**รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **รัก...คือคำตอบ** End. (แจ้งรายละเอียดเปิดพรีฯ วันนี้ - 15 มค. 63)  (อ่าน 27596 ครั้ง)

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1086
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
มารอน้องพี :call:

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 32

“...คุณย่า”

ผมเรียกชื่อคนที่เปิดประตูเข้ามา แม้รอยยิ้มของท่านจะอ่อนโยนและใจดีเหมือนเดิม ทว่าผมก็ยังกลัวว่าหลังรอยยิ้มนั้นจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แม้ผมจะมั่นใจว่าคุณย่ารักผมมากก็ตาม

“ร้องทำไมลูก” ท่านเดินตรงมาหาผมที่นั่งอยู่ปลายเตียง ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม พลางเช็ดน้ำตาบนแก้มให้อย่างอ่อนโยน ผมใจชื้นขึ้น ริมฝีปากขยับยิ้มอย่างสั่นๆ เพราะยังสะอึกสะอื้นอยู่

“ฮึก...พีกลัว...คุณย่าเกลียด...” ใบหน้าของคุณย่าพร่ามัวเพราะน้ำตาที่ไม่ลดลงเลยของตัวผมเอง “...ฮึก...คุณย่า...อย่าเกลียดพีนะ” เสียงผมสั่น พูดแทบไม่เป็นคำ แต่คุณย่าก็คงได้ยินชัดทุกคำ

“ย่าจะเกลียดหลานย่าได้ยังไง” ท่านเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักและเอ็นดูดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา

“พีกลัว...ฮึก...” ในหัวผมเต็มไปด้วยความรู้สึกนี้ แม้รอยยิ้มของคุณย่าและสายตาของท่านจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ผมก็ยังกลัว มีแต่คำว่ากลัวเต็มไปหมด “พีไม่อยากให้คุณย่าเกลียด...ฮึก...อย่าเกลียดพีนะครับคุณย่า...พีขอโทษ”

“พีเป็นหลานคนแรกของย่า” น้ำเสียงท่านปรานี และยังเอาใจผมอย่างเช่นทุกครั้ง “ย่ารักพีมากกว่าใครเลยนะลูก”

“แต่พี...ไม่ใช่ลูกคุณยะ...” น้ำตาผมทะลัก “...ไม่ใช่หลานจริงๆ ของ...ฮึก...คุณย่า” ไม่ใช่แค่เสียงของผมที่สั่น ตัวก็สั่น สั่นไปหมดเพราะความหวาดกลัวที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน

“ถึงพีจะคิดแบบนั้น คิดว่าตัวเองไม่ใช่หลานย่า” ท่านยิ้มอ่อนโยนไม่เปลี่ยน มือก็ยังไม่หยุดเช็ดน้ำตาบนแก้มผม น้ำตาที่ไม่รู้เมื่อไรจะหยุดไหล “แต่ย่าจะบอกให้พีรู้ไว้ว่า...พีเป็นหลานของย่าตั้งแต่อยู่ในท้องของแม่เรา ตั้งแต่วันนั้นย่ากับปู่ก็รักพีไม่น้อยกว่ารักลูกทุกคน คิดเสมอว่าพีเป็นหลานของเราสองคน ย่ากับปู่เลี้ยงพีมาด้วยความรักนะลูก ไม่เคยตีแม้แต่ครั้งเดียว ดุด่าก็ยังไม่เคย เพราะไม่อยากให้พีเจ็บแม้แต่นิดเดียว ตามใจพีทุกอย่าง มีอะไรที่ปู่กับย่าให้พีไม่ได้บ้าง เคยสักครั้งไหมที่ทำให้พีรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่หลานของปู่กับย่า”

“ฮึก...ไม่เคยครับ” ผมส่ายหน้าแรงๆ ราวกับจะยืนยันน้ำหนักในคำตอบนั้น

ใช่แล้ว...ท่านทั้งสองตามใจผมทุกอย่าง ไม่เคยตี หรือดุด่าให้เสียใจ และไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินของครอบครัวนี้ ไม่เคยรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองไม่ใช่ตรัยธาดา จนกระทั่งวันที่ผมบังเอิญรู้ความจริงเรื่องที่ตัวเองไม่ใช่ลูกคุณยะ นั่นแหละผมถึงรู้ตัวเองว่าไม่ใช่หลานของคุณปู่คุณย่า

“แบบนี้แล้วยังคิดอยู่ไหมว่าย่าจะเกลียดพีเพราะเรื่องนี้ และยิ่งคนผิดคือลูกของย่าด้วย ย่าไม่ไล่ให้เปลี่ยนนามสกุลก็ดีแค่ไหนแล้ว มาทำร้ายหลานย่าขนาดนี้ได้ยังไง... ย่าขอนะลูก ไม่คิดแบบนี้อีกแล้วนะ อย่าคิดว่าย่าจะเกลียดหลานรักของย่าได้ มันไม่มีทางอย่างแน่นอน”

“ไม่คิด...แล้วครับ...”

ความกลัวที่กัดกินหัวใจผมจางหายไปทีละน้อย ไม่ใช่เฉพาะคำพูดของคุณย่าเท่านั้นที่กำจัดความกลัวไปจากตัวผม น้ำเสียงของท่าน รอยยิ้มของท่าน แววตาที่ท่านทอดมองผม ยังคงเป็นแววตาแบบเดิม รอยยิ้มเดิม และน้ำเสียงปรานีแบบที่เคยเป็นมาตลอด ทั้งหมดช่วยยืนยันว่าท่านพูดจริง ออกมาจากหัวใจที่เต็มไปด้วยรักและเอ็นดูผม... ไม่ต่างจากหลานแท้ๆ ของท่าน

“ยะบอกย่าว่า พีรู้แล้วว่าพ่อเป็นใคร”

ผมพยักหน้า

“อยากไปหาเขาไหมลูก”

“ไม่อยากครับ” และผมไม่อยากเป็นลูกเขาด้วยซ้ำ ไม่อยากเป็นลูกของผู้ชายที่คุณยะเกลียด

“ทำไมล่ะลูก”

“พียังไม่พร้อม” ผมบอก ก่อนเอ่ยถึงความกลัวที่อยู่ในใจลึกๆ “พี...กลัวเขาเอาพีไปจากคุณย่า พีอยากอยู่ที่นี่ อยู่กับคุณย่า”

“โธ่ลูก” ท่านดึงผมเข้าไปกอด พลางลูบหลัง “ปู่กับย่าไม่ให้ใครเอาพีไปหรอกลูก จะไม่มีใครเอาพีไปจากย่าได้”

ผมเชื่อที่คุณย่าพูด ทว่ากลับเป็นผมเองที่ดิ้นรนหนีไป...

...............................................................................
สัมผัสแผ่วเบาข้างแก้มปลุกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาตอนที่ฟ้าด้านนอกเริ่มหมดแสง ในตอนที่ผมขยับเอาใบหน้าหนีสัมผัสนั้น ปลายนิ้วโป้งของคุณยะก็ยังไม่ละความพยายามที่จะตามมาลูบอย่างอ่อนโยนที่จุดสีดำบนแก้มขวาของผม

ผมอยากถามว่าตอนที่เขาเดินออกไปกับคุณย่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และหลังจากที่คุณย่าเข้ามาคุยกับผมแล้วออกไป มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก แต่เหมือนมีก้อนอะไรวิ่งขึ้นมาจุกที่ลำคอ แม้คุณย่าจะไม่รังเกียจผม ยังรักผมเหมือนเดิม แต่ผมก็กลัวการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่จะเหมือนเดิม โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะที่ไม่เป็นความลับและปฏิกิริยาของทุกคนในครอบครัวที่จะแปลกออกไปจากที่เคยเป็น

“คุณยะ...” ผมอยากถามแต่ก็ไม่อยากได้คำตอบว่าหลังจากที่ผมหลับไปแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ว่า?” เขาดึงปลายนิ้วกลับไปแล้ว

“...” ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกปวดกระบอกตาเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จำได้ว่าผมร้องไห้จนหลับไปเลยด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย” เขาดึงตัวผมเข้าไปกอด สีหน้าของผมคงบอกให้เขารู้ว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไร

“แล้วเรื่อง...” ...เรื่องของเราจะเป็นยังไงต่อไป ผมอยากถามเขาแบบนี้ ทว่าคำที่เหลือก็ยากที่จะหลุดออกมาจากริมฝีปาก

“เธอก็ยังเป็นตรัยธาดาเหมือนเดิม แต่...” ผมกลั้นใจฟัง “...ในอีกฐานะหนึ่ง”

‘ในอีกฐานะหนึ่ง’

ถ้า...ผมโง่มากกว่านี้ ผมก็คงจะถามว่า ‘อีกฐานะหนึ่ง’ คือฐานะไหน แต่ที่ผมอยากรู้คือมันจะเป็นไปได้จริงเหรอ?

ผมมองไม่เห็นจุดหมายปลายทางที่อยากให้เป็นได้เลย ที่เห็นก็มีแต่อุปสรรคที่เกิดจากคนคนเดียว... คนที่ว่าเมื่อไรคุณยะก็ทิ้งไม่ได้ คนที่เอาแต่ความจริงมาฟาดฟันผมตลอดเวลา ไม่เคยปล่อยให้ผมมีความสุขจริงๆ ซะที

“คิดอะไรอยู่” เพราะผมเอาแต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของคุณยะอย่างเงียบๆ เขาเลยถาม ขณะที่สองมือดันตัวผมออกมา แม้ผมไม่มีคำตอบให้เขา เขาก็หาคำตอบได้จากดวงตาร้อนจัดของผม “ถ้าเป็นเรื่องเลม่อน ฉันขอโทษ”

ขอโทษที่ปล่อยมือจากพี่เลม่อนไม่ได้เพราะคำสัญญาและความผิดที่เขาต้องรับผิดชอบไปทั้งชีวิตอย่างนั้นเหรอ?

สุดท้ายพี่เลม่อนก็ชนะ ต่อให้ผมอดทนมากแค่ไหน ผมก็เป็นคนแพ้อยู่ดี มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คุณยะก็ยังต้องเลือกรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดไป

ผมอยากคิดแบบโง่ๆ มันจะดีไหมถ้าคนที่ถูกคุณยะทำแบบนั้นไม่ใช่พี่เลม่อน แต่เป็นผม แบบนั้นผมจะได้ไม่ต้องเสียคุณยะให้พี่เลม่อน ผมคงจะมีความสุขที่ต่อให้ผมทำตัวงี่เง่า น่ารำคาญแค่ไหน คุณยะก็ยังคงจะเลือกผม ดูแลผมไปตลอดทั้งชีวิต

“ฟังฉันให้จบก่อนแล้วค่อยร้อง” น้ำเสียงที่ติดจะเอ็นดูและหยอกเย้าดึงผมออกมาจากความคิดที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง พร้อมกับสัมผัสอ่อนโยนของปลายนิ้วที่กำลังเกลี่ยสายน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้างของผม

ผมร้องไห้ตอนไหนไม่รู้ตัวเลยสักนิด

“ฉันขอโทษที่ฉันเคยขี้ขลาด แต่ตอนนี้ฉันเลิกกับเลม่อนแล้ว ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีกแล้ว” ยามที่เขาเอ่ยคำพูดพวกนั้นออกมา ดวงตาสีราตรีจ้องเข้ามาในดวงตาชุ่มน้ำของผม มองอย่างจริงจังและไม่ละจากไปไหน

“ทะ...ทำไมถึงเลิก” ผมถามอย่างไม่อยากเชื่อ

“เพราะเธอไง” เขายิ้ม “ฉันไม่อยากทนเห็นเธอเจ็บปวดอีกแล้ว บางทีอาจจะเป็นอย่างที่เธอเคยพูด... ฉันรับผิดชอบมากพอแล้ว”

แต่ในวินาทีนั้น ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นเพราะผมจริง ทำไมถึงเพิ่งมาทนไม่ได้ตอนนี้ ทำไมถึงปล่อยให้ผมเสียน้ำตาและเจ็บปวดจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่คำพูดต่อมาของเขาก็ช่วยตอบคำถามในหัวผม

“เพราะเลม่อนด้วย” เขาพูด “ฉันขอให้เขาเก็บความลับเรื่องพ่อกับแม่ของเธอ แต่เขาทำให้ฉันไม่ได้”

เอาเข้าจริงก็อดสงสารพี่เลม่อนไม่ได้ ถึงเขาจะร้ายกับผม แต่ผมก็ไม่อยากเห็นใบหน้าสวยงามที่เปื้อนคราบน้ำตาอย่างในวันนั้น เพราะน้ำตาไม่เหมาะกับพี่เลม่อนเลยสักนิด

“คุณไม่สงสารเขาเหรอ” ผมอดถามออกไปไม่ได้ แค่ครั้งเดียวที่ผมเห็นความเศร้าและเม็ดน้ำตาในหน่วยตาของพี่เลม่อน มันยังติดตามาจนถึงตอนนี้ “พี่เลม่อนรักคุณมาก เขาคงเสียใจมาก” ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด ทำไมต้องสงสารคนที่จ้องแต่จะทำให้ผมเจ็บปวด คนที่เอาแต่ด่าทอผมด้วยคำหยาบคาย คนที่ไม่ยอมให้ผมมีความสุขเสียที

หรือลึกๆ แล้ว ผมอยากให้พี่เลม่อนเป็นฝ่ายที่หมดความอดทนไปเอง ยอมแพ้และเดินออกไปจากชีวิตของคุณยะ ไม่ใช่เพราะ...ถูกทิ้ง

“เธอไม่อยากให้ฉันทิ้งกับเขา?” ทั้งน้ำเสียงที่ถาม แววตาที่จ้องมองผมเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ

“ไม่ใช่” ผมรีบส่ายหน้าทันที “ผมแค่...ไม่อยากเห็นเขาเสียใจ” เพราะมันทำให้ผมรู้สึกผิดทั้งที่ไม่ควรรู้สึกเสียด้วยซ้ำ

“ถ้าไม่ใช่เขาก็ต้องเป็นเธอ”

ใช่... ไม่ใช่พี่เลม่อนก็ต้องเป็นผมที่เสียใจ

“คุณยะจะเลิกจริงๆ ใช่ไหมครับ” ผมก็ยังรู้สึกว่ายังเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่ความจริงที่ว่าเขาเลือกผม “ไม่ได้หลอกผมใช่ไหม”

“ฉันอยากให้เธอมีความสุข ไม่อยากเป็นคนที่ทำให้เธอร้องไห้” เขาบอก “และสำคัญที่สุด... ฉันไม่อยากเสียเธอไป” คำพูดสุดท้ายแผ่วเบา ทว่าสัมผัสได้ถึงความจริงที่ผสมไปด้วยความหวาดกลัวของคนที่เอ่ยถ้อยคำนี้ออกมา

“...” ผมก็ไม่อยากยกเขาให้ใครเหมือนกัน

“สัญญากับฉันได้ไหมพี ว่าเธอจะไม่ไปจากที่นี่ เธอต้องอยู่กับฉัน เป็นคนของฉัน เป็นตรัยธาดาไปตลอดชีวิตของเธอ”

“...” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ

บางครั้งผมเคยรู้สึกอยากไปจากเขา นั่นเพราะความคิดชั่ววูบและความเสียใจชั่วคราว แต่สุดท้ายผมก็ยังอยากอยู่กับเขา อยากเป็นคนในครอบครัวตรัยธาดาที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิด

“พูดอะไรบ้างสิ”

“ผมดีใจ” ผมพูดออกมา

“ฉันก็ดีใจที่เห็นเธอดีใจ”

“คุณยะ...ไม่ได้โกหกผมจริงๆ ใช่ไหม” ความรู้สึกของผมยังค้างคาอยู่ตรงนี้ “คุณยะจะไม่ให้พี่เลม่อนเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตจริงๆ แล้วใช่ไหม”

“ฉันจะโกหกเธอทำไม”

นั่นสิ เขาจะโกหกผมทำไม แต่ผมก็ยัง...

“ผมกลัวคุณยะโกหกเพื่อให้ผมสบายใจ”

“คิดมากไปได้” ถึงเขาจะพูดแบบนี้ผมก็ยังรู้สึกไม่เต็มร้อยกับคำพูดของเขา “มันไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องโกหกเธอ ทั้งหมดที่ฉันทำ ฉันแค่ไม่อยากเห็นน้ำตาของเธออีกแล้ว ไม่อยากให้เลม่อนมาทำอะไรเธอได้อีก ต่อไปเขาจะไม่กวนใจเธออีกแล้วนะ” เขาจบคำพูดด้วยมือที่ขยี้ผมยุ่งๆ ของผม

“ผมเชื่อคุณได้ใช่ไหม” ผมก็ยังวนเวียนอยู่กับความไม่แน่ใจนี้

“เชื่อได้สิ แต่ถ้าเธอไม่เชื่อว่าเรื่องของฉันกับเลม่อนจบลงแล้วจริงๆ พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปเอาคำยืนยันจากเลม่อนเองเลย”

“ไม่ต้องก็...ได้” ผมพูดออกมาอย่างแผ่วเบา เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าเขาจะเอาพี่เลม่อนออกไปจากชีวิตแล้วจริงๆ

แต่...ผมก็ยังรู้สึกว่ามันง่ายไปไหมที่คุณยะยอมทิ้งพี่เลม่อนเพื่อผม

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
แต่พอเวลาผ่านไปจากคำพูดในเย็นวันนั้น จนมาถึงวันที่ผมอายุสิบเจ็ดปีเต็ม ผมก็มั่นใจเต็มร้อยแล้วว่าคำพูดของเขาในตอนนั้นเป็นความจริง เขาทิ้งพี่เลม่อนแล้วจริงๆ และฝ่ายนั้นก็ไม่มาวุ่นวายกับชีวิตผมอีกเลย ไม่มีข้อความไลน์มารบกวนจิตใจผมแม้แต่ข้อความเดียว พี่เลม่อนเงียบหายเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลกของผม จนบางครั้งผมก็เผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความเก่าของพี่เลม่อนที่ส่งมาด่าและเยาะเย้ยผม เคยแม้กระทั่งส่งข้อความไลน์ไปหาอีกฝ่ายด้วย

‘พี่สบายดีนะ’

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพิมพ์ข้อความส่งไปแบบนั้น พี่เลม่อนไม่ได้อ่านในทันทีหรอก แต่เขาก็อ่านมันหลังจากนั้นหลายชั่วโมงเลย ได้อ่านแต่ไม่ได้ส่งข้อความตอบกลับมา ยอมรับว่าผมรู้สึกผิดมากที่ส่งข้อความแบบนั้นไป มันเหมือนเยาะเย้ยอีกฝ่ายหรือเปล่า พอรู้สึกผิดผมก็ส่งข้อความไปหาพี่เลม่อนอีกที

‘ผมขอโทษ’

ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเอง คนผิดก็คือผม ผมคือคนที่แย่งคุณยะมาจากพี่เลม่อน ทำให้พี่เลม่อนถูกทิ้ง ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้ผิดอะไรเลย คนผิดคือผมที่อยากได้คุณยะมาเป็นของของผม ไม่อยากให้คุณยะเป็นของใครนอกจากคนของผมเพียงคนเดียว

“คุณยะได้เจอพี่เลม่อนบ้างไหมครับ” ผมหันไปถามเขาที่นอนข้างกายผม

ตอนนี้เป็นคืนวันเกิดของผม หลังจากที่เป่าเค้กก้อนโตเมื่อตอนค่ำและฉลองกันเล็กน้อยภายในครอบครัวตรัยธาดาและเพิ่มมาอีกคนคืออาฟ้า (เจ้าของเค้กวันเกิดที่อร่อยที่สุด) ผมกับคุณยะและสองแฝดก็กลับมาที่บ้านเรือนไทยของพวกเรา และหลังจากที่ผมจับสองแฝดเข้านอนได้ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณยะเคลียร์งานกับพี่แอลเสร็จพอดี เขาเลยชวนผมมาปูเสื่อนอนดูดาวด้วยกัน... ซึ่งก็มีแค่ไม่กี่ดวงเองที่เปล่งแสงน้อยนิดบนฟ้าสีดำ เราสองคนเลยเลือกที่จะมองหน้ากันและกันแทน

คุณยะไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แต่ผมก็ได้ยินชัดเพราะบรรยากาศรอบตัวเงียบสงบ ก็ตอนนี้ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่มนี่ครับ

“ไม่ได้เจอเลย” เขาตอบแล้วเปลี่ยนมาเป็นคำถาม “กลัวฉันแอบไปเจอเลม่อนหรือไง”

“เปล่าครับ ผมแค่...รู้สึกผิดกับพี่เลม่อน” เป็นผมบ้างที่พ่นลมหายใจออกมา “ผมแย่งคุณยะมาจากเขา” ผมเอ่ยสิ่งที่ค้างอยู่ในใจออกมาในที่สุด

“คิดมากเกินไปแล้ว” เจ้าของคำพูดดึงใบหน้าของผมเข้าไปหาริมฝีปากของเขา จุมพิตนุ่มนวลบนหน้าผากของผม

“ก็ผมคิดมากไปแล้วนี่นา” ผมเถียง

“งั้นก็คืนฉันให้เลม่อนไปสิ” คำพูดกึ่งท้ามาพร้อมรอยยิ้มเย้าแหย่ก็ทำให้ผมหน้างอขึ้นมาทันที

“ไม่คืน!” ผมบอกเสียงขุ่น ถึงจะรู้สึกสงสารพี่เลม่อน แถมคิดว่าตัวเองเป็นคนผิดที่แย่งคุณยะมา แต่ผมก็ไม่คิดจะคืนคุณยะให้ใครทั้งนั้น ก็ผมรักของผมนี่นา ไม่ใจดีพอที่จะคืนให้ใครหรอก “หรือคุณยะก็อยากกลับไปหาพี่เลม่อน” ผมถามกึ่งประชดออกไป จ้องหน้าเขาด้วยแววตาคาดคั้น แอบจับผิดเล็กน้อยด้วย

บอกตามตรงเลยว่าผมอดที่จะระแวงเรื่องนี้ไม่ได้ กลัวคุณยะอยากกลับไปหาพี่เลม่อน เพราะผมไม่รู้เลยว่าระหว่างคนสองคนที่มีความสัมพันธ์กันมาหลายปีจะตัดขาดกันได้จริงไหม โดยเฉพาะเรื่องบนเตียงที่ผมออกจะมั่นใจเล็กน้อยว่าคุณยะชอบการมีอะไรกับพี่เลม่อน ผมสังเกตจากคลิปที่พี่เลม่อนเคยส่งมาเยาะเย้ยผมนั่นแหละ

แล้วยิ่งตอนนี้คุณย่าห้ามไม่ให้คุณยะมีอะไรกับผมด้วย ความจริงคุณย่าจะให้ผมไปนอนที่เรือนของท่านด้วยซ้ำ แต่ผมเองแหละที่ดื้อจะนอนที่เรือนหลังนี้ ก็...เฮ้อ... ยอมรับตามตรงเลยว่าถึงผมจะเป็นเด็ก ไม่ควรหมกมุ่นกับเรื่องอย่างว่า แต่การที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคุณยะ ถูกคุณยะโอบเอาไว้ด้วยความรัก มันทำให้ผมมีความสุขมากเหลือเกิน

คุณย่ารับได้ที่ผมกับคุณยะมีความสัมพันธ์กัน แต่รับไม่ได้ที่จะปล่อยให้คุณยะจะกอดผมเหมือนที่ผ่านมา ท่านเลยกำชับลูกชายคนโตอย่างหนักว่าไม่ให้นอนห้องเดียวกับผมและห้ามรังแกผมเด็ดขาด เห็นคุณยะชอบต่อปากต่อคำกับคุณย่ากว่าลูกคนอื่นๆ ก็เถอะ แต่ก็เป็นลูกที่เชื่อฟังคำสั่งไม่ต่างจากน้องทั้งสองคนของตัวเองเลย คุณยะรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับแม่ของตัวเองตั้งแต่วันที่ความลับแตกจนมาถึงตอนนี้ เพราะแบบนี้ผมเลยแอบกลัวว่าคุณยะจะกลับไปหาพี่เลม่อน ไปมีอะไรลับหลังผม

ต่อให้ผมเชื่อใจคุณยะมากแค่ไหนก็ยังอดระแวงไม่ได้อยู่ดี คนอย่างคุณยะจะขาดเรื่องอย่างว่าได้เหรอ นี่ก็เกือบเดือนแล้วด้วยที่เขากับผมไม่ได้มีอะไรกัน

“ฉันมีเธอคนเดียวก็พอแล้ว” เขามองหน้าผมด้วยสายตาจริงจังที่เคลือบคลอไปด้วยน้ำหวาน แต่ก็ไม่ทำให้ความระแวงของผมลดน้อยลงได้เลย

“ตั้งแต่วันที่คุณย่าสั่งห้ามคุณยะไม่ให้กอดผม คุณยะได้ไปกอดใครแทนผมหรือเปล่า” ผมตัดสินใจถาม รู้ทั้งรู้ว่าถ้าเขาไปนอนกับใครมาก็คงไม่มีทางตอบความจริงกับผมหรอก แต่ผมก็อยากถาม อยากเห็นแววตายามที่เขาเอ่ยคำพูดออกมา มันมีคำโกหกซ่อนอยู่ในนั้นหรือเปล่า ผมจับโกหกไม่เก่งหรอกแต่ก็อยากจะลองดูสักครั้ง

“ฉันจะไปกอดใครได้นอกจากเธอ”

ท่ามกลางความมืดสลัวที่ไร้แสงไฟจากหลอดนีออน ผมไม่เจอคำโกหกในดวงตาสีราตรีนี้เลย

“ไม่เชื่อฉันหรือไง”

“ก็ไม่อยากเชื่อเท่าไร” ผมพูดไปตามความจริง แม้จะไม่เจอคำโกหกในแววตาของเขาก็ตาม “คนอย่างคุณยะหรือจะขาดเรื่องอย่างว่าได้” ตั้งแต่โตพอที่จะรู้เรื่องของเขา ผมก็เห็นแต่ข่าวที่เขาควงคนนู้นทีคนนี้ที เจอแม้กระทั่งตอนที่เขามีอะไรกับผู้ชายบนโต๊ะทำงาน เห็นคลิปบนเตียงของเขากับพี่เลม่อน ผมเลยฟันธงว่าคนอย่างเขาขาดเรื่องอย่างว่าไม่ได้หรอก

“เธอจะไม่ยอมปล่อยเรื่องในอดีตของฉันให้ผ่านไปเลยหรือไง” ถึงผมจะกึ่งถามกึ่งว่าไปแบบนั้น แต่คุณยะก็ยังยิ้มให้กับคำพูดของผม และก็คงรู้ตัวด้วยละมั้งว่าอดีตของตัวเองไม่ได้น่าชื่นชมเท่าไร

“ผมก็อยากปล่อยผ่านเหมือนกัน แต่ทำไงได้สมองมันดันไม่ยอมลืมง่ายๆ”

“รักฉันให้มากๆ สิ เธอจะลืมเรื่องที่ไม่ดีของฉันได้” เขาบอก ผมไม่เห็นด้วยเลยสักนิด ในเมื่อผมก็รักเขามากขนาดนี้แล้ว ผมก็ยังจำใบหน้าของผู้หญิงทุกคนของเขาได้อยู่เลย คลิปของเขากับพี่เลม่อนก็ยังติดตา สลัดออกไปไม่ได้เสียที

แม้แต่ผู้หญิงที่อาจเป็น ‘รักแรก’ ของเขา ผมก็ยังจำได้ โดยที่ไม่ต้องเปิดดูรูปที่ถูกเซฟไว้ในโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ

“คุณยะ...หน้าพี...” จู่ๆ ก็รู้สึกจุกที่คอ พยายามที่จะเอาคำที่เหลือออกมาให้หมด “...เหมือนเธอมากไหม” ผมอยากให้คุณยะส่ายหน้า แล้วบอกว่าผมไม่เหมือนเธอคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่คุณยะก็ไม่โกหกในเรื่องที่เห็นชัดอยู่แล้ว

“ดีมากแล้วนะที่เธอเหมือนแม่” และคุณยะก็รู้แล้วว่าผมมีรูปของเธอคนนั้นในโทรศัพท์ “รู้ไหมว่าฉันดีใจมากแค่ไหนที่เห็นเธอครั้งแรก”

“เพราะคุณยะรักเธอมากใช่ไหม” มันเป็นคำถามที่กรีดหัวใจผมมากเหลือเกิน “เลยดีใจที่ผมหน้าเหมือนเธอ”

“คิดแบบนี้มาตลอดหรือไง” เขาถาม เสียงก็กลั้วรอยขำ

“ไม่ต้องมาขำกลบเกลื่อนเลย” ผมค้อนอย่างเคืองๆ “ยอมรับมาเลยว่าเป็นความจริง คุณยะรักผมก็เพราะหน้าเหมือนแม่ อยากใช้ผมเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่คุณยะรัก” ภายในอกผมเริ่มร้อนขึ้นมาทุกที กองไฟกำลังสุมอยู่ในนั้น

“ในการ์ตูนที่เธออ่านมีเรื่องน้ำเน่าแบบนี้ด้วยหรือไง” เขาก็ยังขำสีหน้าจริงจังของผม 

“ไม่มี!” ผมตอบเสียงขุ่น หน้านี่งอเต็มที่แล้ว “ตอนนี้คุณยะยังรักเธออยู่ไหม” ผมถามอีก ถามเองก็เจ็บเอง เพราะใจคิดไปแล้วว่าเขายังคงรักเธอคนนั้นอยู่

“คนที่ฉันรักมีแค่เธอคนเดียว” เขากลับมาใช้น้ำเสียงจริงจังขึ้น ไม่เหลือรอยยิ้มหยอกล้อเหมือนเมื่อครู่ “ส่วนแม่ของเธอ ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรด้วยเลย ไม่เคยรัก ไม่เคยชอบ”

“ถ้าไม่เคยรักแล้วทำไมถึงต้องช่วยเธอขนาดนั้น ดูแลตั้งแต่ที่เธอยังไม่คลอดผมออกมา จนผมเกิดก็ยังต้องดูแลต่อ” ผมก็ยังไม่เชื่อคำพูดของเขา เพราะมันขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง การที่เขาเกลียดพ่อผม ไม่ได้รักแม่ผม แต่ทำไมถึงอยากให้ผมเกิดมา

“ฉันแค่อยากเป็นคนดี...เท่านั้นเอง” น้ำเสียงอ่อนโยนและรอยยิ้มอบอุ่นทำให้ผมเริ่มเชื่อเขาขึ้นมาบ้างแล้ว

วันที่ความลับของผมกับคุณยะแตก คุณย่าเล่าให้ฟังว่าตอนที่คุณยะเดินเข้ามาบอกว่าจะขอให้เด็กคนหนึ่งก็คือผมมาอยู่ในครอบครัวนี้ด้วย ถึงคุณปู่กับคุณย่าจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ตามใจลูกชายคนโต  แต่คนที่ไม่เห็นด้วยมากที่สุดคือคุณทวดพุฒิ ท่านไม่ยอมให้เด็กที่ไม่ใช่สายเลือดของท่านมาใช้นามสกุลของท่าน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะหลานชายคนโตที่หัวดื้อที่สุด ที่เคยบอกว่าจะไม่ยอมรับช่วงบริหารงานโรงแรมต่อจากท่านเนื่องจากอยากเป็นหมอรักษาคน ได้ยื่นข้อเสนอว่าถ้าให้ผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตรัยธาดา ใช้นามสกุลของคุณทวด คุณยะก็จะยอมทิ้งความฝันของตัวเองเพื่อมาดูแลพุฒิธาดาต่อจากคนเป็นปู่

คุณย่ายังบอกอีกว่าก่อนหน้านั้นคุณทวดพุฒิเครียดมากที่ลูกชายคนเดียวไม่อยากดูแลโรงแรมต่อจากท่าน ด้วยการหนีไปเป็นทหาร พอมีหลานก็ดีใจที่จะมีคนรับช่วงดูแลโรงแรมต่อจากท่าน แต่พอทั้งสามเริ่มโตพอที่จะรู้จักความชอบและมีฝันเป็นของตัวเอง ทวดพุฒิก็ต้องกลับมาเครียดอีกครั้ง แถมเครียดหนักกว่าเดิมด้วย เพราะหลานคนโตก็อยากเป็นหมอรักษาคน หลานคนกลางก็อยากเป็นสัตวแพทย์ ส่วนหลานสาวคนเดียวของท่านก็รักเสียงดนตรี

นั่นแหละครับเพราะการเสียสละและเป็นคนดีของคุณยะทำให้ผมเป็น ‘พีรัช ตรัยธาดา’ มาจนถึงวันนี้

“แต่...คุณยะยอมทิ้งความฝันของตัวเอง” ความฝันของคุณยะคือการเป็นหมอ เพราะตอนเด็กคุณยะเคยปีนต้นไม้ (ต้นไหนสักต้นที่อยู่ภายในบ้านหลังนี้นี่แหละ) เกือบตายแน่ะ ดีที่พาส่งโรงพยาบาลทันและอยู่ในความดูแลของคุณหมอท่านหนึ่งที่ใจดีมาก คุณยะเลยจำฝังใจและตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นคุณหมอที่ใจดีแบบคุณหมอท่านนั้น (เรื่องนี้คุณย่าก็เพิ่งเล่าให้ผมฟังเหมือนกัน)

“แต่...วันนี้เธอก็เป็นรางวัลที่ดีที่สุดของการตัดสินใจเป็นคนดีของฉันในวันนั้น” คำพูดของเขาทำให้หัวใจผมเบ่งบานราวกับดอกไม้

“คุณยะพูดจริงใช่ไหม”

“เธอชอบถามฉันจังว่าฉันพูดจริงหรือเปล่า คำพูดของฉันไม่น่าเชื่อขนาดนั้นเชียว”

“ก็...”

...เพราะผมเจ็บปวดกับคำพูดของคุณยะมาเยอะ มันเลยไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผมจะเชื่อทุกคำพูดของเขาแบบเต็มร้อยได้ในทันที แต่ผมพูดไม่ออกซะงั้น คำพูดมันจุกที่คอ

“ฉันพูดความจริง” พอเห็นผมกลืนคำพูดมากมายลงไปที่ที่มันควรอยู่ คุณยะถึงได้พูดออกมา “กับแม่ของเธอก็ไม่ต่างจากคนรู้จัก ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่เคยรัก ไม่เคยชอบแบบชู้สาว แต่กับเธอ...ตั้งแต่อยู่ในท้อง เธอก็เป็นคนสำคัญสำหรับฉันแล้ว ฉันยอมทิ้งความฝันก็เพื่อเธอนะ”

“ผมเชื่อคุณยะได้ใช่ไหม” คำพูดของเขาสวยงามเสมอ เพียงแต่ผมกลัว กลัวความสวยงามนั้นเป็นเพียงแค่ฝันดีที่ในที่สุดก็สลายเป็นหมอกควัน

“คืนนี้เธอดูจะมีแต่คำถามนะ” เขาเอ่ยเย้า

“ก็ผมกลัวนี่นา” ผมสารภาพ ซึ่งก็ไม่ต่างจากคำพูดก่อนหน้านี้ “ผมกลัวคุณยะยังรักเธออยู่ กลัวว่าผมจะเป็นแค่ตัวแทน หรือไม่คุณยะก็รักผมเพราะหน้าตาที่เหมือนแม่ ผมไม่อยากเป็นตัวแทนของใคร อยากให้คุณยะรักผมเพราะเป็นผมจริงๆ แล้ว...ผมก็กลัวด้วยว่าถ้าเธอกลับมา คุณยะจะเลิกรักผมและกลับไปคืนดีกับเธอ”

เธอ... คนที่เป็นแม่ของผม

“เลิกกลัวได้แล้ว หยุดคิดมากด้วย แล้วเชื่อคำพูดของฉันก็พอ” เขาบอกแกมสั่ง ดึงตัวผมเข้าไปกอด ร่างกายอุ่นๆ ของเขาห่มผมไว้ ไม่ต่างจากคำพูดที่ดังอยู่เหนือศีรษะผม “ฉันไม่เคยรักแม่ของเธอ ไม่เคยรักใครเลยด้วยซ้ำ ...คนเดียวที่ฉันอยากรักคือเธอ”

เขาพูดจริงใช่ไหม?

ผมขอเชื่อได้ไหม?

เชื่ออย่างหมดหัวใจได้เลยหรือเปล่า?

หัวใจของผมโบยบินไปกับคำพูดของเขาไปเสียแล้ว

“เมื่อไรครับที่คุณยะ ‘รัก’ ผม” คำถามของผมยังไม่ได้รับคำตอบในทันที มีเพียงความเงียบกับอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นที่โอบผมเอาไว้ ให้ทุกอย่างรอบตัวของผมคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมหวานของความสุขสมหวัง

“ฉันอาจจะผิดปกติก็ได้” เขาพูดขึ้นหลังจากที่กอดผมไว้เงียบๆ ให้ผมซึมซับความอบอุ่นของเขาจนเอ่อล้นภายในอก จากนั้นก็ดึงตัวผมออกมาจากอกของเขา “...ที่ตกหลุมรักเด็กตัวเล็กนิดเดียวที่เอาแต่มองฉันตาแป๋วผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของน้องชายฉัน”

“...!” ผมทั้งตกใจและแปลกใจสิ่งที่เขาเอ่ยออกมา เขาตกหลุมรักผมตั้งแต่ตอนเป็นเด็กตัวเล็กเลยเหรอ แบบนี้เรียกว่าผิดปกติได้เลยนะ แต่จะว่าไป... ผมเองก็รู้สึกอยากได้เขามาเป็นของผมตั้งแต่เด็กแล้วนี่นา หรือว่าผมจะผิดปกติด้วยเหมือนกัน

“คิ้วขมวดแล้ว” ปลายนิ้วอุ่นกดลงมาบนพื้นที่ตรงกลางระหว่างคิ้วทั้งสอง

“ผม...ก็...ก็คงจะผิดปกติเหมือนคุณยะ” ผมสารภาพบ้างด้วยเสียงที่สั่นไหว อาการนี้มาจากความเขินอาย “...คือตั้งเด็ก...ผมก็...อยากได้คุณยะมาเป็นของผม อยากมุดเข้าไปในคอมฯ อานุด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าจะไปเอาคุณยะที่นั่งอยู่ในนั้นมานอนกอด” ความคิดแบบเด็กครับ แต่ความรู้สึกในเวลานั้นก็ขยับขยายใหญ่จนกลายเป็นความรู้สึกมหาศาลในตอนนี้

“ฉันรู้...เห็นตั้งแต่ที่เธอมองฉันตาแป๋วนั่นแหละ มันเหมือนที่เธอมองฉันอยู่ตอนนี้เลยรู้ไหม”

จริงอะ... ผมไม่อยากจะเชื่อ

“ทั้งรักทั้งหลงฉัน” เขาพูดล้อผมอีกแล้ว หน้าผมกลับมางออีกครั้งกับความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ “แถมขี้หึงสุดๆ” อันหลังนี่ผมก็ไม่เถียงด้วยมันเป็นความจริง ผมขี้หึงมาก ควบคุมไม่ได้ด้วย รักคุณยะมากเท่าไร ความขี้หึงก็มากตามไปด้วย

“ก็คุณยะชอบทำให้ผมหึงนี่นา” นี่ก็คือความจริงที่สุดเหมือนกัน

“ต่อไปไม่ทำแล้ว ฉันจะมีแค่เธอคนเดียว กอดเธอคนเดียว รักเด็กคนนี้แค่คนเดียว” คำพูดนี้ของเขาทำผมกลับมายิ้มได้ มองเขาตาแป๋วได้เหมือนเดิม ผีเสื้อในตัวผมตีปีกโบยบินอย่างร่าเริง “ฉันจะรักเธอคนเดียว...ฉันสัญญา”

แล้วเขาก็ยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าผม ส่วนผมก็ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วของเขา เขย่ามือไปมาราวกับจะเพิ่มน้ำหนักให้คำสัญญานั้นมั่นคงดังขุนเขาที่ไม่มีอะไรมาทำลายล้างมันได้

“คุณยะ” คืนนี้ผมเป็นแบบที่เขาว่าจริงๆ ว่ามีแต่คำถาม “...ผมเป็นลูกของเขาจริงใช่ไหม”

ผมอยากให้เขาตอบว่า...

‘ไม่จริง เธอไม่ใช่ลูกเขา’

แล้วเขาก็ตอบมาแบบที่ผมอยากได้ยินจากปากเขา

“ไม่จริง เธอไม่ใช่ลูกเขา...”

แต่ถ้าจะไม่มีอีกประโยคตามออกมาด้วย

“...ฉันอยากให้เป็นแบบนั้น”

“ผมถามได้ไหมครับ” คำถามที่ผมอยากได้คำตอบ “คุณยะกับเขา...” แต่ไม่ทันได้ถามจนจบประโยค เขาก็ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“ถามไม่ได้พีเพราะฉันไม่อยากตอบ” ใบหน้าเขาเรียบตึงขึ้นมาทันที เสียงก็ห้วนและเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่รุนแรงไม่น้อยเลย มันเหมือนอารมณ์ในตอนที่เขาเจอคนคนนั้น

เรื่องระหว่างเขากับคนที่เป็นพ่อผมคงร้ายแรงน่าดู และไม่ใช่เรื่องชิงรักหักสวาทแบบที่ผมคิดเอาไว้ แบบนี้แล้วผมก็ยิ่งอยากรู้ แต่จะให้เซ้าซี้ถามเอาคำตอบให้ได้ก็ไม่ควรอย่างยิ่ง ในเมื่อคุณยะไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น ผมก็ควรจะเก็บเอาความอยากรู้นี้ไว้เสีย รอจนสักวันหนึ่งที่คุณยะอยากจะเล่าให้ผมฟังด้วยตัวของเขาเอง หวังว่าจะมีวันนั้นที่เขายอมเล่า

“แล้วคุณยะเกลียดผมไหมที่เกิดเป็นลูกเขา” ผมเปลี่ยนคำถาม

“ถามเยอะ คิดเยอะ ความจำก็ยังสั้นอีก” เขาว่า ใบหน้าเรียบตึงเมื่อครู่เริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาแทนที่ “บอกไปไม่รู้กี่ครั้งว่าฉันรักเธอ ในเมื่อฉันรักเธอแล้วจะเอาอะไรไปเกลียดเธอได้”

มันก็จริงอย่างที่เขาพูด แต่ก็ไม่จริงหมดซะหน่อย ผมนึกเถียงเขาในใจ เพราะผมมีประสบการณ์ทั้งรักทั้งเกลียดมาแล้ว ก็ตอนที่เขาทำร้ายจิตใจผม ผมก็รู้สึกเกลียดเขามาก ทว่าในความเกลียดนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความรักแค่เขาคนเดียว ถึงจะคิดแบบนี้แต่ผมก็ไม่ได้เถียงเขากลับไป ได้แต่ขยับตัวเข้าไปหาเขา ซุกใบหน้าเข้ากับอกกว้างแสนอบอุ่น

“ห้ามเกลียดพีนะ” ผมพูดเบาๆ ขณะเดียวกันก็นึกย้อนไปถึงวันที่เจอคุณชลัชครั้งแรก วันนั้นคุณยะดูโกรธเกลียดคุณชลัชมาก เหมือนว่าจะเอาความโกรธเกลียดนั้นมาลงที่ผมตอนที่ทำเรื่องอย่างว่ากันบนเตียงด้วย

“ไม่เกลียด” เขาจูบลงมาบนศีรษะผม “ทั้งรักทั้งหลงจะตายอยู่แล้ว จะเกลียดได้ยังไง” แรงกอดของเขาแน่นขึ้น แทนที่จะรู้สึกเจ็บผมกลับรู้สึกถึงความมั่นคงและความรักอันหนักแน่นของเขา


.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
แต่ว่า...

‘ความรักอันหนักแน่น’

ไม่เคยมีอยู่จริงในตัวผู้ชายที่ชื่อ ‘อารยะ’

ผมเพิ่งรู้ความจริงข้อนี้เมื่อเดินมาหยุดที่ประตูห้องของเพนต์เฮ้าส์บนชั้นสามสิบสองของพุฒิธาดา คืนนี้ผมแอบคุณย่ามาหาคุณยะที่นี่ เพราะคุณยะบอกว่าวันนี้เขาต้องเคลียร์งานที่กองเต็มโต๊ะก่อนที่พรุ่งนี้จะบินไปเจรจาเรื่องซื้อที่ดินที่ภูเก็ตแต่เช้าเลยจะค้างที่เพนต์เฮ้าส์

ขณะที่นิ้วผมกำลังจิ้มรหัสเปิดประตูทีละตัวอย่างแม่นยำ ผมก็จินตนาการอย่างมีความสุขไปด้วยว่าเขาจะยิ้มปากฉีกแค่ไหนที่เห็นผม เพราะตอนคุยโทรศัพท์กับผมตอนที่บอกว่าคืนนี้กลับบ้านไปกอดผมไม่ได้ เขาโอดครวญราวกับว่าแค่คืนเดียวที่ไม่ได้กอดผมนั้นนานเป็นชาติ ตอนนั้นแหละที่ผมตัดสินใจแอบคุณย่าออกมาจากบ้านมาเพื่อให้คืนนี้เขาได้กอดผมเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา

แต่เมื่อผมกดรหัสตัวสุดท้ายเสร็จ พร้อมกับผลักประตูเข้าไป สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเห็นหรืออยู่ในความคิดของผมเลยสักนิด บนโซฟาขนาดใหญ่กลางห้องนั่งเล่น ร่างบอบบางไร้เสื้อปกปิดของเด็กหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนนั่งคร่อมทับอยู่บนตักเจ้าของห้อง ท่อนแขนเรียวเกี่ยวต้นคอหนาเป็นหลักยึดในกิจกรรมดูดดื่มก่อนหน้าที่ผมจะเปิดประตูเข้ามาเจอ ทำให้ความร้อนแรงของทั้งคู่หยุดชะงักลงทันที

คนหนึ่งมีสีหน้าตกใจแบบที่ไม่คิดว่าผมจะเข้ามาเห็นการกระทำที่เสียงดังยิ่งกว่าคำโกหก

ส่วนอีกคน... แวบหนึ่งที่ผมเห็นอาการตกใจบนใบหน้าสวยงามและเย้ายวนนั้น ก่อนรอยยิ้มเยาะเย้ยจะเข้ามาแทนที่

“เลว” ผมตะโกนออกไปสุดเสียง แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงของตัวเองเลย มีเพียงริมฝีปากที่ขยับเป็นคำที่เหมาะกับการกระทำของคนที่กำลังผลักร่างบอบบางของเด็กหนุ่มออกไป เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนสาวเท้าเดินตรงมาหาผม สองมือของเขากำลังจะดึงตัวผมเข้าไปกอด แต่ผมไม่ยอมให้มือที่เพิ่งลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนอื่นมาถูกตัวผมเด็ดขาด ทว่ามันก็ไม่ทันเพราะเพียงแค่ผมหันหลังไปดึงประตู เขาก็ก้าวถึงตัวผม พร้อมกับจับแขนผมเอาไว้ไม่ให้วิ่งหนีออกไปจากห้องที่เต็มไปด้วยความเหม็นเน่าของสิ่งที่เขาทำลับหลังผม

กี่ครั้งแล้วที่เขาทำแบบนี้... ผมอยากรู้

ที่บอกว่าทิ้งพี่เลม่อนแล้ว ไม่ได้เจอพี่เลม่อนอีกเลย มันก็แค่คำหลอกลวงให้คนโง่แบบผมหลงเชื่อก็เท่านั้น ความจริงเขาไม่เคยเลิกกับพี่เลม่อน เพียงแต่ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ผมเห็น เหมือนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยซ่อนผมเอาไว้ไม่ให้พี่เลม่อนรู้

“พี... ฟังฉันก่อน”

...จะให้ผมฟังอะไร

...ฟังคำโกหกหรือไง

คำพูดของเขาไม่เหลืออะไรให้ผมเชื่อได้อีกแล้ว กี่ครั้งที่เขาบอกให้ผมเชื่อเขาแต่ทุกครั้งหลังจากนั้นเขาจะหักหลังผมเสมอ ถ้าวันนี้ผมไม่เปิดประตูมาเจอสิ่งที่เขาทำลับหลังผม ผมก็คงโง่ไปอีกนานหรืออาจจะโง่ไปตลอดชีวิต คำโกหกและการกระทำของเขาแนบเนียนแบบที่ผมจับไม่ได้เลย ผมไม่น่าคิดไปเองว่าการที่เขากลับมานอนกอดผมทุกคืนคือความจริงที่ว่าเขามีแค่ผมคนเดียว ไม่มีใครอีกแล้ว กับพี่เลม่อนเขาก็เลิกแล้ว แต่ก็นั่นแหละ... วันหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมง ทุกชั่วโมงของเขาไม่ได้เป็นของผมแค่คนเดียว เหมือนที่เขาก็ไม่เคยเป็นของผมแค่คนเดียว

...ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็ไม่พร้อมจะเป็นของผมแค่คนเดียว มีแค่ผมคนเดียวที่หลงเชื่อคำโกหกว่าคือความจริง

ความรู้สึกของผมกลับมาพังอีกจนได้ ผมเจ็บจนท้อ น้ำตาที่ไหลกลบดวงตาก็ทำให้ทุกอย่างพร่ามัวไปหมด ที่ยังชัดเจนอยู่ตรงหน้าคือความจริงที่ผมไม่มีวันหนีพ้น

“ฮึก...ปล่อย...อย่ามาจับตัวผม...” กว่าจะเค้นแต่ละคำออกมาได้ก็เหนื่อยเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ “อย่าเอามือที่จับมัน...ฮึก...มาจับผม...ผมขยะแขยง...”

“ฉันผิด ฉันขอโทษ” คำขอโทษของเขาไม่ได้ทำให้น้ำตาผมลดจำนวนลงเลย 

“นายจะโมโหอะไรนักหนาล่ะพี ทำยังกับไม่เคยเห็นตอนฉันมีอะไรกับพ่อของนาย” คนที่หยิบเสื้อนักศึกษาขึ้นมาสวมอย่างอ้อยอิ่งเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“หุบปาก!” เขาหันไปตะคอกด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าโกรธมากแค่ไหน ฝ่ายนั้นถึงกับผงะ ดวงตาสวยงามนั้นผลิตเม็ดน้ำตาออกมาทันที “ออกไป!!”

“พี่สัญญากับผม...” ริมฝีปากบางสั่นเทาเอ่ยถ้อยคำนั้นเบาๆ “...ว่าจะไม่ทิ้งผม”

นี่คงเป็นคำสัญญาเดียวที่เขารักษามันเอาไว้ได้มาตลอด... เขาไม่เคยทิ้งพี่เลม่อน ยังคงเก็บไว้ข้างกาย ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ผมรู้

ผมเกลียดตัวเอง

เกลียดที่ไม่ว่าเมื่อไร...ผมก็เป็นแต่คนที่พ่ายแพ้ ไม่เคยชนะได้จริงๆ สักที

ผมยอมแล้ว

..........................................................................

ผมไม่มีที่ไป...

ผมกลับบ้านตรัยธาดาไม่ได้ เพราะกลัวเขาจะตามมา แล้วใช้คำโกหกแบบเดิมหลอกให้ผมหลงเชื่อ จนยอมให้อภัยสิ่งที่เขาทำ ผมเลยมายืนอยู่ในคอนโดฯ ของปาลินที่เจ้าตัวอาศัยอยู่คนเดียวหลังจากที่อาจารย์เพ็ญศิริจากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อเดือนที่แล้ว

“อ้ายกลับไปก่อนนะ” ปาลินที่เห็นสภาพน้ำตาเต็มแก้มของผมหันไปบอกอ้ายตอนที่เดินนำผมเข้ามาในห้อง อ้ายที่นั่งบนพรมหน้าโทรทัศน์ดูจะอึ้งไปเลย เมื่อเห็นสภาพของผมก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี

อ้ายหยิบรีโมทขึ้นมาปิดหนังที่เจ้าตัวกับเจ้าของห้องน่าจะนอนดูด้วยกันตามประสาแฟนในคืนวันศุกร์ จากนั้นก็ลุกมาหยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนโซฟาตัวยาวตัวเดียวกับที่ผมทิ้งตัวลงไปนั่ง

“พรุ่งนี้ถ้าไปไม่ได้ก็โทรมาบอกนะ” อ้ายพูดกับปาลิน ก่อนหันมายิ้มให้ผม แล้วเจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไป

ผมรู้สึกผิดนะที่เข้ามาขัดขวางความสุขของปาลินกับอ้าย แต่ผมไม่มีที่ไปแล้ว ก่อนจะมาที่นี่ผมโทรหาดีน แต่ฝ่ายนั้นไม่รับสาย ไลน์ไปก็ยังไม่อ่าน ผมถึงต้องมาที่นี่

“อยากเล่าให้เราฟังไหม” ปาลินถาม พลางทิ้งตัวลงนั่งข้างผม “แต่ถ้าไม่อยากเล่า เราจะไม่เซ้าซี้” ผมจับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน้อยใจของปาลินได้ พักหลังมานี้ผมกับปาลินห่างกันมาก จนเหมือนว่าคนที่เป็นเพื่อนสนิทของผมเป็นดีน ไม่ใช่ปาลินอีกต่อไป และผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงปีสองปีนี้ให้ปาลินฟังเลย

ปาลินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกับคุณยะไม่ใช่พี่น้องหรือพ่อลูกกัน

“อยากฟังไหม... เรื่องน่าอายของเรา”

“เราอยากรู้ทุกเรื่องในชีวิตพีด้วยซ้ำ” แววตาของปาลินในตอนนี้ มันสะท้อนความรู้สึกบางอย่างออกมา บางความรู้สึกที่ผมเคยมองข้ามไป “อยากแม้กระทั่งเป็นคนที่ซับน้ำตาให้พีและเป็นคนแรกที่พีคิดถึง ไม่ใช่คนสุดท้ายอย่างที่ผ่านมา”

“ปีชอบเราใช่ไหม?” ผมถามออกไป พร้อมกับคำพูดบางประโยคของคนที่มีแต่คำโกหกหลอกลวงผุดขึ้นมาในหัว

‘ฉันหวงสิ่งที่เป็นของฉัน หวงร่างกายที่ฉันได้กอด หวงพื้นที่ที่ฉันได้ครอบครอง ฉันไม่อยากให้ใครได้ในสิ่งที่ฉันได้จากเธอ ฉันอยากให้เธอรักษา ‘ของของฉัน’ เอาไว้ให้ฉันคนเดียว... ทำได้ใช่ไหม’

ที่ผ่านมาผมทำได้ แล้วถ้าจากนี้ไปผมทำไม่ได้แล้วล่ะ เขาจะรู้สึกพังยับเยินเหมือนที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้หรือเปล่า

ปาลินไม่ตอบเป็นคำพูด เจ้าตัวมองตาผมแล้วพยักหน้า ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับเป็นคำถามอย่างระมัดระวังออกมา

“ดีนมันทำอะไรพี” เจ้าตัวคงคิดว่าที่ผมร้องไห้เพราะถูกดีนทำร้ายจิตใจ เพราะความสนิทสนมระหว่างผมกับดีนที่เพิ่มมากขึ้นในระยะหลัง ทำให้ปาลินเข้าใจไปอย่างนั้น

“ไม่เกี่ยวกับดีน” ผมปฏิเสธ 

“แล้วใครทำพี”

“คุณยะ”

“คุณยะ? พี่ชายพีนี่นะ” ปาลินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างกับความจริงที่ผมเอ่ยออกมา

“เขาไม่ใช่พี่ชายเรา”

“คือยังไง?”

“เราเป็นเด็กกำพร้าที่เขาเอามาเลี้ยง”

ปาลินถึงกับอ้าปากค้าง พักใหญ่เลยถึงจะเอาคำพูดออกมา

“แล้วพีจะทำไงต่อไป มาอยู่กับเราไหม” ปาลินก็ไม่เหลือใครแล้วเหมือนกัน พ่อแม่ที่ให้กำเนิดถึงยังมีชีวิตแต่ก็เหมือนตายจากกันไป ส่วนคนเป็นอาก็เห็นหลานเป็นศัตรู และคนเดียวที่เลี้ยงดูปาลินมาตั้งแต่ยังเดินไม่ได้ก็คืออาจารย์เพ็ญศิริก็จากไปแล้ว ปาลินในเวลานี้จึงไม่ต่างจากเหลือตัวคนเดียวในโลกใบนี้

ถ้าผมกับปาลินโตกว่านี้ ดูแลชีวิตของกันและกันได้ ผมคงทำอย่างที่ปาลินชวนคือมาอยู่กับเพื่อนสนิทที่ช่วงเวลาหนึ่งผมลืมเขาไป แต่ผมยังต้องมีมือที่ใหญ่กว่านี้คอยปกป้องจากคำโกหกหลอกลวงของผู้ใหญ่ใจร้ายคนหนึ่ง คนที่จะทำให้คุณยะเข้าใกล้ผมไม่ได้

ก่อนที่ผมจะไปหามือคู่นั้น ผมก็อยากจะทำให้คนที่ทำร้ายผมเจ็บปวดซะก่อน... ก็หวังว่าสิ่งที่ผมทำลงไปจะทำให้เขาเจ็บปวดได้

“ปีอยาก...” ผมพูดออกมาอย่างมั่นคงที่สุด “...นอนกับเราไหม”

“...!” ดวงตาของปาลินเบิกกว้างกว่าทุกครั้ง มองผมอย่างกับเห็นตัวประหลาด หรือไม่ก็คนโง่ที่ประชดความรักที่ไม่สมหวังด้วยการทำลายตัวเอง

ใช่... ผมก็แค่เด็กโง่

............................................................

ปาลินหลับลึกไปแล้ว ท่อนแขนที่ไม่ได้ใหญ่กว่าผมมากนักโอบกอดผมไว้ราวกับเป็นของรัก ผมค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นมานั่งพิงแผ่นหลังไว้กับหัวเตียง ความเจ็บเบื้องล่างแล่นลิ่วแต่ไม่ถึงกับทำให้ขยับตัวไม่ได้ แค่นี้ผมทนได้ เพราะเคยเจ็บมากกว่านี้ด้วยซ้ำยังทนได้ ปาลินไม่ได้ทำผมเจ็บและเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เจ้าตัวเข้ามาในกายผม ทว่าแค่ครั้งเดียวก็เกินพอสำหรับผมที่ต้องการเพียงสิ่งเดียว

...สิ่งที่บันทึกอยู่ในโทรศัพท์ของปาลิน

สิ่งที่อยู่ในเครื่องกำลังถูกผมเปิดดูเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถูกส่งไปให้ใครคนนั้นโดยใช้ไอดีไลน์ของปาลิน ที่ไม่ใช้โทรศัพท์ของผมเพราะมันถูกปิดเครื่องตั้งแต่ติดต่อดีนไม่ได้นั่นแหละ

Palin : **คลิป**

Palin : **คลิป**

Palin : **คลิป**

Palin : **คลิป**

Palin : **คลิป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : **รูป**

Palin : คุณทำได้ ผมก็ทำได้

Palin : แล้วก็เพิ่งรู้ว่ามันสนุกแบบนี้เอง

Palin : ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงชอบนอนกับคนอื่นจัง

Palin : ต่อไปผมคงต้องเอาแบบคุณบ้าง

...ข้อความของผมขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านเรียบร้อย และต่อให้ไม่ใช่ไอดีไลน์ของผม เขาก็คงรู้ว่าเป็นผมนี่แหละที่ส่งคลิปและรูปพวกนั้นให้เขา

ผมเฝ้ารออย่างใจเย็นแต่ก็ร้อนรุ่มอยู่ในอก มือสั่นและลมหายใจสะดุดอยู่ตลอดเวลา แต่ข้อความจากฝั่งตรงข้ามก็ไม่เด้งขึ้นมาเสียทีจนกระทั่งหน้าจอดับไป ผมเปิดขึ้นมาใหม่ มันก็ยังไม่มีความรู้สึกใดส่งผ่านตัวหนังสือเข้ามา จนกระทั่งหน้าจอดับเป็นรอบที่ห้า ผมถึงหมดความอดทนที่จะรอข้อความที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธอย่างที่สุดจากฝ่ายนั้น

ผมวางโทรศัพท์ของปาลินกลับไปที่เดิมคือบนโต๊ะข้างเตียง หลังจากบล็อกไลน์ของคุณยะและลบข้อความทั้งหมดทิ้ง ลุกจากเตียงเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของเจ้าของห้อง หยิบปากกาและกระดาษโน้ตแผ่นเล็กขึ้นมา ก้มตัวลงไปเขียนข้อความบนกระดาษสีสดใสแผ่นนั้น

‘เราต้องไปแล้วนะปี อาจไม่ได้ติดต่อกลับมา แต่ปีก็ยังเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดของเรา
เรากลับมาเมื่อไรจะมาหาปีคนแรก... สัญญา’
ขอโทษที่ไม่กล้าบอกลาปีตรงๆ
พีรัช ศิระสมุทร


....................................................................................

เพียงแค่ผมบอกพนักงานสาวคนเดิมที่ยืนหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ว่ามาขอพบเจ้าของโรงแรมสยาม ชโยดมคนปัจจุบัน ผมก็ได้ขึ้นมานั่งรอเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ในห้องทำงานของเขาในเวลาอันรวดเร็วกว่าครั้งที่แล้ว

เกือบชั่วโมงที่ผมนั่งรอเจ้าของห้อง โดยมีเลขาฯ ของคุณชลัชเปิดประตูเข้ามาถามว่าผมต้องการอะไรเพิ่มนอกจากแซนด์วิชกับน้ำส้มที่ผมบอกเขาไปในตอนแรกไหม ซึ่งตอนนี้ก็ยังวางอยู่แบบเดิม ไม่พร่องลงไปแม้แต่นิดเดียว สามครั้งมั้งที่ประตูห้องทำงานเปิดเข้ามาและตามมาด้วยเลขาท่าทางใจดีคนนั้น ทุกครั้งผมก็จะบอกไปว่ายังไม่อยากได้อะไรเพิ่ม ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป การรอคอยของผมสิ้นสุดลง เมื่อผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้เป็นเจ้าห้องและคนที่ผมต้องการพบก้าวเท้าเข้ามา

ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มแบบที่ผมไม่ชอบนั่นแหละ แต่ผมเห็นความร้อนรนอยู่ในดวงตาคมกริบนั้น เห็นแม้กระทั่งเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะบนหน้าผากและปลายจมูกของเขา เขาคงรีบอย่างที่สุดเพื่อจะมาถึงที่นี่ให้เร็วที่สุด มาให้รู้ว่าทำไมเด็กคนหนึ่งถึงกลับมาหาเขาอีกครั้ง มาด้วยเหตุผลอะไร บางทีเขาอาจจะรู้สึกอะไรบางอย่างว่าระหว่างตัวผมกับตัวเขามีสายสัมพันธ์ที่เบาบางแบบที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า... แต่อยู่ในสายเลือดที่เหมือนกัน

ผมลุกขึ้นยืน ส่วนเขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้และหยุดปลายเท้าลงในที่สุด ระหว่างผมกับเขามีโต๊ะเตี้ย กั้นอยู่ ซึ่งมันไม่สามารถกั้นคำพูดของผมไว้ได้ ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยคำพูดที่จะเปลี่ยนชีวิตผมนับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป

“ผมเป็นลูกคุณกับผู้หญิงที่ชื่อพิณ”

วูบหนึ่งที่ผมเห็นสายตาของเขาฉายแววสับสนออกมา ทว่าเพียงแค่นิดเดียวก็หายไป สิ่งที่แทนเข้ามาคืออารมณ์สงบนิ่งแบบที่ผมเดาความคิดของเขาไม่ออก

“ตรวจ DNA ก็ได้ ถ้าคุณไม่เชื่อ”

เงียบ... ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงที่กรีดร้องอยู่ในหัวของเขา หรือความจริงเป็นเสียงกรีดร้องในหัวของผมเองก็ได้ ผ่านไปหลายอึดใจเขาถึงพูดออกมา

“มันรู้หรือยังว่าเธอมาหาฉันที่นี่”

ผมก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะดึงผมเข้าไปกอดและพูดพร่ำด้วยความดีใจที่ได้เจอลูกชายที่ตัวเองไม่คิดว่าจะมี คิดเสียด้วยซ้ำว่าเขาต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่เด็กที่เขาไม่อยากให้เกิดดันทะลึ่งมาเรียกร้องสิทธิ์ความเป็นลูกของเขา จากนั้นก็จะเรียกคนมาลากตัวผมออกไป แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีสีหน้าและท่าทีที่สงบแบบนี้ คล้ายจะยอมรับแบบไม่มีข้อสงสัย

“ผมไม่ได้บอกเขา” ผมตอบ เดาว่า ‘มัน’ ที่ว่าหมายถึงคนที่ผมอยากหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก “แต่เขาคงจะรู้ว่าผมต้องมาที่นี่ เพราะผมไม่มีที่ไปที่อื่นอีกแล้ว”

“เธอควรกลับไปบอกมันก่อนว่าจะมาอยู่กับฉัน” พูดแบบนี้แสดงว่ายอมรับว่าผมเป็นลูกของเขาแล้วใช่ไหม “ฉันไม่อยากมีปัญหากับมัน เดี๋ยวก็พาลเกลียดฉันเข้าไปอีก” แต่น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา ผมรู้สึกว่าคนที่เป็นพ่อของผมดูจะแคร์คุณยะมากเหลือเกิน น่าจะเป็นเพราะความสนิทสนมในอดีต บางทีคนที่ตัดขาดความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อนต่างรุ่นน่าจะเป็นฝ่ายคุณยะมากกว่า

“ผมกลับไปไม่ได้” ถ้ากลับไปผมก็คงออกไปจากชีวิตของเขาไม่ได้อีก ตอนนี้ผมอยากออกไปจากชีวิตเขาให้ไกลที่สุด... ไกลเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ โดยต้องให้คนที่เป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผมช่วย “...คุณส่งผมไปเรียนต่างประเทศได้ไหม” ผมเห็นหนทางนี้ทางเดียวที่จะไปจากเขา ไปไกลเท่าที่จะหนีคำโกหกหลอกลวงซ้ำซากนั้นได้

“คิดดีแล้วเหรอ” เขาถาม หรี่ตามองผมด้วยสายตาคมกริบ ราวกับจะใช้สายตานั้นตำหนิการตัดสินใจของผม

“ครับ” ผมยืนยันความต้องการของตัวเองด้วยเสียงที่หนักแน่น

“กลับไปเคลียร์กับมันก่อนไหม” ดูเขาจะแคร์ฝ่ายนั้นมาก

ผมอดแปลกใจไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้คุณชลัชชอบพูดจาถากถางความสัมพันธ์ของผมกับคุณยะ แต่พอผมเดินเข้ามาบอกว่าผมเป็นลูกเขา ซึ่งเขาก็เชื่อว่าผมเป็นลูก ทำไมเขาถึงอยากให้ผมกลับไปหาคุณยะด้วย ทั้งที่เขาควรโกรธเสียด้วยซ้ำ... ไม่เข้าใจเลย

“ไม่ครับ ผมไม่มีอะไรต้องคุยกับเขาอีกแล้ว”

“มันทำอะไรให้เธอโกรธ”

“...” ผมกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ทำให้ตัวเองสิ้นความอดทน 

“เธออยู่ที่นี่สักวันสองวันก่อน รอให้ใจเย็นกว่านี้แล้วค่อยกลับไปคุยกับมัน” เขาแนะนำในสิ่งที่ผมไม่มีวันทำตาม แถมยังคาดเดาไปอีกว่า “ป่านนี้มันคงตามหาตัวเธอให้วุ่นแล้วมั้ง นี่ไง... พูดปุ๊บโทรมาปั๊บเลย”

เขาเอ่ยหลังจากที่ล้วงเอาโทรศัพท์ที่มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นออกมาจากกระเป๋า คิ้วของเขาขยับเข้าหากันทันทีที่ก้มดูหน้าจอสี่เหลี่ยม ก่อนจะยกมันขึ้นมาแนบหู

ตอนแรกผมคิดว่าสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขามีสาเหตุมาจากคนที่ผมไม่อยากเจอหน้า อยากหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก เพื่อที่จะไม่ต้องพบเจอกันอีก แต่คงไม่ใช่แล้ว ทันทีที่คนตรงหน้าผมเอ่ยชื่อของคนปลายสายออกมา

“พิณ...กลับมาตั้งแต่เมื่อไร”

คนชื่อ ‘พิณ’ อาจจะมีเป็นร้อยเป็นพันคน แต่ผมกลับมั่นใจว่าคนที่อยู่ปลายสายคือผู้หญิงที่เป็นเจ้าของสายเลือดในตัวผมอีกครึ่งหนึ่ง

“อืม...ลูกอยู่ที่นี่”

เขาเรียกผมว่า ‘ลูก’

ไม่เหลือหนทางที่จะทำให้ความจริงเป็นเหลือไม่จริงอีกต่อไป

ร่างกายผมดูจะหนักขึ้น ขาทั้งสองข้างแบกรับน้ำหนักไม่ไหวจนต้องทรุดลงไปนั่งที่โซฟาตามเดิม พร้อมกับความรู้สึกที่อยากวิ่งหนีไปจากความจริง ทั้งที่ผมหนีมาหาเขา แต่ส่วนเสี้ยวที่เล็กและลึกที่สุด ผมก็หวังอยากให้เขาปฏิเสธ ไล่ผมกลับไปในที่ที่ผมจากมา ปิดหนทางที่ผมจะหนีรอดไปจากคนที่ย่ำยีหัวใจผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

...ผมอยากหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก แต่ผมก็ยังอยากจะวิ่งกลับไปที่เดิม

“มันอยากจะคุยกับฉันหรือไม่อยากก็ช่างหัวมัน แต่เรียกมันมาคุยกับฉัน” โทนเสียงที่แค่อีกนิดเดียวก็จะเป็นตะคอกใส่คนปลายสายแล้วดึงผมออกมาจากความคิดที่สับสน ไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้คุณชลัชคุยอะไรกับคนปลายสายไปบ้าง

พอผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขาก็เห็นว่าเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าของเขาโกรธจัดจนเป็นสีแดงก่ำ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสาร... สงสารผมเหรอ?

“อย่ามาแก้ตัวแทนมัน”

“...”

“ทั้งที่เธอรู้ว่ามันเกลียดฉัน เธอยังจะเอาลูกไปให้มันเลี้ยง”

“...”

“ถามมันสิ มันจะเอายังไง!!”

“...”

“ได้! ถ้ามันจะเอาแบบนั้น ก็ให้มันจำคำพูดของมันวันนี้ไว้ให้ดี อย่าก้มลงกินน้ำลายตัวเองแล้วกัน!!”

ผมรับรู้ได้ถึงกระไอความโกรธที่โพยพุ่งออกมาจากตัวคุณชลัช แน่นอนว่าไม่ได้โกรธคนที่เขาคุยด้วย แต่โกรธอีกคนที่ไม่ยอมคุยกับเขา ...ไม่ใช่แค่ไม่อยากคุยกับคุณชลัชเท่านั้น คนคนนั้นไม่ต้องการคุยผมด้วยเหมือนกัน

ดีแล้ว... ที่ความหวังเล็กนิดเดียวในซอกลึกถูกทำลายไปซะที

ภายในห้องที่เงียบเสียงพูดคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของความโกรธ มือที่กำโทรศัพท์เครื่องบางไว้แน่นนั้นบอกอารมณ์คุกรุ่นของเจ้าของมันได้อย่างชัดเจน

ผมกับเจ้าของห้องปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปกับความเงียบเชียบนานหลายนาที จนเมื่อผมเห็นอาการบนใบหน้าของคุณชลัชสงบลง เขายัดโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋ากางเกง ขณะที่ผมดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง

“คุณช่วยผมอีกเรื่องได้ไหมครับ”

ผมกดปุ่มเปิดโทรศัพท์หลังจากที่ปิดเครื่องมาตลอดทั้งคืนจนถึงเมื่อกี้ พอเปิดเครื่องเสียงแจ้งเตือนมากมายก็ดังขึ้นมารัวเลยทีเดียว ผมไม่ได้สนใจมัน ที่ผมทำคือลุกเดินไปหาคนที่ผมต้องการความช่วยเหลือจากเขา

“ผมอยากให้มันหมดอนาคต”

สิ่งที่เอามาฟาดฟันทำร้ายผม ถึงเวลาย้อนกลับไปทำลายคนคนนั้นจนไร้ที่ยืน...

จบตอนที่ 32

คุยกันหน่อย
เรื่อง “รัก...คือคำตอบ”
มี 37 ตอน + บทสรุป นะคะ
ตอนนี้คนเขียนปั่นถึงตอนที่ 35 เหลืออีกแค่สองตอนใหญ่กับบทสรุปสั้นๆ เท่านั้น
รอกันอีกนิดนะคะ ใกล้จบแล้ว
อีก 7 วันจะเอาตอนที่ 33 มาลง
ใครอยากเก็บคุณยะน้องพีไว้บนชั้นหนังสือ
เก็บเงินไว้ด้วยยยยย
โปรดปรานีรับ “ยะพี” ไปเลี้ยงดูด้วยน้า
น่าจะมี 3 เล่มจบ (หื้ออ มันหนาจริง T^T)
ส่วนตอนพิเศษยาวแน่นอน (ไม่ลงในเล้า เก็บไว้ใส่ในหนังสือ ^_^)
จะเป็นตอนพิเศษในพาร์ตเล่าเรื่องในมุมของ “คุณยะ” ค่ะ
เตรียมปรานีคุณยะไว้เลย 555+
สีเหลืองอ่อน




ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ดีใจที่กลับมาค่ะ

ชีวิตโหดร้ายมากเลยสำหรับน้องพี
คนดีจะกลายเป็นคนแบบร้ายๆ ไปเลย
สงสารชีวิตพีนะ เพราะน้องเตลิดมากแล้ว
ฝังความเจ็บและความแค้นไว้ในใจตลอด

ความทำอะไรคิดน้อยของคุณยะแถมไม่จริงใจ
บางทีก็สมควรได้รับสิ่งที่ไม่ควรบ้าง
แต่มองกลับกัน เหตุผลอะไรที่คุณยะทิ้งเลม่อนไม่ได้สักที

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
น้องน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคุณยะไม่เคยที่จะรักษาคำพูดได้อยู่แล้ว

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
 :เฮ้อ: นอกจากจะโกหกพีแล้ว
คุณยะยังโกหกคนอื่นๆอีกใช่ไหม

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
คุณยะยังคงคอนเซปเดิมไม่ผิดเพี้ยน

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1086
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ดีใจยิ่งกว่าถูกหวยคือเห็นน้องพีอัพ เตรียมตังค์พร้อมเปย์ค่ะ :heaven

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 33

กึก...

ปลายเท้าของผมกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นโผล่ขึ้นมาจากพื้นจับยึดเอาไว้ไม่ให้ขยับตัวหนีไปจากภาพวาดที่ตั้งโชว์ในงานนิทรรศการ In My Eyes by Marcus ที่จัดขึ้นบนพื้นที่ของ Park Lobby ของโรงแรมสยาม ชโยดม ที่ตอนนี้เหลือนักชื่นชมงานศิลปะไม่ถึงห้าคน เพราะใกล้เวลาปิดนิทรรศการแสดงภาพวาดเต็มทีแล้ว

แต่อาจจะไม่มีมือที่มองไม่เห็นมาดึงขาผมไว้ก็ได้ สิ่งที่ตรึงผมไว้ไม่ให้ขยับไปไหนคือภาพวาดสีน้ำมันที่ตั้งอยู่ตรงหน้าผมต่างหาก มันตรึงสายตาผมเอา พาผมกลับไปยังเหตุการณ์ในอดีต... ที่ไม่เคยลืม แม้จะพยายามลบออกไปจากความทรงจำมากแค่ไหนก็ตาม มันก็ยังเกาะแน่นอยู่ในหัวใจของผม

ภาพโทนสีน้ำเงินเข้มดูเงียบเหงา ทว่าผมกลับรู้สึกถึงกลิ่นอายของสีชมพูที่ฟุ้งออกมาจากรอยยิ้มของผู้ชายสองคนในภาพวาดนั้น

...วันเวลาที่เปลี่ยนไป

...ใบหน้าและรูปร่างก็เปลี่ยนตาม

แต่ต่อให้ผมแก่กว่านี้ สายตาฝ้าฟาง ผมก็ยังจำคนในรูปได้ จนต้องมองหาเจ้าของผลงานภาพวาดสีน้ำมันที่เงียบเหงาแต่ฟุ้งด้วยความหวานชื่นหัวใจชิ้นนี้ พอมองหาก็เจอเข้ากับเจ้าของนิทรรศการอย่างมาร์คัส รอสส์ทันที เขาเป็นศิลปินผู้มากด้วยพรสวรรค์ บุคคลที่สามารถถ่ายทอดภาพๆ หนึ่งให้ออกมามีถึงสองอารมณ์ที่แตกต่างกันสุดขั้วได้อย่างงดงาม ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ซ่อนความกำยำไว้ภายใต้เสื้อยืดสีชมพูที่เข้ากับใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสได้เป็นอย่างดีเดินถือแก้วกาแฟตรงมาที่ผม

คำทักทายด้วยภาษาที่สื่อสารกันได้รู้เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อมาร์คัส รอสส์เดินมาหยุดตรงหน้า

“สวัสดีครับคุณรอสส์” ผมเอ่ยพร้อมกับมือที่ยื่นไปทักทายกับอีกฝ่าย ตั้งแต่เปิดนิทรรศการภาพวาดของมาร์คัส รอสส์ ผมก็เพิ่งมีโอกาสเข้ามาชื่นชมศิลปะจากปลายพู่กันของศิลปินระดับโลกก็วันนี้เอง

“สวัสดีครับ” ฝ่ายนั้นยิ้ม ยื่นมือมาสัมผัสกันแล้วเขย่าเบาๆ สายตาของศิลปินหนุ่มเลื่อนไปจากใบหน้าผมและไปหยุดที่ภาพวาดของตัวเอง “...สนใจหรือครับ”

“เปล่า” คำปฏิเสธที่ตรงข้ามกับความจริง

...ยิ่งกว่าสนใจ คือผมอยากได้ภาพวาดสีน้ำมันชิ้นนี้เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมพูดออกไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคำตอบของผมอาจจะลอยไปถึงเพื่อนของมาร์คัส รอสส์

“ทำไมล่ะครับ” ฝ่ายนั้นถามกลับมาอีก “เอ... หรือว่าผมวาดออกมาดูไม่เหมือนตัวจริง สงสัยต้องกลับไปถามคนที่ซื้อรูปนี้แล้วละมั้ง” ดวงตาสีเขียวนั้นราวกับกำลังหัวเราะเยาะผม ก็ตั้งแต่คุยรายละเอียดการจัดนิทรรศการเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ศิลปินระดับโลกคนนี้ก็มองผมด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไร ถึงปากจะมีรอยยิ้ม แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงความจริงใจในรอยยิ้มนั้นเลย ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบผม

และ ‘คนที่ซื้อรูปนี้’ ก็คงเป็นเจ้าของรูปถ่ายที่ใช้เป็นแบบวาดงานศิลปะที่ทั้งเศร้าและหวานฟุ้งนี้นั่นแหละ

แต่ที่ผมอยากรู้คือ... เพื่ออะไร ?

เขาให้วาดมันขึ้นมาทำไม ?

แล้วรูปถ่ายที่ใช้เป็นแบบวาดนี้ เขายังเก็บไว้อยู่เหรอ ?

ผมคิดว่ามีแค่ผมคนเดียวที่ยังเก็บรูปถ่ายพวกนั้นไว้

“คุณขายภาพนี้เท่าไรครับ”

ภาพที่แค่ใช้หางตามองก็รู้ว่าเป็นตัวผมในอดีตที่หัวใจเต็มไปด้วยกลิ่นความรักที่หอมฟุ้ง

“เท่าไรดีล่ะ” ศิลปินชื่อดังยิ้มแบบที่ถ้าจิระอยู่ตรงนี้ละก็ ผมคงต้องลากเอาตัวออกไปจากงานนิทรรศการก่อนที่เจ้าตัวจะเปลี่ยนห้องจัดงานให้กลายเป็นเศษซากของกองขยะ “ลองเสนอราคามาก่อนสิครับ เผื่อว่าผมเห็นจำนวนเงินแล้วอาจจะเปลี่ยนใจขายให้คุณแทน

“หนึ่งล้านบาท” ผมเสนอราคาที่คิดว่าเขาน่าจะยอมขายมันให้ผม ผมก็ไม่รู้หรอกว่าภาพวาดของศิลปินระดับโลกอย่างมาร์คัส รอสส์ราคามาตรฐานอยู่ที่หลักไหน แถมผมก็ยังไม่ได้ดูแลในส่วนของนิทรรศการครั้งนี้ด้วย ผมเพียงแค่คนที่ทำให้มาร์คัส รอสส์เปลี่ยนสถานที่จัดแสดงผลงานของเขาเท่านั้น

ผมคิดว่าราคานี้สูงพอที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจ แต่รอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมของศิลปินหนุ่มใหญ่กลับทำให้ผมรู้คำตอบได้ก่อนที่เขาจะตอบออกมาเป็นคำพูดเสียอีก

“ภาพนี้เขาให้ราคาห้าล้าน”

บ้าไปแล้ว!

ห้าล้านกับภาพวาดสีน้ำมันบนกระดาษนี่นะ ทำไมมันแพงแบบนี้ถ้าเทียบกับชิ้นงานที่ได้ ภาพถึงจะวาดมาจากปลายพู่กันของศิลปินระดับโลกก็เถอะ มันก็ไม่น่าแพงขนาดนี้ ถึงจะคิดว่ามันแพงมากเกินไปแต่ผมก็ยัง...อยากได้

“ผมจ่ายให้คุณได้มากกว่าห้าล้าน... ถ้าคุณจะเปลี่ยนใจขายมันให้กับผม”

“ผมเรียกแพงนะครับ” ศิลปินหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างกวนๆ ราวกับจะดูถูกว่าผมไม่มีปัญญาจ่ายค่าตวัดปลายพู่กันของเขา 

“แพงแค่ไหนผมก็จ่ายได้” ให้จ่ายร้อยล้านผมก็ยังจ่ายได้ ขอแค่แย่งรูปนี้มาจากฝ่ายนั้นได้ก็พอ

แต่ผมก็คิดผิดไปมากทีเดียว ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าคิดไม่ถึงมากกว่า เมื่อคำว่า ‘แพง’ ของมาร์คัส รอสส์ ไม่ได้หมายถึงเงิน แต่เป็นมูลค่าที่ผมต้องใช้ให้คนอื่นจ่ายแทนเพื่อแลกกับชัยชนะงี่เง่าของตัวเอง

“พอดีว่าหลังจากเสร็จนิทรรศการที่นี่ ผมมีโปรแกรมจะไปพักผ่อนที่ฮาวายสักสิบวัน เลยอยากจะได้เพื่อนร่วมเตียงสักคนหนึ่ง คุณพีรัชพอจะหาให้ผมได้ไหม”

สายตาของศิลปินชื่อดังเจ้าของภาพวาดราคาแพงที่ผมอยากได้ ได้บอกแล้วว่าใครคือเพื่อนร่วมเตียงที่เขาต้องการ และผมต้องใช้คนคนนั้นซื้อภาพนี้

“แพงไปหน่อยแต่คุ้มกับสิ่งที่คุณอยากได้”

“ได้”

ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมตอบมาร์คัส รอสส์ไปแบบนั้นอย่างไม่ลังเลใจ ผมดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าในทันที กดโทรหาคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลก ไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงคนปลายสายทันที

“คิดถึงพีรัชมากกกกกก อยากกอด กลับมาได้ไหม มาให้จิระกอดหน่อย” คำทักทายไม่มีหรอก มีแต่ความรู้สึกล้วนๆ ที่เอ่ยออกมา เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ผมโทรหาเขา ไม่ว่าเวลาของที่นั่นจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม

“เจย์” ผมเรียกชื่ออีกฝ่าย ไม่มีความลังเลที่จะเรียกร้องเอาความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย “...ช่วยหน่อยได้ไหม”

“มีอะไรที่ผมช่วยพีรัชไม่ได้ล่ะ” น้ำเสียงงัวเงียเพราะถูกผมโทรไปรบกวนแต่เช้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “อยากให้ผมทำอะไรบอกมาเลย เพื่อแลกกับความสุขของพีรัช ผมได้หมดทุกอย่างรู้ไหม” จิระก็เป็นแบบนี้เสมอ ไม่เคยถามก่อนเลยว่าผมจะให้เขาทำอะไร แต่เขาก็พร้อมจะทำให้ทุกอย่างเพื่อผม

“เรื่องมาร์คัส” ผมเบาเสียงลง แม้จะเดินห่างออกมาจากคนที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างผมกับคนปลายสายก็ตาม

ได้ยินเสียงถอนหายใจของจิระแทบจะทันที ราวกับว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ถึงเรื่องที่ผมจะขอให้เขาทำเพื่อผมไปเรียบร้อยแล้ว

“นี่มันยังไม่ตายอีกหรือไง” เจ้าตัวว่าเสียงฉุน พอหงุดหงิดทีไร ชื่อผมก็หดสั้นลงทันที “พีอยากได้อะไรจากมัน”

“ผมอยากได้รูปที่เขาวาด”

“รูปสำคัญสินะ” ผมรู้ว่าจิระกำลังน้อยใจ เจ้าตัวฉลาดพอที่จะรู้ว่ารูปที่ผมอยากได้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนคนนั้น คนที่จิระอยากให้ผมลืมเขาไปให้พ้นจากหัวใจ

“อืม... สำคัญ”

“เฮ้อ... เมื่อไรผมจะได้เป็นคนสำคัญอย่างหมอนั่นบ้าง”

“เจย์...” ผมเดินคุยกับจิระมาจนถึงโซฟาข้างผนังกระจก ค่อยๆ ทรุดตัวลงไปนั่ง เอนหลังพิงกับพนักโซฟาแบบคนที่อยากถอยแต่ก็ไม่กล้าถอยกลับ อยากเดินหน้าต่อไปทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางวิ่งไปถึงถ้วยรางวัลนั้นได้เลย “...ผมขอโทษนะ”

“ผมไม่เอาคำขอโทษ” ฝ่ายนั้นตอบกลับมาเสียงเบาบางไม่ต่างจากผมเลย ผมรู้ว่าจิระก็กำลังเจ็บปวด “ผมอยากขอแค่ให้พีรัชทำตามสัญญาเท่านั้นก็พอแล้ว... เมื่อไรที่พีรัชแก้แค้นเขาจนพอใจแล้ว ก็กลับมาให้ผมดูแลพีรัชไปตลอดชีวิตนะ”

“อืม... สัญญา ผมจะกลับไปดูแลจิระด้วยเหมือนกัน”

“ตลอดไปนะ”

“ตลอดไป... สัญญา”

................................................................................


เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่รวบผมยาวเลยไหล่ไว้ตรงท้ายทอยกำลังเปิดประตูรถนิวบีเทิลสีขาวค้างไว้ รถคันเล็กรูปทรงน่ารักช่างไม่เหมาะกับผู้ชายตัวใหญ่เลยสักนิด และแน่นอนว่ารถคันนี้ไม่ใช่ของผู้ชายผมยาวคนนี้ แม้เขาจะเป็นคนซื้อเจ้าคันเล็กให้เจ้าของตัวจริงก็ตาม

หมอภาม... มาอยู่ที่คอนโดฯ นี้ได้ยังไง ที่สำคัญกว่านั้นทำไมถึงใช้รถของปาลินได้ ทั้งที่นิวบีเทิลสีขาวควรจะอยู่กับปาลินที่ทะเลทางใต้ที่ไหนสักแห่งไม่ใช่หรือไง

ผมรีบเปิดประตูรถลงไป สาวเท้าอย่างรวดเร็วไปหาชายหนุ่มผมยาว เดาว่าเขาคงจ้องผมตั้งแต่ขับรถเข้ามาจอดแล้ว เขาถึงยืนรอคอยผมด้วยสีหน้าที่เหมือนอยากขับรถพุ่งชนผมขนาดนี้ แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงตัวหมอภามเลย อีกฝ่ายก็ก้าวขาเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยและขับรถออกไปทันที

ใจผมร้อนไปหมด รีบวิ่งกลับไปที่รถ หยิบเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่ในนั้นขึ้นมากดโทรหาเจ้าของนิวบีเทิลตัวจริงทันที แต่ก็ได้ยินแต่สัญญาดังถี่ที่บอกว่าอีกฝั่งสายนั้นไม่ว่าง ผมทิ้งระยะเวลาไว้สองนาทีแล้วโทรกลับไปใหม่กลับพบว่าเครื่องถูกปิดไปแล้ว

มันต้องเกิดอะไรขึ้นกับปาลินแน่ๆ ผมสังหรณ์ใจมาตลอดตั้งแต่ที่ปาลินหายตัวไปร่วมเดือน ทุกครั้งที่โทรถามว่าเจ้าตัวอยู่ไหนก็ได้คำตอบแบบเดิมว่าอยู่ที่ทะเลทางใต้ พอถึงวันหยุดผมจะตามไปหา เจ้าตัวก็ไม่ยอมให้ไปหา ผมจะดื้อตามไปก็ไม่ได้เพราะไม่รู้ที่อยู่ของปาลิน และทุกครั้งที่โทรคุยกับปาลิน เสียงอีกฝ่ายไม่สั่นสะอื้นก็แหบพร่าเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะพูด แต่ผมก็ยังคิดในแง่ดีว่าปาลินแค่อยู่ในช่วงทำใจหลังจากเลิกรากับหมอภาม มันเป็นธรรมดาที่จะร้องไห้และอยากอยู่คนเดียว

เมื่อโทรหาปาลินไม่ติดเพราะเจ้าปิดเครื่อง ผมก็โทรหาหมอภามต่อทันที ถึงผมจะไม่เคยคุยโทรศัพท์กับหมอภามแต่ผมก็มีเบอร์ของเขา แต่ก็นั่นแหละ หมอภามปิดเครื่อง!

เอาไงดี!

ผมจะทำอย่างไรดี จะปล่อยปาลินไว้แบบนี้ไม่ได้ ผมเชื่อว่าปาลินต้องถูกหมอภามกักตัวไว้แน่ ไม่อย่างนั้นรถของปาลินจะอยู่กับหมอภามได้ยังไง และปาลินก็คงไม่ปิดโทรศัพท์หนีผม

............................................

ไม่คิดว่าตัวเองจะมายืนหน้าห้องทำงานของเจ้าของพุฒิธาดาอีกครั้ง... เกือบสิบปีแล้วสินะที่ผมไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

“เชิญค่ะ” เลขาคนสวยที่พวงตำแหน่งคู่หมั้นเจ้าของพุฒิธาดาเอ่ยเชื้อเชิญ พร้อมกับจับลูกบิดประตูและผลักมันเข้าไปเมื่อเห็นว่าผมนิ่งไม่ทำอะไรเสียทีนานหลายนาที

ทั้งที่ตอนนี้ปาเข้าไปจะสองทุ่มแล้ว แถมยังเป็นวันเสาร์อีกด้วย แต่ทั้งเจ้านายและเลขาที่พ่วงตำแหน่งคู่หมั้นก็ยังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานกันทั้งคู่

รอยยิ้มเอ็นดูที่ปรากฏบนใบหน้าสวยงามไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอเปลี่ยนกลับไปเหมือนในอดีต เวลานี้ผมมองเธอไม่ต่างจากมองศัตรู...หัวใจ

ทั้งที่รู้ว่าตัวเองหมดสิทธิ์หึงหวงคู่หมั้นของคนอื่น ทว่าผมก็ห้ามความรู้สึกที่มันวิ่งพล่านอยู่ในอกไม่ได้

“เก่งนะครับที่มองหน้าผมแล้วยังยิ้มได้” ผมพูดช้าๆ ด้วยระดับเสียงปกติแบบที่คิดว่าคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ถ้าไม่หูหนวกแบบกะทันหันก็ต้องได้ยินอย่างแน่นอน “...เป็นผม ผมคงทำแบบคุณไม่ได้ แม้แต่สบตา ผมก็คงไม่กล้า” ผมคิดว่าคำพูดเสียดสีที่เอ่ยออกมาจะทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าคนฟังเลือนหาย แต่ก็ไม่ ใบหน้าของเธอยังคงประดับด้วยรอยยิ้มสวยงาม และถ้ามองดีๆ จะเห็นว่าดวงตาใต้ขนตาปลอมของเธอเป็นประกายขำขันเสียด้วยซ้ำ

“เชิญค่ะ” เธอเอ่ยซ้ำ

“คุณจะไม่รู้สึกอะไรเลยใช่ไหม” ผมถามเหมือนคนที่มีไฟกองเล็กอยู่ในอก ยิ่งเห็นเธอยิ้มไม่สะดุ้งสะเทือนไปกับคำพูดก่อนหน้านี้ ไฟในอกก็ยิ่งโหมลุก แผดเผาตัวผมเอง

“ต้องให้พี่แอลรู้สึกอะไรคะน้องพี ในเมื่อพี่แอลกับคุณยะไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้หักหลังน้องพีซะหน่อย” ทั้งที่ตอบผมด้วยถ้อยคำที่เป็นน้ำมันเทลงมาบนกองไฟ ใบหน้าของคนพูดก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มหวานที่คล้ายจะยั่วยวน “รีบเข้าไปคุยธุระของน้องพีให้จบไวๆ เถอะค่ะ เพราะพี่กับคุณยะมีนัดดินเนอร์กันค่ะ... เชิญค่ะ” เอ่ยซ้ำ

ไฟกำลังลุกท่วมตัวผม ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกำมือแน่น ข่มความรู้สึกพ่ายแพ้ไว้ในอกที่ไหม้เกรียม พร้อมกับก้าวผ่านกรอบประตูเข้าไปในห้องที่เจ้าของห้องนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่

เขากำลังรอคอยธุระของผม

และถ้าทำได้ผมจะคุยธุระของผมให้นานที่สุดเลยคอยดู!

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
“อย่าระรานคนของฉัน” ทันทีที่ประตูปิดลง ปิดให้ห้องนี้เหลือแค่ผมกับเขาแค่สองคนที่เผชิญหน้ากัน ประโยคนี้ก็ถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มจัด

เขานั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ ใช้สายตาแทนคำพูดที่บอกให้ผมนั่งลงคุยกับเขา แต่ผมปฏิเสธมันด้วยการเอามือสองข้างซุกลงไปในกระเป๋ากางเกง ...และเพื่อซ่อนมือที่สั่นเทาเพราะถ้อยคำของเขาที่กำลังโบยตีหัวใจบอบช้ำของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

‘คนของฉัน’

คำพูดนี้เป็นยิ่งมีดที่ปักลงมากลางอกผม คำที่ซ้ำเติมลงมาบนความพ่ายแพ้ของตัวผม... ‘คนของเขา’ คนที่ไม่มีวันจะเป็นผมได้เลย

“มีธุระอะไรกับฉัน” เขาเอ่ยถามด้วยท่าทีสบายๆ 

“ช่วยติดต่อเพื่อนคุณให้ผมหน่อย” นี่แหละธุระที่ทำให้ผมมายืนอยู่ในห้องนี้ ตรงหน้าเขา

“เพื่อนฉันคนไหนล่ะ” เขาย้อนถาม แต่ผมรู้ว่าเขาน่ะรู้ว่าผมพูดถึงเพื่อนคนไหนของเขา แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาต้องรู้เรื่องที่หมอภามเอาตัวปาลินไปแน่ๆ

“หมอภาม” แต่ผมก็ยังตอบเขา “บอกเขาว่าให้ปล่อยปีออกมา ไม่อย่างนั้นผมจะแจ้งตำรวจ ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว...คนของผม” ผมเน้นเสียงหนักในสามคำสุดท้าย บอกให้เขารู้ว่าผมก็มีคนของผมเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เขา!

“คนของเธอ?” คิ้วเข้มยกสูงเป็นเชิงเยาะ “ไม่มีปัญญาหาเองหรือไง ถึงต้องไปแย่งคนของคนอื่น”

“ปีเป็นของผมมาตั้งนานแล้ว” ผมย้ำ และย้ำลงไปอีก “...คุณก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่หรือไงว่าผมกับปีเป็นอะไรกัน ปีเป็นของผมก่อนจะเป็นของหมอภามด้วยซ้ำ” พูดจบ รอยยิ้มน่าเกลียดที่มุมปากของเขาก็พลันสลายไปทันที

...ผมเป็นฝ่ายชนะ

ยิ่งเห็นใบหน้าคมเข้มเรียบตึงกับดวงตาขุ่นคลั่ก ริมฝีปากผมก็ขยับเป็นรอยยิ้มของผู้ชนะ สะใจอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่ผมทำในอดีตทำให้เขาเจ็บแค้นมาจนถึงวันนี้

“หมดธุระของเธอแล้วก็ออกไป” แผ่นหลังของเขาเปลี่ยนมาเหยียดตรง มือดึงแฟ้มงานที่ตั้งวางอยู่ทางซ้ายมือมาไว้กลางโต๊ะ เขาเปิดและอ่านมัน ทั้งคำพูดและสิ่งที่เขากำลังทำคือการไล่ผมออกไป แต่ผมก็ยังยืนปักหลักอยู่ที่เดิม ผมจะออกไปได้ยังไงในเมื่อธุระของผมยังไม่จบ

“ไปบอกเพื่อนของคุณให้คืนปีมาให้ผม” ถึงผมจะซะใจที่กวนอารมณ์เขาให้ขุ่นได้ แต่ผมก็ไม่ลืมว่าตัวเองมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร

เขาเงยหน้าขึ้นมา ทำให้ผมเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบตึงขุ่นไปกับอารมณ์ที่อยากจะดับลงได้โดยง่ายในเวลาอันสั้น ผมมองตามมือของเขาที่หยิบโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นมากดโทรออก เขาไม่ได้ยกโทรศัพท์แนบหูเพราะเปิดลำโพงเพื่อให้ผมได้ยินไปด้วย

‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...’

แล้วเขาก็กดวางสาย โยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแบบไม่กลัวมันจะพังเลย และอีกนิดเดียวมันก็จะตกลงพื้นแล้ว

“ได้ยินใช่ไหม” เขาพูด “ฉันก็ช่วยเธอได้แค่นี้แหละ เพราะฉันก็ติดต่อมันไม่ได้เหมือนกัน” พูดจบก็ก้มหน้าลงไปอ่านแฟ้มงานต่อ

“ที่คุณทำไม่ใช่ช่วยผมแต่ช่วยเพื่อนคุณต่างหาก”

“ก็ถูกของเธอ” เขายอมรับ แผ่นหลังที่ตั้งตรงค่อยๆ เอนลงไปพักไว้กับพนักเก้าอี้อีกครั้ง ครั้งนี้สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม อารมณ์ขุ่นคลั่กดูจะหมดไปแล้ว “เธอเป็นอะไรกับฉัน ทำไมฉันต้องช่วยเธอ”

“...” ผมเหมือนโดนมือที่มองไม่เห็นตบหน้าแบบเต็มแรงเลย หน้าชาไปหมดแล้ว ลามไปถึงหัวใจที่ถูกบดขยี้ด้วย

“หรือแค่ใช้เรื่องผัวเมียของคนอื่นเป็นข้ออ้างมาหาฉัน” เป็นคำพูดของเขานั่นแหละที่ตบหน้าผมอย่างไม่ปรานีใดเลย “มันจะง่ายกว่านะถ้าเธอบอกฉันมาตรงๆ ว่าคิดถึงฉันจนทนไม่ไหว อยากกลับมาหาฉัน อยากให้กอดเธอ”

หัวใจผมเต้นรุนแรงกับความจริงที่มากระแทกเข้ามาอย่างรุนแรง

ใช่... ผมห่วงปาลิน กลัวหมอภามทำอะไรปาลิน แต่ที่ผมมาหาเขาถึงที่นี่ มันก็ไม่ได้ต่างจากคำที่เขาใช้ตบหน้าผมเลย

ผม... ก็แค่อยากเจอเขา

ที่ผ่านมาผมอยากเจอเขา สร้างเรื่องก่อกวนเขาเพื่อให้หันกลับมาหาผม กลับมาทำให้ผมรู้สึกว่า... เขายังต้องการผม แต่ผมก็ไม่เคยสมหวัง

ผม... ก็แค่อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา

อยากให้ทุกความสนใจของเขาเป็นของผมคนเดียว ทว่ามันก็ยากที่ทุกอย่างจะเป็นอย่างที่ผมต้องการให้เป็น

“ผมไม่ได้อยากกลับเข้าไปในชีวิตของคุณเลยสักนิด ไม่เคยอยากให้มือสกปรกของคุณมาถูกตัวผมเลยด้วยซ้ำเพราะผมขยะแขยงคุณที่สุด!” ผมแสร้งตวาด ใช้น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธจัดเพื่อกลบเกลื่อนหัวใจที่จวนเจียนจะแตกสลาย

ขยะแขยงอย่างนั้นเหรอ?

อาจจะใช่... ถ้าคำว่าขยะแขยงหมายถึง ‘ความโหยหา’ ที่กัดกร่อนหัวใจของผมมานานหลายปี ก็ตั้งแต่ที่ผมออกไปจากชีวิตเขาอย่างถาวรนั่นแหละ

“ฉันก็ไม่ได้อยากเอามือของตัวเองไปแตะต้องตัวเธอเหมือนกัน... เพราะฉันก็รู้สึกขยะแขยงเนื้อตัวที่สกปรกของเธอไม่ต่างกันหรอก” คำพูดของเขาก็ยังตบหน้าผมซ้ำๆ และนั่นทำให้ผมโกรธจนเกิดความรู้สึกอยากเอาชนะแบบงี่เง่าที่สุดขึ้นมาอีกจนได้

ผมเป็นแบบนี้เสมอ อยากเอาชนะความพ่ายแพ้ของตัวเอง แม้จะต้องใช้วิธีที่คนโง่เขลาที่สุดในโลกเท่านั้นจะเลือกทำ

“ที่จูบผมวันนั้นล่ะ คุณรู้สึกยังไง ขยะแขยงมากไหม” ผมถาม ปลายเท้าก็มุ่งตรงไปที่โต๊ะทำงานหลังใหญ่ เดินผ่านมันไป แล้วไปหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ตัวของเขา พร้อมกับเท้าแขนข้างหนึ่งบนที่วางแขน แล้วโน้มใบหน้าลงไปหาใบหน้าคมเข้มนั้น “แล้วตอนนี้ล่ะ รู้สึกขยะแขยงจนอยากผลักผมออกไปไหม หรือว่าอยากเปลี่ยนใจเอาลิ้นเข้ามาในปากผมแทน” เขาอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาราบเรียบเหมือนเดิม

“อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าฉันอยากจะจูบกับปากที่ผ่านมาไม่รู้กี่คน” เขาไม่ยอมให้ผมชนะ ซ้ำยังพร้อมจะเหยียบผมให้บี้แบนอยู่ใต้เท้าของเขา “และถ้าไม่รู้ ฉันจะช่วยบอกเธอให้ว่า... ฉันไม่เคยใช้ของร่วมกับใคร”

“ลองสักครั้งก็ไม่เห็นเป็นไร ยังไงปากของผมก็เคยใช้กับคุณมาก่อน” ทุกคำพูดที่เหมือนหน้าไม่อายของผมถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะ

“ขอปฏิเสธดีกว่า” ยิ่งผมวิ่งตามเขา เขาก็ยิ่งวิ่งหนีห่างออกไป ผมเลยต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพราะสิ่งที่ผมต้องการคือความพ่ายแพ้ของเขา

“ถ้าผมไม่ยอมให้คุณปฏิเสธล่ะ” พูดจบ ผมก็ทาบริมฝีปากของตัวเองลงบนกลีบปากหนาที่ให้ความรู้สึกอุ่นเหลือเกิน และแทบไม่ต้องออกแรงบดขยี้เพื่อให้อีกฝ่ายคลายกลีบปากบนล่างออกจากกันด้วยซ้ำ เป็นเขาเองต่างหากที่บุกรุกเอาลิ้นร้อนจัดนั้นเข้ามาในปากผม กลายเป็นริมฝีปากของผมที่เสียท่าให้เขาอย่างง่ายดาย ทว่าผมกลับให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างนั้น หลงไปกับเรียวลิ้นที่รุกรานไปทั่วโพรงปากของผมอย่างอ่อนโยน

จูบนี้ยาวนานราวกับทั้งชีวิต แต่ผมก็รู้ดีว่าริมฝีปากของผมกับเขาสอดประสานกันเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสิบวินาทีก่อนที่เขาจะผละออกไป

“หึ... คุณก็อยากจูบผมเหมือนกันนั่นแหละ” ผมยืดตัวขึ้น ใช้หลังมือเช็ดปากตัวเองไปด้วย แล้วมือข้างนั้นก็ถูกมือใหญ่กระชากลงมา พร้อมกับเจ้าของมือที่ลุกจากเก้าอี้ขึ้นมายืนเต็มความสูงที่มากกว่าผมไปแค่นิดหน่อย

“ก็เอามาเสนอให้ถึงที่ ถ้าฉันปฏิเสธก็คงจะใจร้ายไปหน่อยมั้ง” คำพูดของเขาทำร้ายผมได้เสมอ น้อยบ้าง หนักบ้าง ไม่มีคำไหนที่ช่วยเยียวยาหัวใจผมเลย

...เขาเกลียดผม

คงเพราะผมเป็นลูกชายขอคนที่เขาเกลียด และเพราะผมทำให้เขาสูญเสียคนสำคัญไป

ผมก็เสียใจ

ผมก็เกลียดตัวเองเหมือนกันที่พรากคนสำคัญไปจากเขา

“แต่ให้ทำมากกว่านี้ ฉันก็คงต้องขอปฏิเสธ... ไม่อยากทับรอยใคร”

“แน่ใจหรือครับว่าไม่อยากเข้ามาในตัวผม” ผมกัดฟันถามออกไป ยิ่งโดนคำพูดของเขาทำร้าย ผมก็ยิ่งโง่ลงไปทุกที คำพูดน่าอายหลุดออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับไม่ผ่านสมองคิดไตร่ตรองเลยด้วยซ้ำ เมื่อสองมือตวัดขึ้นโอบรอบต้นคอหนา ดึงร่างกำยำภายใต้สูทเนื้อหนาเข้ามาแนบชิดกับร่างกายตัวเอง ริมฝีปากจูบซับไปตามสันกรามอย่างช้าๆ แต่เน้นย้ำ ปลายลิ้นตวัดเลียที่ต้นคอหนาใกล้ๆ กับหูที่ขึ้นสีแดงของเขา ทำให้อุณหภูมิในร่างกายหนาเพิ่มสูงแบบที่ผมสัมผัสได้ “ลืมไปแล้วหรือครับว่าเข้าในตัวผมมันสุดยอดแค่ไหน แต่ถ้าคุณลืม ผมช่วยทบทวนให้ก็ได้นะ คุณชอบทำ ‘ธุระ’ บนโต๊ะอยู่แล้วนี่นา... ว่าไงครับ อยากไหม ผมสนองให้คุณได้นะ”

“กล้า...” เขายิ้มที่ทำให้ผมได้แต่กัดปากตัวเอง ข่มความเจ็บร้าวลงไปให้ลึกที่สุด แต่ขอบตาก็ยังร้อนจัด จนกลัวว่าน้ำตาจะทะลักทลายออกมา ผมจึงต้องกลั้นเอาไว้สุดฤทธิ์ “...จนดูไร้ค่า”

“ไร้ค่าแล้วไง?” ผมเชิดหน้าขึ้น บังคับเสียงที่เปล่งออกมาไม่ให้สั่น “ยังไงคุณก็ยังอยากได้ผมอยู่ดีนั่นแหละ”

“เอาความมั่นใจมาจากไหนว่าฉันอยากได้เธอ” เสียงหัวเราะที่ตามออกมาเบาๆ ถากถางผมไม่ต่างจากคำพูด

“หรือไม่จริงล่ะ” แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก “แข็งขนาดนี้แล้ว ก็น่าจะอยากใส่เข้ามาแล้วสินะ” คำพูดแต่ละคำของผมไม่ได้ผ่านสมองเลยสักนิด เหมือนสักแต่พูดเพื่อเอาชนะ เพื่อให้เขายอมรับว่า... เขาต้องการผม

“ก็น่าจะใช่นะ...เสนอให้ขนาดนี้ ฉันก็คงต้องสนองให้สักหน่อย” เขาจับเอวผมไว้หลวมๆ มือนั้นอุ่นร้อนที่แม้จะมีเสื้อผ้ากั้นก็ยังคงรู้สึกได้ว่าร้อนจัดเหลือเกิน เขาผลักผมไปด้านหลัง จนไปนั่งแหมะอยู่บนโต๊ะทำงานหลังใหญ่ แฟ้มงานบางส่วนถูกกวาดทิ้งลงพื้นพรมสีน้ำตาลเข้ม “...ว่าแต่อ้าขาให้ใครมาแล้วกี่คนล่ะ”

“ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ” ผมอยากประชดเขา บอกว่ามีเป็นสิบยี่สิบคนที่ผมยอมอ้าขาให้ เหมือนที่ยอมให้เขาทำ แต่ผมก็ไม่อยากพูดให้เขามองผมแย่ลงกว่าเดิมหรอก

“...” แล้วเขาก็มองหน้าผมนิ่งๆ ให้ความรู้สึกว่ากำลังถูกกดดัน ฝ่ามือร้อนไล่ไปตามแผ่นหลังของผม ทำเอาผมต้องกลั้นลมหายใจตลอดเวลา เพราะเขาไม่ได้ลูบแผ่นหลังผมผ่านเนื้อผ้าแต่มือของเขาสัมผัสผิวกายของผมตรงๆ

นานมากที่เขาจ้องหน้าผมโดยไร้คำพูด มือก็ยังลูบไล้แผ่วเบาราวกับจะหยอกล้อ ขณะเดียวกันก็บีบบังคับให้ผมตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเขาตามความจริง

“สอง” สุดท้ายผมก็ต้องเอาความจริงออกมา สองคนที่ผมยอมให้กอดก็คือปาลิน (ในอดีต) กับจิระ

ลูกตาสีดำของเขาเกือบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงได้แล้วมั้ง บอกว่าเขากำลังโกรธ แล้วความโกรธนี่มาจากความหึงหวงใช่ไหม ผมจะคิดแบบนี้ได้ไหม

“หึงผมหรือไง” คำถามของผมเต็มไปด้วยความหวัง ไม่มีคำตอบ มีแค่ริมฝีปากที่ประกบจูบลงมา... และอ่อนหวานนุ่มนวลเหมือนเดิมทุกอย่าง

เมื่อก่อนเขาจูบผมยังไง ตอนนี้เขาก็ยังจูบแบบนั้น ผมจำจูบของเขาได้ไม่เคยลืมเลือน จูบกับใครก็ไม่เหมือนจูบกับเขา ความรู้สึกต่างกันมากเหลือเกิน ผมไม่เคยมีความสุขเลยสักนิดตอนที่จูบกับคนที่ไม่ใช่เขา

“เด็กแบบเธอสมควรถูกสั่งสอน” เขาว่าหลังจากผละริมฝีปากออกไป ลูกตาสีดำยังกับถือไม้เรียวเอาไว้ฟาดเด็กดื้อ

“ผู้ใหญ่แบบคุณก็...อื้อ...” เขาไม่ปล่อยให้ผมโต้ตอบเขาจนจบประโยค บังคับให้ผมกลืนคำที่เหลือลงไปด้วยริมฝีปากร้อนจัดที่บดเบียดลงมาอย่างนุ่มนวล ชักชวนให้ผมเผยอปากรับเอาเรียวลิ้นร้อนเข้ามาภายใน กวาดต้อนความหอมหวานภายในอุ้งปากนานสองนาน

“อึก...เจ็บ...” ผมตีไหล่เขาเบาๆ เพราะถูกเขากัดเข้าที่ซอกคอ แต่ก็ยังเชิดใบหน้าขึ้นสูง เพื่อเปิดทางให้ริมฝีปากร้ายกาจนั้นกัดกินผิวกายของผมได้อย่างถนัด

“ฉันอยากให้เธอเจ็บไงพี” เสียงทุ้มติดจะแหบพร่าหน่อยๆ เอ่ยขึ้นมาจากซอกคอผม ฟันคมก็ยังคงกัดงับลงมาให้สะดุ้งอยู่ตลอดเวลา “...จะได้จำเสียบ้างว่าเธอเป็นของใคร”

...เป็นของเขาใช่ไหม

น้ำอุ่นจัดมากองที่หน่วยตาของผมแทบจะทันที กะพริบตาทีเดียวมันก็ไหลออกมาเป็นสายยาว มันไม่ใช่น้ำตาของความเจ็บปวด เพราะผมกำลังมีความสุขกับคำพูดจากปากเขา

ผมหนีเขาไปไกลขนาดนั้น หนีไปจากชีวิตเขาหลายปี สุดท้ายผมก็ไม่เคยหนีเขาพ้น หรือที่จริงคือผมหนีหัวใจของตัวเองไม่ได้ต่างหาก หัวใจที่ไม่ว่าจะแตกสลายไปกี่ครั้งก็ไม่เคยจดจำความเจ็บปวดและยังคงเรียกหาแค่คนคนเดียว

“คุณยะ...ฮึก...คุณยะยัง...ระ...” คำถามที่อยากได้คำตอบที่สุด ผมกำลังจะถามออกไป แต่เสียงที่ดังมาจากด้านหลังหยุดคำที่เหลือเอาไว้เสียก่อน

ก๊อก...ก๊อก...
“เข้ามา” สิ้นคำพูดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น และผมก็โผเข้ากอดตัวเขาเอาไว้แน่นที่สุด ซบใบหน้าลงบนไหล่กว้าง อยากทำให้คนที่เปิดประตูเข้ามาเห็นว่าผมกับคุณยะกำลังจะกลับไปเหมือนเดิม ผมกำลังจะเอาคุณยะคืนมาจากเธอ

“เอ่อ...คุณแม่โทรมาค่ะ”

เรียวแขนของผมโอบรัดร่างหนาไว้แน่นยิ่งขึ้น ‘คุณแม่’ ที่เธอหมายถึงต้องเป็นคนที่ผมอยากกลับไปหาแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าท่าน สิ่งที่ผมทำคงทำให้ท่านเกลียดผมไปตลอดชีวิต

“บอกว่าเดี๋ยวฉันโทรกลับ”

“ค่ะ” เธอขานรับ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงประตูห้องถูกปิดลง

ฝ่ามือหนากลับมาลูบแผ่นหลังผมท่ามกลางความเงียบที่ดังยิ่งกว่าเสียงหัวใจที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ ผมฝังใบหน้าไว้กับไหล่กว้างดังเดิม ปล่อยให้เม็ดน้ำตาไหลซึมผ่านผ้าเนื้อหนาลงไป มีคำหนึ่งที่ผมอยากเอ่ยกับเขา แต่ผมก็ไม่กล้า กลัวสิ่งที่เขาเก็บอยู่ข้างในจะระเบิดใส่ผม เพราะผมคือสาเหตุที่ทำให้เขาสูญเสียคนสำคัญไป

...วันนั้น ผมไม่น่าโทรกลับไปหาคุณย่าเลย

“ผม...” ผมทนไม่ไหว เก็บคำนี้เอาไว้ไม่ไหวแล้ว “...ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“เธอตั้งใจทุกอย่างนั่นแหละพี” เขาดันตัวผมออกมา ไม่ยอมยกโทษให้ผมง่ายๆ “กลับไปได้แล้ว เรื่องของเพื่อนเธอ ฉันจะพยายามช่วยละกัน” ว่าแล้วเขาก็ปล่อยมือจากตัวผม เดินออกจากห้องทำงานของตัวเองไป ทิ้งผมไว้กับน้ำตาที่ไม่หยุดไหลกับความผิดที่ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะทำใจให้อภัยไม่ได้

ผมขอโทษ...

ผมไม่ได้ตั้งใจ...

.....................................
“ปี!! อยู่ไหน!” ผมร้องเสียงดังออกมาด้วยความตื่นเต้น ขยับตัวลุกขึ้นนั่งทันทีที่เห็นว่าใครวิดีโอคอลล์มาหาผมแต่เช้า หน่วยตาที่บวมช้ำเพราะนอนร้องไห้มาตลอดทั้งคืนเบิกกว้างด้วยความดีใจ ปนไปกับความเป็นห่วงคนที่พยายามจะฝืนยิ้มสดใสมาให้ผมผ่านหน้าจอโทรศัพท์ ผมอยากให้ปาลินเหลือบขึ้นไปมองจอเล็กๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเหลือเกิน จะได้เห็นว่ารอยยิ้มที่เจ้าตัวพยายามทำอยู่นั้น มันไม่ต่างจากใบหน้าที่กำลังเต็มไปด้วยน้ำตาเลย

ขอบตาของผมคงจะบวมมากหลังจากที่นอนร้องไห้มาทั้งคืน แต่เทียบไม่ได้เลยกับความบวมช้ำของปาลิน ดวงตาเรียวเล็กแดงก่ำฟ้องว่าก่อนที่จะวิดีโอคอลล์มาหาผม เจ้าตัวต้องผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก อาจจะร้องตั้งแต่เมื่อคืน ตั้งแต่เมื่อวาน ตั้งแต่เมื่อวันก่อน หรืออาจจะร้องมาตลอดระยะเวลาที่หายไป

“สะ...เสียงดัง...ฮึก...แก้วหูจะแตกแล้ว” เจ้าตัวว่า พยายามจะพูดให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สภาพใบหน้าและน้ำเสียงสั่นสะอื้นที่ปิดไม่มิดนั้นฟ้องออกมาหมดแล้ว

“หมอภามทำอะไรปี”

ปาลินส่ายหน้า น้ำตาไหล

“มันต้องทำอะไรปีแน่ๆ ปีกลับมาหาเราเลยนะ เราจะพาปีไปแจ้งความ เราจะจับมันเข้าคุก!” ผมพูดอย่างแค้นคนที่ทำให้ปาลินตกอยู่ในสภาพนี้

“เขาไม่ได้ทำ...ฮึก...อะไรเรา...”

“เป็นขนาดนี้แล้ว ยังว่าไม่ได้ทำอะไรอีกหรือไง บอกมาเลยนะว่ามันทำอะไรปี ที่หายไปนี่คือโดนมันจับขังใช่ไหม” ผมเดา

ปาลินไม่ตอบ เจ้าตัวได้แต่นั่งสะอื้น กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลแต่ก็ทั้งหน้าก็เต็มไปด้วยน้ำตา

“ปี มันทำอะไรปี ปีถึงได้เป็นขนาดนี้” ผมถามย้ำ

“ฮึก...ละ...เลิก...กันแล้ว...” เจ้าตัวเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดอย่างที่สุด ผมรู้เพราะผมก็เคยผ่านช่วงเวลาที่โหดแบบนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“แล้วนี่ปีอยู่ไหน กำลังจะไปไหน อย่าไปไหนนะปี กลับมาหาเรานะ” ผมรัวคำถามอย่างร้อนรน ปาลินกำลังนั่งอยู่ในรถ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังจะไปไหน แต่ผมกลัวว่าจุดหมายของปาลินจะไม่ใช่ผม

“ขอ...ฮึก...ขอเวลาเราสักพักนะพี...ขอให้เราเข้มแข็งกว่านี้ก่อนนะ เราจะ...ฮึก...จะกลับไปหา ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เราดูแลตัวเองได้”

“จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง!” ผมอดตะคอกกลับไปไม่ได้ สภาพปาลินเป็นแบบนี้แล้ว จะไม่ให้ผมเป็นห่วงได้ยังไง “เราขอสั่งให้ปีกลับมาหาเราเดี๋ยวนี้! ถ้าไม่กลับมาก็ไม่ต้องมาให้เราเห็นหน้าอีกเลย” ผมขู่ออกไปอย่างหงุดหงิด แต่คำขู่ก็ใช้ไม่ได้ผลกับสภาพจิตใจของปาลินในตอนนี้

“ขอเวลาเราหน่อยนะพี”

“จะไม่กลับมาจริงๆ ใช่ไหมปี!” ผมเผลอตัวตะคอกอีกแล้ว สงสารปาลินที่น้ำตาไหลอาบแก้ม แต่ก็โมโหที่เจ้าตัวดื้อเหลือเกิน ผมไม่อยากให้ปาลินไปอยู่ในที่ที่ผมหาไม่เจอ แล้วเกิดหมอภามตามหาตัวปาลินเจออีกล่ะ ถ้าจับตัวปาลินไปขังอีก ผมจะรู้ไหม ถึงหมอภามยอมปล่อยตัวปาลินออกมาแล้วก็ตาม แต่ผมก็กลัวหมอภามจะเปลี่ยนใจตามมาจับปาลินไปขังอีกรอบ

แม้ว่าผมจะเห็นความรักของปาลินกับหมอภามในช่วงเวลาแค่สองปีก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกและสัมผัสได้ว่าหมอภามรักปาลินมากเหลือเกิน จนบางครั้งผมก็ยังนึกอิจฉาปาลินที่มีคนรักที่ตัวเองมากขนาดนี้ แถมยังรักมั่นคงด้วย ไม่เคยเปลี่ยนใจจากปาลินหรือนอกลู่นอกทางเลยสักครั้ง และถ้าผมไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ใช้ปาลินเป็นเครื่องมือเรียกร้องความสนใจจากคนที่ไม่คิดจะสนใจผมเลยนั้น ความรักของปาลินกับหมอภามก็ไม่วันมาถึงจุดแตกหักเช่นนี้หรอก

“ขอโทษนะพี แต่เราดูแลตัวเองได้จริงๆ ไม่ต้องห่วง เราไปไม่นาน เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”

“เฮ้อ...” ผมถอนใจออกมาอย่างยอมแพ้และรู้สึกผิดไปพร้อมกัน เพราะผมทำให้ปาลินเป็นแบบนี้เอง “ตามใจละกัน”

“ขอบใจ” ใบหน้าที่อาบน้ำตาส่งยิ้มมาให้ผม เป็นยิ้มที่สดใสขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

“แต่ต้องวิดีโอคอลล์กับเราทุกวัน วันละสี่เวลา เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ” ผมตั้งเงื่อนไขให้ปาลินทำ อย่างน้อยผมก็จะได้เห็นว่าปาลินอยู่ไหน อยู่คนเดียวหรืออยู่กับใคร ถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับปาลิน ผมก็จะได้ไปช่วยได้ทัน

“อืม...สัญญา” เจ้าตัวพยักหน้า

“ปี... ขอโทษนะที่ทำให้ปีต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”

ปาลินไม่ควรถูกหมอภามทำร้ายจิตใจเลย ถึงจะไม่รู้ว่าระหว่างที่ปาลินหายไปร่วมเดือนนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ยากที่จะเดาว่าเจ้าตัวต้องเผชิญกับความใจร้ายของหมอภามมากเลยทีเดียว แค่ไม่รู้ว่ามากขนาดไหนหรือในรูปแบบไหน

“ไม่เป็นไร” ปาลินก็ยังมีรอยยิ้มให้ผม แม้ผมจะทำให้เขาต้องเลิกกับหมอภาม “เราผิดเองด้วยแหละ ...ถ้าเราเข้มแข็งกว่านี้ เราก็คงไม่เดินออกมาจากชีวิตของเขา โดนแบบนี้ก็...ฮึก...สมควรแล้ว”

“หมอภามทำอะไรปีบ้าง”

“กลับไปจะเล่าให้ฟังนะ” เจ้าตัวเช็ดน้ำตา ฝืนยิ้มอีกแล้ว “แค่นี้...ฮึก...ก่อนนะพี ถึงที่พักแล้วจะโทรหา”

“รีบโทรมานะ”

“อืม”

ปาลินหายไปจากหน้าจอแล้ว ผมถึงได้ทิ้งตัวลงนอน คว้าหมอนข้างมากอด หลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ความรู้สึกตกลงไปในหลุมดำมืดที่ผมเป็นคนขุดมันขึ้นมาเอง ผมทำแต่เรื่องให้คนที่รักและหวังดีกับผมเจอสถานการณ์โหดร้าย

...ปาลินต้องเลิกกับหมอภามและถูกทำร้ายจิตใจก็เพราะผม

...จิระต้องยอมนอนกับมาร์คัส รอสส์ก็เพื่อผม

ผมใช้ความรักของจิระและความห่วงใยของปาลินเพื่อเรียกร้องความสนใจของคนที่ไม่สนใจไยดีผมอีกแล้ว ผมมันเลวจริงๆ

บางทีผมควรจะหยุดได้แล้ว หยุดเรียกร้องสิทธิ์ที่ไม่มีวันจะกลับมาเป็นของผม หยุดดิ้นรนอย่างคนโง่ๆ ที่ไม่เห็นทางรอด หยุดไขว่คว้าหาชัยชนะที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือความพ่ายแพ้ ถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่ผมควรกลับไปอยู่ในที่ที่ผมควรอยู่

ผมลุกจากเตียง เดินไปที่โต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากเตียงนอนเท่าไรนัก ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมสีขาว เปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊ค เข้าไปในอีเมล์ พิมพ์ข้อความลงไป เพื่อส่งความตั้งใจและการตัดสินใจที่เด็ดขาดของตัวเองไปถึงจิระ

‘ให้คนทำความสะอาดห้องผมด้วยนะ ขอเวลาเคลียร์งานสองเดือนแล้วจะกลับไปอยู่ด้วยตลอดไปเลย’

ผมตัดสินใจแล้วว่าควรพอเสียที

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
‘มาช่วยชิมเค้กมะลิเชื่อมของอาหน่อย อยากรู้ฟีดแบ็ก วันนี้เลยนะ ทางสะดวก คุณหมอหมาไม่อยู่คลินิกจ้า’

เพราะข้อความที่อาฟ้าส่งมาทำให้ผมต้องผลักประตูร้านเชิญครับเข้ามา มีสายน้ำเดินตามหลังมาด้วยกันเพราะตอนที่ได้รับข้อความของอาฟ้า ผมกำลังจะเดินเข้าโรงหนังกับสายน้ำพอดี ดูหนังจบผมก็ตรงมาที่นี่เลย

“คิดถึงน้องพีจัง” เจ้าของร้านเชิญครับที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่นั้น พอได้ยินเสียงโมบายล์อันเล็กที่ส่งเสียงน่าฟังยามที่มีคนเดินเข้าออกร้านก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มตาหยี วางผ้าเช็ดโต๊ะลงแล้วเดินเข้ามากอดผมแบบแน่นมาก ก่อนจะคลายวงแขนลง

จากนั้นตากลมๆ ของอาฟ้าเลื่อนไปจับยังใบหน้าของคนที่ตามหลังผมมา อาฟ้าไม่รู้จักสายน้ำ

“ธารนี่อาฟ้า เจ้าของร้านเชิญครับ” ผมแนะนำให้คนทั้งคู่รู้จักกัน “อาฟ้าครับ นี่ธารครับ เด็กที่ผมดูแลอยู่ครับ” อาฟ้าขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เพราะรู้ว่า ‘เด็กที่ผมดูแล’ หมายถึงคนที่อยู่ข้างตัวผมในสถานะไหน เจ้าตัวไม่ชอบสิ่งที่ผมทำเท่าไร เอ่ยปากเตือนก็หลายรอบ แต่ผมก็ทำหูทวนลมและชวนเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสีย

อาฟ้าที่แสนดียังหวังว่าผมกับพี่ชายอานุจะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้

“สวัสดีครับอาฟ้า” สายน้ำยกมือไหว้คนมากวัยกว่า อีกฝ่ายก็รับไหว้ด้วยรอยยิ้มใจดี จากนั้นก็พาผมกับสายน้ำไปนั่งโต๊ะตัวที่เจ้าตัวเพิ่งเช็ดทำความสะอาดไปเมื่อกี้

“นั่งตรงก่อนนะ เดี๋ยวอาฟ้าเอาเค้กมะลิมาให้ชิม ว่าแต่น้องธารอยากไปดูเค้กที่ตู้เพิ่มไหมครับ เผื่อว่ามีเค้กที่อยากกินเพิ่ม”

“ไปเลือกสิ” ผมบอกสายน้ำที่คงอยากไปเกาะตู้เค้กอยู่เหมือนกัน เพราะเจ้าตัวเป็นคนชอบกินขนมหวาน ตอนที่บอกจะพามากินเค้กก็ดีใจใหญ่ สายน้ำเคยกินเค้กของอาฟ้ามาแล้วตอนมาหาผมที่คอนโดฯ เจ้าตัวบอกว่าตั้งแต่กินเค้กมา เค้กของร้านอาฟ้านี่แหละอร่อยที่สุดแล้ว

“ครับ”

สายน้ำลุกตามอาฟ้าไปที่ตู้โชว์เค้ก ส่วนผมก็นั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยรอเวลาที่อาฟ้าจะเอาเค้กรสใหม่มาให้ลองชิม อาฟ้าทำแบบนี้ตลอด พอทำเค้กรสชาติใหม่ๆ ออกมาก็จะเอามาให้ผมชิมเพื่อถามความเห็นว่าดีพอที่จะเอามาวางขายหรือยัง ทั้งที่ผมคิดว่าไม่ว่าอาฟ้าไม่จำเป็นต้องถามความเห็นของผมเลย ในเมื่อไม่ว่าจะทำเค้กรสชาติอะไรออกมา อาฟ้าก็ทำได้อร่อยอย่างที่สุดและขายดีเสมอ

แต่ผมแอบแปลกใจหน่อยๆ ว่าทำไมอาฟ้าถึงไม่เอาไปให้ผมชิมที่คอนโดฯ เพราะทุกครั้งอาฟ้าจะทำแบบนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผมเจอคู่กรณี ที่เจอกันเมื่อไรฝ่ายนั้นจะอาละวาดใส่ผมทันที หรือเป็นเพราะวันนี้คู่กรณีของผมไม่มาทำงาน

น่าจะใช่... ผมคิดแบบนั้นได้เพียงไม่ถึงสิบวินาที ก่อนที่ประตูร้านเชิญครับจะถูกผลักเข้ามา มันเกิดเสียงกรุ้งกริ้งน่าฟัง เรียกให้ผมหันสายตาไปมองลูกค้าของร้านเชิญครับ แล้วก็พบว่าไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็น...

“มึง!!”

เจ้าของเสียงคำรามที่ดูไม่เข้ากับใบหน้าสวยงามที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากอนามัยสีฟ้า ที่ปิดตั้งแต่ใต้ขอบตาลงมาถึงปลายคางพุ่งตรงเข้ามาหาผมด้วยความเร็วแบบที่ผมไม่ทันได้หลบหลี มือเล็กรวบคอเสื้อผมขึ้นไปพร้อมกับซัดหมัดเข้าที่แก้มเต็มแรง ถึงผมจะตัวใหญ่กว่าแต่เมื่อถูกจู่โจมอย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัว ก็ต้านทานแรงหมัดที่ฟาดลงมาไม่ได้ ล้มลงไปกองพื้นทันที รับรู้ถึงกลิ่นเลือดจางๆ ในปากได้

เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของลูกค้าสาวของร้านเชิญครับดังระงม ขณะที่คนที่ซัดหมัดใส่ผมเต็มแรงนั้นถูกเพื่อนของตัวเองจับแขนเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้าใส่ผมอีกรอบ

“พอแล้วเล เดี๋ยวร้านพี่ฟ้าก็พังหรอก” คนเป็นเพื่อนเอ่ยเตือน คนที่ผมจำได้ไม่ลืม...พี่เพียว และ ‘เล’ ชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาก็หั่นให้สั้นลงจากคำว่า 'เลม่อน' ชื่อที่เจ้าของมันต้องการปกปิดและลืมเลือนอดีตที่น่าอับอายของตัวเอง หลังจากเหตุการณ์ฉาวคราวนั้น

คลิปและภาพหลุดในครั้งนั้นทำให้อนาคตของพี่เลม่อนดับลงทันที จากนั้นเจ้าตัวก็ซ่อนใบหน้าไว้หลังหน้ากากยามที่ต้องออกมานอกบ้าน ทิ้งชื่อและนามสกุลของตัวเองไว้ด้านหลัง แล้วใช้ชื่อและนามสกุลใหม่ว่า

‘เล ตรัยธาดา’

ผมลุกขึ้นช้าๆ มีสายน้ำที่วิ่งกลับมาหาผม ช่วยพยุงทั้งที่ไม่จำเป็นเลย แค่โดนต่อยหน้าไม่ได้ขาหัก ส่วนอาฟ้าก็รีบวางจานเค้กที่จะเอามาให้ผมชิมลงบนโต๊ะ มือนุ่มจับประคองใบหน้าผมเพื่อดูผลงานน้องรักของตัวเอง

“เจ็บมากไหมน้องพี”

“เจ็บมากครับ เลือดเต็มปากเลย” ผมตอบอาฟ้า สีหน้าคนถามนี่ออกอาการว่าเจ็บไปกับผมด้วยเลย อันที่จริงผมจะบอกว่าไม่เจ็บก็ได้เพื่อให้อาฟ้าสบายใจ แต่ผมก็เลือกที่จะพูดเกินจริงเพื่อให้ฝ่ายที่ซัดหมัดใส่ผมดูแย่ลง

“สำออย เลวแบบมึงสมควรโดนเยอะกว่านี้ด้วยซ้ำ” พี่เลม่อนชี้หน้าผม ตะคอกผ่านหน้ากากที่ซ่อนใบหน้าโกรธแค้นเอาไว้ เจ้าตัวยังไม่หายแค้นเรื่องที่ผมปล่อยคลิปและรูปของเขา เป็นสาเหตุให้เขาหมดอนาคตในวงการบันเทิงและใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างคนที่กลัวสายตาคนรอบข้างจะจดจำได้ว่าเขาเป็นเกย์ที่มีคลิปหลุดออกมาเกือบสิบคลิปและรูปอีกไม่รู้เท่าไร และนี่ก็เป็นครั้งที่สองที่เขาต่อยผม

ครั้งแรกก็คือตอนที่ผมเจออาฟ้าและถูกลากมาที่ร้านเชิญครับ พอเดินเข้าไปหลังร้าน พี่เลม่อนที่กำลังแต่งหน้าเค้กอยู่ก็พุ่งเข้าซัดหน้าผมทันทีไม่ต่างจากวันนี้เลย อาจจะต่างกันนิดหน่อยที่วันนั้นผมต่อยพี่เลม่อนกลับ จนอาฟ้ากับเด็กในร้านต้องเข้ามาจับแยก ท่ามกลางข้าวของต่างๆ ที่ตกระเนระนาด รวมทั้งเค้กหลายก้อนด้วย

“น้องเล” อาฟ้าหันไปปรามเสียดุ พี่เลม่อนถึงได้ลดมือที่ชี้หน้าผมลง

“ขอโทษครับพี่ฟ้า” เจ้าตัวเอ่ยเสียงอ่อย “เลกลับก่อนนะครับ”

อาฟ้าพยักหน้ารับ คงไม่อยากให้เกิดเรื่องปะทะระหว่างผมกับพี่เลม่อน ไม่อย่างนั้นหน้าร้านคงได้เละไม่ต่างจากหลังร้านในคราวนั้น

“วันนี้เป็นวันหยุดน้องเล” อาฟ้าหันมาพูดกับผมหลังจากที่พี่เลม่อนกับพี่เพียวออกจากร้านไปแล้ว “อาก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาที่ร้าน เลยเกิดเรื่องจนได้ ดูสิ น้องพีเลยต้องเจ็บตัว ไปหลังร้านกับอานะ อาจะทำแผลให้”

“ครับ” ผมตอบรับ ก่อนหันไปบอกสายน้ำที่ยังยืนหน้าซีดอยู่เลย คงเพราะตกใจที่เห็นผมถูกต่อยมั้ง เท่าที่สังเกตสายน้ำเป็นเด็กขี้กลัว “ธารไม่ต้องตามพี่เข้าไป นั่งกินเค้กอยู่นี่แหละ”

“ครับพี่พี” สายน้ำพยักหน้าช้าๆ

ผมเดินตามพี่ฟ้าเข้าไปหลังร้าน พนักงานหนุ่มที่ยืนล้างจานหันมายิ้มให้ผมนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ พนักงานของร้านเชิญครับที่ผมรู้จักและสนิทสนมด้วยไม่อยู่แล้วครับ พี่ยีนกับพี่แดนก็ไปเปิดร้านของตัวเอง ส่วนพี่เก้ากับพี่แอน อาฟ้าบอกว่าทั้งคู่แต่งงานกันและย้ายกลับไปอยู่บ้านที่สงขลาก่อนที่ผมจะกลับมาแค่เดือนเดียวเอง

“น้องเลน่าสงสารมากนะน้องพี อาว่าคืนดีกันเถอะนะ” อาฟ้าพูดถึงหลังจากทำแผลให้ผมเสร็จเรียบร้อย พลางเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ลงกล่อง

...คืนดี

ผมอยากถามอาฟ้ากลับไปว่า ผมกับพี่เลม่อนมีเรื่องอะไรให้ต้องคืนดีกัน เราสองคนไม่เคยดีกันด้วยซ้ำ และคนที่เริ่มร้ายก่อนคือพี่เลม่อน ทำร้ายผมทุกทาง พอผมร้ายใส่บ้างก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง คนอย่างพี่เลม่อนไม่ควรได้รับความสงสารเลยสักนิด ถ้าไม่ถ่ายรูปถ่ายคลิปพวกนั้นมาทำร้ายผม เจ้าตัวก็คงไม่ต้องได้รับผลกรรมจากสิ่งที่ตัวเองทำอย่างทุกวันนี้หรอก

เกือบสิบปีที่พี่เลม่อนต้องซ่อนใบหน้าไว้หลังหน้ากากยามที่ออกนอกบ้าน เจ้าตัวแทบจะไม่ออกไปไหนด้วยซ้ำนอกจากออกมาทำงานอยู่หลังร้านเชิญครับ เริ่มจากการเป็นผู้ช่วยหยิบจับอุปกรณ์ทำขนมให้อาฟ้า จนกระทั่งสามารถทำขนมได้ทุกชนิดเพราะอาฟ้าถ่ายทอดความรู้ให้

แต่ที่ผมตอบอาฟ้าออกไปคือ...

“น้องเลของอาฟ้าทำตัวเองนะครับ พีไม่เกี่ยว”

“ไม่ได้เกี่ยวได้ไงครับ ก็น้องพีเป็นคนเอาคลิปกับรูปไปปล่อย น้องพีทำลายอนาคตของคนคนหนึ่งเลยนะครับ จนถึงตอนนี้น้องเลยังไม่กล้าออกจากบ้านโดยไม่สวมหน้ากาก ต้องใช้ชีวิตลำบากแค่ไหนน้องพีบ้างรู้ไหม ยังต้องมาระแวงอีกว่าเมื่อไรคลิปกับรูปพวกนั้นจะโผล่ขึ้นมาในอินเทอร์เน็ตอีก” นี่เป็นครั้งแรกที่อาฟ้าพูดเรื่องนี้แบบจริงจัง ทำให้ผมรู้สึกว่าอาฟ้าเลิกเข้าข้างผมไปแล้ว “น้องพีควรขอโทษน้องเลได้แล้ว”

“ครับพีผิดก็ได้ พีทำอะไรก็ผิดทุกอย่างแหละ” ผมประชดออกมาด้วยความน้อยใจ “แต่พีไม่มีวันขอโทษคนอย่างมัน เพราะมันทำพีก่อน มันเอาคลิปกับรูปพวกนั้นมาทำร้ายพีก่อน ก็สมควรแล้วที่มันจะทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต”

...ความสุขในชีวิตของผมหายไปก็เพราะสิ่งที่พี่เลม่อนทำเหมือนกัน!

“พีขอตัวกลับก่อนนะครับ... ต่อไปอาฟ้าไม่ต้องเสียเวลามาคุยกับพีแล้วก็ได้นะ พีอยู่คนเดียวได้ ไม่ได้น่าสงสารเหมือนน้องเลของอาฟ้า” พออารมณ์ร้อน คำพูดของผมก็ไม่เคยผ่านสมองเลยแม้แต่คำเดียว

ผมลุกขึ้นและเดินออกมาทันที ไม่มีเสียงอาฟ้าเรียกให้ผมหยุด อาฟ้าไม่ได้เดินตามออกมาด้วยซ้ำ เจ้าตัวคงไม่รักและเอ็นดูผมอีกแล้ว ขนาดผมยังเกลียดตัวเองเลยที่ทำร้ายอาฟ้าด้วยพูดพวกนั้น

“ธาร...กลับ” ผมเรียกสายน้ำที่กำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับบานอฟฟี่พาย พอเห็นสีหน้าบึ้งตึงของผมเจ้าตัวก็รีบวางช้อนลงและลุกขึ้นยืนทันที

“ธารขอไปจ่ายเงินก่อนนะครับ” เจ้าตัวบอก แต่กลับทำให้ผมไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น

“ไม่ต้อง!” ผมไม่อยากยืนอยู่ในร้านนานไปกว่านี้ กลัวว่าน้ำตามันจะไหล ตอนนี้ขอบตาผมก็เริ่มร้อนวูบวาบแล้วด้วย ผมดึงแบงก์ห้าร้อยออกมาจากกระเป๋าวางลงบนโต๊ะเป็นค่าเค้กกับน้ำปั่นของสายน้ำแล้วสาวเท้าออกมาทันที มีสายน้ำเดินตามออกมาด้วยท่าทางหงอยๆ เพราะถูกผมดุ

แต่...

สุดท้ายน้ำตาผมก็ทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ทันทีที่เดินผ่านประตูร้านเชิญครับออกมา แล้วเจอเข้ากับคนที่ผมพยายามหลบหน้ามาตลอดตั้งแต่ที่กลับมาไทย

ผมจะเดินหนีก็ไม่ทัน เมื่ออีกฝ่ายข้ามถนนมาแล้ว ตรงมาหาผมด้วยความรวดเร็ว

“พี”

“อานุ...ฮึก...” อานุไม่เปลี่ยนไปเลย สายตาที่มองผมและอ้อมกอดที่โอบผมไว้ทั้งตัว น้ำตาผมไหลซึมลงไปบนไหล่ของอานุ ผมไม่ใช่เด็กตัวเล็กเหมือนตอนที่จากไป ตอนนี้ผมก็สูงเท่าอานุ แต่อานุก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมกลับไปเป็น...พีรัช ตรัยธาดา... คนเดิม

“โตแล้ว ร้องทำไม” อานุโยกตัวผมไปมา “กลับมาไทยตั้งนานแต่ไม่เคยมาหาอาเลย ไม่รักอาแล้วหรือไง” 

“...พี...ฮึก...ขอโทษ...พีไม่ได้...ตั้งใจ” เสียงผมขาดกระท่อนกระแท่น ปนไปกับเสียงสะอื้นไห้ที่เกิดจากความรู้สึกผิดที่สะสมมานานปี ความผิดในอดีตยังคงกัดกร่อนความรู้สึกของผมไม่หยุดยั้ง ยิ่งเจออานุ มันก็ยิ่งทำงานอย่างหนักหน่วง “ฮึก...อานุ...เกลียดพีมาก...ไหม...” ผมยังเกลียดตัวเองเลย

“อารักพีนะจะเกลียดได้ยังไง ปะ ไปนั่งก่อน” อานุดึงตัวผมออกตัว แล้วดึงมือพาไปนั่งที่ชุดเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในสวนย่อมข้างร้านเชิญครับ

ผมทันเห็นผ่านม่านน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหลว่าอาฟ้าเดินออกมาเพื่อพาสายน้ำกลับเข้าไปในร้าน ผมคิดว่าอาฟ้าคงโทรตามอานุให้มาหาผม ไม่อย่างนั้นอานุคงไม่มาเจอผมแบบได้จังหวะอย่างนี้ แอบคิดด้วยซ้ำว่าอานุไม่ได้ออกไปทำงานนอกคลินิกหรอก

“อาฟ้าก็บอกพีแล้วไม่ใช่เหรอว่าทุกคนไม่ได้โกรธพี เรื่องนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่ความผิดของพีเลย” อานุพูดหลังจากทิ้งตัวลงนั่ง

“แต่...ถ้าพีไม่โทรหาคุณย่า...คุณปู่ก็คง...” ผมไม่กล้าเอาคำสุดท้ายออกมา ไม่กล้ามองหน้าอานุด้วยซ้ำ ได้แต่ก้มหน้า ปล่อยให้น้ำตาหยดใส่หลังมือตัวเองที่บีบกันแน่นอยู่บนตัก

“ท่านเสียไปนานมากแล้วนะพี เราทุกคนทำใจได้หมดแล้ว และไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของพี”

ต่อให้อานุพูดว่าไม่ใช่ความผิดของผม แต่มันก็คือความผิดของผมคนเดียวเลยที่ทำให้คุณปู่ต้องจากโลกนี้ไป

...ท่านตายเพราะผม

...เพราะการตัดสินใจโง่ๆ ของผม

วันนั้นเป็นวันที่ผมต้องเดินทางไปอเมริกา ผมตั้งใจแค่ว่าจะโทรไปลาคุณปู่กับคุณย่าเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้เลยว่าวันนั้นคุณปู่อยู่ที่ต่างจังหวัด และคุณย่าก็โทรตามคุณปู่ให้กลับมาเพื่อจะมาส่งผมขึ้นเครื่อง แต่ก็นั่นแหละ เพราะผมต้องบินในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า คุณปู่ถึงต้องรีบกลับกรุงเทพฯ เพื่อให้ทันเวลาก่อนผมขึ้นเครื่อง แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น รถของคุณปู่ที่วิ่งด้วยความเร็วเกิดเสียหลักวิ่งข้ามเลนไปชนกับรถพ่วงสิบล้อและท่านก็เสียชีวิตคาที่

กว่าผมจะรู้ข่าวของท่านก็ผ่านไปครึ่งปี คนเป็นพ่อและแม่ของผมให้เหตุผลเรื่องที่ไม่บอกข่าวการเสียชีวิตของคุณปู่เพราะไม่อยากให้ผมเสียใจและโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่ผมจะหนีความผิดของตัวเองได้อย่างไร จะไม่ให้รู้สึกผิดได้ยังไง ในเมื่อผมผิดจริงๆ

เพราะรู้ตัวว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณปู่ต้องมาจบชีวิตลง ผมถึงไม่กล้ากลับไปหาทุกคน ไม่กล้าเดินเข้าไปขอโทษ กลัวต้องเจอว่าสายตาที่เคยรักและเอ็นดูผมจะเปลี่ยนไปเสียแล้ว ความรักและเอ็นดูจะเปลี่ยนกลายเป็นความเกลียดชังที่ผมพรากเอาคนสำคัญของพวกเขาไปตลอดกาล

“อานุ... พีเกลียดตัวเอง...ฮึก...เกลียดที่ทำให้คุณปู่ตาย” ตั้งแต่รู้เรื่องที่คุณปู่เสียจากอุบัติ ผมก็ไม่เคยที่จะเลิกเกลียดตัวเองเลย “แต่...แต่พีไม่อยากให้อานุเกลียดพี...อย่าเกลียดพีนะ...ฮึก...” น้ำตาผมไม่หยุดไหลได้เลย

“อาไม่เคยเกลียดพีเลย ไม่เคยแม้แต่โกรธพีเลยด้วยซ้ำ ทุกคนก็ด้วย ไม่มีใครโกรธหรือเกลียดพี มีแต่อยากให้พีกลับมาอยู่กับพวกเรา คุณย่าคิดถึงพีมาก บ่นถึงทุกวัน อยากจะไปหาพีด้วยซ้ำ แต่ท่านกลัวพีจะไม่อยากเจอ ท่านเลยทำได้แค่คิดถึงหลานชายคนโตของท่าน”

ยิ่งอานุพูด น้ำตาผมก็ยิ่งพรั่งพรูออกมาไม่ต่างจากสายน้ำ มือสองข้างของผมเปียกชุ่มไปหมดแล้ว

“วันนี้ไปหาคุณย่ากับอานะ”

“พีกลัว...พีไม่...ฮึก...ไม่กล้าไปหาคุณย่า...พีกลัวคุณย่า...เกลียด...” เสียงสะอื้นของผมดูจะดังกว่าคำพูดที่ผมพยายามเปล่งออกมาเสียด้วยซ้ำ

“ถ้าคุณย่าเกลียดพี อาจะพาพีไปหาคุณย่าทำไม รู้ไหมว่าหลายปีมานี้คุณย่าไม่สบาย”

“ท่านเป็นอะไรครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความตกใจ คุณย่าที่ผมจำได้ท่านเป็นคนที่แข็งแรงคนหนึ่ง ถึงร่างกายจะผอมบางแต่ก็ดูแข็งแรงกว่าคนในวัยเดียวกันมาก

“อาว่าพีไปถามท่านเองดีกว่า”

“...” ผมไปไม่ได้ ผมกลัวถูกคุณย่ามองด้วยสายตาเกลียดชัง

“พีไม่รักคุณย่าแล้วเหรอ”

ผมส่ายหน้าช้าๆ ปฏิเสธคำพูดนั้น ผมจะไม่รักคนที่เป็นยิ่งกว่าแม่ของผมได้อย่างไร หลายปีที่ผมอยู่กับแม่ที่ให้กำเนิด ความรักที่เธอเอามันมาให้ผม ยังมีไม่ถึงครึ่งที่ผมได้รับจากคุณย่าด้วยซ้ำ

“พีกลัวคุณย่าเกลียด”

“เฮ้อ...” อานุพ่นลมหายใจออกมา มองหน้าผมนิ่งๆ ผมรีบก้มหน้าหลบสายตาที่ฟ้องว่าเจ้าของมันใกล้หมดความอดทนกับผมเต็มที “อาว่า อาพูดไปหมดแล้วนะพี ทำไมพีไม่ยอมเข้าใจเสียทีว่าไม่มีใครเกลียดพี ทุกคนรักพีและอยากให้พีกลับไปอยู่กับพวกเรา... กลับไปเป็นครอบครัวตรัยธาดาเหมือนเดิม”

“...” มันไม่มีทางที่จะเหมือนเดิม ผมนึกเถียงอานุ แต่พูดออกไปไม่ได้ ไม่อยากให้อานุอารมณ์เสียที่ผมไม่ยอมฟังคำพูดของเขา

“อาไม่บังคับพีแล้วก็ได้” ว่าแล้วอานุก็ลุกขึ้นยืน ผมไม่กล้าเงยหน้ามองอานุเลย ไม่อยากเห็นใบหน้าที่ฟ้องว่ากำลังไม่พอใจผมเอามากๆ

ทว่าผมก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาจนได้ เมื่อเสียงตื่นตระหนกของอาฟ้าดังมาแต่ไกล

“พี่นุ! พี่ภาโทรมาบอกว่าคุณแม่...” อาฟ้าพูดไม่จบประโยค เจ้าตัวก็โผเข้าไปกอดคนรักของตัวเอง พูดเสียงอู้อี้อยู่ในอกอานุ

ผมไม่รู้ว่าอาฟ้าพูดอะไร แต่รู้ว่ามันต้องเกี่ยวกับคุณย่าและมันต้องไม่ดีเอามากๆ หรือว่าอาการป่วยของคุณย่ากำเริบ ซึ่งผมไม่รู้ว่าคุณย่าป่วยเป็นอะไร แต่โรคของคนแก่ก็ล้วนแต่น่ากลัวทั้งนั้น

“อานุ”

ผมเรียกอานุไว้ตอนที่เจ้าตัวกำลังจะเดินออกไปกับอาฟ้า

“พีไปด้วยได้ไหม...”

จบตอนที่ 33
ขอโทษนะคะนับวันผิด
เอาเป็นว่า 34 มาวันพฤหัสฯ นะคะ
อีกนิดก็จบแล้ววว
ขอบคุณที่ยังรอยะพีกันอยู่น้า
รักคนอ่าน จุ๊บๆๆๆ
สีเหลืองอ่อน


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
คือทั้งเรื่องเป็นคนไม่ปกติซักคน
จริงๆ ไม่มีใครจริงใจกับพีเลยอ่ะ ไม่ใช่ไม่จริงใจ
แต่เหมือนไม่ได้ให้ใจ แต่ก็นะ พีก็ไม่ได้ให้ใจใครเลยนิ่
แล้วคุณยะก็ไปคว้าแอลมาเป็นคู่หมั้น
ทั้งๆ ทีวีรกรรมของตัวเองก็ยาวเป็นหางว่าวขนาดนั้น
มองตอนจบไม่ออกเลยว่าจะมาลงเอยกันยังไง
แต่ก็อย่าให้ถึงขั้นใครต้องตายตอนจบเลยน้าาา

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ร้องไห้อีกแล้วเรา กลัวคุณย่าเป็นอะไรจัง เอ๊ะหรือเป็นแผน
พีจะไปอยู่กับจิระจริงๆแล้วใช่ไหม ปาลินล่ะจะยังไง

เฉยๆกับเรื่องของเลม่อน แค่ถ่ายคลิปไว้ก็ไม่ควรแล้ว แต่นี่ดันส่งมันไปสร้างความเจ็บแค้นให้คนอื่นอีก ก็สมควรอยู่นะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เราว่าอาฟ้าคงฟังความข้างเดียวแน่ ๆ ไม่รู้ว่าเลไปพูดอะไรไว้บ้างถึงจะให้พีขอโทษเลแบบนี้
หึ แบบนี้เขาเรียกว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว ทำตัวเองแท้ ๆ นะเล อย่าโทษคนอื่น
อย่าโทษว่าเป็นเพราะพีทำให้หมดอนาคต เพราะพีก็เคยเตือนแล้วว่าให้หยุด ต้องโทษตัวเองเถอะว่าคลิปแบบนั้นมันสมควรถ่ายส่งให้คนอื่นดูหรือเปล่า ถึงมันจะสะใจที่ทำให้พีเจ็บได้ แต่มันก็แค่แป๊ป ๆ แล้วเป็นไงหมดอนาคตเพราะโดนคลิปที่ตัวเองส่งไปให้พีดูย้อนกลับมาทำให้ตัวเองเจ็บซะเอง
จะบอกไงดี สมน้ำหน้าว่ะ ทำตัวเอง #ทีมน้องพี ถึงน้องผิดก็เข้าข้างนะคะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1086
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
แอลนี่ใครอ่ะ????

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 34

คุณย่าที่ผมเห็นไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดวุ่นวายด้วยความหวาดกลัวมาตลอดทางตอนนั่งอยู่ในรถของอานุ ท่านไม่ได้นอนหายใจโรยแรง ไม่ได้มีใครมานั่งรุมล้อมอยู่รอบเตียง ไม่มีนางพยาบาลชุดขาวที่คอยดูแลท่านไม่ห่างกาย บรรยากาศภายในรั้วสูงของครอบครัวตรัยธาดาไม่ได้เศร้าสร้อย ตรงข้ามดูจะครื้นเครงเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่ากำลังมีงานเลี้ยงฉลองอะไรประมาณนั้นเลย

คุณย่านั่งบนเก้าอี้หวายบุนวมหนาเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้ที่ผมเห็นมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก ท่านยังคงมีรอยยิ้มแจ่มใสแม้อายุเคลื่อนใกล้เจ็ดสิบปีแล้วก็ตาม ทันทีที่เห็นท่าน คำพูดมากมายในหัวที่เตรียมเอาไว้พลันหายไปหมด ในหัวของผมว่างเปล่าไม่ต่างจากห้องเปล่า มีเพียงสองคำที่พ้นออกมาจากริมฝีปากได้แต่ก็แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“คุณย่า...” ความรู้สึกมากมายมันจุกอยู่ในอก ดีใจที่ได้เจอ เสียใจที่หนีท่านไป และกลัวว่าความรักที่ผมเคยได้รับจากเธอจะไม่เหลืออีกแล้ว

“มาให้ย่ากอดหน่อยลูก” ท่านเอ่ยเรียกผมที่ยืนอยู่หลังอานุ ขาของผมมันแข็งเป็นหิน ก้าวไม่ออก ทั้งที่ใจโผเข้าไปกอดท่านไว้แน่นแล้ว จนอาฟ้าต้องหันกลับมาประคองตัวผมให้เดินไปหาคุณย่า แค่ไม่กี่ก้าวก็เหมือนระยะทางยาวเป็นกิโลเมตร

“คุณย่า” ผมทรุดตัวลงนั่งใกล้เท้าท่าน สองมือยกขึ้นไหว้ลงบนตักของท่าน น้ำตาที่ขังอยู่ในขอบตาร่วงทันทีที่ท่านโน้มตัวลงมากอด ก่อนพยุงผมขึ้นไปนั่งกับท่าน

“โตแล้ว ไม่ร้องแล้วนะลูก” ผมเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักอาบไล้บนใบหน้าที่มากริ้วรอยของวัย ดวงตาของท่านแม้จะโรยราไปตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทว่ายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดูผม ไม่มีความโกรธเคืองหรือเกลียดชังอยู่ในนั้นอย่างที่ผมนึกกลัวมาตลอดตั้งแต่ที่รู้เรื่องของคุณปู่

“พี...ฮึก...คิดถึงคุณย่า...” ผมกอดคุณย่า อยากจะกอดให้แน่นกว่านี้แต่ก็กลัวท่านเจ็บ ผมโตขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่กอดคุณย่า ดังนั้นผมจึงต้องควบคุมน้ำหนักของท่อนแขนเอาไว้ไม่ให้หนักเกินไปจนทำให้คนที่ถูกกอดรู้สึกเจ็บ

“คิดถึงแต่ไม่ยอมมาหาย่า” ท่านเหมือนจะดุ แต่น้ำเสียงกลับอบอุ่นและเต็มไปด้วยความปรานี “ปล่อยให้ย่านับวันรอจนจะท้อแล้วเนี่ย หรือว่าลืมย่าไปแล้ว”

“พีไม่ได้ลืม พีคิดถึงคุณย่าเสมอ แต่พี...ฮึก...พีขอโทษ”

“ไหน เอาหน้าขึ้นมาให้ย่าดูชัดๆ หน่อยลูก” ท่านแตะแขนผมเป็นเชิงบอกให้ปล่อยตัวท่านได้แล้ว ผมเลยคลายวงแขนลง เงยหน้าขึ้นมามองท่านผ่านม่านน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหล “โตจนย่าเกือบจำไม่ได้ ที่นู่นกับข้าวกับปลาคงถูกปากสินะ ถึงได้ตัวโตสูงใหญ่ขนาดนี้” ขณะที่พูดคุณย่าก็เช็ดน้ำตาบนแก้มผมไปด้วย

“อร่อยครับ แต่อร่อยสู้ฝีมือคุณย่าไม่ได้” ผมไม่ได้พูดเอาใจนะ อาหารไทยที่ผมกินสิบกว่าปี กินมาตั้งแต่เกิด ยังไงก็อร่อยกว่าอาหารของชาวต่างชาติอยู่แล้ว และถึงที่นู่นจะมีร้านอาหารไทยแต่รสชาติก็สู้ฝีมือของคุณย่าไม่ได้เลย เทียบกันไม่ติดด้วยซ้ำ

“เทียบกันได้ที่ไหนล่ะลูก อาหารฝรั่งกับอาหารไทย” ท่านว่า พลางถอนหายใจ “แต่ตอนนี้ย่าก็แก่มากแล้ว ยืนทำกับข้าวไม่ค่อยไหว ก็ได้แต่นั่งดูนั่งสั่ง อีกไม่นานแล้วล่ะลูก ย่าคงได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่กับเตียงเพราะเรี่ยวแรงมันไม่มีเหลือให้ขยับตัวทำอะไรได้เหมือนตอนนี้”

“แต่คุณย่ายังแข็งแรงอยู่เลยนะครับ” เท่าที่สายตาผมเห็น คุณย่าถึงจะแก่ลงกว่าเดิมแต่ท่านก็ดูแข็งแรงไม่ต่างจากเมื่อก่อน

“คนแก่จะเอาอะไรมาแข็งแรง จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้เลย”

“คุณย่าอย่าพูดแบบนี้สิครับ” ผมใจคอไม่ดี ยิ่งคำว่าตายก็ทำให้ผมนึกไปถึงความตายของคุณปู่ พลางขอบตาก็ร้อนจัดขึ้นมาอีกแล้ว

“ร้องอีกแล้ว”

“พี...ฮึก...ขอโทษเรื่อง...คุณปู่...” ผมอยากพูดคำนี้กับคุณย่ามานาน เพียงแต่ความกลัวว่าจะถูกท่านเกลียดทำให้ไม่กล้ากลับมาหา “ฮึก...เพราะพี...ถ้า...ฮึก...ถ้าพีไม่โทรมา...”

“โธ่ลูก... เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ไม่มีใครโทษพีเลย”

“แต่พีผิด...ฮึก...ถ้าคุณย่าจะโกรธ...เกลียดพี...มันก็...สมควรแล้ว”

“คิดอะไรแบบนั้นล่ะลูก” ท่านปลอบ เช็ดน้ำตาบนแก้มให้ผม “ถ้าพีผิด ย่าไม่ผิดกว่าหรือไง ย่าเป็นคนโทรตามคุณปู่ เร่งให้ท่านขับรถกลับมามืดๆ ค่ำๆ แบบนั้น”

“แต่พี...”

“ไม่แต่แล้วลูก แต่เยอะเกินไปแล้ว” ท่านพูดแทรก “ย่าว่าไม่ผิดก็คือไม่ผิด คนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องไป ต่อให้นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ก็ยังตายเลยลูก อย่างย่านี่ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาเจอหน้าพีหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย พอพีกลับไป ย่าอาจจะ...”

“ไม่เอาคุณย่า ห้ามพูด” เป็นผมบ้างที่พูดแทรกท่าน เพราะไม่อยากให้คุณย่าพูดเรื่องความเป็นความตาย ผมไม่อยากสูญคนที่ผมรักไปอีกคน

“พีห้ามย่าพูดได้ แต่ห้ามสิ่งที่จะเกิดไม่ได้หรอก” ท่านว่า น้ำเสียงจางลง “ย่าไม่รู้ว่าจะอยู่เห็นพีอีกกี่วันกี่เดือน เวลาของย่าก็เหลือน้อยลงทุกที พีกลับมาอยู่กับย่าได้ไหม มาให้ย่ากอดให้ย่ารักเหมือนเมื่อก่อนนะลูก”

“แต่พี...”

“เอ้า แต่อีกแล้ว เลิกแต่แล้วมาอยู่กับย่านะ” ท่านพูดไปด้วย ยิ้มเอ็นดูไปด้วย

“พีอยู่ที่นี่ไม่ได้” ...พื้นที่ข้างกายเขาไม่ใช่ของผม

“ทำไมล่ะลูก บ้านย่าไม่น่าอยู่เท่ากับตึกสูงๆ หรือไง”

“ไม่ใช่ครับ” ผมชอบบ้านเรือนไทยที่มีสระว่ายน้ำและรายล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากกว่าผนังปูนที่แข็งกระด้างพวกนั้น

“แล้วอะไรที่มันใช่ล่ะ” คุณย่าถามอีก ท่านทำท่าอยากรู้เหลือเกิน

“คุณยะเกลียดพี” ผมพูดออกมาเบาๆ คุณย่าส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“หน้าอย่างนั้นนะจะกล้าเกลียดหลานย่า ย่าว่ากลัวหลานย่าไม่รักซะมากกว่ามั้ง”

“เขาไม่ได้รักพีแล้ว” ไม่อย่างนั้นคงไม่หมั้นกับเลขาตัวเอง ความรักของคนทั้งคู่คงมาจากความใกล้ชิด ครั้งหนึ่งผมก็เคยนึกกลัวความใกล้ชิดของทั้งคู่ แล้วเป็นไงล่ะ สิ่งที่ผมกลัวก็กลายเป็นเรื่องจริงจนได้

“รักสิลูก ย่าเป็นแม่ ทำไมจะไม่รู้ว่าลูกตัวเองรักใคร”

“...” ผมอยากเถียงว่าถ้ารักจะเอาแต่ผลักผมออกจากชีวิตเขาทำไม แล้วทำไมถึงหมั้นกับคนอื่น... ทำไมถึงไม่ไปตามผมกลับมา

ตั้งแต่ผมนั่งรถไปที่สนามบิน ขึ้นเครื่อง จนถึงอเมริกา และตลอดเวลาเจ็ดปีที่อยู่ที่นั่น ผมหวังว่าจะได้เห็นหน้าเขา เห็นเขามาตามผมกลับ ซึ่งผมก็ไม่เคยสมหวังเลยสักครั้ง

“ที่เงียบนี่เถียงย่าอยู่ละซี่” ท่านว่าอย่างรู้ทัน

“เปล่าครับ” ใครจะกล้ายอมรับ

“เอาเถอะ ถ้าพี่จะคิดแบบที่กำลังคิดอยู่ ย่าก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้เชื่อ ลูกของย่าก็ใช่จะดีจนไม่มีที่ติ นิสัยก็อย่างที่เห็น ทำอะไรแต่ละอย่างก็อยากเอาพัดฟาดให้น่วมทั้งตัว ไม่รู้จะตั้งแง่เล่นเกมอะไรนักหนา” คำพูดของคุณย่าสะดุดหูผมมาก กำลังจะอ้าปากถามอยู่แล้วเชียวว่า ‘ตั้งแง่เล่นเกม’ อะไร แต่อานุพูดทะลุขึ้นเสียก่อน

“คุณแม่...เย็นนี้กับข้าวมีอะไรบ้างครับ”

“ก็ของโปรด...” คุณย่าหันไปตอบลูกชายคนที่สองของตัวเอง แต่แล้วก็ชะงักค้างไปนิดหนึ่ง ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเปลี่ยนสายตากลับมาที่ผม “...แปลกจริงเชียววันนี้ ย่าให้คนทำแต่ของโปรดของพีทั้งนั้น อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะลูกนะ”

“คือพีต้อง...ต้อง...ไปดูโรงแรมที่พัทยาครับ ไปเย็นนี้เลย” ผมรีบปฏิเสธ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะคำโกหกของผมหลอกคุณย่าไม่ได้

“นี่ถ้าย่าไม่รักพีนะ ย่าตีพีไปแล้วข้อหาโกหกคนแก่” คุณว่า “ไม่อยากกินข้าวกับย่าขนาดต้องโกหกเลยหรือไง บอกย่าตรงๆ ก็ได้ ทำแบบนี้ย่าเสียใจนะรู้ไหม”

“พีขอโทษ” เมื่อโดนจับได้ ผมก็ไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวอะไรเพิ่ม บวกกับคำพูดตัดพ้อของคุณย่าด้วย ผมเลยต้องเปลี่ยนคำตอบใหม่ “เย็นนี้พีอยู่กินข้าวกับคุณย่าก็ได้ครับ”

“ต้องให้ย่าดุซะก่อนนะ ถึงจะยอม” ท่านว่ายิ้มๆ ส่วนผมก็ยิ้มเจื่อนๆ

......................................................................

นอกจากอยู่กินข้าวเย็นกับคุณย่า รวมทั้งอานุ อาฟ้า และอาภาแล้ว ผมก็ยังต้องค้างที่บ้านเรือนไทยเพราะปฏิเสธคำขอของคุณย่าไม่ได้ แม้จะอ้างว่าไม่ได้เตรียมชุดเสื้อผ้ามาเปลี่ยน คุณย่าก็สามารถแก้ปัญหาที่เป็นแค่ข้ออ้างของผมได้อย่างง่ายดาย โดยให้อานุเอาเสื้อผ้ามาให้ผมยืมใส่ ผมเลยหมดทางที่จะปฏิเสธ อีกอย่างก็ไม่อยากจะกลับด้วยแหละ กลับไปที่คอนโดฯ ก็ไม่มีใคร และที่สำคัญผมอยากนอนกอดคุณย่าด้วย แต่เอาเข้าจริงสี่ทุ่มตรงคุณย่าก็ไล่ผมกลับทันที

ท่านไม่ได้ไล่ให้ผมกลับคอนโดมิเนียมของตัวเองหรอกนะครับ แต่เป็นกลับไปนอนที่ห้องเดิมของผมที่เรือนไทยหลังนั้นแทนที่จะเป็นเรือนของท่านอย่างที่ควรต้องเป็น

‘พีขอนอนกับคุณย่า พีอยากกอดคุณย่า’ ผมอ้อน กอดร่างผอมบางของท่านไว้หลวมๆ ตอนที่ท่านไล่ผมให้กลับไปนอนห้องของตัวเอง ท่านบอกว่าให้คนไปทำความสะอาดไว้เรียบร้อย เสื้อผ้าของอานุก็ให้คนเอาไปใส่ในตู้ไว้ให้แล้ว

‘ย่าชอบนอนคนเดียว มีคนนอนด้วยแล้วมันนอนไม่หลับ’ เหตุผลของท่านทำให้ผมหน้ายุ่ง แต่ท่านก็ไม่ง้อ ก่อนจะพูดตัดบท ‘พรุ่งนี้ค่อยมาเล่าเรื่องตอนที่อยู่เมืองนอกให้ย่าฟังต่อนะลูก ตอนนี้ย่าง่วงแล้วละ อยากนอนเต็มแก่แล้ว’

‘ครับ’

นั่นแหละผมถึงเดินกลับไปยังเรือนไทยหลังที่ผมเคยอยู่ เมื่อเดินขึ้นเรือน สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาของผมคือสระว่ายน้ำท่ามกลางแสงไฟและแสงจันทร์นวลที่ยังคงงดงามเหมือนเดิม ชวนให้อยากลงไปดำผุดดำว่ายอยู่ในนั้น แต่ผมก็เดินผ่านมันไป ผ่านห้องนอนของตัวเองด้วย เดินเลยไปจนถึงห้องนอนที่อยู่ลึกเข้าไป ห้องที่เคยว่างเปล่าทว่ายามนี้มีคนเป็นเจ้าของมานานแล้วหลายปี ก็น่าจะเท่าๆ กับเวลาที่ผมจากที่นี่ไป

ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...

ผมเคาะประตูไม้เนื้อแข็งในจังหวะที่สม่ำเสมอ รอแค่อึดใจเดียวเจ้าของห้องก็เดินมาเปิดประตูด้วยสภาพใบหน้าชุ่มน้ำตา โดยไม่ได้คิดว่าคนที่เคาะประตูไม่ใช่คนที่ตัวเองคิด ถ้ารู้ว่าเป็นผม เจ้าของห้องคงไม่เปิดประตูต้อนรับผมแน่ๆ

“พี่ยะ...มึง” ครั้นเห็นเต็มตาว่าไม่ใช่คนที่ตัวเองคิด ใบหน้าเปื้อนน้ำตาที่เคยยิ้มราวกับเจอฝนดาวตกก็หุบยิ้มแทบจะทันที จากรอยยิ้มก็กลายเป็นริมฝีปากที่ขบกัดอย่างข่มอารมณ์ ดวงตาแดงก่ำนั้นลุกวาวด้วยกองไฟขนาดใหญ่

“ไม่ไปกินข้าวด้วยกันล่ะครับ”

“เรื่องของกู” ถึงเขาจะเค้นเสียงตอบแบบที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังผม ทว่าเสียงนั้นก็ยังสั่นจากสายน้ำอุ่นร้อนที่เขาเพิ่งจะปาดมันทิ้งตอนที่เห็นผมยืนตรงหน้าเขา

“รู้ไหมว่าปากของพี่นี่ไม่เข้ากับหน้าสวยๆ ของพี่เลย” ตอนที่พูด ผมก็ขยับเข้าใกล้คนตัวเล็กกว่า “ปากแบบนี้ไม่โดนคุณยะสั่งสอนบ้างหรือไง เป็นผมนะ... พี่โดนแน่” ผมกำลังนึกสนุก อยากทำบางอย่างที่จะได้หยามศักดิ์ศรีของคนคนนี้

...คนที่ผมไม่เคยเอาชนะได้ 

“มึง... จะทำอะไร!” สุ้มเสียงที่ตั้งใจตะคอกใส่ผมสั่นเล็กน้อย เจ้าตัวก้าวถอยไปด้านหลังหนีผมที่สาวเท้าเข้าไปใกล้เขาไม่หยุด มาหยุดก็ตอนที่ปิดประตูแล้วมายืนอยู่กลางห้องแล้วนั่นแหละ

“พี่กลัวผมหรือครับ คนอย่างพี่ ‘เล’ กลัวผมด้วย” ผมถามยิ้มๆ จงใจเน้นเสียงหนักกึ่งเยอะเย้ยตรงชื่อที่ถูกตัดสั้นลงของอีกฝ่าย

เมื่อก่อนผมเคยตัวเล็กกว่าพี่เลม่อน มาตอนนี้ผมสูงใหญ่กว่าเขามาก

“มึงออกไป!” ถึงจะตะเบ็งเสียงไล่ แต่เสียงก็ยังไม่หยุดสั่น ผมหัวเราะในลำคอให้กับความกลัวที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่สวย ใบหน้าขาวซีด และน้ำเสียงสั่นนั้น แต่ก็ยังทำใจกล้าใช้สองมือผลักอกผมเต็มแรง “กูบอกให้ออกไป!”

ผมแค่เซเล็กน้อย ก่อนจะปักหลักอย่างมั่นคง ขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ลูกตาสวยกลิ้งกลอกไปมาด้วยความหวาดระแวง

“ใส่แบบนี้นอนทุกคืนหรือครับ”

...เสื้อกล้ามที่คอลึกลงไปจนเห็นอกขาวนวลเนียน กับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเล็กและสั้นมาก

“มึงออกไป” ครั้งนี้เสียงเบาลง สองมือรวบคอเสื้อเข้าหากัน ทำยังกับจะปกป้องเนื้อตัวจากสายตาผมได้อย่างนั้นแหละ

“กลัวอะไรครับ?” ผมเอียงคอ ยกยิ้มที่มุมปากอย่างยั่วแหย่อีกฝ่าย สะใจที่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพหวาดกลัวผม “ผมน่ากลัวขนาดนั้นเชียว?” ผมถามไปด้วย ก้าวเข้าชิดตัวอีกฝ่ายไปด้วย ฝ่ายนั้นก็ถอยกรูดไปติดปลายเตียงทันที

“มึงออกไป” ย้ำคำเดิม เพิ่มเติมคือเสียงที่สั่นขึ้นอีกระดับ ดวงตาฉายทั้งแววหวาดระแวงและเกลียดชังผมไปพร้อมกัน

“ไล่จังนะครับ เกลียดผมมากหรือไง” ผมเดินเข้าไปใกล้ ใกล้จนเห็นเนื้อตัวที่สั่นเทา กลิ่นหอมหวานคล้ายชัดเจนอยู่ที่ปลายจมูก แล้วคว้าหมับเข้าที่เอวเล็ก ก่อนที่เจ้าของมันจะทันวิ่งผ่านผมไปยังประตูห้องนอน
 
“มึงจะทำอะไร! ปล่อยกู!!” ร่างเล็กและสั่นเทาดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของผม ที่โอบรัดเจ้าตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา

“เบาๆ สิครับ ใครผ่านไปมาจะตกใจเอาได้ ที่นี่เขาไม่ชอบคนพูดไม่เพราะนะครับพี่เล” ผมก้มลงไปพูดเสียงเบาข้างใบหูเล็กที่ขึ้นสีแดงเพราะอารมณ์โมโหที่ถูกผมกอด


.

.

.


อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
อันที่จริงเวลาดึกแล้วคงไม่มีใครผ่านมาแถวนี้ แถมเรือนหลังนี้ก็ไม่มีใครนอกจากผมกับพี่เลม่อน เด็กแฝดก็ไปอยู่ที่คอนโดฯ ใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทางและทำกิจกรรม ส่วนเจ้าของเรือนน่าจะยุ่งอยู่กับกองงานในวันหยุดละมั้ง หรือไม่แน่ว่าพอรู้ว่าผมมาที่นี่ เจ้าตัวเลยเลี่ยงที่กลับมาเจอผม

“มึงจะทำอะไรกู!” เจ้าตัวหยุดดิ้นเพราะดิ้นเท่าไรก็ยังติดอยู่ในวงแขนของผม พี่เลม่อนสู้แรงผมไม่ได้ แต่ก็เปลี่ยนมากำอกเสื้อผมเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาจ้าจัดเอาเรื่อง ทว่านั่นแหละผมก็ยังเห็นว่าดวงตาคู่สวยยังเจือไปด้วยความหวาดกลัว

“อยากให้ผมทำอะไรล่ะครับ” ครั้งนี้ผมเลื่อนทั้งริมฝีปากและจมูกไปยังแก้มของอีกฝ่าย

...หอมกลิ่นแป้ง

“ทำแบบในคลิปที่พี่ชอบส่งให้ผมดีไหม” ผมกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นร้อนตกไปกระทบใบหน้าอีกฝ่าย “บางทีพี่อาจจะติดใจลีลาของผม”

“มึง!!...มึงบ้าไปแล้ว” ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเลยทีเดียว ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำในทันที

“ไม่บ้าหรอกครับ แค่นำเสนอทางเลือกให้พี่ คนแก่หรือจะสู้คนหนุ่ม” ผมยิ้ม ลดปลายจมูกกดเข้าที่แก้มแดงก่ำของพี่เลม่อนอย่างเชื่องช้า “ไม่เบื่อหรือครับที่ต้องนอนกับคุณยะแค่คนเดียว ทั้งที่เขาก็นอนกับคนอื่นไปทั่ว แถมยังมีคู่หมั้น ที่ไม่นานก็จะต้องแต่งงานกัน จากนั้นพี่ก็จะเป็นแค่ส่วนเกิน ตกอยู่ในฐานะเมียน้อย ต้องช้ำใจทุกวันที่เห็นเขารักกันหวานชื่น มีลูกด้วยกัน ส่วนพี่ก็แค่ที่ระบายความใคร่”

มือที่กำอกเสื้อผมไว้แน่นเริ่มคลายลง ดวงตาคู่สวยที่จ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่องเมื่อครูหลุบต่ำลง คงกำลังคิดไปตามคำพูดของผม

“มึงไม่รู้อะไรอย่ามาพูด” ความเจ็บปวดนั้นบรรจุอยู่เต็มในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา

“ที่ผมพูดก็เพราะเป็นห่วงพี่” ผมโกหก คนอย่างผมหรือจะสงสารคนที่เคยร้ายใส่ผม “พี่อยากทรมานไปทั้งชีวิตหรือครับ เกิดเป็นคนหน้าตาดีทั้งทีแต่ต้องมาเป็นเมียน้อยคนอื่น พี่ไม่อายคนหรือครับ เป็นผม ผมอายนะ”

ในเมื่อคนคนนั้นไม่ยอมปล่อยคนคนนี้ ผมจะเป็นฝ่ายเอาตัวไปเอง และในเมื่อผมไม่ได้ คนอย่างพี่เลม่อนก็ไม่ควรได้รับสิทธิ์ที่เคยเป็นของผม 

...ได้อยู่บ้านหลังนี้

...ได้ความรักจากทุกคน

...และได้เป็นตรัยธาดาแทนผม

ผมไม่ยอมให้พี่เลม่อนได้ในสิ่งที่ผมอยากจะได้หรอก!

“กูทนได้” เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาตอบเสียงเบาหลังจากเงียบไปหลายอึดใจ “กูรักพี่ยะ... เหมือนที่มึงรัก แต่กูไม่ใช่มึง” ทุกคำพูดของพี่เลม่อน ผมรู้ว่าเจ้าตัวเอ่ยออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นบนแก้มนวล ก่อนตามมาด้วยหยาดน้ำตาเป็นสาย

“ผมไม่ได้รักเขาแล้ว ผู้ชายเฮงซวยแบบนั้นไม่มีค่าให้ใครมารักหรอกครับ” ผมพูดออกมาอย่างง่ายดาย... ก็แค่คำโกหก ผมถนัดอยู่แล้ว

“มึงโกหก” มือของพี่เลม่อนกลับมาขยุ้มอกเสื้อผมอีกครั้ง “มึงไม่มีวันเลิกรักพี่ยะได้ กูก็ทำไม่ได้เหมือนกัน” คำพูดนั้นหนักแน่นและเป็นความจริง แต่ผมไม่สนความจริงอะไรทั้งนั้น สนแค่ว่าพี่จะทำอย่างไรให้พี่เลม่อนออกไปจากชีวิตของเขาคนนั้นให้ได้ 

“พี่ลองพยายามหรือยังล่ะ”

“...” ดวงตาชุ่มน้ำหลุบต่ำอีกครั้ง

“มาอยู่กับผมสิครับ แล้วผมจะทำให้พี่ลืมคนคนนั้นเอง” ผมปล่อยมือข้างหนึ่งจากตัวพี่เลม่อน ยกมันขึ้นมาเชยคางเล็กให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมผ่านม่านน้ำตา โน้มน้าวอีกฝ่ายด้วยความจริงที่เจ็บปวด “พี่จะได้ไม่ต้องทรมานไปจนวันตาย อยู่กับคนที่ไม่มีหัวใจให้พี่เลยแม้แต่ส่วนเสี้ยวเดียว มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ พี่จะเป็นแค่เครื่องระบายอารมณ์ที่เขาทอดทิ้งให้ฝุ่นจับ ไม่เหลียวแลเพราะเขามีคนของเขาแล้ว”

“กู...” ร่างกายที่ผมโอบกอดสั่นแรงขึ้น “...ทนได้”

“พี่ทนไม่ได้หรอก” ปลายนิ้วของผมค่อยๆ ปัดน้ำตาบนแก้มของอีกฝ่าย ใบหน้าชุ่มน้ำตาน่าสงสารน่าสงสารจับหัวใจ... ถ้าเป็นคนอื่นคนคิดแบบนี้ สำหรับผมก็แค่ความสะใจที่เห็นความอ่อนแอบนใบหน้าของพี่เลม่อน

“กู...ฮึก...”

“มาเป็นคนของผมนะ” จบคำพูดนั้นผมก็ก้มลงไปจูบปากอิ่มอย่างนุ่มนวลที่สุด

เรียวปากนั้นสั่นระริกแต่ก็ไม่ประท้วงขัดขืน เหมือนเจ้าของมันกำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมอ้อยอิ่งอยู่กับริมฝีปากนุ่มนิ่มสักพักหนึ่ง ก่อนแทรกปลายลิ้นเข้าไปภายใน กวาดต้อนความหวานฉ่ำนั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ลิ้นเล็กไร้การต่อต้าน ซ้ำยังเผลอไผลไปกับปลายลิ้นของผมอย่างว่าง่าย ผมอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอไปกับจูบที่ยาวนาน ต้อนให้ร่างเล็กถอยไปด้านหลัง ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม ให้ความนุ่มนั้นรองรับร่างกายที่โอบกอดกันไว้ของเราทั้งสองคนเอาไว้

ที่ผมสัมผัสได้อย่างชัดเจนคือ ตัวของพี่เลม่อนหอมและนุ่มนิ่ม ยามที่จูบไปทั่วใบหน้า จมูกคลอเคลียที่ต้นคอระหง มือที่จับเค้นไปทั่วร่างบอบบาง ในหัวของผมมีคำหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

...คนคนนี้น่า ‘ทะนุถนอม’

ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโอบกอดสายน้ำอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่เนื้อตัวก็ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่สายน้ำเป็น ภาพในคลิปที่เคยผ่านสายตาของผมและสายตาของคนค่อนประเทศบอกว่าเจ้าตัวสนุกสนานมากแค่ไหนกับเรื่องบนเตียง

“ยะ...อย่า...” มือเล็กรั้งมือผมเอาไว้ตอนที่กำลังครอบครองส่วนอ่อนไหวของเจ้าตัว

“ไว้ใจผมนะครับ ว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งพี่” เพราะผมจะไม่มีวันยอมให้พี่เลม่อนกลับไปหาคุณยะ ผ่านคืนนี้ไป ผมจะประกาศความเป็นเจ้าของและเอาตัวพี่เลม่อนไปจากที่นี่

“...” ดวงตาฉ่ำน้ำมองผมอย่างหงอยเหงา ความเกลียดชังคงถูกลืมเลือนไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยเสียงแหบเบาและสั่นสะท้านฟ้องความอ่อนแอที่ไหวรุนแรงอยู่ในอก “...แล้วมึงจะปกป้องกูได้ไหม ปกป้องกูเหมือนที่พี่ยะทำ”

ผมไม่เข้าใจคำพูดของพี่เลม่อนเท่าไร ไม่รู้ว่าการปกป้องนั้นคืออะไร ปกป้องพี่เลม่อนจากอะไร แต่ผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก ที่ต้องสนใจคือหลอกล่อให้พี่เลม่อนยอมออกมาจากชีวิตของคุณยะ

“ผมจะทำให้ดีกว่าเขาอีกพันเท่า”

“มึงรับปากแล้วนะ”

“ครับ” ผมตอบรับและแนบริมฝีปากลงบนปากนุ่มนิ่มอีกครั้ง ส่งปลายลิ้นรุกเข้าไปในโพรงปากหวานฉ่ำ

ทว่าจูบนี้สั้นเกินไป เพราะถูกขัดจังหวะจากใครคนหนึ่ง หลังจากที่เสียงประตูถูกเปิดเข้ามา

“เลิกทำอะไรโง่ๆ ได้แล้วพี” คำพูดนั้นราบเรียบ ทว่าก็กรุ่นไปด้วยโทสะ ที่แม้จะไม่หันหน้ากลับไปมองผมก็เดาว่าใบหน้าของคุณยะจะฉาบทาด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดแค่ไหน

“ไม่ต้องกลัวครับ” ผมก้มลงปลอบคนในวงแขน พลางขยับเอาทั้งตัวผมและตัวเขาลุกขึ้นนั่ง

ทีแรกผมนึกว่าพี่เลม่อนจะผลักตัวผมออกไป กลับตรงข้ามกับที่คิดไว้ พี่เลม่อนผวาเข้ากอดผมไว้แน่น ซุกหน้าไว้กับอกผม ราวกับจะบอกให้ผมเริ่มต้นทำอย่างที่รับปากเอาไว้คือ...ปกป้องเขา

“อย่าหวงก้างสิครับ ในเมื่อคุณจะแต่งงานแล้วจะเก็บพี่เลม่อนไว้ทำไมให้รกหูรกตาเมียคุณ” ผมหันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาท้าทาย คำพูดของผมต้องการที่จะประชดเขา และตอกความเจ็บช้ำลงไปในหัวใจของพี่เลม่อน “ที่สำคัญคือเครื่องระบายความใคร่ของคุณ เขาก็มีหัวใจนะครับ ปล่อยเขาให้ไปเจอคนที่เห็นค่าของเขามากกว่าคุณเถอะ เมียของคุณจะได้มีความสุขด้วย ไม่ต้องระแวงว่าคืนไหนตื่นมาแล้วจะหาตัวคุณไม่พบ บ้านจะแตกเอาง่ายๆ” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ผมก็ยังนึกสถานการณ์บ้านแตกอย่างที่ปากแช่งไม่ได้เลย เพราะว่าที่เมียของเขาดูจะเต็มใจให้พี่เลม่อนอยู่ที่นี่

ผมไม่เข้าใจและพยายามคิดจนสมองเดี้ยงแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าอะไรที่ทำให้พี่แอลตัดสินใจหมั้นกับคุณยะ ทั้งที่เขาก็รู้ว่าพี่เลม่อนอยู่ที่นี่และเป็นอะไรกับคุณยะ ทำไมเธอถึงใจเย็นและดูจะพร้อมสำหรับการเป็นเมียหลวงและยอมรับที่สามีมีเมียน้อยเป็นผู้ชาย

สำคัญกว่านั้น เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนที่เธอเปิดประตูเข้าไปเจอผมกอดกับคุณยะ ก็ไม่เห็นเธอโวยวายใส่คู่หมั้นที่เป็นเจ้านายของเธอเลย ซ้ำน้ำเสียงตอนนั้นก็ยังดูจะเกรงใจเขาด้วยซ้ำที่เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะคนในห้อง

“เลม่อน... มาหาพี่” เขาไม่สนคำพูดผม หันไปเอ่ยเรียกคนในวงแขนผมแทน ฝ่ายถูกเรียกก็เริ่มมีปฏิกิริยากับคำเรียกนั้นที่ดังซ้ำอีกครั้งอย่างนุ่มนวล ฟังคล้ายปลอบประโลมอยู่ในที “...มาหาพี่”

“พี่ยะ” ท่อนแขนเล็กคลายออกจากตัวผม แม้ผมอยากจะดึงตัวพี่เลม่อนเอาไว้ แต่ก็ต้องยอมปล่อย หากไม่ปล่อยผมก็ยิ่งเหมือนคนแพ้

พี่เลม่อนลงจากเตียงเดินไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา... อ้อมกอดที่ผมอยากได้คืน

“อย่ายุ่งกับเลม่อน” เขาเอ่ยเสียงเรียบทว่าเยือกเย็นจับขั้วหัวใจ อ้อมกอดที่ผมอยากได้คงไม่มีวันได้คืนมา

“ไม่อยากให้ผมยุ่งก็ดูแลให้ดีสิครับ”

“ฉันดูแลดีแน่” เขาตอบผม ก่อนก้มลงกระซิบกับคนในอ้อมแขน เสียงของเขาเบาแค่ไหนแต่ผมก็ยังได้ยิน “ไปนอนห้องพี่นะ” แล้วเขาก็ช้อนตัวคนตัวเล็กขึ้นจากพื้นเข้าสู่วงแขนแข็งแรง อุ้มพาออกไป

...ทิ้งผมไว้กับความเจ็บปวดที่กรีดร้องไปทั่วห้อง

......................................................................

หลังจากอาบน้ำและหยิบเอาชุดของอานุในตู้เสื้อผ้าออกมาใส่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินไปที่หน้าต่างห้อง เปิดมันออกเพื่อให้สายลมเย็นของยามดึกพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนที่คุ้นเคยเข้ามาปะทะจมูก ผมสูดเอากลิ่นหอมเย็นเข้ามาในปอด ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง กวาดสายตามองไปรอบห้องที่แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ผ่านมากี่ปีก็ยังคงเดิมเหมือนรอคอยให้ผมกลับมา หลับฝัน และมีความรักอันสดใส แต่ผมรู้ว่าผมเดินมาไกลมากแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับไปยังวันวานที่โหยหาได้อีก

ไม่นานกลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืนก็ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นนิโคติน ควันสีขาวหม่นหมองลอยคลุ้งออกจากริมฝีปากอย่างเรื่อยเอื่อย ผมปล่อยให้ความคิดวนเวียนอยู่กับภาพที่เห็นเมื่อหลายนาทีก่อน ภาพที่ร่างสูงใหญ่ช้อนร่างบอบบางที่สั่นเทาขึ้นสู่วงแขนและพาออกไป ทิ้งผมให้มองตาม... อย่างคนที่ไม่ว่าเมื่อไรก็เจอแต่คำว่าพ่ายแพ้

...ผมเอาชนะเขาไม่ได้

...เอาชนะพี่เลม่อนก็ไม่ได้

สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายไป เวลาของผมที่นี่หมดลงแล้วตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจจากลา และอีกแค่เดือนกว่าๆ ผมก็จากไปอีกครั้ง

บุหรี่หมดมวน ผมเก็บปลายก้นกรองใส่กล่องสีเงิน ไม่ได้เอาทิ้งขยะที่ตั้งวางอยู่ใกล้โต๊ะเขียนหนังสือ เพราะไม่อยากให้คนที่ดูแลเรือนไทยหลังนี้มาเห็นซากของมันแล้วเอาไปรายงานคุณย่า หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าควรกลับไปนอนที่คอนโดฯ ของตัวเอง ออกไปตอนนี้คุณย่าไม่น่าจะรู้เพราะดึกแล้วและท่านก็เข้านอนแล้วด้วย

เฮ้อ... ในเมื่อผมคิดจะยอมแพ้และย้ายกลับไปช่วยงานของคนเป็นแม่แล้ว ผมก็ไม่ควรจะมีความหวังให้ตัวเองต้องเจอกับความผิดหวังซ้ำซาก บางทีผมควรสงสารหัวใจตัวเองที่ถูกใช้งานเสียที ก่อนที่มันจะผุพังจนไม่สามารถใช้รักใครได้อีก

“พอได้แล้วมั้ง พยายามไปก็เท่านั้น ยังไงเขาก็ไม่รักเราแล้ว ไม่มีเขาก็ใช่ว่าเราจะตายเสียหน่อย รักตัวเองได้แล้ว” ผมพึมพำกับตัวเอง ตอกย้ำให้ตัวเองจำให้ขึ้นใจ เข้าใจเสียทีว่าต่อให้พยายามแค่ไหน ความพยายามนั้นก็สูญเปล่า

ตอนแรกผมตั้งใจโทรหาสายน้ำให้ขับรถมารับผม (รถของผมให้สายน้ำขับกลับไปไว้ที่คอนโดฯ ของเจ้าตัวก่อน) แต่ดูเวลาที่ดึกมาแล้วและสายน้ำก็บอกว่าวันจันทร์มีสอบย่อย เลยต้องเปลี่ยนใจเก็บโทรศัพท์ซุกกระเป๋าไปอีกครั้ง เอาเป็นว่าผมควรเดินออกไปหน้าปากซอยและโบกแท็กซี่กลับคอนโดฯ ด้วยตัวเองดีกว่า และถือว่าเป็นโชคดีหน่อยๆ ที่ชุดของอานุที่ผมใส่อยู่เป็นกางเกงผ้าขายาวกับเสื้อยืดคอวี ไม่ใช่ชุดนอน เดินไปเรียกแท็กซี่ด้วยชุดนี้ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไร

แต่ใครจะคิดละว่า พอเปิดประตูออกมาจะเจอเข้ากับคนที่ไม่คิดว่าจะเจออีกในคืนนี้ เจ้าของร่างสูงที่มากกว่าผมไปไม่เท่าไรยืนรอราวกับรู้ว่าผมจะเดินออกมาจากห้องอย่างนั้นแหละ

“...”

“...”

กลางคืนที่ว่าเงียบแล้ว คำพูดระหว่างผมกับเขาเงียบยิ่งกว่า จนกระทั่งปลายเท้าของผมเริ่มขยับอีกครั้งหลังถูกตรึงเอาไว้ด้วยนัยน์ตาคมกริบที่กรุ่นด้วยอารมณ์หลายอย่าง มากเสียจนผมแยกแยะไม่ออกว่าในตอนนี้คนคนนี้รู้สึกอย่างไรกันแน่


จบครึ่งแรก

ที่จริงแต่งตอน 34 จบแล้วนะคะ แต่ตอนกลับมารีไรท์ แล้วมาเจอฉากโคมไฟ
คนเขียนก็ลองนับว่าฉากหวานฉ่ำของคู่นี้มีน้อยนิด แลแห้งแล้งไปหน่อย 55+
เลยต้องตัดโคมไฟทิ้ง แล้วเขียนใหม่ให้ชุ่มฉ่ำ แต่ไม่รู้ว่าจะฉ่ำหรือแป้กนะคะ ^_^
เลยทำให้ตอน 34 เขียนไม่เสร็จ แต่ก็บอกทุกคนแล้วว่าจะเอาลงวันนี้
ก็เลยเอามาลงครึ่งหนึ่งก่อนนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาครึ่งหลังมาลงค่ะ
ปล.ตอบคุณ naumi ที่ถามว่าแอลเป็นใคร แอลชื่อหัทยา เป็นเลขาคุณยะค่ะ
 :bye2:
สีเหลืองอ่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2019 17:00:21 โดย i_ang »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ขาดตอนมากกกกกกก แต่จะรอพรุ่งนี้อีกครึ่งนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
แอลนี่ใครอ่ะ????
คือเลขาคนเดิมของคุณยะค่ะ คนที่เคยมาเห็นสภาพของน้องพีตั้งแต่ครั้งแรกที่น้องพีโดนวางยาแล้วมีอะไรกับคุณยะนั่นแหล่ะค่ะ

อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาก็ร่วงอีแล้ว แอบอยากรู้เรื่องเลแฮะ

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
จะจบแล้ว แต่เหมือนยังไม่จะจบเลย วนวนวนแล้ววนเราก็อ่านวนไป

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
ถ้าน้องพีจะคิดได้ แล้วถอยออกมาจากจุดที่ชวนอึดอัดและเสียใจ เราก็เชียร์นะ ถอยออกมาจากจุดนั้น มาดูแลหัวใจของตนเอง เหมือนที่บอกว่า ไม่มีเขา น้องพีก็อยู่ได้ อยู่ในที่ของตนเอง  นี่คือมุมมองที่อ่านจากน้องพีนะครับ เพราะสิ่งที่อ่านจากเรื่องนี้ ทั้งหมดมาจากมุมมองของน้องพีฝั่งเดียว สิ่งที่เราไม่รู้จากส่วนอื่นคงไม่สามารถสรุปได้ แต่จากมุมของน้องพี เราว่าน้องเสียใจมาเยอะมาก โดนทำร้ายจิตใจมาเยอะมากแล้ว

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
มารอ 34 ครึ่งหลังค่ะ แต่ทำไมมาแต่หัวอ่ะ  :z3:

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
ตอนที่ 34 ครึ่งหลัง
(อ่านจบแล้วอย่าลืมอ่านช่วงพูดคุยน้าา เราจะแก้ตัวแทนคุณยะเองงง)

“หยุดทำอะไรโง่ๆ สักที” เขาคว้าแขนผมไว้ก่อนที่ผมจะเดินผ่านเขาไป

“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร” ผมแกล้งไม่รู้ ตีหน้างง ว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเรื่องที่ผมไปยุ่งกับคนของเขา “แล้วก็ปล่อยผม ผมจะกลับบ้าน” ผมบอก จะดึงแขนออกมาก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่เบาแรงบีบแขนผมลงเลย

“มีเรื่องโง่ๆ หลายอย่างสินะที่เธอทำ”

ใช่!

แต่ละเรื่องโง่ๆ ที่ผมทำก็เพราะเขาทั้งนั้น!

“อย่ายุ่งกับเลม่อน”

“ผมไม่จำเป็นต้องเชื่อคุณ” ผมเชิดหน้าตอบกลับไปอย่างท้าทาย “กลัวคนของคุณจะเปลี่ยนใจมาหาผมหรือไง ถ้ากลัวก็จับล่ามไว้สิ!” ทำเป็นหวงก้าง ในใจผมทั้งเดือดทั้งเจ็บ คำพูดของเขาแสดงความหึงหวง อาการบนใบหน้าและแววตาที่จ้องผมเขม็งนั้นฟ้องอย่างชัดเจนว่าโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว

โกรธผมมากสินะที่ไปยุ่งกับคนของตัวเอง

ผมก็โกรธเหมือนกันเขาเหมือนกันที่แต่พี่เลม่อน!

“เธออยากได้อะไรพี” มืออีกข้างของเขาคว้าหมับเข้าที่เอวตอนถามผมด้วยคำถามที่เขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว ผมรีบยกมือดันแผ่นอกกว้างเอาไว้ เมื่อเขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกจะแตะกันอยู่แล้ว แต่นั่นก็ทำให้ลำตัวด้านล่างแนบแน่นมากยิ่งขึ้น “อยากได้ฉันอย่างนั้นเหรอ?”

และไม่รอเอาคำตอบ เจ้าของคำถามก็ใช้กำลังที่มีมากกว่าผมเพราะร่างกายที่หนากว่าดันตัวผมกลับเข้าไปในห้อง พร้อมกับปิดประตูและล็อกอย่างรวดเร็ว

“จะทำอะไร!” ถามทั้งที่พอจะคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่ให้ผมรู้ได้อย่างไรในเมื่อตอนที่ร่างกายช่วงล่างแนบกันอยู่นั้น ความร้อนระอุแบบไหนที่ผมสัมผัสได้จากเนื้อตัวของเขา

“ทำทุกอย่างที่เธออยากได้จากฉัน” ระหว่างที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ผมก็ถูกเขาลากตัวมาจนถึงเตียง ก่อนจะถูกดึงลงไปนอนอยู่ใต้ร่างหนาอย่างง่ายดาย

ความคิดขัดขืนนั้นผมมีเต็มร้อย แต่ดวงตาสีราตรีที่จ้องลงมาทำให้ผมได้แต่ขบกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในอกจนแทบระเบิดออกมาเป็นถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความโหยหา

“อยากให้ฉันทำกับเธอแบบไหน?” เขายังคงป้อนคำถามที่ตั้งใจเยาะเย้ยถากถางผม

“...” ริมฝีปากของผมถูกขบจนรู้สึกเจ็บ ผมหันหนีสายตาที่กวาดมองไปทั่วใบหน้าผม กับริมฝีปากที่ยกยิ้มนิดๆ ตรงมุมปากของเขา ฝากสายตาไว้กับผนังห้อง ก่อนจะปิดเปลือกตาลงทันทีที่ปลายจมูกโด่งกดลงบนผิวแก้มเห่อร้อน

“คิดถึงฉันมากไหม”

...มากสิ! มากเสียจนสามารถนอนร้องไห้ตั้งแต่ตอนกลางคืนจนถึงตอนเช้าได้เลยนะ แต่ผมไม่ตอบความจริงที่ทำให้ตัวเองพ่ายแพ้ออกไปหรอก!

“ทำไมไม่ตอบล่ะ หรือว่าไม่เคยคิดถึงฉันเลย”

...ไม่เคยไม่คิดถึงเลยต่างหาก แต่ก็ตอบกลับไปไม่ได้

“อยากให้ฉันปล่อยไหม”

...เอาความจริงก็คือไม่

“ไม่ตอบ แสดงว่าอยากให้ฉันกอดเธอไว้ทั้งคืน”

...อยากให้คนคนนี้กอดผมไปตลอดทั้งชีวิตมากกว่าแค่คืนนี้คืนเดียว เพราะผมเป็นคนโลภมาก อยากได้เขาเป็นของผมคนเดียว ไม่อยากแบ่งเขาให้ใคร แต่จะให้ใช้เขาร่วมกับคนอีกหลายคน และต้องกลายเป็นแบบที่เมื่อชั่วโมงก่อนเคยพูดใส่หน้าพี่เลม่อนเอาไว้ หัวใจผมคงถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน

พอเขาถามหรือพูดอะไร ผมก็เอาแต่เงียบอยู่ใต้ร่างของเขา หรือเขาอาจจะคิดว่าความเงียบของผมคือคำยินยอมให้เขาทำอะไรก็ได้ตามที่เขาสรุปเมื่อกี้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดต่อ แต่ใช้มือดึงใบหน้าผมให้กลับไปหาเขา

ถึงแม้ดวงตาของผมจะซ่อนอยู่หลังเปลือกตาอย่างมิดชิด แต่ก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพียงแค่วินาทีเดียวริมฝีปากหนาของเขาก็กัดกินริมฝีปากผมอย่างอ้อยอิ่ง กระตุ้นความรู้สึกมากมายให้ถาโถม โดยเฉพาะจุดที่ไวต่อสัมผัสที่โดนเสียดสีไปพร้อมกัน

“ยังเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงทุ้มต่ำดังคลอชิดริมฝีปาก ก่อนเรียวลิ้นชื้นจะแทรกตัวเข้ามาภายในโพรงปากอย่างง่ายดาย เป็นผมเองที่เต็มใจ ไม่ต่างจากคนใจง่าย

ยามที่เรียวลิ้นของผมสัมผัสเกี่ยวพันกับลิ้นร้อนของเขานั้น ผมอยากให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้ หยุดอยู่แค่ว่าเขาจูบผมอย่างอ่อนโยน เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง มันเหมือนกับว่าเขาก็คิดถึงผมเหมือนกัน เขายังต้องการผม และผมเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับความรู้สึกรักจากเขา

ยิ่งผมหวังแบบนั้น ผมก็ยิ่งเต็มไปด้วยความปรารถนา กล้าที่จะเปลี่ยนจูบอ่อนโยนของเขาให้กลายเป็นความร้อนแรงแสนเร่าร้อน เกี่ยวกระหวัดเปลี่ยนลิ้นเข้าหากันด้วยความรู้สึกอยากกลืนกินจนไม่เหลือให้ใครได้มันไป แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวผมก็ไม่ยอม

ผมบุกรุก และเป็นผู้นำ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงทำแบบนี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมทำได้และดูเหมือนอีกฝ่ายก็พอใจมากทีเดียว แต่ก็เอ่ยประชดออกมาตอนที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่ผละออกจากกันเพื่อเต็มอากาศเข้าไปในปอด

“เก่งขึ้นเยอะเลยนะ” เสียงเขาติดจะหอบ แต่ผมหอบหนักยิ่งกว่า เพราะเราจูบกันนานมาก นานมากจริงๆ จนรู้สึกได้เลยว่าปากของตัวเองบวมเป่งไปแล้ว

“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง” ผมประชด เพราะคิดว่าคำถามของเขาก็เป็นคำประชดผมเหมือนกัน

“ไม่ดีหรอกพี” เขาส่ายหน้าช้าๆ ขณะที่มือจับชายเสื้อยืดดึงออกจากตัวผม โดยมีผมที่ให้ความร่วมมืออีกตามเคย ด้วยการไม่ขัดขืนได้ ได้แต่นอนมองหน้าเขาด้วยความร้อนของใบหน้าตัวเอง ความร้อนจัดที่ลุกลามไปจนทั่วร่างกาย

ทำไมผมไม่ขัดขืน

อย่าถามเลย ผมไม่มีคำตอบ มีแต่ร่างกายที่ยินยอมไปอย่างง่ายดาย มันเป็นไปตามความรู้สึกโหยหา นานเท่าไรแล้วที่ร่างกายผมไม่ถูกสัมผัสแสนอ่อนโยนของเขาโอบกอดเอาไว้

ไม่ใช่แค่เสื้อยืดที่ห่อหุ้มร่างกายส่วนบนพ้นออกจากตัว กางเกงที่ปกป้องร่างกายส่วนล่างไว้ก็ถูกดึงออกจากขาในเวลาไล่เลี่ยกัน ตอนนี้ตัวผมไม่เหลืออะไรเลยนอกจากผิวเนื้อที่ขึ้นสีระเรื่อ ทอดเรือนร่างที่แปลกไปจากเมื่อเก้าปีก่อนให้สายตาคมกริบโลมเลีย

ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมกำลังถูกสายตาสีราตรีที่เป็นประกายแวววาวจ้องโลมเลียให้รู้สึกถูกความปรารถนาเผาผลาญ ราวกับว่าเจ้าของมันกำลังเห็นของถูกใจ สายตาแบบนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อเก้าปีก่อนเลย เขาก็ใช้สายตาแบบนี้มองผม

“คุณบอกว่าไม่ชอบรูปร่างของผม” คำพูดของคนที่ใช้สายตาโลมเลียร่างกายผมไปด้วย และแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองไปด้วยนั้น ย้อนกลับเข้ามาในหัวของผม คืนนั้นที่บันไดของชั้นใต้ดินตรงมุมลับตาคน

เขาพูดว่า

‘รูปร่างแบบนี้ ไม่มีตรงไหนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากสัมผัส’

“...แต่ก็มองตาไม่กะพริบเลยนะครับ” ไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ก็นั่นแหละ ผมมั่นใจว่าเป็นอย่างที่ตัวเองพูดใส่หน้าพูดจริงๆ

“เมื่อไร?” คิ้วเข้มเลิกสูงเป็นเชิงปฏิเสธ เสื้อเชิ้ตพ้นจากลำตัวกำยำและร่วงลงไปกองพื้นข้างเตียงรวมกับเสื้อผ้าทุกชิ้นของผม

“วันที่ผมเอาน้ำส้มสาดหน้าคุณไง” ผมตอบอย่างหมั่นไส้ท่าทีแสนสบายของเขา พลางโน้มตัวลงมาหาผมอีกครั้ง อีกนิดเดียวปลายจมูกของเขาก็จะชนกับปลายจมูกของผม

“อ้อ... วันที่เธอจูบกับเมียคนอื่นงั้นเหรอ?” ยิ้มของเขาอยู่ใกล้เสียจนอยากจะผลักตัวเขาออกไป ทว่าสองมือของผมก็ทำได้แค่วางทาบไปบนแผ่นอกกว้าง ความอุ่นซ่านอยู่ภายใต้ฝ่ามือ

...ตัวเขาก็ร้อน ไม่ต่างจากผมเลย

“ตั้งแต่เมื่อไรพี ที่เธอชอบไปยุ่งกับเมียของคนอื่น” เขาถาม ริมฝีปากกลับไม่ได้อยู่ตรงหน้าผมเสียแล้ว มันเคลื่อนตัวลงไปอยู่แถวซอกคอเป็นที่เรียบร้อย เขาทั้งจูบ ทั้งดูด และกัด ถึงจะทำอย่างนั้นปากก็ยังเอ่ยคำพูดออกมาได้เรื่อยๆ “เธอรู้บ้างไหมพี ว่าฉันต้องเปลืองคำขอโทษมากแค่ไหน ต้องขอให้พวกนั้นไม่เอาเธอถึงตาย โทษฐานที่ไปยุ่งกับของรักของหวงของคนอื่น คราวหน้าจะทำอะไรให้คิดบ้าง” 

“ใครใช้คุณล่ะ...อื้ออ” ผมเถียงกลับ ไม่ทันไรก็ถูกลงโทษด้วยจูบหนักหน่วงที่ทำให้ความรู้สึกภายในพุ่งทะยาน สองมือของเขาบีบเคล้นไปตามร่างกายเปลือยเปล่าของผม ไล่ลงไปจนถึงจุดอ่อนไหวที่แข็งขืนจนปวดหนึบ สิ่งที่อยู่ภายในอัดแน่นรอเวลาไหลทะลัก ทั้งที่แค่เริ่มต้น ร่างกายของผมกลับตอบสนองสัมผัสของเขาได้รวดเร็วเหลือเกิน

สัมผัสที่คุ้นเคยกับอุ้งมือร้อนจัด... ที่ผมไม่เคยปฏิเสธได้เลย และไม่ปฏิเสธได้เลยว่าผมโหยหาสิ่งเหล่านี้จากเขาด้วยเช่นกัน

“พี...จำสัมผัสของฉันได้ไหม”

...ไม่เคยลืม ผมตอบคำถามของเขาโดยไร้เสียงพูด

“อ๊า...คุณ...ยะ...อืออ...” มือของเขาที่รูดดึงอย่างเป็นจังหวะทำผมหลุดเสียงครางอย่างห้ามไม่อยู่ แผ่นหลังกับบั้นท้ายแทบไม่ติดเตียง ทุกอย่างที่อยู่ในสายตาเริ่มพร่ามัว ขวาโพลนและแตกสลายอยู่ในกำมือของเขา

แผ่นหลังของผมกลับลงมาสัมผัสกับผ้าปูเตียงอีกครั้ง เสียงหอบหายใจของผมดังแรงฟ้องความสุขสมที่ถูกปลดปล่อยออกมา พอความขาวโพลนจางลง การมองเห็นเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นไปได้ผมก็อยากตาบอดชั่วคราว เพื่อจะได้ไม่ต้องมองเห็นรอยยิ้มของคนที่เหยียดกายตรงอยู่ตรงหน้า เขายิ้มจนตาพราวระยับ บ่งบอกว่าทั้งถูกใจ พอใจ และเย้าแหย่ความอ่อนด้อยของผม ที่แค่ใช้มือปลุกเร้า ผมก็สุขสมได้ในเวลาอันน้อยนิด

“เสียดาย” เขาเอ่ยออกมา

“...?” ผมมองตามสายตาของอีกฝ่าย จนไปเจอสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือ ไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าคืออะไร... ก็ความอ่อนด้อยของตัวผมเองไง ที่เขาใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ทำให้มันทะลักทลายออกมา แถมยังเยอะมากด้วยเพราะเป็นเดือนแล้วมั้งที่ผมไม่ได้นอนกับใคร ไม่ได้ช่วยตัวเองด้วย เพราะชีวิตช่วงที่ผ่านมาผมก็มีแต่ความทุกข์ใจจากการกระทำของคนร่วมเตียงในตอนนี้ ซ้ำยังต้องเร่งสะสางงานก่อนกลับไปอเมริกา... และตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถาวร

ไม่เข้าใจในคราวแรกว่าคุณยะพูดคำว่า ‘เสียดาย’ ออกมาทำไม เขาเสียดายอะไร มาเข้าใจก็ตอนที่ขาสองข้างถูกจับแยกจากกันและร่างร้อนผ่าวของอีกฝ่ายแทรกกายเข้ามาอยู่ตรงกลาง มือข้างที่สะดวกที่สุดเอื้อมขึ้นมาดึงหมอนใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างศีรษะผมลงไป ใช้มันรองสะโพกผมให้สูงขึ้น

“เสียดายที่ไม่ได้ชิม” ยิ้มร้ายกาจกับดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ มันทำให้ผมแทบลืมหายใจ ลืมแม้กระทั่งจะต่อต้าน หน้าของผมร้อนจัดจนคิดว่าอีกนิดคงได้มอดไหม้

“หน้าไม่อาย...” ผมดับกองไฟบนผิวหน้าด้วยคำด่า ที่คิดว่าตวาดไปสุดเสียงแล้ว กลับพบว่าเบาเหลือเกิน ยังกับว่าไม่หลุดออกมาจากลำคอเสียด้วยซ้ำ

เขาแค่ยกยิ้มที่มุมปาก ส่วนผมก็ได้แต่ทอดกายอ่อนล้าหลังการปลดปล่อยและมองดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

...อย่า

คำที่ควรจะหลุดออกมาจากริมฝีปาก ตอนที่นิ้วชุ่มลาวาสีขาวข้นแทรกตัวจากปากทางเข้าสู่ความคับแน่นภายใน มิหนำซ้ำยังไม่กล้าให้ความเจ็บปวดหลุดรอดออกมาจากลำคอ เพราะไม่อยากให้การกระทำที่พยายามจะนุ่มนวลที่สุดของเขาสะดุดลง แม้ผมจะเจ็บมากก็ตาม ก็น้ำรักของผม มันไม่ได้มีคุณภาพเทียบเท่ากับเนื้อเจลที่เป็นสารหล่อลื่นซะหน่อย

ในส่วนที่ลึกที่สุด ที่มันซื่อตรงที่สุดนั้น หวังไว้สูงมากว่าหากผมกับเขากลับมามีอะไรกันอีกครั้ง ความผูกพันที่เคยมีร่วมกันเหมือนอย่างในภาพวาดสีน้ำมันจากปลายพู่กันของศิลปินคนดังจะหวนกลับคืนมาได้ ผมหวังว่าร่างกายและช่องทางที่รองรับตัวตนของเขาเอาไว้ จะทำให้เขาหลงใหลและไม่ยอมปล่อยมือจากผม

“เจ็บเหรอ?” คำถามของเขาดึงผมออกมาความคิดที่เต็มไปด้วยความหวัง เพิ่งรู้ตัวว่ามือทั้งสองกำผ้าปูเตียงไว้แน่นทีเดียว   

ผมรีบส่ายหน้า ก่อนจะหลบสายตาที่มองมาอย่างหยอกเย้าในความต้องการที่ปิดไม่มิดของผม

...ผมต้องการเขา ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างจากเขา ทั้งการกระทำและความรัก

“ถ้าไม่เจ็บ” เขาพูดปนรอยขำ “ฉันจะเพิ่มทีเดียวสามนิ้วเลยนะ”

เขาแกล้งผม และยังคงแกล้งอย่างต่อเนื่อง เวลาแบบนี้ที่ทั้งเขาและผมต่างเหลือแค่ตัวเปล่าๆ ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นปกปิดร่างกาย เขาก็ยังมีอารมณ์สรรหาคำพูดมาทำให้ผมรู้สึกอับอาย

“หรือว่าแค่สามนิ้วมันไม่พอ ต้องมากกว่านี้หรือเปล่า” เขาไม่ได้แค่พูดแต่ทำไปพร้อมกัน จากที่มีแค่นิ้วเดียวที่แทรกตัวผ่านเข้ามาและทำให้ร่างกายผมเหมือนถูกจับแยกออกจากกัน ไม่ทันให้ผมได้ผ่อนความเจ็บปวดลง อีกสองนิ้วก็แทรกตัวเข้ามาแย่งพื้นที่คับแคบไปเสียแล้ว

“อึก...” เจ็บก็ยังต้องกัดฟันทน โทษใครไม่ได้เลย นอกจากตัวเองที่ต้องการสิ่งที่จะได้หลังผ่านความเจ็บปวดนี้ไป... ไม่ว่าใครก็ต้องการถูกคนที่เรารักโอบกอด ผมก็ด้วยเหมือนกัน

“ไหวหรือเปล่า” เป็นคำถามที่เอาไว้ใช้ให้ผมอับอายและท้าทายอยู่ในคราวเดียวกัน “ไม่ไหว ฉันจะได้หยุดทำ ไม่อยากรังแกเด็ก” ซึ่งก็ได้ผลเสียด้วย

“ก็ทำไปสิ!” ผมโพล่งออกไปอย่างเหลืออด ความร้อนบนผิวแก้มละลายไปกับคำพูดที่ชอบยั่วแหย่ให้ผมสิ้นความอดทน ก่อนสำทับลงไปอีกว่า “อย่าพูดมาก!! จะทำก็ทำไป ทำเสร็จเมื่อไร ผมจะได้กลับเสียที” เป็นคำพูดที่ไม่ตรงกับความต้องการในหัวใจเลย

“อยากไปก็ไปสิ ใครดึงขาเธอไว้ล่ะพี” เขาสวนกลับคำพูดของผมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนิ้วที่ถอนออกมาและทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า

ความรู้สึกตอนนี้เหมือนว่าตัวเองถูกโยนทิ้ง ไม่ต่างจากของไร้ค่า ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ใบหน้าที่ระบายด้วยสีแดงก่ำเมื่อครู่คงเหลือทิ้งไว้แค่สีซีดจาง ไม่ต้องมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ผมก็เดาสีบนใบหน้าของตัวและริ้วรอยความสิ้นหวังที่ระบายอยู่บนนั้นได้อย่างชัดเจน

ผมปิดเปลือกตาลงช้าๆ อยากเอาตัวลุกออกจากเตียง ใส่เสื้อผ้า และออกไปจากห้องให้เร็วที่สุด กลับไปร้องไห้ให้กับความไร้ค่าของตัวเอง แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตาม ที่ทำได้ในเวลานี้คือกลั้นก้อนสะอื้นไม่ให้หลุดออกมาฟ้องความไร้ค่าของตัวเองเท่านั้น

ห้ามเสียงของความเจ็บปวดได้ แต่กลับห้ามความอุ่นร้อนที่ไหลออกมาจากเปลือกตาที่ปิดสนิทได้เลย

“ฮึก...” สุดท้ายก็ห้ามไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งน้ำตา ทั้งเสียงสะอื้น

“ขี้แย” คำที่มาพร้อมกับร่างกายแข็งแกร่งที่โน้มลงมา ก่อนริมฝีปากหนามอบความหวานที่ทำให้สายน้ำตาหยุดไหลได้ในทันที 

ผมเผยอริมฝีปากรับเรียวลิ้นของอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ สองมือที่เคยจิกทึ้งผ้าปูที่นอนยกขึ้นมาโอบกอดแผ่นหลังหนาเอาไว้ ราวกับจะเหนี่ยวรั้งไม่ให้เจ้าของมันทอดทิ้งผมไปอีกครั้ง ไม่ใช่แค่จูบดูดดื่มที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือของเขาก็ร้อนแรงไม่ต่างกันเลย

สองมือร้อนๆ ปลุกเร้าร่างกายของผมอย่างช่ำชอง น้ำหนักมือที่ลงไปในแต่ละหนชวนให้แผ่นหลังกับบั้นท้ายไม่ติดกับที่นอนได้เสมอ

“อยากให้ฉันทำอะไรเธอ” เมื่อริมฝีปากผละออกจากกันก็มีคำถามตามมาทันที ลูกตาสีดำหวานฉ่ำที่ผมมองสบนั้น ราวกับว่ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังตอบคำถามนั้นออกไป

“อยากให้กอด”

“ตอนนี้ก็กอด”

“ไม่ใช่!” ผมเผลอตวาด แต่ก็รีบปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง เพราะกลัวจะทำให้เขาโมโห แล้วหยุดทุกสิ่งทุกอย่างลง “ไม่ใช่กอดแบบนี้”

“แล้วกอดแบบไหน” ตาเป็นประกายระยิบระยับ ฟ้องว่ากำลังถูกอกถูกใจที่ได้ต้อนผมให้จนมุมต่อความต้องการของตัวเอง

“ใส่เข้ามา” ผมหลับตากลั้นใจพูด ความร้อนบนใบหน้าทะลุดาวอังคารไปแล้วมั้ง

“น้องพีคนดี...อยากให้ฉันใส่อะไรเข้าไป” เสียงทุ้มหยอกเย้า ริมฝีปากแวะเวียนอยู่แต่กับผิวแก้มร้อนจัดของผม พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ย้ายไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวที่เริ่มปวดหนึบ แล้วก็บีบเค้นหนักบ้าง เบาบ้าง สลับกับรูดดึงปลุกอารมณ์ให้ปั่นป่วน ให้สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในนั้นทะลักออกมาอีกครั้ง 

“อืออ..คุณยะ...อย่าแกล้ง”

“ฉันไม่ได้แกล้ง”

บอกว่าไม่แกล้งแต่กลับหยุดมือ ทิ้งขว้างอารมณ์ของผมอย่างไม่ไยดี ความทรมานที่ไต่สูงขึ้นกลายเป็นน้ำตาที่ไหลออกมา

“ฮึก...คุณยะ...” พอผมจะดับความทรมานด้วยมือของตัวเอง อีกฝ่ายก็รวบมือผมไว้ด้วยมือข้างเดียว มัดอิสรภาพของมันไว้บนหน้าท้องที่เกร็งแน่นของผม “...ฮึก...ปล่อยผม...ผมไม่ไหวแล้ว...อา...”

ความรู้สึกทรมานกำลังวิ่งพล่านหาทางออก

“บอกฉันมาก่อน” ริมฝีปากของเขาประทับลงมาบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อจากความทรมานที่หาทางออกไม่เจอ “...ว่าเธอรักใคร”

“รักคุณยะ” ผมตอบออกมาอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ไม่ใช่เอาใจเขา หรือหวังให้เขาปลดปล่อยผมออกจากความทรมานที่คับแน่นอยู่ภายในแก่นกายที่เหยียดตรง แต่มันเป็นคำตอบเดียวที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผม “น้องพีรักคุณยะ...คนเดียว”

มีแค่เขาคนเดียวที่เป็นคำตอบของคำถามนี้ ผมไม่เคยรักใครนอกจากเขา เคยรักยังไงก็ยังรักเหมือนเดิม เวลาเกือบสิบปีไม่เคยทำให้ผมหยุดรักคนคนนี้ได้เลย

“คนดี” เสียงทุ้มนุ่มนวล “ฉันก็เหมือนกัน”

เหมือนกัน!

คำคำนี้ทำเอาดวงตาที่พร่ามัวด้วยความทรมานเบิกกว้าง ผมเห็นความรักในดวงตาสีราตรีลึกล้ำ แต่เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วินาที ก่อนภาพนั้นจะขยายใหญ่จนมองไม่เห็นอะไร นอกจากสัมผัสร้อนแรงที่กวาดต้อนอยู่ภายในอุ้งปากตัวเอง ผมตอบรับเรียวลิ้นที่เข้ามาพัวพันอย่างร้อนแรงไม่ต่างจากอีกฝ่าย รู้สึกว่าใส่ทั้งความรักความหลงใหลไปในรสชาติหวานล้ำนี้ด้วย

ส่วนล่างก็ได้รับการปรนเปรออย่างที่สุดด้วยมืออุ่นร้อนแสนชำนาญ ที่ดึงรั้งให้ผมทะยานขึ้นสูง ร่างกายร้อนผ่าวจวนเจียนปริแตกในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

“ผม...อ๊ะ...รักคุณ...ยะ...” ในสติที่พร่าเลือนเพราะความเร่าร้อนในกายที่ไต่สูง สิ่งที่หลุดออกมานอกริมฝีปากคงมีแค่เสียงครางพร่าสั่นตามแรงอารมณ์ที่โหมไหม้ ก็มีแค่คำของหัวใจที่ร่ำร้องเรื่อยมา

“ฉันรู้” เสียงทุ้มขานรับ ริมฝีปากของเขาวนเวียนอยู่ผิวแก้มและริมฝีปาก ขณะที่มืออุ่นร้อนเร่งเร้าด้วยความเร็วและแรงจนกระทั่งถึงจุดที่ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป

“คุณยะ...อ๊ะ...อ่า...” ร่างกายเกร็งแน่นก่อนจะปลดปล่อยลาวาสีขาวขุ่นออกมา ผมเหนื่อยไม่ต่างจากวิ่งมาหลายสิบกิโลเมตร ทิ้งร่างแนบไปกับเตียงนอนอย่างไรเรี่ยวแรง คิดว่าผ่านช่วงทรมานแสนสุขสมไปแล้ว ผมคงได้พักให้ลมหายใจกลับมาเป็นปกติเสียก่อน แต่ก็คิดผิด เมื่อร่างกายหนายกตัวจากไป ต่อมาสะโพกผมก็ถูกยกขึ้น รับรู้ถึงปลายนิ้วแข็งแกร่งที่ชุ่มน้ำรักของตัวเองแทรกตัวเข้ามาภายในช่องทางคับแคบทีละนิ้ว ทว่าช่วงเวลาที่เพิ่มเข้ามานั้นห่างกันแค่ไม่กี่วินาที

“อึก!...คุณยะ...ผมเจ็บ...” ทั้งเจ็บทั้งจุก น้ำตาพานจะไหล คล้ายได้ยินเสียงปากทางรักฉีกขาดอีกด้วย อีกฝ่ายก็คล้ายจะอ่านความคิดผมออก ถึงได้เอ่ยบอกออกมาว่า

“ฉันไม่ทำให้เธอมีแผลหรอก” เสียงนั้นทุ้มหวานปนไปกับอารมณ์ร้อนแรงของร่างกายกำยำ ตัวผมปลดปล่อยไปแล้วสองครั้ง ส่วนความแข็งแกร่งและร้อนระอุของเขายังคงอัดแน่นอยู่อย่างนั้นและยังไม่ได้รับการปลดปล่อย

“อะ...อ่า...” ผมกัดฟันทน จิกเล็บลงบนเตียงนอน รับรู้ถึงนิ้วแข็งๆ ที่หมุนวนอยู่ภายในช่องทางด้านหลัง จากนั้นความเจ็บปวดก็เริ่มจางลง จนเปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่ที่ฉุดให้ส่วนกึ่งกลางตัวกลับมาอึดอัดอีกครั้ง

“คนดี” จุมพิตเบาๆ บนหน้าผากชื้นเหงื่อ แล้วผละออกไป ก่อนนิ้วทั้งหมดจะถูกถอนออกแล้วแทนที่ความว่างเปล่าทั้งหมดด้วยตัวตนแข็งกร้าวและร้อนระอุด้วยสิ่งอัดแน่นอยู่ภายในที่เสียบแทงเข้ามาอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าทั้งหมดที่เขามีด้วย

“อ๊ะ!!...อืออ...” น้ำตาผมร่วงทันทีที่ถูกบุกรุกรวดเดียวจนมิด ร่างกายร่วงหล่นสิ้นเรี่ยวแรงเพราะความเจ็บที่โถมเข้ามา ทำเอาลมหายใจขาดหาย คล้ายจะตายเสียให้ได้

“สั่งสอน” เขาโน้มตัวลงมาหา “อย่าเอาของของฉันไปให้ใครชื่นชม... ตรงนี้เป็นของฉันคนเดียว” ท้ายประโยคเขาลงเสียงกร้าว และย้ำว่า ‘ตรงนี้’ คือตรงไหน ด้วยการถอนตัวตนแข็งกร้าวออกมาจากช่องทางคับแคบ ก่อนจะกระแทกกลับเข้าไปอย่างแรงจนตัวผมพุ่งไปข้างบน สองมือของผมยกขึ้นกอดแผ่นหลังกว้างโดยอัตโนมัติ จิกเล็บลงบนผิวกายร้อนจัดนั้น

“อ๊ะ...” เจ็บจุกจนร้องไม่ออก น้ำตาไหลเป็นทางยาวจากหางตา

“เธอเป็นของฉัน” เขาย้ำลงมาอีก การกระทำเบื้องล่างไม่ต่างจากบทลงโทษ ทว่าน้ำตาที่ไหลเพราะความเจ็บปวดที่ถูกเสียบแทงเข้ามานั้นกลับได้รับการเอาอกเอาใจจากริมฝีปากที่จูบซับอย่างอ่อนโยน “...เป็นของฉันได้แค่คนเดียว”

“แล้ว...อึก...คุณยะ...อ๊า...ล่ะ...อ่า...เป็นของ...น้องพีคนเดียว...ได้ไหม...” ตัวตนร้อนระอุที่เคลื่อนไหวเป็นจังหวะหนักหน่วงทำให้เอ่ยแต่ละคำออกมาได้อย่างยากลำบาก ซ้ำยังถูกปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงครางที่เกิดจากเจ็บจุกและสุขสมอีกด้วย

“แน่นอนพี”

.

.

.

อ่านต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ i_ang

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-0
    • เพจนิยาย
คำถามของผมได้รับคำตอบแรกเป็นดวงตาสีราตรีที่จ้องลึกเข้ามาในหน่วยตาของผม มันจริงจัง จนมองไม่เห็นคำโกหกที่แอบซ่อนอยู่ในนั้น ที่เห็นมีเพียงความลึกซึ้งที่ผมเฝ้าฝันถึง ปรารถนาจะได้มาครอบครอง

...หัวใจของเขา ความรักของเขา และตัวของเขา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมอยากได้ อยากเอามาเก็บไว้เป็นของของตัวเอง ของที่ไม่ยอมให้ใครแย่งเอาไป

“ฉันเป็นมาตลอด” และนี่คือคำตอบที่เอ่ยตอกย้ำลงมาให้น้ำตาผมรินไหล น้ำตาของความสุขที่มีเพียงแค่คนคนนี้เท่านั้นที่มอบให้ผมได้

“คุณยะ...ฮึก...ฮื่ออ...” ผมปล่อยโฮออกมาได้แค่นิดเดียว ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจัดจะแนบแน่นลงมา เรียวลิ้นแทรกสอดเข้ามาพัวพันอย่างรุนแรงและเร่าร้อน ผมตอบสนองไปเท่าที่หัวใจปรารถนา รุนแรง ดุเดือด จนเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างต้องการที่จะเอาทั้งปากและลิ้นของอีกคนเข้าไปในท้อง

เหมือนการสู้รบที่ไม่ต้องการชัยชนะ แท้จริงมันคือความโหยหาอย่างมากที่สุด มากเสียจนผมปลดปล่อยเป็นครั้งที่สามเพียงเพราะจูบที่ยาวนานและช่วงชิงความอดทนอดกลั้นของผมไปจนสิ้น

“อึก...คุณ...ยะ...อ๊า...อา...” ผมสิ้นเรี่ยวแรงเป็นหนที่สาม อายจนไม่รู้จะอายอย่างไรแล้วที่ไปก่อนเขาถึงสามรอบ ยิ่งถูกเขามองด้วยรอยยิ้มแต้มแต่งบนใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาแล้วด้วย หน้านี่แทบระเบิด

“รักฉันมาก” เขาพูดยิ้มๆ พลางเหยียดแผ่นหลังตั้งตรง

“อื้ออ...รัก...รักมากที่สุด” ผมตอบด้วยน้ำเสียงโรยแรง ขณะที่ขาของตัวเองทั้งสองข้างถูกดันขึ้นมาจากที่นอน ก่อนมันจะถูกกดลงมาแนบหน้าท้องจนถึงแผ่นอก สะโพกลอยเด่นเพื่อรองรับตัวตนที่เริ่มขยับอีกครั้งด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือเฟือของคนด้านบน

“ฉันก็รักเธอพี”

ผมยิ้มให้กับคำบอกรักนั้น นานกว่าที่ยิ้มของผมจะจางลง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความสุขสมที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก ดังปะปนไปกับแรงกระแทกกระทั้นของท่อนลำร้อนจัด เนื้อตัวของผมสั่นคลอนไปกับส่งที่เติมเต็มเข้ามาอย่างไม่ออมแรง ไม่กี่นาทีตัวตนอ่อนแรงก็ลุกไหม้ขึ้นมีอีกรอบ มันเสียดสีอยู่กับหน้าท้องแกร่งของคนที่โน้มตัวลงมาดูดดึงยอดอกของผม สร้างความเสียวซ่านไปทั้งร่าง สะท้านแล้วสะท้านอีก

“คุณยะ...อ่า...คุณ...ยะ...อะ...คุณยะ...” ผมได้แต่พร่ำชื่อของเขาออกมา เรียกเหมือนกับว่าผ่านคืนนี้ไปแล้วชื่อนี้จะกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ที่นึกถึงทีไรน้ำตาต้องไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

“คนดี...อืม...” ร่างกายหนาเกร็งกระตุกก่อนที่ช่องทางจะรับรู้ถึงสายน้ำรักที่พุงกระทบผนังนุ่มอย่างเต็มเรี่ยวแรง และยังคงฝากฝังคำหวานเข้าสู่หัวใจของผมอีกระลอกหนึ่ง “...ฉันรักเธอ”

“ผมก็รัก...อ๊ะ...อ๊า...อื้อออ” แล้วผมก็ตามเขาไปติดๆ เสียงกรีดร้องถูกกลืนกินโดยริมฝีปากหนา ร่างของคุณยะที่ชุ่มด้วยเม็ดเหงื่อทาบทับลงมา

ตัวของคุณยะหนักกว่าผมมาก ทับลงมาก็เหมือนว่าตัวเองจะบี้แบนจมลงไปเป็นพื้นเดียวกับเตียงนอน ทว่ากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดจนต้องร้องโอดโอย ที่ความรู้สึกร่ำร้องอยู่ตอนนี้คืออยากหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ตรงนี้ได้ไหม ตรงที่ผมมีความสุขมากที่สุด ให้ผมได้กอดเขาอย่างในตอนนี้ตลอดไป

แต่คงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือกับผมเลย

“...!” ผมอยากจะเบิกตาโพลงกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น แต่เรี่ยวแรงที่กลับมาไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบไม่เอื้ออำนวยให้อวัยวะของร่างกายทำงานได้เต็มที่ ได้แต่นอนตัวอ่อนปวกเปียกให้คนที่เรี่ยวแรงมีเหลือล้นจับตัวผมพลิกคว่ำ ใบหน้าซุกลงไปกับหมอนใบใหญ่ สะโพกถูกบังคับให้โค้งโด่งขึ้นในระดับที่คนด้านหลังพึงพอใจ

“อ๊า!!” แม้ช่องทางรักจะผ่านบทรักมาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งภายในยังหลงเหลือลาวาสีขาวข้นของเขา ทว่าการใส่เข้ามาแบบรวดเดียวจบก็สร้างความปวดร้าวได้อยู่ดี

“ครั้งเดียวมันไม่พอหรอกพี”

นั่นสิ ครั้งเดียวไม่เคยพอ ไม่ใช่แค่เขา รวมทั้งผมด้วย

..................................................

และเมื่อครั้งสุดท้ายเดินทางมาถึง ผมก็ยิ่งกว่าคนเป็นโรคร้ายใกล้ตายในอีกสองนาทีข้างหน้า สองขาไร้เรี่ยวแรงหยัดยืนตั้งรับกับน้ำหนักตัวของตัวเอง ลงจากเตียงได้ก็เพราะวงแขนที่แข็งแรงยิ่งกว่าเหล็กอุ้มพาไปทำความสะอาดเนื้อตัวจากคราบต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่ก่อนจะได้ล้างเนื้อล้างตัว ล้วงเอาสิ่งที่ชุ่มฉ่ำอยู่ในช่องทางบวมช้ำนั้นได้ ผมก็ต้องทำครั้งสุดท้ายกับเขาภายใต้สายน้ำเย็นชืดที่ไหลรดอยู่นานสองนาน

“คุณยะ...” ผ่านไปหลายนาทีหลังจากถูกอุ้มออกมาจากห้องน้ำ ผมซุกกายอยู่ในวงแขนของเขา แนบใบหน้าไว้กับอกอุ่น “แล้วพรุ่งนี้...”

ผมจะถามเจ้าของอกแสนอุ่นนี้ว่า ‘แล้วพรุ่งนี้เรื่องของเราจะเป็นยังไงต่อไป เขาตัดสินใจทิ้งพี่เลม่อนแล้วมาดูแลผมแล้วใช่ไหม’

แต่เขากลับหยุดยั้งคำถามของผมเสียก่อนที่จะทันได้เอ่ยออกมา

“พรุ่งนี้ก็ให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้” เขากระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่เหนือศีรษะ ริมฝีปากแนบจูบลงมาและค้างไว้อย่างนั้น หัวใจของผมอุ่นเหลือเกิน “แค่จำเอาไว้ว่าฉันรักเธอ ไม่เคยรักใครนอกจากเธอคนเดียว”

“ครับ...ผมจะจำ” หัวใจผมคลุ้งไปด้วยกลิ่นของความรักผสมกับความสุข หอมหวานและเอ่อล้นภายในอกที่พองฟู

ผมชอบ... ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า ‘หลงใหล’ ในคำบอกรักของเขาเหลือเกิน จนลืมไปแล้วว่าตัวเองถูกหลอกด้วยคำพูดนี้มากี่ครั้ง เจ็บปวดมากี่หน

ผมไม่เคยจำเลยจริงๆ

ทั้งที่เหนื่อยล้าเหมือนคนใกล้ตาย แต่ผมก็ยังข่มตาให้หลับไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าหากเผลอหลับ ตื่นขึ้นมาจะพบว่าความสุขทั้งหมด ความรักที่หอมหวาน ที่ตลบอบอวลอยู่เต็มห้องสี่เหลี่ยมนี้จะเป็นเพียงฝันหวาน

เพราะประสาทสัมผัสทุกอย่างของผมยังคงตื่นอยู่ ผมจึงรับรู้ถึงการขยับกายของอีกฝ่ายที่ไม่ใช่เพื่อจะกอดผมเอาไว้จนถึงเวลาที่ท้องฟ้าสว่างโร่ หากแต่เป็นการขยับแผ่วเบาเพื่อไม่ให้ผมรู้ตัวว่าเขากำลังจะทำอะไร

ท่อนแขนของเขาค่อยๆ ละออกจากตัวผมอย่างเชื่องช้า ไม่ให้การเคลื่อนไหวเป็นการปลุกผมให้ตื่น พอเป็นอิสระจากผม ร่างหนาก็ก้าวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เดินไปที่ประตู เปิดมันและเดินออกไป โดยไม่รู้ว่ามีผมเดินตามไปกับเขาด้วย เพียงแต่หยุดลงแค่ที่ประตู เปิดแง้มและมองตามแผ่นหลังของเขาไป

ท้องฟ้าที่ใกล้เปลี่ยนสีทำให้ผมเห็นร่างเงานั้นได้พอสมควร เขากำลังเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง เพียงแค่เปิดประตูบานใหญ่ ร่างของเขาก็ถูกใครอีกคนหนึ่งโผเข้ามากอด จากนั้นก็พากันหายเข้าไปในห้อง

ผมเดินกลับมาที่เตียง ทิ้งตัวลงนอน และรอคอย จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนสี ไม่เหลือความดำมืดอีกต่อไป แสงสีนวลลอดผ่านหน้าต่างหลายบานที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน... เขาก็ยังไม่กลับมา

ผมไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว แม้แต่น้ำตาก็ไม่กล้าปล่อยให้มันไหล ฟ้องความโง่ของตัวเอง เจ็บกี่ครั้งก็ยังพร้อมจะเจ็บครั้งใหม่อยู่เสมอ ทั้งที่ไม่อยากคิดอะไร แต่มันก็หยุดคิดไม่ได้ คำพูดมากมายของเขายามที่ทอดตัวลงมาเป็นของผม... คืออะไร?

คำหลอกลวงอย่างนั้นเหรอ?

ทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร?

ผมก็ได้แต่ตั้งคำถาม แต่ไม่อยากหาคำตอบอะไรทั้งสิ้นแล้ว

พอกันที!

ไม่รู้ว่าผมต้องพูดคำนี้อีกกี่ร้อยครั้งในเมื่อทำอย่างไรผมก็แพ้ให้กับคุณยะตลอด ไม่เคยเข้มแข็งได้จริงเลยสักที จำนวนปีไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนไปเลย ไม่ทำให้ผมฉลาดขึ้นมาเลย และต่อให้พยายามมากแค่ไหน ผมก็คิดว่าผมสู้คุณยะไม่ได้เลย สู้กับความใจร้ายของเขาไม่ได้เลยจริงๆ

..................................................................................

ผมยืนมองประตูห้องของคุณยะอีกครั้ง ในสภาพที่จิตใจเข้มแข็งกว่าเมื่อสองชั่วโมงก่อน ประตูยังคงปิดสนิท ไร้วี่แววว่าจะมีใครผลักมันออกและโผล่มาให้ผมเห็น ผมยืนมองประตูบานนั้นเกือบสิบนาที จนแน่ใจแล้วว่าคงจะไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ผมหวัง

หึ! แล้วผมยังหวังอะไรอีก

สุดท้ายผมก็สามารถสั่งปลายเท้าให้ก้าวลงจากเรือนได้เสียที

พอกันที!

‘เลิกโง่เสียทีพี’

ผมย้ำคำคำนี้อีกครั้ง เพื่อให้ตัวเองเชิดหน้าเดินต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว

แต่แล้วปลายเท้าของผมก็สะดุดลงเมื่อเดินมาเกือบถึงบ้านเรือนไทยของอาภา สายตามองไปเห็นอาภากับพี่แอลอยู่ด้วยกัน อะไรบางอย่างกระซิบให้ผมรีบเอาตัวเองไปซ่อนอยู่หลังพุ่มต้นไม้ที่บดบังผมจากสายตาคนทั้งสองได้อย่างพอดี

มันจะไม่มีอะไรแปลกเลยสักนิดระหว่างผู้หญิงสองคน

ถ้า...พี่แอลจะไม่เอื้อมไปเด็ดช่อดอกโมกพวงสีขาวบริสุทธิ์ แล้วนำมาทัดหูให้อาภา

ถ้า...อาภาจะไม่ยิ้มหวานและใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ

และถ้า...คนทั้งคู่จะไม่ยิ้มให้กัน ก่อนเดินจูงมือกันขึ้นเรือน

ผมรู้ว่าผู้หญิงที่เป็นเพื่อนกันส่วนมากก็ชอบเดินจับมือกัน ไม่ต่างจากเพื่อนผู้ชายที่เดินกอดคอกัน แต่สำหรับกรณีของอาภากับพี่แอลไม่ใช่เพื่อนกัน ผมว่าทั้งสองไม่ใช่เพื่อนกันอย่างแน่นอน และความรู้สึกของผมมันบอกว่า มีเพียงความสัมพันธ์เดียวเท่านั้นที่ทำให้ทั้งคู่เดินจับมือกันและเด็ดดอกไม้ทัดหูให้กัน มองหน้ากันแล้วยิ้มเขินอาย

รักกัน?

รักกันอย่างนั้นเหรอ?

แล้วเรื่องหมั้นกับคุณยะล่ะ?

ผมยืนมองคนทั้งคู่ที่เดินขึ้นเรือน จนมองไม่เห็นแผ่นหลังของผู้หญิงสองคนนั้นแล้ว ขณะที่สมองผมก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็วกับความสัมพันธ์ที่มันขัดกัน

ถ้าอาภากับพี่แอลรักกัน แล้วความสัมพันธ์ของคุณยะกับพี่แอลล่ะ ผมเชื่อว่าอาภาไม่ทรยศพี่ชายตัวเองหรอก

ถ้าอย่างนั้น... หรือว่าการหมั้นหมายเป็นแค่เรื่องหลอกลวง

ต้องใช่แน่ๆ

เรื่องมันก็แค่โกหก แต่โกหกไปเพื่ออะไร?

...........................................................................

ตอนที่ผมเดินลงจากเรือนคุณย่าหลังจากขึ้นไปกราบลาท่าน พร้อมกับปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเรื่องที่ท่านชวนให้กินข้าวเช้าด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่คุณย่าก็รู้ว่าเป็นคำโกหก ผมบอกท่านว่ามีงานด่วนเข้ามาต้องรีบกลับไปทำ ก็เจอเข้ากับทานตะวันกับถิร ทั้งสองขับรถเข้ามาจอดและเปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็ว

ทานตะวันวิ่งเข้ามากอดผมด้วยความดีใจ ยิ้มหน้าบานเลยที่เห็นผมกลับมาที่บ้านของครอบครัวตรัยธาดา

“หื้อออ... คิดถึงพี่พี” เจ้าตัวขี้อ้อนเหมือนเด็กแต่ตัวสูงเป็นผู้ใหญ่ (เพราะความเป็นลูกครึ่ง) พูดเสียงเล็กเสียงน้อย สองมือกอดผมไว้แน่นเลยทีเดียว “ซันว่าจะมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่แซนไม่ยอมให้ซันกลับมา แถมยังมัดมือมันเท้าซันด้วยนะ” เจ้าตัวฟ้อง พลางคลายอ้อมแขนออกจากตัวผม จากนั้นก็ตวัดสายตาไปมองค้อนคนเป็นน้อง

“ก็มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ซันจะยุ่งทำไม” คนเป็นน้องว่า ก่อนที่สองมือจะยกขึ้นไหว้ผม “สวัสดีครับพี่พี”

“อ้าว ซันดีใจเกิน ลืมไหว้พี่พีเลย” คนเป็นพี่พูดแล้วก็ยกมือไหว้ผม ไหว้ผมเสร็จก็หันไปเถียงน้องชายเรื่องที่โดนว่าเมื่อกี้ “เค้าก็เป็นผู้ใหญ่เหมือนกันนะ มีแต่ตัวเองนั่นแหละที่ชอบว่าเค้าเป็นเด็ก ถ้าเค้าเด็กตัวเองก็เด็กกว่าสิ เกิดหลังเขาตั้งหลายนาที” ทานตะวันชอบยกเอาเรื่องเกิดก่อนเกิดหลังมาพูดข่มตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองเป็นพี่และเกิดก่อนน้องชายตัวเองห้านาทีนั่นแหละ

คนเป็นน้องไม่เถียงกลับ ผมว่าเป็นเพราะถิรเห็นว่าไม่มีประโยชน์จะเถียงกับคนที่เอาแต่ใจตัวเองและชอบใช้เรื่องที่เกิดก่อนมาข่มได้ตลอดเวลา

พอคนเป็นน้องไม่เถียง คนเป็นพี่ก็ยิ้มร่าอารมณ์ดีขึ้น ถึงได้หันกลับมาหาผม

“พี่พีจะกลับแล้วหรือครับ แล้วพ่อยะล่ะ ไหนว่าดีกันแล้ว” เจ้าตัวทำหน้าสงสัย แต่ผมไม่ตอบ แล้วเปลี่ยนไปพูดอีกเรื่อง

“ซันขับรถไปส่งพี่ที่คอนโดฯ หน่อยนะ” ผมเลือกทานตะวันเพราะเหตุผลบางอย่าง และด้วยเหตุผลเดียวกันผมถึงได้ย้ำไปอีกว่า “แซนไม่ต้องนะ”

“เย้ๆ งั้นวันนี้ซันขอนอนที่คอนโดฯ พี่พีนะครับ นอนห้องพีพี่ด้วย”

“ได้” ผมตอบ แฝดพีดีใจหน้าบาน ส่วนแฝดหน้าขมวดคิ้วนิดๆ พลางเอ่ยท้วง

“แต่ซับขับรถไม่แข็งนะครับพี่พี” สีหน้าเป็นกังวล

“พี่ขับก็ได้” ผมบอก แต่สีหน้าของถิรยังไม่ลดความกังวลลง

“ใช่ๆ ให้พี่พีขับเนอะ ซันนั่ง แล้วก็นอนที่คอนโดฯ พี่พีเลย ส่วนแซนพรุ่งนี้ก็ขึ้นแท็กซี่มาหาเค้าละกันนะ” คนเป็นพี่สรุปอย่างรวดเร็ว แล้วก็เยาะเย้ยน้องชายตัวเองไปด้วย “อิจฉาละซี่ที่ไม่ได้นอนกับพี่พีแบบเค้า”

ทานตะวันไม่รู้เลยว่าน้องชายตัวเองไม่ได้อิจฉาหรอก แต่เป็นเพราะไม่อยากให้คนที่เก็บความลับอะไรไม่ค่อยได้อยู่กับผมตามลำพังโดยไม่มีตัวเองค่อยห้ามปรามก็เท่านั้น

“ซัน” ผมเรียกชื่อคนที่นั่งบนเบาะข้างคนขับและจ้อไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นมานั่งในรถ เมื่อรถวิ่งพ้นประตูรั้วบ้านตรัยธาดาออกมาได้ “อาภากับพี่แอลเป็นอะไรกันเหรอ?”

“ก็เป็นแฟนไงครับ” ทานตะวันตอบคำถามด้วยท่าทีที่เป็นปกติ เหมือนบอกเล่าเรื่องทั่วไป ก่อนที่เจ้าตัวจะเบิกตากว้าง ใบหน้าซีดขึ้นมาทันที เอ่ยปากถามออกมาด้วยเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ...พี่พี...ยะ...ยังไม่รู้...หรือครับ ผมนึกว่า...” เจ้าตัวพูดค้างไว้แค่นั้น แล้วสองมือก็ยกขึ้นมากุมขมับตัวเอง

ผมมองภาพนั้นแค่แวบเดียวก่อนดึงสายตากลับไปยังทางด้านหน้า เพราะทานตะวันเป็นเด็กที่ไม่มีความซับซ้อน ไม่คิดเยอะ ไม่เหมือนถิร ผมถึงได้เลือกที่จะให้แฝดพี่มากับผมและไม่ให้แฝดน้องตามมาด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงจะล้วงความลับอะไรไม่ได้

ความสัมพันธ์ของอาภากับพี่แอลเป็นแบบที่ผมคิดไว้จริงๆ ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเปล่า แต่จะดีใจได้จริงเหรอ ในเมื่อคุณยะก็ยังไม่ยอมปล่อยพี่เลม่อนไปจากชีวิต

“พ่อยะกับแซนต้องเอาซันตายแน่ๆ” เจ้าตัวคร่ำครวญ “แซนก็นึกว่าพี่พีรู้ตั้งแต่เมื่อวานซะอีก”

“ไม่เห็นมีใครบอกอะไรพี่” ผมพูด แล้วถามต่อ “แล้วเรื่องหมั้นคืออะไร?”

“งื้อออ...พี่พี อย่าถามซันได้ไหม ซันไม่อยากโดนพ่อยะดุนะ แล้วซันก็จะโดนแซนว่าด้วย”

“ทุกคนรู้เรื่องที่อาภากับพี่แอลเป็นแฟนกันใช่ไหม” คนถูกถามปิดปากเงียบ ผมอาศัยจังหวะที่รถจอดติดไฟแดงในเช้าวันอาทิตย์ หันไปมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามย้ำอีกครั้ง “ทุกคนรู้ใช่ไหม”

ทานตะวันทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เม้นริมฝีปากเกือบจะเป็นเส้นตรง ก่อนพยักหน้าเบาๆ ทำท่าจะร้องไห้ก็ไม่ปาน

“แล้วเรื่องหมั้นคืออะไร ทำไมพ่อยะของซันถึงหมั้นกับพี่แอล” ผมถามอีก ครั้งนี้ทานตะวันส่ายหน้า แล้วก็รีบยกมือขึ้นปกหน้าเพื่อจะได้ไม่เห็นสายตาคาดคั้นของผม “ซันตอบพี่มา ไม่งั้นพี่ไม่ให้นอนด้วยนะ”

คนถูกขู่เงยหน้าขึ้นมาทันที ตาแดงหน่อยๆ

“หื้อออ...พี่พีอย่างขู่ซันสิ” ว่าแล้วก็ทำปากยู่ บ่นงึมงำกับตัวเองว่า “โดนทั้งขึ้นทั้งล่องเลย ตายแน่ๆ”

“บอกมาซัน” ผมลงเสียงหนัก หันกลับไปมองทางตามเดิม เมื่อสัญญาณไฟใกล้เปลี่ยนสี

“พี่พีอยากเห็นซันโดนพ่อยะตีเหรอ พ่อยะตีเจ็บนะ”

“ไม่ต้องมาโกหก พี่รู้ว่าพ่อยะของซันไม่ตีซันหรอก” ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหลังจากที่ผมหนีไปอเมริกานะ ตอนที่ผมยังอยู่กับครอบครัวตรัยธาดา ก็ไม่เคยเห็นคุณยะตีลูกแฝดของตัวเองเลยสักครั้ง

“รู้อีกแน่ะ” เจ้าตัวพึมพำ เสร็จแล้วก็เพิ่มระดับเสียงเป็นปกติ “ซันตอบก็ได้ คือซันไม่รู้อะไรหรอกนะครับพี่พี อยากจะถามพ่อยะเหมือนกัน แต่ว่าแซนไม่ให้ถาม แซนบอกว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กห้ามยุ่ง”

“เหรอ?” ผมเหลือบมองหน้าแฝดผู้พี่นิดหนึ่ง ลูกตาสีน้ำตาลแดงไม่มีแววหลุกหลิกฟ้องว่าโกหกอะไรผม และผมก็พอจะรู้ว่าเด็กแบบทานตะวันไม่ชอบพูดโกหกหรอก

“อืม” เจ้าตัวพยักหน้ารัวๆ “ซันรู้แค่ว่าพ่อยะรักพี่พีมากๆๆๆๆๆ” คำพูดสุดท้ายเจ้าตัวย้ำรัวราวกับจะให้ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

‘ฉันก็รักเธอพี’

‘...ฉันรักเธอ’

‘แค่จำเอาไว้ว่าฉันรักเธอ ไม่เคยรักใครนอกจากเธอคนเดียว’


คำหวานของค่ำคืนที่ผ่านมาดังรัวอยู่ในหัวของผมเช่นกัน

เวลานั้นผมเชื่อ แต่ตอนนี้ผมอยากจะเอามันไปโยนทิ้งที่สุดขอบฟ้า หากแต่ว่าผมก็ยังเก็บมันกลับมาด้วย

จบตอนที่ 34
คุยกันหน่อยน้า
ด่าคุณยะกันได้เต็มที่เลยน้า
แต่บางทีคุณยะอาจจะแค่เดินเข้าไปคุยกับเลม่อนเฉยๆ ก็ได้....มั้งงงง
น้องพีเข้าใจผิดไปเอ๊งงงงงงงงงงงงงงงงง
ผ่านตอนนี้ไปให้ได้นะคะ ตอนหน้า 35 คลี่คลายและกลับมารักกันแล้ว
ตอนที่ 35 นี่ก็ไม่ต่างจากตอนจบ
ส่วน 36 กับ 37 เป็นเหมือนสะเก็ดดาวหางเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเองค่า
สีเหลืองอ่อน
ปล. นี่ก็ใกล้จบแล้ว ใจหายเนอะ
ย้ำอีกทีมุมมองของคุณยะจะบอกเล่าในเล่มหนังสือนะคะ
ส่วนถ้าจบเรื่องแล้ว
ใครยังสงสัยตรงส่วนไหน ทิ้งโน้ตเอาไว้เลยน้าคนเขียนจะเอาไปตอบให้ในหนังสือ
จะฝากด่า ฝากว่าอะไรคุณยะก็ได้เลย
เดี๋ยวจะให้คุณยะกับน้องพีมาตอบคำถามให้นะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2019 01:17:54 โดย i_ang »

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เฮ้อออออ อยากให้พีไปเริ่มใหม่สักที

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
ผู้ชายแบบยะ มันน่าแย่งน่ารักตรงไหนหรอ
ไม่อยากให้พีไปรักเลยจิงๆ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ผู้ชายแบบคุณยะสมควรที่จะอยู่คนเดียวไปจนตายมากกว่า
เริ่มจะเกลียดความใจอ่อนของน้องพีแหล่ะ ไม่เล่นตัว ไม่ขัดขืนอะไรเลยนะลูก

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1086
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ตั้งแต่อ่านมาตอนนี้ผิดหวังที่สุด คือทำไมยอมง่ายดายขนาดนั้น ศักดิ์ศรีไม่มีเลยรึไง โดนทำไม่รู้กี่ครั้ง กร่นด่าเค้าเหมือนเกลียดนักหนา ตอนเป็นเด็กก็ยังพอเข้าใจนะ เพราะยังเด็ก แต่นี่เรื่องผ่านมาเกือบสิบปี พอเค้าเล้าโลมหน่อยเดียว บอกรักเค้าเฉ้ย ห๊ะ!!!

เหมือนเมียหลวงที่ผัวไปมีเมียน้อยก็โกรธแค้น ไปคอยระรานเมียน้อย ประชดผัวสารพัด แต่พอผัวมาง้อก็คืนดี แล้วก็วนลูบใหม่ ชาตินี้ทั้งชาติถ้าไม่รักตัวเองแบบนี้ ก็สมคารจะโดนแบบนี้ไปตลอดอ่ะนะ วงวารจริงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด