ภาคต่อของความรัก - ภาคพิเศษ ภาคแห่งความวุ่นวาย END หน้า 13 UP!! 09/02/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ภาคต่อของความรัก - ภาคพิเศษ ภาคแห่งความวุ่นวาย END หน้า 13 UP!! 09/02/2019  (อ่าน 70696 ครั้ง)

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
พรุ่งนี้นะ
รออออออออ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter


ภาค 8 No matter what happens, life must go on. Part I




“ฮัลโหล ฮันนี่ วันนี้ทำงานเป็นไงบ้างจ๊ะ” อินทัชส่งเสียงทักทายฝาแฝดคนพี่อย่างอารมณ์ดี จากนั้นสายตาก็ฉายแววตกใจ “โอ้โห ทำไมถึงนอนหมดแรงขนาดนั้น” พอเดินเข้าบ้านเห็นพี่ชายนอนจมหายไปในโซฟาด้วยท่าที่อ่อนระโหยโรยแรง แขนขายืดออกไปคนละทิศคนละทาง ก็อดอุทานออกมาไม่ได้

“เหนื่อยอะ เหนื่อยมาก” ฉันทัชตอบน้องสาวเสียงเนือยราวกับจะพูดไม่ไหว ชีวิตที่ต้องปรับตัวเมื่อเดินเข้าสู่เส้นทางการเป็นมนุษย์เงินเดือน

“งานยุ่งเหรอ” อินทัชถอดรองเท้าแล้วหยิบเข้าตู้เก็บให้เรียบร้อย เนื่องจากไม่อยากฟังเสียงพี่ชายบ่นตามหลัง

อินทัชมุ่นคิ้วคิดถึงเรื่องพี่ชาย จะว่าไป ฉันทัชก็เริ่มงานมาได้เดือนกว่าๆ แล้วนี่นา

“อืม ยุ่งและเยอะเสียจนไม่รู้จะทำอันไหนก่อนดี”

“ลาออกเลยสิ” อินทัชแซวพลางเดินไปนั่งข้างๆ ลูบศีรษะพี่ชายเหมือนลูบหัวสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ก็อยากจะให้เป็นสุนัขตัวเล็กหรอกนะ คอร์กี้ก็น่ารักดี ถึงแม้พี่ชายของเขาจะไม่ได้ดูตัวใหญ่หนาเทอะทะ แต่ก็ห่างไกลกับคำว่าตัวเล็กไปมากโข

“เบื่อ คนชอบสปอยล์” พี่ชายบอกพลางหลับตากอดหมอนอิงแน่น

“ไม่ได้สปอยล์เสียหน่อย ไม่ไหวก็ออกมาอยู่บ้าน” ถึงจะพูดปฏิเสธแต่อินทัชก็รู้ว่าเขากำลังทำให้ฉันทัชเสียนิสัย เขายิ้มพลางโคลงหัวกับท่าทีของพี่ชาย

อินทัชคิดออกมาได้แค่เพียงว่า จะว่าไปเขากับปาณัสม์ก็ไม่ต่างกันเลย เคยชินที่จะเอาใจอีกฝ่าย

“ไหวสิ เทมส์ไหว แค่นอนพักเหนื่อยเท่านั้นเอง”

“กินข้าวหรือยัง”

“ยังเลยอะ” ฉันทัชบอก เขานอนเหยียดตัวด้วยความอ่อนแรง ไม่มีกะจิตกะใจจะลุกไปทำอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งเสื้อผ้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนเลย

“โชคดีที่ไทน์เอากับข้าวมาจากกองถ่ายด้วย” อินทัชชูของในมือขึ้น

“จริงเหรอ” อีกฝ่ายตาลุกวาว เมื่อรู้ว่ารอดตายแล้ว

“อืม ใช่ ที่กองถ่ายทำอาหารเยอะมาก อาหารจีนดีๆ ทั้งนั้น จะทิ้งก็เสียดาย เขาเลยแบ่งมาให้น่ะ” อินทัชอธิบาย

“เจ๊แคทนี่ ใจดีจังเลย” ฉันทัชหมายถึงชื่อตัวละครที่อินทัชรับบทแสดงในละคร



ช่วงนี้แฝดคนน้องมีงานละครเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า “สะดุดรักหัวใจ ยัยขี้เหร่” โดยละครเรื่องนี้เป็นละครจากเกาะฮ่องกง และในเรื่องมีเหตุการณ์ที่มาถ่ายทำในประเทศไทยอยู่หลายฉาก ผู้กำกับอยากได้นักแสดงเป็นคนไทยและต้องเป็นคนที่มีบุคลิกโดดเด่นเข้ากับบทด้วย และอินทัชนั้นตรงก็กับความต้องการของผู้กำกับทุกประการ



บทละครที่อินทัชได้รับนั้นไม่ได้เป็นตัวละครหลัก แต่ก็ถือเป็นตัวละครที่สร้างสีสันให้กับเรื่อง โดยอินทัชรับบทเป็นเจ้าของห้องเสื้อห้องหนึ่งในเรื่อง ที่เป็นคนเปลี่ยนโฉมปรับลุคของนางเอกสาวจากลูกเป็ดขี้เหร่ ให้เป็นนางฟ้า



“หึ ไม่ต้องมายอ” น้องสาวแค่นเสียง “ลุกไปอาบน้ำ จะได้ลงมากินข้าว” อินทัชเอ่ยปากไล่

“ไทน์ไปอาบก่อนได้ไหม เทมส์ขอนอนเฉยๆ อีกแป๊ปหนึ่ง”

อินทัชเห็นท่าทางอ่อนล้าของพี่ชาย จึงไม่ได้ขัด “ก็ได้”

“น่ารัก” ฉันทัชเอ่ยปากชมเป็นรางวัล

สองพี่น้องพากันผลัดเปลี่ยนไปอาบน้ำจนเรียบร้อยทั้งคู่ และอินทัชรับหน้าที่เป็นคนดูแลจัดเตรียมโต๊ะอาหารมื้อนี้ให้พี่ชายโดยไม่อิดออด

“สบายจัง มีคนบริการ”

“คุณฉันทัช รับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ” อินทัชสวมบทบาททันที

“เอาน้ำแดงในตู้เย็นออกมาด้วยนะ เจ๊แคท”

“น้ำส้ม น้ำโค้ก ด้วยไหมคะ”

“แค่น้ำแดงก็พอ” ฉันทัชตอบปฏิเสธ เพราะรู้ว่าน้องสาวตั้งใจประชด

อินทัชเปิดตู้เย็น เปิดน้ำแดงเทใส่แก้วตามด้วยน้ำแข็ง จัดให้พี่ชายอย่างดีก่อนจะนำมาวางบนโต๊ะ ทางด้านขวาของพี่ชาย

“ทำงานดี ไว้คืนนี้พี่จะตบรางวัลให้” ฉันทัชตอบพลางยกน้ำแดงดื่มอึกใหญ่

“ถ้าจะให้ดีก็ตบด้วยปากนะคะ”

“เล่นกับหมา หมาเลียปากตลอด” ฉันทัชพูดติดตลก

“เอาเข้าจริงก็ปอดแหก”

“ฟ้าผ่าตายกันพอดี”

“ก็ว่างั้น” อินทัชหัวเราะ เริ่มลงมือทานมื้อเย็น “เออ นี่เทมส์”

“ว่า?” ฉันทัชตอบสั้นเพราะยังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก

“อาทิตย์หน้าไทน์มีไปถ่ายละครที่ฮ่องกงนะ”

“อ้าว ไหนว่ามีแค่โลเคชั่นเมืองไทยไง” ฉันทัชหมายถึงบทที่น้องสาวได้รับ

“อืม ผู้กำกับเขาอยากได้รายละเอียดที่ฮ่องกงเพิ่มอะ”

“บทมันจะไม่ออกทะเลใช่ปะ”

“ไม่หรอกมั้ง” คนเป็นน้องไม่แน่ใจ “เขาคงคิดมาดีแล้วล่ะ” อินทัชบอกก่อนจะตักข้าวเข้าปากไปอีกคำ

“แล้วกลับมาทันงานวันเกิดแม่ของปาลไหม” ฉันทัชถาม

“จะไปจริงๆ เหรอ”

“ไทน์ว่า เทมส์ไม่ไปได้ไหมล่ะ” ฉันทัชถามกลับ หากอินทัชไหวไหล่เป็นคำตอบ 

“ก็ไม่ได้ใช่ไหม แต่เทมส์อยากให้ไทน์ไปด้วยกัน อีกอย่างแม่ก็สั่งให้ไทน์ไปด้วย” ฉันทัชเลยพูดต่อ

“จริงๆ ก็ถามไปงั้นเองแหละ รู้ว่าคงเลี่ยงยาก ลำบากใจเหมือนกันเนอะ ตอนคบกันดันสนิทกับครอบครัวเขาไว้มาก พอเลิกกันมันเลยตัดไม่ขาด”

“อืม แต่ก็ไม่ได้มีอะไรแย่ไม่ใช่เหรอ ไทน์กับแม่ก็เข้ากันได้ดีใช่ไหม”

“ใช่ แม่น่ารักมาก เหมือนเขาเป็นแม่เราจริงๆ”

“ใช่ไหมล่ะ” ฉันทัชยิ้ม

“เอาเถอะๆ อันที่จริงไทน์ก็ลางานสำหรับวันนั้นไว้อยู่แล้ว ไม่ยอมให้เทมส์ไปเด๋อคนเดียวในงานหรอกน่า สบายใจ หายห่วงได้”

“เยี่ยมมาก” ฉันทัชบอกอย่างพอใจ

“เรื่องงานมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ฉันทัชหมายถึงงานแสดงที่เจ้าตัวรับ เพราะน้องสาวของเขาไม่ได้เติบโตมาจากการแสดง

“นิดหน่อย ไม่มากมายอะไรหรอก ค่อยๆ ปรับไป”

“เขาจะว่าหรือเปล่า”

“ไทน์บอกเขาตั้งแต่ก่อนจะตกลงรับเล่นแล้วว่าไทน์ไม่ได้แสดงละครเก่งขนาดนั้น แค่พอเล่นได้ แต่ถ้าเขายังยินดีจะให้ไทน์เล่น ไทน์ก็จะพยายาม”

“อย่างนั้นก็ยังดี เทมส์ไม่อยากให้ไทน์เครียด”

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า เป็นห่วงตัวเองเถอะ งานยุ่งอะไรขนาดนั้น”

“อืม ก็เลขาคุณก้องภพลาออกไปแล้วเมื่อสิ้นเดือนใช่ปะ งานเลยตกมาอยู่ที่เทมส์คนเดียว”

“ไหวไหมเนี่ย”

“ไม่ไหวก็ต้องไหว เอาจริงๆ มันไม่ได้ยากมากหรอก แค่ยังเดาอารมณ์คุณก้องภพไม่ถูก แล้วงานก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางอะ สักพักเดี๋ยวคงดีขึ้นเอง”

“เทมส์เก่งอยู่แล้ว”

“รู้ตัว ความจริงทั้งนั้น” ฉันทัชรีบยืดอกรับ

“ไม่น่าชมเล้ย” พี่ชายหลงตัวเอง น้องสาวถึงกับหนักใจทีเดียว

“วันก่อนแพรทักมา เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มก็ด้วย”

“ดีใจล่ะสิ”

“ใช่ ไม่คิดว่าจะได้กลับมาคุยกันอีก”

“ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เพื่อนโอเคก็ดีแล้วล่ะ แล้วแพรว่าไงบ้าง”

“ชวนไปกินข้าวนั่นแหละ” คนเป็นพี่เล่า

“ก็ไปสิ”

“แน่นอน อยากเจอพวกนั้นเหมือนกัน”

“เอ้อ อีกเรื่อง” ฉันทัชพูดเหมือนนึกอะไรออก

“อะไร”

“ชัดเจนก็โทรมาเหมือนกัน”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า เกี่ยวกับปาล?”

ฉันทัชส่ายหน้า “ไม่ใช่เลย ลองเดาสิว่าเรื่องอะไร”

“คิดไม่ออกอะ บอกมาเหอะ ขี้เกียจเล่นยี่สิบคำถาม” อินทัชอยากรู้ ไม่มีอารมณ์มานั่งเล่นเกมส์ทายใจกับพี่ชายตัวดี

ฉันทัชทำหน้าเซ็งเล็กน้อยที่น้องสาวไม่ยอมเล่นด้วย “ไทน์ต้องไม่เชื่อแน่ๆ”

“มันไม่น่าเชื่อตั้งแต่ที่ชัดเจนโทรมาแล้วปะ ทำไมต้องโทรมา มีอะไร” แฝดน้องกลอกตา

“เขาโทรมาชวนไปกินข้าว”

“ห๊ะ!? วอท?โทรมาชวนกินข้าวทำไมวะ” นางแบบสาวอุทานอย่างลืมตัว

“พูดจาไม่เพราะ เดี๋ยวเถอะ”

“เรื่องมารยาทเอาไว้ก่อน เอาเรื่องชัดเจนก่อน โทรมาชวนเทมส์ไปกินข้าวทำไม ได้ถามไหม”

“บอกอยากกินข้าวด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไร”

“ตลกละ ก่อนหน้านี้เทมส์ก็ไม่เคยกินข้าวกับชัดเจนสองคนไม่ใช่หรือ”

“ใช่ เทมส์ก็ถามกลับไปขำๆ นะ ว่าชัดกลัวเทมส์ไม่มีเพื่อนกินข้าวเหรอ ถ้าเรื่องนั้นไม่เป็นไรนะ”

“แล้วมันว่าไง”

“บอกว่าเป็นห่วง”

“ไทน์ว่ามันแปลกๆ ละ นี่คิดจะตีท้ายครัวพี่มันเหรอ” อินทัชคาดการณ์

“จะตีท้ายครัวได้ไง” ฉันทัชหัวเราะ “เทมส์เลิกกับปาลแล้ว”

“เทมส์พูดเหมือนไม่แคร์ และพร้อมจะเปิดโอกาสให้ชัดอย่างนั้นล่ะ” น้องสาวหน้ามุ่ยด้วยความไม่พอใจ

“เปล่าเสียหน่อย แค่พูดไปตามความจริง”

“ถ้าชัดเจน เดินหน้าจีบจริงๆ จะทำไง”

“ก็ไม่ทำไง” ฉันทัชทำหน้าทะเล้น “ถ้าเขาพยายามจนเทมส์รับรู้ ก็ค่อยว่ากัน”

“แปลว่าเทมส์ก็โอเค?”

“ไม่ได้พูดอย่างนั้นเสียหน่อย เรื่องอนาคตใครจะไปรู้ จริงไหมล่ะ” ฉันทัชทิ้งปริศนาเอาไว้แค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นเอาจานไปเก็บล้างให้


อินทัชมองแผ่นหลังของพี่ชาย หญิงสาวไม่อยากเชื่อเลยว่า คนที่ไม่ยี่หระอะไรในเวลานี้ จะเป็นคนเดียวที่ยอมทำเพื่อความรักเมื่อหลายปีก่อน

“เดี๋ยวไทน์ล้างให้เอง เทมส์จะได้พัก”

“ก็ได้ๆ” แฝดพี่บอก ละตัวเองออกมาจากอ่างล้างจานเพื่อให้แฝดน้องเข้ามาแทนที่

ถึงจะถอยออกมาแล้วแต่ฉันทัชก็ยังไม่ออกไปจากห้องครัว เมียงมองน้องสาวที่ยืนล้างจานอย่างตั้งใจ “ล้างให้สะอาดๆ นะ เวลาที่ไปเป็นสะใภ้บ้านไหนจะได้ไม่อายเขา” ฉันทัชกำชับ

“ระดับนี้แล้ว ไม่อยากจะคุย นี่อินอิน คนสวยนะ งานนอกบ้านก็เก่ง งานในบ้านก็ไม่ด้อยหรอก” หญิงสาวอวดตัวเองโดยไร้กิริยาเขินอายใดๆ

“แต่ทำกับข้าวไม่ได้เรื่อง?”

“ก็คนมันไม่ค่อยมีเวลาทำนี่” อินทัชยอมรับเรื่องอาหารว่าเขาทำไม่ได้เรื่องแถมเข้าขั้นกินไม่ได้อีกต่างหาก

“ไว้ต้องฝึกทำอาหารแล้ว แม่สามีจะได้รักและเอ็นดู รู้ไหม” ฉันทัชยังแซวต่อ

“หึ บอกแต่คนอื่น แล้วตัวเองล่ะ”

“อะไรกัน แม่สามีรักและเอ็นดูเทมส์มาก ไม่อยากจะคุยเช่นกัน” ฉันทัชบอกอย่างมั่นใจ

“เดี๋ยวนะ เทมส์เข้าใจผิดอะไรไปหรือเปล่า” อินทัชวางฟองน้ำลงในอ่างพลางหันกลับมามองพี่ชาย

“อะไร?”

“ตอนนี้ เทมส์ไม่มีแม่สามีแล้ว มีแค่แม่ของปาล” อินทัชพูดเสียงเรียบ

“อ่า..เอ่อ..จริงด้วย” พอถูกน้องสาวเตือนสติ คนเป็นพี่จึงนึกออก

สองพี่น้องสบตากันนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งฉันทัชเริ่มก่อน “งั้น...เทมส์ขึ้นไปบนห้องก่อนนะ ง่วงอะ”




...


“โอ๊ย ลูกชายฉัน เดี๋ยวนี้กลับบ้านเร็ว ผิดกับสมัยมีเมียเป็นคนละคน” คุณหญิงกิ่งกานต์แขวะลูกชายคนเล็ก ยามที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาพร้อมชัดเจน

“แม่อะ หยุดประชดผมบ้างไม่ได้หรือ” ปาณัสม์โต้มารดา ชัดเจนยกมือไหว้ผู้มีพระคุณแล้วจึงเลี่ยงเดินไปอีกทางหนึ่งของบ้าน

“แกว่าฉันควรจะพูดกับแกอย่างไรดีเจ้าปาล ทำไมตอนมีแฟนถึงไม่ทำตัวแบบนี้ เอาแต่เที่ยวอุตลุด” คุณหญิงก็ไม่อยากจะดุด่าบุตรชาย แต่ปากก็อดไม่ได้ ถ้าลูกชายของนางจะคิดได้เร็วกว่านี้ เรื่องพวกนี้คงจะไม่เกิดขึ้น

“ก็ผมเบื่อ ไม่อยากไปเที่ยวแล้ว”

“ฉันเดาใจแกไม่ถูกเลยเชียว คำว่าเบื่อของแกมันช่างเปลี่ยนแปลงไปมา โลเลเหลือเกิน” มารดาเตรียมตั้งรับคำเถียงกลับของปาณัสม์ แต่เธอก็ต้องประหลาดใจ

“ใช่ครับ ผมมันคนโลเล” ชายหนุ่มยอมรับมันออกมาอย่างง่ายๆ

“แกเป็นอะไรหรือเปล่า ปาณัสม์” คนเป็นแม่เริ่มผิดสังเกต ไม่บ่อยครั้งนักที่เธอจะเรียกชื่อบุตรชายเต็มยศแบบนี้

“เปล่าครับ ผมแค่เหนื่อยเรื่องงานนิดหน่อย”

“ถ้างั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ เสร็จแล้วก็ลงมากินข้าว เดี๋ยวแม่บอกให้เด็กเตรียมไว้ให้” คุณหญิงเลยไม่เซ้าซี้อะไรบุตรชายอีก

“ขอบคุณครับ”


คุณหญิงกิ่งกานต์มองตามแผ่นหลังของบุตรชายที่หายลับเข้าไปในห้องนอนตัวเอง แล้วทอดถอนหายใจ เธอเดินเข้าไปห้องนั่งเล่น กวาดสายตามองหาคนที่ต้องการ และพบว่าเจ้าตัวกำลังนั่งทานข้าวอยู่พอดี

“เดี๋ยวเตรียมอีกที่ให้คุณปาลด้วยนะ” เธอสั่งเด็กในบ้าน ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับบุตรชายคนโต

“ตาปอนด์”

“ครับแม่”

“แกสังเกตเห็นอะไรผิดปกติกับเจ้าปาลบ้างไหม”

ชายหนุ่มทำท่าคิดก่อนจะตอบ “ไม่นี่ครับ เรื่องงานที่บริษัทมันก็เหมือนเดิมนะครับแม่ นี่มันกลับมาหรือยังครับ ผมไม่ได้ยินเสียงรถ”

“อืม กลับมาเมื่อตะกี้นี่เอง แม่ไล่มันไปอาบน้ำ ช่วงนี้มันทำงานหนักกว่าเดิมหรือเปล่า”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

“แกไม่คิดว่าน้องชายแกมันแปลกไปจริงหรือ” คุณหญิงถามย้ำ

“เอ้อ..อาจจะจริงอย่างที่แม่ว่าก็ได้ ผมไม่ทันสังเกตเลย พักนี้มัวแต่ยุ่งๆ เรื่องงานที่จะร่วมทำกับเพื่อนผม แล้วน้องปัณณ์ก็ออกหัดเพิ่งหายดี ผมแทบจะไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลยครับแม่”

“ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน น้องแกไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืนมาสักพักแล้วนะ ตาปอนด์”

“เหรอครับ” ศรารัณคิดทบทวน “มันเกรงใจแม่หรือเปล่า”

“ตาปาลน่ะเหรอ จะเกรงใจแม่ หรือว่า....มันจะคิดถึงเทมส์ น้องเคยเกริ่นเรื่องนี้กับแกบ้างหรือเปล่า” คุณหญิงตาเป็นประกาย เธอยังไม่ละความหวัง

“ไม่เคยเลยครับ นอกจากที่แม่พูดมา ปาลมันแทบไม่มีอะไรผิดปกติเลยนะครับ งานก็ยังทำไม่ผิดพลาด แถมยังได้ผลดีเสียด้วยซ้ำ”

“แล้วแม่เลขานั่นล่ะ”

“คุณเกศสิรีน่ะเหรอครับ ก็เหมือนเดิมนะแม่ ไม่มีอะไรแตกต่าง ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเลิกกับเทมส์” ศรารัณขยายความเพิ่มขึ้น

“เอ หรือว่ามันจะเบื่อเที่ยวแล้วจริงๆ” คุณหญิงมีสีหน้าครุ่นคิด เริ่มไม่ค่อยแน่ใจ

“ปาลมันบอกแม่ว่าเบื่อเหรอครับ”

“ใช่ หรือมันจะกลุ้มใจเรื่องอื่น”

“ผมว่า เดี๋ยวผมถามมันเองดีกว่า” ลูกชายคนโตบุ้ยหน้าไปยังน้องชายที่เดินมาหาคนทั้งคู่ “นู่น...มันเดินมานั่นแล้ว”

“กำลังนินทาอะไรผมอยู่หรือเปล่าครับ” ปาณัสม์หรี่ตาว่าพลางระหว่างลงนั่ง เด็กในบ้านรีบตักข้าวให้ทันที

“ไม่ได้นินทา แต่กำลังเป็นห่วงต่างหาก” ศรารัณบอก

“ห่วง?มีเรื่องอะไรถึงมาห่วงผม” ปาณัสม์ทำท่าดูเหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากมายและเริ่มลงมือทานข้าวบ้าง

“แกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ มีอะไรก็บอกพี่ชายคนนี้ได้นะเว้ย” พี่ชายถามน้องชายอย่างเป็นกันเอง


ไม่ทันที่ปาณัสม์จะได้ตอบอะไรกลับไป เสียงหวานใสของเด็กหญิงศราลักษณ์ที่วิ่งเข้ามาในห้องก็ดังขึ้นเสียก่อน

“คุณพ่อปอนด์ขา วันนี้ที่โรงเรียนให้วาดรูปครอบครัวด้วยค่ะ” เด็กหญิงรีบเอารูปที่วาดมาจากโรงเรียนนั้นมาอวดผู้เป็นบิดาด้วยความตื่นเต้น

“ไหนพ่อปอนด์ดูหน่อยสิคะ” ร่างเล็กๆ นำกระดาษที่มือมาด้วยส่งให้ ศรารัณนำรูปวาดนั้นมาพินิจดู จะว่าไปเขาดูไม่ค่อยออกหรอก “ใครเป็นใครบ้างคะ บอกพ่อหน่อย”

“คุณพ่อดูไม่ออกหรือคะ” เด็กหญิงทำหน้าเซ็ง คนเป็นพ่อยิ้มหวานให้ “ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะอธิบายให้คุณพ่อฟังเอง คนที่นั่งอยู่บนม้านั่งแล้วถือขนมคือคุณย่า ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ยืนจับมือกันอยู่”

“อ้าว แล้วน้องปัณณ์ล่ะคะ” ศรารัณแปลกใจกับภาพวาด ปกติ ภาพครอบครัวมักจะเป็นพ่อจับมือลูกข้างหนึ่ง แม่จับมือลูกข้างหนึ่งหรือเปล่า

“หนูก็นั่งอยู่บนม้านั่งไงคะ เนี่ยหนูให้คุณครูสอนวาดม้านั่งด้วยนะคะ สวยไหมคะพ่อปอนด์” เด็กหญิงยังคงอวดฝีมือผลงานตัวเอง

“สวยค่ะ สวยมาก ถ้างั้นนี่ก็เป็นคุณย่าแล้วก็หนูนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนอีกคนที่นั่งข้างหนูอีกฝั่ง คือใครคะ”

“อาจันทร์ไงคะพ่อ หนูคิดถึงอาจันทร์ เลยวาดอาจันทร์ด้วย” ศรารัณมองสบตากับปาณัสม์เล็กน้อย

“แล้วอาปาลล่ะคะ” ผู้เป็นพี่ถามแทนน้องชาย

“มีแค่นี้ล่ะค่ะ หนูไปหาคุณแม่ดีกว่า คุณพ่อกินข้าวเสร็จแล้ว รีบมาหาหนูนะ” เด็กหญิงศราลักษณ์ฉลาดตอบ แถมยังหนีไปจากตรงนั้นเสียดื้อๆ

“ไม่คิดว่าเด็กเจ็ดขวบจะโกรธได้นานขนาดนี้” ศรารัณบอกอย่างไม่คาดคิดในตัวบุตรสาว ว่าจะจำแม่นและจริงจังถึงเพียงนี้

“ผมเครียดที่หลานโกรธมากนะพี่ปอนด์ แต่ก็คิดว่าแป๊ปเดียวคงหาย” ปาณัสม์ถอนใจออกมา

“เป็นเดือนแล้วใช่ไหมวะ”

“ครับ”

“ขนาดหลานยังรู้” มารดาพูดลอยๆ “แกก็หาเวลาเข้าหาหลานบ่อยๆ น้องปัณณ์จะได้ใจอ่อน รู้ไหม” ถึงจะรู้สึกว่าสมควรแล้วที่บุตรชายถูกหลานสาวโกรธ แต่คุณหญิงก็ไม่อยากให้ครอบครัวต้องมีปัญหา ยิ่งกับเด็ก เธอยิ่งไม่อยากให้เด็กหญิงต้องโกรธฝังใจขนาดนั้น

“ครับแม่” ปาณัสม์รับคำพลางดันกรอบแว่นที่เลื่อนตกมาให้สูงขึ้นกว่าเดิม

“เลิกงานแล้วยังใส่แว่นอยู่อีกหรือ” ศรารัณถามน้องชาย

“มันชินน่ะ”

“แม่ครับ เรื่องงานวันเกิดของแม่ที่จะจัดปีนี้” ศรารัณไม่ได้ท้วงหรือถามอะไรต่อ เขาเริ่มเรื่อง
ใหม่

“ว่าไงจ๊ะ”

“เดี๋ยวผมจะให้เลขาเอารายชื่อแขกกับรายการอาหารมาให้แม่ดูด้วยนะครับ เผื่อว่าแม่จะอยากชวนใครเพิ่มอีก แต่คงไม่ต่างจากปีที่แล้วเท่าไหร่หรอกครับ”

“จ้ะ”
“ส่วนสถานที่จัดงาน เป็นโรงแรมเดิมดีไหมครับ เบื่อหรือยังครับ อยากเปลี่ยนที่ใหม่ไหม” ศรารัณถามเพิ่มเพราะทุกๆ ปี ก็จัดที่โรงแรมแห่งเดิม

“เรื่องสถานที่กับอาหาร แม่แล้วแต่แกกับเจ้าปาลเลย สะดวกที่ไหนก็ที่นั่นล่ะ แม่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” คุณหญิงสรุปความให้บุตรชายฟังอย่างรวดเร็ว ปกติเธอไม่ใช่คนเรื่องมากอะไรอยู่แล้ว อีกทั้งบุตรชายก็รู้ใจนางเป็นอย่างดี จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล



...



สถานที่จัดงานวันเกิดของคุณหญิงกิ่งกานต์โอ่อ่าใหญ่โตสมฐานะ เนื่องจากปีนี้คุณหญิงอายุครบหกสิบปีพอดิบพอดี ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทั้งสองนายจึงเอาอกเอาใจมารดาเสียยกใหญ่



“ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนโรงแรมเพื่อมาจัดงานให้ใหญ่จนเอิกเกริกขนาดนี้” คุณหญิงดุบุตรชายคนโต ทว่าใบหน้านั้นกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่แฝงความพอใจไม่น้อย


‘เจ้าเด็กพวกนี้ รู้ใจคนเป็นแม่จริงเชียว’


“วันเกิดครบหกสิบปีของแม่นะครับ ผมกับเจ้าปาลจะจัดงานเล็กๆ ให้แม่ได้อย่างไร  อีกอย่างเห็นรายชื่อแขกเยอะกว่าปีก่อนๆ คิดว่าผมกับเจ้าปาลจะไม่รู้หรือครับ”

“ย่ะ เจ้าตัวดี เข้าใจแม่ไปเสียหมด”

“คุณย่าขา มีความสุขมากๆ นะคะ” หลานสาวคนเดียวของบ้านวิ่งเข้ามากอดเอวผู้เป็นย่า

“ขอบใจมากจ้ะ น้องปัณณ์ก็ต้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อนะรู้ไหม”

“ค่ะ คุณย่า” เด็กหญิงรับคำใบหน้าแป้นแล้นเสียจนอยากจะบีบแก้มนิ่มๆ นั้น

คุณหญิงกิ่งกานต์อยากจะต่อท้ายประโยคเหลือเกินว่า แล้วถ้าจะให้ดีก็เลิกโกรธคุณอาเขาได้แล้ว ทว่ายังไม่อยากให้เสียบรรยากาศแต่แรก จึงละเอาไว้

“แขกเริ่มทยอยมาแล้วค่ะ คุณแม่” ชลพิกา สะใภ้คนโตเดินเข้ามาสมทบทีหลัง เพราะต้องไปตรวจตราความเรียบร้อยในงานอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้งานมีข้อบกพร่องน้อยที่สุด

ปกติแล้ว ในทุกๆ ปี หน้าที่นี้จะเป็นของฉันทัช แต่ปีนี้ไม่มีหนุ่มรุ่นน้องคนนั้นแล้ว หญิงสาวจึงรับหน้าที่นี้แทน

“ขอบใจจ้ะ ไปพักเถอะเกด ยิ่งกำลังท้องกำลังไส้อยู่ แม่เป็นห่วง” คุณหญิงบอก

“ค่ะ เดี๋ยวเกดขอตัวพาน้องปัณณ์ไปอีกห้องก่อนนะคะ” ลูกสะใภ้กล่าว คุณหญิงพยักหน้าว่ารับรู้

“แล้วเจ้าปาลล่ะ มาหรือยัง” คุณหญิงถามบุตรชายคนโตถึงบุตรชายคนเล็ก
         
“ยังไม่มาครับ ติดเคลียร์งานที่บริษัทนิดหน่อย แต่อีกสักพักจะตามออกมา”

“อะไรกัน วันเกิดแม่ทั้งที ยังมัวแต่ทำงานอยู่อีก” คุณหญิงบ่นแต่ก็ไม่ได้สนใจนานนักเพราะแขกผู้มีเกียรติต่างพากันทยอยเข้ามาทักทายเจ้าของงาน ทำให้คุณหญิงลืมเรื่องๆ อื่นไปเสียสนิท



...



“ไทน์สายแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน” ฉันทัชเร่งน้องสาวมาตลอดทาง จนกระทั่งรถยนต์ถูกขับเข้ามายังลานจอดรถในอาคารจอดรถของโรงแรม

“ให้มาก่อนก็ไม่เอา” เพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น อินทัชจึงต้องกลับไปฮ่องกงเพื่อถ่ายซ่อมฉากหนึ่งในละคร ทำให้วันหยุดที่ขอลาไว้ถูกเปลี่ยนแปลงกะทันหัน

โชคดีแค่ไหนที่ถ่ายเสร็จทัน แล้วบินกลับมาถึงไทยได้อย่างเฉียดฉิว

“ใครจะกล้าเสนอหน้ามางานคนเดียวล่ะ แล้วถ้าเจอปาลอีก เทมส์จะทำหน้ายังไง”

“อืม เข้าใจๆ รีบลงรถ” อินทัชดับเครื่องพลางเตือนความจำพี่ชาย “อย่าลืมของขวัญของแม่ด้วย”

“จริงด้วย รีบเสียจนเกือบลืมแล้วไหมล่ะ” ฉันทัชลงจากรถก็รีบหยิบของจากที่นั่งด้านหลังอย่างรวดเร็ว

“พร้อมยัง” แฝดน้องถาม

“อืม เข้าไปในงานกันเถอะ”



================================

พรุ่งนี้เขมเหมือนจะงานเข้าค่ะ (เพราะวันนี้งานเข้าหนักมาก) เลยมาลงตั้งแต่คืนนี้ค่ะ

ตอนนี้มีหลายสถานการณ์เหลือเกิน ตัดไปมาแบบนี้ งงกันไหมคะ บอกเขมได้นะ

เนื่องจากตอนนี้ยาวเลยหั่นเป็นสองพาร์ทนะคะ ตอนหน้าไปเที่ยวงานวันเกิดจริงๆ แล้วค่ะ


ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ ดีใจทุกครั้งที่ได้อ่านค่ะ



HASHTAG #ภาคต่อของความรัก

ไปคุยกันในทวิตได้น้า เขมอยากเมาท์ อิอิ

Twitter และ Facebook

ถ้ามีคำผิดบอกเขมนะคะ จุ๊บๆ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 รอ รอ  อยากรู้ว่าปาลจะทำยังไง
555 รูปครอบครัว ตัวเองก็หายไปซะงั้น

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คุณหลานสาวเด็ดมาก ปาลสะอึกเลยไหมนั่น  :m20:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ชอบหลานสาวบ้านนี้ คนจริงเว้ยเฮ้ย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ก็เลิกกันแล้ว ให้มันจบๆ ไป  :katai2-1:

 :pig4:  :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
อย่าเสียดายถ้าคนเคยรักจะหายไปจากชีวิต
อย่ายึดติดเพราะจะทำให้มีรักครั้งใหม่ไม่ได้

ปล่อยๆปาล เค้าไปเหอะ..เทมส์
หุหุ

สวยจนไม่จำเป็นต้องแคร์คนที่เราทิ้งไป
 :katai3:
อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

ภาค 8 No matter what happens, life must go on. Part END


“แม่ครับ ผมพาเพื่อนมาแนะนำให้รู้จัก” ศรารัณเรียกมารดาที่กำลังยิ้มแย้มกับคำอวยพรจากบรรดาเหล่าคุณหญิงในสมาคมด้วยกัน



“ขอตัวสักครู่นะคะ” นางเอ่ยก่อนจะผละออกมาที่บุตรชายคนโต



“ว่าไงจ๊ะ” คุณหญิงยิ้มให้ศรารัณเผื่อแผ่ไปถึงผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ



“เพื่อนผมเองครับ ชื่อก้องภพ”



“สวัสดีครับ” ก้องภพยกมือไหว้เจ้าของงาน พร้อมกับยื่นของขวัญที่บรรจงห่อมาอย่างพิถีพิถันให้ “ขอให้คุณหญิงมีความสุขมากๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรงนะครับ”



“ขอบใจมากจ้ะ” คุณหญิงรับกล่องของขวัญนั้นไว้ก่อนจะส่งต่อให้เด็กมารับไปวางรวมกับกล่องของขวัญบนโต๊ะใหญ่



“รู้จักกับตาปอนด์นานแล้วหรือจ๊ะ แม่ไม่เคยเห็นหน้าเลย”



“เกือบสองปีแล้วครับ ปีก่อนผมติดธุระที่ฮ่องกงจึงไม่ได้มา ปีนี้เลยไม่อยากพลาดอีก”



“เอาใจคนแก่ก็เป็น” คุณหญิงกิ่งกานต์พูดอย่างพึงพอใจ



“เพื่อนที่ผมบอกว่าแนะนำเรื่องการลงทุนที่ฮ่องกงให้ไงครับแม่ จำได้หรือเปล่า” ศรารัณเสริม



“อ้อ คนนี้เองหรือ โธ่...พ่อคุณ ตาปอนด์เล่าเรื่องของคุณก้องให้แม่ฟังเยอะแยะ ไม่น่าเชื่อว่าจะพูดไทยชัดเสียจนไม่นึกว่าหน้าตาจะเป็นลูกครึ่งเต็มตัวแบบนี้”



“ขอบคุณครับ ตอนเด็กผมอยู่ที่ไทยกับคุณแม่เลยพอพูดได้” ก้องภพถ่อมตัว



“ชัดแจ๋วขนาดนี้ ยังบอกว่าพอได้อีก” คุณหญิงเอ่ยแซว พลันสายตาเหลือบไปเห็นสองแฝดที่เจ้าของงานกำลังรออยู่



“เทมส์! ไทน์!” คุณหญิงอุทานเสียงดัง โชคดีเพลงบรรเลงค่อนข้างดังจึงไม่ทำให้เสียงของคุณหญิงตกเป็นจุดสนใจ “แม่กำลังคิดว่าถ้าอีกเดี๋ยวยังมาไม่ถึงงาน แม่จะให้คนไปรับที่บ้าน”



“แม่ครับ/แม่คะ สุขสันต์วันเกิด” สองฝาแฝดเดินเข้ามายกมือไหว้มารดา





ฉันทัชยื่นกล่องของขวัญให้เจ้าของวันเกิด คุณหญิงยื่นมือออกไปรับ แต่ไม่ยอมส่งต่อให้เด็กข้างตัวอย่างเคย นางถือเอาไว้แบบนั้น โชคดีว่ากล่องของขวัญไม่ได้มีน้ำหนักและขนาดใหญ่จนเกินไป จึงไม่ต้องกังวลว่าจะปวดแขน



“โทษไทน์เลยครับ” ฉันทัชโบ้ยความผิดไปให้น้อง



“ไทน์รีบแล้วนะคะ แต่ว่ามีงานเข้ามาด่วนจี๋เลย”



“สองคนนี้เนี่ย” คุณหญิงทำเสียงเหมือนจะดุแต่ก็ตัดบทไปเสียอย่างนั้น “เอาล่ะๆ แม่ไม่บ่นให้เสียบรรยากาศก็แล้วกัน ยกให้วันหนึ่ง”



“แม่น่ารักที่สุด” อินทัชเดินเข้าไปกอดเอวแล้วก้มลงหอมแก้มเจ้าของงาน ฉันทัชยังยืนนิ่งเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะทำดีหรือไม่ จวบจนคุณหญิงส่งสายตาดุๆ ให้นั่นแหละ ฉันทัชจึงทำตามน้องสาวบ้าง



“เรื่องอ้อนแม่ล่ะเก่งนัก” คุณหญิงทำเสียงเหมือนจะดุ แต่แท้จริงแล้วก็เอ็นดูสองแฝดนี่เสียเต็มประดา



“มารู้จักกันไว้ นี่เพื่อนตาปอนด์ ชื่อคุณก้องภพ” คุณหญิงเลยถือโอกาสแนะนำอีกคนที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ด้วย





“อ้าว คุณก้อง? // อ้าว คุณ?” สองแฝดอุทานพร้อมกัน จนคนที่เหลือพากันแปลกใจ



“รู้จักกันมาก่อนหรือ” ศรารัณถาม พลางสลับมองหน้าสองแฝดและเพื่อนของตนไปมา



“คุณก้องภพเป็นเจ้านายผมเอง พี่ปอนด์” ฉันทัชบอกอย่างเรียบง่าย เขาหันไปทางน้องสาว



“ไทน์ก็รู้จักกับคุณก้องด้วยหรือ” เป็นพี่ชายที่ถามน้องสาวด้วยตัวเอง



“ก็ไม่เชิงอะ เคยเจอกันบ้าง” อินทัชตอบเลี่ยง คนเป็นพี่ขมวดคิ้ว คิดว่าคืนนี้คงต้องถามเจ้าน้องตัวดีให้รู้เรื่อง



“โลกกลมเหลือเกิน ดีจ้ะ ดีมาก” คุณหญิงหัวเราะกับสถานการณ์ตรงหน้า เอาเป็นว่าทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีมาแล้ว อีกทั้งเธอเริ่มใจชื้นเล็กน้อยที่หัวหน้างานของฉันทัชเป็นเพื่อนของศรารัณ และนั่นทำให้เธอมั่นใจว่าฉันทัชคงจะไม่ลำบากในเรื่องงานมากนักเพราะศรารัณมักเลือกเพื่อนที่นิสัยค่อนข้างดีประมาณหนึ่ง



“น้องปัณณ์ล่ะครับ” ฉันทัชถามศรารัณ



“มาถึงก็ถามหาแต่หลาน นี่งานวันเกิดแม่แท้ๆ” คุณหญิงแสร้งพูดเหมือนน้อยใจ ฉันทัชยิ้มหวานให้เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดจริงจัง



“อยู่อีกห้องหนึ่ง กำลังเล่นของเล่นอาจันทร์อยู่ ติดมาก ขนไปด้วยทุกที่ ไม่รู้ว่าชอบเล่นมาก หรือคิดถึงอาจันทร์มากกันแน่”



“ขอบคุณครับ พี่ปอนด์” ฉันทัชบอกพลางขอตัวจากเจ้าของงานและคนอื่นๆ



“เดี๋ยวเทมส์” พ่อของน้องปัณณ์เรียกรั้งเอาไว้ได้ทัน



“ครับพี่ปอนด์”



“พี่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของพี่เท่าไหร่ แต่น้องปัณณ์โกรธปาลมากเรื่องเทมส์ ป่านนี้ยังไม่ยอมพูดกับอาปาลเลย ถ้าสบโอกาสเหมาะๆ ลองโน้มน้าวให้พี่หน่อยนะ พี่พูดทุกทางแล้ว แต่ลูกไม่ฟังพี่เลย”



“ครับ ผมจะลองดู”





ฉันทัชเปิดประตูเข้าไปอีกห้องด้านข้าง ค่อยๆ เดินย่องมาทางด้านหลังของเด็กหญิงศราลักษณ์ก่อนจะเอื้อมมือมาปิดตาทั้งสองข้างของเด็กหญิงเบาๆ “ทายสิ ใครเอ่ย”



“อาจันทร์!!อาจันทร์!!” เด็กหญิงรีบยืนขึ้นพลางแกะมือของอาจันทร์ออก



“เดาง่ายจัง ไม่สนุกเลย” ฉันทัชโอด แต่ก็ยอมย่อตัวอุ้มหลานขึ้นมา



“อาไทน์ก็มานะ”



“อุ๊ย อาไทน์ สวัสดีค่ะ” เด็กหญิงอุทานพร้อมพนมมือไหว้ เพราะน้อยครั้งจะได้เจออาไทน์คนสวย



“เข้ามาหาเด็กดื้อเพราะคิดถึงเลยนะเนี่ย แต่ตอนนี้อาไทน์หิวมากเลย” อินทัชพูดพลางเอามือกุมท้อง “อาไทน์ขอไปหาอะไรกินรองท้องก่อนได้ไหม” แท้จริงแล้ว เจ้าตัวอยากจะเปิดโอกาสให้สองอาหลานต่างสายเลือดง้องอนกันต่างหาก



“ได้สิคะ เอาขนมมาให้หนูกับอาจันทร์ด้วยนะคะ อาไทน์”



“เด็กคนนี้ได้ที ใช้ผู้ใหญ่เลยนะเรา” อินทัชคาดโทษก่อนจะหัวเราะเดินออกไป



“ไหนคนเก่ง ตัวสูงขึ้นบ้างหรือเปล่า” ฉันทัชปล่อยเด็กหญิงลงกับพื้นเพื่อวัดความสูง



“คุณครูบอกหนูสูงขึ้นนะอาจันทร์ ตั้งเซนต์หนึ่งแน่ะ” เด็กหญิงอวด



“เก่งมาก แสดงว่าดื่มนมทุกวัน และไม่นอนดึกใช่ไหมคะ”



“ใช่ค่ะ น้องปัณณ์เป็นเด็กดี ของพ่อปอนด์ แม่เกด คุณย่า และอาจันทร์”



“ไม่อยากเป็นเด็กดีของอาปาลด้วยหรือคะ” ฉันทัชลองเกริ่นถาม



เด็กหญิงหน้ายู่เมื่อได้ยินชื่ออาปาล “หนูโกรธอาปาลอยู่”



“อ้าว...โกรธอาปาลทำไมล่ะคะ ไหนเล่าให้อาฟังหน่อยสิคนเก่ง”



“ก็อาปาลบอกหนูว่าทำนิสัยไม่ดีกับอาจันทร์ ทำให้อาจันทร์ไม่มาหาหนูแล้ว” เด็กหญิงพูดจบทำท่าจะเบะปากเตรียมร้องไห้ ฉันทัชเลยดึงตัวมาลูบหลังเพื่อปลอบประโลม



“อย่าร้องไห้ค่ะ อาจันทร์ก็มาหาหนูแล้วนี่ไง ไม่ดีใจเหรอ”



“ดีใจค่ะ” น้องปัณณ์รีบสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้



“รู้ไหม อาปาลน่าสงสารออก” ฉันทัชหาทางตะล่อมหลานสาว



“ไม่จริงหรอกค่ะ” เด็กหญิงเถียง



“จริงๆ แล้ว อาปาลโดนอาจันทร์แกล้งด้วยล่ะ”



“ไม่จริงหรอกค่ะ” เด็กหญิงยังไม่เชื่อ



“จริงๆ ค่ะ อาจันทร์ไม่โกหกน้องปัณณ์” ฉันทัชลูบศีรษะเด็กหญิงพลางดึงมานั่งลงบนตักของตัวเอง



“อาจันทร์ไม่ได้อยู่กับอาปาลแล้ว น้องปัณณ์ยังไม่คุยกับอาปาลอีก แบบนี้อาปาลต้องเศร้ามากแน่ๆ เลย” ฉันทัชไม่รู้ว่าการที่เขาเลิกกับปาณัสม์ไปนั้นอีกฝ่ายจะดีใจหรือเสียใจ เขาไม่ได้สนใจ แต่ถ้าถูกเด็กหญิงหัวแก้วหัวแหวนคนนี้เมินปาณัสม์ทุกข์ทนแน่ เพราะถ้าเขาถูกเด็กน้อยคนนี้โกรธใส่ คงจะไม่มีความสุขเช่นกัน



“อย่าโกรธอาปาลเลยนะ” ฉันทัชพูดย้ำ พลางโยกตัวเล็กน้อย เหมือนกล่อมเด็กหญิงไปพร้อมๆ กัน



“หนู..”



“น้องปัณณ์ไม่สงสารที่อาปาลทุกข์ใจหรือคะ” เด็กหญิงยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่าทุกข์ใจมากนัก แต่ก็คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่



“ทุกข์ใจคืออะไรคะ”



“ทุกข์ใจก็แสดงว่าไม่มีความสุขค่ะ ไม่สบายใจ ตอนกลางคืนอาจจะนอนร้องไห้แน่ๆ เลย”   ฉันทัชอธิบาย



“อยากให้อาปาลร้องไห้หรือคะ”



“ไม่ค่ะ ไม่อยาก”



“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกโกรธอาปาลนะคะ ส่วนอาจันทร์สัญญาว่าจะมาหาหนูเท่าที่อาจันทร์จะทำได้ดีไหมคะ”



เด็กหญิงทำหน้าครุ่นคิด แต่ฉันทัชไม่เห็นสีหน้านั้นของหลาน ชายหนุ่มอดทนรออย่างใจเย็น “ก็..ได้ค่ะ”



“เก่งมากค่ะ คนเก่งของอาจันทร์”



“ง้อกันเสร็จหรือยังน้า ขออาไทน์หอมแก้มน้องปัณณ์บ้างได้เปล่า” อินทัชรอจนทั้งคู่คุยกันจบจึงแทรกขึ้นมาบ้าง



“ได้ค่ะ อาไทน์ต้องให้หนูหอมแก้มคืนด้วย แลกกัน” เด็กหญิงยื่นข้อเสนอ อินทัชยื่นจานขนมกับอาหารอีกเล็กน้อยให้ฉันทัชรับไว้ก่อนจะดึงหลานสาวมาหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความมันเขี้ยว







สองแฝดกับหนึ่งหลานคุยกะหนุงกะหนิงเล่นกับหลานอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งมารดาของเด็กหญิงมารับตัวกลับบ้านเพื่อเข้านอน โดยมีชัดเจนทำหน้าที่ขับรถไปส่ง ถึงแม้จะเป็นวันสำคัญของคุณย่า แต่ก็ไม่มีเหตุให้เด็กน้อยต้องนอนดึก อีกทั้งชลพิกาเองก็ต้องกลับไปพักผ่อนจากสภาวะตั้งครรภ์ของเธอเช่นกัน เด็กหญิงศราลักษณ์มีอาการงอแงเล็กน้อยเพราะยังไม่อยากกลับ แต่สุดท้ายก็ถูกหลอกล่อจากอาจันทร์ที่รักนั่นแหละ จึงยอมกลับไปในที่สุด



“เล่นกับน้องปัณณ์ทีไร เหมือนได้ฮีลตัวเองเลยอะ” อินทัชพูดพลางลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย



“ดีหรือไม่ดี” ฉันทัชถาม



“ดีสิ ดีมากเลยล่ะ อยากกลับไปเป็นเด็กอีกจัง”



“เป็นเด็กถูกล้อนะ หัวเกรียนด้วย นมไม่มี แถมตรงนั้นก็ยังมีอยู่” ฉันทัชพูดให้อินทัชมองเห็นภาพในวัยเด็ก



“ความฝันอยากกลับเป็นเด็กจบละ” อินทัชบอกอย่างเซ็งๆ กับภาพในอดีต



“เข้าไปข้างในกันเถอะ”



“เข้าไปก่อนเลย ไทน์ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”



“ตกลง แล้วเจอกันข้างใน”





...







ตอนที่ฉันทัชเปิดประตูออกไป ร่างของชายหนุ่มปะทะเข้ากับคนที่อยู่ด้านนอกพอดี ฉันทัชเซไปทางด้านหลังเล็กน้อยโชคดีที่ได้มือของคนที่ถูกชนนั้นดึงรั้งเอาไว้ ไม่งั้นป่านนี้เขาคงจะล้มไปนั่งกองกับพื้นจนตกเป็นเป้าสนใจของงานแน่ๆ





“ขอโทษครับ” เสียงของผู้ชายดังขึ้นพร้อมกันเสียงแรกนั้นมาจากฉันทัช ส่วนอีกเสียงนั้นมาจากคนที่ถูกชน



“ปาล?”



“จันทร์?”







ทั้งคู่ต่างตกอกตกใจเพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอกันในรูปแบบนี้ ฉันทัชรู้ดีว่ามางานนี้ต้องเจอปาณัสม์ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้านปาณัสม์ก็รู้ว่าแม่ของเขาต้องให้ฉันทัชมางานวันเกิดของตัวเองแน่นอน ทว่าไม่อยากจะเชื่อจะมาเจอกันโดยบังเอิญแบบนี้ ต่อให้เลี่ยงอย่างไรก็คงไม่ทันแล้ว



“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ปาณัสม์เอ่ยถามทั้งที่เป็นฝ่ายถูกชน



“ไม่ ไม่เป็นไรเลย”



“มาถึงนานแล้วเหรอ” อดีตคนรักถาม



“สักพักใหญ่ละ ปาลล่ะ?”



“เพิ่งมาถึงเอง”



“งานที่บริษัทยุ่งเหรอ”



หากเป็นแต่ก่อน ฉันทัชคงไม่แม้กระทั่งจะเอ่ยปากถามถึงเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ ความเบื่อหน่าย จึงทำให้เขาขี้เกียจถาม ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ปล่อยให้มันเป็นไป



“อืม นิดหน่อย”



“เพิ่งจบไตรมาสที่สองเองไม่ใช่หรือ”



ปาณัสม์หัวเราะ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ “งานมันไม่มีหยุดเสียหน่อย จบไตรมาสนี้ก็ต่อไตรมาสใหม่”



“จริงด้วย” ฉันทัชมาย้อนคิดดู ก็ถูกอย่างที่ปาณัสม์ว่า เพราะเขาเองก็ยุ่งจากเรื่องงานเหมือนกัน ไม่รู้ว่าก้องภพ    สรรหาโปรเจ็คใหม่ๆ อะไรนักหนา



“กินอะไรหรือยัง” ปาณัสม์ถาม



ฉันทัชนึกขำ นี่ก็แปลก ตอนที่อยู่ด้วยกัน อีกฝ่ายไม่แม้จะถามเขาว่ากินข้าวหรือยัง



“กินไปนิดหน่อย ไทน์เอามาให้น่ะ”



“ไปนั่งรอตรงนั้นก่อน เดี๋ยวปาลเอาของกินไปให้”



“ได้ ขอบใจนะ” ฉันทัชตกปากรับคำ เขาไม่ควรมานั่งคุยและรอให้อดีตคนรักต้องมาดูแล





ลืมตัวไปเสียสนิทว่าเลิกกันแล้ว





หลังจากอินทัชออกมาห้องน้ำ หญิงสาวเดินกลับเข้ามาในงาน พยายามมองหาฝาแฝดคนพี่ เมื่อเห็นว่าฉันทัชนั่งอยู่บนเก้าอี้ตามลำพัง แฝดน้องรีบเร่งเท้า หมายจะเดินเข้าไปหา แต่กลับพบว่า เขาถูกใครอีกคนตัดหน้าเสียก่อน

ปาณัสม์ยื่นจานอะไรบางอย่างให้พี่ชาย และฉันทัชก็ไม่ได้มีทีท่าปฏิเสธ







อินทัชครุ่นคิด เธอควรถอยออกมาก่อนใช่ไหม



“ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างตัวหญิงสาวระหว่างที่อินทัชกำลังคิดตัดสินใจเรื่องพี่ชาย



“คุณก้องภพ?” เธอหันไปดูจึงเห็นว่าคนที่มาทักนั้นเป็นใคร ก่อนจะหันกลับไปทางแฝดพี่อีกครั้ง



“กินอะไรหน่อยไหม” ทางนั้นเอ่ยชวน



“ก็ดี”



“ไม่นึกเลยว่าเลขาของผมจะเป็นพี่ชายคุณ” ดูเหมือนเจ้านายของฉันทัชจะเน้นย้ำคำนั้นเป็นพิเศษ



“นั่นสิ โลกกลมเกินไป ถ้ารู้คงไม่ให้ทำ” อินทัชตอบพลางคีบของทานเล่นๆ ลงบนจานเปล่าของตัวเอง



“ตอนนี้ก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” ก้องภพไม่ได้ท้าทาย เขาแค่อยากรู้ว่าอินทัชจะพูดอะไรต่อ ชายหนุ่มหยิบช้อนเล็กๆ ที่บรรจุแซลมอนพอดีคำวางลงบนจานหญิงสาว



“หึ คงห้ามไม่ทันแล้วล่ะ ดูเหมือนพี่ชายฉันจะชอบงานนี้พอสมควร”



“ดีแล้ว ถ้าขาดเขาไป ผมคงขาดใจแน่ๆ” ชายหนุ่มพูดสองแง่สองง่ามให้อินทัชได้ฟัง



“อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับเขาก็แล้วกัน จะหาว่าไม่เตือน” หญิงสาวขู่ฟ่อ กางปีกปกป้องพี่ชายเต็มที่



“ผมรับรอง เพราะจะว่าไป ผมก็ไม่มีนโยบาลจีบคนในบริษัทเสียด้วย”



“ให้มันจริง” อินทัชทำเสียงเหมือนไม่เชื่อ



“แต่ก็นะ...บอกไว้ก่อนของแบบนี้” ก้องภพเว้นระยะ “ตบมือข้างเดียว มันไม่ดังเสียด้วย”



“คงเป็นโชคดีของพี่ชายฉันแล้วล่ะ ที่เขาเลือกเยอะ” อินทัชว่าพลางหยิบช้อนแซลมอนจากจานตัวเองวางลงบนจานอีกฝ่าย



ทางด้านฉันทัช หลังจากที่รับจานของกินจากปาณัสม์มาก็เริ่มกินมันอย่างจริงจัง เขาไม่รู้ว่างานวันเกิดคุณหญิงกิ่งกานต์นั้นจัดเพื่อใครกันแน่ เพราะอาหารที่ปาณัสม์นำมามีแต่ของที่เขาโปรดปราน



“อร่อยไหม”



“อร่อยดี โรงแรมนี้ก็ทำอาหารใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย” ฉันทัชเอ่ยชม



“ดีแล้วที่ชอบ” ปาณัสม์ยกเครื่องดื่มขึ้นจิบ “เป็นไงบ้าง”



“หมายถึง?”



“ทุกอย่าง จันทร์เป็นไงบ้าง” ปาณัสม์ขยายความให้ชัดเจนมากขึ้น “ตั้งแต่เลิกกัน”



“ตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยที่ต้องมาอธิบายชีวิตของตัวเองให้คนรักเก่าฟัง” ฉันทัชหัวเราะ “แต่โดยรวมแล้วก็ดีแหละ ปาลคงสบายดีนะ”



“อืม เรื่อยๆ”



“ได้ข่าวว่าถูกน้องปัณณ์โกรธเหรอ เรื่องเทมส์ใช่ไหม”



“เทมส์?” ปาณัสม์เลิกคิ้วเป็นคำถามที่เจ้าตัวเรียกแทนตัวเอง

         

“แบบนี้แหละดีแล้ว นี่ยังให้สิทธิ์คนเคยสนิทโดยการเรียกแทนตัวเองด้วยชื่ออยู่นะ” ฉันทัชยิ้ม



“ก็ยังดี”



“เทมส์คุยกับน้องปัณณ์ไปแล้วนะ คิดว่าหลานน่าจะเข้าใจ”



“อืม ขอบใจ ช่วงก่อนเข้าไปหาแม่มาหรือ” ฉันทัชชะงัก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้



“ขอโทษนะ มันแปลกๆ ใช่ไหม ที่แฟนเก่ายังไปหาแม่ของอีกฝ่ายอยู่ จะพยายามไปหาให้น้อยที่สุดแล้วกัน เรื่องมางานวันเกิดนี่ก็ด้วย ไว้เทมส์จะคุยกับแม่อีกที”



“ไม่ได้ว่าอะไร จะไปก็ไปเถอะ แม่รักจันทร์มาก แม่ไม่ยอมง่ายๆ หรอก ปาลรู้”



“แต่ถ้าอธิบายให้ท่านเข้าใจ เทมส์คิดว่าไม่น่าจะยาก” ฉันทัชบอก หวังว่าปาณัสม์จะสบายใจขึ้นบ้าง



“กลายเป็นคนไม่เข้าใจกันไปแล้วแฮะ” ปาณัสม์ถอนหายใจ “ปาลไม่ได้ว่าอะไรจริงๆ จันทร์อยากเข้าไปหาแม่ ไปหาน้องปัณณ์บ่อยแค่ไหนก็ได้”



“ขอบใจ แต่ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ยังไงมันก็ดูไม่เหมาะ อีกหน่อยถ้าปาลมีแฟนใหม่ เทมส์ไม่คิดว่าแฟนใหม่ของปาลจะใจกว้าง ยอมรับได้ ที่เห็นแฟนเก่ามาคอยวนเวียนอยู่รอบๆ ตัว”  ฉันทัชพูดติดตลกแต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง     



“คำแรกก็คนรักเก่า คำสองก็แฟนเก่า ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ใช่เลย”



“อะไร” ฉันทัชมองหน้าคนพูดอย่างไม่ไว้ใจ



“จันทร์เป็นเมียเก่าปาลต่างหาก” ฉันทัชที่กำลังเคี้ยวอาหารในปากต้องชะงักค้าง ปาณัสม์พูดอะไรออกมา



“อ้อ แล้วอีกอย่างนะ จันทร์ไม่ใช่ผี ไม่ต้องกลัวว่าใครจะคิดว่าจันทร์มาคอยวนเวียนหรอก” คนพูดตีหน้านิ่งเหมือนไม่ได้พูดอะไรผิดปกติเลยเสียอย่างนั้น



“เหอะ ตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่” คนถูกพาดพิงแค่นเสียงถาม



“เห็นย้ำเหลือเกิน เลยแก้ไขให้มันถูกต้อง ก็เท่านั้นเอง”



“จะหาเรื่องกันหรือ” ฉันทัชพูดพลางมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่พอใจ



“ปาลไม่ได้หาเรื่อง ไม่ได้จะชวนทะเลาะ จันทร์ไม่ต้องกังวลเรื่องของแม่กับน้องปัณณ์และไม่ต้องสนใจเรื่องแฟนใหม่อะไรนั่นด้วย ยกเว้นว่าตัวจันทร์เองต่างหากที่ไม่อยากมาอีกแล้ว”



“โอเค ตกลง” ฉันทัชรับคำ คร้านจะพูดอะไรต่อจึงตัดบท “ไปหาไทน์ก่อนนะ”



“อืม ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย” ปาณัสม์พูดทิ้งท้ายด้วยความเป็นห่วงไว้เพียงเท่านั้น ฉันทัชยิ้มให้ก่อนจะลุกจากไป





ปาณัสม์ได้แต่มองตามหลังอีกฝ่ายไป ทั้งสมองและจิตใจของเขาตีกันยุ่งไปหมด จนไม่สามารถแยกแยะได้แล้วว่าความฟุ้งซ่านนี้มาจากส่วนใดกันแน่







มีช่วงแวบหนึ่งที่เขาอยากจะเอ่ยคำบางคำออกไป แต่ก็ต้องกลืนมันลงคอ ยามที่เห็นสีหน้าของฉันทัชดูมีความสุข ดูโอเคกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้







ยินดีกับอิสระด้วยนะ




================================

ปาณัสม์ นางคนร้าย!!

ขอบคุณคอมเมนต์ของทุกท่านนะคะ  :mew1:
 

HASHTAG #ภาคต่อของความรัก

ไปคุยกันในทวิตได้น้า เขมอยากเมาท์ อิอิ

Twitter และ Facebook

ถ้ามีคำผิดบอกเขมนะคะ จุ๊บๆ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
โอ๊ยยย นี้ดูจากนอกโลกยังรู้ว่ายังรักกัน เฮ้อออ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ใช่ จริง ๆ แกควรพูดออกมา อวยพรออกมาแม้จะเหมือนประชดกันซะหน่อยแต่มันคือความจริงที่ว่า เทมส์เป็นอิสระจากแกแล้วปาล

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ขอตัวเลือกเพิ่มค่ะ !!!
 :ling1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เดินออกมามันก็ดีนะ แค่ 'สามีเก่า' แค่อดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน  ทำไมต้องแคร์   ของเก่าน่ะน่าอนุรักษ์ไว้น่ะนะ ยกเว้นคนเก่าที่ไม่นิยมรีไซเคิลวนลูปมาใช้ใหม่!!!!   :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
จะรอดูดิว่าหงส์เมื่อเดินออกจากกรงขังไปแล้ว
จะหวนกลับมาเดินเข้ากรงขังเดิมอีกหรือเปล่า

โดยเฉพาะกรงที่ผุกร่อนและเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลโสโครก
ที่เกิดจากการสะสมของสิ่งหมักเน่าเหม็น ตอนที่หงส์ไม่อยู่

อย่าหลวมตัวเลยนะ..เทมส์
เพราะอิปาลมันทำตัวเน่าเฟะไปแล้ว
หึหึ

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

ภาคที่ 9 How are you doing?



           
อิสระที่ได้รับกับหนึ่งปีที่ผ่านไป


            “ขอบคุณที่มาส่งนะ ชัด” ฉันทัชตอบพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว

            “ไม่เป็นไรครับ” ชัดเจนพูดตามความเคยชิน

            “ไปนะ ขับรถดีๆ ด้วย” ฉันทัชยิ้มตาหยีแล้วบอกอีกฝ่ายให้ระมัดระวังในการเดินทาง

            “ครับ”


            เหตุการณ์เหล่านี้เริ่มจะเป็นภาพที่คุ้นตาของอินทัชในระยะหลังๆ ก่อนหน้านี้ก็มีบ้างประปราย แต่ทำไมหมู่นี้พี่ชายของเขาจึงมีสารถีมาคอยรับส่งที่คุ้นหน้าเหลือเกิน

            “มาส่งอีกแล้วเหรอ” เมื่อเห็นพี่ชายเดินเข้ามาในบ้าน อินทัชก็เปิดปากถามโดยไม่รีรอ

            “ถามอีกแล้วเหรอ” ฉันทัชย้อน ก็เห็นๆ อยู่ว่าคนที่มาส่งน่ะใคร

            “เอาจริงดิ!?”

            “เอาอะไร ยังไม่ได้เอากันเลย” แทนที่จะตอบน้องสาวไปอย่างตรงๆ แต่ฉันทัชกลับเล่นลิ้นเฉไฉลงเรื่องใต้สะดือเสียอย่างนั้น

            “ไม่ตลกนะ เทมส์ ตอบมาดีๆ” ทว่าอินทัชไม่อยู่ในอารมณ์จะเล่นด้วย

            “ชัดเจน แค่มาส่งเฉยๆ ไม่มีอะไร”

            “คนที่เขาไม่คิดอะไร คงไม่ลงทุนมาคอยรับส่งแบบนี้ให้เปลืองน้ำมันหรอกมั้ง” อินทัชประชด

            “แล้วยังไง” ฉันทัชวางกระเป๋าโน้ตบุ๊กลงบนโซฟา ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อออกสองเม็ดและดึงชายเสื้อออกมาจากกางเกงเผื่อผ่อนคลาย

            “เทมส์ อย่าทำไม่รู้เรื่องได้ไหม ชัดเจนเป็นคนของบ้านปาลนะ” อินทัชเดินตามพี่ชายไปในครัว

            “ก็แล้วยังไง” ฉันทัชหันกลับมามองน้องสาว ด้วยใบหน้าใสซื่อ

            “ยียวนแบบนี้ จะให้ไทน์โกรธใช่ปะ” อินทัชถอนหายใจ หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว

            “ทำไมต้องโกรธด้วยเนี่ย ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย” แฝดคนพี่หยิบจานชามออกมาจากตู้ “ไปหยิบอาหารในตู้เย็นมาให้หน่อย จะอุ่นให้ ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม” ฉันทัชถามอย่างรู้ใจ

            “ยัง รอเทมส์อะแหละ” อินทัชเดินไปหยิบของตามที่พี่ชายสั่งแต่โดยดีแล้วนำกลับมายื่นให้ “เรื่องชัดเจนเอาไง”

            “เดี๋ยวเทมส์อุ่นข้าว แล้วขอไปอาบน้ำก่อน กินเสร็จแล้วค่อยคุยก็แล้วกัน ตกลงไหม”

            “เอางั้นก็ได้” อินทัชบอกอย่างจำใจ ถ้าหากอิ่มท้องก่อน สติอารมณ์น่าจะดีกว่านี้


            แม้จะทำทุกอย่างเสร็จสิ้นจนใกล้จะเข้านอนแล้ว แต่แฝดน้องยังไม่ลืมอย่างที่ฉันทัชหวังเอาไว้ ช่วงนี้ดูเหมือนอินทัชจะความจำดี จำเรื่องของเขาได้แม่นเป็นพิเศษ

            “สรุปยังไง ต้องตอบได้แล้ว”

            “ไม่มีอะไรจริงๆ” ฉันทัชบอกเสียงราบเรียบ

            “ไม่ได้เทมส์ จะพูดแบบนี้ไม่ได้”

            “ทำไมถึงไม่ได้”

            “ไทน์ขอพูดอีกครั้งนะ ชัดเจนเป็นคนของบ้านนั้น ถ้าเทมส์ไปคบกับชัดเจน ก็จะหลีกเลี่ยงไม่เจอคนที่นั่นไม่ได้อยู่แล้ว”

            “แน่นอน”

            “แน่นอน แล้วยังไง แม่จะว่าไงอะ เปลี่ยนจากคนลูกมาเป็นคนในบ้านอีกคน แบบนี้น่ะเหรอ”

            “ไปกันใหญ่แล้ว นี่ยังไม่ได้พูดสักคำว่าคบกับชัดเจน” ฉันทัชแย้ง

            “ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักที”

            “เห็นไทน์โวยวายแล้วตลกดี”

            “ไม่ขำเลย แบบนี้ไทน์ไม่เล่นด้วย” น้องสาวไม่ชอบใจ

            “ฟังดีๆ นะ ชัดเจนมาส่งเทมส์เฉยๆ และเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรต่อกันไปมากกว่านี้”

            “อย่าบอกว่าเทมส์ไม่รู้ว่าชัดเจนคิดอย่างไร?”

            “รู้”

            “ถ้ารู้แล้ว ทำไมยังทำแบบนี้ มันเหมือนให้ความหวังกัน แล้วชัดเจนก็กระไร รู้ทั้งรู้ว่าเทมส์เป็นแฟนเก่าของพี่ตัวเอง ก็ยังมาตีท้ายครัวแบบนี้อีก ไม่ดีเลย” อินทัชบ่นอุบ หญิงสาวไม่เห็นด้วย

            “เทมส์เคยคุยกับชัดไปแล้ว แต่เขาขอโอกาสบ้าง”

            “แล้วเทมส์ก็ให้เนี่ยนะ? ตลกชะมัด”

            “ไทน์ไม่โอเค?”

            “ใช่ แล้วก็ไม่โอเคมากๆ ด้วย” อินทัชสูดลมหายใจเข้าปอดจนเหมือนรูจมูกจะบานออกนิดๆ “ที่ไทน์ยอมปล่อยให้ชัดเจนมาส่งเทมส์หลายต่อหลายครั้ง เพราะคิดว่าเทมส์จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”

            “เทมส์จัดการไปแล้วไง นี่แค่มาส่งเอง”

            “บางทีก็มารับ” อินทัชแก้ไขคำพูดพี่ชายให้ครบ

            “ไม่บ่อยเท่ามาส่งมั้ง” ฉันทัชยังพูดเล่นต่อโดยไม่สนอารมณ์ของน้องสาว

            “เทมส์!?” นานๆ ถึงจะเห็นอินทัช คนที่ใจเย็น โมโหสักที

            “อะๆ ไม่แกล้งแล้ว เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเทมส์จะบอกชัดเจนอีกทีดีไหม ว่าเทมส์ขอกลับเอง”

            “เรื่องนั้นมันต้องพูดอยู่แล้วปะ”

            “แล้วจะให้เทมส์ทำไง” แฝดพี่พูดอย่างอ่อนใจ

            “เอารถไทน์ไปใช้”

            “ไม่เอา ถ้าเทมส์เอาไปใช้แล้วไทน์จะไปทำงานอย่างไร” ฉันทัชปฏิเสธ

            “แท็กซี่ก็ได้ ถ้าถ่ายละครก็ให้รถของกองถ่ายมารับ ไทน์มีวิธีของไทน์น่า ไม่ต้องเป็นห่วง”

            “ไม่เอา ไม่อยากให้ไทน์ต้องมาเดือดร้อนแบบนี้” และคนเป็นพี่ยังเลือกปฏิเสธ จนน้องสาวรู้สึกความดันเริ่มขึ้น

            “งั้นไปซื้อรถใหม่” อินทัชเสนออีกตัวเลือก

            “ไม่เอา”

            “ไม่ได้ ในเมื่อแบบไหนก็ไม่เอา เอาแบบนี้แหละ ไปซื้อรถกัน”

            “ไม่เอา มันเปลือง”

            “ไทน์ซื้อให้เอง” น้องสาวเสนอตัวเป็นเจ้ามือในการดำเนินการครั้งนี้

            “ไม่ดีหรอก เทมส์ทำงานแล้ว”

            “โอ๊ย เป็นคนคิดเล็กคิดน้อย คิดมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” อินทัชหัวเสีย บทฉันทัชจะดื้อ ใครพูดก็ไม่ฟัง “ถ้าไม่ให้ไทน์ซื้อให้ ไทน์จะไปบอกแม่ รับรองแค่พูดออกมาคำเดียว รถมาจอดหน้าบ้านวันรุ่งขึ้นแน่นอน” ในที่สุดอินทัชก็ปิ๊งไอเดียดีๆ ทางรอดของหญิงสาว

            “อย่านะไทน์ ห้ามบอกแม่เด็ดขาด” ฉันทัชรีบบอกห้าม เพราะรู้นิสัยคุณหญิงกิ่งกานต์เช่นเดียวกัน

            “ถ้าไม่อยากให้ไทน์บอกแม่ ก็ต้องทำตามที่ไทน์ว่า โอเคปะ” อินทัชใช้วิธีนี้มาขู่พี่ชายให้ยอมจำนน

            “เออ ก็ได้วะ” ฉันทัชฉุนที่ไม่สามารถต่อกรกับน้องสาวในยกนี้ได้

            “พูดไม่เพราะ เดี๋ยวจูบเลย” พอพี่ชายตกลง นางแบบสาวก็กลายร่างกลายเป็นหญิงสาวแสนสดใสทันที

            “พอใจแล้วใช่ไหม งั้นรีบนอน พรุ่งนี้เทมส์มีงานแต่เช้า”

            “รับทราบ นอนก็ได้ค่ะ อ้อ พรุ่งนี้ไทน์เลิกงานตั้งแต่ตอนบ่าย เดี๋ยวไปรับที่ทำงานเอง”

            “อืม”


            ...


            ฉันทัชนำเอกสารที่เจ้านายของเขาต้องเซ็นมาวางไว้บนโต๊ะ หลังจากที่เคาะประตูและได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องเรียบร้อยแล้ว

            “เป็นอะไรไป หงุดหงิดอะไรมา” สายตาคมกริบยังคงสังเกตเห็นอะไรได้แม่นยำเสมอ

            “ไม่มีอะไรหรอกครับ”

            “ระวังหน่อย” ฉันทัชกำลังงงว่าเจ้านายของเขาหมายถึงอะไร ก้องภพก็ชี้มาที่หน้าของฉันทัชให้เข้าใจ “ปรับสีหน้าด้วย”

            “ขอโทษครับ”



            หนึ่งปีที่ทำงานร่วมกับเจ้านายอย่างก้องภพมา ฉันทัชได้เรียนรู้อะไรมากมาย ถึงก้องภพจะเป็นนักธุรกิจไฟแรง อายุอานามยังไม่มากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับเขี้ยวเล็บและประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจ แต่ทว่าชายหนุ่มกลับเป็นคนที่มีความอดทนและความใจเย็นเป็นเลิศ ภายใต้ใบหน้าที่หล่อเหลาและยิ้มแย้มตลอดเวลานั้น หลายต่อหลายครั้งก้องภพสารภาพกับฉันทัชตรงๆ ว่าเขากำลังโมโหลูกค้าอยู่


            ‘เรื่องมาก สร้างปัญหา ข้ออ้างเยอะ ขอต้นทุนต่ำ แต่ดันอยากได้กำไรสูงๆ’


            ก้องภพมักจะจำกัดคำนิยามของลูกค้าเจ้าปัญหาไว้แบบนั้น หลายครั้งที่ชายหนุ่มพูดเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองหรือทางธุรกิจ เจ้านายของฉันทัชมักจะค่อยๆ สอนฉันทัชไปอย่างไม่รู้ตัว ทั้งการงานและสภาพทางอารมณ์


            “คนใจร้อนมักจะทำอะไรลำบากในทุกด้านนะ รู้ไหม เทมส์” ก้องภพพูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาและมือที่จดตวัดลายเซ็นบนเอกสารนั้นอย่างคล่องแคล่ว

            “อ่า..ครับ”

            “ถ้าเราควบคุมจิตใจตัวเองได้ ทุกอย่างก็จะดี และถ้าเราอดทนรอได้ ผลลัพธ์ที่ได้มามักจะ
คุ้มค่า เหมือนที่ว่า...”

            “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามใช่ไหมครับ” ไม่ได้รั้งรอเจ้านายพูดจบ ฉันทัชก็แทรกขึ้นมา

            “จะบอกว่าผมพูดบ่อยแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มพลางยื่นแฟ้มเอกสารนั้นคืนให้เลขา

            “เปล่าครับ” ฉันทัชยิ้มตอบ “ขอบคุณนะครับ ที่คอยเตือนผมตลอด”

            “ไม่เป็นไร อ้อ..เดี๋ยวช่วงบ่าย ผมมีโปรเจ็คหนึ่ง คุณก็ไปด้วยนะ”

            “ครับ” ฉันทัชรับคำ “แล้วจะกลับมาที่ออฟฟิศอีกไหมครับ”

            “เขาจะมาหาเราที่นี่ แต่ทางนั้นขอเป็นร้านกาแฟตรงล็อบบี้ข้างล่างน่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

            “วันนี้ไทน์จะมารับครับ”

            “ไทน์เหรอ” ก้องภพพูดชื่อนั้นแล้วก็เงียบไป ฉันทัชรอฟัง แต่ทว่าเจ้านายก็ไม่มีทีท่าจะพูดอะไรออกมาอีก

            “ถ้างั้นผมขอตัวนะครับ”

            “ครับ”


            ...


            “โปรเจ็คใหม่ที่ว่า เกี่ยวกับอะไรครับ” ฉันทัชถามระหว่างที่รอจะลงลิฟต์กับก้องภพ

            ปกติแล้วเวลาที่มีงานใหม่ๆ เข้ามา เขามักจะได้รับรายละเอียดหรืออีเมลแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ครั้งนี้กลับไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากคำพูดปากเปล่าจากท่านหัวหน้า


            น่าแปลกที่คนอย่างก้องภพ จะทำอะไรโดย ไม่มีลายลักษณ์อักษร

            “ผมจะร่วมลงทุนกับเพื่อน ส่งออกพวกสินค้าพวก ผลไม้แปรรูป ไปฮ่องกง” ลิฟต์มาพอดี พวกเขาทั้งคู่เดินเข้าไปในนั้น ฉันทัชกดปุ่มไปยังชั้นล็อบบี้ตามที่ได้รับทราบมาแต่แรก

            ฉันทัชขมวดคิ้ว “ทำไมถึงอยากลงทุนกับของพวกนี้ครับ ไหนคุณก้องเคยบอกว่าไม่อยากทำพวกของกิน เพราะมันมีวันหมดอายุได้และเรื่องรสชาติอะไรนั่นก็อีก”

            “อยากลองดู เปลี่ยนบรรยากาศน่ะ” ก้องภพส่งยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวส่งให้ ฉันทัชได้แค่คิดว่าคนๆ นี้มีรอยยิ้มอันแสนร้ายเหลือ ใครอยู่ใกล้แล้วไม่หวั่นไหวคงจะยากเต็มที

            “ผมนึกว่าคุณอยากจะต่อยอดเรื่องเครื่องประดับเสียอีก”

            “นั่นก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่มีทางทิ้งแน่นอน ยังไงก็เป็นธุรกิจหลักของบ้านผม และมันคงน่าเสียดายมากเลยล่ะ ถ้าไม่มีคอลเล็กชั่นใหม่ๆ ไปให้น้องสาวคุณใส่เดินในงานแฟชั่นโชว์”

             ฉันทัชหลุดขำที่อีกฝ่ายพูดเล่นไม่จริงจัง “อันนั้นคุณก้องก็พูดเกินไปครับ”

             “คิดว่าผมพูดเล่นสิท่า”

             “ครับ” เจ้าหน้าที่ล่ามพ่วงด้วยตำแหน่งเลขาไม่ปฏิเสธ

             “ผมพูดจริงต่างหาก น้องคุณน่ะ ไหปลาร้าขึ้นรูปสวย ช่วงไหล่กำลังดี เวลาใส่สร้อยจะทำให้เครื่องประดับดูโดดเด่น อีกทั้งคอยังยาวระหง ใส่ต่างหูก็สวยเช่นกัน”

             “คุณชมน้องสาวผม จนผมยังรู้สึกเขินแทนไทน์เลย อย่าลืมสิว่าผมกับน้องเป็นฝาแฝดกันนะครับ”

             “ขอโทษที ผมลืมไป” ก้องภพหัวเราะ เพราะเขาก็ลืมไปจริงๆ นั่นแหละ

             “เอ หรือว่าคุณก้องจะหมายความว่า ผมตรงกันข้ามกับน้องใช่ไหมครับ?” ฉันทัชเลิกคิ้วพลางถามอีกฝ่ายหน้าตาย

             “โอ๊ะ เปล่าๆ ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย” ก้องภพรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

             “ล้อเล่นน่ะครับ” ฉันทัชหัวเราะ

             “ไม่นึกว่า เห็นเฉยๆ นี่แกล้งเป็นเหมือนกันนะเนี่ย ไทน์บอกผมว่าคุณช่างแกล้ง แต่ไม่คิดว่าผมจะถูกแกล้งไปด้วย”

             “ไทน์บอกคุณก้องเหรอครับ” ฉันทัชสงสัย ทว่าถึงร้านกาแฟพอดี ก้องภพเลือกที่จะยิ้มเป็นคำตอบ พลางแตะเอวของฉันทัชเข้าไปในร้านดังกล่าว


             การที่น้องสาวของเขาจะคุยเรื่องส่วนตัวกับคนไม่สนิทนั้นไม่ใช่เรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นได้ เขารับรู้มาก่อนหน้านี้ว่าคนทั้งคู่รู้จักกันเพราะบังเอิญไปเจอกันในร้านโปรดของอินทัชและเป็นร้านประจำของก้องภพเท่านั้น


             แล้วหลังจากนั้นล่ะ?


             สนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่?


             เดี๋ยวเจอตัวอินทัชเย็นนี้ ฉันทัชหมายมั่นปั้นมือว่าเขาจะต้องเค้นถามน้องสาวให้รู้เรื่องให้จงได้ ทีเรื่องของเขากับชัดเจนนั้น อินทัชยังเข้ามาจัดการเลย แล้วทำไมเรื่องนี้เขาจะปล่อยให้รอดมือได้ล่ะ


             ...


             “สวัสดีครับ คุณก้องภพ ผมปาณัสม์ วันนี้ขออนุญาตสลับตัวกับพี่ปอนด์แทนนะครับ ขอโทษด้วยครับ” ปาณัสม์ลุกขึ้นยืนพร้อมเกศสิรี เมื่อเห็นคู่สนทนาเข้ามาในร้าน

             “สวัสดีคุณปาณัสม์ ไม่เป็นไร ปอนด์โทรมาบอกผมล่วงหน้าแล้วล่ะ คุณเรียกผมว่าพี่ก้องก็ได้ แล้วผมขอเรียกคุณว่าปาล เหมือนที่ปอนด์เรียกคุณได้ใช่ไหม เห็นพี่ชายคุณพูดถึงคุณบ่อยๆ” ก้องภพไม่ได้ถือสาอะไร เพราะเขารู้ล่วงหน้ามาแล้ว “นั่งคุยกันดีกว่า”

             “ครับ”
         
             “ปอนด์ติดธุระเรื่องครอบครัวล่ะสิ” ก้องภพชวนคุยทำลายบรรยากาศของการเจอกันครั้งแรก
       
            “ใช่ครับ โชคดีที่ตรวจเจอตั้งแต่เนิ่นๆ”

            “คนที่เพิ่งคลอดใช่ไหม เหนื่อยหน่อยนะ”

            “ครับ”

            “ผมเกือบลืมไป นี่เลขาผม แต่คิดว่าน่าจะรู้จักกันแล้วหรือเปล่า เพราะคุณเทมส์ก็รู้จักปอนด์อยู่ก่อนแล้วนี่”

            “ครับ รู้จัก” ปาณัสม์เป็นฝ่ายตอบ เขามองไปทางฝั่งฉันทัชที่ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา “ส่วนทางผม คุณเกศสิรี เป็นเลขาของผมครับ”

            “สวัสดีค่ะ” เลขาสาวยิ้มให้อย่างเป็นมิตรพร้อมกับยกมือไหว้ฝ่ายตรงข้าม



            ฉันทัชมัวแต่ยังอึ้งด้วยความไม่คาดคิดว่าก้องภพจะมาทำธุรกิจกับครอบครัวนี้ และ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่ได้กลับมาเจอปาณัสม์อีกครั้งหลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้ายในวันเกิดของคุณหญิงกิ่งกานต์


            ช่วงที่ผ่านมาทั้งฉันทัชและปาณัสม์รวมไปถึงเครือญาติมิตรสหายใกล้ตัวทั้งหลาย พยายามกันสองคนนี้ไม่ให้เจอกัน รวมถึงทั้งคู่เองที่จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่เจอหน้ากัน ดังนั้นเวลาที่คุณหญิงกิ่งกานต์ชวนให้ฉันทัชไปหา หรือบอกให้ไปรับน้องปัณณ์นั้นแปลว่าจะไม่มีเงาของปาณัสม์แน่ๆ


            ทว่าครั้งนี้มันเกิดอะไร อะไรที่ปาณัสม์บอกว่าโชคดีที่ตรวจเจอ เกิดอะไรขึ้นกับน้องปุณณ์หรือเด็กชายอิศรา วัยสองเดือนคนนี้ อย่างไรศรารัณย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ฉันทัชทำงานให้กับก้องภพ หากส่งปาณัสม์มาแทนยังไงก็จะต้องเจอกับชายหนุ่มอย่างแน่นอน


            พอรวบรวมสติได้ ก็ทันได้ยินประโยคสุดท้ายของชายหนุ่มว่า‘เลขาของผม’ฉันทัชอยากจะเบะปากเล็กน้อยแต่ก็ต้องทำนิ่งเข้าไว้ให้มากที่สุด เพิ่งจะถูกก้องภพเตือนมาอยู่หยกๆ เขายังไม่อยากถูกเตือนซ้ำอีก


            ก้องภพเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่มระหว่างที่จะคุยธุรกิจกัน อันที่จริงอย่าเรียกว่าคุยธุรกิจเลย เหมือนมาคุยให้คุ้นหน้ากันมากกว่า เพราะเขากับศรารัณได้คุยและวางแผนร่วมกันมาก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายจึงส่งน้องชายมาเพื่อให้คุ้นเคยกับนิสัยเขาก่อนกระมัง


           แค่พบหน้าพบตากันเฉยๆ


           การพูดคุยเป็นกันเองมากกว่าจะเป็นเจรจาในธุรกิจจึงเกิดขึ้นอย่างเรียบง่าย บนโต๊ะมีเพียงก้องภพและปาณัสม์พูดคุยเนื้องานกันเป็นหลัก เพราะเลขาทั้งสองฝ่ายนั้นก้มหน้าก้มตาทำการบันทึกรายละเอียดเอาไว้ สำหรับเลขาคนอื่นๆ เป็นอย่างไร ฉันทัชไม่รู้ เขารู้แค่ว่าเงยหน้ามามองฝ่ายตรงข้ามให้น้อยที่สุดคงเป็นการดี


           ทั้งที่มือก็พิมพ์รัวเร็วบนแป้นคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊กแต่สมองกลับวอกแวกอยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องพิมพ์ๆ ลบๆ เสียเวลาเพิ่มขึ้นไปอีก ฉันทัชกำลังสงสัยอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ปกติแล้วถ้าเป็นการเจรจาทางธุรกิจ ปาณัสม์จะมาพร้อมกับชัดเจนเสมอ


           เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนที่มาแทนชัดเจนวันนี้กลับเป็นเกศสิรี ผู้หญิงตรงหน้าไปได้ ฉันทัชยังจำเหตุการณ์ในผับเมื่อปีที่แล้วได้ดี ภาพนั้นแวบเข้ามาในสมองจนเขาโมโหตัวเอง


           ไม่ได้คิดโหยหาปาณัสม์ แต่มันอดอคติไม่ได้ ก็เท่านั้นเอง


           ร่วมชั่วโมงที่สองหนุ่มนักธุรกิจผูกขาดการสนทนา ในที่สุดมันก็จบลงเมื่อก้องภพขอตัวไปสูบบุหรี่ด้านนอก ประจวบเหมาะกับจังหวะที่เกศสิรีเอ่ยขอตัวไปเข้าห้องน้ำพอดี ทำให้บนโต๊ะเหลือเพียงฉันทัชและปาณัสม์อดีตคนเคยสนิทเพียงเท่านั้น


           ไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกหรือฟ้าจงใจกลั่นแกล้ง ถึงจะฟังดูน้ำเน่าไปหน่อย แต่ก็นั่นแหละมันเป็นสิ่งที่แวบเข้ามาในหัวของฉันทัชในเวลานี้


           ฉันทัชไม่ได้ชวนอีกฝ่ายคุย เขาแอบลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆ ปาณัสม์ยังคงดูเหมือนเดิมไม่ต่างจากเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่ชายหนุ่มกลับมีบรรยากาศที่ต่างออกไปจากเมื่อก่อน เขาไม่รู้จะอธิบายบรรยากาศนี้ว่าอย่างไรเพราะมันดูขมุกขมัวเหลือเกิน ปาณัสม์เหมือนจะนิ่งขึ้นอย่างนั้นล่ะมั้ง


            “สบายดีไหม” คนที่เอ่ยทักก่อนกลับเป็นปาณัสม์


           เป็นเขาที่ยอมเป็นฝ่ายพูดก่อน เปล่าประโยชน์ที่จะตั้งแง่หรือไว้เชิง จากสายตาที่เขามองเห็นฉันทัชในเวลานี้ ชายหนุ่มมีใบหน้าที่สดใสถึงจะมีความเหนื่อยล้าปนอยู่บ้าง แต่คงมาจากเรื่องงาน เพราะก้องภพก็เป็นอีกคนที่ทำงานหนักพอตัว ทรงผมถูกตัดให้สั้นกว่าเดิมเล็กน้อย เจ้าตัวคงอยากจะให้เข้ากับงานและการแต่งตัว ฉันทัชเป็นคนแต่งตัวได้เหมาะสมกับสถานการณ์อยู่เสมอ

           “สบายดี” ในเมื่อเริ่มโต้ตอบกับอีกฝ่าย ฉันทัชจึงไม่รีรอที่จะถามสิ่งที่เขาสงสัยตั้งแต่ก้องภพทัก “น้องปุณณ์เป็นอะไร ไม่สบายหรือ”

           “อืม จู่ๆ ก็ป่วย เป็น RSVพี่ปอนด์กับพี่เกด แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ผลัดกันเฝ้าลูก”

           “หนักมากแค่ไหน แล้วตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม” ฉันทัชร้อนรนถามอีก

           “ดีขึ้นแล้ว แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังไม่ไว้ใจ”

           “อืม พี่เกดคงจะเหนื่อยมากๆ ไหนจะน้องปัณณ์อีก”

            “ตอนนี้น้องปัณณ์มาอยู่ที่คอนโดชั่วคราว”

            “ทำไมถึงไปอยู่ที่นั่น”

            “แม่กลัวว่าจะเอาเชื้อจากที่โรงเรียนมาให้น้องอีก เลยแยกพี่กับน้องไว้ก่อน”

            “อ้อ..อย่างนั้นก็ดี ว่าแต่น้องปัณณ์อยู่กับใครที่คอนโด” ฉันทัชยังสงสัย

            “อยู่กับปาล”

            “เหรอ” ฉันทัชพูดได้เท่านั้นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

            “วันนี้ถ้าจันทร์ไม่ติดอะไร ก็ไปรับหลานสิ พาไปนอนค้างที่บ้านก็ได้” ปาณัสม์บอกอนุญาตอย่างใจดี ไม่ใช่ว่าฉันทัชจะไม่เคยรับเด็กหญิงมานอนค้างด้วยในวันหยุด แต่ไม่ใช่จากปาณัสม์ที่เป็นคนอนุญาต

            “จะไปเที่ยวใช่ไหม” ฉันทัชโต้ตอบอย่างรู้ทัน

            ปาณัสม์ไม่ปฏิเสธหรือยอมรับ เขาแค่คลี่ยิ้มพร้อมกับใบหน้าที่ฉันทัชคาดเดาไม่ออก


            ‘ห้ามยิ้มแบบนี้เว้ย’


            ไม่ได้อยากจะกลับไปเพ้อพกหรืออะไร แต่รอยยิ้มของปาณัสม์มันเป็นสิ่งที่เขาแพ้ทางตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน น่าแปลกทั้งที่เขาคิดเสมอว่าก้องภพมีรอยยิ้มที่มีเสน่ห์น่าค้นหามาก แต่เขากลับไม่เคยตกหลุมนั้นได้เลย ผิดกับคนนี้ที่ทำให้ใจของเขากระตุกไปทีหนึ่ง


            จนเขารำคาญตัวเอง


            ฉันทัชเสมองออกไปนอกร้าน เห็นก้องภพกำลังเดินกลับเข้ามา เขารู้สึกโล่งอกเหมือนมีคนกำลังมาช่วยดึงเขาขึ้นมาให้รอดพ้นเหนือพ้นน้ำ

            “เรื่องหลาน ว่าไง?” ปาณัสม์ทวงคำตอบ

            “เดี๋ยวไปรับเอง บอกพี่เกดกับแม่ให้ด้วย” ฉันทัชตกลงเพราะเจ้าตัวก็คิดถึงน้องปัณณ์อยู่เหมือนกัน

            “ตามนั้น”



            สมาชิกกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะประชุมขนาดย่อมกันอีกครั้ง ก่อนเอ่ยร่ำลา ขอบคุณกันตามธรรมเนียมแล้วแยกย้ายกันไป


            หลังจากขึ้นมายังชั้นที่ทำงานอีกครั้ง ก็ได้เวลาเลิกงานพอดี ฉันทัชตรวจตรางานที่เหลือ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นงานด่วนหรือจำเป็นสำหรับวันนี้ เขาจึงเตรียมเก็บข้าวของเพราะน้องสาวส่งข้อความมาบอกว่ามาถึงเรียบร้อยแล้ว จอดรถตรงจุดจอดชั่วคราวอยู่แถวหน้าตึก


            จังหวะที่เขาจะเข้าไปบอกก้องภพว่าขอตัวกลับก่อน ประตูห้องทำงานของก้องภพก็ถูกเปิดออกจากเจ้าของเสียก่อน “เทมส์ ตกลงว่าวันนี้ไทน์มารับใช่ไหม” 


            “ใช่ครับ ผมกำลังจะเข้าไปบอกคุณก้องอยู่พอดีว่ากำลังจะกลับแล้ว”

            “อืม ผมฝากไปรับน้องกายให้ด้วยสิ แล้วฝากไว้ที่บ้านคุณก่อนได้ไหม อ่า..ขอโทษ” ก้องภพพูดเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “ผมควรจะถามคุณก่อนว่าคุณติดธุระอะไรหรือเปล่า”

            “ไม่ทันแล้วล่ะมั้งครับ” ฉันทัชหัวเราะพลางบอกอย่างอารมณ์ดี “มีอะไรหรือเปล่าครับ ปกติคุณก้องให้คนไปรับน้องกายไม่ใช่หรือครับ” ฉันทัชสงสัย

            “ผมสัญญาว่าจะพาเขาไปกินไอติมวันนี้ แต่อีกสิบห้านาทีผมดันมีประชุมทางไกลด่วนกะทันหันน่ะ”

            “ประชุมด่วนเหรอครับ ผมไม่ต้องอยู่ประชุมด้วยหรือครับ”

            “ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร กับท่านประธานหลี่น่ะ จริงๆ หาเรื่องชวนผมบินไปฮ่องกงมากกว่า” ก้องภพบอกอย่างมั่นใจ ด้วยความที่รู้จักกับประธานหลี่มาหลายปี

            “ครับ”

            “แล้วคุณไปรับน้องกายได้หรือเปล่า ไม่ต้องเกรงใจนะ ถ้าไม่ได้ผมจะได้รีบโทรบอกคนที่บ้าน อาจต้องให้น้องกายรอหน่อย”

            “ไปรับได้ครับ ยังไงก็เป็นทางผ่านเพราะผมก็ต้องไปรับลูกพี่ปอนด์ที่โรงเรียนอยู่แล้ว พี่
ปอนด์กับพี่เกดคงวุ่นกับคนป่วยมากพอตัว ผมเลยแบ่งมาเสียคน” ฉันทัชพยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาก็เคยไปรับน้องกายหรือเด็กชายกวินทร์ ลูกชายของก้องภพมาหลายครั้งแล้ว

            “อ่า..ผมพอเข้าใจ” ก้องภพเข้าใจตามที่พูดจริงๆ ว่าสองสามีภรรยาคงจะเหนื่อยกับลูกชายคนเล็กน่าดู

            “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ เจอกันวันจันทร์ครับคุณก้อง” ฉันทัชบอกก่อนจะถือกระเป๋าโน้ตบุ๊กและของใช้ส่วนตัวออกไป

            “อืม” ก้องภพยิ้ม “อาจจะไม่ต้องรอถึงวันจันทร์ก็ได้มั้ง” ประโยคหลังของเจ้านายหนุ่มนั้น ฉันทัชไม่ได้ยินเพราะเดินจากบริเวณนั้นมาเสียแล้ว


           

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

            ...


            “ไง รอนานไหม” ฉันทัชทักน้องสาวเป็นคำแรกเมื่อเปิดประตูรถเข้าไป

            “ไม่นานจ้ะ ฮันนี่”

            “วันนี้ไปรับน้องปัณณ์กลับบ้านเรากันนะ”แฝดพี่บอกแฝดน้องด้วยท่าทีที่เรียบง่าย เพราะรู้ว่าอินทัชจะไม่มีปัญหา

            “เอาสิ กำลังคิดถึงหลานอยู่พอดี แล้วทำไมวันนี้ถึงไปรับน้องปัณณ์ได้ล่ะ”

            “น้องปุณณ์ป่วยเป็น RSV พี่เกดเลยอยากกันพี่กับน้องออกจากกันก่อน แต่ว่า..”

            “หืม?”

            “แต่ต้องแวะรับเด็กดื้ออีกคนด้วย”

            อินทัชชะงักมือที่กำลังหมุนพวงมาลัยเล็กน้อย“เด็กดื้อ?” ดวงตาคู่สวยเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ “น้องกาย?วันนี้บ้านแตกแน่ ทั้งน้องปัณณ์และน้องกาย สองคนนั้นเจอกันทีไร แย่งอาเทมส์กันทุกที”

            “ถูกต้อง” พี่ชายยิ้มตาหยีให้น้องสาวทันที“ค่อยๆ ปรามไป นานๆ มีเด็กมาที่บ้านก็ดีเหมือนกัน บ้านจะได้ไม่เงียบ”     

            “ยิ้มมากเดี๋ยวตีนกาโผล่” คนเป็นห่วงรูปร่างและใบหน้าของตัวเองเอ่ยบอกพี่ชายเบาๆ

            “ช่างมัน ถ้าเกิดมีจริงๆ จะไม่รักเทมส์หรือไง”ฉันทัชบอกอย่างไม่ยี่หระ แม้ลึกๆ จะเริ่มกังวลอยู่ก็ตาม

            ใครเล่าจะอยากแก่กันบ้างล่ะ

            “รักสิคะ แบบไหนก็รักค่ะ แต่จะพาไปฉีดโบท็อกซ์ด้วยนะจะได้รักนานๆ” อดไม่ได้ที่จะแหย่พี่ชาย

            “ทางอยู่ข้างหน้า ขับรถไปเลย”ฉันทัชชี้มือไปถนนด้านหน้า “นี่..ไทน์”

            “ว่าไงจ๊ะ ฮันนี่” อินทัชตบไฟเลี้ยวออกจากตึกที่ทำงานของอินทัช มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ ตรงไปโรงเรียนของเด็กชายกวินทร์ก่อนเป็นสถานที่แรก

            “วันนี้เทมส์เจอปาล”

            “ห๊ะ!? เจอปาล เจอได้ไง ที่ไหน เมื่อไหร่ แล้วเป็นไง” อินทัชรัวคำถาม

            “มองถนนด้วย ใจเย็นสิ ไม่รู้จะตอบอันไหนก่อนเลย” ฉันทัชยกมือห้ามน้องก่อนที่อีกฝ่ายจะวิตกกังวลไปมากกว่านี้

            “ตอบมาให้ครบ เร็วๆ” อินทัชจิ๊ปากทีหนึ่งด้วยความขัดใจรถยนต์ที่มาแทรกด้านหน้ารถของเขา

            “ปาลมาคุยงานกับคุณก้องแทนพี่ปอนด์อะ”

            “พูดต่อ ฟังอยู่” อินทัชไม่ได้หันไปบอกพี่ชาย เพราะตอนนี้หญิงสาวกำลังติดพันกับสภาวะรถยนต์ที่มากมายบนท้องถนน

            “ก็น้องปุณณ์ป่วยใช่ปะ พี่ปอนด์คงให้ปาลมาแทน อย่ามาทำหน้าสงสัยเทมส์อย่างนั้น บอกไว้ก่อนเลย เทมส์ก็เพิ่งรู้ว่าพี่ปอนด์กับคุณก้อง เขาตกลงทำธุรกิจด้วยกัน”

            “เรื่องนั้นไม่น่าแปลกใจหรือเปล่า รู้มาก่อนแล้วนี่ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกันที่รู้จักกันผ่านทางธุรกิจ ยังไงก็มีแนวโน้มที่จะทำอะไรร่วมกันอยู่แล้วล่ะ”

            ฉันทัชเอะใจ“ไทน์รู้ได้ไงว่าสองคนนั้นรู้จักกันได้อย่างไร”

            “ปีที่แล้วเราเจอคุณก้องภพกับพี่ปอนด์พร้อมกันตอนวันเกิดแม่ไม่ใช่หรือ ก็เดาๆ จากตรงนั้นอะแหละ”

            “เดาเก่งไปหรือเปล่า” ฉันทัชไม่มีทางเชื่อคำโกหกของน้องสาว แน่ล่ะว่าพวกเขาเจอสองคนนั้นจากวันเกิดของคุณหญิงกิ่งกานต์ แต่รายละเอียดลึกลงไปกว่านั้น เขาและแฝดน้องไม่รู้มาก่อน เป็นไปไม่ได้ที่อินทัชจะรู้เยอะขนาดนั้น


            ยิ่งคิด ยิ่งวิเคราะห์ ยิ่งประมวลผลจากคำพูดของก้องภพในวันนี้แล้วล่ะก็ สองคนนี้น่าจะมีอะไรมากกว่าที่เขาไม่รู้แน่นอน

            “ไทน์กับคุณก้อง ตกลงยังไงกันแน่ บอกเทมส์มา”

            “มาลงที่ไทน์ได้ไงอะ ไม่รู้ล่ะ ยังไงเทมส์ต้องบอกเรื่องปาลกับไทน์มาก่อน”

            “อย่ามาต่อรอง” ฉันทัชไม่ยอม

            “งั้นไทน์จะถามแม่”

            “อย่าเอาแม่มาขู่เทมส์ ถ้าไทน์ทำ เทมส์ก็จะบอกแม่เหมือนกันว่าไทน์กับคุณก้อง...”

            “เออๆๆ ตกลง เทมส์เล่ามาก่อน” ในที่สุดอินทัชก็ยอมจำนน ยกนี้ถือว่าฉันทัชชนะไป

            “ได้ เรื่องก็ไม่มีอะไรมาก ปาลมาแทนพี่ปอนด์ เกี่ยวกับโปรเจ็คใหม่ของคุณก้องกับพี่ปอนด์นั่นล่ะ”

            “ปาลมากับใคร ชัดเจน?” อินทัชจอดรถติดไฟแดง แยกหน้าก็จะถึงโรงเรียนของเด็กชายกวินทร์แล้ว

            “เปล่า มากับเลขา”

            “ได้ไง ปกติจะมากับชัดเจนไม่ใช่เหรอ”

            “อืม น่าแปลก แต่ก็ไม่ได้ถามไปหรอกนะ มันไม่ใช่เรื่องของเทมส์”

            “มันไม่ใช่เรื่องเทมส์ แต่เทมส์ก็อยากรู้”อินทัชล้อเลียนพี่ชาย “ทำไมชัดเจนไม่มา ถ้างั้นเทมส์คงยังไม่ได้คุยกับชัดเจนล่ะสิ เรื่องนั้นอะ” อินทัชหมายถึงเรื่องเมื่อวานที่เขากึ่งบังคับให้พี่ชายเลิกไปไหนมาไหนกับชัดเจน

            “ใช่”

            “แล้วได้คุยกันไหม หมายถึงกับปาลนะ”

            “คุย ถึงรู้ว่าน้องปุณณ์ไม่สบายหนักแต่ดีขึ้นแล้วนะ ไทน์ไม่ต้องเป็นห่วง เอ้อ..แล้วปาลเป็นคนบอกให้เทมส์ไปรับหลานเองอะ ตอนนี้น้องปัณณ์มาอยู่คอนโดกับปาลชั่วคราว”

            “รู้เยอะเหมือนกันนะเรา วันศุกร์แบบนี้ คงไม่พ้นเรื่องเที่ยว” อินทัชเดาจากสถานการณ์ “เหอะ ไม่เปลี่ยนเล้ย” พลางส่ายหน้าเบาๆ

            “เรื่องของปาลน่า”

            “นี่ก็ปกป้องตลอด เบื่อ”

            “ไม่ได้ปกป้อง แต่เลิกกันเป็นปีแล้ว ทางนั้นจะทำไรก็เรื่องของเขาหรือเปล่า แยกแยะหน่อย” ฉันทัชสอนและอธิบายไปในตัว

            “โอ้โห เดี๋ยวนี้มีสอนเรากลับด้วย ดูเหมือนเจ้านายอย่างคุณก้องภพคนนี้ดูจะสอนสิ่งดีๆ ให้ลูกน้องเยอะพอตัวเชียว”

            “เรื่องก็มีแค่นี้แหละ แล้วเจ้านายของเทมส์ สอนอะไรคุณอินทัชบ้างล่ะ”

            “เหอะ” อินทัชสะบัดเสียง“ถึงโรงเรียนน้องกายแล้ว ลงไปรับสิ เดี๋ยวไทน์เปิดไฟฉุกเฉินรอตรงนี้ เร็วๆ ด้วย เดี๋ยวเขามาไล่” อินทัชกำชับเพราะผู้ปกครองทยอยมารับบุตรหลานหนาแน่นเสียเหลือเกิน

            “หลบเลี่ยงเก่งนักนะเรา” ฉันทัชเข้าใจจุดประสงค์น้องสาวว่าเจ้าตัวต้องการเบี่ยงประเด็นและเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น


            โกงกันนี่หว่า ทีเรื่องของเขา ชายหนุ่มยังบอกเลย ฉันทัชได้แต่นึกเจ็บใจอยู่ภายใน

            “อาไทน์ สวัสดีครับ” เสียงเด็กน้อยที่ยังไม่แตกวัยแปดขวบ ดังเจื้อยแจ้วทันทีที่เจ้าตัวขึ้นประตูรถด้านหลังมา

            “สวัสดีจ้า รออามารับนานหรือเปล่า”

            “ไม่นานเท่าไหร่หรอกครับ ถ้ารอพ่อคงนานกว่านี้” เด็กชายตอบเหมือนร่าเริงแต่ประโยคหลังคนเป็นผู้ใหญ่ฟังดูก็รู้ว่าเด็กกำลังน้อยใจพ่อของตัวเอง

            “พ่อก้องมีงานด่วนกะทันหัน เอางี้อาเทมส์จะพาไปกินไอติมแทนแล้วกันนะครับ” ฉันทัชยื่นมือมาด้านหลังเพื่อลูบศีรษะเด็กคนนี้ด้วยความสงสาร

            “พ่อก็เป็นแบบนี้ตลอดอะ”

            “ถ้ารับปากแล้วทำไม่ได้ จะให้ความหวังเด็กทำไม” อินทัชบ่นพึมพำ แต่ฉันทัชก็ยังพอได้ยิน พี่ชายจึงวางมือลงไหล่น้องสาวเป็นการบอกให้เจ้าตัวอย่าพูดอะไรไปมากกว่านี้เพราะกลัวเด็กชายจะได้ยิน

            “นี่ น้องกาย” อินทัชพูดขึ้นบ้าง ระหว่างออกรถ

            “ครับ?”

            “วันนี้ต้องไปรับคู่ปรับเราด้วยนะ”

            เด็กชายทำหน้าเหม็นเบื่อพลางทำปากยื่น อินทัชมองเห็นผ่านกระจกหลังก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ต้องเจอยัยเด็กเปียอีกแล้วเหรอ”

            “เรียกน้องปัณณ์ดีๆ สิครับ” ฉันทัชบอกไม่จริงจังนักเพราะรู้ว่าเด็กชายไม่ได้ตั้งใจจะพูดเอาจริงเอาจังหรอก เอาเข้าจริงก็เห็นชอบไปเล่นเปียเขาอยู่ตลอด

            “ไปรับน้องปัณณ์เสร็จแล้วอาจะพาไปกินไอติมทั้งสองคน ตกลงไหม” คนขับบอกอย่างอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย

            “ตกลงครับ”


            ...


            “ไม่เอา ตัวอย่ามาแย่งของเราได้ปะ” เด็กหญิงศราลักษณ์ทำเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ด้วยความไม่พอใจที่ถูกแย่งไอศกรีมรสช็อกโกแลต

            “ก็ของเราไม่มีอะ ขี้หวงไปได้” เด็กชายกวินทร์ไม่สนใจมือยังคงตักถ้วยไอศกรีมของเด็กหญิงวัยเดียวกันไม่หยุด

            “ไม่เอา จะหมดแล้วเนี่ย” น้องปัณณ์ยกถ้วยไอศกรีมหนี จนถ้วยเอียงกระเท่เร่ จวนเจียนจะหกอยู่รอมร่อ “อาจันทร์ขา อาไทน์ขา กายแย่งไอติมหนูกินจะหมดแล้ว หนูได้กินนิดเดียวเอง”

            “จะหกแล้ว จะหกแล้ว” อินทัชบอกพลางจับถ้วยนั้นไว้เสียเอง“กายแย่งไอติมน้องปัณณ์ทำไมครับ”

            “ยัยเด็กขี้ฟ้อง” น้องกายทำเสียงไม่พอใจ

            “น้องกายครับ” ฉันทัชปราม“ไทน์พาน้องปัณณ์ไปเลือกไอติมเพิ่มหน่อยสิ”

            “ได้” สองสาวเลยพากันจูงมือไปหน้าตู้ไอศกรีมอีกครั้ง

            “เราไม่ควรแย่งของกินกันแบบนี้รู้ไหมครับ”ฉันทัชเริ่มเทศนา “ถ้าอาแย่งไอติมน้องกายกินจนเกือบหมด น้องกายจะชอบหรือเปล่า”

            เด็กชายหน้าม่อยนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า“ไม่ชอบครับ”

            “เห็นไหม ใครๆ ก็ไม่ชอบจริงไหม”

            “แต่กายอยากกินไอติมรสนั้นบ้าง”

            “น้องกายกินได้ครับ แต่ไม่ควรแย่ง ควรขอเจ้าของเขาดีๆ”

            เด็กชายทำปากอูด“ครับ”

            “ดีครับ คนผิดต้องทำไง รู้ใช่ไหมเอ่ย”

            “ครับ”

            “เดี๋ยวน้องปัณณ์กลับมา ก็อย่าลืมนะ อีกอย่าง อาไม่ได้ห้ามหนูกินไอติมรสเดียวเสียหน่อย วันหลังถ้าน้องกายอยากกินมากกว่าหนึ่งรส ควรจะถามอานะครับ”

            “กายกลัวกินไม่หมดครับอาเทมส์”

            “ถ้ากลัวกินไม่หมด ก็ปรึกษาคนที่จะกินด้วยสิ”

            “ยัยเปียอะนะ?”

            “แน่ะ เรียกเขาแบบนี้อีกแล้ว” ฉันทัชหัวเราะ

            “อะ ไอติม” เด็กหญิงวางถ้วยไอศกรีมลงตรงหน้าเด็กชายหนึ่งถ้วยและตรงหน้าตัวเองหนึ่งถ้วย

            “ไอติม?ของเรา?”

            “อื้อ เราขออาไทน์ให้ซื้อมาเผื่อตัวด้วย”

            “ขอบใจ” เด็กชายกวินทร์บอก ไม่คาดคิดว่าเด็กหญิงจะนึกถึงตัวเอง

            “ไม่เป็นไร ตัวจะได้ไม่ต้องมาแย่งเราอีก”

            “อือ ตะกี้อะ เราขอโทษนะที่ไปแย่งไอติมเธอ”เด็กผู้ชายที่อายุน้อยที่สุดอ้อมแอ้มบอก

            “เราไม่โกรธหรอกเพราะเราได้ไอติมถ้วยใหม่แล้ว”น้องปัณณ์บอกอย่างอารมณ์ดีพลางชูถ้วยไอศกรีมขึ้นสูงเล็กน้อยคล้ายจะโชว์ให้อีกคนเห็นอย่างไม่จำเป็น“แต่เราซื้อมาให้ตัวแล้ว ตัวห้ามแย่งของเราอีก” เด็กหญิงขู่

            “ได้ เราไม่แย่งอีกแล้ว ดีกันนะ” เด็กชายชูนิ้วก้อยให้เป็นสัญญาณสงบศึก

            “ตกลง” เด็กหญิงก็ยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวไว้เช่นกัน


            ปล่อยให้ผู้ใหญ่สองคนมองมิตรภาพของเด็กด้วยความเอ็นดู


            ในโลกของเด็กแค่คำขอโทษกับนิ้วก้อยนั้นทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม


            ทว่าโลกของผู้ใหญ่ล่ะ แค่ไหนถึงจะเพียงพอให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม


========================================

HASHTAG #ภาคต่อของความรัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ปีนึงน่าจะพอแล้วหรือมากกว่านั้นดี
แต่เทมส์ก็มีชัดเจนอ่ะ 55555
แสดงว่าที่ทิ้งโน้ตตอนนั้นคงตั้งใจแหละมั้ง  :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
โหหห 1 ปีผ่านไปแล้วเหรออ แต่ทุกอย่างดูยังเหมือนเดิมเลย ดูยังรักกันเหมือนเดิมเลย  :mew6: :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
โหหห 1 ปีผ่านไปแล้วเหรออ แต่ทุกอย่างดูยังเหมือนเดิมเลย ดูยังรักกันเหมือนเดิมเลย  :mew6: :mew6: :mew6:

ลำบากหน่อยค่ะ ถ้าเลิกกันเพราะไม่รัก คงจะง่ายกว่านี้

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สรุปชัดเจนจริงๆด้วย ตั้งใจหวังให้บ้านแตกแล้วมาเคลมทีหลังนี่หว่า ร้ายนะเนี่ย  :katai1:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ก็ไม่รู้ซินะ..แล้วแต่


ตามใจคุณเขมเลย


ไม่ได้คาดหวังอะไรจากปาลอยู่แล้ว
ตามสบาย อยากให้คืนดีกันก็เชิญ
หุหุ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai1: บางทีเราก็อยากรู้เรื่องคนอื่นบ้าง
อย่างไทม์กับคุณก้องงี้ จะมีอะไรในกอไผ่ไม๋น้อ ไม่ได้อยากชวนออกอ่าวน้า แต่เบื่อพระเอก รู้ตัวช้าจัง

ออฟไลน์ pim14

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
มั่นใจว่าเรื่องนี้เทมส์เป็นนายเอก แต่เริ่มไม่แน่ใจว่าปาลจะใช่พระเอกรึป่าว 555 แลดูเป็นพระเอกที่ไม่คิดจะจยับตัวทำอะไรเลย อยากให้มีคนที่มาจีบเทมส์แบบที่เหนือกว่าปาลทุกด้านบ้าง ถ้าแค่ชัดเจนมันเหมือนคนละชั้นอ่ะ อยากเห็นปาลเสียเซลฟ์และหึงหวงขั้นสุดกับเทมส์ หมั่นไส้ มั่นนัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2018 17:45:08 โดย pim14 »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด