ภาค 26 Lullaby
“เมื่อเช้าเทมส์ไปคุยกับชัดมา” ฉันทัชเริ่มเล่าเมื่ออาหารคำแรกหย่อนลงกระเพาะไปแล้ว
“คุยอะไรกับชัด”
“ก็เรื่องวุ่นๆ พวกนี้”
“จันทร์ไม่น่าต้องมาเดือดร้อน ปาลคุยกับชัดไปแล้วเหมือนกัน”
“งั้นหรือ แล้วเรียบร้อยดีไหม”
“เรียบร้อยแล้ว ชัดยังจะทำงานที่นี่ต่อ” ปาณัสม์ยิ้มก่อนจะตักอาหารตรงหน้าให้อีกฝ่าย
“ปาลแน่ใจแล้วเหรอว่าชัดจะไม่ทำอีก”
“เชื่อว่าชัดคงไม่ทำอีกหรอก ปาลเป็นพี่ชายของชัดนะ ครั้งหน้าเขาคงคิดมากกว่านี้”
“ปาลอาจจะคิดว่าชัดเป็นน้อง แล้วชัดล่ะ คิดว่าปาลเป็นพี่หรือเปล่า”
“พูดอะไรอย่างนั้น ชัดอาจจะดื้อไปบ้าง แต่ชัดไม่ทำอีกแล้ว เชื่อปาลนะ”
ฉันทัชลอบมองอีกฝ่าย เอาเถอะ พูดไปตอนนี้ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ชัดเจนคงไม่กล้าทำอีกแล้วก็ได้ เขาอาจจะกังวลมากไปเอง
“เราไม่คุยเรื่องชัดแล้วได้ไหม”
“ทำไมล่ะ” ฉันทัชถามกลับ
“มัวแต่คุยเรื่องชัด จนไม่ได้คุยเรื่องของเราเลย”
“ไม่เห็นเป็นไร”
“ไม่ได้ แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จันทร์จะใจอ่อนกันเล่า”
“เทมส์คิดว่าเราคุยเรื่องนี้จบไปตั้งแต่ที่ฮ่องกงแล้วเสียอีก” ฉันทัชตักข้าวเข้าปากไปอีกคำด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้เคร่งเครียด
“ปาล...”
“เทมส์พูดไปแล้ว ปาลก็พยายามหน่อยแล้วกัน เริ่มจากเป็นเพื่อนกันก่อนดีไหม” ฉันทัชเสนอ
ปาณัสม์หรี่ตาลงพลางส่ายหน้า “อย่าเอามุกที่ใช้กับคนอื่นมาใช้กับปาล คนเคยอยู่ด้วยกัน มีสัมพันธ์มากกว่าเพื่อน กลับมาเริ่มต้นด้วยความรู้สึกแบบเพื่อนไม่ได้หรอก”
“งั้นก็ไม่ต้องเริ่ม ไม่ต้องเป็นอะไรทั้งนั้น เป็นเหมือนปีที่ผ่านมาก็แล้วกัน เป็นคนไม่รู้จักกัน”
“ไม่เอา”
“นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา” ฉันทัชเริ่มอิ่มเสียแล้ว พอเจอปาณัสม์ในโหมดปกติ ไม่ใช่อ่อนแอ เขาจึงกำลังรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เป็นคนริเริ่มชวนอีกฝ่ายออกมาทานข้าวด้วยกัน
“จันทร์ทำได้จริงๆ เหรอ มองปาลเป็นเพื่อนได้จริงๆ ใช่ไหม ถ้าเป็นแค่เพื่อน ปาลไปไหนกับใคร ผู้หญิงคนไหน จันทร์ก็จะไม่โกรธ ไม่รู้สึกอะไรเลยใช่หรือเปล่า”
พอถูกย้อนคำถามกลับมา ฉันทัชถึงกับอึกอัก “เทมส์ไม่อยากคุยเรื่องนี้ที่นี่”
“อืม ไม่อยากคุยเรื่องนี้ที่นี่นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่จันทร์อยากหนีมากกว่า” ปาณัสม์เอื้อมมือไปคว้ามืออีกฝ่ายมาจับไว้ “ไม่เอาแบบนี้สิครับ ไม่หนีปาลได้ไหม”
“อิ่มหรือยัง คิดเงินเลยไหม” ฉันทัชดึงมือกลับ ก่อนจะถามเรื่องอื่นแทน
ปาณัสม์ถอนหายใจ เขาพยักหน้าก่อนจะเรียกพนักงานมาคิดเงินตามที่อีกฝ่ายต้องการ
“เดี๋ยวกลับบริษัทเลยใช่ไหม” ปาณัสม์หมายถึงบริษัทของก้องภพ
“ใช่”
“ต้องรอกลับพร้อมพี่ก้องหรือเปล่า”
“เปล่า เทมส์กลับเอง”
“ปาลไปส่งนะ”
“อืม” ฉันทัชรับคำ เพราะไม่อยากปฏิเสธอีกฝ่ายให้เป็นเรื่องวุ่นวาย
“แล้วตอนเย็น ปาลจะมารับ ห้ามหนีกลับก่อน ถ้าหนีกลับ จะเจอกับอะไร คงรู้ใช่ไหม”
ฉันทัชนั่งนิ่งไม่ตอบ เวลาที่ปาณัสม์ไม่พอใจยังทำให้ฉันทัชกลัวอยู่เช่นเดิม ไม่ใช่กลัวอีกฝ่ายจะทำร้ายร่างกายเขาหรอก ปาณัสม์ไม่มีนิสัยอย่างนั้น แต่มันจะเป็นเรื่องบนเตียงเสียมากกว่า ฉันทัชมุ่นคิ้ว แต่เราก็เลิกกันแล้วไม่ใช่เหรอ ปาณัสม์ย่อมต้องไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับเขา
ใช่ อีกฝ่ายจะมาทำกับเขาแบบนี้ไม่ได้
“ถึงจะเลิกกันแล้ว จันทร์อย่าคิดว่าปาลไม่กล้าทำ” ไม่ต้องให้ฉันทัชได้ครุ่นคิดต่อ ปาณัสม์เฉลยให้ ราวกับรู้ว่าฉันทัชกำลังคิดอะไรอยู่
“ก็..ไม่ได้คิดอะไร” ฉันทัชเฉไฉ
“แล้วเข้าใจหรือเปล่า”
“เข้าใจอะไร”
“เข้าใจว่าปาลจะมารับตอนเย็น”
“อ้อ..เข้าใจสิ เข้าใจอยู่แล้ว” ฉันทัชยิ้มให้ แต่ก็ดูเป็นรอยยิ้มที่เฝื่อนเต็มที
...
“ช่วงนี้ คนบางคนมีสารถีมารับส่งทุกวัน น้องคนนี้ไม่ได้บริการรับใช้เลย ตกกระป๋องเสียแล้วเรา” อินทัชพูดขึ้นในวันเสาร์ตอนที่มื้อเช้ากำลังจะเริ่มขึ้น
“จะพูดอะไรก็พูดมาเลย อย่ามาพูดแบบนี้” ฉันทัชดุ พลางวางจานข้าวผัดของโปรดของอินทัชลงตรงหน้าหญิงสาว
“ไม่ซื้อรถแล้วหรือไง” ฉันทัชเกร็งตัวรับคำถามของน้องสาว ผิดคาดที่อีกฝ่ายดันกลับถามถึงรถยนต์
“ซื้อสิ ต้องซื้ออยู่แล้ว”
“เมื่อไหร่ ไปซื้อเลยไหม” อินทัชเร่ง
“พรุ่งนี้”
“บทจะไวก็ไวทันใจ แต่พรุ่งนี้ไทน์มีงานอะ ไปด้วยไม่ได้ ไปวันอื่นได้หรือเปล่า” อินทัชแปลกใจ ไม่คิดว่าพี่ชายจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เพราะเธอแค่ตั้งใจกระตุ้นเตือนเฉยๆ
“ไม่เป็นไร เทมส์ไปได้ ไม่ต้องห่วง”
“แล้วเทมส์จะไปยังไง ไปดูคนเดียว ไม่มีใครช่วยติ ช่วยเลือกเลยนะ” อินทัชบอกด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า ไปกับปาลน่ะ”
“โอ๊ะ โอ ถ้าไปกับปาล แล้วมันไม่ซื้อให้ ไม่ต้องไป” อินทัชแกล้งขู่พี่ชาย
“เดี๋ยวเลือกคันแพงๆ มาก็แล้วกัน พอใจไหม”
“ดีแล้ว ไม่ได้อยากให้เทมส์เป็นคนโลภหรอกนะ แต่ถ้าเทมส์ซื้อเอง คงเป็นรถญี่ปุ่นอีโคคาร์ทั่วไป เพราะเทมส์คงเสียดายเงิน แล้วรถยิ่งราคาถูก ความปลอดภัยมันก็ยิ่งต่ำลงมาตามราคา ไทน์เป็นห่วง ปาลมันซื้อให้ก็ดีเหมือนกัน เจ้านั่นมันแค่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเงิน แต่มันไม่ขี้เหนียว มันบื้อ” อินทัชเอ่ยชมปาณัสม์แต่ก็ไม่วายที่จะกระทบกระเทียบอีกฝ่ายอยู่ดี
“รู้แล้ว”
“แล้วนี่ตกลงยังไง”
“อะไรยังไง?”
