Chapter 20
Why do I love you so much?
[Christian]
เจย์เดนไม่เหมือนผม ไม่เหมือนพวกเรา
เรานอนด้วยกันที่เบาะหลังรถ ผมถอนหายใจแผ่วเบาอย่างเป็นสุข แม้ตอนนี้ร่างกายจะเต็มไปด้วยเหงื่อ และมือข้างหนึ่งของผมยังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสีขาวขุ่นของเราสองคนก็ตาม...ด้วยความสัตย์จริง สำหรับผมแล้วแค่มือมันยังไม่พอ ผมอยากสัมผัสเขามากกว่านี้ เจย์เดนเป็นเหมือนเครื่องดื่มแก้กระหาย ที่ผมดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เคยอิ่มสักครั้ง
อยากจะหัวเราะให้กับตัวเอง ผมไม่เคยคิดเลยสักนิดเดียวว่าจะมีใครที่ทำให้ผมหลงใหลได้มากมายเท่านี้มาก่อน จนเมื่อมันมี...คนคนนั้นก็ดันเป็นโซลเมตของผมเอง ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคนที่พระเจ้ามอบเขามาให้กับผม
“ฉันอยากให้เรื่องบ้าพวกนี้จบลงเร็วๆ ชะมัด” เจย์เดนพูดขึ้น เขาขยับตัวเล็กน้อยไม่ให้หล่นจากเบาะ ช่วงไหล่ผึ่งผายแนบกับแผ่นอกของผม หนุนหัวกับแขนของผม ปล่อยให้ผมลูบเส้นไหมนุ่มๆ สีเข้มของเขาเล่น
“ฉันก็อยากให้มันจบลงเหมือนกัน” ผมกดจูบที่หลังใบหูของเขา “นายรับได้หรือเปล่า ถ้าพ่อของนายต้องติดคุก”
เจย์เดนหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ ฟังดูแหบแห้ง ราวกับเขาเพิ่งไปเดินท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุมา โดยที่ไม่ได้รับน้ำสักหยดนานติดกันหลายชั่วโมง
“ความสัมพันธ์ของฉันกับเขามันขาดสะบั้นลงตั้งแต่วันนี้แล้ว...เขาคิดจะฆ่าฉัน เขาลั่นไกยิงโดยไม่ลังเล ไล่ล่าฉันจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้คงไม่มีใครอยากให้เขาติดคุกมากเท่ากับที่ฉันต้องการแล้วล่ะ”
ผมเลิกคิ้ว ยืดตัวขึ้นเพื่อสบตากับเขา “ถามจริง?”
“ใช่ แน่นอนสิ” เขาตอบ โซลเมตของผมขยับพลิกตัวหันหน้ามาหา ส่งยิ้มเล็กน้อยให้ เป็นการยืนยันว่าเขาคิดแบบนั้นจริงๆ ความเจ็บปวดจากสิ่งที่พ่อของเขาทำยังคงหลงเหลืออยู่ในแววตา แต่ใจเขาก็เด็ดเดี่ยวพอกันที่จะเลือกความยุติธรรมมากกว่าช่วยเหลือ
ผมโน้มหน้าลงไปกดจูบหนักๆ ที่ปากของเขา ริมฝีปากของเราสองคนปัดป่ายกันไปมา...ผมลูบกล้ามเนื้อสวยงามของเขา ต้นแขน ต้นคอ แผ่นอก หน้าท้อง สัมผัสซิกซ์แพ็กน่าจูบอย่างอ้อยอิ่งด้วยปลายนิ้วมือ แต่ส่วนที่น่าแตะต้องมากที่สุดก็คือเหนือแผ่นอกด้านซ้ายของเขา
ชื่อของผมสลักอยู่บนนั้นอย่างงดงาม เป็นรอยสักที่ไม่มีวันลบหาย เหมือนกับชื่อของเขาที่อยู่บนต้นคอด้านหลังของผม เราต่างเป็นของกันและกันด้วยการชักนำของโชคชะตา
ผมแตะริมฝีปากลงไปแผ่วเบา รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของก้อนเนื้อที่กำลังเต้นไหวใต้นั้น และความรู้สึกตื่นเต้นที่เอ่อล้นออกมาจากอีกฝ่าย...ผมเงยหน้ายิ้มมุมปากให้คนที่อยู่ใต้ร่างของผม
“ฉันชอบชื่อของฉันที่ฝังอยู่บนผิวเนื้อของของนายชะมัด”
“ฉันก็ชอบ” เจย์เดนยิ้มตอบ ดวงตาของเขาเป็นประกาย “ฉันชอบเวลาที่ไอ้หนูของนายฝังเข้ามาในตัวฉัน”
ผมอึ้งอยู่นาน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินโซลเมตของผมหัวเราะลั่น เท่านั้นล่ะผมถึงได้อดใจไม่ไหวอีกต่อไป ส่งเสียงครางเหมือนสัตว์บาดเจ็บ ขยับกายโถมทับเขา กระชากกางเกงของเขาออกแล้วโยนมันทิ้งส่งๆ ไปที่เบาะด้านหน้า เอื้อมตัวไปเปิดลิ้นชักรถเพื่อหยิบเอาเจลหล่อลื่นกับถุงยางอนามัยออกมา
“ฉันจะเอานาย ให้นายคลั่งตายเลยเจย์เดน!”
“รอเวลานั้นแทบไม่ไหวแล้ว”
เขากำลังยั่วผม ให้ตายเถอะพระเจ้า!
ผมเปิดฝาขวด บีบเจลหล่อลื่นใส่มือก่อนจะชโลมมันลงไปที่ช่องทางรักด้านหลังของเขา ถูไถปากทางเข้าอย่างใจเย็น...ผมจะทรมานเขา ให้เขาอยากจนต้องร้องขอผม จะกลืนกินเขา ให้เขาครวญครางอยู่ใต้ร่างของผม และเมื่อไหร่ที่เราสอดประสานเข้าหากัน ผมจะทำให้เขาสุขสมจนกว่าเราทั้งคู่จะพอใจ
“นายอย่า...” เจย์เดนหอบหายใจเล็กน้อย เขาจับกุมท่อนเนื้อร้อนผ่าวที่เริ่มกลับมาแข็งขืนอีกครั้งของตัวเอง รูดรั้งมันโดยที่ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อยเพื่อสบตาผม เขาเลียปาก บอกกับผมด้วยเสียงแหบสั่น “ปากนาย ฉันอยากรู้สึกถึงลิ้นของนาย บนไอ้นั่นของฉัน”
บ้าเอ๊ย! เขาขอขนาดนี้ แล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไง
ผมอ้าปาก ครอบริมฝีปากลงไปบนท่อนเนื้อกลมของเขาอย่างไม่ลังเล บดขยี้ปลายลิ้นกับหัวหยัก ดูดกลืนมันจนลึกถึงลำคอ ตวัดลิ้มชิมรสเขาทั่วทุกพื้นที่ ไปพร้อมๆ กับการสอดปลายนิ้วแทรกผ่านช่องทางรักอย่างช้าๆ
“อืม...” เจย์เดนครางแผ่ว มือของเขาข้างหนึ่งกุมขยุ้มเส้นผมของผมเบาๆ และเมื่อผมเหลือบตาขึ้นมอง ผมก็แทบจะหยุดหายใจในวินาทีนั้นเลยด้วยซ้ำ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังบีบขยี้ยอดอกตัวเองไปด้วยในระหว่างที่ผมทำรักให้เขาด้วยปากกับนิ้ว
มันเป็นภาพที่สวยงาม จนแทบไม่อยากจะละสายตา
ผมไม่รู้ว่าใช้ปากปรนเปรอให้เขานานแค่ไหน แต่ก่อนที่เจย์เดนจะแตกใส่ปากผมขึ้นมา ผมก็หยุดการเล้าโลมเขา หยุดแม้กระทั่งเรียวนิ้วที่ขยับเข้าออกในร่างเขา
“พร้อมหรือยังที่รัก” ผมถาม คว้าถุงยางออกมาจากกล่องแล้วใช้ฟันฉีกซองออก หยิบมันสวมเข้ากับท่อนเนื้อร้อนผ่าวของตัวเอง รูดรั้งเพื่อเตรียมพร้อม โดยไม่ลืมชโลมเจลหล่อลื่นเพิ่ม แล้วจับไอ้หนูตัวโตของผมจ่อเข้าที่ปากทาง ถูไถหยอกเย้าเขา ไม่ยอมผลักดันมันเข้าไปในทันที “ร้องขอฉันสิพวก บอกกับฉันว่านายต้องการอะไร”
เจย์เดนคำรามในลำคออย่างขัดใจ เขากัดฟันแน่น “ใส่มันเข้ามาได้แล้วคริสเตียน!”
ผมหัวเราะ สอดแทรกส่วนหัวเข้าไปอย่างช้าๆ แต่ดูเหมือนเขาจะใจร้อนมากกว่าปกติ เพราะเจย์เดนเป็นฝ่ายใช้สองขาแข็งแรงเกี่ยวเข้ากับขอบสะโพกของผม แล้วดึงผมให้ขยับเข้าไปหาเขา จนท่อนเนื้อกลมแข็งชันกระแทกเข้าไปภายในทีเดียวมิดลำ
“อึก! อ่า...”
“ที่นี้ก็ขยับได้แล้ว” เขาสั่ง
“สั่งฉันงั้นเหรอ?” ผมเลิกคิ้วถาม ยกยิ้มยียวนกวนประสาทเขา “เรียกฉันว่าแด๊ดดี้สิ”
“คริสเตียน แคมเบลล์!” เจย์เดนมองผมอย่างเหลืออดพอๆ กับต้องการ เขากัดปากเล็กน้อย ดูลังเลใจว่าควรจะพูดออกมาดีไหม แต่ในท้ายที่สุดความอยากก็มีชัยเหนือความน่าอาย
“Call me daddy, baby” ผมย้ำกับเขาอีกครั้ง และเฝ้ารอ
จนในที่สุดเขาก็พูดออกมา “fuck me, daddy”
ผมจะจดจำไว้ ว่าถึงแม้เจย์เดน คาร์เตอร์จะเป็นผู้ชายตัวโตหน้าตาหล่อเหลามากแค่ไหน แต่ถ้าเขาพูดประโยคนี้ออกมาเมื่อไหร่ เขาก็ดูน่าขยี้ได้ไม่ต่างจากผู้ชายตัวผอมบอบบาง หรือสาวสวยนมใหญ่หุ่นสะบึ้มเลยแม้แต่น้อย
ผมกระแทกตัวเข้าหาเขาด้วยจังหวะหนักหน่วงเนิบช้า บดเบียดร่างกายทาบทับเขา จูบไปทั่วแผ่นอก ซับริมฝีปากวนเวียนอยู่ตรงชื่อของผมที่อยู่บนตัวเขาซ้ำๆ มันรู้สึกดีจริงๆ ที่ได้เห็นรอยสลักฝังลึกไม่มีวันเลือนหายนี้ ราวกับผมได้ตีตราเป็นเจ้าของเขาทั้งตัวและหัวใจ ผมไม่คิดจริงๆ ว่าผมจะรักใครได้มากเท่านี้มาก่อน...ไม่เคยเลย
“อืม แรงกว่านี้” เจย์เดนร้องขออย่างที่ผมต้องการ เซ็กซ์อันร้อนแรงทำให้เราแทบระเบิดพร่าพรายไปด้วยความสุขล้น ราวกับเราทั้งคู่อยู่ในปล่องลาวาที่กำลังจะล้นทะลัก แต่เซ็กซ์อันเชื่องช้าตั้งใจ ก็ทำให้เราทั้งคู่อิ่มเอมได้ไม่ต่างกัน
ผมชอบที่จะอ่อนโยนกับเขา พาเขาเดินทางไปสู่จุดหมายสุดท้ายของความสุขสมอย่างไม่รีบเร่ง จากผู้ชายที่เคยปฏิเสธผม มาวันนี้เจย์เดนได้ตอบรับผมแล้วในทุกๆ สัมผัสที่ผมมอบให้...เราแลกเปลี่ยนมันด้วยกัน ความพิเศษนี้ทำให้ผมอยากจะขอบคุณพระเจ้าอีกครั้ง เพราะท่านทำให้ผมได้เข้าใจทุกความรู้สึกของเขา ทุกความรู้สึกของเราที่มีให้แก่กัน
“ที่เรากำลังทำอยู่ อ่า...” ผมยอมโอนอ่อนตามแรงดึงของเขา เพื่อให้เขาได้จูบผมอย่างที่ต้องการ “มันไม่ได้เรียกว่าเซ็กซ์นะรู้มั้ย”
“แล้วมันเรียกว่า...อะไร” เจย์เดนย้อนถาม เสียงครางทุ้มต่ำแหบพร่าของเขาทำให้ผมแทบคลั่ง เขากระตุ้นความรู้สึกของผมได้ดีเกินไป ทั้งที่มีเพียงแค่เสียงหอบทุ้มต่ำอันแสนสั่นพร่าเท่านั้น
ผมกระแทกท่อนเนื้อร้อนผ่าวเข้าออกถี่เร็วมากขึ้น หมุนวนบดสะโพกหยอกเย้าเขา ส่วนปลายกระทบเข้ากับจุดกระสันภายใน ทำเอาเจย์เดนสะดุ้ง หอบหายใจแรงและร้องครางมากขึ้น
“มันเรียกว่าเมคเลิฟ”
โซลเมตของผมชะงัก หัวใจของเขาเต้นรัวแรงมากขึ้นกว่าเดิม...ดวงตาของเราจ้องมองกัน ทั้งๆ ที่ผมยังเคลื่อนกายเข้าหาเขา และเขาสวนสะโพกเพื่อตอบรับผมกลับมา
“เมคเลิฟ อื้ม...เหรอ?”
“ใช่” ผมพยักหน้า “มันมากกว่าความสนุก มันคือการทำรักที่เต็มไปด้วยความรู้สึก และฉันเชื่อว่านายรับรู้ถึงมันได้ เหมือนที่ฉันก็รับรู้ถึงความรู้สึกของนายในตอนนี้ได้”
“...”
“นายรักฉัน”
เจย์เดนนิ่งงัน ใบหน้าของเขาแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย จากทั้งแรงอารมณ์ที่เราโหมพัดใส่กัน และส่วนหนึ่ง ผมมั่นใจว่ามันมาจากความเขินอาย...ใช่ ผมรู้ว่าเขากำลังเขิน ถึงแม้ว่าเราทั้งคู่จะเข้าใจความรู้สึกของกันและกันดี แต่การพูดมันออกมาตรงๆ ก็สร้างความแตกต่างให้กับเราอยู่ดี
ผมยิ้ม ปัดป่ายริมฝีปากกับเรียวปากของเขาอีกครั้ง ดูดดึงขบกัดอย่างหยอกล้อ ตวัดปลายลิ้นเกี่ยวเข้าหากันจนเสียงจูบดังประสานไปกับเสียงหน้าขาของผมที่กระทบกับต้นขาของเขา มือหนึ่งกำท่อนเนื้อกลมของเจย์เดนแล้วรูดคลึงมันไปด้วย รถโยกคลอนตามแรงกระแทกกระทั้นที่หนักหน่วงมากขึ้นตามแรงอารมณ์ของเราสองคน
หากว่ามีใครผ่านมาเห็นเขา เราคงจะโดนตำรวจพุ่งเข้ามาจับใส่กุญแจมือในไม่ช้าแน่ ข้อหาทำอนาจารกลางที่สาธารณะ...แต่สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้น เพราะผมแน่ใจว่าถนนเส้นนี้จะไม่มีใครเดินทางผ่าน มันเป็นถนนส่วนบุคคลของตระกูลแคมเบลล์ ไม่เคยมีแขกคนไหนมาเยี่ยมบ้านเราด้วยตัวเอง มีแต่เราที่ส่งคนไปรับ หรือพามาด้วยกันเท่านั้น และผมรู้ว่าวันนี้แม่ไม่ได้นัดใครเอาไว้ ดังนั้นผมถึงได้ไม่แคร์ไงล่ะว่าจะมีใครมาเห็นฉากเซ็กซ์บนรถอันเร่าร้อนของเราสองคน
“เจย์เดน” ผมเลื่อนไปกระซิบที่ข้างหูอีกฝ่าย เอ่ยคำที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพูดมันออกมาให้ใครได้ แต่เวลานี้ผมกำลังจะพูดมันออกมาแล้ว พูดกับคนที่เป็นดั่งของขวัญจากสวรรค์ประทานลงมาให้ผม
“อึก อืม...” เขาไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงครางแผ่วในลำคอ
ผมกดจูบที่กกหูของเขาอีกครั้ง “I love you”
คำสามคำสั้นๆ แต่ทำให้เขาเสร็จคามือของผม!
“อึก! แฮ่ก...แฮ่ก” เจย์เดนหายใจแรง แก้มของเขามีริ้วแดงเล็กน้อยปรากฏขึ้นให้เห็นมากกว่าเดิม
ผมหัวเราะ บดสะโพกเข้าหาเขาหนักๆ อีกหลายนาที ก่อนจะปลดปล่อยออกมาทั้งที่ยังแช่กายค้างเอาไว้ในตัวเขา ดื่มด่ำความสุขสม เราทั้งคู่ไปถึงสวรรค์ด้วยกันอีกครั้ง ผมโถมร่างลงทาบทับอีกฝ่ายเอาไว้ ซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกแน่นหนั่น จูบซับที่ชื่อของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักพอ...เจย์เดนหัวเราะ น้ำเสียงของเขาสดใสร่าเริง เขากำลังมีความสุขมากเลยทีเดียว และนั่นทำให้ผมดีใจ
เจย์เดนจูบที่กลางศีรษะของผม “I love you, too”
ผมยิ้ม ไม่รู้เลยว่าทำไมผมถึงรักเขาได้มากมายขนาดนี้...แต่ผมก็รักเขาไปแล้ว
ไม่สิ ต้องบอกว่าเรารักกันต่างหาก ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
หลายวันมานี้พวกเราระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ผมเป็นคนไปรับไปส่งเจย์เดนจากบ้านกับที่ทำงานของเขา แม้ว่าเจฟเฟอร์สันพ่อของเขาจะไม่รู้ว่าเขาทำงานที่ไหน แต่เมื่อคิดว่าคนคนนั้นทำงานค้ายาเสพติด ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะสืบจนรู้ในที่สุด ดังนั้นผมต้องไม่ประมาท
“เจอกันเย็นนี้ ฉันจะมารับเหมือนเดิม”
“อืม” เจย์เดนพยักหน้ารับ เขาไม่อิดออดใดๆ ทั้งนั้นที่ถูกผมตามประกบแทบจะตลอดเวลา อีกฝ่ายเข้าใจดีว่ามันจำเป็น และรู้ว่าผมเป็นห่วงเขามากแค่ไหน “ไว้เจอกัน”
ผมตอบรับจูบลาของเขาเหมือนทุกๆ วัน “ระวังตัวด้วย”
“ครับบบ” เขายิ้ม ผมรอจนแน่ใจว่าเขาเข้าบริษัทไปแล้วจึงได้ขับรถออกมา ไม่นานก็มาถึงที่นัดหมายในวันนี้
เดินเข้าร้านอาหารสุดหรูจนไปถึงห้องวีไอพีตามการนำทางของพนักงานในร้าน หลังจากสั่งมื้อเช้าไปเรียบร้อยผมก็หันไปทักทายคนทั้งโต๊ะ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับคุณโคลตัน”
โซลเมตของพี่ชายยิ้มเล็กน้อย “ผมยุ่งๆ น่ะ คุณน่าจะทราบแล้ว”
“แน่นอนครับ แคสเทียลบ่นเรื่องคุณให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ”
ได้ยินแบบนั้นโคลตันก็หันไปเลิกคิ้วอย่างแปลกใจใส่พี่ชายของผมทันที ขณะที่ไอ้พี่บ้าหันมาขึงตาใส่ผมด้วยความหงุดหงิด ถ้าดวงตาของเราฆ่าคนได้ ผมคงโดนสายตาของแคสฟาดฟันเป็นแผลไปทั้งร่างแล้ว
“หุบปากของแกไปซะคริสเตียน!”
“เพิ่งรู้ว่านายคิดถึงฉันมากจนต้องเอาไปบ่นให้คนอื่นฟัง” โคลตันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่มันแฝงไปด้วยความขบขันเล็กๆ
“ฝันอยู่หรือไงไอ้กร๊วก! ฉันไม่เคยคิดถึงนาย!”
“กลายเป็นคนหยาบคายไปแล้วหรือไง?”
“ก็หยาบคายแต่กับนายนั่นล่ะ”
“พวกคุณคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกันหรอกใช่มั้ย? ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ต้องเร่งมือทำนะ” นิโคไลเป็นฝ่ายขัดจังหวะการต่อปากต่อคำของทั้งสอง ผมทำเพียงอมยิ้มนั่งมองเท่านั้น
เวลาเห็นพี่ชายที่มักจะใจเย็นอยู่เสมอสติแตกเพราะโดนยั่วโมโห มันตลกดีนะว่าไหม?
“เจย์เดนเกือบจะโดนเจฟเฟอร์สันยิง” ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง
“ผู้ชายคนนั้นเลือดเย็นดีนะที่คิดจะฆ่าได้แม้กระทั่งลูกชายของตัวเอง”
“อำนาจและเงินทำให้คนเราทำได้ทุกอย่างนั้นล่ะ”
“เรายังใช้แผนเดิม คนของผมที่ส่งออกไปตามดูพฤติกรรมสองพี่น้องสมิธ รายงานมาว่าพวกเขานัดพบกันสามครั้งต่อสัปดาห์ได้ สถานที่คือบริษัทออแกไนซ์เล็กๆ แห่งหนึ่ง” โคลตันให้ข้อมูลในส่วนที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบ
“ออแกไนซ์?” แคสเทียลขมวดคิ้ว
โซลเมตของพี่พยักหน้า “ใช่ นั่นคือฉากหน้าที่เราเห็น แต่เบื้องหลัง...ผมคิดว่าที่นั่นอาจจะเป็นที่นัดพบลับๆ ของสมาชิกในแก็งค้ายาเสพติดที่ทางการกำลังควานหาตัวอยู่ก็ได้”
“เราจะให้เจย์เดนเข้าไปล้วงความลับจากเจฟเฟอร์สันอย่างที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้วนะ” ผมโพล่งขึ้น “มันเสี่ยงเกินไป ถ้าแผนแรกไม่ล่มไปซะก่อน ก็คงจะง่ายกว่านี้”
“นั่นสินะ”
“ผมเลยอยากจะเสนอทางเลือกใหม่”
“อะไร?” แคสเทียลถาม ผมหันไปสบตาเขา
มันเป็นการตัดสินใจของผม ที่ใช้เวลาคิดไตร่ตรองอยู่นานหลายวัน สุดท้ายผมก็ถูกประโยคเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวว่า ‘เจย์เดนเกือบโดนยิงตาย’ ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของผมได้ดีมากขึ้น
“ผมจะหาหลักฐานการยักยอกเงินบริษัทแคมเบลล์ด้วยตัวเอง แลกกับการกันเจย์เดนออกจากเรื่องนี้”
“นายกำลังจะบอกว่าเราจะทำเรื่องนี้กันเอง โดยไม่ให้โซลเมตของนายเข้ามาเกี่ยวข้อง?” โคลตันถามย้ำ
ผมพยักหน้า “ครับ ผมไม่อยากให้เขาเข้าไปเสี่ยงอันตรายอีก เจย์เดนไม่เหมือนพวกเรา เขาไม่ได้เป็นนักข่าวที่ผ่านการฝึกร่างกายเพื่อเข้าทำงานในสนามรบเหมือนผม ไม่เหมือนแคสที่ฝึกการต่อสู้และยิงปืนมาตั้งแต่ยังเด็ก และยิ่งไม่เหมือนพวกคุณสองคน...”
ต้องบอกว่าในที่นี้ไม่มีใครเหมือนกับนิโคไล ริชมอนด์ และโคลตัน แฮริสอีกแล้วถึงจะถูก
แคสบอกกับผมว่านิโคไลเป็นเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัย เขาฝึกคนมากมายให้เป็นบอดี้การ์ด เดิมทีแคสจ้างเขาให้ส่งคนในบริษัทริชมอนด์มาทำงานเป็นบอดี้การ์ดให้แม่ แต่เพราะมีเรื่องครอบครัวของโจชัวเข้ามาพัวพันกับครอบครัวของผมด้วย นิคเลยต้องลงมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ส่วนโคลตัน...ดูเหมือนโซลเมตของพี่จะทำงานเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษในองค์กรตำรวจ แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันพิเศษแบบไหน แคสไม่ยอมบอก หรือไม่บางทีแม้แต่เขาเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องของผมนี่นะ
“ผมเห็นด้วย” นิคพูดขึ้น “ผมไม่อยากให้โจชัวต้องมาเสี่ยงด้วยเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไม่ให้พวกเขารู้ แล้วก็เปลี่ยนแผน ให้คริสเตียนสืบเรื่องการยักยอกเงินแทนฉัน และฉันจะไปตามสืบเรื่องบริษัทออแกไนซ์” แคสเทียลเสนอ ก่อนจะหันไปบอกนิโคไล “ส่วนเรื่องวงในของขบวนการค้ายาเสพติด นายคงต้องใช้วิธีอื่นแทนการส่งเจย์เดนเข้าไปสืบ”
“ฉันจะทำหน้าที่ติดตามดูพฤติกรรมของพี่น้องสมิธเหมือนเดิม อ้อ จะเป็นกำลังเสริมให้นิคด้วย” โคลตันเอ่ย
นิโคไลพยักหน้ารับ “ที่จริงสายของฉันก็แฝงตัวเข้าไปในขบวนการนี้สองสามคนได้ ไม่ต้องใช้เจย์เดนก็ถือว่าไม่ได้กระทบกับแผนการตั้งต้นของเรามากมายอะไร ดังนั้นฉันจะสืบหาที่ตั้งโรงงานที่พวกมันใช้ผลิตยาเสพติดให้เจอ”
“เจอเมื่อไหร่แจ้งฉันทันที หน่วยของฉันจะได้บุกเข้าไปจับกุมพวกมัน”
“เป็นอันว่าแผนของเราปรับเปลี่ยนตามนี้ ไปละ ฉันยังมีประชุมกับผู้ถือหุ้นในอีก...ครึ่งชั่วโมง” แคสเทียลลุกขึ้น เขาหรี่ตามองโซลเมตตัวเองเล็กน้อยเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูด แล้วเดินออกจากห้องอาหารไป
ผมขมวดคิ้ว “ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย ว่าแต่ทำไมอาหารมาเสิร์ฟช้าชะมัด”
“ให้พี่นายไปเถอะ เขาไม่ค่อยอยากจะเห็นหน้าฉันสักเท่าไหร่หรอก”
ผมได้แต่ส่ายหน้าให้ความเป็นคู่กัดของพวกเขา แล้วหันไปบอกลานิโคไลที่ขอตัวกลับก่อนเช่นกัน พอดีกับที่อาหารของผมมาเสิร์ฟ จากนั้นทั้งห้องจึงเหลือแค่ผมกับโซลเมตของพี่ชายที่นั่งทานมื้อเช้าด้วยกัน และคุยกันไปเรื่อยๆ
“นายดูเป็นห่วงเขามากเลยนะ” โคลตัลเอ่ยขึ้น “โซลเมตของนายน่ะ”
ผมยิ้ม เหตุผลที่ทำให้ผมลงทุนทำสิ่งที่เกลียดที่สุดอย่างการเข้าบริษัทไปเจอหน้าไอ้พ่อเลี้ยงเฮงซวยนั่น มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น...
“เพราะผมรักเขาไงล่ะ”
__________________________
แฮ่ รถจะพังมั้ย อ่อ ไม่พังเพราะคริสเตียนยังเอาไปขับรับส่งเจย์เดนได้ อิอิ
เราเคยบอกว่าจะเขียนเรื่องของนิคโจกับแคสxโคลเป็น side story แต่มาคิดๆ ดูแล้วเรากะว่าจะเขียนนิคโจเป็นตอนพิเศษค่ะ ส่วนแคสxโคลจะทำเป็นเรื่องแยก และ...สำหรับเรื่องแยกของคู่นี้ จะเป็นแนวสลับรุกรับนะคะ บอกไว้ก่อน ใครไม่ชอบไม่ว่ากัน ไม่ต้องอ่านก็ได้ แง เราเข้าใจนะว่าบางคนก็ไม่อินกับแนวสลับโพเนอะ แต่เราอยากลองเขียนงานแนวนี้บ้าง และเห็นว่าคู่นี้เหมาะสุดค่ะ T T
แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