Chapter 16 .1
ร่างสูงโปร่งตรงออกมาจากลิฟต์โดยสาร พนักงานด้านหน้ายังคงยิ้มทักทายเต้ยอย่างทุกเช้า หากวันนี้กลับต่างออกไปเมื่อไร้ซึ่งเงาของสารถีกิตติมศักดิ์ที่มักจะนั่งคอยที่ล็อบบี้ เตรียมตัวไปส่งเต้ยที่ทำงานเหมือนเคย
“คุณเต้ยคะ คุณกวีฝากนี่ไว้ให้ค่ะ” เต้ยมองซองกระดาษสีน้ำตาลอย่างสนเท่ห์ แต่ก็รับมันไว้ด้วยมารยาท
“ขอบคุณครับ” มือเรียวเปิดซองออกดูแล้วก็พบว่ามันเป็นกุญแจจาร์กัวร์คันที่เขานั่งอยู่ทุกวัน
เต้ยขมวดคิ้วมุ่น ด้วยอีกฝ่ายไม่ได้บอกอะไรเขาแม้แต่คำเดียว มือเรียวข้างหนึ่งถือกุญแจเอาไว้ ในขณะที่อีกมือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นกดหาหม่อมหลวงหนุ่ม
[ ครับ… ]
“ทำไมทิ้งกุญแจไว้ล่ะ คุณไม่ว่างเหรอ”
เต้ยกัดริมฝีปาก นึกสมเพชตัวเองนิดหน่อยที่ตั้งคำถามได้ไม่ฉลาดเอาเสียเลย ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้กวีก็ดูจะงานยุ่งขึ้นเรื่อย ๆ และค่อย ๆ หลีกเลี่ยงนัดเขาไปทีละอย่างสองอย่าง
[ คุณยังไม่ได้รถนี่ครับ ไว้ใช้เสร็จแล้วค่อยคืนนะ ] เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างเปี่ยมมารยาท ความห่างเหินที่เกิดขึ้นทำให้เต้ยรู้สึกคล้ายอยู่กันคนละโลกกับเขา สถาปนิกหนุ่มเก็บคำชวนที่ตั้งใจจะพาเขาไปกินเนื้อย่างไว้ไม่ให้ล่วงผ่านจากปาก
น่าจะเป็นเพราะวันนั้นที่เขาไม่ได้ตกลงตอบรับที่จะให้โอกาสกวีถึงโกรธ หรือไม่ก็อาจจะเข้าสู่ช่วงหมดโปรโมชั่นแล้ว
“อย่าเลย เดี๋ยวผมเอาไปชนอีกจะเรื่องใหญ่นะ” เต้ยพยายามติดตลก ทว่ามันกลับแห้งเเล้งจนน่าประหลาดใจทีเดียว
[ เก็บไว้ใช้เถอะ วันนี้คุณมีประชุมหลายที่ด้วย ผมไม่อยากให้คุณแบกของไปไหนมาไหน มันลำบาก ] เขาอธิบายยืดยาว
“คุณทำแบบนี้ทำไม”
ดวงตากลมไหวระริก เต้ยเผลอปิดเปลือกตาลง ในอกสั่นไหวยิ่งทำให้รู้สึกไม่มั่นคง กลัวใจกับถ้อยคำรุนแรงอย่างที่แดนดินเคยพูด ถ้ากวีผู้ที่รุกหนักอย่างสม่ำเสมอยังบอกลาเขาอีกคน ความมั่นใจในการคบหาใครสักคนคงหดหายและคงต้องใช้เวลาอีกนานที่จะฟื้นฟูมันขึ้นมาใหม่
..อย่าทำดีให้กัน แล้วตบท้ายด้วยคำว่าไม่รัก…
ไม่อย่างนั้น เต้ยจะไว้ใจคนอื่นได้อีกอย่างไรกัน ?
[ ผมไม่อยากให้คุณลำบาก เท่านี้ก่อนนะครับ ผมมีงานด่วน ] ที่สุดแล้วสายก็ถูกตัดไป เหลือเพียงสถาปนิกหนุ่มที่กำกุญแจรถไว้อย่างชั่งใจ
พฤติกรรมการตีตัวออกห่างทั้งหมดของอีกฝ่ายทำให้เต้ยพอจะเดาได้ไม่ยาก หม่อมหลวงกวี กรจักรคบหาใครทีละคน แต่ก็คงเป็นคนละไม่นาน ชายหนุ่มยิ้มหยัน ก้าวเดินออกไปหาพนักงานสาวคนเดิมและทำเป็นละเลยหนามแหลมเล็กที่ซึ่งทิ่มอยู่ในใจให้ระคาย
“ยังไงผมฝากคืนเขาด้วยแล้วกันครับ”
เต้ยไม่ได้เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมานานพอดู นับ ๆ แล้วก็เกือบจะตั้งแต่สมัยเรียนจบใหม่ ๆ ก็ว่าได้ ผู้คนมากหน้าหลายตาบนชานชาลาของสถานีรถไฟฟ้าเดินผ่านเขาไป ต่างคนต่างก้มหน้ากดโทรศัพท์ บ้างก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดใส่หน้าจอสี่เหลี่ยมแต่หัววัน บ้างก็อมยิ้มเล็กน้อยราวกับวันนี้มีข่าวดีตั้งแต่ลืมตาตื่น
สถาปนิกหนุ่มไม่ได้หยุดนิ่งแล้วสังเกตผู้คนรายรอบมานาน คราวนี้เขาขยับไปต่อแถว พิจารณาผู้คนในขบวนรถไฟฝั่งตรงข้ามไปอย่างเงียบเชียบ
น่าประหลาด...ทำไมมีแต่คนหน้าคล้ายหม่อมหลวงกวีเต็มไปหมด
คำตอบของคำถามมีเพียงสองพยางค์เท่านั้นที่เจ้าตัวเองก็รู้ชัด แต่จะมีความหมายอย่างไร ในเมื่อเขาไม่เลือกเก็บกุญแจรถเอาไว้ แต่กลับเลือกจะเดินทางไปทำงานเพียงลำพัง
ช่วงระยะเวลาเกือบสองเดือนตั้งแต่ถูกทิ้งอย่างเป็นทางการมานี้ เต้ยเริ่มชินกับการเข้ามาทำงานคนเดียวเเละออกไปคนเดียวแม้ว่าจะมีคนคอยรับคอยส่งก็ตาม วันนี้อะไรต่อมิอะไรก็โหวงเหวงไปหมด
เหมือนกับถูกทิ้ง แล้วก็ถูกทิ้งอีกที
เขาปั้นหน้ายิ้ม เดินขึ้นชั้นสองมาเพื่อทักทายเพื่อนร่วมงานด้วยความอารมณ์ดีอย่างทุกวัน แต่คิ้วเรียวกลับต้องขมวดมุ่นตั้งแต่กระเป๋าเขายังไม่เเลนด์ดิ้งถึงโต๊ะทำงาน ด้วยเห็นว่าเพื่อนสนิทตาลึกโหล ถือแก้วพลาสติกใสใส่โอเลี้ยงยี่สิบห้าบาทเดินดูดผ่านหน้าเขาเข้าห้องทำงานไป
...ไอ้ภูสภาพอย่างกับซอมบี้!...
คีรินทร์สภาพนี้เขาเคยเห็นครั้งล่าสุดก็ตอนที่ทำบริษัทใหม่ ๆ เพิ่งมีกันสองคน ใครทำงานอะไรได้ก็ต้องทำ ไม่มีเวลากินเวลานอนที่ชัดเจนอะไรทั้งนั้น เต้ยโยนกระเป๋าหนังไว้บนเก้าอี้ทำงานแล้วรีบสับเขาตามเข้าไปในห้องของชายหนุ่มผิวเข้มทันใด
“อ้าว มีอะไรมึง ด่วนหรอ” คนตามหลังเข้ามายังไม่ทันผลักประตูปิดเจ้าของห้องก็ถามขึ้นมาด้วยความสนเท่ห์ ขณะที่เต้ยทอดมองชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนลวก ๆ กึ่งสงสัยกึ่งเวทนา
“ไม่ใช่งานหรอก กูจะเข้ามาดูมึงเนี่ย” เต้ยส่ายหน้า ทีแรกจะทรุดตัวลงบนขอบโต๊ะทำงานแต่ก็ไม่มีที่ เอกสารบ้าบออะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด สุดท้ายจึ้งต้องดึงเก้าอี้สำหรับคนที่เข้ามาติดต่องานออกมานั่งเเทน
“ดูทำไม?” คีรินทร์เลิกคิ้ว จรดปากกาลูกลื่นแบบแท่งละห้าบาทสิบบาทที่เต้ยเห็นเเล้วขัดใจทุกครั้งลงบนเอกสาร
ไม่ใช่ว่าเขากระเดียดของถูกหรืออะไร แต่ไอ้บ้านี่เล่นซื้อมาทีละเป็นโหล ๆ พกไว้ทุกที่เพราะชอบลืมว่าใช้แล้ววางไว้ที่ไหน บางทีลูกค้าเข้ามาหามันก็ยังหยิบเอาเอาไอ้ปากกานี่ไปวาด ๆ เขียน ๆ ภาพลักษณ์คุณคีรินทร์เกรทเต็กสุดคูลดูหล่อไฮโซหายไปเพราะไอ้ปากกาแท่งพลาสติกสีส้มเกือบเเสบตาที่เกลื่อนไปทุกมุมห้องทำงานนี่ล่ะ!
“ตาโหลขนาดนี้ยังมีหน้ามาถาม ยังไม่หายเฮิร์ตเหรอ”
“ก็ไม่เชิง ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
คนฟังพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ช่วงแรกเต้ยก็นอนไม่หลับ เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายจนเฮียต้องตบกบาลเรียกสติถึงจะกลับมาได้ เต้ยสังเกตเพื่อนรักที่หลบสายตา แสร้งทำเป็นจัดของวุ่นวายทั้งที่ตัวเองถนัดแต่ทำรกเเท้ ๆ อะไรของมันก็ไม่รู้
“เฮ้อ มีอะไรก็บอกนะ ช่วงนี้กูก็ยุ่งเรื่องโปรเจ็คนั่น” เต้ยลูบหน้าเบา ๆ คิดถึงโปรเจ็คที่ไปฟาดฟันเอามาจากคู่แข่งนับสิบบริษัทแล้วก็ไม่แคล้วต้องคิดถึงนายทุนด้วย ให้ตาย…
“กูไม่เป็นไรเหรอก ดีขึ้นเยอะแล้ว”
ตั้งแต่วันที่ต้องกลับไปนอนที่บ้าน คีรินทร์คาดว่าตัวเองจะต้องตกใจที่บ้านดูโล่งไปถนัดตาเมื่อผู้อยู่อาศัยหายไปหนึ่งคน แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คาดเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป ทุกอย่างในบ้านเเทบจะอยู่เหมือนเดิมเกือบทั้งหมด จะมีเพียงแต่ชั้นรองเท้ากับตู้เสื้อผ้าเท่านั้นที่ดูโล่งไปหน่อย
ภูเพิ่งจะตระหนักได้ในวินาทีนั้นเองว่าชีวิตคู่ของเขากับแพรมันยังมีจุดผิดพลาดขนาดใหญ่ที่เขาไม่เคยคิดถึง ตลอดเวลาสองปีที่ตัดสินใจคบหาดูใจ พวกเขาเจอกันเดือนละแค่สามสี่ครั้ง บางทีก็ไม่ถึงหากเขาหรือแพรต้องทำงาน
ในหัวสมองของคีรินทร์คิดคำนวณเร็วจี๋ หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน… ทว่าเขากับแพรวาใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างจริงจังแค่ไม่เกินแปดสิบวันเสียด้วยซ้ำ เกือบครึ่งถูกใช้ไปกับการทะเลาะเเละพยายามจะประณีประนอม แถมยังไม่นับรวมเกือบสามเดือนที่เลิกรากันไปแล้วกลับมาคบกันใหม่ในช่วงที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าปรับตัวดีแล้ว
ด้วยระยะเวลาเท่านี้กับเส้นทางความสัมพันธ์ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่มีทางการันตีได้เลยว่าทั้งเขาและเธอต่างก็เป็นคนที่ใช่ของกันและกัน
อย่างน้อยที่สุด… เขาก็ไม่ใช่คนที่ใช่ของเเพรวา
ตลอดมา ภูให้ความสำคัญกับความฝันที่จะเปิดบริษัทของตัวเองอย่างมั่นคงก่อนคนรักเสมอ มันคงไม่ผิดและภูจะไม่แก้ตัวเลย หากใครต่อใครจะตำหนิว่าเขาเป็นแค่แฟนที่ห่วยแตกและเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง
กระทั่งคนที่มักจะเออออไปกับเขา ไว้วางใจในตัวเขาไปเกือบทุกเรื่องอย่างหนูพุกยังฟังไปขมวดคิ้วไป ชายหนุ่มมองปราดเดียวก็รู้ว่าคนใจกว้างใจเย็นอย่างนั้นคงไม่เห็นด้วยกับหลายอย่างที่เขาทำแต่ก็ไม่ได้ตำหนิหรือตอกย้ำ เลขาหนุ่มพยายามที่จะพูดคุยกับเขาอย่างตั้งอกตั้งใจหากรักษาไว้ด้วยความรอมชอม
‘คนทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองกันทั้งนั้นใช่ไหมครับ เพียงแต่ว่าพอเราไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว สิ่งที่ต้องมีคู่กันกับเหตุผลคือความเห็นอกเห็นใจ แบบที่เขาว่ากันว่าใจเขาใจเราน่ะครับ’
เลขาหนุ่มไม่ได้ทำท่าเหมือนจะเลคเชอร์เขา เพียงแต่ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ พูดอย่างระมัดระวัง สุดท้ายแล้วมันก็จบลงตรงที่ภูตระหนักชัดเจนแล้วว่ามีอีกหลายเรื่องที่เขาจะต้องปรับตัว เขาต้องเห็นอกเห็นใจคนรักให้มากกว่านี้ ลดความคาดหวังที่กำหนดไว้ว่าเป็นแฟนเขาก็ควรจะเข้าใจกันจนกลายว่าเป็นอีกฝ่ายที่พยายามมากกว่า แต่เขากลับไม่ต้องทำอะไรเลย
นอกจากความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้นที่มีต่อผู้หญิงที่เป็นฝ่ายให้ความเข้าใจเขามาโดยตลอดแล้ว ความเข้าใจต่อปัญหาที่เผชิญทำให้ภูตั้งตัวได้ไวขึ้น ด้วยเขาทำใจกับการเลิกราในครั้งนี้ได้เร็วกว่าที่คาดไว้มากทีเดียว
อย่างไรก็ตามเมื่อทุกอย่างก็ทำท่าจะดีขึ้นแล้ว กลับยังมีตะกอนที่วนอยู่ในสมองเป็นคำถามที่ภูคิดทบทวนมาเกือบทุกวัน
อย่างนั้นทำไมเขาถึงนอนไม่หลับ ?
“ดีแล้ว แต่ว่านอนไม่หลับ?” เต้ยทวนพลางยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแล้วเปรยขึ้น “ติดแพรเหรอ”
“ไม่หรอก อาจจะแค่กังวลเรื่องงาน”
จะว่าเพราะติดนอนกับเเพรก็ไม่ได้ ในเมื่อเดือน ๆ หนึ่งเขานอนคนเดียวบ่อยกว่ามีคนนอนด้วยตั้งสองสามเท่า หนำซ้ำยังเคยเป็นพวกหัวถึงหมอนก็ทิ้งตัวหลับไม่สนใจโลก จะมีก็แต่ช่วงหลัง ๆ ที่เขามักขยับตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะหนูพุกชอบถีบผ้าห่มทุกคืน
ทุกคืน ?
ช่วงที่กลับมานอนบ้าน ภูก็มักจะตื่นขึ้นกลางดึกด้วยความเคยชิน จากตื่นกลางดึกก็กลายเป็นนอนไม่ค่อยหลับ เขาไม่ใช่พวกแก้ปัญหาด้วยการเทคยานอนหลับหรือยาคลายเครียด
ในเมื่อนอนไม่หลับ… ก็ลุกขึ้นมาทำงานมันเสียเลย
พอทำมาเกือบสองสัปดาห์ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการที่หน้าตาดูร่อเเร่เตรียมลงโลงเต็มทีอย่างนี้
“มึงขาดอะไรหรือเปล่า แบบ… พวกเครื่องนอน หมอนที่หนุนประจำ ผ้าห่ม เหมือนที่หลานสาวกูติดตุ๊กตาเน่า” เต้ยออกความเห็น ทว่าในมือกลับเสิร์ชกูเกิลหาจิตแพทย์อย่างเงียบ ๆ
“ขาดเหรอ… ไว้ก่อนนอนคีนนี้กูจะลองคิดดู”
คีรินทร์คิดตาม เขาไม่ค่อยนึกถึงประเด็นนี้ แต่คำถามของเต้ยเหมือนสิ่งที่ช่วยปลดสลักในความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นในหัว เขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ให้ใครรับรู้เด็ดขาด
บางที… การไม่มีหนูพุกอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานอนไม่หลับ
ยิ่งคิดถึงตอนหนูพุกนอน ภูก็ยิ่งรู้สึกว่ากลิ่นหอมแชมพูและครีมอาบน้ำยังติดอยู่ที่ปลายจมูก รวมทั้งสัมผัสนุ่มนิ่มก็ยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก
“จับปากทำไม ไม่ใช่ว่านอนน้อยแล้วร่างกายยังขาดน้ำจนปากแตกอีกล่ะ” ดวงตากลมหวานจดจ้องไปที่โอเลี้ยงแก้วใหญ่ซึ่งมีหยดน้ำเกาะพราวรอบแก้ว พึมพำว่านั่นเป็นเครื่องดื่มที่ยิ่งดื่มร่างกายยิ่งขาดน้ำ
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เอาเป็นว่ากูโอเคดี แล้วเรื่องเลี้ยงบริษัทจะสั่งอะไรมากิน”
คีรินทร์เปลี่ยนเรื่อง ลดนิ้วที่แตะริมฝีปากลงแล้วย้ายไปจับเมาส์คลิกเปิดตารางงาน สายตาคมมองตารางที่หนูพุกอัพเดตให้ล่วงหน้าว่าวันพรุ่งนี้จะต้องมีกินเลี้ยง ซึ่งจัดเป็นสวัสดิการหนึ่งของบริษัทที่จะให้พนักงานทุกคนได้กินข้าวสังสรรค์กันทุกไตรมาส
“เดี๋ยวกูไปถามอีกทีแล้วกัน มึงไม่อยากกินอะไรพิเศษเหรอ”
“ไม่รู้ กินได้หมดแหละ” ภูยักไหล่ เขามันพวกกินง่าย ถ้าหิวจะอะไรก็เข้าปากได้ทั้งนั้น
“เอาไว้เที่ยงนี้จะสรุปให้ แล้วก็ไปหามาได้แล้วว่าทำไมถึงนอนไม่หลับ มึงโทรมเกินไปแล้ว”
เต้ยส่ายหน้าอีกทีเป็นการการันตีว่าหน้าเพื่อนรักไม่เวิร์คจริง ๆ ก่อนจะออกจากห้องไปเมื่อได้เวลาทำงาน ทิ้งไว้เพียงเจ้าของห้องที่ยังจมจ่อมกับสาเหตุของอาการนอนไม่หลับ
บางทีงานสังสรรค์สำหรับพนักงานอาจจะเป็นหนทางหนึ่งในการช่วยหาต้นตอของอาการนอนไม่หลับก็ได้
--------------------------------------------------
ช่วงสองสามอาทิตย์ที่หายไปงานเยอะมากค่ะ แอบเห็นกลิ่นธูปควันเทียนตั่งต่างที่ติดตามเรา 555555
ตอนนี้ก็เอา16.1มาส่งก่อนค่ะ มันจะสั้นๆหน่อยเพราะมีแต่ครึ่งเดียวจากที่ลงปกติ ยังไงก็ตามยังไงต้องขอโทษที่ให้รอด้วยนะคะ
ตอนนี้จะกระดึ๊บๆหน่อย เพราะคนเขียนว่าไม่ค่อยสบายค่ะ เจ็บตั้งแต่ท้ายทอยลงไปที่แขนขวาแล้วก็สะบักหลังของเราตอนนี้ต้องหยุดพักอย่างจริงจังเพราะว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมไปแล้วค่ะ กำลังอยู่ในช่วงของการรักษา ใครทำงานหน้าคอมอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ
ขอบคุณที่ยังรออ่านนะคะ เราดีใจมากๆๆๆๆ ไม่รู้จะบรรยายยังไง /ปาดน้ำตา
ปล. ตอนนี้หยุดพักงาน คิดว่าน่าจะมาอัพบ่อยๆได้แล้วค่ะ! 555555555