“กับปาลไง จะกลับไปคบเหรอ ตอนนั้นเจ็บมากเลยนะ ร้องไห้ตั้งเยอะ” อินทัชยกเรื่องอดีตขึ้นมาเตือนความจำ
“บอกให้เอาเงินจากเขาไปซื้อรถ แต่ไม่อยากให้กลับไปคบ โหดชะมัด”
“คืนดีกันแล้ว?” อินทัชทำตาโต
“ใครบอก”
“อ้าว ไม่ใช่เหรอ”
“ยังหรอก ยัง”
“แต่ก็ไม่นานมั้ง ไทน์นึกว่าใจเทมส์มันเอียงไปทางนั้นเกือบหมดแล้วเสียอีก” อินทัชเดาพลางเย้าพี่ชายไปพร้อมกัน
“รู้ดีกว่าเทมส์เสียอีก”
“อ๊ะ แน่นอน ไม่งั้นจะเป็นน้องที่ตามออกมาได้ไง”
“เทมส์กลัว ไม่กล้ากลับไป ตอนนั้นทั้งเครียด ทั้งเหนื่อย กังวลใจ ทะเลาะ ทุกเรื่อง เทมส์ไม่อยากเจอมันอีก” ฉันทัชสารภาพ
“คิดไหมว่าปาลมันก็กลัว”
ฉันทัชเอียงคอมองน้องสาว สบตาอีกฝ่าย “สรุปว่าอยู่ข้างไหนกันแน่ ตะกี้ยังไม่อยากให้เทมส์กลับไป สักพักก็ดูจะเข้าอกเข้าใจปาลเสียอย่างนั้น”
“ไทน์เดาเอา” อินทัชบอก “เดาจริงๆ ไทน์แค่รู้สึกว่า ในเมื่อเทมส์ยังกลัวที่จะเริ่มต้นเลย แล้วปาลล่ะ ไม่กลัวหรือไง อย่าลืมนะว่า ก่อนเลิกกันเรื่องนี้ คนผิดไม่ใช่แค่ปาลหรือเทมส์ แค่คนเดียว แต่เป็นทั้งคู่”
ฉันทัชถือช้อนค้าง พลางมองออกไปที่หน้าบ้านเหมือนต้องการใช้ความคิด
“ปาลมันเลือกที่จะทิ้งความกลัวแล้วสู้ใหม่ ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ดูเรื่องชัดเจนสิ ขนาดชัดทำกับปาลถึงขนาดนั้น มันยังให้อภัยเลยอะ คนที่ถูกคนไว้ใจหักหลัง กลับขาวเป็นดำ ยังไงก็ต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ปาลมันเป็นแบบนี้ไง บางทีมันก็ฉลาดกับหัวใจและสมองตัวเองเหมือนกัน รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร”
“ไทน์” จู่ๆ ฉันทัชก็เรียกอีกฝ่ายเพราะสะดุดคำพูดบางอย่าง
“ไงจ๊ะ ฮันนี่”
“ปาลรู้เรื่องชัดที่พูดเบือนความจริงแล้วเหรอ”
“ใช่ ไทน์บอกเองแหละ”
“บอกทำไม”
“ปาลมันควรรู้นะเทมส์ ว่าชัดทำอะไรไว้บ้าง ถ้าปาลต้องอยู่กับความไม่รู้ มันจะรับมือแล้วแก้ปัญหาได้ยังไง จริงไหม”
“อ่า..เหรอ”
“ทำไมล่ะ เทมส์กลัวอะไร”
“ไม่ใช่เรื่องอะไรของเทมส์หรอก แค่ไม่อยากให้ปาลต้องผิดใจกับชัดมากไปกว่านี้”
“ปาลโตแล้ว ก็อายุเท่าเรานี่นะ” อินทัชหัวเราะ “ให้มันตัดสินใจเอง เป็นห่วงล่ะสิ อีกอย่างชัดเองก็ทำผิด เราไม่ควรปกป้องคนผิด”
“จริงๆ แล้วบอกไปก็ดีเหมือนกัน เทมส์เองก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหมือนคนโกหกอะ”
“ไทน์เห็นด้วยกับบางอย่างที่เราไม่รู้ไม่เห็นจะดีกว่า แต่บางเรื่องมันควรบอก ช่างแต่งหน้าเคยมาปรึกษากับไทน์ว่าเห็นสามีของเพื่อนไปกับผู้หญิงอื่น แล้วนางก็ไม่แน่ใจไงว่าควรจะบอกเพื่อนดีไหม กลัวแบบถ้าเขารู้ไส้รู้พุงกันดีอยู่แล้วล่ะ เราจะกลายเป็นหมาหรือเปล่า”
“แล้วไทน์บอกเขาไปว่าไง”
“ไทน์บอกว่าควรบอกอะ แต่ถ้าเพื่อนรับรู้อยู่แล้วหรือรับได้ก็เป็นเรื่องของเขาที่ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ไทน์แค่คิดว่าหน้าที่ของเพื่อนคืออะไรล่ะ ควรเตือน ควรบอกเพื่อนหรือเปล่า”
“อืมก็จริง” ฉันทัชพยักหน้าเห็นด้วย
“มีเรื่องเดียวที่ไทน์ทำผิดไม่รู้หน้าที่ก็คงเป็นเรื่องเทมส์นั่นแหละ”
“หืม?”
“ไทน์บอกให้เทมส์เลิกกับปาลเสมอ จำได้หรือเปล่า”
“จำได้”
“ทั้งที่ไทน์ไม่มีสิทธิ์เลยนะว่าไหม ไทน์เป็นแค่น้อง แต่คนที่เจอปัญหาเป็นเทมส์ อันที่จริงไทน์ควรจะช่วยเทมส์แก้ปัญหามากกว่าซ้ำเติมเทมส์”
“คิดอะไร นี่อย่ามาดึงเข้าดราม่า ไทน์ก็ช่วยเตือนสติเทมส์ตั้งหลายครั้ง” ฉันทัชเตรียมแก้ไขสถานการณ์
“แรกๆ ยุให้เลิกไม่รู้เท่าไหร่ ตอนหลังไทน์ก็ไม่อยากให้เทมส์เครียดไปกว่าเดิมเลยคอยเตือน แต่พอนึกๆ ดูหลายเหตุการณ์ ที่เจอกัน ทำให้ไทน์คิดว่า ทั้งที่เทมส์มีไทน์ไว้ค่อยปรึกษา แต่ไทน์กลับทำได้ไม่ดีและเข้าขั้นแย่ ไทน์ขอโทษนะ”
“ขอโทษทำไม ไม่เอาๆ พอๆ” ฉันทัชลุกขึ้นไปกอดน้องสาวที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะ “เทมส์ไม่เคยโกรธ ไม่เคยเก็บเรื่องพวกนี้มาโทษไทน์เลย ไม่เคยคิดอะไรแบบนี้ด้วย เพราะฉะนั้นไทน์ห้ามคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้อีก และนี่เป็นคำสั่งของพี่ชาย”
“อือ”
“ดีมาก ถ้ายังคิดอะไรเพ้อเจ้ออีก จะโกรธจริงๆ และโกรธมากด้วย”
“เข้าใจแล้ว”
“แล้ววันนี้วันเสาร์ อยู่บ้านหรือไง” ฉันทัชเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ
“เปล่า เดี๋ยวคุณก้องมารับ จะพาน้องกายไปกินไอติม”
“ครอบครัวสุขสันต์เสียจริง ดีจังไม่ต้องท้องก็มีลูกทันใช้” ฉันทัชเย้าแหย่น้องสาวคืนบ้าง
“ครอบครัวอะไรล่ะ ไทน์สัญญากับน้องกายไว้ต่างหาก พูดอะไรของเทมส์เนี่ย ไม่คุยด้วยแล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า” อินทัชหลบอาการหน้าร้อนของตัวเอง รีบหนีขึ้นไปข้างบน
“ไทน์” ฉันทัชตะโกนเรียกน้องสาวจากทางด้านล่าง
“ว่าไง”
“เทมส์ยืมรถนะ จะไปหาน้องปัณณ์” พอน้องสาวเอ่ยถึงเด็กชาย ทำให้ฉันทัชนึกถึงเด็กหญิงขึ้นมาบ้าง ไม่เจอกันนานเท่าไหร่แล้ว ไม่รู้ว่าน้องปัณณ์จะคิดถึงอาจันทร์บ้างไหม
“จ้ะ ฮันนี่ กุญแจรถวางอยู่ที่เดิม”
“โอเค”
....
“อาจันทร์ขา” เสียงเด็กหญิงส่งเสียงเจื้อยแจ้วเสียงดังโดยที่อาจันทร์เจ้าของชื่อยังไม่ทันจะได้นั่งบนโซฟาในห้องรับแขกบ้าน
“ว่าไงคะ คนเก่ง เป็นเด็กดีหรือเปล่า”
“เป็นเด็กดีค่ะ เด็กดีมากด้วย”
“สวัสดีครับ พี่ปอนด์ พี่เกด” สองสามีภรรยาเดินตามหลังบุตรสาวมาอย่างไม่รีบร้อน
“จ้ะ หายหน้าหายตาไปเลย สบายดีนะเทมส์” ชลพิการับไหว้แล้วเอ่ยถาม
“ครับ”
“วันนี้ลมอะไรหอบมาล่ะ” ศรารัณเอ่ยถามบ้าง
“ลมคิดถึงน้องปัณณ์ครับ” ฉันทัชยิ้ม พลางเขี่ยแก้มหลานสาวที่กอดเอวแน่น
“งั้นเราปล่อยให้อาหลานเขาใช้เวลาด้วยกันดีไหมคะพี่ปอนด์ เกดว่าตอนนี้ลูกสาวคงไม่สนใจเราแล้วล่ะค่ะ” ชลพิกาออกความเห็น
“อืม พี่ก็ว่างั้น” ศรารัณรับคำกับภรรยาสาวก่อนจะหันมาทางฉันทัชอีกครั้ง “อ้อ เจ้าปาลมันไม่อยู่หรอกนะ ไม่ต้องห่วง ส่วนแม่ก็กำลังงีบกลางวันอยู่บนห้องอีกสักพักคงลงมา ถ้ารู้ว่าลูกรักมา คงตื่นเดี๋ยวนี้เลยล่ะ” พี่ชายคนโตของบ้านว่าพลางหัวเราะก่อนจะขอตัวออกไปดูบุตรชายคนเล็ก
“อาจันทร์ขา”
“ว่ายังไงคะ”
“คิดถึงอาจันทร์จังเลยค่ะ” เด็กหญิงอ้อนพลางกอดเอวผู้เป็นอาต่างสายเลือดแน่นขึ้นไปอีก
“อาก็คิดถึงน้องปัณณ์เหมือนกันค่ะ ไหนให้อาดูหน่อยสิว่าตัวสูงขึ้นหรือเปล่า” ฉันทัชปลดมือของหลานสาวและย่อตัวลงเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
“หนูสูงขึ้นนะคะ คุณครูบอกว่าสูงขึ้นสองเซนต์”
“อืม สงสัยจะจริง” ฉันทัชว่าตาม ไม่เจอพักเดียวเด็กหญิงเริ่มสูงขึ้นใกล้จะเป็นเด็กสาวแรกรุ่นเต็มที
“อาไทน์ล่ะคะ”
“อาไทน์ติดงานค่ะ เหมือนเดิม” ฉันทัชคร้านจะอธิบายว่าอินทัชไปรับน้องกาย ถ้าหากน้องปัณณ์รู้ ก็กลัวว่าหลานสาวอาจจะน้อยใจ
“ว้า ติดงานเหมือนอาปาลตลอดเลย” น้องปัณณ์ทำปากยู่เพราะคุณอาสายเลือดเดียวกันก็ไม่ค่อยอยู่ให้เห็นหน้าเช่นกัน
“ไว้คราวหน้าอาจันทร์ จะให้อาไทน์มารับไปกินไอติมนะคะ”
“อาจันทร์ก็ต้องมานะคะ แล้วกายด้วยก็ได้ค่ะ”
“ไม่กลัวน้องกายแย่งไอติมเราอีกหรือ” ฉันทัชแซว
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้ากายแย่ง น้องปัณณ์ก็จะบอกอาจันทร์ดีไหมคะ”
“เก่งมากค่ะ โตขึ้นอีกนิดแล้วนะเรา” ฉันทัชลูบศีรษะเด็กหญิงด้วยความรัก ความเอ็นดูเหมือนเช่นเดิม คิดๆ แล้วก็เริ่มใจหาย เลี้ยงมาตั้งแต่ยังคลาน เริ่มเดินได้ก้าวสั้นๆ ตอนนี้ตัวโตสูงขึ้นเลยเอวเขามาแล้ว
“แต่หนูอยากให้อาจันทร์กับอาปาลพาไปกินไอติมมากกว่า” จู่ๆ เด็กหญิงก็พูดขึ้นมา ฉันทัชแปลกใจกับคำพูดหลานสาว
“ทำไมหรือคะ”
“ถ้าอาจันทร์กับอาปาลไปด้วยกัน ก็จะเอาใจหนูคนเดียว แต่ถ้าอาไทน์มาด้วย บางทีอาไทน์ก็ไม่ตามใจหนู” ฉันทัชโล่งใจเมื่อได้ยินคำตอบของน้องปัณณ์ นึกว่าอะไรที่แท้ก็อยากถูกตามใจนี่เอง
ฉันทัชตามใจหลานสาวน้อยกว่าปาณัสม์ แต่ก็ยังใจอ่อนอยู่ดี ผิดกับอินทัชที่มักจะขัดฉันทัชอยู่หลายครั้งที่เห็นว่าเรื่องที่จะตามใจนั้นไม่สมควร ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่เอาเข้าจริง น้องปัณณ์ถูกตามใจน้อยกว่าบ้านอื่นอยู่มากโขเพราะทุกคนกลัวเด็กหญิงจะเสียนิสัยติดตัวไปกระทั่งโต
“อาไทน์ชอบแกล้งหนู” เด็กหญิงย้ำอีกครั้ง
“อาไทน์รักน้องปัณณ์น้า เห็นน้องปัณณ์น่ารักก็เลยแกล้ง” ฉันทัชแก้ตัวแทนน้องสาว
“ถ้าตอนบ่ายอาปาลกลับมาทัน อาจันทร์กับอาปาลพาหนูไปกินไอติมได้ไหมคะ” เด็กหญิง
สบโอกาสหาจังหวะทวงขอได้เป็นผลสำเร็จ
“ร้ายนะเรา” ฉันทัชบีบจมูกของหลานสาวทีหนึ่งไม่แรงนัก พอให้รู้สึกถึงความมันเขี้ยว
“ได้ไหมคะ หนูไม่ได้ไปกินไอติมกับอาจันทร์แล้วก็อาปาลนานแล้ว”
“ต้องรอถามอาปาลก่อนนะคะ ว่าอาปาลจะกลับมาทันไหมแล้วเหนื่อยหรือเปล่า ตกลงไหม” ฉันทัชใจอ่อนกับหลานสาวอีกครั้งหนึ่ง
“ได้เลยค่า หนูไปยกน้ำกับขนมมาให้นะคะ”
“อาจันทร์ขอไปหาคุณย่าก่อนได้ไหมคะ” ฉันทัชหมายถึงคุณหญิงกิ่งกานต์ เจ้าของบ้านที่ยังนอนหลับอยู่ข้างบน
“ค่า งั้นเดี๋ยวหนูไปขอพ่อปอนด์กับแม่เกดด้วย ดีใจจังเลย” เด็กหญิงศราลักษณ์หอมแก้มฉันทัชอย่างตั้งใจ ก่อนจะวิ่งตัวปลิวไปหาพ่อและแม่เพื่อขออนุญาตไปข้างนอก
ฉันทัชมองเด็กหญิงวิ่งจนหางเปียสองข้างขยับขึ้นลง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับภาพนั้นก่อนจะเลยขึ้นไปห้องนอนของคุณหญิง
ชายหนุ่มเคาะประตูสองสามครั้งแต่ไม่ได้ดังนัก ก่อนจะเปิดเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาต ถ้าหากคุณหญิงหลับอยู่ ฉันทัชก็จะได้ปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบดังเดิม แต่พอชะโงกหน้าเข้าไป เขาก็เห็นคุณหญิงลุกขึ้นนั่งเสมือนว่าตื่นขึ้นมาพักใหญ่แล้ว
“อ้าว เทมส์..แม่กำลังจะลงไปหาพอดี”
“แม่รู้หรือครับว่าเทมส์มา”
“จ้ะ”
“รู้ได้ไงครับ”
“ใจของแม่บอกจ้ะ” คุณหญิงบอกอย่างอารมณ์ดี
“พูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยหรือครับ” ฉันทัชเดินเข้าไปหอมแก้มมารดาอดีตคนรัก
“คิดว่าเจ้าปาลได้จากใครมาล่ะ” คำตอบของคุณหญิง ทำให้ฉันทัชถึงกับพูดไม่ออก เพราะมันก็จริงอย่างที่คุณหญิงว่า
“ไปจ้ะ ลงไปข้างล่างกัน”
“ครับ”
“แล้วมานี่ รู้ไหมว่าเจ้าปาลไม่อยู่” คุณหญิงถามระหว่างเดินลงบันไดมาชั้นล่าง
ฉันทัชหัวเราะ ใครๆ ก็ดูจะเป็นห่วงเขาเรื่องนี้เสียจริง “ไม่ทราบครับ เทมส์เพิ่งรู้จากพี่ปอนด์เมื่อสักครู่นี้เอง”
“เหรอจ๊ะ แม่ก็กลัวเทมส์ลำบากใจถ้ามาแล้วเจอตัวปัญหาอยู่ที่บ้าน” คุณหญิงหัวเราะตามบ้าง
“ไม่เป็นไรครับ ทุกวันนี้ลูกชายแม่ก็โผล่หน้ามาให้เห็นทุกวัน” ฉันทัชพูดออกไป เขาไม่คิดว่าเรื่องนี้คุณหญิงจะไม่รู้เห็น
“ถ้าอย่างนั้น ลูกชายแม่พอจะมีหวังบ้างไหมล่ะจ๊ะ” คุณหญิงอาศัยจังหวะนี้ถามกลับเมื่อเดินมาถึงโซฟาที่นั่งพอดี คนในบ้านก็รู้งาน รีบนำน้ำชาของว่างยามบ่ายมาวางไว้ ราวกับรู้ใจไม่ต้องรอให้เอ่ยทวงถาม
ฉันทัชหยิบขนมมากัดเข้าปากก่อนจะตามด้วยน้ำชาที่อวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาอย่างดี
“เทมส์ควรจะกลับไปดีไหมครับแม่” ฉันทัชถามออกไปทั้งที่รู้ว่า อย่างไรแล้วมารดาก็ต้องเข้าข้างลูกชายอย่างแน่นอน
“แม่เคยบังคับเทมส์ด้วยหรือ มานั่งข้างๆ แม่นี่จ้ะ แม่จะเล่าอะไรให้ฟัง” คุณหญิงตบที่นั่งข้างตัวก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบด้วยความพอใจ
ฉันทัชทำตามอย่างว่าง่าย คุณหญิงยิ้มก่อนจะเล่านิทานให้ฟัง “แม่กับพ่อของเจ้าปาลน่ะ ไม่ได้ชอบพออะไรกันแต่แรกหรอกนะจ๊ะ แม่ถูกส่งไปเรียนถึงเมืองนอก ตอนนั้นก็โก้เก๋เชียวล่ะ เลยไม่อยากแต่งงาน อยากทำงานใช้ความรู้ที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา แต่พ่อกับแม่ของแม่น่ะ เขาก็ยังมีความคิดแบบเก่าอยู่ เป็นผู้หญิงยิงเรือก็ควรแต่งงานมีเหย้ามีเรือนให้เรียบร้อย แต่เพราะแม่เพิกเฉย เขาเลยหาคู่ให้แม่เสียเลย”
“แล้วพ่อ...เขาก็โอเคเหรอครับ” ฉันทัชไม่รู้จักพ่อของปาณัสม์เลยแม้แต่น้อย ตอนที่คบกัน พ่อของปาณัสม์ก็ลาโลกนี้ไปแล้ว
“ไม่เลยจ้ะ ไม่เลย เขาก็หัวดื้อเหมือนกัน รายนี้ก็ไม่เบา บ้างานไม่ต่างอะไรกับเจ้าปาลหรอก แต่ลูกคนจีนล่ะนะ ก็ขัดพ่อแม่ลำบากหน่อย เลยได้จับพลัดจับผลูมาแต่งงานกัน”
“เทมส์คิดว่าแม่รักกับพ่อเลยแต่งงานกันเสียอีก”
“ช่วงปีแรก แม่ก็ยังไปทำงานอยู่ พอคลอดเจ้าปอนด์นั่นแหละ แม่ถึงหยุดไปทำงาน หันมาเลี้ยงลูกเต็มตัว ยังไงเลี้ยงเองก็ดีกว่าให้คนอื่นเลี้ยงให้ใช่ไหม”
ฉันทัชพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็อยู่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งคลอดเจ้าปาล ทีนี้ล่ะ บริษัทกำลังก้าวหน้า พ่อเจ้าปาลก็เอาแต่ทำงาน แม่ก็เข้าสู่ภาวะหลังคลอด คิดนั่นผูกนี่ไปเรื่อย เลี้ยงลูกไป ร้องไห้ไป นึกๆ ดูแล้วก็ตลกตัวเอง”
“จริงเหรอครับ” ฉันทัชไม่เคยรู้หรือได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
“จ้ะ สุดท้ายแม่เลยหอบข้าวหอบของกลับบ้าน พ่อเจ้าปาลก็กระไร คิดว่าแม่เหนื่อย คงจะให้ตายายช่วยเลี้ยงหลาน เลยไม่ได้มาตามแม่กลับบ้าน”
“แม่ไม่โกรธหรือครับ”
“น้อยใจมากกว่า จนเจ้าปาลเกือบจะขวบแล้วนั่นแหละ เขาถึงคิดได้มาตามแม่กลับบ้าน ว่าไป เจ้าปาล ลูกชายคนนี้ก็ถอดแบบพ่อเขามาเลยว่าไหม”
ฉันทัชไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มแห้งแล้วจึงถามต่อว่า
“แม่ก็ยอมกลับมาหรือครับ”
“ใช่จ้ะ กรณีแม่น่ะ ตัดสินใจไม่ยากเพราะเจ้าปอนด์ก็บ่นคิดถึงพ่ออยู่ทุกวี่ทุกวัน แม่ก็ยังมีความคิดว่าผัวเดียวเมียเดียวดีกว่าเปลี่ยนคู่ไปเรื่อย และที่สำคัญคือแม่รักพ่อเขา การกลับไปจะทำให้แม่มีความสุขกว่าเดิม”
“แล้วมีความสุขไหมครับ”
“มากเลยจ้ะ” คุณหญิงมองถ้วยน้ำชานิ่ง ฉันทัชมองตามคิดว่าคุณหญิงคงกำลังหวนนึกถึงอดีต จึงไม่พูดอะไรขัดจังหวะ
“ที่แม่เล่าให้ฟัง ไม่ได้ต้องการให้เทมส์มาคิดหรือทำตามแม่หรอกนะจ๊ะ ถ้าเทมส์คิดว่า ตอนนี้ดีอยู่แล้วไม่ได้โหยหาที่จะกลับไป ก็ไม่ต้องกลับไป แต่ถ้าเทมส์คิดว่า ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว และจะดีกว่านี้อีกถ้ามีอีกคนเข้ามาในชีวิต ก็ค่อยคิดทบทวนใหม่ดีไหม ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ทุกอย่างมันมีข้อดีข้อเสียทั้งนั้น ค่อยๆ คิดดู เพราะถ้าเราแก้ไขปัญหาไม่ได้ สุดท้ายผลก็จะจบลงเหมือนเดิมจ้ะ”
ยังไม่ทันที่ฉันทัชจะได้พูดหรือตอบอะไร เด็กหญิงหางเปียก็วิ่งผ่านหน้าคนทั้งคู่ไปอย่างรวดเร็ว
“นี่น้องปัณณ์วิ่งไปหน้าบ้านทำไม” คุณหญิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ปาลกลับมาแล้วไงครับ คงไปรอรับอา” ศรารัณที่อุ้มบุตรชายคนเล็กเข้ามาพอดีช่วยคลายความสงสัยให้มารดานิดหน่อย
“ร้อยวันพันปีก็ไม่ได้วิ่งเร็วอย่างนี้นี่นา” คุณหญิงยังแปลกใจ
“เด็กจะอ้อนคุณอาน่ะครับ ขอไปกินไอติม” ฉันทัชเฉลยให้เสียเอง ก่อนจะลุกขึ้นไปดูน้องปุณณ์เสียหน่อย หน้าตาจิ้มลิ้ม ผมดกดำ สร้างความเอ็นดูให้กับฉันทัชไม่น้อย เสียดายที่เขาไม่ค่อยได้มีโอกาสดูแลหรือช่วยเลี้ยงเด็กคนนี้เสียเลย
“ถ้าย้ายกลับมา พี่จะให้เทมส์ช่วยเลี้ยงนะ พี่กับเกดจะได้สบาย” ศรารัณพูดราวกับอ่านใจคนตรงหน้าออก
“เจ้าปอนด์ เดี๋ยวเถอะ ลูกตัวเองแท้ๆ เอะอะก็จะให้เทมส์เลี้ยง แล้วก็บ่นว่าลูกไม่รัก” คุณหญิงดุลูกชายเสียเอง
“โธ่ แม่ครับ ปอนด์ก็พูดเล่นเฉยๆ ถ้าเทมส์ย้ายกลับมาจริง แม่ก็ดีใจไม่ใช่หรือ” ศรารัณบอกอย่างรู้ใจ
“ย่ะ!” คุณหญิงกระแทกเสียงใส่บุตรชายเล็กน้อยพอเป็นพิธี เพราะใจจริงเธอก็ปรารถนาเช่นนั้นอยู่แล้ว
“คุณพ่อขา คุณย่าขา” เสียงใสดังขึ้น “อาปาลบอกถ้าอาจันทร์ไปด้วยจะพาหนูไปกินไอติมค่ะ” เด็กหญิงศราลักษณ์ยิ้มหน้าแป้นเข้ามาแล้วกระโดดเกาะแขนคุณอาจันทร์
“รับปากหลานแล้ว ห้ามผิดคำพูดนะเทมส์” ศรารัณบอก
ฉันทัชยิ้มให้กับพี่ชายอดีตคนรักก่อนจะหันมาบอกหลานสาว “ให้อาปาลนั่งพักสักหน่อย แล้วเราค่อยออกไปกันนะคะ”
“ตกลงค่ะ เดี๋ยวหนูไปเอาน้ำมาให้อาปาลก่อน” สิ้นคำพูด หลานสาวคนเดียวของบ้านก็วิ่งหายเข้าไปที่หลังบ้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คุณอาและคุณพ่อส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความเอ็นดูในตัวเด็กหญิง
“เวียนหัวตาลายเลยเชียว วิ่งปรูดไปทางนั้นที ทางนี้ที” คุณหญิงหยิบยาดมขึ้นสูดเสียงดัง
========================================
คู่นี้เขามีมุมผลัดกันเป็นผู้มีวางอำนาจค่ะ
เจอกันวันอังคารค่ะ
HASHTAG #ภาคต่อของความรัก