บทที่ 22
หลังจากเรื่องยุ่งๆ ผ่านพ้นไป ผมก็ต้องเข้ามาเคลียร์งานจนหัวหมุนต่อ ส่วนเรื่องคดี เฮียแผนกับป๊าก็ร่วมมือกันจัดการอย่างเรียบร้อยหมดจด เช็คแล้วเช็คอีกจนแน่ใจว่าจะไม่มีคนกล้ามาทำร้ายผมอีกแล้ว ถึงได้วางใจปล่อยให้ผมไปไหนมาไหนคนเดียวได้อีกครั้ง
ส่วนพี่สรัญ เมื่อผมขอร้องไม่ให้ป๊ากับเฮียเอาเรื่อง ก็เลยถูกกันให้เป็นพยาน หลังจากอาการดีขึ้นแล้ว คุณหญิงรัตนาเพื่อนของแม่ก็พามาขอบคุณพวกเราที่บ้าน
พี่สรัญเล่าให้ฟังว่าแม่แท้ๆ ของเขาถูกลูกหลงจนตอนนี้กลายเป็นอัมพาตไปแล้ว ถึงจะรู้สึกผิด แต่พี่สรัญก็โล่งใจที่แม่ของเขาไม่มีโอกาสไปทำร้ายใครอีกแล้ว ซึ่งพี่สรัญก็บอกว่าจะดูแลแม่ของเขาต่อไป เห็นสีหน้าที่สดใสของพี่สรัญแล้วผมก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน ต่อไปนี้พี่สรัญจะได้มีความสุขจริงๆ สักที
“น้ำครับพี่แสน” ความคิดผมชะงักลง เมื่อคล้าววางน้ำไว้บนโต๊ะทำงานที่ผมกำลังนั่งสเก็ตเสื้อผ้าอยู่
หลังจากแผลหายแล้วคล้าวก็มาติวเพื่อเตรียมความพร้อมสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่อ พอติวเสร็จถ้าไม่ได้รับงานเดินแบบหรือถ่ายแบบที่ไหน ก็มักจะมาช่วยงานผมทุกวัน กำลังใจดีขนาดนี้นี่ต่อให้งานเยอะแค่ไหนก็ไหวครับ
“ขอบคุณครับ” ผมหยิบน้ำมาดื่มแล้วส่งยิ้มให้คล้าวก่อนจะถามน้องต่อ
“วันนี้วันสุดท้ายของคอร์สติวใช่ไหมครับ เป็นยังไงบ้าง มั่นใจขึ้นรึยัง”
“มั่นใจขึ้นมากแล้วครับพี่แสน ผมกับไม้อ่านหนังสือที่พี่ๆ หามาให้ด้วยและได้พี่ๆ ติวให้เพิ่มด้วย ตอนนี้พร้อมขึ้นมากเลยครับ ต่อไปก็กะว่าจะอ่านหนังสือทบทวนความรู้อย่างเดียวจนกว่าจะถึงวันสอบเลย คงไม่ติวเพิ่มแล้วครับ”
“โอเค ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะครับ”
“ครับ” คล้าวรับคำด้วยรอยยิ้มจนผมต้องยิ้มตาม
“แล้วไม้ล่ะครับ อยู่ข้างนอกเหรอ”
“ตอนมาถึงหน้าร้านก็โดนพี่รบลากออกไปซื้อของต่อแล้วครับ” คล้าวบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“เรื่องไม้กับธงรบ คล้าวโอเครึเปล่าครับ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ เพราะเราไม่เคยคุยเรื่องนี้กันจริงจังสักที
“ถ้าไม้โอเค ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ส่วนพี่รบก็มาคุยกับผมแล้วว่าพี่รบจริงจัง ผมก็เลยปล่อยให้เป็นเรื่องของสองคนนั้นไปครับ”
ได้ยินแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้ คล้าวและไม้มีทัศนคติที่ดีกันมาก คล้าวบอกว่าเป็นเพราะได้รับการสั่งสอนจากหลวงตา ทำให้ทั้งคู่มองโลกในแง่ดีแต่ก็มองในความเป็นจริงและยอมรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ง่ายๆ อีกด้วย
“คุยอะไรกันอยู่” ธงรบเดินเข้ามาพร้อมกับไม้ ยังไม่ทันได้ตอบมันก็ถามต่อทันที
“เรื่องที่จะไปดูผ้าที่เชียงใหม่รึเปล่า จะไปวันไหนวะ คล้าวไปด้วยรึเปล่า”
“พี่แสนจะไปเชียงใหม่เหรอครับ” พอได้ยินคำถามของธงรบ คล้าวก็หันมาถามผมด้วยสีหน้าแสดงความสนใจ
“ครับ พี่ว่าจะไปดูผ้ามาตัดชุดเพิ่มน่ะครับ ว่าจะไปดูผ้าตีนจกที่ม่อนแจ่มแล้วก็เตร่ไปดูผ้าฝ้ายทอมือแถวๆ นั้นด้วย”
“อ้าว ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอยู่หรอกเหรอ” ได้ยินแล้วแทบจะกลอกตาใส่มันเลย
“ถ้าคุยแล้วน้องมันจะถามไหม มึงจะรีบไปไหนรบ!”
“ฮ่าๆๆ เออๆ โทษๆ ตกลงมึงจะไปวันไหนนะ”
“ว่าจะไปอาทิตย์หน้าแหละ”
“คล้าวว่างไหม ไปเป็นเพื่อนมันหน่อยได้รึเปล่า พอดีอาทิตย์หน้าพี่ติดธุระ เฮียก็ไม่ว่างเหมือนกัน พวกพี่เป็นห่วงไม่อยากให้มันไปคนเดียว” ธงรบมันหันไปถามคล้าวโดยไม่สนใจผมสักนิด
“กูไปคนเดียวได้น่า” ไม่ใช่เด็กซะหน่อยถึงจะไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้ เฮียก็อีกคน พอบอกจะไปดูผ้าที่เชียงใหม่ ก็รีบเช็คตารางงาน พอเห็นว่าไม่ว่างก็โทรถามธงรบทันที พอธงรบบอกไม่ว่างเหมือนกันก็หันมาถามผมด้วยสีหน้าจริงจังว่ายังไม่ไปได้ไหม ฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ แต่ก็พอเข้าใจอยู่หรอก เพราะก่อนหน้านี้ชีวิตผมก็มีแต่เรื่องจนน่าเป็นห่วงจริงๆ
“ผมไปด้วยได้ครับ ตอนนี้ผมก็ไม่ต้องไปติวแล้วและอาทิตย์หน้าก็ไม่มีคิวงานด้วย ผมไปเป็นเพื่อนนะครับพี่แสน” พอเห็นคล้าวถามด้วยสีหน้าจริงจังและเต็มใจแล้วใจผมก็อ่อนยวบ
“ได้สิครับ” พอผมรับคำ คล้าวก็ยิ้มอย่างพอใจ ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย
รอยยิ้มนี่มันเหมือนกับโรคติดต่อจริงๆ ครับ พอเห็นคนยิ้มโดยเฉพาะคนที่สำคัญกับใจเราแล้ว มันก็อดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ทุกที
มีความสุขจังเลยน้า
“พอๆ เลิกจ้องตากันได้แล้ว กูอิจฉาตาลุกเป็นไฟไปหมดแล้วเนี่ย” ธงรบมันมองผมด้วยสีหน้าหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปคุยกับคล้าวต่อ
“ถ้าคล้าวไปเป็นเพื่อนมันได้พี่ก็วางใจ พี่กับเฮียจะได้หายห่วง ยังไงก็ฝากดูแลมันด้วยนะ ให้มันกินข้าวให้ครบทุกมื้อด้วย ว่าแล้วก็ชักจะหิว ป่ะ ไปหาอะไรกินดีกว่าแสน กูหิวแล้ว” ผมหันไปมองธงรบอย่างระอา เมื่ออยู่ๆ มันก็หันมาชวนกินข้าวเฉยเลย ไม่รู้มันไปอดอยากมาจากไหน เจอหน้ากันทีไรก็ชวนกินตลอดสิน่า!
*************************************************************************************
ผมนั่งมองวิวข้างทางและฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข ยิ่งหันไปมองคนขับที่หันมาสบตาเวลาติดไฟแดงด้วยรอยยิ้มก็ยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่
วันนี้เป็นวันที่ผมออกเดินทางไปเชียงใหม่กับคล้าว เราออกเดินทางกันตั้งแต่ตี 5 เพราะผมตั้งใจไว้ว่าจะถือโอกาสขับรถพาคล้าวแวะเที่ยวข้างทางไปเรื่อยๆ ด้วย
แต่พอถึงเวลาจริงๆ คล้าวก็ขอเป็นคนขับให้ จะดื้อก็ไม่ได้อีก เพราะมีแนวร่วมอีกหลายคนที่สนับสนุนให้คล้าวเป็นคนขับ ผมเลยได้แต่นั่งให้กำลังใจและบอกคล้าวว่าถ้าเหนื่อยก็ให้บอก เดี๋ยวผมช่วยขับเอง
พอเข้าเขตจังหวัดสุพรรณบุรีแล้วก็อดจะชื่นชมความสวยงามของเกาะกลางถนน และวิวทั้งสองข้างทางที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีไม่ได้ เห็นแล้วก็ทำให้คิดถึงบ้านริมทุ่งของคล้าวขึ้นมา ก็เลยหันไปถามความเห็นคล้าว เมื่อรถติดไฟแดงพอดี
“ขากลับแวะบ้านคล้าวหน่อยดีไหมครับ”
“พี่แสนอยากไปเหรอครับ” คล้าวหันมาถามด้วยรอยยิ้ม
“ครับ เห็นต้นไม้เขียวๆ เห็นทุ่งนาแบบนี้แล้วพี่คิดถึงที่นั่น”
“ได้สิครับ เอาไว้ขากลับเราแวะ ‘บ้าน’ กันนะครับ” พูดจบคล้าวก็ยื่นมือมาให้ผม ผมจึงวางมือลงไป มือของเรากระชับกันไว้แน่นจนรู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจ ผมมองมือที่เกาะกุมกันไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้คล้าวอย่างมีความสุข
หลังจากนั้นเราก็แวะเที่ยวข้างทางไปเรื่อยๆ ผมชวนคล้าวแวะไปดูนกดูปลาที่สวนนกชัยนาทก่อนเป็นที่แรก ก่อนจะตียาวไปไหว้พระพุทธชินราชที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก แล้วแวะไปไหว้พระธาตุลำปางหลวงที่จังหวัดลำปางต่อ
เราเข้าเดินทางมาถึงจังหวัดลำพูนในช่วงบ่ายๆ พอดี เมื่อพอดูเวลาแล้วคิดว่าน่าจะถึงเชียงใหม่ไม่ดึกจนเกินไป ผมก็เลยขอแวะไปดูผ้าไหมยกดอกลำพูนและผ้าฝ้ายทอมือที่ศูนย์วิจัยงานหัตถกรรมในจังหวัดลำพูนก่อน
พอเห็นผ้าสวยๆ ก็ทำให้ผมเผลอชมเผลอเลือกจนลืมเวลา ผมได้ผ้าไหมและผ้าฝ้ายทอมือสวยๆ ติดไม้ติดมือมาอีกหลายสิบผืน จินตนาการแบบชุดที่เหมาะกับผ้าก็โลดแล่นจนต้องหยิบสมุดสเก็ตที่ถือติดมือมาด้วยมาร่างเอาไว้ก่อน
กว่าจะออกจากลำพูนได้ฟ้าก็มืดพอดี ผมเลยให้คล้าวตรงเข้าไปที่เชียงใหม่ เพื่อพักในโรงแรมที่จองไว้ก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปดูผ้าและตระเวนเที่ยวกันอีกที
ตอนแรกผมว่าจะชวนคล้าวกินข้าวที่โรงแรมเลย เพราะเห็นว่าคล้าวขับรถมาทั้งวันแล้วกลัวว่าคล้าวจะเหนื่อย แต่คล้าวบอกว่ายังไม่เหนื่อย ถ้าอยากไปที่ไหนอีกก็บอกได้ ผมเลยชวนคล้าวไปหาอะไรกินข้างนอก ให้ท้องอิ่มแล้วค่อยไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินกันต่อ
ระหว่างที่กำลังรอเช็คอินอยู่หน้าเคาเตอร์ของโรงแรม ก็มีครอบครัวครอบครัวหนึ่งมาเช็คอินเหมือนกัน แต่น่าจะมีปัญหา เพราะพนักงานตรวจสอบรายละเอียดการจองแล้วไม่พบชื่อ ผมยืนตอบข้อความเฮียแผนอยู่ใกล้ๆ เลยได้ยินบทสนทนาพอดี
“แล้วไม่ทราบว่ามีห้องว่างไหมคะ” ผู้หญิงคนนั้นถามพนักงานด้วยสีหน้าคาดหวัง ในขณะที่คนเป็นพ่อก็อุ้มลูกชายอายุไม่กี่ขวบยืนรออยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้ากังวล
“ตอนนี้ห้องพักของโรงแรมเราเต็มทุกห้องแล้วค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้ายังไงลองไปดูโรงแรมใกล้ๆ ดูก็ได้ค่ะ เผื่อจะมีห้องว่าง”
“ไม่มีห้องที่มีแคนเซิลเลยเหรอคะ พอดีลูกชายพี่เมารถค่ะ พี่อยากให้ลูกได้พักเร็วหน่อยเพราะกลัวแกจะป่วยน่ะค่ะ ถ้ายังไงรบกวนเช็คให้อีกทีได้ไหมคะ” คนเป็นแม่ขอร้องพนักงานด้วยสีหน้าอ้อนวอน พนักงานฟังแล้วก็มีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ยอมเช็คให้แต่โดยดี สักพักก็หันมาบอกด้วยสีหน้าเห็นใจ
“ไม่มีห้องว่างจริงๆ ค่ะ” ได้ฟังแล้วเธอก็มีสีหน้าผิดหวัง ก่อนจะขอบคุณพนักงานเสียงอ่อยๆ แล้วหันไปถามสามีพร้อมกับแตะหน้าผากลูกด้วยสีหน้ากังวล
“ทำยังไงดีคะคุณ”
“ก็คงต้องไปดูโรงแรมอื่น เราไปนั่งเช็คในเว็บก่อนก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปเสียเที่ยว” คนเป็นสามีแสดงความเห็นด้วยสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน
ผมเงยมองคนทั้งคู่เงียบๆ เมื่อมองไปยังเด็กที่อยู่บนบ่าคนเป็นพ่อด้วยท่าทางอ่อนเพลียแล้วก็สงสาร จึงตัดสินใจเอ่ยปากช่วย
“เอ่อ ขอโทษนะครับ พอดีผมจองห้องไว้สองห้อง ถ้าผมจะแบ่งให้ห้องหนึ่งไม่ทราบว่าสนใจไหมครับ” คนทั้งสองหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่พอฟังจบก็ยิ้มออกทันที
“สนใจค่ะ เดี๋ยวพี่จ่ายเงินให้เลยค่ะ ไม่ทราบว่าเท่าไหร่คะ” พูดจบก็รีบหยิบกระเป๋าเงินมาเตรียมจ่ายเหมือนกลัวผมจะเปลี่ยนใจ
“ไม่เป็นไรครับ ถือว่าผมยกให้น้องได้พักแล้วกันนะครับ”
“ไม่ได้หรอกครับ คุณอุตส่าห์มีน้ำใจช่วย รับไปเถอะนะครับ เพื่อความสบายใจของเราสองคน” คนเป็นพ่อท้วงด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้ผมต้องยอมรับเงินมาบางส่วนโดยไม่บอกราคาเต็มไป
หลังจากรับคำขอบคุณจากทั้งคู่และแยกย้ายกันเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว ผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ถามความสมัครใจของเพื่อนร่วมห้องสักคำ
“ต้องมาพักด้วยกันแบบนี้ คล้าวโอเคไหมครับ เมื่อกี้พี่ก็ลืมถามคล้าวก่อน”
“โอเคครับ เดี๋ยวผมนอนโซฟาก็ได้” คล้าวเอากระเป๋าวางไว้ข้างเตียง พร้อมกับตอบคำถามผมไปด้วย ผมมองไปที่โซฟาแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะถึงโซฟามันจะใหญ่แต่ก็ไม่น่าจะนอนสบายเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยกันอีกทีก็แล้วกัน ตอนนี้ผมรู้สึกหิวมากแล้ว พอเก็บของเสร็จก็เลยชวนคล้าวออกไปหาอะไรกินข้างนอกตามรีวิวร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรม
หลังจากท้องอิ่มแล้วผมก็ชวนคล้าวไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน พอเจอบรรยากาศดีๆ ข้าวของหลากหลายก็เดินเพลินจนลืมเหนื่อย ได้ทั้งของกินของฝากติดไม้ติดมือจนพะรุงพะรังกันทั้งคู่ ขนาดคล้าวช่วยแบ่งไปถือเยอะแล้วก็ยังเต็มไม้เต็มมืออยู่ดี จนเมื่อรู้สึกว่าขาล้าแล้วนั่นแหละถึงได้ชวนคล้าวกลับโรงแรม
ผมวางข้าวของที่หิ้วมาไว้ข้างโซฟา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแล้วถอนหายใจเฮือก เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเมื่อยจริงๆ ก็ตอนที่มาถึงห้องพักนี่แหละ
“โอ๊ะ!” ผมอุทานด้วยความตกใจ เมื่อคล้าวทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าแล้วช่วยนวดขาให้
“ไม่ต้องนวดหรอกครับ นั่งพักแป๊บเดียวก็น่าจะหายแล้ว” ผมรีบบอกและโน้มตัวลงไปรั้งมือของคล้าวไว้ พอดีกับที่คล้าวเงยหน้าขึ้นมามองพอดี ทำให้ใบหน้าของเราสองคนอยู่ห่างกันแค่คืบ
ผมจ้องดวงตาคมๆ ของคนตรงหน้าอย่างเผลอไผล ก่อนที่ใบหน้าของเราจะค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันเหมือนมีแรงดึงดูด รู้ตัวอีกทีริมฝีปากของเราก็สัมผัสกันแล้ว
ผมหลับตาลงซึมซับความนุ่มนวลอ่อนหวานของรสจูบที่เริ่มจากสัมผัสเพียงแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ลึกซึ้งเร่าร้อนขึ้นตามอารมณ์
“อื้อ” ผมส่งเสียงประท้วงเมื่อเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทัน พอผละออกมาหายใจได้ไม่นานริมฝีปากคล้าวก็ตามติดมาประกบต่อ กว่าคล้าวจะยอมปล่อยให้ริมฝีปากผมเป็นอิสระผมก็หอบแฮ่ก รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย
พอเห็นสายตาร้อนแรงของคล้าวที่จ้องมองมาก็รู้สึกร้อนวูบวาบตั้งแต่ผิวหน้าก่อนจะลามไปทั้งตัว
ผมได้แต่เม้มปากแน่นก่อนจะหลบตาด้วยความเขิน จากการนวดขาให้หายเมื่อยในตอนแรก กลายมาเป็นเหนื่อยเหนื่อยมากยิ่งกว่าเดิมได้ยังไงก็ไม่รู้
“ระ... ร้อนเนอะ” ผมพยายามคิดหาคำพูดเพื่อมาคลายบรรยากาศที่ชวนให้เก้อเขินในตอนนี้ แต่สิ่งที่หลุดปากออกไปกลับขัดกันเข้าไปใหญ่ เพราะตอนนี้ในห้องเปิดแอร์จนเย็นฉ่ำจะไม่น่าจะร้อนได้
“หึ” ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะของคนตรงหน้ายิ่งเขินจนอยากมุดแผ่นดินหนี พอจะหันไปค้อนใส่ก็ดันเจอกับดวงตาที่เป็นประกายพราวของคนตรงหน้า เห็นแล้วก็เขินจนต้องหลบสายตาอีกรอบ
โอ๊ย! ใครก็ได้ช่วยเอาผมไปจากตรงนี้ที ไม่รู้ความใจกล้าหน้าด้านที่เคยมีมันหายไปไหนหมด ถึงได้เขินอายง่ายแบบนี้
“หายเมื่อยรึยังครับ” คล้าวถามขึ้นด้วยรอยยิ้มเหมือนจะช่วยหาทางออกให้ ผมเลยรีบตอบรับอย่างไว
“หายแล้วครับ พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” พูดจบก็ลุกพรวดพราดเดินเข้าห้องน้ำไป
ปัง!
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเงาในกระจกก็เห็นว่าใบหน้าของตัวเองแดงก่ำ ริมฝีปากที่บวมขึ้นนั้นก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข ผมแตะริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะแตะหัวใจตัวเองที่ยังเต้นกระหน่ำจากความใกล้ชิดเมื่อครู่ก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น รู้สึกเหมือนภายในหัวใจมันพองฟูไปหมดเลย
กว่าจะระงับอาการเขินของตัวเองได้ก็ต้องใช้เวลาสักพัก แล้วก็เพิ่งนึกออกว่าเข้ามาแต่ตัว ลืมเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนด้วย จะออกไปเอาก็ยังไงอยู่ เลยตัดสินใจอาบน้ำเลย เพราะในห้องน้ำก็มีอุปกรณ์อาบน้ำพร้อมอยู่แล้ว
หลังจากอาบน้ำเสร็จก็หยิบผ้าขนหนูมาพันช่วงล่าง แต่ข้างบนก็ดูโล่งๆ พอจะพันทั้งตัวมันก็น่าจะดูแปลกๆ ผมได้แต่ขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง
“คิดอะไรมากวะแสน ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกัน” ผมพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องน้ำมาทั้งอย่างนั้น
“เสร็จแล้วเหรอ...ครับ” เสียงของคล้าวขาดหายไปเมื่อหันมาเห็นผม ก่อนที่ข้าวของในมือจะหลุดร่วงลงพื้นไป
“เอ่อ เสร็จแล้วครับ คล้าวไปอาบได้เลย” พอผมพูดจบก็เหมือนคล้าวจะรู้สึกตัวขึ้นมา
“ครับ” คล้าวรับคำเบาๆ แล้วก้มลงไปเก็บของบนพื้น ก่อนจะเดินลิ่วเข้าห้องน้ำไป ตอนที่คล้าวเดินมาใกล้ๆ ผมถึงสังเกตเห็นว่าใบหูของคล้าวแดงก่ำ เห็นแล้วก็รู้สึกร้อนหน้าขึ้นมาอีกรอบ จึงรีบไปรื้อกระเป๋าหาเสื้อผ้ามาใส่ให้เรียบร้อย
หลังจากแต่งตัวเสร็จผมก็หันรีหันขวางเหมือนไม่รู้จะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหนดี ไอ้บรรยากาศแปลกๆ นี่มันมาได้ยังไงเนี่ย เล่นเอาทำตัวไม่ถูกเลย ผมปิดหน้าตัวเองไว้เผื่อจะคลายอาการขัดเขินลงได้บ้าง ก่อนจะตัดสินใจนั่งเล่นโทรศัพท์รอคล้าวบนโซฟา
ไม่นานคล้าวก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมแต่งตัวออกมาอย่างเรียบร้อย เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว คล้าวก็หันมาถามผม
“พี่แสนจะนอนเลยไหมครับ เดี๋ยวผมปิดไฟให้”
“ครับ เอ่อ คล้าวมานอนบนเตียงกับพี่เถอะครับ เตียงออกจะกว้าง นอนสองคนได้สบาย ไม่ต้องนอนโซฟาหรอกครับ เดี๋ยวปวดหลัง” พอพูดจบผมก็เดินไปนอนบนเตียงเพื่อให้คล้าวเห็นว่าที่ว่างมันยังเหลือมากพอที่จะนอนสองคนได้สบายๆ จริงๆ
คล้าวมองไปยังเตียงฝั่งที่ว่าง ก่อนจะวกกลับมามองหน้าผมนิ่งๆ แล้วรับคำเสียงเบา
“ครับ” รับคำเสร็จ คล้าวก็เดินไปปิดไฟแล้วเดินขึ้นไปนอนที่เตียงอีกฝั่ง ผมนอนฟังเสียงเคลื่อนไหวของอีกคนนิ่งๆ สักพักบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบ
“คล้าวครับ” ผมเรียกคล้าวเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าห้องมันเย็นๆ
“ครับ”
“อย่าลืมห่มผ้าด้วยนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย” พูดจบผมก็ขยับตัวแล้วดึงผ้าห่มออกมาจากขอบเตียง ก่อนจะสอดตัวลงไป หลังจากจัดการฝั่งตัวเองเรียบร้อยแล้วก็คิดว่าจะหันไปดูฝั่งคล้าว แต่พอชะโงกไปหัวก็ดันโขกกับคล้าวพอดี
“โอ๊ย!”
“โอ๊ะ!”
ผมถอยออกมาลูบหน้าผากป้อยๆ ก่อนจะหันไปเปิดโคมไฟหัวเตียงแล้วหันกลับมาดูคล้าว
“พี่แสนเป็นยังไงบ้างครับ” คล้าวขยับตัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะเชยคางผมขึ้นแล้วสำรวจหน้าผากผมด้วยสีหน้ากังวล พอเห็นไม่ชัดก็ใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าผมไว้แล้วขยับมาดูใกล้ขึ้นอีก
“ไม่เป็นไรครับ แค่เจ็บนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย” ผมหันไปมองหน้าผากคล้าวแล้วลองแตะลงไปเบาๆ เมื่อเห็นคล้าวยังนิ่งเฉย ไม่มีทีท่าจะเจ็บก็เลยแซวขำๆ
“หัวแข็งเหมือนกันนะเราน่ะ” ผมละสายตาจากหน้าผากลงมาก็สบตากับคล้าวพอดี ทำให้ผมเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้เราอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน
ผมหลุบตามองริมฝีปากคล้าวแล้วนึกไปถึงรสจูบหวานๆ ก่อนหน้านี้ มือเลยเผลอไปลูบริมฝีปากของอีกคนอย่างเผลอไผล คล้าวปล่อยมือข้างหนึ่งจากใบหน้าผมมาจับหยุดมือผมไว้ ก่อนที่จะค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้และประทับริมฝีปากลงมาอย่างนุ่มนวล
ผมหลับตาลงรับสัมผัสด้วยความเต็มใจ แรกๆ นั้นสัมผัสเต็มไปด้วยความนุ่มนวลอ่อนหวาน ก่อนจะค่อยๆ ทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างบดเบียด ดูดดึงริมฝีปากของกันและกันอย่างไม่ลดละ ปลายลิ้นถูกส่งไปทักทายลิ้นของอีกฝ่ายอย่างเร่าร้อน กระตุ้นความปรารถนาให้ลุกโชนมาและทำลายความยับยังชั่งใจไปหมดสิ้น
คล้าวละริมฝีปากออกมาแล้วซบลงที่ซอกคอของผมนิ่งเหมือนพยายามจะหักห้ามใจ ร่างกายยังคงซ้อนทับกันอยู่โดยที่คล้าวไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มที่ ทำให้สัมผัสได้ถึงความต้องการที่ร้อนผ่าวอยู่แถวๆ ต้นขา
ผมเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ก่อนจะตัดสินใจกระซิบบอกคล้าวด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นพร่า
“พี่ต้องการคล้าว”
คล้าวเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมนิ่งๆ แววตาร้อนแรงที่มองมาทำให้ผมต้องหลบตาเพราะสู้สายตาไม่ไหว
“แน่ใจใช่ไหมครับ” เมื่อได้ยินคำถาม ผมก็หันมาสบตาคล้าวอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเพื่อยืนยันความตั้งใจของตัวเองแล้วรับคำเสียงเบาแต่หนักแน่น
“ครับ” จบคำก็รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนวลที่หน้าผาก
“ผมรักพี่แสน” ก่อนที่จะได้ยินถ้อยคำที่ทำให้หัวใจพองฟูจนอดจะยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้
“พี่ก็รักคล้าว อื้อ” คำสุดท้ายยังไม่ทันจบดี ริมฝีปากนุ่มๆ ก็บดจูบลงมาทันที ผมเมากับสัมผัสที่นุ่มนวลและร้อนแรงจนสมองเบลอไปหมด รู้ตัวอีกทีร่างกายก็เปลือยเปล่าหมดแล้ว
ริมฝีปากของคล้าวไล่สัมผัสไปแทบจะทุกส่วนของร่างกาย ผ่านตรงไหนก็ทิ้งร่องรอยไว้แทบทุกส่วน เสียงครางผะแผ่วเคล้าคลอกันไปจนไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร แรงเสียดสีของร่างกายทำเอาความปรารถนาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด แต่อยู่ๆ ความเคลื่อนไหวของคนที่อยู่บนร่างก็ชะงักลง ทำให้ผมลืมตาขึ้นมามองด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
พอเห็นสีหน้าลำบากใจของคนบนร่าง ความปรารถนาที่ถูกปลุกขึ้นมาก็แทบจะมอดดับลงทันที ผมถามคล้าวเสียงเบาด้วยความหวั่นใจ
“คล้าว.... รังเกียจเหรอครับ” คล้าวมีสีหน้าตกใจเมื่อฟังคำถามผม เห็นแล้วก็ยิ่งทำให้หัวใจผมวูบโหวงเข้าไปใหญ่ พอเห็นสีหน้าผมหมองๆ ของผม คล้าวก็รีบอธิบาย
“ไม่รังเกียจเลยครับพี่แสน” พูดจบก็ก้มลงจูบหน้าผากเบาๆ ก่อนจะผละออกมาสบตาแล้วพูดต่อด้วยท่าทางเก้อเขินจนผมแปลกใจ
“ผมแค่ไม่เคย... เอ่อ กับผู้ชายมาก่อน... เลยไม่รู้ต้องทำยังไง” พูดจบก็รีบหลบตาผมทันที
ฟังเหตุผลแล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้น ยิ่งเห็นท่าทางเหมือนทำอะไรไม่ถูกแล้วก็หลุดยิ้มอย่างเอ็นดู นี่ถ้าไฟสว่างๆ ผมมั่นใจว่าคงจะเห็นคนตรงหน้าหน้าแดงหูแดงแน่ๆ
ผมครุ่นคิดสักพักก็ตัดสินใจดันร่างคล้าวออกแล้วลุกขึ้นนั่ง พอจะลุกจากเตียงไปคล้าวก็รีบคว้าแขนไว้ ก่อนจะถามผมด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร้อนรน
(มีต่อค่ะ)