## Destiny love ท้าชะตาเปลี่ยนรัก บทที่32 8/7/2018 หน้า8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ## Destiny love ท้าชะตาเปลี่ยนรัก บทที่32 8/7/2018 หน้า8  (อ่าน 30406 ครั้ง)

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


*************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2018 18:51:29 โดย lucifer miumiu »

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
Destiny love ท้าชะตาเปลี่ยนรัก

บทนำ

จิระตัดสินใจแล้วที่จะแก้ตัวใหม่ทั้งหมด เขารู้แล้วว่าหลายปีที่ผ่านมาตัวเองเสียเวลาไปกับการดำเนินชีวิตอย่างไร้ค่า

ถึงอย่างนั้นทั้งที่ตลอดเวลาเขาทำแต่เรื่องแย่ๆ กับสร้างปัญหาให้กับสามีที่รักมาโดยตลอด แต่เขาคนนั้นก็ยังสามารถให้อภัยกันได้ทุกอย่าง

ดังนั้นจึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสามีที่เมื่อก่อนเกลียดนักเกลียดหนา ความใจดีและมีเมตตาของเขาคนนั้นพังกำแพงความอวดดีโอหังของจิระจนหมดสิ้น

จิระขับรถคันหรูของตนวิ่งไปตามทาง ใครเล่าจะคิดว่าขณะที่แตะเบรครถกลับไม่หยุดวิ่งอย่างที่คิด จิระและรถพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงกระแทกกับรถบรรทุกคันใหญ่จบชีวิตด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปีเท่านั้น

เขาตายแล้ว ตายแล้วแน่ๆ ทว่าพอลืมตาตื่นขึ้นมาจิระก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ที่นี่ที่ไหนเขาจำไม่ได้ในทันที แต่ก็คุ้นตาอยู่มากทีเดียว

“เฮ้ จิระยังไม่ตื่นอีกหรือ เดี๋ยวจะไปงานประกาศรางวัลช้านะ”

เสียงนี้จิระจำได้ไม่ลืม เจ้าเอ้เพื่อนสนิทในวงการที่แสนดี หมอนี่แม้จะไม่ชนะรายการเรียลลิตี้เฟ้นหาดารา อย่าง New star แต่หลังจากออกจากรายการนี้ไปก็ค่อยๆ ประสบความสำเร็จเป็นดาราชั้นแนวหน้า

ผิดกันกับเขาที่ถึงแม้จะชนะแต่ก็เจิดจรัสอยู่ไม่นานก่อนจะร่วงลงสู่พื้นเหมือนดาวตก โทษใครไม่ได้นิสัยอวดดีเอาแต่ใจของเขามันย้อนกลับมาเล่นงานทีละนิดจนย่ำแย่และไปจบลงที่ความตายอย่างในอดีตชาติ

แต่ว่าในอดีตชาติใช่ว่าเขาจะไม่กลับตัว ทั้งอย่างนั้นมันก็เป็นการแก้ไขที่เกิดขึ้นช้าไปหน่อย และดูเหมือนว่าสวรรค์คงไม่อยากให้เขาแก้ตัวในชาตินั้น

การกลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้จิระตกใจแต่อย่างใด เขาเป็นดาราที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง แถมพื้นเพก็เติบโตมากับความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นพล็อตเรื่องประมาณนี้ก็ใช่จะไม่เคยประสบกับมัน

ทั้งอย่างนั้นจิระกลับไม่อาจระงับความตื่นเต้น เขาจำได้ว่าปีที่ได้รับรางวัลเขาพึ่งอายุได้ 18 ปีหมาดๆ เวลานั้นใกล้มากกับการที่คุณปู่ตั้งใจจับเขาหมั้นกับสามีในชาติที่แล้ว

ในชาติก่อนเขาเกลียดสามีที่ถูกคุณปู่ยัดเยียดมาให้อย่างที่สุด ก็แน่ล่ะเขามีชายที่ชอบอยู่แล้ว การถูกพรากจากคนรักมันทำให้เขาเดือดดาล สุดท้ายตัดสินใจทำทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นเจ็บเหมือนกับที่เขาคิดว่าตัวเองเจ็บ

ซึ่งนั่นเป็นการทำลายตัวเองอย่างทรงประสิทธิภาพ เวลาล่วงผ่านไปจนอายุ 27 ปี ทุกอย่างดูย่ำแย่ แต่คนจองหองอย่างจิระหรือจะสนใจ เขายังกินดื่มเที่ยว สร้างความเดือดร้อนให้สามีคนดีเหมือนเดิม

สุดท้ายทะเลาะวิวาทกับขี้เมาในผับถูกคนร้ายใช้มีดกรีดหน้าจนยับเขาเสียโฉมแถมยังถังแตก พ่อกับปู่เองก็หมดความอดทนกับเขาแล้วดังนั้นจึงไม่มีใครออกเงินรักษาแผลเป็นบนใบหน้าให้เขา

ทุกคนตีตัวออกห่าง มีเพียงสามีคนดีเท่านั้นที่เข้ามาคอยดูแล เมื่อก่อนใจดีแบบไหน ถึงตอนนี้ก็ยังคงดีกับเขาเหมือนเดิม ตั้งแต่ตอนนั้นก็ตัดสินใจว่าจะทุ่มเททุกอย่างให้กับเขาคนนั้น จิระเห็นความดีของสามีได้ในที่สุด

คราวนี้เขาจะไม่ให้พลาด ในเมื่อได้โอกาสแก้ไขทุกอย่างมาแล้วแบบนี้ เขาตัดสินใจเดินหน้าร่วมไปกับสามีอีกครั้ง มันต้องดีกว่าเดิม เขาไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไป พร้อมกับการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในชาตินี้

“รอเดี๋ยวนะขออาบน้ำแต่งตัวก่อน” จิระบอกเอ้ที่รอหน้าห้อง

“โอเค งั้นไปรอที่ห้องนั่งเล่นรวมนะ”

จิระเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ รายการเรียลลิตี้เฟ้นหาดาราอย่าง New star มีกล้องคอยจับดูผู้แข่งขันตลอดเวลา ทุกการเข้าคลาสเรียนดนตรีหรือการแสดงต่างๆ ถูกบันทึกไว้หมด และผู้ที่ชนะคลาสได้มากที่สุดคนนั้นจะได้เป็นผู้ชนะ

ผู้ชนะจะได้เงินรางวัล 1 ล้านบาท และได้แสดงเป็นพระเอกในหนังของผู้กำกับชื่อดัง การเปิดตัวเป็นดาราในลักษณะนี้ย่อมเป็นการกรุยทางให้อนาคต

ซึ่งมันจะส่งผลดีต่อบริษัทโมเดลลิงเอเจนซีที่แม่ของเขาเป็นเจ้าของอยู่ แม่เล็งเห็นศักยภาพในตัวลูกชายคนเดียว ส่วนเขาก็ชื่นชอบทางด้านนี้มานานแล้ว เพียงแต่พ่อไม่เปิดโอกาสให้เขาทำตามความฝัน

ตัวเขาในชาตินี้ไม่เพียงแต่อยากสมรักกับสามีของตนยังต้องการเดินไปในเส้นทางของดวงดาวไม่ให้ผิดพลาดเหมือนกับชาติที่แล้ว

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
บทที่1

เสียงปรบมือชื่นชมดังก้องไปทั่วลานจัดงาน บนเวทีมีคนสามคนยืนรับรางวัลเช่นเดียวกับเขาที่ชนะเลิศ ทางขวาคือเอ้ผู้ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศและทางซ้ายคือกานดาผู้ได้รับรางวัลอันดับสาม

ทั้งสองคนสลับกันเข้ามากอดจิระ สำหรับเจ้าเอ้เขาประจักษ์ในความดีของฝ่ายนั้นตั้งแต่เมื่อชาติที่แล้ว กานดาเองก็เหมือนกันแม้จะยิ้มแย้มหน้าใสแต่ใจคดอย่างที่สุด

ไอ้หมอนี่แย่งคนรักที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นไปจากเขา แถมยังแทงข้างหลังขโมยงานที่ควรเป็นของเขาอีกนับครั้งไม่ถ้วน

“ยินดีด้วยนะ” กานดาโอบกอดเขาแล้วกระซิบข้างหู จิระกระตุกยิ้ม <รู้ทันหรอกน่าไอ้จิ้งจอก> ตามปกติหากเป็นเมื่อชาติก่อนเขาคงไม่มีวันกอดตอบ แถมไอ้เรื่องกระซิบกลับขอบใจยังเรียกว่าฝันกลางวันได้เลย แต่ในชาตินี้เขาทำแบบนั้นจริงๆ

“ขอบใจนะกานดา” เนื่องจากว่ากานดานั้นตัวเล็กอีกฝ่ายสูงเพียงแค่ 168 ซ.มเท่านั้น ต่างกับจิระที่สูงถึง 177 ซ.ม ดังนั้นยามที่หมอนั่นเงยขึ้นมามองด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ แม้เพียงแวบหนึ่งแต่เขาเห็นได้ถนัดตาทีเดียว

จิระไม่ได้สนใจกับอาการพรึงเพริดเล็กๆ นั้นแต่อย่างใด เขาพุ่งความสนใจไปกับการให้สัมภาษณ์ออกสื่อกับนักข่าวมากกว่า ชีวิตครั้งใหม่ของเขามันเริ่มขึ้นแล้ว คราวนี้จะต้องดีกว่าเดิม

“ก่อนหน้านั่น ในเทปก่อนๆ ก็เห็นว่าจิระไม่ค่อยถูกกับกานดาเลย พอเห็นกอดกันอย่างสนิทสนมเมื่อครู่ก็รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาดีๆ จริงๆ เลยนะคะ”

เป็นการเปิดคำถามที่เหมือนจะดี แต่เจตนาคือต้องการล้วงลึกเรื่องความบาดหมางระหว่างเขากับกานดา แต่จิระตอบทันทีโดยไม่ปล่อยโอกาสให้คู่กรณีตอบก่อน

“ก็เป็นธรรมดาแหละครับ เราสองคนอายุเท่ากัน ย่อมมีความรู้สึกอยากแข่งขันกันมากเป็นปกติอยู่แล้ว” จิระตอบ

“แต่ในเทปก่อนๆ เห็นได้ชัดว่า จิระแข่งกับกานดาอยู่ฝ่ายเดียวนะคะ”

นักข่าวยังไม่ลดละ ตอนนี้ไมโครโฟนจากทุกสำนักข่าวถูกส่งมาออตรงหน้าจิระ

“ก็ กานดาเขาเก่ง แถมเขาเองก็โดดเด่นมากตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายด้วยกันแล้ว”

“ตายล่ะลืมไปเลย พวกคุณมาจากโรงเรียนเดียวกันสินะคะ ได้ข่าวมาว่าสอบติดในมหาลัยที่เดียวกันด้วยนี่คะ”

“ใช่ครับ คงได้แข่งกันไปอีกนานแหละ” จิระโปรยยิ้มให้นักข่าว จากนั้นพวกเหยี่ยวก็หันไปสัมภาษณ์ความเห็นจากกานดาต่อโดยลืมเจ้าเอ้รองชนะเลิศที่ยืนข้างๆ เขาไปเสียสนิท

“กานดาว่าไงคะ จิระเห็นคุณเป็นคู่แข่งคนสำคัญเลยนะ”

จิระหันไปมองดูกานดา เขายิ้มอย่างเป็นกันเองและกำลังรอดูว่าจิ้งจอกตัวนี้จะสวมหน้ากากแบบไหนกันแน่

“ชักกลัวๆ แล้วสิครับ” กานดาเกาหัวแล้วหัวเราะแฮะๆ ลักษณะหงอเป็นปกติแต่พอถึงเวลาในคลาสเรียนและการแสดงกลับห่ำหั่นกับเขาอย่างถึงเลือดถึงเนื้อมาโดยตลอดมันทำให้เขาชังน้ำหน้ากานดามาตั้งแต่ชาติที่แล้ว

กานดาแข่งกับเขาทุกเรื่องมาตั้งแต่สมัยเรียนจวบจนเข้าวัยทำงาน และคงไว้ซึ่งลักษณะหัวอ่อนไร้เดียงสาโดยหน้ากากไม่หลุดมาโดยตลอด มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหมอนี่

“แต่จะสู้จนสุดฝีมือครับ ในการทำงานทุกคนต้องแข่งขันกับตัวเองและเพื่อนร่วมอาชีพ ผมหวังว่าจะทำให้สุดฝีมือเพื่อไม่ให้เป็นการดูถูกตัวเองและคนอื่น”

ตอบได้ดี จิระคิดในใจพร้อมกับร่วมปรบมือไปกับนักข่าวหลายท่าน ดูเหมือนว่ากานดาจะประสบความสำเร็จในการสร้างภาพดาราผู้ใสซื่อในขั้นแรกได้แล้ว

หากเป็นเมื่อก่อนจิระคงกระตุกยิ้มแล้วหัวเราะหยามหยันแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไปทำไม เขาไม่อยากสร้างภาพลักษณ์แย่ๆ แบบนั้นให้ตัวเองอีกต่อไป

หลังจากสัมภาษณ์เขา เจ้าเอ้และกานดาจนพอแล้ว นักข่าวต่างแยกย้ายกันไปสัมภาษณ์คนอื่นต่อ ตอนนี้เองที่ภาคินแฟนของเขาในช่วงอายุ 18 ปรากฏตัวพร้อมกับช่อดอกไม้ใหญ่โต

“จิระ”

ภาคินเรียกชื่อเขา แวบหนึ่งเห็นอีกฝ่ายสบตากับกานดาด้วยแววตาลึกซึ้ง จิระรู้นานแล้วว่าทั้งสองคนเริ่มมีความสัมพันธ์ต่อกันบนช่วงอายุเท่านี้ ก่อนที่จะไปโป๊ะแตกระหว่างเรียนในวิทยาลัยด้วยกัน

ก็...ไม่แปลกใจ เขาในอดีตชาติเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ แถมยังตามราวีกลั่นแกล้งกานดาที่ทำตัวเป็นผู้ถูกกระทำอยู่เสมอ ในสายตาของภาคินคงเห็นว่าหมอนั้นเป็นนางฟ้าเสียเต็มประดา

แต่ก็นะเท่าที่จำได้กานดาเอาตัวเองไปประเคนให้กับนายทุนและผู้จัดมากหน้าหลายตาเพื่อที่จะแย่งบทไปจากเขานับครั้งไม่ถ้วน ภาคินที่น่าสงสารถูกสวมเขามาโดยตลอด

ถามว่าสงสารไหม? ไม่เลย ยิ่งในชาตินี้ด้วยแล้วไม่ใช่เรื่องของเขาอีกต่อไป คนที่เขาควรสนใจมีแค่คุณสามีเท่านั้น

“ดอกไม้สวยจัง” จิระรับดอกช่อดอกกุหลาบขาวมาจากภาคิน เขาสูดดมกลิ่นหอมจนฉ่ำปอด เขาชอบดอกไม้และน้ำหอมมากเป็นพิเศษ ก็กลิ่นของมันจรุงใจและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ต้องเป็นกลิ่นที่ชอบด้วยนะ

“รู้ใจจัง” จิระยิ้มหวาน

“แหมๆ หวานกันเหลือเกินนะ” เจ้าเอ้เบ้ปาก คงทนความหวานระดับนี้ไม่ได้

“น่าอิจฉาจังเนอะ หรือว่าไงกานดา” เอ้ถาม

จิระหันไปมองเขาอมยิ้มน้อยๆ จากหางตาเขาสังเกตุดูสีหน้าของอีกฝ่ายได้ระยะหนึ่งแล้ว แม้เพียงนิดเดียวก็ทันเห็นสีหน้าไม่เป็นมิตรของกานดา

ไม่รู้นะว่าชอบภาคินจริงๆ หรือแค่ว่าอยากแย่งไปเพื่อทำร้ายจิตใจของเขา แต่อยากแย่งไปในชาตินี้ก็เอาเลย ชาติที่แล้วเขารับมือกับภาคินมามากเกินพอ

“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันดีไหม” ภาคินถาม จิระพยักหน้าตอบตกลง เขามีเรื่องจะพูดกับแฟนคนนี้อยู่พอดีเลย

หลังจากขึ้นรถจิระปล่อยให้ภาคินชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย เขารอเวลาให้ภาคินขับรถมาจนถึงคฤหาสน์ของตระกูลมกรธวัช ทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถก็เริ่มเปิดฉากพูดความในใจทันที

“เราเลิกกันเถอะ” จิระพูดด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ทว่าภาคินยิ้มค้างเขายังตามคำพูดของคนเป็นแฟนไม่ทัน

“ว่าอะไรนะ”

“ฉันบอกว่าเราเลิกกันเถอะ” ภาคินครางเสียงเหมือนแมว คงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่จิระคิดว่านี่น่าจะเป็นข่าวดีของอีกฝ่ายไม่ใช่หรือ

“ขอบคุณมากนะที่เหนื่อยดูแลฉันมาตลอด นายเป็นอิสระจากคนเอาแต่ใจอย่างฉันแล้วนะ”

“อา...ถ้าอย่างนั้น...ฉันกลับก่อนนะ” ภาคินยังคงรักษาสีหน้างุนงงได้เสมอต้นเสมอปลาย เขากลับขึ้นรถและครุ่นคิดไปตลอดการเดินทางกลับคฤหาสน์ประจำตระกูลของตน

มันเกิดอะไรขึ้นกับจิระกันแน่ จิระที่ยึดติดกับตัวเขาถึงขนาดเข้าใกล้กับความบ้าคลั่ง จิระที่เอาแต่ใจและไม่เคยเข้าใจอะไรง่ายๆ คนนั้น

วันนี้อีกฝ่ายแปลกไป แม้แต่ตอนให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกานดา หรือว่าเวลาที่อยู่กับเขา ถึงจะน้อยนิดแต่ภาคินสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

จังหวะที่คิดด้วยความสงสัยเสียงเรียกเข้ามือถือก็ดังขึ้น ภาคินเสียบหูฟังสำหรับเชื่อมต่อบลูทูธแล้วกดรับสาย คนที่โทรมาคือกานดาผู้ชายที่เขาแอบลักลอบคบกันลับหลังจิระ

“ผมคิดถึงคุณ” เสียงเศร้าสร้อยดังมาจากปลายสาย ภาคินแทบจะเดาสีหน้าของฝ่ายนั้นได้ แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับคิดถึงใบหน้าของจิระยามบอกเลิกเขา คนรักอมยิ้มน้อยๆ และมีสีหน้าสงบอ่อนหวาน

เขาชอบที่จะเห็นสีหน้าแบบนั้นของจิระ สีหน้าแบบนั้นคือสิ่งที่เขาชอบมันเป็นสีหน้าที่จิระไม่แสดงออกมาบ่อยครั้ง และเขาเข้าใจว่าสาเหตุของสีหน้านั้นมันน่าจะหมายถึงการปลงตกจากความผิดหวังบางอย่าง

ผิดหวังในตัวเขาอย่างนั้นหรือก็เลยคิดจะปล่อยมือจากเขา จิระไม่ได้แสดงสีหน้าผ่อนคลายแบบนั้นนานเท่าไหร่แล้วนะ

ภาคินรู้สึกว่าจิระกลับไปเป็นคนอ่อนแออีกครั้งหลังจากไม่ได้พบกับความจริงอันนี้มานาน จิระในแบบที่เขารักมันทำให้เขาไม่สามารถทิ้งอีกฝ่ายไปได้แม้ว่าจะถูกบอกเลิก แต่เขาก็ไม่กล้าทิ้งกานดาผู้อ่อนแอไปอย่างไม่ใยดีเช่นกัน


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ภาคินคงไม่ใช่พระเอกใช่ไหม :katai1:

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
บทที่2

จิระกลับมายังคฤหาสน์ตระกูลมกรธวัชหลังจากที่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้านน้องชายต่างมารดาก็มารอรับหน้าอยู่แล้ว

“เฮอะ อย่าหวังว่าจะไปได้ด้วยดี กล้าขัดใจคุณพ่อไปออกรายการเรียลลิตี้บ้าๆ นั่น เชื่อเถอะว่านายต้องเจอดีที่หลังแน่”

จิระยิ้มและเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ ดารัณกับแม่ของเขาเป็นแบบนี้เสมอมักจะคอยชิงดีชิงเด่นกับเขาและแม่มาโดยตลอด ความยากลำบากในชีวิตเขากับแม่ที่มีจนถึงตอนนี้ล้วนเกิดจากความมักมากของพ่อ โชคดีที่ถึงแม้มีบ้านเล็กอีกไม่น้อยแต่ก็ไม่กล้าเอาเข้าบ้านเพิ่มนอกจากดารินแม่ของดารัณ

“ปีกกล้าขาแข็งนักนะ ถึงท่านปู่จะอนุญาตให้นายกับแม่ของนายทำตามใจชอบ แต่ก็คงไม่พอใจเท่าไหร่แน่ๆ คนจากตระกูลมกรธวัชจะไปทำงานขายเนื้อหนังน่าขายหน้าอย่างนั้นได้ยังไง”

คนขี้อิจฉา จิระรู้ดีว่าดารัณเองก็ฝันอยากเป็นดาราเช่นกัน น้องชายคนนี้เคยไปที่โมเดลลิงแต่ก็ถูกดารินที่เป็นแม่ไปอาละวาดจนไม่กล้าทำอีก

“ถ้านายไม่กล้ามันก็ช่วยไม่ได้นะ” จิระพูดลอยลมทั้งโบกมือให้โดยไม่หันไปมอง ได้ยินเสียงกระทืบเท้าดังมาจากด้านหลัง

ในคฤหาสน์เข้าใจว่ามีเพียงเขากับดารัณอยู่เท่านั้น แม่ของเขาส่งข้อความมาว่าติดงาน ส่วนดารินก็ได้ยินจากคนรับใช้ว่าไม่อยู่บ้าน พ่อกับปู่เองก็คงอยู่ที่บริษัท

จิระถึงจะกลับมาเหนื่อยๆ แต่ก็นึกอยากออกกำลังกายเบาๆ เพื่อผ่อนคลาย ดังนั้นจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปยังสระว่ายน้ำและใช้เวลาว่ายกลับไปกลับมาประมาณ 30 นาที ก่อนจะตัดสินใจขึ้นฝั่งเพื่อพักเหนื่อยชั่วครู่

ทว่าเมื่อขึ้นจากน้ำก็พบว่าเพทายยืนอยู่บริเวณนั้นพอดี <เขากลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ> จิระยิ้มจนตาหยี การได้เห็นสามีในชาติที่แล้วซึ่งมีรูปลักษณ์หล่อเหลาดูดียืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง มันทำให้เขาใจเต้น

เพทายเป็นลูกครึ่งที่มีเรือนผมและดวงตาสีอ่อน รูปร่างสูงใหญ่กำยำยังคงน่ามองเหมือนเดิม ใบหน้าที่ดูดีด้วยคิ้วรูปดาบ ดวงตาหงส์ และริมฝีปากบางทรงปีกนกกอปรกันแล้วไม่ใครปฏิเสธแน่ๆ ว่าเขาคนนี้คือชายรูปงามที่หาได้ยาก



ชาติก่อนเขาไม่เคยใจเต้นกับเพทายในช่วงวัยเท่านี้เลย นั่นเป็นเพราะว่าไม่ชอบใจการดูแลเอาใจใส่และการตามติดอย่างเข้มงวดในฐานะพี่เลี้ยงของสามี

จำได้ว่าตอนที่ได้พบกับเพทายครั้งแรกเขาอายุได้ 6 ขวบและอีกฝ่ายอายุได้ 15 ปี ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคุณปู่ ดูเหมือนว่าเขาคนนี้จะยืนโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

จิระในวัย 6 ขวบเข้าใจว่าเพทายเป็นแขกคนหนึ่งของคุณปู่ก็เลยเข้าไปคุยด้วย แต่มันก็นานมากพอดู เขาจำได้เพียงว่าได้ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เพทายในตอนนั้นซับน้ำตา

จากนั้นก็พบว่าเพทายมาที่บ้านบ่อยขึ้นๆ จนเขาอายุ 8 ขวบ ถึงได้รู้ว่าเพทายเป็นเด็กที่คุณปู่ออกเงินเลี้ยงดูและส่งเสียให้เรียน

พ่อดูเหมือนจะเกลียดชังเพทาย ความเกลียดอันนั้นส่งผลถึงตัวเขาด้วย เขาในสมัยนั้นยังต้องการความรักจากบิดาเหมือนเด็กทั่วๆ ไป

แม้ว่าจะจำได้รางๆ อยู่เหมือนกันว่านับตั้งแต่ 6 ขวบจนถึง8 ขวบ ตลอดสองปีที่เพทายแวะเวียนมาที่บ้าน เขาจะเป็นคนเข้าไปตีสนิทอีกฝ่ายด้วยตัวเอง แต่เด็กๆ มักถูกชักจูงโดยผู้ใหญ่ได้ง่ายๆ

จิระยังพอจำความรู้สึกกดดันที่พ่อมอบให้เขาได้ดี ‘แกมันโง่จิระ ไปทำดีกับมันมากๆ ไม่รู้หรือไงว่าอีกหน่อยมันจะมาแย่งทุกอย่างไปจากแก’ พ่อพูดอย่างนั้น

ด้วยวัยแค่นั้นเขาไม่เข้าใจซักนิดแต่อยากได้ความรักจากพ่อดังนั้นครั้งสุดท้ายก่อนที่เพทายจะไปเรียนในระดับมหาวิทยาลัยที่เมืองนอก เขาได้พูดจาเลวร้ายกับฝ่ายนั้น

มันคงเลวร้ายมาก ดังนั้นสมองของจิระจึงสั่งให้ลืมมันไปเสีย ช่วงเวลาหลังจากนั้นราวๆ สี่ห้าเดือนได้ที่เขารู้สึกผิดต่อเพทาย แต่ไม่นานนักเมื่ออายุได้ 9 ขวบ เขาก็เจอกับภาคิน

ช่วงวัยนั้นพ่อได้พาดารินกับดารัณบ้านเล็กเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ แม่ของเขาต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจ จำได้ว่าเขาไปร้องไห้กับคุณปู่

คุณปู่ปลอบเขาอย่างอ่อนโยน หลังจากออกมาจากห้องของคุณปู่ พ่อของเขายิ้มเยาะบอกกับเขาว่า ‘การที่ฉันเอาดาริณกับดารันเขาบ้านมาได้ก็แลกกับการให้ฉันไม่โวยวายเรื่องรับบุตรบุญธรรม ก็คนดีที่แกหลงใหลจนหัวปักหัวปำนั่นไง’



จิระไม่เข้าใจที่พ่อพูด แต่ได้ยินจากคนอื่นๆ ว่าคุณปู่รับเพทายเป็นลูกบุญธรรมแล้ว ด้วยการตีความแบบเด็กไม่จำเป็นต้องมีหลักเหตุผลใดๆ เขาเกลียดชังเพทาย และเริ่มใช้ภาคินเป็นที่พึ่งพิงทางใจทดแทนการขาดความรักจากพ่อ

หลังจากนั้นเมื่อเขาอายุได้ 12 ปี เพทายก็กลับมา เขาเรียนจบในระดับชั้นปริญญาตรี คุณปู่เชื้อเชิญให้เขามาอยู่ในคฤหาสน์ ได้รับตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของคุณปู่ และเข้าเรียนระดับปริญญาโทของมหาลัยชั้นนำในประเทศ

และหน้าที่อีกอย่างที่คุณปู่มอบให้ คือการคอยสอนหนังสือและรับส่งเขาไปโรงเรียนอย่างเข้มงวด เพทายรับหน้าที่นี้ยาวนานจวบจนถึงเขาอายุได้สิบแปด

จะว่าไปอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาเกลียดเพทายนอกจากเรื่องที่ถูกผู้ใหญ่กดดัน อาจมาจากดวงตาวาววับเหมือนสัตว์ร้ายในที่มืดที่มักใช้มองเขาเป็นประจำ

ทั้งแววตาและการกระทำรวมถึงการเอาคุณปู่มาเป็นข้ออ้างทำให้สามารถกดดันเขาให้ทำตามได้อย่างเด็ดขาด แต่จิระในสมัยนั้นก็ยังหาทางออกนอกลู่และต่อต้านอยู่ดี

“เอ่อ...ช่วยเอาผ้าขนหนูให้ฉันหน่อยสิ” ใจเต้นระรัวจนประหม่าน่าดู ถึงแม้ว่าจะพยายามปั้นยิ้มให้น่าหลงใหล แต่ตอนที่รับผ้าขนหนูมาจากมือเพทายก็สั่นเอามากๆ แถมร้ายไปกว่านั้นพอปีนบันไดขึ้นจากสระขาดันพันกันจนเซล้มไปข้างหน้า

“อ๊ะ..” จิระร้องเบาๆ โชคดีที่เพทายเข้ามาประคองร่างเขาไว้ได้ทัน ใบหน้าหวานจมหายเข้าไปในอ้อมอกแกร่ง

“ขอบคุณ” จิระกล่าวขณะเดียวกันก็ใช้มือจับปอยผมเปียกๆ ขึ้นทัดหูแก้ประหม่า เขายังคงเกาะเกี่ยวเพทายเอาไว้ หลังจากปรับอารมณ์ได้ก็ช้อนสายตาประกายระยับขึ้นมองอีกฝ่าย

“....” ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูด แต่สังเกตุเห็นแววตาสับสนชัดเจนของเพทาย คงจะแปลกจริงๆ ด้วยสินะ จู่ๆ มาทำตัวยั่วยวนแบบนี้ <เขาคงคิดว่าเราวางแผนอะไรบางอย่างแน่ๆ >

“คุณจิระ ไปแต่งตัวเถอะครับนี่ก็เย็นมากแล้วอากาศกำลังลดอุณภูมิลง มันไม่ดีกับร่างกายของคุณ”



แม้รู้ว่าควรถอยไปตั้งหลักจะดีกว่า แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวกลับทำให้จิระเดินหน้าต่อ ถึงอนาคตข้างหน้ายังไงเขาก็ต้องได้แต่งงานกับเพทายอยู่ดี แต่ไม่มีอะไรแน่นอน ขนาดกลับชาติมาเกิดใหม่ยังเป็นไปได้ อนาคตก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน

ยังไงก็อยากเริ่มต้นเดินหน้าสานสัมพันธ์

“เอ่อ..พี่...” เขาต้องการจะเรียกเพทายว่าพี่ แต่ก็เปลี่ยนสรรพนามกลางคัน ไม่อยากให้แปลกประหลาดจนผิดสังเกต “เพทายเราไม่ได้ทานอาหารเย็นด้วยกันนานแล้วนะครับ”

คราวนี้เห็นหัวคิ้วของเพทายย่นเข้าหากันนิดๆ ปกติคนคนนี้จะเยือกเย็นใจดีและควบคุมตัวเองได้อยู่เสมอ แม้แต่ในเวลาที่บังคับกดดันให้เขาทำตามใบหน้าก็มักอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ

แต่อาการย่นคิ้วกินเวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เวลาต่อมาเพทายก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มสวยด้วยความอ่อนหวาน

“คงจะไม่ได้หรอกครับคุณจิระ ผมแค่มาเอาเอกสารการประชุมกลับไปให้ท่านวศิน” กล่าวจบเพทายก็ค่อยผละออกจากการเกาะหนึบของจิระ

“ช่วงนี้งานผมค่อนข้างยุ่ง แต่ถ้าคุณต้องการผมจะทานข้าวเป็นเพื่อนคุณ”

เพทายเดินห่างออกไป จิระได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างและตั้งตรงนั้นไป

นี่ก็เท่ากับว่าเขานัดทานข้าวกับเพทายแล้ว จิระกำหมัดร้องพึมพำว่า ‘มันต้องอย่างนี้สิ’ ด้วยความฮึกเหิม

ถึงแม้ว่ามันดูแปลกๆ ที่ถ้าเป็นช่วงวัยเท่านี้ของเขาในอดีตชาติ เคยตะโกนจนคอโก่งใส่เพทายว่าไม่ต้องการเห็นหน้าอีกฝ่ายเวลาทานข้าวเพราะรู้สึกอยากจะอ้วก

คิดอยู่เหมือนกันว่าเคยทำไปขนาดนั้นเพทายจะโกรธหรือเปล่า แต่ความจริงในอดีตชาติคุณสามีเป็นคนเดียวที่ยืนเคียงข้างเขาในยามที่ไม่มีใคร มันทำให้จิระผ่อนคลายมากขึ้น

แม้ว่าอาจเป็นแค่ความสงสารแต่จิระในชาตินี้จะตั้งใจพัฒนาความสัมพันธ์กับเพทายให้แน่นแฟ้นด้วยความรักให้จงได้ ความดีของเพทายในชาติก่อนมันทำให้เขารักฝ่ายนั้นจนหมดหัวใจ ชาติที่แล้วไม่ได้ตอบแทนดูแลเขาให้ดี ดังนั้นชาตินี้จะไม่ให้ผิดพลาดอย่างเด็ดขาด



                     ++++++++++



                วันนี้ลงให้หมดเท่าที่เขียนไว้เลยค่า พรุ่งนี้ถ้าว่างแต่งจบครบตอนจะเอามาลงให้อีกนะคะ


                 ไม่งั้นถ้าไม่ครบตอนอาจจะงดหนึ่งวันน้า

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
สามีเก่าพระเอกใช่ไหม? :hao4:

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
บทที่3

เสียงเคาะประตูดังที่หน้าห้องแต่เช้าก็ไม่ใช่ใครแม่ของเขานั่นเอง เสียงหวานๆ เรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมา ตามปกติจิระเป็นคนตื่นตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้นเรียกแค่ไม่กี่ครั้งเขาก็งัวเงียตื่นขึ้นมาแล้วเดินไปปลดกลอนประตู

“นาฬิกายังไม่ดังเลยครับแม่” จินดาไม่รอให้จิระพูดจบเธอเดินแทรกเข้าไปในห้องจัดการหยิบเสื้อผ้าที่คิดว่าดูดีเหมาะกับลูกชายของเธอที่สุดวางลงบนเตียง

“วันนี้ต้องไปถ่ายฟิตติ้งนะลูก แล้วก็นี่บทของลูกนะ” แม่วางบทภาพยนต์ลงบนเตียงข้างๆ เสื้อผ้า จิระตาเป็นประกายบทภาพยนต์เรื่องแรกที่ใช้เปิดตัวเขาในอาชีพนักแสดง

วัยหนุ่มวัยฝันวันของเรา เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มสามคนที่มีฐานะและนิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่าเส้นทางของพวกเขาต้องบรรจบกันด้วยมิตรภาพความขัดแย้งซึ่งนำมาสู่จุดจบอันน่าเศร้า

ภาพยนต์เรื่องนี้ผู้กำกับ พัชร อำพัน ที่ถือเป็นดาวรุ่งในสมัยนั้นและยังโด่งดังต่อๆ มาอย่างยาวนานเป็นผู้รังสรร นักแสดงนำสามคนได้แก่ เขา เอ้ และกานดา

สมัยนั้นเพราะความอ่อนหัดทางการแสดงทำให้เขาเข้าไม่ถึงบทบาทที่ได้รับ ก็ไม่แก้ตัวหรอกนะถึงแม้ว่าจะจำบทได้แม่นยำแต่ไม่สามารถตีบทให้แตกได้

นั่นเป็นเพราะบทต้นข้าวหนึ่งในตัวเอกที่เขารับมาช่างแตกต่างจากชีวิตจริงอย่างมาก ต้นข้าวเป็นเด็กยากจนมีแม่ที่นิสัยไม่ดีเลี้ยงดูมา ดังนั้นพื้นเพนิสัยจึงแย่ และทะเยอทะยานเห็นคนอื่นเป็นเพียงสะพานให้เหยียบเท่านั้น

จิระไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นเขาไม่เคยอิจฉาคนอื่น อาจเป็นเพราะเขาได้รับสิ่งต่างๆ โดยไม่ขาดมือ แต่ก็ได้รับคำชมอยู่บ้างที่ตีความอย่างดีเยี่ยมในการแสดงเป็นเด็กที่โหยหาความรักจากพ่อ ตรงจุดนั้นจิระทำได้ดี

ในขณะที่กานดารับบทเป็นลูกเศรษฐีซึ่งในตอนนั้นจิระค่อนข้างเจ็บใจและเข้าใจว่าบทนั้นมันน่าจะเป็นของเขา อะไรๆ มันคงง่ายขึ้น แต่ผู้กำกับ พัชร อำพันกลับบอกว่าเขาอยากเห็นความขัดแย้งและพัฒนาการของเขากับกานดา ดูสิว่าหากสลับบทบาทความเป็นจริงกันมันจะออกมาแบบไหน





ผลที่ได้เขาแสดงออกมาได้แบบกลางๆ แต่กานดานั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง บทน้ำฟ้านั่นเป็นลูกเศรษฐีที่แสนดี ใจดีกับเพื่อนอย่างต้นข้าวมาก แต่หารู้ไม่ว่าต้นข้าวแสนจะเกลียดชังน้ำฟ้า เพราะว่าต้นข้าวเป็นลูกเมียเก็บพ่อเดียวกันที่น้ำฟ้าไม่เคยรู้มาก่อน

ดังนั้นต้นข้าวผู้ทะเยอะทะยานทำทุกอย่างเพื่อที่จะแย่งสิ่งที่น้ำฟ้ามีไป เพื่อให้ชนะยอมทุกวิถีทางแม้ต้องขายร่างกาย จุดจบของต้นข้าวนั้นแย่เสียยิ่งกว่าแย่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง เสียโฉม ถังแตกและไม่มีที่ยืนในสังคม

ส่วนบทของเอ้เขามาจากชนชั้นกลางซึ่งตรงกับเจ้าตัวมาก ทั้งความเป็นคนใจดีมีคุณธรรม ทั้งความรักเพื่อน ก้อนดินเป็นคนเดียวที่มองเห็นธาตุแท้ของต้นข้าวและคอยเตือนน้ำฟ้ามาโดยตลอด แต่น้ำฟ้าก็ไม่ฟังเพราะความเป็นคนจิตใจดี

ในชาติก่อนจิระไม่เข้าใจความรู้สึกของต้นข้าวเลยซักนิด แต่หลังจากผ่านช่วงเวลาล้มลุกคลุนคลานหลายปี เขาก็เริ่มเข้าใจว่าเป็นยังไง ฝีมือการแสดงในวัย 27 ของเขานั้นพัฒนาขึ้นอย่างหาได้ยาก แต่ก็มักถูกสกัดขาด้วยข่าวลือไม่ดีและโดนกานดาแย่งงานตลอด

ยิ่งบั้นปลายชีวิตของเขาต้องถูกทำร้ายจนเสียโฉม แม่เองก็มาจากไปในปีเดียวกัน คุณปู่และพ่อเองก็ตัดขาดจากเขาจนกลายเป็นคนถังแตก ประสบการณ์ชีวิตเลวร้ายแบบนั้น จิระจำได้ดียิ่งกว่าดี นี่ยังไม่รวมเรื่องแย่ๆ อีกหลายอย่างที่ทั้งทำตัวเองทั้งถูกซ้ำเติมจากใครอีกหลายคน

“เอ้า...รีบไปอาบน้ำสิจ๊ะ จะได้มีเวลาอ่านบทคร่าวๆ ก่อนทานข้าวเช้าแล้วไปงานฟิตติ้งกันต่อเลย”

“เข้าใจแล้วครับผม” จิระยังไม่ไปในทันทีเขาสวมกอดแม่หอมแก้มฟอดใหญ่ เขาคิดถึงแม่เหลือเกิน ในชาติที่แล้วแม่ที่แข็งแรงค่อยๆ อ่อนแอลงเพราะทำงานหนักตรากตรำแถมยังตรอมใจกับความเหลวแหลกของเขา จึงทำให้จากไปเร็วเกินกว่าที่ใครจะคิด การตายของแม่ทำให้เขาขาดที่พึ่งสุดท้ายในทันที

“รักแม่นะครับ” เขากระซิบข้างหูแม่ที่หัวเราะคิกๆ ก่อนจะผละออกแล้วตรงไปยังห้องน้ำ ระหว่างที่ชำระร่างกายอดคิดถึงใบหน้างดงามของเพทายไม่ได้

ในช่วงเวลาอันเลวร้ายและไม่มีใครเหลียวแลในชาติก่อน มีเพียงแค่คุณสามีเท่านั้นที่ออกทั้งค่ารักษาใบหน้าซึ่งเสียโฉมไปแล้ว อีกทั้งยังไม่ถอนหมั้นลงมือจดทะเบียนแต่งงานกับเขาโดยไม่สนใจคำทัดทานของใคร น่าเสียดายที่เขาต้องมาจบชีวิตลงก่อนจะได้ดูแลหรือตอบแทนความดีของเขา

แต่ตอนนี้โอกาสมันเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ความคิดล้างแค้นไม่มีในหัวก็จริง แต่ก็คิดไว้ว่าใครดีมาก็ดีกลับใครร้ายมาก็ต้องถูกสั่งสอนบ้าง นอกจากนั้นเขายังต้องพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆ ขึ้น และไม่ลืมทำดีกับคนที่รักเขาให้มากที่สุด

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยเขากับแม่ก็เดินคุยกันงุ้งงิ้งไปยังห้องรับประทานอาหาร ที่นั่นเขาพบกับเพทายที่มาถึงก่อนใคร

“เพทายเธอตื่นแต่เช้าเหลือเกินนะ” จินดากล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่จิระตื่นเต้นเอามากๆ เขาใจเต้นถี่ระรัว

เพทายช่างงดงามจนตาแทบพร่า ชายหนุ่มในชุดสูทสีบลู เนคไทสีเดียวกันและเชิ้ตสีดำด้านใน ดูดีราวกับนายแบบนิตยสารชั้นนำ

ความงดงามเพริดแพร้วของเพทายนั้น จิระเองก็รู้ดีตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ จำได้อยู่ลางๆ ว่า เขามักจะใจเต้นเวลาเผชิญหน้ากับคนคนนี้เสมอ

แต่ก็เพราะความเกลียดชังที่ถูกพ่อชี้นำ มันทำให้เขาค่อยๆ ลดความสนใจในตัวเพทายลงไป กลายเป็นเหม็นหน้าทุกครั้งที่เจอ

“ไม่หรอกครับท่านจินดา ผมตื่นเช้ากว่าปกติเพราะท่านวศินเรียกผมให้ไปพบก่อนเวลาปกติน่ะครับ”

“มีอะไรสำคัญหรือเปล่าคะ”

“ก็เรื่องของคุณจิระนี่แหละครับ ตามจริงท่านวศินอยากให้ผมดูแลคุณจิระต่อไปอีกหน่อย แต่ผมเสนอคนคนหนึ่งมาดูแลคุณจิระช่วยผมอีกแรง”

จิระย่นคิ้วเข้าหากัน นี่มันไม่เหมือนเดิม ต่างไปจากชาติที่แล้ว ในชาติก่อนคุณปู่เองก็เสนอให้เพทายดูแลเขาต่อแบบนี้เหมือนกัน เพทายเองก็ไม่ปฏิเสธ และเขาก็ตั้งใจไว้ว่าจะฉวยโอกาสนี้สานสัมพันธ์อันดีกับคุณสามี แล้วนี่มันอะไร

ความเปลี่ยนแปลงอันนี้คงไม่ใช่ว่าเกิดจากการที่เขาให้ท่าเพทายที่สระน้ำเมื่อวานหรอกนะ จิระเม้มปากเข้าหากันแน่น

“นายสัญญากับฉันว่าจะไปทานข้าวเย็นด้วยกัน”

นิสัยดื้อแพ่งเอาแต่ใจใช่ว่าจะแก้ได้ง่ายๆ เขาเผลอแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกไป เพทายคลี่ยิ้มอ่อนโยน

“ถ้าผมว่างเมื่อไหร่ ผมจะพาคุณไปนะครับ”



จินดามองหน้าลูกชายตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่ลูกชายของเธอไม่เกลียดเพทายแล้วอย่างนั้นหรือ จริงๆ แบบนี้เธอก็เห็นดีด้วย ยังไงเพทายก็เป็นแขนขาสำคัญของคุณพ่อ หากจิระทำดีต่อหน้าเพทายให้มากๆ คุณพ่อเองก็จะได้ยินแต่เรื่องดีๆ ของจิระไปด้วย

จินดาไม่เห็นด้วยกับการที่สามียุแยงให้จิระเกลียดชังเพทายมานานแล้ว ว่ากันตามตรงเธอเองก็ไม่รู้ว่าคมสันสามีของเธอเกลียดเพทายเพราะอะไร

เธอเป็นสะใภ้และเป็นเมียแต่งตามกฏหมายก็จริง แต่นับจากสามีเอาดารินกับดารันเข้าบ้านเธอกับเขาก็เหินห่างกัน เธอไม่ใช่คนซอกแซกดังนั้นจึงไม่ถามเรื่องของเพทายกับคุณพ่อ และยิ่งไม่มีอารมณ์ไปถามความเห็นจากสามีที่ดีแต่เลี้ยงชู้ไว้เต็มไปหมด

“นายสัญญาแล้วนะ” จิระอดทำปากอูดไม่ได้ มันเป็นนิสัยส่วนตัวที่เวลาชอบใครรักใครเขาจะเผลอออดอ้อนแบบนี้ เพทายทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ เป็นการตอบรับ

นิสัยของเพทายจิระย่อมรู้ดีอยู่แล้ว ก็อยู่ด้วยกันเสมอๆ และถูกเขาคนนี้ดูแลมาตลอดหลายปีทีเดียว รอยยิ้มบางๆ แบบนี้หมายความว่าตกลงใจแล้วนั่นแหละ

เวลาต่อมาคนในครอบครัวก็ทยอยกันเข้ามาในห้องอาหาร ดารินเดินเคียงข้างคมสันเข้ามา จินดามองเพียงหางตาก่อนจะเชิดหน้าขึ้นและไม่สนใจคนทั้งสอง

“อุ๊ยตาย คุณพี่จินดา วันนี้กลับมาบ้านด้วยหรือคะ ปกติเห็นเอาแต่ค้างอยู่ที่ออฟฟิต” ดารินกรีดยิ้มหวานเธอเลื่อนเก้าอี้ให้คมสันก่อนจะนั่งลงในเวลาต่อมา ท่าทางเอาอกเอาใจสามีของเจ้าหล่อน จินดาคิดว่ามันน่าสมเพช แต่ก็นั่นแหละเพราะแบบนี้ไงถึงได้รับความรักจากคมสันมากเหลือเกิน ผิดกับเธอที่ไม่ใช่คนอ่อนหวาน

เธอมีความสามารถพอไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ชายหาเลี้ยงตัวเองหรือเอาแต่ประทินโฉมเพื่อเอาอกเอาใจเพราะกลัวไม่มีที่พึ่ง เพราะแบบนี้ละมั้งคมสันถึงไม่เอาใจใส่เธอเหมือนเมื่อก่อน

“แน่สิ...ลูกชายของฉันเขาประสบความสำเร็จ ฉันต้องกลับมาดูแลให้มากหน่อย ลูกของเธอก็ดีนะ อยู่เงียบๆ เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องดูแลมาก”

ความนัยที่บอกว่าอยู่ไปวันๆ ไม่ประสบความสำเร็จซักอย่างของจินดา ดารินเข้าใจอย่างถ่องแท้ เธอเคี้ยวฟันกรอดๆ พยายามเก็บอาการเดือดดาลเอาไว้

“ดารันมันต้องดีกว่าเจ้าจิระมันอยู่แล้ว ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไปทำงานเปลืองเนื้อหนังอีกหน่อยคงเสียผู้เสียคน”

“นั่นสิๆ ค่ะ คุณพี่จินดาต้องดูแลให้ดีๆ นะคะ ไม่อย่างนั้นหากปล่อยไปอาจเกิดเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ก็เป็นได้” ดารินหัวเราะเบาๆ พึงพอใจที่คมสันเข้าข้างตัวเอง คราวนี้จินดาเกร็งคอแข็งหันไปมอง ใครจะว่าอะไรเธอก็ได้ แต่อย่าริมาว่าลูกชายคนเดียวของเธอเด็ดขาด

“ขอบคุณคุณพ่อที่ตักเตือนครับ”

คาดไม่ถึงว่าจิระจะยิ้มหวานทั้งกล่าวขอบคุณ ตามปกติลูกชายของเธอจะต้องเก็บคำพูดของคมสันมาคิดให้เสียใจทุกครั้ง

เข้มแข็งขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ

จินดาบีบมือจิระเบาๆ ก่อนที่ลูกชายของเธอจะส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ จากนั้นเวลาใกล้ๆ กัน ดารันก็มายังห้องอาหาร ถือว่ายังมาทันเวลา

“คุณพ่อรันอยากไปเรียนพิเศษ รันอยากติวเพื่อสอบเข้ามหาลัยในปีหน้า”

“ไม่เร็วไปหรือจ๊ะดารัน” ดารินถาม เธอรู้สึกว่าเวลายังมีอีกมาก อยากให้ลูกชายของเธอไม่เครียดมากเกินไป

“ผลการเรียนของผมกลางๆ ถ้าไม่ขยันตอนนี้จะเข้ามหาลัยดีๆ ไม่ได้ เดี๋ยวจะขายหน้าคุณพ่อเปล่าๆ”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดารันเสียดสีใคร จิระสนใจที่ไหน เพราะเขามัวแต่สังเกตดูการเคลื่อนไหวของเพทายตลอดเวลา ท่าทางเวลาอ่านเอกสารอย่างจริงจังก็ดูน่ารัก

“ดีมาก พ่ออนุญาตให้แกไปเรียนได้”

“แต่ว่าคุณพ่อครับผมขอเดินทางไปกลับเองนะครับ เพราะว่าผมอยากไปกับเพื่อน อีกอย่างผมโตแล้วควรจะหัดนั่งรถไปไหนมาไหนเองบ้าง”

“จะดีหรือลูกมันอันตรายนะ” ดารินรู้สึกไม่ไว้ใจ ลูกชายของเธอหน้าตาดีขนาดนี้อาจถูกใครลักพาตัวไปก็ได้

“ได้สิ ฉันเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวแกจะทำอะไรไม่เป็นซักอย่างเหมือนอย่างจิระมัน ต้องคอยให้หมารับใช้ตามดูแลเช็ดก้นตลอด”

จิระอดปลายมองไปยังทั้งสองคนไม่ได้ และพบว่าดารันแสยะยิ้มหยามหยันส่งมา หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงโวยวายฟ้องพ่อหาว่าน้องชายไม่เคารพและได้รับแต่เพียงคำดุด่าจากพ่อ หาว่าเป็นคนใจแคบคิดไม่ดี

“ว่าแต่แกอ่านอะไรน่ะเพทาย คงไม่ใช่งานประมูลพื้นที่ที่เมืองkหรอกนะ”

คมสันหันไปสนใจเพทายที่เอาแต่นั่งอ่านเอกสาร คนถูกทักรวบเก็บเอกสารทั้งหมดลงกระเป๋าเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

“ครับท่านคมสัน เป็นเอกสารงานประมูลที่เมืองkจริงๆ” เพทายตอบ

“เมืองKมันมีอะไรดีวะเพทาย เลขานุการโง่ๆ อย่างแกถึงได้สนใจ ช่างอวดดีนักนะ สาระแนจนอุตส่าห์ได้เป็นคนถือโปรเจค”

“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์” เพทายยิ้มเป็นรอยยิ้มแบบรับแขกที่ประดับบนใบหน้าเขาอยู่เสมอ รอยยิ้มแบบนี้คมสันเกลียดมันนัก ทำไมมันถึงไม่ทำหน้าแหยหรือหงอๆ ให้เห็นบ้างนะ มันอวดดี อวดดีเสมอๆ

“ฉันจะบอกแกให้ว่าเมืองKมันเป็นเมืองบ้านนอกมีแต่พวกชาวนาชาวไร่ แกไปซื้อที่แถวนั้นสร้างพื้นที่บ้านจัดสรร มันจะไม่มีคนซื้อ แกจะไม่ได้อะไรเลย คิดสิไอ้หน้าโง่”

จิระขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาไม่พอใจที่พ่อด่าเพทายแบบนั้น ทว่าเมื่ออีกฝ่ายยังยิ้มได้อยู่ความเป็นห่วงก็เบาบางลง จะว่าไปถ้าจำไม่ผิดเมืองKนี่มันเป็นเมืองในจุดยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางธุรกิจของชาตินี่

ถึงจิระจะไม่ค่อยสนใจเรื่องเศรษฐกิจมากนักแต่ก็เป็นข่าวโด่งดังในอดีตชาติ เรื่องที่มีโครงการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากเมืองBผ่านเมืองKและไปสุดที่เมืองSทางภาคเหนือของประเทศ ซึ่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงนี้จะร่วมทุนกับประเทศJเพื่อการขนส่งสินค้าและบุคลากรให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

และหลังจากสร้างเสร็จเมืองKกับเมืองSก็จะเจริญอย่างรวดเร็วมีนักลงทุนต่างชาติไปเปิดโรงงานและอาศัยที่เมืองนั้นอย่างคึกคักไม่ต่างจากเมืองBที่เป็นเมืองหลวง

ในสถานการณ์อย่างนี้จิระไม่แปลกใจที่เพทายจะสนใจมัน เพียงแต่ชาติที่แล้วเพทายก็เคยเสนอโปรเจคนี้ไปและไม่ผ่าน มันทำให้บริษัทของครอบครัวพลาดรถไฟขบวนนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

แต่ดูเหมือนว่าในชาตินี้เรื่องราวดูจะเปลี่ยนไป เพทายทำสำเร็จในการเสนอความเห็นให้คุณปู่ การที่มีบางสิ่งเปลี่ยนไปแบบนี้ใช่มีเขาเป็นตัวแปรหรือเปล่านะ

จิระสงสัยแต่ไม่แปลกใจมากนัก อะไรๆ มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ และเขาตั้งใจว่าจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง หากว่าคนที่เขาเป็นห่วงเคลื่อนไหวไปในทางที่ดี เขายังต้องกังวลอะไรอีก

“อ้าวมากันหมดแล้วอย่างนั้นรึ” คุณปู่เดินเข้ามาพอดี ถึงแม้จะอายุ 60 ปีเข้าไปแล้วแต่วศินยังคงแข็งแรงมากไม่ผิดกับคนวัย 50 ปี ชายชราคนนี้ยังสามารถบริหารจัดการครอบครัวและกุมอำนาจทุกอย่างไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จ

“เอ้า คงรอกันนานแล้ว เริ่มทานข้าวกันเลยดีกว่ามั้ง” คุณปู่สั่นกระดิ่ง ไม่นานนักพวกคนรับใช้ก็นำมาอาหารมาวางบนโต๊ะ





+++++++++++++

555 ลงให้อีกตอนค่า แต่จะของดลงซักสองวันน้า นี่วันหยุดทั้งวันล่อ4บทแล้วค่า

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
อยากอ่านต่อจัง :mew6:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Merai_View Ha Bin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :impress3: อยากอ่านต่อแล้ววววว รอนะคะ อิอิ  :impress2:

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
บทที่4

“มีเรื่องมาเซอร์ไพรส์นายล่ะ” เจ้าเอ้ยักคิ้วหลิ่วตาขณะที่ปล่อยให้ช่างแต่งหน้าเสริมหล่อให้ก่อนเข้าไปถ่ายรูปฟิตติ้ง จิระถึงไม่ต้องเดาก็รู้ได้เพราะเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วในชาติก่อน

“นายเซ็นสัญญากับโมเดลลิงของแม่ฉันแล้วใช่ไหมละ”

“โว้ว...รู้ได้ยังไง ฉันอุตส่าห์ขอร้องคุณน้าไม่ให้บอกนาย” เอ้ทำเสียงงุ้งงิ้ง

“ความสามารถพิเศษไงล่ะ” จิระยิ้มกวนๆ

“ว่าแต่นายได้บทอะไรหะจิระ” ถามปุ๊บเอ้ก็หยิบบทในส่วนของก้อนดินขึ้นมาอวดให้จิระดู

“บทนี่มันง่ายสำหรับฉันมากเลยแหละ”

“ฉันได้บทน้ำฟ้า” จิระตอบแต่ก็รู้ล่วงหน้าว่าผู้กำกับ พัชร อำพันจะเปลี่ยนบทเขากับกานดาในวันนี้นี่แหละ

“แล้วทำไมบทลูกเศรษฐีถึงได้แต่งตัวปอนๆ จังวะ เฮ้...ยัยเจ๊ เอาชุดมาผิดไหมครับ” เอ้หันไปถามช่างแต่งตัวของกองถ่าย แม่สาวประเภทสองจีบปากจีบคอตอบทันที

“เจ้จะรู้ได้ยังไงล่ะคะ ผู้กำกับสั่งมาแบบไหนเจ้ก็จัดแบบนั้นแหละค่ะ แต่ว่านะน้องจิระมีออร่าคนรวยพราวระยับ ขนาดแต่งตัวบ้านๆ ขนาดนี้ยังหล่อทิ่มตาเจ้อยู่เลยนะคะ” ไม่พูดเปล่าคุณเจ้ยังส่งสายตาปิ๊งๆ มาให้จิระ

“อ้าวๆ แล้วผมไม่หล่อหรือหะเจ๊” เอ้ถาม

“น้องเอ้ก็หล่อค่า แต่คนละเบอร์กับน้องจิระ คุณมันหล่อเถื่อนแต่จิระเขาผู้ดีค่า”

นับว่ายังเป็นคำตอบที่ฟังได้อยู่สำหรับเอ้ หลังจากแต่งตัวเสร็จพวกเขาก็พากันออกไปยังห้องสตูดิโอ ที่นั่นผู้กำกับทีมงานและกานดารออยู่แล้ว แต่ที่ผิดสังเกตุคือแม่ของเขากำลังโวยวายใส่ผู้กำกับพัชร

“คุณจะเปลี่ยนบทกะทันหันอย่างนี้ไม่ได้นะ” จินดาไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้กำกับพัชรต้องการ ตอนแรกพอเธอมาถึงก็พบว่าเด็กที่ชื่อกานดากำลังถ่ายภาพฟิตติ้งอยู่ ก็ไม่แปลกอะไรแต่ที่ผิดสังเกตคือภาพลักษณ์ตัวละครที่ถูกสื่อออกมา

ตัวละครต้นข้าวโดยพื้นเพเป็นคนหน้าตาดีก็จริง แต่นัยตาต้องเต็มไปด้วยความมืดหม่นและทะเยอะทะยาน การแต่งกายออกติดไปทางมอซอ แต่กานดานั้นกลับแสดงออกในบุคลิคไฮโซซึ่งเป็นลักษณะของน้ำฟ้าไม่ผิดแน่

ดังนั้นจินดาจึงถามผู้กำกับด้วยความสงสัย คำตอบที่ได้คือผู้กำกับพัชรตัดสินใจสลับบทของกานดากับลูกชายของเธออย่างกะทันหัน เธอไม่ยอมอย่างเด็ดขาด

ลูกชายของเธอยังมือใหม่อยู่การเปิดตัวครั้งแรก ควรได้บทที่ส่งเสริมให้มากหน่อย ถ้าได้แสดงบทที่เป็นตัวเองอยู่แล้วต้องทำออกมาได้ไม่มีที่ติ ถึงใครจะว่ายังไงเธอไม่ยอมเสี่ยงให้จิระเล่นบทของต้นข้าวแน่ๆ

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ผมเป็นผู้กำกับเห็นสิ่งใดเหมาะสมผมก็จะทำแบบนั้นนะ” พัชร อำพัน แผ่รัศมีกดดัน ด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงไว้ด้วยความดุดัน จินดาจะโกรธก็โกรธไม่ลง บางทีเธอก็นึกอยากชวนเด็กหนุ่มคนนี้เข้าสังกัดเป็นนักแสดงในโมเดลลิงของเธอเหลือเกิน

พัชรคนนี้เคยเปิดตัวในฐานะนักแสดงและอยู่ในวงการนี้ราวห้าปีได้ก่อนจะผันตัวไปเป็นผู้กำกับเมื่ออายุได้ 25 ปี สองปีมานี้เขาสามารถลบคำสบประมาทของผู้คนรอบตัวได้จนหมด ดังนั้นการที่จินดามาเถียงพัชรปาวๆ จึงทำให้ทีมงานทุกคนเห็นว่าแม่ของนักแสดงหน้าใหม่อย่างจินดากำลังก่อปัญหา

“ยังไงฉันก็ไม่ยอมรับเด็ดขาดค่ะ” จินดาไม่ยอมแพ้ จิระกับเอ้ยืนดูเหตุการได้พักหนึ่งแล้ว และตัดสินใจหามปรามแม่ทันที

“แม่ ทำอะไรอยู่น่ะครับ”

“จิระ..” จินดากวักมือเรียกลูกชายให้เข้าไปหา จิระพอไปถึงก็ประจันหน้ากับพัชรพอดี

“เธอจะว่าไง ถ้าฉันเปลี่ยนบทใหม่ให้เธอ” พัชรยื่นบทของต้นข้าวให้จิระ เขาใช้เวลาอ่านคร่าวๆ อึดใจหนึ่ง แสร้งทำเป็นลังเลเล็กน้อย

“ถ้าผู้กำกับเห็นว่าดี เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ ผมไม่รู้ว่าจะทำได้ดีไหม แต่อยากจะลองเหมือนกัน” เท่านี้ใบหน้าบึ้งตึงของพัชรก็ประดับประดาด้วยรอยยิ้ม

“ดี...งั้น ให้พวกตัวเอกอ่านบทละครกันซักพัก ฉันจะทดสอบดูว่าพวกเขาเหมาะสมกับบทที่ฉันจะให้เล่นไหม เอาเป็นฉากนี้ก็แล้วกัน”

หลังจากจิระ เอ้ และกานดาถูกสั่งให้อ่านบทเพื่อซ้อมเข้าฉากเป็นการทดสอบ พวกเขาต่างก็แยกย้ายไปหามุมของตัวเองทำสมาธิ จินดาตามลูกชายเธอไปติดๆ บ่นงุ้งงิ้งตามเรื่องตามราว

“ลูกจะทำได้หรือจิระ เท่าที่แม่อ่านบทมันไม่ได้ตรงกับความเป็นตัวลูกเลยนะ ลูกยังมือใหม่ เอาเป็นว่า แม่ไปคุยกับผู้กำกับอีกรอบ”

จินดาถามความเห็นจากจิระ แต่เมื่อเห็นลูกชายตั้งใจอ่านบทจนสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา ความมุ่งมั่นของลูกชายมันทำให้เธอคิดว่า ถ้าจิระอยากลองเธอก็ควรเคารพความตั้งใจของเขา ดังนั้นเธอจึงนั่งเงียบๆ รอลุ้นสิ่งที่จะเกิดต่อไป

หลังจากอ่านบทกันจนพอใจ ตัวเอกทั้งสามก็เริ่มซ้อมบทตามที่ผู้กำกับขอทันที ในฉากที่แสดงนี้เป็นส่วนสำคัญฉากหนึ่งในภาพยนต์ก็ว่าได้

มันเป็นฉากที่ก้อนดินกับน้ำฟ้าจับได้ว่าต้นข้าวลักลอบเป็นชู้กับแฟนของน้ำฟ้า ก้อนดินเรียกน้ำฟ้ามาดูต้นข้าวออกมาจากบ้านของคนรักของเพื่อนในเวลาเช้าตรู่

“ทำอย่างนี้หมายความว่าไงวะต้นข้าว” ก้อนดินตะคอกอย่างหัวเสีย เขาสงสัยพฤติกรรมของต้นข้าวมานานแล้ว หลายครั้งต่อหลายครั้งที่ต้นข้าวกับอาโปแฟนของน้ำฟ้ามักบังเอิญอยู่ด้วยกัน

“นะ..นายพูดอะไร” ต้นข้าวตื่นตกใจ สีหน้าของจิระที่แสดงออกมาดูเหมือนกับคนที่กำลังตระหนกจริงๆ ก็แน่ล่ะ สีหน้าแบบนี้เขาเห็นจากกานดามาตลอดหลายปี เขาย่อมต้องเลียนแบบได้ดีอยู่แล้ว

“มันไม่จริงใช่ไหมต้นข้าว นาย...” น้ำฟ้าผู้ใสซื่อบริสุทธิพยายามยิ้มอย่างมีเมตตา กานดาเองก็ร้ายไม่เบา เขาแสดงออกถึงความสับสนในแววตาได้เป็นอย่างดี

“ไม่จริงบ้าอะไรน้ำฟ้า ไอ้หมอนี่มันนอนอยู่กับอาโปจนถึงเช้า เห็นๆ กันอยู่ว่าออกมาจากบ้านของอาโป ขอล่ะเลิกมองมันในแง่ดีได้แล้ว” ก้อนดินหัวฟัดหัวเหวี่ยง น้ำฟ้าใบหน้าเหยเกพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้หลั่งริน ตอนนี้ทีมงานฮือฮากันน่าดูในความสามารถของกานดา

แต่พัชรกลับพุ่งความสนใจไปที่จิระ ต้นข้าวเองก็ทำท่าจะหลั่งน้ำตาเหมือนกัน มือไม้ที่บิดไปมาบอกชัดว่าสับสน ท่าทางน่าเวทนาแบบนั้นทำเอาน้ำฟ้าสงสารจับใจ เขาคิดว่าต้องเป็นเรื่องเข้าใจอะไรผิดซักอย่าง

“อย่าร้องไห้ คงมีอะไรเข้าใจผิดไปซักอย่าง” น้ำฟ้าพยายามจะเข้าไปปลอบต้นข้าวที่น้ำตาคลอหน่วย

“อาโปเป็นอาโปทำอะไรซักอย่างกับต้นข้าวใช่ไหม”

“จะได้ยังไง” ก้อนดินโวยวายแต่น้ำฟ้าสนใจที่ไหน ฉากนี้ตามบทที่เขียนมาไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพียงแต่พัชรผู้เขียนบทกลับระบุเพียงว่าให้ต้นข้าวเผยตัวตนที่แท้จริงให้น้ำฟ้าเห็น ไม่มีคำพูดต่อจากนั้นหมายถึงให้ด้นสดล้วนๆ

จิระจำได้ว่าในชาติที่แล้วเขางงค่อนข้างมาก ดูเหมือนว่าผู้กำกับอยากจะเห็นกึ๋นในฐานะผู้ที่ชนะรายการ new star อย่างเขาจึงทำแบบนี้ ผลในชาติแล้วการซ้อมบทเกือบพัง เขาทำได้แค่พอผ่านไม่น่าเกลียด แต่พัชรก็ไม่ได้พอใจ

วินาทีที่น้ำฟ้ากุมมือทั้งสองข้าวของต้นข้าวเอาไว้ แววตาเศร้าสร้อยก็ปรากฏความมืดหม่นในนั้น ต้นข้าวก้มหน้าลงแล้วหัวเราะ จิระไต่ระดับจากการปล่อยอารมณ์อย่างแผ่วๆ และกลายเป็นบ้าคลั่ง

ต้นข้าวระเบิดความรู้สึกที่แท้จริงออกมา เขารู้สึกขำขัน ความดีจนเข้าขั้นโง่ของน้ำฟ้ามันช่างน่าสมเพชจนอดหัวเราะไม่ได้ ผู้กำกับพัชรจ้องมองดูจิระตาไม่กระพริบ

“อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า” ต้นข้าวสลัดมือน้ำฟ้าออก “อาโปเขาไม่ชอบผู้ชายน่าเบื่อแบบนาย แค่ขอจับมือด้วยยังเขินอายไม่ยอมให้จับ เขาบอกฉันเองว่าเขาเบื่อนายเต็มทน”

“ไม่จริงใช่ไหม” กานดาโต้กลับด้วยรอยยิ้มที่เศร้าสร้อยและเต็มไปด้วยความสับสน พัชรรอดูว่าจิระจะตอบโต้ยังไง เพราะว่าเขาไม่ได้เขียนลงไปในบท ต่อจากนี้มันว่างเปล่า เขาระบุเอาไว้ว่าทำยังไงก็ได้ให้น้ำฟ้าต้องร้องไห้ออกมา

“เราเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนรักกัน” น้ำฟ้าพูดด้วยเสียงสั่นเครือ เขาเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วมันเป็นไปตามบท แน่นอนว่าเขาต้องทำได้อย่างเฉียบขาด เพราะตั้งแต่แรกบทที่เขาได้ก็คือน้ำฟ้า กานดาท่องบททั้งคืนจนแทบจะปรุ ดังนั้นจิระไม่มีทางแย่งบทน้ำฟ้าไปจากเขาได้

จู่ๆ สีหน้าหยามหยันของต้นข้าวก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เขายิ้มอ่อนหวานและใช้มือนุ่มนิ่มแตะไปยังใบหน้าของน้ำฟ้าอย่างอ่อนโยน

“ตอนที่ฉันกับอาโปทำรักกัน เขาบอกฉันว่าครั้งแรกที่ทำกับนายมันน่าเบื่อ นายนอนนิ่งเหมือนปลาตายจนไม่นึกอยากทำรักอีกเป็นครั้งที่สอง ฉันทำเพื่อนายนะเพื่อนรัก ช่วยเขี่ยผู้ชายแย่ๆ ออกไปจากชีวิตนายไง”

กล่าวจบก็จุมพิตเบาๆ ลงบนแก้มของน้ำฟ้า กานดาตัดสินใจว่าฉากนี้ตัวเองควรจะร้องไห้ เพราะเขาคิดว่าการถูกหักหลังและถูกพูดด้วยประโยคแบบนี้คือที่สุดของความเจ็บปวดสำหรับคนประเภทจิระแน่ๆ ถึงแม้ว่าจิระจะไม่โง่อย่างน้ำฟ้า แต่ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นักหรอก

“คัท” ทันทีที่กานดาร้องไห้ออกมา พัชรก็สั่งหยุดซ้อมทันที ผู้กำกับหนุ่มประหลาดใจในความสามารถของจิระ แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับได้เพราะยังไงผลงานในรายการ new star ก็เป็นสิ่งชี้ชัดในความสามารถระดับหนึ่ง

แต่ว่าคนที่ดีใจที่สุดเห็นจะเป็นจินดา เธอร้องกรี๊ดด้วยความพลุ่งพล่านออกมาเบาๆ ทันทีที่ผู้กำกับสั่งคัท ก็รู้ว่าลูกชายของเธอมีความสามารถในการแสดง แต่ที่ทำได้ถึงขนาดนี้มันเรียกว่าพรสวรรค์ชัดๆ ฝีมือแบบนี้ไม่ต่างกับดาราที่อยู่ในวงการมามากกว่าสิบปีแน่นอน

“จิระ” จินดาโผเข้าไปหอมแก้มซ้ายขวาของจิระก่อนที่ผู้กำกับจะเดินไปถึงเสียอีก

“ที่นี่คุณแม่ก็ไม่มีข้อกังขาในฝีมือของลูกชายแล้วสินะครับ” พัชรถามด้วยสีหน้านิ่งๆ จินดานึกไปนึกมาก็คิดว่าดีแล้วที่ไม่ได้ตกพัชรเข้าโมเดลลิงของเธอ หน้านิ่งเป็นปลาตายแบบนี้เห็นจะเข้ากันได้ยาก

“นายชื่อจิระสินะ” พัชรถามจิระ ยังไม่ทันได้ตอบจินดาก็โวยวายขึ้นมา

“ตายแล้วผู้กำกับจำชื่อนักแสดงตัวหลักไม่ได้หรือคะแย่มาก”

“อย่างน้อยผมก็จำกานดากับคุณเอ้ทศพลได้ก็แล้วกัน”

จิระขมวดคิ้วให้กับคำตอบของพัชระ “คุณจะบอกว่าจำผมไม่ได้คนเดียวหรือครับ”

“เพราะนายในรายการ new star ไม่มีออร่า แถมผลโหวตทั่วประเทศมันปั่นโหวตได้ ฉันต้องถูกบังคับให้รับนายที่เป็นหน้าใหม่อ่อนหัดมาแสดงหนังของฉัน ก็เลยคิดว่าอยากให้โอกาสนายในการแก้ภาพลักษณ์ในสายตาฉันซักหน่อย”

พัชรกระตุกยิ้ม จิระเม้มปากเข้าหากันแน่น ชาติที่แล้วผู้กำกับหนุ่มคนนี้ไม่ได้บอกความจริงในใจเช่นนี้ เขาทำเพียงแค่ยิ้มๆ แล้วบอกตัวจิระในชาติที่แล้วว่าค่อยๆ ฝึกซ้อมบทกันไป

จะว่าไปหลังจากเล่นหนังเรื่องวัยหนุ่มวัยฝันวันของเราเพียงเรื่องเดียวเขาก็ไม่ได้มาบรรจบกับพัชร อำพัน ในหนังของเขาอีกเลย เป็นเรื่องน่าเสียดาย ในอดีตชาติเขาค่อนข้างผิดหวังอย่างมากที่ถูกผู้กำกับคนนี้เมินเฉย

“ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสผม” จิระไม่เพียงไม่โกรธแต่ยังไหว้ขอบคุณชายหนุ่ม กานดาค่อนข้างแปลกใจทีเดียวที่คนยะโสอย่างจิระยอมรับคำปรามาสง่ายๆ แถมยังอุตส่าห์ไหว้ขอบคณด้วย

“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นแล้วผมกับเอ้ล่ะครับ คงไม่ใช่ว่า” กานดาตีหน้าแหย เกาหัวแกรกๆ ช้อนตาถามอย่างหงอๆ พัชรตอบคำถามนั้นอย่างรวดเร็ว

“สำหรับนายกับเอ้ ฝีมือการแสดงชัดเจนอยู่แล้วในรายการnew star ฉันก็คิดแล้วว่าพวกนายต้องทำได้”

“ขอบคุณครับ” กานดาไหว้พัชรสวยๆ ด้วยความดีใจ ส่วนเอ้แม้จะรู้สึกผิดกับจิระแต่ก็พึงพอใจมากทีเดียว

“ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจอ่านบทกันนะ อีกไม่กี่วันจะมีวันบวงสรวงอย่าลืมมาด้วยล่ะ แล้วอีกเดี๋ยวจะให้ทีมงานส่งคิวถ่ายของแต่ละคนไปให้”

จากนั้นพวกจิระก็ถ่ายภาพฟิตติ้งกัน แต่ผู้กำกับอย่างพัชรก็ไม่อยู่แล้ว คงมั่นใจแล้วว่าตัวเอกทั้งสามเหมาะสมกับบทเลยไม่อยู่ดูงานต่อปล่อยให้ผู้ช่วยจัดการแทน

หลังจากถ่ายรูปจนครบเซ็ต จิระก็เตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่คนที่ปรากฏตัวต่อหน้าคือภาคินที่เขาได้ตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้ว

“จิระ” ภาคินถือดอกไม้ช่อโตมา เขาไม่ได้เหลือบมองกานดาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยซ้ำ แต่พุ่งเข้าหาจิระด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยรัก

“ฉันมารับนายไปทานข้าว” จิระยิ้มละเหี่ยใจ ดูเหมือนว่าคราวก่อนคงไม่ทำให้ภาคินเข้าใจ

“ว้ายตายแล้ว มารับน้องหรือลูก” จินดายิ้มจนแกล้มปริ รับเอาดอกไม้ของภาคินมาแทนจิระ เธอชอบใจในตัวของภาคินมากพอดูเพราะภาคินมาจากครอบครัวร่ำรวยและมีเชื้อเจ้าปะปนอยู่ด้วย ไม่ว่าจะนิสัยชาติตระกูลล้วนเหมาะสมกับจิระ หากลูกชายของเธอได้เกี่ยวดองกับเด็กคนนี้ชีวิตย่อมมีแต่เจริญรุ่งเรือง

“เอ้าๆ แม่ไม่กวนแล้วน้า ไปเที่ยวกันได้เลยจ้า” ดันจิระเข้าไปหาภาคินโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของลูกชายซักนิด ก่อนจะหันไปคว้ามือเอ้นักแสดงใหม่ในสังกัดลากไปด้วยกัน “ไป..ไปกับน้า เดี๋ยวน้าต้องคุยกันเรื่องตารางงานของเราอีก”

“แม่...เดี๋ยว...” แม่เดินจ้ำอ้าวไปไกลแล้ว จิระทำตาปริบๆ หันไปมองตัวปัญหาอย่างภาคิน

“เราไปทานข้าวกลางวันกันนะ” ภาคินส่งยิ้มอ่อนโยนทั้งยื่นมือมาให้จับ จิระมองมือนั่นช่างใจชั่วครู่ <ก็แค่ทานข้าว จริงสิคราวนี้จะได้พูดให้ฟังอีกทีจะได้รู้เรื่อง>

“ก็ได้” จิระตอบรับแล้วเดินนำหน้าภาคินไป ภาคินยิ้มอ่อนใจแต่ไม่ได้ถือโกรธจิระ คงกำลังงอนอยู่ เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่หากยังไม่ได้โวยวายก็หมายความว่าไม่ได้โกรธอะไรมากนัก



++++++++++

มาลงแล้วน้า แสดงความคิดเห็นให้กำลังใจกันบ้างนะคะ

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
แอบมองนายพัชรด้วยอีกคน ใช่พระเอกมั้ยนะ

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
ผู้กำกับดูเท่จัง

ออฟไลน์ Merai_View Ha Bin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เราเชียร์เพทาย สามีที่แสนดีในอดีตนะ... แต่พอเจอพัชรคนเข้ม เราก็อยากให้นางเป็นพระเอกอ่ะ ทำไงดีคะไรต์ 5555555 รอนะคะ จุ๊ฟ

ออฟไลน์ maekkun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พระเอกคือใครละนี่

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
บทที่5

ภาคินพาจิระมาทานอาหารร้านโปรด ในชาติก่อนเขามักจะรบเร้าชวนอดีตคนรักมาที่นี้บ่อยครั้ง ร้านอาหารแห่งนี้มีความทรงจำระหว่างเขาสองคนมากมาย ทั้งมาเดทครั้งแรก ฉลองวันเกิด ติวหนังสือ

“ไม่ได้มานานเลยนะ หนูจิ คุณภา” คุณป้าเจ้าของร้านซึ่งรับหน้าที่เป็นบริกรแต่เพียงผู้เดียวถาม ร้านครัวเล็กๆ นี้ค่อนไปทางเล็กสมชื่อ เพราะคุณลุงคุณป้าเจ้าของร้านต้องการดูแลลูกค้าให้ใกล้ชิดได้มากที่สุดด้วยตัวเอง

ดังนั้นถึงแม้ร้านที่ค่อนข้างมีชื่อในระดับหนึ่งและลูกค้ามีจำนวนมาก แต่โต๊ะรับแขกในร้านก็มีจำนวนแค่ 6 ชุดเท่านั้น

“เนี่ยพอลุงรู้ว่าหนูจิกับคุณภาจะมา ก็ยึดโต๊ะประจำเอาไว้ให้เลยนะ”

คุณลุงพ่อครัวคนเดียวในร้านตะโกนมาจากครัวแบบเปิด จากนั้นจิระก็หยิบเมนูขึ้นมาตั้งใจจะสั่งอาหาร ทว่าภาคินกลับตัดหน้าสั่งแทนเขาเสียนี่

อาหารที่ภาคินสั่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาชอบ ข้อดีของผู้ชายคนนี้คือหากเป็นคนที่รักแล้วล่ะก็ เขามักจะเอาใจใส่อย่างดี จดจำสิ่งที่ชอบหรือช่วงเวลาดีๆ ต่อกันได้อย่างแม่นยำ และไม่ลืมคอยมาเอาใจในวันสำคัญๆ เพราะอย่างนี้จิระในชาติที่แล้วถึงได้รักภาคินเอามากๆ

ระหว่างทานอาหารภาคินไม่ใช่คนชอบพูดคุย ดังนั้นพวกเขาจึงต่างคนต่างทาน เนื่องจากอาหารบนโต๊ะคือสิ่งที่จิระชอบทั้งหมด มื้อนี้จึงอิ่มหนำสำราญจริงๆ สุดท้ายเมื่อทานอาหารจนหมด เขาก็เปิดประเด็นทันที

“ฉันจำได้นะว่าเมื่อวานได้บอกเลิกคบกับนายไปแล้ว นายเองก็ไม่คัดค้านนี่”

ภาคินหาได้สนใจในสิ่งที่จิระพูดไม่ เขาบอกว่า มาทานของหวานกันดีกว่า พอส่งสัญญาณคุณป้าเจ้าของร้านก็ยกเค้กก้อนโตมายังโต๊ะของพวกเขา

จิระชอบทานเค้กยิ่งเป็นเค้กไวท์ช็อกโกแลตเขายิ่งชอบมาก แถมไอ้เค้กตรงหน้าทุกอย่างตรงจริตเขาหมด หากเป็นในชาติที่แล้วของช่วงวัยนี้ เขาคงดีใจจนแก้มปริ

แต่เหตุการณ์นี้มันผ่านมาก่อนในชาติที่แล้ว และช่วงเวลาฉลองนั้นสั้นนัก เพราะยังไม่ทันได้ทานเค้กกันภาคินก็ปลีกตัวออกไป เขาจำเรื่องในตอนนั้นได้ดี ถ้าคาดไม่ผิดอีกเดี๋ยวคงมีสายปริศนาโทรมา

เป็นดั่งที่จิระคาด ในเวลาเดียวกันกานดาหวังว่าภาคินจะมาเยือนที่บ้านเพื่อฉลองความสำเร็จร่วมกับตนเอง ตามจริงสำหรับเขาฉลองเพียงเท่านี้จะเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เพราะรู้มาว่าภาคินต้องการใช้เวลาสำคัญนี้มอบความสุขให้จิระจึงตั้งใจเรียกร้องความสนใจ

“ภาคินผมเตรียมอาหารไว้เยอะเลย ผมอยากฉลองความสำเร็จของผมกับคุณ” เสียงหวานดังมาตามสาย ภาคินเป็นคนแยกแยะว่าอะไรควรไม่ควรเสมอ ดังนั้นจึงบอกปฏิเสธไป

“ตอนนี้ไม่ได้หรอก เอาไว้คราวหน้านะ”

ถ้าเป็นในชาติที่แล้วจิระจะหัวเสียและเริ่มบ่นทันที เขาในชาติก่อนนั้นค่อนข้างอารมณ์ร้ายและยึดติดในตัวภาคินมาก

ดังนั้นในเวลาดังกล่าวจึงทั้งหวาดกลัวกับไม่พอใจเกรงว่าภาคินจะทิ้งตัวเองไปหาคนในสาย และเริ่มแสดงออกด้วยความเกรี้ยวกราดทันที

ทว่าในชาตินี้ จิระพอจะเดาได้ว่าคนในสายคงเป็นกานดา แล้วยิ่งในชาตินี้เขาไม่ได้ยึดติดอะไรกับภาคินอีกแล้ว จึงทำเพียงยิ้มน้อยๆ

“นี่ ถ้าติดธุระฉันกลับก่อนก็ได้นะ”

เสียงของจิระลอดมาตามสายให้กานดาได้ยิน เรียกร้องความสนใจ กานดาคิดว่าจิระกำลังทำแบบนั้น ส่วนจิระก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

ภาคินได้ยินเสียงเสียงข้าวของแตกมาจากทางฝั่งกานดาตามด้วยเสียงสัญญาณถูกตัดขาด ด้วยความผูกพันธ์ที่เริ่มมีระหว่างกันและกัน ทำให้ภาคินโทรกลับแต่ไม่สามารถติดต่อได้ ในตอนนั้นจิระก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้

“เดี๋ยว...” ภาคินคว้ามือจิระเอาไว้

“นายดูกะวนกะวายมาก เอาเป็นว่าไปหาเพื่อนจะไม่ดีกว่าหรือไง”

“ไม่...ไม่สำคัญเท่าเธอหรอก” ภาคินตัดสินใจได้ในที่สุด เขาพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่ากานดาอาจแค่ทำมือถือตกเท่านั้น

“นะ...ได้โปรด...อยู่ทานเค้ก ใช้เวลาร่วมกันอีกหน่อย”

“ภาคินเราเลิกกันแล้วนะ ทำไมไม่ใช้เวลาร่วมกับคนที่รักล่ะ”

ใครจะไปคาดคิดว่าภาคินจะยิ้มจนตาหยี พูดในสิ่งที่แม้แต่จิระก็ไม่คาดฝัน

“ถึงเลิกกันแล้วก็จีบใหม่ได้”

จิระเลิกคิ้วขึ้น <เอาอย่างนี้เลยหรือ> “ถ้าฉันไม่ให้โอกาสล่ะ”

“ก็จะตื้อจนกว่าเธอจะกลับมาคบกับฉันอีก”

<ทำไมมันหน้าด้านจังวะ> ภาคินในชาติที่แล้วไม่ใช่คนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ จิระเบ้ปากให้เห็นกันชัดๆ ทำหน้าตากวนตีนใส่แบบนี้แต่ภาคินยังคงยิ้มละไม

“ฉันรู้ว่าเธออาจจะระแคะระคายเรื่องที่ฉันไม่ซื่อกับเธอ แต่ฉันคิดดูให้ดีแล้วเธอสำคัญกับฉันมากกว่าคนอื่นๆ ที่มีมา”

<พึ่งจะมาคิดได้ตอนนี้น่ะนะ> จิระด่าในใจ รู้สึกกรุ่นโกรธ ในชาติที่แล้วผู้ชายคนนี้ทำให้เขาต้องไล่ตามอย่างไม่ลดละ ถีบหัวส่งทำร้ายจิตใจเขาหลายครั้ง เพื่อกานดาคนที่ภาคินคิดว่าแสนดีและอ่อนแอ แต่สีหน้าของเขา ณ ตอนนี้ไม่ได้แสดงความขุ่นเคืองแต่กลับฉาบเคลือบไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ

“พูดอย่างนี้คือนายยอมรับว่ามีคนอื่น”

“ใช่ แต่จากนี้ไปเขาจะเป็นแค่น้องชายคนหนึ่งเท่านั้น”

จิระจ้องตากับภาคิน พยายามค้นหาคำโกหกในนั้น แต่แววตาคู่นี้ยังคงเหมือนเมื่อครั้งอดีตชาติ ผู้ชายคนนี้เป็นคนพูดจริงทำจริงคนหนึ่ง ดังนั้นหากไม่อยากทำจะไม่ยอมรับปากใดๆ ทั้งสิ้น

“นายอยากทำอะไรก็ทำเถอะ แต่คงยากหน่อยนะ ฉันไม่คิดจะกลับไปคบกับนายแบบแฟนอีกแล้ว จริงสิเป็นพี่น้องเป็นเพื่อนไปก็แล้วกัน ฉันให้นายได้เท่านี้แหละ”

แค่นี้ยังถือว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ สำหรับคนที่ทรยศหักหลังอย่างเลือดเย็น ในตอนนั้นภาคินก็ยืนขึ้น โดยไม่ทันตั้งตัวอีกฝ่ายกระตุกแขนเขา จิระแทบเซไปหาภาคิน ถ้าปล่อยไปแบบนี้คงจมหายเข้าไปในอ้อมกอด เพียงแต่ว่าถูกใครคนหนึ่งช่วยพยุงเอาไว้อย่างมั่นคง

จิระหันไปมองและพบว่าเป็นผู้หญิงท่าทางทะมัดทะแมงในชุดสูทสีดำ

“คุณเป็นใคร” ภาคินถาม เคืองนิดๆ เพราะหากไม่ถูกขัดขวางคงได้กอดจิระเอาไว้ในอก ตั้งใจจะจูบเพื่อง้องอนคนรักเก่า เพราะรู้ดีว่าจิระชอบจูบของเขามาก

“ฉันพลอยชมพูค่ะ เป็นผู้จัดการและบอดี้การ์ดคนใหม่ที่เพทายส่งมารับคุณ”

<คนที่เพทายส่งมา> จริงสิ ความแตกต่างจากชาติที่แล้ว คนคนนี้เขาแทบไม่รู้จักหล่อนซักนิด

“เพทายส่งให้ฉันมาดูแลคุณ แล้วก็วันนี้ยังตั้งใจจะทำตามสัญญากับคุณ”

<ทานข้าว นัดเดท> จิระกระตือรือร้นทันที “งั้นไปกันเถอะ” จิระเดินนำพลอยชมพูไป และยังไม่ลืมหันมากล่าวลาภาคิน “ฉันขอตัวก่อนนะ”

ภาคินไม่พอใจนิดหน่อยที่ถูกขัดจังหวะ แต่ว่าในเวลาต่อมาก็มีสายเรียกเข้าจากมือถืออีกครั้ง เป็นเบอร์แปลกๆ แต่เขาก็กดรับสาย

< “เอ่อ...ไม่ทราบว่าเป็นญาติของผู้ป่วยไหมครับ” >

“ผู้ป่วยคนไหนครับ”

<” คุณกานดา จงกล น่ะครับ” >

“เขาเป็นอะไรครับ”

<” หน้ามืดเพราะทำงานหนักน่ะครับ เห็นเพื่อนบ้านพามาแต่ไม่มีญาติ พอเราถามเขาก็บอกว่าให้ติดต่อคุณ ตอนนี้เขาแอดมิดที่โรงพยาบาลของเราอาจจะต้องอยู่ให้น้ำเกลืออีกหนึ่งวันครับ” >

“เข้าใจแล้วครับ บอกเขาว่าผมกำลังไป”

ดีเหมือนกัน ไปคราวนี้เขาจะได้ระบุสถานะความเป็นพี่น้องให้ชัดเจน ระหว่างเขากับกานดา อาจสามารถพัฒนาไปหาความรักได้ แต่พอคิดดูให้ดีน้ำหนักของจิระในใจเขากลับมีมากกว่า

แม้ว่าอดีตคนรักจะช่างโวยวายเอาแต่ใจ แต่เขาเองก็ทนมาได้ไม่ใช่หรือ เขาเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้จิระเป็นแบบนั้น จิระในตอนนี้ดูจะเปลี่ยนไป ช่วงเช้าวันนี้เขายืนดูจิระซ้อมบทกับเพื่อนร่วมงานเงียบๆ แล้วก็ได้สัมผัสกับการตกหลุมรักอีกครั้ง

จิระในเวลาที่เป็นนักแสดงช่างส่องประกาย จิระที่ปลงตกเพราะตัดใจจากเขาได้ก็ส่องประกาย ความเหมือนและไม่เหมือนเดิมดึงดูดภาคินจนทำให้เขาไม่อยากปล่อยมือไปหากานดาที่อ่อนแอและอยู่ไม่ได้ถ้าหากขาดที่พึ่ง




                   +++++++++++



                  วันหยุดจะเขียนกี่ตอนก็ได้5555555 แสดงความคิดเห็นให้กำลังใจกันบ้างนะคะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ไม่อยากให้ได้กะแฟนเก่า :katai1:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
เอามาเรื่อยๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ narumo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ไม่ค่อยแน่ใจกับเพทายเลย อะไรคือจดทะเบียนไม่นานก็ตายมันแปลกๆ ไม่รู้ติดแง่ร้ายไปหรือเปล่า

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
บทที่6

กานดานิ่งงันแม้ว่าภาคินจะออกจากห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลไปแล้ว ถึงสามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับภาคินเอาไว้ได้ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ มันต้องไม่ใช่ในแบบพี่น้องสิ แล้วที่เขาพยายามเพียรทำมามันก็สูญเปล่าน่ะสิ

ก็ไม่รู้หรอกนะว่าภาคินเกิดบ้าอะไรขึ้นมา ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าจิระมันเป็นยังไง หรือว่าการเรียกร้องความสนใจของหมอนั่นมันได้ผล ไม่สิอาจเป็นเพราะเขายังดูน่าสงสารน้อยเกินไป

มาถูกภาคินระบุฐานะเป็นพี่น้องอย่างชัดเจนแบบนี้ มันทำให้เขาเสียหน้า แต่สงครามมันยังไม่จบหรอก ผู้ชายจิตใจอ่อนไหวง่ายอย่างภาคินหากเขาวางแผนแสดงให้เห็นธาตุแท้ของจิระมากขึ้นอีกหน่อย <อีกไม่นานเขาก็ต้องวิ่งกลับมาหาเรา>

แต่ก่อนหน้านั้นสำหรับจิระ “ต้องสั่งสอนให้รู้สำนึก” กานดากดส่งข้อความติดต่อผู้ชายคนหนึ่งผ่านทางไลน์ ผู้ชายคนนี้มีอำนาจสื่ออยู่ในมือ สามารถช่วยเหลือเขาได้ ยังไงเขาก็ต้องช่วยอยู่แล้ววัวเคยขาม้าเคยขี่นี่นา เชื่อว่าด้วยสเน่ห์ของเขากับความสัมพันธ์ที่มีมานานจะทำให้เขาคนนั้นยอมช่วยเหลืออย่างแน่นอน



“นี่คือประวัติการทำงานและการศึกษาคร่าวๆ ของฉันค่ะ”

หลังจากขึ้นรถพลอยชมพูก็ยื่นแท็บเล็ตให้จิระทันที เขาเลื่อนอ่านเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับพลอยชมพูอย่างละเอียด ผู้หญิงคนนี้เป็นทหารอาชีพอยู่ห้าปีก่อนจะลาออกมาเป็นพนักงานของบริษัทรักษาความปลอดภัยชั้นนำของโลกที่กระจายสาขาไปทุกประเทศ เรียกได้ว่าเป็นมืออาชีพคนหนึ่ง

“คุณรู้จักกับเพทายได้ยังไง” จิระถาม ไม่แปลกที่เขาจะสงสัย เพราะในชาติที่แล้วไม่มีเงาของผู้หญิงคนนี้อยู่รอบตัวเขาเลย

“นึกแล้วว่าคุณต้องถาม เพทายก็บอกฉันเหมือนกันว่าคุณเป็นคนช่างสงสัย”

“ผมรอฟังอยู่” จิระปรับเบาะหลังให้เอนลงเล็กน้อย รอฟังอย่างตั้งใจ

“ฉันกับเพทายเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยประถมแล้วค่ะ ฉันกับเขาอาศัยอยู่ในหอพักโทรมๆ ที่เดียวกัน เราเรียนด้วยกันตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมปลายค่ะ”

“งั้นคุณก็รู้จักเพทายดี” จิระขยับตัวอย่างกระตือรือร้น “ช่วยเล่าเรื่องของเขาให้ฟังหน่อยสิ”

“ไม่ดีมั้งคะ เรื่องแบบนี้อยากให้คุณถามเขาเองจะดีกว่า ช่วงวัยเด็กของเพทายไม่ใช่เรื่องน่าเล่า” เธอแสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มร่าเริง

“จะว่าไปคุณจิระนี่น่ารักเหมือนที่ฉันจินตนาการเลยนะคะ”

จิระทำตาปริบๆ น่ารัก มีคนชมเขาว่าสวยอยู่มากแต่ไม่ค่อยมีใครชมว่าน่ารัก

“เพทายปลื้มคุณมาก จำได้ว่าสมัยที่เขาเจอคุณใหม่ๆ เมื่ออายุได้สิบห้า เขาบอกว่าเจอกันครั้งแรกคุณก็ขอเพทายเป็นเจ้าสาว”

จิระยิ้มค้าง “จำไม่เห็นได้เลยแฮะ”

“คุณจำไม่ได้ก็ไม่แปลกตอนนั้นคุณอายุแค่ 6 ขวบ ส่วนเพทายในสมัยนั้นก็สวยมากๆ เหมือนเจ้าหญิง”

“เขามีแฟนบ้างหรือเปล่า” จิระไม่รีรอที่จะถามเรื่องสำคัญ เขาอยากรู้ว่านาทีนี้มีคู่แข่งบ้างไหม พลอยชมพูหัวเราะชอบใจ

“ถึงจะหน้าตาสวยเหมือนเจ้าหญิง แต่เพทายเขาเป็นคนก้าวร้าวมากนะคะ อ๊ะ...ฉันพูดผิดไป เขาเป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ จำได้ว่าเขาไปทำงานพิเศษที่ห้างสรรพสินค้าก็มีลูกค้ามาลวนลาม เพทายชกจนดั้งจมูกอีกฝ่ายหักทั้งที่ตัวเล็กกว่า อืม...ทั้งที่ฉันคิดว่าเขาจะสวยงามเหมือนตุ๊กตาตลอดไปแต่กลับสูงขึ้นพรวดพราดและเต็มไปด้วยมัดกล้ามทั่วทั้งตัว อัศจรรย์ใช่ไหมล่ะคะ”

จิระยิ้มเจื่อนๆ เขาจำวิวัฒนาการของเพทายแทบไม่ได้เลย ก็ในชาติที่แล้วเขาเหม็นขี้หน้าเพทายจนไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น นึกแล้วก็เจ็บใจสิ่งที่เขาพอจำได้มีแค่สามีในช่วงอายุ 36 ปีเท่านั้น สมัยนั้นเพทายเป็นหนุ่มใหญ่ที่สง่างามไม่ได้ดูแก่ซักนิด

“เพทายมักจะเอาเรื่องน่ารักๆ ของคุณมาเล่าให้ฉันฟัง บอกว่าคุณเป็นเทวดาตัวน้อยที่สร้างกำลังใจให้กับเขา พอได้เห็นคุณทางรายการnew star ฉันยังคิดเลยว่าโอ้โหคุณดูดีเหลือเกินนะนี่ ยิ่งเห็นตัวจริงแบบนี้ก็เข้าใจได้ว่าทำไมเพทายถึงให้ความสำคัญกับคุณนัก”

“เขาให้ความสำคัญกับผมมากเลยหรือในสายตาคุณ”

“ก็ประมาณว่าเหมือนแม่หวงลูกชายเลยล่ะค่ะ” พลอยชมพูหันมายิ้มจนตาหยี

“อ้อจริงสิเราจะแวะไปบริษัทของแม่คุณไหมคะ หรือจะหาร้านกาแฟดีๆ คุยเรื่องงานกันก่อน กว่าจะถึงเวลานัดของเพทายยังอีกชั่วโมงสองชั่วโมง เอายังไงดีค่ะ”

“อื้อ...แวะร้านกาแฟดีๆ ซักร้านก็ได้ครับ”

ดังนั้นพวกเขาจึงมาอยู่ที่ร้านคาเฟ่กลางแจ้งใกล้ๆ กับห้างสรรพสินค้าชั้นนำ จิระรู้สึกว่าผู้คนรอบตัวมองมาที่เขามากกว่าเมื่อก่อน ก็ไม่แปลกใจคงจำหน้าเขาได้จากรายการnew star

“ตอนนี้มีงานถ่ายโฆษณาติดต่อเข้าหนึ่งรายเป็นโฟมล้างหน้าสำหรับวัยรุ่นผู้ชาย ฉันคิดว่ามันน่าจะช่วยโปรโหมตคุณได้ดีนะคะ แม้ว่าค่าตัวจะไม่ได้มากอะไรนัก แต่มันก็จะช่วยให้คุณโผล่หน้าทางทีวีบ่อยขึ้น คุณจะรับไหมคะ”

“แม่ของผมว่ายังไง” จิระถาม

“เธอบอกว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นสินค้าใหม่ในตลาด การที่เขามาจ้างเราคงเป็นเพราะค่าตัวที่ถูกกว่าบวกกับความสดใหม่ ถึงจะได้ค่าตัวน้อยแต่ไม่ถูกกดต่ำมากเกินไป และอย่างที่บอกใบหน้าของคุณจะไปโผล่ทางป้ายโฆษณาบนท้องถนนและในทีวีเพิ่มมากขึ้นเป็นการโฆษณาตัวเองไปในตัว ดังนั้นควรรับไว้ดีกว่าค่ะ”

“ก็ไม่มีให้เลือกนี่นะ ผมเองก็ไม่ได้เป็นดาราดังซักหน่อย ตกลงผมจะทำมัน”

พลอยชมพูยิ้มจนตาหยีแล้วพูดต่อไป

“อาทิตย์หน้าจะมีงานบวงสรวง จากนั้นจะเริ่มเปิดกอง คิวถ่ายของคุณฉันได้รับมาแล้ว ทีนี้มันใกล้จะเปิดเทอมคุณจะต้องไปเรียน ฉันคิดว่าเราน่าจะซอกแซกได้ โชคดีที่คุณเรียนในวิทยาลัยการแสดง คงไม่ยากอะไรนัก”

“ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากพลาดคลาสเรียนนะ ผมยังต้องฝึกฝนอะไรอีกมาก”

“คุณเป็นคนมุ่งมั่นจังนะคะ”

“อืม...ผมต้องสู้เยอะมาก กว่าคุณปู่กับพ่อจะยอมให้ผมเข้าเรียนในวิทยาลัยการแสดง”







เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะตะเกียกตะกายเข้าไปเรียนที่นั่นเพื่อทำตามความฝัน ยอมขัดใจคุณปู่และพ่อ ด้วยการประกาศว่าจะพิสูจน์ฝีมือตัวเองจากการเข้าแข่งขันในรายการ new star เขาบอกกับคุณปู่กับพ่อว่าหากไม่ชนะการแข่งขันเขาจะอยู่ในโอวาทตลอดหนึ่งปีแล้วกลับไปสอบเข้ามหาลัยชั้นนำตามที่พวกผู้ใหญ่ต้องการ

“เพทายบอกว่าคุณกล้าเดิมพันเพื่อความฝันและมันเป็นสิ่งที่สุดยอดไปเลย”

“เพทายเขาว่าอย่างนั้นหรือ”

“ค่ะถึงฉันจะไม่รู้อะไรมากนัก แต่วิทยาลัยการแสดงชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเน้นสอนการแสดง หากเป็นฉันคงลังเลที่จะเข้าเรียนที่นั่น เพราะฉันคงเลือกเรียนคณะบริหารไม่ก็เศรษฐศาสตร์แล้วไปลงเรียนการแสดงเป็นคลาสๆ ไป จะว่ายังไงดีคะ มันจะทำให้คุณมีความสามารถพอเลือกทางเดินอื่นในอนาคตได้”

“อืม...นั่นสิ สามปีในมหาวิทยาลัยการแสดง เรียนแต่การแสดงอย่างเดียว ถ้าผมไม่เป็นนักแสดงดังนะ ผมอาจต้องเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางที่ขรุขระกว่าคนอื่น”

“ขอโทษนะคะฉันคงพูดมากเกินไป” พลอยชมพูมีสีหน้าลำบากใจ เธอไม่น่าปากพล็อยเลย

“แต่...ครั้งนี้ผมอยากจะทำให้มันดีที่สุดนะ อยากลองอีกครั้ง ในเส้นทางอันขรุขระนี้”

พลอยชมพูไม่เข้าใจความหมาย แต่เด็กวัยนี้มักจะมีความฝันที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเป็นเรื่องธรรมดา

“คุณนี่เปล่งประกายระยับเหมือนที่เพทายเล่าเลยนะคะ”

“นี่มันฟังเหมือนเขาชมผมให้คุณฟังตลอดเวลาเลยนะ” จิระพึ่งนึกถึงข้อเท็จจริงอันนี้ได้ นี่ถือเป็นเรื่องดีเลยนี่ อย่างนี้ถ้าเขารุกจีบเพทายมันก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ

“ฉันฟังจนเบื่อเลยล่ะค่ะ” จิระยิ้มจนแก้มปริ ถ้าเพทายไม่ชอบหรือเกลียดเขาก็ไม่น่ามีพฤติกรรมแบบนี้

“ขอบคุณมากนะครับ”

“คะ” พลอยชมพูงงนิดหน่อยที่อยู่ๆ จิระก็ขอบคุณทั้งที่ฉีกยิ้มแฉ่ง เด็กคนนี้ดูท่าจะเป็นคนตลกด้วย เป็นคนอารมณ์ดีแบบนี้ ไอ้ที่เธอเตรียมใจว่าจะต้องรองรับอารมณ์คุณหนูลูกคนรวยคงคิดผิดไป

ตอนนั้นเองจากหางตาจิระก็สังเกตเห็นดารัน น้องชายต่างมารดาของเขามากับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง มันก็ไม่แปลกแต่เท่าที่ดูจากบุคลิกการแต่งตัวของเด็กกลุ่มนี้ ทำให้คิดว่าน้องชายแอบคบเพื่อนเกเรนอกลู่นอกทางด้วยเหมือนกัน

ชาติที่แล้วเขาไม่ได้สนใจเรื่องของดารันมากนัก ส่วนใหญ่เอาแต่ทะเลาะกัน นอกนั้นก็ทำงานบ้าง เรียนบ้าง และตามตื้อภาคินไปพร้อมกับคอยราวีกานดาอยู่เนืองๆ

นี่น้องชายที่แสนดีของพ่อคบกับเด็กท่าทางอันตรายแบบนี้เลยหรือ นอกจากดารันแล้วทุกคนเป็นกลุ่มอีโมที่เจาะต่างหูไปทั่วร่างกายแถมยังสูบบุหรี่จัดอีกด้วย

ในกลุ่มนั้นชายที่ร่างสูงที่สุดโอบเอวของดารันขณะเดิน ส่วนเจ้าน้องชายก็เอนหัวซบไหล่ของฝ่ายนั้นอย่างสนิทชิดเชื้อ

<แฟนของดารันงั้นรึ> ดารันและเด็กกลุ่มนั้นกำลังเดินเข้ามา จะหลบจะเมินก็ไม่ทันแล้ว อยากให้เด็กพวกนี้ไม่สังเกตเขา แต่เจ้าผู้ชายที่น่าจะเป็นแฟนของดารันทักเขาขึ้นมาเสียก่อน

“อ้าว นี่มันจิระ พี่ชายของนายนี่ดารัน” ดารันสะดุ้งตกใจ พอหันมาเห็นเขาก็หน้าซีดเผือดทันที

“คุณพี่มาทำอะไรแถวนี้ครับ หรือว่ามาถ่ายละคร”

แฟนของดารันตีสนิท แถมยังทำท่าจะมานั่งโต๊ะเดียวกับจิระ เขาไม่ชอบคนพวกนี้และไม่ลังเลหากต้องหักหน้าพวกเขาเหล่านั้น ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปากพลอยชมพูก็แก้สถานะการณ์เสียก่อน

“ขอโทษนะเด็กๆ คุณจิระมีนัดสำคัญคงต้องไปแล้วค่ะ”

พลอยชมพูลุกขึ้นยืน ความสูงของเธอมากกว่าเด็กพวกนั้นเสียอีก จิระกะความสูงน่าจะถึง183 ซ.ม โดยประมาณ

ด้วยความสูงอันนี้บวกกับรัศมีกดดันที่แผ่ออกมา ทำให้กลุ่มเด็กอีโมจำต้องหลีกทาง จิระเดินตามพลอยชมพูไปอย่างสบายอกสบายใจ

“ขอบคุณนะครับที่แก้สถานะการณ์ให้”

“มันหน้าที่ฉันอยู่แล้วค่ะ”

แต่ใครจะคาดคิดว่าดารันวิ่งตามเขามาแล้วคว้าจับมือเอาไว้ จิระหันไปเผชิญหน้ากับน้องชายต่างมารดา

“อย่าได้เอาเรื่องของฉันไปปูดเด็ดขาด” ดารันมีสีหน้าเคร่งเครียด

“ถ้าฉันไม่ทำตามล่ะ” จิระลองแหยดูเล่นๆ ตามจริงถึงดารันจะคบกับใครเขาไม่สนใจซักนิด

“ฉันจะทำให้นายเสียใจอย่างสุดซึ้ง” ดารันข่มขู่ด้วยใบหน้าดุดัน

“เข้าใจแล้ว ปล่อยซักที”

ดารันทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ คนอย่างจิระนี่นะจะวางเฉยเรื่องของเขา ไม่มีทางแน่ๆ ยังไงจิระย่อมต้องเกลียดลูกเมียรองอย่างเขาและคงทำทุกวิธีทางหาข้อด้อยจนถึงขับไล่พวกเขากับคุณแม่ออกไป

“นายต้องสาบาน” ดารันขู่บังคับ จิระยักไหล่

“ถ้านายไม่เชื่อถึงสาบานก็ไม่มีประโยชน์จริงไหม ฉันต้องไปแล้ว”

ไม่รู้ทำไมดารันถึงยอมปล่อยมือจิระง่ายๆ คงเป็นเพราะการตอบโต้ที่แปลกไปของพี่ชายต่างมารดา แปลกมากถ้าเป็นเมื่อก่อนหมอนี่ต้องตอบโต้เขาด้วยคำพูดรุนแรงอีกทั้งคุกคาม แต่ครั้งนี้มันต่างกันออกไป

ดารันมองตามหลังจิระไปด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับจิระที่ใช้แต่อารมณ์คนนั้นกันแน่ จะบอกว่าไม่เกลียดเขาที่เป็นลูกเมียรองแล้วอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเป็นไปได้ ต้องมีแผนอะไรซักอย่างแน่ๆ จิระต้องวางแผนอะไรไว้ซักอย่าง



“แต่งงานกับผมนะฮะ แล้วผมจะไม่ทำให้คุณร้องไห้ไปตลอดชีวิต”

เขายังจำเสียงและใบหน้าน่ารักๆ ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่ามันจะนานมากแล้วก็ตาม เพทายมาถึงร้านอาหารที่นัดไว้ได้ประมาณ 10 นาที เขาเป็นคนเคร่งครัดเรื่องเวลา ดังนั้นจึงมักมาก่อนอย่างน้อย 5 ถึง 10 นาทีเสมอ



ในที่สุดก็ถึงเวลานัด พลอยชมพูพาเขามาส่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง จิระจดจำร้านนี้ได้ขึ้นใจ ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านอาหารเก่าแก่และมีชื่อ ในชาติที่แล้วมันคือร้านที่เขากับสามีไปด้วยกันเป็นประจำในช่วงสุดท้ายของชีวิต

มันเป็นความบังเอิญหรือไงนะ หรือว่าเป็นร้านที่เพทายชอบมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จิระเข้าไปในร้านมองหาเพทายเมื่อเห็นร่างของอีกฝ่ายก็เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มกว้างจนแทบปริ

“นายมานานแล้วหรือยัง” จิระนั่งลงบนเก้าอี้

“ไม่นานครับผมพึ่งมาเมื่อซักครู่”

“งั้นเราสั่งอาหารกันเลยไหม” เพทายส่งเมนูมาให้จิระพร้อมกับเรียกบริกร

จิระจงใจสั่งอาหารที่เป็นของที่เพทายชอบทั้งหมดมา ซึ่งส่วนมากเป็นของเผ็ดทั้งนั้น

“ผมไม่รู้ว่าคุณทานของเผ็ดได้แล้ว”

“ฉันกำลังฝึกทานอยู่” จิระยิ้มให้เพทายจนตาหยี ชาติที่แล้วเขาพยายามเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้เข้ากับเพทาย หนึ่งในนั้นคือการทานของรสเผ็ดที่อีกฝ่ายชอบ

“ถ้ามันเผ็ดมากคุณไม่ต้องฝืนทานมันนะ”

“ไม่หรอกมั้ง” จิระครุ่นคิดแวบหนึ่ง แต่ก็ยิ้มในเวลาต่อมา

และแล้วอาหารก็มาเต็มโต๊ะ จิระพยายามสร้างบรรยากาศด้วยการถามเรื่องงานของเพทาย

“ฉันได้ยินมาว่านายจะไปประมูลพื้นที่ที่เมืองK ถ้าประมูลชนะก็คงดีนะ”

“ไม่ใช่แค่ถ้าครับ แต่มันต้องได้ เพราะบริษัทของเราจะทำเงินได้จากที่นั่นเป็นจำนวนมหาศาล ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเมืองKจะกลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนั้น ผู้คนจะหลั่งไหลไปอาศัยอยู่มากขึ้น ไม่ต่างจากเมืองBในตอนนี้”

จิระอมยิ้ม เพทายคาดเดาได้ถูก อีกไม่นานรัฐบาลจะประกาศจุดยุทธศาสตร์ตรงนั้นและดำเนินการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงอย่างรวดเร็ว ในเวลาแค่สามปีเมืองKจะคึกคักด้วยผู้คนและนักลงทุน นับว่าเพทายมีสัญชาติญาณที่ดี

“อยากให้นายทำได้สำเร็จ” จิระตักอาหารเข้าปาก วินาทีที่ลิ้มรสชาติก็อดสะดุ้งนิดๆ ไม่ได้ นี่มันเผ็ด เผ็ดกว่าที่เคยกินมาครั้งไหนๆ เขาสำลักและไอดังโขลกๆ

“ม..ไม่เป็นไร” จิระกล่าวทั้งน้ำตา เขาพยายามปั้นยิ้ม เพราะเพทายแสดงสีหน้าไม่สบายใจ

“ถ้าทานจานนี้ไม่ได้ทานจานอื่นก็ยังได้” ทั้งที่คิดว่าตัวเองฝึกทานเผ็ดมาจนชินแล้วแท้ๆ แต่พอเลือกกินอีกอย่างผลที่ได้คือแสบลิ้นจนซดน้ำโฮกๆ จังหวะนั้นจู่ๆ เพทายก็เรียกบริการมา

“ผมขอสั่งอาหารเพิ่ม”

“เอ๊ะ...ทำไม” เพทายไม่สนใจคำถามจิระเขาหันมายิ้มและสั่งอาหารใหม่สองสามอย่าง ทุกอย่างคือของที่จิระชอบทั้งนั้น

“ของที่คุณสั่งมาผมจะเป็นคนทานเองทั้งหมด ส่วนคุณทานของที่ผมสั่งมาก็แล้วกัน” จิระนิ่งอึ้ง เขาถูกสั่งห้ามไม่ให้แตะของเผ็ดอีก และเพทายก็ไม่ได้ทานมันเขารอจนอาหารที่สั่งใหม่เพื่อจิระมาถึงจึงเริ่มลงมือไปพร้อมกัน

“ป่านนี้อาหารของนายคงเย็นชืดหมดแล้ว” จิระบ่นอุบอิบ

“ผมทานได้”

“ฉันก็ทานได้เหมือนกัน” จิระไม่ยอมแพ้ แต่ก็ลังเลที่จะทานของเผ็ดเหล่านั้นเข้าไปอีก

“คุณไม่จำเป็นต้องฝืนทำเพื่อให้เข้ากับผม คุณเป็นตัวของตัวเองเถอะ”

“ที่ฉันฝืนก็เพราะว่าฉันชอบนาย” จิระพึมพำ พลางเขี่ยอาหารในจานตัวเอง เขาเผลอพูดว่าชอบเพทายออกไปด้วยความไม่ตั้งใจ พอรู้สึกตัวว่าเผลอไปเขาก็เงยหน้าขึ้นมองดูสีหน้าเพทายด้วยความหวาดหวั่น

จิระกลัวจะถูกปฏิเสธ ทว่าใบหน้าของเพทายช่างอ่อนโยน

“อย่าไปพูดแบบนี้กับใครง่ายๆ นะครับเดี๋ยวเขาจะเข้าใจผิด”

“ไม่เข้าใจผิดหรอกก็ฉันชอบนายจริงๆ” ลองยืนยันความรู้สึกลงไป แต่เพทายแค่ยิ้มน้อยๆ ก่อนทานอาหารของตัวเองไปเงียบๆ

การที่อีกฝ่ายทำเนียนไม่ตอบมันทำให้จิระหายใจไม่ทั่วปอด ได้แต่ด่าความใจเร็วของตัวเอง <บ้าเอ๊ย...เขาน่าจะใช้เวลาสานสัมพันธ์กับเพทายให้มากกว่านี้ ก่อนหน้านั้นเขาแสดงออกชัดเจนว่าเกลียดอีกฝ่าย อยู่ๆ มาบอกว่าชอบ ใครๆ ก็ต้องสงสัยกันทั้งนั้น>

จิระทานอาหารไปอย่างเงียบๆ จวบจนถึงของหวาน ไม่กล้ามองหน้าเพทายต่ออีกเลย เขาเซ็งความโง่เง่าของตัวเองเต็มทน

“เห็นอย่างนี้ผมเองก็ดีใจที่คุณบอกว่าชอบผมนะ”

จิระเงยหน้าขึ้นสีหน้าดูดีทันตาเห็น เพทายชอบรอยยิ้มแบบนี้ รอยยิ้มของจิระช่วยเขาเอาไว้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง หากไม่มีจิระเขาคงปฏิเสธการอุปการะของท่านวศินแล้วเลือกหนีออกจากบ้านไปหางานทำ

เขาในตอนนั้นมีแต่ความเกลียดชัง ถึงแม้ท่านวศินจะยื่นมือมาให้จับ แต่เขาก็ยังโทษว่าเป็นความผิดของท่านวศินที่ยื่นมือมาช่วยเขากับแม่ช้าเกินไปอยู่ดี


ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
เป็นญาติกันป่าวนิ

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1
บทที่7
   เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่ภาคินไม่แวะเวียนมาหาเลย กานดาไม่ได้หัวเสียเท่าไหร่นักเพราะรู้ว่าปฏิบัติตัวแบบไหนหนุ่มรุ่นพี่ผู้เพียบพร้อมถึงจะพอใจ
   เวลานี้กานดานับวันรออย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ผู้ชายของตนให้สัญญาแล้วว่าจะช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ในสิ่งที่ขอ ข้อแลกเปลี่ยนก็เดิมๆ เขาต้องไปนอนรอทำตัวน่ารักๆ อยู่บนเตียง
   กับผู้ชายคนนั้นเขารู้จักอีกฝ่ายมาตั้งแต่มัธยมต้น กานดาใช้ร่างกายแลกเงินจากคนคนนี้จนชีวิตไม่ต้องลำบาก ด้วยการไม่ผูกมัดมากเกินไปบวกกับเงินที่ได้อย่างสม่ำเสมอมันทำให้ความสัมพันธ์ยาวนานจวบจนถึงทุกวันนี้
   อีกไม่กี่วันเท่านั้นกานดาอยากเห็นน้ำหน้าของจิระว่าถึงตอนนั้นจะเป็นยังไง คงโมโหเดือดดาลอาละวาดสุดท้ายก็ร้องไห้ หมอนั่นเป็นแบบนี้มาโดยตลอด

   จิระเคยผ่านงานถ่ายโฆษณามาแล้วหลายครั้งตั้งแต่เล็กจนโต อาจเป็นเพราะว่าแม่ของเขาอยู่ในวงการนี้เลยมีโอกาสได้สัมผัสงานบ่อยๆ แต่ก็อย่างว่าคุณปู่กับพ่อเปิดโอกาสให้ทำสนุกๆ ไม่ได้ให้คิดจริงจัง
   แต่สำหรับจิระที่ค่อยๆ ซึมซับวงการนี้ทีละน้อยก็หลงใหลมันจนในที่สุดตัดสินใจกระโจนเข้าใส่ทำตามความฝันเหมือนอย่างทุกวันนี้
   “ผมมีงานใหม่ๆ เข้ามาบ้างไหม” จิระถามพลอยชมพูทันทีหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและเตรียมกลับบ้าน
   “ยังไม่มีอะไรเข้ามาใหม่ค่ะ แต่พรุ่งนี้คุณมีงานบวงสรวงแต่เช้าฉันคิดว่าจะส่งคุณกลับบ้านเร็วหน่อย คุณจะได้พักผ่อนได้เต็มที่ หรือคุณว่าไงคะ”
   “อืม...ก็ดีเหมือนกันครับ”
   “งั้นกลับกันเถอะค่ะ”
   แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าภาคินจะดักรออยู่ที่สตูดิโออีกแล้ว ทั้งที่หายหน้าไปหลายวันจนทำให้โล่งใจแท้ๆ เชียว จิระเบ้ปากทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่าย
   “จิระ วันนี้ไปด้วยกันหน่อยนะ ที่โรงแรมใกล้ๆ นี่จัดงานแสดงภาพเขียนของฉัน ยังไงก็อยากให้เธอไปดู”
   จิระเกือบๆ จะลืมไปเลย ว่าภาคินเป็นนักวาดภาพที่มีชื่อเสียง ผลงานของเขาขายดีได้รับคำวิจารณ์ในทางบวกเสมอ ที่สำคัญเขารู้แล้วเรื่องที่อดีตคนรักต้องการเอาใจด้วยการอวดภาพวาดซึ่งบรรจงสร้างมาได้ระยะหนึ่ง
   “อย่าบอกนะว่านายวาดรูปของฉัน”
   “อ้า...เดาถูกด้วย เพราะอย่างนั้นถึงได้อยากให้เธอไปดูไงล่ะ”
   จิระยิ้มๆ ไม่พูดอะไร กำลังคิดว่าจะหาทางปฏิเสธยังไงดี แต่เสียงเรียกมือถือก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ดังนั้นจึงต้องรับสายทั้งที่ยังหาข้ออ้างไม่ได้
   <”จิระนี่แม่เองนะลูก”>
   “มีอะไรครับแม่”
   <”เมื่อเช้านี้นะแม่ไปดูนิทรรศการภาพวาดของภาคินมา เห็นรูปลูกอยู่ที่นั่นด้วย มันสวยมากแล้วก็มีคนสนใจกันเยอะ แม่ก็เลยคิดว่าจะซื้อมันกลับบ้าน แต่ภาคินเขาบอกว่าจะยกให้ฟรี ก็ยังไงดีล่ะ....เมื่อเช้าแม่ไม่สะดวกนำกลับบ้านเลยส่งภาคินไปรับลูกแล้วให้ลูกเอามันกลับบ้านมาให้แม่ แม่จะรออยู่บ้านนะจ๊ะ อ้อบอกพลอยชมพูด้วยว่าให้ไปที่ออฟฟิตตอนนี้เลยแม่ลืมเอกสารไว้ที่นั่นให้เขาไปเอามาให้แม่ด้วยนะ”>
   จินดาวางสายก่อนจะนึกถึงเรื่องเมื่อสองวันก่อน ภาคินมาหาเธอและขอร้องให้ช่วยง้องอนจิระ เธอไม่ใช่คนช่างซักถามเลยไม่ล้วงลึกว่าเด็กๆ โกรธอะไรกัน เพราะว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จิระมักจะโมโหฝ่ายเดียวแล้วให้ภาคินตามเอาอกเอาใจที่หลัง
   ทะเลาะกันทีไรก็หลบหน้าให้ภาคินง้อ สุดท้ายลูกชายของเธอก็วิ่งแจ้นเข้าใส่เพราะชอบเขาอยู่ดี จินดารู้ดีว่าลูกชายคนดีค่อนข้างอารมณ์แปรปรวนเป็นผลจากการถูกกดดันในหลายสิ่งหลายอย่าง แม้ว่าเธอพยายามชดเชยมากเท่าที่จะทำได้ แต่ลูกชายก็เลือกภาคินเป็นที่พึ่งพิงมากกว่าตัวเธอเสียอีก
   ครั้งนี้ก็คงเหมือนเดิม แต่อาจจะงอนมากกว่าครั้งไหนๆ ภาคินเลยขอให้จินดาลงมือช่วย ในสายตาของเธอภาคินดีพร้อมเป็นตัวเลือกที่ดีและจิระเองก็รักเขา ดังนั้นจึงให้ความร่วมมือทุกอย่างเพื่อให้ทั้งสองคืนดีกัน

   
จิระเม้มปากเข้าหากัน เขาถลึงตาใส่ภาคินซึ่งยืนยิ้มหวาน <หน้าด้าน> กล้ารวมหัวกับแม่ของเขาแล้วทำแบบนี้ กลับไปถึงบ้านยังไงต้องพูดกับแม่ให้รู้เรื่อง
   “คุณพลอยชมพูโทรกลับหาแม่ของผมด่วนเลยครับ แล้วก็ผมต้องไปธุระกับภาคินคุณกลับไปก่อนได้เลย”
   หลังจากบอกคำสั่งของแม่ จิระก็หันไปมองภาคิน “จะไปกันได้หรือยังล่ะ” ภาคินยิ้มแล้วเดินนำจิระไปยังรถของเขาที่จอดรออยู่ก่อนออกเดินทางไปด้วยกันจนถึงโรมแรมซึ่งจัดนิทรรศการ
   พอไปถึงที่ภาคินก็พาจิระไปยังบริเวณจัดแสดงภาพเหมือนของอดีตคนรักทันที
   “สวยไหม” ภาคินยิ้มจนตาหยี
   “ก็สวยสมกับฝีมือคนวาดนะแหละ” จิระยืนมองดูภาพวาดของตัวเองแล้วนึกถึงความทรงจำอันไม่น่าพิศมัย ภาพวาดอันนี้ในชาติที่แล้วมันเคยเป็นสมบัติหวงแหนของเขามาก
จำได้ว่าครั้งที่ถูกภาคินบอกเลิก เขาร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาณพอเห็นภาพเหมือนที่ภาคินวาดก็เจ็บช้ำจนทนดูไม่ได้ จึงใช้มีดกรีดภาพที่แสนสวยงามระบายความเสียใจ ในตอนนั้นเพทายเขามาพบแย่งมีดไปจากเขา
   “ถ้าคุณไม่ต้องการภาพนี้แล้วล่ะก็ยกมันให้ผมเถอะ”
   จิระในเวลานั้นไม่เข้าใจว่าเพทายต้องการอะไร คิดได้อย่างเดียวว่าอีกฝ่ายยุ่งไม่เข้าเรื่อง
   “อย่ามายุ่งนะ เป็นขี้ข้าก็อยู๋ส่วนขี้ข้าสิ” จิระยกมีดหมายจะจ้วงแทงรูปอีก ใครจะคาดคิดว่าคนอย่างเพทายกลับคว้าใบมีดเอาไว้ พอเห็นเลือดของอีกฝ่ายเขาก็มือไม้สั่นปล่อยมีดทันที
   “คุณมีค่ากว่านั้นมากนะครับ อย่าทำตัวตกต่ำอย่างนี้เลย”
   จิระในช่วงนั้นของชาติที่แล้วยังเกลียดเพทายอยู่มาก เพราะงั้นถึงแม้จะรู้สึกผิดที่อีกฝ่ายเลือดออก แต่ด้วยทิฐิมานะที่มีอยู่เต็มเปี่ยมเขาเลือกที่จะไม่สนใจอาการบาดเจ็บของฝ่ายนั้น เขาสะบัดหน้าหนีและตามไปหาเรื่องกานดาที่คิดว่าเป็นต้นเหตุ
   แค่นึกถึงหน้าเพทายจิระก็เผยอยิ้มออกมา ภาคินเข้าใจว่าตนเองน่าจะง้องอนได้สำเร็จ เขาเดินมายืนข้างๆ อดีตคนรัก แล้วจับมือนุ่มนิ่มบีบเบาๆ ด้วยความทะนุถนอม คนถูกฉวยโอกาสหันไปจ้อง แววตาไม่พอใจฉายชัด
   “ยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือ” ภาคินยิ้ม เหมือนคราวนี้จิระจะโกรธเขามากจริงๆ คงเป็นเพราะคนที่ตนเข้าไปยุ่งด้วยเป็นคนที่จิระไม่ชอบขี้หน้า
   แต่ภาคินไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมจิระถึงจงเกลียดจงชังกานดานัก กับคนที่ด้อยกว่าทุกทางแบบนั้น บางครั้งก็มุ่งมั่นชำระแค้นจนเขาทนดูไม่ไหวต้องเข้าไปจัดการไม่ให้เรื่องมันบานปลาย
   “เอาล่ะฉันยอมรับก็ได้ เป็นฉันเองที่มักง่ายปันใจให้คนอื่น ฉันรู้ว่าฉันผิด เธอไม่จำเป็นต้องให้อภัยตอนนี้ แต่ฉันจะใช้เวลาพิสูจน์จนกว่าเธอจะพอใจ”
   หากเป็นชาติที่แล้วจิระคงดีใจจนร้องไห้ นี่คือสิ่งที่เขาเคยฝันว่าจะได้ยินมันจากปากของภาคิน
   “คุณจิระ”
   จิระและภาคินหันไปมองตามเสียงเรียกและพว่าเพทายยนอยู่ตรงนั้น
 <พี่เลี้ยงของจิระนี่เอง> ภาคินจำได้ว่าจิระเกลียดผู้ชายคนนี้เอามากๆ
   “นายมาที่นี่ได้ยังไง หรือว่ากลับมาจากงานประมูลที่เมืองkแล้ว”
   “ครับผมกลับมาแล้ว”
   ภาคินไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ระหว่างคนสองคนมีบรรยากาศแปลกๆ เขามองดูจิระแล้วพบว่าอดีตคนรักมีสีหน้าผ่อนคลายผิดกับทุกที
   “ท่านวศินกับคุณพ่อของคุณให้มาตามผมไปพบที่บ้าน”
   “อ้อ...” จิระขมวดคิ้ว <ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็> เขาเริ่มจะรู้แล้วว่ามันคือเรื่องอะไร
   “งั้นกลับกันเถอะ อ้อ...ภาคิน” จิระหันไปพูดกับภาคิน “คุณช่วยจัดการห่อรูปนี้ให้ผมด้วยสิผมต้องเอามันกลับไปวันนี้
   ภาคินพยักหน้า การที่อีกฝ่ายไม่ตามตอแยให้มากความทำให้จิระสบายใจขึ้นนิดหน่อย หลังจากได้รูปแล้วเขาก็ตามเพทายไปยังรถที่อีกฝ่ายขับมาด้วยตัวเอง
   “รูปของคุณสวย” เพทายพูดขึ้นหลังจากขับรถไปได้ระยะหนึ่ง “ผมอยากได้มัน”
   วินาทีที่ได้ยินคำพูดของเพทาย หัวใจของเขาก็เต้นตึกตัก <เพทายอยากได้รูปของเรา แบบนี้จะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมนะ>
   นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกเขินอายกับใครแบบนี้ จิระซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำลงแล้วตอบรับคำขอของเพทายด้วยแสงแผ่วหวิว “ถ้าอยากได้ก็เอาไปสิ ฉันจะบอกคุณแม่ให้เอง”
   จากนั้นเพราะมัวแต่ประหม่าทำให้จิระไม่กล้าพูดหรือมองหน้าเพทายอีกเลย ท่ามกลางความเงียบเสียงหัวใจของตนเองช่างดังเกินไปแล้ว

ออฟไลน์ Merai_View Ha Bin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เพทายนี่มีความคะแนนนำสุด แต่เรื่องเพิ่งจะดำเนินมาไม่เท่าไหร่ ยังตัดสินไม่ได้สินะคะว่าใครเป็นพระเอก จะมีการพลิกล็อคอะไรรึเปล่าคะเนี่ยยย รอติดตามจ้า อิอิ

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
จะสามีเก่าหรือผู้กำกับคนไหนกะด้ายไงกะไม่เอาภาคิน

ออฟไลน์ lucifer miumiu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +147/-1

บทที่8

“เอ้าอ่านดู” พ่อโยนนิตยสารข่าวดาราให้จิระ ที่ยืนเป็นจำเลยต่อหน้าคนในครอบครัวซึ่งมารวมตัวกันจนครบ

จิระเปิดอ่านหน้าที่ถูกคั่นและใช้ปากกาเมจิคสีแดงเน้นข้อความเอาไว้ ข่าวที่ว่ามีเนื้อหาดังนี้

<ดาราหน้าใหม่ จ กับแม่โต้เถียงเรื่องบทกับผู้กำกับ พ ในกองถ่าย นั่นไม่น่ารักเท่ากับชัยชนะอันน่าสงสัย ขาวสะอาดหรือใช้เงินปั่นโหวต>

“นี่เท่ากับแกกับจินดาผิดเงื่อนไขที่สัญญากับฉันแล้วก็ปู่แกเอาไว้ แกบอกว่าจะชนะแข่งขันด้วยฝีมือของแกเอง จิระแกไปลาออกจากมหาลัยการแสดงบ้าๆ นั่นซะ แล้วก็เลิกฝันเป็นดาราบ้าๆ บอๆ ได้แล้ว”

จิระเม้มปาก ชาติที่แล้วก็เกิดเหตุการณ์นี้เหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงเท่าคราวนี้ การที่ข่าวซุบซิบมีเนื้อหาใส่ร้ายเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่า คิดไม่ออกจริงๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง

ในชาติที่แล้วข่าวเสียหายมีแค่เรื่องที่เขากับแม่โต้เถียงกับผู้กำกับพัชรเท่านั้น

“คุณเข้าใจผิดไปแล้วคมสัน คุณคิดว่าฉันมีเงินมากพอจะจ้างคนปั่นโหวตให้จิระหรือไง คุณไม่เชื่อมั่นในตัวจิระเลยหรือ” จินดาพยายามพูดอย่างมีเหตุผล

“ต๊าย...แต่ข่าวมันต้องมีมูลนะคะคุณพี่” ดารินทำทีเตือนสติคมสัน จินดาถลึงตาใส่นึกอยากกระโดดเข้าไปตบนังเมียน้อยให้ขนตาปลอมหลุด

“ฉันเคยเตือนเธอหลายครั้งแล้วใช่ไหม ว่าหยุดว่าร้ายลูกชายคนเดียวของฉัน เธอจะว่าอะไรฉันก็ได้ แต่ห้ามทำอย่างนั้นกับจิระ”

“ว้ายตายแล้วดูที่คุณพี่จินดาขู่ฉันสิคะคุณพี่” ดารินแสร้งทำท่าผวา คนอย่างจินดามีหรือจะไม่รู้ว่าเป็นการเล่นละคร คมสันยังลำเอียงเหมือนเดิมคว้ามือของดารินลูบไล้ปลอบโยน

“ก็เพราะเธอนั่นแหละให้ท้ายจิระมัน ดูมันสิฉันกับปู่ของมันคาดหวังให้มันเรียนเพื่อเป็นเสาหลักของบ้าน แล้วมันทำอะไรบ้างนอกจากตามตูดผู้ชายกับหาเรื่องทะเลาะกับดารันทุกวัน”

จินดาอยากจะกรีดร้องให้ดังๆ การที่จิระโหยหาความรักจากผู้ชายด้วยกันมากกว่าเพศตรงข้ามสาเหตุล้วนมาจากไม่ได้รับในสิ่งที่เขาควรได้จากคนเป็นพ่อ

แถมที่ต้องทะเลาะกับดารันทุกวันทำไมถึงไม่สังเกตพฤติกรรมของลูกชายคนเล็กที่แสนดีบ้างเล่า เด็กนั่นก็ร้ายใช่ย่อยที่ไหน ความเกรี้ยวกราดสูสีกับลูกของเธอทีเดียวแหละ

“เฮอะพูดไปคุณจะหาว่าฉันใส่ร้าย คนที่ไม่เคยเลี้ยงจิระมาอย่างคุณไม่มีทางเข้าใจ”

“ก็ทำไมจะไม่เข้าใจ” คมสันทุบโต๊ะดังปัง “ฉันเห็นพฤติกรรมมันมาตั้งแต่เด็ก” ชี้หน้าจินดาแล้วตะคอกเสียงดัง “เพราะแม่อย่างเธอเอาแต่ทำงานนอกบ้าน แทนที่จะอยู่บ้านดูแลจิระมันเหมือนดารินดูแลดารัน จิระมันขาดความอบอุ่นเพราะเธอนั่นแหละ”

เมื่อถูกจี้เอาความเป็นจริง จินดาก็ปากคอสั่น เธอยอมรับว่าเอาแต่ทำงานเพื่อให้ลืมความเศร้าเรื่องที่คมสันห่างเหินไป ห้าปีที่เธอเอาแต่ทำงานปล่อยให้ลูกชายอย่างจิระไล่ตามไปยังที่ต่างๆ

ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเธอปล่อยปละ แต่แค่คิดว่าเอาลูกชายไปที่ทำงานด้วยบ่อยๆ ครั้งคงชดเชยในสิ่งที่ขาดได้ คิดว่าทำดีที่สุดสำหรับคนที่พยายามลืมความเจ็บปวดอย่างเธอ

จินดาร้องไห้ออกมาจนได้ จิระกำหมัดแน่น เหตุการณ์นี้ต่างไปจากชาติที่แล้วโดยสิ้นเชิง แม่ร้องไห้อย่างที่ไม่ได้ทำมานาน จิระไม่สนใจจะโต้เถียงกับพ่อของเขาด้วยซ้ำ เขาเดินให้หาแม่นั่งลงข้างๆ กอดปลอบทั้งซับน้ำตาให้

“ถ้าคุณพ่อไม่อยากให้ผมเป็นนักแสดง ผมไม่ทำก็ได้ครับ แต่ได้โปรดเลิกทำร้ายจิตใจแม่ของผมซักที”

คมสันเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ จิระเป็นเด็กเอาแต่ใจและดื้อแพ่งในสายตาของเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงแม้ต่อหน้าตนจะทำเป็นหัวอ่อนเชื่อฟังแต่การกระทำตรงข้ามไปเสียทุกอย่าง

“แกสำนึกได้ก็ดี เดี๋ยวให้เพทายมันไปจัดการเรื่องน่ารำคาญให้หมด” คมสันตวัดตามองไปยังเพทายซึ่งนั่งฟังเงียบๆ โดยตลอด พอเห็นสีหน้าเยือกเย็นของมันแล้วก็หงุดหงิดพาลนึกไปถึงเรื่องการประชุมของวันนี้

“คุณบ้าหรือเปล่า อย่างน้อยคุณควรให้จิระถ่ายทำหนังที่เซ็นสัญญาแล้วให้จบเสียก่อน” จินดาตวาดแหวแต่คนอย่างคมสันหรือจะสน

“ช่างมัน เงินทองเท่าขี้เล็บ ทำไมครอบครัวเราจะจ่ายไม่ได้”

“แต่คนอื่นจะมองจิระยังไงคุณคิดบ้างไหม” จินดาไม่ยอมเด็ดขาด หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ใครๆ จะมองว่าจิระเป็นคนไม่เอาอ่าว แถมยังไม่มีโอกาสพิสูจน์ฝีมือที่แท้จริงแก้คำครหา คนเป็นแม่อย่างเธอทนไม่ได้แน่ๆ

“ทำอย่างกับว่าทุกวันนี้คนอื่นมองจิระมันเป็นเทวดาแสนดีอย่างนั้นแหละ จิระมันแย่เสียยิ่งกว่าแย่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“คมสันนี่มันจะเกินไปแล้วนะ” จินดาตวาดเสียงแข็งเธอยืนขึ้นท้าทาย ดวงตาวาวโรจน์ดุร้าย แม้แต่คมสันยังต้องตกใจ

“เอาล่ะ พอได้แล้ว” เสียงของผู้นำตระกูลทำให้ความเดือดพล่านลดอุณหภูมิลง วศินนิ่งฟังเด็กๆ โต้เถียงกันนานแล้ว แถมการสังเกตในคราวนี้ยังเห็นความเปลี่ยนแปลงของหลานชายคนโตอย่างชัดแจ้ง

ทีแรกที่ได้ยินก็คิดว่าเพื่อนของเขาพูดเล่นเท่านั้น วศินนึกถึงเรื่องเมื่อสามวันก่อนตอนที่ไปเล่นกอล์ฟกับเพื่อนที่คฤหาสน์ของฝ่ายนั้น

“ยังจำหลานชายคนโปรดของฉันได้ไหม” จู่ๆ ตาแก่พานทองก็เปลี่ยนเรื่องคุย

“อ้อหลานชายที่เป็นดาราดังคนนั้นนะรึ”

“ไม่ใช่ๆ ตอนนี้เป็นผู้กำกับดังแล้วนะ อาราย...ไม่เคยได้ยินชื่อพัชร อำพันหรือไง ฉันพูดอวดให้ฟังตลอดเวลาเลยนา”

“เฮ้อ...ฉันแก่ปูนนี้แล้วต้องมีสับสนบ้างล่ะ วันนี้จะอวดอะไรอีกล่ะ”

“เปล่าๆ ไม่ได้อวด”

วศินเลิกคิ้ว การที่พานทองไม่อวดหลานชายคนโปรดนี่เรียกได้ว่าแปลกมาก

“หลานชายคนโตของนายที่ชื่อจิระเขาจะเล่นหนังที่พัชรกำกับ ที่แรกก็ว่าจะไม่พูดถึงน่ะนะเพราะว่าหลานชายฉันบ่นๆ อยู่ว่าไม่พอใจที่ต้องให้นักแสดงที่ไม่รู้ว่าใช้เงินปั่นโหวตชิงตำแหน่งเข้ามาหรือเปล่า เขาหัวเสียน่ะที่นายทุนบังคับให้เขารับตัวปัญหาเข้ามาเล่นเป็นหนึ่งในตัวเอก”

“นั่นหมายถึงจิระหลานชายของฉันหรือ” วศินถาม พานทองพยักหน้า

“ฉันก็เลยเสนอหลานชายไปว่าให้ถอนตัวและเอาบทภาพยนต์คืนมาซะ แล้วฉันจะเป็นนายทุนให้เอง นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันมีเงินเยอะแยะ”

วศินยิ้มๆ ให้กับการโอ้อวดของเพื่อนรุ่นเดียวกัน อำพันแซทเทลไลท์จำกัดมหาชนผู้ให้บริการธุรกิจดาวเทียมเชิงพาณิชย์รายเดียวของประเทศ ผู้ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในวงการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ มีเงินมากมายมหาศาลย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก

“แล้วเขาไม่รับการช่วยเหลือรึ”

“ก็ไม่น่ะซี้ เขาเคยรับเงินจากฉันเสียที่ไหน...ที่นี้เรามาคุยถึงหลานชายนายดีกว่า”

“เขาไปก่อเรื่องอะไรหรือไง” วศินหน้าขรึม เขารู้นิสัยของจิระดีเพราะเห็นมาแต่เด็ก แม้ไม่ใช่เด็กที่เลวร้ายโดยกมลสันดาร แต่การระงับอารมณ์โกรธไม่ค่อยได้ถือเป็นปัญหาใหญ่ของหลานชายคนนี้

“ไม่เลย พัชรชมเด็กนั่นให้ฉันฟังด้วยนะ บอกว่าเป็นเด็กที่น่าคาดหวังคนหนึ่ง เรื่องที่ปั่นโหวตคงคิดไปเอง หลานชายฉันไม่ใช่คนชอบชมใครพร่ำเพรื่อ ถ้าเขาชมใครคนนั้นจะต้องดีมากๆ”

“หมายความว่าเขามีพรสวรรค์ทางด้านนี้” วศินถาม

“ก็ใช่นะซี้ น่าดีใจไม่ใช่รึ”

“ไม่ค่อยดีใจ ฉันอยากให้เขาเรียนบริหารแล้วมาดูแลธุรกิจของครอบครัวมากกว่า”

“แต่นายยังมีหลานชายคนเล็กนี่ อย่าไปดับฝันของเด็กๆ จะดีกว่าน่า”

“ก็ไม่ได้คิดจะดับฝัน”

การที่ได้ฟังเพื่อนสนิทชมจิระมาจนอิ่ม บวกกับท่าทีที่แสดงออกในยามนี้ของหลานชายคนโต วศินได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง

จิระเลิกโต้เถียงและฟังเหตุผลมากขึ้น จากสถานการณ์ทะเลาะกันกับพัชรซึ่งพานทองเล่าให้ฟัง และครั้งนี้เจ้าหลานตัวดีก็ไม่ได้ระเบิดอารมณ์เอาแต่ใจแต่อย่างใด ตามปกติถ้าไม่ทำลายข้าวของก็จะบีบน้ำตาไม่อย่างใดอย่างหนึ่ง ทว่ากลับไม่ได้เป็นแบบนั้น

“ยังไงก็แล้วแต่ ควรให้จิระถ่ายหนังให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ในเมื่ออยากลองทางด้านนี้ก็ให้ทำดู ส่วนข่าวซุบซิบมันก็เป็นเรื่องปกติ คนมันเริ่มดังฝูงเหยี่ยวฝูงการุมทึ้งนิดหน่อยไม่น่าแปลก”

“คุณปู่จะให้ผมเป็นนักแสดงต่อได้หรือครับ” จิระงุนงง นี่มันสถานการณ์ดีกว่าในชาติที่แล้วมาก ทีแรกนึกว่าเลวร้ายกว่ากลับกลายเป็นดีไปได้ยังไงก็ไม่รู้

ไม่ใช่แค่จิระคนเดียวที่นิ่งอึ้ง พวกผู้ใหญ๋โดยเฉพาะคมสันเหมือนถูกตีหัว

“คุณพ่อ” คมสันเตรียมตัวจะค้าน แต่วศินยกมือห้ามปราม

“ให้ลองดูก็ไม่เสียหายนี่”

คมสันเคี้ยวฟันดังกรอด ตวัดสายตาไปมองเพทายอย่างดุดันก่อนจะหันกลับมามองวสินด้วยแววตาน้อยเนื้อต่ำใจ

เพราะลูกชายคนโตของเขามันไม่เอาอ่าวนั่นแหละ เขาหวังพึ่งเจ้าลูกชายคนนี้มากว่าดารันลูกคนเล็กเสียอีก แต่ก็มาทำให้ผิดหวัง จะให้ดันดารันขึ้นมาแทนเจ้าคนเล็กก็หัวอ่อนจนไม่รู้ว่าจะห่ำหั่นฟาดฟันกับใครเขาได้หรือเปล่า

“แกทำฉันผิดหวังมากจิระ” คมสันตบโต๊ะดังปังแล้วลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

“คุณคะรอฉันด้วย” ดารินตามมาติดๆ แต่ก็ถูกคมสันตวาด

“ฉันอยากอยู่คนเดียว”

จากนั้นคมสันก็ไปยังห้องทำงานส่วนตัว ไปถึงก็คว้าเอาเหล้าราคาแพงในตู้เก็บมาดื่มเพียวๆ

“ไอ้เพทาย” นึกถึงเจ้าของชื่อก็อดเข่นเขี้ยวไม่ได้ ทั้งที่เพียรพยายามกดหัวมันมานาน ใครจะคิดเล่าว่าพลาดแค่ไม่กี่ตากลับทำให้มันได้ผลงานไปเต็มๆ

“จะบอกว่ามันสัญชาติญาณดีงั้นรึ” คมสันกระดกเหล้าขึ้นดื่มอีก การประมูลพื้นที่ทีเมืองKเขาคิดว่าจะยอมปล่อยให้เพทายทำตามใจชอบ เขาตั้งใจนับเดือนนับปีรอดูผลประกอบการที่พังไม่เป็นท่า

แต่เมื่อสามวันก่อนคมสันได้ยินข่าวจากวงในเกี่ยวกับการร่วมมือของรัฐบาลกับประเทศ J ข้อมูลอันนี้ทำให้มันสมองของเขาประมูลผลอย่างรวดเร็ว

<นั่นมันหมายความว่าโครงการนี้มันจะสำเร็จด้วยมือของไอ้เพทายไม่ใช่หรือวะ โครงการยิ่งใหญ่อลังการอันนี้ ไม่ใช่ด้วยมือของเขาแต่เป็นมัน มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ>

คมสันกำแก้วเหล้าแน่นขึ้นและแน่นขึ้น เมื่อนึกถึงเรื่องการประชุมเมื่อเช้า เขายิ่งหัวเสียหนัก ห้าปีก่อนเขาโยนแผนกพัฒนาเกมส์ให้เพทายไปจัดการ เพราะคิดว่าไอ้ของแบบนี้มันมัวเมาเยาวชน จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดอย่างนั้น

แต่ไอ้เพทายกลับไปขออนุมัติเงินทุนจากคุณพ่ออย่างลับๆ แอบสร้างเกมส์มาโดยตลอด พอเขาจะคัดค้านเพราะตัวเกมส์ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ไอ้เพทายก็บอกว่าจะทดสอบโดยการปล่อยเกมส์ตัวอย่างให้เล่นฟรีในโลกออนไลน์

<มันบ้าหรือเปล่าวะ> ขึ้นชื่อว่าเกมส์มันต้องเก็บเป็นความลับสิ ขืนปล่อยเนื้อหาให้เล่นไปก่อนอย่างนี้ ความตื่นเต้นจากการสัมผัสในครั้งแรกมันจะเหลืออะไร

“มันโง่หรือฉลาดกันแน่”

แล้วไอ้เกมส์แนวที่มันเรียกว่า Battle Royale นี่มันคืออะไรเขายังไม่เข้าใจ ไอ้ของแบบนั้นมันขายได้หรือไง ไม่มีทางขายได้แน่ เขาจะรอดูคำวิจารย์จากผู้ทดลองเล่น

ที่นี้นะไอ้ความดีจากโปรเจ็คเมืองKก็จะถูกหักลบกลบไปด้วยจำนวนเงินที่มันขออนุมัติไปพัฒนาเกมส์จำนวนมหาศาล <สมน้ำหน้า สมน้ำหน้าฉิบหาย>

คิดได้อย่างนี้คมสันก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหลือก็แต่เรื่องของจิระ ยังไงต้องทำให้ไอ้ลูกโง่นี่กลับมาเข้ารูปเข้ารอยให้ได้

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
อยากอ่านตอนต่อไปล้าว

ออฟไลน์ Merai_View Ha Bin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
นี่อยากรอหลายๆตอนแล้วค่อยอ่าน จะได้ไม่ค้างแต่มือไม่รักดีเห็นอัพทีไรก็กดเข้าอ่านทุกทีเลยอ่าาาา รอออออออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด