Chapter 23
What do they want?
เคยบอกไม่ใช่เหรอ...ว่าเราเป็นคนสำคัญของกันและกันน่ะ
[Jayden]
น่าแปลกที่ผมสงบนิ่งได้มากกว่าที่คิด ตอนที่ได้รู้ว่าคริสเตียนโดนยิง สมองผมขาวโพลนไปชั่วขณะ ผมแทบคิดอะไรไม่ออก แต่คำว่าต้องไปหาเขาให้เร็วที่สุดมันดังก้องอยู่ในหัว และนั่นผลักดันให้ผมรีบเร่งมาที่โรงพยาบาล โดยเสียเวลาตกใจไปแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
ผมรักเขา ใช่สิ เพราะแบบนั้นไงผมถึงได้กังวลใจแทบตายตอนที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเขา ทุกวินาทีที่ผมนั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดและได้แต่ภาวนาให้เขาปลอดภัย ความกดดันและคาดหวังบีบคั้นผมจนแทบหายใจไม่ออก ตอนนี้เขาจะรับรู้ความรู้สึกของผมได้บ้างไหม...ความรู้สึกเป็นห่วงจนแทบจะคลั่งตายอยู่แล้วน่ะ
ผมประสานฝ่ามือเข้าหากัน แตะริมฝีปากลงไปที่กำปั้นและเฝ้าอ้อนวอนต่อพระเจ้า
ได้โปรด อย่าพรากเขาไปจากผม
มิสเตอร์แคสเทียลเองก็คงกังวลใจไม่ต่างจากผม เขาเดินวนไปวนมา จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น...ผมเงยหน้ามอง จับใจความได้แค่ว่าเขาน่าจะกำลังคุยกับมิสซิสแคมเบลล์ และเธอจะมาที่นี่ให้ไวที่สุด
...การรอคอยสิ้นสุดลงเมื่อคุณหมอออกมาจากห้องผ่าตัด
ผมถลาเข้าไปหาชายในชุดกราวด์ ขณะที่แคสเทียลร้องถาม “เขาเป็นยังไงบ้างครับ”
“เขาปลอดภัยครับ โชคดีที่กระสุนไม่ฝังเข้าจุดสำคัญ...”
เราพูดคุยกับหมออีกเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจโดยความโล่งอกอย่างแท้จริง...คริสเตียนไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
หนึ่งวันหลังจากนั้นโซลเมตของผมได้ย้ายมาอยู่ห้องพักพิเศษ ทันทีที่เขาฟื้นผมก็เลือกที่จะปล่อยให้เขาได้พูดคุยกับคนในครอบครัว พาตัวเองออกมานั่งรอด้านนอก สักพักใหญ่ประตูห้องพักผู้ป่วยก็เปิดออก พร้อมกับร่างของคนสองคนที่ผมคุ้นตาดี
มิสซิสแคทเธอรีนส่งยิ้มให้ผม “ฝากดูแลเขาด้วยนะคะ”
“ครับ”
แคสเทียลทิ้งท้ายกับผมก่อนเดินตามแม่ของเขาไป “ไว้เจอกัน”
เมื่อทั้งสองไปแล้วผมจึงได้เข้าไปในห้อง...คริสเตียนนอนเอนหลังอยู่บนเตียง ดวงตามองตรงมาที่ผม ริมฝีปากซีดจางส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ ผมทรุดลงนั่งข้างเตียง จ้องมองเขา และเอ่ยถาม
“ปิดบังฉันแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ?”
น้ำเสียงของผมไม่มีความโกรธเคืองหรือกล่าวหา มันเป็นแค่คำถามที่ผมต้องการคำตอบ ผมได้รู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว...คิดว่านะ และรู้ด้วยว่าวันที่เขาโดนยิง โรงงานผลิตยาเสพติดของพ่อก็โดนบุกด้วย แต่พ่อของผมหนีรอดไปได้ เหมือนที่อาจาเร็ตรอดไปจากเงื้อมมือของสองพี่น้องแคมเบลล์เช่นกัน
คริสเตียนเม้มปากเล็กน้อย “ฉันแค่ไม่อยากให้นายเสี่ยงอันตราย”
“คริส ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น” ผมแย้งเสียงอ่อน “กลับกันถ้าหากเป็นฉันที่เลือกทำแบบนั้น...ทำทุกอย่างเองโดยไม่บอกนายสักคำ นายจะโอเคงั้นเหรอ?”
“ไม่ แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่” เขาส่ายหน้า
“อย่าปิดบังอะไรฉันอีกคริสเตียน เราเป็นโซลเมต เป็น...” ผมดึงมือเขามาจับเอาไว้หลวมๆ หลุบตาลงมองปลายนิ้วของเขา “เป็นคนรักกัน ฉะนั้นอย่าปิดบังอะไรกันอีก”
“เจย์เดน...”
“นายเคยบอกนี่ว่าเราต่างเป็นคนสำคัญของกันและกัน” ผมยังคงพูดต่อไป ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดแทรก “ฉันไม่รู้ว่าฉันสำคัญกับนายมากแค่ไหน แต่นายสำคัญกับฉันมาก ดังนั้นอย่าทำแบบนี้อีก เข้าใจมั้ย?”
คริสเตียนกระตุกมือผม ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ขยับมานี่”
ผมยอมทำตาม ลุกขึ้นโน้มใบหน้าไปหาเขา...ริมฝีปากเราจูบกันแผ่วเบา และเมื่อผละออกผมก็ย้ำคำถามก่อนหน้านี้กับเขาอีกครั้ง “บอกสิว่านายเข้าใจที่ฉันพูด”
“อืม เข้าใจ ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก” คริสเตียนเกลี่ยปลายนิ้วกับแก้มของผม “นายสำคัญกับฉันนะเจย์ สำคัญมากซะจนฉันยอมเสียนายไปไม่ได้”
“ฉันก็เสียนายไปไม่ได้เหมือนกัน ตอนนี้นอกจากน้องๆ ฉันก็มีแค่นายเท่านั้นที่ฉันรักมาก”
คริสเตียนแนบจูบผมอีกครั้ง และกระซิบถ้อยคำอ่อนหวานที่ผมไม่เคยเบื่อเลยสักครั้งยามได้ยิน...
“I love you, baby”
[Christian]
แคสเทียลมาเยี่ยมผมอีกครั้งในวันถัดมา
“นายคงรู้แล้วว่าเจฟเฟอร์สันหนีไปได้”
ผมพยักหน้า “แต่นิโคไลก็ทลายโรงงานผลิตยาเสพติดของพวกมันได้ใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ หน่วยของโคลตันเข้าจัดการเรื่องทางกฎหมายต่อจากนั้น และกำลังควานหาตัวสองพี่น้องสมิธอยู่” แคสเดินไปที่หน้าต่าง เขากอดอกและเหม่อมองออกไปด้านนอก “ถ้าฉันไม่ทำพลาด อย่างน้อยเราก็น่าจะจับจาเร็ตได้”
“มันไม่ใช่ความผิดของนายนะพวก เอาล่ะ สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ก็คือเลิกโทษตัวเอง ทั้งนาย ฉัน หรือใครก็ตาม ทุกอย่างบนโลกไม่ได้เป็นไปตามใจเราเสมอ ต่อให้จะวางแผนรัดกุมแค่ไหน แต่ทุกอย่างพลิกผันได้ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือคิดวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่โทษตัวเองหรือใครๆ”
แคสหันกลับมาสบตาผม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง เหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าผมพูดอะไรดีๆ แบบนี้ได้ด้วย และนั่นทำให้ผมอยากจะลุกขึ้นไปต่อยหน้าเขาชะมัด
“พูดได้ดี” เจย์เดนที่นั่งอยู่ข้างผมเอ่ยขึ้น เมื่อเราสบตากันผมก็พบความชื่นชมอยู่ในดวงตาของเขา และนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ มัน...น่าอายพิลึก
“หลังจากนี้จะทำไงต่อ?” ผมหันกลับไปถามพี่ชายตัวเอง
แคสถอนหายใจอีกครั้ง “นายไม่ต้องห่วง พวกฉันจะจัดการกันต่อเอง ตอนนี้นายบาดเจ็บ พักรักษาตัวให้หายเถอะ นายก็ด้วยเจย์เดน ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น คอยดูแลไอ้หมอนี่ไป”
“ครับ”
หลังจากอีกฝ่ายกลับไป ทั้งห้องพักผู้ป่วยก็กลับมาเหลือแค่ผมกับเจย์เดนอีกครั้ง คนรักของผมเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือตัวเอง
“นอนมั้ย?”
“อืม” ผมตอบ เขาก็เลยช่วยพยุงผมให้นอนลงไป
“อยากได้อะไรอีกหรือเปล่า”
“อยากให้นายขึ้นมานอนด้วยกัน”
เจย์เดนหัวเราะ “นี่ไม่ใช่ซีรีส์ที่เราเคยดูด้วยกันนะคริสเตียน เตียงคนไข้ไม่ได้ใหญ่พอให้ผู้ชายตัวโตๆ สองคนนอนด้วยกันได้”
“แล้วถ้าทำอย่างอื่นล่ะ?” ผมถาม แสดงความต้องการในตัวเขา
“กำลังหมายถึงฟัดกันบนเตียงเหรอ?” เขาถาม ผมหัวเราะแทนคำตอบ เจย์เดนเห็นอย่างนั้นก็พ่นลมหายใจเหมือนเอือมระอาผมเต็มที แต่ปากของเขากลับยิ้ม “ถ้าให้ขึ้นไปคร่อมนายน่ะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
ผมเลิกคิ้ว เขาใช้คำว่า ‘ถ้า’ นั่นหมายความว่าหากเป็นอย่างอื่น...
“แต่ถ้าให้ใช้ปากก็พอจะทำให้ได้อยู่นะ”
ผมยิ้ม ดึงเขาเข้ามาจูบหนักๆ แล้วผละออกเพื่อบอกว่า “แน่นอน ฉันต้องการทุกอย่างที่เป็นนาย”
โซลเมตของผมแสยะยิ้ม เขาขยับปลายนิ้วเกลี่ยเล่นที่แผ่นอกของผม เสื้อคนไข้สีขาวทำให้มองทะลุเข้าไปเห็นยอดอกของผมเลือนราง และนั่นเป้นเป้าโจมตีที่เจย์เดนหมายตา...เขาสะกิดปลายนิ้วหยอกเย้ามันเล่น ทำเอาผมหายใจกระตุกไปวูบหนึ่ง และกลายเป็นกลั้นหายใจเมื่อใบหน้าหล่อเหลาโน้มมาจูบซับที่ปลายคาง ไล่ลงไปที่ต้นคอ ก่อนเลื่อนกลับมากดจูบที่ปากของผมอีกครั้ง
เราแลกปลายลิ้นกันและกัน เข้าสำรวจชิมรสในปากของอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร
“อืม” เจย์เดนครางเครือในลำคอ ขณะที่ผมคำรามลั่น กลางกายร้อนระอุขึ้นมา และมันกำลังจะตื่นขึ้นในไม่ช้า
ผมกระซิบร้องขอสิ่งที่ต้องการจากอีกฝ่าย “ที่รัก สัมผัสมันหน่อยสิ”
เจย์เดนสบตากับผม เขาเลิกคิ้ว ท่าทียียวนราวกับตั้งใจจะแกล้งกัน ซึ่งผมคิดว่าใช่เลยล่ะ เขากำลังแกล้งผม ทำให้ผมทรมานเพราะความต้องการที่ถูกเขากระตุ้นเร้า
“ไอ้หนูของฉันอยากตกอยู่ในอุ้งมือของนายจะแย่แล้ว”
โซลเมตของผมหลุดหัวเราะ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมยื่นมือสอดแทรกเข้าไปในกางเกงสำหรับผู้ป่วย
และในเวลาต่อมา...ผมก็แทบจะสิ้นไร้เรี่ยวแรงเพราะปากของเขา
สองสามวันถัดมาผมยังคงอยู่โรงพยาบาล อาการของผมดีขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นหมอก็ยังไม่อนุญาตให้ผมกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหมอตัดสินใจเองหรือแม่ของผมไปพูดอะไรเข้า ผมถึงได้สิทธิ์ใช้ห้องพักพิเศษต่อไปได้ทั้งที่บาดแผลก็ดีขึ้นมากแล้ว
ผมเหลือบมองเจย์เดน ตั้งแต่ผมเข้าโรงพยาบาล อีกฝ่ายก็หอบเอางานมาทำที่นี่แทนที่จะเข้าไปทำที่บริษัท ผมรู้นะว่าเขาไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวันก็ได้ แต่การไม่เข้าเลยห้าวันติดมันจะไม่กระทบกับงานของงั้นเหรอ? และผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้านายของเขาน่ะใจกว้างเกินไปหรือเปล่า
ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องดีอยู่เหมือนกันที่เจย์เดนมาอยู่กับผม เพราะตั้งแต่ที่ผมเข้าโรงพยาบาล ผมก็ไม่สามารถไปรับไปส่งเขาเองได้ พอเขาให้เพื่อนขนงานมาส่งให้ที่นี่ เขาก็แทบไม่เคยออกจากห้องพักผู้ป่วยของผมเลย อย่างมากก็ออกไปซื้อของกินของใช้ที่มินิมาร์ทโรงพยาบาล นั่นทำให้ผมสบายใจมากขึ้นว่าเขาจะไม่ต้องออกไปเสี่ยงอันตรายข้างนอก ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจฟเฟอร์สันจะควานหาตัวเจย์เดนอยู่หรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากให้คนรักออกไปเพ่นพ่านด้านนอกแล้วโดนเจอเข้าสักวัน
แคสเทียลแวะมาหาทุกวัน เขามาบอกความคืบหน้าต่างๆ ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เรายังหาตัวสองพี่น้องสมิธไม่พบ พวกเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับมีใครช่วยซ่อนตัวพวกเขาเอาไว้ และถ้าให้ผมเดา ใครที่ว่าก็อาจจะเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกเขาอีกที
ไม่มีทางที่พ่อของเจย์เดนจะเป็นเจ้าของโรงงานผลิตยาเสพติดเอง เขาไม่ได้มีเงินมากมายจะก่อตั้งที่แบบนั้นและจ้างคนไปทำงาน พวกเราเห็นตรงกันว่าเขาน่าจะเป็นลิ่วล้อที่ได้รับคำสั่งมาอีกที แต่...ใครกันล่ะที่เป็นเจ้านายของพวกเขา
ถึงจะสงสัยแต่หน้าที่ของพวกเรา (หมายถึงผม แคส และนิโคไล) คือการตามจับตัวพี่น้องสมิธเท่านั้น ส่วนการสืบสาวไปถึงตัวการใหญ่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโคลตันไปเถอะ เขาเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของตำรวจ งานพวกนี้ต้องให้เขาทำ ไม่ใช่นักธุรกิจธรรมดาๆ อย่างพี่ชายของผม หรือเจ้าของบริษัทฝึกบอดี้การ์ดอย่างนิโคไล ริชมอนด์
อ้อ ดูเหมือนอีกคนที่ผมยังไม่ได้พูดถึงก็คือโจชัว เด็กคนนั้นรู้เรื่องทุกอย่างแค่คร่าวๆ เพราะนิคไม่อยากให้รู้อะไรมากไปกว่านี้ ด้วยเหตุผลว่าอีกฝ่ายยังเด็กน่ะนะ (ซึ่งผมคิดว่าสิบแปดเนี่ยไม่เรียกว่าเด็กหรอกนะ แต่ก็นั่นล่ะ เขายังเด็กเกินไปกับเรื่องสีเทาเข้มข้นจริงๆ) โจชัวจึงรู้แค่ว่าผมโดนจาเร็ตยิงเพราะเรื่องยักยอกเงิน ส่วนเรื่องโรงงานยาเสพติด เรื่องที่พ่อของเขาหนีไปจากการจับกุม และเรื่องที่แม่ของเขาถูกจับแล้ว...เขายังไม่รู้เรื่องพวกนี้
เป็นความเห็นชอบจากคนเป็นพี่ชายอย่างเจย์เดนที่คิดว่าไม่ควรบอกตอนนี้ เขากลัวว่าโจชัวจะเสียใจมากไปกว่านี้ เพราะทุกวันนี้เจ้าเด็กนั่นก็ทำหน้าอมทุกข์เกินจะทนไหวแล้ว ผมสงสารเขานะ แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ เขาต้องเรียกรู้ที่จะยอมรับมัน เหมือนที่พี่ชายของเขายอมรับและทนเจ็บปวดมานานเป็นสิบๆ ปี
“คริส เฮ้ คริสเตียน!” ผมหลุดออกจากความคิดตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงโซลเมตเอ่ยเรียก อีกฝ่ายเมื่อเห็นผมเหม่อจึงวางมือจากงานแล้วลุกมาหาผม “เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บแผลเหรอ?”
“เปล่า แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”
“อยากให้ฉันใช้ปากให้อีก?” เจย์เดนหยอกล้อ
ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าได้ก็ดี”
เขาแค่นหัวเราะ “ไม่เอาล่ะ รอให้นายหายดีก่อนเถอะ”
“ทำไม?”
“จะได้ฟัดกันแรงๆ แบบทุกทีไง”
ผมระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น กวักมือเรียกเขาเข้ามาใกล้ แล้วเราก็สวมกอดกันหลวมๆ เราซุกหน้าเข้าหาซอกคอของกันและกัน ผมสูดดมกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำและโคโลญบนตัวเขา สัมผัสเส้นผมนิ่มลื่นมือ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าไปฝังจมูกเข้าที่ข้างแก้มของเขา...ดูประหลาดไปหน่อยที่ผู้ชายตัวโตๆ สองคนหอมแก้มกัน แต่เพราะว่าเป็นเขา ผมจึงรักในทุกสิ่งที่ได้ทำกับเขา
เจย์เดนหัวเราะแผ่วเบา “จั๊กจี้น่า”
“เหรอ แต่ฉันชอบนี่” ผมบอก ซุกหน้ากลับเข้าไปที่ซอกคอของเขาอีกครั้ง เอาไรหนวดที่ยังไม่ได้โกนถูไถไปมา และนั่นทำให้โซลเมตของผมหัวเราะมากกว่าเดิม
“พอได้แล้ว เฮ้ ไม่เอาน่าพวก” ผมยอมหยุดในที่สุด เห็นดังนั้นเจย์เดนจึงจับยึดใบหน้าของผมเอาไว้ อีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย “ให้ฉันโกนหนวดให้มั้ย?”
ผมยิ้ม “ได้ก็ดี”
หลังจากนั้นผมก็นั่งนิ่งให้คนรักหนุ่มจัดการโกนหนวดเคราที่เริ่มยาวออกให้ ทุกการขยับเคลื่อนไหวของเขา ผมจดจ้องไม่วางตา ผมสัมผัสได้ถึงความประหม่าของเขา และนั่นทำให้ผมอยากจะยิ้มเหลือเกิน แต่ดันยิ้มไม่ได้เพราะกลัวโดนมีดโกนบาดหน้าเอาน่ะสิ ทรมานชะมัดเลย
เจย์เดนคงสัมผัสได้ถึงความขัดใจจากผม เขาเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย ผมอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายหยุดมือเพื่อส่ายหน้า ก่อนจะบอกให้เขาโกนต่อให้เสร็จ
ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งการโกนหนวดโดยช่างที่มีเพียงหนึ่งเดียวของผมก็เสร็จสิ้น ผมลงจากเตียงนอนอันแสนน่าเบื่อและคับแคบ ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปนอกบานกระจก ชมวิวทิวทัศน์ที่มีให้เห็นแค่นี้ และคิดว่าจะชวนเจย์เดนออกไปเดินเล่นที่สวนของโรงพยาบาลดีไหม
หมับ
ในระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิด ก็สัมผัสได้ถึงแรงกอดรัดจากด้านหลัง และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโซลเมต...คนรักของผม ไม่บ่อยนักที่เราจะยืนกอดกันแบบนี้ ไม่บ่อยยิ่งกว่าที่เขามากอดผมก่อน
ผมปล่อยให้เขากอด หลุบตามมองใบหน้าของคนรักที่เกยอยู่บนบ่าของผม เรากอดกันเงียบๆ ไร้ซึ่งเสียงพูดคุย แค่ปล่อยสายตาให้มองออกไปด้านนอกหน้าต่าง และเราคงจะอยู่ในบรรยากาศอันแสนอบอุ่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ หากไม่ใช่ว่าเสียงประตูห้องพักของผมเปิดออก...มีแขกมาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง
แต่เมื่อเราหันกลับไปมอง ทั้งร่างของผมราวกับถูกจับแช่แข็ง!
“ไง ยังไม่ตายจริงๆ สินะ” อีกฝ่ายยิ้มหยัน จ่อปืนมาที่เราสองคน ผมรีบผลักให้เจย์เดนไปอยู่ด้านหลัง แต่เขาไม่ยอม โซลเมตของผมขยับมายืนข้างกัน...จาเร็ต สมิธก้าวเข้ามาใกล้เรามากขึ้น “แต่แกกำลังจะตายวันนี้ล่ะ”
“จะทำอะไรก็รีบทำเข้าเถอะ ก่อนที่จะมีใครเข้ามา...!”
บุคคลที่สี่ซึ่งมากับอีกฝ่ายเดินตามเข้ามายืนข้างๆ ใบหน้านั้นผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เดาได้ไม่ยากว่าเขาเป็นใคร และผมคิดว่าตัวเองเดาถูก เพราะผมรู้สึกได้ถึงความตกใจของเจย์เดน ไหนจะเสียงเรียกที่หลุดออกมาจากปากของเขานั่นอีก
“พ่อ”
เจฟเฟอร์สัน สมิธเบิกตากว้าง แววตาเคียดแค้นจริงจัง...เขาชักปืนของตัวเองออกมาแล้วจ่อตรงมาที่ลูกชายของตัวเอง เสียงเข้มตวาดก้อง “แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงไอ้เจย์เดน!”
ผมเอ่ยสวนกลับไปด้วยประโยคที่คิดขึ้นได้ในตอนนั้น หวังเบี่ยงเบนความสนใจจากพวกเขา
“พวกคุณต้องการอะไร!?”
อดีตพ่อเลี้ยง (ที่ผมไม่อยากจะเรียกอย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ) แสยะยิ้มอีกครั้ง มันเขย่าปืนในมือ
“มาฆ่าแกไงไอ้ลูกหมา!”
_______________
โดนบุกมายิงถึงโรงพยาบาล คราวนี้จะตายจริงมั้ย แต่ตายก็ตายคู่อะ โห โรแมนติกดีจัง ._.