ภาคต่อของความรัก - ภาคพิเศษ ภาคแห่งความวุ่นวาย END หน้า 13 UP!! 09/02/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ภาคต่อของความรัก - ภาคพิเศษ ภาคแห่งความวุ่นวาย END หน้า 13 UP!! 09/02/2019  (อ่าน 70729 ครั้ง)

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

ภาค 5 ความเคยชิน มันน่ากลัว



            “เมื่อก่อนกูว่ามึงเที่ยวถี่แล้วนะ มึงยังเลือกทำงานมากกว่าเที่ยว ตั้งแต่มึงเลิกกับเทมส์ กูว่ามึงเลือกเที่ยวมากกว่างานว่ะไอ้ปาล” จักรีวิเคราะห์เพื่อนตรงหน้า เพื่อนของเขาได้สถานะโสดคืนมา ผู้หญิงมากมาย สาวน้อย สาวใหญ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ชาย เข้ามาพัวพันไม่หยุดหย่อน เนื้อหอมราวกับเป็นพ่อม่ายเมียหย่า ทั้งที่จริงเพียงถูกคนรักบอกเลิกอย่างเฉียบพลันเท่านั้นเอง

            “ยุ่ง” ปาณัสม์ตอบ มือขาวยกแก้วเหล้ากระดกรวดเดียวลงคอ

“ชงให้หน่อย” เขาส่งแก้วเหล้าไปให้ชัดเจน ทางนั้นก็รับไปชงด้วยความเคยชิน ไร้การปฏิเสธ

            “กินเยอะไปแล้วหรือเปล่าวะ ทำเหมือนพรุ่งนี้จะตายงั้นแหละ”

            “ไม่ตาย กูไม่ตายหรอก” ปาณัสม์เถียง เขายังไม่ยอมตายเพราะยังใช้ชีวิตโสดไม่คุ้ม


            “เลิกกับเทมส์มาเนี่ย มึงคั่วไปกี่คนแล้ว”

            “ไม่ต้องพูดชื่อนั้นให้กูได้ยิน” ปาณัสม์เหวี่ยงใส่เพื่อน ชัดเจนเกาหัวแกร่กๆ

            “ทำไมจะพูดชื่อเทมส์ไม่ได้” จักรีไม่ยอม ในเมื่อเลิกกันแบบสันติ

            “เออ กูบอกไม่ต้องพูดก็ไม่ต้องพูด อย่ามาทำให้อารมณ์เสีย” จักรีหันไปมองกับชัดเจนด้วยความไม่เข้าใจ เป็นอะไรของมัน

            “พี่ปาลใช่ไหมคะ หนูเห็นพี่มาที่นี่แทบทุกคืน” หญิงสาวในชุดเดรสกระโปรงเกาะอกสีแดง เดินถือแก้วเหล้าเข้ามาถาม

            “ครับ รู้จักพี่ด้วยเหรอ” ปาณัสม์ยิ้ม ใช้น้ำเสียงและแววตาผิดกับที่สนทนากับจักรีเมื่อสักครู่นี้ลิบลับ

            “ไม่มีใครไม่รู้จักพี่หรอกค่ะ พี่จักรก็ด้วย”

            “ขอบคุณครับ” ไม่คิดว่าอานิสงส์ของเพื่อนจะมาตกที่หัวของเขาด้วย จักรียิ้มให้หญิงสาวเช่นกัน

            “ไปคุยกับหนูที่โต๊ะไหมคะ” หญิงสาวบอก มือข้างที่ว่างก็สะกิดแขนของปาณัสม์เป็นสัญญาณเชิญชวน

            “เอาสิ” มีหรือที่อดีตเสือเก่าอย่างปาณัสม์จะปฏิเสธ  ชายหนุ่มโบกมือบอกจักรีและชัดเจนเป็นพิธีก่อนจะเดินตามหญิงสาวไป

            “ตั้งแต่มันกลับมาโสด กูก็ไม่ได้กินอีก เซ็งว่ะ” จักรีบ่น

            “นอยด์เหรอครับ คุณจักร”

            “นิดหน่อย ไม่ใช่ที่มันมีผู้หญิงเข้ามาหรอก แต่ติดใจว่ามันทำเหมือนไม่เคยรักเทมส์เลยซะอย่างนั้น เลิกปุ๊บ มั่วคนใหม่รัวๆ” จักรีหันไปมองโต๊ะที่เพื่อนของเขาเดินไป ปาณัสม์กำลังชนแก้วเหล้ากับหญิงสาวกลุ่มนั้น เขาได้แต่ส่ายหัวเบาๆ กับความร่าเริงและเฟรนด์ลี่ของมัน

            “อ่า..ครับ” ชัดเจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เขาไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเรื่องของเจ้านาย

            “ได้คุยกับเทมส์บ้างหรือเปล่า” จักรีถาม

            “ปกติผมกับคุณเทมส์ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่หรอกครับ”

            “ไม่ได้คุยเลยเหรอ”

            “ครับ หลังจากวันนั้นที่ผมไปส่งคุณเทมส์ก็ไม่ได้เจอกันอีก”

            “ไม่รู้เป็นไงบ้าง ไอ้เพื่อนเวรนั่นยังมีกู มีมึง มีแม่ มีพี่ มีหลาน มีคนรอบตัวเยอะแยะไปหมด”

            “คุณไทน์คงดูแลอยู่” คราวนี้ชัดเจนออกความเห็น

            “อย่างนั้นก็ดี...ขอให้เทมส์ได้เจอคนดีๆ แม่งด้วยเถอะ” จักรียกมือไหว้ขอพรกลางผับ โดยไม่สนใจคนที่มองมาทางเขา


            ภาวะหนักอกหนักใจคงหนีไม่พ้นคนอย่างชัดเจน ลูกพี่ของเขาหิ้วสาวออกมาจากผับอีกแล้ว ตัวเขาล่ะ จะปล่อยให้ปาณัสม์ไปแบบนี้เหรอ ไม่ได้ ชายหนุ่มทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถไปส่งเจ้านายยังเป้าหมายที่เป็นโรงแรมในค่ำคืนนี้ เมื่อก่อนเขาแค่ไปส่งปาณัสม์ที่คอนโดแล้วตรงดิ่งกลับบ้านก็เป็นอันว่าหมดธุระของเขา


            แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ชัดเจนไปส่งผู้เป็นนายแล้วยังต้องนั่งเฝ้ารอชายหนุ่มเสร็จกิจอีกด้วย แถมยังต้องยัดกล่องถุงยางใส่มืออีกฝ่ายไปอีก กำชับปากแทบฉีกถึงหูว่าอย่าลืมป้องกัน ทำตัวไม่ต่างอะไรกับพี่เลี้ยงเด็ก ถ้าเข้าไปในห้องได้ชัดเจนคงทำไปแล้ว ชายหนุ่มมองนาฬิกาบนข้อมืออย่างเบื่อๆ อีกสักชั่วโมง ปาณัสม์คงกลับออกมา

            “ทำไมถึงมาที่โรงแรมล่ะคะ พี่ปาล” หญิงสาวเขย่งตัวจูบแก้มชายหนุ่ม


            “โรงแรมอยู่ใกล้”

            “แหม พอตอนเช้าก็ต้องรีบกลับสิคะ”

            “จะนอนต่อก็ได้ เดี๋ยวพี่จ่ายค่าโรงแรมเผื่อไว้ ไม่ต้องกังวลหรือจะเอาค่าขนมด้วยก็บอก” ปาณัสม์บอกอย่างใจป้ำ แต่มันกลับไม่ได้ถูกใจหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย หากเธอก็ไม่ได้พูดอะไร


            คนกึ่งเมา กึ่งมีสติสองคนกว่าจะลากสังขารร่างกายมาที่ห้องได้ก็เสียเวลาไปร่วมสิบห้านาที ทั้งคู่รีบร้อนเมื่อเข้ามาในห้อง เหวี่ยงรองเท้าไปคนละทิศทาง โรมรัน พัวพัน ไม่รู้ว่ามือใครเป็นมือใคร ลิ้นเปียกชื้นกอดเกี่ยวกระหวัดไม่ถอยห่างให้ต้องทวงถาม


            มือหนาฟอนเฟ้นร่างกายอีกฝ่ายไร้ความปราณี ทรวงอกอวบอิ่มแนบแน่นอยู่กับอกกว้างที่มีเสื้อเชิ้ตสีขาวขวางกั้นอยู่ ทว่าไม่มีใครสนใจ ชุดกระโปรงสีแดงถูกดึงร่วงลงไปกองอยู่ปลายเท้า ปาณัสม์ดันร่างหญิงสาวให้นอนบนเตียงสะอาดนั้นอย่างขอไปที ไม่ได้คิดนุ่มนวล แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้สนใจจากรสสวาทที่กำลังครอบงำจนหลงมัวเมากับความรู้สึกที่เกิดขึ้น


            เสียงครวญครางจากน้ำเสียงหวานดังเข้ามาให้ได้ยิน จิตใจเตลิดเพลิดเพลินไปกับสัมผัสที่ถูกก่อตัวอย่างรุนแรง ปาณัสม์คลี่ยิ้มออกมาบดจูบให้แนบแน่น เขารูดซิปเป้ากางเกงลง รีบร้อนไม่แม้แต่จะถอดมันออก ชายหนุ่มอาศัยสติอันน้อยนิด ระลึกถึงสิ่งที่ชัดเจนยัดใส่มือมาให้ เขาควานมือหาถุงยางที่วางอยู่บนเตียง


            เขาฉีกซองออกอย่างเบามือ เตรียมจะสวมมันลงไป

            “หนูใส่ให้นะคะ” มือที่จับซองนั้นชะงัก


            ‘จันทร์ใส่ให้นะ’ ปาณัสม์สลัดศีรษะ ในสถานการณ์เข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้ เขายังมาคิดเรื่องอดีตอยู่ทำไม


            “เอาสิ” ชายหนุ่มอนุญาต หญิงสาวลงมืออย่างคล่องแคล่ว เพียงครู่เดียว ส่วนล่างของชายหนุ่มก็ถูกจัดการอย่างเรียบร้อย


            ปาณัสม์ดันร่างของหญิงสาวลงนอนอีกครั้ง ริมผีปากละโมบจูบลงบนเนินอกขาวที่ล่อตาล่อใจ มืออีกข้างจับส่วนล่างของตัวเองเอาไว้ ไม่ต้องพูดอะไรหญิงสาวอ้าขาให้กว้างขึ้นอีก ปาณัสม์ยิ้มออกมาด้วยความพอใจที่อีกฝ่ายเป็นงาน

            “เข้ามาเลยค่ะ”


            ‘จันทร์พร้อมแล้ว’

            ทั้งที่จะถึงปราการสุดท้ายอยู่แล้ว ทำไมคำพูดของคนๆ นั้น ต้องผุดขึ้นมาในสมองของเขาด้วย เลิกแล้วก็เลิกกันไปสิวะ จะกลับมารังควานเขาทำไม


            ปาณัสม์พยายามจะยัดอาวุธของตัวเองเข้าไปในร่างอีกฝ่าย เขาพยายามแล้ว แต่มันทำไม่ได้ จนหญิงสาวที่นอนอยู่ถึงกับลุกขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดใจ สิ่งที่เธอรอคอยทำไมถึงไม่เกิดเสียที

            “อะไรกันคะพี่ปาล” หญิงสาวมองสภาพที่ห่อเหี่ยวของบริเวณนั้นอีกฝ่ายแล้วก็หน้าผิดสี

            “ขอโทษนะ พี่ทำไม่ได้” ปาณัสม์พูดเพียงแค่นั้น รีบลุกขึ้นยืน ดันแว่นให้เข้าที่ ถอดถุงยางออกแล้วทิ้งมันลงถังขยะ รูดซิปกางเกงขึ้น

            “ไม่ได้นะคะ จะทำแบบนี้กับหนูไม่ได้นะพี่ปาล” เธอพูดรั้งเอาไว้ หญิงสาวตาโต มองทุกการกระทำ

            “คนมันทำไม่ได้ ไม่เข้าใจหรือไง!” ปาณัสม์บอกอย่างหัวเสียก่อนจะสวมรองเท้าแล้วเปิดประตูตามไป ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวกับเสียงประตูที่ถูกปิดเสียงดัง


            ชัดเจนเห็นลูกพี่กลับขึ้นมาบนรถ ท่าทีของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ชายหนุ่มเห็นอาการของปาณัสม์เป็นแบบนี้ทุกครั้งหลังจากลงมาจากโรงแรม ทั้งที่น่าจะสบายตัวแท้ๆ ทำไมถึงมีสีหน้าที่แสดงออกมาด้วยความไม่พอใจอย่างนั้นกันเล่า

            “ไอ้ชัด ออกรถ” ปาณัสม์พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

            “ครับ” ชัดเจนได้ยินเสียงถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าเจ้านายกำลังเป็นอะไรหรือจะไม่พอใจหญิงสาวคนเมื่อครู่


            ถ้าอย่างนั้นตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกฝ่ายไม่พอใจผู้หญิงสักคนเลยหรือ?


            ปาณัสม์เดินเซเล็กน้อยจังหวะที่เดินเข้ามาในห้องนอน แล้วเดินต่อไปที่ห้องน้ำ ไม่คิดที่จะนอนหลับไปบนเตียงเหมือนเก่า ไม่มีเสียงบ่นของอีกคนมาคอยว่าเวลาที่เขาเมาแล้วไม่อาบน้ำ จนกลิ่นเหล้าเหม็นตลบไปทั่วหมอนและผ้าปูที่นอน


            ปาณัสม์แค่นยิ้มกับตัวเอง


            เขากลับออกมาด้วยสติที่ครบถ้วน ไร้ร่องรอยของความมึนเมา ปาณัสม์เดินออกจากห้องนอนไปยังห้องข้างๆ เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้องโดยไม่ได้เปิดไฟ แสงไฟจากถนนและแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องพอให้มองเห็นอยู่บ้าง ชั้นหนังสือที่ติดผนัง มันเคยถูกอัดแน่นไปด้วยหนังสือ บัดนี้ไม่มีหนังสือพวกนั้นอีกแล้ว ถ้าจะมีอะไรหลงเหลือเอาไว้ก็คงเป็นหนังสือของเขา


            ปาณัสม์หยิบกรอบรูปที่ถูกคว่ำอยู่บนชั้นให้ตั้งขึ้น มันเป็นรูปของเขากับฉันทัชตอนที่ย้ายมาอยู่ห้องนี้ด้วยกันในวันแรก ฉันทัชไม่ได้เอามันไปด้วย เพียงคว่ำมันไว้เฉยๆ


            หลังจากที่เลิกกับฉันทัช เขาไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลยสักครั้ง ไม่รู้ทำไมครานี้ ถึงอยากเข้ามาในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของคนที่ใช้มันตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลิ่นนั้นเริ่มบางเบาลงเพราะความอับและฝุ่นที่อยู่ในห้อง


            ปาณัสม์เดินไปที่โต๊ะหนังสือตัวใหญ่ เขาไล้มือลงบนโต๊ะนั้นอย่างไม่รู้ตัว ก่อนหน้านี้มันมีหนังสือกองใหญ่กับโน้ตบุ๊กที่เจ้าของใช้ค้นคว้าเวลาทำงาน ของเหล่านั้นก็อันตรธานไม่อยู่ที่ตรงนี้แล้วเช่นกัน นอกจากกระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นเล็กวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับแหวนวงหนึ่ง ปาณัสม์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาไม่ได้สนใจแหวนวงนั้น ชายหนุ่มเลือกที่จะหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน


            ‘Love you always
                                 Thames’



            ฉันทัชก้าวออกไปจากชีวิตเขาอย่างสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งชื่อที่เขาตั้งให้ ฉันทัชก็เลือกไม่ใช้มันอีก คงเหลือไว้เพียงคนรู้จักอย่างนั้นล่ะมั้ง


            ปาณัสม์หยิบกระดาษแผ่นนั้นกับแหวนติดมือกลับไปที่ห้องนอน เขาวางมันลงโต๊ะข้างหัวเตียงด้วยความถนอม ราวกับกลัวว่ามันจะฉีกขาด ชายหนุ่มเอนตัวลงนอน หันหน้าไปยังที่ว่างที่เคยเป็นที่ของอีกคน มือหนาวางมือลงหมอนสีขาวนั้น


           “จันทร์...จันทร์จ๋า”










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2019 14:09:07 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
             
            ถึงจะผ่านมาหลายปีแล้ว ร้านนี้ยังเหมือนเดิม กระทั่งการตกแต่งก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงการบำรุงดูแลให้ร้านคงสภาพดี ฉันทัชมองไปรอบๆ รู้สึกพอใจ เขาคิดไม่ผิดที่ยกให้ร้านนี้เป็นร้านโปรด ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งในมุมประจำของตัวเอง


            เขาชอบนั่งบริเวณเคาท์เตอร์บาร์ มันเป็นความชื่นชอบส่วนตัวที่ได้เห็นบาร์เทนเดอร์ชงเหล้า ผสมค็อกเทลหรือเครื่องดื่มต่างๆ ด้วยความคล่องแคล่ว ถ้าหากสนิทหน่อย เขามักจะขอลองชิมดูบ้าง ไม่รู้ว่าบาร์เทนเดอร์ที่เจอส่วนใหญ่นั้นใจดีหรือแพ้ความอ้อนของตัวเองจึงทำให้เขาได้ลองชิมอะไรแปลกๆ อยู่เป็นประจำ


           “GIN LIME RICKEY” ฉันทัชสั่งกับพนักงานประจำเคาท์เตอร์ ชายหนุ่มพยักหน้า ไม่นานเครื่องดื่มก็ถูกวางลงตรงหน้าด้วยความนุ่มนวล


            ฉันทัชยกแก้วขึ้นมาจิบ เขาไม่ได้ตั้งใจมาเมาแค่มาผ่อนคลายบรรยากาศตามประสาคนโสดเพียงเท่านั้น อีกทั้งพรุ่งนี้ยังมีงานที่ต้องทำ ชายหนุ่มไม่อยากเมาจนเสียงานเสียการ พอดีพอร้ายจะไม่ได้ทำงานจนอดตายและอินทัชก็คงเสียหน้าที่อุตส่าห์แนะนำงานให้


            ชายหนุ่มโยกศีรษะเบาๆ ตามเสียงเพลงที่เปิดในร้านนั้นอย่างถูกอกถูกใจ จนเครื่องดื่มแก้วแรกนั้นหมดลงไปอย่างไม่ทันรู้ตัว เขาสั่งแก้วใหม่ทันทีโดยไม่ได้เงยหน้ามองพนักงาน

            “เอ๋ ใช่เทมส์หรือเปล่า?” เสียงคนในเคาท์เตอร์ส่งเสียงประหลาดใจตอนที่เรียกชื่อฉันทัช

            “ใช่ คุณ..อ้าว ยังทำงานอยู่ที่นี่เหมือนเดิมหรือ” ฉันทัชแปลกใจคนตรงหน้าคือพนักงานของที่นี่ สมัยที่เขาแวะมาเที่ยวเสมอๆ

            “ยังทำอยู่ แต่เลื่อนขั้นแล้วนะ ตอนนี้เป็นผู้จัดการแล้วล่ะ” อีกฝ่ายพูดคุยอย่างเป็นกันเองเพราะฉันทัชมาบ่อยจึงสนิทกันระดับหนึ่ง

            “เยี่ยมมาก” ชายหนุ่มเอ่ยชม

            “ไม่เห็นเสียหลายปี นึกว่าจะไม่มาอีกแล้ว หายไปไหนมา”

            “โทษที หายไปแต่งงานมาน่ะ...แต่ตอนนี้เลิกแล้ว” ฉันทัชคร้านจะอธิบายว่าจริงๆ ไม่มีพิธีการแต่งงาน แค่อยู่กินกันเฉยๆ แต่ก็เลือกให้ฝ่ายนั้นเข้าใจแบบนี้ดีกว่า

            “อ้าว เสียใจด้วยนะ” สุ้มเสียงทางนั้นแสดงว่าเสียใจ ไม่ได้เอ่ยเป็นมารยาท

            “ขอบใจ ผมโอเคแล้ว ที่นี่ยังเหมือนเดิมเลย” ฉันทัชยิ้มรับพลางเปลี่ยนเรื่องคุย

            “ใช่ อาเฮียเขาไว้อาลัยให้เมียที่ตายไป” บาร์เทนเดอร์ที่กลายมาเป็นผู้จัดการร้านอธิบายถึงเจ้าของร้านนี้ การตกแต่งร้านคือสิ่งที่ภรรยาเก่าของอาเฮียนั้นชอบ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงไม่เปลี่ยนแปลง

            “อืม เฮียสบายดีนะ”

            “สบายดี เจ็บป่วยบ้างก็ตามประสาคนแก่”

            “ลูกๆ ล่ะ มาดูร้านบ้างไหม”

            “ไปทำอย่างอื่นกันหมด ไม่ค่อยสนใจหรอก” ทางนั้นว่าพลางส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความระอาใจ

            “อย่างนั้นเหรอ” ฉันทัชคิดว่าเขาเป็นคนนอกจึงไม่ควรออกความเห็นใดๆ เขารับคำโดยไม่ต่อความยาว

            “ขอตัวไปจัดการทางฝั่งนู้นหน่อยนะ” ทางนั้นว่า ฉันทัชพยักหน้าว่าเข้าใจ “ดีใจที่ได้เจอกันอีก”

            “เช่นกัน”

            เมื่อคนหนึ่งไป อีกคนก็เข้ามา ดูจากการแต่งตัวแล้วฉันทัชว่าก็คงเป็นลูกค้าของร้านเหมือนกับเขา คงไม่ใช่พนักงานของร้าน ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้สตูลบาร์ข้างเขา

            ฉันทัชไม่ได้เอ่ยห้าม อีกฝ่ายจะเลือกนั่งตัวไหนก็ได้ แต่เก้าอี้มีหลายตัวยังว่างอีกถมไป ทว่าทางนั้นกลับเลือกที่นั่งใกล้เขา คงไม่มีความหมายให้เดานอกจากนี้

           “หน้าคุ้นๆ” เริ่มทักคำแรก ฉันทัชนึกอยากจะถอยหนี ไม่ว่าจะคนชาติไหนก็ชอบใช้วิธีการจีบ
แบบนี้น่ะเหรอ

           ‘มุกนี้ไม่เชยไปหน่อยหรือ?’

           “มุกเก่าไปนะครับ”

            “ผมพูดจริงๆ หน้าคุณดูคุ้นมาก เหมือนเคยเห็นที่ไหน”

            “ใครๆ ก็พูดแบบนั้น” ฉันทัชยิ้ม ยกเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกเล็กน้อย

            “ไม่ใช่ คุณกำลังเข้าใจผิด ผมไม่ได้พูดเพราะจะเข้าหาคุณแบบนั้น”


            “แล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลยหรือ” ฉันทัชย้อน

            “ถ้าจะบอกว่าไม่เลยคงจะโกหกที นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งแต่หน้าคุณก็คุ้นมาก เหมือนเคยเห็นที่ไหนจริงๆ”

            “แต่ผมไม่เคยเจอคุณมาก่อน” ฉันทัชบอกอีกครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายล้มเลิกความคิดนั้นไป

            “นึกออกแล้ว คุณมีญาติเป็นดารานักร้องอะไรเทือกนี้หรือเปล่า” ฝ่ายนั้นยังไม่ละความพยายาม

            “ก็ไม่เชิง” เขายิ้ม เอาเถอะจะหว่านแห อะไรก็หว่านไป ยังไงเขาก็ไม่หลงกลหรอก

            “นั่นไง ใช่จริงๆ ด้วย” อีกฝ่ายตื่นเต้นราวกับได้พบกับดาราเองก็ไม่ปาน
         
            “สบายใจหรือยัง” ฉันทัชพูดขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปาก ไม่เชิงว่าเยาะเย้ยแต่แค่นึกขำกับความตั้งใจของผู้มาใหม่

            “ผมไม่เคยเห็นคุณที่นี่มาก่อน”

            “ก็ไม่แปลก เพิ่งมาที่นี่น่ะ” เขาตอบพลางพินิจใบหน้าคนด้านข้าง พอได้มองชัดๆ ถึงเห็นว่ารูปร่างหน้าตาของคนนี้คล้ายกับอีกคนที่เพิ่งเลิกรากันไป

            มองไปมองมาก็เพลินตาดี ไทป์แบบที่ชอบ อย่างไรก็น่ามอง

            “ร้านนี้คลาสสิกมาก คุณว่าไหม”

            “อืม ร้านสวย” ฉันทัชตอบ ไม่ได้นึกรำคาญ ดีเหมือนกัน มีคนชวนคุยบ้างก็ดีกว่านั่งเบื่อๆ

            “ยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” ฝ่ายนั้นเริ่มแสดงความรู้จักมากขึ้น ฉันทัชขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดในใจว่าควรจะบอกดีไหม

            “โนเนมน่ะ” เขายิ้มให้

            “ไม่มีชื่อหรือชื่อนี้” ฝ่ายนั้นทำหน้างงเล็กน้อย

            “ตรงตัว ไม่มีชื่อ”

            “แล้วผมจะเรียกคุณว่าอะไรล่ะ” ทางนั้นบ่น ท่าทางจีบปากจีบคอนั่นก็ดูน่ารักดีเหมือนปาณัสม์ทำเวลาที่เจ้าตัวงอนเลย

            “ตามใจ อยากเรียกอะไรก็เรียก จะเรียกว่าโนเนมก็ได้นะ ผมไม่ถือหรอก ยังไงก็ไม่ได้เจอกันอีกอยู่ดี”

            “รู้ได้ไง พรหมลิขิตอาจจะทำให้เราเจอกันอีกก็ได้ เหมือนวันนี้ไง”

            “งั้นมั้ง” ฉันทัชเออออ โลกมันไม่ได้แคบขนาดนั้น

            “ไม่เชื่อเหรอ” ทางนั้นท้า

            “ไม่ได้บอกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าเจอก็เจอสิ ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้วนี่” เขาตอบ

            “ผมจะเรียกคุณว่าเยว่ซิน ดีไหม ชอบหรือเปล่า” ฉันทัชหน้ากระตุก

            “ไม่ชอบ” เขารีบปฏิเสธ

            “ทำไม ชื่อนี้แปลว่าดวงจันทร์แห่งความสุข ความหมายดีนะ”

            “หน้าผมดูขรุขระเหมือนดวงจันทร์หรือมีความสุขล่ะ” ฉันทัชประชดถาม

            “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดสิ นี่ผมหวังดีต่างหาก”

            “ว่ามา”

            “ดวงตาคุณสวยเหมือนดวงจันทร์”

            “มุกอะไรของคุณ ไม่เห็นหรือว่าตาผมไม่ได้กลมโต” ฉันทัชส่ายหน้ากับการเปรียบเปรยของอีกคน

            “ไม่ได้เกี่ยวกับรูปลักษณ์เสียหน่อย ผมกำลังบอกว่าดวงตาคุณสวยไง”

            “อย่างนั้นเหรอ”

            “อีกอย่างนะ” ทางนั้นเงียบลง จนฉันทัชแปลกใจอดถามกลับไปไม่ได้

            “อีกอย่างอะไร”

            “ท่าทางคุณดูเศร้า ผมเลยอยากให้คุณมีความสุขเหมือนชื่อที่ผมตั้งให้”

            “หึ” ฉันทัชแค่นเสียงตอบ ท่าทางของเขาแสดงออกชัดขนาดนี้เชียวหรือ

            “ผมไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมาแต่คนที่ทำให้คุณเศร้าอะ โคตรแย่เลย”

            ฉันทัชชี้หน้าไปที่อีกฝ่าย จนทางนั้นตกใจ

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ” อีกฝ่ายร้อนตัวรีบปฏิเสธ

            “เปล่าสักหน่อย ก็คุณถามไม่ใช่หรือว่าใครทำผมเศร้า คนที่หน้าคล้ายคุณนั่นแหละ”

            “จริงเหรอ ไม่น่าเชื่อ” คนพูดชี้มือเข้าหาตัวเอง พลางส่ายหน้า

            “ผมล้อเล่น” ฉันทัชหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึก

            “โล่งอกไปที” อีกฝ่ายยกมือลูบหน้าอกแสดงว่าคลายความกังวล

            บทสนทนาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง อีกฝ่ายชวนคุยเรื่อยๆ อะไรที่ฉันทัชตอบได้เขาก็ตอบ ไม่ได้พยายามหลบเลี่ยง แต่ฝ่ายนั้นก็มีมารยาทพอที่จะไม่ถามเรื่องส่วนตัว ทำให้ชายหนุ่มค่อนข้างคุยกับอีกฝ่ายได้อย่างสบายใจทีเดียว

            “ไปห้องน้ำแป๊บนะ” ฉันทัชบอกก่อนจะลุกไป เขามึนหัวเล็กน้อย ถึงจะยังไม่เมาแต่ก็ดื่มไปหลายแก้วเช่นกัน


            ฉันทัชล้างมือ วักน้ำมาลูบหน้าลูบแขนหวังให้สมองโปร่ง ถ้ากลับไปที่โรงแรมด้วยสภาพนี้ อินทัชต้องดุและบ่นเขาอีกยืดยาว คนเป็นพี่ยังไม่อยากฟังคำเทศนาเหล่านั้น ตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวจะบอกชายหนุ่มคนนั้นว่าจะกลับแล้ว วันนี้ที่อีกฝ่ายมานั่งคุยเป็นเพื่อนเขารู้สึกสนุกมาก

            ทว่าพอเดินออกมาจากประตูห้องน้ำก็เจอคนที่ว่านั้นยืนอยู่ตรงหน้า

            “มาเข้าห้องน้ำเหมือนกันเหรอ” ฉันทัชถาม

            “เปล่า ผมตั้งใจมาหาคุณ เยว่ซิน” จู่ๆ ฝ่ายนั้นก็พูดจาไม่อ้อมค้อม

            “กำลังจะกลับไปพอดี ไปคุยกันที่โต๊ะสิ”

            “คุยตรงนี้ไม่ได้หรือ”

            “เป็นอะไรหรือเปล่า ตะกี้ก็ดูปกติดีนะหรือว่าเมา?” ฉันทัชตั้งข้อสังเกต

            “ไม่รู้ สงสัยจิตใต้สำนึกของผมจะบอกว่าขาดคุณไม่ได้” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ฉันทัชหลุดขำ

            “มุกแบบนี้ มันใช้ไม่ได้หรอกนะ แล้วไปใช้กับผู้หญิงก็ไม่ได้ด้วยรู้ไหม เด็กโง่”

            “อย่ามาว่าผมเด็กนะ ปีนี้ผมเรียนจบแล้วด้วย”

            “เด็กกว่าผมอยู่ดี” ฉันทัชนึกขำคนที่ไม่ยอมเป็นเด็ก

            “จะกี่ปีกันเชียว”

            “อย่ารู้เลย” ฉันทัชไม่อยากตอบ เขาไม่ค่อยคิดว่าตัวเองแก่เท่าไหร่ พอได้มาคุยกับเด็กวัยประมาณนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองแก่พอสมควร

             “กลับโต๊ะเถอะ” ฉันทัชบอก ตั้งใจจะเดินผ่านอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน แต่ก็ถูกดึงแขนแล้วลากออกมาอีกทาง

             “จะทำอะไร” ฉันทัชมองแขนที่ถูกจับ

             “ผมยังไม่อยากไป”

             “ผมว่าคุณกำลังเมา” ฉันทัชโคลงศีรษะ ชายหนุ่มไปเมาตั้งแต่ตอนไหนกันนะ พอลองนึกย้อนกลับไป ฝ่ายนั้นก็ดื่มไปไม่น้อย

             “ใช่ ผมคิดว่าผมกำลังเมา”

             “อ้าว คนเมารู้ตัวด้วยแฮะ” ฉันทัชประหลาดใจ ปกติแล้วคนเมาจะไม่ค่อยรู้ตัวเองว่าเมา แสดงว่าเจ้าเด็กนี่ยังพอมีสติอยู่บ้าง

             “ถ้าเมาแล้วก็กลับเถอะ” ฉันทัชแนะนำ

             “ไม่เอา ยังไม่อยากกลับ ถ้ากลับก็จะไม่เจอคุณอีก” ทางนั้นบอกทั้งที่ยังจับต้นแขนของฉันทัชไว้

             “ไหนบอกว่ายังไงก็ต้องได้เจอกันอีกเพราะพรหมลิขิตไง”

             “ผมไม่อยากรอ”

             “เด็กหนอเด็ก” ฉันทัชพูดซ้ำ


              คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก คงจะกระทบจิตใจชายหนุ่มหรือจี้ปมของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง เพราะคนที่สุภาพมีมารยาทดีคนนั้นกลับคว้าร่างของฉันทัชมาจูบ ในคราแรกฉันทัชรู้สึกตกใจแต่ครู่เดียวเขาก็ปรับตัวได้ น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวางจะดีกว่า


              ‘จูบของเด็กนี่ ก็ดีเหมือนกัน’


              เมื่อใบหน้าของอีกฝ่ายผละออกไป ฉันทัชกลับเป็นฝ่ายรั้งใบหน้านั้นให้เข้ามาใกล้ตนเองและเป็นฝ่ายเริ่มใหม่อีกครั้ง ร่างของฉันทัชถูกดันให้แนบติดผนัง เขาไม่ได้สนใจว่าใครจะเห็นหรือไม่ สถานที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ก็สามารถพบเห็นเรื่องพวกนี้ได้เป็นปกติทั้งนั้น

              “ไปต่อที่ห้องผมเถอะ” ทางนั้นเอ่ยปากถามเสียงพร่า คนเมามันต่อกันง่ายจะตายไป

              “ก็อยากไปอยู่นะ” ฉันทัชบอก น้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ได้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์พิศวาสแต่อย่างใด

              “งั้นก็ไปเลยสิ รออะไรล่ะ” คนเด็กกว่าเร่งเร้า

              “ไปไม่ได้ เดี๋ยวเมียด่า”

              “นี่คุณ!!?” ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะตกใจไม่น้อยที่ได้ยินพูดถึงบุคคลที่สาม

              “ตาเหลือกไปหมดแล้ว” ฉันทัชขำกับท่าที่คนตรงหน้า เจ้าเด็กนี่ทำให้เขาหัวเราะได้หลายครั้งเหมือนกัน

              “หาตั้งนาน มาอยู่นี่เอง” เสียงผู้หญิงดังขึ้นมาจากข้างหลังของอีกฝ่าย  ประสานสายตาเข้ากับฉันทัชพอดี

              “ไง” ฉันทัชเอ่ยทักคนมาใหม่

              “มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวแม่จับเชือดให้หมดเลย” อินทัชพูดพลางทำเสียงขู่

              “สนุกกันนิดหน่อยน่า” ฉันทัชตอบพลางหันไปพูดกับคนอายุน้อยที่สุด “โทษทีนะ เมียที่ว่า มาแล้วล่ะ” เขาขยิบตาให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบออกมา

              “กลับยัง” น้องสาวคนสวยถามไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

              “กลับก็ได้” คนเป็นพี่ตอบและยืดตัวเล็กน้อยเพื่อหอมแก้มน้องสาวเป็นการเอาใจและเพื่อแสดงให้อีกคนได้เห็น

              “วันนี้ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มานั่งเป็นเพื่อนคุย ผมสนุกมาก”  ฉันทัชบอกเตรียมจะก้าวออกไปแต่ก็นึกขึ้นมาได้ “อ้อ เรื่องชื่อน่ะ ขอบใจมากนะ แต่ให้ดีก็เรียกผมว่าโนเนมดีกว่า” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะกอดเอวของอินทัชจากไปทิ้งให้ชายหนุ่มยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตรงนั้นคนเดียว

              กลับมาถึงโรงแรม ฉันทัชก็เตรียมตัวตั้งรับฟังน้องสาวบ่น

              “บอกให้อยู่เฉยๆ ไม่ได้เลยใช่ไหมเนี่ย” อินทัชเริ่มประทับองค์เจ้าแม่

              “อย่าบ่นได้หรือเปล่า”

              “ฮึ ไม่ชอบให้บ่น ทีตัวเองน่ะบ่นเก่งที่สุด รู้ตัวไหม” อินทัชย้อน

              “ชอบบ่นแปลว่าไม่ได้ชอบถูกบ่นนี่”

              “ถามจริงนะเทมส์ เลิกกับปาลปุ๊บ ก็จะหาใหม่เลยหรือไง” น้องสาวพูดอย่างอ่อนใจ

              “เปล่าสักหน่อย แค่สนุกๆ เองไม่มีอะไรหรอกน่า” คนเป็นพี่เริ่มถอดเสื้อผ้า เตรียมจะหนีเข้าไปอาบน้ำ

              “ไม่ต้องหนีเลย กลับมานั่งคุยดีๆ” แต่อีกฝ่ายรู้ทัน เขาจึงถูกเรียกตัวกลับมานั่งบนเตียง

              “เหนียวตัว เหม็นกลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่” คนพี่กำลังหาทางหนีทีไล่

              “ได้ จะไปอาบน้ำก็ไป แต่บอกไว้ก่อน ไทน์ไม่จบหรอกนะ”

              “ตามใจ” ฉันทัชพูดไปแบบนั้น เพราะคิดว่าเดี๋ยวอินทัชก็ลืมเองแหละ

              แต่เขาคิดผิด นึกว่าอีกฝ่ายจะลืม

              “ไทน์ยังไม่ลืม” พอปิดไฟเตรียมตัวจะนอนเท่านั้น อินทัชพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

              “จำเก่งจัง” ฉันทัชทำหน้าแหยในความมืด งานนี้คงถูกดุยาว

              “อยากไปเที่ยว ไทน์ไม่ห้าม แค่อยากให้ระวังตัวเอง อย่าเพิ่งคว้าใครเข้ามาได้ไหม”

              “ไม่ได้คิดจะหาใหม่สักหน่อย” คนเป็นพี่เถียงเบาๆ

              “ถ้าเทมส์ไม่เห็นไทน์ยืนตรงนั้น จะตอบเขาว่าอะไร”

              “ตอบอะไร” ฉันทัชทำใสซื่อเหมือนไม่เข้าใจ

              “อย่าเฉไฉ ตอบมาดีๆ”

              “ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปต่ออยู่แล้ว”

              “ทำไม” อินทัชเร่ง

              ฉันทัชมองเพดานนิ่ง และเงียบไปนาน จนอินทัชคิดว่าพี่ชายของเขาจะไม่ตอบแล้ว

              “เพราะปาลไง” ฉันทัชตอบเสียงเศร้า เขาไม่ได้อธิบายต่อและอินทัชก็ฉลาดพอที่จะไม่ถามต่อให้พี่ชายต้องลำบากใจ


             ‘อย่าให้ใครมาซ้ำรอยของปาลเด็ดขาด รู้ไหม’
         

              ในเมื่อกเลิกกันไปแล้ว ทำไมยังต้องคิดถึงคำพูดนั้นอยู่อีก

              เป็นเสียอย่างนี้ เขาจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร

              “เขยิบมานี่ มาให้ไทน์กอดหน่อย เด็กขี้แย” แรงกอดกระชับของน้องสาวที่ส่งมาให้พร้อมกับนิ้วที่เกลี่ยคราบน้ำตาออกให้

              “เข้มแข็งไว้ ไทน์จะอยู่ตรงนี้ให้เอง”


              .
              .
              คืนนั้นก่อนจะหลับฉันทัชได้ยินเสียงน้องสาวแว่วเข้ามาในโสตประสาทสุดท้าย

              “ถ้าปาลมาง้อ จะกลับไปหรือเปล่า”




==============================================


จะแบ่งตอนก็ดูจะทำร้ายจิตใจกันเกินไป เลยลงตอนเดียวเลยค่ะ

เสือจะถอดเล็บไหม แมวป่าจะเชื่องไหม

แยกกันอยู่นี่แพรวพราวเหลือเกินนะ



** ขอบคุณมากค่ะ ช่วยดันจนขึ้นหน้าใหม่ ตื่นมาเจอแล้วยิ้มเลย
** ขอบคุณคอมเมนท์กำลังใจทุกข้อความเลยค่ะ


HASHTAG #ภาคต่อของความรัก ไปคุยกันในทวิตได้น้า

ติดตามพูดคุยกันได้ที่นี่ค่ะ

Twitter และ Facebook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2019 14:17:50 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ปาลแกผิดนะที่ละเลยจันทร์ กลับมาง้อเลย

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ปาลผู้โง่งม..ทิ้งเพชรทิ้งพลอยไปเพราะความไม่พอ  :angry2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ต้องให้ดิ้นเยอะกว่านี้อีก

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
 :z6: :z6: :z6:  อีปาล เลวจริงๆ

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 o13 สงสารเทมส์ แต่บอกเลยสมน้ำหน้าปาลมาก

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
แล้วไง? ก็ทำตัวเองหมดทุกเรื่องเลยนี่ เปื้อนเปรอะไปทั่ว มั่วซั่วไปหมดทุกคน
แต่เมื่อนกเขาไม่ขันคู ปลายกระจวยมู่ทู่ เหี่ยวไม่สู้โก่งคอขัน
แล้วจะมากล่าวโทษว่าเป็นเพราะเทมส์ คอยตามมาหลอกหลอนไม่หยุดหย่อน
หราาาาาาาาาาาาาาาาาาา

ถ้าคิดจะมาเสนอหน้า ง้อขอคืนนี้กับเทมส์ มันหน้าด้านเกินไปป่ะ ปาล
หุหุ

ของมีค่า มากราคา มหาศาล
อยู่ในมือ คนสันดาน พาลสงสัย
มีคุณค่า หรือไม่มี เอ๊ะ!ยังไง
ปล่อยหลุดมือ ทิ้งไป ไม่เสียดาย

รู้คุณเกลือ เมื่อรู้สึก จืดเหลือล้ำ
รู้คุณน้ำ เมื่อรู้สึก ว่ากระหาย
รู้ความรัก เมื่อรู้สึก ใจวางวาย
รู้เมื่อสาย ไอ่หน้าโง่ อดโซไป

วอทซั่บ..ปาล
ฮ่าฮ่า


ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
...


 จะเหมือนที่เขาว่าไหม อาถรรพ์รัก7ปี

มันต้องมีเหตุที่ทำให้เลิกกัน ทั้งที่ยังรักและไม่เคยนอกใจ แต่…เบื่อ

ไม่ได้คิดจะเริ่มต้นกับใครใหม่ ยังคงคิดถึงกันเสมอ

แต่จะมีสักกี่คู่ที่จะกลับมารักกัน…อีกครั้ง


 :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:


……


ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter


ภาค 6 So, we accepted our plight one another.


            “โอ๊ย ลูกชายฉัน กลับบ้านเองได้โดยไม่ต้องโทรตาม” คุณหญิงกิ่งกานต์พอเห็นลูกชายคนเล็กเดินผ่านพ้นประตูบ้านมาก็พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจผสมผสานคำประชดโดยไม่ปิดบัง

            “สวัสดีครับ แม่””

            “เทมส์ล่ะ?” ไฉนเลยที่คุณหญิงจะสนใจบุตรชาย นางกลับถามหาลูกชายอีกคน

            “ไม่มีเทมส์ครับ เขาจะไม่มาอีกแล้ว”

            “ตายแล้ว ฉันจะเป็นลม” คุณหญิงยกมือทาบอก น้ำเสียงราวกับจะเป็นลมตามคำว่า     ปาณัสม์รีบปรี่เข้าไปประคองมารดา แต่ก็ถูกปัดทิ้งความหวังดีนั้นอย่างไม่ใยดี

            “ไม่ต้องๆ ฉันไม่เป็นไร” คนเป็นแม่พูดพลางรับยาดมจากเด็กในบ้านมาถือไว้แล้วสูดเข้าจมูกซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว

  “นี่แกจะเอาเมียคืนมาให้แม่ไม่ได้ใช่ไหม”

            “แม่ก็รู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่ครับ” ปาณัสม์คร้านจะอธิบาย

            “ฉันรู้เรื่องก็จริง แต่ไม่คิดว่าลูกชายฉันมันจะบื้อจนไม่ไปง้อเขา”

            “แม่ไม่รู้จักนิสัยเทมส์หรือครับ” ปาณัสม์พูด “เขาใจร้อนก็จริง แต่ไม่ใช่คนพูดอะไรออกมาตามใจปากขนาดนั้น”

            “เขาอาจจะรอแกไปง้อก็ได้” มารดายังไม่ถอดใจ

            ปาณัสม์เลือกส่ายหน้าเป็นคำตอบ

            “หมายความว่าไง”

            “แม่อย่าคาดหวังอีกเลย เทมส์ไม่กลับมาหรอกครับ เขาไม่ได้รอผมไปง้อ” ปาณัสม์หนักใจ เขาจะอธิบายให้เข้าใจอย่างไรดีว่าคนอย่างฉันทัชไม่ใช่คนโลเล ตัดสินใจอะไรเพียงชั่ววูบ ทุกอย่างที่อีกฝ่ายนั้นทำแปลว่าตัดสินใจและวางแผนมาอย่างดีแล้วต่างหาก



            หวนกลับไป ถึงคืนที่เลิกกัน พอเขาได้ใช้สติลองทบทวนดูก็รู้ว่าเหตุผลนั้นน้ำหนักน้อยเกินไปสำหรับการบอกเลิกที่จะตัดความสัมพันธ์นั้นเหลือเกิน ถึงจะบอกว่าเขาทำผิดสัญญา ทว่าในความจริงแล้วเขายังไม่ได้ลงมือทำเลย แต่ฉันทัชก็มุ่งประเด็นให้เกิดปัญหาขึ้นมา



            พูดขนาดนี้อาจจะคิดว่าปาณัสม์เห็นแก่ตัว เอาดีเข้าตัว นั่นมันก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เขารู้จักฉันทัชดี พอๆ กับที่อีกฝ่ายรู้จักเขาดีนั่นแหละ


            ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น มันเกิดจากความตั้งใจของฉันทัช แล้วอย่างนี้คิดหรือว่า หากเขากลับไปขออีกฝ่ายคืนดี ฉันทัชจะยอมกลับมาง่ายๆ แบบนั้นแผนที่วางไว้ก็ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า


            ไม่มีทาง!!



            “ถูกต้องอย่างที่ไอ้ปาลว่า ครับแม่ เทมส์ไม่กลับมาหาไอ้ปาลมันหรอก” คุณหญิงกิ่งกานต์ที่ทำท่าจะรบเร้าบุตรชายคนเล็กอีก ต้องหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงของบุตรชายคนโต

            “รู้ได้อย่างไร ตาปอนด์”

            “ดูนี่สิครับ” ศรารัณหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดรูปให้มารดาและน้องชายของเขาดู


            ภาพนั้นเป็นกลุ่มคนที่ยืนถ่ายรูปกลุ่มใหญ่ ทุกคนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ปาณัสม์ไม่รู้จักใครสักคนในนั้นยกเว้นคนที่บอกเลิกเขาไปเมื่อเดือนก่อน


            ฉันทัชในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงแสล็กสีเทาเข้ม อยู่ในรูปนั้น คนที่เขาไม่เจอมาเป็นเดือน มีใบหน้าที่ผ่องใส ดูมีความสุข


            “พี่ปอนด์ไปเอารูปนี้มาจากไหน” ปาณัสม์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

            “เพื่อนพี่ไปงานนี้มาน่ะ มันทำธุรกิจร่วมกับฮ่องกง”

            “เทมส์ เขาไปทำอะไรที่นั่นล่ะลูก” คุณหญิงถามขึ้นมาบ้าง

            “ไปเป็นล่ามและเป็นผู้ช่วยพิธีกรในงานครับ” บุตรชายคนโตตอบก่อนจะดึงโทรศัพท์กลับคืนมา

            “เขาไปได้งานนี้มาจากไหน” มารดาสงสัย

            “ในงานมีน้องสาวของเทมส์ด้วย อาจจะเป็นไทน์ที่แนะนำให้ก็ได้ครับ”


            คำตอบของศรารัณทำให้ปาณัสม์ค่อนข้างโล่งใจ อย่างน้อยฉันทัชก็ไม่ได้ไปที่นั่นด้วยตัวคนเดียว ยังมีญาติสนิทคอยดูแลอย่างใกล้ชิด อินทัชคงช่วยกันหมาแมวออกจากตัวของฉันทัชได้บ้าง

            “หึ! เลิกกันแล้ว ยังไม่เลิกจะหวงเขาอีก” ศรารัณดักทางน้องชายอย่างรู้ทัน

            “เปล่า”

            “อย่าทำไขสือ หน้าแสดงออกชัดขนาดนี้ไอ้ปาล”

            “ก็นึกว่าเลิกกันปุ๊ป จะหาคนใหม่ทันที” ปาณัสม์แขวะคนไกล เพราะตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง

            “ไม่แปลกใจที่เมียทิ้ง เพราะนิสัยเสียแบบนี้นี่เอง ไปใส่ร้ายน้องได้อย่างไร” คุณหญิงกิ่งกานต์เลยต้องกางปีกปกป้องลูกรักแทนลูกชัง

            “ผมเข้าไปหาน้องปัณณ์ก่อนนะครับแม่” ศรารัณเดินเข้ามาหอมแก้มมารดาก่อนจะเดินหายเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน ก็ถูกน้องชายเรียกไว้ 

“พี่ปอนด์”

            “อะไร”

            “ส่งรูปนั้นมาให้ด้วย”

            พี่ชายยิ้มอย่างมีเลศนัย “เออได้”

            “แกเองก็เข้าไปหาหลานด้วย ไปอธิบายให้หลานฟังดีๆ ล่ะ”

            “แล้วแม่ล่ะครับ”

            “ฉันจะขึ้นไปเอนหลังบนห้องนอน ใจมันหายไปหมดตอนเห็นแกเดินเข้ามาในบ้านคนเดียว” คุณหญิงพูดจบก็รีบเดินจากตรงนั้นออกมาโดยเร็ว ราวกับไม่อยากใช้อากาศหายใจร่วมกับบุตรชายคนเล็กเสียอย่างนั้น

            ปาณัสม์เดินตามพี่ชายไป เข้าไปนั่งลงใกล้ๆ เด็กหญิงศราลักษณ์ “คนเก่ง เล่นอะไรอยู่คะ”

            “เล่นนี่ค่ะ” นี่ที่ว่าคือชุดตัวต่อเป็นรูปต่างๆ ที่ฉันทัชซื้อมาให้อีกฝ่ายเมื่อคราวก่อน “อาปาลขา อาจันทร์ล่ะคะ” คำถามใสซื่อของผู้เป็นหลานทำให้ปาณัสม์ลำบากใจ เขาเงยหน้ามาสบตาผู้เป็นพี่ชาย เห็นศรารัณพยักหน้าให้ตอบ

            “คืออย่างนี้ น้องปัณณ์” เขารู้สึกว่าการอธิบายให้มารดาเข้าใจนั้นยากแล้ว แต่การที่ต้องมาอธิบายเด็กเจ็ดขวบให้เข้าใจนั้นยากยิ่งกว่า

            “ว่าไงคะ อาจันทร์จะไม่มาแล้วจริงๆ เหรอคะ” คำพูดของเด็กหญิงทำให้ผู้เป็นพ่อและอาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เด็กหญิงรู้อะไรมา

            “ทำไมหนูถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ ไปได้ยินอะไรมาหรือ” ศรารัณถามบุตรสาว

            “ก็คราวก่อน หนูเล่นตัวต่อกับอาจันทร์แล้วอาจันทร์ก็ถามหนูว่า ถ้าต่อไปอาจันทร์จะไม่มาที่นี่แล้ว หนูจะไม่ร้องไห้หาอาจันทร์ใช่หรือเปล่า”

            “แล้วน้องปัณณ์ตอบว่าไงคะ” ปาณัสม์ถามด้วยความอยากรู้

            “หนูตอบว่าหนูจะร้องไห้”

            “แล้วอาจันทร์บอกว่าไง” ปาณัสม์เร่งถามอีก

            “อาจันทร์บอกไม่ให้หนูร้องไห้ หนูต้องเข้มแข็งเพราะหนูมีอาปาล พ่อปอนด์ แม่เกด และคุณย่าแล้ว” เด็กหญิงตอบเสียงใสแจ๋ว “หนูไม่เข้าใจว่าอาจันทร์พูดแบบนั้นทำไม หนูบอกว่าหนูอยากมีอาจันทร์ด้วย หนูรักอาจันทร์ แต่อาจันทร์บอกว่าอาจันทร์อาจจะอยู่กับอาปาลไม่ได้อีกแล้ว” ท้ายประโยคเด็กหญิงพูดเสียงเศร้า ตัวของเด็กหญิงเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอาสองคนถึงจะไม่อยู่ด้วยกัน ในเมื่อพ่อกับแม่ยังอยู่ด้วยกันเลย

            “หนูเลยบอกว่าถึงอาจันทร์จะไม่อยู่กับอาปาลแล้วก็มาอยู่กับหนูได้ แต่อาจันทร์ส่ายหน้าไม่ตอบค่ะ หนูไม่รู้ว่าอาจันทร์หมายความว่าอะไร หนูถามอาจันทร์ก็ไม่ตอบเอาแต่ยิ้ม หนูล่ะงง” ศรารัณลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความเอ็นดูในคำพูดแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเรื่องราวที่เด็กหญิงเล่ามา

            “อาปาลขา ตกลงว่าอาจันทร์จะไม่มาแล้วหรือคะ” เด็กหญิงลุกขึ้นไปนั่งตักผู้เป็นอาพลางเงยหน้าถาม

            “ใช่ค่ะ อาจันทร์จะไม่มาอีกแล้ว”

            “ทำไมล่ะคะ” เด็กหญิงศราลักษณ์เสียงสั่น น้ำตาใกล้พานหยด ศรารัณคิดว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องมีพายุลูกใหญ่ของเด็กหญิงพัดมาเป็นแน่ เขารีบสั่งเด็กในบ้านให้รีบเตรียมขนมนมเนย และให้ไปตามชลพิกา ภรรยาของตนออกมาโดยด่วน

            “อาปาลทำตัวไม่ดีกับอาจันทร์ไว้ อาจันทร์โกรธเลยไม่อยู่กับอาปาลแล้ว”

            “ทำไม ฮึก อาปาลต้อง ฮือ..ทำตัวไม่ดีกับอาจันทร์ของหนู”  เด็กหญิงสะอึกสะอื้นขณะที่ตัดพ้อผู้เป็นอา

            “อาปาลขอโทษ”

            “คุณพ่อปอนด์ขา ฮึก” เด็กหญิงลุกขึ้นจากตักของอาปาล แล้วโผเข้าหาคุณพ่อของเธออย่างรวดเร็ว “ฮือ อาจันทร์ จะไม่มาหาหนูแล้วจริงๆ ฮือ..” เด็กหญิงซุกหน้าลงกับบ่าของบิดาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย

            “หนูโกรธอาปาลแล้ว ฮือ.. หนูโกรธอาปาล” น้องปัณณ์ร้องไห้ไปทั้งคำพูดที่ตัดพ้ออาหนุ่มคนนี้ พร้อมกับยื่นนิ้วโป้งเล็กๆ นั้นให้ผู้เป็นอา

            ระหว่างนั้นชลพิกาก็เข้ามาได้ทันเวลาพอดี เธอจึงให้เด็กในบ้าน รีบมารับตัวบุตรสาวออกไปจากห้องนั้นโดยเร็ว

            “เมียทิ้ง หลานโกรธ แม่ด่า ครบเลยว่ะไอ้ปาล” ศรารัณขยับเข้ามาตบบ่าน้องชาย

            “ที่พูดเนี่ยเป็นห่วงหรือมาซ้ำ” ปาณัสม์ถอดแว่นออกมา ใช้หลังมือเช็ดที่ตาอย่างระวัง

            “มาซ้ำว่ะ ไม่รู้นะทั้งที่แกเป็นน้องชาย แต่พี่ไม่สงสารเลยกลับสมน้ำหน้าแทน เพราะแกทำตัวเองทั้งนั้นเลยไอ้ปาล” ศรารัณพูดแค่นั้นก็เดินออกไปอีกคน

            ...

            “พรหมลิขิตมีจริงด้วย เยว่ซิน” ฉันทัชกำลังดื่มน้ำแก้คอแห้งระหว่างที่ยืนพักอยู่งาน เขาตามประกบคนที่ได้รับมอบหมาย แปลภาษาให้อีกฝ่ายน้ำไหลไฟดับจนเกือบจะไม่มีน้ำลายพูดอีก

            “คุณ?”

            “จำไม่ได้เหรอครับ ที่ผับวันนั้น”

            “อ้อ..” ฉันทัชเกือบจำไม่ได้ คืนนั้นแสงไฟในร้านค่อนข้างสลัว ถ้าเด็กคนนั้นไม่ได้มีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายปาณัสม์ วันนี้เขาคงนึกไม่ออก “คุณนั่นเอง”

            “บังเอิญนะ” ฉันทัชว่า

            “พรหมลิขิตต่างหากครับ” คนอ่อนกว่าชูเครื่องดื่มให้เหมือนยินดีกับอะไรสักอย่าง “ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่”

            “ผมมาทำงาน แล้วคุณล่ะ?”

            “ผมถูกส่งมาสอดแนม”

            “คือ?” คำตอบกำกวมของอีกฝ่าย ทำให้ฉันทัชไม่เข้าใจ

            “พ่อให้ผมมาดูงานน่ะครับ ทางนั้นครับ” ชายหนุ่มว่าพลางชี้นิ้วไปที่สองนาฬิกา “คนตัวสูงๆ หน่อย นั่นล่ะครับ พ่อผม”

            “อ้อ..ครับ” ฉันทัชมองตามแต่เขาก็ไม่รู้จักคนที่ว่านั้นอยู่ดี

            “ถ้างานเลิกแล้ว เราไปต่อกันที่ร้านเดิมนั้นดีไหมครับ” ใบหน้ายิ้มแย้มของคนหนุ่มส่งมาให้ ยามที่เชื้อเชิญ

            “อยากไปนะ..แต่ว่า” ฉันทัชไม่พูดต่อ เขาเลือกชี้ไปยังบุคคลที่สามที่อยู่ห่างจากตรงหน้าเขาประมาณสิบเมตร

            “ผู้หญิงคนนั้น ถ้าผมจำไม่ผิด เธอเป็นนางแบบที่เดินชุดฟินนาเล่ไม่ใช่หรือครับ” ฉันทัชพยักหน้าให้กับความจำของคนข้างๆ

            “จำเธอไม่ได้เหรอ คนที่ร้านเมื่อวันก่อนไง” ฉันทัชเฉลย

            “อ๊ะ จริงเหรอครับ ถ้างั้นแสดงว่าเขาเป็น...”

            “ใช่ เมียผมเอง”

            “ผิดหวังจังเลย คุณมีเสน่ห์น่าสนใจมาก” ทางนั้นดูผิดหวังจริงจัง

            “ขอบใจนะ”

            “ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงคุ้นหน้าคุณมาก ที่แท้คุณกับภรรยาก็มีใบหน้าที่คล้ายกัน” ฉันทัชหัวเราะให้กับการปะติดปะต่อของชายหนุ่ม

            “เนื้อคู่”

            “น่าเสียดาย ผมน่าจะเจอคุณให้เร็วกว่านี้”

            “หากคุณเจอผมเร็วกว่านี้ ตอนนั้นคุณคงยังไม่เข้าชั้นมัธยมเลยล่ะมั้ง”

            “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกน่า” ดูท่าว่าเด็กหนุ่มจะไม่ค่อยเชื่อฉันทัชเท่าไหร่

            “ผมไม่โกหกคุณหรอก”

            “ฮันนี่” อินทัชเดินเข้ามาเรียกพี่ชาย

            “ว่าไง เสร็จแล้วหรือ”

            “อืม เดี๋ยวจะไปเปลี่ยนชุด ล้างหน้า เทมส์ล่ะ”

            “อีกสักพัก งานใกล้เลิกแล้วนี่นา”

            “ถ้างั้นเดี๋ยวไทน์ออกมารอแถวนี้ละกัน”

            “ตกลง”

            “เอ.. พ่อหนุ่มนี่หน้าคุ้นๆ” อินทัชเพิ่งจะมองเห็นว่ามีใครยืนข้างๆ ฉันทัช แฝดผู้พี่ของเขา ก่อนจะทำท่าเหมือนจำอะไรบางอย่างได้

            “อ้า นึกออกแล้ว พ่อหนุ่มที่คิดจะงาบคนของฉันไปเมื่อวันก่อน มางานนี้ด้วยหรือเนี่ย” อินทัชหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ

            “ไปแกล้งเขา ไม่เอาน่า คุณคนนี้มาเรื่องงานกับพ่อเขา” ฉันทัชรีบห้ามพฤติกรรมปากไวของน้องสาว

            “ขอโทษ ผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณแต่งงานแล้ว” ชายหนุ่มไม่ได้สนใจที่ถูกถาม เขากลับถามสิ่งที่สงสัยของตัวเองกับสาวสวยตรงหน้า

            “แต่งงาน? เปล่าสักหน่อย” อินทัชปฏิเสธ ฉันทัชเลยแตะข้อศอกน้องสาวนิดหนึ่ง “แต่..มัน..ก็ไม่เชิงอะนะ คุณก็รู้ว่างานของฉัน ไม่ควรเปิดเผย ใช่ไหมล่ะ” เธอพูดจบแล้วขอตัวออกไปทันที เด็กหนุ่มเลยอดถามต่อ

            “พอคุณสองคนมายืนกันใกล้ๆ แบบนี้ หน้ายิ่งเหมือนกันมากเลย” ชายหนุ่มพึมพำ ยังคงติดใจกับรูปลักษณ์คนทั้งคู่

            “ขอบใจ” ฉันทัชยิ้ม เขาเลือกไม่พูดอะไรเพิ่ม

            “อ้าว มายืนอยู่ตรงนี้เสียเอง พ่อเดินตามหาเสียทั่ว จะแนะนำให้รู้จักกับนักธุรกิจมือทองเสียหน่อย” ฉันทัชไม่รู้จักผู้ชายที่มาใหม่ แต่เดาว่าคงเป็นพ่อของเด็กหนุ่มนี่ล่ะ

            “ขอโทษครับพ่อ พอดีผมเจอเยว่ซิน เลยมาทักทายเขาเสียหน่อย”

            “เพื่อนหรือ?” ผู้เป็นบิดาหันไปถามบุตรชายก่อนจะหันกลับมาสบตากับฉันทัช “ผมเห็นคุณ
ตอนที่อยู่บนเวที เก่งมากเลยนะครับ คล่องแคล่วมาก”

            “ขอบคุณครับ ผมทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้นเองครับ” เขาตอบด้วยอาการถ่อมตัว

            “เก่งจริงๆ คุณแก้ไขสถานการณ์ตอนนั้นได้ดีมาก ภาษาจีนก็ดี ภาษาอังกฤษก็เยี่ยม” ฉันทัชนึกถึงจังหวะผิดคิวเล็กน้อยตอนที่มีการเดินแฟชั่นโชว์ จะไม่ให้เขาแก้ไขได้อย่างไร ก็คนต่อไปเป็นน้องสาวของเขาเชียวนะ

            “คนเก่งมักไม่โอ้อวด” ชายหนุ่มอีกคน พูดขึ้นบ้าง ฉันทัชเพิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมีรูปร่างที่สูงมากทีเดียว ใบหน้ายังคมคายกระเดียดไปทางตะวันตก แต่ทว่ากลับพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว

            “ถูกต้องๆ ไหนๆ ก็ ไหนๆ แล้ว เรามาถ่ายรูปร่วมกันหน่อยดีไหม” บิดาของเด็กหนุ่มพูด

            “ถ้าอย่างนั้น ผมถ่ายให้ดีไหมครับ” ฉันทัชอาสา

            “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า ให้เด็กคนอื่นมาถ่าย” คนเสนอไอดีถ่ายรูปปฏิเสธ พลางเรียกพนักงานแถวนั้นให้มาถ่าย


            ....

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

            Sararan sent you a photo.

            ปาณัสม์รีบกดเข้าไปดูรูปภาพจากพี่ชายทันที ภาพที่เขาได้ขอไว้


            Sararan :  อันนี้แถม
           

           พี่ชายของเขาพิมพ์ข้อความต่อมาพร้อมกับรูปอีกหนึ่งรูปที่เขาไม่ได้ร้องขอ


            รูปแถม ฉากหลังดูเหมือนยังเป็นงานเดิมกับรูปภาพรูปแรก ที่แปลกออกไปคือ รูปนี้มีคนทั้งหมดสี่คน และทำไมไอ้เด็กหน้าอ่อนนั่นถึงถือวิสาสะโอบไหล่ อดีตคนรักของเขาไว้แบบนั้นด้วย


            ปาณัสม์อยากจะโทรศัพท์ไปหาฉันทัชเดี๋ยวนั้น แต่เจ้าตัวต้องห้ามใจไม่ให้ทำตามใจ ตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์ในตัวอีกฝ่ายแล้ว เขาทำไม่ได้ ทำได้แค่โมโห


            อินทัชไปไหน ทำไมถึงไม่มาดูแลพี่ชายวะ


            ปาณัสม์อยากจะลบข้อความนี้ทิ้งไปพร้อมกับรูป แต่มือของเขากลับเลือกเซฟรูปนั้นไว้แทน


            ทำไมเขาถึงโลเลแบบนี้



            ...

            ทันทีที่กลับสู่ประเทศแม่ โทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่นขึ้นมาราวกับรู้ว่าเขาอยู่ที่เมืองไทยแล้ว ฉันทัชมองชื่อคนที่โทรมาแล้วเขากลับแปลกใจเล็กน้อย

            ชัดเจน? มีอะไรหรือเปล่า?

            ชายหนุ่มเงยหน้าสบตากับน้องสาว อินทัชเลยบอกว่าเดี๋ยวเธอจะไปรอรับกระเป๋าให้เอง ฉันทัชจึงเลือกที่จะรับสายอยู่ตรงนี้

            “สวัสดี ชัด” ฉันทัชกดรับ

            “คุณเทมส์เหรอครับ”

            “อืม มีอะไรหรือเปล่า” ฉันทัชถามเสียงเรียบ แต่ในใจก็นึกหวั่น หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับปาณัสม์

            “ไม่มีครับ ผมแค่โทรมาหาเฉยๆ คุณเทมส์สบายดีไหม”

            “อ้อ” นึกแปลกใจอยู่เล็กน้อยแต่ก็เลือกไม่ถามออกไป “ผมสบายดี ชัดล่ะ”

            “ดีครับ ว่าแต่คุณเทมส์ตอนนี้อยู่ที่ไหนหรือครับ ทำไมเสียงดังจัง”

            ฉันทัชหัวเราะ “ผมอยู่สนามบินครับ พอเครื่องลงปุ๊ป ชัดก็โทรมาเดี๋ยวนี้เลย”

            “ขอโทษครับ คุณเทมส์คงจะยุ่งอยู่”

            “ไม่เลย ไทน์จัดการให้แล้ว”

            “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมไปรับนะครับ”

            “เอ่อ..ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกับไทน์เรียกแท็กซี่กลับกันเอง”

            “อย่าเกรงใจเลยครับ บังเอิญจริงๆ ผมมาทำธุระให้คุณปาล อยู่ใกล้สนามบินพอดี”

            “เหรอครับ”

            “ให้ผมไปรับนะครับ”

            “อย่างนั้นก็ได้”

            “อีกสิบห้านาทีน่าจะถึง เดี๋ยวผมโทรหาอีกทีครับ” ชัดเจนพูดจบก็วางสายไปปล่อยให้ฉันทัชถือสายงงๆ ว่าอีกฝ่ายโทรหาเขาด้วยธุระอะไร

            พออินทัชกลับมาพร้อมรถเข็นสองคัน ฉันทัชก็อดขำกับความแข็งแรงของน้องสาวไม่ได้

            “กล้ามขึ้นแล้ว” ฉันทัชชี้ไปที่แขนของน้องสาว

            “ไม่ได้นะ กล้ามแขนจะขึ้นแบบนี้ไม่ได้” อินทัชโวยวาย จะใส่ชุดโชว์แขนแล้วกล้ามขึ้นเป็นมัดๆ ไม่ได้ เธอตกงานพอดี

            “ล้อเล่นน่า” ฉันทัชพูดพลางลูบแขนน้องสาว “เดี๋ยวชัดเจนมารับนะ”

            “หืม?ชัดเจน เด็กที่บ้านไอ้ปาล?”

            “เรียกชื่อเขาดีๆ หน่อย”

            “เลิกแล้วยังปกป้องอีก” อินทัชทำหน้าเหม็นเบื่อ “มารับทำไมอะ”

            “ไม่รู้ บอกว่ามาทำธุระให้ไอ้ปาล เอ๊ย ปาลแถวนี้”

            “เดี๋ยวเถอะ ล้อเลียน” อินทัชเข็นรถเข็นมาหนึ่งคันแล้วออกตัวเดิน “แปลก”

            “อืม แปลก”

            “หรือว่าชัดเจนจะจีบเทมส์” อินทัชวิเคราะห์

            “บ้าแล้ว เป็นไปไม่ได้”

            “ถ้าไม่ใช่ แล้วอะไรอะ หรือว่าปาลให้ชัดคอยจับตามอง”

            “ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เลิกกันแล้ว ป่านนี้ปาลคงเดาเรื่องออกแล้วล่ะ”

            “เรื่องอะไร”

            ฉันทัชหยุดเดิน “เรื่องที่เลิกกัน” ทำท่าจะพูดอะไรต่อ

            “หืม?”

            “ช่างเถอะ ไม่มีไร” แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ เข็นรถต่อ

            ปล่อยให้มันเป็นความลับระหว่างเขากับปาณัสม์ก็เพียงพอแล้ว

            “อ้าว อะไรของเทมส์เนี่ย” อินทัชบ่นพร้อมกับเข็นรถตามพี่ชายไป

            “รอนานไหมครับ” ชัดเจนถามหลังจากที่ช่วยสองพี่น้องขนกระเป๋าไปเก็บไว้ท้ายรถ

            “ไม่เลย ชัดคงอยู่ใกล้จริงๆ อะ มาถึงไวมาก”

            “ก็บอกแล้วไงครับ ว่าเผอิญมาแถวนี้” ชัดเจนพูด และสบตาฉันทัชผ่านกระจกมองหลัง

            “มันแปลกๆ นะว่าไหม เดี๋ยวผมย้ายไปนั่งข้างหน้ากับชัดดีกว่า” ฉันทัชพูด เพราะตอนนี้เขาไม่ได้มีศักดิ์เป็นแฟนของเจ้านายอีกฝ่ายแล้ว ถ้าเปรียบสถานะในตอนนี้ชัดเจนก็เหมือนเพื่อนเขาคนหนึ่ง

            “โอ๊ะ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องย้าย”

            “ไม่ดีๆ ให้เทมส์ไปนั่งหน้าเถอะ” อินทัชตัดสินใจให้


            ฉันทัชพาตัวเองออกมาแล้วย้ายไปนั่งข้างรถตามที่ตั้งใจไว้ ชัดเจนมองเขาด้วยสีหน้าลำบากใจแต่ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ ออกมา ไม่นานนักรถยนต์ประสิทธิภาพดีก็แล่นฉิวบนทางด่วนมุ่งหน้าไปบ้านของอินทัช

            “ไปทำงานกันมาเหนื่อยไหมครับ”

            “ไม่เลย สนุกดี ใช่ไหมไทน์” ฉันทัชหันไปถามคนข้างหลัง “อ้าว หลับเสียแล้ว”

            “คุณไทน์คงเหนื่อย”

            “อืม ก็พอดูล่ะ ซ้อมดึกทุกวัน แต่ผมไม่เหนื่อยนะ ไม่เหนื่อยเลย” ฉันทัชยิ้มตาแทบปิด มันเป็นงานแรกที่เขาได้ทำหลังจากได้รับอิสรภาพคืนมา

            “คุณเทมส์ดูมีความสุขนะครับ”

            “อย่างนั้นเหรอ ฮ่าๆ ไม่ได้ทำงานมานานก็แบบนี้ล่ะ อีกสักพักอาจจะเบื่อก็ได้ ชัดว่าไหม”

            “ไม่รู้สิครับ ผมทำงานมาตลอดเลย”

            “อ่า จริงด้วย ชัดต้องเหนื่อยกว่าผมแน่ๆ เพราะมีเจ้านายเป็นคนบ้านี่นา” ฉันทัชพูดราวกับว่า คนที่อีกฝ่ายติงไปนั้นไม่ใช่คนรักเก่าเสียอย่างนั้น

            “อะครับ” และอย่างเคยที่ชัดเจนเลือกจะไม่ต่อความถึงผู้เป็นนาย

            “ขอบคุณที่มาส่ง ไว้จะพาไปกินข้าวเลี้ยงตอบแทนแล้วกันนะ” ฉันทัชว่าพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว

            “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”

            “อืม” ฉันทัชหันหลังไปเรียกน้องสาว “ไทน์..ไทน์.. ตื่นเถอะ ถึงบ้านแล้ว”

            “ถึงแล้วเหรอ” น้ำเสียงสะลึมสะลือของคนที่เพิ่งตื่นถามกลับทันที

            “ใช่ ลงมาได้แล้ว” ฉันทัชบอกเสร็จแล้วจึงลงจากรถไปเปิดประตูทางฝั่งอินทัชแล้วพยุงน้องสาวให้ตามลงไปด้วย ชัดเจนเองก็ลงไปยกกระเป๋าออกมาจากท้ายรถให้อีกฝ่าย

            “ขอบคุณอีกครั้งนะ” ฉันทัชบอกปิดท้าย

            “ไม่เป็นไรครับ” ชัดเจนยิ้มรับ แล้วก็ขึ้นรถขับออกไป

            “สรุปว่า ชัดเจนมารับเราทำไม” อินทัชยังติดใจพฤติกรรมนั้นอยู่แม้กระทั่งคนทั้งคู่เก็บของเสร็จแล้ว

            “คิดมาก ชัดก็บอกแล้วนี่ว่าผ่านมาแถวนี้พอดี”

            “ผ่านก็ผ่าน” อินทัชเลิกเซ้าซี้ “เทมส์ โทรศัพท์สั่นแน่ะ ไม่ได้เปิดเสียงไว้เหรอ” หญิงสาวเดินมาหาขนมกินแถวโต๊ะอาหารจึงเห็นโทรศัพท์พี่ชายมีแสงวาบๆ แสดงชื่อคนโทรมา แต่เขาไม่ได้มอง

            “ใครอะ”

            “ไม่รู้ เอาไปสิ” อินทัชหยิบโทรศัพท์ส่งให้

            “วันนี้มีแต่คนโทรหา” ฉันทัชพูดติดตลก แต่พอสายตาเห็นว่าใครโทรมาเขาก็หุบยิ้มทันควัน

            “มีอะไร”

            “คุณแม่น่ะ” ฉันทัชบอกด้วยสีหน้าหนักใจ

            “จะรับไหมอะ ให้ไทน์รับแทนก่อนไหม”


            “ไม่เป็นไร เทมส์ออกไปคุยหน้าบ้านนะ”

            “อืม ไปเถอะ อย่าไปยืนตากแดดก็พอ” อินทัชเตือนด้วยความเป็นห่วง

            พ้นจากตัวบ้านออกมา ฉันทัชจึงกดรับสายที่โทรมาทันที “สวัสดีครับ”

            “เทมส์หรือลูก เงียบหายไปเลย”

            “เทมส์เพิ่งกลับมาจากงานที่ฮ่องกงครับ”

            “อย่างนั้นหรือจ๊ะ เหนื่อยหรือเปล่า”

            “ไม่เลยครับ งานสนุกมาก”

            “ดีแล้วล่ะจ้ะ แวะเข้ามาหาแม่บ้างสิ แม่คิดถึง”

            “เทมส์..คิดว่า” ฉันทัชไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบว่าอย่างไรดี โดยปกติแล้วคู่รักที่เลิกกันก็ไม่ควรจะกลับมาติดต่อหรือข้องแวะใดๆ กับญาติอีกฝ่ายหรือเปล่า ถึงแม้ว่าคุณหญิงกิ่งกานต์จะเป็นมารดาอีกคนที่เขาเคารพรักก็ตาม

            เขาไม่อยากทำให้ปาณัสม์คิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่จบ

            “มาหาแม่ช่วงวันธรรมดาก็ได้ลูก” คุณหญิงเสนอทางออกให้อย่างรู้ทัน

            “ครับ ไว้เทมส์จะแวะเข้าไป”

            “ดีจ้ะ อ้อ..วันเกิดแม่”

            “ครับ?” เขาจำวันเกิดคุณหญิงได้ แต่เขากำลังกังวลคำพูดของคุณหญิงต่อจากนี้ต่างหาก

            “แม่อยากให้เทมส์มางานด้วย”

            “จะดีหรือครับ” ฉันทัชเดาไม่ผิดว่าคุณหญิงตั้งใจจะให้เขาไปงานนี้ด้วย

            “เทมส์เป็นลูกของแม่ ไม่ต้องสนใจคนอื่น”

            “เทมส์เกรงว่ามันจะไม่เหมาะ อย่างไรเทมส์ก็เลิกกับปาลแล้วครับแม่” เขาไม่ได้อยากพูดแต่ก็ต้องจำใจพูดความจริงให้อีกฝ่ายเข้าใจ

            “งานนี้เป็นงานของแม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับปาล แค่นี้เทมส์ก็จะไม่ทำให้แม่หรือ” ฉันทัชลำบากใจ เขาอยากไปถ้าคุณหญิงจะไม่ใช่มารดาของอดีตคนรัก

            “เทมส์..”

            “มานะจ๊ะ แล้วอย่าลืมแวะเข้ามาหาแม่ด้วย” คุณหญิงมัดมือชก

            “ครับ”

            “ดีจ้ะ ดีมาก แม่จะรอนะลูก” คุณหญิงกำชับทิ้งท้ายแล้วก็วางสายไป ปล่อยให้ฉันทัชเดินคอตกเข้าบ้านด้วยความหนักใจ


            จะเดินออกมาก็ทำไม่ได้ทั้งหมด ความสัมพันธ์มันน่ากลัวแบบนี้นี่เอง

           

===================================

ตอนนี้พี่ปอนด์น่าจะพูดถูกใจใครหลายคน แต่ทั้งนี้ แฮ่มม ปาณัสม์ถูกทิ้งนะคะ

มีใครสงสารคนถูกทิ้งบ้างไหม (ขำแรง ><)



เจอกันวันอังคารค่ะ

ขอบคุณทุกคอมเมนท์และกำลังใจเลยค่ะ

ปลื้มปริ่มสุดๆ



ปล เขมมีแบบสำรวจเรื่อง LOTTO สื่อรักค่ะ (ไม่ใช่การสั่งจอง) หากสนใจ

จิ้มเลยค่ะ



HASHTAG #ภาคต่อของความรัก

ไปคุยกันในทวิตได้น้า

Twitter และ Facebook

edit: แก้ไขคำผิดค่ะ ถ้ามีคำผิดบอกเขมนะคะ จุ๊บๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2018 12:32:39 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
พระเอกน่าสงสาร
หราาาาาาา หุหุ

เจ้าหมาใหญ่ ใจคด ปดเจ้าของ
เที่ยวลอยล่อง ฟ่องฟุ้ง ทุกคุ้งแถว
สำราญเสร็จ เตร็จเตร่ ใจวาวแวว
มั่นใจแน่ว ว่าตูแน่ ไม่แคร์ใคร

ทำบ่อยครั้ง เป็นกิจ ติดใจอยู่
ไม่เคยดู ไม่แลเห็น เว้นสงสัย
กลับมาบ้าน ไร้เจ้าของ มองนอกใน
ไม่มีใคร ตะโกนหา หมาหัวเน่า

ยังงี้เรียกว่า..หมาหัวเน่าได้ป่ะ พ่อพระเอก

ไอ่ปาล..หัวเหม็นตุ
ฮาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มีสมน้ำหน้า

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เหมือนต่างคนก็อยากเลิกอยู่แล้วมั้ยพอมันมีเหตุการณ์นั้นขึ้นมาก็เป็นเหตุผลได้พอดี

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ความน่าสงสารอยู่ตรงไหน มีแต่สมน้ำหน้า เห็นจันทร์เป็นของตายตลอดเบื่อไม่อยากกลับบ้าน
ก็เข้าผับ กลับเกือบเช้าปล่อยให้จันทร์ทำอาหารรอเก้อ เงินเลี้ยงดูก็ไม่มีให้คือถ้าไม่ขอก็ไม่ให้ใช่ไหม
ปล่อยลืมไปแล้วอ้างว่าก็จันทร์รู้ว่าเก็บเงินอยู่ตรงไหนก็เปิดเอาได้ มันใช่เหรอ แบบนี้เรียกอะไร ไหนบอกมาซิ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ชัดเจน ยังไงๆอยู่นะ สรุปชัดเจนคิดอะไรกับเทมส์รึป่าวเนี่ยะ หรือคิดอะไรกับเจ้านายตัวเอง โอ๊ยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
ไม่รู้ว่าแม่จะพยายามช่วยปาลรึเปล่า  :เฮ้อ:
แต่จากที่ดูปาลคงโอนตัดออกจากการเป็นลูกรักแม่ถาวรแล้วหล่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เป็นคนถูกทิ้งที่ไม่น่าสงสารเลยอ่ะ
 :katai3: :katai3:

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

ภาค 7 คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า



“ทำอะไรอยู่น่ะ” อินทัชเดินนวยนาดลงมาจากบนบ้าน อวดเรือนร่างภายใต้เสื้อยืดที่เริ่มย้วยกับกางเกงขาสั้นที่แสนสั้น สำหรับอยู่บ้าน เห็นพี่ชายกำลังทำหน้ายุ่ง มือก็กดอะไรยุกยิกที่โน้ตบุ๊กส่วนตัว

“หางาน”


คนเป็นพี่ตอบ พลางทำหน้าเครียดกว่าเดิม นี่เขาอยู่บ้านในฐานะคนตกมาร่วมเดือน จนป่านนี้ไม่ว่าจะสมัครงานที่ไหนก็ยังไม่มีใครรับคนไม่มีประสบการณ์อย่างเขาเข้าทำงานเลย


ผู้ชายวัยสามสิบต้นๆ ซ้ำยังไม่ได้ทำงานมาไม่ต่ำกว่าห้าปี ใครจะอยากจะจ้างให้ไปทำงาน จริงไหม

“หาทำไม งานที่เขาจ้างแปลก็เยอะแยะไม่ใช่เหรอ” อินทัชเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำออกมาหนึ่งขวดออกมากระดกเข้าไปทั้งอย่างนั้น

“ไม่มีความเป็นกุลสตรีเลย แก้วก็มี ทำไมไม่ใช้”

“บ่น”

“ก็มันขัดตา”

“ว่าไง เรื่องงาน” อินทัชรีบเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่อยากฟังคำบ่นของพี่ชายแต่เช้า

“อยากทำงานประจำบ้าง”

“ทำงานที่บ้านไม่ได้เหรอ นี่ไงก็แปลงานเหมือนเดิม อยู่เฝ้าบ้านให้ไทน์ด้วย ดีจะตายไป”


ฉันทัชถอนหายใจ ละสายตาจากหน้าจอมามองน้องสาว ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “หนีจากปาลหนึ่ง มาเจอปาลสองงั้นหรือ”


อินทัชชะงักกับถ้อยคำเหนื่อยหน่ายแต่แฝงไปด้วยคำประชด “ขอโทษ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น”

“ไทน์แค่หวังดี ไม่อยากให้เทมส์ต้องเครียดเรื่องงาน” น้องสาวหน้าสลดบอกเสียงอ่อย

“อืม ใครๆ ก็หวังดีกับเทมส์” ฉันทัชบอก “รู้ไหม ความหวังดีมันเหมือนดาบสองคม” มือเรียวสวยปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กลงอย่างเบามือก่อนจะลุกออกไป

“เดี๋ยวสิเทมส์ อย่าโกรธกันเลยนะ” อินทัชรีบลุกจากเก้าอี้ เร่งเท้าไปหาพี่ชาย

“ไม่ได้โกรธ” ฉันทัชยิ้มก่อนจะพูดย้ำ “ไม่ได้โกรธจริงๆ ก่อนหน้านี้เทมส์เคยรับความหวังดีเอาไว้เพราะคิดว่าเขาหวังดีกับเรา แต่สุดท้ายก็อดคิดไม่ได้ว่าที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นเพื่อตัวเองหรือใครกันแน่”

“แต่ไทน์ไม่เคยคิดไม่ดีกับเทมส์” อินทัชจับแขนพี่ชายเอาไว้แน่น กลัวอีกฝ่ายจะเดินหนีเข้าห้องนอนเหมือนอย่างเคย

“รู้น่า”

“ถ้ารู้แล้วจะลุกหนีไปไหนล่ะ” อินทัชยังไม่เชื่อ

“จะไปอาบน้ำ” ฉันทัชแกะมือของน้องสาวออก “ตอนบ่ายมีนัดสัมภาษณ์”

“จริงดิ!?”

“ก็ใช่น่ะสิ เนี่ยเขาเพิ่งส่งเมลมาคอนเฟิร์มตะกี้เอง พอดีดราม่าอยู่เลยอยากแกล้งไทน์ต่ออีกหน่อย”

“ไอ้พี่บ้า เทมส์คนบ้าเอ๊ย” อินทัชทุบไหล่พี่ชายเบาๆ ไปทีหนึ่ง โทษฐานทำให้คนสวยเสียขวัญและตกใจ

“ไปอาบน้ำก่อนนะ”

“อืม เดี๋ยวไทน์ไปส่ง”



...


“คุณฉันทัชกรอกเอกสารเสร็จแล้วใช่ไหมคะ” ฉันทัชสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ มัวแต่ประหม่าที่จะต้องสัมภาษณ์


ชายหนุ่มไม่ได้เข้าสู่วัฏจักรคนทำงานแบบนี้มานาน ยิ่งการสัมภาษณ์น่ะเหรอ ครั้งสุดท้ายก็ตอนสอบเลื่อนขั้นมาดูแลในส่วนของเฟิร์สคลาสและบิวสิเนสคลาสบนเครื่องบินนั่นแหละ


กี่ปีมาแล้ว?


“ใช่ครับ”

“ค่ะ ท่านรองประธาน คุณก้องภพเชิญด้านในค่ะ”

“ครับ”


ฉันทัชลุกขึ้นตามหญิงสาวเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ของอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่เริ่มสมัครงานเขาก็พยายามคิดหาคำตอบดีๆ ไว้สำหรับตอบคำถาม อาทิเช่น


‘ทำไมถึงลาออกจากงานที่ทำอยู่’


‘ระหว่างที่ไม่ได้ทำงาน ทำอะไรมาบ้าง’


‘คุณคิดว่าคุณมีจุดเด่น จุดด้อยอะไร’


‘เคยมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือเปล่า’


‘คุณทำอะไรได้บ้าง’




เขาไม่มั่นใจว่าคำตอบที่เตรียมมาจะเพียงพอหรือถูกใจคนถามหรือไม่ ดังนั้นเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ได้งาน


ทว่า ทำไมงานสมัยนี้ถึงหายากเหลือเกิน


แค่ยังไม่เริ่มต้น ฉันทัชก็อยากจะร้องไห้ แต่เขาไม่ยอมแพ้หรอก


ฉันทัชสลัดศีรษะแรงๆ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อลดความฟุ้งซ่านในสมองของตัวเอง เขากำลังวิตกจริตกับการสัมภาษณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นเกินกว่าเหตุ

“เชิญค่ะ”

“ขอบคุณครับ”


...

“สวัสดีครับ คุณฉันทัช” ทางนั้นทักทายมาก่อนทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากประวัติการทำงานของเจ้าของชื่อ

“สวัสดีครับ คุณก้องภพ” ฉันทัชยกมือไหว้ ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเห็นหรือไม่

“เชิญนั่งครับ”

“ครับ เอ๊ะคุณ” จังหวะที่เขาตอบ อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษในมือพอดี ทำให้ฉันทัชจึงเห็นใบหน้าค่าตาอีกฝ่ายได้อย่างถนัด

“เจอกันอีกแล้ว” ผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตากระเดียดไปทางตะวันตกแต่พูดจีนคล่องปร๋อคนนั้น

“อ่าครับ”

“นึกยังไงถึงได้มาสมัครงานที่นี่ครับ” ฝ่ายนั้นยิงคำถามแรก

“เอ่อ..” บ้าจริง เขาลืมคำถามนี้ไปเสียสนิท ฉันทัชไม่ได้เตรียมคำตอบนี้เอาไว้

“เรียนตามตรงนะครับ” เอาวะเป็นไงเป็นกัน ฉันทัชคิดอย่างนั้น

“ผมกำลังตกงาน งานอะไรที่พอจะตรงกับสิ่งที่ผมทำได้ ผมก็ยินดีทำหมดล่ะครับ” ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ฉันทัชไม่ได้กล่าว

“พูดตรงดีนี่” ก้องภพยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะถามต่อ “แล้วทำไมถึงลาออกจากงานที่ทำล่ะ จากประวัติ คุณลาออกตั้งแต่อายุยี่สิบห้า แล้วทำฟรีแลนซ์ตลอดระยะเวลาที่เหลือจนถึงปัจจุบัน มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือ?”


ฉันทัชยิ้มเครียด คำตอบที่เตรียมมากระเจิงหนีไปหมด มาถึงขั้นนี้แล้ว ช่างมันแล้วกัน ถือเสียว่ามาลองทดสอบสัมภาษณ์ครั้งแรก


“ขอชี้แจงเป็นข้อๆ นะครับ เรื่องลาออกจากงาน ผมลาออกเพราะเหตุผลส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานหรือเพื่อนร่วมงานใดๆ” ฉันทัชยิ้ม เรื่องแพรวานับเป็นปัญหาร่วมงานด้วยหรือเปล่า ฉันทัชไม่คิดจะอธิบายเพิ่ม


ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนมักจะตายเพราะความจริง


“ส่วนที่ว่าทำไมผมถึงทำฟรีแลนซ์เพราะว่าอยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเบื่อครับ ผมเลยหาอะไรทำอย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์อยู่บ้าง”


“คุณบอกว่าคุณลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัว จะว่าอะไรไหม ถ้าผมอยากทราบเหตุผลที่ว่านั้น” ฉันทัชไม่คิดว่าจะมีคนถามตรงๆ แบบนี้ เขาจึงแสดงสีหน้าไม่ค่อยดีออกไปโดยไม่รู้ตัว


ก้องภพสังเกตเห็นสีหน้าของผู้สัมภาษณ์จึงยื่นทางเลือกให้ “ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ หากคุณลำบากใจ”


“จะมีผลกับการสัมภาษณ์หรือเปล่าครับ”

“ไม่เชิงครับ แต่จะบอกว่าไม่เกี่ยวก็คงไม่ใช่” ก้องภพสบตาเขาก่อนจะพูดต่อ “คนเรามีเหตุผลส่วนตัวหลายอย่างที่จะลาออก แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่าเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคนนั้น หนักเบาเท่ากันหรือเปล่า”

“ครับ” ฉันทัชคิดว่าตนเองเข้าใจความหมายที่ก้องภพสื่อ

“เช่น เหตุผลส่วนตัวที่ลาออกก็เพราะมีสัมพันธ์ชู้สาวกับเจ้านายในที่ทำงานหรือฉ้อโกง”

“ผมไม่เคยทำเรื่องแบบนั้น” ฉันทัชรีบปฏิเสธ แต่ถ้ากับผู้โดยสารนี่คงจะใช้ล่ะมั้ง

“ผมไม่ได้หมายถึงคุณ แค่ยกตัวอย่างให้ฟังถึงเหตุผลส่วนตัว” ก้องภพไหวไหล่เล็กน้อย

“ถ้าคุณได้ฟังอาจจะคิดว่ามันไร้สาระกับเหตุผลที่ผมลาออก”

“เหตุผลก็คือเหตุผล จะอย่างไรก็คือเหตุผล คุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือไปสนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร” ก้องภพบอกกึ่งแนะนำ

“ผมลาออกเพราะความรัก”

“ก็ไม่เลวนี่” ก้องภพยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้มีทีท่าหรือสีหน้าดูถูกออกมาให้เห็น

“ครับ?” ฉันทัชแปลกใจไม่คิดว่าจะได้รับฟีดแบ็กแบบนี้จากก้องภพ

“คุณไม่ได้ใช้แค่สมอง แต่ใช้หัวใจกับชีวิตด้วย ก็ดีนะ ไม่แข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ดี”
ก้องภพเอ่ยชม


ฉันทัชทำหน้านิ่งเฉยเพราะไม่แน่ใจกับคำพูดของก้องภพ


“ผมอาจจะพูดคลุมเครือไปหน่อย แต่นั่นเป็นคำชมนะ”

“ขอบคุณครับ”

“แล้วทำไมถึงอยากกลับเข้ามาทำงาน มาใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือนล่ะ สมัยนี้คนเขามีแต่ออกไปทำธุรกิจส่วนตัวกันทั้งนั้น”

“คนในอยากออก คนนอกอยากเข้าล่ะมั้งครับ”

“โอเค คำอธิบายง่ายๆ แต่เข้าใจได้ เอาล่ะ จริงๆ แล้วคุณสมัครเข้ามาในตำแหน่งเกี่ยวกับการแปลหรือล่าม แต่ผมเปลี่ยนใจ จะรับคุณเข้ามาในตำแหน่งเลขาของผมก็แล้วกัน”

“หมายความว่าไงครับ” ฉันทัชยิ่งตกใจ นี่อีกฝ่ายกำลังจะหลอกให้เขาดีใจเก้อหรือเปล่า

“หมายความว่าผมรับคุณเข้าทำงานไง”

“ขอบคุณครับ คุณก้องภพ” ถึงจะดีใจที่ฟลุกได้งานแต่ฉันทัชกลับไม่วางใจ “คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าผมจะทำงานนั้นได้ แล้วอีกอย่าง เอ่อ..ขอโทษนะครับ คุณก็มีเลขาอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ”


ฉันทัชไม่อยากมองโลกในแง่ดีจนเกินไป มีอย่างหรือสอบถามสองสามคำก็รับเขาเข้าทำงานเสียแล้ว จะมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงหรือเปล่าก็ไม่รู้

“ผมรับสมัครตำแหน่งเลขาด้วย คุณคงไม่สนใจเลยไม่เห็นประกาศรับสมัคร”

“อ่าครับ”

“เรื่องงานเลขาจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย แต่คุณมีประวัติทำงานบนเครื่องบินต้องเดาใจผู้โดยสารและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อยู่บ้าง งั้นคงเรียนรู้ไม่ยากที่จะเดาใจผมหรือแก้ไขปัญหาหรอก”

“ผมเลิกทำมานานแล้ว คุณแน่ใจหรือครับ” ฉันทัชอยากเขกกบาลของตัวเองนัก ได้งานแล้วแท้ๆ แต่ยังโอ้เอ้หาเรื่องให้เขาเปลี่ยนใจ

“ไม่รู้สิ ผมมองคนไม่ค่อยพลาดหรอกนะ” ก้องภพยิ้มอย่างมีเลศนัยอะไรบางอย่าง


ฉันทัชคิดในใจ ว่าที่เจ้านายในอนาคตของเขาต้องรู้ตัวพอดูล่ะว่าค่อนข้างมีเสน่ห์ไม่น้อยกับเอกลักษณ์ที่แสดงออกมาเหล่านั้น ดูแล้วคงเจ้าชู้ไม่เบา

“คุณคิดว่าผมเรียกคุณมาสัมภาษณ์โดยที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรมาเลยงั้นหรือ ผมเป็นนักธุรกิจ ไม่ยอมเสียเวลาเรียกคนมาสัมภาษณ์พร่ำเพรื่อหรอก ผมจะเรียกเขามาเพราะคิดว่าเขาตรงกับความต้องการของผม”

“คุณเห็นผม?”

 “ผมไม่ได้ไปติดตามอะไรคุณหรอกนะ คุณฉันทัช” ก้องภพหัวเราะเล็กน้อย

“เราเคยเจอกันที่ฮ่องกงแล้วผมก็เห็นฝีมือคุณตอนทำงาน ไม่มีอะไรให้กังขา ขนาดประธานหลี่ ยังเอ่ยชม เขาไม่ได้ชมใครง่ายๆ หรอกนะ”

“ขอบคุณครับ” ฉันทัชเพิ่งรู้ว่า ชายสูงอายุท่าทางใจดี กับเด็กคนนั้น แซ่หลี่

“จะเริ่มงานได้เมื่อไหร่”

“ครับ?”

“มาเริ่มเร็วหน่อยก็ดี ผมจะได้ให้เลขาเขาสอนงานคุณได้ทันก่อนที่จะลาออกไป”

“ขอถามได้ไหมครับ ทำไมเขาถึงลาออก”

“ไม่ใช่ความลับอะไร เหตุผลเดียวกับคุณนั่นแหละ ลาออกเพราะความรัก สามีอยากให้อยู่บ้านเตรียมเลี้ยงลูก”

“อ่า..เหรอครับ” ฉันทัชกลืนน้ำลาย นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต


ตอนที่ลาออกไปอยู่ที่บ้าน ช่วงแรกมันก็สนุกดีนะ แฮปปี้ลัลลาเลยล่ะ แต่พอผ่านไปสักระยะหนึ่ง ถ้าไม่หาอะไรทำจะรู้สึกโคตรของโคตรเบื่อ จนแทบจะหมดอาลัยตายอยาก คิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ไม่มีค่าเลยล่ะ

“สรุปเริ่มงานได้เมื่อไหร่” ก้องภพถามอีกครั้ง ฉันทัชรีบดึงสติกลับ

“ต้นเดือนครับ” ผู้ว่าจ้างเหลือบวันที่ทางนาฬิกาข้อมือก่อนจะพยักหน้า

“ตกลง”

“ขอบคุณครับ”

ฉันทัชยิ้มให้กับงานใหม่ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า


...


“เป็นไงบ้างจ๊ะ หน้าตาสดใสเชียว” คุณหญิงกิ่งกานต์ทักทายอดีตคนรักของบุตรชาย ถึงความสัมพันธ์ของคู่นั้นจะเปลี่ยน แต่สำหรับคุณหญิงแล้วฉันทัชก็ยังเป็นเหมือนลูกชายเธออีกคนหนึ่ง

คุณหญิงกดรีโมทปิดจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า หมายจะคุยกับฉันทัชให้อิ่มจุใจ


“ข่าวสมัยนี้อะไรก็ไม่รู้ มีแต่ฆ่ากันตาย”

“ใครฆ่ากันตายครับ” ฉันทัชเออออ ถือโอกาสหาเรื่องคุยกับอีกฝ่าย

“แม่ก็ไม่รู้หรอกจ้ะ ก็ฟังไปเรื่อย เสี่ยสักคนนี่ล่ะยิงผู้หญิงคนหนึ่งตาย”

“เรื่องอะไรหรือครับ”

“เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ล่ะจ้ะ คนหนึ่งขอเลิกอีกคนไม่ยอม ตกลงไม่ได้ อะไรเทือกๆ นั้น” คุณหญิงกิ่งกานต์ส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความระอาใจ

“แค่นั้นก็ถึงกับยิงกันทีเดียว” ฉันทัชกลืนน้ำลาย แค่นี้ถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกัน

“จิตใจโหดเหี้ยมกันเหลือเกิน” คุณหญิงจิบน้ำชาเสียอึกใหญ่

“แล้ววันนี้ไปไหนมาหรือ แต่งตัวดูเป็นทางการเชียว หรือว่าไปทำงานมาจ๊ะ”

“ไปสัมภาษณ์มาครับ”

“อ้อ งั้นเหรอ รู้ผลแล้วหรือยัง” เธอถามด้วยความสนใจใคร่รู้

“ครับ เทมส์ได้งานทำแล้ว”

“ดีใจด้วยนะจ๊ะ จะไม่เหนื่อยไปใช่ไหมลูก ไม่ได้ทำงานนอกบ้านมาตั้งหลายปี” คุณหญิงดีใจอย่างที่พูดออกไป แต่ท้ายประโยคพลันนึกขึ้นได้จึงบอกต่อด้วยความเป็นห่วง


ฉันทัชส่ายหน้าเป็นคำตอบ ยิ้มอ่อนโยนมอบให้กับความห่วงใยของคุณหญิง ทั้งที่เขาไม่ใช่ลูกหลานบ้านนี้แท้ๆ เพียงแค่เป็นคนรัก ซ้ำตอนนี้ยังลดความสัมพันธ์เหลือแค่คนรู้จัก กระนั้นมารดาของปาณัสม์ก็ยังใส่ใจถามหาเขา


...




นึกย้อนครั้งแรกที่ได้เจอกัน คุณหญิงกิ่งกานต์ไม่ชอบหน้าเขาอย่างกับอะไรดี เขาที่ไม่ใช่คนใจเย็นอะไรนัก ต้องนับเลขในใจถึงร้อยต่อด้วยพัน จนเกือบจะถึงหมื่นอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้โต้เถียงอีกฝ่ายกลับไป

“แม่ครับ นี่เทมส์ แฟนผมเอง”

“สวัสดีครับ” ฉันทัชยกมือไหว้มารดาคนรัก

“สวัสดี” คุณหญิงรับไหว้อย่างเสียไม่ได้ พลางมองฉันทัชตั้งแต่หัวจดเท้า จนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังถูกประเมินราวกับตัวเองเป็นสินค้าชนิดหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

“ปาล มานี่” คุณหญิงหันไปเรียกบุตรชาย

“ครับแม่?”

“รสนิยมแกเปลี่ยนหรือ แม่ว่าคนที่แล้วดีกว่านี้” นางเปรยตามาทางฉันทัชนิดเดียว ก่อนจะพูดกับปาณัสม์ต่อ

“แม่ครับ” ปาณัสม์มีสีหน้าลำบากใจจังหวะที่หันมามองฉันทัช ปกติแม่ของเขาไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้ กับคนก่อนๆ ก็ไม่พูดถึงขนาดนี้ หากไม่ชอบ นางจะทำแค่เมินเฉยปล่อยผ่านไป


คุณหญิงทำอย่างที่ลูกชายคิดจริงๆ นางเดินผ่านฉันทัชไปโดยไม่สนใจ ฉันทัชที่ยืนกำมือแน่นต้องข่มใจเอาไว้เพราะไม่อยากให้ปาณัสม์ลำบากใจ


เขารู้ดี การเป็นคนกลางมันเหนื่อยแค่ไหน


เมื่อกลับถึงบ้านได้ ฉันทัชเริ่มปฏิบัติการณ์โวยวายบ่นกับอินทัชเสียยืดยาว


“เขาไม่ให้เกียรติเทมส์เลย พูดออกมาได้ว่า ‘แม่ว่าคนที่แล้วดีกว่านี้’เหอะ พูดมาได้ยังไง เทมส์ก็ยืนอยู่ตรงนั้นแท้ๆ”

“ใจเย็นก่อน” อินทัชปลอบพี่ชายเสียงหวาน พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

“ไม่ยงไม่เย็นแล้ว เทมส์จะเลิก” ฉันทัชในวัยยี่สิบสามประกาศออกมา

“เลิกเลยเหรอ”

“ใช่ เลิก”

“งั้นก็เลิก” นอกจากอินทัชจะไม่ห้ามแล้วยังยื่นโทรศัพท์ไปให้ฉันทัชอีกด้วย พี่ชายมองโทรศัพท์เครื่องนั้นนิ่งแต่ไม่กล้ารับมันมา “โทรสิ จะได้เลิกให้มันจบๆ”

“ไทน์!”

“เทมส์คบกับปาลนะไม่ใช่แม่เขา” อินทัชถอนหายใจ “อีกอย่างหนึ่ง เรื่องที่แม่เขาไม่ชอบเทมส์ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่หรือ ลูกชายเขาคบผู้หญิงมาทั้งนั้น ไม่ตวาดไล่ออกมาก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“แต่เทมส์..” ฉันทัชทำท่าจะเถียงต่อแต่ก็ถูกอินทัชยกมือห้าม

“พอๆ เลิกเถียง รักลูกชายเขา ก็ต้องรักแม่เขาด้วย รู้ไหม”

“แม่เขาไม่ชอบเทมส์” ฉันทัชยังโอด

“ไม่ชอบแล้วไง จะปล่อยไว้แบบนี้หรือ” อินทัชมองฉันทับแวบหนึ่ง “แล้วแต่นะ ไทน์ขอแนะนำนะถึงเขาไม่ชอบ เทมส์ก็ต้องพยายามหน่อย สักวันหนึ่งมันอาจจะดีขึ้นมาบ้างก็ได้”

“แล้วถ้าสุดท้ายแม่ของปาลก็ยังไม่ชอบเทมส์ล่ะ”

“เราชาวพุทธ ก็คิดเสียว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมแล้วกัน”

“ห๊ะ!?” ฉันทัชอึ้งในคำตอบของน้องสาว

“อีกอย่างหนึ่ง ห้ามลืม ท่องไว้เลย ห้ามทำนิสัยเสียต่อหน้าเขา ห้ามโวยวาย อย่าบ่นเยอะ ที่สำคัญ อย่าใจร้อน รู้ไหม”

“ทำไมต้องห้ามเยอะแยะขนาดนี้”

“จะไม่ทำก็ได้ ไม่ได้บังคับ นี่แค่แนะนำ เทมส์มีข้อเสีย ใครๆ ก็มีข้อเสีย ถ้าปรับได้ก็ปรับ ถ้าเลิกนิสัยพวกนั้นได้ก็เลิกซะ ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ย เข้าใจไหมว่ามันดีกับเทมส์”

“คร้าบบ คุณแม่ไทน์” ฉันทัชประชดเข้าให้ อินทัชส่ายหน้าไม่รู้ว่าพี่ชายตัวดีมันจำแล้วเก็บเอาไปใช้บ้างไหม


...
         

ฉันทัชคิดถึงเวลานั้นแล้วก็อยากจะขำออกมา ไม่นึกว่าวันนี้ คนตรงหน้าเขาจะดีกับเขามากถึงเพียงนี้ ต้องขอบคุณน้องสาว ขอบคุณเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ทุกอย่างมันออกมาในรูปแบบนี้
         

เสมือนว่าเขามีแม่ให้อุ่นใจอีกคนหนึ่ง


“อยู่เล่นกับน้องปัณณ์ก่อนไหม อีกสักพักก็คงได้เวลากลับมาจากโรงเรียน” คุณย่าของเด็กหญิงถาม

ฉันทัชส่ายหน้าอีกครั้ง “อย่าดีกว่าครับ เทมส์ไม่อยากให้หลานมีความหวัง”

“เหลวไหล” คุณหญิงดุ “ถึงจะเป็นเด็กเจ็ดขวบ แต่ก็ไม่ได้ไม่รู้ความจนแยกแยะอะไรไม่ได้”


ทว่าพอเธอเห็นสีหน้าลำบากใจของฉันทัชจึงเป็นส่ายหน้าออกมาบ้าง “เอาล่ะๆ แม่ไม่บังคับ ยังไม่อยากเจอหลานก็ไม่เป็นไร แต่งานวันเกิดแม่ต้องมารู้ไหม พาไทน์มาด้วย”

“ช่วงนี้ไทน์งานแน่นมากเลยครับแม่ ยังไงเทมส์จะลองถามให้”

“ดีจ้ะ บอกไทน์ด้วย ถ้าว่างก็มาหาแม่ด้วย แม่อยากไปช้อปปิ้ง”

ฉันทัชหัวเราะ “ได้ครับ” เพราะอินทัชเข้าใจรสนิยมด้านแฟชั่นโดยเฉพาะกับสตรีได้ดีกว่าเขา

“ไม่ต้องมาหัวเราะ เราก็ต้องมาด้วย แล้วก็ห้ามหายไป แม่ไม่สนใจหรอกนะว่าจะเลิกกับเจ้าปาลหรือไม่ ยังไงเทมส์ก็เหมือนลูกแม่คนหนึ่ง”

“ขอบคุณครับ” ฉันทัชคร้านจะเถียงถึงเรื่องในอนาคต หากปาณัสม์มีคนรักใหม่ มันคงเป็นเรื่องที่ใหญ่พอสมควรเลยล่ะ


คิดถึงเรื่องคนรักใหม่ของปาณัสม์แล้ว ฉันทัชนิ่วหน้าออกมา แม้ว่าจะเป็นฝ่ายเดินออกมาจากอีกฝ่ายเอง แต่ภาพของปาณัสม์กับแฟนใหม่ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ


อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ก็ต้องยอมรับให้ได้


“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” คุณหญิงถามด้วยความเป็นห่วง

“ปะ..เปล่าครับ

“แม่...”

“คุณหญิงคะ” คุณหญิงกิ่งกานต์ทำท่าไม่ค่อยเชื่อ จังหวะที่กำลังจะซักไซ้ถามต่อก็ถูกแทรกขึ้นมาจากเด็กในบ้านเสียก่อน

“มีอะไรหรือ”

“ของของคุณปาลจะให้เอาไปเก็บไว้บนห้องเธอเลยไหมคะ”

“อืม ขนขึ้นไปเลย มาวางตรงนี้ก็เกะกะเสียเปล่าๆ”


เด็กในบ้านรับคำก่อนจะลุกออกไป สักพักเดียว ฉันทัชก็เห็นคนงานชายอีกสองสามคนขนของที่ว่านั้นขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว

“ข้าวของของปาลหรือครับ ทำไมถึงดูเยอะแยะ อย่างกับย้ายบ้าน” ฉันทัชตั้งข้อสังเกต

“ใช่จ้ะ แม่ให้มันย้ายกลับมาอยู่บ้านเอง คราวนี้ไม่ดื้อไม่บ่นอะไร ยอมกลับมาแต่โดยดี”

“ครับ”  ฉันทัชรับคำไม่กล้าคิดต่อว่าเพราะอะไร กลัวจะเป็นการเข้าข้างตัวเอง

“อันที่จริง แม่ให้เจ้าปาลกลับมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อเทมส์นะ” คุณหญิงแง้มสาเหตุบางอย่างออกมา

“เพื่อเทมส์?”

“ใช่จ้ะ คอนโดนั่น มันเป็นชื่อเทมส์ไม่ใช่หรือ”

“ครับ แต่คุณแม่เป็นคนซื้อ”

“มันก็ใช่ แต่แม่ตั้งใจซื้อให้เทมส์ตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้วลูก แม่แค่กังวลว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นเทมส์ก็ยังมีคอนโดห้องนั้น”

“ขอบคุณครับ แต่อยู่กับไทน์ก็สะดวกดีครับ ไม่เหงาด้วย” ฉันทัชพูดเพื่อให้คุณหญิงสบายใจ

“เอาเถิดจ้ะ แบบนี้ล่ะ ดีแล้ว เทมส์กลับเข้าไปอยู่ได้ตลอดเวลานั่นแหละ ไม่ต้องกังวล แม่จะให้เด็กเข้าไปทำความสะอาดบ่อยๆ”

“ขอบคุณครับ” ฉันทัชเลือกไม่ปฏิเสธเพราะรู้จักนิสัยของผู้สูงวัยดี ถ้าหากเธอตัดสินใจไปแล้ว นั่นคือคำประกาศิต

“แม่รู้ว่าเป็นเรื่องของเด็ก คนแก่อย่างแม่ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งวุ่นวาย แต่ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก แม่ก็อยากให้เทมส์ลองคิดทบทวนเรื่องเจ้าปาลใหม่อีกครั้งนะลูก” คุณหญิงวางมือบนหลังมือของฉันทัชอย่างอ่อนโยน

“เทมส์...”

“แม่รู้จ้ะ” มารดาของอดีตคนรักเคาะมือเบาๆ บนหลังมือฉันทัชสองสามครั้ง “แม่รู้ว่าเทมส์มีความสุขกับชีวิตในช่วงนี้ดี แม่ผิดที่ไม่เคยอบรมปาลตั้งแต่แรกๆ ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจ จนทุกอย่างมันยากเกินที่จะเยียวยา”

“อย่าโทษตัวเองเลยครับ เรื่องนี้ไม่มีใครผิด ต่อให้ปาลเอาแต่ใจแค่ไหน แต่ถ้าเทมส์ไม่ยอม ใครก็มาบังคับเทมส์ไม่ได้หรอกครับ” ฉันทัชพูดตามที่ใจคิด

“แม่ก็หวังว่าเทมส์จะไม่โทษตัวเองเหมือนกันนะ” คุณหญิงยังเป็นห่วง

“ไม่เลยครับ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ เทมส์ก็เลือกที่จะตามใจปาลอยู่ดี”




===================================

ทีแรกจะมาวันอังคาร แต่ว่า เนื่องจากอารมณ์เศร้าจากการดูอนิเมะ ปรมาจารย์ลัทธิมาร บวกกับอารมณ์ที่ฟีลบลู
เขมเลยมาลงนิยายค่ะ (คือมันไม่เกี่ยวเลยนะ แหะๆ)

ตอนนี้พาไปสมัครงานค่ะ ตอนหน้า (วันอังคาร) เขมจะพาไปไหนมารออ่านกันนะคะ
เปิดตัวละครใหม่ ที่ไม่ใหม่เสียที เขาผลุบโผล่อยู่หลายตอนแล้ว กว่าจะมีชื่อได้ก็ผ่านมาหลายตอน
และตอนนี้ไม่มีพระเอก เขมจะเอาปาลไปเก็บไว้ก่อนนะคะ กระแสพระเอกเรามาแรงจริงๆ ค่ะ


อยากเมาท์มากมายเลย แต่กลัวคนอ่านจะบอกว่าเวิ่นเว้อ ฮ่าๆ

ปล 1 ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ ดีใจทุกครั้งที่ได้อ่าน ถึงแม้ฟีดแบกจะบอกว่าอยากให้กดชักโครกทิ้งปาลไปเสีย

ปล 2 เขมมีแบบสำรวจเรื่อง LOTTO สื่อรักค่ะ (ไม่ใช่การสั่งจอง) หากสนใจ

จิ้มเลยค่ะ


ปล 3 ตอนพิเศษ LOTTO สื่อรัก ก็ลงเพิ่มด้วยน้า ถ้าใครคิดถึงไอ้น้ำ ก็ตามไปได้เลยค่ะ
ลิงก์นี้เลยค่ะ


HASHTAG #ภาคต่อของความรัก

ไปคุยกันในทวิตได้น้า เขมอยากเมาท์ อิอิ

Twitter และ Facebook

edit : แก้ไขคำผิดค่ะ ถ้ามีคำผิดบอกเขมนะคะ จุ๊บๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2018 22:20:22 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เจ้านายกะเลขา ใกล้ชิดกันสุดๆ อีปาลตายไปเลยจัาาา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ปาลไม่มา..ด่าไม่มันส์เลยอ่า(อุ๊บสสสสส)
เค้าคิดถึงนะตะเอง อิอิ

คิดเหมือนกัน..ให้ปาลอกแตกตายไปเลย
ยังจะโล่งอกและโหวงใจ อีกม่ะพระเอก
ฮาาาาาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คนใหม่ท่าจะไม่เบาเลยนา ปาลขาดใจแน่ๆ  :laugh:
แอบสงสัยชัดเจนง่ะ ตั้งแต่เรื่องโพสอิท แล้วยังมารับจันทร์ในจังหวะพอดีกับที่จันทร์มาถึงสนามบินอย่างกับรู้กำหนดการได้ไงหนอ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ปาลแกเตรียมตัวหึงตัวแตกตายได้เลยนะ เลขากับเจ้านายมันเป็นอะไรที่...บอกไม่ถูกอ่ะคิดเอาแล้วกัน แล้วไหนเจ้านายก็มีท่าทีที่คิดไม่ซื่อแบบนี้อีก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด