ภาค 23 My ring
ฉันทัชก้มลงประกบริมฝีปากลงบนปากบางได้รูปของคนร้องขอ ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากคนใต้ร่าง มือของปาณัสม์ประคองใบหน้าของเขา ส่วนอีกมือจับท้ายทอยของเขาไว้ตามความเคยชิน ฉันทัชวางมือบนหน้าอกของอดีตคนรัก
ใบหน้าเอียงปรับองศาให้พอดีอย่างพอเหมาะพอเจาะ ลิ้นอุ่นดูดดึงกันไปมา ไม่มีใครอยากยอมแพ้กัน กลิ่นที่เคยชินมาร่วมสิบปี บัดนี้กลับได้มาสัมผัสกันอีกครั้ง ทั้งชวนให้คิดถึงและค้นหาไปพร้อมกัน ฉันทัชเลื่อนมือมายึดหัวไหล่ของอีกฝ่ายเสียแล้ว
ปาณัสม์พลิกร่างคนข้างบนให้ตกมาอยู่ใต้อาณัติของตัวเอง เขาถอนริมฝีปากออกมา พร่างพรมจูบไปทั่วใบหน้า หน้าผาก คิ้ว เปลือกตา แก้ม คาง ไม่มีบริเวณใดที่รอยจูบเขาจะว่างเว้นไม่ไปแตะต้อง เขาดูดดึงปากอิ่มของฉันทัชอย่างไม่รู้เบื่อ หยอกเย้าให้ใจสั่น
คนอยู่ด้านบนพรมจูบไล่ระลงมาที่คอของอีกฝ่าย ฉันทัชเงยหน้าขึ้นเพื่อเอาอากาศหายใจเข้าปอด เขายกมือทั้งสองข้างโอบรอบท้ายทอยของปาณัสม์เอาไว้ราวกับกลัวว่าร่างกายจะร่วงหล่นจากเหวสูงชัน ปาณัสม์ลากไล้ร่างกายของอีกฝ่ายด้วยฝ่ามือร้อนจัด อุณหภูมิในร่างกายพุ่งสูงขึ้น โหมกระพือด้วยอารมณ์ที่จวนจะเผาไหม้
มือของปาณัสม์บีบเคล้นสะโพกของฉันทัชไม่เบามือนักด้วยความมันเขี้ยว จนคนถูกบีบรู้สึกเจ็บ เสียงตีดังเพี๊ยะจึงดังขึ้น ปาณัสม์หัวเราะในลำคอ ไม่ได้โกรธที่ถูกตีมือ ปาณัสม์ยืดตัวกลับขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง และฉันทัชเองก็กำลังมองทุกการกระทำของอดีตคนรัก เขาเฝ้ารอจูบจากปาณัสม์
ริมฝีปากของทั้งสองคนประกบกันแน่นสนิทอีกครั้ง ลิ้นสีแดงควานสำรวจโพรงปากของปาณัสม์อย่างคล่องแคล่ว ฉันทัชไม่ใช่คนที่ไม่เคยผ่านมือชายหรือชายหนุ่มที่ไม่ประสา เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นหลังจากใช้ชีวิตคู่กับอีกฝ่ายมาเนิ่นนาน แค่ไม่ค่อยได้ใช้งานเท่านั้นเอง
พวกเขาใช้เวลาจูบกันยาวนาน ราวกับไม่อยากจะผละออกจากกัน มือของปาณัสม์เลื่อนลงหมายจะดึงกางเกงนอนของฉันทัชออก ทว่าเขากลับถูกมือของเจ้าของกางเกงนั้นดึงเอาไว้ ปาณัสม์เงยหน้ามองอีกฝ่าย เห็นฉันทัชส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธ
“ขอโทษที ลืมไปว่าจันทร์ไม่ชอบ” ฉันทัชมองหน้าอีกฝ่าย มือหยุดชะงักลง ดูเหมือนชัดเจนจะล้างสมองปาณัสม์ได้ดี
“ไม่เคยพูดเลยนะว่าไม่ชอบ อย่าคิดเองเออเองคนเดียวสิ” ฉันทัชใช้นิ้วชี้เขี่ยจมูกของปาณัสม์ไปทีหนึ่งเพื่อหยอกล้อ
“อ่าว...เหรอ แล้วทำไม”
“ตอนนี้มันไม่ดีหรอก ไหนขอแค่จูบเฉยๆ ไง” ฉันทัชทวนความต้องการของอีกฝ่าย “คืนนี้พอเถอะ นอนดีกว่าไหม”
“ได้ครับ แต่ขอนอนกอดจันทร์ได้หรือเปล่า”
“คนอะไรได้คืบจะเอาศอก”
คิดเหมือนกันไหมว่าการอ้อนขออะไรแบบนี้ ไม่ค่อยต่างจากหลี่หยางเซิงสักเท่าไหร่ ที่เขาค่อนข้างชอบคุณชาย หลี่มากกว่าใครคงเป็นเพราะส่วนนี้ล่ะมั้ง นิสัยที่เหมือนกัน
ปาณัสม์หลับไปแล้ว มือของชายหนุ่มยังกอดเขาไว้แน่น ฉันทัชกำลังนึกโกรธตัวเองที่ใจอ่อนเกินไป เขาเกลียดคำว่า
‘วัวเคยขาม้าเคยขี่’ หรือ
‘ของมันเคยๆ กัน’ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นความรู้สึกที่จุดไฟด้านอารมณ์ให้ติดได้โดยง่าย เขาสามารถเดาได้ว่าถ้าปาณัสม์ทำแบบนี้กับตัวเขา แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไร จะมีความสุขแค่ไหน เมื่อถูกสัมผัส เขาเกลียดที่ตัวเองยังจดจำความรู้สึกนั้นได้ดี
ใจจริงแล้ว ในช่วงเวลานั้น ฉันทัชอยากจะปล่อยตัวเองให้เดินไปถึงที่สุด โดยไม่ต้องสนใจอะไร ในเมื่อเขาโสด ซ้ำยังเป็นผู้ชาย ไม่มีพันธะ หากจะนอนกับผู้ชายอีกสักคนที่ไม่มีพันธะเช่นกันก็คงไม่ผิด ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนรักเก่าด้วย เขายิ่งสบายใจมากกว่าที่จะไปนอนกับคนอื่น แต่เขากลับทำไม่ได้ ถ้ายอมมีความสัมพันธ์กับปาณัสม์ในค่ำคืนนี้ เกรงว่าจะต้องมีปัญหารุงรังตามมาอย่างแน่นอน เขายังไม่พร้อมเดินกลับเข้าไปในวังวนที่ยังหวาดระแวงอยู่
กลัวว่าหัวใจตัวเองจะยอมติดบ่วงขังแล้วไม่กล้าเดินออกมาอีกครั้ง
คนอื่นอาจจะยุติความสัมพันธ์ได้เพียงชั่วข้ามคืน แต่ฉันทัชใช้เวลาสามปีเพื่อดึงตัวเองออกมา เขาไม่เคยทำสำเร็จ ตราบจนปีสุดท้ายที่เขาเริ่มอดทนไม่ไหว หลายต่อหลายเรื่องที่ถูกทำให้คิดว่าปาณัสม์นอกใจ ไม่สนใจและความเบื่อ ประดังโถมเข้าหาเขามากๆ เข้า จนในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดออกจากกัน เขาจึงบอกเลิกปาณัสม์ได้เสียที
ถึงแม้จะมารู้ทีหลังว่าส่วนหนึ่งมาจากที่เขาหูเบาเชื่อคำพูดของชัดเจน มันก็สายไปเสียแล้ว...
และต่อให้ไม่มีชัดเจนที่คอยเร่งปฏิกิริยา ฉันทัชก็เชื่อว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็คงไปกันไม่รอดหรอก ทุกอย่างมันเกิดจากเขาสองคนเท่านั้น ถ้าเขากับปาณัสม์คุยกันและใส่ใจกันมากกว่านี้ มันคงจะจบสวยกว่านี้
....
“คนขี้เซา ตื่นได้แล้วครับ” เสียงทุ้มกระซิบดังข้างหูของฉันทัช เขารู้สึกรำคาญที่ถูกรบกวนการนิทราของตนเอง มือขาวปัดป่ายโบกไปด้วยความไม่ชอบใจ แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะตามมาพร้อมกับสัมผัสข้างแก้ม
“ง่วง อย่ามายุ่งได้ไหม คนจะนอน” ผลจากการที่ไล่ใครอีกคนให้ออกไป คือสัมผัสของแก้มอีกข้างหนึ่งแทน
“ตื่นเถอะ”
ฉันทัชปรือตาขึ้นมามองคนยิ้มทำหน้าทะเล้นอยู่ข้างกาย “กี่โมงแล้ว”
“เจ็ดโมง” ฉันทัชกลอกตา ที่ไทยเพิ่งจะหกโมง หมอนี่มันบ้า? ตื่นมาวิ่งหรือไงกัน
“ยังเช้าอยู่ จะนอน จะไปไหนก็ไป” คนที่ยังง่วงหยิบหมอนแถวนั้นขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง เขาง่วงนอนและไม่ชอบการถูกปลุกทุกวิธี
“ถ้าไม่ตื่น จะปลุกด้วยวิธีของปาลแล้วนะ” แต่ดูเหมือนจะมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย
ฉันทัชดึงหมอนออก มองหน้าหาเรื่องอีกฝ่าย “ถ้าขืนยังปลุกอีก จะโกรธจริงๆ ด้วย”
“ไม่เอาน่า จันทร์ไม่โกรธปาลหรอก” ปาณัสม์ก้มหน้าลงมาหาคนขี้เซา ทำให้แหวนที่ร้อยอยู่ในสร้อยตกลงมาให้ฉันทัชได้เห็นอีกครั้ง เขามองตามสายสร้อยที่ว่านั่น
“เอาคืนไปดีไหม” ปาณัสม์ถามขึ้น
“ไม่เอาอะ ในเมื่อให้คืนไปแล้ว ก็ไม่อยากเอากลับมาผูกมัดตัวเองอีก” อดีตเจ้าของแหวนปฏิเสธ
“ครั้งนี้จะไม่ใช่การผูกมัด นอกจากความเต็มใจ”
“เชื่อยาก ถอยหน่อยจะลุก” ฉันทัชบอก มันไม่ใช่คำขอร้องแต่เหมือนจะออกคำสั่งมากกว่า
“จะไปไหน อาบน้ำใช่ไหม”
“เปล่า จะกลับไปนอนที่ห้อง”
“พอตอบไม่ได้ก็หนีปาลอีกเหมือนเดิม”
“ไม่ได้หนี แค่ง่วง อยากกลับไปนอน”
“ไม่ได้หนีก็ไม่หนี ให้อีกสิบห้านาที โอเคไหม แล้วต้องลุกไปอาบน้ำ” ปาณัสม์ไม่อยากโต้เถียง ในเมื่ออีกฝ่ายว่าแบบนั้นเขาก็จะว่าตาม
“ปาลจะไปไหนล่ะ เครื่องออกตอนบ่าย ไม่เห็นต้องรีบตื่นแต่เช้า” ฉันทัชคาใจ จะรีบไปไหนของเขา
“ออกไปหาอะไรกินกัน เดินเที่ยวก่อนกลับด้วย ยังไงวันนี้คุณก้องก็ไม่ได้ให้จันทร์เข้าไปทำงานไม่ใช่หรือ”
“อืม เลยจะนอนให้เต็มอิ่มไง”
“ไว้นอนวันหลังน่า วันนี้ไปกินข้าวกับปาลก่อน”
ฉันทัชทำท่าจะปฏิเสธอีกครั้ง แต่เห็นสายตาหงอย หูตกแบบนี้ เขาเลยถอนหายใจแทน “ยี่สิบนาทีแล้วปลุกด้วย” ชายหนุ่มต่อรองอีกห้านาที
“ได้เลย”
ฉันทัชหลับตาลง แต่เขากลับนอนไม่หลับเสียแล้ว
“จันทร์ ตื่นเถอะ”
“อือ” เสียงครางรับแต่ดวงตายังปิดสนิท
“ตื่นเถอะๆ ลุกได้แล้ว”
“ไม่เอา ง่วง เมื่อคืนกว่าเครื่องจะลงได้ ดีเลย์ไปตั้งสามชั่วโมง” ฉันทัชตอบ เขาเพิ่งนอนหลับช่วงรุ่งสางนี่เอง
“สิบโมงแล้วครับ”
“บ่ายโมงนะ” ฉันทัชต่อรอง
“ปาลให้สุดๆ แค่เที่ยงนะ เราไม่เจอกันมาตั้งครึ่งเดือนแล้ว ปาลคิดถึง อยากคุย อยากกอด อยากฟัดจันทร์”
ฉันทัชพยายามลืมตามามองคนงอแง “สิบเอ็ดโมง ปลุกนะ”
“ได้เลย” รางวัลของฉันทัชที่ได้ตอบแทนกลับมาคือรอยยิ้มของปาณัสม์ที่เขาหลงใหล
เหตุการณ์แบบนี้มันเหมือนเมื่อก่อน เหมือนช่วงเวลาที่เขากับปาณัสม์คบกันในช่วงแรกๆ ปาณัสม์ยังมีบางอย่างที่เหมือนเดิม แต่เพราะความจำเจที่อยู่ด้วยกันมานานทำให้เราละเลยกันไปใช่ไหม
‘ถ้าเรากลับมาคบกัน เราจะไม่ทำให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม’ฉันทัชหลุดความคิดนี้ออกมา แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว
‘อย่าเลย มันไม่ดีหรอก’ชายหนุ่มพลิกตัวนอนคว่ำ หน้าจมลงไปในหมอนเพื่อสะกดกลั้นความคิดเลยเถิดเหล่านั้น เขากำลังพาตัวเองไปสู่จุดเดิม ทั้งที่เดินออกมาได้แล้วแท้ๆ จะกลับไปอีกทำไม
เอวของฉันทัชถูกดึงเข้าไปหาอะไรบางอย่าง จากที่นอนคว่ำอยู่กลายเป็นนอนตะแคงหลังชนกับหน้าอกของปาณัสม์ในเวลานี้
“เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกหรอก นอนไม่หลับ ทำไมไม่ตื่นขึ้นมาเสียที” เสียงอดีตคนรักดังขึ้นจากด้านหลัง
“ยังไม่ครบสิบนาที”
“ถ้าไม่หลับแล้วก็ลุกเถอะ” ต้นคอของฉันทัชรู้สึกกำลังถูกสัมผัสจากอะไรบางอย่าง
“ขี้เกียจ” ฉันทัชตอบ มันยังเช้าเกินไป
“ถ้าไม่ลุก จะนอนกอดไว้แบบนี้”
“ตามสบาย”
“ไม่หวงตัวเลยเหรอ” ปาณัสม์แกล้งถาม
“เมื่อวานก็กอดนี่ ทำมากกว่ากอดก็ทำไปแล้ว ไม่ทันแล้วมั้ง” ฉันทัชพูดเอื่อยๆ ไม่ได้รู้สึกเขินอายหรือกระดากอะไร
“พูดแบบนี้ อยากทำมากกว่านี้เลย”
“อันนั้นคงจะยากหน่อย”
“ให้เวลาเพิ่มอีกสิบนาที หลับเถอะ เผื่อจะอารมณ์ดีกว่านี้” ปาณัสม์ไม่ต่อความยาว เขาเลือกพูดเรื่องอื่นแทน กดจูบลงบนแก้มอีกฝ่ายและลูบผมให้อย่างเบามือเหมือนกำลังกล่อมเด็กคนหนึ่งนอน
ปาณัสม์กำลังพยายามและต่อสู้เรื่องคนรัก เรื่องงานและเรื่องของชัดเจน เขาเป็นคนที่ทุ่มเทอะไรแล้วมักจะจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนลืมทุกอย่างที่เหลือไปหมด อาจจะให้ความสำคัญบ้างแต่น้อยเหลือเกิน เขาเคยเลือกงานเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งของชีวิต เพราะคิดว่าฉันทัชจะไม่ไปไหน จะอยู่กับเขาตลอดไป
เขาคิดผิด ไม่มีใครทนต่อการถูกละเลยและการเพิกเฉยได้ และเมื่อเขาละเลยอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาคือความรู้สึกของฉันทัชที่ไม่สนใจเขาเช่นกัน เราพูดกันน้อยลง คุยกันน้อยลง โดยปกติปาณัสม์จะไม่พูดเรื่องงานให้ฉันทัชฟังอยู่แล้ว เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่พอสถานการณ์บานปลาย กลายเป็นว่ายิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องงานอีกต่อไป
แม่คอยเตือน พี่ชายคอยย้ำ แม้กระทั่งลุงชมก็ยังเคยบอกเขา แต่ปาณัสม์ไม่เคยจะเก็บเอามาใส่ใจ เมื่อได้ทำงานเขาจะลืมทุกอย่าง เมื่อเลิกงาน กลับบ้านมาเจอกับความเงียบ ความเย็นชาโดยที่เขาลืมคิดไปว่าสาเหตุหลักมาจากการกระทำของเขาตั้งแต่ทีแรก เขาจึงไม่ค่อยอยากกลับบ้าน ไม่อยากทะเลาะ ไม่อยากเหนื่อยใจ เพราะไม่อยากจะจากกันด้วยความรู้สึกแบบนี้
ถึงจะเป็นความทุกข์ทรมานแบบนั้น เขาก็ไม่ได้อยากจะเลิกกับอีกฝ่ายเท่าไหร่ เพราะอย่างน้อยเวลากลับมาบ้านเขาก็ยังเจอฉันทัช เหมือนชีวิตยังมีใครอีกคนที่รอหรือถ้ากลับบ้านแม่ อย่างน้อยก็ยังเจอคนในครอบครัว เขาคงคิดไปคนเดียวเพราะอีกฝ่ายไม่อยากจะทนอีกต่อไป
ฉันทัชตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ถึงแม้จะเคยรู้สึกโล่งใจตอนที่เลิกแต่พอสำนึกได้ปาณัสม์ก็ไม่กล้าเดินกลับเข้าไปในชีวิตของอีกฝ่ายในทันที เขารู้สึกกลัวใจของฉันทัช ไม่รู้ว่าคนอื่นรวบรวมความกล้านานเท่าไหร่ แต่เขาใช้เวลาเกือบปีและพอมีโอกาส เขาจึงค่อยๆ เดินหน้าเรื่องหัวใจตัวเองเสียที
แต่อดีตคนรักของปาณัสม์นั้นใจแข็งเหลือเกิน นั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มรู้ดีมาโดยตลอด ฉันทัชเป็นคนที่ใช้หัวใจนำทางชีวิตก็จริง แต่ไม่ใช่เสมอไป เมื่อคืนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขากำลังกลุ้มใจและกังวลกับเรื่องของชัดเจนนั้น ฉันทัชคงไม่ยอมโอนอ่อนให้ถึงขนาดนี้
กระนั้นเขาก็ยังโลภมากอยู่ดี เขาสร้างวันนี้ให้เหมือนตอนที่เรายังคบอยู่อีกครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าฉันทัชจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าเหตุการณ์นี้มันกำลังซ้อนทับอดีตของเรา ปล่อยให้เป็นโลกเพ้อฝันไปก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้แค่ฉันทัชไม่ผลักไสเขาก็คงมากเกินพอแล้ว
พรุ่งนี้เขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ทั้งฉันทัช ทั้งชัดเจน
...
ฉันทัชถือน้ำเปล่ามาสองขวด เดินกลับมาก็เห็นปาณัสม์กำลังยืนหลังตรงทอดสายตาไปยังอ่าววิกตอเรีย เกาะฮ่องกง อยู่ ฉันทัชเห็นอีกฝ่ายจากด้านหลัง เขาไม่รู้ว่าปาณัสม์แสดงสีหน้าอย่างไร แต่เดาว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนักหรอก
มือขาวของฉันทัชยื่นขวดน้ำไปให้ “ไง คิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ”
“เปล่า”
“โกหกไม่เก่ง”
“เรื่องชัดหรือ” ฉันทัชลองเดา
“ก็ไม่เชิง” ปาณัสม์รับน้ำขวดนั้นขึ้นมายกดื่ม “มีเรื่องชัดนิดหนึ่ง แต่มีเรื่องจันทร์เยอะกว่า”
“เรื่องของเทมส์?” ฉันทัชถาม “มีอะไรให้ต้องคิดด้วยเหรอ” เขาหัวเราะออกมา วันนี้ลมค่อนข้างเย็นสบาย ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
“อยากอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ” ปาณัสม์หันมามองคนที่ยืนด้านข้าง
“อยู่คนเดียวได้ไหมล่ะ เทมส์ไปนั่งนะ เมื่อย” ทั้งที่เข้าใจความหมายดี แต่ฉันทัชก็เลือกตอบไปอีกความหมายหนึ่ง
“ไม่ใช่สักหน่อย” ปาณัสม์นิ่วหน้าที่ถูกอีกฝ่ายทำลายบรรยากาศดีๆ แบบนี้ไปอย่างง่ายดาย
“เมื่อยจริงๆ เดินไปซื้อน้ำตั้งไกลอะ”
ปาณัสม์จับมือข้างที่ว่างของฉันทัชเอาไว้กลัวอีกฝ่ายจะเดินไปหาที่นั่งจริงๆ “แม่เคยถามปาลว่า ปาลจะอยู่ได้ไหมถ้าไม่มีจันทร์”
ฉันทัชเลิกคิ้ว “ปาลตอบว่า?”
“อยู่ได้”
“ก็เก่งนี่” ฉันทัชเอ่ยชม ถึงในใจจะรู้สึกเจ็บจี๊ดนิดหน่อยกับคำตอบของอีกฝ่าย
“แต่เอาเข้าจริง อยู่ไม่ได้” ปาณัสม์หัวเราะ “ปาลรู้ว่าตัวเองบ้ามาก ที่ทำเป็นเก่ง”
“เขาว่าคนรูปปากแบบนี้ คือพวกปากดีและปากจัดด้วย” ฉันทัชดึงปากของอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่ดึงไม่ค่อยได้หรอกเพราะปาณัสม์ค่อนข้างบาง
“งั้นเหรอ” ปาณัสม์หันกลับไปมองอ่าววิกตอเรียอีกครั้ง “เมื่อก่อนปาลทำตัวไม่ดีมากเลยใช่ไหม”
“รู้ตัวด้วยเหรอ” ฉันทัชยิ้ม “ปาลทำตัวดีแล้ว แต่ช่วงหลัง ไม่รู้สิ ปาลคงเครียดเรื่องงานแล้วเรื่องอื่นด้วยมั้ง” ฉันทัชตั้งใจละเรื่องของชัดเจน เขาจะไม่พูดเรื่องนี้
“อีกอย่างเราก็อยู่ด้วยกันมานาน ต่างละเลยกัน เทมส์เองก็ทำไปไม่น้อยหรอก ตอนปาลเมาๆ เทมส์ก็ถีบตกเตียงไปบ่อยเหมือนกันนะ” ฉันทัชหัวเราะเต็มเสียงหลังจากที่เขาสารภาพออกไป
“ห๊ะ!?” ปาณัสม์ตาแทบจะถลนออกจากเบ้าเมื่อได้ยิน “ถีบปาลงั้นเหรอ”
“ช่ายยย” ฉันทัชลากเสียงยานคางพลางทำหน้าทะเล้นยิ้มรับไม่บิดเบือน ปาณัสม์ขยับเข้ามาใกล้ ฉันทัชรีบถอยเท้าอัตโนมัติ “เรื่องมันเป็นอดีตน่า ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป” เขารีบพูดต่อ
“มันน่าตีนัก ถีบปาลได้ไงเนี่ย ถึงว่าบางทีตื่นมา ทำไมตัวเขียวๆ เราก็นึกว่าเมาแล้วเดินชนโต๊ะ”
“คนเมาก็ร้ายกาจเหอะ พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ตะคอกใส่บ้างล่ะ โวยวายเสียงดังบ้างล่ะ สารพัดให้ปวดหัว”
“ปาลแย่ขนาดนั้นเลยหรือ”
“อืม”
“ไม่รู้ตัวเลย ปาลไม่เป็นแบบนั้นแล้วนะ ไม่เมาแล้ว” ปาณัสม์ยิ้มพลางกระชับมือของอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น “จันทร์ครับ”
“หืม?” ฉันทัชตอบรับด้วยความหวาดระแวง ปาณัสม์จะมาไม้ไหน
“กลับไทยไปคราวนี้ ให้ปาลทำอะไรให้จันทร์บ้างได้ไหม”
“อยากทำอะไรให้ล่ะ”
“เรื่องแรกก็รถ ปาลรู้นะ ถ้าไทน์กับชัดไม่ว่าง จันทร์ต้องกลับบ้านเอง”
“อืม แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนะ แต่เรื่องนี้เทมส์ซื้อเองได้ ปาลไม่ต้องช่วยหรอก”
“เมื่อไหร่ล่ะ ไทน์บอกจันทร์ขี้งกไม่ยอมซื้อง่ายๆ”
ฉันทัชหรี่ตามอง “แอบคุยกับไทน์เหรอ”
“นิดหน่อย”
“ตอนไหน เมื่อไหร่ ปกติไม่ถูกกันนี่นา เจอหน้ากันทีไรกัดกันตลอด”
“ไทน์มันชอบหาเรื่องปาลก่อน” ปาณัสม์รีบฟ้อง
“พอกันนั่นแหละ ปาลเองก็ใช่ย่อย” แต่ฉันทัชเลือกไม่เข้าข้างใคร “คุยอะไรกับไทน์ เจ้าน้องตัวแสบไม่เล่าให้เทมส์ฟังเลย”
“ปาลกับไทน์เจอกันในงานหนึ่งโดยบังเอิญ ก็เลยคุยกันเรื่องจันทร์ รู้ไหมไทน์ด่าปาลเละเลย” ปาณัสม์ยิ้ม เขาไม่ได้โกรธที่ถูกน้องสาวอีกฝ่ายด่าเลย
“เรื่องอะไร”
“ตั้งแต่เรื่องรถ ลามไปถึงเรื่องเงินหรือค่าใช้จ่ายในบ้านอะไรแบบนี้ ที่ไม่เคยให้จันทร์เลย เอาจริงๆ นะ ปาลไม่เคยคิดเลย คือไงดีอะ ปกติแม่ดูแลให้หมด ปาลเลยคิดไม่ถึงจริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก เทมส์เองก็ปากหนักไม่ถามปาลเองด้วย อีกอย่างมันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากมาย”
“ปาลรู้สึกเหมือนทำทุกอย่างผิดพลาดตลอดเวลา” ฉันทัชมองคนหูลู่คอตกแบบนี้แล้วก็ต่อว่าไม่ลง
“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”
“สัญญาว่าต่อไปจะไม่เป็นแบบนี้อีก”
“ไม่ต้องสัญญาหรอก เรื่องอนาคต ใครจะไปรู้กันเล่า” ฉันทัชบอกปัด
“ให้ปาลแก้ตัวใหม่นะ”
ฉันทัชยิ้ม “สะสมความดีเอาไว้เยอะๆ เทมส์จะคอยให้ดาวไว้ในใจ เมื่อไหร่ที่ดาวมันเต็มฟูในอกเหมือนเดิมค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
ปาณัสม์ทำท่าจะเถียงอะไรกลับ แต่ถูกฉันทัชห้ามเอาไว้ได้ทัน “ห้ามมีข้อแม้ ตอนนี้เทมส์ชอบชีวิตในตอนนี้ ถ้าจะรับปาลกลับเข้ามาในชีวิตของเทมส์อีกครั้ง เทมส์ก็อยากทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่เป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่แค่ปาลนะ หมายถึงเทมส์ด้วย มันคงไม่แฟร์ถ้าจะให้ปาลต้องทำทุกอย่างเพื่อเทมส์คนเดียว เข้าใจหรือเปล่า”
“เข้าใจ”
“เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็ให้เป็นแบบนี้ไปก่อน เรื่องของอนาคตก็ให้มันเป็นอนาคตนะ”
ปาณัสม์ปลดสร้อยที่สวมอยู่ออกจากคอ “อยู่เฉยๆ” เขาสั่งฉันทัชที่ทำท่าจะขยับตัวหนี ก่อนจะสวมสร้อยนั้นลงไปแทน
“อะไร เอามาให้เทมส์ทำไม”
“ถ้าจันทร์จะถอดมันก็ขอให้มีแค่สองเรื่องเท่านั้นคือเอาแหวนที่อยู่ในสร้อยมาใส่ไว้ในที่ที่ของมัน กับไม่อยากสวมมันอีกต่อไปแล้ว ถึงตอนนั้นปาลจะได้รู้ตัวเสียที”
ฉันทัชไม่ตอบอะไรนอกจากใช้มือจับแหวนที่ร้อยอยู่ในสร้อยเส้นนี้เท่านั้น
========================================
ใครลืมว่าปาลขออะไรไว้ กลับไปย้อนอ่านตอน 21 ได้นะคะ
เทมส์ ยัยเด็กขี้ใจอ่อน
เจอกันวันศุกร์ค่ะ และ เรื่องนี้ใกล้จะจบแล้วค่ะ ทั้งหมดมี 28 ตอนค่ะ
HASHTAG #ภาคต่อของความรัก