บทที่9
หลังจากคมสันเดินปึงปังออกไปพร้อมดาริน วศินก็เรียกให้เพทายไปคุยด้วยที่ห้องทำงานส่วนตัว ในห้องแห่งนี้เหลือเพียงจินดากับจิระ สองแม่ลูกจับมือกันไว้แน่นคล้ายว่าถ้าแยกจากกันทุกอย่างจะพังทลายไป
“จิระ อย่าทำอย่างนี้อีกนะลูก” จินดาลูบไล้ใบหน้าอ่อนหวานของจิระ ใบหน้านี้ถอดแบบมาจากคุณยายซึ่งมีรูปโฉมงดงามอย่างหาจับตัวยาก
“ลูกต้องไม่ละทิ้งความฝันเพื่อแม่อีก แม่ทนไม่ได้ที่จะเป็นสาเหตุให้ความฝันของลูกต้องพังไป สาบานสิว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก”
“ผมขอโทษที่ทำให้แม่ไม่สบายใจครับ” จิระยิ้มและไม่ได้ร้องไห้หรือบ่นว่าในความใจดำของคมสันด้วยความน้อยใจใดๆ ทั้งนั้น
ลูกของเธอเข้มแข็งอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเติบโตขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน นี่ไม่ได้บ่งบอกว่าเธอเป็นแม่ที่ล้มเหลวตามที่คมสันพูดหรอกหรือ แม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของลูกเธอก็พึ่งสังเกตเห็น
“จิระลูกเติบโตขึ้นมาก สองเดือนที่ลูกไปแข่งรายการเรียลลิตี้ เปลี่ยนลูกไปมากจริงๆ”
จิระจับมือทั้งสองข้างของแม่ขึ้นมาจูบ “ผมจะพยายามทำตัวให้ดีขึ้นกว่านี้อีก จะไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวัง”
จินดายิ้ม แม้ไม่แน่ใจว่าลูกชายสามารถทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า ทั้งอย่างนั้นเธอก็เชื่อมั่น หากคนเป็นแม่อย่างเธอยังไม่เชื่อใจจิระใครหน้าไหนจะเข้าข้างจิระอีก
“อ้อ...จริงสิผมมีเรื่องจะพูดกับแม่ด้วย”
“อะไรหรือจ๊ะ”
“เรื่องของภาคิน” จิระทำสีหน้าจริงจัง พลอยทำให้จินดาต้องเพิ่มความเข้มทางอารมณ์ตามไปด้วย
“ผมเลิกกับภาคินแล้ว”
“เอ๊ะ” จินดางุนงง ไม่ใช่แค่งอนเท่านั้นหรือ ไม่เหมือนที่ภาคินบอกเธอซักนิด
“เขาทำอะไรผิดหรือจ๊ะ”
“ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น แต่อยากให้แม่รับรู้เรื่องนี้”
“เข้าใจแล้วจะ ถ้ามันเป็นการตัดสินใจของลูก” จินดาไม่ซักไซ้ให้มากความ ลูกชายของเธอตอนนี้มีเหตุผลขึ้นมาก ดังนั้นเธอจึงเคารพการตัดสินใจของลูก
“แล้วก็ รูปที่ผมได้มาจากภาคิน ผมยกให้เพทายนะครับ”
“อย่างนั้นก็ได้จะ” จินดาเข้าใจว่าจิระคงไม่อยากเก็บรูปที่อดีตคนรักวาดไว้กับตัวแต่จะให้ทิ้งก็น่าเสียดายมูลค่าถึงได้เลยยกให้เพทายไปเท่านั้นเอง เธอไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น
วันรุ่งขึ้นแม่ให้พลอยชมพูขับคันหรูไปรับเอ้นักแสดงในสังกัดกับผู้จัดการส่วนตัวของฝ่ายนั้นมาด้วยกัน พอเจอหน้าเจ้าตัวดีก็ชวนคุยเรื่องงานอดิเรกทันที
“ได้เล่นแล้วหรือยัง”
“เล่นอะไร” จิระเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“เอ้า ไม่รู้ได้ยังไง นี่มันเป็นเกมตัวอย่างที่บริษัทของนายปล่อยให้เล่นฟรีในโลกออนไลน์เชียวนะ ตอนนี้ยอดดาวน์โหลดปาไปสิบล้านในเวลาชั่วข้ามคืน”
“เกม...อะไร...”
“โอ๊ยตาย...มานี่ มีนักแคสเกมเอาคลิปการเล่นมาปล่อยแล้วนา”
เอ้เปิดคลิปให้จิระดูยาวนานกว่าสามสิบนาที <นี่มันเกมส์แนว Battle Royale นี่นา ชาติที่แล้วในช่วงที่เราอายุได้ 25 ปี เกมแนวนี้บูมเอามากๆ เลย>
เกมแนวนี้ถ้าให้อธิบายก็เป็นเกมแนวทหาร หาอาวุธในแผนที่ จัดการผู้เล่นที่ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันและคนที่เหลือรอดคนสุดท้ายจะเป็นผู้ชนะ
การสร้างเกมทำนองนี้ ถ้าเป็นในช่วงที่เขาอายุ 27 การแข่งขันจะสูงมาก มีการเปิดตัวเกมประเภทเดียวกันออกมาเป็นสิบ ในชาติที่แล้วบริษัทของครอบครัวไม่ได้เล็งเห็นความสำคัญของเกมส์ออนไลน์แต่เนิ่นๆ ดังนั้นจึงเริ่มต้นได้ช้ากว่าชาวบ้าน
กว่าจะจับหนทางการผลิตก็เป็นเวลาที่นานาชาติประกาศให้เกมออนไลน์พวกนี้จัดอยู่ในประเภทกีฬาจำพวก e-sport ไปนานแล้ว
จะว่าไปชาติที่แล้วก็จำได้ลางๆ อยู่นะว่าพ่อของเขาเคยโยนแผนกพัฒนาเกมทิ้งให้เพทายดูแล <จริงสิ ความทรงจำช่วงนั้น พ่อดูอารมณ์ดีมากๆ เคยพูดว่าได้ตบสั่งสอนพวกแมงวี่ได้หลายๆ ที ตอนนั้นเราเองก็เข้าข้างพ่อเห็นดีเห็นงามไปด้วย>
ว่าไปแล้วกราฟฟิคเกมสวยงามมาก ถ้าหากทำเสร็จจนสมบูรณ์และพัฒนาต่อไปเรื่อยจนถึงอนาคต คิดว่าต้องเป็นเกมฮิตติดตลาดทำกำไรมหาศาลแน่นอน แถม เกมตัวนี้ยังชิงตัดหน้าเปิดให้เล่นฟรีก่อนเกมแนวเดียวกันที่น่าจะผลิตอยู่
ชาติที่แล้วก็จำได้ว่าช่วงเวลาหลังจากนี้อีกปีสองปีเกมแนวนี้เกมแรกจะเปิดตัว กราฟฟิคไม่สวยเท่านี้ แถมระบบเกมที่มาจากครอบครัวของเขา ยังทำได้ดีเห็นได้ชัดว่าเหมือนรวบรวมข้อดีจากเกมหลายเกมมาไว้จนหมด
แปลกจังเพทายเขาคาดการณ์ได้ขนาดนี้เลยหรือ หรือว่าที่เขาไม่เห็นความเป็นอัจฉริยะของคุณสามีในชาติที่แล้วนั่นเป็นเพราะพ่อคอยขัดแข้งขัดขาเพทายโดยตลอด
<ทำไงดี ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันก็เกิดความปลื้มใจแทนเพทายซะแล้ว เรานี่น้าเวลารักใครชอบใครเป็นอย่างนี้เสมอเลย> จิระรู้สึกเลยว่าตัวเองอมยิ้มอยู่
“เนี่ยนักวิจารย์ชมกันเป็นเสียงเดียวกันเลยนะ ว่าเป็นเกมที่แปลกใหม่และล้ำยุค พวกสายเกมนี่รอให้เกมพัฒนาเสร็จอย่างใจจดใจจ่อเลย”
“อื้อ”
จากนั้นพวกเขาก็มาถึงงานบวงสรวง จิระกับเอ้ไม่ได้พูดอะไรกับกานดา เมื่อถึงฤกษ์ยามดีพัชรก็นำทีมงานและนักแสดงทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์
พิธีผ่านไปได้อย่างราบรื่น หลังจบการบวงสรวงพวกนักข่าวก็กรูกันเข้ามาสัมภาษณ์จิระ
“ตื่นเต้นไหมคะวันนี้” นักข่าวถาม
“ครับมากเลย นี่เป็นงานบวงสรวงครั้งแรกของผม ทุกอย่างแปลกใหม่มากเลยครับ” จิระโปรยยิ้มให้นักข่าว เขารอให้พวกเหยี่ยวเปิดประเด็นเรื่องข่าวซุบซิบอยู่แล้ว
“จริงสิคะ คุณได้อ่านข่าวนี้หรือยังคะ” นักข่าวสาวยื่นแท็ปเล็ตให้จิระดู ปากก็พูดถึงเนื้อหาในนั้นต่อหน้าเหยี่ยวคนอื่นๆ
“พวกเราพอจะทราบมาบ้างว่าจิระรับการทดสอบของผู้กำกับแล้วในวันนั้น แต่จิระไม่น้อยใจหรือคะที่คุณแม่ไม่เชื่อในฝีมือตัวเอง”
“คุณแม่เขาเป็นห่วงน่ะครับ อาจจะห่วงมากเกินไปหน่อย”
“ไม่ใช่เพราะว่าคุณแม่กังวลเพราะผลโหวตมาจากการปั่นหรือครับ”
จิระหันไปมองนักข่าวหน้าตาดีคนหนึ่ง ดูจากป้ายชื่อเขามาจากสำนักพิมพ์ชื่อดังเลยทีเดียว ขณะที่จะอ้าปากตอบ ไม่คาดคิดว่าพัชรกลับแทรกกายเข้ามาพูดแทนเขาเสียนี่
“พวกคุณไม่น่าถือสาคำพูดของผม พวกคุณเองก็ตั้งฉายาให้ผมไม่ใช่หรือ อะไรนะ ผู้กำกับเทวดาผู้มีปากเป็นอาวุธ”
ตอนนี้เองที่พวกนักข่าวหัวเราะคิกๆ คักๆ อาจเป็นเพราะว่าพัชรพูดไปยิ้มไปผิดกับมาดเข้มทุกทีของเขา
“เอาเป็นว่าไอ้เรื่องปั่นโหวตเป็นข้อสันนิษฐานแย่ๆ ของผู้กำกับเทวดาอย่างผม ขอให้การทำงานในครั้งนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่านักแสดงนำของผมมีฝีมือจริงหรือไม่จริงดีกว่า ผมขอพาตัวเขาไปรวมกลุ่มกับนักแสดงนำคนอื่นก่อน ยังต้องคุยเรื่องงานอีกนิดหน่อย”
จิระตามพัชรไปอย่างงงๆ พอไปถึงที่ลับตาคน ผู้กำกับหนุ่มก็จุดบุหรี่สูบด้วยท่าทางเหมือนไม่แคร์โลกแคร์สื่อใดๆ ทั้งนั้น
“เอ่อ...ไหนว่าจะเรียกมารวมกลุ่มกับเอ้และกานดาเพื่อคุยไงครับ”
พัชรไม่ตอบในทันทีกลับยืนพ่นควันบุหรี่ชั่วครู่ก่อนจะดับบุหรี่แล้วทิ้งถังขยะ
“ที่นี้ก็จะเอาแต่เล่นไม่ได้แล้วนะ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางลบภาพนักแสดงที่โกงผลโหวตไปได้แน่ๆ อย่าลืมบุญคุณของฉันที่ช่วยนายด้วยล่ะ”
พูดจบก็เดินจากไป จิระชักจะหัวเสียนิดๆ ก็ใครล่ะที่พูดพล็อยๆ ออกมาจนเกิดเรื่อง ตัวเองไม่ใช่หรือไงพ่อผู้กำกับเทวดาผู้มีปากเป็นอาวุธ ตั้งใจทำงานน่ะตั้งใจแน่ ก็ผ่านมาครั้งหนึ่งแล้วนี่ ถ้าทำให้ดีไม่ได้เขาก็ไม่สมควรเป็นนักแสดงอีกต่อไป
หลังจากพัชรไปไม่นานเขาก็เดินหน้าบูดกลับไปหาเอ้กับพลอยชมพูที่รออยู่ที่รถแล้ว
“หน้าบูดเชียวเป็นอะไรวะ” เอ้ถาม
“เทวดาทำพิษไงล่ะ” จิระตอบก่อนจะขยับขึ้นไปนั่งบนรถ เอ้แม้งงๆ อยู่บ้างก็ขยับตามขึ้นไปโดยไม่ได้ถามและเลือกจะพูดในสิ่งที่ตนสนใจแทนอย่างอื่น
“ว่าไงคืนนี้ไปปาร์ตี้วันเกิดของฉันไหม”
“เอ๊ะ...วันเกิดนาย...บ้าจริงทำไมไม่บอกฉันล่ะ” จิระบ่นงุ้งงิ้ง เขาเองก็ลืมๆ วันเกิดของเอ้ไปเสียสนิท
“ก็บอกอยู่นี่ไง ไปนะเพื่อน วันเกิดของฉันทั้งที”
“ต้องไปอยู่แล้วล่ะ แต่ฉันไม่ดื่มเหล้านะ”
ใช่ว่าจิระเป็นคนรักสุขภาพหรือหัวโบราณ แต่ให้พูดตรงๆ คือ เข็ดจากเหตุการณ์ในชาติที่แล้ว ชาติก่อนเพราะเมาไม่รู้เรื่องจนทะเลาะกับขี้เมาในผับสุดท้ายโดนกรีดหน้าจนยับ มันไม่คุ้มเอาเสียเลย
“ไม่มีใครบังคับนายหรอกน่า มีพวกผู้ใหญ่ในครอบครัวของฉันมาด้วย พวกเขามาจากต่างจังหวัดมาร่วมฉลองวันเกิดไปพร้อมความสำเร็จของฉัน”
“อื้อ..เข้าใจล่ะ ไปก็ไป” จิระรับปาก เอ้ไม่ลืมหันไปถามพลอยชมพูกับผู้จัดการของตัวเอง
“พวกพี่ก็ไปด้วยกันนะครับ พ่อแม่กับพวกญาติๆ ของผมลงทุนกันน่าดู”
พวกผู้จัดการตอบรับคำขอของเอ้ จากนั้นพลอยชมพูขับรถไปส่งเอ้กับผู้จัดการของเขาที่บริษัท เพื่อนของเขายังมีเรื่องงานที่ต้องคุยกับจินดาซึ่งเป็นเจ้าของโมเดลลิงอีกมากในฐานะนักแสดงในสังกัด
+++++++++
เขียนยากละเกิน 5555
แสดงความคิดเห็นให้กำลังใจกันบ้างนะคะ