มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]  (อ่าน 25393 ครั้ง)

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :mew4: ดูเหมือนเจ้านางจะทำมิตรให้เป็นศรัตรูเสียแล้ว

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mareeyah

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
คำชม
ภาษาดีจังค่ะ อ่านแล้วไหลลื่นไม่สะดุด
ดำเนินเรื่องไวไม่น่าเบื่อ


ข้ามได้เลยนะ
ข้อเสนอแนะจากความคิดเห็นส่วนตัวอย่าถือเป็นสำคัญ
อ่านแล้วขัดๆนิดหน่อย การกระทำและคำบรรยายบางตอนเหมือนคู่ ช-ญ แต่ก็แล้วแต่คนชอบ
โดยรวมชอบเรื่องนี้นะ

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 15

ดีใจไม่สุด



ตั้งแต่กลับมาจากน้ำตกในวันนั้นแสงหล้าเริ่มมีกำลังใจที่ดีขึ้น คลายความกังวลใจเรื่องคำน้อยไปได้มากพอสมควร อีกส่วนเป็นเพราะจักรคำคอยดูแลเอาใจใส่ไม่เคยห่าง แถมยังคอยประคบประหงมราวกับเขาเป็นเด็กน้อยซะอย่างนั้น ยิ่งจักรคำทำดีด้วยเท่าไรความรักและไว้ใจที่แสงหล้ามอบให้ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

วันนี้จักรคำพาเมียรักมาชมความงดงามของสวนดอกไม้ภายในเขตอุทยานหลวง สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณที่ผลัดกันออกดอกบานสะพรั่งเต็มพื้นที่กว้าง สร้างความสดชื่นให้แก่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้เป็นอย่างดี

สวนดอกไม้แห่งนี้อนุญาตให้เข้ามาได้เฉพาะเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น หากผู้ใดฝ่าฝืนเข้ามาจะต้องโดนอาญาทันที เป็นเช่นนี้คนธรรมดาสามัญก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้ ยกเว้นนางข้าไทและทหารที่ติดตามเจ้านายมาเท่านั้น

“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่” จักรคำเอ่ยถามขณะเดินโอบไหล่ร่างเล็กเดินชมความงดงามของสองข้างทาง

“ชอบที่สุดเลยเจ้า ที่นี่ช่างงดงามเหลือเกิน เหตุใดจึงไม่เห็นมีผู้ใดย่างกรายเข้ามาที่นี่เลยสักคน” แสงหล้าเอ่ยถามด้วยความสงสัย นั่นเพราะหากเป็นเมืองผาพิงค์ป่านนี้คงมีผู้คนเข้ามาชมจนเนืองแน่นเป็นแน่แท้

“ที่แห่งนี้อนุญาตให้เข้ามาเฉพาะเจ้านายชั้นสูงเพียงเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปเข้ามาไม่ได้ดอก”

“อ้าว! เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนั้น สถานที่สวยๆ เยี่ยงนี้ควรให้ผู้คนได้เข้ามาเห็นเป็นบุญตาสักครั้งก็ยังดี”

“มันเป็นกฎที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว อีกอย่างหากให้ชาวบ้านเข้ามาอาจเกิดความเสียหายได้” จักรคำอธิบายให้ฟัง

“หากท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าหลวงแล้วข้าขอเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

“อันใดรึ” จักรคำหยุดฝีเท้า หันมาส่งยิ้มให้คนรัก

“ข้าอยากให้ชาวบ้านสามารถเข้ามาชมความงดงามในสวนแห่งนี้ได้ ข้ามั่นใจว่าจักไม่มีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นหากเราแจงกฎระเบียบให้พวกเขาเข้าใจ อีกอย่างทุกคนจักได้ซาบซึ้งในบารมีของเจ้าหลวงด้วยเช่นใดเล่า”

“อืม...ตกลงข้าจักยอมทำตามสิ่งที่เจ้าร้องขอ แต่ข้าไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดถึงจักมีวันนั้น เจ้ารอได้หรือไม่” จักรคำเอื้อมมือไปสัมผัสบนแก้มขาวอย่างแผ่วเบา ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตกลางหน้าผากนุ่ม

“ไม่ว่าจักนานเท่าใดข้าก็รอได้”

“ข้าคิดไม่ผิดที่เลือกเจ้า” จักรคำจ้องมองริมฝีปากบางอย่างตั้งใจ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่บ่งบอกว่าตอนนี้เขากำลังคิดจะทำอะไร

“อย่าคิดทำเยี่ยงนั้นเป็นอันขาด ท่านไม่อายทหารพวกนั้นรึ” แสงหล้าดันอกแกร่งไว้ ขณะปรายตามองทหารสี่ห้านายที่ยืนเฝ้ายามอยู่ไม่ไกล

“เหตุใดต้องอายด้วยเล่า” จักรคำหันไปมองบรรดาทหารหนุ่ม ก่อนจะพยักหน้าสั่งให้เดินออกไปให้พ้นทาง แล้วหันกลับมายิ้มให้คนที่อยู่ตรงหน้า

“เจ้าเล่ห์ที่สุด อย่าคิดว่าทำเรื่องวันนั้นได้แล้วข้าจักยอมไปตลอด” คนพูดเอียงอาย ก้มหน้างุดวางสายตาไว้บนอกแกร่ง

จักรคำเชยคางเรียวขึ้นมาให้สบตากัน

“ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจักยอมหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับข้าว่าต้องการเมื่อใดต่างหากเล่า”

จักรคำโน้มใบหน้าคมเข้าไปประกบจูบริมฝีปากบางอย่างนุ่มนวล เลื้อยมือทั้งสองไปโอบกอดแผ่นหลังบางดึงตัวให้เข้ามาประชิด รสจูบที่ดูดดื่มทำเอาแสงหล้าเคลิ้มกอดรัดร่างกำยำไว้แน่น ยินยอมให้อีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากตวัดเกี่ยวพันลิ้นตนเองอย่างสนุกสนาน

“แฮ่กๆ ๆ ...พะ...พอได้แล้ว ท่านจักแกล้งข้าให้ขาดใจตายหรืออย่างไร”

ผละใบหน้าออกมาแล้วแต่ทว่าจักรคำกลับไม่ยอมหยุดเพียงแค่นั้น แสงหล้าจึงดันอกแกร่งห้ามไว้เสียก่อน

“แต่ข้ายังไม่อิ่มเอมใจ ขออีกสักนิดเถอะน่า”

“ไม่เอาแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อต้องการชมสวนไม่ได้มาเพื่อ....” ร่างเล็กก้มหน้างุดไม่ยอมเอ่ยต่อไป

“เพื่ออันใดรึ หรือว่าเจ้าคิดถึงเมื่อครั้งที่เราอยู่ในถ้ำด้วยกัน” จักรคำพูดแหย่ให้คนที่อยู่ตรงหน้าเขินอาย

“มะ...ไม่ใช่สักหน่อย”

“แต่ข้าคิด ข้าตัดสินใจแล้วว่านับจากนี้ไปจักไปนอนกับเจ้าที่ตำหนัก”

“แล้วอินเหล่าเล่าเจ้าพี่ อินเหลาจักนอนกับผู้ใด”

“อินเหลาเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่มีปัญหาอันใดดอก”

“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าพี่ ถึงห้ามท่านก็ไม่ยอมฟังข้าอยู่ดี”

แม้จะทำเหมือนไม่เต็มใจนัก แต่ทว่าหัวใจกลับเต้นแรงด้วยความดีใจเป็นที่สุด เขายอมรับอย่างไม่อายว่าตอนนี้หัวใจทั้งดวงได้มอบให้จักรคำไปหมดแล้ว และยังคงหวังว่าหากจักรคำได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ตั่งทองแล้ว จะทำตามสัญญาคืนอิสรภาพให้เมืองผาพิงค์

“รู้เยี่ยงนี้แล้วจงเตรียมตัวให้พร้อม ข้าอยากนอนกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนไม่ไปไหนเลยด้วยซ้ำ” พูดจบจักรคำก็โน้มใบหน้าไปหอมแก้มขาวฟอดใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว

“พอได้แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อชมดอกไม้ ไม่ได้มาเพื่อให้ท่านเชยชมตัวข้าสักหน่อย” พูดจบแสงหล้าก็เร่งฝีเท้าเดินล่วงหน้าไปก่อน จักรคำได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะรีบเดินตามไปติดๆ

ในระหว่างทั้งสองคนกำลังพลอดรักกันอยู่นั้น กลับมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมาด้วยความเดือดดาลเป็นที่สุด เขาคนนั้นคือแสงชัยนั่นเอง ที่ลักลอบเข้ามาในเมืองแห่งนี้เพื่อดูความเป็นอยู่ของน้องชาย แต่ทว่ามาถึงแล้วเขากลับเจอภาพบาดตาที่ทำให้ผิดหวังกับตัวน้องชายเป็นที่สุด

จักรคำเดินโอบไหล่ร่างเล็กชมสวนไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นกลับมีทหารสองนายรีบวิ่งเข้ามาเพื่อกล่าวรายงานอะไรบางอย่าง

“เจ้าอุปราชเจ้า!” ทหารทั้งสองนายนั่งคุกเข่าลงตรงหน้ายกมือกล่าวรายงาน

“มีอันใดรึ? เหตุใดถึงได้วิ่งหน้าตาตื่นมาเยี่ยงนี้” จักรคำขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย

“เจ้าหลวงทรงประชวรกะทันหันเจ้า ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาพระอาการอยู่ในห้องบรรทมเจ้า”

“เจ้าพ่อ! “

เมื่อได้ยินอย่างนั้นจักรคำก็หน้าถอดสีทันที บิดาไม่เคยมีวี่แววว่าจะป่วยเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ทรุดหนักอย่างนี้

“เจ้าพี่ไปดูพระอาการเจ้าหลวงเถิด ข้าจักกลับคุ้มเองไม่ต้องเป็นห่วง” แสงหล้ายกมือขึ้นบีบเบาๆ ที่ต้นแขนเพื่อให้กำลังใจ

“เช่นนั้นข้าจักไปหาเจ้าพ่อที่คุ้มก่อน เจ้าจักกลับคุ้มตอนนี้เลยรึไม่”

“ข้าจักเดินชมสวนอยู่ที่นี่อีกสักพัก เจ้าพี่ไม่ต้องเป็นห่วงดอก”

“ถ้าเช่นนั้นเจอกันที่คุ้มนะเมียพี่”

“เจ้า”

จากนั้นจักรคำก็รีบเดินนำหน้าทหารไปด้วยความเร่งรีบ ปล่อยให้เมียรักชมสวนดอกไม้เพียงลำพัง

แสงหล้าเดินชมสวนไปเรื่อยเปื่อยอย่างสบายใจ สถานที่อันสวยงามแห่งนี้ทำให้เขาผ่อนคลายมากเหลือเกิน มันช่างเงียบสงบ ไม่มีความวุ่นวายใดๆ ให้ต้องเครียดเลยสักนิด

“ป่านนี้เอ็งจักเป็นเช่นใดบ้างนะคำน้อย” เจ้าตัวเอ่ยพึมพำเบาๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าของข้าไทคนสนิท ทั้งสองยังไม่ได้เจอหน้ากันเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดเรื่อง

แสงชัยเห็นว่าตอนนี้น้องชายเดินมาเพียงลำพังจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปดึงตัวเข้ามาในพุ่มไม้ เอามือปิดปากไว้แน่นไม่ให้ส่งเสียงร้อง

“อื้อออออ...”

“ชู่ว์!!! นี่พี่เอง”

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแสงหล้าก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ น้ำใสๆ ไหลพรากออกมาจากดวงตาคู่สวยทันที ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ วันที่ได้เจอหน้าและได้ยินเสียงพี่ชายอีกครั้ง

“เจ้าพี่ ฮึก...”

แสงหล้าหมุนตัวกลับแล้วรีบกอดพี่ชายไว้แน่น สะอื้นไห้ด้วยความดีใจเป็นที่สุด

“พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกินแสงหล้า” แสงชัยเองก็ปล่อยโฮเมื่อได้กอดน้องชายอีกครั้ง

“น้องก็คิดถึงเจ้าพี่ เจ้าพ่อเป็นเช่นใดบ้างทรงสบายดีหรือไม่”

“เจ้าพ่อทรงสบายดี เจ้าพ่อคิดถึงน้องมากเลยสั่งให้พี่มาสืบข่าวถึงที่นี่”

“น้องสบายดี ไม่มีอันใดให้ต้องเป็นห่วง” แสงหล้ายังคงยิ้มไม่ยอมหุบ มันเหมือนฝันเหลือเกินเมื่อได้เจอหน้าพี่ชายที่นี่

“คงจักสบายมากจนลืมบ้านเกิดเมืองนอนไปแล้วกระมัง” แสงชัยเริ่มเข้าสู่โหมดดราม่า เมื่อนึกถึงภาพน้องชายพลอดรักกับเจ้าอุปราชของเมืองนี้

“เหตุใดเจ้าพี่ถึงกล่าวเยี่ยงนี้” แสงหล้าหุบยิ้มด้วยความฉงนในใจ อยู่ดีๆ พี่ชายก็มีท่าทีเปลี่ยนไปกะทันทันอย่างนี้

“พี่เห็นเจ้าพลอดรักกับไอ้ฆาตกรนั่น เจ้าคิดอันใดอยู่รึแสงหล้า เจ้าลืมไปแล้วรึว่ามันเข่นฆ่าชาวเมืองผาพิงค์ไปมากแค่ไหน!” แสงชัยขึ้นเสียงใส่น้องชายด้วยความโมโห

“น้อง...” เมื่อได้ยินผู้เป็นพี่เอ่ยอย่างนั้นก็ทำให้แสงหล้าเริ่มคิดหนัก หากบอกไปตรงๆ ว่าได้มอบหัวใจให้จักรคำไปแล้ว อาจจะทำให้พี่ชายผิดหวังและเสียใจมาก

“เจ้ารักมันรึ?”

“น้องไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น เพียงแต่กำลังเล่นละครตบตาเพื่อให้เขารักและไว้ใจ หากในอนาคตเจ้าเมืองแมนได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองแล้ว น้องจักขอให้เมืองผาพิงค์เป็นอิสระเช่นใดเล่าเจ้าพี่” แสงหล้าจำเป็นต้องบอกไปอย่างนั้น เพื่อไม่ให้พี่ชายกังวลว่าเขาจะไปรักกับศัตรูของบ้านเมือง

“พี่ขอโทษที่เข้าใจเจ้าผิดไป มันคงไม่มีวันนั้นดอกเพราะตอนนี้พี่กับเจ้าพ่อกำลังวางแผนกับหัวเมืองน้อยใหญ่เพื่อเข้ามายึดอำนาจที่นี่แล้ว” แสงชัยรู้สึกผิดที่เข้าใจน้องชายตนเองผิดไป จากนี้เขาจะต้องใช้ความพยายามเข้ามาโจมตีเมืองใหญ่นี้ให้ป่นปี้ไม่มีชิ้นดีในอีกไม่ช้า

“เจ้าพี่หาควรทำเช่นนั้นไม่ เจ้าพี่ก็รู้ว่ามันเสี่ยงแค่ไหน เมืองเชียงราชคำไม่ใช่เมืองเล็กๆ กำลังพลก็มีมหาศาลนัก เช่นนี้แล้วจักเอาชนะได้เยี่ยงไร” หากเป็นเช่นนั้นจะต้องมีคนตายเป็นเบือเพื่อสังเวยศึกในครั้งนี้ ซึ่งเขาไม่อยากให้ต้องมีการนองเลือดอีกแล้ว

“พี่มั่นใจว่าจักเอาชนะได้ อีกไม่นานพี่จักมารับเจ้ากับคำน้อยกลับบ้านเรา” ว่าแล้วแสงชัยก็ปรายตามองหาคำน้อย “ว่าแต่คำน้อยอยู่ที่ใดรึ ปกติแล้วเจ้าสองคนไม่เคยอยู่ห่างกัน”

“คือ...ตอนนี้คำน้อยไม่ได้อยู่ที่คุ้มเดียวกับน้องแล้ว” แสงหล้าเอ่ยเบาเสียง

“คำน้อยอยู่ที่ใด...หรือมีผู้ใดรังแกมันบอกพี่มา”

“ตอนนี้คำน้อยออกเรือนไปกับเจ้าเมืองแมนแล้วเจ้า”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น คำน้อยที่ข้าเคยรู้จักไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูงเยี่ยงนี้”

“น้องคิดว่าคำน้อยอาจจักโดนบังคับขืนใจ แต่มันไม่ยอมบอกน้องว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกับมัน เราไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งแล้วเจ้าพี่”

“เลวที่สุด! คนบ้านเมืองนี้จิตใจโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน ข้าจักไม่ยอมให้พวกมันอยู่กันอย่างสุขสบายเยี่ยงนี้ไปได้อีกนานดอก” แสงชัยมองไกลด้วยสายตาที่ดุดัน กำมือจนสั่นเทา บ่งบอกว่าเขากำลังอารมณ์เดือดพล่านมากแค่ไหน

“เจ้าแสงหล้าเจ้า”

เสียงทหารดังแว่วมาทำเอาทั้งสองตื่นตกใจจนสะดุ้ง

“เจ้าพี่รับหนีไปก่อนเถอะเจ้า”

“ดูแลตัวเองดีๆ พี่จักติดต่อเจ้าเป็นระยะไม่ต้องห่วง พี่ต้องไปแล้วน้องรัก” ว่าแล้วแสงชัยก็โอบกอดน้องชายสุดที่รักไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ ย่องหนีแอบไปตามพุ่มไม้

หลังจากพี่ชายหนีไปแล้วแสงหล้าก็เกลี่ยน้ำตาออกจากพวงแก้มจนเกลี้ยง แล้วเดินออกไปยังทางเดินเพื่อให้ทหารเห็นตนเอง

“มีอันใดรึ?”

“ไม่มีอันใดเจ้า ข้าเจ้าไม่เห็นเจ้าแสงหล้าเลยเกรงว่าจักมีอันตราย”

“ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วง ข้าอยากกลับคุ้มแล้ว”

“เจ้าอุปราชส่งเสลี่ยงมารอรับพอดีเจ้า”

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าก็ยิ้มด้วยความปลื้มใจ

ตอนแรกทั้งสองขี่ม้ามาด้วยกัน พอมีเหตุจำเป็นต้องกลับไปก่อน จักรคำจึงสั่งให้ทหารนำเสลี่ยงมารอรับเมียสุดที่รัก

การได้เจอพี่ชายครั้งนี้จริงๆ แล้วเขาควรจะดีใจ แต่ทว่าทำไมกลับรู้สึกกลัวว่าอีกไม่นานความวุ่นวายจะต้องเกิดขึ้น จนทำให้ต้องมีการนองเลือดอีกครั้ง ซึ่งเขาไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเลยจริงๆ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะโดนจับได้ป่ะเนี่ย มาเมืองศัตรูแบบนี้นะ คุณพี่  :katai1:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :เฮ้อ: ดูเหมือนคว่มทุกจะมีอยู่รอบตัว :hao5:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
คิดหนักเลย คนนึงก็พี่อีกคนก็สามี :เฮ้อ:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 16

ความริษยา



จักรคำมาถึงห้องบรรทมของเจ้าหลวงก็พบว่าเมืองแมนได้มาถึงก่อนหน้าแล้ว หมอหลวงกำลังดูแลรักษาผู้เป็นบิดาที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าอิดโรย

“เจ้าพ่อ! ทรงเป็นเช่นใดบ้างเจ้า” จักรคำยกมือไหว้สาเมื่อเดินมายืนเคียงข้างน้องชาย

“พ่อไม่ได้เป็นอันใดดอก อย่าได้เป็นกังวลไป” เจ้าหลวงยังคงยิ้มให้ลูกชายทั้งสองคนได้ เจ้าตัวรู้สึกว่าช่วงหลังๆ มานี้ร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนเมื่อก่อน นั่นเป็นเพราะเริ่มแก่ตัวขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีอาการของโรคหัวใจกำเริบอีกต่างหาก แต่ทว่าเขาไม่เคยบอกกับลูกชายทั้งสองคนมาก่อน และคิดว่าคงถึงเวลาที่จะให้จักรคำขึ้นนั่งบนตั่งทองแทนเสียแล้ว

“เจ้าพี่ทำอันใดอยู่รึถึงได้มาช้าเยี่ยงนี้” เมืองแมนว่าให้พี่ชายด้วยสีหน้าขุ่นเคือง หมายใจจะทำให้ผู้เป็นพ่อเห็นดีเห็นงามด้วย

“ข้า...เอ่อ...” จักรคำไม่กล้าบอกว่ากำลังไปเดินชมสวนกับแสงหล้าอยู่ กลัวว่าจะทำให้ผู้เป็นพ่อไม่พอใจ

“ว่ายังไงหมอหลวง พ่อข้าเป็นอันใดรึ”

ขณะรอฟังคำแก้ตัวของจักรคำอยู่นั้น เมืองแมนก็หันไปสนใจหมอหลวงที่ลุกขึ้นจากเตียงบรรทมพอดี

“เจ้าหลวงทรง....” หมอหลวงกำลังจะเอ่ยรายงานแต่เจ้าหลวงทรงเอ่ยเสียงแทรกเสียก่อน

“เจ้าออกไปก่อนข้ามีเรื่องจะคุยกับลูกข้า” เจ้าหลวงสั่งให้หมอหลวงออกไปจากห้องบรรทม เพราะกลัวว่าลูกชายจะรู้เรื่องอาการป่วยที่ปกปิดเป็นความลับไว้มานานหลายปี

“เจ้า” หมอหลวงไหว้สาก่อนจะเดินออกไปจากห้องตามคำสั่ง

จักรคำและเมืองแมนต่างไม่เข้าใจว่าทำไมบิดาจึงได้สั่งอย่างนั้น ราวกับไม่ต้องการให้รู้ว่าตนเองป่วยเป็นอะไร

“เหตุใดเจ้าพ่อจึงสั่งให้หมอหลวงออกไปเร็วเยี่ยงนี้ ทรงมีอันใดปกปิดพวกข้างั้นรึ” จักรคำไม่แจ้งใจเข้ากับสิ่งที่บิดากระทำ นั่นยิ่งทำให้รู้สึกเป็นห่วงเข้าไปใหญ่

“ไม่มีอันใดดอก ในเมื่อพวกเจ้ามาพร้อมหน้ากันเยี่ยงนี้แล้ว พ่อเองก็มีเรื่องแจ้งให้รับรู้” เจ้าหลวงพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งเอนหลัง โดยมีเมืองแมนช่วยพยุงตัว

“มีเรื่องอันใดรึเจ้าพ่อ” เมืองแมนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นซะเต็มประดา

“ตอนนี้พ่อเองก็เริ่มแก่ตัวขึ้นไปทุกวันๆ บัดนี้คงถึงเวลาที่พ่อจักต้องให้เจ้าทั้งสองดูแลบ้านเมืองของเราต่อไป ขึ้นสิบสองค่ำเดือนหน้าเชียงราชคำจักมีงานใหญ่ นั่นคือพิธีแต่งตั้งเจ้าหลวงองค์ใหม่ จงเตรียมตัวให้พร้อมจักรคำลูกพ่อ” เจ้าหลวงวางมือไว้บนบ่าลูกชายบีบเบาๆ

“เจ้าพ่อ!” จักรคำตกใจที่จู่ๆ บิดาตัดสินใจอย่างนี้ เขายังอยากให้บิดาปกครองบ้านเมืองไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย นั้นเพราะทุกวันนี้บ้านเมืองก็อยู่ในความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองดีอยู่แล้ว

เมืองแมนได้ยินอย่างนั้นก็กำมือไว้แน่นจนสั่น แต่สีหน้าที่แสดงออกให้บิดาและพี่ชายเห็นนั้นกลับปกติไม่ได้มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดก็ถึงวันนี้ วันที่เขาต้องพ่ายแพ้ให้กับพี่ชายอย่างราบคาบ ตั้งแต่เด็กจนโตบิดาให้ความสำคัญเพียงแค่พี่ชายเท่านั้น เขาคงเป็นได้เพียงตัวสำรองที่ไม่มีวันได้เป็นตัวจริงแน่แล้ว

“พ่อตัดสินใจดีแล้ว ส่วนเมืองแมนจักมีตำแหน่งเป็นเจ้าอุปราชหอหน้า”

“ข้ายินดีเป็นที่สุดเจ้า” เมืองแมนแสร้งยิ้มให้บิดาแต่ทว่าในใจกลับร้อนรนและเดือดดาลเป็นที่สุด

“หากเจ้าพ่อตัดสินใจเยี่ยงนี้แล้ว ข้าก็น้อมรับพระประสงค์เจ้า” จักรคำรู้ดีว่าเมืองแมนไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ แต่เขาไม่ต้องการให้บิดารู้ถึงความบาดหมางของเขาและน้องชาย เพราะเกรงว่าจะทำให้ไม่สบายใจนั่นเอง

“พ่อดีใจที่เจ้าทั้งสองเห็นด้วย จากนี้ไปจงช่วยกันดูแลบ้านเมืองแทนพ่อ ช่วยกันทำให้เชียงราชคำเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก” เจ้าหลวงยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้เปิดใจกับลูกชายทั้งสอง

“เจ้า / เจ้า” ชายหนุ่มทั้งสองตอบรับพร้อมกัน

“จงไปประกาศให้ชาวเมืองรับรู้กันอย่างถ้วนหน้า ว่าเดือนหน้าเชียงราชคำจักมีงานใหญ่ที่สุดเกิดขึ้น” เจ้าหลวงรับสั่งกับทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างเตียง

“เจ้า”

“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าจงว่าราชการแทนพ่อ จนกว่าพ่อจักหายดีนะจักรคำ”

“ข้าจักทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเจ้าพ่ออย่าได้ทรงห่วง พักผ่อนให้มากๆ จักได้ทรงแข็งแรงในเร็ววัน”

“หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าพ่อ” ว่าแล้วเมืองแมนก็ยกมือไหว้สารีบเดินออกไปทันที ปล่อยให้คนทั้งสองพูดคุยกันอยู่ในห้องให้สมใจอยาก เขามันก็เป็นเพียงส่วนเกินตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

เขาไม่อยากทนฟังเสียงและเห็นหน้าผู้เป็นพี่ชายอีกแล้ว ยิ่งเห็นสายตาที่บิดามองพี่ชายอย่างตั้งความหวังเป็นที่สุด เขายิ่งเกลียด เกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตายเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

เดินมาถึงหน้าตำหนักแล้ว เมืองแมนก็หยุดฝีเท้าก่อนจะหันกลับไปมองด้วยแววตาที่แข็งกร้าวลุกโชนไปด้วยไฟริษยา

“กูจักไม่ยอมให้มึงได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองเป็นแน่ เชียงราชคำจักต้องเป็นของกูเพียงผู้เดียว”



*-*-*-*-*-*-*



ครบกำหนดสามวันแล้ว เครือแก้วได้รับการปล่อยตัวออกมาจากตรุในสภาพแทบดูไม่ได้ เจ้านางผู้สูงศักดิ์กับนางข้าไทคนสนิทกลับมาที่คุ้มในสภาพไม่ต่างจากคนธรรมดาสามัญทั่วไป เมื่อย่างกรายเข้ามาในตำหนักนอกจากจะมีบรรดานางข้าไทคอยต้อนรับแล้ว ยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่บนตั่งที่ประจำของเธออย่างถือวิสาสะอีกด้วย

“ยินดีต้อนรับเจ้านางกลับคุ้ม” วันนี้คำน้อยไม่ได้มาคนเดียว เขามีนางข้าไทที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่นั่นคือเอื้อยคำและบัวตอง สองสาวที่เมืองแมนคัดมาเพื่อเป็นมือเป็นตีนคอยช่วยเหลือคำน้อยนั่นเอง

“ไอ้คนจัญไร ลงมาจากตั่งกูบัดเดี๋ยวนี้” เมื่อเห็นคำน้อยนั่งอยู่บนตั่งของตนเอง เครือแก้วก็เลือดขึ้นหน้าชี้นิ้วสั่งให้ลงมาทันที

“ข้าเองก็ไม่อยากนั่งให้เป็นเสนียดก้นนักดอก เพียงแต่อยากรู้ว่าหากนั่งแล้วจักกลายเป็นผีในร่างคนเหมือนเจ้านางได้หรือไม่ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าการที่คนเราจักเป็นคนดีหรือคนเลว มันเกิดจากสันดานของผู้นั้น หาได้มีสิ่งอื่นเป็นตัวกำหนดไม่” คำน้อยลุกขึ้นยืน เดินตรงมาหาเจ้านางเครือแก้วอย่างไม่เกรงกลัวในอำนาจ ตอนนี้เขาสามารถเอาอกเอาใจให้เมืองแมนหลงใหลอย่างโงหัวไม่ขึ้นได้แล้ว หากชี้นกก็เป็นนก หากชี้ไม้ก็เป็นไม้ จึงมั่นใจว่าต่อจากนี้ไปจักสามารถเอาชนะเครือแก้วได้อย่างไม่ต้องพยายามอะไรเลย

“กรี๊ดดดดด!!! ออกไปจากตำหนักกูบัดเดี๋ยวนี้”

“ข้าออกไปแน่ ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปมีหวังได้กลายเป็นผีร้ายเหมือนเจ้าเป็นแน่”

“กูทนไม่ไหวแล้วขอตบมึงสักฉาดก่อนเถอะ” เครือแก้วทนเห็นคำน้อยเดินลอยหน้าลอยตาในตำหนักตัวเองไม่ได้ จึงง้างมือขึ้นจะตบหน้า แต่ทว่าคำน้อยไวกว่า

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

“นี่มึงกล้าตบกูงั้นรึ”

“เหตุใดข้าจักไม่กล้าในเมื่อตอนนี้ข้าคือคนโปรดของเจ้าพี่เมืองแมนแล้ว อีกไม่นานเจ้าจักกลายเป็นหมาหัวเน่าไม่มีอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น”

“ไม่จริง! มึงไม่มีวันเอาชนะกูได้ดอกไอ้พวกต่างด้าว” เครือแก้วง้างมือจะตบอีกครั้ง แต่ทว่ากลับโดนชี้หน้าขู่ห้ามเอาไว้เสียก่อน ทำเอาเจ้าหล่อนหยุดชะงักด้วยความกลัว

“หยุด! หากเจ้ายังต้องการให้ใบหน้าสวยๆ ไม่มีรอยฟกช้ำไปมากกว่านี้”

“อีเขียนจัดการมัน”

เมื่อไม่สามารถเล่นงานอีกฝ่ายได้ด้วยตนเอง เครือแก้วจึงสั่งให้นางข้าไทที่เพิ่งออกมาจากตรุด้วยกันเป็นฝ่ายออกโรงแทนแต่ทว่า...

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าเจ้าไม่อยากเจ็บตัวเพราะผู้ใดอีกแล้ว” นางเขียนปฏิเสธโดยทันที ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมหากโดนผู้เป็นนายลงอาญา นั่นเป็นเพราะเจ้าหล่อนน้อยอกน้อยใจตั้งแต่ถูกทำร้ายทุบตีเมื่อครั้งถูกจองจำอยู่ในตรุก่อนหน้านี้แล้ว

“อีเขียน! มึงกล้าดีเยี่ยงไรมาขัดคำสั่งกู” เครือแก้วหันขวับไปมองหน้านางเขียนปานจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ แต่นางเขียนกลับเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมมองสิ่งใดนอกจากพื้นที่อยู่ตรงหน้าเพียงเท่านั้น

“กลับเถอะเอื้อยคำ บัวตอง สงสัยนายกับขี้ข้าคงจักมีเรื่องต้องคุยกันยาว” คำน้อยแสยะยิ้มใส่หน้าเครือแก้ว ก่อนจะเดินนำหน้านางข้าไททั้งสองออกไปจากตำหนัก

“กูจักไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่จำไว้” เครือแก้วตะโกนตามหลังก่อนจะเดินไปยังโต๊ะวางแจกันดอกไม้ เจ้าหล่อนจับมันขึ้นมาแล้วปาลงบนพื้นจนแตกกระจายเพื่อระบายอารมณ์โกรธแค้น

เพล้ง!!

“กรี๊ดดดด!! กูเกลียดมึง! กูเกลียดมึงไอ้คำน้อย!”

นางข้าไทในตำหนักต่างก็นั่งก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวกับอารมณ์ร้ายของเจ้านางเครือแก้ว แต่ทว่านางเขียนกลับคลานเข่าจะออกไปจากตำหนัก

“อีเขียนมึงจักไปที่ใด”

“ข้าเจ้าจักออกไปนอกตำหนัก”

“กูไม่ให้มึงไป”

“แต่ข้าเจ้าจักไป” นางเขียนต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัวอาญา จากนั้นก็รีบเดินออกไปจากตำหนักโดยไม่หันกลับมามองผู้เป็นนายเลยสักนิด

“กรี๊ดดดด!! อีเขียน อีไพร่มึงกล้าดีขัดคำสั่งกูงั้นรึ อีสารเลว โอ๊ยยย!!! มันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นกับกูเนี่ย พวกมึงออกไปให้หมด ออกไปให้พ้นๆ หน้ากูบัดเดี๋ยวนี้”

เครือแก้วออกปากไล่บรรดานางข้าไทออกจากตำหนัก อีกทั้งยังทำลายข้าวของจนพังเสียหายไปหมด ตั้งแต่คำน้อยเข้ามาอยู่ในคุ้มชีวิตเธอก็ดิ่งลงเหวในพริบตา ตอนแรกว่าเกลียดแสงหล้ามากแล้ว แต่ตอนนี้คำน้อยกลับเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งที่เธอเกลียดมากที่สุด



นางเขียนรีบวิ่งออกมาจากตำหนักตามให้ทันคำน้อย เจ้าหล่อนตะโกนเรียกเพื่อรั้งให้อีกฝ่ายยอมหยุดเดินเพื่อเธอจะได้เอ่ยอะไรบางอย่าง

“เจ้าคำน้อยเจ้า”

เมื่อได้ยินเสียงนางเขียนคำน้อยก็ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองยังต้นเสียงด้วยความสงสัย นางเขียนเรียกเขาเต็มยศอย่างนี้ต้องการอะไรกันแน่

“เอ็งมีอันใดกับข้ารึอีเขียน”

“ข้าเจ้าผิดไปแล้ว ยกโทษให้ข้าเจ้าด้วย ข้าเจ้าทนความร้ายกาจของเจ้านางเครือแก้วไม่ไหวแล้ว โปรดรับข้าเจ้าเป็นนางข้าไทรับใช้ด้วยอีกสักคนเถอะเจ้า” พูดจบนางเขียนก็ก้มลงกราบค้างไว้อย่างนั้นไม่ยอมเงยขึ้นมา

คำน้อยเห็นอย่างนั้นก็เริ่มหนักใจ เขาไม่ไว้ใจนางเขียนเลยสักนิด แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ในตำหนักเมื่อสักครู่ก็พอจะเข้าใจว่านางเขียนต้องทนแรงกดดันจากเครือแก้วมากแค่ไหน หรือเขาจะลองเสี่ยงดู เผื่อได้ใช้ความเป็นคนเก่าคนแก่ของนางเขียนคอยเป็นมือเป็นเท้าในการทำอะไรต่อมิอะไรได้

“ข้าจักเชื่อใจเอ็งได้มากน้อยเพียงใด ในเมื่อเอ็งไม่ชอบขี้หน้าข้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร”

“ข้าเจ้าขอสาบานว่าจักไม่มีวันทรยศเจ้าคำน้อยเด็ดขาดเจ้า หากวันใดผิดคำสาบานขอให้นางเขียนไม่ตายดีเลยเจ้า” นางเขียนยกมือไหว้สาบานต่อหน้า

“หากเอ็งกล้าสาบานเยี่ยงนี้แล้วข้าจักรับเอ็งไปตำหนักด้วย แต่เอ็งควรไปบอกกล่าวเจ้านายเก่าของเสียก่อน”

“หากเข้าไปบอกมีหวังข้าเจ้าไม่ได้ออกมาเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจโดนฆ่าตายก็เป็นได้นะเจ้า” นางเขียนทำทีไม่อยากเข้าไปในตำหนักซะเต็มประดา

“เช่นนั้นเอ็งจงเดินตามหลังคำเอื้อยกับบัวตองกลับไปที่คุ้มกับข้า นับจากนี้เอ็งคือคนของข้าต้องเชื่อฟังข้าเข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจเจ้าค่ะ” นางเขียนเริ่มยิ้มออก ก่อนจะก้มลงกราบอีกครั้ง

เธอยอมที่จะก้มลงกราบคนที่เคยเป็นข้าไทด้วยกันมาก่อน เพื่อแลกกับการที่ต้องไม่โดนโขกสับเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งนานวันเจ้านางเครือแก้วยิ่งปฏิบัติราวกับเธอไม่ใช่คน นั่นคือสาเหตุที่ยอมแปรพักตร์มาอยู่กับฝ่ายตรงข้าม

คำน้อยเดินขึ้นเสลี่ยงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อย่างน้อยวันนี้ก็ทำให้เครือแก้วคลั่งแทบเป็นบ้าได้ แถมยังได้นางข้าไทคนสนิทอย่างนางเขียนมาเป็นพรรคพวกอีก จากนี้ไปเขาจะทำให้เครือแก้วได้รับบทเรียนอย่างแสนสาหัสที่สุด


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คำน้อยระวังตัวไว้บ้างนะ  :hao4:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai2-1: ฝั่งนี้ก็จบตีกัน มันหยด o13

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สาแก่ใจอีช้อยมา555

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ต่อไปคำน้อยต้องสาหัส เพราะนังเขียนแน่ๆ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 17

แผนร้าย



จักรคำกลับมาที่คุ้มพร้อมกับความกลัดกลุ้มภายในใจ แม้ว่ามันเป็นเรื่องดีที่เขาจะได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองแทนผู้เป็นบิดา แต่ทว่ากลับเป็นห่วงความรู้สึกน้องชายเป็นที่สุด ป่านนี้เมืองแมนคงจะโกรธเกลียดเขามากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อทุกอย่างมันถูกกำหนดมาอย่างนี้แล้ว เขาจะเข้มแข็งและทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

เมื่อเห็นสวามีกลับมาถึงตำหนักแล้ว แสงหล้าที่เพิ่งจะออกมาจากห้องส่วนตัวก็เดินเข้ามาหา แล้วนั่งลงข้างกันก่อนจะหันไปเอ่ยถาม

“เจ้าหลวงเป็นเช่นใดบ้างเจ้า”

“เจ้าพ่อทรงอาการดีขึ้นแล้วล่ะ”

“แล้วเหตุใดเจ้าพี่จึงได้ทำหน้าเยี่ยงนั้น ราวกับมีเรื่องทุกข์ในใจ” แสงหล้าสังเกตเห็นตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว

“เดือนหน้าเจ้าพ่อจักสละราชบังลังก์ให้ข้าขึ้นนั่งบนตั่งทองแล้ว”

“เป็นเรื่องจริงรึ! ข้าดีใจเหลือเกิน” แสงหล้าดีใจเป็นที่สุดเมื่อได้ยินอย่างนั้น นั่นเพราะเขาจะได้หาทางบอกพี่ชายไม่ต้องยกทัพเข้ามาโจมตีเมืองเชียงราชคำ จะได้ไม่ต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้น

“เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก”

“แล้วเหตุใดเจ้าพี่จึงมานั่งอมทุกข์เยี่ยงนี้เล่า มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่รึ”

“ใช่...ข้าควรจักดีใจ แต่ข้าเป็นห่วงความรู้สึกของเมืองแมน”

“มันคือสิทธิ์อันชอบธรรมของเจ้าพี่ เหตุใดต้องไปรู้สึกเป็นทุกข์เพราะคนเยี่ยงนั้นด้วย”

“แต่ถึงอย่างไรเมืองแมนก็คือน้องข้า ข้ารู้ดีว่าเมืองแมนต้องการนั่งบนตั่งทองมากแค่ไหน”

“เจ้าพี่คิดว่าหากเจ้าเมืองแมนนั่งบนตั่งทองแล้ว จักทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้มากกว่างั้นรึ” แสงหล้ามองไม่เห็นอนาคตของเมืองนี้เลยหากคนอย่างเมืองแมนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์

“...” จักรคำเงียบเพราะรู้นิสัยของน้องชายดี

“เจ้าพี่ก็คิดเช่นเดียวกับข้า อย่าทรงคิดมากเลยเจ้า เวลาจักช่วยเยียวยาทุกสิ่งเอง ข้าและอินเหลาจักอยู่เคียงข้างเจ้าพี่ไม่ไปไหนแน่นอน” แสงหล้า

“เจ้าสัญญาได้หรือไม่ว่าจักอยู่เคียงข้างข้าเยี่ยงนี้ตลอดไป”

“ข้าสัญญา”

“ข้าเองก็สัญญาว่าจักดูแลเจ้าให้อยู่ดีมีสุข และทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้โดยเร็วที่สุดเช่นกัน”

ทั้งสองสวมกอดกันอย่างแนบแน่น แม้ว่าจะตอบรับเขาไปอย่างนั้นแต่ทว่าแสงหล้ากลับรู้สึกไม่สบายใจ จนกว่าจะหาทางติดต่อผู้เป็นพี่ชายเพื่อบอกให้ล้มเลิกการก่อสงครามในครั้งนี้ได้เสียก่อน



ณ คุ้มเจ้าราชวงศ์

เมื่อเดินเข้ามาในตำหนัก คำน้อยก็เห็นเมืองแมนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งเห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักจึงรีบเดินตรงเข้ามาหา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

“เจ้าพี่มีเรื่องอันใดไม่สบายใจรึ จึงได้มานั่งทำหน้ากลัดกลุ้มอยู่เยี่ยงนี้”

“ไม่มีอันใดดอก ว่าแต่เจ้ามาจากที่ใดรึ”

“ข้ามาจากตำหนักใหญ่เจ้า วันนี้เจ้านางเครือแก้วออกมาจากตรุแล้วเจ้าพี่จำไม่ได้รึ” คำน้อยบอกความจริงไป เพราะถึงยังไงเมืองแมนก็ต้องถามเรื่องนางเขียนอยู่ดี เพราะตอนนี้เจ้าหล่อนนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ในตำหนักแห่งนี้แล้ว

“ใช่สินะ...ว่าแต่นางทำอันใดเจ้าอีกหรือไม่” เมืองแมนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เลื้อยมือไปเกี่ยวเอวคอดกระชับตัวให้เข้ามาใกล้ๆ

“นางไม่ได้ทำอันใดข้า” คำน้อยส่งยิ้มให้สวามี

“เอ๊ะ! นั่นอีเขียนงั้นรึ เหตุใดมันจึงมานั่งเสนอหน้าในตำหนักนี้ได้” เมืองแมนขมวดคิ้วจ้องมองนางข้าไทด้วยความสงสัย

“ข้ากำลังจักบอกเจ้าพี่อยู่พอดี เขียนขอมารับใช้ข้าที่ตำหนัก มันเอ่อ...ทนความเจ้าอารมณ์ของเจ้านางเครือแก้วไม่ไหวแล้วเจ้า”

“งั้นรึอีเขียน”

“เจ้าค่ะ ข้าเจ้าโดนเจ้านางตบตีอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งตอนที่ถูกจำตรุ ฮึก...เจ้านางทุบตีข้าเจ้าเยี่ยงสัตว์ ข้าเจ้าจึงขอตามมารับใช้เจ้าคำน้อยที่ตำหนักเจ้าค่ะ” นางเขียนก้มกราบกล่าวความในใจ

“เอ็งจักไม่ทำร้ายเมียข้าอีกใช่หรือไม่” เมืองแมนยังคลางแคลงใจนั่นเพราะนางเขียนรับใช้เครือแก้วมานาน เป็นเช่นนี้แล้วเขาต้องซักถามให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่องวุ่นๆ ในคุ้มนี้อีก

“ข้าเจ้าสาบานว่าจักไม่มีทางทำร้ายเจ้าคำน้อยอีกเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

“จงจำคำสาบานเอ็งให้ขึ้นใจ หากวันใดเอ็งผิดคำสาบานข้านี่ล่ะจักเป็นคนฆ่าเอ็งให้ตายเสีย”

“เจ้าค่ะ”

นางเขียนก้มกราบอย่างสุดซึ้ง ก่อนจะเงยขึ้นไปยิ้มทั้งน้ำตาให้ผู้เป็นนายทั้งสอง

“พวกเอ็งออกไปข้างนอกก่อน ข้าจักอยู่กับเมียข้าเพียงลำพัง”

“เจ้า / เจ้า / เจ้า”

นางข้าไททั้งสามตอบรับพร้อมก้มลงกราบ ก่อนจะเดินเข่าออกไปจากตำหนักตามคำสั่ง

“วันนี้ข้ารู้สึกเพลียๆ เจ้านวดหลังให้ข้าหน่อยนะ” เมืองแมนกระซิบข้างใบหูสวยก่อนจะกดจมูกคมลงบนแก้มขาวนวล สูดกลิ่นหอมเข้าปอดอย่างชื่นใจ

“หากเจ้าพี่ต้องการอันใดข้าจักยอมทำให้โดยไม่มีขอแม้ใดๆ ทั้งสิ้น” คำน้อยเอียงอายเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับสวามีด้วยรอยยิ้มหวาน ตอนนี้หัวใจที่เคยเป็นของคำป้อเริ่มมีเมืองแมนเข้ามาแทนที่ทีละน้อยๆ แต่ทว่าเจ้าตัวยังไม่ลืมกับสิ่งที่เมืองแมนได้เคยทำไว้ นั่นทำให้ยังไม่วางใจกับความรักในครั้งนี้ กลัวว่าสักวันจะโดนกระทำเหมือนอย่างเครือแก้ว หากอีกฝ่ายมีคนใหม่ที่ถูกใจกว่า

“อย่าเอาใจข้าเกินไปรู้หรือไม่”

“เหตุใดเจ้าพี่จึงกล่าวเยี่ยงนี้”

“เพราะแค่นี้ข้าก็หลงเจ้าจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วยังไงล่ะ”

“ข้ามีเรื่องจะขอ...ได้หรือไม่” ช่วงหลังมานี้เมืองแมนตามใจเขาทุกอย่างไม่เคยปฏิเสธแม้แต่ครั้งเดียว จึงอยากจะลองขอไปเยี่ยมเยียนแสงหล้าบ้าง เขาคิดถึงผู้เป็นเจ้านายมากเหลือเกิน อยากไปพูดคุยและคอยรับใช้เหมือนเช่นเคย

“เจ้าจักขออันใดข้ารึ”

“ข้า...ขอไปเยี่ยมเจ้าแสงหล้าได้หรือไม่”

“ไม่ได้! ห้ามเจ้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนคุ้มนั้นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจักถือว่าเจ้าเป็นศัตรูกับข้า” เมืองแมนรีบปฏิเสธเสียงแข็งทันทีที่ได้ยิน เขาไม่มีทางให้คำน้อยกลับไปที่นั่นอีกแล้ว จนกว่าจะสามารถแย่งชิงบังลังก์ตั่งทองมาเป็นของตนเองได้เสียก่อน

“ข้าเจ้าขอสุมาที่ทำให้เจ้าพี่ไม่พอใจ” เขาไม่น่าเอ่ยขอไปอย่างนั้นเลย สู้แอบซุ่มไปเงียบๆ จะดีกว่า

“รู้เช่นนี้แล้วเจ้าจงอย่าเอ่ยถึงคนพวกนั้นให้ข้าได้ยินอีก ข้าสัญญาว่าหากเจ้าอยู่ในโอวาทเยี่ยงนี้ไปตลอด ข้าจักเชิดชูให้เจ้าอยู่เหนือเมียคนอื่นๆ แน่นอน”

เมืองแมนให้สัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงๆ แล้วเขาไม่ได้มีแค่เครือแก้วและคำน้อย แต่ทว่ายังมีธิดาของขุนนางอีกหลายคนที่ไปมาหาสู่อยู่บ่อยๆ ซึ่งเรื่องนี้คำน้อยรู้ดีแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้องการอยู่เหนือใคร นอกจากเอาชนะเครือแก้วได้เท่านั้นเป็นพอ

“ข้าจักจงรักภักดีกับเจ้าพี่เยี่ยงนี้ตลอดไปเจ้า” คำน้อยกราบแทบอกสวามี เมืองแมนยิ้มอย่างพอใจจากนั้นจึงสวมกอดร่างบางไว้แน่น

เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวที่เขาจะต้องวางแผนให้แยบยลที่สุด เพื่อจะได้ก่อการกบฏแย่งชิงราชสมบัติและตั่งทองที่หมายปองมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย คิดได้อย่างนั้นเจ้าตัวก็แสยะยิ้มแสดงความร้ายกาจผ่านทางสีหน้าอันหล่อเหลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟริษยา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คำน้อยจะรอดไหมเนี่ย  :katai1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
คำน้ิอยเอ้ยยย

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
กว่าจะได้บัลลังก์คงตายก่อน

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 18

ความกังวลใจ



อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะถึงวันราชาภิเษกของเจ้าหลวงพระองค์ใหม่แล้ว ชาวเมืองเชียงราชคำทั้งในและนอกกำแพงเมืองต่างก็ตื่นเต้นกับงานราชพิธีอันสำคัญนี้ บรรดาห้างร้านและสถานที่สำคัญถูกประดับตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพรรณ พร้อมทั้งตุงหลากสีสันที่ห้อยระโยงระยางตามถนนสายหลัก

หอหลวงซึ่งเป็นสถานที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเมืองนี้ ถูกบูรณะปรับปรุงใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น เพื่อต้อนรับการขึ้นครองราชย์ของเจ้าหลวงพระองค์ใหม่

“ข้าตื่นเต้นเหลือเกินอยากให้ถึงวันราชาภิเษกเร็วๆ”

“นั่นสิ...ข้าก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าเอ็งเลย เจ้าหลวงพระองค์ใหม่ทรงพระปรีชาสามารถทั้งในการศึกและการบ้านการเมือง หากได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองแล้วเมืองเชียงราชคำจักต้องเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก หามีเมืองใดทัดเทียมได้อย่างแน่นอน”

เสียงบทสนทนาของหญิงสาวชาวบ้าน ที่กำลังเดินเที่ยวในตลาดดังขึ้นอยู่ไม่ไกล ทำให้แสงชัยทำทีเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะฟังบทสนทนาให้ได้ถนัดหูยิ่งขึ้น

“ช้าก่อนแม่หญิง!”

แสงชัยเดินมาพร้อมกับองครักษ์ทั้งสองคน แต่งตัวให้กลมกลืนกับชาวบ้านทั่วไป แต่ทว่าความสง่างามของความเป็นเจ้าชายทำให้ทั้งสองสาวมองตาเป็นมัน กระดี้กระด๊าราวกับได้เห็นเทพบุตรก็ไม่ปาน

“มีอันใดรึพ่อหนุ่มรูปงาม” เจ้าหล่อนทั้งสองทำท่าทีเหนียมอายเมื่อเห็นใบหน้าคมสันของแสงชัย

“ข้ามาจากต่างเมืองอยากทราบว่าที่เชียงราชคำมีงานมงคลอันใดงั้นรึ”

“อีกห้าวันจักมีการผลัดแผ่นดินแล้วเจ้าไม่รู้รึ เจ้าอุปราชจักรคำจักได้ขึ้นนั่งตั่งทองแทนเจ้าหลวงองค์ปัจจุบัน ชาวเมืองจึงได้เตรียมงานเพื่อเฉลิมฉลองงานสำคัญนี้เช่นใดเล่า”

“ช่างเป็นข่าวดีเสียนี่กระไร ขอบน้ำใจแม่หญิงมากข้าสัญญาว่าจักมาร่วมงานสำคัญในครั้งนี้ให้จงได้”

“ไม่เป็นไรว่าแต่ท่าน....” กำลังจะเอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนาม แต่ทว่าแสงชัยกับองครักษ์ทั้งสองกลับเดินจากไปเสียแล้ว เจ้าหล่อนจึงทำหน้าเสียดายอย่างเป็นที่สุด

“เหตุใดจึงรีบเยี่ยงนี้นะ เฮ้อ...”



แสงชัยรีบเดินออกจากตลาดลัดเลาะเข้าไปยังป่าละเมาะ ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวในเมืองใหญ่แห่งนี้ เมื่อไปถึงก็มีพรรคพวกอยู่ที่นั่นอีกสี่ห้าคน วันนี้เขาต้องเดินทางกลับเมืองผาพิงค์เพื่อเคลื่อนทัพกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อทำลายพิธีอันสำคัญที่สุดที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองนี้

“เก็บของให้เรียบร้อยเราจักกลับเมืองผาพิงค์บัดเดี๋ยวนี้”

“เหตุใดเจ้าอุปราชจึงเร่งกำหนดการเยี่ยงนี้เจ้า” หนึ่งในทหารเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะกำหนดการเดิมคือต้องอยู่ดูลาดเลาอีกหนึ่งสัปดาห์

“เรามีเวลาแค่ห้าวันเพื่อเคลื่อนทัพเข้ามาโจมตีเมืองนี้ เพราะจักมีการผลัดแผ่นดิน ช่วงเวลานี้เหมาะแก่การเข้าโจมตีเป็นที่สุด”

“เจ้าอุปราชจักเข้าไปพบเจ้าแสงหล้าอีกครั้งก่อนหรือไม่เจ้า”

“ไม่ล่ะ...ข้าจักมารับน้องข้ากลับบ้านในวันประกาศชัยชนะบนผืนแผ่นดินนี้ พวกมันจักได้รู้ว่าเมืองเล็กๆ ที่เคยกดขี่ข่มเหง หาได้ก้มหัวยอมมันเสมอไป”

อีกไม่กี่อึดใจเขาจะทำลายเมืองแห่งนี้ไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก ให้สาสมกับที่พวกมันเคยทำกับเมืองผาพิงค์เอาไว้ เจ้านายทุกพระองค์จะต้องถูกจองจำไม่ให้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน ประชาชนเมืองนี้จะต้องถูกนำตัวไปเป็นทาสรับใช้หัวเมืองน้อยใหญ่ ที่เมืองเชียงราชคำเคยกดขี่ข่มเหงมาตลอดหลายทศวรรษ

*-*-*-*-*-*-*

หลังจากแปรพักตร์มาอยู่กับคำน้อยแล้ว นางเขียนก็เริ่มเอาอกเอาใจเจ้านายใหม่อย่างออกนอกหน้า จะเรียกว่าเลียแข้งเลียขาเพื่อความอยู่รอดก็เห็นจะได้ ทำตัวเด่นกว่านางข้าไทคนอื่นๆ หวังจะเป็นที่โปรดปรานของคำน้อยเหมือนที่เคยทำกับเครือแก้วมาแล้ว

วันนี้คำน้อยได้เรียกนางเขียนเข้ามาพบเป็นการส่วนตัว เขาอยากมั่นใจว่านางข้าไทผู้นี้ยอมสวามิภักดิ์จากใจจริงหรือไม่ งานที่จะมอบหมายให้ในครั้งนี้ จึงเป็นบทพิสูจน์ในตัวนางเขียนได้เป็นอย่างดี

“เจ้าคำน้อยมีเรื่องอันใดให้ข้าเจ้ารับใช้เจ้าคะ” เมื่อเดินเข่าเข้ามาในตำหนักนางเขียนก็ก้มลงกราบ เงยหน้าขึ้นมารับคำสั่งด้วยรอยยิ้ม

“เอ็งคิดดีแล้วรึที่มาอยู่ฝั่งข้า” คำน้อยไม่อยากให้เสียเวลาจึงยิงคำถามไปตรงๆ

“นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของข้าเจ้าแล้วเจ้าค่ะ ขืนอยู่กับเจ้านางเครือแก้วต่อไป มีหวังต้องโดนฆ่าตายในสักวันเป็นแน่” นางเขียนกล่าวพลางหยีหน้า ราวกับรังเกียจเดียดฉันท์เจ้านายเก่าซะเต็มประดา

“ข้ามีงานให้เอ็งทำ เพื่อเป็นบทพิสูจน์ว่าเอ็งจักอยู่ข้างข้าอย่างบริสุทธิ์ใจหรือไม่”

“ข้าเจ้าทำได้ทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเองเจ้าค่ะ”

“งานที่ข้าจักให้เอ็งทำก็คือ จัดการกับเจ้านางเครือแก้ว เอ็งทำให้ข้าได้หรือไม่”

“ทำได้สิเจ้าคะ ข้าเจ้าอยากตบหน้าเจ้าเครือแก้วด้วยมือของข้าเจ้าเอง แต่ขืนทำเยี่ยงนั้นมีหวังข้าเจ้าโดนลงอาญาจนตายเป็นแน่” แม้ว่าอยากจะเอาคืนให้สาสมแต่นางเขียนรู้ดีว่าตนอยู่ในสถานะใด ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม

“หากไม่มีผู้ใดรู้เรื่อง เอ็งจักโดนอาญาได้เยี่ยงไรเล่านังเขียน” คำน้อยแสยะยิ้มราวโดนวิญญาณร้ายเข้าสิงร่าง ความเจ็บปวดจากการโดนกระทำมานักต่อนัก ทำให้คำน้อยผู้ใสซื่อในอดีตเริ่มรู้ทันคนและพร้อมจะตอบโต้ได้ทุกเมื่อถ้ามีโอกาส

“จักเป็นไปได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ในเมื่อผู้ที่มีเรื่องกับเจ้านางก็มีเพียงแค่ข้าเจ้าและ...เจ้าคำน้อยเท่านั้น”

“หากเป็นเช่นนั้นเราต้องหาคนมารับผิดแทนเช่นใดเล่า”

“เช่นใดรึเจ้าคะ” นางเขียนทำหน้าสงสัยเล็กน้อย

“ทำเช่นใดก็ได้ให้เจ้านางเครือแก้ว ไม่มีโอกาสเข้าไปนั่งชูคอในหอหลวง ในวันราชาภิเษกเจ้าหลวงพระองค์ใหม่ ไม่ต้องให้ถึงตายเพราะข้าไม่อยากจองเวรจองกรรมกับผู้ใดอีกแล้ว ในวันนั้นข้าจักเข้าร่วมพิธีกับเจ้าพี่แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น” นั่นคือโจทย์ที่คำน้อยให้ไป

คำน้อยต้องการยืมมือนางเขียนเล่นงานเครือแก้ว หากเครือแก้วไม่มายุ่งวุ่นวายกับเขาอีก นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะจองเวรจองกรรมกับอีกฝ่าย เมื่อใดที่จักรคำได้ขึ้นครองราชย์แล้ว เขาหวังว่าจะได้มีโอกาสไปมาหาสู่แสงหล้าอย่างเป็นปกติ นั่นเพราะมั่นใจว่าเมืองแมนคงไม่กล้าไปทำรุ่มร่ามกับแสงหล้าเป็นแน่แท้ เพราะเป็นถึงชายาของเจ้าหลวง นั่นทำให้คำที่เมืองแมนขู่ไว้ไม่มีผลต่อเขาอีกต่อไปแล้ว ส่วนจะยังคงอยู่ในสถานะเดิมหรือไม่ ก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองอยู่เหมือนกัน

“หากต้องการเช่นนั้นข้าเจ้าจักจัดการให้เจ้าค่ะ รับรองว่าเจ้านางเครือแก้วต้องจำเหตุการณ์ในครั้งนี้ไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน” นางเขียนยิ้มอย่างมีเลศนัย นางอยากจะเอาคืนเครือแก้วมานานแล้ว บัดนี้ฝันจะได้กลายเป็นจริงเสียที

“หากเอ็งทำสำเร็จข้าจักมีรางวัลให้อย่างงาม”

“เป็นพระคุณยิ่งนักเจ้าค่ะ” พูดจบนางเขียนก็ก้มลงกราบพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจ นางอยากให้ถึงวันนั้นโดยเร็วเสียจริงๆ

*-*-*-*-*-*-*

ภายในตำหนักเจ้าอุปราช แสงหล้าเดินกลับไปวนมาด้วยความร้อนใจ เพราะกำลังคิดหาวิธีเพื่อจะได้เจอกับพี่ชายอีกครั้ง ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป

แสงหล้ากลัวว่าพี่ชายของตนจะนำทัพเข้ามาในงานสำคัญที่กำลังจะมาถึง เพราะในวันนั้นทุกคนในเมืองต่างก็ต้องมารวมตัวกันภายในกำแพงเมือง นั่งรอชมพระบารมีของเจ้าหลวงพระองค์ใหม่ นั่นเพราะหลังจากพิธีการในหอหลวงเสร็จสิ้นลงแล้ว จักรคำจะต้องสวมชุดตามราชประเพณีเต็มยศ เดินออกไปพบปะกับชาวเมืองที่มานั่งรอนั่นเอง

“เจ้ามีเรื่องอันใดไม่สบายใจรึแสงหล้า” จักรคำเดินเข้ามาพร้อมกับลูกชายตัวน้อย เมื่อเห็นอย่างนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงปนสงสัยเล็กน้อย อีกฝ่ายทำท่าทีมีพิรุธ สีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่มีอันใดเจ้า ข้าแค่รู้สึกตื่นเต้นกับงานสำคัญของเจ้าพี่” คนพูดพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินตรงไปหาเด็กชายตัวน้อย นั่งลงตรงหน้าแล้วสวมกอดหลวมๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

“หากเจ้าพ่อได้เป็นเจ้าหลวงแล้ว เจ้าน้าต้องได้เจ้านางหลวงด้วยใช่หรือไม่เจ้า” เด็กชายเอ่ยถามตามประสาเด็ก ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าจึงยิ้มให้แล้วตอบกลับทันที

“จงฟังให้ดีนะอินเหลาของน้า หามีผู้ใดมาแทนที่แม่ของเจ้าได้ดอก ตำแหน่งเจ้านางหลวงจักต้องเป็นของแม่เจ้าตลอดไป แต่ถึงอย่างนั้นน้าจักอยู่ที่นี่กับเจ้าเช่นเดิมไม่ไปไหนแน่นอน”

“แต่แม่ของข้าตายไปแล้วนี่นา” อินเหลายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมแสงหล้าจึงต้องเว้นตำแหน่งนี้ไว้ให้มารดาตนเอง ทั้งที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

“ขนาดเด็กยังรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร เหตุใดเจ้าจึงได้กล่าวเยี่ยงนี้ เจ้าคือเมียเพียงหนึ่งเดียวของข้า หากไม่ใช่เจ้าแล้วจักมีผู้ใดเหมาะสมกว่านี้เล่าแสงหล้า” จักรคำยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาไม่มีทางยอมให้มันเป็นอย่างนั้นแน่นอน แม้ว่าเขาจะรักอิงฟ้ามากแค่ไหน แต่ตอนนี้แสงหล้าคือคนที่เขาพร้อมจะอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต ยังไงซะตำแหน่งเจ้านางหลวงก็จะต้องเป็นของแสงหล้าเท่านั้น

“แต่ข้าเป็นเพียงเมียเชลยหาควรขึ้นนั่งเคียงข้างเจ้าพี่ไม่ ข้ากลัวว่าขุนนางในราชสำนักจักไม่พอใจจนเป็นเหตุให้กระด้างกระเดื่องกับเจ้าพี่ได้”

“หาต้องกลัวอันใดไม่ ข้าเชื่อว่าเจ้าจักทำให้คนอื่นรักได้ เหมือนที่ทำให้ข้าและอินเหลารัก” จักรคำเอื้อมมือไปวางบนบ่าของคนรัก บีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

“หากในภายภาคหน้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เจ้าพี่สัญญาได้หรือไม่ว่าจักเชื่อมั่นในตัวข้า”

“ไม่ว่าจักเกิดอันใดขึ้นเราจักร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ข้าจักเชื่อมั่นในตัวเจ้า เราจักเชื่อมั่นในกันและกัน” สายตาคมที่มองมาสื่อว่าจักรคำจริงจังกับคำพูดมากแค่ไหน

ทั้งสองส่งยิ้มให้กันอย่างหวานซึ้ง เด็กชายตัวน้อยเห็นอย่างนั้นจึงยกมือน้อยๆ ขึ้นไปคล้องคอคนทั้งสองแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้กัน อินเหลายิ้มกว้างอย่างพอใจราวกับได้ทำเรื่องสนุกซะอย่างนั้น

“เจ้าพ่อกับเจ้าน้าจักต้องอยู่ข้างๆ ข้าเยี่ยงนี้ตลอดไป” อินเหลาเอ่ยกับคนทั้งสองด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินอย่างนั้นจักรคำและแสงหล้าจึงเปลี่ยนเป้าหมาย โน้มใบหน้าเข้าไปหมอแก้มนุ่มๆ ของเด็กชายพร้อมกัน

รอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังขึ้นหลังจากนั้น แต่ทว่าในใจแสงหล้ากลับยังคงมีแต่ความกังวล คิดไม่ตกว่าจะหาทางยับยั้งแผนการของพี่ชายได้อย่างไร มันแทบไม่มีหนทางเลยจริงๆ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะโค่นชะนีลงได้หรือไม่ได้น่ะ  :hao3:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
นังเขียนจะจัดการเครือแก้วยังไงน๊าาา อยากรู้ๆๆ

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 19

เพลิงพระนาง



เสียงปี่กลองแตรสังข์ดังมโหระทึกกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง บ่งบอกว่าได้ถึงฤกษ์งามยามดีสำหรับเริ่มต้นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ ประชาชนชาวเมืองเชียงราชคำต่างหลั่งไหลเข้ามาภายในกำแพงเมืองไม่ขาดสาย นั่งอย่างเป็นระเบียบอยู่หน้าหอหลวง โดยมีนายทหารเป็นผู้ควบคุมความเรียบร้อย ทางเดินตรงกลางถูกกันไว้เป็นแนวยาวจนถึงหน้าประตูเมือง ถูกปูด้วยพรมกำมะหยี่สีทับทิม เพื่อให้เจ้าหลวงองค์ใหม่เดินออกมาทักทายประชาชนอันเป็นที่รัก หลังจากเสร็จสิ้นพิธีราชาภิเษกและถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้ว

ผู้ครองนครหัวเมืองน้อยใหญ่และเมืองประเทศราช ต่างก็มารวมตัวกันในหอหลวง เข้าร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นสักขีพยานและประกาศก้อง ให้เจ้าเมืองทุกเมืองได้เห็นหน้าค่าตาของเจ้าหลวงองค์ใหม่ ซึ่งต้องให้การเคารพยำเกรงไม่ต่างจากเจ้าหลวงองค์ก่อน

ในขณะที่ทุกคนได้รวมตัวกันที่หอหลวงแล้ว แต่ทว่าขบวนเสลี่ยงของเจ้านางเครือแก้วยังไม่ได้ย่างกรายออกจากคุ้ม นั่นเพราะฤทธิ์ยานอนหลับที่นางเขียนได้แอบลักลอบนำไปใส่ในน้ำดื่ม ทำให้คนในคุ้มนั้นหลับลึกจนนอนตื่นสายกินบ้านกินเมือง แต่ทว่าความร้ายกาจของนางเขียนกลับยังไม่หมดแค่นั้น

“พวกเอ็งรีบพาข้าไปหอหลวงบัดเดี๋ยวนี้ เกิดเหตุอันใดขึ้นกับข้าเนี่ยจึงได้นอนหลับไม่รู้เรื่องเยี่ยงนี้” เจ้านางผู้มีใบหน้างดงามบ่นออกมาขณะเดินขึ้นไปนั่งบนเสลี่ยง

ทหารทั้งสี่นายยกเสลี่ยงขึ้นพร้อมกันกำลังจะเดินไป แต่ทว่าเครือแก้วกลับสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เจ้าหล่อนมองหานางข้าไทผู้ที่คอยตามรับใช้ แต่กลับไม่พบใครตามออกมาจากคุ้มด้วยเลยสักคน

“ช้าก่อน! เหตุใดอีพวกนางข้าไทจึงยังไม่ออกมาสักคน”

“ข้าเจ้าหารู้ไม่เจ้า” หนึ่งในชายที่กำลังแบกเสลี่ยงตอบคำถาม

“เฮ้อ! ช่างหัวพวกมัน รอให้ข้ากลับมาก่อนเถิดจักลงหวายให้หลังลายเลยทีเดียว พวกเอ็งจงเร่งฝีเท้าให้ทันพิธีการบัดเดี๋ยวนี้”

“เจ้า” ชายทั้งสี่กระตุกยิ้มก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปจากหน้าคุ้ม

นางเขียนกำลังแอบมองอยู่หลังพุ่มไม้แสยะยิ้มด้วยความสะใจ วันนี้เครือแก้วจะได้รู้ว่าการอยู่อย่างตายทั้งเป็นมันเป็นยังไง นั่นเพราะนางเขียนได้ทำคุณไสยให้ทหารทั้งสี่นายหลงเสน่ห์เจ้านางเครือแก้ว และจุดมุ่งหมายของขบวนเสลี่ยงก็คือนอกกำแพงเมือง กว่าพิธีราชาภิเษกจะเสร็จสิ้นลง เครือแก้วคงได้เป็นเมียของชายฉกรรจ์ทั้งสี่ไปไม่รู้ต่อกี่รอบแล้ว

ขบวนเสลี่ยงออกมาได้สักพัก เครือแก้วก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ นั่นเพราะทั้งสี่หนุ่มกำลังพาเจ้าหล่อนเดินลัดเลาะออกไปนอกกำแพงเมือง แทนที่จะมุ่งตรงไปยังหอหลวงตามคำสั่ง

“พวกเอ็งจักพาข้าไปที่ใด ข้าบอกให้ไปหลวงไม่ใช่รึ!” นางตะโกนเสียงดังด้วยท่าทีร้อนใจ เกรงว่าจะเข้าร่วมพิธีไม่ทันการ

“เจ้าเมืองแมนสั่งให้ข้าเจ้าพาเจ้านางไปหาที่นอกกำแพงเมืองเจ้า”

“เหตุใดเจ้าพี่จึงสั่งเยี่ยงนั้น ในเมื่อวันนี้เจ้าพี่ควรต้องเข้าไปอยู่ในหอหลวงไม่ใช่รึ” เครือแก้วแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสวามีจะสั่งการอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะต้องออกไปนอกกำแพงเมืองในเวลานี้

“ข้าเจ้าหารู้เหตุผลไม่ เพียงรับคำสั่งมาเท่านั้นเจ้า”

“แต่ข้าหาเชื่อพวกเอ็งไม่ พาข้ากลับไปที่หอหลวงบัดเดี๋ยวนี้”

“คงไม่ได้แล้วล่ะเจ้านาง เพราะวันนี้พวกข้าจักพาเจ้านางไปขึ้นสวรรค์ด้วยกันเช่นใดเล่า ฮ่าๆ ๆ” พูดจบชายฉกรรจ์ทั้งสี่ก็หัวเราะพร้อมกันเสียงดัง

“ปล่อยข้าลงบัดเดี๋ยวนี้ไอ้พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าจักสั่งให้เจ้าพี่ตัดคอพวกเอ็งให้หมดทุกคนเลยคอยดู” เครือแก้วพยายามหาทางลงจากเสลี่ยง แต่ทว่าชายทั้งสี่กลับเร่งฝีเท้าด้วยความเร็ว นางจึงกลัวว่าจะตกลงไปจนบาดเจ็บ

“หากกล่าวเยี่ยงนั้นเจ้านางเองจะมีแต่เสียกับเสีย ตรองให้ดีนะเจ้านางคนงาม”

“ไอ้พวกสารเลว ไอ้พวกชั้นต่ำ ขี้กากจะกินกบาลพวกเอ็งคอยดู”

มาถึงป่าละเมาะนอกกำแพงเมืองแล้ว ชายทั้งสี่ก็นำตัวเครือแก้วลงมาจากเสลี่ยง จากนั้นจึงใช้กำลังบังคับให้นอนราบลงบนพื้น นางดิ้นรนส่งเสียงร้องโวยวายปานจะขาดใจ แต่ทว่ากลับถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของคนทั้งสี่

“ฮ่าๆ ๆ ร้องให้ตายก็หามีใครได้ยินไม่ เจ้านางช่างงามเหลือเกิน วันนี้จงเป็นของพวกข้าเสียเถิด ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้านางหาได้เป็นที่รักของเจ้าเมืองแมนเหมือนเดิมไม่ เจ้านางไร้ประโยชน์เยี่ยงเจ้าคู่ควรกับพวกข้ายิ่งกว่า”

“ไม่! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้ ปล่อยสิวะไอ้พวกไพร่ กรี๊ดดดด!!!”

เครือแก้วถูกชายฉกรรจ์ทั้งสี่ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมอบรสสวาทให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหนำใจ จากนั้นพวกมันทั้งสี่ก็รีบวิ่งหนีหายไปในกลีบเมฆ นั้นเพราะกลัวความผิดหลังจากมนต์เสน่ห์ ที่นางเขียนจ้างวานให้หมอเสน่ห์ทำไว้ได้คลายลงจนหมดสิ้น

ความบอบช้ำจากการโดนย่ำยีอย่างป่าเถื่อน ทำให้เนื้อตัวของเครือแก้วมีรอยแดงช้ำเต็มไปหมด เจ้าหล่อนนั่งร้องไห้ร้องห่มกอดตัวเอง เดินโซซัดโซเซออกมาจากป่าละเมาะด้วยความหวาดกลัว

“ฮือๆ ๆ ช่วยข้าด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที”

เรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็มที ทำให้ร่างบอบบางล้มฟลุบลงบนพื้นหญ้าอย่างสิ้นท่า น้ำหยาดใสไหลหยดลงพื้นอยู่เนืองๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งประสบพบเจอมา ความเคียดแค้นภายในใจของเจ้านางทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะมั่นใจว่าเมืองแมนคือผู้สั่งการให้ทหารทั้งสี่นำพาตนมาย่ำยี เพราะหากไม่มีคนสั่งการมีหรือที่พวกมันจะกล้าทำอย่างนี้ ความเคียดแค้นนั้นพาลไปถึงคำน้อย ผู้ที่ทำให้เมืองแมนหลงเสน่ห์อย่างโงหัวไม่ขึ้น

ในขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดอยู่นั้น ใบหูที่แนบชิดกับพื้นดินก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม ราวกับมีเท้านับร้อยนับพันกำลังเดินตรงมาหา เมื่อได้ยินอย่างนั้นเครือแก้วจึงเงยหน้าขึ้น หันไปมองยังต้นเสียงก็พบกับกองทัพทหารจำนวนมหาศาล กำลังเดินตรงมาที่เธอ โดยมีชายรูปงามกำลังควบม้าน้ำทัพมา

“เกิดเหตุอันใดขึ้น แล้วทหารพวกนี้เป็นใครกัน หรือจักมีทัพข้าศึกเข้ามาโจมตี นี่ข้าหนีเสือปะจระเข้งั้นรึเนี่ย ฮือๆ ๆ” เครือแก้วเอ่ยราวกับพูดประชดชีวิตพลางหยัดตัวลุกขึ้นอีกครั้ง เพื่อหลีกหนีกองทัพที่กำลังเคลื่อนตัวมา แต่จนแล้วจนเล่าเจ้าหล่อนก็ไม่สามารถลุกขึ้นหนีได้ จึงนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

กองทัพจากเมืองผาพิงค์และเมืองพันธมิตร รวมตัวกันเพื่อมาทวงคืนอิสรภาพ และแก้แค้นให้พี่น้องที่เคยสูญเสียจากการถูกรุกราน ในช่วงหลายปีที่เมืองเชียงราชคำกำเริบเสิบสาน เบ่งบารมีไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่

“เจ้าคือผู้ใด เหตุใจจึงมานอนสิ้นท่าอยู่ชายป่าเยี่ยงนี้ ทำท่าทีราวกับหวาดกลัวสิ่งใดมา” แสงชัยเอ่ยถามหลังจากควบม้ามาหยุดตรงหน้าเครือแก้ว ชายหนุ่มแลตามองลงไปที่พื้น จ้องมองหญิงสาวในสภาพอาภรณ์หลุดลุ่ยราวกับเพิ่งโดนทำร้ายมา ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วคงไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่

“ข้าเป็นธิดาเจ้าเมืองเวียงคุ้งนามว่าเครือแก้ว ถูกนำตัวมาเป็นเชลยเจ้าค่ะ อย่าทำอันใดข้าเลย ฮือๆ ๆ ข้าเพิ่งโดนทหารทำร้ายมาเจ้าค่ะ” เครือแก้วก้มกราบร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิต ในวินาทีเธอต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน หากมีชีวิตรอดกลับไปเธอจะต้องไปแก้แค้นเมืองแมนคืนให้จงได้

“เป็นเชลยงั้นรึ แต่เท่าที่ข้ารู้มาเมืองเวียงคุ้งจงรักภักดิ์ดีกับเชียงราชคำยิ่งกว่าสิ่งใด แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ถูกส่งมาเป็นเชลย” แสงชัยรู้สึกสงสัย ถึงแม้ว่าเมืองเวียงคุ้งจะเป็นหนึ่งในเมืองประเทศราชของเชียงราชคำ แต่ทว่าเกิดจากการยอมสาวมิภักดิ์ ไม่ได้ผ่านการนำทัพเข้าโจมตีเหมือนเมืองผาพิงค์และเมืองอื่นๆ

“เป็นอย่างที่ท่านกล่าว เพียงแต่ข้าโดนเจ้าพ่อบังคับให้มาอยู่ที่นี่ หาได้เต็มใจไม่ และที่สำคัญข้าเกลียดที่นี่ ข้าอยากกลับบ้านเมืองของข้า ท่านอย่าทำอันใดข้าเลยนะ” เครือแก้วตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปมอง แรกพบเจ้าหล่อนก็ถึงกับตะลึง เมื่อเห็นความสง่างามของแสงชัย ไม่ต่างจากชายหนุ่มที่เห็นใบหน้าอันงดงามของเครือแก้ว ทำให้หัวใจเต้นแรงราวกับเจอความรักปักอกเข้าให้เสียแล้ว

“หากเจ้านางอยากกลับบ้านก็จงขึ้นมา” แสงชัยเอื้อมมือไปพร้อมกับรอยยิ้ม เพื่อเชื้อเชิญให้หญิงสาวที่เพิ่งเคยเจอหน้าสัมผัส ขึ้นมานั่งบนหลังม้าด้วยกัน ก่อนจะนำทัพเข้าไปประชิดกำแพงเมือง เพื่อรอเวลาอันเหมาะสมเข้าไปโจมตี

เครือแก้วส่งยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม ราวกับลืมรอยรักจากชายฉกรรจ์ทั้งสี่เสียหมดสิ้น บัดนี้นางเจอเป้าหมายใหม่โดยไม่รู้เลยว่า ชายผู้นี้คือพี่ชายของแสงหล้า คนที่เธอเกลียดเข้าไส้ไม่ต่างจากคำน้อยเลยสักนิด














ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ชะนีตัวนี้ ฆ่าไม่ตายจริง ๆ เลยหรือเนี่ย  :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด