มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]  (อ่าน 25411 ครั้ง)

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 20

ศึกนอกศึกใน



ในที่สุดวันนี้แสงหล้าก็ได้พบหน้าชายที่เขารักมากที่สุดในชีวิต บิดาที่เฝ้าคิดถึงตลอดเวลาได้นั่งอยู่ในหอหลวงแห่งนี้แล้ว เป็นแขกบ้านแขกเมืองในฐานะเจ้าหลวงผู้ครองเมืองประเทศราช เจ้าตัวไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่าบิดาจะเข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย แม้แต่จักรคำเองก็ไม่เคยได้บอกกล่าวเลยสักนิด

แสงหล้าทำได้เพียงส่งยิ้มให้บิดา น้ำตาแห่งความปลื้มปีติหลั่งไหลอาบสองแก้มอยู่เนือง ๆ หากไม่ติดว่าตอนนี้พิธีการอันสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เขาคงจะรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดบิดาให้หายคิดถึงเป็นแน่แท้

“บัดนี้ถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ข้า...เจ้าหลวงพรหมวงศ์ขอสละราชบัลลังก์ให้กับลูกชายสุดที่รักของข้า ต่อจากนี้ไปเมืองเชียงราชคำอันยิ่งใหญ่จักมีเจ้าหลวงองค์ใหม่นามว่า เจ้าหลวงจักรคำ ขอให้เจ้าเมืองประเทศราชจงให้เกียรติเจ้าหลวงองค์ใหม่เยี่ยงที่ให้เกียรติข้า หากแม้นผู้ใดคิดกระด้างกระเดื่องเชียงราชคำจักนำทัพไปกำราบให้สิ้นซาก หาได้มีความปรานีไม่”

นั่นคือคำปราศรัยสุดท้ายของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ในการครองราชย์ ก่อนที่จักรคำจะเดินเข้ามาในหอหลวงอย่างช้า ๆ สวมชุดตามราชประเพณีเต็มยศ ตามทางเดินที่ปูด้วยพรมกำมะยี่สีแดง ตรงไปยังบัลลังก์ตั่งทองเพื่อให้ผู้เป็นบิดาสวมศิราภรณ์ทองคำให้ พร้อมมอบดาบประจำกายของกษัตริย์ซึ่งเป็นสมบัติตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

แสงหล้ารู้สึกตื้นตันใจเป็นที่สุดเมื่อเห็นชายผู้เป็นที่รักเดินเข้ามาอย่างสง่างาม หากวันนี้ผ่านพ้นไปแล้วเขาหวังว่าความบาดหมางระหว่างเมืองทั้งสองจะได้จบสิ้นลงเสียที แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกกังวลเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ชายยังคงคิดจะนำทัพเข้ามาโจมตีอยู่อีกหรือไม่ ครั้นจะเดินไปถามบิดาให้รู้ความก็ทำไม่ได้

ก่อนจะเดินไปถึงปรัมพิธีจักรคำก็ส่งยิ้มให้ชายาผู้ซึ่งนั่งอยู่บนตั่งประจำตำแหน่งพร้อมกับลูกชายตัวน้อย ซึ่งอยู่เหนือกว่าข้าราชบริพารและเจ้าเมืองประเทศราชทุกพระองค์ รอยยิ้มหวานที่แสงหล้าส่งตอบกลับเต็มไปด้วยความปรารถนาดีเป็นที่สุด

“ข้าขอสาบานต่อหน้าบัลลังก์ตั่งทอง ผีบ้านผีเมือง ผีบรรพบุรุษที่คอยปกปักษ์รักษาเมืองเชียงราชคำมาโดยตลอด ว่าจักเป็นกษัตริย์ที่มีความเที่ยงตรง และถือความผาสุขของประชาชนมาเป็นที่หนึ่ง” จักรคำกล่าวสาบานตนต่อหน้าผู้เป็นบิดา เจ้าหลวงพรหมาวงศ์มอบดาบคู่กายกษัตริย์ให้เป็นอันดับแรก จากนั้นถอดศิราภรณ์ที่ตนสวมอยู่ออกมาถือไว้ตรงกลางอก กำลังจะสวมให้จักรคำแต่ทว่า...

แปะ แปะ แปะ

“ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเสียนี่กระไร” เมืองแมนลุกขึ้นจากตั่ง พร้อมทั้งปรบมือเสียงดังกึกก้องท้องพระโรง ทำให้ผู้คนที่อยู่ในงานต่างจ้องมองมาเป็นตาเดียวกัน

คำน้อยตกใจกับสิ่งที่สวามีได้กระทำออกไป แต่เจ้าตัวทำได้เพียงนั่งอยู่บนตั่งดังเดิม ไม่สามารถลุกขึ้นไปห้ามปรามได้ เพราะตามกฎมณเฑียรบาล ในขณะกำลังทำพิธีห้ามมิให้ผู้ใดส่งเสียงพูดคุย หรือแม้กระทั่งลุกจากตั่งของตนเอง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเมืองแมนจึงทำเช่นนั้นทั้งที่รู้และเข้าใจกฎเป็นอย่างดี

“บังอาจ! ไยเจ้าจึงกล้าทำลายพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้เมืองแมน รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่มันคือการก่อกบฏ” คนเป็นพ่อมองลูกชายคนเล็กด้วยแววตาที่แข็งกร้าว สื่อว่าตอนนี้ไม่พอใจเป็นที่สุด

“เจ้าพ่อรักและเทิดทูนเจ้าพี่ยิ่งกว่าข้ามาโดยตลอด ที่เป็นเช่นนั้นเพราะข้าเป็นเพียงลูกที่เกิดจากนางสนมใช่หรือไม่”

“หุบปาก! หากเจ้ายังไม่ยอมหยุดข้าจักสั่งจำตรุเจ้าบัดเดี๋ยวนี้” เจ้าหลวงชี้หน้าลูกชายด้วยความเดือดดาล อับอายแขกเหรื่อรวมถึงขุนนางที่อยู่ในหอหลวงมากเหลือเกิน ไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในวันสำคัญอย่างนี้

“เจ้าพ่อหามีอำนาจเหมือนเดิมไม่ เพราะตอนนี้ข้าคือผู้คุมอำนาจทั้งหมดไว้แล้ว ตำแหน่งเจ้าหลวงจักต้องเป็นของข้าเท่านั้น”

ในวินาทีนั้นเสียงประชาชนที่มารอเข้าเฝ้าเจ้าหลวงองค์ใหม่ที่หน้าหอหลวงส่งเสียงกรีดร้อง วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น นั่นเพราะกองทัพกบฏของเมืองแมนได้เข้ามาโจมตียึดอำนาจเสียแล้ว ภายในหอหลวงเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงสนทนาของเหล่าขุนนางทั้งหลาย ต่างก็พูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ไอ้ลูกทรพี เจ้าอยากนั่งตั่งทองถึงขนาดกับก่อกบฏเลยงั้นรึ ข้าผิดหวังในตัวเจ้ามากเหลือเกิน อ๊อก..” กล่าวจบเจ้าหลวงก็รู้สึกเจ็บหน้าอกจนไม่สามารถทรงตัวได้ จักรคำจำต้องทิ้งดาบเพื่อรีบไปพยุงร่างผู้เป็นบิดาไว้

“เจ้าพ่อ! เจ้าพ่อทรงเป็นอันใด”

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว”

เมื่อเห็นว่าบิดาเริ่มอาการดีขึ้นแล้วจึงหันมาหาน้องชาย “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจักกล้าทำเยี่ยงนี้ หากเจ้าอยากได้บัลลังก์เหตุใดจึงไม่บอกข้าตรง ๆ ข้าจะเสียสละมันให้เจ้า”

“มันไม่มีประโยชน์แล้วเจ้าพี่สุดที่รักของน้อง บัดนี้มันถึงเวลาของข้าเสียที”

เมืองแมนเดินไปหยิบดาบขึ้นมาถือไว้ จากนั้นจึงชูขึ้นประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคน

“หากผู้ใดยังอยากมีชีวิตกลับไปหาลูกเมีย จงยอมสยบแทบเท้าข้า หากมันผู้ใดคิดจะอยู่คนละฝั่งกับข้ามันผู้นั้นต้องถูกตัดหัวสถานเดียว”

กล่าวจบกองทัพทหารของเมืองแมนก็หลั่งไหลก็เข้ามาภายในหอหลวง แม้นข้างนอกจะยังคงมีเสียงดาบฟาดฟันกันอยู่ แต่ทว่าด้วยกำลังพลที่มากกว่าทำให้ทางฝั่งกบฏเป็นต่ออยู่มากโข

“คุ้มกันเจ้าหลวงให้พ้นจากเนื้อมมือของพวกกบฏ” องครักษ์ประจำตัวของจักรคำอย่างคำป้อ อดรนทนไม่ไหวเมื่อเห็นศัตรูหัวใจคิดการใหญ่เช่นนี้ จึงยืนหยัดที่จะสู้เพื่อให้บัลลังก์ตั่งทองยังคงเป็นของเจ้านายผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิต

องครักษ์นับสิบชักดาบออกจากฝัก ตั้งการ์ดพร้อมสู้ ภายในหอหลวงเกิดความระส่ำระสายผู้คนที่เข้ามาร่วมงานต่างหวาดกลัว ยกเว้นเจ้าหลวงแสงคำที่ยิ้มในใจ ไม่นึกว่าเรื่องมันจะง่ายอย่างนี้ เกิดการก่อกบฏในวันที่ลูกชายของตนจะยกทัพมา ทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างง่ายขึ้น

“เหิมเกริม คิดรึว่าเอ็งจักช่วยรักษาตั่งทองไว้ให้นายเอ็งได้ไอ้คำป้อ จัดการมัน” ทหารกบฏกำลังจะเข้ามาปะทะกับกลุ่มองครักษ์ แต่ทว่าจักรคำทนเห็นความพังพินาศของเชียงราชคำอีกไม่ได้แล้ว คนเมืองเดียวกันแต่กลับต้องมาเข่นฆ่ากันเองเช่นนี้ มันน่าอนาถใจนัก

“หยุดได้แล้วเมืองแมน หากเจ้าอยากนั่งตั่งทองข้าจักยกให้ เพราะข้าไม่อาจทนเห็นพี่น้องชาวเชียงราชคำต้องมาเข่นฆ่ากันเยี่ยงนี้” ว่าแล้วก็หันไปเอ่ยกับบิดา “เจ้าพ่อข้าไม่อาจรับหน้าที่ต่อจากท่านได้แล้ว โปรดยกหน้าที่นี้ให้เมืองแมนเถิดเจ้า”

“ข้าไม่มีวันปล่อยให้เชียงราชคำตกไปอยู่ในกำมือไอ้ลูกเลวเยี่ยงเจ้าเป็นแน่แท้”

“นั่นเพราะเจ้าพ่อไม่เคยรักข้าเหมือนที่รักเจ้าพี่ ทำให้ข้าต้องทำเยี่ยงนี้เช่นใดเล่า” เห็นสายตาอันชิงชังจากบิดายิ่งทำให้โทสะทวีความรุนแรงขึ้น

“ข้ารักลูกเท่ากันเพียงแต่เจ้าไม่เคยทำตัวดีให้ข้ารักเยี่ยงพี่ชายเจ้า เจ้าไม่เคยมีคุณสมบัติความเป็นผู้นำเลยแม้แต่น้อย เช่นนี้แล้วข้าจักฝากบ้านเมืองไว้ที่เจ้าได้เช่นใดเล่าไอ้ลูกชั่ว อ็อก! ผีปู่ผีย่าจักไม่ปล่อยให้เจ้าตายดีแน่” กล่าวแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจจนศิราภรณ์ทองคำที่อยู่ในมือหล่นลงบนพื้น กลิ้งไปหยุดอยู่ที่เท้าของเมืองแมน จากนั้นจึงสิ้นลมลงต่อหน้าต่อตาจักรคำ

“เจ้าพ่อ! เจ้าพ่อทรงเป็นอันใด”

จักรคำพยายามส่งเสียงเรียกอยู่อย่างนั้น แต่ทว่าบิดากลับไม่มีทีท่าจะฟื้นจึงตะโกนเรียกหาหมอหลวง

“หมอหลวงมาช่วยพ่อข้าเร็ว! เจ้าพ่ออย่าเป็นอันใดไปนะเจ้า”

“เอ่อ…เจ้าหลวงทรงสิ้นพระชนม์แล้วเจ้า”

“ไม่นะเจ้าพ่อ ฮือๆ ๆ เจ้าพ่อฟื้นขึ้นมาสิ” จักรคำกอดร่างไร้วิญญาณของบิดาไว้ด้วยความเจ็บปวด ดวงใจที่แข็งแกร่งแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับจะขาดใจตายตกตามบิดาไป

แสงหล้ารีบพาลูกเลี้ยงวิ่งเข้าไปหาด้วยความตื่นตกใจ อินเหลาน้อยร้องไห้ร้องห่มตามบิดาเมื่อรู้ว่าเจ้าปู่ได้สิ้นบุญเสียแล้ว

“เจ้าปู่ ฮือ ๆ ๆ เจ้าปู่ต้องไม่ตายนะเจ้า ฮือๆ ๆ”

แสงหล้าได้แต่นั่งปลอบใจอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นภาพอันน่าสะเทือนใจ กเขาเองก็หลั่งน้ำตาออกมาไม่ขาดสาย รู้สึกสงสารสวามีและลูกเลี้ยงจับใจ แค่ห่างอกบิดามาต่างบ้านต่างเมืองเขายังเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ แต่นี่เจ้าหลวงไม่สามารถกลับมามีชีวิตได้อีกแล้ว มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดยิ่งกว่า

เมื่อเห็นบิดาสิ้นลมไปต่อหน้าต่อตาเมืองแมนได้แต่มองทั้งน้ำตา แต่ทว่าในวินาทีนี้เขาต้องใจแข็งเข้าไว้ เพราะมาไกลเกินกว่าจะกลับตัวเสียแล้ว แม้จะเจ็บปวดที่เป็นต้นเหตุให้บิดาต้องจากไป แต่ทว่าทิฐิและความมักใหญ่ใฝ่สูงยังคงเป็นแรงผลักดันให้ชายหนุ่ม ยืนหยัดที่จะควบคุมอำนาจไว้ในมือตัวเองอยู่ดี

“จากนี้ไปข้าคือเจ้าหลวงองค์ใหม่แห่งเชียงราชคำ หากมันผู้ใดในที่นี้ไม่ไหว้สาข้า มันผู้นั้นจักต้องถูกตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร”

“ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องก้มหัวให้กับคนอย่างเจ้า” คำป้อไม่อาจทนเห็นความล่มจมของเชียงราชคำได้ จึงถือดาบคู่กายวิ่งเข้าไปหมายจะฆ่าเมืองแมนให้ตายเสีย แต่ในวินาทีนั้นทหารฝีมือดีฝ่ายกบฏจึงวิ่งเข้ามาอารักขา เกิดการปะทะกันในหอหลวงอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนี้มาก่อน

“ตัดหัวมันให้ได้” เมืองแมนออกคำสั่งเสียงดังกึกก้อง อำนาจทำให้เขาลุ่มหลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว ตั่งทองคือสิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดและวันนี้เขาจะต้องขึ้นไปนั่งให้จงได้

“ไยเจ้าพี่จึงทำเยี่ยงนี้ นั่นบิดาแท้ ๆ ของท่านนะ” คำน้อยอดรนทนไม่ไหวจึงรั้งมือสวามีห้ามไม่ให้เดินเข้าไปยังตั่งทอง

“ปล่อย! ข้าจักขึ้นไปนั่งบนตั่งทอง” เมืองแมนสลัดแขนแต่ทว่าคำน้อยไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ

“ข้าไม่อาจทนอยู่กับคนไร้จิตใจ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเยี่ยงท่านได้อีกแล้ว” ทุกอย่างกำลังจะดีอยู่แล้วเชียว เขากำลังมอบความรู้สึกดี ๆ ให้ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงชั่วช้าจนขุดไม่ขึ้นอย่างนี้

“เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดอันใด ไม่มีสิทธิ์จากข้าไปไหนจำใส่หัวเอาไว้ จับตัวคำน้อยไว้บัดเดี๋ยวนี้” เมื่อชายาไม่ยอมเชื่อฟังแถมยังจะตีตัวออกห่าง เมืองแมนจึงสั่งทหารให้จับตัวไว้ เพื่อจะเดินขึ้นไปนั่งบนตั่งทองโดยสะดวก ไม่สนแม้กระทั่งบิดาที่นอนสิ้นลมหายใจอยู่ตรงหน้า

“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้! หากเจ้าพี่ไม่หยุดกระทำเรื่องเลวทรามเยี่ยงนี้ ข้าจักไม่มีวันยอมเป็นชายาท่านอีกต่อไป” คำน้อยพยายามดิ้นรนขัดขืน สายตาจับจ้องไปยังสวามีที่ไม่แม้จะชายตาแลกลับมามอง

เมื่อเห็นว่าน้องชายกำลังเดินตรงไปยังตั่งทองราวกับคนบ้าเสียสติ ที่โดนอำนาจแห่งความโลภเข้าครอบงำ จักรคำจึงคว้าดาบขององครักษ์จะเดินไปเผชิญหน้ากับน้องชาย แต่แสงหล้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น จึงรั้งแขนสวามีไว้แน่น ส่งสายตาเว้าวอนขอร้องว่าอย่าไปเด็ดขาด

“เจ้าพี่หาควรทำเยี่ยงนั้น ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไปอีกคน”

“ข้าไม่ยอมให้ไอ้น้องชายสารเลวลอยนวลไปได้แน่ มันทำให้เจ้าพ่อสิ้นพระชนม์เจ้าไม่เห็นรึไง” จักรคำเอ่ยทั้งน้ำตา สะบัดแขนจนหลุดแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปหาน้องชาย ในวินาทีนี้เขาไม่สนอะไรทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตของน้องชายก็ไม่สามารถชดเชยกับการสูญเสียในครั้งนี้ได้

“ระวังตัวด้วยนะเจ้า ฮือๆ ๆ”

“เจ้าน้าข้ากลัว ฮือๆ ๆ”

“คนเก่งของน้าหาต้องกลัวอันใดไม่ น้าจักอยู่ข้างเจ้าเยี่ยงนี้ไม่ไปไหน”

แสงหล้านั่งกอดอินเหลาไว้แน่น พยายามปลอบประโลมให้เจ้าเด็กน้อยไม่หวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่ยอมให้เห็นภาพอันรุนแรงจากการสู้รบกันของผู้ใหญ่

ตอนนี้จักรคำยืนถือดาบอยู่ด้านหลังน้องชาย จ้องมองคนที่มีสายเลือดเดียวกันอย่างอาฆาตแค้น ไม่นึกฝันว่าวันนี้จะต้องมาฆ่ากันเองเพราะราชบัลลังก์

“อย่าแม้แต่จะคิดขึ้นไปเหยียบบนตั่งทอง ข้าไม่มีวันยอมให้คนบาปเยี่ยงเจ้าได้ครอบครองมันแน่นอน”

เมืองแมนชะงักเมื่อได้ยินเสียงพี่ชายจากด้านหลัง หันขวับมามองก็เห็นอีกฝ่ายพร้อมจะดวลดาบ จึงชักดาบออกมาพร้อมสู้เช่นเดียวกัน

“แน่จริงก็เข้ามา มาถึงตอนนี้แล้วข้าไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดแม้แต่เจ้า” ว่าพร้อมชี้ปลายดาบไปยังพี่ชายร่วมสายเลือดอย่างไม่เกรงกลัว

“ข้าไม่เคยคิดอยากจะฆ่าเจ้าเลยสักนิด แต่วันนี้หากไม่ได้ตัดหัวเจ้า ข้าจักไม่มีวันอภัยให้ตัวเองเด็ดขาด” กล่าวจบผู้เป็นพี่ชายก็วิ่งเข้าไปหา

คมมีดที่ปะทะกันเกิดเสียงดังไปทั่วท้องพระโรง บรรดาขุนนางที่นั่งอยู่ต่างก็หวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามลุกขึ้นวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่ในวินาทีนั้นเจ้าหลวงแสงคำกลับภาวนาให้ลูกชายรีบยกทัพเข้ามาโดยเร็ว เพราะช่วงเวลานี้เหมาะที่จะเข้ามายึดอำนาจเป็นที่สุด

ในระหว่างทั้งสองฝ่ายกำลังดวลดาบอยู่ในหอหลวงนั้น กองทัพนิรนามก็เคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่โดยรอบของคุ้มหลวงไว้ ส่วนหนึ่งตรงมายังบริเวณรอบหอหลวงโดยมีผู้นำทัพอย่างแสงชัย เดินอย่างอาจหาญและไม่เกรงกลัวผู้ใดนำเข้ามา

ทหารของเชียงราชคำได้ห้ำหั่นกันเองทำให้กำลังพลบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้ง่ายต่อการควบคุมอำนาจในทุกพื้นที่ จะเหลือก็เพียงในหอหลวงแห่งนี้ที่หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์คนสำคัญทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจนตอนนี้สะบักสะบอมกันทั้งคู่

คำน้อยเห็นท่าไม่ดีจึงขัดขืนจากการถูกจับกุมวิ่งมาหาเจ้านาย จากนั้นก้มลงกราบแทบเท้าด้วยความคิดถึงและสำนึกกับสิ่งที่ได้ทำมาตลอดระยะเวลาที่ผ่าน แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้นก็ตามที

“เจ้านายน้อย ฮึก...จักทำเช่นใดให้ทั้งสองหยุดต่อสู้กัน ข้าเจ้ากลัวว่าจักมีผู้ใดต้องเพลี่ยงพล้ำจนถึงขั้นต้องมีการสูญเสีย” คนพูดร้องไห้ร้องห่ม นั่งหมอบกราบแทบเท้าผู้เป็นเจ้านายอยู่อย่างนั้นราวกับคิดถึงจับใจ

“ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากรอ” แสงหล้าเอ่ยด้วยความหวัง ขณะวางสายตาไว้ที่การดวลดาบอย่างเอาเป็นเอาตายของสองพี่น้อง โดยมีตั่งทองเป็นฉากหลัง เป็นภาพที่เขาไม่เคยนึกฝันว่ามันจะเกิดขึ้นกับเมืองที่ถูกขนานนามว่ามีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคนี้

“รออันใดเจ้านายน้อย หรือว่ารอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้อง...” คำน้อยเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความฉงน

“รอเจ้าพี่แสงชัยเข้ามาคุมอำนาจในเมืองนี้ ข้าคิดว่าคงอีกไม่นานหรอกคำน้อย”

“เป็นเรื่องจริงรึเจ้านายน้อย” คำน้อยมีสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อได้ยินข่าว ไม่นึกว่าแสงชัยจะกล้าทำเรื่องเกินตัวขนาดนี้ได้ เชียงราชคำหากใครได้ยินชื่อนี้จะต้องกลัวจนตัวสั่นเลยทีเดียว

“เป็นเรื่องจริง มันเป็นทางเดียวที่จะหยุดสองคนนี้ได้”

“ข้าเจ้ากลัวว่า...หากเจ้าแสงชัยมาถึงแล้วจักไม่ไว้ชีวิต ผู้ที่มีเชื้อสายของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์แม้แต่คนเดียว รวมถึง...” คนพูดจ้องมองไปยังเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดแสงหล้า ด้วยความเป็นห่วง

“ข้าจักไม่มีวันให้มันเกิดขึ้นแน่” แสงหล้ากระชับกอดเด็กน้อยไว้แน่น เขาจะไม่ให้ใครต้องมาสูญเสียอะไรอีกแล้ว นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะต้องมีการนองเลือด

ปัง!

เสียงปืนดังขึ้นในหอหลวงนั่นทำให้ทุกชีวิตหันไปมองยังต้นเสียงเป็นตาเดียวกัน บางส่วนเอามือปิดหูหมอบลงพื้นด้วยความหวาดกลัวว่าจะโดนลูกหลงเข้าให้ แม้กระทั่งจักรคำและเมืองแมนก็ต้องหยุดชะงักในขณะกำลังยกดาบขึ้นจะฟาดฟันกัน

การปรากฏตัวของแสงชัยทำให้ทุกคนต่างประหลาดใจ โดยเฉพาะจักรคำที่รู้ว่าชายผู้นี้เป็นใคร เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวของผู้มาใหม่ที่มาพร้อมกำลังทหารจำนวนไม่น้อย มีอาวุธครบครัน เช่นนี้ก็รู้แล้วว่ามาเพื่อจุดประสงค์ใด

“ข้าไม่นึกเลยว่าการมายึดอำนาจเชียงราชคำจักง่ายดายเพียงนี้ เจ้าหลวงนอนสิ้นพระชนม์อยู่หน้าตั่งทอง ลูกชายทั้งสองแก่งแย่งอำนาจชิงดีชิงเด่นกัน มันเป็นบาปที่พ่อของพวกเจ้าได้สร้างไว้ รวมถึงตัวพวกเจ้าที่เคยทำไว้กับเมืองอื่น ๆ บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เชียงราชคำจักอยู่ใต้อำนาจเมืองเล็ก ๆ เยี่ยงเมืองผาพิงค์ ฮ่าๆ ๆ ๆ” กล่าวจบแสงชัยก็หัวเราะด้วยความสะใจท่วมท้องพระโรง

สร้างความเจ็บปวดและเคียดแค้นให้บรรดาขุนนาง และแน่นอนว่าจักรคำคือผู้ที่ต้องคิดหนักมากที่สุด ไหนจะศึกสายเลือดกับน้องชาย แถมยังมีกองทัพกบฏจากเมืองผาพิงค์อีก ในวินาทีนี้เขามองไม่เห็นหนทางที่จะรักษาบ้านเมืองไว้ได้เลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สมชื่อตอนจริงๆ  :hao3:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 21

ความหวังสุดท้าย


ความโกลาหลในท้องพระโรงได้จบสิ้นลงอย่างทุลักทุเล เจ้านายทุกพระองค์แห่งเชียงราชคำถูกจับไปขังในคุกหลวง รอรับการลงทัณฑ์จากผู้ครองเมืองคนใหม่นามว่าเจ้าหลวงแสงชัย

จักรคำและเมืองแมนถูกขังไว้ในคุกชั้นในสุด โดยมีการวางกำลังไว้อย่างแน่นหนา เพราะเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในเชียงราชคำ ผู้ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อจิตใจของชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองไม่มีแม้โอกาสได้ไปเคารพศพผู้เป็นบิดา ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าพระศพจะถูกนำไปกระทำหยามเกียรติอย่างไรบ้าง

“เพราะเจ้าคนเดียว เจ้าพ่อถึงได้สิ้นพระชนม์ เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นมารบ้านเมืองโดยแท้” จักรคำตะโกนลั่นไปยังห้องขังที่อยู่ติดกัน น้ำตาลูกผู้ชายไหลหลั่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันช่างรู้สึกหดหู่และเศร้าใจเกินกว่าจะมีสิ่งใดมาเยียวยาได้

บัดนี้ทุกอย่างได้พังพินาศลงเพราะฝีมือผู้เป็นน้องชาย หากไม่เกิดการก่อกบฏกำลังทหารก็จะสามารถสู้รบกับกองทัพของแสงชัยได้อย่างแน่นอน

“เป็นเพราะเจ้าข้าจึงต้องทำเยี่ยงนี้ เจ้าแย่งทุกอย่างไปจากข้า ตั้งแต่เด็กจนโตเจ้าพ่อรักเจ้ามากกว่าข้า ไม่เคยดูดำดูดีปล่อยให้ข้าต้องอยู่อย่างเคว้งคว้างมาโดยตลอด” ตอนนี้เมืองแมนเองก็ร้องไห้เสียใจไม่ต่างกัน เมื่อได้สติก็นึกถึงภาพผู้เป็นบิดาล้มลงต่อหน้าต่อตา รู้ตัวว่าผิดแต่ยังหาเหตุผลอ้างเพื่อหลอกตัวเองไปเท่านั้น

“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เคยทำตัวดี ๆ ให้เจ้าพ่อรู้สึกภาคภูมิใจเลยสักครั้ง มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะโทษเจ้าพ่ออยู่อีกหรือเมืองแมน นับจากนี้ไปเจ้าไม่ใช่น้องชายข้าอีกต่อไปแล้ว เจ้าคือฆาตกรที่ฆ่าเจ้าพ่อ เจ้าฆ่าพ่อตัวเองรู้หรือไม่ไอ้สารเลว ฟ้าดินจะต้องลงโทษเจ้าไม่ให้ตายดีแน่นอน” จักรคำนั่งชันเข่า หลังพิงกำแพง หลั่งน้ำตาออกมาอย่างหนักหน่วง ไม่อยากจะมองหน้าน้องชายให้เจ็บปวดหัวใจอีก

“เจ้าพ่อ ฮือ...ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วเจ้าพ่อ ฮือ...” เมืองแมนร้องไห้โอดครวญราวจะขาดใจเสียให้ได้ ก้มลงกราบไปยังทิศที่บัลลังก์ตั่งทองตั้งตระหง่านอยู่

ในระหว่างที่ภายในคุกหลวงมีแต่เสียงร่ำไห้ระงมนั้น กลับมีใครบางคนเดินเข้ามาพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง แต่ทว่าคนทั้งสองที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่นั้น กลับไม่มีกะจิตกะใจจะเงยหน้าขึ้นไปมอง

“โถ...ชีวิตช่างน่าสมเพชเสียจริง ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าผู้สูงศักดิ์ แต่ตอนนี้กลับเป็นไอ้ขี้คุกกันเสียแล้ว” เสียงเล็กแหลมที่คุ้นหูดังขึ้นตรงหน้า ทำให้นักโทษการเมืองที่อยู่ในห้องขังเงยขึ้นไปมองหน้า สองพี่น้องขมวดคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเครือแก้วยืนแสยะยิ้มอยู่ข้างแสงชัย

“เครือแก้วนี่เจ้า...” เมืองแมนแทบไม่เชื่อตาตัวเองว่าชายาเอกจะแสดงกิริยาอย่างนั้น แถมยังทำตัวราวกับรู้จักคุ้นเคยกับศัตรูเป็นอย่างดี

“ยังจำข้าได้ด้วยรึไอ้ชายชั่ว”

“เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยกับพี่เยี่ยงนี้ แล้วเจ้าไปรู้จักมักจี่กับไอ้เลวนั่นได้เยี่ยงไร”

“หุบปากบัดเดี๋ยวนี้! หาควรกล่าวกับเจ้าพี่แสงชัยเยี่ยงนั้น ตอนนี้เจ้ามันก็แค่ผู้ชายที่ไร้ซึ่งเกียรติยศ จะตายวันตายพรุ่งก็หารู้ไม่ ถึงเวลาที่เจ้าจักต้องชดใช้เวรกรรมแล้วไอ้เมืองแมน” นางกล่าวอย่างใส่อารมณ์ แถมยังคว้าแขนล่ำของแสงชัยมาควงเย้ยอดีตสวามีอีกต่างหาก

“นังแพศยา ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเปลี่ยนผัวได้เร็วเยี่ยงนี้ เชิญสมสู่กันให้หนำใจ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยรักคนเยี่ยงเจ้า คนที่ข้ารักคือคำน้อยรู้ไว้ด้วย”

เจ้านางถลึงตามองอย่างโกรธแค้น แม้จะเปลี่ยนฝ่ายมาอยู่ฝั่งผู้มีอำนาจเหนือกว่า แต่เธอก็อยากเอาชนะคำน้อยอยู่ดี

“น่าสมเพชทั้งพี่ทั้งน้อง โดนคนของข้าหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว คนพี่ก็โดนน้องชายข้าหลอกให้รักเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ส่วนคนน้องก็ลุ่มหลงข้าไทผู้ต้อยต่ำจนหัวปักหัวปำ ช่างน่าขำเสียจริง ๆ” แสงชัยหัวเราะเย้ยคนทั้งสองที่อยู่ในคุกหลวง เขามาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ ทำให้พวกมันเจ็บปวดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะสั่งประหารให้ตายตกตามเจ้าหลวงพรหมมาวงศ์ไป

“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ แสงหล้าน่ะหรือหลอกใช้ข้า ปะ...เป็นไปไม่ได้” จักรคำไม่มีทางเชื่อ เพราะสีหน้าและแววตาของแสงหล้าที่ผ่านมานั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจเป็นที่สุด

“จักเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เจ้า แต่ข้าได้ยินมันจากปากแสงหล้าเอง เจ้ามีเวลาหลอกตัวเองแค่คืนนี้คืนเดียว เพราะวันพรุ่งข้าก็จักนำตัวพวกเจ้าไปลานประหารแล้ว”

“เหตุใดไม่ฆ่าพวกเราเสียตอนนี้เลยล่ะ ตายตอนไหนมันก็เหมือนกันอยู่ดี” จักรคำยังไม่ปักใจเชื่อ จนกว่าจะได้ยินจากปากแสงหล้าเอง แต่สิ่งที่เขาห่วงตอนนี้คือลูกชายตัวน้อย ไม่รู้จะมีชะตากรรมอย่างไรบ้าง

“ข้ายังอยากให้พวกเจ้าอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์อีกสักหน่อย ที่เข้ามาเพราะอยากส่งข่าวให้พวกเจ้ารู้ว่า พรุ่งนี้เช้าข้าจะสั่งให้ทหารนำศพพ่อของเจ้าทั้งสอง ไปโยนทิ้งให้แร้งกามันกินที่ลานหน้าเมือง ให้ชาวเชียงราชคำรู้ว่าตอนนี้ชีวิตพวกมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหลวงองค์ก่อนแล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น” แสงชัยกล่าวอย่างสะใจ ชัยชนะที่ได้มานั้นทำให้เขาฮึกเหิม จนไม่มีใครสามารถคัดค้านความคิดด้านมืดได้อีกแล้ว

“ไอ้สารเลว! เจ้าจักทำเยี่ยงนั้นกับเจ้าพ่อไม่ได้ ถ้าออกไปได้ข้าจักฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง” จักรคำตะโกนร้องเจียนจะขาดใจ เจ็บปวดราวกับมีมีดกรีดลงกลางใจ พยายามยื่นมือออกมาจากกรงเหล็กเพื่อจะคว้าตัวแสงชัยมาสำเร็จโทษให้ได้

เมืองแมนได้แต่นั่งกอดเข่าร้องไห้ ความรู้สึกผิดประเดประดังเข้ามาจนไม่สามารถควบคุมสติได้ ตะโกนร้องอย่างสุดเสียงราวกับคนเสียสติ เครือแก้วเห็นภาพนั้นก็แสยะยิ้มอย่างสะใจ ในที่สุดนางก็ได้หลุดพ้นจากผู้ชายคนนี้เสียที ต่อไปนี้ก็จะได้ขึ้นเป็นเจ้านางหลวงแห่งเชียงราชคำตามความตั้งใจเสียที

“ไปกันเถอะเจ้าพี่ อยู่ที่นี่นาน ๆ ข้ารู้สึกพะอืดพะอมเต็มทีแล้ว” เครือแก้วควงแขนแสงชัยแน่น ทำหน้ารังเกียจซะเต็มประดา

แสงชัยยิ้มให้เจ้านางคนโปรดคนใหม่ จากนั้นหันไปยิ้มเยาะคนที่อยู่ในห้องขัง พร้อมเอ่ยประโยคที่ทำเอาหัวใจจักรคำแทบแหลกสลาย

“กลับไปข้าจักจัดการกับทายาทของเจ้า ไม่ให้เลือดเลว ๆ ของราชวงศ์เจ้าแปดเปื้อนแผ่นดินนี้อีกต่อไป”

“จะ...เจ้าจักทำอันใดลูกข้า”

“ก็จักฆ่ามันยังไงเล่า เจ้าจักไม่มีวันได้เห็นหน้าลูกชายเจ้าอีกตลอดชีวิต ฮ่า ๆ ๆ” แสงชัยหัวเราะลั่นอย่างสะใจ

“กูจักฆ่ามึง กูจักฆ่ามึงให้ได้ไอ้แสงชัย ฮือ... กูสัญญาว่าจักตามจองเวรมึงไปทุกภพทุกชาติ ไอ้ชาติชั่ว” จักรคำทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก หัวใจที่เจ็บปวดอยู่แล้วถูกกระทืบซ้ำอีก เขาอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดเสียตอนนี้ หากไม่มีอินเหลาอยู่บนโลกใบนี้ชีวิตก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว

หลังจากแสงชัยออกไปแล้ว เมืองแมนก็หันมามองดูสภาพพี่ชายตัวเองน้ำตานองหน้า ทุกอย่างต้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะเขาคนเดียวเท่านั้น หากจะมีใครต้องตายเขาขอเป็นคนนั้นเสียเอง ไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนด้วยอีกแล้ว เจ้าตัวคลานเข่าเข้าไปหาพี่ชาย นั่งลงตรงหน้ากรงเหล็กจากนั้นพนมมือขึ้น

“เจ้าพี่ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ร้องขอให้ท่านอภัยให้ข้า แต่อยากให้ท่านรับรู้ว่าข้าได้สำนึกผิดแล้ว ข้ามันเลว ต่ำช้าเกินกว่าที่จักเกิดมาเป็นคน ตายไปจักต้องตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิดที่ทำให้พ่อตัวเองต้องตาย” กล่าวจบก็ก้มลงกราบแล้วค้างไว้อย่างนั้น

จักรคำพยายามตั้งสติแล้วเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าน้องชาย ยื่นมือไปวางบนศีรษะลูบเบา ๆ แม้จะโกรธกันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะตอนนี้ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน

“เจ้าคือน้องชายข้า ยังไงก็ตัดกันไม่ขาดดอก ไม่ว่าจักเกิดอันใดขึ้นหลังจากนี้ โปรดจงรู้ไว้ว่าเรายังคงมีสายเลือดขัตติยาเช่นเดิม ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงมันได้ อย่าคิดโทษตัวเองอีกเลยเมืองแมน”

“ฮึก...ข้าไม่น่าทำเรื่องอย่างนั้นเลย หากจักมีใครต้องตายมันควรจักเป็นข้าคนเดียว ข้าควรตายเสียยิ่งกว่าใคร ๆ” เมืองแมนยังคงซบหน้าลงที่พื้น ปล่อยให้น้ำตาไหลนองอยู่อย่างนั้น ใจจะขาดเมื่อนึกเห็นภาพที่บิดาล้มลงต่อหน้าต่อตา แต่เขายังคงลุ่มหลงในอำนาจไม่แม้แต่จะเข้าไปดูใจ

จักรคำคงทำได้เพียงเท่านั้นเพื่อให้น้องชายรู้สึกดีขึ้น แต่ทว่าในใจตอนนี้คิดถึงแต่เรื่องลูกชาย หากแสงชัยคิดจะทำอย่างนั้นจริง ๆ เขาคงจะขาดใจตายเสียตั้งแต่คืนนี้ คงไม่รอให้ต้องถูกประหาร เพราะการสูญเสียคนที่เรารักไปนั้น มันเจ็บปวดและทรมานยิ่งกว่าการตายเสียอีก

..........

หลังจากความโกลาหลได้จบสิ้นลงแสงหล้าก็รีบพาตัวอินเหลาไปฝากไว้กับตนบุญที่วัด เพราะมั่นใจว่าที่นั่นจะปลอดภัยที่สุดแล้ว ส่วนเจ้าตัวก็รีบเข้าไปหาบิดาที่ตำหนักพร้อมกับคำน้อย เพื่อไปขอร้องไม่ให้นำพระศพของเจ้าหลวงพรหมมาวงศ์ไปกระทำหยามเกียรติเช่นนั้น

“เจ้าพ่อ” แสงหล้ารีบวิ่งเข้าไปกราบแทบเท้าบิดา เมื่อเดินเข้าไปถึงตำหนักของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่พำนักชั่วคราวของแสงชัยและเจ้าหลวงแสงคำไปแล้ว

“แสงหล้าลูกพ่อ”

เมื่อมีโอกาสได้เจอหน้ากันอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้งสองต่างก็ยิ้มทั้งน้ำตาดีใจอย่างสุดซึ้ง สวมกอดอย่างแนบแน่นอยู่นานกว่าจะผละตัวออกมาสนทนากัน

“ลูกคิดถึงเจ้าพ่อเหลือเกิน”

“พ่อก็คิดถึงลูกเช่นกัน เฝ้าฝันว่าวันนี้จักมาถึง และมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ วันที่เราสองพ่อลูกได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง กลับเมืองผาพิงค์ของเรากันนะแสงหล้าลูกพ่อ”

“ลูกอยากกลับใจแทบขาด แต่ลูกไม่อาจกลับไปตอนนี้ได้”

“เพราะเหตุใดเจ้าจึงกลับเมืองผาพิงค์กับพ่อไม่ได้”

“เจ้าพ่อก็ทรงทราบดีว่าลูกเป็นชายาของเจ้าพี่จักรคำแล้ว ลูกจักทิ้งชายที่ลูกรักไปมีความสุขได้เช่นใดเล่าเจ้าพ่อ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าหลวงแสงคำก็อึ้งไม่น้อย เพราะเข้าใจว่าลูกชายทำลงไปเพราะต้องการมีอำนาจเท่านั้น ไม่มีเรื่องหัวใจมาเกี่ยวข้อง

“แสงชัยบอกพ่อว่ามันคือแผนของลูก ลูกไม่ได้รักมัน”

“ลูกยอมรับว่าพูดปดต่อเจ้าพี่ ความจริงแล้วลูกรักเขา และเราก็รักกันมาก ที่ลูกมาวันนี้เพื่อจักมาขอร้องให้เจ้าพ่อปล่อยตัวเจ้าพี่จักรคำ และจัดงานถวายพระเพลิงเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ให้สมพระเกียรติด้วยเถิดเจ้า” ในวินาทีนี้แสงหล้ายอมโดนต่อว่า หากจะทำให้ชายผู้เป็นที่รักมีชีวิตรอดต่อไป

เพี๊ยะ!

“ไม่นึกเลยว่าจิตใจของเจ้าจักแปรเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้ เจ้าลืมสิ่งที่พวกมันทำกับบ้านเมืองเราไว้แล้วหรือแสงหล้า”

“ลูกไม่มีวันลืม แต่หากเรายังยึดติดกับเรื่องราวในอดีต ความแค้นมันก็หาได้จบสิ้นไม่ เจ้าพ่อ...ได้โปรดให้อภัยสิ่งที่เจ้าพี่จักรคำได้ทำลงไปด้วยเถิด หากเจ้าพี่จักรคำเป็นอันใดไปลูกเองก็จักไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต เจ้าพ่อได้โปรดลืมความแค้นแล้วมาเริ่มต้นใหม่เถิด...ลูกขอร้อง”

“ไม่! พ่อจักไม่มีวันลืมสิ่งที่พวกมันทำ แม้แต่เจ้าพ่อก็สละได้หากทำให้บ้านเมืองเรากลับมาเป็นปึกแผ่นเช่นเดิม รู้เยี่ยงนี้แล้วเจ้ายังจักกล้ามาขอร้องให้พ่อไว้ชีวิตพวกมันอีกอยู่หรือ”

“เจ้าพ่อ!” แสงหล้ารู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดกลางใจ ไม่นึกว่าคำคำนี้จะออกจากปากบิดา แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เขาก็เข้าใจว่าบ้านเมืองต้องมาก่อน

“แล้วเอ็งล่ะคำน้อย ข้าบอกให้มาดูแลลูกข้า แต่เหตุใดจึงมาเป็นเมียของน้องชายมันอีกคน”

“ข้าเจ้าผิดไปแล้ว แต่ที่ข้าเจ้าทำเพราะไม่อยากให้เจ้าเมืองแมนมายุ่งวุ่นวายกับเจ้านายน้อย ข้าเจ้าไม่ได้อยากมักใหญ่ใฝ่สูงเลยนะเจ้า” คำน้อยก้มลงกราบ เอ่ยความจริงกับเจ้าหลวงแสงคำ

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าก็หันขวับไปมองหน้าข้าไทคนสนิท ไม่นึกเลยว่าข้าไทผู้นี้จะเสียสละตัวเองเพื่อเขาได้ขนาดนี้ เจ้าตัวซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ

“ขอบใจเอ็งมากนะคำน้อยที่ทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้”

“แม้แต่ชีวิตข้าเจ้าก็ให้เจ้านายน้อยได้เจ้า”

เมื่อเรื่องทุกอย่างถูกเปิดเผยออกมา เจ้าหลวงแสงคำก็มีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“เอาล่ะข้าจักไม่เอาเรื่องเอ็ง จบเรื่องนี้เพียงเท่านี้ เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว เพราะพรุ่งนี้เช้าพวกมันทั้งหมดจักต้องถูกประหารชีวิต ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกชายตัวเล็ก ๆ ของมัน”

“ไม่นะเจ้าพ่อ ลูกขอร้องโปรดไว้ชีวิตอินเหลาด้วย อินเหลายังเด็กนักหามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ หากเจ้าพ่อจักฆ่าอินเหลาก็เท่ากับได้ฆ่าลูกไปด้วย เพราะลูกรักอินเหลาเหมือนลูกแท้ ๆ ไปแล้ว” แสงหล้าคลานเข่าเข้าไปกราบแทบเท้าขอร้องบิดาเพื่อให้เห็นใจ แต่ทว่ากลับโดนเมินเฉยอย่างไร้เยื่อใย

“ต่อให้เจ้าร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด พ่อก็ไม่มีทางยอมยกโทษให้พวกมัน กลับไปที่คุ้มแล้วเตรียมตัวเก็บของให้เรียบร้อย หลังจากฆ่าพวกมันแล้วเราจะกลับเมืองผาพิงค์ทันที”

“เจ้าพ่อ ฮือ...ลูกขอร้อง”

“เจ้าหลวงได้โปรดไว้ชีวิตเจ้าอินเหลาด้วยเถิดนะเจ้า”

“ออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้” เจ้าหลวงแสงคำชี้หน้าไล่คนทั้งสองออกไปจากตำหนัก ก่อนที่จะโมโหโกรธาไปมากกว่านี้

“ลูกไม่ไปจนกว่าเจ้าพ่อจักยอมเปลี่ยนพระทัยใหม่”

“ถ้าเจ้าไม่ไปพ่อจักไปเอง” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป แม้ลูกชายจะรั้งข้อเท้าไว้แต่ก็ไม่เป็นผล

“เจ้าพ่อ ฮือ... ได้โปรดเปลี่ยนพระทัยใหม่เถิดนะเจ้า”

แสงหล้าตะโกนตามหลังเสียงดัง ร้องไห้ปานจะขาดใจ แค่คิดว่าจะต้องเสียจักรคำและอินเหลาไป ใจดวงนี้ก็ปวดร้าวเจียนตาย เขาอยากหยุดเวลาไว้เพียงเท่านี้ไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เลยจริง ๆ

“คำน้อยข้าจักทำเช่นไรดี ข้าไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เลยจริง ๆ”

“ข้าเจ้าเองก็จนใจ เจ้าหลวงทรงเด็ดขาดกับทุกเรื่อง ข้าเจ้าคิดหาทางออกไม่เจอเลยจริง ๆ หรือว่าเรา...จักพาเจ้าอินเหลาหนีไปจากที่นี่เจ้า” คำน้อยเอ่ยอย่างไม่ได้จริงจังสักเท่าไรนัก

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าก็ยิ้มอย่างมีความหวัง เพราะความคิดนี้เข้าท่าและเหมาะกับสถานการณ์อย่างนี้เป็นที่สุด หากจะหนีก็ต้องหนีไปด้วยกันทั้งหมด เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ใครต้องตายแม้แต่คนเดียว

“ไปตอนนี้เลยคำน้อย ไปหาอินเหลาที่วัดหลวงตอนนี้เลย”

“เจ้านายน้อยจักเอาอย่างนี้จริง ๆ หรือเจ้า”

“จริงสิ เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่”

“แต่ถ้าเจ้าหลวงทรงจับได้ มีหวังเราโดน...”

“หาต้องกลัวสิ่งใดแล้ว เชื่อข้าว่าเราจักต้องหนีไปได้”

“ข้าเจ้าเชื่อใจเจ้านายน้อย เราจักไปจากที่นี่กัน”

“ก่อนไปข้าขอถามเอ็งสักคำถาม ว่ารู้สึกเช่นใดกับเจ้าเมืองแมน...เกลียดหรือรัก”

“ข้าเจ้า...ยังไม่รู้ใจตัวเองเลย ใจหนึ่งก็เกลียดที่เจ้าเมืองแมนทำตัวเป็นอันธพาล แต่อีกใจก็รู้สึกดีที่เขาดูแลเอาใจใส่ข้าเจ้าเป็นอย่างดี”

“ข้าให้เอ็งตัดสินใจว่าจักช่วยเมืองแมนหนีไปด้วยกันหรือไม่”

คำน้อยลังเลใจ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยกับผู้เป็นนาย

“หากเจ้าเมืองแมนสำนึกผิดแล้ว ข้าเจ้าคิดว่าควรให้โอกาสเขาอีกสักครั้งเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารีบไปรับตัวอินเหลา แล้วไปเจอกันที่เชิงดอยทางทิศตะวันตกของคุ้มหลวง ส่วนข้าจักไปช่วยเจ้าพี่จักรคำและเจ้าเมืองแมนออกมา”

“ระวังตัวด้วยนะเจ้า”

“เอ็งก็เช่นกัน รีบไปเถิดก่อนที่อะไรมันจักสายไปกว่านี้”

“ข้าเจ้ารักและเทิดทูนเจ้านายน้อยยิ่งกว่าสิ่งใด ขอผีหลวงช่วยคุ้มครองเจ้านายน้อยของข้าเจ้าให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวงด้วยเถิด” คำน้อยกล่าวทั้งน้ำตา ก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นเจ้านาย

“ขอให้เอ็งปลอดภัยเช่นเดียวกันนะคำน้อย เราจักต้องได้เจอกันอีกแน่นอน”

“ข้าเจ้าก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้น”

ทั้งสองสวมกอดกันอย่างแนบแน่นก่อนจะแยกย้ายกันไปทำภารกิจสำคัญ แม้มันอาจจะเสี่ยงแต่ทว่ามันคือทางเดียวที่จะรักษาชีวิตคนที่พวกเขารักไว้ได้


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อิเครือแก้ว อิงูพิษ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เอาแล้วไง จะรอดไปกันทังหมดไหมเนี่ย  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หนีไปด้วยกันแล้วไปอยู่นอกเมืองเบยย

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 22

ความสูญเสีย
[/b]



หลังจากแยกย้ายกันแล้วคำน้อยก็รีบกลับไปยังคุ้มเพื่อเก็บของจำเป็น ในระหว่างเดินออกมานั้น บังเอิญเจอกับนางเขียนที่กำลังเดินสวนเข้ามาพอดี

“เอ็งจะไปที่ใดรึคำน้อย เหตุใดจึงถือห่อผ้ามาด้วย”

“ข้า...” คำน้อยอึกอัก ยังไม่มั่นใจว่าจะเชื่อใจเขียนได้มากน้อยแค่ไหน

“ตอนนี้ข้าก็ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน มีแผนอันใดบอกข้าเถิดเราจะได้ช่วยกัน”

“ข้ากำลังจะพาเจ้าอินเหลาหนีออกไปจากที่นี่ รู้เยี่ยงนี้แล้วยังจะอยากไปเสี่ยงกับข้าอยู่อีกหรือไม่” คำน้อยกล่าวอย่างระแวดระวัง กลัวว่าใครจะเข้ามาได้เย็นเสียก่อน

“ไปสิ ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปมีหวังข้าโดนเจ้านางเครือแก้วฆ่าตายแน่”

“ถ้าเช่นนั้นรีบไปเสียตอนนี้เลย”

“อื้ม”

สนทนากันจบแล้วทั้งสองก็รีบตรงไปที่วัดหลวง ซึ่งตอนนี้อินเหลาอยู่ในความดูแลของตนบุญนั่นเอง

..........

มาถึงแล้วคำน้อยกับเขียนก็เข้าไปกราบตนบุญ กล่าววัตถุประสงค์ที่มาในวันนี้ และถือโอกาสกล่าวลาก่อนจะหนีออกไปจากเมือง โดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือไม่

“คิดดีแล้วหรือโยมคำน้อย”

“ไม่มีหนทางอื่นแล้วเจ้า หากไม่ทำเยี่ยงนี้เจ้าอินเหลาคงไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่”

“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปเสีย อาตมาคงช่วยโยมได้เพียงเท่านี้” ตนบุญกล่าวแล้วยื่นบางอย่างให้

“อันใดรึท่านตนบุญ”

“ตะกุดนี้จะช่วยให้พวกเจ้าแคล้วคลาดจากผยันตรายทั้งปวง อาตมานำมันให้เจ้าอินเหลาก่อนหน้านี้แล้ว”

“ขอบน้ำใจท่านตนบุญเจ้า หากข้าเจ้ายังไม่ตายเสียก่อน คงมีโอกาสได้กลับมากราบท่านอีกครั้ง” ว่าแล้วทั้งสองก็ก้มลงกราบคนบุญ

“อย่าลืมนะโยมคำน้อย โยมต้องใส่ตะกุดนี่ติดตัวเอาไว้ตลอด ห้ามนำมันออกจากตัวไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นก็ตาม”

“ข้าเจ้าจะทำตามที่ท่านตนบุญกำชับเจ้า”

ท่านตนบุญพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับอินเหลาที่นั่งอยู่ข้างคำน้อย

“สักวันท่านจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างสง่าผ่าเผย จงดูแลรักษาตัวให้ดี อาตมาจะรอท่านอยู่ที่นี่”

“เจ้า ท่านตนบุญรอข้าที่นี่อย่าไปไหนนะ สักวันข้าจะกลับมา” อินเหลากล่าวแล้วก้มลงกราบ

“อาตมาจะรอท่านที่นี่ รีบไปกันเถิดเดี๋ยวจะไม่ทันการ”

“ข้าเจ้าขอลาก่อน”

กราบตนบุญแล้วทั้งสามก็รีบออกไปจากวัดหลวงอย่างระแวดระวัง

เดินลัดเลาะตามพื้นที่อับคนมาเรื่อย ๆ ทว่ายังไม่พ้นประตูทางออกเลยด้วยซ้ำ ก็เจอกับกลุ่มทหารของเมืองผาพิงค์ นั่นทำให้ทั้งสามตกอยู่ในที่นั่งลำบากทันที ดาบที่เตรียมมาด้วยถูกนำออกมาขู่ศัตรูอย่างอาจหาญ

“พวกเอ็งจักไปที่ใดกันคำน้อย”

“หลีกทางบัดเดี๋ยวนี้! เจ้าหลวงแสงคำมีรับสั่งให้ข้า พาเจ้าเด็กนี่ออกไปฆ่าที่นอกเมือง”

“เหตุใดพวกข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย อีกอย่างตอนนี้เอ็งทำตัวมีพิรุธ พวกข้าคงให้เอ็งออกไปนอกเมืองมิได้ดอก” ทหารทั้งสี่นายมองคำน้อยอย่างไม่ไว้ใจ

“หรือพวกเอ็งจะขัดคำบัญชาของเจ้าหลวงงั้นรึ”

“พวกข้าหาเชื่อเอ็งไม่ เอ็งอยู่ที่นี่นานจนกลายเป็นคนเมืองเชียงราชคำไปแล้ว รีบกลับเข้าไปไม่เช่นนั้นอย่างหาว่าข้าไม่เตือน”

“ข้าบอกให้หลีกไป ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าพวกเอ็งให้ตายเสีย” คำน้อยยกดาบขึ้นมาขู่ ส่วนเขียนและอินเหลายืนกอดกันอยู่ด้านหลัง

“คำน้อยข้ากลัว ฮือๆ ๆ” อินเหลาตกใจจนร้องไห้เสียงดัง เขียนจึงกอดองค์รัชทายาทไว้แน่น

“หาต้องกลัวอันใดไม่เจ้าอินเหลา ข้าเจ้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเจ้าอินเหลาได้แน่”

“ใครที่มันเป็นกบฏต้องจัดการให้สิ้นซาก ฆ่ามันให้หมดทุกคน” หนึ่งในกลุ่มทหารกล่าว ก่อนจะชักดาบขึ้นมา เดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ นั่นทำให้คำน้อยถอยหลังทันที

“เขียนพาเจ้าอินเหลาหนีไปก่อนเร็ว!”

“แล้วเอ็งล่ะคำน้อย”

“ไม่ต้องเป็นห่วงข้ารีบไป”

“เอ็งต้องรีบตามไปนะคำน้อย” ว่าแล้วเขียนก็รีบพาอินเหลาวิ่งหนีไปอีกทาง แต่ทว่าทหารพวกนั้นกลับแบ่งกลุ่มกัน ตามหลังไปสองนาย

คำน้อยพยายามดวลดาบกับทหารชาติเดียวกันอย่างไม่ยอมแพ้ โชคดีที่เขาเคยฝึกวิชาการต่อสู้มาพร้อมกับแสงหล้า เมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองผาพิงค์ ทำให้พอสู้เอาตัวรอดได้

“ยอมแพ้พวกข้าเถอะคำน้อย แล้วกลับไปรับโทษกับเจ้าหลวง”

“ไม่! ข้าไม่ยอมแพ้พวกเอ็งดอก” แม้ร่างกายจะอ่อนแรงเพราะโดนฟันเข้าที่แขน แต่ทว่าก็ยังฮึดสู้

“ถ้าเช่นนั้นก็ตายซะเถอะ!”

ฉับ! ฉึก!

“เอื้อก อ็อก” ดาบเล่มใหญ่ฟันเข้าที่แผงอกของคำน้อย จนตะกุดที่ตนบุญให้ขาดร่วงลงพื้น ก่อนจะถูกแทงเข้าที่หน้าท้องจนปลายดาบโผล่ไปที่ด้านหลัง

“คำน้อย!!”

แสงหล้าที่เพิ่งจะช่วยจักรคำและเมืองแมนออกมาได้สำเร็จ เจอภาพนั้นเข้าพอดี จึงตะโกนลั่นด้วยความตกใจอย่างสุดขีด น้ำตาไหลพรากลงมาทาง

“คำน้อยเมียพี่!” เมืองแมนเองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน รีบวิ่งเข้าไปถีบทหารคนนั้นแล้วชักดาบแทงเข้าตรงจุดเดียวกับที่ทำกับคำน้อย และอีกคนที่เหลือถูกจักรคำสังหารไปเรียบร้อยแล้ว

“แสงหล้าเอ็งอย่าเป็นอะไรไปนะ ฮึก เอ็งต้องสู้นะคำน้อย เรากำลังจะออกไปจากที่นี่กันแล้ว” แสงหล้าเข้าไปสวมกอด จนอาภรณ์เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ร้องไห้ราวจะขาดใจเมื่อเห็นแววตาเศร้าของคำน้อย

“ระ...รีบไปช่วยเจ้าอินเหลา เฮือก” คำน้อยพยายามชี้ไปยังทิศที่คนทั้งสองหลบหนีไปก่อนหน้านั้น

“คำน้อยเมียพี่ เจ้าห้ามเป็นอันใดเด็ดขาด ฮึก” เมืองแมนลูบไล้ตามพวงแก้มขาวอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น

“ข้าห้ามเลือดให้แล้ว เรารีบไปช่วยเจ้าอินเหลากันเถอะ”

“ช่วยพยุงคำน้อยขึ้นหลังข้าที” เมืองแมนเอ่ยผ่านม่านน้ำตา แสงหล้าและจักรคำจึงช่วยกันพยุงร่างที่ไร้ซึ่งพลังงานขึ้นไปบนแผ่นหลังเมืองแมน ก่อนจะรีบออกเดินทางไปช่วยอินเหลา

..........

ตอนนี้นางเขียนจูงมืออินเหลาวิ่งออกมายังทางลับ ที่เคยใช้เข้าออกเป็นประจำ แต่ทว่าทหารทั้งสองนายยังคงวิ่งตามมาติด ๆ จนเธอเริ่มอ่อนแรงและสะดุดล้มในที่สุด

“โอ้ย! เจ้าอินเหลารีบหนีไปเจ้าค่ะ”

“แต่ข้าหารู้ทางไม่”

“รีบวิ่งที่อุโมงค์ตรงนั้นเร็ว เร็วสิเจ้าคะ”

“อะ...อื้ม” อินเหลาหวาดกลัวจนร้องไห้มาตลอดทาง แม้กระทั่งตอนนี้น้ำตายังคงไม่หยุดไหล คิดถึงผู้เป็นบิดาจับใจ อยากจะเห็นหน้าเหลือเกิน เมื่อเห็นทหารกำลังจะเข้ามาอินเหลาก็รีบวิ่งหนีไปทันที

“ปล่อยเจ้าอินเหลาไปเถอะนะข้าขอร้อง” เขียนยกมือไหว้ขอร้อง แต่กลับไม่เป็นผล ทหารทั้งสองนายกำลังจะวิ่งตามไป นางเขียนรีบกอดขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ส่วนอีกคนได้ตามอินเหลาไป

“ปล่อยเดี๋ยวนี้” ชายฉกรรจ์พยายามสะบัดขา แต่ก็ไม่สามารถสลัดนางเขียนออกไปได้

“ไม่ปล่อย ข้าจะไม่ยอมให้พวกเอ็งมาย่ำยีเจ้านายข้าเด็ดขาด”

“ถ้างั้นก็ตายซะเถอะ”

ฉึก!

“เฮือก!”

นางเขียนโดนแทงเข้าที่แผ่นหลัง จนเลือดไหลทะลักออกมาจากปาก แต่ทว่ายังไม่ยอมปล่อยมือ

“โธ่โว้ย! ตายยากตายเย็นเหลือเกิน” กำลังจะง้างดาบแทงอีกครั้ง

ฉึก!

ดาบที่อยู่ในมือของทหารคนนั้นหล่นลงพื้น เพราะโดนจักรคำใช้ดาบแทงเข้าที่แผ่นหลัง จนล้มลงกับพื้น

“เขียน!” แสงหล้ารีบวิ่งเข้ามาดูอาการนางเขียน

“มันตามเจ้าอินเหลาไปแล้ว เฮือก!” พูดจบนางเขียนก็สิ้นใจฟลุบหน้าลงกับพื้น แสงหล้าเห็นอย่างนั้นก็น้ำตาไหล ไม่คิดว่าวันหนึ่งคนอย่างเขียนจะกลายมาเป็นมิตรได้ แถมยังช่วยชีวิตอินเหลาจนต้องมาสิ้นใจตายอย่างนี้

“เรารีบไปกันเถิดเจ้าพี่ ฮึก”

ทั้งหมดต้องจำใจทิ้งศพนางเขียนเอาไว้อย่างนั้น ก่อนจะรีบตามไปช่วยอินเหลา

...........

อินเหลาวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต แต่ทว่าเด็กคงไม่สามารถเอาชนะผู้ใหญ่ได้ จนในที่สุดทหารผู้นั้นก็สามารถคว้าตัวอินเหลาไว้ได้

“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ฮือ เจ้าพ่อช่วยลูกด้วย” เจ้าเด็กน้อยพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ

“ปล่อยลูกข้าบัดเดี๋ยวนี้”

จักรคำเข้ามาได้ทันการจึงชักดาบขึ้นขู่ มองด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด

“เจ้าพ่อ ฮือ ช่วยลูกด้วย ลูกกลัวเหลือเกิน”

“หุบปาก! ไม่งั้นข้าจะปิดปากเจ้าด้วยดาบเล่มนี้”

“ปล่อยเจ้าอินเหลาบัดเดี๋ยวนี้ หากเอ็งปล่อย ข้ารับรองว่าจะไม่มีผู้ใดทำร้ายเอ็ง” ถึงยังไงก็เป็นคนชาติเดียวกัน แสงหล้าจึงพยายามเกลี้ยกล่อม เพื่อไม่ให้ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันอีก

“แต่เจ้าหลวงได้มีรับสั่ง ให้ฆ่าหน่อเนื้อของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ไม่ให้เหลือ รวมถึงผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อบ้านเมืองเยี่ยงเจ้าด้วย”

“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นลูกเจ้าพ่อ มิควรมาลบหลู่ข้าเยี่ยงนี้ หากเอ็งไม่ปล่อยอินเหลา รับรองว่าข้าจะให้เจ้าพ่อจัดการเอ็งแน่ เคยได้ยินหรือไม่ว่าสายเลือดยังไงก็ตัดกันไม่ขาด”

ได้ยินอย่างนั้นทหารหนุ่มก็เริ่มลังเลใจ ก่อนจะตัดสินใจลดดาบลง ยอมปล่อยตัวอินเหลาให้เป็นอิสระ

“ข้าเจ้าขออภัยที่พูดจาล่วงเกินเจ้าแสงหล้า ได้โปรดยกโทษให้ข้าเจ้าด้วยเถิด”

“ข้ามิได้ถือสาเอ็งดอก รีบกลับไปแล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเสีย”

“เจ้า”

ฉึก!

“เฮือก!”

“เจ้าพี่อย่า!”

ขณะที่ทหารผู้นั้นกำลังจะเดินไป จักรคำกลับจ้วงแทงจนล้มกองอยู่บนพื้น สิ้นลมหายใจในทันที

“หากปล่อยไปเราอาจจะไม่รอด”

“แต่ทหารผู้นี้ยอมปล่อยอินเหลา คงไม่มีทางนำเรื่องนี้ไปบอกใครแน่นอน”

“ตอนนี้เรามิควรไว้ใจใครทั้งนั้น รีบไปกันเถอะก่อนจะมีคนตามมา”

“เจ้า”

แสงหล้ายอมรับฟังแม้จะรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง เขาไม่อยากให้มีการสูญเสีย การนองเลือดอีกแล้ว หวังว่าการออกไปจากเมืองเชียงราชคำในครั้งนี้ จะทำให้เรื่องทุกอย่างมันสงบลงได้ หากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วเขาจะกลับมาขอโทษบิดาด้วยตัวเอง

..........

ออกเดินทางมาเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย จนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ จักรคำเดินสำรวจจนเจอถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูง มั่นใจว่าน่าจะปลอดภัยสำหรับการหลับนอนในค่ำคืนนี้

กองไฟน้อย ๆ ถูกจุดขึ้นมาเพื่อให้แสงสว่างและความอบอุ่น ตอนนี้ทุกคนต่างให้ความสนใจกับคำน้อย ที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนใบตอง ที่เมืองแมนตั้งใจหามาปูรองให้

“คำน้อย ฮึก เอ็งเป็นเช่นใดบ้าง” แสงหล้ากุมมือข้าไทคนสนิทไว้แน่น จ้องมองใบหน้าอันซีดเซียว น้ำตาไหลพรากลงมาเป็นสาย บาดแผลฉกรรจ์ที่คำน้อยได้รับ มันสาหัสเกินที่จะเยียวยาได้แล้ว เจ้าตัวได้แต่ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาผืนป่าแห่งนี้ ช่วยให้คำน้อยรอดพ้นจากวิบากกรรมในครั้งนี้

“ข้าเจ้า...มิได้เป็นอันใด เจ้านายน้อยโปรดวางใจ” เสียงอันแผ่วเบาเอ่ยออกมาจากปากคนป่วย ที่หางตามีหยดน้ำใส ๆ ไหลลงเป็นทาง

เมืองแมนได้แต่นั่งจับมืออีกข้างไว้ จ้องมองหน้าชายาปานจะขาดใจ เขาเสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยใส่ใจคำน้อยเท่าที่ควร ห่วงแต่เรื่องการแย่งชิงราชสมบัติ จนมาถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้ใจตัวเองว่ารักคนคนนี้มากแค่ไหน หากตายแทนได้เขาก็จะทำ

“เอ็งจะต้องไม่เป็นไร ข้าจักพาเอ็งไปรักษากับหมอที่เก่งที่สุด แต่เอ็งต้องอดทนเข้าไว้นะ เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน”

“เจ้า...เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน เฮือก...” คนป่วยพยายามฝืนยิ้ม

“คำน้อยจะต้องไม่เป็นอะไรนะ หายดีแล้วเราจะมาเล่นขี่ม้าก้านกล้วยด้วยกันอีกนะ” อินเหลาส่งยิ้มให้

“เจ้า” คำน้อยตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหันไปมองคนที่จับมือไปซบแก้มตัวเองไว้ จ้องมองมาทั้งที่ยังร้องไห้ตลอดเวลา

“เจ้าพี่”

“คำน้อยเมียพี่ พี่ขอโทษที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ พี่มันเลวเกินกว่าจะให้อภัย ฮือ” เมืองแมนร้องไห้อย่างไม่อายใคร เห็นสภาพของคำน้อยยิ่งตอกย้ำให้เจ้าตัวคิดว่า ตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ทำให้ต้องสูญเสียคนที่รักไปทีละคน

“ข้าเจ้าดีใจ ที่เจ้าพี่คิดได้ สัญญาได้ไหม หากไม่มีข้าเจ้าแล้ว ขอให้เจ้าพี่จงทำแต่สิ่งดี ๆ เรื่องที่ผ่านมาแล้วขอให้มันผ่านไป” คำน้อยพยายามฝืนพูด ทั้งที่ตอนนี้เจ็บบริเวณแผลเจียนจะขาดใจ

“พี่สัญญา แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่จากพี่ไปไหน เจ้าจะอยู่กับพี่ไปตลอดชีวิต”

“ข้าเจ้าสัญญา ว่าจะอยู่กับเจ้าพี่ตลอดไป”

“พี่ขอโทษที่เคยข่มเหงน้ำใจเจ้า แต่ขอให้รู้ไว้ว่าพี่รักเจ้ามาก หัวใจของพี่มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้น ฮึก” เมืองแมนโน้มใบหน้าลงไปจุมพิต ที่กลางหน้าผากชายาสุดที่รักอย่างทะนุถนอม

แสงหล้าและจักรคำต่างก็มองดูภาพนั้นผ่านม่านน้ำตา คำน้อยเป็นข้าไทที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีมาโดยตลอด ยอมอุทิศทั้งกายและใจเพื่อนคนรอบข้างโดยไม่คิดถึงตัวเอง บัดนี้คงถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องมาเจ็บปวดและทรมานอีกแล้ว

“ข้าเจ้าก็...ระ...รักเจ้าพี่” นี่เป็นคำบอกรักครั้งแรกที่เมืองแมนได้ยิน ทำให้น้ำตาไหลหลั่งออกมายิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“ฮือ คำน้อยเมียพี่”

กล่าวจบคำน้อยก็หลับตาลง ริมฝีปากยังคงยิ้ม นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ จนสิ้นใจในที่สุด

“คำน้อย! เอ็งจะจากข้าไปเยี่ยงนี้ไม่ได้นะ ฮือ ฟื้นขึ้นมาสิคำน้อย” แสงหล้าปล่อยโฮออกมาอย่างหนักหน่วง กอดรัดร่างที่ไร้วิญญาณด้วยความเศร้าเสียใจ

“คำน้อย...ไหนเจ้าบอกว่าจะอยู่กับพี่ตลอดไป ลืมตาขึ้นมาสิคำน้อย ตื่นขึ้นมาพูดกับพี่ ฮือ...” เมืองแมนกอดร่างชายาไว้อย่างแนบแน่น เขย่าตัวเพื่อให้อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมา แต่ทว่าปาฏิหาริย์กลับไม่มีจริง จึงทำได้เพียงกอดร่างไร้วิญญาณ ร้องไห้ร้องห่มไปอย่างนั้นจนถึงรุ่งเช้า

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

เช้าวันรุ่งขึ้น...

ศพของคำน้อยถูกฝังไว้บริเวณหน้าปากถ้ำ แสงหล้าพยายามเดินเข้าป่าไปเก็บดอกไม้ป่ามาประดับตกแต่งหลุมศพให้เท่าที่จะสามารถทำได้ เมืองแมนยังคงนั่งเฝ้าหลุมศพอย่างหมดสภาพ เผ้าผมยุ่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบดินโคลน แววตาเศร้าจ้องมองไปยังหลุมศพตลอดเวลา

“หากชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันนะคำน้อย ฮึก” แสงหล้ากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ จักรคำได้แต่ยืนโอบไหล่ชายาเพื่อปลอบใจ

“ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้านายน้อยของเอ็งให้ดีที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงอันใดนะคำน้อย” จักรคำเอ่ยกับคำน้อยเป็นครั้งสุดท้าย

“คำน้อยของพี่ เจ้าจะไม่กลับมาหาพี่แล้วจริง ๆ หรือ ฮือ...” เมืองแมนวางมือไว้บนหลุมฝังศพ ราวกับต้องการสื่อสารกับร่างไร้วิญญาณที่ถูกฝังอยู่ในนั้น

“ลุกขึ้นเถอะน้องพี่ เราต้องเดินทางกันต่อแล้ว”

“ไม่! ข้าจะอยู่กับคำน้อยที่นี่”

“แต่ที่นี่มันอันตราย หากเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป คนของแสงชัยอาจจะทำร้ายเจ้าก็เป็นได้”

“ข้าไม่กลัวอันใดแล้ว คนเยี่ยงข้าตายซะได้ก็ดี อยู่ไปก็รกโลก”

“ทำไมเจ้าพูดเยี่ยงนั้น มนุษย์ทุกคนย่อมมีค่าในตัวเอง แม้แต่สิ่งที่ไร้ชีวิตก็มีคุณค่า เรื่องมันผ่านมาแล้วเจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจอีกเลย”

“เจ้าพี่กับแสงหน้าไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ อยู่ดูแลหลุมศพของคำน้อย หากข้าไม่ตายเสียก่อน เราอาจจะได้เจอกันอีก” เมืองแมนหันมามองหน้าพี่ชายด้วยแววตาเศร้า พวงแก้มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เดินเข่าเข้าไปหาพี่ชายก่อนจะก้มกราบแทบเท้า

จักรคำมองหน้าแสงหล้าอย่างหมดหนทางที่จะเกลี้ยกล่อม จึงเอื้อมมือไปลูบเรือนผมน้องชายเบา ๆ “หากเจ้าต้องการเยี่ยงนี้ ข้าก็ไม่จัด แต่ขอให้เจ้าระวังตัวให้มาก ๆ ให้รู้ไว้ว่าพี่ชายเจ้าคนนี้รักและเป็นห่วงเจ้าเสมอ”

“ข้าขอโทษที่จงเกลียดจงชังเจ้าพี่มาโดยตลอด ข้าขอโทษ ฮือ...”

จักรคำดึงตัวน้องชายมากอดไว้ แม้ว่าเมืองแมนจะเป็นคนมุทะลุ แต่ทว่าความจริงเป็นผู้ชายที่จิตใจอ่อนแอมาก โหยหาความรักอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยนิสัยที่แสดงออกมา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องไม่สนิทแนบแน่นเท่าที่ควร

“ถึงข้าจะเคยโกรธเจ้า แต่ให้รู้ไว้ว่าข้าไม่เคยเกลียดน้องชายตัวเอง ยังรักและเป็นห่วงเจ้าเสมอ ดูแลตัวเองให้ดีนะน้องพี่”

“เจ้าพี่เองก็เช่นกัน ดูแลตัวเองให้ดี ๆ” ชายหนุ่มทั้งสองยิ้มให้กันเป็นครั้งแรกในชีวิต “อินเหลามาให้น้ากอดหน่อยสิ”

ได้ยินอย่างนั้นเด็กชายก็เดินเข้าไปหาผู้เป็นน้าอย่างว่าง่าย เมืองแมนโอบกอดหลานชายเป็นครั้งแรกในชีวิต ลูบกลางกระหม่อมอย่างเอ็นดู

“เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อของเจ้านะอินเหลา”

“อินเหลาจะเป็นเด็กดีเจ้า”

“ดีมาก” เมืองแมนลูบกลางกระหม่อมหลานตัวน้อยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืน หันไปส่งยิ้มให้กับแสงหล้า

“ฝากพี่ชายข้าด้วยนะเจ้าแสงหล้า”

“มิต้องห่วงอันใด ข้าจะดูคอยดูแลเจ้าพี่และอินเหลาเป็นอย่างดี ท่านเองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ข้าดีใจที่อย่างน้อยท่านก็รักคำน้อยจากใจจริง มิได้เพียงแค่ต้องการเอาชนะ ฝากดูแลคำน้อยด้วยนะ”

“อื้ม ข้าจะดูแลคำน้อยเองไม่ต้องห่วง หากเราไม่ตายจากกันคงได้เจอกันอีก”

ทั้งสองส่งรอยยิ้มแห่งมิตรภาพให้กันก่อนจะแยกย้าย เมืองแมนกลับไปนั่งเฝ้าที่หลุมศพของคำน้อย ส่วนสามคนที่เหลือเดินมุ่งหน้าออกไปจากเขตพื้นที่ของเมืองเชียงราชคำ รักษาชีวิตเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดหาหนทางว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตนับจากนี้ไป



................
มาแล้วคร้าบบบบ หลังจากนี้จะลงบ่อยขึ้นนะ จะพยายามเขียนให้จบเร็ว ๆ ครับผม



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตอนเดียวก็ต่อมน้ำตาอักเสบได้  :เศร้า2:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
 แล้วนังงูพิษเครือแก้ว ล่ะ?

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 23

เริ่มต้นใหม่



เมื่อรู้ข่าวว่าลูกชายสุดที่รักได้ช่วยศัตรูหนีออกจากเมือง เจ้าหลวงแสงคำก็โกรธแค้นอย่างสุดขีด สั่งให้แสงชัยออกตามล่าผู้หลบหนีมารับโทษทัณฑ์ ในขณะที่พระศพของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ที่จักรคำไม่สามารถนำออกไปได้ ถูกปล่อยให้แร้งการุมจิกอยู่ที่ลานหน้ากำแพงเมือง สร้างความสะเทือนใจให้ชาวเมืองเชียงราชคำเป็นที่สุด

หลังจากส่งแสงชัยออกไปตามหาน้องชายสุดที่รักแล้ว เครือแก้วก็กลับมาที่ตำหนัก ตอนนี้เธอย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักใหญ่ ซึ่งเคยเป็นของจักรคำมาก่อน ทำตัวราวกับเป็นเจ้านางหลวงแห่งเชียงราชคำ วางอำนาจบาตรใหญ่จนบรรดาข้าไทต่างก็ไม่ชอบขี้หน้า

“พวกเอ็งสองคนจัดการศพนางเขียนให้ข้ารึยัง”

“ตอนนี้ศพนางเขียนอยู่ที่ลานหน้าเมืองแล้วเจ้าค่ะ แร้งกากำลังบินโฉบลงมาจิกกินศพจนเต็มไปหมดเจ้าค่ะ” นางข้าไทกล่าวรายงาน

“ดีมาก ดูเอาไว้เป็นเยี่ยงอย่าง หากผู้ใดที่มันคิดทรยศข้า มันต้องเจอจุดจบเยี่ยงนี้”

“เจ้าค่ะ”

“ออกไปได้แล้ว ข้าอยากพักผ่อนอยู่คนเดียวเงียบ ๆ”

“เจ้าค่ะ”

เครือแก้วเดินไปยืนที่หน้าต่าง แววตาที่อาฆาตแค้นจ้องมองไปยังกำแพงเมือง ซึ่งเป็นจุดที่ศพนางเขียนถูกนำไปทิ้งไว้ บัดนี้ศัตรูทุกคนของนางได้ถูกกำจัดออกไปจากเมืองนี้แล้ว อีกไม่นานตำแหน่งเจ้านางหลวงจะเป็นของใครไปไม่ได้แล้ว

“เจ้านางเจ้าคะ” จู่ ๆ นางข้าไทที่เพิ่งจะออกไป ก็กลับเข้ามาอีกครั้งด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“เหตุใดจึงพรวดพราดเข้ามาเยี่ยงนี้ เจ้าอยากโดนเฆี่ยนหรืออย่างไร”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”

“อันใดวะอีนี่ อ้ำอึ้งอยู่ได้พูดมา!” เจ้านางเกรี้ยวกราด แล้วเดินเข้าไปตบหน้า

เพี๊ยะ!

“พูดแล้วเจ้าค่ะ! ทะ…ทหารกำลังจะบุกเข้ามาในตำหนักเจ้าค่ะ”

“ห๊ะ! มาด้วยเรื่องอันใด”

“ข้าเจ้าหารู้ไม่เจ้าค่ะ”

“ไร้ประโยชน์สิ้นดีอีพวกขี้ข้า” เครือแก้วใช้เท้าถีบนางข้าไทจนล้ม แล้วเดินออกไปดูว่ามันผู้ใดที่กล้าเข้ามาบุกถึงตำหนัก

มาถึงหน้าตำหนักแล้ว ก็พบว่ามีทหารจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ เจ้านางเดินเข้าไปหาอย่างอาจหาญ มิเกรงกลัวผู้ใดแม้แต่น้อย เพราะคิดว่าตัวเองอยู่ในสถานะชายาของเจ้าเมืองพระองค์ใหม่

“พวกเอ็งบุกมาที่ตำหนักข้าด้วยเหตุอันใด”

“เจ้าหลวงแสงคำให้มาเชิญตัวเจ้านางไปที่หอคำบัดเดี๋ยวนี้เจ้า” หัวหน้าทหารกล่าว

“เรื่องขี้ปะติ๋วเหตุใดจึงต้องมากันเป็นกองทัพเยี่ยงนี้ ไอ้พวกทหารไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง อีกประเดี๋ยวข้าจะนั่งเสลี่ยงตามไป” นางกล่าวกับทหารเหล่านั้นอย่างไม่สบอารมณ์

“มิได้! เจ้านางจะต้องเดินไปพร้อมกับพวกข้า”

“บังอาจ! ข้าคือชายาของเจ้าหลวงแสงชัย และอีกไม่นานก็จะได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้านางหลวง พวกเอ็งไม่รู้หรืออย่างใด ก้มลงกราบตีนข้าบัดเดี๋ยวนี้”

“พวกข้าคงทำเยี่ยงนั้นไม่ได้ เพราะตอนนี้ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดคือเจ้าหลวงแสงคำ จับตัวเจ้านางไปหอคำบัดเดี๋ยวนี้”

“ยะ...อย่านะ อย่าเข้ามา ข้าจะฟ้องเจ้าพี่ให้จัดการพวกเอ็ง กรี๊ด ปล่อย!”

ในที่สุดเครือแกล้วก็ไม่อาจรอดพ้นการถูกจับกุม ถูกนำตัวเข้าไปยังหอคำ โดยไม่รู้เลยว่าตนเองได้กระทำความผิดอะไรเอาไว้

..........

หอคำ...

เครือแก้วถูกนำตัวให้มานั่งคุกเข่าอยู่กลางหอคำ ซึ่งตอนนี้มีเพียงเจ้าหลวงแสงคำและองครักษ์เพียงแค่ไม่กี่คน

“มาแล้วรึ”

“เหตุใดเจ้าหลวงจึงทำกับข้าเยี่ยงนี้ ข้าทำผิดอันใดรึเจ้า”

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าทำกับแสงหล้าเอาไว้” เจ้าหลวงแสงชัยยืนกอดอกจ้องมองอย่างเดือดดาล หลังจากได้อ่านจดหมายที่นางเขียนสารภาพทุกอย่างที่เคยทำไว้ในอดีต นางรู้ว่าเครือแก้วไม่มีทางปล่อยให้รอดชีวิต จึงเตรียมการทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้า

“ขะ...ข้าไม่เคยทำ ไม่เคยคิดไม่ดีกับเจ้าแสงหล้าเลยนะเจ้า ข้ารักเจ้าแสงหล้าเยี่ยงน้องชายแท้ ๆ ฮึก มิเคยดุด่าว่ากล่าว มิเคยคิดร้ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฮือ ๆ ๆ” เธอนั่งก้มหน้าร้องไห้อย่างหนักหน่วง แสดงบทนางเอกให้ทุกคนสงสาร

“จดหมายฉบับนี้นางเขียน ซึ่งเคยเป็นข้าไทคนสนิทของเจ้าบันทักไว้ มันฝากคนมาให้ข้าก่อนที่จะโดนสังหารตาย อ่านซะ” ว่าแล้วก็โยนจดหมายฉบับนั้นมาให้เครือแก้ว นางนึกแค้นใจที่นางเขียนตายไปแล้วแต่ก็ยังสร้างเรื่องปวดหัวให้

มือเรียวเอื้อมไปหยิบจดหมายขึ้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อกวาดสายตาอ่านก็ตกใจกลัว เพราะนางเขียนบันทึกความเลวของเจ้าหล่อนไว้อย่างละเอียด

“มันใส่ร้ายข้า ได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วยเถิดเจ้าหลวง ข้าไม่มีวันทำเยี่ยงนั้นแน่นอน”

“เจ้ากล้าสาบานต่อหน้าบัลลังก์ตั่งทองนี้หรือไม่ ว่าไม่เคยคิดร้ายต่อลูกชายข้า”

“ข้าสาบานว่าไม่เคยคิดร้ายกับแสงหล้าแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าข้าโกหกขอให้ชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ทรมาน ไร้ซึ่งความสุขไปตลอดชีวิต”

“ช่างใจกล้าหน้าด้านเสียจริง ผู้หญิงมีตำหนิเยี่ยงเจ้า ไม่คู่ควรกับลูกชายของข้า กลับไปเก็บสัมภาระ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้า”

“ไม่นะเจ้าหลวง เมตตาข้าด้วยเถิด ฮึก ข้าอยากอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากกลับ ฮือๆ ๆ” เครือแก้วร้องไห้เสียงดังเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นใจ คลานเข่าเข้าไปหวังจะขอร้อง แต่ทว่าองครักษ์กลับดึงตัวนางออกมา

“พานางออกไปให้พ้นหน้าข้า”

“เจ้า”

“ไม่นะ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ปล่อยข้า! หากผัวข้ามารับรองพวกเอ็งหัวขาดแน่”

“ผัวเจ้าก็คือลูกชายของข้า ถึงอย่างไรแสงชัยก็ไม่มีทางขัดใจข้าได้ เอาตัวนางออกไป”

“กรี๊ดดด ไอ้พวกชั่ว ขอให้ชีวิตพวกแกล่มจม พังพินาศ หาได้มีความสุขตลอดไป”

เธอกรีดร้อง ดิ้นพล่าน ขณะโดนจับตัวออกไปจากหอคำ ทุกอย่างที่คิดฝันไว้ต้องพังทลายลง เพราะนางเขียนคนเดียวแท้ ๆ ถึงแม้ว่านางเขียนจะสิ้นใจไปแล้ว แต่เธอก็ยังคงสาปส่งในใจ ขอให้ตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิดอีก

เจ้าหลวงแสงคำมองตามหลังไปพร้อมกับถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดลูกชายสุดที่รักถึงได้ยอมทรยศบ้านเมือง พาศัตรูผู้เข่นฆ่าชาวเมืองผาพิงค์หนีไป ไม่ว่าจะยังไงก็ตามต้องพาแสงหล้ากลับไปที่เมืองผาพิงค์ให้ได้ และจะไม่ยอมให้กลับไปเกลือกกลั้วกับจักรคำอีกอย่างแน่นอน

“พ่อจะตามเจ้ากลับมาให้ได้ จะทำให้ลูกกลับมาเป็นลูกที่น่ารักคนเดิมของพ่อให้ได้”

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

รถม้ากำลังแล่นไปตามถนนลูกรังกลางป่า เพื่อส่งตัวเจ้านางผู้อาภัพกลับบ้านเกิดเมืองนอน เครือแก้วนั่งร้องไห้ร้องห่ม เสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ใช้มารยาหญิง ออดอ้อนให้แสงชัยคัดค้านคำสั่งของเจ้าหลวงแสงคำ แววตาสวยเต็มไปด้วยแรงเกลียดชัง เกลียดชังทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้ต้องเจอกับเรื่องที่อัปยศอดสูหลายต่อหลายครั้ง

“หากมีโอกาสข้าจะกลับมาล้างแค้นพวกเจ้าให้หมดทุกคน ที่ทำชีวิตข้าพังพินาศเยี่ยงนี้ โดยเฉพาะอีเขียน กูขอให้มึงตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป” เจ้านางถลึงตา กำมือแน่น ด้วยความโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

ในระหว่างนั้นรถม้าก็หยุดวิ่งกะทันหัน ทำให้เครือแก้วหัวคะมำเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนด่าออกไป

“ไอ้พวกบ้า”

ไม่มีเสียงตอบรับจากภายนอก แต่ทว่ากลับได้ยินเสียงการดวลดาบ ทำให้คนที่อยู่ในรถม้ารู้สึกแปลกใจจึงเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านสีขาวตรงประตูออก ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางเบิกตาด้วยความตกใจ รีบปิดผ้าไว้เช่นเดิม ก่อนจะเขยิบเข้าไปนั่งชิดด้านหลังสุด

“เกิดอันใดขึ้นกับข้าอีก เหตุใดจึงซวยซ้ำซวยซ้อนเยี่ยงนี้”

ข้างนอกมีการดวลดาบระหว่างทหารและโจรป่า ด้วยกำลังที่น้อยกว่าทำให้ทหารสิบกว่าชีวิต ถูกสังหารจนนอนเกลื่อนพื้น กลิ่นคาวของเลือดคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่

“เก็บของมีค่าในรถมาให้หมด”

สิ้นเสียงคำสั่งผ้าม่านที่หน้าประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก

“กรี๊ดดด!!! อย่าเข้ามานะไอ้พวกโจรบ้า ออกไปเดี๋ยวนี้”

“ที่แท้ก็มีสตรีผู้เลอโฉมอยู่ในนี้นี่เอง เป็นบุญของข้ากับเอ็งแล้ว” ไอ้โจรคนหนึ่งกล่าวกับเพื่อน จ้องมองมาที่เครือแก้วตาเป็นมัน

“พวกเอ็งรู้รึไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นเจ้านางหลวงแห่งเชียงราชคำ รู้เยี่ยงนี้แล้วรีบไสหัวไปบัดเดี๋ยวนี้” เจ้านางชี้หน้าไอ้พวกโจรอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“ใคร ๆ ก็รู้ว่าตอนนี้เชียงราชคำถูกโจมตีจนไม่เหลือซากแล้ว ถึงเจ้าจะเป็นเจ้านางหลวง แต่ก็หาได้มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับพวกข้าไม่” กำลังจะเดินเข้ามา แต่ทว่ากลับมีใครบางคนรั้งตัวไอ้โจรทั้งสองไว้

“ออกไป! แม่นางผู้นี้ต้องเป็นของข้า พวกเอ็งออกไปรอข้างนอกก่อน”

ชายฉกรรจ์ทั้งสองทำหน้าเสียดายเล็กน้อย ก่อนจะยอมออกไปแต่โดยดี ทิ้งให้เครือแก้วอยู่ในรถม้ากับชายผู้มาใหม่ตามลำพัง

“เอ็งเป็นใคร ออกไปบัดเดี๋ยวนี้ ออกไป!” เครือแก้วคว้าของที่อยู่รอบตัว ขว้างปาไปยังชายหนุ่มผู้มาใหม่ ซึ่งสวมใส่ชุดชนเผ่า กรอบหน้าคมเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง แววตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

“ไปอยู่กับข้าเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองล่ะ”

“ไม่! ข้าไม่ไป ข้าจะกลับบ้านเมืองของข้า”

เมื่อไม่ยอมฟังกันหัวหน้าโจรผู้นั้นก็ เข้าไปจับข้อมือเครือแก้วไว้ ขึงพรืดไว้บนพื้นไม้

“กรี๊ดดด!!! ปล่อยข้า ไอ้ชั่ว ไอ้สารเลว ไอ้…อุ๊ก” พูดยังไม่ทันจบเครือแก้วก็ถูกชกเข้าที่ท้อง จุกจนไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ แถมยังโดนฉีกอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่อย่างป่าเถื่อน

แคว่ก!!!

“ปากดีเยี่ยงนี้ต้องเจอข้า วันนี้ข้าจัดเยียดความเป็นผัวให้เจ้าเองแม่นางคนสวย หึ ๆ” รอยยิ้มเหี้ยมบนใบหน้าคมนั้น ช่างน่ากลัวและน่าขยะแขยง เครือแก้วกลัวจนสั่นไปทั้งตัว น้ำตาไหลลงมาเป็นทางแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอนน้ำตาไหล ปล่อยให้ไอ้โจรผู้นั้นกระทำย่ำยีอย่างป่าเถื่อนและรุนแรง ราวกับไม่เคยเจอสตรีมานานนับปีเสียอย่างนั้น

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

หลายวันผ่านมา…

หลังจากแยกกับเมืองแมนแล้ว ทั้งสามก็เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นป่าที่ถูกล้อมรอบไปด้วยหุบเขาสูง ซึ่งน่าจะรอดพ้นจากการถูกตามล่าจากแสงชัย จักรคำสร้างกระท่อมหลังเล็ก ๆ เพื่อเป็นที่พัก ซึ่งอยู่ห่างจากลำธารไม่ไกลมากนัก ความเงียบสงบไร้ซึ่งความวุ่นวายจากผู้คน ทำให้จิตใจที่เคยผ่านเรื่องราวเลวร้ายมา มีสภาพดีขึ้นมากพอสมควร

ตอนนี้แสงหล้ากำลังนั่งบนโขดหิน ซักเสื้อผ้าอยู่ข้างลำธารเพียงลำพัง ได้ยินเสียงน้ำไหลแล้วหวนให้นึกถึงคำน้อย เมื่อครั้งที่ออกเดินทางมาจากเมืองผาพิงค์ด้วยกัน เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่เด็กจนโต มันเหมือนฝันร้ายที่แสงหล้าต้องจำไปจนวันตาย ขณะที่มือน้อย ๆ ขยี้เสื้อผ้าอยู่นั้นน้ำตาก็หยดลงไป ตามด้วยเสียงสะอื้นไห้

“ฮือ ข้าคิดถึงเอ็งเหลือเกินคำน้อย ขอให้เอ็งไปสู่ภพภูมิที่ดี เกิดชาติหน้าขออย่าให้อาภัพเหมือนชาตินี้เลยนะ” เจ้าตัววางเสื้อผ้าเอาไว้ก่อนจะนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่อย่างนั้น

“มานั่งร้องไห้คนเดียวอีกแล้วนะ” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลังทำให้แสงหล้ารีบเงยหน้าขึ้น แล้วใช้หลังมือปาดน้ำตาออก

“เปล่าสักหน่อย”

“คิดถึงคำน้อยอีกแล้วสินะ คำน้อยไปสบายแล้ว มีเพียงแค่เราที่ต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของโลกใบนี้ต่อไป อย่าเศร้าใจไปเลยน้องพี่ บัดนี้ชีวิตเป็นของเราแล้ว มาช่วยกันสร้างอนาคตด้วยกันเถอะนะ” จักรคำนั่งลงข้าง ๆ โอบไหล่บางลูบไล้เบา ๆ ส่งยิ้มอบอุ่นเพื่อให้กำลังใจ

“น้องขออะไรสักอย่างได้ไหม” แสงหล้ามองหน้าสวามีอย่างจริงจัง

“ได้สิ พี่ให้เจ้าได้ทุกอย่าง”

“ให้อภัยเจ้าพ่อกับเจ้าพี่ของน้องได้หรือไม่ น้องรู้ว่ามันอาจจะยากแต่…”

“พี่ให้อภัยได้ คิดแก้แค้นกันไปมามันก็ไร้ประโยชน์ มันคงเป็นเวรกรรมที่พี่กับเจ้าพ่อเคยทำไว้กับเมืองผาพิงค์และเมืองอื่น ๆ หมดเวรหมดกรรมกันเสียที” ว่าพลางถอนหายใจเบา ๆ

“ขอบน้ำใจเจ้าพี่มาก น้องสัญญาว่าจะอยู่กับเจ้าพี่ไม่จากไปไหน เราจะสร้างครอบครัวที่น่ารักด้วยกันที่นี่” แสงหล้าโน้มตัวเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น รู้สึกสบายใจขึ้นที่รู้ว่าจักรคำไม่ได้ผูกใจอาฆาตบิดาและพี่ชายตนเอง

“แค่มีน้องกับอินเหลา พี่ก็พอใจแล้ว” จักรคำยิ้มน้อย ๆ ลูบมือบนเรือนผมอย่างเอ็นดู แม้ความเป็นจริงมันโหดร้ายเกินกว่าจะให้อภัย แต่ทว่าหากพอนึกย้อนกลับไป ความเหี้ยมโหดที่เคยทำไว้มันก็สมควรที่จะได้รับแล้ว การให้อภัยกันมันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว

“น้องรักเจ้าพี่เหลือเกิน”

“พี่ก็รักน้อง”

จักรคำผละตัวคนรักออกมา แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่กลางหน้าผากนุ่ม สายตาทั้งสองคู่ประสานกันอย่างหวานซึ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สุดแสนจะมีความสุข

“พี่รู้สึกร้อน อยากนั่งแช่ตัวในน้ำ”

“ถ้าเช่นนั้นน้องขอซักผ้าต่อให้เสร็จ” กำลังจะผละตัวออกไปหยิบเสื้อขึ้นมา แต่โดนจักรคำจับมือเรียวเอาไว้

“ไม่! พี่อยากนั่งแช่ตัวอาบน้ำเย็น ๆ กับเจ้าสองคน”

“เอ่อ…เดี๋ยวอินเหลาก็มาเห็นเข้าหรอก” คนพูดเอียงอายเมื่อเห็นแววตาหื่น

“อินเหลาหลับไปแล้วพี่ถึงได้เดินมาหาเจ้า” จักรคำจ้องมองดวงหน้าสวยหวานด้วยความเสน่หา พร้อมทั้งปลดเปลื้องอาภรณ์ของแสงหล้าออกอย่างช้า ๆ

หลังจากนั้นทั้งสองก็นั่งแช่ตัวอยู่ในลำธารในสภาพเปลือยเปล่า แสงหล้านั่งอยู่บนตักเอนหลังพิงแผงอกแกร่งอย่างสบายตัว จักรคำโอบกอดเรือนร่างบอบบางไว้แน่น ใบหน้าหล่อคมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม วางสายตาไว้บนท้องฟ้าสีครามอย่างสบายใจ

“พี่ชอบบรรยากาศเยี่ยงนี้เหลือเกิน และอยากกอดเจ้าอย่างนี้ไปตลอดทั้งคืน”

“น้องก็ชอบที่นี่มาก เรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันนะเจ้าพี่”

“ในเมื่ออดีตมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราก็สร้างอนาคตให้มันดีกว่า เราจะสร้างอาณาจักรแห่งใหม่ด้วยกัน ขอแค่เจ้าอยู่ข้างพี่เยี่ยงนี้ไปตลอด ชีวิตพี่ก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว”

คนทั้งสองส่งยิ้มให้กันอย่างหวานซึ้ง นั่งแช่ตัวในลำธารอยู่อย่างนั้นอย่างมีความสุข โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ได้มีใครบางคนแอบซุ่มดูอยู่ และจะเป็นผู้ที่จะมาตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขาในอีกไม่ช้า


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พี่ชายแน่เลย จะรอดหรือไม่รอดล่ะคราวนี้  :katai1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ยังตามมาอีกเรอะ!!!

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 24

การจากลา



วันนี้แสงหล้าอยู่ในกระท่อมกับอินเหลาเพียงลำพัง ส่วนจักรคำตอนนี้ออกไปล่าสัตว์สำหรับทำอาหารมื้อเย็น หลายวันมานี้ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ชีวิตใหม่ที่ไร้ซึ่งศักดินาได้เริ่มต้นขึ้นภายใต้ผืนป่าใหญ่ แม้จะไม่ได้สุขสบายเหมือนเมื่อก่อน แต่ทว่าชีวิตที่เรียบง่ายนี้กลับทำให้มีความสุขได้ไม่แพ้กัน

“เจ้าน้าเมื่อไหร่เจ้าพ่อจะกลับมาสักที” อินเหลาตั้งคำถามทั้งที่กำลังตาปรือจะหลับรอมร่อ หลังจากรอผู้เป็นพ่อเป็นเวลานานมากแล้ว

“อีกประเดี๋ยวก็คงมา ง่วงก็หลับตานอนเสียเถอะ หากพ่อเจ้ากลับมาแล้วน้าจะปลุกเอง” แสงหล้าเอ่ย พลางลูบกลางกระหม่อมของเด็กชายตัวน้อยอย่างทะนุถนอม ในใจก็รู้สึกหวั่นกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น

นั่งให้อินเหลานอนหนุนตักอยู่อย่างนั้นจนหลับไป แสงหล้าจึงอุ้มร่างของเด็กน้อยไปนอนในท่าที่สบาย ขณะห่มผ้าให้นั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่ด้านนอก เจ้าตัวยิ้มแล้วรีบเดินออกไปจากกระท่อมทันที

ภาพแรกที่เห็นอยู่ตรงหน้ากระท่อม ทำเอารอยยิ้มของแสงหล้าต้องจางลง จักรคำกำลังนั่งคุกเข่า โดยมีทหารเมืองผาพิงค์คุมตัวเอาไว้ ปรายตามองไปข้างกันก็เห็นพี่ชายตัวเอง ยืนกอดอกมองด้วยสายตาที่โกรธเคือง

“เจ้าพี่!”

“ข้าไม่เคยมีน้องชายเป็นกบฏเยี่ยงเจ้า”

“เจ้าพี่น้องขอโทษ น้องผิดไปแล้ว ได้โปรดปล่อยน้องกับเจ้าพี่จักรคำไปเถอะนะ ฮึก” แสงหล้ารีบเดินเข้าไปกอดเข่าพี่ชายตนเองไว้ สายตาจับจ้องมองไปยังจักรคำ ที่ตอนนี้สภาพดูแทบไม่ได้ โดนซ้อมจนบอบช้ำไปทั้งตัว

“อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวข้า ข้าตัดขาดกับเจ้าตั้งแต่รู้ว่าช่วยพวกมันหนีออกมาแล้ว” แสงชัยยังคงทำเป็นเมินน้องชาย แต่ทว่าในใจกลับคิดถึงมากเหลือเกิน อยากกอด อยากเข้าไปถามไถ่ว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้มีความลำบากยากแค้นเช่นใดบ้าง

“เจ้าพี่ ฮือ น้องขอโทษ โปรดไว้ชีวิตเจ้าพี่จักรคำและอินเหลาด้วยเถอะน้องขอร้อง” แสงหล้าก้มลงกราบแทบเท้าพี่ชาย ร้องไห้อยู่อย่างนั้นไม่ลุกขึ้นมา

“ไม่มีทาง! ถึงอย่างไรวันนี้พวกมันก็ต้องตาย แล้วไอ้เมืองแมนกับคำน้อยมันอยู่ที่ใดกัน”

“คำน้อยกับเจ้าเมืองแมน สิ้นใจตายระหว่างทางแล้วเจ้า”

ได้ยินอย่างนั้นแสงชัยก็ใจหายเล็กน้อย แม้ว่าคำน้อยจะเป็นเพียงข้าไท แต่ทว่าก็เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก รู้สึกรักและเอ็นดูไม่ต่างไปจากน้องชายคนหนึ่ง

“ตายซะได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องออกแรงให้เสียเวลา หึ ๆ”

“เหตุใดเจ้าพี่จึงพูดเยี่ยงนี้ เจ้าพี่ไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิดเลยหรือ คำน้อยก็เปรียบเสมือนน้องชายของเราอีกคนนะเจ้า”

“ข้าไม่เคยนับญาติกับข้าไทที่เป็นกบฏเยี่ยงนั้น” ว่าแล้วก็หันไปสั่งทหาร “เอาตัวไอ้เด็กคนนั้นออกมาบัดเดี๋ยวนี้”

“อย่านะ! ห้ามเข้าไปเด็ดขาด” แสงหล้ารีบวิ่งไปขวางทางเอาไว้ ทำให้ทหารพวกนั้นชะงักงัน หันไปมองแสงชัยทันที

“เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะข้า ฉะนั้นเจ้าจงฆ่าข้าเพียงคนเดียว ได้โปรดปล่อยลูกชายข้าเถอะนะ ข้าขอร้อง” จักรคำกล่าวขอร้องทั้งน้ำตา นี่คือสิ่งที่จะช่วยให้ชีวิตของลูกชายอยู่ต่อไปได้ แม้จะต้องเสียศักดิ์ศรีแค่ไหนก็ตาม

“หากเจ้าทำตามที่ข้าสั่ง บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตลูกชายเจ้าก็เป็นได้”

“ข้าทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกชายข้า กล่าวมาเถอะ”

“คลานเข้ามากราบตีนข้า แล้วข้าจะไตร่ตรองดูอีกครั้ง” แสงชัยยืนกอดอกยิ้มอย่างผู้มีชัย

แสงหล้าหันไปมองหน้าสวามี ส่ายหน้าเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้ทำ เขาจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่จักรคำไม่ฟังคำทัดทานจากสายตานั่น ตัดสินใจเดินเข่าเข้าไปหาแสงชัยอย่างช้า ๆ

“ไม่นะเจ้าพี่ หาควรทำเยี่ยงนั้นไม่” แสงหล้าเอ่ยห้าม แต่จักรคำไม่ฟังเลยสักนิด

“เป็นพ่อที่รักลูกชายมากจริง ๆ คลานเข้ามาใกล้ ๆ”

“พอได้แล้ว! พอเถอะนะเจ้าพี่ น้องขอร้องล่ะ” แสงหล้าพยายามห้ามความคิดอันชั่วร้ายของพี่ชาย

“หุบปาก! ไอ้น้องชายไม่รักดี แค่เจ้าไปสมสู่กับมันข้าก็ขยะแขยงเกินทนแล้ว เสร็จสิ้นภารกิจนี้แล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับไปรับโทษทัณฑ์ที่เมืองผาพิงค์อย่างสาสมแน่นอน”

ในวินาทีนั้นจักรคำได้ก้มลงกราบแทบเท้าแสงชัยแล้ว แสงหล้ามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกเจ็บปวด และคิดว่าจักรคำคงจะเจ็บปวดไม่แพ้กัน

ผั๊วะ!

แสงชัยถีบเข้าที่ใบหน้าของจักรคำ จนล้มกองอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ

“เหตุใดเจ้าพี่ที่เคยน่ารักของน้อง ถึงได้มีจิตใจที่อัปลักษณ์เยี่ยงนี้ ฮือ น้องผิดหวังในตัวเจ้าพี่เหลือเกิน ในเมื่อไม่มีเจ้าพี่จักรคำและอินเหลาบนโลกใบนี้แล้ว น้องก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่เช่นกัน” แสงหล้าลุกขึ้นไปแย่งดาบทหารนายหนึ่งมาจ่อที่คอตนเอง

“แสงหล้าจะ...เจ้าจะทำอันใด” เมื่อเห็นน้องชายกำลังจะปลิดชีพตนเอง แสงชัยก็ตกใจจนใบหน้าซีดเซียว ไม่นึกว่าจะกล้าทำถึงขนาดนี้

“แสงหล้า...วางดาบลงบัดเดี๋ยวนี้ เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ อยู่ดูแลอินเหลาแทนพี่เช่นใดเล่า ฮึก” จักรคำเอ่ยห้ามผ่านม่านน้ำตา พยายามตะเกียกตะกายเข้าไปหา แต่ความเจ็บปวดและบอบช้ำทางร่างกายกลับเป็นอุปสรรค

“หากไม่มีเจ้าพี่ ไม่มีอินเหลา ถึงอยู่ไปชีวิตก็เหมือนตายทั้งเป็น ฮือ....”

“นี่เจ้ากล้าสละชีวิตเพื่อมันได้เชียวหรือ”

“หากเจ้าพี่เคยมีความรัก เจ้าพี่จะเข้าใจสิ่งที่น้องกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ฝากกราบทูลลาเจ้าพ่อด้วย หากชาติหน้ามีจริงน้องจะขอกลับมาชดใช้ความผิดทั้งหมด” เจ้าตัวกล่าวทั้งน้ำตา กดคมดาบลงจนเริ่มมีเลือดไหลออกมา

“แสงหล้า! อย่าทำเยี่ยงนั้น แสงหล้าเจ้าไม่รักพี่แล้วหรือ” จักรคำตะโกนลั่นเมื่อเห็นเลือดของคนที่รักไหลลงพื้น น้ำตาของลูกผู้ชายไหลหลั่งลงมาเป็นทางจนแทบจะเป็นสายเลือด

ไม่ต่างจากแสงชัยที่ยืนกำหมัดแน่นจนสั่น ทั้งเป็นห่วงทั้งโกรธน้องชายตนเอง ที่เอาชีวิตมาเป็นเดิมพันอย่างนี้ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

“หยุดได้แล้วแสงหล้า พี่ยอมเจ้าแล้ว พี่ยอมเจ้าแล้ว” ความแข็งแกร่งที่เคยมีหายไป น้ำตาของแสงชัยไหลลงมาเป็นทาง ตั้งแต่เด็กจนโตเขาดูแลน้องชายเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ไม่เคยทำให้ต้องเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว

“ข้าจะเชื่อใจเจ้าพี่ได้เช่นไร” แม้จะยิ้มในใจแต่ทว่าแสงหล้ายังคงไม่ยอมวางดาบลง แม้จะรู้สึกเจ็บแต่ทว่ายังคงยืนเล่นสงครามประสาทกับพี่ชาย อย่างนี้ต่อไปจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ

“พี่จะไว้ชีวิตไอ้สองพ่อลูกคู่นี้ แต่เจ้าต้องกลับไปกับพี่ ห้ามกลับมาเจอพวกมันอีกตลอดชีวิต มิเช่นนั้นพี่จะไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่”

“เจ้าพี่กล่าวแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาด เมื่อใดที่น้องรู้ว่าเจ้าพี่ไม่รักษาสัจจะ น้องจะปลิดชีพตัวเองเมื่อนั้น”

“พี่สัญญา ขอแค่เจ้ากลับไปเป็นน้องที่น่ารักของพี่เช่นเดิม แต่เจ้าต้องสัญญาเช่นกันว่าจะตัดใจจากมัน แล้วก็ไม่หาทางกลับมาเจอมันอีกเด็ดขาด” แสงชัยปรับอารมณ์กลับเข้าสู่ปกติ เขารักน้องชายมากจนยอมปล่อยให้ศัตรูมีชีวิตรอดต่อไป ถึงอย่างไรก็ตามเชียงราชคำก็พังทลายจนไม่เหลือซากแล้ว แถมทหารต่างก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ไม่มีทางกลับคืนมารุ่งเรืองได้อีกแน่นอน

“น้องสัญญา ขอแค่ให้คนที่น้องรักมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เพียงพอแล้ว” แสงหล้าค่อย ๆ ลดดาบลง ยิ้มให้จักรคำทั้งน้ำตา ในที่สุดความพยายามที่จะช่วยชีวิตทุกคนก็เป็นผลสำเร็จ ต่อให้แลกกับความทุกข์ระทมก็ยอม

“แสงหล้า...หากไม่มีเจ้าพี่กับอินเหลาจะมีความสุขได้เยี่ยงไร”

“นี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้วเจ้าพี่ น้องขอโทษที่ไม่อาจอยู่ดูแลเจ้าพี่ได้ หากชาติหน้ามีจริงน้องจะขอเกิดมาเป็นคู่ชีวิตเจ้าพี่อีกครั้ง” กล่าวจบก็เดินเข้าไปกอดคนที่นั่งอยู่บนพื้น เป็นการโอบกอดที่ผูกแน่นไปด้วยความรักและอาลัยอาวรณ์ น้ำตาอันบริสุทธิ์ไหลหลั่งลงมาจนเปียกปอนไปทั้งใบหน้า

“คุมตัวเจ้าแสงหล้ากลับไปบัดเดี๋ยวนี้” แสงชัยไม่อาจยืนทนมองภาพนี้ได้ จึงออกคำสั่งแล้วเดินนำหน้ากลับไปก่อน

คนทั้งสองถูกแยกออกจากกัน มือที่ประสานไว้ค่อย ๆ ห่างกันเรื่อย ๆ แต่ทว่าความรักและความผูกพันของคนทั้งสองกลับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และจะไม่มีวันเลือนหายไปจากใจ

“เจ้าพี่! ฮือ”

“แสงหล้าเมียพี่ สักวันเราจะต้องได้เจอกันแน่นอน” จักรคำตะโกนตามหลังไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ แสงหล้าหันกลับมามองชายผู้เป็นที่รักผ่านม่านน้ำตาจนถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนจะถูกบดบังด้วยต้นไม้และผืนป่า

หลังจากเมียสุดที่รักหายไปจากชีวิตแล้ว จักรคำก็นอนร้องไห้อยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ สายตาคมมองไปยังท้องฟ้าที่ตอนนี้ฝนกำลังจะตั้งเค้าตกลงมา หัวใจที่เคยแข็งแกร่งเหมือนถูกคมมีดกรีดแล้วเอาน้ำเกลือราด หยดน้ำใส ๆ ไหลลงมาจากหางตา ก่อนจะถูกชะล้างด้วยน้ำฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ภาพความหลังตั้งแต่แรกพบจนมาถึงตอนนี้ มันฉายอยู่ในหัวจักรคำเป็นฉาก ๆ ยิ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกปวดหัวใจเจียนจะบ้าตาย ตะโกนร้องราวกับคนที่เจ็บปวดและทรมานอย่างแสนสาหัส

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ณ เมืองเชียงราชคำ

เมื่อเดินทางมาถึงเมืองเชียงราชคำแล้ว แสงหล้าก็ถูกนำตัวเข้าไปพบผู้เป็นบิดาในตำหนัก สภาพตอนนี้ราวกับคนที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ แววตาเศร้านั้นทำให้เจ้าหลวงแสงคำรู้สึกเป็นห่วง แต่ทว่ายังคงนั่งนิ่งจ้องมองลูกชายด้วยแววตาที่แข็งกร้าว

“มาแล้วรึเจ้าลูกชายตัวดี”

“ถวายบังคมเจ้าพ่อ ลูกพร้อมที่จะรับโทษทัณฑ์แล้วเจ้า” แสงหล้าคลานเข่าเข้าไป ก้มลงกราบแทบเท้าบิดาด้วยความสำนึกผิด และพร้อมที่จะรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างแล้ว

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าได้กระทำความผิดร้ายแรงแค่ไหน เจ้าช่วยชีวิตศัตรูของบ้านเมืองให้หนีรอดไปได้ พ่อผิดหวังในตัวเจ้ามากแสงหล้า”

“ลูกขอโทษที่ทำให้เจ้าพ่อต้องผิดหวัง ทำให้เจ้าพ่อต้องทุกข์ใจ หลังจากนี้ไปลูกจะไม่ทำให้เจ้าพ่อต้องเสียพระทัยอีกแล้ว ลูกขอสัญญา”

“ถึงแม้พ่อจะโกรธเจ้ามากเพียงใด แต่เจ้าก็คือลูกชายของพ่อ คนเป็นพ่อยังไงก็ไม่มีวันเกลียดลูกตัวเองได้ลงคอดอก ลุกขึ้นมาให้พ่อกอดเจ้าสิลูกรัก”

“ฮึก...เจ้าพ่อ”

แสงหล้ารีบลุกขึ้นไปสวมกอดบิดาอย่างแนบแน่น ความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกเริ่มกลับคืนมาเป็นเช่นเดิมแล้ว แต่ทว่าในใจของแสงหล้ายังคงต้องใช้เวลาเยียวยาอีกนาน เพราะในนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ ที่สร้างความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานให้เจ้าตัวมากเหลือเกิน

“เจ้าเอาศพพวกมันกลับมาด้วยหรือไม่แสงชัย” เจ้าหลวงแสงคำหันไปถามลูกชายคนโต หลังจากผละตัวออกมาแล้ว

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าจึงหันขวับไปมองพี่ชาย ส่งแววตาอ้อนวอนให้แสงชัยจบเรื่องบาดหมางพวกนี้ไปเสีย

“เอ่อ...ศพของพวกมัน ลูกนำไปทิ้งลงเหวให้สัตว์ป่าแทะกินแล้วเจ้าพ่อ”

“ได้ยินเจ้ากล่าวเยี่ยงนี้พ่อก็วางใจ อย่างน้อยพวกมันก็ตายปแล้ว เราจะได้กลับบ้านเราเสียที” จู่ ๆ เจ้าหลวงแสงชัยก็สังเกตเห็นรอยแผลที่คอของลูกชาย “เอ๊ะ! นั่นคอเจ้าไปโดนอะไรมาแสงหล้า”

แสงหล้ายกมือขึ้นไปสัมผัสที่คอตัวเอง คิดหาคำตอบที่สวยหรูให้บิดาฟัง “ลูก...ลูก” แสงหล้ายังคงอ้ำอึ้งคิดหาคำตอบไม่ได้

“บาดแผลนั่นลูกเป็นคนทำเองเจ้าพ่อ ลูกพลั้งมือทำดาบโดนที่คอน้อง ในช่วงที่กำลังแย่งตัวน้องมาจากไอ้จักรคำ”

“ยังโชคดีที่น้องเจ้าไม่ได้เป็นอันใดมาก แต่คราวหน้าระวังให้มากกว่านี้เข้าใจรึไม่”

“คราวหน้าคงไม่มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีกแล้วเจ้า”

เจ้าหลวงแสงคำพยักหน้าอย่างพอใจ “ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว พรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับเมืองผาพิงค์พร้อมกัน”

“แล้วเราจะทำเช่นใดกับเมืองเชียงราชคำแห่งนี้เจ้า” แสงหล้าเอ่ยถามด้วยความหวัง หวังว่าจักรคำจะมีโอกาสกลับมากอบกู้บ้านเมืองคืนได้

“เราก็จะปล่อยมันไว้เยี่ยงนี้ บัดนี้เชียงราชคำพังย่อยยับไม่เหลือความยิ่งใหญ่แล้ว ในเมื่อพ่อได้ลูกชายสุดที่รักกลับคืนสู่อ้อมอกแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่เราจะอยู่ต่อที่นี่ไป” เจ้าหลวงแสงชัยกล่าวอย่างฮึกเหิม เมื่อตอนนี้ได้รับชัยชนะเหนือกว่า

“ถ้าหากไม่มีอันใดแล้ว ลูกขอตัวกลับคุ้มไปหาเครือแก้วก่อนนะเจ้า”

“เจ้ากลับไปก็คงไม่เจอนางผู้นั้นแล้ว”

แสงชัยมองหน้าบิดา คิ้วเข้มขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย “เหตุใดเจ้าพ่อจึงกล่าวเยี่ยงนี้”

“พ่อเนรเทศนางกลับไปยังเมืองเวียงคุ้งแล้ว ผู้หญิงเยี่ยงนั้นไม่มีอันใดคู่ควรกับลูกเลยสักนิด กลับบ้านครั้งนี้พ่อจะไปทาบทามลูกสาวของบ้านพี่เมืองน้องให้เจ้าเอง”

“เหตุใดเจ้าพ่อจึงทำเยี่ยงนี้ เจ้าพ่อก็ทรงทราบว่าลูกรักนางมากเพียงใด” แสงชัยรู้สึกจุกเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น เจ้าตัวตั้งใจจะพาเครือแก้วกลับไปยังเมืองผาพิงค์ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมอบหัวใจให้ผู้หญิงคนไหนตั้งแต่แรกพบเช่นนี้ ความเจ็บปวดจากการโดนพรากคนรักไปมันเป็นเช่นนี้นี่เอง ตอนนี้เขาเข้าใจหัวอกน้องชายอย่างสุดซึ้งแล้ว

“นางเคยเป็นเมียไอ้เมืองแมน เป็นเมียของศัตรู แถมยังเคยทำร้ายแสงหล้าหลายต่อหลายครั้ง พ่อจะไม่ยอมให้เลือดของเราไปแปดเปื้อนกับเลือดชั่ว ๆ ของนางแน่ กลับไปพักผ่อนเสียเถอะ พรุ่งนี้เราจะได้เดินทางกลับตั้งแต่เช้าตรู่”

“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าพ่อ ลูกจะทำตามพระบัญชาของเจ้าพ่อทุกอย่างเจ้า”

กล่าวกับบิดาแล้วแสงชัยก็ส่งยิ้มให้น้องชาย เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด แสงหล้ายิ้มตอบอย่างเข้าใจ เพราะตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

ออกมาข้างนอกแล้ว แสงชัยก็มุ่งตรงไปยังตำหนักที่พักชั่วคราว เผื่อว่าสิ่งที่บิดากล่าวมานั้นมันจะเป็นเรื่องโกหก แต่พอมาถึงแล้วกลับพบเพียงความว่างเปล่า เดินตรงไปยังเตียงนอนก็เจอเพียงปิ่นปักผมวางทิ้งไว้บนหมอน แสงชัยหยิบมันขึ้นมามองดูด้วยหัวใจที่ปวดร้าว น้ำตาแห่งความเสียใจไหลหยดลงบนปิ่นปักผมนั้น ความรักคงจะต้องจบลงเพียงเท่านี้ แม้ใจจริงอยากจะไปตามตัวเครือแก้วกลับคืนมา แต่ทว่าการเป็นคนที่อยู่ในครรลองคลองธรรมมาโดยตลอด จึงไม่อาจขัดขืนประกาศิตจากผู้เป็นบิดาได้ ปล่อยให้มันเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น

..........

..........

.........

10 ปีผ่านไป.....

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ขอให้ได้เจอและอยู่ด้วยกันด้วยเถอะ สาธุ  :call:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เครือแก้วมีผัวใหม่ไปแล้วจ้าาา

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 25

ฟ้าใหม่



10 ปีผ่านไป......

เสียงปี่กลองแตรสังข์ดังมโหระทึกกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง ชาวบ้านต่างก็พร้อมใจมานั่งรอชมพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์อย่างใจจดใจจ่อ วันนี้มีการเส้นไหว้ผีบ้านผีเมือง ผีบรรพบุรุษผู้ซึ่งได้ล่วงลับไปแล้ว จากเมืองที่เคยรุ่งเรืองและมีอำนาจ บัดนี้เชียงราชคำกลายเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าหลวงคำป้อ ซึ่งยึดถือความสงบสุขและความผาสุกของประชาชนเป็นที่ตั้ง

หลังจากเมืองแห่งนี้ถูกปล่อยให้ร้างผู้ครองเมือง หลายคนที่รู้ข่าวต่างก็เข้ามารบราแย่งชิง แต่ทว่าคำป้อซึ่งรอดชีวิตจากกองกำลังเมืองผาพิงค์ ได้รวบรวมกำลังพลเท่าที่มียึดเมืองกลับมาไว้ได้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะรอคอยการกลับมาของจักรคำ แต่ทว่านานวันไปกลับไม่ได้ข่าวคราว กลุ่มผู้ร่วมอุดมการณ์จึงสนับสนุนให้ขึ้นนั่งบัลลังก์ตั่งทอง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวเมืองที่ยังคงหลงเหลืออยู่

‘เวลาสิบปีมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ตอนนี้ท่านอยู่ที่ใดเจ้าอุปราช ไม่ว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ข้าขอให้ท่านจงมีแต่ความสุข และรอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวงด้วยเถิด’

คำป้ออธิษฐานในใจขณะกำลังไหว้สาสุสานหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และศูนย์รวมทางจิตใจของชาวเมือง

“เจ้าพี่ทรงอธิษฐานสิ่งใดเจ้า” คนที่นั่งข้างกันหันมาเอ่ยถาม นางคือบัวตองผู้ซึ่งเคยเป็นพระพี่เลี้ยงของเจ้าอินเหลานั่นเอง คนทั้งสองต่อสู้และฝ่าฟันมาด้วยกัน จากความเป็นเพื่อนค่อย ๆ ก่อตัวเป็นความรัก และตอนนี้ได้มีพยานรักด้วยกันหนึ่งคน

“ข้าอธิษฐานให้เจ้าอุปราชจักรคำและเจ้าอินเหลาอยู่ดีมีสุข หาได้มีสิ่งเลวร้ายแผ้วพาน”

“น้องขอให้บ้านเมืองเราสงบสุขร่มเย็นเยี่ยงนี้ตลอดไป”

คนทั้งสองยิ้มให้กัน “แล้วบัวแก้วล่ะ อยู่ที่ใด”

“น้องกลัวว่าลูกจะมาป่วนในพิธี จึงให้อยู่กับนางข้าไทที่สวนหลวงเจ้า”

“เสร็จสิ้นพิธีแล้วเราไปหาลูกกันนะ”

“เจ้าค่ะเจ้าพี่”

แม้ว่าตอนนี้คำป้อจะรักลูกกับเมียมากแค่ไหน แต่ในใจลึก ๆ ก็ไม่สามารถลืมรักครั้งแรกได้เลย เขายังคงคิดถึงคำน้อยอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยน และบัวตองเองก็รับรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ไม่เคยนึกน้อยใจ เพราะรู้ดีว่าคนทั้งสองเคยรักกันมาก่อน นิสัยที่ไม่เจ้ากี้เจ้าการของบัวตอง ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยาวนานมาจนถึงตอนนี้

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางป่าเขาห่างไกลจากผู้คน กระท่อมเล็ก ๆ ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่เดียวกัน กลายเป็นชุมชนซึ่งทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการทำเกษตรกรรม

หญิงสาวรูปร่างหน้าตาสะสวยสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ กำลังนั่งไกวเปลอยู่เพียงลำพัง แววตาเศร้าไร้ซึ่งความสุขจ้องมองไปยังทางเข้าหมู่บ้าน โดยหวังว่าจะออกไปจากที่แห่งนี้ให้ได้ในสักวัน

หลังจากถูกโจรป่าปล้นระหว่างทางในวันนั้น เครือแก้วก็ตกเป็นเมียหัวหน้าโจรนามว่าอินตา ซึ่งเป็นผู้นำหมู่บ้านแห่งนี้ ผู้ชายทุกคนมีหน้าที่ออกไปปล้นฆ่า ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่เลี้ยงลูกและทำงานเกษตรกรรม ตอนนี้เครือแก้วได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียขุนโจร ที่ใครต่างก็หวาดกลัว และทางการของหลาย ๆ เมืองต่างก็ออกหมายจับ เพราะกลุ่มโจรเหล่านี้ได้สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกสารทิศ

“เมื่อไหร่ชีวิตข้าถึงจะหลุดพ้นจากที่แห่งนี้เสียที” เจ้าหล่อนเอ่ยอย่างหมดหวัง หันไปมองดูลูกน้อยคนสุดท้องที่กำลังนอนหลับอยู่ในอู่เปล เธอมีลูกกับอินตาสามคน ลูกชายคนโตอายุเจ็ดขวบ อินตารักมากและเสี้ยมสอนให้เข้าสู่เส้นทางของการเป็นโจรตามรอยตนเอง ลูกสาวคนรองอายุห้าขวบ และลูกสาวคนสุดท้องอายุหนึ่งขวบ แม้ว่าจะเกลียดอินตามากแค่ไหน แต่ทว่าเธอกลับไม่สามารถเกลียดลูกทั้งสามคนได้ ยังมีความหวังว่าจะพากลับไปยังเมืองเวียงคุ้งในสักวัน

“แม่จ๋าพ่อกลับมาแล้ว”

ได้ยินเสียงลูกชายลูกสาวเอ่ยอย่างนั้น จึงหันไปมองก็เจอกับกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังเดินมา คนที่เดินนำหน้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหนคืออินตานั่นเอง

“ไปหาพ่อเถอะลูก”

“จ้ะแม่”

เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นบิดา เครือแก้วได้แต่นั่งมองตามหลังไปอย่างสิ้นหวัง เธออยากให้ลูก ๆ ได้อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ แต่ติดตรงที่ว่าตอนนี้อินตาไม่ยอมให้เธอออกไปจากหมู่บ้านเลย

“ไม่คิดจะไปรับผัวหน่อยรึ” มาถึงแล้วอินตาก็กล่าวกับเมียรักทันที เห็นสีหน้าเมินเฉยอย่างนี้จนชินชาเสียแล้ว

“ไม่มีความจำเป็น ข้าไม่อยากไปต้อนรับคนที่เพิ่งจะไปปล้นฆ่าผู้อื่นมาเยี่ยงเจ้า” เธอกล่าวอย่างไม่ไยดี

“แต่ของที่ได้มา ก็ทำให้เจ้ากับลูกมีอยู่มีกินจนถึงทุกวันนี้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธสิ่งของพวกนี้ และไม่มีวันที่จะออกไปจากที่นี่ได้”

“สักวันข้าจะพาลูกหนีไปจากที่นี่ให้ได้ ข้าจะรอวันนั้น”

“หากเจ้าทำเยี่ยงนั้น ข้าจะไม่ยอมให้ทั้งเจ้าและลูกมีชีวิตรอดต่อไป”

“เหตุใดเจ้าจึงกล้าพูดเยี่ยงนี้ต่อหน้าลูก ไอ้คนไม่มีหัวใจ ไอ้โจรสารเลว” เธอโกรธจนถลึงตามองอย่างโกรธแค้น อุ้มลูกที่อยู่ในเปลขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปในกระท่อม

เข้ามาแล้วก็นั่งกอดลูกร้องไห้เพียงลำพัง แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่เธอก็ยังไม่คุ้นชินกับชีวิตชาวป่าแบบนี้ ยังคงอยากกลับไปเป็นเจ้านาง มีชีวิตที่สุขสบาย มีข้าไทคอยรับใช้เหมือนเมื่อสิบปีก่อน แต่ท่าความหวังแทบจะริบหรี่ ความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจที่ได้รับมาอย่างยาวนาน ทำให้เธอแทบจะเป็นบ้าตายในเร็ววัน หากไม่มีลูกทั้งสามป่านนี้คงคิดสั้นปลิดชีพตัวเองไปนานแล้ว

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ณ เมืองผาพิงค์

สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาหนแล้วหนเล่า แม้นจะมีผ้าห่มผืนหนาคอยให้ความอบอุ่น แต่ทว่าความเหน็บหนาวภายในใจกลับยังคงอยู่ไม่มีวันจบสิ้น หัวใจที่เคยแหลกลาญเพราะถูกพรากจากคนรัก ยังคงไม่สามารถกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนดังเดิมได้

พลังงานชีวิตของแสงหล้าหายไป หลังจากต้องสูญเสียข้าไทที่รักดั่งพี่น้องร่วมสายเลือด สูญเสียชายผู้เป็นที่รักสุดหัวใจอย่างไม่มีวันกลับคืนมาได้ และท้ายที่สุดยังมาต้องสูญเสียบิดา ซึ่งเป็นดั่งลมหายใจ สิ่งเดียวที่จะรักษาแผลใจให้ดีขึ้นได้ คือการทำสมาธิ หมั่นทำบุญกุศลเพื่อให้จิตใจว่างเปล่า และสามารถต่อสู้กับความเจ็บปวดพวกนั้นได้

ในขณะที่เมืองเชียงราชคำมีพิธีเส้นไหว้ผีบ้านผีเมือง แต่ทว่าเมืองผาพิงค์กลับเป็นวันสำคัญยิ่งกว่า เพราะวันนี้มีการสถาปนาเจ้าหลวงและเจ้าอุปราชพระองค์ใหม่ หลังจากพิธีการในหอคำเสร็จสิ้นลง มีการเสด็จเลียบพระนคร เพื่อให้ชาวเมืองได้ชมพระบารมี บัดนี้เมืองผาพิงค์มีความยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการค้า เป็นที่รู้จักของเมืองต่าง ๆ ซึ่งต่างก็อยากมาเชื่อมความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์

ขบวนเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ของเจ้าหลวงแสงชัย เคลื่อนผ่านใจกลางเมือง ซึ่งมีประชาชนเรือนหมื่นนั่งพนมมือรออยู่ตลอดสองข้างทาง ต่างก็เปล่งคำสรรเสริญ ถวายความจงรักภักดีอยู่เนือง ๆ ส่วนเสลี่ยงที่ตามหลังมาติด ๆ นั้น คือเสลี่ยงของเจ้าอุปราชแสงหล้า ผู้ซึ่งเป็นที่รักและเคารพของประชาชนผู้ยากไร้ทั่วทุกสารทิศ

“เจ้าเป็นอันใดเหนือคำ จึงทำท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เยี่ยงนั้น” แม้นจะนั่งบนเสลี่ยง แต่ทว่าเจ้าตัวไม่ลืมที่จะมองมายังข้าไทคนสนิท ที่เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น

“หาได้มีอันใดเจ้า ข้าเจ้าเพียงแค่รู้สึกชอบบรรยากาศเยี่ยงนี้ นานทีปีหนจะได้ออกมาจากคุ้มหลวง” เด็กหนุ่มวัยสิบหกกะรัต เงยหน้าขึ้นไปกล่าวกับเจ้าอุปราช ซึ่งเป็นผู้ชุบเลี้ยงมาตั้งแต่วัยเด็ก มีพระคุณไม่ต่างจากมารดาบิดา

“ข้าเลี้ยงเจ้ามาตั้งแต่เด็กจนโต เหตุใดจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังสนใจสิ่งใด มันผู้ใดที่ทำให้เจ้ายิ้มได้ตลอดทางเยี่ยงนี้” แสงหล้าเอ่ยเสียงเข้มราวกับพ่อที่กำลังหวงลูกชาย

“ไม่มีอันใดจริง ๆ เจ้า” ปากก็พูดกับเจ้าอุปราช แต่สายตากลับชำเลืองมองไปยังหนุ่มวัยรุ่นผู้หนึ่ง รูปร่างหน้าตาดี ซึ่งเดินตามมาตลอดทาง ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่น่าจะใช่คนเมืองนี้

“เอาเถอะ ถึงอย่างไรวันหนึ่งข้าก็ต้องรู้อยู่ดี จะคิดทำสิ่งใดไตร่ตรองให้รอบคอบ เจ้ายังอ่อนหัดเรื่องความรักอยู่รู้หรือไม่”

“ข้าเจ้าจะคิดไตร่ตรองทุกเรื่องให้ดี อย่างที่เจ้าอุปราชทรงแนะนำเจ้า”

สนทนากับเหนือคำแล้วแสงหล้าก็หันไปส่งยิ้มให้กับประชาชนสองข้างทาง โบกมือทักทายอยู่ตลอดเวลา ให้สมกับที่ทุกคนต่างก็ตั้งใจมาต้อนรับในวันนี้

...........

ขบวนเกียรติยศกลับเข้ามาในคุ้มหลวงอีกครั้ง เป็นอันจบสิ้นพิธีการในวันนี้ แสงหล้าเดินตามพี่ชายเข้าไปในตำหนัก เพื่อสนทนากันตามประสาพี่น้อง

“ขอเจ้าหลวงจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” แสงหล้าก้มลงกราบแทบเท้าพี่ชายเมื่อมาถึง

“ไม่เอาน่าน้องพี่ หาควรมีพิธีรีตอง ตอนนี้เราอยู่กันแค่สองพี่น้องแล้วนะ” แสงชัยโอบกอดน้องชาย พยุงตัวให้ลุกขึ้นมา

“เป็นพระมหากรุณาเจ้า” แสงหล้าส่งยิ้มให้พี่ชาย ก่อนจะแยกย้ายกันไปนั่งบนตั่ง

“เจ้าพ่อน่าจะได้อยู่รอดูวันที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้” แสงชัยกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า เมื่อนึกถึงบิดาผู้ซึ่งล่วงลับไปเมื่อสองปีที่แล้ว และได้ไว้ทุกนานเกือบสองปี จึงได้มีการสถาปนาเจ้าหลวงพระองค์ใหม่

“น้องเชื่อว่าตอนนี้เจ้าพ่อ คงมองดูความสำเร็จของเจ้าพี่อยู่บนสรวงสวรรค์ ท่านต้องภูมิใจที่เจ้าพี่ได้สานต่อพระปณิธานเป็นผลสำเร็จ นำพาบ้านเมืองมาสู่ความรุ่งเรืองเช่นนี้”

“พี่ก็หวังว่าท่านพ่อจะรับรู้ได้ ต่อไปนี้เราต้องช่วยกันดูแลบ้านเมืองให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปนะน้องพี่”

“เจ้า น้องจะช่วยเจ้าพี่ หากมีกิจอันใดให้น้องทำ เชิญเจ้าพี่รับสั่งมาได้เลย” ได้ยินอย่างนั้นแสงชัยก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ดีเลย วันพรุ่งรบกวนช่วยพาเจ้าอินทร์แปงแห่งเมืองเป็งเงิน ไปเที่ยวชมบ้านเมืองเราแทนพี่ด้วยนะ”

แสงหล้าขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “อ้าว! น้องเข้าใจว่าแขกของเจ้าพี่กลับกันหมดแล้วไมใช่รึ”

“ยังหรอก เจ้าหลวงอินทร์ถาได้ฝากฝังให้เจ้าอินทร์แปง อยู่เรียนรู้งานที่นี่สักพัก แล้วก็...” แสงชัยรู้ว่าตอนนี้หัวใจของน้องชายยังไม่สามารถลืมจักรคำได้ แต่ก็อยากให้ใครสักคนเข้ามาแทนที่ เผื่อว่าจะทำให้ความเศร้าในใจทุเลาเบาบางลงได้

“ก็อันใดเจ้า” แสงหล้ามองหน้าพี่ชายด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เอ่อ...”

“น้องรู้สึกเหมือนเจ้าพี่กำลังมีเรื่องปกปิดน้องอยู่”

“ไม่มีอันใด เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

“น้องจะถือว่าเจ้าพี่ยังติดค้างเรื่องนี้อยู่ หากเจ้าพี่พร้อมเมื่อใดน้องก็พร้อมจะรับฟัง ถ้าเช่นนั้นน้องขอตัวกลับคุ้มก่อนเจ้า” ว่าแล้วก็ก้มลงกราบพี่ชายก่อนจะเดินออกไปจากตำหนัก

แสงชัยได้แต่มองตามหลังไปด้วยความกังวล เกรงว่าน้องชายจะไม่ตอบรับความสัมพันธ์จากเจ้าชายต่างเมือง เขาไม่อยากให้แสงหล้าอยู่กับความทุกข์เช่นนี้อีกแล้ว

..........

ช่วงเย็นวันนั้น...

หลังจากตามเจ้าอุปราชกลับมาจนถึงคุ้มแล้ว เหนือคำก็ได้รับอนุญาตให้ออกมาพักผ่อนตามอัธยาศัย และสถานที่ซึ่งชอบมากที่สุดก็คือสวนบุพชาติ ที่นี่มีดอกไม้นานาพรรณ ปลูกเอาไว้ใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญและประดับตกแต่งตามพระตำหนักต่าง ๆ

เด็กหนุ่มถือตะกร้าหวายมาพร้อมกับมีดเล่มเล็ก ๆ เพื่อเก็บดอกไม้ไปประดับใส่แจกันให้เจ้าอุปราช ความสดใสน่ารักของเหนือคำ ทำให้ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวที่ได้พบต่างก็ตกหลุมรัก และอยากเป็นเจ้าของ แต่ด้วยการที่เจ้าตัวเป็นคนโปรดของเจ้าอุปราช ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามาเกี้ยวพาราสี เว้นแต่บุตรชายของขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ปิ่นคำก็ไม่ได้สนใจใครแม้แต่คนเดียว

“เจ้าอุปราชชอบดอกบัวตอง ข้าจะเก็บไปให้เยอะ ๆ เลย” เด็กชายกล่าวพลางใช้มีดตัด เก็บดอกบัวตองอย่างอารมณ์ดี ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนที่กำลังแอบซุ่มดูอยู่ถึงกับยิ้มตาม

แกร๊บ!

เสียงเหมือนใครบางคนกำลังเหยียบกิ่งไม้ ทำให้เหนือคำหันขวับไปมองต้นเสียง แต่กลับไม่เจอใคร มองไปรอบตัวก็ไร้ซึ่งผู้คน

“ผู้ใด! แสดงตัวบัดเดี๋ยวนี้”

“...”

“หากไม่แสดงตัว ข้าไม่รับรองความปลอดภัยเจ้าแน่”

“เมี๊ยวว”

ได้ยินเสียงแมวร้อง เหนือคำก็ถอนหายใจ ยิ้มออกมาทันที “ที่แท้ก็เจ้าเหมียวนี่เอง เจ้าอยู่ที่ใดน้า” วางตะกร้าดอกไม้ แล้วเดินตรงไปยังพุ่มไม้

สวบ!

“เฮ้ย! อื้อ อ่อย..”

เดินไปถึงก็โดนใครบางคนพุ่งเข้ามาสวมกอด เมื่อจะตะโกนร้องก็โดนปิดปากด้วยมือหนา ดวงตาคู่สวยเบิกตามองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้ว

“เงียบ! หาไม่ข้าจะจับเจ้าทำเมียเสียตรงนี้”

“อื้อ...”

“หากเจ้าร้องข้าทำจริงแน่” คนพูดค่อย ๆ ละมือออกมา จนตอนนี้ใบหน้าสวยไม่มีสิ่งใดปกปิดเอาไว้

“ข้าจำเจ้าได้ เหตุใดจึงบังอาจเข้ามาในสวนบุพชาติเยี่ยงนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้าตามข้ามา”

เด็กหนุ่มถือตะกร้าหวายมาพร้อมกับมีดเล่มเล็ก ๆ เพื่อเก็บดอกไม้ไปประดับใส่แจกันให้เจ้าอุปราช ความสดใสน่ารักของเหนือคำ ทำให้ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวที่ได้พบต่างก็ตกหลุมรัก และอยากเป็นเจ้าของ แต่ด้วยการที่เจ้าตัวเป็นคนโปรดของเจ้าอุปราช ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามาเกี้ยวพาราสี เว้นแต่บุตรชายของขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ปิ่นคำก็ไม่ได้สนใจใครแม้แต่คนเดียว

“เจ้าตามผู้ใดมา บอกข้าบัดเดี๋ยวนี้”

“เจ้าอุปราชแสงหล้า”

“นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นพวกกบฏ คิดจะลอบปลงพระชนม์เจ้าอุปราชใช่หรือไม่ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย อื้อ” ตะโกนได้แค่เพียงแค่สองคำ ก็โดนปิดปากด้วยการจุมพิต ชายหนุ่มผู้มาใหม่โอบกอดร่างบอบบางไว้อย่างแนบแน่น บดจูบอย่างดูดดื่ม จนลืมจุดประสงค์ว่าตอนนี้แค่ไม่อยากให้อีกฝ่ายส่งเสียงเท่านั้น

“แฮ่ก ๆ ๆ นี่เจ้ากล้าจูบข้างั้นเหรอ ไอ้คนชั่ว ไอ้ลามก”

“หากเจ้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว ข้าไม่ทำแค่จูบแน่” แววตาคมที่ส่งความเผด็จการมานั้น ทำให้เหนือคำยอมอยู่นิ่ง ๆ แสดงสีหน้างองุ้มราวกับเด็กน้อย อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ

“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”

“ข้าบอกไว้ก่อนว่ามิได้คิดร้ายต่อเจ้าน้า เอ่ออุปราชเลยสักนิด แค่อยากให้เจ้าช่วย”

“ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้เยี่ยงไร ในเมื่อเราเพิ่งจะเคยรู้จักกัน อีกอย่างการแต่งกายของเจ้าก็หาได้เหมือนชาวเมืองผาพิงค์ อาจจะเป็นพวกสอดแนมจากต่างเมืองก็เป็นได้”

“ข้าไม่ใช่อย่างที่เจ้าพูดมา ข้าเคยรู้จักกับเจ้าอุปราชแสงหล้ามาก่อน”

“เด็กเยี่ยงเจ้าเนี่ยนะ จะเคยรู้จักกับเจ้าอุปราชมาก่อน ข้าไม่มีวันเชื่อ”

“พูดอย่างกับตัวเองมิใช่เด็ก ข้าแก่กว่าเจ้าอีกรู้ไว้ด้วย” คนพูดจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง

“แก่แล้วไง เจ้าจะทำอันใดข้าได้ ในเมื่อตอนนี้เจ้าอยู่ในเขตคุ้มหลวง หากข้าเป็นอันใดไป รับรองว่าเจ้าอุปราชไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าเป็นคนโปรดของเจ้าอุปราช”

“กล้าท้าทายข้างั้นรึ”

ชายผู้นั้นผลักร่างอันบอบบางของเหนือคำลงบนพื้นหญ้า ตรึงข้อมือทั้งสองข้างไว้อย่างแน่นหนา โน้มตัวทับทาบทุกสัดส่วน โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ จนเหนือคำเอียงหน้าหนี

“ปล่อยข้านะไอ้โจรห้าร้อย”

“ขอร้องกันดี ๆ ไม่ชอบ ต้องให้ใช้กำลังใช่ไหม”

“ปล่อยนะ อะ...อื้อ ปะ...ปล่อย” คนที่อยู่ใต้ร่างโดนไซร้ซอกคออย่างบ้าคลั่ง จนตอนนี้แทบไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืน เลือดในกายไหลพลุ่งพล่าน รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“หึ ๆ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบ หากยอมรับปากว่าจะช่วยข้า รับรองว่าข้าจะสนองให้เจ้าอย่างหนักหน่วงแน่”

“ไอ้คนสารเลว ใครชอบกันเล่า”

“แล้วเหตุใดเจ้าต้องหน้าแดงเช่นนี้ สารภาพมาเถิดว่าเจ้าชอบข้าตั้งแต่แรกเจอ เพราะเจ้าเอาแต่ส่งยิ้มให้ข้า” คนพูดกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“เจ้านี่ช่างหลงตัวเองเสียจริง ข้าไม่มีทางชอบคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเยี่ยงเจ้าดอก”

“กล่าวเยี่ยงนี้ หากเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร เจ้าจะยอมเปิดใจให้ข้าใช่หรือไม่”

“...” เหนือคำไม่ตอบได้แต่ทำตาเลิ่กลั่ก รู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนอ่านใจเขาออกทุกเรื่อง

“ไม่ตอบแสดงว่าใช่ ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ว่าข้าเป็นใคร ข้าชื่ออินเหลา เป็นลูกชายของคนที่เจ้าอุปราชรักสุดหัวใจ แต่ต้องแยกจากกันเพราะโดนบังคับ”

“เจ้าจักรคำใช่พ่อเจ้าหรือไม่” เหนือคำพอจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง จากเหล่าทหารที่เคยไปทำศึกที่เมืองเชียงราชคำเมื่อสิบปีก่อน

“ถูกต้อง เจ้ารู้เรื่องนี้มาก่อนงั้นรึ”

“ก็พอจะรู้มาบ้าง แล้วที่ว่าจะให้ข้าช่วย ช่วยเรื่องอันใด”

“ช่วยทำให้พ่อข้ากับเจ้าอุปราชได้เจอกันอีกครั้ง”

“แต่มันเสี่ยงมากเลยนะ หากเป็นเช่นนั้นมีหวังเจ้าหลวงทรงกริ้วแน่ อีกอย่างข้านี่ล่ะจะโดนตัดหัวเอา”

“ข้าขอร้องเถอะนะ ถือซะว่าช่วยให้คนสองคนที่รักกันมากได้เจอกันอีกครั้ง ข้าขอร้องเจ้าแค่ครั้งเดียวจริง ๆ”

“ปล่อยข้าก่อนสิ”

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังนอนตรึงข้อมือเหนือคำเอาไว้ อินเหลาก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระแล้วลุกขึ้นยืน ยื่นมือให้เพื่อจะช่วยพยุงตัวขึ้น

“เดี๋ยวข้าช่วย”

“ไม่จำเป็น”

เหนือคำพยุงตัวลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง ก่อนจะง้างหมัดซัดเข้าที่ใบหน้าอย่างสุดกำลัง

ผั๊วะ!

“นี่สำหรับที่เจ้าล่วงเกินข้า”

“ถือว่าเราหายกันแล้ว ปากหวานๆ เยี่ยงนี้ ไม่นึกว่าจะหมัดหนักน่าดู” อินเหลาผู้โตเป็นหนุ่มเต็มวัย หรี่ตามองเหนือคำอย่างสนใจ ยกนิ้วหัวแม่มือเช็ดเลือดที่มุมปาก

“หากยังปากดีเยี่ยงนี้ ข้าไม่ช่วยเจ้าแน่” คนพูดหน้าแดงก่ำ แต่ยังพยายามทำหน้ายักษ์ใส่เขา

“ข้าว่า...เรามาสงบศึกกันชั่วคราวดีกว่า ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรนะ”

“ข้าไม่บอก”

“ถ้าไม่บอก ข้าจะเรียกตามใจข้านะ งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า...” เห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์นั้นก็ทำให้เหนือคำเบะปาก

“ข้าชื่อเหนือคำ”

“ชื่อไพเราะดีนี่ อินเหลากับเหนือคำ ชื่อเราสองคนดูคล้องจองกันมาก สงสัยคงจะเป็นเนื้อคู่กันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน”

“หุบปากเน่า ๆ ของเจ้า แล้วพูดมาว่าจะให้ข้าทำเช่นใด หากยังไม่มีสาระข้าจะกลับแล้ว”

“ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้วก็ได้ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”

หลังจากตกลงสงบศึกกันชั่วคราวแล้ว ชายหนุ่มวัยแรกรุ่นทั้งสองก็สนทนากันอย่างตั้งใจ ต่างฝ่ายต่างออกความคิดเห็นในทางที่เป็นประโยชน์ เพราะต้องการช่วยให้ผู้ใหญ่ที่รักทั้งสอง ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จะได้เจอกันไหมนะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มวยถูกคู่รุ่นเยาว์  :katai2-1:

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 26

วันที่รอคอย



เช้าวันรุ่งขึ้นแสงหล้ารีบออกไปจากคุ้มตั้งแต่เช้า เพื่อไปทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี พาเจ้าชายต่างเมืองเยี่ยมชมความงดงามของเมืองผาพิงค์ และที่ขาดไม่ได้ก็คือเหนือคำ กำลังเดินตามหลังมาติด ๆ ไม่พูดไม่จา ดูแปลกกว่าทุก ๆ วัน ที่มักจะพูดมากจนแสงหล้าต้องปรามไว้

ขณะยืนรอเจ้าอินทร์แปงอยู่ที่ศาลาริมสระบัวนั้น แสงหล้าก็อดไม่ได้ที่จะถามไถ่ ว่าเด็กในปกครองนั้นเป็นอะไรกันแน่ ถึงได้ดูแปลกไปเช่นนี้

“วันนี้ข้ารู้สึกว่าเจ้าแปลกไป”

“...” เหนือคำยังคงเงียบ

“เหนือคำ”

“...”

“เหนือคำ!” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ยิน แสงหล้าจึงเพิ่มระดับเสียงขึ้น จนคนที่นั่งเหม่ออยู่บนพื้นสะดุ้งโหยง

“จะ...เจ้า”

“วันนี้เจ้าเป็นอันใด ไม่สบายรึ”

“ข้าเจ้าสบายดีเจ้า”

“แล้วเหตุใดวันนี้จึงเงียบผิดปกติ”

“หามีอันใดจริง ๆ เจ้า”

“อย่าให้ข้ารู้ทีหลังว่าเจ้าไปทำความผิดอันใดไว้ มิเช่นนั้นข้าลงโทษเจ้าหนักแน่”

ได้ยินอย่างนั้นเหนือคำก็กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ

“ข้าเจ้ามิกล้าทำเรื่องพวกนั้นดอก คนอย่างข้าเจ้าอยู่ในครรลองคลองธรรมมาโดยตลอด เจ้าอุปราชก็ทรงทราบดี”

“ช่างกล้าพูด เด็กดื้อเยี่ยงเจ้าเคยฟังใครซะที่ไหนกัน” กล่าวจบแล้วเจ้าอินทร์แปงก็เดินเข้ามา แสงหล้าจึงคาดโทษด้วยสายตาก่อนจะกันไปมองผู้มาใหม่

“ข้าขออภัยที่ทำให้เจ้าอุปราชต้องรอนาน”

“มิเป็นไรดอก ข้าเพิ่งจะรอได้ไม่นาน ถ้าเช่นนั้นเราไปกันเลยดีไหม”

“ว่าแต่ เราจะไปด้วยวิธีใด จะนั่งเสลี่ยงหรือขี่ม้าไปกัน” เจ้าอินทร์แปงกล่าวด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ดูออกชัดเจนว่าต้องการสิ่งใด เห็นอย่างนั้นแสงหล้ายิ่งรู้สึกอึดอัด

“ข้าว่า...เรานั่งเสลี่ยงไปกันดีรึไม่ ข้าได้เตรียมเสลี่ยงไว้ให้ท่านแล้ว เชิญทางนี้เจ้า”

อินทร์แปงยิ้มก่อนจะเดินไปขึ้นเสลี่ยงที่ได้ถูกเตรียมไว้แล้ว เหนือคำมองหน้าเจ้าชายต่างเมืองด้วยความไม่พอใจ เกลียดสายตาที่มองเจ้านายตนเอง มันแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายจนสังเกตได้ชัดเจน

.........

ขบวนเสลี่ยงเจ้าอุปราชและแขกบ้านแขกเมือง เคลื่อนไปยังย่านการค้าที่สำคัญที่สุด เมื่อถึงแล้วเจ้านายทั้งสองพระองค์ก็ลงจากเสลี่ยง เพื่อเดินเข้าไปยังตลาดได้สะดวกขึ้น เมื่อเห็นเจ้าอุปราชประชาชนที่อยู่ในตลาดต่างก็ก้มลงกราบ เปล่งคำสรรเสริญดังกึกก้อง แสงหล้าได้แต่ส่งยิ้มให้ทุกคนอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย

“รู้สึกว่าชาวเมืองจะรักเจ้าอุปราชมากเหลือเกิน คงเป็นเหตุผลนี้ที่ทำให้เมืองผาพิงค์เจริญรุ่งเรืองได้ถึงขนาดนี้”

“เป็นเพราะพระปรีชาของเจ้าหลวงต่างหาก ที่ทรงดูแลประชาชนเป็นอย่างดี ตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงทำให้ชาวเมืองจงรักภักดีกับเจ้านายทุกพระองค์เช่นนี้” แสงหล้าหันไปกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“รู้รึไม่ว่ารอยยิ้มท่านทำให้หัวใจข้ามันพองโตมากแค่ไหน” อินทร์แปงหยอดคำหวาน ส่งสายตากรุ้มกริ่มมองจนแสงหล้าทำตัวไม่ถูก

“ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าอินทร์แปงเป็นคนมีอารมณ์ขันเยี่ยงนี้”

“ข้ากล่าวเรื่องจริง เจ้าหลวงยังมิได้บอกท่านเรื่องของเรางั้นรึ”

“เรื่องของเรา? ข้าหาเข้าใจไม่” เดินยังไม่ถึงไหน แสงหล้าก็เริ่มหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว ตอนนี้คนทั้งคู่ยืนอยู่กลางตลาด เป็นเป้าสายตาของคนทั้งเมือง

“เจ้าพ่อทาบทามเจ้าอุปราชให้ข้า อีกไม่นานเราทั้งสองเมืองก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว หากท่านไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ตกใจ”

“เหตุผลที่ท่านอยู่ที่นี่ต่อ ก็เพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่”

“ใช่! ข้าอยู่ที่นี่เพื่อจะได้ใกล้ชิดทำความรู้จักท่าน ก่อนที่เราจะเข้าพิธีอภิเษกกัน” อินทร์แปงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้จะเห็นสีหน้าไม่ค่อยชอบใจของแสงหล้า

“เราเลิกกล่าวถึงเรื่องนี้กันดีกว่า เพราะข้ายังมิได้ตัดสินใจอันใด แม้แต่เจ้าหลวงก็หามีสิทธิ์บังคับข้า” ว่าแล้วก็เดินนำหน้าไปก่อน เหนือคำเองก็เสียมารยาททำหน้าบูดบึ้งใส่เจ้าชายต่างเมืองแล้วเดินตามไป ส่วนคนที่เป็นต้นเหตุให้แสงหล้ายืนยิ้มเจ้าเล่ห์

..........

“เจ้าอุปราชอย่าทรงยอมนะเจ้า แวบแรกที่ข้าเจ้าเห็นหน้าชายผู้นั้น ก็รู้แล้วว่าเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ หาได้มีใจต่อท่านเลยสักนิด” เหนือคำพยายามหาเหตุผลมาอ้าง เพื่อเพิ่มเชื้อไฟให้ผู้เป็นนายปฏิเสธการคลุมถุงชนครั้งนี้

“ข้ารู้น่า เจ้าห้ามทำกิริยาไม่งามต่อหน้าเจ้าอินทร์แปงเด็ดขาด เข้าใจรึไม่”

“เข้าใจเจ้า” เหนือคำตอบรับเสียงอ่อย

“เจ้าอุปราช! รอข้าด้วย”

อินทร์แปงตะโกนตามหลัง วิ่งตามมาจนทัน “เจ้าอุปราชโกรธข้างั้นรึ”

“เปล่า เหตุใดข้าต้องโกรธท่านด้วย เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเจ้าหลวงจึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้แก่ข้า”

“เจ้าหลวงทรงอยากให้เราทำความสนิทสนมกันก่อน จึงค่อยบอกทีหลัง ข้าถูกใจท่านตั้งแต่แรกเจอ แล้วท่านล่ะรู้สึกเช่นใดกับข้าบ้าง”

“ดูจากสีหน้าเจ้าอุปราชก็น่าจะรู้” เหนือคำเปรยออกมาเบาเสียง โดยไม่สนใจว่าจะโดนเอ็ดเพราะหมั่นไส้อินทร์แปงเหลือเกิน

“เหนือคำ!”

“ข้าเจ้าเงียบแล้วเจ้า” เหนือคำกล่าวเสียงอ่อย ทำหน้างองุ้มเมื่อโดนดุ

“ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเสียเวลา จึงต้องบอกตรง ๆ ว่าข้าไม่มีทางรักท่านได้ เป็นเช่นนี้แล้วตัดใจจากข้าเสียเถอะ”

“เหตุใดข้าต้องตัดใจจากท่านด้วย ในเมื่อสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจอยู่ที่เจ้าหลวงแสงชัย มิใช่ท่าน” อินทร์แปงยิ้มมุมปาก เพราะได้ยินมากับหูตนเองว่าแสงชัยจะยกน้องชายให้กับตน

“นี่ท่าน! จะมากไปแล้วนะ”

“มากตรงไหนรึ ข้าแค่ชอบท่านไม่ได้จะฆ่าจะแกงเสียหน่อย”

“หากยังดื้อด้านเช่นนี้ ข้าก็ขอเสียมารยาทกลับเสียตอนนี้ หากต้องการไปเยี่ยมชมที่แห่งใด ก็ให้ทหารของข้าพาไปละกัน” กล่าวจบก็เดินหนีไปจากตรงนั้น เหนือคำเองก็เบะปากแล้วเดินตามไปโดยเร็ว ทิ้งให้อินทร์แปงยืนงงอยู่กับทหารที่ตามมารับใช้

“ข้าไม่มีวันปล่อยท่านไปแน่เจ้าแสงหล้า หึๆ” แววตาคมที่จ้องมองตามหลังไป เต็มไปด้วยความต้องการเอาชนะ ในเมื่อมาถึงที่แล้วจะไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่มีค่าหลุดมือไปแน่

..........

แสงหล้าเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ความโกรธปนน้อยใจพี่ชายทำให้เขาไม่อยากจะกลับไปเจอหน้า ทั้งที่รู้ว่าหัวใจดวงนี้ไม่อาจเป็นของใครได้อีกแล้ว แต่ทว่าแสงชัยก็ยังดื้อดึงที่จะยัดเยียดให้คนอื่น

“เจ้าอุปราชรอข้าเจ้าด้วย” เหนือคำตะโกนตามหลังมาติด ๆ ยิ้มมุมปากเมื่อตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปตามแผน

“ข้าอยากอยู่คนเดียว เจ้าจะไปไหนก็ไป”

“ข้าเจ้าทำเยี่ยงนั้นไม่ได้ เจ้าอุปราชอยู่ที่ใดข้าเจ้าต้องอยู่ที่นั่น”

“นี่คือคำสั่งของข้า” แสงหล้าเริ่มหงุดหงิดกับความดื้อด้านของเด็กหนุ่ม หันกลับมาถลึงตามอง

“เจ้าอุปราชทรงเคยรู้จักคนที่อินเหลาหรือไม่เจ้า” เมื่ออยู่กันเพียงลำพังแล้ว เหนือคำก็เริ่มทำตามแผนที่ได้วางไว้

กำลังจะก้าวขาเดินไปแต่ทว่าต้องชะงักงัน ชื่อนี้ทำให้แสงหล้านึกถึงความหลังเมื่อสิบปีก่อน ใบหน้าของพ่อลูกคู่นั้นลอยมาให้เห็น

“ป่านนี้เจ้าคงโตเป็นหนุ่มแล้วสินะอินเหลา แต่เอ๊ะ! เหนือคำรู้จักชื่อนี้ได้เช่นใดกัน” แสงหล้าเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ

“สรุปว่าเจ้าอุปราชรู้จักคนที่ชื่ออินเหลารึไม่เจ้า”

“เจ้าไปได้ยินชื่อนี้มากจากที่ใด”

“หากเจ้าอุปราชต้องการเจอกับอินเหลา ข้าเจ้าพาไปเจอได้”

“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย เจ้าได้ยินชื่อนี้มาจากที่ใด” แสงหล้าเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาอีก หัวใจเต้นแรงเพราะคิดว่าเหนือคำจะต้องรู้อะไรบางอย่างมาแน่นอน

“หากเจ้าอุปราชต้องการคำตอบ ตามข้าเจ้ามาทางนี้” เหนือคำรู้ว่าถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องตามมา จึงรีบวิ่งนำหน้าออกไปจากตลาดแห่งนั้น โดยไม่หันกลับไปมอง

………..

เหนือคำวิ่งตามตรอกซอกซอยจนออกมานอกตลาด ตรงไปยังเนินเขาซึ่งมีต้นจามจุรีขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำสายเล็ก ๆ ซึ่งตอนนี้มีคนกำลังยืนรออย่างใจจดใจจ่อ

จักรคำยืนชะเง้อมองอยู่นาน ก็เจอกับเด็กหนุ่มกำลังเดินเร็วมาเพียงลำพัง จึงหันไปมองหน้าลูกชายสุดที่รัก ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม

“เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นั้น จึงเดินมาเพียงลำพัง”

“ลูกเองก็ไม่แน่ใจ แต่ได้กำชับแล้วว่าต้องพาเจ้าน้ามาให้ได้”

“พ่อก็หวังว่าน้าของเจ้าจะยอมมาด้วย” ผ่านไปนานหลายปีแล้ว สิ่งต่าง ๆ มันย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เขากลัวว่าใจของแสงหล้าจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา มีใครคนอื่นเสียแล้ว

“ลูกเชื่อว่าเจ้าน้าต้องมาแน่นอน”

ขณะนั้นเองเหนือคำก็เดินมาถึง เด็กหนุ่มมองตามหลังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่พบผู้เป็นเจ้านายแม้แต่เงา

“เหตุใดเจ้าจึงมาเพียงลำพัง แล้วเจ้าน้าของข้าล่ะ” มาถึงอินเหลาก็ตั้งคำถามทันที

“เอ่อ...คือ รออีกสักพัก เจ้าอุปราชต้องตามข้ามาแน่ ว่าแต่นี่คือพ่อของเจ้าใช้รึไม่”

“ใช่! นี่พ่อข้าเอง”

“ถวายบังคมเจ้าหลวงจักรคำ” เหนือคำรีบนั่งลงกราบ เพราะรู้ว่าในอดีตอีกฝ่ายมีสถานะเป็นถึงเจ้าหลวงแห่งเชียงราชคำ

“ตอนนี้ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมสามัญ มิได้มียศถาบรรดาศักดิ์เช่นเดิม หาควรต้องมีพิธีรีตอง ลุกขึ้นเถิดเหนือคำ” เห็นหน้าครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มผู้นี้ น่ารักสมกับที่อินเหลาสาธยายให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง

“แต่ถึงอย่างไรพระองค์ก็ยังคงเป็นเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน เป็นผู้ที่เจ้าอุปราชรักสุดหัวใจ ข้าเจ้าคงมิอาจทำตัวเสมอพระองค์ได้”

“พ่อข้าไม่ได้ยึดติดกับเรื่องพวกนั้นแล้ว รีบลุกขึ้นสิ อย่าให้ข้าต้องใช้กำลังบังคับเจ้า ไม่นึกเลยว่าเด็กดื้อเยี่ยงเจ้า จะมีกิริยามารยาทดีงามเช่นนี้”

“นี่เจ้าชมหรือด่าข้ากันแน่อินเหลา” เหนือคำยอมลุกขึ้น แล้วยืนเผชิญหน้ากับอินเหลา

“แล้วแต่จะคิด”

“แล้วต้องรอนานเท่าใด แสงหล้าจึงจะตามเจ้ามา” จักรคำถามด้วยความกระวนกระวายใจ อยากเห็นหน้าคนรักใจแทบขาด อยากเข้าไปกอดให้หายคิดถึงเหลือเกิน

“ข้าเจ้าเองก็หารู้ไม่”

“ไม่ได้เรื่อง ข้าไม่น่าให้คนเยี่ยงเจ้าช่วยเลย” อินเหลากอดอกมองอย่างไม่สบอารมณ์

“นี่เจ้า!” เหนือคำถลึงตามองอย่างเดือดดาลที่โดนต่อว่าซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้

“ขอโทษเหนือคำบัดเดี๋ยวนี้ แค่นี้เราก็ไปรบกวนเขามากแล้ว”

“แต่ข้าไม่ผิดนะเจ้าพ่อ”

“เหตุใดจึงไม่ผิด ในเมื่อเราร้องขอให้คนอื่นช่วย เท่ากับว่าเราเป็นหนี้บุญคุณ เจ้าไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าเหนือคำเช่นนี้”

“ข้า...ขอโทษ!” อินเหลายอมขอโทษแต่โดยดี ทว่าสีหน้ากลับไม่พอใจเป็นที่สุด หากไม่มีบิดาอยู่ข้าง ๆ รับรองว่าเขาจะจับทำเมียซะให้เข็ดหลาบ

“ข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก เพราะรู้ว่าเจ้ามันเป็นคนชอบเอาแต่ใจแค่ไหน” เหนือคำเป็นฝ่ายยิ้มเยาะเย้ย

อินเหลาจ้องมองใบหน้าเรียวรูปไข่แทบไม่กะพริบตา ยกนิ้วขึ้นมาสัมผัสที่ริมฝีปากตนเอง เหมือนเป็นการขู่กลาย ๆ ว่าหากปากดีเช่นนี้ คราวหน้าต้องโดนจูบอีก เหนือคำเบะปากทำเป็นไม่สนใจ

เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งรออยู่ข้างลำธาร ส่วนจักรคำได้แต่ยืนจ้องมองไปยังถนนลูกรัง เพื่อรอการมาถึงของคนรัก ไม่นั่งพักแม้แต่ครั้งเดียว รออยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมงแสงหล้าก็ยังไม่มาเสียที นั่นทำให้ความหวังของจักรคำเริ่มริบหรี่ลงเรื่อย ๆ

“เจ้าน้าคงไม่มาแล้วล่ะเจ้าพ่อ”

“พ่อจะรออยู่ตรงนี้ จนกว่าแสงหล้าจะมา”

“ข้าเจ้าว่าเอาไว้วันหลังเราค่อยนัดเจอกันใหม่อีกครั้งจะดีกว่า ป่านนี้เจ้าอุปราชคงกลับเข้าไปในคุ้มหลวงแล้ว ต้องมีเหตุบางอย่างที่ทำให้พระองค์ไม่ตามข้าเจ้ามา”

“พวกข้าหาเชื่อใจเจ้าอีกแล้ว คนอุตส่าห์ไว้ใจ”

“ก็ใครจะไปรู้เล่าว่ามันจะเป็นเยี่ยงนี้ ข้าขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง คราวหน้ารับรองไม่พลาดแน่”

“เอาเถอะ ถึงอย่างไรมันก็พลาดไปแล้ว ลองให้โอกาสเหนือคำอีกสักครั้ง รอมาสิบปีพ่อยังทนได้ รออีกแค่อึดใจเดียวเหตุใดพ่อจะรอไม่ได้” จักรคำเห็นถึงความตั้งใจของเด็กหนุ่ม จึงตั้งใจจะให้โอกาสอีกสักครั้ง ครั้นจะลักลอบเข้าไปในคุ้มหลวงมันก็เสี่ยงเกินไป การมาพบเจอกันนอกเมืองเช่นนี้ มันคือวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว

“ขอบน้ำใจท่านมากที่ไว้ใจข้าเจ้า ครานี้จะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดอีกเด็ดขาด”

“ฝากเจ้าด้วยนะเหนือคำ” จักรคำส่งยิ้มให้อย่างเอ็นดู

“หากครั้งนี้เจ้าทำพลาดอีก ข้าจะจับเจ้าทำเมียเลยคอยดู” คนพูดส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ แต่เหนือคือถลึงตา เบะปากเป็นการตอบแทน

“ปากอย่างนี้มันน่าช่วยไหมล่ะ เห็นแก่เจ้าจักรคำ ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดมาก่อนหน้านี้” กล่าวจบแล้วก็ยกมือไหว้สาจักรคำ “ข้าเจ้าต้องกลับเข้าไปในคุ้มหลวงแล้ว ข้าเจ้าขอไหว้สา”

“รีบไปเถอะ เดี๋ยวเจ้าจะโดนทำโทษเอา หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่สบายใจ”

กำลังจะแยกทางกันไป แต่ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา คนทั้งสามจึงหันขวับไปมองยังต้นเสียง แม้จะไม่ได้ยินเสียงนี้มาสิบปีแล้ว แต่ทว่าจักรคำยังคงจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร

“เหนือคำ เจ้าอยู่ที่ใด”

“หากเจอตัวข้าจะลงโทษซะให้เข็ดหลาบเลยคอยดู”

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะได้พบกันไหมหนอ  :hao5:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ขอให้ได้เจอกัน

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
 :sad4:เจอกันเถอะนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด