปั่นไปหน่อยแล้วค่ะ อีกสักสัปดาห์หนึ่งน่าจะมาได้
เพราะพรุ่งนี้ต้องไปตจว.หลายวันเลย กลับมาถึงปั่นต่อได้
ปล. เค้าขอโทษน้า ถ้ามันจะวนเวียนอยู่แต่กับรักๆ เลิกๆ
คงต้องทนไปอีกสักพัก คู่นี้จะเลิกกัน 7 ครั้ง ฮื่อออออ
อย่าว่ากันน้า อย่าทิ้งกันนะคะ อดทนไปด้วยกัน
(ปาดเหงื่อกับเรื่องนี้ไปเยอะมากกกกกก)
คนเขียนก็อดทนเหมือนกัน อยากแต่งให้จบแล้วว
สีเหลืองอ่อน





ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
ไม่ได้จะไม่ให้กำลังใจนะ แต่อ่านมานานแล้วยังจับ " แก่นที่จะสื่อ " ไม่เจอเลย ว่าเกิดเรื่องแบบนี้เพราะอะไร มันปูเรื่องมาซะยาวเวิ่นเว้อมาก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หงิดคุณยะกับเลม่อน
แต่จริง ๆ หงิดคุณยะสุด ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ
ทำร้ายเด็กสองคนซ้ำ ๆ

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ยิ่งอ่านยิ่งเกลียดคุณยะกับเลม่อน

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เหมือนอ่านวนอยู่ในอ่าง
แค่ก็ยังอ่านอยู่ดี 555

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1088
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
วนไปวนมา แต่เราก็ยังไม่ยอมออกไปไหนสักที ติดบ่วงซะแล้ว :o8:

รอตอนนต่อไปค่า :call:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ป๊าดดด เลิกกัน 7 ครั้ง นี่คือนับยิบย่อยด้วยใช่ไหมคะ

สงสารทั้งน้องพีทั้งคุณยะ จะรักก็ไม่เต็มปาก
จะเกลียดก็ไม่เต็มใจ เหมือนอยู่ในวังวน
แล้วมาเจอกันตอนโต อยากรู้ระหว่างทาง
น้องพีไปเจออะไร ไปทำอะไรมา ถึงเปลี่ยนไปแบบนี้

คุณยะคือคนร้ายที่สร้างคนดีให้พยายามร้าย
สงสารคนรอบตัวพี ที่ทำทุกอย่างให้พีมีความสุข
ทั้งปี ทั้งจิระ ทุกคนทำเพื่อพีหมด


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด