พิมพ์หน้านี้ - มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ไมเลอร์ ที่ 29-05-2018 17:59:26

หัวข้อ: มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 29-05-2018 17:59:26
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




ทาสรักเชลยหัวใจ

นิยายวายแนวพีเรียด
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 1 เสียเอกราช [Up.29-05-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 29-05-2018 18:04:01
สวัสดีครับ...

         วันนี้มีโอกาสได้มาเปิดเรื่องใหม่ ซึ่งเป็นแนวพีเรียดเรื่องแรก ภาษาที่ใช้อาจจะไม่ได้สละสลวยมากนัก คนเขียนต้องขออภัยด้วยนะครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของคนเขียนล้วนๆ ไม่ได้พาดพิงถึงบุคคลใดๆในประวัติศาสตร์เลย

หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ

-------------------------------------------------------------------------------------


-๑-

เสียเอกราช



          เสียงปืนใหญ่ดังระงมจากภายนอกคุ้ม ทำให้ชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ใบหน้าเรียวรูปไข่ ที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก เจ้าตัวรีบลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบเสื้อคลุมที่วางพาดอยู่หัวเตียงมาสวมใส่ ในระหว่างนั้นประตูไม้ที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายกนกดูงดงามอ่อนช้อยก็ถูกเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของข้าไทคนสนิท ‘คำน้อย’ ก้มลงกราบบนพื้นแล้วเอ่ยรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

            “เกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นคำน้อย” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยถามด้วยสีหน้าตระหนก

            “มีข้าศึกนำกำลังเข้ามาโจมตีเมืองเจ้า” คำน้อยเอ่ยรายงานผู้เป็นนายด้วยสีหน้าเป็นกังวล

            “แล้วเจ้าพ่อกับเจ้าพี่ล่ะอยู่ที่ใด” สิ่งแรกที่ ‘แสงหล้า’ นึกถึงนั่นคือบิดาและพี่ชายที่อยู่อีกคุ้ม หากมีการศึกเยี่ยงนี้เจ้าตัวทราบดีว่าคนทั้งสองจะต้องออกไปปกป้องบ้านเมือง ไม่ให้ข้าศึกเข้ามารุกรานได้เป็นอันขาด นั่นหมายความว่ามีโอกาสที่จะได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต

            “เจ้าหลวงกับเจ้าอุปราชนำทัพไปสู้กับพวกมันที่ลานศึกแล้วเจ้า”

            “ข้าจะออกไปช่วยเจ้าพ่อกับเจ้าพี่ขับไล่พวกมันออกจากเมือง” ว่าแล้วก็รีบหยิบดาบประจำกายที่วางอยู่ใต้หมอนออกมา หมายจะออกไปช่วยบิดาและพี่ชายปกป้องบ้านเมือง

            “อย่าออกไปเลยนะเจ้า เจ้าอุปราชให้ข้าเจ้าพาเจ้านายน้อยหนีออกไปทางด้านหลังคุ้ม ก่อนที่พวกมันจะบุกเข้ามาในหอคำ” คำน้อยได้รับคำสั่งจากเจ้าอุปราช ก่อนจะออกไปที่ลานศึกหน้ากำแพงเมือง

            “ไม่! ข้าจะออกไปสู้กับพวกมัน” ว่าแล้วแสงหล้าก็ลุกขึ้นจะเดินออกไปจากคุ้ม แต่คำน้อยรีบรั้งขาผู้เป็นนายไว้ไม่ให้ออกไป

            “เจ้านายน้อยอย่าไปเลยนะเจ้า การศึกเยี่ยงนี้มันอันตราย ข้าเจ้าไม่ยอมให้เจ้านายน้อยต้องไปเสี่ยงเป็นอันขาด”

            “ยิ่งอันตรายข้ายิ่งต้องออกไป เจ้าพ่อกับเจ้าพี่จะเป็นตายร้ายดียังไงข้าก็หารู้ไม่” แสงหล้าไม่ฟังคำทัดทานจากข้าไทคนสนิท สลัดขาก้าวไปข้างหน้าจนหลุดพ้นจากการเกาะกุม แล้วรีบวิ่งออกไปยังกำแพงเมือง คำน้อยได้แต่รีบวิ่งตามไปด้วยความกังวลใจ

            แสงหล้าวิ่งออกไปจากคุ้มแล้วมองไปรอบๆก็แทบจะขาดใจ เมื่อเห็นคุ้มต่างๆถูกปืนใหญ่ยิงเข้ามาจนพังพินาศ ควันไฟที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณทำให้รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก เจ้าตัวกัดฟันวิ่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองเพื่อมองหาบิดาและพี่ชายที่ลานศึก ดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกอย่างมันจะสายเกินไปเสียแล้ว นั่นเพราะกำลังพลที่เคยมีหลายพันนาย บ่างส่วนนอนตายระเนระนาดจนเกลื่อนไปทั่วลานศึกหน้าประตูเมือง บางส่วนต้องวางอาวุธลงบนพื้นอย่างจำยอม เพราะตอนนี้บิดาและพี่ชายของตนถูกข้าศึกฝ่ายตรงข้ามจับตัวเอาไว้เสียแล้ว น้ำตาแห่งความเสียใจไหลพรั่งพรูลงมาเป็นสาย แสงหล้าทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงบนกำแพงเมืองอย่างสิ้นหวัง

            “เจ้าพ่อ!” แสงหล้าตะโกนไปสุดเสียงหวังจะให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ว่าตัวเองยังอยู่ตรงนี้ไม่ได้หนีไปไหน

            “โธ่! แสงหล้าลูกพ่อทำไมเจ้าไม่หนีไป” ‘เจ้าหลวงแสงคำ’ เปรยออกมาเบาๆ น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้หยดแหมะลงบนผืนแผ่นดินเกิด ตอนนี้เขาไม่สามารถปกป้องบ้านเมืองเอาไว้ได้เสียแล้ว แม้นตายคงไม่กล้าไปสู้หน้าบรรพบุรุษ ที่เคยต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อเพื่อผืนแผ่นดินนี้มาตั้งแต่ครั้งในอดีต

            “แสงหล้าน้องพี่รีบหนีไปเร็ว!” ‘แสงชัย’ ตะโกนเสียงดัง ขณะโดนทหารของอีกฝ่ายคุมตัวเอาไว้

            ดูเหมือนว่าน้องชายจะไม่ฟังสิ่งที่เขาพูดออกไป กลับลงจากกำแพงเมืองเดินอย่างอาจหาญมายังลานศึกพร้อมกับข้าไทคนสนิท ในมือก็ถือดาบคู่กายยืนประจันหน้ากับข้าศึกฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เกรงกลัว

            “นี่คงเป็นแก้วตาดวงใจของเจ้าหลวงเมืองผาพิงค์สินะ” ‘จักรคำ’ แม่ทัพของเชียงราชคำเอ่ยขึ้นเสียงดัง เมื่อเห็นความอาจหาญของชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็แค่นยิ้มอย่างพอใจ

            “ทำไมลูกไม่หนีไป” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยกับบุตรชายคนเล็ก

            “จะให้ลูกหนีไปได้เยี่ยงไร ในเมื่อตอนนี้เจ้าพ่อกับเจ้าพี่กำลังตกอยู่ในอันตราย ลูกทำเยี่ยงนั้นไม่ได้” แสงหล้าร้องไห้อย่างหนักหน่วงเมื่อเห็นสภาพของคนที่รักทั้งสอง ถูกจับนั่งคุกเข่าอยู่บนแผ่นดินเกิดของตัวเองอย่างไร้ศักดิ์ศรี

            “ข้าว่าเราไปทำข้อตกลงกันในหอคำดีหรือไม่” จักรคำเอ่ย

            “ข้าไม่มีทางให้เจ้าเข้าไปเหยียบในหอคำเป็นอันขาด” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยออกมาด้วยความเด็ดเดี่ยว เขาไม่มีทางให้พวกศัตรูที่มาข่มเหงชาวเมืองผาพิงค์ เข้าไปเหยียบในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเป็นอันขาด

            “เจ้าหลวงไม่มีสิทธิ์พูดอันใดแล้ว คุมตัวทุกคนเข้าไปในหอคำบัดเดี๋ยวนี้” สิ้นคำสั่งเหล่าทหารของเชียงราชคำก็เข้าไปจับตัวแสงหล้าและคำน้อยทันที ส่วนเจ้าหลวงแสงคำและเจ้าแสงชัยก็ถูกจับให้ลุกขึ้น แล้วคุมตัวเดินตรงไปยังหอคำ ซึ่งเป็นสถานที่ว่าข้อราชการและเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเมืองผาพิงค์

            ทั้งหมดถูกคุมตัวเข้ามายังหอคำแล้วถูกจับให้นั่งคุกเข่าอยู่ในท้องพระโรง เจ้าหลวงแสงคำมองดูบังลังค์ตั่งทองที่เคยนั่งว่าราชการอย่างคับแค้นใจ ตอนนี้ศัตรูต่างถิ่นได้เขามาเหยียบในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมือง มันเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของคนเป็นเจ้าหลวงเสียเหลือเกิน

            จักรคำเดินขึ้นไปยืนอยู่ตรงหน้าบัลลังค์ตั่งทองอย่างอุกอาจ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้นั่งลงแต่อย่างใดเพราะยังให้เกียรติกับเจ้าหลวงของเมืองนี้อยู่นั่นเอง

            “ลงมาจากตั่งทองของพ่อข้าบัดเดี๋ยวนี้” แสงชัยตะโกนลั่นใส่หน้าแม่ทัพของเชียงราชคำอย่างเดือดดาล

            “ข้าคงทำตามที่เจ้าร้องขอไม่ได้เพราะตอนนี้ เมืองผาพิงค์ได้เป็นเมืองขึ้นของนครหลวงเชียงราชคำอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าหลวงมีหน้าที่ส่งเครื่องบรรณาการไปถวายราชสำนัก นครหลวงเชียงราชคำเป็นประจำทุกปีไม่ให้ขาด ไม่เช่นนั้นแล้วจะถือว่าพวกท่านกระด้างกระเดื่อง” จักรคำประกาศกร้าวต่อหน้าเจ้าหลวงและบรรดาข้าราชบริพารที่ถูกคุมตัวอยู่ในหอคำ

            “ข้าไม่ยอมให้เมืองผาพิงค์ตกเป็นเบี้ยล่างของพวกเจ้าแน่นอน” เจ้าหลวงแสงคำกำหมัดแน่น โกรธแค้นจนใบหน้าสั่นเทา เพ่งมองคนที่ยืนอยู่หน้าบังลังค์ตั่งทองของตัวเองอย่างเคียดแค้น

            “หากมันผู้ใดไม่ยอมรับ ข้าก็ต้องกำจัดให้สิ้นซากไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น...แม้แต่เจ้าหลวง” จักรคำประกาศกร้าวเสียงดังอย่างเด็ดขาด ทำให้ทุกคนที่ถูกคุมตัวก้มหน้าลงอย่างเกรงกลัวในอำนาจ ยกเว้นแสงหล้าที่จ้องมองเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด

            “มีอันใดจะพูดกับข้าหรือไม่เจ้าแสงหล้า” จักรคำยิ้มเยาะเมื่อเห็นความกล้าของอีกฝ่าย

            “ข้า-เกลียด-เจ้า” แสงหล้าเอ่ยเสียงต่ำแบบเน้นคำบ่งบอกว่ากำลังโกรธแค้นเหลือทน

            “ถ้าข้าเป็นเจ้าจะไม่พูดเยี่ยงนี้ เพราะวันพรุ่งเจ้าจะต้องกลับไปที่นครหลวงเชียงราชคำกับข้า” พูดแล้วก็ยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัย ทำเอาแสงหล้าถึงกับหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที

            “มะ...หมายความว่าเยี่ยงไร” เมื่อได้ยินอย่างนั้นทำเอาแสงหล้าถึงกับทรุดตัวลงบนพื้นจนคำน้อยรีบพยุงตัวเอาไว้

            “แม้ตอนนี้เมืองผาพิงค์เป็นเมืองขึ้นของนครหลวงเชียงราชคำแล้ว แต่ทุกอย่างที่นี่จะยังคงเหมือนเดิม ตั่งทองนี้ยังคงเป็นของเจ้าหลวง เว้นแต่ข้าจะต้องคุมตัวเจ้าแสงหล้ากลับไปที่นครหลวงเชียงราชคำด้วย เพื่อเป็นประกันว่าเจ้าหลวงแห่งเมืองผาพิงค์จะไม่กระด้างกระเดื่องต่อเมืองของข้า หากวันใดที่พวกท่านคิดก่อการกบฏ เจ้าแสงหล้าจะหามีชีวิตอยู่ต่อไม่” จักรคำเอ่ย

            “ข้าไม่ไปข้าจะขอตายอยู่ที่นี่” แสงหล้ารีบปฏิเสธทันควัน เขาไม่มีทางไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแน่นอน หากตายก็ขอตายที่เมืองผาพิงค์เท่านั้น

            “ทำไมพวกข้าจะต้องทำตามที่เจ้าบอกด้วย” แสงชัยเอ่ยขึ้น

            “ถ้าพวกท่านไม่ยอมรับการเป็นเมืองขึ้น ข้าจะพังที่นี่ให้ราบคาบ และไม่ไว้ชีวิตผู้ใดแม้แต่คนเดียว คนฉลาดอย่างเจ้าคงรู้ดีว่าจะเลือกทางไหน” แม้จะให้ทางเลือกแต่ก็เหมือนเป็นการบีบบังคับให้เลือกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ

            แสงชัยกำหมัดแน่นเมื่อหมดหนทางที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้ เขาไม่มีทางให้ประชาชนต้องมาเดือดร้อนเพราะความรั้นของตัวเองเป็นแน่ แต่ก็เป็นห่วงน้องชายมากเหลือเกิน กลัวว่าจะไปตกระกำลำบากที่ต่างเมือง ยิ่งไปอยู่ในฐานะเชลยแล้วยิ่งปวดใจ

            “ข้าขอไปแทนน้องข้าได้หรือไม่” แสงชัยเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว

            “ไม่! เอาข้าไปแทนเถิด” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยขึ้นถัดจากนั้น ทำเอาบุตรชายทั้งสองหันไปมองหน้าทันที

            “ไม่นะเจ้าพ่อ” แสงหล้าเอ่ยน้ำตานองหน้า

            “พ่อแก่แล้วให้พ่อไปยังดีกว่าให้ลูกของพ่อต้องไปตกระกำลำบาก” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยกับบุตรชาย

            “พวกท่านไม่มีสิทธิ์เลือก คนที่จะต้องไปคือเจ้าแสงหล้าเท่านั้น” จักรคำยื่นคำขาด

            “เจ้าพ่อมิต้องห่วง ลูกจะไปเพื่อบ้านเมืองของเรา เพื่อประชาชนของเรา เจ้าพ่อกับเจ้าพี่ต้องอยู่ที่นี่ เป็นเสาหลักให้ชาวเมืองนะเจ้า..ฮึก” เมื่อเลี่ยงไม่ได้ แสงหล้าก็พยายามรวบรวมสติแล้วทำใจฮึดสู้อีกครั้ง เลือดนักสู้ในตัวเขามันยังเข้มข้นอยู่ไม่หาย

            เมื่อได้ยินคำพูดที่เด็ดเดี่ยวของแสงหล้า ทั้งสองก็น้ำตาร่วงแล้วพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ แม้จะเจ็บปวดเพียงใด แต่เพื่อให้บ้านเมืองได้เดินหน้าต่อไป ทั้งสองจะต้องทนรับความเจ็บปวดนี้ให้ได้

            “ขอให้ข้าเจ้าติดตามไปรับใช้เจ้านายน้อยด้วยเถิดเจ้า” คำน้อยยกมือไหว้จักรคำวอนขอไปรับใช้เจ้านายที่ต่างเมืองด้วย

            “เจ้าต้องอยู่ที่นี่ดูแลเจ้าพ่อนะคำน้อย” แสงหล้าเอ่ยกับข้าไทคนสนิท แต่คำน้อยกลับส่ายหน้าร้องไห้แล้วซบหน้าลงที่ฝ่าเท้าของผู้เป็นนาย

            “ข้าอนุญาต” จักรคำเห็นว่าหากไปอยู่ที่นั่นเพียงลำพังอาจจะทำให้แสงหล้ารู้สึกโดดเดี่ยว หากมีเพื่อนคุยอาจจะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขาเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายไส้ระกำขนาดนั้น ทุกอย่างที่ทำลงไปเพราะเป็นคำสั่งของบิดาเท่านั้นเอง

            “ขอบน้ำใจเจ้า” รอยยิ้มปรากฏบนหน้าของคำน้อย เขาจ้องมองหน้าผู้เป็นนายแล้วร้องไห้ด้วยความดีใจ อย่างน้อยก็จะได้ไปดูแลอย่างใกล้ชิดที่ต่างเมือง

            “เอาล่ะข้าจะให้พวกท่านไปพักผ่อนในคุ้มเสียก่อน แต่อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะทหารของข้าจะตรึงกำลังไว้ทั่วเมือง หากผู้ใดคิดกระด้างกระเดื่องขึ้นมา ข้าจะจับตัดหัวทันทีไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ส่วนเจ้าแสงหล้าเตรียมตัวให้พร้อม เพราะวันพรุ่งเจ้าต้องเดินทางกลับเชียงราชคำกับข้าตั้งแต่เช้าตรู่” จักรคำประกาศกร้าวให้คนที่อยู่ในหอคำรับทราบก่อนจะเดินออกไป แต่ยังคงสั่งทหารให้ตรึงกำลังไว้ทุกจุดอย่างเข้มงวด

            หลังจากจักรคำเดินออกไปแล้ว สามคนพ่อลูกก็โผเข้ามากอดกันทันที แสงหล้าซบหน้าลงบนตักบิดาราวกับจะไม่มีโอกาสกลับมาสัมผัสไออุ่นนี้อีกตลอดชีวิต ส่วนแสงชัยก็มองน้องชายด้วยความสงสารและคับแค้นใจ สักวันเขาจะต้องพาตัวน้องชายกลับมาที่นี่ให้ได้

            “พ่อผิดเองที่ไม่สามารถปกป้องบ้านเมืองเราจากพวกเชียงราชคำได้” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยอย่างตัดพ้อคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ไม่สามารถรักษาเอกราชของบ้านเมืองไว้ได้ แถมบุตรชายคนเล็กยังต้องถูกนำตัวไปเป็นตัวเชลยที่เมืองนั้นอีกด้วย

            “เจ้าพ่ออย่าโทษตัวเองเลยเจ้า คนที่ผิดคือพวกมัน” แสงชัยเอ่ยปลอบใจบิดา

            “ลูกให้สัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี เจ้าพ่อกับเจ้าพี่ไม่ต้องเป็นห่วง” แสงหล้าเอ่ยกับคนทั้งสอง

            “พี่สัญญาว่าจะพาน้องกลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตพี่ก็ตาม” แสงชัยให้สัญญากับน้องชาย พลางใช้มือหนาลูบไล้ที่เรือนผมอย่างปลอบโยน

            “เจ้าพี่อย่าพูดเยี่ยงนั้น น้องจะอดทนอยู่ที่นั่นให้ได้ รอวันที่ผาพิงค์เป็นอิสระอีกครั้ง”

            “เอ็งต้องดูแลน้องข้าให้ดีนะคำน้อย” แสงสัยหันไปเอ่ยกับข้าไทที่เขาไว้ใจได้

            “เจ้า..ข้าเจ้าจะไม่ให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้านายน้อยได้เป็นอันขาด” คำน้อยให้สัญญากับเจ้านายทั้งสอง

            “ขอบน้ำใจเอ็งมาก” เจ้าหลวงเอ่ย

            “คืนนี้ลูกขอนอนที่คุ้มเจ้าพ่อเป็นคืนสุดท้ายได้หรือไม่เจ้า” ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยห่างบ้านห่างเมืองไปไหนเลยแม้แต่หนเดียว คิดแล้วก็แทบจะขาดใจเสียเหลือเกิน

            “ได้สิลูกคืนนี้พ่อจะไม่ให้เจ้าห่างอกพ่อแม้แต่น้อย”

            “ลูกจะพาทหารที่เหลือมาเฝ้าอารักขาที่หน้าคุ้มหลวงทั้งคืน เจ้าพ่อจะได้ไม่ต้องทรงกังวลอันใด” แสงชัยเอ่ย

            “เจ้าเองก็ควรไปพักเอาแรงเสียก่อนปล่อยให้ทหารมันอยู่เฝ้ายามเป็นพอ”

            “ถ้าเช่นนั้นลูกจะไปอยู่ที่คุ้มกับเจ้าพ่อและน้อง จะได้วางใจว่าเจ้าพ่อจะทรงปลอดภัย” เจ้าหลวงพยักหน้ารับแล้วหันไปเอ่ยกับคำน้อยอีกที

            “คำน้อยเอ็งพาลูกข้าไปเก็บสัมภาระที่คุ้มก่อน แล้วค่อยพามาที่คุ้มหลวง” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยกับข้าไท

            “เจ้า” คำน้อยตอบรับ

            “ลูกขอไปเก็บสัมภาระที่คุ้มก่อน หากเสร็จแล้วลูกจะไปเข้าเฝ้าเจ้าพ่อที่คุ้มนะเจ้า” แสงหล้าเอ่ยกับบิดาแล้วก้มกราบแทบเท้า หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกจากหอคำโดยมีข้าไทคนสนิทเดินตามหลังไป

            เมื่อแสงหล้าออกไปจากหอคำแล้ว เจ้าหลวงได้เดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังค์ตั่งทองอย่างเศร้าใจ ขณะที่แสงชัยก็นั่งลงบนตั่งด้านล่าง ส่วนข้าราชบริพารต่างก็พากันนั่งร้องไห้ระงมด้วยความเสียใจ จากเมืองเล็กๆที่เคยปกครองตัวเองมาอย่างยาวนาน แต่วันนี้กลับต้องมาเสียเอกราชให้กับเมืองใหญ่ที่กระหายสงครามอย่างนครหลวงเชียงราชคำ เจ้าหลวงแสงคำพยายามทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อจะฟื้นฟูและสร้างเมืองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เผื่อในอนาคตจะหาทางแยกตัวเป็นอิสระอีกครั้ง และพาตัวบุตรชายคนเล็กกลับมาที่เมืองผาพิงค์ให้จงได้
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 1 เสียเอกราช [Up.29-05-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-05-2018 18:27:17
 ไมพระเอก มันบ้าสงครามฟะ   :serius2:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 1 เสียเอกราช [Up.29-05-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-05-2018 22:14:23
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 1 เสียเอกราช [Up.29-05-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 30-05-2018 09:36:06
มารอตอนต่อไป
แสงหล้าสู้ๆ
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 1 เสียเอกราช [Up.29-05-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 31-05-2018 15:00:30
ต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบบ :pig2:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 1 เสียเอกราช [Up.29-05-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 02-06-2018 15:12:43
จิ้มๆๆๆ
ตามอ่านจ้า
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 2 จากบ้าน [Up.04-06-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 04-06-2018 22:52:19
-๒-

จากบ้าน



          บรรยากาศหน้ากำแพงเมืองตอนนี้อบอวลไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ เสียงร่ำไห้ของเหล่าข้าไทที่เคยรับใช้ใกล้ชิดเจ้าแสงหล้าดังระงมไปทั่วพระนคร ไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้าเมืองและเจ้าอุปราชที่ยอมแสดงความอ่อนแอหลั่งน้ำตาต่อหน้าข้าราชบริพาร การจากลาครั้งนี้ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่เมืองผาพิงค์สูญเสียเจ้านางหลวงเมื่อหลายปีที่แล้ว

           เหล่ากำลังพลบางส่วนของเชียงราชคำเตรียมพร้อมเคลื่อนทับกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน อีกส่วนก็อยู่ควบคุมสถานการณ์ที่เมืองผาพิงค์ไปก่อนสักระยะ ทหารของเมืองผาพิงค์นำสัมภาระของแสงหล้าไปขึ้นไว้บนรถม้าเรียบร้อยแล้ว ส่วนจักรคำยืนถือดาบคู่กายจ้องมองเจ้านายน้อยแห่งเมืองผาพิงค์กอดกับบิดาร่ำไห้แทบจะขาดใจ เจ้าตัวดูแล้วก็รู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อยแต่สงครามก็คือสงคราม ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีคนแพ้คนชนะ ต้องมีฝ่ายที่สูญเสียนั่นคือสัจธรรม

            “ดูแลตัวเองดีๆนะลูกพ่อ” หลังจากกอดกันอยู่นาน เจ้าหลวงแสงคำก็ผละตัวบุตรชายออกมาแล้วมองหน้าให้ชัดๆอีกครั้งก่อนจะไม่ได้เห็นอีกนาน มันเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะเจ็บปวดไม่ต่างจากตอนที่สูญเสียเมียสุดที่รักไปจากโรคร้ายเมื่อหลายปีก่อน

            “เจ้า...ลูกจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเจ้าพ่ออย่าได้เป็นกังวลอันใดเลยนะเจ้า” แสงหล้าจ้องมองบิดาอย่างไม่วางตา เขาอยากหยุดเวลาเอาไว้อย่างนี้ตลอดไป ไม่อยากจากทุกคนที่นี่ไปไหนเลย ขณะคิดน้ำตาแห่งความเสียใจก็ไหลลงมาเป็นสายไม่ยอมหยุด

            “พ่อสัญญาว่าจะพาเจ้ากลับมาบ้านเราให้จงได้ พ่อรักลูกมาก ขอผีหลวงช่วยตามไปปกปักรักษาลูกที่เชียงราชคำด้วยเถิด” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยกับบุตรชาย

            “ลูกจะรอวันนั้นเจ้า...ไม่ว่าจะกี่ปีกี่เดือนหรือตลอดชีวิตลูกก็จะรอ ลูกขอกราบทูลลาเจ้าพ่อ” พูดแล้วก็โผเข้ากอดบิดาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ก้มลงกราบแทบเท้าบิดา พร้อมทั้งแนบแก้มขาวประทับบนฝ่าเท้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะลุกขึ้นไปร่ำลาผู้เป็นพี่ชายต่อ

            “ฝากดูแลเจ้าพ่อด้วยนะเจ้า น้องขอกราบทูลลาหากมีบุญวาสนาเราคงได้กลับมาพบเจอกันอย่างพร้อมหน้าอีกครั้งเจ้า” แสงหล้าเอ่ยกับพี่ชายแล้วโผเข้ากอด

            “น้องไม่ต้องห่วงพี่จะดูแลเจ้าพ่อเองอย่าได้เป็นกังวลอันใด อยู่ที่นั่นน้องต้องดูแลตัวเองดีๆอย่าให้ผู้ใดมารังแกน้องได้เป็นอันขาด จงภูมิใจในเลือดขัตติยาแห่งเมืองผาพิงค์ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นน้องต้องเข้มแข็ง หากวันใดฟ้าดินเห็นใจเราคงได้เจอกันอีกครั้ง” แสงชัยเองก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน วันนี้เจ้าอุปราชได้หลั่งน้ำตาให้กับชาวเมืองได้เห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต

            “น้องจะรอวันที่เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกนะเจ้า” ว่าแล้วก็ก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นพี่ชาย

            ระหว่างนั้นจักรคำที่ยืนรออยู่เห็นควรแก่เวลาที่จะออกเดินทางแล้วจึงเอ่ยแจ้ง...

            “ถึงควรแก่เวลาที่ต้องออกเดินทางกันแล้ว เจ้าแสงหล้าจงขึ้นไปยังรถม้าบัดเดี๋ยวนี้”

            คำน้อยได้ยินก็รีบก้มลงกราบแทบเท้าลาเจ้านายทั้งสองพระองค์ทันที

            “ข้าเจ้าขอกราบทูลลาเจ้าหลวงและเจ้าแสงชัยเจ้า”

            “ดูแลลูกข้าให้ดีนะคำน้อย แสงหล้าไม่มีผู้ใดนอกจากเจ้าแล้ว จงทำหน้าที่แทนข้าอย่าให้ข้าต้องผิดหวัง ส่วนเจ้าก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ” เจ้าหลวงเอ่ย

            “ข้าเจ้าจะดูแลเจ้านายน้อยให้ดีที่สุด หากแม้นตายแทนได้ข้าเจ้าก็จะทำ” คำน้อยให้คำสัญญากับเจ้าหลวง

            บิดาและมารดาของคำน้อยเป็นข้าไทในคุ้มหลวงมาก่อน ทั้งสองเสียชีวิตด้วยโรคระบาดเมื่อครั้งคำน้อยยังเป็นเด็ก เจ้าหลวงสงสารเลยให้มาเป็นเพื่อนเล่นและรับใช้บุตรชายคนเล็กตั้งแต่นั้นมา นั่นทำให้ทั้งสองผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นทั้งเพื่อนและข้าไทคนสนิทไปพร้อมๆกัน

            หลังจากร่ำลากันแล้วแสงหล้าก็เดินขึ้นไปนั่งบนรถม้า แต่กลับส่งสายตาเศร้าไปที่บิดาและพี่ชายอย่างไม่วางตา จากไปครั้งนี้ไม่รู้จะมีโอกาสได้หวนกลับมาที่บ้านเกิดเมืองนอนอีกหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็จะอดทนเพื่อให้บ้านเมืองไม่ต้องถูกไอ้พวกคนบ้าอำนาจมาทำลายอีกครั้ง

            จากเมืองผาพิงค์ไปยังเชียงราชคำต้องใช้เวลาเดินทางนานหลายวัน ทำให้ต้องแวะพักระหว่างทางอยู่บ่อยครั้ง จากวันที่ออกมาจากเมืองผาพิงค์ตอนนี้ก็เข้าสู่วันที่เจ็ดแล้ว แสงหล้าได้พบเจอกับอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ก็ทำให้คลายความเศร้าใจลงไปได้บ้าง แต่ถึงยังไงเจ้าตัวก็ไม่มีทางลืมความสูญเสียครั้งนี้ไปแน่นอน เหมือนเป็นการย้ำเตือนว่าเชียงราชคำเคยทำอะไรกับเมืองผาพิงค์ไว้บ้าง

            “คำน้อยเอ็งเดินไหวหรือไม่” ออกเดินทางมาได้สักพักแสงหล้าก็หันไปเอ่ยถามข้าไท ที่เดินตากแดดเคียงข้างรถม้ามาตลอดทางไม่เคยห่าง เห็นแล้วแสงหล้าก็รู้สึกสงสารที่คำน้อยต้องมาตกระกำลำบากกับเขาไปด้วย

            “ข้าเจ้าทนไหว” แม้ความจริงคำน้อยเริ่มจะอ่อนแรงแล้วแต่ต้องตอบออกไปอย่างนั้น เพื่อไม่ให้ผู้เป็นนายต้องเป็นห่วง

            “แต่สีหน้าเอ็งดูไม่ค่อยดี” แสงหล้าสังเกตเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของคำน้อยก็เริ่มจะเป็นห่วง กลัวว่าจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน

            “ข้าเจ้ามิเป็นอันใดจริงๆเจ้านายน้อย” พูดจบคำน้อยก็เป็นลมล้มลงทันที

            “คำน้อย!! หยุดบัดเดี๋ยวนี้คำน้อยเป็นลม” แสงหล้าตะโกนสั่งให้เหล่าทหารที่กำลังบังคับรถม้าหยุดทันที

            “หยุดรถม้าบัดเดี๋ยวนี้!” จักรคำตะโกนลั่นเมื่อได้ยินเสียง แล้วบังคับม้าขี่มายังต้นเสียง

            ระหว่างนั้นแสงหล้าก็รีบลงจากรถม้าแล้วพยุงร่างคำน้อยขึ้นมากอดไว้

            “คำน้อยเอ็งอย่าเป็นอันใดไปนะ...พวกเจ้าช่วยพาคนของข้าเข้าไปในร่มบัดเดี๋ยวนี้” แสงหล้าตะโกนสั่งทหารที่อยู่ใกล้ให้มาช่วยพาคำน้อยไปยังร่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล

            “สงสัยเป็นลมแดดมิเป็นอันใดดอก” จักรคำลงจากม้าแล้วเอ่ยกับแสงหล้า แต่อีกฝ่ายกลับเหลือบตามองอย่างไม่เป็นมิตร แล้วเดินตามหลังเข้าไปหาคำน้อยที่ใต้ร่มไม้ใหญ่

            เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น จักรคำจึงสั่งให้ทุกคนพักเอาแรงเสียก่อนค่อยออกเดินทางอีกครั้งวันพรุ่งนี้

            “คำน้อยเป็นอย่างใดบ้าง” แสงหล้าเอายาหอมให้ข้าไทคนสนิทสูดกลิ่นอยู่นานจนเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา

            “เจ้านายน้อยข้าเป็นอันใด” คำน้อยค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ก็เห็นว่าตัวเองกำลังหนุนศีรษะอยู่บนตักของผู้เป็นนาย

            “เอ็งเป็นลมหมดสติหลังจากคุยกับข้า พักผ่อนให้เพียงพอเถิดคืนนี้เราจะพักกันที่นี่แล้วค่อยเดินทางต่อในวันพรุ่ง” แสงหล้าเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มให้

            “ข้าเจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว” คำน้อยเอ่ยพร้อมพยุงตัวจะลุกขึ้นมา

            “ถ้าเช่นนั้นไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธารกันเถิด ข้าได้ยินพวกทหารเอ่ยกันว่ามีลำธารแถวนี้ เอ็งก็จะได้รู้สึกดีขึ้นมาด้วยหากได้น้ำเย็นๆล้างหน้า”

            “ถ้าเช่นนั้นข้าเจ้าขอไปเตรียมผ้าให้เจ้านายน้อยก่อนนะเจ้า”

            “ข้าจะรอเอ็งอยู่ตรงนี้แล้วเราค่อยไปพร้อมกัน”

            “เจ้า” คำน้อยค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินไปที่รถม้า

            หลังจากคำน้อยเดินไปแล้ว จักรคำก็เดินเข้ามาหาหมายจะเข้ามาถามอีกฝ่ายว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ แสงหล้าเห็นหน้าจักรคำก็แทบจะไม่มองหน้า แถมยังหันหลังให้อีกต่างหาก แม้จะร่วมเดินทางกันมาหลายวันแล้ว แต่แสงหล้าก็พยายามไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาตีสนิทแม้แต่น้อย

            “ใยไม่มองหน้าข้าเจ้าแสงหล้า” จักรคำเห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็ถึงกับขำออกมา เจ้านายน้อยผู้ทระนงตนแห่งเมืองผาพิงค์ช่างสมคำล่ำลือจริงๆ ไม่ยอมพูดจาดีๆกับเขาแม้แต่ครั้งเดียว

            “ใยข้าต้องมองหน้าเจ้าด้วย ข้าไม่อาจทนมองใบหน้าของฆาตกร ที่เข่นฆ่าประชาชนของข้าอย่างโหดเหี้ยมได้” แสงหล้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง

            ระว่างนั้นคำน้อยก็เดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นจักรคำก็ก้มหน้าแล้วเข้าไปนั่งลงข้างๆผู้เป็นนาย

            “เจ้าดีขึ้นแล้วรึ” จักรคำเอ่ยถาม

            “เจ้า” คำน้อยก้มหน้าตอบ

            “ไปกันเถิดคำน้อย” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืนทันที ส่วนคำน้อยก็รีบลุกขึ้นตามผู้เป็นนาย

            “จะไปไหนกันรึ” ก่อนทั้งสองจะเดินไปจักรคำก็เอ่ยถามขึ้นมาก่อน

            “ไม่ใช่เรื่องของเจ้าหลีกทางให้ข้าด้วย” จักรคำตั้งใจจะยืนขวางทางไม่ให้ไปไหนจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมตอบ ในตอนนี้เขาต้องดูแลควบคุมไม่ให้อีกฝ่ายคลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว

            “ถ้าไม่บอกข้าก็ไม่ให้ออกไปไหนทั้งนั้น อย่าลืมว่าเจ้าอยู่ในฐานะเชลยหามีสิทธิ์ต่อปากต่อคำกับข้าไม่” จักรคำย้ำสถานะของอีกฝ่ายให้ฟังชัดๆอีกครั้ง

            “ข้าไม่ลืมว่าอยู่ในสถานะใด ถ้าเช่นนั้นข้าขอนุญาตไปล้างหน้าที่ลำธารได้หรือไม่เล่า” แสงหล้าเอ่ยประชดประชันเสียงดัง

            “ได้...แต่ข้าต้องไปกับเจ้าด้วยเชิญ..” จักรคำผายมือเชิญอีกฝ่ายให้เดินนำไป แสงหล้าถอนหายใจแล้วเดินนำหน้าไปด้วยอารมณ์ที่บูดบึ้ง

            เดินมาไม่ไกลก็ถึงลำธารขนาดใหญ่ที่มีต้นน้ำมาจากภูเขาสูง ตลอดทั้งสองฝั่งมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาจนปกคลุมเป็นร่มเงา บรรยากาศดีเช่นนี้ทำให้คนที่มาเยือนต่างก็รู้สึกผ่อนคลาย ลืมเรื่องทุกข์ใจไปในชั่วขณะได้เลยทีเดียว

            “เย็นชื่นใจเหลือเกินคำน้อย” เมื่อวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าแล้วแสงหล้าก็เอ่ยกับข้าไทคนสนิททันที นอกจากน้ำจะใสจนเห็นตัวปลาแหวกว่ายไปมาแล้วยังเย็นฉ่ำสดชื่นอีกด้วย

            “เห็นเจ้านายน้อยรู้สึกดีข้าเจ้าก็ดีใจ” คำน้อยตอบขณะยืนมองผู้เป็นนายนั่งวักน้ำมาล้างหน้าอยู่ริมลำธาร

            “ทำไมเอ็งไม่ลงมาล่ะ..เร็วๆ” แสงหล้ากวักมือเรียก

            “เจ้า” คำน้อยวางผ้าที่ถือมาด้วยลงบนพื้นแล้วเดินลงไปวักน้ำมาล้างหน้าบ้าง ลำธารใสน้ำเย็นทำให้ความเมื่อยล้าที่มีอยู่หายเป็นปลิดทิ้งโดยทันที

            “ทำไมเจ้าไม่อาบเลยล่ะมาถึงที่แล้ว” จักรคำที่ยืนมองอยู่นานเอ่ยแนะนำ เพราะเห็นท่าทีของคนทั้งสองมีความสุขกับการได้อยู่ที่นี่

            “เรื่องของข้า” แสงหล้าตอบด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น แล้วเหลือบตามองอย่างไม่สบอารมณ์

            “ถูกต้องมันไม่ใช่มันเรื่องของข้า แต่บอกไว้ก่อนว่าจะไม่อนุญาตให้เจ้ามาที่นี่อีกแล้ว ถ้าไม่อาบตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสแล้วเลือกเอา” จักรคำยืนกอดอกเอ่ยกับคนทั้งสอง

            “เจ้านายน้อยข้าเจ้าว่าอาบให้เสร็จตอนนี้ก็ดีนะเจ้า อย่างใดข้าเจ้าก็ได้เตรียมผ้ามาให้เจ้านายน้อยแล้ว” เมื่อได้ยินที่จักรคำเอ่ยจึงแนะนำผู้เป็นนายให้รีบคว้าโอกาสเอาไว้เสียก่อน

            “ได้ข้าจะอาบแต่..เจ้าต้องไปจากที่นี่เสียก่อน” แสงหล้าหันไปต่อรองกับจักรคำ

            “ทำไมข้าจะต้องไปด้วยเจ้าอายอะไรรึเจ้าแสงหล้า หรือเจ้ามีอะไรที่ข้าไม่มีอย่างนั้นรึ” จักรคำมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเป็นต่อ พร้อมจ้องมองไปที่เรือนร่างอย่างไม่ละสายตาตั้งใจจะหยอกเล่น

            “ข้าไม่จำเป็นต้องตอบเจ้า”

            “เอาล่ะๆข้าจะปล่อยให้เจ้าได้อาบน้ำที่ลำธารนี้อย่างสบายใจ ส่วนข้าจะไปเดินสำรวจแถวๆนี้รอ เสร็จตอนไหนก็เรียกข้าละกัน” จักรคำเอ่ย

            “พูดแล้วก็ไปสิรออะไรรึ” แสงหล้าเอ่ยปากไล่อีกฝ่ายทันที

            จักรคำเดินออกจากตรงนั้นแล้วเข้าไปในป่าไม้ทึบเพื่อสำรวจพื้นที่ เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไปแล้วแสงหล้าแล้วก็รีบถอดเสื้อวางไว้บนฝั่ง ก้าวขาลงไปแช่ตัวในน้ำเย็นๆอย่างสบายใจ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกผ่อนคลายจากธรรมชาติอย่างนี้

            “คำน้อยลงมาเล่นน้ำกับข้าสิ” แสงหล้าเอ่ยเชิญชวนขณะอยู่ในน้ำ

            “มิเป็นไรเจ้า ข้าเจ้าจะรออยู่บนฝั่งคอยดูเผื่อมีใครเข้ามาที่นี่ เจ้านายน้อยจะได้เล่นน้ำอย่างสบายใจ” ข้าไทผู้ซื่อสัตย์ยังคงทำหน้าที่ได้ดีเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม

            “ถ้าเช่นนั้นให้ข้าลงไปเล่นด้วยได้หรือไม่” เสียงจักรคำดังมาแต่ไกลทำเอาแสงหล้าถึงกับรีบเดินลงไปยังน้ำบริเวณน้ำลึกเพื่ออำพรางตัวไม่ให้อีกฝ่ายเห็นเรือนกายอันขาวนวล

            “นี่เจ้ากล้าดียังไง ไหนบอกจะเดินไปสำรวจป่าแล้วใยกลับมาที่นี่อีก” แสงหล้าตะโกนเสียงดังจากกลางลำธาร

            “ข้าเดินสำรวจเสร็จแล้ว ก็รีบกลับมาดูว่าทานหนีไปที่ใดแล้วหรือไม่เล่า” จักรคำตอบกลับหน้าตาเฉย

            “ข้าไม่มีทางหนีให้เสื่อมเสียพระเกียรติเจ้าพ่อข้าเป็นแน่ ถ้าหากข้าคิดเช่นนั้นตั้งแต่แรก ตอนนี้เจ้าคงไม่ได้เห็นหน้าข้าอยู่ตรงนี้แน่ ออกไปบัดเดี๋ยวนี้คนชั้นต่ำเช่นเจ้าอย่ามาบังอาจมองดูเรือนกายข้า” แสงหล้าเข้าใจว่าจักรคำเป็นแค่แม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้น หารู้ไม่ว่าเป็นถึงเจ้าอุปราชแห่งเชียงราชคำ

            “ใยข้าจะทำเยี่ยงนั้นไม่ได้” จักรคำยังคงไม่ยอมหยุดต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย

            “ก็ข้าเป็นถึงเจ้าฟ้าแห่งเมืองผาพิงค์แต่เจ้าเป็นแค่แม่ทัพคนหนึ่งของเชียงราชคำเท่านั้น แค่นี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ ในสมองคงคิดแต่เรื่องเข่นฆ่าคนอื่นกระมังถึงได้โง่เยี่ยงนี้” แสงหล้ายังคงก่นด่าอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด ทำให้คำน้อยรู้สึกกลัวว่าผู้เป็นนายจะโดนจักรคำเล่นงาน เพราะตอนนี้อยู่ในสถานะเชลยหากจักรคำจะทำอะไรก็ย่อมได้

            “ใช่! ข้ามันเป็นแค่คนชั้นต่ำ แต่ก็อย่าลืมนะว่าตอนนี้ข้าจักทำอันใดเจ้าก็ย่อมได้ ระวังปากเอาไว้ด้วย ไม่แน่หากไปถึงเชียงราชคำแล้วเจ้าอาจจะต้องพึ่งข้าก็เป็นได้” จักรคำยิ้มกริ่มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นต่อ

            “ถึงข้าจะต้องตายก็ไม่มีวันเอ่ยปากข้อร้องเจ้าเป็นอันขาดจำไว้ด้วย” พูดจบแสงหล้าก็รู้สึกเกร็งๆที่ท่อนขาจนไม่สามารถพยุงตัวในน้ำได้ ใช่แล้วตอนนี้ขาของแสงหล้ากำลังเป็นตะคริว “ชะ..ช่วยด้วย” เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะจมน้ำแสงหล้ารีบตะโกนขอความช่วยเหลือทันที

            “เจ้านายน้อยเป็นอันใดเจ้า” จักรคำเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งไปที่ริมลำธารพร้อมจะช่วยเหลือทันที

            “ขาข้ามันปวดเกร็งไปหมดแล้วคำน้อย” แสงหล้าพยายามใช้สองมือว่ายน้ำพยุงตัวเองไม่ให้จมลงไป

            จักรคำไม่รอช้ารีบวางดาบลงบนพื้นแล้วกระโดดลงไปช่วยทันที เมื่อถึงตัวแสงหล้าแล้วจักรคำก็ยื่นมือไปหมายจะคว้าตัวเข้ามากอดไว้ แต่กลับโดนอีกฝ่ายปฏิเสธการช่วยเหลือ เพราะตอนนี้แสงหล้ากำลังเปลือยกายอยู่นั่นเอง

            “อย่าบังอาจมาแตะตัวข้า” มือเรียวพยายามผลักไปที่อกแกร่ง แม้ตัวเองกำลังจะจมน้ำอยู่แล้วก็ตาม

            “เจ้าอยากตายรึ” จักรคำตะโกนใส่หน้าด้วยความโมโห จะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาถือเนื้อถือตัวอยู่อีก มันน่าปล่อยให้ตายเสียเหลือเกิน

            “เจ้านายน้อยให้ท่านแม่ทัพช่วยเถิดเจ้า” คำน้อยรีบตะโกนลงไปเพราะห่วงชีวิตของผู้เป็นนายมากกว่าสิ่งอื่นใด

            “ไม่!ข้าขอตายดีกว่าให้คนอย่างเจ้ามาแตะตัวข้า..โอ๊ย!” พูดจบก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

            “ทำอย่างกับข้าอยากแตะตัวเจ้านักล่ะ” จักรคำเอ่ยแล้วใช้มือหนาโอบรัดบริเวณลำคอว่ายน้ำพาอีกฝ่ายเข้าฝั่งจนสำเร็จ

            หลังจากขึ้นมาแล้วคำน้อยก็รีบนำผ้าไปปกปิดเรือนร่างของผู้เป็นนายไว้แล้วช่วยนวดบริเวณขาให้

            “โอ๊ย!! ข้าเจ็บคำน้อย” แม้จะขึ้นฝั่งได้แล้วแสงหล้าก็ยังร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

            “เจ้านายน้อยอยู่นิ่งๆก่อนเจ้า ข้าเจ้ากำลังนวดให้” คำน้อยมีสีหน้าตระหนก เขาไม่น่าปล่อยให้ผู้เป็นนายลงไปเล่นน้ำเพียงลำพังเลย

            “รู้หรือไม่ว่าความหยิ่งยโสของเจ้าจักทำให้เจ้าตายโดยไม่รู้ตัว” จักรคำยืนมองอยู่ไม่ไกล เจ้าตัวอดไม่ไหวที่จะต่อว่าอีกฝ่าย ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นใครหยิ่งผยองอย่างนี้มาก่อน

            “ข้าไม่สนอันใด เพราะตอนนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว” แม้จะยังทำหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดอยู่ แต่แสงหล้าก็ยังตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้

            “สงสัยคงจะหายปวดแล้วกระมัง ได้เพลากลับกันแล้ว” พูดจบจักรคำก็นั่งยองๆลงแล้วเอื้อมมือหนาไปช้อนตัวอุ้มคนเจ็บขึ้นในท่าเจ้าสาวทันที

            “เจ้าจักทำอันใด ปล่อยข้าลงบัดเดี๋ยวนี้” มือเรียวทุบเข้าที่อกแกร่งเต็มแรง

            “ท่านแม่ทัพปปล่อยเจ้านายน้อยของข้าลงเถิดเจ้า”

            “ถ้าข้าปล่อยแล้วเมื่อใดจะเดินไปถึงเล่า”

            เมื่อได้ยินอย่างนั้นคำน้อยก็เห็นด้วย เพราะตอนนี้ตะวันก็เริ่มจะคล้อยต่ำลงเรื่อยๆแล้ว

            “แต่...” แสงหล้าพยายามจะเถียงขึ้นมาอีกครั้งแต่กลับโดนอีกฝ่ายดักคอเอาไว้เสียก่อน

            “ห้ามพูดอันใดไม่เช่นนั้นข้าจักทิ้งเจ้าไว้ให้พวกเสือมันกินอยู่ที่นี่” เมื่อไม่ยอมฟังกันจักรคำก็จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งบ้างแล้ว

            แสงหล้าได้ยินอย่างนั้นก็สงบปากสงบคำทันที เขายังไม่อยากกลายเป็นผีเฝ้าป่าในตอนนี้ จะต้องรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อจะได้เจอหน้าบิดาและพี่ชายอีกครั้ง และที่สำคัญเขาจะอยู่รอดูความพินาศย่อยยับของเชียงราชคำให้จงได้         

หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 2 จากบ้าน [Up.04-06-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-06-2018 23:50:26
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 2 จากบ้าน [Up.04-06-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-06-2018 02:24:09
อย่าบอกนะไปถึงแล้ว จะเจอคนหื่น ๆ รออยู่  :ling3:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 2 จากบ้าน [Up.04-06-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 05-06-2018 07:59:03
น่าติดตามค่ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 2 จากบ้าน [Up.04-06-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 05-06-2018 09:55:48
ลูกนกบินออกจากรังแล้ว
 :mew1:
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 3 สถานะใหม่ [Up.19-06-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 19-06-2018 23:49:29
-๓-

สถานะใหม่



          เดินทางมานานหลายวัน ในที่สุดก็มาถึงนครหลวงเชียงราชคำ เมืองที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และมีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในภูมิภาคนี้ ผู้คนต่างเมืองต่างก็อยากเข้ามาทำการค้าขายที่นี่ นั่นเพราะชาวเมืองนี้ล้วนแต่เป็นผู้มีอันจะกิน แต่ทว่ากลับมีนิสัยถือตัว ชอบกดขี่ข่มเหงและดูถูกดูแคลนพลเมืองชั้นล่าง ที่เป็นเชลยศึกถูกเกณฑ์เข้ามาใช้แรงงาน จากเมืองนครประเทศราชทั้งหลายจนกลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นต้องมาอยู่ในฐานะพลเมืองชั้นล่าง ต้องโดนโขกสับอย่างปฏิเสธไม่ได้

            รถม้าที่แสงหล้านั่งอยู่กำลังวิ่งช้าๆ ผ่านเข้าไปในกำแพงเมือง ผู้มาใหม่ทั้งสองคนต่างก็รู้สึกตื่นตากับความใหญ่โตของนครหลวงเชียงราชคำ ทว่ากลับไม่ได้ยินดีปรีดากับการต้องเข้ามาอยู่ที่นี่เลย ภายใต้ความงดงามของบ้านเมืองนี้ คือการเข่นฆ่าเอาชีวิตผู้คนมากมายจากการไปรุกรานเมืองต่างๆ เพื่อแย่งชิงเอาทรัพย์ในดินสินธุ์ในน้ำ เข้ามาทำนุบำรุงบ้านเมืองตัวเองจนรุ่งเรืองได้ถึงขนาดนี้

            “หยุด!” จักรคำที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ ชูดาบคู่กายขึ้นอย่างสง่างาม เมื่อมาถึงหน้าหอหลวง เหล่าทหารที่ตามมานั้นก็หยุดทัพทันที แล้วตั้งใจรอฟังคำสั่งการจากแม่ทัพใหญ่ “พวกเอ็งทั้งหลายแยกย้ายกลับไปหาครอบครัวและพักผ่อนให้เต็มที่ หากมีการอันใดข้าจะเรียกรวมพลอีกครั้ง” เมื่อสิ้นเสียงเอ่ยของจักรคำ เหล่าบรรดาทหารก็ตอบรับแล้วยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ต่างก็พากันแยกย้ายกลับบ้านไป วันนี้พวกเขาทั้งหลายได้กลับมาสู่อ้อมกอดของครอบครัวอีกครั้ง แต่ทว่าบางครอบครัวกลับต้องใจสลายเพราะมีทหารอีกหลายชีวิตที่ต้องพลีชีพเพื่อบ้านเมืองจนกลายเป็นศพไร้ญาติในต่างเมือง

             เมื่อทหารแยกย้ายกลับไปแล้ว จักรคำก็ลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาหาแสงหล้า เขาไม่อยากจะลงจากรถม้าเพื่อมาเหยียบย่ำลงบนผืนแผ่นดินนี้ให้เป็นเสนียดเท้าเลยแม้แต่น้อย

            “ลงมาบัดเดี๋ยวนี้ ข้าจะพาไปเข้าเฝ้าเจ้าหลวงแห่งเชียงราชคำ” จักรคำยืนมองเจ้านายต่างเมืองด้วยสายตาที่แข็งกร้าว เพราะท่าทีของแสงหล้านั้นไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

            “ข้ามิลง ข้ามิอยากเหยียบย่ำบนผืนแผ่นดินที่อัปรีย์เยี่ยงนี้ ให้เจ้าหลวงของเจ้าออกมาหาข้าข้างนอกได้หรือไม่เล่า” แสงหล้าเอ่ยด้วยคำพูดที่อาจหาญไม่ได้เกรงกลัวอำนาจของผู้ใดแม้แต่น้อย

            “โอหังยิ่งนัก หากมิลงมาข้าจะตัดหัวเจ้าบัดเดี๋ยวนี้” จักรคำชักคมดาบออกจากฝักเล็กน้อย เพื่อข่มขู่อีกฝ่ายให้กลัว แต่แสงหล้ากลับยังชูคอระหงทำหน้านิ่งหยิ่งเพยิดอย่างไม่ยอมแพ้ คำน้อยเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามพูดเกลี้ยกล่อมผู้เป็นนาย

            “เจ้านายน้อยลงมาเถิดนะเจ้า ทำเยี่ยงนี้มันหาเป็นเรื่องดีไม่ หากเจ้านายน้อยเป็นอันใดไปข้าเจ้าจักอยู่กับผู้ใดเล่า” คำน้อยเอ่ยกับผู้เป็นนายด้วยความร้อนใจ เขากลัวว่าจักรคำจะทำอย่างที่เอ่ยออกมาจริงๆ

            “เลือกเอานะเจ้าแสงหล้า หากเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปจงเดินลงมาบัดเดี๋ยวนี้” จักรคำเก็บดาบเข้าฝักเหมือนเดิม แล้วยืนมองดูท่าทีของอีกฝ่าย

            แสงหล้ามองดูข้าไทคนสนิทอย่างชั่งใจ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินลงมาอย่างจำใจ เขาเกลียดผืนแผ่นดินนี้เสียเหลือเกิน หากไม่เห็นแก่คำน้อยเขาคงไม่ลงมาแต่โดยดีเป็นแน่

            “พาเจ้านายของเจ้าเดินตามข้ามา” จักรคำหันไปเอ่ยกับคำน้อยแทนที่จะเป็นแสงหล้า เขาขี้เกียจต่อปากต่อคำกับคนที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างนั้น

            หอหลวงเมืองเชียงราชคำตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางคุ้มหลวง โดยถูกออกแบบและตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ช่างฝีมือดีทั้งในเมืองและต่างเมืองถูกเกณฑ์เข้ามาช่วยกันบรรจงสร้างอย่างประณีตและงดงาม รอบๆหอหลวงมีทหารเฝ้ายามอย่างเข้มงวด ในตอนนี้เจ้าหลวงกำลังว่าราชการอยู่ภายใน

            เมื่อจักรคำเดินมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ทางเข้าหอหลวง ทหารที่เฝ้ายามอยู่ต่างก็วางอาวุธแล้วก้มลงกราบที่พื้นทันที แสงหล้าและคำน้อยที่เดินตามหลังมาติดๆถึงกับประหลาดใจ ทำไมเหล่าบรรดาทหารและข้าไทที่เห็นบุรุษผู้นี้ ถึงได้หมอบกราบราวกับเป็นคนใหญ่โตของบ้านเมืองซะอย่างนั้น

            “เจ้าพ่อข้ากลับมาแล้ว” จักรคำเดินผ่านบรรดาขุนนางทั้งหลายที่นั่งอยู่บนพื้น ตรงเข้าไปหาบิดาอย่างถือวิสาสะ

            บนบัลลังค์ตั่งทองที่อยู่ตรงกลางท้องพระโรงมีชายสูงวัยนั่งอยู่อย่างสง่างาม เขาสวมอาภรณ์ที่ถูกถักทอจากเส้นใยที่ทำมาจากทองคำเกือบทั้งหมด ส่วนบนศีรษะก็สวมศิราภรณ์ที่ทำมาจากทองคำเฉกเช่นเดียวกัน สมพระเกียรติของการเป็นเจ้าหลวงแห่งเมืองเชียงราชคำ เมื่อจักรคำเดินขึ้นไปเกือบถึงตั่งทองแล้ว เจ้าตัวก็ก้มลงกราบแทบเท้าบิดาด้วยความคิดถึง เพราะห่างบ้านจากเมืองไปนานหลายเดือน

            “ลูกพ่อกลับมาอย่างปลอดภัยเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าได้รับชัยชนะกลับมาฝากพ่อใช่หรือไม่” เจ้าหลวงพรหมมาวงศ์เอ่ยกับบุตรชาย พร้อมกับโน้มตัวลงมาโอบไหล่ทั้งสองข้างรับขวัญลูกชายที่เพิ่งทำศึกกลับมา

            “เป็นอย่างที่เจ้าพ่อเข้าพระทัย ตอนนี้เมืองผาพิงค์ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของเชียงราชคำแล้วเจ้า” จักรคำเอ่ยขึ้นเสียงดัง ทำให้เจ้าหลวงพรหมมาวงศ์พอใจยิ่งนัก รวมถึงบรรดาขุนนางที่อยู่ในหอหลวงต่างก็ส่งเสียงร้องแสดงความดีใจกันอย่างถ้วนหน้า แต่นั่นกลับทำให้แสงหล้าและคำน้อยที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรงถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ ทั้งสองเหมือนกำลังถูกผู้คนพวกนี้เยาะเย้ย ที่ได้เข้าไปย่ำยีบ้านเมืองของตัวเองอย่างไร้ศักดิ์ศรี

            “พ่อภูมิใจในตัวเจ้าเหลือเกินลุกขึ้นเถิดลูกพ่อ” เจ้าหลวงเอ่ยกับบุตรชาย แล้วตะโกนลั่นท่ามกลางผู้คนในหอหลวง “นี่คือคนที่จะสืบทอดราชบัลบังค์ต่อจากข้า เจ้าอุปราชจักรคำแห่งเชียงราชคำ” สิ้นเสียงของเจ้าหลวงทุกคนในหอหลวงก็ไหว้สา พร้อมกับตะโกนทรงพระเจริญ เพื่อสรรเสริญความเก่งกาจของเจ้าอุปราชด้วยความจงรักภักดี

            “เจ้าพ่อลูกพาตัวเจ้าฟ้าองค์เล็กแห่งเมืองผาพิงค์มาเข้าเฝ้าด้วยเจ้า” จักรคำหันไปมองชายหนุ่มรูปงามที่ยืนทำหน้าเกรี้ยวกราดอยู่กลางหอหลวง ไม่ให้ความเคารพคนที่นั่งอยู่บนตั่งทองแต่อย่างใด

            “เจ้าฟ้าองค์เล็กแห่งเมืองผาพิงค์ ดูท่าทางโอหังไม่น้อย อยู่ต่อหน้าข้าทำไมเจ้าหานั่งลงบนพื้นไม่” เจ้าหลวงตะโกนลั่นเสียงดัง แต่แสงหล้ากลับยังยืนนิ่งเฉย ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็งไปยังเจ้าหลวงอย่างไม่เกรงกลัวในอำนาจ คำน้อยเอื้อมมือเรียวไปลูบที่ฝ่าเท้าของผู้เป็นนาย พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเพื่อเตือนสติให้ใจเย็นลง

            จักรคำมองใบหน้ารูปงามที่แปดเปื้อนไปด้วยน้ำตาอย่างเห็นใจ ทั้งที่ควรจะโมโหที่อีกฝ่ายไม่ให้ความเคารพบิดาตัวเอง แต่กลับเข้าใจในความรู้สึกของแสงหล้าว่ารู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใด ลำพังต้องจากคนที่รักมาก็ถือว่าหนักมากพอแล้ว แต่นี่มาอยู่ในฐานะเชลยยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

            แสงหล้าจำยอมนั่งลงที่พื้นข้างคำน้อยอย่างจำยอม แต่ยังคงจ้องมองเจ้าหลวงอย่างแข็งกระด้าง เขารู้แล้วว่าทำไมจักรคำถึงได้มีอำนาจสั่งการใครต่อใคร ที่แท้ก็เป็นถึงเจ้าอุปราชแห่งเมืองเชียงราชคำนี่เอง รู้อย่างนี้แล้วเขายิ่งเกลียดอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก 

            “เชลยจากเมืองเล็กๆเยี่ยงเจ้า ข้าจะสั่งตัดหัวเมื่อใดก็ย่อมได้ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังท้าทายอำนาจของข้า” หลังจากตั้งสติจนระงับอารมณ์โกรธได้ เจ้าหลวงก็เอ่ยกับเชลยผู้หยิ่งทระนงต่อทันที

            “ข้าหากลัวท่านไม่ ข้าหากลัวเจ้าหลวงที่กระหายเพียงแต่อำนาจ ไร้ศีลธรรมความดีงาม เข่นฆ่าคนอย่างไร้ความปรานีเยี่ยงท่านดอก” แสงหล้าต่อปากต่อคำกับเจ้าหลวงแห่งเมืองเชียงราชคำอย่างไม่เกรงกลัว

            “บังอาจ! ข้าจักมิให้เจ้าได้อยู่สุขสบายเฉกเช่นเชลยจากเมืองอื่นเป็นแน่ เอาตัวมันไปจำตรุบัดเดี๋ยวนี้” เจ้าหลวงชี้หน้าด้วยความเดือดดาล ไม่เคยมีผู้ใดกล้าต่อกรกับเขาถึงเพียงนี้มาก่อน

            “ช้าก่อนเจ้าพ่อ ลูกขอตัวเจ้าหนุ่มรูปงามผู้นี้ไปเป็นเมียอีกคนของลูกได้หรือไม่” เจ้าเมืองแมนที่นั่งอยู่บนตั่งเอ่ยกับบิดา แม้นข้างกายจะมีเจ้านางอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทำเอาหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายถึงกับมองตาขวางด้วยความไม่พอใจ

            “เจ้าพี่จักทำเยี่ยงนี้มิได้ ข้าเจ้าหายอมไม่” เจ้านางเครือแก้วเอ่ยเสียงแหลม ไม่เห็นด้วยกับความคิดของสวามีเลยแม้แต่น้อย

            เจ้านางเครือแก้วเป็นธิดาของเจ้าหลวงเมืองเวียงคุ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองขึ้นของเชียงราชคำ ไม่ได้ถูกจับตัวมาเป็นเชลยเฉกเช่นแสงหล้า แต่เจ้าหลวงแห่งเมืองเวียงคุ้งส่งตัวธิดามา เพื่อเป็นหลักประกันถึงความจงรักภักดี จึงมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเจ้านายเชลยองค์อื่นๆ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เสกสมรสกับเจ้าเมืองแมน ราชบุตรองค์เล็กของเจ้าหลวงพรหมมาวงค์

            “เมียเจ้าหายอมไม่ เช่นนี้เจ้าจักว่าอย่างใดเมืองแมน” เจ้าหลวงเอ่ยถามบุตรชาย

            แสงหล้าน้ำตาไหลไม่หยุด ชีวิตเขาตอนนี้แทบไม่ต่างจากสัตว์เดียรัจฉานเลยแม้แต่น้อย ถูกกดขี่ข่มเหง ใครจะทำอะไรก็ไม่สามารถขัดขืนหรือตอบโต้ได้เลย

            “ลูกยังยืนยันคำเดิมเจ้าพ่อ ลูกพอใจในตัวเจ้าหนุ่มคนนี้เหลือเกิน” เมืองแมนยังยืนยันคำเดิม แม้นเจ้านางที่อยู่ข้างกายจะทำท่าทางไม่ชอบใจอยู่ตลอดเวลา แต่เมืองแมนก็ไม่ได้ใส่ใจ

            “ข้าขอถูกจำตรุดีกว่าต้องมาเป็นเมียผู้ใด” แสงหล้าเอ่ยขึ้น

            “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกอันใด ข้าจะเป็นคนพิพากษาชีวิตของเจ้าเอง” เจ้าหลวงตอบกลับทันควัน

            “เจ้าพ่อลูกขอตัวเชลยผู้นี้มาเป็นเมียของลูกได้หรือไม่ ยศศักดิ์ก็มิได้ต้อยต่ำนักเป็นถึงเจ้าฟ้าเมืองผาพิงค์  ขอให้เจ้าแสงหล้ามาอยู่ดูแลลูกในคุ้มเถิดเจ้า” จักรคำเอ่ยปากขอกับบิดา อย่างน้อยถ้าแสงหล้ามาอยู่กับเขา ก็ไม่ต้องตกระกำลำบากมากนัก อีกอย่างก็ไม่อยากให้เจ้านางเครือแก้วกับน้องชายตัวเองต้องมาขุ่นข้องหมองใจกัน

            “ทำไมเจ้าพี่ทำเยี่ยงนี้ ข้าเป็นผู้เอ่ยปากขอเจ้าพ่อก่อน” เมืองแมนลุกขึ้นจากตั่ง เจ้าตัวรู้สึกไม่พอใจพี่ชายตัวเองมากที่มาแย่งคนที่หมายตาไป

            “เจ้าก็มีเจ้านางเครือแก้วอยู่แล้ว เหตุใดถึงไม่ถนอมน้ำใจเมียเจ้าบ้าง” คนเป็นพี่เอ่ยตักเตือนน้องชายตัวเอง

            “มันเป็นเรื่องของข้าเจ้าพี่หาควรมายุ่งไม่”

            “พี่ยังยืนยันคำเดิม พี่จะให้เจ้าแสงหล้าเข้ามาอยู่ในคุ้มของพี่” จักรจำเอ่ยคำขาดกับน้องชาย

            “หายุติธรรมกับข้าไม่ ข้าไม่ยอม เจ้าพี่เกิดมาเพื่อแย่งทุกอย่างจากข้าไป” เมืองแมนจะไม่ยอมท่าเดียว

            “เจ้าพี่หาควรเอ่ยกับเจ้าอุปราชเยี่ยงนั้นไม่ ให้เชลยผู้นั้นไปอยู่ที่คุ้มของเจ้าอุปราชเหมาะสมที่สุดแล้วเจ้า” เครือแก้วเอ่ยกับสวามีตัวเอง เพราะหากแสงหล้าได้ไปอยู่ที่คุ้มกับจักรคำ มันก็เป็นผลดีต่อตัวหล่อนเอง

            “ข้ามิได้ขอความคิดเห็นอันใดจากเจ้า” เมืองแมนหันไปเอ็ดชายาตัวเอง

            “พอได้แล้ว! ข้าจะยกเจ้าเชลยยโสผู้นั้นให้กับจักรคำก็แล้วกัน เห็นแก่ความดีความชอบที่ยกทัพไปตีเมืองผาพิงค์เป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จ” ในที่สุดเจ้าหลวงก็ตัดสินความได้

            “แต่เจ้าพ่อ...” เมืองแมนพยายามเอ่ยคัดค้าน

            “คำสั่งของพ่อเป็นอันสิ้นสุด เจ้าหาควรต่อปากต่อคำไม่” เจ้าหลวงพรหมมาวงค์เอ่ยเสียงเข้มกับบุตรชายคนเล็ก

            เมืองแมนได้ยินอย่างนั้นก็ยอมเงียบแต่โดยดี แต่สายตาแห่งความเคียดแค้นชิงชัง ยังคงมองไปที่พี่ชายของตัวเอง เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาต้องเป็นรองให้พี่ชายตัวเอง การเป็นบุตรคนเล็กมันไม่ได้ดีอะไรเลย พี่ชายได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความรักและความไว้วางใจจากบิดา แถมยังจะได้นั่งบัลลังค์ตั่งทองครองเมืองนี้ต่อจากบิดาอีกด้วย

            “ลูกขอสุมาเจ้า” เมืองแมนยกมือไหว้สาบิดา พร้อมกับทำหน้าเซ็งต่อไป

            “วันนี้เป็นวันดีที่ลูกชายของข้าได้รับชัยชนะกลับมา คืนนี้ข้าจะจัดงานสมโภชต้อนรับการกลับมาของลูกชายข้า พวกเจ้าจงเร่งไปจัดเตรียมงานให้เสร็จโดยเร็ว...ข้าขอจบการว่าราชการเพียงเท่านี้” เจ้าหลวงออกคำสั่งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบนั้นๆ ให้รีบไปดำเนินการโดยเร็ว

            “รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” ขุนนางทั้งหลายยกมือไหว้เหนือศีรษะ พร้อมกับส่งเสียงขานรับอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นก็ทยอยออกจากหอหลวง จะเหลือก็แต่เจ้านายฝ่ายในเท่านั้น ส่วนแสงหล้าและคำน้อยก็ยังนั่งอยู่กลางท้องพระโรงเช่นเดิม มองดูคนพวกนั้นยิ้มหน้าระรื่นกับความสำเร็จ ที่ได้มาจากการเสียเลือดเนื้อของชาวเมืองผาพิงค์

            “ลูกขอกลับคุ้มไปหาอินเหลาก่อนนะเจ้า” จักรคำเอ่ย ห่างไปหลายเดือนไม่มีวันไหนที่เขาไม่คิดถึงลูกชายเลย ถ้าเจ้าตัวเล็กรู้ว่าเขากลับมาแล้วคงจะดีใจมาก

            “ได้สิลูกพ่อ...อินเหลาบ่นหาเจ้าทุกวันมิเคยขาด บัดนี้คงได้เจอหน้าพ่อสมใจเสียที” เจ้าหลวงเอ่ยกับลูกชาย พร้อมกันนั้นมือหนาก็ตบเบาๆที่ไหล่ สื่อว่ามีความภาคภูมิใจกับบุตรชายคนนี้มากเหลือเกิน

เมืองแมนที่นั่งมองอยู่ถึงกับกำกำปั้นเอาไว้แน่นจนสั่น สายตาคมจ้องมองดูพี่ชายด้วยความอิจฉาริษยา เขาไม่อาจทนมองภาพที่อยู่ตรงหน้าได้ จึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับคนทั้งสอง

            “ลูกขอกลับคุ้มก่อนนะเจ้า” เมืองแมนยกมือไหว้สาบิดาพร้อมกับเจ้าเครือแก้ว

            “คืนนี้เจ้าอย่าลืมมาร่วมงานด้วยล่ะ เจ้าเองก็ด้วยนะเครือแก้ว” เจ้าหลวงเอ่ย

            “เจ้าค่ะเจ้าพ่อ” หล่อนรับคำแล้วเดินตามหลังสวามีไป

            ขณะเดินผ่านแสงหล้าเมืองแมนก็ไม่วายที่จะส่งยิ้มให้ แต่เจ้าตัวกลับยังคงทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมมองหน้าผู้ใด เขายังคงพึงพอใจในตัวแสงหล้าไม่คลาย หากวันใดมีโอกาสเขาจะทำให้แสงหล้ามาเป็นเมียอีกคนให้จงได้

            “ถ้าเช่นนั้นพ่อกลับคุ้มก่อน เจ้าเองก็จงอย่าประมาทเจ้าเชลยผู้นี้ พ่อกลัวว่ามันจักคิดทำร้ายเจ้าได้” เจ้าหลวงเอ่ยเตือนบุตรชาย เพราะเห็นว่าแสงหล้ายังคงมีความพยศ กลัวว่าอาจจะเป็นอันตรายกับบุตรชายของตนได้

            “ลูกจักระวังตัว มิยอมให้ผู้ใดมาทำอันตรายเป็นอันขาด เจ้าพ่อโปรดวางใจเถิด”

            “เอาเป็นว่าพ่อเชื่อใจลูก หากมีอันใดไม่ชอบมาพากลให้รีบบอกพ่อ”

            “เจ้า”

            เมื่อพูดคุยกับบุตรชายเสร็จแล้ว เจ้าหลวงก็เดินออกไปจากหอหลวง โดยมีทหารเดินตามอารักขาไม่ห่างกาย แต่เมื่อจะเดินผ่านแสงหล้าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วย...

            “ไปอยู่กับลูกข้าก็อย่าได้ทำตัวเป็นภาระ จงจำให้ขึ้นใจว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองของเจ้า อย่าบังอาจทำการอันใดที่ขัดต่อกฏระเบียบของบ้านเมืองข้าเป็นอันขาด” พูดจบก็เดินออกไปจากหอหลวง

            แสงหล้าเอาแต่ก้มหน้าไม่มองใครทั้งนั้น ไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะต้องมาตกระกำลำบากที่นี่ แต่ก่อนเคยมีแต่คนนับหน้าถือตา ให้เกียรติให้ความเคารพนับถือ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต่างจากทาสในเรือนเบี้ยที่ต้องมาคอยรองรับอารมณ์ของคนพวกนี้ ชีวิตมันช่างบัดซบเสียนี่กระไร

            “ลุกขึ้นแล้วตามข้ามา” จักรคำเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยขึ้นเสียงดัง ทำให้แสงหล้าหลุดจากภวังค์แล้วเงยหน้าขึ้นไปมอง

            “เจ้านายน้อยลุกขึ้นเถิดเจ้า” คำน้อยรีบพยุงผู้เป็นนายขึ้น กลัวว่าหากช้าไปอาจจะโดนทำโทษก็เป็นได้ เขามาที่นี่เพื่อดูแลรับใช้และปกป้องแสงหล้าไม่ให้โดนใครทำร้าย และอีกอย่างก็คือคอยเตือนสติ เพราะแสงหล้าเป็นคนใจร้อน นั่นเป็นจุดอ่อนที่อาจจะทำให้โดนใครต่อใครเล่นงานได้ง่าย

            “ข้าเดินเองได้คำน้อย แค่นี้เอ็งก็ลำบากเพราะข้ามากพอแล้ว เอ็งมิต้องห่วงอันใด ต่อไปนี้ข้าจักพยายามใจเย็นให้มากขึ้น” แสงหล้าเอ่ยกับข้าไทคนสนิท พร้อมกับยิ้มน้อยๆให้ ความใจร้อนของเขาทำให้คำน้อยต้องเดือดร้อนไปด้วยมาหลายครา จากนี้เขาจะพยายามใจเย็นให้มากขึ้น

            “ข้าเจ้ามิได้ลำบากอันใดเลย เจ้านายน้อยอย่าได้คิดเยี่ยงนั้น”

            “ข้าขอบใจเอ็งมาก ไปกันเถอะ”

            เมื่อพูดคุยกันแล้วทั้งสองก็เดินตามหลังจักรคำไปที่คุ้ม โดยมีทหารเดินตามหลังไปสองนาย จากนี้ไปเขาจะต้องเป็นสมบัติของผู้ชายคนนั้นหรอกหรือนี่ ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างแต่เขาจะพยายามลดทิฐิลงมาบ้าง เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไม่ต้องลำบากมากนัก เผื่อวันหน้าอาจจะมีโอกาสได้กลับไปหาบิดาและพี่ชายที่เมืองผาพิงค์อีกครั้ง



------------------------------------------------------------------------------------

เฮลโล....หากคำที่ใช้มันไม่ถูกต้องมากนักอย่าว่าเขานะ เพราะไม่เคยเขียนพีเรียดแนวล้านนาเลย
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 3 สถานะใหม่ [Up.19-06-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-06-2018 01:20:41
ว่าแล้ว เมืองนี้มันต้องหื่นกันแทบจะทุกคน  o12
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 3 สถานะใหม่ [Up.19-06-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-06-2018 01:15:20
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 3 สถานะใหม่ [Up.19-06-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 23-06-2018 16:02:12
พระเอกมีลูกแล้ว เมียไปไหน
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 4 เมีย [Up.04-07-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 04-07-2018 23:27:45
-๔-

เมีย



          เชลยต่างเมืองทั้งสองคนเดินตามหลังเจ้าอุปราชเข้าไปในคุ้มอย่างระแวดระวัง คุ้มนี้ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากคุ้มของเจ้าหลวง นอกคุ้มเต็มไปด้วยเหล่าทหารหลวงที่เฝ้ายามตลอดทั้งวันทั้งคืน ส่วนด้านในก็เต็มไปด้วยบรรดาข้าไท ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาดูแลทำความสะอาดและคอยรับใช้เจ้านายอยู่ไม่ขาดช่วง 

            “เจ้าพ่อ!!!!” เสียงเล็กแหลมของเด็กชายตัวน้อยดังขึ้น ทำให้แสงหล้าหลุดจากภวังค์แล้วหันไปมองยังต้นเสียง ก็พบกับเด็กชายตัวน้อยวิ่งเข้ามากอดผู้เป็นเจ้าของคุ้มด้วยความดีใจ สีหน้าของอินเหลาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขหลังจากตั้งตาคอยบิดามาเสียนาน

            “อินเหลาลูกพ่อ” จักรคำนั่งย่อตัวกอดลูกชายเอาไว้ด้วยความดีใจไม่ต่างกัน ทั้งสองกอดกันครู่หนึ่งก่อนที่จักรคำจะผละออกมาแล้วจ้องมองใบหน้าลูกชายให้ถนัดตา

            “เหตุใดเจ้าพ่อหายไปนานเยี่ยงนี้ ลูกคิดถึงเจ้าพ่อที่สุด” อินเหลาเอ่ยกับบิดาพร้อมกับร้องไห้ไปด้วยความตื้นตันดีใจ

            “พ่อกลับมาแล้วอย่าร้องไห้ไปเลยคนดีของพ่อ นับจากนี้พ่อสัญญาว่าจะไม่จากลูกไปที่ใดอีกแล้ว” จักรคำเอื้อมมือไปปาดน้ำตาบนแก้มให้กับลูกชายแล้วกอดเอาไว้อีกครั้ง

            แสงหล้าเห็นภาพนั้นก็น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย ไม่ใช่เพราะซึ้งไปกับคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า แต่เจ้าตัวรู้สึกคิดถึงบิดาและพี่ชายขึ้นมา ป่านนี้คนทั้งสองเองก็คงจะคิดถึงเขาอยู่เหมือนกันแน่นอน

            “คำน้อย...ข้าคิดถึงเจ้าพ่อกับเจ้าพี่เหลือเกิน” แสงหล้าเอ่ยกับข้าไปคนสนิทเพื่อระบายความอัดอั้นภายในใจ

            “อย่าร้องไปเลยนะเจ้า เจ้านายน้องต้องเข้มแข็งเอาไว้ ข้าเจ้าเชื่อว่าสักวันเราคงมีโอกาสได้กลับเมืองผาพิงค์เป็นแน่เจ้า” คำน้อยจับมือของผู้เป็นนายเอาไว้เพื่อปลอบใจ

            “ถ้าไม่มีเอ็งทั้งคนข้าก็ไม่รู้จักอยู่ได้อย่างไร” แสงหล้ายิ้มให้กับข้าไทคนสนิท กำลังใจจากคำน้อยทำให้เขารู้สึกไม่โดดเดี่ยว เขาเองก็ไม่ควรอ่อนแอจนทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวลตามไปด้วย

            เมื่อจักรคำกอดลูกชายจนคลายความคิดถึงไปได้บ้างแล้ว ก็หันมามองเชลยทั้งสองคน เขาตั้งใจจะให้แสงหล้าเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะเมีย เพื่อไม่ให้ผู้ใดมารังแกหรือดูหมิ่นดูแคลนได้ เขาเป็นต้นเหตุให้อีกฝ่ายต้องจากบ้านจากเมืองมาไกล จึงพยายามชดเชยให้อยู่อย่างสุขสบายที่สุดเท่าที่จะช่วยได้

            “ยินดีต้อนรับพวกเจ้าเข้ามาอยู่ในคุ้มของข้า หากพวกเจ้าทั้งสองไม่สร้างความเดือดร้อนอันใดให้ข้า ข้ารับรองว่าพวกเจ้าทั้งสองจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข ไม่มีผู้ใดมาทำอันตรายพวกเจ้าได้” จักรคำขึ้นไปนั่งบนตั่งไม้ที่แกะสลักลวดลายไว้อย่างสวยงาม ข้างกายก็มีลูกชายตัวน้อยนั่งอยู่ไม่ห่าง

            “เป็นพระกรุณาที่เจ้าอุปราชอุตส่าห์ให้ความสำคัญกับเชลยเยี่ยงข้าทั้งสองคนถึงเพียงนี้” แสงหล้าเอ่ยประชดประชันเจ้าอุปราชแห่งเชียงราชคำ

            “คนพวกนี้เป็นใครกันรึเจ้าพ่อ” อินเหลามองแขกผู้มาใหม่ด้วยความสงสัย

            “คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าคือเจ้าแสงหล้า ส่วนด้านหลังชื่อคำน้อยเป็นข้าไทที่ติดตามมาด้วย ทั้งสองคนมาจากเมืองผาพิงค์และจะมาอยู่ที่คุ้มกับเราไงลูก” จักรคำเอ่ยเสียงดังชัดเจนเพื่อให้บรรดาข้าไทในคุ้มได้ยินกันอย่างถ้วนหน้า

            “เหตุใดต้องมาอยู่ที่คุ้มเราด้วยล่ะเจ้าพ่อ” อินเหลายังคงไม่หายสงสัย

            “เพราะเจ้าแสงหล้าเป็นเมียพ่อและก็เป็นแม่เลี้ยงของเจ้าด้วยไงล่ะ ลูกเข้าใจพ่อใช่หรือไม่” จักรคำเอ่ยตรงๆกับลูกชาย ด้วยความเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายทำให้อินเหลาไม่ได้มีท่าทีต่อต้านบิดาเลย เพียงแต่มองหน้าแม่เลี้ยงคนใหม่อย่างสนใจ ราวกับกำลังมีของเล่นชิ้นใหม่ซะอย่างนั้น

            “ลูกดีใจที่เจ้าพ่อจักได้มีความสุขเสียที” อินเหลายิ้มรับกับความรักครั้งใหม่ของบิดา

            “พ่อดีใจที่ลูกเข้าใจ” จักรคำยิ้มให้กับลูกชาย ไม่เสียแรงที่เขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายคนนี้มาอย่างดี ทำให้อินเหลาเป็นเด็กมีความคิดเป็นผู้ใหญ่และว่านอนสอนง่าย “นี่คือเจ้าอินเหลาลูกชายคนเดียวของข้า”

            อินเหลายิ้มให้กับคนทั้งสองอย่างเป็นมิตร แต่ทว่าแสงหล้ากลับทำหน้านิ่งไม่ยินดีกับการได้รู้จักลูกชายของศัตรูเลยแม้แต่น้อย ส่วนคำน้อยข้าไทผู้ซื่อสัตย์ก็ก้มลงกราบบนพื้นด้วยเข้าใจในสถานะของตนเป็นอย่างดี

            “คำป้อ” จักรคำเอ่ยกับข้าไทคนสนิทที่นั่งอยู่ไม่ไกล

            “เจ้า” ชายหนุ่มคมเข้มยกมือขึ้นไหว้รอรับคำบัญชาจากเจ้านาย

            “ข้าจักให้คำน้อยไปพักอยู่กับเอ็ง เอ็งจักว่าอย่างไร”

            “ข้าเจ้าไม่มีปัญหาอันใดเจ้า”

            คำน้อยเหลือบมองชายหนุ่มที่จะต้องไปพักอาศัยอยู่ด้วยนับจากนี้ ก็พบว่าเป็นหนุ่มรูปงามหน่วยก้านดีไม่น้อย  ดูท่าทางซื่อๆไม่น่าจะเป็นคนชั่วร้ายอะไร

            “ดี...ถ้าเช่นนั้นเอ็งจงพาคำน้อยเอาสัมภาระไปเก็บก่อนเถิด เดินทางมาเสียนานคงจักเพลียอยู่ไม่น้อย”

            “เจ้า” คำป้อรับคำสั่งแล้วก้มลงกราบบนพื้น แล้วหันไปมองเพื่อนใหม่อย่างเป็นมิตร

            “แล้วข้าล่ะ ทำไมต้องแยกคำน้อยกับข้าด้วยเล่า” แสงหล้ารู้สึกไม่พอใจที่ถูกจับแยกกับคำน้อย หากเป็นเช่นนั้นเขาไม่มีทางยอมแน่นอน

            “เจ้าต้องไปอยู่กับข้า อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้ามีสถานะเป็นเมียข้าแล้ว” จักรคำเอ่ยย้ำสถานะของอีกฝ่ายให้ได้ยินอย่างชัดเจนอีกครั้ง ทำเอาแสงหล้าเถียงไม่ออกได้แต่ถอนหายใจเสียงดังด้วยความขัดใจ

            “เจ้านายน้อยอย่าเป็นกังวลเลยเจ้า อย่างน้อยเราก็ได้อยู่ในคุ้มเดียวกัน ข้าเจ้าสัญญาว่าจักมารับใช้เจ้านายน้อยเช่นเดิม”

            “ดูแลตัวเลงด้วยล่ะข้าไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น” แสงหล้าเอ่ยกับข้าไทคนสนิทด้วยความเป็นห่วง

            “เจ้านายน้อยก็เหมือนกันนะเจ้า”

            “เอ็งไม่ต้องห่วงข้าจักดูแลตัวเองให้ดี” แสงหล้ายิ้มให้กับคำน้อยอย่างอ่อนโยน

            “ถ้าเช่นนั้นข้าเจ้าขอตัวก่อน” คำน้อยก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นนาย แล้วเดินตามหลังคำป้อไป

            เมื่อคำน้อยเดินออกไปแล้วแสงหล้าก็รู้สึกวังเวงอย่างบอกไม่ถูก เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ เขาจะต้องมาเป็นเมียคนที่ทำลายบ้านเมืองตัวเองจริงๆหรือนี่ ศักดิ์ศรีของเจ้าฟ้าเมืองผาพิงค์ต้องมาย่อยยับลงที่นี่หรือไร คิดแล้วก็ได้แต่น้อยใจกับโชคชะตาของตัวเอง

            “อยู่กับบัวตองสักประเดี๋ยวนะลูก”

            “เจ้าเจ้าพ่อ”

            “ดีมากลูกรักของพ่อ” จักรคำยิ้มให้ลูกชายแล้วหันไปเอ่ยกับข้าไทซึ่งเป็นพี่เลี้ยง “ดูแลลูกข้าให้ดีล่ะบัวตอง ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”

            “เจ้าค่ะ”

            หลังจากสั่งข้าไทไว้ดิบดีแล้วจักรคำก็หันไปมองหน้าแขกผู้มาใหม่ แสงหล้าเอาแต่ยืนนิ่งราวกับหุ่นไร้ซึ่งชีวิตชีวา จักรคำเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะไม่พอใจที่ต้องตกอยู่ในสถานะเมียของตัวเองอย่างนี้

            “เดินตามข้ามา” จักรคำเอ่ยแล้วเดินนำหน้าไปยังห้องนอนของตัวเอง

            แสงหล้าเดินตามหลังอย่างจำยอมพร้อมกับเบะปากใส่อีกฝ่ายอยู่ตลอดทาง

เมื่อเข้าไปถึงภายในห้องแล้วจักรคำก็สั่งให้ข้าไทที่ตามมาออกไปจนหมด ทำเอาแสงหล้าถึงกับตกอกตกใจเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำมิดีมิร้าย

            “เหตุใดเจ้าต้องสั่งให้ข้าไทพวกนั้นออกไปด้วย เจ้าหมายจักทำอันใด ข้าบอกไว้ก่อนว่าข้าจักสู้ไม่ยอมให้ผู้ใดมาเข่มเหงได้แน่” แสงหล้าพยายามอยู่ให้ห่างจากเจ้าของคุ้มให้มากที่สุด

            “ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าฟ้าแห่งเมืองผาพิงค์ผู้มีความกล้าหาญจักตื่นกลัวได้ถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจักพิศวาสเจ้าหรืออย่างไร” จักรคำไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากไปกว่านี้จึงเผยความในใจให้ได้รับรู้เสียก่อน

            “ถ้าเจ้าไม่พิศวาสข้าแล้วเหตุใดต้องป่าวประกาศ ให้คนทั้งพระนครรู้ว่าข้าคือเมียของเจ้าด้วยล่ะ”

            “ถ้าข้าไม่ทำเยี่ยงนี้อย่าหวังเลยว่าเจ้าจักอยู่ที่เมืองนี้ได้อย่างสงบสุข ที่ข้าทำเพราะต้องการช่วยเจ้าจำเอาไว้ด้วย” จักรคำตะโกนใส่เสียงดัง เพราะโมโหว่าอีกฝ่ายช่างเข้าใจอะไรยากซะเหลือเกิน

            “นี่ข้าต้องขอบน้ำใจเจ้าสินะ” แสงหล้าแค่นยิ้มออกมา

            “เหตุใดต้องประชดประชันข้าด้วย หรือเจ้าต้องการเข้าไปอยู่ในตรุเฉกเช่นนักโทษไร้ซึ่งอิสรภาพ ถ้าเจ้าต้องการเยี่ยงนั้นข้าจะไปบอกเจ้าพ่อให้ดีหรือไม่เล่า” เมื่อเรื่องมากดีนักเขาจะทำให้ได้ลำบากสมใจอยาก

            “อย่านะ! ข้ายอมทนอยู่ที่นี่ในฐานะเมียของเจ้าก็ได้ แต่เจ้าห้ามมาแตะเนื้อต้องตัวข้าเด็ดขาด” แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต่อรองได้ แต่แสงหล้าก็เอ่ยวาจาสามหาวออกไปอย่างไม่ได้เกรงกลัวเลย

            “เจ้าคิดว่าจักห้ามคนอย่างข้าได้งั้นรึ” จักรคำทำหน้าเหี้ยมมองอีกฝ่ายปานจะกลืนกิน แต่นั่นมันคือการแสดงเท่านั้น เขาอยากจะแกล้งให้เจ้าฟ้าเชลยอวดเก่งผู้นี้ได้สำนึกเสียบ้าง

            “จะ...เจ้าจักทำอันใด ถอยห่างออกไปบัดเดี๋ยวนี้มิเช่นนั้น ข้าจักเอาโถใบนี้ทุบเจ้าให้ตายลงตรงนี้เสีย” แสงหล้ามองเห็นโถสำริดวางอยู่บนโต๊ะไม้ก็รีบหยิบขึ้นมาป้องกันตัวทันที

            “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าเป็นคนขี้กลัวเยี่ยงนี้ หมดกันเจ้าฟ้าผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองผาพิงค์” จักรคำยืนกอดอกยิ้มเยาะเย้ยอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ ไม่ได้รู้สึกกลัวกับท่าทีของอีกฝ่ายเลย

            “เรื่องของข้าอย่าเข้ามานะ”

            “พอได้แล้วข้าล้อเจ้าเล่น ข้ายังยืนยันว่าคนอย่างเจ้าไม่ทำให้ข้าพิศวาสได้เลยแม้แต่น้อย ที่ข้าช่วยเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้เจ้าต้องจากบ้านจากเมืองมาก็เท่านั้น” จักรคำเฉลยสิ่งที่ทำลงไปให้อีกฝ่ายรับรู้ แต่แสงหล้ากลับยังลังเลไม่เชื่อใจ

            “ข้าจักเชื่อเจ้าได้อย่างไรกัน”

            “ถ้าเจ้าต้องการอยู่อย่างหวาดระแวงอย่างนี้ก็แล้วแต่นะ ข้าไม่สามารถห้ามความคิดเจ้าได้ แต่วันนี้ข้ามีเรื่องที่จักต้องทำความตกลงกับเจ้าให้เข้าใจเสียก่อน”

            “ว่ามาสิข้ารอฟังอยู่” แสงหล้ายอมวางโถสำริดลงบนโต๊ะเช่นเดิม

            “ในฐานะที่เจ้าได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียข้าแล้ว ต่อไปให้เรียกข้าว่าเจ้าพี่”

            “ไม่มีทาง! หัวเด็ดตีนขาดข้าก็ไม่มีทางเรียกเจ้าอย่างนั้นแน่” แสงหล้ารีบปฏิเสธทันควัน

            “ถ้าเจ้าไม่ให้เกียรติข้าซึ่งมีฐานะเป็นผัวของเจ้า แล้วผู้ใดมันจักเคารพนับถือให้เกียรติเจ้าในฐานะเมียของข้ากันล่ะ” จักรคำเอ่ยเสียงเข้มย้ำถึงความจำเป็นที่อีกฝ่ายจะต้องทำตาม หากต้องการอยู่ที่นี่อย่างมีหน้ามีตาและไม่สามารถมีใครทำอะไรได้ก็ต้องทำตามทุกอย่างที่เขาแนะนำเท่านั้น

            “ข้า...” แสงหล้าทำหน้าไม่ถูกเพราะไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรดี เขาต้องทำตามเพื่อเอาตัวรอดก่อนใช่ไหม

            “ทำตามที่ข้าบอกแล้วเจ้าจักอยู่ที่นี่อย่างสุขสบาย ข้าคิดว่าเจ้าหลวงแสงคำเองก็คงอยากให้เจ้าทำเยี่ยงนี้เช่นเดียวกัน” จักรคำหวังว่าความหวังดีที่มีให้นั้นมันจะช่วยทำให้แสงหล้ามองเขาในแง่ดีขึ้นมาบ้าง ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ห่วงใยความรู้สึกของเจ้านายน้อยแห่งเมืองผาพิงค์มากขนาดนี้ หรือนั่นอาจเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่พรากอีกฝ่ายมาจากอกบิดา เขาก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนให้กับตัวเองไม่ได้

            “ตกลง! ข้าจักยอมเรียกเจ้าว่าเจ้าพี่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น หากอยู่กันเพียงลำพังข้ามิอาจแสร้งทำอย่างนั้นได้แน่ แต่ท่านต้องสัญญาว่าจักไม่ล่วงเกินข้า มิเช่นนั้นแล้วข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านมีชีวิตรอดไปแน่”

            “ผัวเมียกันก็ต้องมีเรื่องอย่างนั้นบ้าง เจ้าไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆทั้งสิ้น” จักรคำไม่อาจให้คำสัญญากับอีกฝ่ายได้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าในอนาคตเรื่องราวมันจะเป็นอย่างไร แต่ในตอนนี้เขาไม่ได้คิดจะล่วงเกินหรือทำอะไรแสงหล้าอยู่แล้ว

            “เจ้ามัน…” แสงหล้าหาคำก่นด่าที่เหมาะสมกับอีกฝ่ายไม่ถูก

            “ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้จริงๆ กฎของบ้านเมืองข้ามันไม่ได้เหมือนบ้านเมืองเจ้า จงเรียนรู้ที่จักใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้ได้ มิเช่นนั้นแล้วตัวเจ้าเองอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไปหาพ่อของเจ้าเป็นแน่” จักรคำพยายามเอ่ยเตือนสติด้วยความหวังดี

            “นี่ท่านขู่ข้ารึ”

            “ไม่ได้ขู่ข้าพูดเรื่องจริง มีอีกหลายอย่างที่เจ้าไม่รู้ เชื่อฟังข้าแล้วทุกอย่างจักดีเอง” จักรคำเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเกรงว่าหากแสงหล้ายังคงดื้อดึงอยู่อย่างนี้ อาจจะไม่เข้าตาเจ้านายฝ่ายในบางพระองค์จนทำให้อยู่ในเมืองนี้ได้ลำบากมากยิ่งขึ้น เขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น

            “ข้าทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่ อยู่ในฐานะเชลยก็ต้องเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้” แสงหล้าเอ่ยประชดประชัน ในขณะเดียวกันก็น้อยใจกับสิ่งที่ตัวเองต้องมาเผชิญอยู่ในตอนนี้

            “ข้าจักถือว่าเจ้าไม่ได้พูดประชดก็แล้วกัน พักผ่อนให้สบายเถิดข้าจักไปหาลูกชาย หากต้องการสิ่งใดให้เรียกข้าไทที่อยู่ด้านนอกได้ตลอดเพลา” พูดแล้วจักรคำก็เดินออกไปจากห้อง

            แสงหล้ายืนสำรวจภายในห้องนอนขนาดใหญ่ ที่ถูกประดับตกแต่งไปด้วยไม้ที่แกะสลักเป็นลวดลายได้อย่างสวยงาม แม้ศิลปะการตกแต่งภายในของเชียงราชคำจะมีความใกล้เคียงกับเมืองผาพิงค์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ทำให้แสงหล้าคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนลดลงได้เลย เจ้าตัวเดินไปยืนข้างเตียงที่อยู่กลางห้อง ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงอย่างช้าๆ

            “ข้าคิดถึงเจ้าพ่อกับเจ้าพี่เหลือเกิน ไม่ว่าจักเกิดอันใดขึ้นข้าจักอดทนให้ได้”

            พูดจบแสงหล้าก็นอนซบใบหน้าลงบนเตียงที่ไม่คุ้นเคย ไม่นานน้ำตาแห่งความคิดถึงก็ไหลพรากลงมาเป็นสาย น้ำตาทุกหยดที่ไหลลงมาถูกซึมซับลงบนเตียงนุ่มจนหมด ด้วยความอ่อนเพลียจึงทำให้เปลือกตาสวยค่อยๆปิดลงอย่างเชื่องช้า และแสงหล้าก็เข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด



-------------------------------
นานๆมาทีอย่าลืมกันเด้อ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 4 เมีย [Up.04-07-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-07-2018 02:19:22
สู้ ๆ เข้มแข็งเข้าไว้  o7
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 4 เมีย [Up.04-07-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 05-07-2018 09:08:23

ช๊อบชอบ….  มีความรากนครา     :give2:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 4 เมีย [Up.04-07-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-07-2018 18:35:54
ความคิดเยี่ยมอ่ะ อนาคตไม่มีใครรู้ เพราะต้องเป็นเมียแน่ๆๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 4 เมีย [Up.04-07-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-07-2018 20:45:21
รออยู่นะ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 4 เมีย [Up.04-07-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-07-2018 02:17:46
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ ตอนที่ 4 เมีย [Up.04-07-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 07-07-2018 21:16:56
ข้าจักรอตอนต่อไป
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.5 คำทำนาย [Up.09-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 09-08-2018 17:18:05
-๕-

คำทำนาย



          คืนนี้เป็นคืนแรกที่แสงหล้าจะได้นอนร่วมห้องกับผู้เป็นเจ้าของคุ้ม หลังจากชำระล้างร่างกายจนสดชื่นแล้ว เจ้าตัวก็มานั่งอยู่หน้าโต๊ะกระจก เมื่อดวงตาคู่สวยจ้องมองเข้าไปในนั้น ก็พบกับชายหนุ่มผู้มีใบหน้าสวยหมดจด ผิวขาวสะอาดสะอ้าน คิ้วโก่งดกดำงาม ริมฝีปากเป็นกระจับสีชมพูระเรื่อ เรือนผมดำขลับยาวถึงกลางหลังที่เพิ่งผ่านการเช็ดพอหมาดยังไม่แห้งดีนัก กระเซิงนิดหน่อย เจ้าตัวจึงหยิบหวีไม้ที่วางอยู่ยนโต๊ะขึ้นมาจัดการผมที่รุงรังนั้นให้เรียบร้อย แต่ขณะนั้นเองก็ปรากฏเงาสะท้อนของใครบางคนเข้ามาในกระจกด้วย

            “เจ้าช่างเป็นชายที่มีใบหน้างดงามยิ่งนัก” เสียงเข้มเอ่ยขณะยืนอยู่ข้างหลังในระยะประชิด จ้องมองใบหน้าสวยผ่านกระจกบานใหญ่

            “โปรดออกห่างจากตัวข้าด้วย” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่เตียง

            “กลัวข้าจักทำอันใดเจ้างั้นรึ” คนพูดยิ้มมุมปาก รู้สึกเหมือนกำลังตามจีบสาวแรกรุ่นอยู่ซะอย่างนั้น

            “ถ้าท่านทำเยี่ยงนั้นข้าจักฆ่าท่านด้วยมือของข้าเอง หากอยากตายนักก็เข้ามา” แสงหล้าหยิบมีดสั้นที่พกติดตัวไว้ตลอดขึ้นมาขู่

            “ดูสีหน้าเจ้าสิ แม้จักมองข้าด้วยความโกรธแค้น แต่กลับงดงามยิ่งกว่าหญิงใดในเมืองนี้ เหมาะที่จักเป็นชายาข้าเหลือเกิน” จักรคำเอ่ย เดินเข้าตรงไปหาอย่างไม่เกรงกลัวคำขู่นั่นเลย

            “ยะ...อย่าเข้ามานะ ข้าแทงจริงๆ ด้วย” แสงหล้ายื่นมีดที่แหลมคมไปตรง แต่จักรคำกลับเดินตรงเข้ามา จนอกแกร่งสัมผัสกับปลายมีดพอดิบพอดี

            “หากเจ้าทำข้าเจ็บแม้แต่ปลายเล็บ คิดเหรอว่าเจ้าจักมีชีวิตรอดกลับไปหาพ่อของเจ้า อย่าทำเรื่องเขลาเยี่ยงนี้ให้ข้าเห็นอีก ไม่เช่นนั้นข้าจักไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้ากับคำหล้า” จักรคำเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง เอื้อมมือไปจับมีดเล่มนั้นมาถือไว้เอง ขว้างทิ้งลงบนพื้นจนกระเด็น ก่อนจะผลักอีกฝ่ายลงบนเตียง แสงหล้าจะลุกหนีแต่กลับโดนผลักลงอีกครั้ง จักรคำตรึงแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่น

            “เจ้าคงชอบข่มเหงคนไม่มีทางสู้เยี่ยงนี้อยู่บ่อยครั้ง คงสืบสันดานเยี่ยงนี้มาจากพ่อของเจ้าสินะ” เมื่อสายตาทั้งคู่ประสานกัน แสงหล้าไม่ยอมหลบตา กลับจ้องเขม็งสู้อย่างไม่มีถอย แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ก็ตาม

            “หยุดเอ่ยวาจาสามหาวเยี่ยงนั้นกับเจ้าพ่อของข้าเด็ดขาด เจ้านี่มันไม่กลัวตายเลยรึไงกัน” เมื่อโดนยั่วยุด้วยคำพูดร้ายกาจจักรคำก็อดรนทนไม่ไหว ว่าจะไม่ทำอะไรล่วงเกินอีกฝ่าย แต่เมื่อยังปากดีอย่างนี้ต้องมีการสั่งสอนกันเสียหน่อย

            “ข้าไม่มีวันกลัวคนอย่างพวกเจ้า”

            “ได้! ถ้าเจ้าพยศนักข้าจักทำให้เจ้ายอมศิโรราบเอง” ว่าแล้วก็โน้มใบหน้าคมลงไปซุกไซร้ที่ซอกคอขาว กลิ่นกายหอมเป็นเอกลักษณ์ชวนน่าหลงใหล ทำเอาจักรคำไม่อยากจะผละใบหน้าออกมาเลยแม้แต่น้อย

            “หยุด! เอาตัวสกปรกของเจ้าออกจากตัวข้า” แสงหล้าพยายามดิ้นรน แต่สู้ร่างกำยำของจักรคำไม่ได้

            “คนอย่างเจ้ากลัวเป็นด้วยรึ” จักรคำเอ่ยหลังจากผละใบหน้าออกมาอย่างเสียดาย

            “ข้าไม่ได้กลัวข้าขยะแขยงเจ้าต่างหากล่ะ”

            “หากเจ้ายังพยศเยี่ยงนี้อีก สงสัยข้าต้องทำให้เจ้าเป็นเมียข้าจริงๆ เสียแล้ว” หากคำขู่ของเขามันไม่ได้ผล คงจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่มีทางยอมศิโรราบแน่นอน

            จักรคำจ้องมองที่ริมฝีปากหยักได้รูป เห็นอย่างนั้นก็ทำให้แสงหล้ารู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองทันที ขณะอีกฝ่ายกำลังโน้มใบหน้าลงมานั้น เป็นช่วงเวลาที่แสงหล้ากำลังตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ตัวเองจะต้องแปดเปื้อนไปมากกว่านี้

            “ข้ายอมแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะนะ” แสงหล้ากลั้นใจพูดออกมา           

            “ข้าจักเชื่อเจ้าได้เยี่ยงไร ตั้งแต่มาที่นี่ข้ายังไม่เคยเห็นเจ้ายอมผู้ใดเลยสักครั้ง” จักรคำยังไม่ยอมเชื่อใจ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายพูดเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้นเอง

            “ข้าสัญญาว่าจากนี้ไปข้าจักอยู่ที่นี่อย่างสงบปากสงบคำ ข้าจักไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนเพราะข้าอีก ขอแค่เจ้าอย่า...ทำอันใดล่วงเกินข้าเป็นพอ”

            “เจ้าสัญญาแล้วนะ หากเจ้าทำอย่างที่เอ่ยได้ ข้าก็สัญญาว่าจักไม่ข่มเหงเจ้า” จักรคำส่งยิ้มให้อย่างพอใจ

            “ถ้าเช่นนั้นปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้”

            “ข้ายังพูดไม่จบ”

            “อันใดอีกเล่า” แสงหล้าชักสีหน้าใส่ อารมณ์เสียอยู่ไม่น้อย

            “ต่อไปนี้เจ้าจงเรียกข้าว่าเจ้าพี่ไม่ว่าจักต่อหน้าผู้อื่น หรืออยู่กับข้าเพียงลำพัง ถ้าเจ้าทำได้ข้าก็ยอมรับปากว่าจักไม่ข่มเหงเจ้า”

            “ข้าจักทำอันใดได้เล่า นอกจากรับปากเจ้าเท่านั้น” แสงหล้าถอนหายใจยาว ไม่เคยรู้สึกฝืนใจมากเท่านี้มาก่อน

            “ถ้าเช่นนั้นจงพักผ่อนเถิดข้าจักไปนอนกับลูกชายข้า ข้าจักยกห้องนี้ให้เจ้าแต่เพียงผู้เดียว” จักรคำยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ ลุกออกจากเตียงแล้วบิดขี้เกียจ ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างหื่นกระหาย

            “ไหนว่าจักไปลูกชาย มองข้าเยี่ยงนั้นเจ้าจักทำอันใด” เมื่อจักรคำไม่ยอมเดินไปไหน แสงหล้าก็ยังคงไม่ไว้ใจ

            “ไม่ไว้ใจข้ารึ ข้ารักษาคำพูดอยู่แล้ว การที่ข้ามองมันก็เป็นตาของข้า หาเกี่ยวกับเจ้าไม่”

            “ก็ข้าไม่ให้มอง”

            “ไหนสัญญาแล้วไงว่าจักเรียกข้าว่าเจ้าพี่ ลืมแล้วรึ” จักรคำยืนกอดอก จ้องมองใบหน้าสวยเพื่อทวงคำสัญญา

            “ข้าไม่ลืมเพียงแต่ยังไม่ชินปากเท่านั้นเอง”

            “ลองเรียกให้ข้าชื่นใจสักครั้งก่อนไปได้หรือไม่”

            “เจ้าพี่!” แสงหล้าพูดเสียงห้วนประชดอีกฝ่าย แล้วเบนหน้าหนี

            “อีกไม่นานเจ้าก็คงจะชิน ข้าไปล่ะ” จักรคำยิ้ม แล้วเดินออกไป

*-*-*-*-*-*-*

            เช้าวันใหม่คำน้อยรีบออกมาจากห้องพักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาเฝ้ารับใช้ผู้เป็นนาย เมื่อมาถึงหน้าห้องแล้วก็เอ่ยเรียกคนที่อยู่ข้างใน เพื่อขออนุญาตก่อนจะเข้าไป

            “เจ้านายน้อยเจ้า”

            เมื่อได้ยินเสียงข้าไทคนสนิทเอ่ยเรียก แสงหล้าก็รีบจัดการกับเครื่องแต่งกายให้แล้วเสร็จ จากนั้นก็ตะโกนตอบรับ

            “เข้ามาได้เลยคำน้อย”

            เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว คำน้อยก็ก้มกราบแทบเท้าเหมือนเช่นทุกครั้ง

            “เมื่อคืนเอ็งนอนหลับดีหรือไม่ มีผู้ใดทำให้เอ็งไม่สบายใจหรือไม่” แสงหล้าเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

            “ไม่มีเจ้า คำป้อดูแลข้าเจ้าเป็นอย่างดี”

            “ได้ยินเยี่ยงนี้ข้าก็อุ่นใจ อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่ได้สิ้นไร้คนดีซะทีเดียว”

            “แล้วเจ้านายน้อยล่ะเจ้า นอนหลับดีหรือไม่ ข้าเจ้าเป็นห่วงทั้งคืนเกรงว่าเจ้าอุปราชจักทำเอ่อ....” คำน้อยไม่กล้าเอ่ยต่อ เพราะคำพูดนั้นมันไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร

            “ข้าหลับสบายดี เจ้าอุปราชไม่ได้มานอนที่นี่ดอก”

            “เยี่ยงนี้เจ้านายน้อยก็คงไม่ต้องกังวลอันใดแล้ว” คำน้อยยิ้ม ดีใจแทนผู้เป็นนาย

            “เราออกไปข้างนอกกันเถิด ข้าอยากจักเดินชมรอบคุ้มนี้เสียเหลือเกิน”

            “เจ้า”

            ชายหนุ่มหน้าสวยลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลแดง ความสง่างามของเขานั้นช่างสมกับเป็นผู้มีสายเลือดขัตติยา ผิวกายที่ขาวสะอาดสะอ้านถูกปกคลุมด้วยผ้าเนื้อดี ที่ถูกถักทอจากช่างหลวงฝีมือดีแห่งเมืองผาพิงค์ เครื่องประดับเงินแท้ที่ถูกประโคมตามตัวนั้น ดูสมเกียรติแม้จะอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็ตามที

            ทั้งสองเดินออกมาด้านนอก ชมความงดงามของคุ้มเจ้าอุปราช สวนดอกไม้ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง เห็นแล้วช่างทำให้รู้สึกสดชื่นมากเหลือเกิน แสงหล้าเอื้อมมือไปสัมผัสดอกกุหลาบสีขาว แล้วโน้มใบหน้าสวยลงไปดอมดมกลิ่นหอมนั้นให้ชื่นใจ

            “กลิ่นหอมมากเลยคำน้อย” แสงหล้าหันไปเอ่ยกับข้าไทคนสนิทด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นี่ถือเป็นรอมยิ้มแรกในบ้านเมืองนี้

            “ดูท่าทางเจ้าจักชอบดอกไม้” เสียงเข้มเอ่ยทัก ทำให้แสงหล้าผละจากดอกไม้นั้นแล้วหันไปมองที่ต้นเสียง

            “ใช่! ข้าชอบแต่ไม่ใช่ดอกไม้ของเมืองนี้”

            “ไม่ชอบแล้วไยทำหน้าระรื่นเวลาได้สูดกลิ่นหอมจากมัน หรือข้าตาฝาดไปเอง” จักรคำเอ่ยแซว เพราะเห็นภาพนั้นเข้าพอดี

            “ก็ข้า...” แสงหล้าไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นมันคือเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

            “เอาเถอะข้าแค่หยอกเจ้าเล่น วันนี้ข้าจักพาเจ้าไปชมคุ้มของข้า รวมถึงสถานที่สำคัญในเมืองเชียงราชคำ และห้ามปฏิเสธเด็ดขาด” จักรคำพูดดักทางเอาไว้ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องปฏิเสธเป็นแน่

            “เจ้าพ่อลูกขอไปด้วย” คนที่ดีใจกลับเป็นอินเหลาซะอย่างนั้น

            “ได้สิลูก เราจักไปด้วยกันทั้งหมดนี่ล่ะ” จักรคำบอกกับลูกชาย

            “เย้!” อินเหลาเต้นโหยงเมื่อได้ยินอย่างนั้น

            แสงหล้าเอาแต่ปรายตามองดูสองพ่อลูกด้วยความหมั่นไส้ แต่ทว่าความน่ารักของอินเหลานั้นกลับทำให้เขาเกลียดไม่ลง แม้ว่าจะโกรธแค้นจักรคำมากเพียงใด แต่เขาก็แยกแยะออกว่าอินเหลาเป็นเพียงเด็กที่บริสุทธิ์ ไม่ได้รับรู้สิ่งที่ผู้ใหญ่กระทำเลยแม้แต่น้อย

            เจ้าอุปราชเดินนำหน้าขบวนไปพร้อมกับลูกชาย ข้างหลังนั้นก็มีเชลยต่างเมืองเดินตามอย่างไร้อารมณ์พร้อมกับข้าไทคนสนิท ส่วนคำป้อและทหารก็เดินตามอารักขามาติดๆ

            แสงหล้าเอาแต่แหงนชมความงดงามของสถาปัตยกรรมเมืองเชียงราชคำ จนเผลอเดินชนแผ่นหลังกว้างเข้าให้

            “เหตุใดเจ้าพี่ไม่บอกข้าว่าจักหยุดเดิน” แสงหล้ามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ขุ่นมัว

            “ก็เจ้ามัวแต่เดินเหม่อลอยเยี่ยงนั้น เหตุใดมาโทษข้าเล่า” คนพูดยิ้มละมุนให้ ทำเอาแสงหล้ารีบหลุบตาลง รู้สึกเหมือนกำลังโดนคุกคามผ่านดวงตาคมคู่นั้น

            “ข้าขออภัย” แสงหล้ายอมเอ่ยปากขอโทษ

            “มาเดินเคียงข้างข้า ตอนนี้เจ้าคือชายาของข้าแล้วลืมไปแล้วรึ”

            “ข้าไม่ลืม เพียงแต่ขอให้ข้าได้ปรับตัวอีกสักหน่อย ตอนนี้ข้าอาจจักยังไม่ชินกับการต้องมาเป็นเมียของผู้ใด” แสงหล้าเอ่ยแกมประชดประชัน นั่นจักรคำก็รู้ดี

            “ต่อไปนี้เจ้าพ่อกับเจ้าน้าจักอยู่กับข้าที่นี่ตลอดไปใช่หรือไม่” อินเหลาเดินมาแทรกกลาง จับมือคนทั้งสองเอาไว้ แล้วส่งยิ้มให้

            เมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กชาย แสงหล้าก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ ตอนแรกมันอาจจะดูฝืนๆ แต่ไม่นานมันก็ออกมาจากใจ ความไร้เดียงสาของอินเหลา อาจจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขาเห็นมุมที่ดีงามของบ้านเมืองนี้ และอาจจะเป็นเพียงแค่สิ่งเดียวที่เขาเปิดใจยอมรับได้

            “ใช่แล้วลูก ต่อไปนี้พ่อกับเจ้าน้าจักอยู่ที่นี่กับลูกตลอดไป” จักรคำบอกกับลูกชาย แล้วหันไปจ้องตากับอีกฝ่าย เหมือนสื่อว่าให้ตามน้ำไป แสงหล้าจึงตอบรับโดยการส่งยิ้มให้เด็กชายทันที

            จักรคำแนะนำสถานที่ต่างๆ ให้กับผู้มาใหม่ได้รู้จัก เริ่มจากภายในคุ้มจนหมดทุกซอกทุกมุม จากนั้นก็เป็นนอกคุ้ม ไม่ว่าจะเป็นคุ้มของเจ้านายองค์อื่นๆ หรือสถานที่สำคัญทางราชการ ได้บอกข้อห้ามและกฎระเบียบไว้อย่างคร่าวๆ อีกด้วย

            “ฝั่งโน้นเป็นวัดหลวง เจ้าจักเข้าไปกราบตนบุญหรือไม่”

            “ดีเหมือนกัน เผื่อวันหลังข้าจักได้เข้าไปถือศีลปฏิบัติธรรมบ้าง” แสงหล้าพอจะเห็นทางสว่างแล้ว คือวัดนั่นเองที่จะทำให้จิตใจของเขามีความสงบสุข ขณะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่

            “ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้ามา”

ว่าแล้วจักรคำก็เดินนำหน้าเข้าไปในวัดหลวง ที่ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของเจ้านายชั้นสูงทุกพระองค์ รวมถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เข้าไปกราบไหว้ตนบุญที่นี่

            มาถึงแล้วจักรคำก็พาทั้งหมดเข้าไปกราบตนบุญที่กำลังนั่งภาวนาศีลอยู่บนอาสนะ ตนบุญรูปนั้นยังคงนั่งสมาธิหลับตาในอาการสำรวม แต่กลับรับรู้ได้ว่าคนที่มานั่นคือใคร

            “กลับมาแล้วรึเจ้าอุปราช”

            “ข้าขออภัยท่านตนบุญที่ไม่ได้เข้ามากราบตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เพราะมีหลายเรื่องให้จัดการ” จักรคำเอ่ย

            “เรื่องที่ว่านั้นคือเรื่องของคนที่นั่งอยู่ข้างท่านใช่หรือไม่” ท่านตนบุญเอ่ย แม้จะยังคงหลับตาอยู่ ทำเอาแสงหล้าถึงกับอึ้งในญาณวิเศษนั้น

            “ท่านรู้ด้วยรึว่าข้าเป็นใคร” แสงหล้าเอ่ยถาม

            “ไยข้าจักไม่รู้ล่ะเจ้าแสงหล้า ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างหลังท่านคือคำน้อย ข้าไทที่ติดตามมาจากเมืองผาพิงค์ใช่หรือไม่”

            “ข้าขอกราบท่านอีกครั้งท่านตนบุญผู้วิเศษ ไยท่านรู้แม้ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดู” แสงหล้าเอ่ยถาม

            “เรื่องนั้นท่านไม่ต้องรู้ดอก รู้เพียงว่าข้ารู้เรื่องของพวกท่านทุกเรื่อง” ว่าแล้วท่านตนบุญก็ลืมตาขึ้นมา

            “คำน้อยเอ็งเข้ามาหาข้าหน่อยสิ” เมื่อโดนเรียก คำน้อยก็ทำหน้างง มองหน้าผู้เป็นนายทันที แสงหล้าพยักหน้าเชิงอนุญาตให้เข้าไปได้ คำน้อยจึงคลานเข่าเข้าไปหาท่านตนบุญ

            “มีอันใดรึท่านตนบุญ”

            “เจ้าจงเอาตะกรุดนี้ติดตัวไว้ตลอด มันอาจจะช่วยให้เจ้าแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้หรือในอนาคต” ท่านตนบุญเอ่ยพลางหยิบตะกรุดชิ้นหนึ่ง วางลงบนฝ่ามือให้

            “ขอบน้ำใจท่านมาก ข้าจักเก็บมันไว้อย่างดี” คำน้อยก้มกราบแล้วกลับไปนั่งที่เดิม

            “จักมีเหตุอันใดเกิดขึ้นกับคำน้อยรึท่าน ข้าได้ยินเยี่ยงนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย” แสงหล้าได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงคำน้อยขึ้นมาทันที

            “หามีเรื่องอันใดไม่ ท่านจงอย่าทุกข์ใจไปเลย” ท่านตนบุญเอ่ยอย่างนั้นออกไปเพื่อให้แสงหล้าสบายใจ แต่สิ่งที่อยู่ในนิมิตมันกลับไม่ใช่อย่างนั้น ชะตากรรมของคำน้อยนั้นช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน

            “ได้ยินท่านเอ่ยเยี่ยงนั้นข้าก็เบาใจ”

            “ข้ารู้ว่าในใจท่านยังคงไม่คลายทุกข์โศกเรื่องบ้านเมือง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจักบอกให้ท่านรู้เอาไว้ ในอนาคตข้างหน้าท่านจักได้กลับไปเมืองผาพิงค์อย่างแน่นอน”

            “จริงรึท่าน ข้าดีใจเหลือเกิน” แสงหล้ายิ้มออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น

            “ก่อนที่ข้าเข้าฌานต่อ ข้ามีสิ่งที่จะบอกท่านอีกเรื่อง ผู้ชายที่อยู่ข้างท่านจักเป็นคนที่นำพาท่านกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน และคนที่ท่านจักไว้ใจได้มากที่สุดในเมืองนี้ก็คือเจ้าอุปราชท่านนี้ จำคำของข้าเอาไว้” พูดจบท่านตนบุญก็หลับตาลง เข้าสู่ห้วงแห่งธรรมะ ละทิ้งความวุ่นวายจากสิ่งรอบกาย

            จักรคำยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เพราะสิ่งที่ท่านตนบุญเอ่ยออกมามันคือสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำอยู่แล้ว ไม่เสียแรงที่ศรัทธาท่านมาตั้งแต่เด็กจนโต

            ส่วนแสงหล้าได้ยินอย่างนั้นก็กลอกลูกตาไปมา เขามั่นใจว่าสิ่งที่ท่านตนบุญเอ่ยออกมานั้นคือเรื่องจริง แต่การจะปรับตัวเข้าหาคนที่นั่งข้างกันนั้น มันเป็นอะไรที่ฝืนใจมากเหลือเกินนั่น ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายคือที่พึ่งหนึ่งเดียวในเมืองนี้ ยิ่งรู้สึกกังวลหนักเข้าไปใหญ่
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.5 คำทำนาย [Up.09-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-08-2018 18:20:52
คำน้อยจะเป็นอะไรมากไหมนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.5 คำทำนาย [Up.09-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 09-08-2018 19:17:55
แอบเป็นห่วงคำน้อยเลยจะเจออะไรน่ะ
แสงหล้าอย่าดื้อกับคำจักรเลย
ลุ้นต่อๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.5 คำทำนาย [Up.09-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-08-2018 23:26:03
 :katai2-1:
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.6 รสจูบแห่งเจ้าอุปราช [Up.22-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 22-08-2018 21:10:08
-๖-

รสจูบแห่งเจ้าอุปราช



การได้คลุกคลีใช้ชีวิตด้วยกันในคุ้มเกือบทุกวัน นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของแสงหล้าและอินเหลาแน่นแฟ้นขึ้นเป็นลำดับ แสงหล้าปฏิบัติต่ออินเหลาราวกับน้องชายตัวน้อย ความใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ของเด็กน้อย ทำให้แสงหล้ายอมเปิดใจได้อย่างง่าย

ในแต่ละวันแสงหล้าแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย หางานอดิเรกทำเพื่อคลายเหงา ร่วมกับข้าไทคนอื่นๆ นั่น ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นที่รักของบรรดาข้าไทในคุ้มนี้ไปเสียแล้ว

“เจ้าน้าข้าอยากเล่นม้าก้านกล้วย ช่วยเล่นเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่” อินเหลาเดินเข้ามาพะเน้าพะนออยู่ข้างกาย ขณะแสงหล้าและคำน้อยกำลังช่วยกันจัดดอกไม้ใส่แจกันทองสำริดอยู่ในห้องโถง

แสงหล้ายิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น “ข้าจักเล่นกับเจ้าได้เยี่ยงไร ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เด็กเยี่ยงเจ้านะอินเหลา ใครเห็นเข้าคงหัวเราะเยาะข้าเป็นแน่”

“ก็ข้าเบื่อจะเล่นกับข้าไทพวกนั้นแล้ว ข้าอยากเล่นกับผู้อื่นบ้าง” อินเหลาทำหน้าตาบูดบึ้ง เชิงอ้อนอีกฝ่ายให้ยอมใจอ่อน

“หากเจ้าต้องการข้าจักไปเล่นด้วย แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องเล่าเรื่องแม่ของเจ้าให้ข้าฟัง ตงลงหรือไม่”

“ตกลง! ข้าจักเล่าให้ฟังแต่ตอนนี้เจ้าน้าต้องไปกับข้าก่อน” ว่าแล้วอินเหลาก็ดึงมือแสงหล้า พาเดินออกไปที่ลานหญ้าหน้าคุ้ม



มาถึงก็มีข้าไทเตรียมก้านกล้วยเอาไว้รอแล้ว อินเหลารีบวิ่งไปหยิบมาแล้วยื่นให้แสงหล้าและคำน้อยคนละอัน ก่อนที่ทั้งสามคนจะขึ้นขี่ แสงหล้ากับคำน้อยมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาอย่างเคอะเขิน เพราะทั้งสองเคยเล่นตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ตอนนี้เวลาก็ผ่านล่วงเลยมานานแล้ว มันรู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย

“เจ้าน้าวิ่งตามข้ามา ฮี่ๆ” ว่าแล้วอินเหลาก็ขี่ม้าก้านกล้วยวิ่งวนเป็นวงกลม โดยมีเพื่อนเล่นคนใหม่วิ่งตามหลังมาติดๆ แม้ช่วงแรกอาจจะยังเคอะเขินอยู่ แต่นานไปแสงหล้าและคำน้อยกลับสนุกไปพร้อมกับอินเหลาซะอย่างนั้น

ข้าไทที่นั่งชมอยู่นับสิบต่างก็มองดูแล้วมีรอยยิ้มตาม เล่นกันอยู่อย่างนั้นได้ไม่นาน ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญนั่งเสลี่ยงชูคอระหงมาเยี่ยมเยียนถึงที่

“ท่าทางคงจะสนุกกันจริงเชียว แม่เลี้ยงเชลยต่างด้าวกับลูกเลี้ยงดูท่าคงจะเข้ากันได้ดี” เป็นเครือแก้วนั่นเองที่ย่างกรายลงมาจากเสลี่ยง ข้างกันนั้นก็มีข้าไทคนสนิทนามว่า ‘เขียน’ ติดสอยห้อยตามมาติดๆ

ได้ยินเสียงของผู้มาเยือน ทั้งสามคนก็หยุดชะงักทันที แสงหล้าเหลือบตามองแวบเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดี สีหน้าที่แสดงออกและน้ำเสียงที่เปล่งวาจาออกมานั้น บ่งบอกว่าเจ้าหล่อนกำลังประกาศสงครามกลายๆ

“เห็นข้าแล้วไยยืนนิ่งอยู่เยี่ยงนั้น เจ้าควรจักก้มลงกราบแทบเท้าข้าเสีย ข้าเป็นถึงเจ้านางของเจ้าราชวงศ์ หาได้เป็นเชลยต่างเมืองเยี่ยงเจ้าไม่” เครือแก้วแค้นใจตั้งแต่ที่สวามีร้องขอให้แสงหล้า มาเป็นชายาอีกคนในหอหลวงวันนั้นแล้ว วันนี้จึงอยากมาประกาศศักดาให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า หล่อนนั้นไม่ได้เป็นเจ้านางที่ต่ำต้อยด้อยค่าแต่อย่างใด (เจ้าราชวงศ์ คือพระยศของอนุชาเจ้าอุปราช มียศรองลงมาอีกขั้นหนึ่ง)

แสงหล้าจ้องมองเจ้านางผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่แข็งกร้าว เขาอุตส่าห์ไม่ออกไปนอกคุ้มเลย แต่ทว่ากลับมีคนเข้ามาหาเรื่องถึงที่ มันน่าโมโหเสียเหลือเกิน กำลังจะเอ่ยปากตอบโต้ไป แต่อินเหลากลับเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เจ้าน้าไม่ใช่เชลยเยี่ยงเจ้าอากล่าว แต่เจ้าน้าคือชายาของเจ้าพ่อต่างหาก” อินเหลาเป็นคนออกรับแทน ทำให้แสงหล้ารู้สึกซึ้งน้ำใจมากเหลือเกิน

แสงหล้าเดินไปยืนข้างเด็กชาย “รู้เยี่ยงนี้แล้วเจ้าควรจักก้มลงกราบแทบเท้าข้าเสีย ชักช้าอยู่ไยเล่าเจ้านางเครือแก้ว” คนกล่าวยิ้มเยาะใส่ เขาอยู่ในคุ้มดีๆ ไม่อยากมีเรื่องกับใคร แต่ทว่าเครือแก้วกลับเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องก่อน เช่นนั้นแล้วเขาไม่มีทางยอมแน่นอน

“กรี้ดดด! บังอาจนักไอ้เชลยต่างด้าว แม้เจ้าจักเป็นชายาเจ้าอุปราช แต่ก็ไม่ได้มียศศักดิ์อันใดเทียบเคียงข้า วันนี้ข้าจักตบสั่งสอนเจ้าให้รู้ที่ต่ำที่สูง” ว่าแล้วเครือแก้วก็เดินย่างสามขุมตรงเข้ามา ง้างมือเรียวขึ้นจะฟาดเข้าที่ใบหน้างามของแสงหล้า แต่แรงสตรีหรือจะสู้แรงบุรุษ แสงหล้าจับข้อมือเจ้าหล่อนไว้ก่อน จากนั้นก็ผลักจนล้มลงบนพื้น เครือแก้วร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด พลางมือเรียวก็ลูบตรงสะโพกงามไปด้วย

“โอ๊ย! อีเขียนจัดการมันให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้”

เขียนรีบเข้ามาพยุงตัวเจ้านายขึ้น ด้วยความเป็นเดือดเป็นร้อนแทน เจ้าหล่อนจึงหันมาจ้องมองแสงหล้าตาเขม็ง พร้อมที่จะระรานอีกฝ่ายตามคำสั่งเจ้านาย

“เจ้าบังอาจทำเจ้านางของข้ารึไอ้พวกเชลย”

“เหตุใดข้าจักทำไม่ได้ เจ้านางของเจ้าไม่ใช่มารดาข้าเสียหน่อย” แสงหล้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ปรายตามองคู่อริด้วยความสะใจ

“นี่เจ้า” เขียนทำหน้ายักษ์เดินกร่างเข้ามาหา หักมือกร็อดเสียงดัง บ่งบอกว่าเจ้าหล่อนหมายจะเข้ามาทำร้าย แสงหล้าเห็นอย่างนั้นก็ยืนนิ่ง รอตั้งรับอย่างมีสติ

“อย่ามาบังอาจกับข้าอีข้าไทไพร่ราบ” คนอย่างเขียนไม่ควรบังอาจมาต่อกรกับเขาอย่างนี้ เห็นทีจะต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบเสียหน่อย

“เจ้ามันก็ไม่ต่างจากข้านักดอก ปากดีนักข้าจักตบสั่งสอนเจ้าให้เข็ดหลาบเลยคอยดู” ว่าแล้วเขียนก็เดินปรี่เข้ามาหาแสงหล้า แต่คนที่เข้ามาขวางไว้นั่นคือคำน้อย

“ข้าจักไม่ยอมให้เอ็งมาแตะตัวเจ้านายน้อยของข้าเด็ดขาด” ว่าแล้วคำน้อยก็เป็นฝ่ายง้างมือ ฟาดเข้าที่ใบหน้าของเขียนก่อน

เพี๊ยะ!

“มึงกล้าตบกูเหรอว๊ะ!”

“ก็เออสิวะเข้ามาเลย กูไม่กลัวมึงดอก”

หลังจากนั้นข้าไททั้งสองคน ก็กอดรัดฟัดเหวี่ยง ผลัดกันตบ จิก ขยุ้มผม อยู่บนพื้นราวกับที่นี่คือตลาดสดนอกวัง

ผ่านไปเพียงครู่เดียว สภาพของทั้งสองต่างก็สะบักสะบอม ผมเผ้าที่เคยเกล้าไว้บนศีรษะอย่างเป็นระเบียบก็หลุดลุ่ยยุ่งเหยิง เสียงเชียร์ของทั้งสองฝั่งดังขึ้นระงมไปทั่วทั้งคุ้ม ราวกับมีมวยคู่เด็ดที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในลานประลอง

“คำน้อยสู้ๆ เอาชนะให้จงได้” อินเหลาปรบมือ ส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน ลานหญ้าที่เพิ่งเล่นม้าก้านกล้วยกัน

“คำน้อยอย่ายอมมัน” แสงหล้าเองก็ใช่ย่อย ยืนหักนิ้ว ทำหน้าตาสะใจเวลาที่คำน้อยสามารถขึ้นคร่อมตบอีกฝ่ายได้

“อีเขียนมึงอย่ายอมมัน สู้สิวะ! สู้มันให้จงได้” เครือแก้วส่งเสียงตะโกนให้ดังกว่า เพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้

ตอนนี้คำน้อยขยุ้มผมเขียนไว้แล้วกระแทกลงที่พื้นเต็มแรง

“โอ๊ย! กูไม่ไหวแล้วนะไอ้คำน้อยยย” เขียนกัดมือคำน้อยอย่างเต็มแรง ทำให้ต้องปล่อยมือออกจากผมของเขียนทันที

“อ๊ากก!!! อีเขียน!”

พอเป็นอิสระเขียนก็ออกแรงถีบเข้าที่ท้องคำน้อยจนกระเด็นออกไป เขียนจึงเซถลาเข้าซบเท้าของผู้เป็นนาย แต่เครือแก้วกลับผลักไสออกมาให้ต่อสู้อีก แม้ว่าตอนนี้เนื้อตัวของเขียนนั้นจะสะบักสะบอมเกินทน เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ใบหน้าที่เคยเนียนใสนั้นกลับเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ แถมยังมีเลือดไหลที่มุมปากอีกด้วย

“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงของผู้เป็นเจ้าของคุ้มดังขึ้น ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ทุกคนหันไปมองยังต้นเสียงด้วยอาการเงียบสงบ คำน้อยและเขียนต่างก็กลับมานั่งแทบเท้าผู้เป็นนาย ก้มหน้ามองพื้นเพราะกลัวอาญาจากเจ้าอุปราช

“เจ้าอุปราช!” เครือแก้วรีบยกมือไหว้สา ก่อนจะเอาแต่ก้มหน้าเพราะรู้ว่าตนมีความผิด ที่เข้ามาก่อกวนถึงในคุ้ม

“เกิดเหตุอันใดขึ้น เหตุใดข้าไททั้งสองคนถึงได้กัดกันราวกับหมาบ้าเยี่ยงนี้” จักรคำเอ่ยเสียงเข้ม พลางกวาดสายตามองไปรอบตัว ก่อนจะหยุดลงที่เครือแก้ว “เครือแก้วเจ้าจักอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่”

“คือว่า...เจ้าแสงหล้ามาหาเรื่องข้าก่อนเจ้าค่ะ”

“ไม่จริง! ข้าไม่ได้หาเรื่องเจ้า เจ้าต่างหากที่เข้ามาหาเรื่องข้าก่อน”

“เจ้านั่นล่ะที่มาหาเรื่องข้าก่อน” เครือแก้วเองก็ไม่ยอมเช่นเดียวกัน

จักรคำมองหน้าทั้งสองคนสลับไปมาอย่างเหลืออด ก่อนจะตะโกนเสียงดังเพื่อห้ามการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้

“หยุด! เรื่องนี้ข้าจักถามความจากอินเหลาลูกชายข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ข้าเชื่อว่าเด็กจักไม่พูดปดข้าแน่นอน” จักรคำเอ่ย

เครือแก้วหน้าเจื่อนกลัวความผิด เพราะรู้ดีว่าอินเหลาต้องพูดตามความจริงกับสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่แน่นอน เธอจะหาคำแก้ตัวอย่างไรดี

“บอกพ่อมาว่าผู้ใดเป็นผู้ก่อเรื่องก่อน เจ้าห้ามพูดปดพ่อเด็ดขาด” จักรคำหันไปถามลูกชาย อินเหลาพยักหน้ารับแล้วส่งยิ้มให้บิดา

“ข้ากับเจ้าน้าและคำน้อยกำลังเล่นม้าก้านกล้วยกันอยู่ดีๆ แต่พอเจ้าอามา ก็บังคับให้เจ้าน้าก้มกราบแทบเท้า เจ้าน้าทนไม่ได้จึงเกิดเรื่องตบตีขึ้น เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้เจ้าพ่อ” อินเหลาเล่าต้นตอของการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้ให้กับบิดาฟัง

“เจ้าจักแก้ตัวว่าอย่างใดเครือแก้ว” จักรคำหันไปมองหน้าเจ้าหล่อนด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก บ่งบอกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“ข้าเพียงต้องการพูดหยอกเจ้าแสงหล้าเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” เครือแก้วแสร้งทำเป็นพูดจาดี เพื่อให้ความผิดของตัวเองลดน้อยลง

“ไม่จริง! เจ้าตั้งใจดูหมิ่นข้า หาว่าข้าเป็นเพียงเชลยต่างด้าว ข้าไม่ยอมเด็ดขาด!”

“ถ้าเจ้าไม่พอใจ ข้าต้องขอโทษเจ้าจากใจจริง อภัยให้ข้าด้วยเถิด”

“เอาล่ะ เจ้ารู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดและได้เอ่ยขอโทษแล้ว ก็ให้เรื่องมันจบไป ส่วนเจ้าแสงหล้าเองก็ต้องเอ่ยขอโทษเจ้าน้องเครือแก้วด้วย เรื่องมันจักได้จบอย่างไม่คลางแครงใจกัน” จักรคำเอ่ย

แสงหล้าหันขวับไปมองจักรคำด้วยความไม่พอใจ เขาไม่ได้เป็นคนผิด ทำไมต้องขอโทษอีกฝ่ายด้วยล่ะ “ไม่! ข้าไม่ขอโทษใครทั้งนั้น เพราะข้าไม่ได้ทำผิดอันใด”

“เหตุใดเจ้าถึงได้หัวรั้นเยี่ยงนี้ ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสองก็ถือว่าเป็นเครือญาติกันแล้ว ควรจักปรองดองกันไว้”

“ข้าไม่มีวันนับญาติกับคนเยี่ยงนั้นดอก”

“ข้าบอกให้เจ้าขอโทษเจ้านางเครือแก้วไงล่ะ!” จักรคำขึ้นเสียงใส่ เขาไม่อยากให้แสงหล้ามีศัตรูที่ไหนอีก เพราะจะทำให้อยู่ที่นี่อย่างลำบากมากขึ้น

“เจ้าพี่ไม่มีเหตุผล้ขาไม่ขอโทษใครทั้งนั้น” ว่าแล้วแสงหล้าก็สะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปในคุ้มทันที คำน้อยเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินตามเจ้านายไป

จักรคำยืนเท้าสะเอวถอนหายใจยาว รู้สึกไม่พอใจที่อีกฝ่ายยังคงดื้อดึงไม่เชื่อฟังคำสั่ง ทั้งที่เคยเอ่ยปากสัญญาแล้วว่าจะไม่ทำให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ แต่อีกฝ่ายก็ทำจนได้ มันน่าจับมาตีกันให้ลายนัก

ไม่นานจักรคำก็หันไปเอ่ยกับเครือแก้วต่อ “แล้วเจ้ามาที่นี่เพราะเหตุอันใดเครือแก้ว”

“ข้าแค่ต้องการมาทักทายเจ้าแสงหล้าเพียงเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจักเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าต้องขออภัยเจ้าอุปราชด้วยนะเจ้าคะ” เจ้าหล่อนเอ่ยด้วยสีหน้าสำนึกผิด จักรคำรู้นิสัยอีกฝ่ายดี ขี้เกียจเอ่ยอะไรอีกแล้ว จึงบอกให้กลับไปเสียก่อน

“ไม่เป็นไร เจ้ารีบกลับไปเสียเถิด หากไม่จำเป็นอย่าได้มาที่นี่อีก ข้าไม่ต้องการให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีก”

“เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าขอไหว้สาเจ้าอุปราชเจ้าค่ะ” เธอยกมือไหว้เหนือศีรษะ ก่อนจะหันเอ่ยกับข้าไทคนสนิท “อีเขียนกลับคุ้ม”

“เจ้าค่ะ”

เครือแก้วเดินขึ้นไปนั่งชูคอบนเสลี่ยง ก่อนจะสั่งให้ผู้หามเสลี่ยงออกเดินทางกลับไปที่คุ้มทันที

เมื่อเครือแก้วออกจากอาณาเขตคุ้มแล้ว จักรคำก็หันมาสนใจลูกชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ในใจก็นึกเป็นห่วงคนที่น้อยอกน้อยใจเดินเข้าไปข้างในก่อนหน้านี้ซะเหลือเกิน

“อินเหลาไปรอพี่ที่ห้องโถงในคุ้มก่อน เดี๋ยวพ่อจะตามเข้าไป”

“เจ้าพ่อจักไปที่ใดหรือเจ้า”

“เอ่อ...พ่อจักเข้าไปหาเจ้าน้าแสงหล้า ไม่รู้ว่าป่านนี้จักเป็นเยี่ยงไรบ้าง”

“เจ้าพ่อแลดูเป็นห่วงเจ้าน้ามากเหลือเกิน” อินเหลายิ้มแซวผู้เป็นบิดา

“พ่อไม่ได้เป็นห่วง เพียงแต่พ่อไม่อาจละเลยความรู้สึกของเจ้าน้าได้ อย่างน้อยเขาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียพ่อ”

“เจ้าพ่อไม่ต้องรีบมาหาลูกดอก ไปปรับความเข้าใจกับเจ้าน้าเถิดเจ้า”

“ขอบใจลูกมากที่เข้าใจพ่อ” จักรคำส่งยิ้มให้ลูกชาย ก่อนจะหันไปเอ่ยกับพี่เลี้ยงของอินเหลา “บัวตองฝากดูแลลูกข้าด้วย”

“เจ้าค่ะ”



จักรคำรีบเดินเข้าไปหาแสงหล้าภายในคุ้ม เดินเข้ามาในห้องก็พบว่าแสงหล้ากำลังช่วยทายาให้กับคำน้อยอยู่ แสงหล้าปรายตามองแวบหนึ่งก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ ตั้งใจช่วยทายาให้กับคำน้อยต่อ

“คำน้อยออกไปให้คำป้อช่วยทายาให้ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับนายของเอ็ง”

คำน้อยได้ยินอย่างนั้นก็รีบตอบรับ “เจ้า”

“ไม่ต้อง! ข้าจักทำให้เอ็งเองคำน้อย” แสงหล้าเอ่ยห้ามข้าไทคนสนิทไว้

“ออกไปคำน้อยถ้าไม่อยากให้นายของเอ็งเดือดร้อน”

“เจ้านายน้อย ข้าเจ้าจำเป็นต้องออกไปก่อน”

ด้วยความกลัวว่าเจ้านายจะเดือดร้อนเพราะตน คำน้อยจึงรีบถือถ้วยยาเดินออกไปอย่างเร่งรีบ

“คำน้อยอย่าเพิ่งไป!” แสงหล้าตะโกนตามหลัง พร้อมกับจะเดินตามออกไปด้วย แต่โดนจักรคำกางแขนแกร่งห้ามไว้เสียก่อน

“ห้ามไปไหน”

“ข้าไม่อยากสนทนากับท่าน”

“แต่ข้ามี”

“แต่ข้าไม่มี”

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับฟังกัน จักรคำจึงรวบตัวเข้ามากอดไว้ ทำให้ร่างบอบบางอยู่ภายใต้อาณัติของจักรคำในทันที

“ปล่อยข้า”

“ข้าปล่อยแน่ หากเจ้ายอมสนทนากับข้าดีๆ”

“ข้าไม่อยากสนทนากับคนไม่มีความยุติธรรมเยี่ยงท่าน”

“ข้าไม่ยุติธรรมตรงไหนกัน” จักรคำพยายามจ้องตาคนที่อยู่ในอ้อมกอด แต่แสงหล้าเอาแต่วางสายตาไว้ที่แผงอกแกร่ง ทำหน้างองุ้มราวกับเด็กน้อยโดนขัดใจ

“เหตุใดเจ้าพี่จึงบังคับให้ข้าขอโทษเจ้านางเครือแก้ว ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าหล่อนมาหาเรื่องข้าก่อน” แสงหล้าถือโอกาสเงยขึ้นมาเผชิญหน้า แต่เมื่อได้สบตากันกลับทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างควบคุมไม่ได้

“ที่ทำเยี่ยงนั้นเพราะข้าเป็นห่วงเจ้ายังไงล่ะ ข้าไม่อยากให้เจ้ามีศัตรู เข้าใจหรือข้ายังเจ้าแสงหล้า” เสียงเข้มเอ่ยด้วยโทนเสียงนุ่มละมุนหู ราวกับมีมนต์สะกดให้คนที่อยู่ตรงหน้าเคลิบเคลิ้ม เมื่อทุกอย่างอยู่ในความนิ่งงัน จักรคำจึงโน้มใบหน้าคมเข้าไปประกบจูบอย่างนุ่มนวล เขาห้ามใจตัวเองไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าหวานนี้ ยิ่งบดจูบหนักหน่วงมากเท่าไหร่ อ้อมแขนแกร่งก็ยิ่งกอดรัดร่างบางแน่นตามไปด้วย

“อืมม”

ความหอมหวานของริมฝีปากบางทำให้จักรคำไม่สามารถหยุดการกระทำครั้งนี้ได้ แต่ห้วงเวลาแห่งความสุขสมก็ต้องจบลง เมื่อแสงหล้าเรียกสติกลับคืนมาได้ จึงผละใบหน้าออกมา ผลักอกแกร่งให้ออกห่างจากตัว ก่อนจะฟาดมือเรียวเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง

“เพี๊ยะ!”

ดวงตากลมโตสีดำขลับจ้องมองหน้าชายหนุ่มผู้เอาเปรียบแวบหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงมาด้วยความเขินอาย ใบหน้าสวยที่เคยขาวปานหยวกกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อในพริบตา

“ข้าขอโทษ...ที่ล่วงเกินเจ้า ข้าห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ” จักรคำเอ่ยอย่างสำนึกผิด แต่สายตาคมกลับจ้องมองที่ริมฝีปากบางชมพูระเรื่อนั้นอย่างเสียดาย

“ไม่ต้องพูดอันใดแล้ว ข้า...ข้าจักออกไปข้างนอกแล้ว” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไปนอกห้อง แต่ทว่าจักรคำกลับรั้งข้อมือไว้เสียก่อน

“ต้องการอันใดจากข้าอีกรึ” แสงหล้ามองที่ข้อมือตัวเอง ไล่ขึ้นไปจนถึงใบหน้าคม ก่อนจะชักสีหน้าใส่

“ข้าจักไม่ให้ผู้ใดมาดูหมิ่นเจ้าได้อีก ข้าสัญญา”

“สัญญาแล้วต้องทำให้จงได้”

ว่าแล้วแสงหล้าก็เดินอมยิ้มออกไป ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนนิ่งงันทบทวนความรู้สึกและการกระทำของตนเอง ว่าแท้ที่จริงแล้วต้องการสิ่งใดระหว่างความรักหรือความต้องการ ไม่นานจักรคำก็ยกมือขึ้นมา ใช้นิ้วสัมผัสเบาๆ ที่ริมฝีปากตัวเอง ยืนยิ้มอยู่อย่างนั้น

ส่วนแสงหล้าแม้จะยังมีอคติกับจักรคำอยู่ แต่ทว่ารสจูบเมื่อครู่ก็ทำให้หัวใจที่เคยแข็งแกร่งกลับเริ่มสั่นคลอน กำแพงแห่งความพยศเริ่มแตกร้าวไปเสียแล้ว หากได้รับความรู้สึกดีๆ จากจักรคำไม่หยุดหย่อน อีกไม่นานกำแพงนี้มันจะต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.6 รสจูบแห่งเจ้าอุปราช [Up.22-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-08-2018 02:10:13
ท่าทางชะนีตัวนี้ฤทธิ์คงยังไม่หมด  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.6 รสจูบแห่งเจ้าอุปราช [Up.22-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 23-08-2018 09:58:22
เอาแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆ พัฒนาแน่นอน
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.6 รสจูบแห่งเจ้าอุปราช [Up.22-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 23-08-2018 19:36:03
จูบแรกก็ทำลายกำแพงได้แล้ว อิอิ
เอาเจ้านางแก้วไปหมกป่าเลย


หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.6 รสจูบแห่งเจ้าอุปราช [Up.22-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 24-08-2018 00:10:27
ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.6 รสจูบแห่งเจ้าอุปราช [Up.22-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 25-08-2018 12:22:00
อื้อออ จูบแล้ว
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.7 ตอบรัก [Up.04-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 04-09-2018 18:07:10
บทที่ 7

ตอบรัก



          เรือนนอนน้อยๆ ภายในเขตคุ้มเจ้าอุปราช คำป้อกำลังช่วยเพื่อนร่วมห้องประคบรอยฟกช้ำบนใบหน้าให้อย่างเบามือ คนเจ็บได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองใบหน้าคมอย่างเขินอาย

            “เอ็งเจ็บหรือไม่คำน้อย” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยกับหนุ่มน้อยที่บอบบางกว่า

            “เจ็บสิถามได้”

            “หากข้าอยู่ด้วย คงไม่ปล่อยให้เอ็งเจ็บตัวเช่นนี้ดอก”

            “เอ็งจะตบตีกับอีเขียนแทนข้ารึ” คำน้อยยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้พูดจากวนประสาท

            “ข้าเป็นชายจักทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า เพียงแต่ข้าจักห้ามพวกเอ็งไม่ให้ตบตีกัน”

            “นี่เอ็งหาว่าข้าไม่สมเป็นชายรึ”

            “ข้าเปล่า!” คำป้อทำหน้างงเล็กน้อยเมื่อโดนอีกฝ่ายทำหน้าค้อนใส่

            “ก็เอ็งหมายความเยี่ยงนั้น หาว่าข้าทำตัวไม่สมชายไปมีเรื่องกับสตรีเพศ”

            “ข้าขอโทษ ข้าลืมไปว่าเอ็ง...เป็นชายเยี่ยงข้า”

            “ทำไมเอ็งพูดเยี่ยงนั้นข้าไม่สมเป็นชายตรงส่วนใดรึ”

            “เอ็งไม่ได้เป็นชายในสายตาข้าเลยคำน้อย ตัวของเอ็งผอมบางกว่าอีเขียนเสียด้วยซ้ำ ใบหน้าเอ็งก็สะสวยเกินหญิงใดในเมืองนี้ ผิวกายเอ็งนวลเนียนนักจนหามีที่ติไม่ อย่างนี้แล้วเอ็งจักคิดว่าตนเป็นชายอยู่อีกหรือ” คำป้อไม่พูดเปล่า กลับกวาดตามองทุกสัดส่วนบนเรือนร่างของคำน้อยพร้อมทั้งกลืนน้ำลายลงคอ เขายิ้มมุมปากให้เพื่อนร่วมห้องอย่างมีนัยแอบแฝง ทำเอาคำน้อยถึงกับทำหน้าไม่ถูก เพราะรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังจะโดนอีกฝ่ายเกี้ยวพาราสี

            “อย่างไรข้าก็เป็นชาย แม้เอ็งจักยกยอข้ามากกว่านี้ ข้าก็ไม่สนใจเอ็งดอก”

            “เป็นเพียงเพราะข้าเป็นข้าไทผู้ต่ำต้อยอย่างนั้นรึ” คำป้อหลบตาหลงอย่างเจียมตัว

            “หาใช่เยี่ยงนั้นไม่ ข้าเพียงแต่คิดว่าเราทั้งสองไม่ควรคิดอันใดเกินเลย เพราะข้าเป็นเพียงเชลยต่างเมือง จึงไม่อยากผูกใจไว้กับผู้ใด เพราะในสักวันข้าก็ต้องกลับบ้านเมืองข้าอยู่ดี” ใช่แล้วเขาไม่ได้ปิดกั้นเพียงเพราะเรื่องฐานะหรือชนชั้น เพียงแต่เขาไม่ใช่คนบ้านเมืองนี้ หากเปิดใจรักใครเข้าสักคนสักวันก็ต้องจากกันอยู่ดี และทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากกว่านี้เสียอีก สำหรับเขาแล้วคำป้อเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง ไม่เคยรังเกียจเดียดฉันท์ที่เขาเป็นเชลย นั่นคือมิตรภาพที่ดีที่เขาควรรักษาระดับมันไว้เพียงแค่คำว่าเพื่อนเท่านั้น มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ แม้ว่าเขาเองก็มีใจเอนเอียงให้ไปแล้วก็ตาม

            “สักวันข้าจักทำให้เอ็งเปิดใจให้ข้า หากเรามีใจให้กันจริงๆ ไม่ว่าจักอยู่ที่ใดเราก็มีความสุขได้ข้าเชื่ออย่างนั้น”

            “ข้าไม่อยากให้เอ็งเสียเวลากันคนอย่างข้า หญิงงามเมืองนี้มีเยอะนัก เอ็งจักเอาผู้ใดมาทำเมียก็ย่อมได้นะคำป้อ”

            “แต่ข้าหมายปองเอ็งเพียงคนเดียว เอ็งก็รู้ว่าข้าถูกชะตาเอ็งตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน แต่ถ้าเอ็งต้องการเยี่ยงนั้นข้าก็จักพยายามห้ามใจตนเอง แต่ข้าไม่สัญญาว่าจักทำได้นานเท่าใด”

            “ขอบน้ำใจที่เอ็งมีความรู้สึกที่ดีให้กับข้านะ” คำน้อยส่งยิ้มให้อย่างรู้สึกผิด จริงๆ แล้วเขาไม่ควรจะเมินเฉยกับความรู้สึกนี้เสียด้วยซ้ำ เพราะลึกๆ ในใจลึกก็รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน

            ณ คุ้มเจ้าราชวงศ์เมืองแมน

            เครือแก้วนั่งร้อนรนจิตใจอยู่ภายในตำหนัก โดยมีนางข้าไทคนสนิทนั่งเฝ้ารับใช้อยู่ไม่ห่างกาย ตอนนี้ใบหน้าของเขียนเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ จากการเปิดศึกกับคำน้อยมาเมื่อช่วงเช้า

            “มึงช่วยกูคิดหน่อยสิวะอีเขียน กูจักทำอย่างใดกับไอ้สองตัวเชลยต่างด้าวพวกนั้นดี กูชังน้ำหน้าพวกมันนัก” เจ้าหล่อนเอ่ยกับข้าไทด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น

            “ข้าเจ้าว่าส่งคนไปจับตัวพวกมันมาทรมานดีหรือไม่เจ้าคะ”

            “มึงเอาสมองส่วนใดคิดวะอีเขียน” เครือแก้วหันขวับไปชำเลืองมองนางเขียน ก่อนจะเอานิ้วชี้จิ้มที่กลางหน้าผาก จนศีรษะของเขียนโน้มไปตามน้ำหนักมือ

            “โอ๊ย! ข้าเจ้าเจ็บนะเจ้าคะเจ้านาง” นั่นเพราะรอยช้ำเก่ายังไม่หายดี แต่ต้องมาได้รับแรงกระแทกเพิ่มอีก

            “มึงจักได้จำให้ขึ้นใจ ก่อนออกความคิดเห็นควรตรองให้ดีเสียก่อน ที่คุ้มเจ้าอุปราชมีทหารเฝ้ายามนับร้อย มึงคิดว่าจักเข้าหาตัวมันได้อย่างใดวะ”

            “หากเข้าหาตัวมันไม่ได้ ก็ให้มันออกมานอกคุ้มสิเจ้าคะ” เขียนเสนอความคิดเห็นด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

            เครือแก้วได้ยินอย่างนั้นก็เบิกตากว้าง เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนางข้าไทแล้ว

            “เออว่ะ เอ็งนี่ก็ฉลาดเหมือนกันนี่หว่า”

            “เจ้าค่ะเจ้านาง” เขียนเริ่มยิ้มออก ขยับตัวเข้าไปใกล้ผู้เป็นนายอย่างภูมิอกภูมิใจ

            “แล้วจักทำอย่างใดให้พวกมันออกมาจากคุ้มได้ กูคิดหาหนทางไม่ออกเลยจริงๆ” เครือแก้วนั่งคิดหาหนทาง แต่ก็ยังคิดไม่ออกเสียที

            เห็นอย่างนั้นนางเขียนก็ทำหน้าเบื่อหน่ายผู้เป็นนาย ด่าว่าเธอโง่เง่าเต่าตุ่นแต่กลับต้องให้เธอช่วยคิดตลอดทุกครั้ง....สรุปใครโง่กันแน่ก็ไม่รู้

            “อีกไม่กี่วันก็จะมีงานสมโภชน์เมืองนี่เจ้าคะ มีหรือที่พวกมันจะไม่ไปร่วมงานเจ้าคะ”

            “เออว่ะอีเขียน ทำไมกูนึกไม่ได้ คราวนี้ล่ะข้าจักทำให้พวกมันได้สัมผัสกับความเจ็บปวด ข้าจักส่งคนไปจับพวกมันทำเมีย แค่คิดก็สนุกแล้วว่ะอีเขียน” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็หัวเราะเสียงดังท่วมตำหนัก ส่วนเขียนเองก็หัวเราะตามน้ำ แถมยังเสียงดังกว่าผู้เป็นนายอีกด้วยซ้ำ

            เครือแก้วปรายตามองนางข้าไทอย่างไม่สบอารมณ์ นั่นเพราะอีกฝ่ายทำตัวเกินหน้าเกินตา

            “อีเขียน!”

            “อุ๊ย! ข้าเจ้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” เขียนรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองไว้ทันที

            “มึงจงไปว่าจ้างชายฉกรรจ์นอกกำแพงเมืองสักสี่คน สั่งงานและให้ค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อกับพวกมันด้วย กำชับพวกมันด้วยว่าห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”

            “เจ้าค่ะ ข้าเจ้าจักรีบไปจัดการบัดเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ” ว่าแล้วเขียนก็ก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินเข่าออกไปจากตำหนัก

            เครือแก้วนั่งชูคอบนตั่งยิ้มอย่างโหดเหี้ยมผิดนิสัยสตรีทั่วไป แค่เห็นหน้าครั้งแรกในหอหลวงเธอก็ไม่ชอบแล้ว ยิ่งสวามีของเธอหลงใหลอยากได้มาเป็นชายาเพิ่มอีกคนยิ่งทำให้เกลียดเข้าไปใหญ่ หากฆ่าได้เธอก็จะทำ แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ รอให้สวามีเธอได้ขึ้นเป็นเจ้าหลวง ส่วนเธอก็จะได้เป็นเจ้านางหลวง ถึงเวลานั้นแล้วเธอจะสั่งตัดหัวใครก็ย่อมได้

*-*-*-*-*-*-*-*

            อีกไม่กี่วันงานสมโภชน์เมืองก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว งานนี้เป็นงานประจำปีใหญ่ที่สุดของชาวเมืองเชียงราชคำ เจ้าหลวงจะใช้โอกาสนี้บวงสรวงผีหลวงและบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ที่คอยปกป้องบ้านเมืองมาตลอด ชาวเมืองทุกคนจะต้องมาเข้าเฝ้าเจ้าหลวงที่ลานหน้ากำแพงเมือง นอกจากนั้นยังมีงานมหรสพสมโภชน์ตลอดทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืนอีกด้วย

จักรคำได้จัดหาเครื่องแต่งกายมาให้แสงหล้า เพื่อสวมใส่ในงานสมโภชน์เมืองในฐานะชายาของเจ้าอุปราช ในงานนี้เจ้านายทุกพระองค์จะต้องแต่งกายให้ถูกต้องตามจารีตประเพณีและลำดับยศ แม้ว่าจะเป็นชายาที่เป็นเชลยจากต่างเมืองก็ตาม

            “วางไว้ตรงนี้แล้วออกไปได้”

            “เจ้าค่ะ”

            จักรคำสั่งให้ข้าไทนำเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจากคลังหลวงมาวางไว้บนโต๊ะ นั่นทำให้แสงหล้าที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่นั้นต้องวางมือ แล้วหันไปมองหน้าผู้มาใหม่เชิงตั้งคำถาม

            “อันใดรึเจ้าพี่”

            จักรคำส่งยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยเสียงละมุนนุ่มหู “ข้านำชุดมาให้เจ้า อีกไม่กี่วันก็จะมีงานสมโภชน์เมือง เจ้าต้องสวมชุดตามราชประเพณีของเชียงราชคำเข้าร่วมงานในฐานะชายาข้าด้วย”

            “ไม่! ข้าไม่ยอมสวมใส่อาภรณ์ของเมืองนี้เด็ดขาด”

            “เจ้าต้องใส่ หามีข้อแม้ไม่”

            “ข้าไม่ไป ข้าจักอยู่ที่คุ้ม ข้าเป็นเพียงเชลยเหตุใดเจ้าพี่ถึงต้องบังคับข้าด้วย” เขาไม่มีทางไปแน่นอน ไม่อยากเห็นผู้คนเมืองนี้มีความสุขสนุกสนาน ในขณะที่บ้านเมืองของเขาเองเพิ่งผ่านการสูญเสียมาไม่นาน

            “เพราะเจ้าคือเมียข้าอย่างใดเล่า อีกอย่างนี่ก็เป็นคำสั่งของเจ้าพ่อ ทุกคนต้องไปร่วมงานสมโภชน์เมืองในครั้งนี้โดยไม่มีข้อยกเว้น”

            “แต่ข้าไม่อาจทนเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนเมืองนี้ได้ ในขณะที่ชาวเมืองผาพิงค์เพิ่งผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่มาไม่นาน”

            จักรคำได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่เขาจำเป็นต้องพาแสงหล้าไปร่วมงานด้วย แค่ให้บิดาเห็นหน้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ร่วมจนจบงานก็ได้

            “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่หากเจ้าไม่ไปให้เจ้าพ่อเห็นหน้าเลย เจ้าจักต้องอาญาและโดนเจ้าพ่อลงทัณฑ์ และข้าก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น นั่นเพราะข้าเป็นห่วงเจ้า” จักรคำพยายามพูดจาหว่านล้อมให้อีกฝ่ายคล้อยตามและยอมใจอ่อนให้ได้

            “หากเจ้าพี่ไม่สบายใจข้าจักไปร่วมงานด้วย แต่ขออยู่เพียงไม่นานได้หรือไม่”

            “ได้สิ ข้าจักทูลเจ้าพ่อว่าเจ้าไม่สบายจึงขอตัวกลับมาที่คุ้มก่อน”

            “ขอบน้ำใจเจ้าพี่ที่คอยช่วยเหลือข้ามาตลอด”

            “ข้าบอกแล้วอย่างใดเล่า ว่าข้าจักทำให้เจ้าอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขและไม่มีอันตรายใดๆ ข้าเองก็รู้สึกผิดที่เคยทำเยี่ยงนั้นกับเมืองของเจ้า ข้าไม่ได้ร้องขอให้เจ้าเห็นใจ เพียงแค่อยากให้เจ้าวางใจว่าข้าจักดูแลเจ้าให้อยู่ดีมีสุขในขณะอยู่ที่นี่ได้” จักรคำเผยความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้ เขารู้ดีว่ามันอาจยากที่จะทำให้แสงหล้าลืมเรื่องราวในอดีตได้ แต่ทว่าเขาเองก็อยากให้ความโกรธและความเกลียดชังมันลดทอนน้อยลงให้มากที่สุด

            “แม้มันอาจยากที่จักลืมเรื่องพวกนั้นไปจากใจได้ แต่ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ข้าจักแสร้งทำเป็นลืม เพื่อความสบายใจของท่าน”

            “ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้ยินเจ้าเอ่ยเยี่ยงนี้ ข้าขอสัญญาว่าจักไม่ให้ผู้ใดมาทำอันตรายเจ้าได้เด็ดขาด”

            ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตรเป็นครั้งแรก ความดีงามของจักรคำค่อยๆ ทำลายกำแพงทิฐิของแสงหล้าลง จนอีกฝ่ายเริ่มยอมที่จะรับฟังและทำตามอย่างว่าง่าย นั่นเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการเริ่มต้นความสัมพันธ์คนทั้งสอง

            ในเรือนนอนน้อยๆ ภายในเขตรั้วคุ้มเจ้าอุปราช แสงสีส้มจากตะเกียงที่เปล่งออกมา ทำให้ห้องที่เคยมืดมิดกลับสว่างไสวขึ้น เผยให้เห็นการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นเจ้าของห้องทั้งสอง คำน้อยกำลังนั่งพนมมือสวดมนต์ไหว้พระ ซึ่งทำเป็นประจำทุกคืนก่อนเข้านอนอยู่แล้ว ส่วนคำป้อก็เอาแต่นั่งมองแล้วยิ้มตามอย่างมีความสุข

            “เอ็งไม่เบื่อรึที่ต้องมาสวดมนต์เยี่ยงนี้ทุกคืน” คำป้อเอ่ยถาม พร้อมกับยิ้มไม่ยอมหุบ

            “เหตุใดข้าต้องเบื่อด้วยล่ะ การสวดมนต์ก่อนนอนจักทำให้เรานอนหลับฝันดี เอ็งก็ควรทำด้วย”

            “หากเป็นเยี่ยงนั้นวันหลังข้าจักสวดมนต์พร้อมเอ็งดีหรือไม่” คำป้อขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ๆ แต่คำน้อยกลับห้ามการกระทำนั้นด้วยแววตาที่ดุดัน

            “กลับไปอยู่บนที่นอนของเอ็งเลย ข้าง่วงแล้ว”

            “แต่ข้ายังไม่ง่วง”

            “นั่นมันก็เรื่องของเอ็งข้านอนล่ะ” ว่าแล้วคำน้อยก็เอนหลังลงบนพื้นไม้ที่มีเพียงผ้าผืนบางปูรองไว้ ก่อนจะนอนตะแคงหันหลังให้อีกฝ่าย

            คำป้อเห็นท่าทีของคำน้อยก็ยิ้มอย่างเอ็นดู เขาไม่ยอมแพ้หรอกเพราะหมายใจกับหนุ่มรูปงามคนนี้แล้ว จะต้องทำให้อีกฝ่ายยอมเปิดใจให้ได้ คำป้อเดินเข้าไปใกล้แล้วนอนตะแคงข้าง มองหน้าคำน้อยแล้วยิ้มอยู่อย่างนั้น คนที่หลับตานอนกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา รู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่จึงลืมตาขึ้นมาดู

            “คำป้อ! เหตุใดเอ็งไม่ไปนอนในที่ของเอ็งเล่า มานอนจ้องหน้าข้าอยู่ได้” คำน้อยเอ่ยทั้งที่ยังนอนอยู่อย่างนั้น ส่งสายตาดุให้แต่ใบหน้ากลับเปลี่ยนสีจนสังเกตได้ชัดเจน

            “เหตุใดสีหน้าเจ้าจึงแดงปานลูกตำลึงเยี่ยงนั้นด้วยเล่า เอ็งเขินข้ารึ”

            “เหตุใดข้าต้องเขินเอ็งด้วยเล่า อย่าสำคัญตัวไปนักเลย” ว่าแล้วคำน้อยก็หมุนตัวนอนหันหลังให้ เพราะไม่กล้าสบตาผู้ชายที่ทำให้หัวใจเขาสั่นไหวในตอนนี้

            “หากไม่เขินก็หันกลับมามองหน้าข้าสิ”

            “ไม่! เหตุใดข้าต้องทำตามคำสั่งเอ็งด้วย”

            “หากเอ็งไม่หันมาข้าก็จักทำเยี่ยงนี้” ว่าแล้วคำป้อก็เขยิบตัวเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง ล็อกตัวไว้แน่นไม่ยอมให้คำน้อยหนีจากเขาไปไหนได้

            “เอ็งทำบ้าอะไรปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้” คำน้อยพยายามเอ่ยห้าม มือเรียวหยิกเข้าที่แขนของอีกฝ่ายเพื่อให้คลายอ้อมกอด แต่คำป้อไม่ยอมปล่อย กลับซุกใบหน้าคมเข้ามาดอมดมที่ซอกคอขาวแทน กลิ่นกายของคำน้อยทำให้เขาลืมความเจ็บปวดที่แขนได้ดีเลยทีเดียว

            “เหตุใดตัวเอ็งถึงได้หอมเยี่ยงนี้ ข้ารักเอ็งนะคำน้อย”

            “ไอ้คนบะ...” คำน้อยกำลังจะพ่นคำก่นด่าออกมา แต่ทว่าคำป้อกลับทำอะไรบางอย่างให้เขาต้องสะดุด โดยการสวมกำไลทองที่ข้อมือให้นั่นเอง

            “ข้าจักไม่ยอมให้เอ็งเป็นของผู้อื่น เป็นเมียข้าเถอะนะคำน้อย ข้าสัญญาว่าจักรักและดูแลเจ้าไปตลอดชีวิต” เสียงเข้มเอ่ยเบาๆ ที่ข้างใบหู แต่ทว่าคำน้อยกลับได้ยินมันชัดเจนทุกถ้อยคำ

            หัวใจของคำน้อยเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ แม้จะอยากปฏิเสธออกไปเหมือนคราวที่แล้ว แต่ทว่าหัวใจเขากลับเรียกร้องหาแต่ผู้ชายคนนี้ แล้วอย่างนี้จะปฏิเสธต่อไปได้อย่างไร หรือมันควรแก่เวลาที่เขาจะต้องเรียนรู้กับคำว่ารักแล้ว

            “เอ็งทำถึงขนาดนี้แล้วข้าจักปฏิเสธได้เยี่ยงใดเล่า” แม้จะรู้สึกอายอยู่ไม่น้อยแต่เจ้าตัวก็กล้าที่จะจับมือของคำป้อมาประสานไว้

            “ข้าดีใจมากเหลือเกิน ข้าจะมีเมียแล้วโว้ย”

            คำป้อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่ออีกฝ่ายตอบรับ เจ้าตัวกอดรัดคนรักเอาไว้แน่นให้ชื่นใจ ก่อนจะพลิกตัวคนที่อยู่ในอ้อมกอดให้มาสบตากัน แววตาของคนทั้งสองเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข คำป้อไม่รอช้ารีบโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่กลางหน้าผากนุ่ม เลื่อนลงมาคลอเคลียตามพวงแก้มขาว โดยมีจุดหมายปลายทางที่ริมฝีปากบาง และในคืนนั้นดวงใจทั้งสองก็ประสานเป็นหนึ่งเดียว ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านทางหน้าต่าง เผยให้เห็นเรือนร่างอันเปลือยเปล่าที่กำลังโอบกอดซึ่งกันและกัน มอบอุ่นไอรักผ่านสัมผัสทางกายอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.6 รสจูบแห่งเจ้าอุปราช [Up.22-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 04-09-2018 19:51:55
คำน้อยโดนกินแล้ว ตัดฉากไวจังเลย อิอิ
รู้สึกแอบเป็นห่วงคำน้อยแล้ว
คำทำนายจะมาแล้วแน่ๆๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.6 รสจูบแห่งเจ้าอุปราช [Up.22-08-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-09-2018 03:51:29
 :o8:
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.8 โดนย่ำยี [Up.30-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 22-09-2018 19:54:59
บทที่ 8

โดนย่ำยี



ในที่สุดค่ำคืนที่ทุกคนในเมืองรอคอยก็มาถึง งานสมโภชเมืองประจำปีถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ โคมลอยถูกปล่อยขึ้นบนท้องฟ้าโดยเจ้าหลวงผู้เป็นประมุขสูงสุดของชาวเมือง ตามด้วยเจ้านายชั้นสูงทุกพระองค์และขุนนางตามลำดับ ทำให้ท้องฟ้าที่เคยมืดมิดกลับมีความสว่างไสวจากโคมลอยนับร้อย ดูแล้วช่างเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก

หลังจากปล่อยโคมลอยแล้วก็ถึงพิธีการสำคัญ นั่นคือการสักการะผีบรรพบุรุษที่คอยปกปักรักษาบ้านเมืองมาตลอด เมื่อพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งหมดก็นั่งชมการแสดงชุดพิเศษจากนางรำนับร้อยชีวิต ที่คัดเลือกมาจากธิดาของขุนนางชั้นผู้ใหญ่และต้องเป็นสาวพรหมจรรย์เพียงเท่านั้น ทั้งหมดพร้อมใจกันร่ายรำอย่างสวยงามอ่อนช้อย เข้ากับจังหวะเพลงมโหรีที่ถูกบรรเลงจากนักดนตรียอดฝีมือของวังหลวง เพิ่มสีสันความครึกครื้นให้กับงานในวันนี้ได้เป็นอย่างดี

แสงหล้าตีหน้านิ่งนั่งอยู่บนตั่งข้างกายจักรคำ เขาไม่ได้มีอารมณ์ร่วมในงานครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าจักรคำกลับพยายามชักชวนให้ดูโน่นนี่นั่นอยู่เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกเบื่อจนเกินไป

ส่วนคนที่นั่งอีกฝั่งของเจ้าหลวงก็คือเมืองแมนและเครือแก้ว เมืองแมนมักจะส่งสายตามองแสงหล้าอยู่บ่อยครั้งจนเครือแก้วต้องสะกิดเตือนสติผู้เป็นสวามีอยู่เนืองๆ พร้อมทั้งเหลือบตามองแสงหล้าด้วยความไม่พอใจ

“เจ้าพี่หาควรมองมันเยี่ยงนั้นไม่” เครือแก้วเอ่ยกับสวามีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก

“เหตุใดข้าจักมองไม่ได้” แม้ว่าจะโดนชายาเอ่ยปากห้าม แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเกรงใจเลยแม้แต่สักนิด

“เจ้าพี่!” เครือแก้วนั่งหน้าบูดบึ้งเมื่อไม่สามารถห้ามสวามีได้ เจ้าหล่อนรอจังหวะที่จะเล่นงานแสงหล้าอย่างใจจดใจจ่อ รอให้สองคนนั้นออกจากบริเวณพิธีก่อนเถอะ หล่อนจะสั่งให้คนจัดการมันให้เสียศูนย์เลยทีเดียว



เมื่อเห็นว่าการแสดงของเหล่าบรรดานางรำใกล้จะจบลงแล้ว แสงหล้าจึงเอ่ยขอจักรคำกลับไปยังคุ้มตามที่เคยได้พูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้

“เจ้าพี่ข้าขอตัวกลับไปที่คุ้มก่อนนะเจ้า” แสงหล้าหันไปเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

“ก่อนกลับคุ้มเจ้าควรไปไหว้สาเจ้าหลวงก่อน ข้าจักเป็นคนกราบทูลเจ้าพ่อเองว่าเจ้าไม่สบาย”

“เจ้า” แสงหล้าพยักหน้ารับ

จากนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้นจากตั่งก่อนจะหันไปเอ่ยกับเจ้าหลวงพรหมมาวงศ์

“เจ้าพ่อเจ้า แสงหล้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ข้าอยากขอประทานอนุญาตให้แสงหล้ากลับไปที่คุ้มก่อนได้หรือไม่เจ้า”

“จักกลับก็กลับไปข้าหาสนใจไม่ แล้วเจ้าจักไปกับเมียหรืออยู่กับข้า”

“ข้าจักอยู่ร่วมงานจนกว่าเจ้าพ่อจักกลับคุ้มเจ้า”

“ดีมากปล่อยให้คนของเจ้ากลับคุ้มไปเสีย จักได้ไม่อยู่ขวางหูขวางตาข้า” ว่าแล้วเจ้าหลวงก็หันไปสนใจนางรำตรงหน้าต่อ

แสงหล้าพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ให้เดือดไปมากกว่านี้ ไม่งั้นมีหวังเขาได้ต่อปากต่อคำกับเจ้าหลวงอย่างแน่นอน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เจ้าหลวงพรหมมาวงศ์ไม่เคยพูดจาดีๆ กับเขาเลยสักครั้ง นั่นทำให้แสงหล้าเองก็ไม่อยากจะให้ความเคารพอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เห็นแก่จักรคำเท่านั้นเขาจึงยอม

จักรคำจับมือแสงหล้าไว้แน่นพยายามปลอบใจไม่ให้คิดมาก พอได้รับสัมผัสนั้นก็ทำให้แสงหล้าสามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายส่งยิ้มน้อยๆ ให้

“เดี๋ยวข้าจักให้ทหารไปส่งเจ้าถึงที่คุ้ม”

“ไม่เป็นไรดอกเจ้าพี่ ข้ากับคำน้อยกลับกันเองได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยข้าเป็นห่วง”

“เจ้า” แสงหล้าส่งยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะยกมือไหว้สาเจ้าหลวงตามมารยาท แล้วหันไปเอ่ยกับคำน้อย “คำน้อยเราไปกันเถอะ”

“เจ้า”

แสงหล้าเดินนำหน้าออกไปจากบริเวณพิธีด้วยความโล่งใจ เขาเบื่อที่จะต้องนั่งปั้นหน้าอยู่ในงานเต็มทนแล้ว



“ข้าเบื่อที่จะนั่งปั้นหน้าอยู่ที่นั่นเต็มทนแล้วคำน้อย” แสงหล้าบ่นในระหว่างเดินกลับไปที่คุ้ม วันนี้ทุกคนไปรวมตัวกันที่บริเวณงานทำให้ตามถนนหนทางต่างๆ ค่อนข้างจะเงียบเหงาไม่มีผู้คนพลุกพล่านเลยสักนิด

“ข้าเจ้าเองก็เหมือนกันเจ้า ไม่ชอบใจที่เห็นพวกขุนนางนั่งดื่มเมรัยหัวเราะลั่นราวกับคนไร้สติเยี่ยงนั้น”

“บรรยากาศเยี่ยงนี้เหมาะแก่การหนีกลับไปที่บ้านเมืองเราเสียจริงคำน้อย แต่ถ้าเราหนีไปชาวเมืองผาพิงค์จักต้องเดือดร้อนอีกเป็นแน่” เขาอยากทำอย่างที่พูดมากเหลือเกิน แต่ทว่าหากทำไปแล้วจะทำให้บ้านเกิดเมืองนอนต้องมีสงครามขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน

“เจ้านายน้อยระวังเจ้า!” คำน้อยเห็นชายฉกรรจ์โพกผ้าสีดำปกปิดใบหน้าเอาไว้ ยืนถือมีดคมกริบรออยู่ตรงหน้า เห็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็รู้แล้วว่าทั้งสองคนไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน

“พวกเอ็งเป็นใคร เหตุใดถึงกล้ามาขวางทางข้าเยี่ยงนี้” แสงหล้าเอ่ยกับชายฉกรรจ์ทั้งสองอย่างไม่เกรงกลัว

“พวกข้าก็กำลังเป็นผัวพวกเจ้าทั้งสองคนยังไงล่ะหึๆ” หาใช่เสียงของชายทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่กลับเป็นคนที่ยืนดักอยู่ด้านหลังต่างหาก

“อย่าเข้ามาใกล้เจ้านายน้อยของข้าเด็ดขาด ออกไปบัดเดี๋ยวนี้!” คำน้อยรีบวิ่งเข้าไปบังตัวแสงหล้าเอาไว้

“เหตุใดพวกข้าต้องฟังเอ็งด้วยล่ะจับตัวพวกมันไป หากพวกเอ็งกระดิกตัวแม้แต่น้อยรับรองว่ามีดที่อยู่ในมือไอ้สองคนนั่นกรีดที่คอหอยพวกเอ็งแน่”

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าและคำน้อยก็มองหน้ากัน สื่อว่าให้ยอมๆ ไปก่อนเพราะตอนนี้พวกเขากำลังเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด

“เอ็งจะพาพวกข้าไปที่ใด” แสงหล้าเอ่ยถามขณะโดนจับตัวให้เดินลัดเลาะออกไปตามทางลัด จนในที่สุดก็ออกมานอกกำแพงคุ้มหลวง

“อย่าถามให้มากความถึงแล้วเดี๋ยวพวกเอ็งก็รู้เองล่ะหึๆ”

แสงหล้ากำลังคิดหาทางหนีแต่ทว่ายิ่งเดินไปเรื่อยๆ แสงไฟจากบริเวณพื้นที่จัดงานสมโภชเมืองยิ่งริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ เดินผ่านทุ่งนามาได้สักพักก็เจอกับกระท่อมหลังเล็กๆ

แสงหล้ากำลังคิดหาทางหนีแต่ทว่ายิ่งเดินไปเรื่อยๆ แสงไฟจากบริเวณพื้นที่จัดงานสมโภชเมืองยิ่งริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ เดินผ่านทุ่งนามาได้สักพักก็เจอกับกระท่อมหลังเล็กๆ

“พวกเอ็งช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้วนี่คือชายาแห่งเจ้าอุปราช หากเจ้าอุปราชทรงทราบว่าพวกเอ็งทำเยี่ยงนี้มีหวังพวกเจ้าหัวหลุดจากบ่าแน่” คำน้อยพยายามถ่วงเวลาหาทางหนีทีไล่ ก่อนจะมองเห็นท่อนไม้วางอยู่บนพื้นจึงคิดอะไรดีๆ ออก

“พวกข้าหากลัวไม่รีบเข้าไปในกระท่อมเร็ว!”

คำน้อยขยิบตาให้ผู้เป็นนายเพื่อส่งสัญญาณให้รีบหนีไป เพราะในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเจ้าตัวกำลังจะเสี่ยงชีวิตเพื่อให้แสงหล้ามีโอกาสได้หนีออกไป

“โอ๊ย!! ข้าปวดท้องเหลือเกิน” คำน้อยกุมท้องเอาไว้ร้องโอดโอยล้มลงที่พื้น ก่อนจะหยิบท่อนไม้ขึ้นมาฟาดไปที่ไอ้โจรคนหนึ่งจนล้มพับลงกับพื้น ส่วนสองคนที่เหลือก็รุมทึ้งเข้ามาหาคำน้อยทันที

“ฤทธิ์เยอะนักนะ มึงได้เจ็บตัวแน่” แม้ว่าทั้งสองจะมีมีดอยู่ในมือแต่คำน้อยก็ไม่เกรงกลัว เขาฟาดไม้เข้าไปไม่ยั้ง

“เจ้านายน้อยหนีไป ไม่ต้องห่วงข้าเจ้า”

แสงหล้าลังเลแวบหนึ่งก่อนจะตัดสินใจรีบวิ่งหนีไป เขาจะไม่ให้การเสียสละของคำน้อยต้องเสียเปล่า เพราะอย่างน้อยหากรอดไปก็มีโอกาสที่จะเรียกให้คนมาช่วยได้



แสงหล้าวิ่งหนีสุดชีวิตอย่างทุกลักทุเล โดยมีหนึ่งในกลุ่มโจรวิ่งตามมาติดๆ วิ่งมานานจนแสงหล้าเริ่มอ่อนแรง ทำให้ไอ้โจรคนนั้นเกือบจะตามมาทัน แต่ทว่าโชคดีที่โชคดีที่เขาเจอกับจักรคำเข้าเสียก่อน ทำให้มันรีบวิ่งหนีไปทันทีที่เห็นเจ้าอุปราช

“เจ้าพี่ช่วยข้าด้วยฮือๆ” ด้วยความกลัวแสงหล้าจึงกอดจักรคำเอาไว้แน่น ร้องไห้เสียงดังด้วยความตื่นตกใจ

“พวกเอ็งตามมันไปจับตัวมันมาให้จงได้”

“เจ้า”

เมื่อรับคำสั่งแล้วทหารที่ติดตามมาก็รีบวิ่งตามไอ้โจรคนนั้นไป ส่วนจักรคำยังคงกอดปลอบใจชายาอยู่อย่างนั้น เมื่อหายตกใจแล้วแสงหล้าก็นึกถึงคำน้อยขึ้นมาทันที จึงผละตัวออกมาแล้วรีบบอกจักรคำให้ไปช่วย

“เจ้าพี่ช่วยคำน้อยด้วย คำน้อยกำลังตกอยู่ในอันตราย”

“พาข้าไปหาคำน้อยบัดเดี๋ยวนี้”

แสงหล้าวิ่งนำหน้าไปยังกระท่อมกลางทุ่ง เมื่อไปถึงก็พบว่าไอ้โจรทั้งสองคนที่ไม่ได้ตามเขาไปนั้นได้โดนฆ่าตายเสียแล้ว เห็นอย่างนั้นแสงหล้าจึงรีบเข้าไปในกระท่อมเพื่อหาตัวคำน้อย

“คำน้อยเอ็งอยู่ที่ใด คำน้อย ฮือๆ ๆ” แสงหล้าตะโกนเรียกแต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของคำน้อย เขาไม่เชื่อว่าคนอย่างคำน้อยจะฆ่าทั้งสองคนนี้ได้ แสดงว่าต้องมีใครที่เข้ามาช่วยหรือไม่ก็พาตัวคำน้อยไปอีกที

“เห็นคำน้อยหรือไม่” จักรคำหันไปเอ่ยถามขณะนั่งสังเกตลักษณะการตายของทั้งสองคน

“คำน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วเจ้า คำน้อยเอ็งอยู่ที่ใดกันแน่นะข้าเป็นห่วงเอ็งเหลือเกิน” แสงหล้าทำอะไรไม่ถูกได้แต่เดินวนไปมาอย่างเป็นกังวล

“อย่าเป็นกังวลไปเลยข้าจักให้คนไปตามหาตัวคำน้อยจนเจอแน่นอน”

“คำน้อยเสี่ยงชีวิตช่วยข้าไว้หากมันเป็นอันใดไปข้าจักไม่มีวันยอมให้อภัยตนเองเด็ดขาด”

“ข้าสัญญาวางใจได้”

ในระหว่างนั้นทหารที่ตามชายฉกรรจ์อีกคนที่เหลือไปก็เดินเข้ามาหาจักรคำ

“จับตัวมันมาได้หรือไม่”

“มันหนีไปได้เจ้า มันรู้ทางหนีทีไล่ต้องเป็นคนในเมืองนี้แน่นอนเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้นตามตามตัวมันมาให้ได้ พวกเอ็งนำศพไอ้สองคนนี้ไปแขวนไว้บนเสากลางเมือง ประกาศให้ชาวบ้านรับรู้ด้วยว่าพวกมันทำเลวอะไรไว้บ้าง จะได้ไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”

“เจ้า”

เมื่อสั่งทหารแล้วจักรคำก็หันมาเอ่ยกับคนที่ยืนอยู่ข้างกัน

“กลับไปพักผ่อนที่คุ้มเสียก่อน ข้าจักให้ทหารหาตัวคำน้อยทั้งคืนหากไม่เจอจักไม่ยอมหยุดค้นหาเด็ดขาด”

“เจ้าพี่สัญญากับข้าแล้วนะเจ้า” แสงหล้ายังคงเป็นห่วงคำน้อยไม่หาย

“ข้าสัญญา เรากลับคุ้มกันเถอะ”

จักรคำสั่งให้ทหารที่ตามมาด้วยออกตามหาคำน้อยให้หมดทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้ ก่อนจะพยุงแสงหล้าเดินกลับไปรอฟังข่าวที่คุ้ม



ในระหว่างที่คำน้อยกำลังจะโดนลากตัวเข้าไปในกระท่อมนั้น ทหารของเมืองแมนก็เข้าไปช่วยเอาไว้การปะทะกันทำให้โจรทั้งสองคนพลาดท่าโดนฆ่าตาย เมืองแมนตั้งใจตามทั้งสองคนออกมาตั้งแต่แรก หมายใจจะเข้ามาเกี้ยวพาราสีแสงหล้า แต่เมื่อเข้ามาช่วยแล้วกลับไม่เห็นแสงหล้าอยู่ตรงนั้นด้วย เขาจึงไม่ยอมให้เสียเวลาเปล่า จึงนำตัวคำน้อยเข้าไปที่คุ้มด้วยอย่างน้อยก็พอแก้ขัดไปได้บ้าง

ตอนนี้คำน้อยอยู่ในเรือนไม้หลังเล็กๆ ภายในคุ้มของเจ้าราชวงศ์ เขากำลังจ้องมองเมืองแมนด้วยความหวาดกลัว ตอนแรกที่รู้ว่าอีกฝ่ายมาช่วยก็ดีใจจนน้ำตาไหลก้มลงกราบแทบเท้า แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อเมืองแมนกลับสั่งทหารให้นำตัวเขามาที่นี่ซะอย่างนั้น

“ปล่อยข้าเจ้าไปเถอะเจ้าเมืองแมน” คำน้อยนั่งตัวสั่นอยู่มุมห้องยกมือไหว้ด้วยความกลัว

“ปล่อยให้โง่สิ ในเมื่อไม่ได้นายของเอ็งข้าก็จักเอาเอ็งมาทำเมียแทน รูปร่างหน้าตาผิวพรรณเอ็งก็งามไม่น้อยกว่าแสงหล้าเลยสักนิด เป็นบุญของเอ็งแล้วที่ได้ข้าเป็นผัว” เมืองแมนเดินเข้าไปนั่งตรงหน้าคำน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นไปดึงผ้าโพกศีรษะออก ทำให้เรือนผมยาวสลวยถูกปล่อยลงมา จากนั้นเมืองแมนก็เอื้อมมือไปเชยคางให้ตนเองมองใบหน้าสวยได้ถนัดมากขึ้น “งามเหลือเกิน”

“ปล่อยข้าเจ้าไปเถอะนะ ข้าเจ้ากลัวแล้วฮือๆ ๆ”

“ไม่ต้องกลัวข้าจักไม่รุนแรงกับเจ้าดอก หากเจ้ายอมข้าแต่โดยดี”

“ไม่มีทาง!” คำน้อยผลักเมืองแมนจนล้มลงกับพื้นก่อนจะรีบวิ่งหนีออกมา แต่ยังไม่พ้นประตูเลยด้วยซ้ำเขาก็ถูกกอดจากด้านหลัง ก่อนจะถูกทุ่มตัวลงบนที่นอนที่ถูกปูไว้บนพื้นไม้

“ฤทธิ์เยอะนักใช่ไหม”

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

“ฮือๆ ๆ ปล่อยข้าเจ้าไปเถอะ”

“ปล่อยแน่แต่ต้องหลังจากที่ข้าเชยชมเรือนร่างของเจ้าจนหมดทุกซอกทุกมุมแล้วเท่านั้นหึๆ” ว่าแล้วเมืองแมนก็ตรึงแขนคำน้อยเอาไว้บนที่นอน ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปซุกไซร้ดอมดมที่ซอกคอขาว

“ฮือๆ ๆ ปล่อยข้า” คำน้อยได้แต่อ้อนวอนขอร้องด้วยน้ำตา แต่เมืองแมนกลับไม่ได้ให้ความปรานีเลยสักนิด

ในเมื่อขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์คำน้อยจึงยอมนอนนิ่งๆ ให้เมืองแมนเสพสมกับเรือนร่างของตนเองอย่างหนำใจ ไม่นานอาภรณ์ที่เคยปกปิดเรือนร่างเอาไว้ก็ถูกปลดเปลื้องออกจนหมด เมื่อทั้งสองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าแล้วเมืองแมนก็กระตุกยิ้ม ก่อนจะสอดใส่ความเป็นชายเข้าไปในตัวคนที่อยู่ใต้ร่าง คำน้อยได้แต่นอนน้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้อีกฝ่ายย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างป่าเถื่อน

โดนกระทำย่ำยีอย่างนี้แล้วเขาคงไม่อาจกลับไปเป็นของคำป้อได้อีกแล้วสินะ มันน่าละอายใจมากเหลือเกิน....

หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.7 ตอบรัก [Up.22-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-09-2018 01:11:08
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.7 ตอบรัก [Up.22-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-09-2018 01:16:23
ลงซ้ำ?
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.7 ตอบรัก [Up.22-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-09-2018 02:27:32
พลาดตอนนี้ไปได้ไงหว่า แต่ว่าตอนที่ 7 นี่โพสซ้ำกับวันที่ 4 นิ  :hao4:
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.9 เมียรอง [Up.30-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 30-09-2018 21:23:42
บทที่ 9

เมียรอง



แสงหล้านั่งร้อนใจอยู่ภายในตำหนักทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอน จนตอนนี้รุ่งเช้าของวันใหม่แล้วแต่ทว่ายังไม่มีวี่แววว่าจะตามตัวคำน้อยเจอเลยสักนิด เขากลัวว่าข้าไทคนสนิทจะได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต แต่ในใจก็ยังหวังว่าจะได้เห็นหน้าคำน้อยอีกครั้งอย่างปลอดภัย

“เจ้าควรจักไปนอนพักผ่อนเสียบ้างนะแสงหล้า” จักรคำเดินเข้ามาหาก่อนจะนั่งลงข้างกัน จับมือเรียวทั้งสองข้างขึ้นมากุมไว้เพื่อให้กำลังใจ

“ฮึก ข้ากลัวเหลือเกินเจ้าพี่ ข้ากลัวว่าคำน้อยจักเป็นอันตรายถึงชีวิต จนถึงเพลานี้แล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจักเจอ”

“ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานทหารจักต้องนำข่าวดีมาแจ้งเป็นแน่แท้”

“ขอให้มันเป็นเยี่ยงนั้น หากคำน้อยรอดปลอดภัยกลับมาข้าจักพามันไปถือศีลกับตนบุญที่วัดสักเจ็ดวัน”

“หากข้าไม่ติดกิจอันใดจักไปกับพวกเจ้าด้วย”

ก่อนที่แสงหล้าจะเอ่ยตอบกลับไป นางข้าไทที่นั่งเฝ้าอยู่นอกตำหนักก็รีบวิ่งเข้ามากล่าวรายงานอย่างหน้าตาตื่น

“เกิดเหตุอันใดขึ้นรึ!” จักรคำลุกขึ้นจากตั่งเมื่อเห็นท่าทีตื่นตระหนกของนางข้าไท

“คำน้อยกลับมาแล้วเจ้า แต่...”

“คำน้อยกลับมาแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที ความเศร้าโศกเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง ก่อนจะรีบวิ่งออกไปที่หน้าคุ้มไม่รอผู้ใด

“แต่อันใดบอกข้ามา” จักรคำยังค้างคาใจกับสิ่งที่นางข้าไทจะบอก

“แต่คำน้อยนั่งบนเสลี่ยงมาพร้อมกับเจ้าเมืองแมนเจ้าค่ะ”

“เมืองแมนงั้นรึ!” จักรคำเอ่ยเบาๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย กลอกลูกตาไปมาเหมือนกังวลอะไรอยู่ในใจก่อนจะรีบวิ่งตามแสงหล้าออกไป



แสงหล้าวิ่งออกมาจนถึงหน้าคุ้มก็เจอกับภาพที่ทำให้ต้องประหลาดใจ คำน้อยนั่งอยู่บนเสลี่ยงภายในอ้อมแขนของเมืองแมน สีหน้าของคำน้อยมีแต่ความหวาดกลัวฉายออกมา บ่งบอกว่าไม่ได้เต็มใจกับการกระทำของเมืองแมนเลยสักนิด เห็นอย่างนั้นแสงหล้าก็กำมือแน่น รู้สึกโมโหขั้นสุด เพราะเข้าใจว่าเมืองแมนคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนี้

เมื่อเสลี่ยงถูกทหารหนุ่มรูปร่างล่ำสันทั้งสี่วางลงบนพื้นแล้วเมืองแมนก็ลุกขึ้น เดินพยุงร่างที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงของคำน้อยมาหยุดอยู่ตรงหน้าแสงหล้า ราวกับต้องการยั่วให้อีกฝ่ายรู้สึกโมโหโกรธาซะอย่างนั้น

“คำน้อยเอ็งเป็นอย่างใดบ้าง ข้าเป็นห่วงเอ็งทั้งคืนเลยรู้หรือไม่” แสงหล้าหันไปเอ่ยกับคำน้อยพร้อมทั้งร้องไห้ด้วยความดีใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัยกลับมา แม้จะอยู่ในสภาพอิดโรยก็ตามที

“เจ้านายน้อยของข้าเจ้า ฮึก” คำน้อยร้องไห้มองหน้าผู้เป็นนายตาละห้อย ก่อนจะทำท่าก้มลงกราบแทบเท้าแต่ทว่าเมืองแมนกลับรั้งตัวไว้เสียก่อน

“หยุด! ต่อจากไปนี้เจ้าห้ามก้มลงกราบแทบเท้าผู้ใดอีกเด็ดขาด เพราะเจ้าคือเมียของข้าแล้ว” เมืองแมนประกาศต่อหน้าบรรดาทหารและนางข้าไทที่กำลังนั่งมองอยู่ลานหญ้าหน้าคุ้ม

“เจ้าหมายความว่าอย่างใด เจ้าสินะที่เป็นผู้สั่งการให้ไอ้พวกเลวระยำนั่นมาทำร้ายพวกข้า” แสงหล้าแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน คำน้อยได้กลายเป็นเมียของเมืองแมนไปแล้วหรือนี่ เขาไม่อยากจะเชื่อเลย

“ข้าหาทำเยี่ยงนั้นไม่ คนอย่างข้าไม่ทำเรื่องเช่นนั้นให้เสียศักดิ์ศรีดอก หากแต่ข้าเป็นผู้ไปช่วยคำน้อยไว้ต่างหากเล่า และตอนนี้คำน้อยก็ตกลงปลงใจที่จักเป็นเมียข้าแล้ว” เมืองแมนยิ้มเยาะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ในเมื่อเขาไม่ได้ตัวแสงหล้ามาเป็นเมีย แต่เอาคำน้อยผู้ซึ่งเป็นที่รักและไว้ใจมากที่สุดไปเป็นเมียให้อีกฝ่ายทรมานใจเล่นก็ยังดี

ครั้งแรกที่เห็นคำน้อยนั่งบนเสลี่ยงมาพร้อมกับเมืองแมนคำป้อก็น้ำตาตกในทันที เขาเป็นเพียงแค่ทหารผู้ต้อยต่ำจึงไม่อาจปกป้องคนรักจากเมืองแมนได้เลย นั่นทำให้เขากำมือแน่นนั่งตัวสั่นเทาด้วยความโมโห หากเมืองแมนไร้ซึ่งยศถาบรรดาศักดิ์เขาคงจะวิ่งไปแย่งตัวคำน้อยมาแล้วกระทืบชายผู้นั้นให้จมดินเสีย

“ไม่มีทาง! คำน้อยไม่มีทางยอมเป็นเมียเจ้า เจ้าข่มเหงคำน้อยใช่หรือไม่”

“หากไม่เชื่อ เจ้าควรถามคำน้อยเองว่าข้าได้บังคับขืนใจมันหรือไม่” เมืองแมนเอ่ยด้วยความมั่นอกมั่นใจ ยืนยิ้มอย่างผู้ชนะ หากใครได้มาเห็นคงจะหมั่นไส้ชายผู้นี้เข้ากระดูกดำเป็นแน่แท้

“บอกข้ามาคำน้อยว่าเอ็งโดนมันบังคับขืนใจใช่หรือไม่” แสงหล้าหันไปเอ่ยกับข้าไทคนสนิท ที่ตอนนี้เอาแต่ยืนน้ำตาไหลลงมาเป็นทาง สภาพของคำน้อยแทบไม่เหลือเค้าคนที่เคยมีชีวิตชีวาเลยด้วยซ้ำ

“ข้าเจ้า ฮึก เป็นฝ่ายยอมเจ้าเมืองแมนเองเจ้า” คำน้อยก้มหน้าพูดไม่กล้าสบตาผู้เป็นนาย

“ข้าไม่เชื่อว่าเอ็งจักทำเยี่ยงนั้น กล่าวความจริงออกมาบัดเดี๋ยวนี้คำน้อย นี่คือคำสั่งของข้าผู้เป็นนายของเจ้า” แสงหล้าตะโกนใส่หน้าด้วยความโมโห เขามั่นใจว่าคำน้อยโดนเมืองแมนบังคับให้พูดอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

“ข้าเจ้า....ฮึก”

“หยุดเถอะแสงหล้า อย่าเพิ่งไปคาดคั้นเอาความจริงตอนนี้เลย ข้าเองก็เชื่อเหมือนเจ้าว่าคำน้อยคงโดนใครบางคนบังคับขู่เข็ญเป็นแน่” จักรคำเดินเข้ามายืนโอบไหล่แสงหล้าเพื่อร่วมต่อกรกับน้องชายต่างมารดาอีกแรง

เมื่อเห็นพี่ชายเมืองแมนก็ยกมือขึ้นไหว้สา แต่ทว่ามันกลับเป็นการทักทายอย่างไม่เต็มใจนัก ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยคิดว่าจักรคำเป็นพี่ชายเลยสักนิด ทั้งสองเป็นพี่น้องต่างมารดา จักรคือโอรสที่กำเนิดจากเจ้านางหลวง ส่วนเมืองแมนกำเนิดจากพระสนมเอก หลังจากมารดาของทั้งสองได้เสียชีวิตพร้อมกันจากอุบัติเหตุทางเรือเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ตอนนี้เจ้าหลวงนั่งอยู่บนตั่งทองโดยไร้ซึ่งเจ้านางหลวงและสนมเอกเคียงกาย แต่ทว่าก็ยังคงมีสนมนางอื่นๆ ที่เข้ามาถวายตัวอยู่ไม่ขาด การเป็นลูกที่เกิดจากเมียน้อยทำให้เมืองแมนอยู่นอกสายตาของผู้เป็นบิดามาโดยตลอด นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องการเอาชนะพี่ชายตนเองไม่เว้นแม้กระทั่งผู้เป็นบิดามาโดยตลอด

“เจ้าพี่กล่าวเยี่ยงนี้หมายความถึงข้าใช่หรือไม่” เมืองแมนชักสีหน้าใส่ผู้เป็นพี่ชายด้วยความไม่พอใจ

“ข้าไม่ได้เอ่ยชื่อผู้ใด แต่หากเจ้าไม่ได้ทำเยี่ยงนั้นก็หาต้องร้อนตัวไม่”

“กล่าวอันใดเจ้าพี่ก็คงไม่รับฟัง ที่ข้ามาเพราะต้องการจะแจ้งให้เมียของเจ้าพี่รู้ว่า ต่อจากไปนี้คำน้อยจักไปอยู่ที่คุ้มกับข้าในฐานะเมียรอง มียศเป็นเจ้าให้สมฐานะกับข้า”

“ไม่ได้! ข้าไม่มีวันให้คำน้อยไปอยู่กับเจ้าเด็ดขาด คำน้อยเป็นคนของข้า”

“แต่คำน้อยเป็นเมียข้าแล้ว อีกอย่างควรให้คำน้อยเป็นผู้ตัดสินใจเอง...ดีหรือไม่เล่า” เมืองแมนกระตุกยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัย

“หากเอ็งตัดสินใจไปอยู่กับผู้ชายคนนี้ข้ากับเอ็งขาดกัน นับจากนี้ถือซะว่าเราไม่เคยรู้จักกันและข้าจะถือว่าเจ้าไม่ใช่คนเมืองผาพิงค์อีกต่อไป” แสงหล้าเอาเรื่องนี้มาขู่เพื่อให้คำน้อยกล้าที่จะเอาชนะความกลัว เขารู้ว่าตอนนี้เมืองแมนต้องขู่อะไรบางอย่างเอาไว้แน่นอน

“เอ็งหาต้องกลัวผู้ใดไม่ เพราะนอกจากเจ้าหลวงแล้วข้าถือว่ามีอำนาจสูงสุดแล้ว ข้าจักปกป้องเอ็งไม่ให้ถูกโดนผู้ใดทำร้ายได้แน่ กล่าวสิ่งที่เอ็งต้องการจริงๆ ออกมาเถอะคำน้อย” จักรคำเอ่ยเพื่อคำน้อยมีความมั่นใจว่าจะปลอดภัยหากเอ่ยปฏิเสธเมืองแมนออกมา

ได้ยินอย่างนั้นเมืองแมนก็จ้องมองผู้เป็นพี่ชายตาเขม็ง กำมือไว้แน่นอย่างอาฆาตแค้น

“ข้าเจ้า....ข้าเจ้าจักไปอยู่ที่คุ้มกับเจ้าเมืองแมนเจ้า”

“คำน้อย! เอ็งกล่าวอันใดออกมารู้ตัวรึไม่ เหตุใดล่ะคำน้อย! เหตุใดเจ้าถึง...” แสงหล้าตะโกนใส่หน้า ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห เขาอยากจะรู้ว่าเหตุผลใดที่ทำให้คำน้อยกลัวเมืองแมนถึงเพียงนี้

“ข้าเจ้าต้องขอสุมาเจ้านายน้อยด้วยนะเจ้า ข้าเจ้าต้องการมีชีวิตที่สุขสบาย ข้าเจ้าไม่อยากเป็นข้าไทไปตลอดชีวิต” นั่นคือเหตุผลที่คำน้อยเอ่ยกับผู้เป็นเจ้านาย แม้ว่าคำพูดจะตัดรอนความสัมพันธ์แต่ทว่าเจ้าตัวกลับน้ำตาไหลลงมาเป็นทาง

“เอ็งโกหก! เอ็งไมใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูง บอกความจริงกับข้ามาว่าเอ็งทำเยี่ยงนี้ด้วยเหตุผลอันใด” แสงหล้าเองก็น้ำตาไหลพรากไม่ต่างกัน จักรคำเห็นอย่างนั้นก็โอบไหล่บางเอาไว้แน่นเพื่อปลอบประโลมใจ

“ข้าเจ้ากล่าวความจริงแล้ว จากนี้ไปข้าเจ้าคงไม่ได้มารับใช้เจ้านายน้อยอีกต่อไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้า”

พูดจบคำน้อยก็ปรายตาหนีไปอีกทาง แต่ทว่ากลับเห็นคนรักกำลังจ้องมองมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เห็นอย่างนั้นก็ทำให้หัวใจที่เจ็บปวดอยู่แล้วเพิ่มทวีคูณขึ้นไปอีก คำป้อคงจะโกรธเกลียดเขาไปแล้วเพราะเพิ่งจะบอกรักกันเพียงแค่ไม่กี่วัน เขากลับกลายเป็นอื่นไปเสียแล้ว ก่อนที่จะเสียใจไปมากกว่านี้คำน้อยจึงตัดใจหันกลับมามองหน้าแสงหล้าอีกครั้ง

“ชัดเจนเยี่ยงนี้แล้วหาควรมีข้อสงสัยอันใดไม่ ข้าขอตัวกลับคุ้มพร้อมกับเมียสุดที่รักของข้าก่อน” เมืองแมนเอ่ยก่อนจะโน้มใบหน้าไปหอมแก้มคำน้อยฟอดหนึ่ง เอื้อมมือไปโอบไหล่เอาไว้แน่น

“ข้าขอให้เจ้าคำน้อยโชคดีมีสุขกับชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ไปหากเจอหน้าหาควรต้องทักกันไม่ เพราะข้าไม่อยากสนทนากับคนเยี่ยงนี้”

พูดจบแสงหล้าก็เดินกลับเข้าไปในตำหนัก เขาไม่อาจทนรับฟังเรื่องที่สุดแสนจะเจ็บปวดอย่างนี้ได้อีกแล้ว เขารักคำน้อยไม่ต่างจากพี่น้องร่วมสายเลือด แต่ทำไมคำน้อยถึงได้ทำกับเขาอย่างนี้ ตอนนี้เขาไม่เหลือใครพอที่จะปรับทุกข์ในเมืองนี้ได้อีกแล้ว

“ข้าเจ้าฝากเจ้านายน้อยด้วยนะเจ้า” คำน้อยยกมือไหว้สาจักรคำด้วยใบหน้าเศร้า

“ไม่ต้องห่วงนายของเจ้าดอก ข้าจักดูแลแสงหล้าด้วยชีวิต หากมีอันใดที่ทำให้เอ็งไม่สบายใจ คุ้มนี้ยินดีต้อนรับเจ้าเสมอนะคำน้อย” จักรคำเอ่ย

“ข้าเจ้าคงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”

“ได้ยินชัดเจนแล้วนะเจ้าพี่ คำน้อยต้องการไปอยู่ที่คุ้มกับข้าอย่างเต็มใจ หาควรมีเรื่องต้องเป็นห่วงไม่ ข้าลาล่ะ” เมืองแมนยกมือไหว้สาก่อนจะหันหลังกลับพร้อมคำน้อย

“ช้าก่อน!”

ได้ยินอย่างนั้นทั้งสองก็หยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับมามองจักรคำพร้อมกัน

“มีอันใดอีกรึเจ้าพี่”

“หากเจ้าคิดว่าทำเยี่ยงนี้แล้วทุกอย่างมันจักดีขึ้น ข้าบอกไว้เลยว่าไม่มีทาง หากเจ้าเอาคำน้อยเข้าไปอยู่ในคุ้มด้วยอีกคน เจ้าคิดรึว่าเครือแก้วจักยอมแต่โดยดี”

“เจ้าพี่หาควรยุ่งกับเรื่องของข้าไม่” เมืองแมนถลึงตาใส่ผู้เป็นพี่ชายด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร

“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”

“หาต้องเตือนข้าไม่ เจ้าพี่เป็นเพียงพี่ชายไม่ใช่พ่อ!” เมืองแมนพูดเน้นเสียงคำสุดท้าย ก่อนจะเดินขึ้นเสลี่ยงไปพร้อมกับคำน้อย

“กลับคุ้ม!”

คำป้อได้แต่มองตามหลังคนรักอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่มีอีกแล้วสินะข้าไทที่ชื่อคำน้อย มีแต่เจ้าคำน้อยผู้เป็นชายารองของเจ้าราชวงศ์ ใช่สินะ! เขาเป็นเพียงคำป้อผู้ต่ำต้อยไม่มียศศักดิ์อันใดที่จะทำให้คำน้อยสบายได้ เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันเห็นคนรักอยู่ดีมีสุขเขาควรจะดีใจด้วย

“ข้าดูออกว่าเอ็งกับคำน้อยหาใช่เพื่อนร่วมห้องธรรมดาไม่” จักรคำเอ่ยกับข้าไทคนสนิทเมื่อเห็นว่าคำป้อมีสีหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าเจ้าดีใจที่คำน้อยได้ดิบได้ดี เป็นถึงชายารองของเจ้าเมืองแมน” กล่าวจบคำป้อก็ถอนหายใจเสียงดัง บ่งบอกว่าสิ่งที่พูดกับความรู้สึกภายในใจไม่ตรงกันเลยสักนิด

“ข้ารู้ว่าเอ็งเสียใจมากแค่ไหน แต่เชื่อข้าเถอะว่าหากเราเป็นคู่กันแล้ว วันหนึ่งจักต้องได้กลับมาครองคู่กันอีกเป็นแน่”

“ข้าเจ้าไม่ได้หวังเยี่ยงนั้น แต่ข้าเจ้าหวังเพียงว่าคำน้อยจักอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุข เท่านั้นข้าเจ้าก็ดีใจมากแล้ว”

“ข้าเองก็หวังให้มันเป็นเยี่ยงนั้น” จักรคำกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขารู้จักนิสัยน้องชายดี อีกฝ่ายต้องการเอาชนะเป็นที่สุด การเอาคำน้อยไปเป็นเมียอีกคนโดยไม่ใช่เพราะความรัก แต่ต้องการเอาชนะเขาและแสงหล้าเท่านั้นเอง เขากลัวว่าคำน้อยจะถูกเครือแก้วเล่นงานจนทำให้ไม่มีความสุข โดยที่เมืองแมนเองก็อาจจะไม่ได้สนใจมากนัก



เหมันต์เดินเข้าไปในตำหนักก็เจอแสงหล้ากำลังนั่งร้องไห้เสียใจอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปนั่งข้างกันก่อนจะโอบกอดไหล่บางเอาไว้เพื่อให้กำลังใจ

“ทำใจเสียเถอะคำน้อยตัดสินใจแล้ว”

“ฮือๆ ๆ ข้าน้อยใจเหลือเกินที่คำน้อยไม่ยอมกล่าวความจริงกับข้า ทั้งที่เราก็มีกันเพียงแค่สองคน เหตุใดคำน้อยถึงทำเยี่ยงนี้” แสงหล้าเสียใจเป็นที่สุด หากคำน้อยเอ่ยกับเขาตามจริงว่าโดนเมืองแมนบังคับขืนใจ เขาเองก็พร้อมที่จะปกป้องด้วยชีวิต แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเลือกที่จะยอมไปกับเมืองแมนโดยไม่ปรึกษาเขาก่อนเลยสักคำ

“ข้าเชื่อว่าคำน้อยต้องมีเหตุผล เจ้าเองก็รู้จักนิสัยคำน้อยดีไม่ใช่หรือ คำน้อยไม่ได้เป็นคนเหลวไหลเยี่ยงนั้นสักหน่อย”

“ไม่ว่าจักด้วยเหตุผลอันใดคำน้อยก็ควรมาปรึกษาข้าก่อนในฐานะเจ้านาย แต่มันกลับตัดสินใจตอบรับไปเยี่ยงนั้นแล้วข้าจักช่วยอันใดมันได้เล่าเจ้าพี่”

“ข้าเชื่อว่าสักวันคำน้อยจักเป็นฝ่ายพูดความจริงกับเจ้าเอง ให้เวลาคำน้อยสักระยะ เจ้าก็เห็นว่าสภาพคำน้อยเป็นเช่นไร แรงจะยืนก็หามีไม่ ตอนนี้สภาพจิตใจของคำน้อยก็ใช่ว่าจะสู้ดีนัก ข้าสัญญาว่าจักหาทางทำให้คำน้อยกลับมาอยู่ที่คุ้มให้จงได้”

“เจ้าพี่ต้องช่วยคำน้อยกลับมาให้ได้นะเจ้า ข้าไม่ควรเอ่ยกับคำน้อยเยี่ยงนั้นเลย ป่านนี้มันคงจักไม่สบายใจอยู่เป็นแน่แท้” เมื่อความโมโหโกรธาในใจสงบลงแสงหล้าก็รู้สึกผิด นึกถึงเมื่อครั้งที่คำน้อยเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อช่วยให้เขารอดพ้นจากเงื้อมมือของไอ้พวกจัญไรนั่น ก็ทำให้ความระแวงในใจหายเป็นปลิดทิ้ง เขาไม่ควรจะด่าว่าคำน้อยแต่ควรหาวิธีช่วยต่างหาก

“อย่าได้เป็นกังวลอันใดเลย ไปพักผ่อนเถอะเจ้าเองก็อดหลับอดนอนมาทั้งคืนไม่ใช่รึ”

“เจ้า” แสงหล้าตอบรับแต่ยังคงกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นอย่างลืมตัว

“หรือเจ้าจักนั่งกอดข้าอยู่ที่นี่จนถึงรุ่งเช้า” จักรคำเอ่ยขณะกระชับอ้อมแขนไว้แน่น ยิ้มกริ่มอย่างพอใจ

เมื่อรู้ตัวแสงหล้าก็ทำหน้าเหลอหลาคลายอ้อมกอดทันที ใบหน้าขาวแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อครู่เขามัวแต่ร้องไห้เสียใจพออีกฝ่ายเข้ามาปลอบจึงเผลอตัวไป คิดได้อย่างนั้นก็อยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาดเพื่อเตือนสติว่าไม่ควรทำอย่างนี้อีก

“อย่าทำหน้าราวกับเจ้าทำผิดเยี่ยงนั้น ข้าดีใจที่เราได้มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกันเยี่ยงนี้ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าข้าเสน่หาในตัวเจ้ามาตลอดนะแสงหล้า แต่คนอย่างข้าคงได้เพียงแค่หวังลมๆ แล้งๆ เพราะรู้ดีว่าเจ้าหาชายตาแลคนเลวเยี่ยงข้าไม่” จักรคำไม่ลังเลที่จะบอกความรู้สึกภายในใจให้อีกฝ่ายรับรู้ อย่างน้อยหากทำอะไรรุ่มร่ามไปแสงหล้าจะได้รู้ตัวว่ามันเกิดจากความรู้สึกของเขาจริงๆ

“เจ้าพี่พูดอันใดข้าหาเข้าใจไม่”

แสงหล้าหลบตาเขาก่อนจะรีบเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องนอน จักรคำได้แต่มองตามหลังด้วยรอยยิ้มที่มีหวัง สักวันเขาจะทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนยอมรับมิตรไมตรีที่มอบให้อย่างเต็มใจ...เขาจะรอวันนั้น

เมื่อเข้ามาในห้องนอนแล้วแสงหล้าก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ก่อนจะนึกถึงประโยคที่จักรคำเอ่ยเมื่อสักครู่ อีกฝ่ายมีใจให้เขางั้นเหรอเป็นไปไม่ได้ แล้วเหตุใดหัวใจเขาจะต้องเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินอย่างนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขากันแน่ ทำไมแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวแถมยังต้องมานั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวอย่างนี้อีกด้วย

หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.9 เมียรอง [Up.30-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-10-2018 02:17:56
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.9 เมียรอง [Up.30-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-10-2018 02:22:32
คำน้อยผู้น่าสงสาร  :m15:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.9 เมียรอง [Up.30-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 01-10-2018 08:43:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.9 เมียรอง [Up.30-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 01-10-2018 10:10:15
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.9 เมียรอง [Up.30-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-10-2018 10:25:53
สงสารคำน้อยจัง
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.9 เมียรอง [Up.30-09-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 01-10-2018 17:48:53
สงสารคำน้อย ต่อไปคงโดนเมียเอกอย่างคำแก้วใส่ร้ายป้ายสีแน่ๆ
เมืองแมนคงขู่เกีืยวกับเจ้าแสงหล้าแน่ๆ
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 18-10-2018 15:17:20
บทที่ 10

เหตุผลที่ทนเจ็บปวด



เมื่อมาถึงคุ้มแล้วคำน้อยก็เดินตามหลังเมืองแมนเข้าไปในตำหนักโดยไม่พูดจาใดๆ เจ้าตัวยังคงนึกถึงสีหน้าและแววตาที่แสงหล้าและคำป้อแสดงออกว่าผิดหวังในตัวเขามากแค่ไหน เขาทำให้คนทั้งสองต้องผิดหวังเสียใจ แต่ทว่าทุกสิ่งอย่างที่ทำเขามั่นใจว่ามันคือทางที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้

เมื่อเครือแก้วเห็นคำน้อยเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก้มลงมองหน้านางเขียนที่นั่งอยู่บนพื้นถลึงตาใส่เชิงตำหนินางข้าไท สื่อว่างานที่สั่งให้ทำนั้นไม่สำเร็จตามเป้าหมาย เครือแก้วเข้าใจว่าคำน้อยจะมาเอาเรื่องที่เธอส่งคนไปทำร้าย

“มึงบอกกูมาสิอีเขียนว่าทำไมมันถึงเดินตามหลังผัวกูมา มึงมันไม่ได้เรื่องเลยให้ตายสิ”

“ข้าเจ้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” นางเขียนทำหน้าเศร้าด้วยความรู้สึกผิด แต่ทว่าในใจกลับพ่นคำก่นด่าผู้เป็นนายไม่หยุดหย่อน

“กูไม่น่าทำตามที่มึงแนะนำเลยจริงๆ ไม่รู้ว่ามันจะมาเอาเรื่องกูถึงที่นี่รึเปล่า” เจ้านางยกนิ้วเรียวขึ้นจิ้มลงตรงกลางหน้าผากนางเขียนแล้วออกแรงผลัก จนศีรษะนางข้าไทโน้มไปตามแรง

“เจ้านางรีบไปเอาใจเจ้าราชวงศ์ก่อนสิเจ้าคะ” นางเขียนเอ่ยแนะนำผู้เป็นนาย

“อย่าริบังอาจมาสั่งกู” เครือแก้วเหลือบตามองนางข้าไทอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินตรงไปหาสวามี

นางเขียนเองก็ไม่ชอบใจนักที่โดนผู้เป็นนายต่อว่าต่อขานอยู่บ่อยๆ ทั้งที่ตัวเธอมีความจงรักภักดีมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดนอย่างนี้ก็ทำให้คนที่เคยคิดว่าสามารถตายแทนได้เริ่มน้อยใจและเบื่อหน่ายขึ้นทุกวันๆ

“เหตุใดเจ้าพี่ถึงพาไอ้เชลยต่างด้าวเข้ามาในตำหนักด้วยล่ะเจ้า” เครือแก้วควงแขนผู้เป็นสวามีเอาไว้ พร้อมทั้งเหลือบตามองผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร

คำน้อยไม่ได้มีกะจิตกะใจที่จะต่อกรกับผู้ใดเลยสักนิด เขาอยากไปพักใจอยู่ที่ใดสักแห่งเพียงลำพังเหลือเกิน เพราะในหัวยังคงคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยังคงสะเทือนใจไม่หาย

“คำน้อยจะมาอยู่ที่นี่ในฐานะเมียข้าอีกคน” เมืองแมนเอ่ยกับชายาอย่างไม่ยี่หระ

“กรี๊ดดดดด!!! เหตุใดเจ้าพี่ถึงกับกับข้าเยี่ยงนี้!” เครือแก้วปล่อยแขนสวามีด้วยความน้อยใจ ก่อนจะเดินถอยห่างเล็กน้อย เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาใช้ผู้ชายร่วมกับข้าไทต่างเมือง แถมยังเป็นคนที่เธอเกลียดเข้าไส้อีกด้วย

“มันเรื่องของข้า!” เมืองแมนพูดตอกหน้าชายาก่อนจะหันไปเอ่ยกับนางข้าไททั้งหลาย “ต่อไปนี้คำน้อยคือเมียของข้า มีศักดิ์เป็นเจ้าเยี่ยงเจ้านางเครือแก้ว ให้เรียกคำน้อยว่าเจ้าคำน้อยพวกเอ็งได้ยินรึไม่” เมืองแมนตะโกนสั่งนางข้าไทในตำหนัก

“เจ้าค่ะ” นางข้าไทขานรับพร้อมกัน หนึ่งในนั้นก็คือนางเขียนที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ด้วยความอิจฉาริษยา เมื่อเห็นคำน้อยได้ดีกว่าตัวเอง

“ตามข้ามา” เมื่อทุกคนรับทราบเมืองแมนก็หันไปเอ่ยกับเมียคนใหม่

“ช้าก่อน! เจ้าพี่จักให้มันอยู่ในตำหนักนี้ไม่ได้ ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด!”

“ที่นี่คือคุ้มของข้าเจ้าลืมไปแล้วรึ”

“เจ้าพี่!!” เครือแก้วมองหน้าผู้เป็นสวามีด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด

“อย่ามองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนั้น หากเจ้าไม่อยากเจ็บตัว” เมืองแมนไม่ยอมให้สตรีมามีอำนาจเหนือตนแน่นอน หากผู้ใดมันคิดเหิมเกริมเขาก็จะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น

เมื่อโดนขู่เครือแก้วก็ยอมอ่อนลง เจ้าหล่อนก้มหน้าไม่กล้าสบตาสวามี เพราะรู้ดีว่าเวลาอีกฝ่ายโมโหร้ายนั้นจะต้องโดนอะไรบ้าง

“เอาเถอะ...ข้าจักให้คำน้อยไปอยู่ตำหนักเล็ก” เมืองแมนเอ่ยกับชายา อย่างน้อยก็จะได้ตัดปัญหาว่าทั้งสองจะมีเรื่องตบตีกัน นั่นเพราะตอนนี้เขาไม่ได้มีเวลามากพอที่จะมาสนใจเรื่องผัวๆ เมียๆ อย่างนี้แน่เพราะกำลังมีงานใหญ่ที่ต้องจัดการ

“จริงรึเจ้าพี่...ข้าดีใจเหลือเกินที่อย่างน้อยเจ้าพี่ยังให้ข้าเป็นใหญ่กว่ามัน” เครือแก้วเริ่มยิ้มออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น

“ข้าไม่อยากให้พวกเจ้ามีปัญหากัน ช่วงนี้ข้าจักไปนอนที่ตำหนักเล็กกับคำน้อยไม่ต้องรอข้านะ” ว่าแล้วเมืองแมนก็เดินนำหน้าไปยังตำหนักเล็ก ซึ่งอยู่ติดกับตำหนักใหญ่ที่เขาและเครือแก้วพำนักอยู่นั่นเอง

ก่อนจะเดินผ่านเมียหลวงไปนั้น คำน้อยก็ไม่ลืมที่จะยิ้มมุมปากเยาะเย้ยเครือแก้ว เชิงเป็นการประกาศศึกอย่างเป็นทางการ ในเมื่อเขาไม่มีทางเลือกแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปให้ถึงที่สุด แม้ว่าตัวเองจะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตามที

หลังจากคำน้อยเดินตามหลังเมืองแมนไปแล้ว เครือแก้วก็ยืนกำมือไว้แน่น ถลึงตามองตามหลังไปอย่างอาฆาตแค้น ตอนแรกกะว่าจะเล่นงานแสงหล้าเพราะเห็นว่าเมืองแมนสนใจอีกฝ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ตอนนี้เจ้าหล่อนคงจะต้องคิดใหม่เสียแล้ว เพราะคนที่น่ากลัวกว่าแสงหล้าเป็นเท่าตัวก็คือคำน้อยต่างหาก

“กรี๊ดดดดดดด!!! กูจะเล่นงานมึงให้จมดินไม่ได้ผุดได้เกิดเลยคอยดู” หลังจากกรีดร้องเสียงดังแล้ว เจ้าหล่อนก็กระทืบเท้าตามไปด้วย ทำให้บรรดานางข้าไทที่นั่งอยู่ต่างก็ก้มหน้างุดไม่กล้าหันมามองเพราะกลัวจะโดนเจ้านางเล่นงานเอา

“ข้าเจ้าสนับสนุนเต็มที่เลยเจ้าค่ะ” นางเขียนยื่นหน้ามาเอ่ยสนับสนุนผู้เป็นนายเพื่อเป็นการเอาใจ แต่ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานั่งคือโดนเท้าถีบยันที่ต้นแขนจนล้มลงกับพื้นซะอย่างนั้น

“โอ๊ยยยย!! ข้าเจ้าเจ็บนะเจ้าคะ”

“นี่มันยังน้อยไปกับการที่มึงทำงานพลาด สั่งคนไปตามเก็บไอ้พวกนั้นให้หมดทุกคนอย่าให้มันปริปากซัดทอดมาถึงกูได้”

“เจ้าค่ะเจ้านาง” นางเขียนก้มหน้ารับคำสั่งด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว แต่ต้องข่มมันเอาไว้ในใจเพราะความจงรักภักดีมันค้ำคออยู่ หากเลือกได้เธออยากจะออกไปอยู่นอกเขตรั้ววัง ใช้ชีวิตอย่างชาวบ้านธรรมดา ไม่อยากเป็นที่ระบายอารมณ์ของเจ้านางผู้มีนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างนี้อีกแล้ว



คำน้อยเดินตามหลังเมืองแมนเข้ามายังตำหนักเล็กๆ ภายในเขตคุ้มเดียวกัน เข้ามาด้านในแล้วเมืองแมนก็สั่งให้บรรดาทหารที่ติดตามมาด้วยออกไปรอหน้าตำหนักเสียก่อน เพราะอยากใช่ช่วงเวลานี้สนทนากับชายาคนใหม่เพียงลำพัง

“นี่คือเรือนใหม่ของเจ้า ข้าว่ามันคงจะดีกว่าเรือนไม้หลังเล็กๆ ในคุ้มเจ้าพี่อยู่มากโข” เมืองแมนเอ่ยกับคำน้อย ที่ตอนนี้เอาแต่ยืนนิ่งเหม่อลอยไร้ซึ่งชีวิตชีวา

“.....”

“ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะคำน้อยอย่าเมินข้าเยี่ยงนี้ เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำตัวอย่างนี้ต่อหน้าข้าเข้าใจหรือไม่” เมื่อโดนอีกฝ่ายเมิน เมืองแมนก็เดินเข้าไปประชิดตัวกอดจากด้านหลัง พรมจูบตามซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย แต่ทว่าคำน้อยกลับไม่ได้ต่อสู้ขัดขืนเลยสักนิด

“ท่านต้องรักษาสัญญาที่ได้เอ่ยกับข้าไว้ หาไม่ข้าจักเป็นคนฆ่าท่านด้วยมือของข้าเอง”

“ได้! ข้าสัญญาขอเพียงแต่เจ้ายอมอยู่ที่นี่อย่าดื้อกับข้าเป็นพอ ตอนแรกข้าหมายปองนายของเจ้าแต่ตอนนี้ข้าไม่ได้สนใจแล้ว เพราะตัวเจ้าน่าสนใจยิ่งกว่าเป็นเท่าตัวนัก อยู่ที่นี่ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง และที่สำคัญห้ามเจ้ากลับไปที่คุ้มหาแสงหล้าอีกเด็ดขาด หากข้ารู้รับรองว่านายของเจ้าไม่รอดพ้นมือข้าไปแน่” เขาเอ่ยพลางกดจมูกคมลงบนซอกคอขาว ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มเรือนร่างบางเอาไว้อย่างช้าๆ

“ข้าไม่มีอารมณ์” คำน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจนัก เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะโดนอีกฝ่ายกระทำย่ำยีอีกครั้ง

“แต่ข้ามี”

เมืองแมนไม่ยอมฟังคำคัดค้าน เขาปลดเปลื้องอาภรณ์ส่วนที่เหลือออก จนตอนนี้คำน้อยยืนตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่ตรงหน้าแล้ว มือหนาสอดไปที่สีข้างก่อนจะวางไว้ที่ยอดปทุมถันเม็ดงาม เขาสะกิดมันเบาๆ ทำเอาร่างบางสะดุ้งโหยงเมื่อได้รับสัมผัสสวาทนั้น

“อ๊ะ...อื้อ” คำน้อยพยายามข่มเสียงตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมา แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งรุกหนักมากขึ้นทำเอาน้ำตาแห่งความเสียใจไหลลงมาเป็นทาง

“หยุดร้องบัดเดี๋ยวนี้รังเกียจข้าขนาดนั้นเลยรึ!” เมื่อน้ำตาของคำน้อยหยดแหมะลงที่แขน ก็ทำให้เมืองแมนอารมณ์เสียขึ้นมาทันที

“ใช่! ตัวท่านมันสกปรกยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกนี้” เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนสัตว์เดียรัจฉานเลื้อยไต่ร่างกายอยู่ซะอย่างนั้น

“พยศไม่ต่างจากนายของเจ้าเลยสักนิด...ข้าชอบใจยิ่งนัก” ว่าแล้วเมืองแมนก็อุ้มร่างอันเปลือยเปล่าขึ้นในท่าเจ้าสาว ก่อนจะพาเดินไปที่เตียง เมื่อวางร่างคำน้อยไว้บนเตียงแล้วเมืองแมนก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองบ้าง ก่อนจะขึ้นบนไปคร่อมตัวเอาไว้แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเบนหน้าหนีอย่างไร้อารมณ์ร่วม

“มองตาข้า!” เขาออกคำสั่งแต่อีกฝ่ายยังคงเมินเฉย

“พยศไม่ต่างจากนายของเจ้าเลยสักนิด...ข้าชอบใจยิ่งนัก” ว่าแล้วเมืองแมนก็อุ้มร่างอันเปลือยเปล่าขึ้นในท่าเจ้าสาว ก่อนจะพาเดินไปที่เตียง เมื่อวางร่างคำน้อยไว้บนเตียงแล้วเมืองแมนก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองบ้าง ก่อนจะขึ้นบนไปคร่อมตัวเอาไว้แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเบนหน้าหนีอย่างไร้อารมณ์ร่วม

“อยากทำอันใดก็เชิญข้าไม่อาจปฏิเสธท่านได้อยู่แล้ว รีบทำให้มันจบๆ ไปเสีย” คำน้อยหันมามองใบหน้าคมที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่แข็งกร้าว

“ยิ่งเจ้าเมินข้าเยี่ยงนี้ ข้ายิ่งจักยืดเวลาแห่งความสุขนี้ให้มันยาวนาน เจ้าจักได้รู้ว่าความทรมานมันเป็นเยี่ยงไรหึๆ” ว่าแล้วเมืองแมนก็โน้มใบหน้าคมลงบนยอดอกสีกลีบกุหลาบ ส่งลิ้นสากออกมาตวัดเลียวนมันอยู่อย่างนั้นเพื่อทรมานอีกฝ่าย ทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่มีอารมณ์ร่วมก็ให้มันรู้กันไป

“อ๊ะ!” คำน้อยเผลอร้องออกมาก่อนจะขบริมฝีปากล่างเอาไว้ เพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกไปอีก

เมืองแมนจับมือเรียวเล็กให้ไปสัมผัสแก่นกายที่กำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ มันแข็งขันไปทุกสัดส่วนจนคำน้อยต้องชักมือกลับคืนมา ครั้งก่อนที่มีอะไรกันไม่ได้มีความละเมียดละไมถึงเพียงนี้ เมืองแมนรีบยัดเยียดความเป็นชายเข้าไปในตัวนั่นเพราะตอนนั้นเขาขัดขืนอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง

“อย่าปฏิเสธข้า!” เขาสั่งอีกครั้งทำเอาคนที่นอนนิ่งอยู่ถึงกับยอมปล่อยให้เขาทำตามใจอีกครั้ง

คำน้อยจำต้องยอมกำรอบแท่งร้อนนั้นไว้ให้มั่นก่อนจะรูดมันขึ้นลงตามสัญชาตญาณความเป็นชาย มันน่าอายเหลือเกินที่เขาต้องมาทำเช่นนี้ให้กับคนที่เกลียดนักหนา รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร่ค่าไร้ราคาซะเหลือเกิน ที่ต้องมาเสียตัวให้ชายถึงสองคนในเวลาไล่เลี่ยกันอย่างนี้

เมื่ออีกฝ่ายยอมทำตามใจแล้ว เมืองแมนก็สอดมือไปช้อนที่แผ่นหลังดึงตัวคำน้อยให้ขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็ขยับตัวถอยหลังไปเล็กน้อยแล้วกดศีรษะอีกฝ่ายลง ให้ริมฝีปากบางตรงตำแหน่งความเป็นชาย

“อื้อออ อ็อก!!”

เมื่อแท่งร้อนถูกสอดใส่เข้ามาในโพรงปากทำเอาคำน้อยแทบจะสำลักความมหึมานั่น แต่ทว่าเมืองแมนกลับไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสหายใจหายคอ เขาจับศีรษะคำน้อยโยกขึ้นลงเป็นจังหวะ เพื่อสนองความใคร่ให้กับตัวเองก่อนจะเงยหน้าหลับตาพริ้ม สูดปากส่งเสียงเสียวไปด้วยความสุขสม

ไม่นานเจ้าราชวงศ์ก็ผลักร่างบางให้นอนราบลงบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะพลิกตัวให้นอนคว่ำ โน้มตัวนอนทับทาบทุกสัดส่วนของคำน้อยเอาไว้จนแทบขยับตัวไม่ได้ มือเรียวทั้งสองข้างถูกตรึงเอาไว้บนเตียงแน่น ขาเรียวทั้งสองข้างถูกแยกออกจากกันด้วยท่อนขาแกร่ง

“ข้าต้องการเจ้าเหลือเกินคำน้อย ข้าต้องการเจ้าได้ยินหรือไม่” เมืองแมนเอ่ยเสียงกระเส่าข้างใบหูงาม ปล่อยมือข้างหนึ่งไปจับแก่นกายถูไถที่แก้มก้นงามงอนอย่างหื่นกระหาย ไม่นานเขาก็ปล่อยน้ำบ่อน้อยจากปากลงบนฝ่ามือ เพื่อใช้เป็นน้ำหล่อลื่นในการนำพาความเป็นชายเข้าไปในตัวคำน้อย

ชายร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนสัมผัสที่ช่องทางรัก ยิ่งเมื่อเมืองแมนส่งนิ้วหนาเข้าไปลองเชิงเจ้าตัวยิ่งอยู่ไม่สุข นิ้วเรียวทั้งห้ากำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น ขบริมฝีปากล่างเอาไว้เพื่อข่มความเจ็บปวดที่กำลังค่อยๆ แผ่ซ่านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ...อื้อ...ฮึก”

เมื่อนิ้วหนาถูกแทนที่ด้วยแท่งร้อนยาวใหญ่ คำน้อยก็เบิกตาโพลงด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลพรากลงมาเป็นสาย เจ้าตัวทำได้เพียงซบแก้มขาวนวลลงบนเตียงร้องไห้โฮด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา

“ซี๊ดส์!!!! ข้ามีความสุขเหลือเกินคำน้อย ถ้าเจ้าทำตัวดีๆ ข้าสัญญาว่าจักดูแลเจ้าให้มีความสุข อ่าส์!” เมืองแมนเอ่ยเสียงกระเส่าข้างใบหูสวยขณะกระแทกกระทั้นความใหญ่โตเข้ามาในร่างของคำน้อย ชายหนุ่มเอาแต่พรมจูบไปตามแผ่นหลังสวยด้วยความพอใจเป็นที่สุด

นิ้วทั้งห้าของคำน้อยที่กำผ้าปูที่นอนอยู่นั้นจำต้องคลายออกมา เมื่อโดนอีกฝ่ายประสานนิ้วแกร่งเอาไว้แน่น เรือนร่างกำยำของเมืองแมนที่ทับทาบอยู่บนร่างเล็กขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ ทำเอาความร้อนรุ่มภายในกายแผ่ซ่านไปทั้งร่าง อุณหภูมิร่างกายที่สูงลิ่วส่งเหงื่อกาฬให้ผุดออกมาจากรูขุมขนอยู่เนืองๆ จนเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง

“อือ...อ้าส์....อ๊ะ”

ความเสียวซ่านที่อีกฝ่ายส่งมาให้ผ่านช่องทางรัก ทำเอาคนที่นอนอยู่ใต้ร่างเผลอร้องครวญครางออกมาเป็นระยะ เมืองแมนยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะเร่งจังหวะรักให้รุนแรงขึ้น

“ขะ...ข้าไม่ไหวแล้วคำน้อย ข้าไม่ไหวแล้วววว!!!” เมืองแมนพร่ำบอกกับอีกฝ่าย พรมจูบตามแผ่นหลังขาวนวลเนียนอย่างบ้าคลั่ง เร่งจังหวะรักระรัวเพื่อส่งน้ำสวาทเข้าไปในตัวอีกฝ่าย

“อ๊ากกกก...อื้อออออ”

ในที่สุดของเหลวสีขาวขุ่นก็พุ่งกระฉูดเข้าไปในตัวคำน้อย เมืองแมนกระตุกตัวหลายครั้งก่อนจะฟลุบตัวทับทาบบนร่างบางอย่างหมดแรง ใบหน้าหล่อคมเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ลมหายใจอุ่นเป่ารดที่แผ่นหลังงามขณะคลอเคลียใบหน้าราวกับโหยหาสิ่งนี้มาแสนนาน พรมจูบครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับพอใจเรือนร่างนี้เป็นที่สุด

คำน้อยนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนส่วนใดของร่างกายเลยสักนิด มีเพียงน้ำใสๆ ที่ไหลลงมาจากดวงตาสวยเท่านั้น ตอนนี้เขาควรจะตัดใจจากคำป้อแล้วสินะ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักนิดเพราะตัวเขาก็มีมลทินไปเสียแล้ว ยิ่งคิดน้ำตายิ่งไหลลงมาไม่หยุดหย่อนจนผ้าปูที่นอนเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำตา

“คิดอันใดอยู่รึเมียข้า” เมืองแมนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกดจมูกลงที่แก้มขาวอย่างเสน่หา

“ฮึก” คำน้อยไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้ร้องห่ม

“ถึงเจ้าจักร้องไห้จนตายก็ไม่อาจหนีจากข้าไปไหนได้แน่ จงทำใจยอมรับเสียเถอะ จากเจ้ายังคงดื้อดึงนายของเจ้าคงจักได้มาเป็นเมียของข้าอีกคนแน่” ในเมื่อพูดดีๆ แล้วไม่ให้ความร่วมมือ เขาจึงจำเป็นจะต้องเอาเรื่องนี้มาขู่เพื่อให้อีกฝ่ายตื่นตัว

“ไม่นะ! ห้ามทำเยี่ยงนั้นเด็ดขาด” คำน้อยเหลือบตามองคนที่นอนทับทาบอยู่บนตัวอย่างไม่เป็นมิตร

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรจักเชื่อฟังข้า ห้ามดื้อห้ามขัดใจข้ารู้หรือไม่”

“หากท่านยอมทำตามสัญญา ข้าเจ้าก็จักยอมเชื่อฟังท่านทุกอย่าง”

“ดีมากเมียข้า...นอนเอาแรงเสียเถิดอย่าได้คิดเรื่องอันใดอีกเลย”

เมืองแมนเขยิบตัวมานอนข้างกัน ก่อนจะยกศีรษะอีกฝ่ายขึ้นเล็กน้อยสอดแขนไปรองเพื่อให้อีกฝ่ายใช้ต้นแขนแกร่งหนุนแทนหมอน คำน้อยได้แต่ยอมนอนนิ่งๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ

ในเมื่อตอนนี้เจ้าตัวตกเป็นเมียเมืองแมนไปแล้วคงจะต้องทำใจยอมรับความจริงให้ได้ ทำหน้าที่เมียให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เมืองแมนไปทำอันตรายเจ้านายของตัวเอง และอีกอย่างเขาจะต้องเอาชนะเครือแก้วให้ได้เพื่อทำให้เจ้าหล่อนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพราะมั่นใจว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการโดนฉุดทำร้ายต้องเป็นฝีมือของเครือแก้วอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่มาอยู่ในเมืองนี้เขาและแสงหล้าไม่เคยมีเรื่องกับผู้ใดเลยนอกจากเครือแก้วและนางข้าไทที่ชื่อเขียนเท่านั้น





หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 18-10-2018 16:44:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 18-10-2018 17:57:15
 :katai2-1: ปรบมือในความรักนายของคำน้อย

หาเมียใหม่ให้คำป้อหน่อย น่าสงสารรร :mew6:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-10-2018 19:56:36
คำน้อยจะสู้ไหวป่ะเนี่ย คนเดียวโดดๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-10-2018 22:29:42
 :katai2-1:


โถๆๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-10-2018 04:03:47
คำน้อยสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 19-10-2018 06:59:46
คำน้อยสู้ๆนะหนู // ปาดน้ำตา
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 19-10-2018 12:56:08
เฮ้อ~
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 20-10-2018 19:53:12
สงสารคำน้อยสุดๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-10-2018 09:10:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.10 เหตุผลที่ทนเจ็บ [Up.18-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 23-10-2018 10:49:01
ดีใจนะที่แสงหล้าทำตัวว่าง่ายขึ้น
ตอนแรกๆนี่ไม่ได้กลัวตายเลย
สงสัยจะลืมว่าตัวเองมาในฐานะตัวประกัน
ต้องคิดถึงพ่อกับพี่ชายด้วยว่าเค้าเป็นห่วง
ถ้าแสงหล้าตายต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.11 น้ำตกแห่งรัก [Up.24-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 24-10-2018 15:33:47
บทที่ 11

น้ำตกแห่งรัก


หลังจากไม่ได้มีข้าไทคนสนิทอยู่ข้างกายเหมือนเช่นเดิมแล้ว แสงหล้าก็รู้สึกว่าชีวิตช่างเงียบเหงาไร้ซึ่งชีวิตชีวา วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ออกมาพูดจากับผู้ใด ความเงียบเหงาคืบคลานเข้ามาเกาะกินหัวใจ เขารู้สึกโดดเดี่ยวตัวคนเดียวท่ามกลางเมืองใหญ่แห่งนี้ แม้กระทั่งอินเหลาผู้ที่เคยทำให้เขามีความสุขก็ไม่สามารถทำให้ความสุขเหล่านั้นของแสงหล้ากลับคืนมาได้เลย

จักรคำสังเกตเห็นและรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าโศกานั้น เขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย จึงคิดหาหนทางเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง การหมกตัวอยู่แต่ในคุ้มอาจจะทำให้แสงหล้าเอาแต่คิดเรื่องคำน้อยไม่หยุดหย่อน เขาจึงตั้งใจจะพาชายาต่างเมืองออกไปเปิดหูเปิดตานอกวังเผื่อว่าจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

แสงหล้านั่งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางคิดหาหนทางพาตัวคำน้อยกลับมาอยู่ที่คุ้มด้วยกัน เขาเคยไปหาคำน้อยถึงที่แต่ทว่าทหารที่เฝ้ายามอยู่กลับไม่ให้เข้าไปในคุ้ม โดยให้เหตุผลว่าเป็นคำสั่งของเมืองแมน นั่นทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงกลัวว่าคำน้อยอาจจะโดนกดขี่ข่มเหงจนไม่มีความสุข

“คิดอันใดอยู่รึ” เสียงทุ้มดังแว่วเข้ามาทำให้เจ้าตัวหลุดจากภวังค์ในทันที หันไปมองยังต้นเสียงก็พบว่าจักรคำกำลังเดินยิ้มเข้ามาหาตนเอง

“ข้าหาคิดอันใดไม่” เขาปฏิเสธแต่ทว่าสีหน้ากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด จักรคำก็ดูออกว่าคงไม่ใช่เรื่องใดนอกจากเรื่องของคำน้อย

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดปดข้าอยู่”

“ข้าเปล่า!” แสงหล้ายังคงยืนยันคำพูดตนเอง

“ข้ายอมเจ้าก็ได้...ลุกขึ้นเถิดข้าจักพาไปเปิดหูเปิดตานอกวัง” ผู้มาใหม่ยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลา

“ข้าไม่ไป! ในช่วงเวลาเช่นนี้ข้าไม่มีกะจิตกะใจไปเที่ยวที่ใดดอก” แสงหล้ายังคงนั่งนิ่งไม่กระดิกตัว

“ถ้าไม่ลุกขึ้นข้าจักเป็นคนอุ้มเจ้าเอง” ไม่ว่าเปล่าจักรคำก้าวขาเดินเข้าไปหาทันที ทำเอาคนที่นั่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นยืนทันควันด้วยความกลัว

“ขะ...ข้าลุกเองได้”

“เดินตามข้ามา”

จักรคำยิ้มมุมปากยักคิ้วกวนอีกฝ่าย แสงหล้าเห็นอย่างนั้นก็ทำหน้างองุ้มอย่างไม่พอใจเสตาหนีไปอีกทาง จากนั้นเจ้าอุปราชก็หันหลังเดินออกไปจากห้อง ร่างบางจึงจำยอมเดินตามหลังไปอย่างอิดออด



ออกมาถึงหน้าคุ้มก็มีทหารนำม้าศึกสีขาวตัวหนึ่งมารออยู่ลานหญ้าแล้ว มันคือ ‘ไอ้ขาวศึก’ ม้าตัวโปรดที่ร่วมออกศึกกับจักรคำในทุกครั้ง

“เจ้าพี่จักพาข้าไปที่ใดรึ” แสงหล้าเอ่ยถามเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าไอ้ขาวศึกแล้ว

“ไปถึงที่นั่นเจ้าจักรู้เอง” ว่าแล้วจักรคำก็เดินไปลูบไล้ใบหน้าไอ้ขาวศึกอย่างเบามือเพื่อทักทาย ราวกับว่าทั้งสองสามารถสื่อคำพูดถึงกันได้โดยไม่ต้องออกเสียง

“ไอ้ขาวศึกลูกพ่อ เอ็งคิดถึงพ่อบ้างหรือไม่” จักรคำเอ่ยกับม้าตัวโปรด แสงหล้าได้ยินอย่างนั้นถึงกับกลั้นขำไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นมุมน่ารักๆ ของเจ้าอุปราชอย่างนี้เลยสักครั้ง

“ขำอันใดรึแสงหล้า” คนที่โดนขำหันขวับไปมองทันควัน ทำเอาแสงหล้าปรับสีหน้าแทบไม่ทัน

“หามีอันใดไม่” เจ้าตัวลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

จักรคำไม่ได้ว่าอะไรแต่หันหลังกลับมาอมยิ้มด้วยความพอใจเมื่อสามารถทำให้อีกฝ่ายยิ้มได้ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปขี่หลังไอ้ขาวคำรออีกฝ่าย

“ขึ้นมาสิ” เมื่อนั่งอยู่บนหลังม้าแล้วจักรคำก็ยื่นมือลงมา เพื่อจะดึงตัวอีกฝ่ายให้ขึ้นตามไป

“ไม่! ข้าขี่ม้าเป็น หาม้ามาให้ข้าสักตัวได้หรือไม่”

“ขึ้นมาบัดเดี๋ยวนี้” จักรคำพูดเสียงเข้มเมื่ออีกฝ่ายเริ่มงอแงไม่ทำตามคำสั่ง

แสงหล้าเหลือบตามองอีกฝ่าย ถอนหายใจเสียงดังเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนไม่พอใจ “ขึ้นก็ขึ้น”

เจ้าตัวเดินอิดออดเข้าไปยืนข้างไอ้ขาวคำ ก่อนจะยื่นไปจับมือคนที่นั่งอยู่ข้างบน ก้าวขาขึ้นไปเหยียบสายโกลนเพื่อให้จักรคำดึงตัวขึ้นไป

“อึ๊บ!”

ตอนนี้ร่างบางขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีเจ้าอุปราชรูปงามนั่งซ้อนท้ายโอบกอดเอาไว้แน่น จักรคำโน้มใบหน้าคมเข้ามาวางเกยบนไหล่บางอย่างถือวิสาสะ ส่งลมหายใจอุ่นเป่ารดข้างใบหูงามเพื่อหยอกล้อเล่น ทำเอาแสงหล้าใบหน้าแดงก่ำปานลูกตำลึงสุก

“นั่งสบายตัวดีหรือไม่” จักรคำจงใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้พวงแก้มขาว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“อื้ม” คนที่อยู่ในอ้อมกอดตอบรับสั้นๆ กลอกลูกตาไปมาด้วยความเขินอายเป็นที่สุด

“ไป!”

จักรคำตะโกนสั่งไอ้ขาวคำพร้อมทั้งดึงสายบังเหียน บีบขาทั้งสองข้างไปที่ลำตัวเพื่อสั่งให้ออกเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายที่เขาต้องการ



ไอ้ขาวคำวิ่งออกจากคุ้มเจ้าอุปราชตรงไปยังภูเขาสูงตระหง่านที่มองเห็นอยู่รำไร สถานที่ซึ่งอยู่ห่างจากกำแพงเมืองพอประมาณ เนินเขาลูกนั้นมีน้ำตกขนาดใหญ่ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายสายที่ไหลเข้าไปหล่อเลี้ยงทุกชีวิตของชาวเมืองเชียงราชคำให้อยู่ดีมีสุขมานมนาน

“หยุด!”

เมื่อได้ยินคำสั่งไอ้ขาวคำก็ค่อยๆ ลดความเร็วจากวิ่งเป็นเดินช้าๆ และหยุดอยู่กับที่ในที่สุด จากนั้นจักรคำก็ลงมาจากหลังม้าก่อนจะอุ้มตัวแสงหล้าให้ตามลงมาอีกที

“ขอบน้ำใจเจ้า” เมื่อลงมาแล้วแสงหล้าก็เอ่ยกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความเขินอาย ก่อนจะหันไปสนใจมองรอบตัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ

จักรคำมองหน้าร่างบางด้วยรอยยิ้มก่อนจะพาไอ้ขาวคำไปล่ามไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

มวลน้ำปริมาณมากไหลหลากลงมาจากยอดเขาสูงตกกระทบกับแผ่นหินด้านล่าง เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วพื้นที่ ซึ่งรายล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพรรณเป็นที่อาศัยของบรรดาสัตว์ป่าน้อยใหญ่จำนวนมาก โขดหินและพื้นดินโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยมอสส์สีเขียวบ่งบอกว่าพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์มากแค่ไหน หากผู้ใดมาพบเห็นต่างก็ต้องตื่นตาเหมือนอย่างเขาเป็นแน่แท้

“ช่างสวยงามเหลือเกิน” แสงหล้าเอ่ยเบาๆ ขณะดวงตาคู่สวยกวาดมองดูความงดงามของน้ำตกแห่งนี้

จักรคำเดินมายืนซ้อนหลังอย่างเงียบๆ ก่อนจะยกมือหนาทั้งสองข้างวางไว้บนไหล่บางอย่างถือวิสาสะ ทำเอาคนที่ยืนอยู่สะดุ้งเล็กน้อย เอียงหน้าหันไปมองด้วยสายตาดุเล็กน้อย

“เหตุใดจึงมองข้าด้วยสายตาดุดันเยี่ยงนี้” จักรคำยิ้มอ่อนเพิ่มความหมั่นไส้ให้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากเป็นเท่าตัว

“เอามือท่านออกไปบัดเดี๋ยวนี้”

“ไม่!” คนตัวสูงยิ้มอย่างผู้ชนะ

“ข้าอึดอัด”

“แต่ข้าไม่อึดอัดเลยสักนิดเดียว” จักรคำยังดื้อ

“เหตุใดจึงดื้อดึงเช่นนี้ ข้ารู้ว่าท่านต้องการเอ่อ...”

“อันใดรึ” คนพูดชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะเป่าลมร้อนเข้าที่ใบหู ทำเอาแสงหล้าถึงกับขนลุกชันไปทั้งตัว

“เจ้าพี่กวนข้ารึ!”

“ถ้าใช่เจ้าจักทำอันใดข้ารึ” จักรคำได้แต่ยิ้ม เลื้อยมือทั้งสองข้างไปวางไว้ที่หน้าท้องแบนราบก่อนจะกอดรัดเอาไว้แน่น แสงหล้าจึงพยายามแกะมือหนานั่นออกแต่ทว่ากลับโดนอีกฝ่ายปรามเอาไว้เสียก่อน “เจ้าสู้แรงข้าไม่ได้ดอก ยืนนิ่งๆ ฟังสิ่งที่ข้าจักพูดสักครู่ได้หรือไม่”

“ข้าอึดอัดเต็มทีแล้ว” แสงหล้าอ้างออกไปแต่ทว่าหัวใจกลับเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าขาวร้อนผ่าวเปลี่ยนสีในพริบตา เจ้าตัวไม่รู้เลยว่านี่คืออาการของคนที่กำลังเขินอายเมื่อโดนคนที่ถูกใจแตะเนื้อต้องตัว

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้อึดอัดอย่างที่กล่าว แต่เจ้ากำลังรู้สึกดีต่างหากใช่หรือไม่” เมื่อได้โอกาสจักรคำก็กดจมูกคมลงไปดอมดมที่พวงแก้มขาวอย่างบรรจง เขารับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แรงผิดปกติของคนที่อยู่ในวงแขนแกร่ง

ฟอดดดด!!!

“คนฉวยโอกาส!” คนที่โดนเอาเปรียบเอียงแก้มขาวปรายตามองเชิงต่อว่า

“ข้าแค่ต้องการพิสูจน์ว่าแก้มของเจ้าหอมหรือไม่ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันหอมเหลือเกิน หอมจนข้าอยากดอมดมเจ้าไปทั้งตัวแล้ว”

เขาไม่มีอะไรจะต้องอ้อมค้อมอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้หัวใจมันเรียกร้องหาคนที่อยู่ตรงหน้าทุกวัน หากช้ากว่านี้มีหวังได้ลงแดงตายก่อนแน่นอน นั่นเพราะแสงหล้าอยู่ในคุ้มด้วยกัน ได้เห็นหน้าทุกวัน ยิ่งทำให้ความต้องการมากล้นเกินกว่าจะห้ามใจ ใบหน้างามๆ ของคนที่อยู่ในอ้อมกอดช่างยั่วเย้าความเป็นชายของเขาให้ตื่นตัวได้ดีเลยทีเดียว

“หยุดเอ่ยคำเลี่ยนๆ พวกนั้นได้แล้วข้าไม่อยากฟัง” ร่างเล็กได้แต่เอียงอายอยู่อย่างนั้นหากจะขยับตัวหนีก็ทำไม่ได้ มันเป็นอะไรที่อึดอัดแต่ทว่าคำหวานที่เขาเพิ่งจะบอกว่าเลี่ยนนั้น กลับทำให้หัวใจพองโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“รู้หรือไม่...ข้าเคยกอดอิงฟ้าดังเช่นที่กอดเจ้าอยู่ที่เดียวกันนี้” เขาเอ่ยเบาเสียงก่อนจะทอดสายตามองไปยังโขดหินข้างน้ำตกก่อนจะยิ้มน้อยๆ ออกมา เมื่อจินตนาการว่าเห็นอิงฟ้าชายาคนก่อนกำลังนั่งยิ้มให้ตนเองอยู่บนนั้น

“อิงฟ้า...คือผู้ใดรึเจ้าพี่” แสงหล้าเอ่ยถามเสียงเบาราวกับน้อยใจที่ตนเองไม่ได้เป็นคนแรกที่โดนกระทำอย่างนี้

“แม่ของอินเหลา...เมียคนก่อนของข้ายังไงเล่า” จักรคำตอบ

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วแสงหล้าก็หลุบตาลงเล็กน้อย รู้สึกผิดที่หึงหวงแม้กระทั่งคนที่ตายไปแล้ว เขาเคยจะให้อินเหลาเล่าเรื่องเธอคนนี้ให้ฟัง แต่ทว่ากลับมีเรื่องกับเครือแก้วเสียก่อนเลยยังไม่มีโอกาสได้ถามอีกครั้ง วันนี้ได้โอกาสแล้วเขาจึงอยากจะถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

“เอ่อ...เจ้านางอิงฟ้าเป็นอันใดถึงได้จากท่านกับอินเหลาไปเร็วเยี่ยงนี้”

“อิงฟ้าป่วยด้วยอาการไข้ป่า นางจากข้าไปตั้งแต่อินเหลาเกิดมาลืมตาดูโลกได้เพียงสามปีเท่านั้น นางเป็นสตรีที่ร่าเริงเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ทำหน้าที่เป็นทั้งแม่และเมียได้อย่างดี และเหตุผลพวกนั้นก็ทำให้ข้าไม่อาจยกย่องผู้ใดมาแทนที่อิงฟ้าได้เลย จนกระทั่งมาพบเจ้า...” จักรคำพลิกตัวร่างบางให้หันมาเผชิญหน้ากัน ก่อนจะสอดมือหนาไปวางไว้บนแผ่นหลังดันตัวให้เข้ามาประชิดกัน จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยอย่างลึกซึ้ง

“เกี่ยวอันใดกับข้ารึ” แสงหล้าแสร้งทำเป็นถาม แต่ทว่าในใจกลับรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายความถึงอะไร

“เจ้าคือคนที่ทำให้ข้าต้องการมีความรักอีกครั้ง ทุกครั้งที่ข้าได้เห็นหน้า ได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้า หัวใจข้ามันเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งเห็นเจ้าเข้ากับอินเหลาได้เป็นอย่างดี ข้ายิ่งมั่นใจว่าผู้ที่จักมาอยู่เคียงข้างข้าในวันที่ได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองต่อจากเจ้าพ่อก็คือเจ้า” พูดจบจักรคำก็ส่งรอยยิ้มที่สุดแสนจะอบอุ่นให้คนที่อยู่ตรงหน้า สื่อว่าเขาจริงจังกับคำพูดนั่นมากแค่ไหน

“ข้า...คงไม่อาจเป็นอย่างที่ท่านต้องการได้ดอก เพราะเหตุใดท่านเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”

เขาเป็นเพียงเชลยต่างเมืองคงไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปนั่งเคียงข้างเจ้าหลวงเมืองนี้ได้แน่ อีกอย่างเขาเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานถึงขนาดนั้น อยากกลับไปเมืองผาพิงค์อยู่อย่างพร้อมหน้ากับบิดาและพี่ชายรวมถึงประชาชนที่รัก ไปเป็นเจ้าฟ้าพระองค์เล็ก เป็นที่พึ่งให้กับชาวเมืองเหมือนเมื่อก่อน

“ข้ารู้ว่าเจ้ายังคงโกรธเคืองข้าเรื่องนั้น แต่ข้าเชื่อว่าสักวันเจ้าจักเห็นใจข้า หากวันใดที่ข้าได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองแล้ว ข้าสัญญาว่าจักปลดปล่อยเมืองผาพิงค์ให้เป็นอิสระ ได้ยินเช่นนี้แล้วเจ้าจักลังเลใจอยู่อีกหรือไม่” จักรคำอยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น เพราะรู้ดีว่าแสงหล้ารักบ้านเมืองยิ่งกว่าชีวิตเสียด้วยซ้ำ

“จริงรึเจ้าพี่” แสงหล้ายิ้มกว้างด้วยความดีใจ ตอนแรกเขายังมองไม่เห็นทางที่จะทำให้บ้านเมืองได้รับเอกราชเลยสักวิธี แต่พอได้ยินจากปากจักรคำอย่างนี้แล้ว โลกที่เคยเป็นสีเทากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที จากที่เคยเดินในทางเปลี่ยวไร้ซึ่งแสงสว่าง ตอนนี้เขาเห็นแสงรำไรจากปลายทางพอที่จะเดินหน้าต่อไปได้แล้ว

“จริงสิข้าไม่พูดปดเจ้าดอก ได้ยินเยี่ยงนี้แล้วเจ้าจักยิ้มได้หรือยัง”

“หากเจ้าพี่สัญญาเยี่ยงนี้แล้ว ข้าจักรอวันนั้น วันที่เจ้าพี่ได้ขึ้นนั่งบนตั่งทอง”

“แล้วเรื่องที่ข้าขอเจ้าเล่าจักได้หรือไม่” เขาให้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการแล้ว ทีนี้ถึงตาเขาที่จะเป็นฝ่ายร้องขอบ้าง

“ข้า....ขอคิดดูก่อน”

แสงหล้ายังไม่ชัดเจนกับความรู้สึกของตนเอง แต่หากถามว่ารู้สึกดีกับจักรคำหรือไม่ เขาตอบได้เลยทันทีว่าใช่ แต่ทว่าหากจะให้ตอบโป้งๆ เลยว่ารักมันคงจะต้องชั่งใจดูอีกสักระยะ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวแทบไม่ทัน

“ข้าจักให้โอกาสเจ้าสามวันเพื่อคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ หากเกินนั้นแล้วเจ้าไม่มาให้คำตอบ ข้าจักถือว่าเจ้าปฏิเสธ แต่หากเป็นเยี่ยงนั้นจงวางใจเถิดว่าข้าจักรักษาสัญญาเรื่องอิสรภาพของเมืองผาพิงค์ไว้เช่นเดิม”

“ข้ารับรองว่าจักให้คำตอบท่านภายในเร็ววันนี้” แสงหล้าเป็นฝ่ายส่งยิ้มให้เขาบ้าง

“หวังว่าเจ้าจักให้โอกาสข้านะ” ว่าแล้วจักรคำก็โน้มใบหน้าเข้าไปอย่างช้าๆ หมายใจจะจุมพิตบนหน้าผากนุ่มนั้นให้ชื่นใจแต่ทว่า...

“ปะ...ปล่อยข้าได้รึยัง ข้าอยากไปนั่งบนโขดหินใกล้น้ำตกโน่น” แสงหล้าก้มหน้างุด วางสายตาไว้บนแผงอกแกร่ง แต่ทว่าจักรคำไม่ยอมให้ตัวเองพลาดโอกาสดีๆ อย่างนี้ไปแน่ เขาละมือข้างหนึ่งขึ้นมาเชยคางเรียวให้ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกันอีกครั้ง

“ข้าจักปล่อยก็ต่อเมื่อเจ้ายอมให้ข้าจูบ” ตอนแรกตั้งใจว่าแค่จะจุมพิตบนหน้าผากแต่ตอนนี้เขาอยากทำให้มากกว่านั้นเสียแล้ว

“เหตุใดข้าต้องยอมท่านด้วยเล่า” ร่างบางพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น แต่ทว่าสีหน้าที่แดงก่ำนั้นกลับไม่สามารถปกปิดความรู้สึกเอาไว้ได้

“เพราะข้ารักเจ้ายังไงล่ะ”

“อื้อออ”

จักรคำโน้มใบหน้าคมเข้าไปประกบจูบอีกฝ่ายโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากบางถูกบดจูบอย่างดูดดื่ม จักรคำพยายามแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากนั่น แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเม้มปากเอาไว้แน่น เขาจึงเปิดมันด้วยการบีบเคล้นที่แก้มก้นงอนงามอย่างรุนแรงทำให้แสงหล้ารู้สึกเจ็บจนเผยอปากออกมา จักรคำจึงใช้โอกาสนี้ส่งลิ้นสากเข้าไปชอนไชข้างใน ตวัดเลียลิ้นของร่างบางอย่างสนุกสนาน แรกๆ ความไร้เดียงสาทำให้แสงหล้าไม่กล้าตอบสนอง แต่พอนานเข้าเขากลับเป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้าไปในปากจักคำเสียเอง

จังหวะการหายใจของคนทั้งสองเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไฟสวาทเริ่มก่อตัวขึ้นมา ตอนแรกจักรคำตั้งใจแค่จะแกล้งหยอกเล่นๆ แต่ทว่าเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติความหอมหวานในโพรงปากนั่น กลับทำให้เขาคิดการใหญ่กว่านั้นอีก มือหนาพยายามปลดเปลื้องอาภรณ์คนที่อยู่ในอ้อมกอด แต่ทว่าแสงหล้ากลับตั้งสติได้เสียก่อนจึงจับมือห้ามเอาไว้

“ยะ...หยุดก่อน แฮ่กๆ ๆ” เจ้าตัวเอ่ยทั้งที่ยังหายใจหอบเหนื่อย นั่นเพราะโดนตักตวงเอาลมหายใจอยู่นานสองนาน

“เหตุใดข้าต้องหยุด ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ต้องการมันเช่นกัน”

จักรคำไม่ยอมฟังคำค้านกลับอุ้มร่างบางขึ้นในท่าเจ้าสาว

“ปล่อยข้าลงบัดเดี๋ยวนี้!” กำปั้นน้อยๆ ทุบเข้าที่แผงอกแกร่งแต่ทว่าคนตัวใหญ่กว่ากลับยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ข้าปล่อยแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ข้าอยากทำให้เจ้ามีความสุขหาควรขัดใจข้าไม่...เมียข้า”

เจ้าอุปราชรูปงามกระตุกยิ้มร้ายก่อนจะอุ้มร่างเล็กเดินตรงไปยังน้ำตก ในนั้นมีถ้ำเล็กๆ ที่เขาเคยพาชายาคนก่อนเข้าไปพลอดรักกันอย่างถึงพริกถึงขิงมาแล้ว และที่นี่ก็จะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเขาและแสงหล้าในอีกไม่กี่อึดใจนี้

หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.11 น้ำตกแห่งรัก [Up.24-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 24-10-2018 16:12:45
หมั่นไส้  จะฟันท่าเดียว
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.11 น้ำตกแห่งรัก [Up.24-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 24-10-2018 19:58:34
 :-[ ช่างสรรหาที่เนอะ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.11 น้ำตกแห่งรัก [Up.24-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-10-2018 20:14:35
ตามไปดู.  :hao6:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.11 น้ำตกแห่งรัก [Up.24-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-10-2018 23:39:06
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.11 น้ำตกแห่งรัก [Up.24-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 25-10-2018 18:24:20
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.11 น้ำตกแห่งรัก [Up.24-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-10-2018 12:24:06
 พาออกมาoutdoor 5555
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.11 น้ำตกแห่งรัก [Up.24-10-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 30-10-2018 20:57:13
ค้างงงงงงงงงงงง เขาไปทำไรกันตรงนั้น อิอิ
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.12 เมียสุดที่รัก [Up.01-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 01-11-2018 21:38:49
บทที่ 12

เมียสุดที่รัก



“เหตุใดถึงพาข้าเข้ามาในถ้ำเล่าเจ้าพี่” แสงหล้าเอ่ยถามหลังจากโดนอีกฝ่ายอุ้มเข้ามาในถ้ำ ที่มีม่านน้ำตกเป็นประตูทางเข้าออก

“หรือเจ้าต้องการให้ข้า...ทำอะไรเจ้าด้านนอกให้คนอื่นเห็นงั้นรึ” จักรคำจ้องมองดวงหน้าสวยอย่างเสน่หา เอื้อมมือหนาเชยคางเรียวขึ้นเล็กน้อยให้สบตากัน

“ท่าน...จักทำอันใดข้ารึ” แสงหล้ารู้สึกร้อนตามใบหน้าเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“ก็จักทำให้เราเป็นผัวเมียกันอย่างใดเล่า เป็นเมียข้าเถอะนะแสงหล้า ข้ารอไม่ไหวแล้ว” ว่าแล้วจักรคำก็โน้มใบหน้าคมเข้าไปดอมดมพวงแก้มขาวอย่างนุ่มนวล เลื้อยดวงหน้าหล่อลงมาซุกไซ้ซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย

คนตัวเล็กพยายามดันอกแกร่งให้พ้นตัว แต่ทว่าจักรคำกลับรวบข้อมือน้อยๆ เอาไว้แน่น ไม่ยอมให้อีกฝ่ายขัดขืนโดยง่าย

“เจ้าพี่! ขะ...ข้ากลัว” ใบหน้าขาวแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย หัวใจเต้นระส่ำด้วยความตื่นเต้น เลือดลมในร่างกายสูบฉีดไหลเวียนดีเหลือเกิน

“หาต้องกลัวอันใด ข้าจักทะนุถนอมเจ้าไม่ให้มีรอยช้ำแม้แต่น้อย”

“อื้อออ!!!”

จักรคำประกบจูบอีกฝ่ายโดยไม่ทันได้ตั้งตัว บดเบียดริมฝีปากอย่างหนักหน่วงจนร่างเล็กอ่อนระทวย จากนั้นก็คลายข้อมือน้อยๆ ให้เป็นอิสระ ปลดเปลื้องอาภรณ์ร่างบางให้หลุดพ้นออกจากตัวอย่างชำนิชำนาญ เผยให้เห็นเรือนร่างที่ขาวนวลเนียน

“จะ...เจ้าพี่ อื้อออ”

แสงหล้าพยายามผละใบหน้าออกมาเพื่อจะเอ่ยท้วง แต่ทว่าจักรคำกลับไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น ริมฝีปากหนายังคงตามมาประกบจูบกลืนเสียงพวกนั้นลงไปในลำคอ

จักรคำนำอาภรณ์ของอีกฝ่ายที่ปลดเปลื้องออกมาเมื่อครู่ปูบนพื้นถ้ำ ก่อนจะส่งตัวร่างเล็กลงไปนอนราบ คร่อมตัวทับทาบไว้ทุกสัดส่วน

ในระหว่างเจ้าอุปราชกำลังบดจูบริมฝีปากบางอยู่นั้น เจ้าตัวก็ค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ตนเองออกไปทีละชิ้นจนหมด เรือนกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อบดเบียดร่างเล็กด้วยอุ่นไอแห่งความเสน่หา

“รู้หรือไม่ว่าข้าต้องการเจ้ามากเพียงใด” คนตัวโตกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าข้างใบหูสวย จับมือน้อยๆ มาเกาะกุมแก่นกายใหญ่โต แสงหล้ารีบดึงมือกลับเมื่อสัมผัสความแข็งแกร่งนั่น

“เหตุใดมันถึงได้...” คนพูดหลุบตาลงเล็กน้อย เขาไม่เคยสัมผัสกับของสงวนชายใดมาก่อน มันช่างใหญ่โตกว่าที่เขามีจนรู้สึกตื่นกลัว

“เชื่อใจข้า...”

จักรคำเอ่ยเสียงกระเส่า จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยราวกับต้องการสะกดจิตให้คล้อยตาม จากนั้นจึงโน้มใบหน้าคมลงไปดูดดื่มกับยอดอกสีกลีบกุหลาบ ส่งปลายลิ้นลงไปตวัดเลียวนอย่างช้าๆ เพื่อให้อีกฝ่ายมีอารมณ์ร่วมและผ่อนคลายกับบทรักครั้งนี้

“อื้อ”

คนที่อยู่ใต้ร่างครางรับเมื่อโดนอีกฝ่ายคว้าหมับเข้าที่กลางกายจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง จักรคำยิ้มมุมปากเมื่อได้แกล้ง

“ช่างไร้เดียงสาเสียจริงหึๆ”

“ท่านแกล้งข้า” แสงหล้ามองค้อน

“ข้าไม่ได้แกล้ง แต่ข้ากำลังสอนบทรักให้เจ้าต่างหากเล่า”

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบโต้จักรคำจึงรีบโน้มใบหน้าลงประกบจูบ ใช้ท่อนขาแกร่งแยกขาเรียวขาวออกจากกัน บดเบียดความเป็นชายเข้าไปจ่อที่ปากถ้ำ เขาผละตัวออกมาเล็กน้อยจ้องมองดวงตาคู่สวยด้วยความเสน่หา ลมหายใจอุ่นเป่ารดพวงแก้มขาวอยู่เนืองๆ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ราวกับหิวโหยรสสวาทนี้มาแสนนาน

“กอดข้าไว้ให้แน่นเราจะมีความสุขไปด้วยกัน”

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปกอดก่ายเรือนกายของผู้ออกคำสั่งอย่างแนบแน่น จักรคำยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ก่อนจะยัดเยียดแก่นกายเข้าไปในช่องทางรักอย่างช้าๆ จนรับรู้ได้ถึงแรงตอดรัดที่หนักหน่วง

“อ๊ะ! ...อะ...เอามันออกไป ฮึก..”

เมื่อโดนรุกล้ำน้ำตาก็ไหลพรากลงมาเป็นสาย ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูเนื้อเจียนจะขาดใจ นิ้วเรียวจิกบนแผ่นหลังหนักๆ เพื่อระบายความเจ็บปวด

“ขะ...ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้...ข้าห้ามตัวเองไม่ได้ อ่าสส์! อื้อออ!”

จักรคำกระแทกกระทั้นความเป็นชายเข้าออกช้าๆ เขาทุเลาความเจ็บปวดของแสงหล้าด้วยการบดจูบที่เร่าร้อน รวมถึงสะกิดที่ยอดอกงามไปพร้อมๆ กัน

“อื้ออออ”

แสงหล้าทำได้เพียงส่งเสียงครวญครางในลำคอเบาๆ จิกนิ้วบนแผ่นหลังแรงๆ จนเลือดซึมออกมาเพื่อระบายความเจ็บปวด ไม่นานความเสียวก็แผ่ซ่านมาแทนที่จนหมดสิ้น

เมื่ออีกฝ่ายกระแทกกระทั้นความเป็นชายเข้ามาอย่างหนักหน่วง ยิ่งช่วยเพิ่มความสุขสมให้คนที่อยู่ใต้ร่างเป็นที่สุด มือเรียวที่เคยเกาะกุมบนแผ่นหลังเปลี่ยนมาเกี่ยวที่ต้นคอชายหนุ่มแทน จักรคำยิ้มในใจเมื่อได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี

ปึก! ปึก! ปึก! ปึก!

เสียงแห่งรักดังกึกก้องกังวานภายในถ้ำประสานกับเสียงน้ำตก จักรคำละเลงบทรักไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีเบื่อ คลอเคลียบนเนินอกละเลงลิ้นสร้างความสยิวให้คนรักตลอดเวลา ยิ่งอีกฝ่ายตอดรัดแน่นเขายิ่งกระแทกกระทั้นความเป็นชายเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อรู้ตัวว่าอีกไม่นานจะถึงจุดหมายปลายทาง มือหนาก็คว้าหมับเข้าที่แก่นกายของร่างเล็กกระตุกขึ้นลงระรัวเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางพร้อมกัน

“อ๊ะ! ...อ๊ะ! ...อ๊ะ! จะ....เจ้าพี่ข้าไม่ไหวแล้ววววว”

“ขะ...ข้าก็ทนไม่ไหวแล้ววววว อ๊ากกกก!!!”

ร่างทั้งสองกระตุกพร้อมกันหลายครั้งขณะปลดปล่อยน้ำรักออกจากตัว ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วทุกอณูเนื้อ จักรคำกอดก่ายนอนทับทาบร่างเล็กซบแก้มลงบนเนินอกขาว ตามเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ไม่ต่างจากแสงหล้าที่นอนหลับตาพริ้มไร่ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื้อนกายา

“ลุกออกจากตัวข้าเสียที” แสงหล้าใช้มือน้อยๆ พยายามดันศีรษะจักรคำออกจากเนินอก แต่อีกฝ่ายกลับคว้ามือเรียวนั้นมาดอมดมอย่างชื่นใจ กุมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“รู้หรือไม่ว่าเจ้าหอมไปทั้งเนื้อทั้งตัว จนข้าจะอดใจไม่ไหวอีกแล้ว”

“หยุดความคิดท่านบัดเดี๋ยวนี้ แค่นี้ข้าก็เจ็บเจียนจะขาดใจอยู่แล้ว หากรู้ว่ามันเจ็บปวดถึงเพียงนี้ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด”

“ครั้งแรกมันก็เป็นเยี่ยงนี้ล่ะน่า ครั้งต่อไปขี้คร้านเจ้าจะเป็นฝ่ายเรียกร้องหาข้าเอง” ว่าแล้วชายหนุ่มก็พรมจูบตามซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย

“ข้าไม่มีทางยอมเจ็บตัวอีกเป็นแน่” ร่างเล็กยกมือขึ้นไปบิดแก้มคนตัวสูงอย่างเอ็นดู ขัดกับคำที่กล่าวออกมาอย่างสิ้นเชิง

“เจ้าคิดรึว่าจักห้ามข้าได้...เมียสุดที่รักของข้า” จักรคำจงใจเอ่ยคำนั้นให้อีกฝ่ายหน้าแดง

“ใครเมียท่าน” คนพูดแลบลิ้นใส่หน้าแก้เขิน

“ใครกันที่นอนอ้าขาให้ข้าเมื่อครู่เล่า”

จักรคำลุกขึ้นนั่งก่อนจะดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนตักทั้งที่ยังเปลือยกายล่อนจ้อน แสงหล้าได้แต่นั่งนิ่งๆ อมยิ้มอยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่งอย่างว่าง่าย

“ก็ท่านบังคับขืนใจข้า” เมื่อไม่มีทางออกเขาจึงโยนความผิดให้อีกฝ่าย

“กล้าโยนความผิดมาให้ข้าเชียวรึ มันเป็นความผิดของเจ้าต่างหากเล่า ที่ยั่วยวนจนข้าห้ามใจไม่อยู่” จักรคำซุกใบหน้าคมคลอเคลียตามซอกคอขาว ก่อนจะตั้งใจดูดแรงๆ เพื่อฝากรอยรักเอาไว้

“เจ้าพี่! เหตุใดจึงทำเยี่ยงนี้ เดี๋ยวไอ้พวกข้าไทไพร่ราบก็เห็นเอาหรอก...ข้าอาย” แสงหล้าฟาดเข้าที่หน้าขาอีกฝ่ายเต็มแรง

“เหตุใดต้องอายพวกมันด้วยเล่า ในเมื่อใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าคือเมียข้า ผัวเมียจักทำเยี่ยงนี้ไม่เห็นแปลกอันใดเลย”

“ก็ข้าไม่ได้หน้าหนาเยี่ยงท่าน ปล่อยข้าเถิดข้าอยากไปล้างตัวแล้ว” แสงหล้าพยายามแกะมือหนาออก

“หอมแก้มข้าก่อนข้าถึงจักยอมปล่อย”

“ไม่!”

“งั้นข้าก็ไม่ปล่อย” จักรคำลอยหน้าลอยตา ยิ้มหน้าระรื่นไม่ยอมปล่อยโดยง่าย

“เหตุใดต้องแกล้งข้าเยี่ยงนี้ เอียงแก้มท่านมาสิ” ในที่สุดแสงหล้าก็เป็นฝ่ายยอมแต่โดยดี

จักรคำยิ้มร่าเมื่อเป็นฝ่ายชนะในเกมส์นี้ เขาเอียงแก้มป่องๆ ให้เมียรักจุมพิตอย่างอารมณ์ดี

ฟอดดด!!!

“พอใจท่านรึยัง” คนพูดใบหน้าแดงก่ำปานลูกตำลึงสุก ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย

“ข้างนี้ด้วย” จักรคำยังไม่พอใจ เอียงแก้มอีกข้างมาให้

ฟอดดดด!!!

“ปล่อยข้าเสียที ข้ายอมท่านหมดทุกอย่างแล้วนะ”

“ข้ารู้ว่าเจ้าคงเดินเหินไม่สะดวก ข้าจักเป็นฝ่ายอุ้มเจ้าไปเอง น้ำตกแห่งนี้จักเป็นของเราเพียงสองคนเท่านั้น”

จักรคำอุ้มร่างเล็กขึ้นในท่าเจ้าสาว จ้องมองด้วงหน้าสวยด้วยความเสน่หาพร้อมทั้งส่งยิ้มละมุนให้ แสงหล้าได้แต่เอียงอายอมยิ้มตลอดเวลา จากนั้นร่างสูงก็เดินออกไปจากถ้ำพาเมียรักไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด เขาทั้งสองจะไม่มีวันลืมว่าน้ำตกแห่งนี้คือสถานที่แห่งความทรงจำ ที่ทำให้หัวใจทั้งสองหลอมรวมเป็นดวงเดียวกัน

หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.12 เมียสุดที่รัก [Up.01-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-11-2018 22:43:20
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.12 เมียสุดที่รัก [Up.01-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-11-2018 23:28:26
 :m25: ฟินกรุบๆ555
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.12 เมียสุดที่รัก [Up.01-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 01-11-2018 23:40:17
กังวานเลยสิ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.12 เมียสุดที่รัก [Up.01-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-11-2018 00:31:24
รอๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.12 เมียสุดที่รัก [Up.01-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 02-11-2018 01:37:17
 :hao7: โรแมนติคดีไม๋เเสงหล้า
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.12 เมียสุดที่รัก [Up.01-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-11-2018 03:49:53
 :m25:  :m25:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.12 เมียสุดที่รัก [Up.01-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 06-11-2018 14:50:23
ครั้งแรกก็โลดโผนกันเลยเชียว
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.12 เมียสุดที่รัก [Up.01-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 06-11-2018 21:11:20
โดนจับกินแล้ว อิอิ
รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.13 ไร้ทางสู้ [Up.09-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 09-11-2018 22:22:22
บทที่ 13

ไร้ทางสู้



เมื่อสวามีออกจากคุ้มไปเข้าเฝ้าเจ้าหลวงแล้ว เครือแก้วและนางข้าไทคนสนิทพร้อมกับทหารสองนาย รีบเดินตรงไปยังตำหนักเล็ก เธอตั้งใจจะไปสั่งสอนคนที่มันกล้ามาใช้สามีร่วมกับเธอ จะทำทุกทางเพื่อบีบบังคับให้คำน้อยต้องเป็นฝ่ายหนีออกไปจากที่นี่เสียเอง

“เร็วๆ สิวะอีเขียนกูคันไม้คันมือเต็มทนแล้ว” เจ้านางผู้มีใบหน้าสวยเอ่ยขณะเร่งฝีเท้าตรงไปยังหน้าตำหนัก

“ข้าเจ้าก็อยากจัดการมันเต็มทีเหมือนกันเจ้าค่ะ”

ได้ยินอย่างนั้นเจ้านางก็แสยะยิ้ม เดินมาถึงหน้าตำหนักแล้วทหารที่เฝ้ายามอยู่ก็ยืนขวางไม่ให้เธอเข้าไปข้างใน เพราะได้รับคำสั่งจากเมืองแมนนั่นเอง

“หลีกทางให้ข้า!”

“เจ้าราชวงศ์ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนเจ้าคำน้อยเจ้า” ทหารหนุ่มเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“แม้แต่ข้างั้นรึ” เธอถลึงตาใส่คนทั้งสอง

“....” ทหารหนุ่มเอาแต่ก้มหน้างุดด้วยความเกรงกลัวอาญา

“หากพวกเอ็งไม่หลีก ข้าจักบอกเจ้าพี่ว่าพวกเอ็งลวนลามข้า”

“เชิญเจ้านางเข้าไปได้เลยเจ้า” เมื่อโดนขู่ทหารหนุ่มทั้งสองก็สั่นเป็นเจ้าเข้ารีบเปิดทางให้ทันที

“ไปให้พ้นหน้าข้าอย่าเข้าไปยุ่มย่ามด้านใน อ้อ! แล้วห้ามปากมากบอกเจ้าพี่ว่าข้ามาที่นี่รู้หรือไม่”

“เจ้า”

จากนั้นทหารหนุ่มทั้งสองก็รีบเดินหนีออกไป เมื่อทางสะดวกเธอก็แสยะยิ้มก่อนจะเดินนำหน้าพรรคพวกเข้าไปในตำหนัก

เข้ามาถึงก็พบว่าคนที่เธอเกลียดเข้าไส้ กำลังร้อยมาลัยอยู่กับนางข้าไทสองคน ยิ่งเห็นหน้ายิ่งทำให้ความริษยาทวีคูณมากขึ้นเป็นเท่าตัว เครือแก้วเดินดุ่มๆ เข้าไปปัดพานดอกไม้จนล้มระเนระนาดเกลื่อนบนพื้น

เพล้ง!!

“เจ้านาง!” คำน้อยลุกขึ้นยืนจ้องหน้าผู้มาใหม่ด้วยความโมโห ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาหาเรื่องถึงที่นี่

“พวกเอ็งออกไปบัดเดี๋ยวนี้” เครือแก้วสั่งนางข้าไททั้งสอง

“ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น! พวกเอ็งเป็นคนของข้า คนที่จะสั่งได้ต้องเป็นข้าคนเดียวเท่านั้น” คำน้อยเดินเข้ามาเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

“ปากดีนักนะ ถ้าพวกเอ็งไม่ออกไปข้าจักให้ไอ้สองคนนี้จับทำเมียซะตรงนี้เลย”

“ข้าเจ้าไปแล้วเจ้า” เมื่อเห็นชายฉกรรจ์ทั้งสองจ้องมองปานจะกลืนกิน นางข้าไทก็รีบคลานออกไปจากตำหนักทันที

แม้ว่าตอนนี้จะหัวเดียวกระเทียมลีบแต่คำน้อยกลับไม่เกรงกลัวเลยสักนิด ชีวิตเขาเหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องกลัวอะไรอีก

“เสนอหน้ามาถึงที่นี่ มีอันใดกับข้ารึ” คำน้อยมองอีกฝ่ายด้วยหางตา

“กรี๊ดดด!! ไอ้คนชั้นต่ำ วันนี้กูจักมาสั่งสอนมึงให้เข็ดหลาบอย่างใดเล่า จับตัวมันไว้”

คำน้อยรีบเดินถอยหลังทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น พยายามมองหาสิ่งของพี่พอจะป้องกันตัวได้ แต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะโดนชายฉกรรจ์ทั้งสองตรึงแขนไว้ จึงทำได้เพียงดิ้นรนขัดขืนเพื่อให้ตนเองหลุดพ้น

“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้! ข้าจักบอกให้เจ้าราชวงศ์ตัดหัวพวกเอ็งคอยดู” คำน้อยตะโกนใส่หน้าคนทั้งสอง

“หาต้องกลัวอันใดไม่ มึงมันเป็นเพียงเมียบ่าวบารมีก็หามีไม่ ยังคิดจะมาลองดีกับคนอย่างกูงั้นรึ”

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

เครือแก้วง้างมือฟาดลงบนแก้มอีกฝ่ายเต็มแรง จนใบหน้าขาวขึ้นรอยแดงระเรื่อในทันที

ถุย!

พลั่ก!

“กรี๊ดดดดด!!!”

ในเมื่อมือไม่สามารถใช้งานได้ คำน้อยจึงถ่มน้ำลายใส่หน้า ถีบเข้าที่ท้องน้อยจนเครือแก้วล้มกองกับพื้น

“มึงกล้าทำเจ้านางกูเยี่ยงนี้เลยรึ!” นางเขียนรีบพุ่งตัวเข้าไปหมายจะทำร้าย แต่กลับโดนถีบซ้ำจนล้มทับตัวผู้เป็นนาย

“โอ๊ย!! อีเขียน! มึงลุกออกจากตัวกูบัดเดี๋ยวนี้ อีบ้า!”

“ข้าเจ้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” นางเขียนรีบกุลีกุจอลุกออกจากตัวเครือแก้ว จากนั้นก็ช่วยพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืน

“อี๋!!! สกปรกโสโครก วันนี้มึงได้ตายคาตีนกูแน่ไอ้คำน้อย จับมันไว้ให้มั่น” เธอว่าพลางดึงผ้าสไบขึ้นมาเช็ดน้ำลายออกจากใบหน้าอย่างรังเกียจเดียดฉันท์

“ต่อให้ข้าสิ้นใจเจ้าตายลงตรงนี้ ก็ไม่มีทางยอมก้มหัวให้คนอย่างเจ้านางแน่นอน” คำน้อยแสยะยิ้มเพื่อยั่วยุให้อีกฝ่ายโมโห

เพี๊ยะ!

“อีเขียนเอามีดมา”

“นี่เจ้าค่ะ”

นางเขียนรีบหยิบมีดสั้นพี่พกมาด้วยยื่นให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะมองเหยียดคนที่กำลังโดนจับกุมตัวไว้ด้วยความสะใจ

เครือแก้วถอดปลอกมีดออกทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี จากนั้นก็ยกขึ้นตรงหน้าเพื่อข่มขู่ให้คำน้อยกลัว

“ฆ่าเลยสิ! ข้าเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ให้เป็นเสนียดตัวเช่นกัน” คำน้อยวางสายตาไว้ที่ปลายมีดแหลมคม ยืนนิ่งราวกับยอมรับชะตากรรม

“กูไม่ยอมให้มึงตายง่ายๆ ดอกคำน้อย มึงจักต้องอยู่ที่นี่อย่างเจ็บปวดและทรมานถึงจักสะใจข้า” แววตาอันดุร้ายจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้าราวกับมีแผนร้ายในใจ จากนั้นก็เอื้อมมือไปดึงผ้าโพกศีรษะของคำน้อยออก จนทำให้เรือนผมยาวสลวยหลุดลุ่ยลงมา

“เจ้านางคิดจักทำอันใด” แม้จิตใจจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่ความกลัวกลับเริ่มคืบคลานเข้ามาในใจเสียแล้ว เขากลัวว่าเครือแก้วจะทำสิ่งที่คิดอยู่ในหัวในตอนนี้

“ข้ารู้มาว่าคนเมืองผาพิงค์หวงแหนเรือนผมยิ่งชีพ หากไม่ใช่คนที่สำคัญจริงๆ จักไม่มีทางได้ตัดมันเด็ดขาด วันนี้ข้าจักทำให้เอ็งรู้ว่าข้าเป็นคนสำคัญของเอ็งมากเพียงใด เจ้าจักได้จำข้าไปตลอดชีวิตเยี่ยงใดเล่า” เครือแก้วทำหน้าเหี้ยมราวกับโดนวิญญาณร้ายเข้าสิงร่าง

“ไม่! อย่าทำเยี่ยงนี้ ปล่อยผมข้า ปล่อยผมข้า ฮึกก” คำน้อยเริ่มขัดขืนเมื่อกำลังจะถูกเครือแก้วตัดผม เขาตั้งใจว่าสักวันจะได้กลับไปเมืองผาพิงค์แล้วให้พ่อกับแม่เป็นผู้ตัดมันให้ แต่ตอนนี้ความฝันกลับดับสลายไปในพริบตาเพราะคนจิตใจต่ำช้าผิดมนุษย์มนา

“อย่าให้มันหลุดมาได้”

เครือแก้วออกคำสั่งเสียงดังลั่น ก่อนจะดึงปอยผมของคำน้อยมาหั่น ปอยแล้วปอยเล่าจนเรือนผมยาวกองเต็มบนพื้น

“ปล่อยข้า! ฮืออออ ปล่อยเดี๋ยวนี้!!” คำน้อยทำได้เพียงเปล่งเสียงร้องไร้ซึ่งแรงขัดขึน น้ำตาแห่งความเสียใจไหลพรากลงมานองหน้า เหตุใดผู้คนที่นี่ถึงใจร้ายใจดำได้ถึงเพียงนี้ ให้เขาตายซะยังดีกว่าต้องมาโดนหยามศักดิ์ศรีอย่างนี้

“สาแก่ใจกูยิ่งนักอีเขียนเอ๊ย...”

“ตัดออกให้หมดเลยเจ้าค่ะ สมน้ำหน้าอยากปากเก่งดีนักไอ้คำน้อย ไอ้คางคกขึ้นวอ” นางเขียนนั่งเชียร์ผู้เป็นนายอยู่ไม่ห่าง เบะปากด้วยความสะใจเสียเหลือเกิน

เมื่อสาแก่ใจแล้วเครือแก้วก็ยืนดูผลงานของตนเอง ยิ้มเยาะเย้ยด้วยความสะใจเมื่อเห็นสภาพของคำน้อย ถูกตัดผมจนสั้นโกร๋นราวกับโดนหนูแทะเล็มมาซะอย่างนั้น

“จับมันนอนคว่ำบนพื้นบัดเดี๋ยวนี้”

“กูจักไม่ยอมปล่อยให้มึงทำเพียงฝ่ายเดียวแน่” คำน้อยจ้องเขม็งด้วยแววตาที่แข็งกร้าว

“ยังจะมาปากดีอีก จับมันลงสิวะ!”

เมื่อโดนจับให้นอนคว่ำหน้าลงบนพื้นแล้ว ชายฉกรรจ์ทั้งสองก็กดศีรษะคำน้อยแนบกับพื้น ตรึงทุกสัดส่วนไว้แทบกระดิกตัวไม่ได้

“คนชั้นต่ำอย่างมึงควรจักอยู่ในที่ต่ำๆ เยี่ยงนี้” เครือแก้วยกเท้าขึ้นไปเหยียบบนแก้มอีกข้าง กดน้ำหนักลงจนคำน้อยทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เขากำมือแน่นด้วยความเคียดแค้น หากไม่ตายเสียก่อนเขาสัญญาว่าจะทำให้เครือแก้วต้องเจ็บปวดและทรมานอย่างแสนสาหัสให้จงได้

“กดลงไปให้หนักๆ เลยเจ้าค่ะ สาแก่ใจอีเขียนจริงๆ” นางเขียนนั่งแสยะยิ้มร้ายอยู่ข้างๆ มองดูความเจ็บปวดและทรมานของคำน้อยอย่างสะใจ

“กูสัญญาว่าจักตามจองล้างจองผลาญพวกมึงทุกชาติไป”

“ถ้ามึงเอาเรื่องนี้ไปฟ้องเจ้าพี่รับรองว่ากูจักไม่ปล่อยมึงไว้แน่ พูดเยี่ยงนี้แล้วหวังว่ามึงคงจักคิดได้ว่าต้องทำเยี่ยงไร” เครือแก้วนั่งตรงหน้าจากนั้นก็....

ถุย!

เธอถ่มน้ำลายใส่หน้าคืน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแสยะยิ้มด้วยความสาแก่ใจ

“กลับกันเถอะอีเขียน วันนี้กูคงจักฝันดีทั้งคืนเป็นแน่”

“เจ้าค่ะเจ้านาง” นางเขียนปรายตามองคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างไร้สภาพ โดยไม่ลืมที่จะแสยะยิ้มก่อนจะเดินตามหลังผู้เป็นนายออกไป

คำน้อยได้แต่นอนน้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น เขาหมดเรี่ยวแรงที่จะเดินหน้าต่อไปแล้ว อยากตายให้มันรู้แล้วรู้รอด ทำไมไม่ฆ่ากันให้ตายไปเสียเลยจักได้ไม่ต้องอยู่ให้มันเจ็บปวดอย่างนี้

“ฮือออ...ข้าเจ้าคิดถึงเจ้านายน้อยเหลือเกิน” ขณะร้องไห้อยู่นั้นเจ้าตัวก็ปรายตามองปอยผมที่ถูกตัดเกลื่อนบนพื้น นั่นยิ่งทำให้น้ำตาไหลพรากลงมาหนักหน่วงยิ่งขึ้น

คำน้อยพยุงตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะตามเก็บปอยผมตนเองมารวมไว้ในมือ มองมันด้วยความเจ็บปวดหัวใจ

“กูจักไม่ยอมให้พวกมึงทำร้ายกูเพียงฝ่ายเดียวแน่ อีเครือแก้ว! อีเขียน!”

หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.13 ไร้ทางสู้ [Up.09-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-11-2018 22:28:47
โอ้ยหมั่นไส้เด้อ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.13 ไร้ทางสู้ [Up.09-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-11-2018 22:35:13
ทำขนาดนี้ ถ้าผัวไม่รู้ก็โง่เต็มทน
คงไม่ต้องรอให้ฟ้องหรอกมั้ง
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.13 ไร้ทางสู้ [Up.09-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 10-11-2018 02:10:51
 :katai1: น่าตบ2 คนนี้กดน้ำ้จริงๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.13 ไร้ทางสู้ [Up.09-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-11-2018 03:14:35
ต้องจัดการมันนะคำน้อย
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.13 ไร้ทางสู้ [Up.09-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-11-2018 08:46:44
นังชะนี ขอทีเถอะ  :z6:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.13 ไร้ทางสู้ [Up.09-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 10-11-2018 09:26:40
อย่ายอม
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.13 ไร้ทางสู้ [Up.09-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 12-11-2018 00:10:13
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.13 ไร้ทางสู้ [Up.09-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-11-2018 00:32:18
 :m16:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.13 ไร้ทางสู้ [Up.09-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 15-11-2018 09:53:33
เฮ้อ~
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.14 บทลงโทษ [Up.17-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 17-11-2018 17:00:32
บทที่ 14

บทลงโทษ



หลังจากเสร็จภารกิจเมืองแมนก็นั่งเสลี่ยงกลับมาที่ตำหนักเล็กทันที ช่วงนี้เขาไม่เคยย่างกรายเข้าตำหนักใหญ่เลยสักครั้ง นั่นเพราะกำลังเห่อกับของเล่นชิ้นใหม่อยู่นั่นเอง เจ้าตัวไม่นึกเลยว่าการได้ตัวคำน้อยมาเป็นเมีย จะทำให้ลืมความต้องการอยากครอบครองแสงหล้าไปจากใจได้อย่างสนิท

เมื่อเข้ามาในห้องก็พบว่าชายาคนใหม่กำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเตียง เห็นอย่างนั้นเมืองแมนก็รีบเดินตรงเข้าไปหาด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นเรือนผมที่ถูกหั่นจนสั้นเป็นตะกรันยิ่งทำให้เขายิ่งฉงนในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับคำน้อยกันแน่

“ผู้ใดทำกับเจ้าเยี่ยงนี้คำน้อย” เมืองแมนนั่งลงข้างกัน โอบไหล่บางเอาไว้ทันที

“เจ้าพี่! ฮืออออ เจ้านางเครือแก้วเข้ามาทำร้ายข้าในตำหนัก แถมยัง....” คำน้อยรีบโอบกอดร่างกำยำทันที แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ยอมรับเมืองแมนมากนัก แต่วินาทีนี้ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เมืองแมนเกิดความสงสารและไปจัดการกับเครือแก้วให้จงได้

“บอกมาให้หมดว่านางทำอันใดเจ้าบ้าง” เมืองแมนเลือดขึ้นหน้าด้วยความโมโห ในเมื่ออยู่ด้วยกันไม่ได้เขาก็จะลงโทษให้เข็ดหลาบ

“เจ้านาง ฮึก...ตบตีข้าอย่างไร้ความปรานี ตัดผมข้าจนสั้นโกร๋น แถมยังให้ทหารมาลวนลามข้าหมายจักเอาทำเมีย แต่ข้าเอาตัวรอดมาได้เจ้า เจ้านางยังกล่าวอีกว่าไม่เคยเกรงกลัวเจ้าพี่เลยสักนิด” ในเมื่อมาทำร้ายกันถึงเพียงนี้ เขาจะต้องเอาคืนเครือแก้วให้เจ็บกว่าเป็นเท่าตัว

“บังอาจ! ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าโดนรังแกเพียงฝ่ายเดียวแน่ ไปกับข้า!” เมืองแมนลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะดึงมืออีกฝ่ายให้ลุกขึ้นตาม

“ไปที่ใดเจ้า” คำน้อยแสร้งถาม แต่ในใจกลับยิ้มอย่างพอใจ เขามั่นใจว่าเมืองแมนจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เขาได้

“ไปตำหนักใหญ่”

“แต้ข้ากลัวเจ้านางเครือแก้ว”

“อยู่กับข้าหาต้องกลัวอันใดไม่”

คำน้อยพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบผ้าขึ้นมาโพกศีรษะปกปิดเรือนผมที่ไม่ชวนมองเอาไว้ จากนั้นก็เดินตามหลังเมืองแมนไป



ณ ตำหนักใหญ่ คุ้มเจ้าราชวงศ์

“พวกเอ็งออกไปข้างนอกให้หมดทุกคน” เมื่อมาถึงแล้วเมืองแมนก็สั่งนางข้าไทที่อยู่ในตำหนักออกไป

“เจ้า / เจ้า”

“เจ้าพี่!” เมื่อเห็นสวามีเครือแก้วก็หน้าถอดสีด้วยความตื่นตกใจ เธอนึกว่าคำน้อยจะกลัวจนไม่กล้าบอกความจริงไป แต่เธอคิดผิดเพราะตอนนี้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้องมองมา พร้อมทั้งยิ้มมุมปากราวกับมีแผนร้ายในใจ

นางเขียนกำลังใช้ช่วงเวลานี้คลานหนีออกไปแต่ทว่าเมืองแมนกลับสั่งห้ามเอาไว้เสียก่อน

“มึงจักไปไหนอีเขียน!”

“ข้าเจ้าจักออกไปข้างนอกตามคำสั่งเจ้าราชวงศ์อย่างใดเล่าเจ้า”

“ไม่ต้อง! กลับไปหานายมึงบัดเดี๋ยวนี้” เมืองแมนชี้หน้าสั่ง

“เจ้า” นางเขียนทำหน้าหงอยก่อนจะคลานกลับไปนั่งข้างตั่งผู้เป็นนาย

“เหตุใดเจ้าถึงได้จิตใจโหดร้ายถึงเพียงนี้ ข้าอุตส่าห์แยกคำน้อยให้ไปอยู่ตำหนักเล็ก แต่เจ้ากลับไปตามราวีถึงที่” เมืองแมนตะโกนใส่หน้าชายา

“ข้าไม่ได้ทำอันใดมันเลยสักนิด เจ้าพี่หาควรใส่ความข้าเยี่ยงนี้” เครือแก้วเชิดหน้าไม่ยอมรับความผิด

“ยังจะปากแข็งอีกงั้นรึ หลักฐานที่เจ้าทำไว้มันอยู่บนตัวคำน้อยขนาดนี้” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับเมืองแมนจึงเดินตรงไปหา ดึงแขนให้ยืนขึ้นก่อนจะง้างมือหนาฟาดเข้าที่ใบหน้าสวยเต็มแรงจนล้มลงกับพื้น

เพี๊ยะ!

“เจ้าพี่! ฮืออออ เหตุใดทำกับข้าถึงเพียงนี้ เจ้าพี่ทำร้ายข้าเพราะไอ้คนชั้นต่ำเยี่ยงนั้นงั้นรึ” เครือแก้วยกมือขึ้นมากุมพวงแก้มเอาไว้ ปล่อยโฮด้วยความเสียใจเป็นที่สุด

คำน้อยยิ้มมุมปากอย่างสะใจ นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น...

“ใช่! เจ้ามันต่ำยิ่งกว่าไอ้พวกข้าไทไพร่ราบเสียอีก เจ้าก็รู้ว่าคำน้อยเป็นเมียข้าแต่ก็ยังสั่งให้ไอ้ทหารนอกรีดสองคนนั้นมาทำมิดีมิร้าย ข้าอยากฆ่าเจ้าให้ตายเสียตอนนี้นัก”

“ไม่เป็นความจริง! ข้าไม่ได้ทำเยี่ยงนั้น มันใส่ร้ายข้า เจ้าพี่ต้องเชื่อข้า” เครือแก้วได้ยินก็ตกใจเป็นที่สุด นั่นเพราะเธอไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง

“เหตุใดข้าต้องใส่ร้ายเจ้าด้วย ในเมื่อสิ่งที่เจ้าทำกับข้ามันก็ชัดเจนเยี่ยงนี้ ข้ากลัวเหลือเกินเจ้าพี่ ข้ากลัวว่านางจะมาทำร้ายข้าอีก” คำน้อยเดินเข้ามาควงแขนเมืองแมนไว้แน่น แสร้งทำสีหน้าหวาดกลัว

“มารยาสาไถย! ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ”

“เจ้านั่นล่ะมารยา ในเมื่อไม่ยอมรับก็จงไปนอนในตรุสักสามวันสามคืน เจ้าจักได้สำนึกว่าทำผิดอันใดลงไป ส่วนเอ็งนังเขียน..” เมืองแมนชี้หน้านางข้าไทด้วยอารมณ์เดือดพล่าน

นางเขียนถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตื่นกลัว ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้สั่นปานเจ้าเข้า

“ข้าเจ้าผิดไปแล้ว อย่าทำอันใดข้าเจ้าเลยเจ้าค่ะ”

“เอ็งมันเป็นแค่นางข้าไทไพร่ราบ อย่าได้มาบังอาจดูหมิ่นเมียข้าเยี่ยงนี้ หากข้ารู้ว่าเอ็งยังสนับสนุนเครือแก้วให้กระทำผิดเยี่ยงนี้อีกข้าตัดหัวเจ้าแน่ จงไปนอนอยู่ในตรุให้สบายใจเถิด ครบสามวันแล้วหวังว่าเจ้าทั้งสองจักกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่” เมืองแมนเอ่ยกับคนทั้งสองอย่างไม่ไยดี

“ไม่นะเจ้าพี่...ฮึก...ข้าสำนึกผิดแล้วอย่าทำเยี่ยงนี้เลยเจ้า ข้าสัญญาว่าจักไม่ย่างกรายเข้าไปเหยียบตำหนักเล็กอีกแล้ว ฮืออออ...” เครือแก้วคลานมากอดขาสวามีเอาไว้แน่นเพื่อขอโอกาสอีกครั้ง

“เจ้าจักว่าเยี่ยงใดคำน้อย จักยอมยกโทษให้เครือแก้วหรือไม่” เมืองแมนหันมาถามความเห็นจากคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“หากเจ้านางยอมกราบแทบเท้าขอโทษข้า ข้าจักยอมยกโทษให้”

“ไม่! ข้าไม่มีทางทำเยี่ยงนั้นเด็ดขาด!” เครือแก้วไม่มีทางยอมลดศักดิ์ศรีไปกราบเท้าคนชั้นต่ำอย่างนั้นแน่

“เช่นนั้นเจ้าจักต้องโดนจำตรุ ทหาร!” เมืองแมนตะโกนสั่งทหารที่ยืนอยู่ด้านนอกให้เขามาหา

“ไม่นะ! ฮืออออ เหตุใจเจ้าพี่ถึงใจร้ายใจดำกับเมียที่อยู่กินกันมานานเยี่ยงนี้ เจ้าพี่เห็นมันดีกว่าข้า ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด” เครือแก้วร้องไห้ร้องห่มกอดขาเมืองแมนไว้แน่น

“จับสตรีสองนางนี้ไปจำตรุสามวันสามคืน ส่วนไอ้ทหารสองคนนั้นจับมันไปเฆี่ยนเอาน้ำเกลือราดให้ทรมานแล้วเฉดหัวมันออกนอกวัง”

“เจ้า / เจ้า...”

สิ้นเสียงคำสั่งทหารทั้งสี่นายก็เดินเข้ามาดึงตัวเครือแก้วออกจากขาเมืองแมน ส่วนนางเขียนยอมให้จับกุมโดยง่ายนั่นเพราะไม่มีทางหนีทีไล่

“เจ้าพี่ช่วยข้าด้วย! ข้าไม่อยากนอนในตรุ ฮืออออ ปล่อยกูบัดเดี๋ยวนี้! ปล่อยสิวะ!” เจ้านางพยายามดิ้นรนขัดขืน จ้องมองคำน้อยด้วยสายตาอาฆาตแค้น แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มมุมปากเยาะเย้ย ทำหน้ายียวนกวนประสาทเพื่อให้คู่อริเจ็บแค้นใจมากยิ่งขึ้นไปอีก

“มึงอย่าคิดว่าจักเอาชนะกูได้ ไอ้เมียบ่าว ไอ้คนชั้นต่ำ” เครือแก้วชี้หน้าขู่ขณะโดนจับตัวไป

“ข้าไม่เคยคิดจักเอาชนะเจ้านางเลยนะเจ้า” คำน้อยแสร้งทำเป็นหวาดกลัวเมื่อเห็นท่าทีอีกฝ่าย

“อีตอแหล! กรี๊ดดดดดด!!! ปล่อยกูสิวะไอ้ทหารชั้นต่ำ....”

เมืองแมนรู้สึกเครียดเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพชายา แต่หากเขาไม่ทำอย่างนี้มีหวังคำน้อยได้โดนกลั่นแกล้งอีกเป็นแน่ หลังจากนี้เขาจะต้องสั่งทหารให้เฝ้ายามคุมเข้มยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นอีก

“ข้าซึ้งน้ำใจเจ้าพี่เหลือเกินที่ให้ความเป็นธรรมแก่ข้าเยี่ยงนี้” คำน้อยนั่งลงกับพื้นก้มกราบแทบเท้าทันที

“ลุกขึ้นเถอะข้าบอกแล้วอย่างใดว่าจักดูแลให้เจ้ามีความสุข กลับคุ้มกันเถอะวันนี้ข้าจักอยู่กับเจ้าตลอดทั้งวันไม่ไปไหน” เมืองแมนพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืนตรงหน้า ใช้สายตาโลมเลียราวกับต้องการเรื่องอย่างว่าเหลือทน

“เจ้า” คำน้อยตอบรับสั้นๆ แสร้งทำเป็นเอียงอาย ทั้งที่ในใจกลับไม่ได้ต้องการเลยสักนิด

“วันนี้ข้าจักปลอบเจ้าจนถึงใจเชี่ยวล่ะหึๆ”

คำน้อยทำได้เพียงยิ้มรับอย่างเสียมิได้ จากนั้นเมืองแมนก็โอบไหล่พาเมียรักกลับตำหนักเล็ก ซึ่งเป็นสถานที่เริงรักที่เลอค่าสำหรับเมืองแมนไปเสียแล้ว



กึก! แกร็ก!

“ปล่อยกูออกไปบัดเดี๋ยวนี้ไอ้พวกทหารชั้นต่ำ ฮืออออ...” เครือแก้วใช้สองกำกรงเหล็กไว้ ตะโกนด่าทอเหล่าทหารที่นำตัวเธอเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขนาดเกือบเท่ารูหนูแห่งนี้

“ฮือออ...ข้าเจ้าไม่น่าไปที่นั่นกับเจ้านางเลย” นางเขียนนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ข้างกรงเหล็กอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“อีเขียน! เหตุใดมึงกล้ากล่าวโทษกูเยี่ยงนี้ อีไพร่! อีคนชั้นต่ำ ไม่ใช่มึงหรอกรึที่เป็นผู้วางแผนทุกเรื่อง จนทำให้กูต้องมาอยู่ในนี้”

เพี๊ยะ!

ด้วยความโมโหเครือแก้วจึงขยุ้มผมนางข้าไทให้เงยหน้าขึ้นมา ฟาดมือเรียวไปที่แก้มเต็มแรง จนนางเขียนนอนซบลงกับพื้นเลือดกบปาก

“หากข้าเจ้าเป็นคนชั้นต่ำ เหตุใดเจ้านางต้องเชื่อสิ่งที่อีนางข้าไทชั้นต่ำคนนี้บอกด้วยเล่า ต่อไปนี้อีเขียนจักไม่ออกความคิดเห็นใดๆ แล้ว ฮืออออ...” พูดจบนางเขียนก็ปล่อยโฮอีกรอบ เธอน้อยอกน้อยใจที่ผู้เป็นนายเอาแต่กล่าวโทษทั้งที่ตนเองไม่มีสมองคิดอะไรได้เองเลยสักเรื่อง

“อีบ้า! วันนี้กูจักตบมึงให้สาแก่ใจ ที่มึงเป็นต้นเหตุให้กูต้องมาอยู่ในนี้”

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

“เจ้านางข้าเจ้าเจ็บ...ฮือออ...”

เครือแก้วใช้นางข้าไทคนสนิทเป็นที่ระบายความโกรธแค้นในใจจนสภาพแทบดูไม่ได้ ส่วนนางเขียนได้แต่ยอมทนรับความเจ็บปวดนั้นไว้ เก็บความเคียดแค้นไว้ในใจเพื่อรอเอาคืนในสักวันให้จงได้



หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.14 บทลงโทษ [Up.17-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-11-2018 18:18:43
ตบให้ตายกันไปทั้งคู่เลยนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.14 บทลงโทษ [Up.17-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-11-2018 18:57:49
คำน้อยทำดีมาก555
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.14 บทลงโทษ [Up.17-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 17-11-2018 21:15:09
ต่างคนต่างอยู่ก็ดีแล้ว
คำแก้วแม่หญิงขี้อิจฉา
ทำให้คำน้อยผู้อ่อนหวาน
ต้องมาร้ายเพื่อปกป้องตัวเอง
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.14 บทลงโทษ [Up.17-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-11-2018 21:54:14
อยู่เป็น
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.14 บทลงโทษ [Up.17-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-11-2018 22:22:13
 :mew4: ดูเหมือนเจ้านางจะทำมิตรให้เป็นศรัตรูเสียแล้ว
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.14 บทลงโทษ [Up.17-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-11-2018 22:41:35
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.14 บทลงโทษ [Up.17-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 18-11-2018 14:21:20
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.14 บทลงโทษ [Up.17-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 18-11-2018 21:33:17
สมน้ำหน้า!
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.14 บทลงโทษ [Up.17-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 19-11-2018 21:22:10
คำชม
ภาษาดีจังค่ะ อ่านแล้วไหลลื่นไม่สะดุด
ดำเนินเรื่องไวไม่น่าเบื่อ


ข้ามได้เลยนะ
ข้อเสนอแนะจากความคิดเห็นส่วนตัวอย่าถือเป็นสำคัญ
อ่านแล้วขัดๆนิดหน่อย การกระทำและคำบรรยายบางตอนเหมือนคู่ ช-ญ แต่ก็แล้วแต่คนชอบ
โดยรวมชอบเรื่องนี้นะ
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.15 ดีใจไม่สุด [Up.21-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 21-11-2018 22:32:12
บทที่ 15

ดีใจไม่สุด



ตั้งแต่กลับมาจากน้ำตกในวันนั้นแสงหล้าเริ่มมีกำลังใจที่ดีขึ้น คลายความกังวลใจเรื่องคำน้อยไปได้มากพอสมควร อีกส่วนเป็นเพราะจักรคำคอยดูแลเอาใจใส่ไม่เคยห่าง แถมยังคอยประคบประหงมราวกับเขาเป็นเด็กน้อยซะอย่างนั้น ยิ่งจักรคำทำดีด้วยเท่าไรความรักและไว้ใจที่แสงหล้ามอบให้ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

วันนี้จักรคำพาเมียรักมาชมความงดงามของสวนดอกไม้ภายในเขตอุทยานหลวง สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณที่ผลัดกันออกดอกบานสะพรั่งเต็มพื้นที่กว้าง สร้างความสดชื่นให้แก่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้เป็นอย่างดี

สวนดอกไม้แห่งนี้อนุญาตให้เข้ามาได้เฉพาะเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น หากผู้ใดฝ่าฝืนเข้ามาจะต้องโดนอาญาทันที เป็นเช่นนี้คนธรรมดาสามัญก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้ ยกเว้นนางข้าไทและทหารที่ติดตามเจ้านายมาเท่านั้น

“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่” จักรคำเอ่ยถามขณะเดินโอบไหล่ร่างเล็กเดินชมความงดงามของสองข้างทาง

“ชอบที่สุดเลยเจ้า ที่นี่ช่างงดงามเหลือเกิน เหตุใดจึงไม่เห็นมีผู้ใดย่างกรายเข้ามาที่นี่เลยสักคน” แสงหล้าเอ่ยถามด้วยความสงสัย นั่นเพราะหากเป็นเมืองผาพิงค์ป่านนี้คงมีผู้คนเข้ามาชมจนเนืองแน่นเป็นแน่แท้

“ที่แห่งนี้อนุญาตให้เข้ามาเฉพาะเจ้านายชั้นสูงเพียงเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปเข้ามาไม่ได้ดอก”

“อ้าว! เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนั้น สถานที่สวยๆ เยี่ยงนี้ควรให้ผู้คนได้เข้ามาเห็นเป็นบุญตาสักครั้งก็ยังดี”

“มันเป็นกฎที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว อีกอย่างหากให้ชาวบ้านเข้ามาอาจเกิดความเสียหายได้” จักรคำอธิบายให้ฟัง

“หากท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าหลวงแล้วข้าขอเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

“อันใดรึ” จักรคำหยุดฝีเท้า หันมาส่งยิ้มให้คนรัก

“ข้าอยากให้ชาวบ้านสามารถเข้ามาชมความงดงามในสวนแห่งนี้ได้ ข้ามั่นใจว่าจักไม่มีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นหากเราแจงกฎระเบียบให้พวกเขาเข้าใจ อีกอย่างทุกคนจักได้ซาบซึ้งในบารมีของเจ้าหลวงด้วยเช่นใดเล่า”

“อืม...ตกลงข้าจักยอมทำตามสิ่งที่เจ้าร้องขอ แต่ข้าไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดถึงจักมีวันนั้น เจ้ารอได้หรือไม่” จักรคำเอื้อมมือไปสัมผัสบนแก้มขาวอย่างแผ่วเบา ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตกลางหน้าผากนุ่ม

“ไม่ว่าจักนานเท่าใดข้าก็รอได้”

“ข้าคิดไม่ผิดที่เลือกเจ้า” จักรคำจ้องมองริมฝีปากบางอย่างตั้งใจ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่บ่งบอกว่าตอนนี้เขากำลังคิดจะทำอะไร

“อย่าคิดทำเยี่ยงนั้นเป็นอันขาด ท่านไม่อายทหารพวกนั้นรึ” แสงหล้าดันอกแกร่งไว้ ขณะปรายตามองทหารสี่ห้านายที่ยืนเฝ้ายามอยู่ไม่ไกล

“เหตุใดต้องอายด้วยเล่า” จักรคำหันไปมองบรรดาทหารหนุ่ม ก่อนจะพยักหน้าสั่งให้เดินออกไปให้พ้นทาง แล้วหันกลับมายิ้มให้คนที่อยู่ตรงหน้า

“เจ้าเล่ห์ที่สุด อย่าคิดว่าทำเรื่องวันนั้นได้แล้วข้าจักยอมไปตลอด” คนพูดเอียงอาย ก้มหน้างุดวางสายตาไว้บนอกแกร่ง

จักรคำเชยคางเรียวขึ้นมาให้สบตากัน

“ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจักยอมหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับข้าว่าต้องการเมื่อใดต่างหากเล่า”

จักรคำโน้มใบหน้าคมเข้าไปประกบจูบริมฝีปากบางอย่างนุ่มนวล เลื้อยมือทั้งสองไปโอบกอดแผ่นหลังบางดึงตัวให้เข้ามาประชิด รสจูบที่ดูดดื่มทำเอาแสงหล้าเคลิ้มกอดรัดร่างกำยำไว้แน่น ยินยอมให้อีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากตวัดเกี่ยวพันลิ้นตนเองอย่างสนุกสนาน

“แฮ่กๆ ๆ ...พะ...พอได้แล้ว ท่านจักแกล้งข้าให้ขาดใจตายหรืออย่างไร”

ผละใบหน้าออกมาแล้วแต่ทว่าจักรคำกลับไม่ยอมหยุดเพียงแค่นั้น แสงหล้าจึงดันอกแกร่งห้ามไว้เสียก่อน

“แต่ข้ายังไม่อิ่มเอมใจ ขออีกสักนิดเถอะน่า”

“ไม่เอาแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อต้องการชมสวนไม่ได้มาเพื่อ....” ร่างเล็กก้มหน้างุดไม่ยอมเอ่ยต่อไป

“เพื่ออันใดรึ หรือว่าเจ้าคิดถึงเมื่อครั้งที่เราอยู่ในถ้ำด้วยกัน” จักรคำพูดแหย่ให้คนที่อยู่ตรงหน้าเขินอาย

“มะ...ไม่ใช่สักหน่อย”

“แต่ข้าคิด ข้าตัดสินใจแล้วว่านับจากนี้ไปจักไปนอนกับเจ้าที่ตำหนัก”

“แล้วอินเหล่าเล่าเจ้าพี่ อินเหลาจักนอนกับผู้ใด”

“อินเหลาเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่มีปัญหาอันใดดอก”

“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าพี่ ถึงห้ามท่านก็ไม่ยอมฟังข้าอยู่ดี”

แม้จะทำเหมือนไม่เต็มใจนัก แต่ทว่าหัวใจกลับเต้นแรงด้วยความดีใจเป็นที่สุด เขายอมรับอย่างไม่อายว่าตอนนี้หัวใจทั้งดวงได้มอบให้จักรคำไปหมดแล้ว และยังคงหวังว่าหากจักรคำได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ตั่งทองแล้ว จะทำตามสัญญาคืนอิสรภาพให้เมืองผาพิงค์

“รู้เยี่ยงนี้แล้วจงเตรียมตัวให้พร้อม ข้าอยากนอนกอดเจ้าทั้งวันทั้งคืนไม่ไปไหนเลยด้วยซ้ำ” พูดจบจักรคำก็โน้มใบหน้าไปหอมแก้มขาวฟอดใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัว

“พอได้แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อชมดอกไม้ ไม่ได้มาเพื่อให้ท่านเชยชมตัวข้าสักหน่อย” พูดจบแสงหล้าก็เร่งฝีเท้าเดินล่วงหน้าไปก่อน จักรคำได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะรีบเดินตามไปติดๆ

ในระหว่างทั้งสองคนกำลังพลอดรักกันอยู่นั้น กลับมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมาด้วยความเดือดดาลเป็นที่สุด เขาคนนั้นคือแสงชัยนั่นเอง ที่ลักลอบเข้ามาในเมืองแห่งนี้เพื่อดูความเป็นอยู่ของน้องชาย แต่ทว่ามาถึงแล้วเขากลับเจอภาพบาดตาที่ทำให้ผิดหวังกับตัวน้องชายเป็นที่สุด

จักรคำเดินโอบไหล่ร่างเล็กชมสวนไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นกลับมีทหารสองนายรีบวิ่งเข้ามาเพื่อกล่าวรายงานอะไรบางอย่าง

“เจ้าอุปราชเจ้า!” ทหารทั้งสองนายนั่งคุกเข่าลงตรงหน้ายกมือกล่าวรายงาน

“มีอันใดรึ? เหตุใดถึงได้วิ่งหน้าตาตื่นมาเยี่ยงนี้” จักรคำขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย

“เจ้าหลวงทรงประชวรกะทันหันเจ้า ตอนนี้หมอหลวงกำลังรักษาพระอาการอยู่ในห้องบรรทมเจ้า”

“เจ้าพ่อ! “

เมื่อได้ยินอย่างนั้นจักรคำก็หน้าถอดสีทันที บิดาไม่เคยมีวี่แววว่าจะป่วยเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ทรุดหนักอย่างนี้

“เจ้าพี่ไปดูพระอาการเจ้าหลวงเถิด ข้าจักกลับคุ้มเองไม่ต้องเป็นห่วง” แสงหล้ายกมือขึ้นบีบเบาๆ ที่ต้นแขนเพื่อให้กำลังใจ

“เช่นนั้นข้าจักไปหาเจ้าพ่อที่คุ้มก่อน เจ้าจักกลับคุ้มตอนนี้เลยรึไม่”

“ข้าจักเดินชมสวนอยู่ที่นี่อีกสักพัก เจ้าพี่ไม่ต้องเป็นห่วงดอก”

“ถ้าเช่นนั้นเจอกันที่คุ้มนะเมียพี่”

“เจ้า”

จากนั้นจักรคำก็รีบเดินนำหน้าทหารไปด้วยความเร่งรีบ ปล่อยให้เมียรักชมสวนดอกไม้เพียงลำพัง

แสงหล้าเดินชมสวนไปเรื่อยเปื่อยอย่างสบายใจ สถานที่อันสวยงามแห่งนี้ทำให้เขาผ่อนคลายมากเหลือเกิน มันช่างเงียบสงบ ไม่มีความวุ่นวายใดๆ ให้ต้องเครียดเลยสักนิด

“ป่านนี้เอ็งจักเป็นเช่นใดบ้างนะคำน้อย” เจ้าตัวเอ่ยพึมพำเบาๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าของข้าไทคนสนิท ทั้งสองยังไม่ได้เจอหน้ากันเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดเรื่อง

แสงชัยเห็นว่าตอนนี้น้องชายเดินมาเพียงลำพังจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปดึงตัวเข้ามาในพุ่มไม้ เอามือปิดปากไว้แน่นไม่ให้ส่งเสียงร้อง

“อื้อออออ...”

“ชู่ว์!!! นี่พี่เอง”

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแสงหล้าก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ น้ำใสๆ ไหลพรากออกมาจากดวงตาคู่สวยทันที ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ วันที่ได้เจอหน้าและได้ยินเสียงพี่ชายอีกครั้ง

“เจ้าพี่ ฮึก...”

แสงหล้าหมุนตัวกลับแล้วรีบกอดพี่ชายไว้แน่น สะอื้นไห้ด้วยความดีใจเป็นที่สุด

“พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกินแสงหล้า” แสงชัยเองก็ปล่อยโฮเมื่อได้กอดน้องชายอีกครั้ง

“น้องก็คิดถึงเจ้าพี่ เจ้าพ่อเป็นเช่นใดบ้างทรงสบายดีหรือไม่”

“เจ้าพ่อทรงสบายดี เจ้าพ่อคิดถึงน้องมากเลยสั่งให้พี่มาสืบข่าวถึงที่นี่”

“น้องสบายดี ไม่มีอันใดให้ต้องเป็นห่วง” แสงหล้ายังคงยิ้มไม่ยอมหุบ มันเหมือนฝันเหลือเกินเมื่อได้เจอหน้าพี่ชายที่นี่

“คงจักสบายมากจนลืมบ้านเกิดเมืองนอนไปแล้วกระมัง” แสงชัยเริ่มเข้าสู่โหมดดราม่า เมื่อนึกถึงภาพน้องชายพลอดรักกับเจ้าอุปราชของเมืองนี้

“เหตุใดเจ้าพี่ถึงกล่าวเยี่ยงนี้” แสงหล้าหุบยิ้มด้วยความฉงนในใจ อยู่ดีๆ พี่ชายก็มีท่าทีเปลี่ยนไปกะทันทันอย่างนี้

“พี่เห็นเจ้าพลอดรักกับไอ้ฆาตกรนั่น เจ้าคิดอันใดอยู่รึแสงหล้า เจ้าลืมไปแล้วรึว่ามันเข่นฆ่าชาวเมืองผาพิงค์ไปมากแค่ไหน!” แสงชัยขึ้นเสียงใส่น้องชายด้วยความโมโห

“น้อง...” เมื่อได้ยินผู้เป็นพี่เอ่ยอย่างนั้นก็ทำให้แสงหล้าเริ่มคิดหนัก หากบอกไปตรงๆ ว่าได้มอบหัวใจให้จักรคำไปแล้ว อาจจะทำให้พี่ชายผิดหวังและเสียใจมาก

“เจ้ารักมันรึ?”

“น้องไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น เพียงแต่กำลังเล่นละครตบตาเพื่อให้เขารักและไว้ใจ หากในอนาคตเจ้าเมืองแมนได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองแล้ว น้องจักขอให้เมืองผาพิงค์เป็นอิสระเช่นใดเล่าเจ้าพี่” แสงหล้าจำเป็นต้องบอกไปอย่างนั้น เพื่อไม่ให้พี่ชายกังวลว่าเขาจะไปรักกับศัตรูของบ้านเมือง

“พี่ขอโทษที่เข้าใจเจ้าผิดไป มันคงไม่มีวันนั้นดอกเพราะตอนนี้พี่กับเจ้าพ่อกำลังวางแผนกับหัวเมืองน้อยใหญ่เพื่อเข้ามายึดอำนาจที่นี่แล้ว” แสงชัยรู้สึกผิดที่เข้าใจน้องชายตนเองผิดไป จากนี้เขาจะต้องใช้ความพยายามเข้ามาโจมตีเมืองใหญ่นี้ให้ป่นปี้ไม่มีชิ้นดีในอีกไม่ช้า

“เจ้าพี่หาควรทำเช่นนั้นไม่ เจ้าพี่ก็รู้ว่ามันเสี่ยงแค่ไหน เมืองเชียงราชคำไม่ใช่เมืองเล็กๆ กำลังพลก็มีมหาศาลนัก เช่นนี้แล้วจักเอาชนะได้เยี่ยงไร” หากเป็นเช่นนั้นจะต้องมีคนตายเป็นเบือเพื่อสังเวยศึกในครั้งนี้ ซึ่งเขาไม่อยากให้ต้องมีการนองเลือดอีกแล้ว

“พี่มั่นใจว่าจักเอาชนะได้ อีกไม่นานพี่จักมารับเจ้ากับคำน้อยกลับบ้านเรา” ว่าแล้วแสงชัยก็ปรายตามองหาคำน้อย “ว่าแต่คำน้อยอยู่ที่ใดรึ ปกติแล้วเจ้าสองคนไม่เคยอยู่ห่างกัน”

“คือ...ตอนนี้คำน้อยไม่ได้อยู่ที่คุ้มเดียวกับน้องแล้ว” แสงหล้าเอ่ยเบาเสียง

“คำน้อยอยู่ที่ใด...หรือมีผู้ใดรังแกมันบอกพี่มา”

“ตอนนี้คำน้อยออกเรือนไปกับเจ้าเมืองแมนแล้วเจ้า”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น คำน้อยที่ข้าเคยรู้จักไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูงเยี่ยงนี้”

“น้องคิดว่าคำน้อยอาจจักโดนบังคับขืนใจ แต่มันไม่ยอมบอกน้องว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกับมัน เราไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งแล้วเจ้าพี่”

“เลวที่สุด! คนบ้านเมืองนี้จิตใจโหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดียรัจฉาน ข้าจักไม่ยอมให้พวกมันอยู่กันอย่างสุขสบายเยี่ยงนี้ไปได้อีกนานดอก” แสงชัยมองไกลด้วยสายตาที่ดุดัน กำมือจนสั่นเทา บ่งบอกว่าเขากำลังอารมณ์เดือดพล่านมากแค่ไหน

“เจ้าแสงหล้าเจ้า”

เสียงทหารดังแว่วมาทำเอาทั้งสองตื่นตกใจจนสะดุ้ง

“เจ้าพี่รับหนีไปก่อนเถอะเจ้า”

“ดูแลตัวเองดีๆ พี่จักติดต่อเจ้าเป็นระยะไม่ต้องห่วง พี่ต้องไปแล้วน้องรัก” ว่าแล้วแสงชัยก็โอบกอดน้องชายสุดที่รักไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ ย่องหนีแอบไปตามพุ่มไม้

หลังจากพี่ชายหนีไปแล้วแสงหล้าก็เกลี่ยน้ำตาออกจากพวงแก้มจนเกลี้ยง แล้วเดินออกไปยังทางเดินเพื่อให้ทหารเห็นตนเอง

“มีอันใดรึ?”

“ไม่มีอันใดเจ้า ข้าเจ้าไม่เห็นเจ้าแสงหล้าเลยเกรงว่าจักมีอันตราย”

“ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วง ข้าอยากกลับคุ้มแล้ว”

“เจ้าอุปราชส่งเสลี่ยงมารอรับพอดีเจ้า”

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าก็ยิ้มด้วยความปลื้มใจ

ตอนแรกทั้งสองขี่ม้ามาด้วยกัน พอมีเหตุจำเป็นต้องกลับไปก่อน จักรคำจึงสั่งให้ทหารนำเสลี่ยงมารอรับเมียสุดที่รัก

การได้เจอพี่ชายครั้งนี้จริงๆ แล้วเขาควรจะดีใจ แต่ทว่าทำไมกลับรู้สึกกลัวว่าอีกไม่นานความวุ่นวายจะต้องเกิดขึ้น จนทำให้ต้องมีการนองเลือดอีกครั้ง ซึ่งเขาไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.15 ดีใจไม่สุด [Up.21-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-11-2018 22:52:01
จะโดนจับได้ป่ะเนี่ย มาเมืองศัตรูแบบนี้นะ คุณพี่  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.15 ดีใจไม่สุด [Up.21-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 21-11-2018 23:17:58
 :เฮ้อ: ดูเหมือนคว่มทุกจะมีอยู่รอบตัว :hao5:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.15 ดีใจไม่สุด [Up.21-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-11-2018 03:32:50
คิดหนักเลย คนนึงก็พี่อีกคนก็สามี :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.15 ดีใจไม่สุด [Up.21-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-11-2018 09:35:56
เฮ้อ~
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.15 ดีใจไม่สุด [Up.21-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-11-2018 22:06:24
 :katai2-1:
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.16 ความริษยา [Up.24-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 24-11-2018 15:16:41
บทที่ 16

ความริษยา



จักรคำมาถึงห้องบรรทมของเจ้าหลวงก็พบว่าเมืองแมนได้มาถึงก่อนหน้าแล้ว หมอหลวงกำลังดูแลรักษาผู้เป็นบิดาที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าอิดโรย

“เจ้าพ่อ! ทรงเป็นเช่นใดบ้างเจ้า” จักรคำยกมือไหว้สาเมื่อเดินมายืนเคียงข้างน้องชาย

“พ่อไม่ได้เป็นอันใดดอก อย่าได้เป็นกังวลไป” เจ้าหลวงยังคงยิ้มให้ลูกชายทั้งสองคนได้ เจ้าตัวรู้สึกว่าช่วงหลังๆ มานี้ร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนเมื่อก่อน นั่นเป็นเพราะเริ่มแก่ตัวขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีอาการของโรคหัวใจกำเริบอีกต่างหาก แต่ทว่าเขาไม่เคยบอกกับลูกชายทั้งสองคนมาก่อน และคิดว่าคงถึงเวลาที่จะให้จักรคำขึ้นนั่งบนตั่งทองแทนเสียแล้ว

“เจ้าพี่ทำอันใดอยู่รึถึงได้มาช้าเยี่ยงนี้” เมืองแมนว่าให้พี่ชายด้วยสีหน้าขุ่นเคือง หมายใจจะทำให้ผู้เป็นพ่อเห็นดีเห็นงามด้วย

“ข้า...เอ่อ...” จักรคำไม่กล้าบอกว่ากำลังไปเดินชมสวนกับแสงหล้าอยู่ กลัวว่าจะทำให้ผู้เป็นพ่อไม่พอใจ

“ว่ายังไงหมอหลวง พ่อข้าเป็นอันใดรึ”

ขณะรอฟังคำแก้ตัวของจักรคำอยู่นั้น เมืองแมนก็หันไปสนใจหมอหลวงที่ลุกขึ้นจากเตียงบรรทมพอดี

“เจ้าหลวงทรง....” หมอหลวงกำลังจะเอ่ยรายงานแต่เจ้าหลวงทรงเอ่ยเสียงแทรกเสียก่อน

“เจ้าออกไปก่อนข้ามีเรื่องจะคุยกับลูกข้า” เจ้าหลวงสั่งให้หมอหลวงออกไปจากห้องบรรทม เพราะกลัวว่าลูกชายจะรู้เรื่องอาการป่วยที่ปกปิดเป็นความลับไว้มานานหลายปี

“เจ้า” หมอหลวงไหว้สาก่อนจะเดินออกไปจากห้องตามคำสั่ง

จักรคำและเมืองแมนต่างไม่เข้าใจว่าทำไมบิดาจึงได้สั่งอย่างนั้น ราวกับไม่ต้องการให้รู้ว่าตนเองป่วยเป็นอะไร

“เหตุใดเจ้าพ่อจึงสั่งให้หมอหลวงออกไปเร็วเยี่ยงนี้ ทรงมีอันใดปกปิดพวกข้างั้นรึ” จักรคำไม่แจ้งใจเข้ากับสิ่งที่บิดากระทำ นั่นยิ่งทำให้รู้สึกเป็นห่วงเข้าไปใหญ่

“ไม่มีอันใดดอก ในเมื่อพวกเจ้ามาพร้อมหน้ากันเยี่ยงนี้แล้ว พ่อเองก็มีเรื่องแจ้งให้รับรู้” เจ้าหลวงพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งเอนหลัง โดยมีเมืองแมนช่วยพยุงตัว

“มีเรื่องอันใดรึเจ้าพ่อ” เมืองแมนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นซะเต็มประดา

“ตอนนี้พ่อเองก็เริ่มแก่ตัวขึ้นไปทุกวันๆ บัดนี้คงถึงเวลาที่พ่อจักต้องให้เจ้าทั้งสองดูแลบ้านเมืองของเราต่อไป ขึ้นสิบสองค่ำเดือนหน้าเชียงราชคำจักมีงานใหญ่ นั่นคือพิธีแต่งตั้งเจ้าหลวงองค์ใหม่ จงเตรียมตัวให้พร้อมจักรคำลูกพ่อ” เจ้าหลวงวางมือไว้บนบ่าลูกชายบีบเบาๆ

“เจ้าพ่อ!” จักรคำตกใจที่จู่ๆ บิดาตัดสินใจอย่างนี้ เขายังอยากให้บิดาปกครองบ้านเมืองไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย นั้นเพราะทุกวันนี้บ้านเมืองก็อยู่ในความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองดีอยู่แล้ว

เมืองแมนได้ยินอย่างนั้นก็กำมือไว้แน่นจนสั่น แต่สีหน้าที่แสดงออกให้บิดาและพี่ชายเห็นนั้นกลับปกติไม่ได้มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดก็ถึงวันนี้ วันที่เขาต้องพ่ายแพ้ให้กับพี่ชายอย่างราบคาบ ตั้งแต่เด็กจนโตบิดาให้ความสำคัญเพียงแค่พี่ชายเท่านั้น เขาคงเป็นได้เพียงตัวสำรองที่ไม่มีวันได้เป็นตัวจริงแน่แล้ว

“พ่อตัดสินใจดีแล้ว ส่วนเมืองแมนจักมีตำแหน่งเป็นเจ้าอุปราชหอหน้า”

“ข้ายินดีเป็นที่สุดเจ้า” เมืองแมนแสร้งยิ้มให้บิดาแต่ทว่าในใจกลับร้อนรนและเดือดดาลเป็นที่สุด

“หากเจ้าพ่อตัดสินใจเยี่ยงนี้แล้ว ข้าก็น้อมรับพระประสงค์เจ้า” จักรคำรู้ดีว่าเมืองแมนไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ แต่เขาไม่ต้องการให้บิดารู้ถึงความบาดหมางของเขาและน้องชาย เพราะเกรงว่าจะทำให้ไม่สบายใจนั่นเอง

“พ่อดีใจที่เจ้าทั้งสองเห็นด้วย จากนี้ไปจงช่วยกันดูแลบ้านเมืองแทนพ่อ ช่วยกันทำให้เชียงราชคำเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก” เจ้าหลวงยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้เปิดใจกับลูกชายทั้งสอง

“เจ้า / เจ้า” ชายหนุ่มทั้งสองตอบรับพร้อมกัน

“จงไปประกาศให้ชาวเมืองรับรู้กันอย่างถ้วนหน้า ว่าเดือนหน้าเชียงราชคำจักมีงานใหญ่ที่สุดเกิดขึ้น” เจ้าหลวงรับสั่งกับทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างเตียง

“เจ้า”

“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าจงว่าราชการแทนพ่อ จนกว่าพ่อจักหายดีนะจักรคำ”

“ข้าจักทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเจ้าพ่ออย่าได้ทรงห่วง พักผ่อนให้มากๆ จักได้ทรงแข็งแรงในเร็ววัน”

“หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าพ่อ” ว่าแล้วเมืองแมนก็ยกมือไหว้สารีบเดินออกไปทันที ปล่อยให้คนทั้งสองพูดคุยกันอยู่ในห้องให้สมใจอยาก เขามันก็เป็นเพียงส่วนเกินตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

เขาไม่อยากทนฟังเสียงและเห็นหน้าผู้เป็นพี่ชายอีกแล้ว ยิ่งเห็นสายตาที่บิดามองพี่ชายอย่างตั้งความหวังเป็นที่สุด เขายิ่งเกลียด เกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตายเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

เดินมาถึงหน้าตำหนักแล้ว เมืองแมนก็หยุดฝีเท้าก่อนจะหันกลับไปมองด้วยแววตาที่แข็งกร้าวลุกโชนไปด้วยไฟริษยา

“กูจักไม่ยอมให้มึงได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองเป็นแน่ เชียงราชคำจักต้องเป็นของกูเพียงผู้เดียว”



*-*-*-*-*-*-*



ครบกำหนดสามวันแล้ว เครือแก้วได้รับการปล่อยตัวออกมาจากตรุในสภาพแทบดูไม่ได้ เจ้านางผู้สูงศักดิ์กับนางข้าไทคนสนิทกลับมาที่คุ้มในสภาพไม่ต่างจากคนธรรมดาสามัญทั่วไป เมื่อย่างกรายเข้ามาในตำหนักนอกจากจะมีบรรดานางข้าไทคอยต้อนรับแล้ว ยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่บนตั่งที่ประจำของเธออย่างถือวิสาสะอีกด้วย

“ยินดีต้อนรับเจ้านางกลับคุ้ม” วันนี้คำน้อยไม่ได้มาคนเดียว เขามีนางข้าไทที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่นั่นคือเอื้อยคำและบัวตอง สองสาวที่เมืองแมนคัดมาเพื่อเป็นมือเป็นตีนคอยช่วยเหลือคำน้อยนั่นเอง

“ไอ้คนจัญไร ลงมาจากตั่งกูบัดเดี๋ยวนี้” เมื่อเห็นคำน้อยนั่งอยู่บนตั่งของตนเอง เครือแก้วก็เลือดขึ้นหน้าชี้นิ้วสั่งให้ลงมาทันที

“ข้าเองก็ไม่อยากนั่งให้เป็นเสนียดก้นนักดอก เพียงแต่อยากรู้ว่าหากนั่งแล้วจักกลายเป็นผีในร่างคนเหมือนเจ้านางได้หรือไม่ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าการที่คนเราจักเป็นคนดีหรือคนเลว มันเกิดจากสันดานของผู้นั้น หาได้มีสิ่งอื่นเป็นตัวกำหนดไม่” คำน้อยลุกขึ้นยืน เดินตรงมาหาเจ้านางเครือแก้วอย่างไม่เกรงกลัวในอำนาจ ตอนนี้เขาสามารถเอาอกเอาใจให้เมืองแมนหลงใหลอย่างโงหัวไม่ขึ้นได้แล้ว หากชี้นกก็เป็นนก หากชี้ไม้ก็เป็นไม้ จึงมั่นใจว่าต่อจากนี้ไปจักสามารถเอาชนะเครือแก้วได้อย่างไม่ต้องพยายามอะไรเลย

“กรี๊ดดดดด!!! ออกไปจากตำหนักกูบัดเดี๋ยวนี้”

“ข้าออกไปแน่ ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปมีหวังได้กลายเป็นผีร้ายเหมือนเจ้าเป็นแน่”

“กูทนไม่ไหวแล้วขอตบมึงสักฉาดก่อนเถอะ” เครือแก้วทนเห็นคำน้อยเดินลอยหน้าลอยตาในตำหนักตัวเองไม่ได้ จึงง้างมือขึ้นจะตบหน้า แต่ทว่าคำน้อยไวกว่า

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

“นี่มึงกล้าตบกูงั้นรึ”

“เหตุใดข้าจักไม่กล้าในเมื่อตอนนี้ข้าคือคนโปรดของเจ้าพี่เมืองแมนแล้ว อีกไม่นานเจ้าจักกลายเป็นหมาหัวเน่าไม่มีอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น”

“ไม่จริง! มึงไม่มีวันเอาชนะกูได้ดอกไอ้พวกต่างด้าว” เครือแก้วง้างมือจะตบอีกครั้ง แต่ทว่ากลับโดนชี้หน้าขู่ห้ามเอาไว้เสียก่อน ทำเอาเจ้าหล่อนหยุดชะงักด้วยความกลัว

“หยุด! หากเจ้ายังต้องการให้ใบหน้าสวยๆ ไม่มีรอยฟกช้ำไปมากกว่านี้”

“อีเขียนจัดการมัน”

เมื่อไม่สามารถเล่นงานอีกฝ่ายได้ด้วยตนเอง เครือแก้วจึงสั่งให้นางข้าไทที่เพิ่งออกมาจากตรุด้วยกันเป็นฝ่ายออกโรงแทนแต่ทว่า...

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าเจ้าไม่อยากเจ็บตัวเพราะผู้ใดอีกแล้ว” นางเขียนปฏิเสธโดยทันที ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมหากโดนผู้เป็นนายลงอาญา นั่นเป็นเพราะเจ้าหล่อนน้อยอกน้อยใจตั้งแต่ถูกทำร้ายทุบตีเมื่อครั้งถูกจองจำอยู่ในตรุก่อนหน้านี้แล้ว

“อีเขียน! มึงกล้าดีเยี่ยงไรมาขัดคำสั่งกู” เครือแก้วหันขวับไปมองหน้านางเขียนปานจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ แต่นางเขียนกลับเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมมองสิ่งใดนอกจากพื้นที่อยู่ตรงหน้าเพียงเท่านั้น

“กลับเถอะเอื้อยคำ บัวตอง สงสัยนายกับขี้ข้าคงจักมีเรื่องต้องคุยกันยาว” คำน้อยแสยะยิ้มใส่หน้าเครือแก้ว ก่อนจะเดินนำหน้านางข้าไททั้งสองออกไปจากตำหนัก

“กูจักไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่จำไว้” เครือแก้วตะโกนตามหลังก่อนจะเดินไปยังโต๊ะวางแจกันดอกไม้ เจ้าหล่อนจับมันขึ้นมาแล้วปาลงบนพื้นจนแตกกระจายเพื่อระบายอารมณ์โกรธแค้น

เพล้ง!!

“กรี๊ดดดด!! กูเกลียดมึง! กูเกลียดมึงไอ้คำน้อย!”

นางข้าไทในตำหนักต่างก็นั่งก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวกับอารมณ์ร้ายของเจ้านางเครือแก้ว แต่ทว่านางเขียนกลับคลานเข่าจะออกไปจากตำหนัก

“อีเขียนมึงจักไปที่ใด”

“ข้าเจ้าจักออกไปนอกตำหนัก”

“กูไม่ให้มึงไป”

“แต่ข้าเจ้าจักไป” นางเขียนต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัวอาญา จากนั้นก็รีบเดินออกไปจากตำหนักโดยไม่หันกลับมามองผู้เป็นนายเลยสักนิด

“กรี๊ดดดด!! อีเขียน อีไพร่มึงกล้าดีขัดคำสั่งกูงั้นรึ อีสารเลว โอ๊ยยย!!! มันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นกับกูเนี่ย พวกมึงออกไปให้หมด ออกไปให้พ้นๆ หน้ากูบัดเดี๋ยวนี้”

เครือแก้วออกปากไล่บรรดานางข้าไทออกจากตำหนัก อีกทั้งยังทำลายข้าวของจนพังเสียหายไปหมด ตั้งแต่คำน้อยเข้ามาอยู่ในคุ้มชีวิตเธอก็ดิ่งลงเหวในพริบตา ตอนแรกว่าเกลียดแสงหล้ามากแล้ว แต่ตอนนี้คำน้อยกลับเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งที่เธอเกลียดมากที่สุด



นางเขียนรีบวิ่งออกมาจากตำหนักตามให้ทันคำน้อย เจ้าหล่อนตะโกนเรียกเพื่อรั้งให้อีกฝ่ายยอมหยุดเดินเพื่อเธอจะได้เอ่ยอะไรบางอย่าง

“เจ้าคำน้อยเจ้า”

เมื่อได้ยินเสียงนางเขียนคำน้อยก็ชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองยังต้นเสียงด้วยความสงสัย นางเขียนเรียกเขาเต็มยศอย่างนี้ต้องการอะไรกันแน่

“เอ็งมีอันใดกับข้ารึอีเขียน”

“ข้าเจ้าผิดไปแล้ว ยกโทษให้ข้าเจ้าด้วย ข้าเจ้าทนความร้ายกาจของเจ้านางเครือแก้วไม่ไหวแล้ว โปรดรับข้าเจ้าเป็นนางข้าไทรับใช้ด้วยอีกสักคนเถอะเจ้า” พูดจบนางเขียนก็ก้มลงกราบค้างไว้อย่างนั้นไม่ยอมเงยขึ้นมา

คำน้อยเห็นอย่างนั้นก็เริ่มหนักใจ เขาไม่ไว้ใจนางเขียนเลยสักนิด แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ในตำหนักเมื่อสักครู่ก็พอจะเข้าใจว่านางเขียนต้องทนแรงกดดันจากเครือแก้วมากแค่ไหน หรือเขาจะลองเสี่ยงดู เผื่อได้ใช้ความเป็นคนเก่าคนแก่ของนางเขียนคอยเป็นมือเป็นเท้าในการทำอะไรต่อมิอะไรได้

“ข้าจักเชื่อใจเอ็งได้มากน้อยเพียงใด ในเมื่อเอ็งไม่ชอบขี้หน้าข้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร”

“ข้าเจ้าขอสาบานว่าจักไม่มีวันทรยศเจ้าคำน้อยเด็ดขาดเจ้า หากวันใดผิดคำสาบานขอให้นางเขียนไม่ตายดีเลยเจ้า” นางเขียนยกมือไหว้สาบานต่อหน้า

“หากเอ็งกล้าสาบานเยี่ยงนี้แล้วข้าจักรับเอ็งไปตำหนักด้วย แต่เอ็งควรไปบอกกล่าวเจ้านายเก่าของเสียก่อน”

“หากเข้าไปบอกมีหวังข้าเจ้าไม่ได้ออกมาเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจโดนฆ่าตายก็เป็นได้นะเจ้า” นางเขียนทำทีไม่อยากเข้าไปในตำหนักซะเต็มประดา

“เช่นนั้นเอ็งจงเดินตามหลังคำเอื้อยกับบัวตองกลับไปที่คุ้มกับข้า นับจากนี้เอ็งคือคนของข้าต้องเชื่อฟังข้าเข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจเจ้าค่ะ” นางเขียนเริ่มยิ้มออก ก่อนจะก้มลงกราบอีกครั้ง

เธอยอมที่จะก้มลงกราบคนที่เคยเป็นข้าไทด้วยกันมาก่อน เพื่อแลกกับการที่ต้องไม่โดนโขกสับเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งนานวันเจ้านางเครือแก้วยิ่งปฏิบัติราวกับเธอไม่ใช่คน นั่นคือสาเหตุที่ยอมแปรพักตร์มาอยู่กับฝ่ายตรงข้าม

คำน้อยเดินขึ้นเสลี่ยงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อย่างน้อยวันนี้ก็ทำให้เครือแก้วคลั่งแทบเป็นบ้าได้ แถมยังได้นางข้าไทคนสนิทอย่างนางเขียนมาเป็นพรรคพวกอีก จากนี้ไปเขาจะทำให้เครือแก้วได้รับบทเรียนอย่างแสนสาหัสที่สุด

หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.16 ความริษยา [Up.24-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-11-2018 18:56:16
คำน้อยระวังตัวไว้บ้างนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.16 ความริษยา [Up.24-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 24-11-2018 21:08:13
 :katai2-1: ฝั่งนี้ก็จบตีกัน มันหยด o13
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.16 ความริษยา [Up.24-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-11-2018 22:49:59
สาแก่ใจอีช้อยมา555
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.16 ความริษยา [Up.24-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-11-2018 15:53:04
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.16 ความริษยา [Up.24-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-11-2018 19:19:09
ต่อไปคำน้อยต้องสาหัส เพราะนังเขียนแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.16 ความริษยา [Up.24-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 25-11-2018 19:56:58
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.16 ความริษยา [Up.24-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-11-2018 07:26:43
 :katai1:
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.17 แผนร้าย [Up.27-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 27-11-2018 15:15:20
บทที่ 17

แผนร้าย



จักรคำกลับมาที่คุ้มพร้อมกับความกลัดกลุ้มภายในใจ แม้ว่ามันเป็นเรื่องดีที่เขาจะได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองแทนผู้เป็นบิดา แต่ทว่ากลับเป็นห่วงความรู้สึกน้องชายเป็นที่สุด ป่านนี้เมืองแมนคงจะโกรธเกลียดเขามากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อทุกอย่างมันถูกกำหนดมาอย่างนี้แล้ว เขาจะเข้มแข็งและทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

เมื่อเห็นสวามีกลับมาถึงตำหนักแล้ว แสงหล้าที่เพิ่งจะออกมาจากห้องส่วนตัวก็เดินเข้ามาหา แล้วนั่งลงข้างกันก่อนจะหันไปเอ่ยถาม

“เจ้าหลวงเป็นเช่นใดบ้างเจ้า”

“เจ้าพ่อทรงอาการดีขึ้นแล้วล่ะ”

“แล้วเหตุใดเจ้าพี่จึงได้ทำหน้าเยี่ยงนั้น ราวกับมีเรื่องทุกข์ในใจ” แสงหล้าสังเกตเห็นตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว

“เดือนหน้าเจ้าพ่อจักสละราชบังลังก์ให้ข้าขึ้นนั่งบนตั่งทองแล้ว”

“เป็นเรื่องจริงรึ! ข้าดีใจเหลือเกิน” แสงหล้าดีใจเป็นที่สุดเมื่อได้ยินอย่างนั้น นั่นเพราะเขาจะได้หาทางบอกพี่ชายไม่ต้องยกทัพเข้ามาโจมตีเมืองเชียงราชคำ จะได้ไม่ต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้น

“เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก”

“แล้วเหตุใดเจ้าพี่จึงมานั่งอมทุกข์เยี่ยงนี้เล่า มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่รึ”

“ใช่...ข้าควรจักดีใจ แต่ข้าเป็นห่วงความรู้สึกของเมืองแมน”

“มันคือสิทธิ์อันชอบธรรมของเจ้าพี่ เหตุใดต้องไปรู้สึกเป็นทุกข์เพราะคนเยี่ยงนั้นด้วย”

“แต่ถึงอย่างไรเมืองแมนก็คือน้องข้า ข้ารู้ดีว่าเมืองแมนต้องการนั่งบนตั่งทองมากแค่ไหน”

“เจ้าพี่คิดว่าหากเจ้าเมืองแมนนั่งบนตั่งทองแล้ว จักทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้มากกว่างั้นรึ” แสงหล้ามองไม่เห็นอนาคตของเมืองนี้เลยหากคนอย่างเมืองแมนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์

“...” จักรคำเงียบเพราะรู้นิสัยของน้องชายดี

“เจ้าพี่ก็คิดเช่นเดียวกับข้า อย่าทรงคิดมากเลยเจ้า เวลาจักช่วยเยียวยาทุกสิ่งเอง ข้าและอินเหลาจักอยู่เคียงข้างเจ้าพี่ไม่ไปไหนแน่นอน” แสงหล้า

“เจ้าสัญญาได้หรือไม่ว่าจักอยู่เคียงข้างข้าเยี่ยงนี้ตลอดไป”

“ข้าสัญญา”

“ข้าเองก็สัญญาว่าจักดูแลเจ้าให้อยู่ดีมีสุข และทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้โดยเร็วที่สุดเช่นกัน”

ทั้งสองสวมกอดกันอย่างแนบแน่น แม้ว่าจะตอบรับเขาไปอย่างนั้นแต่ทว่าแสงหล้ากลับรู้สึกไม่สบายใจ จนกว่าจะหาทางติดต่อผู้เป็นพี่ชายเพื่อบอกให้ล้มเลิกการก่อสงครามในครั้งนี้ได้เสียก่อน



ณ คุ้มเจ้าราชวงศ์

เมื่อเดินเข้ามาในตำหนัก คำน้อยก็เห็นเมืองแมนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งเห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักจึงรีบเดินตรงเข้ามาหา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

“เจ้าพี่มีเรื่องอันใดไม่สบายใจรึ จึงได้มานั่งทำหน้ากลัดกลุ้มอยู่เยี่ยงนี้”

“ไม่มีอันใดดอก ว่าแต่เจ้ามาจากที่ใดรึ”

“ข้ามาจากตำหนักใหญ่เจ้า วันนี้เจ้านางเครือแก้วออกมาจากตรุแล้วเจ้าพี่จำไม่ได้รึ” คำน้อยบอกความจริงไป เพราะถึงยังไงเมืองแมนก็ต้องถามเรื่องนางเขียนอยู่ดี เพราะตอนนี้เจ้าหล่อนนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ในตำหนักแห่งนี้แล้ว

“ใช่สินะ...ว่าแต่นางทำอันใดเจ้าอีกหรือไม่” เมืองแมนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เลื้อยมือไปเกี่ยวเอวคอดกระชับตัวให้เข้ามาใกล้ๆ

“นางไม่ได้ทำอันใดข้า” คำน้อยส่งยิ้มให้สวามี

“เอ๊ะ! นั่นอีเขียนงั้นรึ เหตุใดมันจึงมานั่งเสนอหน้าในตำหนักนี้ได้” เมืองแมนขมวดคิ้วจ้องมองนางข้าไทด้วยความสงสัย

“ข้ากำลังจักบอกเจ้าพี่อยู่พอดี เขียนขอมารับใช้ข้าที่ตำหนัก มันเอ่อ...ทนความเจ้าอารมณ์ของเจ้านางเครือแก้วไม่ไหวแล้วเจ้า”

“งั้นรึอีเขียน”

“เจ้าค่ะ ข้าเจ้าโดนเจ้านางตบตีอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งตอนที่ถูกจำตรุ ฮึก...เจ้านางทุบตีข้าเจ้าเยี่ยงสัตว์ ข้าเจ้าจึงขอตามมารับใช้เจ้าคำน้อยที่ตำหนักเจ้าค่ะ” นางเขียนก้มกราบกล่าวความในใจ

“เอ็งจักไม่ทำร้ายเมียข้าอีกใช่หรือไม่” เมืองแมนยังคลางแคลงใจนั่นเพราะนางเขียนรับใช้เครือแก้วมานาน เป็นเช่นนี้แล้วเขาต้องซักถามให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่องวุ่นๆ ในคุ้มนี้อีก

“ข้าเจ้าสาบานว่าจักไม่มีทางทำร้ายเจ้าคำน้อยอีกเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

“จงจำคำสาบานเอ็งให้ขึ้นใจ หากวันใดเอ็งผิดคำสาบานข้านี่ล่ะจักเป็นคนฆ่าเอ็งให้ตายเสีย”

“เจ้าค่ะ”

นางเขียนก้มกราบอย่างสุดซึ้ง ก่อนจะเงยขึ้นไปยิ้มทั้งน้ำตาให้ผู้เป็นนายทั้งสอง

“พวกเอ็งออกไปข้างนอกก่อน ข้าจักอยู่กับเมียข้าเพียงลำพัง”

“เจ้า / เจ้า / เจ้า”

นางข้าไททั้งสามตอบรับพร้อมก้มลงกราบ ก่อนจะเดินเข่าออกไปจากตำหนักตามคำสั่ง

“วันนี้ข้ารู้สึกเพลียๆ เจ้านวดหลังให้ข้าหน่อยนะ” เมืองแมนกระซิบข้างใบหูสวยก่อนจะกดจมูกคมลงบนแก้มขาวนวล สูดกลิ่นหอมเข้าปอดอย่างชื่นใจ

“หากเจ้าพี่ต้องการอันใดข้าจักยอมทำให้โดยไม่มีขอแม้ใดๆ ทั้งสิ้น” คำน้อยเอียงอายเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับสวามีด้วยรอยยิ้มหวาน ตอนนี้หัวใจที่เคยเป็นของคำป้อเริ่มมีเมืองแมนเข้ามาแทนที่ทีละน้อยๆ แต่ทว่าเจ้าตัวยังไม่ลืมกับสิ่งที่เมืองแมนได้เคยทำไว้ นั่นทำให้ยังไม่วางใจกับความรักในครั้งนี้ กลัวว่าสักวันจะโดนกระทำเหมือนอย่างเครือแก้ว หากอีกฝ่ายมีคนใหม่ที่ถูกใจกว่า

“อย่าเอาใจข้าเกินไปรู้หรือไม่”

“เหตุใดเจ้าพี่จึงกล่าวเยี่ยงนี้”

“เพราะแค่นี้ข้าก็หลงเจ้าจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วยังไงล่ะ”

“ข้ามีเรื่องจะขอ...ได้หรือไม่” ช่วงหลังมานี้เมืองแมนตามใจเขาทุกอย่างไม่เคยปฏิเสธแม้แต่ครั้งเดียว จึงอยากจะลองขอไปเยี่ยมเยียนแสงหล้าบ้าง เขาคิดถึงผู้เป็นเจ้านายมากเหลือเกิน อยากไปพูดคุยและคอยรับใช้เหมือนเช่นเคย

“เจ้าจักขออันใดข้ารึ”

“ข้า...ขอไปเยี่ยมเจ้าแสงหล้าได้หรือไม่”

“ไม่ได้! ห้ามเจ้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนคุ้มนั้นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจักถือว่าเจ้าเป็นศัตรูกับข้า” เมืองแมนรีบปฏิเสธเสียงแข็งทันทีที่ได้ยิน เขาไม่มีทางให้คำน้อยกลับไปที่นั่นอีกแล้ว จนกว่าจะสามารถแย่งชิงบังลังก์ตั่งทองมาเป็นของตนเองได้เสียก่อน

“ข้าเจ้าขอสุมาที่ทำให้เจ้าพี่ไม่พอใจ” เขาไม่น่าเอ่ยขอไปอย่างนั้นเลย สู้แอบซุ่มไปเงียบๆ จะดีกว่า

“รู้เช่นนี้แล้วเจ้าจงอย่าเอ่ยถึงคนพวกนั้นให้ข้าได้ยินอีก ข้าสัญญาว่าหากเจ้าอยู่ในโอวาทเยี่ยงนี้ไปตลอด ข้าจักเชิดชูให้เจ้าอยู่เหนือเมียคนอื่นๆ แน่นอน”

เมืองแมนให้สัญญาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงๆ แล้วเขาไม่ได้มีแค่เครือแก้วและคำน้อย แต่ทว่ายังมีธิดาของขุนนางอีกหลายคนที่ไปมาหาสู่อยู่บ่อยๆ ซึ่งเรื่องนี้คำน้อยรู้ดีแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้องการอยู่เหนือใคร นอกจากเอาชนะเครือแก้วได้เท่านั้นเป็นพอ

“ข้าจักจงรักภักดีกับเจ้าพี่เยี่ยงนี้ตลอดไปเจ้า” คำน้อยกราบแทบอกสวามี เมืองแมนยิ้มอย่างพอใจจากนั้นจึงสวมกอดร่างบางไว้แน่น

เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวที่เขาจะต้องวางแผนให้แยบยลที่สุด เพื่อจะได้ก่อการกบฏแย่งชิงราชสมบัติและตั่งทองที่หมายปองมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย คิดได้อย่างนั้นเจ้าตัวก็แสยะยิ้มแสดงความร้ายกาจผ่านทางสีหน้าอันหล่อเหลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟริษยา
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.17 แผนร้าย [Up.27-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-11-2018 18:09:19
คำน้อยจะรอดไหมเนี่ย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.17 แผนร้าย [Up.27-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-11-2018 18:31:29
คำน้ิอยเอ้ยยย
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.17 แผนร้าย [Up.27-11-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 27-11-2018 22:23:51
กว่าจะได้บัลลังก์คงตายก่อน
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.18 ความกังวลใจ [Up.07-12-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 07-12-2018 21:07:48
บทที่ 18

ความกังวลใจ



อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะถึงวันราชาภิเษกของเจ้าหลวงพระองค์ใหม่แล้ว ชาวเมืองเชียงราชคำทั้งในและนอกกำแพงเมืองต่างก็ตื่นเต้นกับงานราชพิธีอันสำคัญนี้ บรรดาห้างร้านและสถานที่สำคัญถูกประดับตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพรรณ พร้อมทั้งตุงหลากสีสันที่ห้อยระโยงระยางตามถนนสายหลัก

หอหลวงซึ่งเป็นสถานที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเมืองนี้ ถูกบูรณะปรับปรุงใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น เพื่อต้อนรับการขึ้นครองราชย์ของเจ้าหลวงพระองค์ใหม่

“ข้าตื่นเต้นเหลือเกินอยากให้ถึงวันราชาภิเษกเร็วๆ”

“นั่นสิ...ข้าก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าเอ็งเลย เจ้าหลวงพระองค์ใหม่ทรงพระปรีชาสามารถทั้งในการศึกและการบ้านการเมือง หากได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองแล้วเมืองเชียงราชคำจักต้องเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก หามีเมืองใดทัดเทียมได้อย่างแน่นอน”

เสียงบทสนทนาของหญิงสาวชาวบ้าน ที่กำลังเดินเที่ยวในตลาดดังขึ้นอยู่ไม่ไกล ทำให้แสงชัยทำทีเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะฟังบทสนทนาให้ได้ถนัดหูยิ่งขึ้น

“ช้าก่อนแม่หญิง!”

แสงชัยเดินมาพร้อมกับองครักษ์ทั้งสองคน แต่งตัวให้กลมกลืนกับชาวบ้านทั่วไป แต่ทว่าความสง่างามของความเป็นเจ้าชายทำให้ทั้งสองสาวมองตาเป็นมัน กระดี้กระด๊าราวกับได้เห็นเทพบุตรก็ไม่ปาน

“มีอันใดรึพ่อหนุ่มรูปงาม” เจ้าหล่อนทั้งสองทำท่าทีเหนียมอายเมื่อเห็นใบหน้าคมสันของแสงชัย

“ข้ามาจากต่างเมืองอยากทราบว่าที่เชียงราชคำมีงานมงคลอันใดงั้นรึ”

“อีกห้าวันจักมีการผลัดแผ่นดินแล้วเจ้าไม่รู้รึ เจ้าอุปราชจักรคำจักได้ขึ้นนั่งตั่งทองแทนเจ้าหลวงองค์ปัจจุบัน ชาวเมืองจึงได้เตรียมงานเพื่อเฉลิมฉลองงานสำคัญนี้เช่นใดเล่า”

“ช่างเป็นข่าวดีเสียนี่กระไร ขอบน้ำใจแม่หญิงมากข้าสัญญาว่าจักมาร่วมงานสำคัญในครั้งนี้ให้จงได้”

“ไม่เป็นไรว่าแต่ท่าน....” กำลังจะเอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนาม แต่ทว่าแสงชัยกับองครักษ์ทั้งสองกลับเดินจากไปเสียแล้ว เจ้าหล่อนจึงทำหน้าเสียดายอย่างเป็นที่สุด

“เหตุใดจึงรีบเยี่ยงนี้นะ เฮ้อ...”



แสงชัยรีบเดินออกจากตลาดลัดเลาะเข้าไปยังป่าละเมาะ ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวในเมืองใหญ่แห่งนี้ เมื่อไปถึงก็มีพรรคพวกอยู่ที่นั่นอีกสี่ห้าคน วันนี้เขาต้องเดินทางกลับเมืองผาพิงค์เพื่อเคลื่อนทัพกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อทำลายพิธีอันสำคัญที่สุดที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองนี้

“เก็บของให้เรียบร้อยเราจักกลับเมืองผาพิงค์บัดเดี๋ยวนี้”

“เหตุใดเจ้าอุปราชจึงเร่งกำหนดการเยี่ยงนี้เจ้า” หนึ่งในทหารเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะกำหนดการเดิมคือต้องอยู่ดูลาดเลาอีกหนึ่งสัปดาห์

“เรามีเวลาแค่ห้าวันเพื่อเคลื่อนทัพเข้ามาโจมตีเมืองนี้ เพราะจักมีการผลัดแผ่นดิน ช่วงเวลานี้เหมาะแก่การเข้าโจมตีเป็นที่สุด”

“เจ้าอุปราชจักเข้าไปพบเจ้าแสงหล้าอีกครั้งก่อนหรือไม่เจ้า”

“ไม่ล่ะ...ข้าจักมารับน้องข้ากลับบ้านในวันประกาศชัยชนะบนผืนแผ่นดินนี้ พวกมันจักได้รู้ว่าเมืองเล็กๆ ที่เคยกดขี่ข่มเหง หาได้ก้มหัวยอมมันเสมอไป”

อีกไม่กี่อึดใจเขาจะทำลายเมืองแห่งนี้ไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก ให้สาสมกับที่พวกมันเคยทำกับเมืองผาพิงค์เอาไว้ เจ้านายทุกพระองค์จะต้องถูกจองจำไม่ให้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน ประชาชนเมืองนี้จะต้องถูกนำตัวไปเป็นทาสรับใช้หัวเมืองน้อยใหญ่ ที่เมืองเชียงราชคำเคยกดขี่ข่มเหงมาตลอดหลายทศวรรษ

*-*-*-*-*-*-*

หลังจากแปรพักตร์มาอยู่กับคำน้อยแล้ว นางเขียนก็เริ่มเอาอกเอาใจเจ้านายใหม่อย่างออกนอกหน้า จะเรียกว่าเลียแข้งเลียขาเพื่อความอยู่รอดก็เห็นจะได้ ทำตัวเด่นกว่านางข้าไทคนอื่นๆ หวังจะเป็นที่โปรดปรานของคำน้อยเหมือนที่เคยทำกับเครือแก้วมาแล้ว

วันนี้คำน้อยได้เรียกนางเขียนเข้ามาพบเป็นการส่วนตัว เขาอยากมั่นใจว่านางข้าไทผู้นี้ยอมสวามิภักดิ์จากใจจริงหรือไม่ งานที่จะมอบหมายให้ในครั้งนี้ จึงเป็นบทพิสูจน์ในตัวนางเขียนได้เป็นอย่างดี

“เจ้าคำน้อยมีเรื่องอันใดให้ข้าเจ้ารับใช้เจ้าคะ” เมื่อเดินเข่าเข้ามาในตำหนักนางเขียนก็ก้มลงกราบ เงยหน้าขึ้นมารับคำสั่งด้วยรอยยิ้ม

“เอ็งคิดดีแล้วรึที่มาอยู่ฝั่งข้า” คำน้อยไม่อยากให้เสียเวลาจึงยิงคำถามไปตรงๆ

“นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของข้าเจ้าแล้วเจ้าค่ะ ขืนอยู่กับเจ้านางเครือแก้วต่อไป มีหวังต้องโดนฆ่าตายในสักวันเป็นแน่” นางเขียนกล่าวพลางหยีหน้า ราวกับรังเกียจเดียดฉันท์เจ้านายเก่าซะเต็มประดา

“ข้ามีงานให้เอ็งทำ เพื่อเป็นบทพิสูจน์ว่าเอ็งจักอยู่ข้างข้าอย่างบริสุทธิ์ใจหรือไม่”

“ข้าเจ้าทำได้ทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเองเจ้าค่ะ”

“งานที่ข้าจักให้เอ็งทำก็คือ จัดการกับเจ้านางเครือแก้ว เอ็งทำให้ข้าได้หรือไม่”

“ทำได้สิเจ้าคะ ข้าเจ้าอยากตบหน้าเจ้าเครือแก้วด้วยมือของข้าเจ้าเอง แต่ขืนทำเยี่ยงนั้นมีหวังข้าเจ้าโดนลงอาญาจนตายเป็นแน่” แม้ว่าอยากจะเอาคืนให้สาสมแต่นางเขียนรู้ดีว่าตนอยู่ในสถานะใด ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม

“หากไม่มีผู้ใดรู้เรื่อง เอ็งจักโดนอาญาได้เยี่ยงไรเล่านังเขียน” คำน้อยแสยะยิ้มราวโดนวิญญาณร้ายเข้าสิงร่าง ความเจ็บปวดจากการโดนกระทำมานักต่อนัก ทำให้คำน้อยผู้ใสซื่อในอดีตเริ่มรู้ทันคนและพร้อมจะตอบโต้ได้ทุกเมื่อถ้ามีโอกาส

“จักเป็นไปได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ในเมื่อผู้ที่มีเรื่องกับเจ้านางก็มีเพียงแค่ข้าเจ้าและ...เจ้าคำน้อยเท่านั้น”

“หากเป็นเช่นนั้นเราต้องหาคนมารับผิดแทนเช่นใดเล่า”

“เช่นใดรึเจ้าคะ” นางเขียนทำหน้าสงสัยเล็กน้อย

“ทำเช่นใดก็ได้ให้เจ้านางเครือแก้ว ไม่มีโอกาสเข้าไปนั่งชูคอในหอหลวง ในวันราชาภิเษกเจ้าหลวงพระองค์ใหม่ ไม่ต้องให้ถึงตายเพราะข้าไม่อยากจองเวรจองกรรมกับผู้ใดอีกแล้ว ในวันนั้นข้าจักเข้าร่วมพิธีกับเจ้าพี่แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น” นั่นคือโจทย์ที่คำน้อยให้ไป

คำน้อยต้องการยืมมือนางเขียนเล่นงานเครือแก้ว หากเครือแก้วไม่มายุ่งวุ่นวายกับเขาอีก นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะจองเวรจองกรรมกับอีกฝ่าย เมื่อใดที่จักรคำได้ขึ้นครองราชย์แล้ว เขาหวังว่าจะได้มีโอกาสไปมาหาสู่แสงหล้าอย่างเป็นปกติ นั่นเพราะมั่นใจว่าเมืองแมนคงไม่กล้าไปทำรุ่มร่ามกับแสงหล้าเป็นแน่แท้ เพราะเป็นถึงชายาของเจ้าหลวง นั่นทำให้คำที่เมืองแมนขู่ไว้ไม่มีผลต่อเขาอีกต่อไปแล้ว ส่วนจะยังคงอยู่ในสถานะเดิมหรือไม่ ก็ยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองอยู่เหมือนกัน

“หากต้องการเช่นนั้นข้าเจ้าจักจัดการให้เจ้าค่ะ รับรองว่าเจ้านางเครือแก้วต้องจำเหตุการณ์ในครั้งนี้ไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน” นางเขียนยิ้มอย่างมีเลศนัย นางอยากจะเอาคืนเครือแก้วมานานแล้ว บัดนี้ฝันจะได้กลายเป็นจริงเสียที

“หากเอ็งทำสำเร็จข้าจักมีรางวัลให้อย่างงาม”

“เป็นพระคุณยิ่งนักเจ้าค่ะ” พูดจบนางเขียนก็ก้มลงกราบพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจ นางอยากให้ถึงวันนั้นโดยเร็วเสียจริงๆ

*-*-*-*-*-*-*

ภายในตำหนักเจ้าอุปราช แสงหล้าเดินกลับไปวนมาด้วยความร้อนใจ เพราะกำลังคิดหาวิธีเพื่อจะได้เจอกับพี่ชายอีกครั้ง ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป

แสงหล้ากลัวว่าพี่ชายของตนจะนำทัพเข้ามาในงานสำคัญที่กำลังจะมาถึง เพราะในวันนั้นทุกคนในเมืองต่างก็ต้องมารวมตัวกันภายในกำแพงเมือง นั่งรอชมพระบารมีของเจ้าหลวงพระองค์ใหม่ นั่นเพราะหลังจากพิธีการในหอหลวงเสร็จสิ้นลงแล้ว จักรคำจะต้องสวมชุดตามราชประเพณีเต็มยศ เดินออกไปพบปะกับชาวเมืองที่มานั่งรอนั่นเอง

“เจ้ามีเรื่องอันใดไม่สบายใจรึแสงหล้า” จักรคำเดินเข้ามาพร้อมกับลูกชายตัวน้อย เมื่อเห็นอย่างนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงปนสงสัยเล็กน้อย อีกฝ่ายทำท่าทีมีพิรุธ สีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่มีอันใดเจ้า ข้าแค่รู้สึกตื่นเต้นกับงานสำคัญของเจ้าพี่” คนพูดพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินตรงไปหาเด็กชายตัวน้อย นั่งลงตรงหน้าแล้วสวมกอดหลวมๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

“หากเจ้าพ่อได้เป็นเจ้าหลวงแล้ว เจ้าน้าต้องได้เจ้านางหลวงด้วยใช่หรือไม่เจ้า” เด็กชายเอ่ยถามตามประสาเด็ก ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าจึงยิ้มให้แล้วตอบกลับทันที

“จงฟังให้ดีนะอินเหลาของน้า หามีผู้ใดมาแทนที่แม่ของเจ้าได้ดอก ตำแหน่งเจ้านางหลวงจักต้องเป็นของแม่เจ้าตลอดไป แต่ถึงอย่างนั้นน้าจักอยู่ที่นี่กับเจ้าเช่นเดิมไม่ไปไหนแน่นอน”

“แต่แม่ของข้าตายไปแล้วนี่นา” อินเหลายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมแสงหล้าจึงต้องเว้นตำแหน่งนี้ไว้ให้มารดาตนเอง ทั้งที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

“ขนาดเด็กยังรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร เหตุใดเจ้าจึงได้กล่าวเยี่ยงนี้ เจ้าคือเมียเพียงหนึ่งเดียวของข้า หากไม่ใช่เจ้าแล้วจักมีผู้ใดเหมาะสมกว่านี้เล่าแสงหล้า” จักรคำยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาไม่มีทางยอมให้มันเป็นอย่างนั้นแน่นอน แม้ว่าเขาจะรักอิงฟ้ามากแค่ไหน แต่ตอนนี้แสงหล้าคือคนที่เขาพร้อมจะอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต ยังไงซะตำแหน่งเจ้านางหลวงก็จะต้องเป็นของแสงหล้าเท่านั้น

“แต่ข้าเป็นเพียงเมียเชลยหาควรขึ้นนั่งเคียงข้างเจ้าพี่ไม่ ข้ากลัวว่าขุนนางในราชสำนักจักไม่พอใจจนเป็นเหตุให้กระด้างกระเดื่องกับเจ้าพี่ได้”

“หาต้องกลัวอันใดไม่ ข้าเชื่อว่าเจ้าจักทำให้คนอื่นรักได้ เหมือนที่ทำให้ข้าและอินเหลารัก” จักรคำเอื้อมมือไปวางบนบ่าของคนรัก บีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

“หากในภายภาคหน้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เจ้าพี่สัญญาได้หรือไม่ว่าจักเชื่อมั่นในตัวข้า”

“ไม่ว่าจักเกิดอันใดขึ้นเราจักร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ข้าจักเชื่อมั่นในตัวเจ้า เราจักเชื่อมั่นในกันและกัน” สายตาคมที่มองมาสื่อว่าจักรคำจริงจังกับคำพูดมากแค่ไหน

ทั้งสองส่งยิ้มให้กันอย่างหวานซึ้ง เด็กชายตัวน้อยเห็นอย่างนั้นจึงยกมือน้อยๆ ขึ้นไปคล้องคอคนทั้งสองแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้กัน อินเหลายิ้มกว้างอย่างพอใจราวกับได้ทำเรื่องสนุกซะอย่างนั้น

“เจ้าพ่อกับเจ้าน้าจักต้องอยู่ข้างๆ ข้าเยี่ยงนี้ตลอดไป” อินเหลาเอ่ยกับคนทั้งสองด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินอย่างนั้นจักรคำและแสงหล้าจึงเปลี่ยนเป้าหมาย โน้มใบหน้าเข้าไปหมอแก้มนุ่มๆ ของเด็กชายพร้อมกัน

รอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังขึ้นหลังจากนั้น แต่ทว่าในใจแสงหล้ากลับยังคงมีแต่ความกังวล คิดไม่ตกว่าจะหาทางยับยั้งแผนการของพี่ชายได้อย่างไร มันแทบไม่มีหนทางเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.18 ความกังวลใจ [Up.07-12-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-12-2018 02:07:01
จะโค่นชะนีลงได้หรือไม่ได้น่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.18 ความกังวลใจ [Up.07-12-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-12-2018 02:32:51
นังเขียนจะจัดการเครือแก้วยังไงน๊าาา อยากรู้ๆๆ
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.19 เพลิงพระนาง [Up.06-02-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 06-02-2019 20:28:15
บทที่ 19

เพลิงพระนาง



เสียงปี่กลองแตรสังข์ดังมโหระทึกกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง บ่งบอกว่าได้ถึงฤกษ์งามยามดีสำหรับเริ่มต้นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ ประชาชนชาวเมืองเชียงราชคำต่างหลั่งไหลเข้ามาภายในกำแพงเมืองไม่ขาดสาย นั่งอย่างเป็นระเบียบอยู่หน้าหอหลวง โดยมีนายทหารเป็นผู้ควบคุมความเรียบร้อย ทางเดินตรงกลางถูกกันไว้เป็นแนวยาวจนถึงหน้าประตูเมือง ถูกปูด้วยพรมกำมะหยี่สีทับทิม เพื่อให้เจ้าหลวงองค์ใหม่เดินออกมาทักทายประชาชนอันเป็นที่รัก หลังจากเสร็จสิ้นพิธีราชาภิเษกและถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้ว

ผู้ครองนครหัวเมืองน้อยใหญ่และเมืองประเทศราช ต่างก็มารวมตัวกันในหอหลวง เข้าร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นสักขีพยานและประกาศก้อง ให้เจ้าเมืองทุกเมืองได้เห็นหน้าค่าตาของเจ้าหลวงองค์ใหม่ ซึ่งต้องให้การเคารพยำเกรงไม่ต่างจากเจ้าหลวงองค์ก่อน

ในขณะที่ทุกคนได้รวมตัวกันที่หอหลวงแล้ว แต่ทว่าขบวนเสลี่ยงของเจ้านางเครือแก้วยังไม่ได้ย่างกรายออกจากคุ้ม นั่นเพราะฤทธิ์ยานอนหลับที่นางเขียนได้แอบลักลอบนำไปใส่ในน้ำดื่ม ทำให้คนในคุ้มนั้นหลับลึกจนนอนตื่นสายกินบ้านกินเมือง แต่ทว่าความร้ายกาจของนางเขียนกลับยังไม่หมดแค่นั้น

“พวกเอ็งรีบพาข้าไปหอหลวงบัดเดี๋ยวนี้ เกิดเหตุอันใดขึ้นกับข้าเนี่ยจึงได้นอนหลับไม่รู้เรื่องเยี่ยงนี้” เจ้านางผู้มีใบหน้างดงามบ่นออกมาขณะเดินขึ้นไปนั่งบนเสลี่ยง

ทหารทั้งสี่นายยกเสลี่ยงขึ้นพร้อมกันกำลังจะเดินไป แต่ทว่าเครือแก้วกลับสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เจ้าหล่อนมองหานางข้าไทผู้ที่คอยตามรับใช้ แต่กลับไม่พบใครตามออกมาจากคุ้มด้วยเลยสักคน

“ช้าก่อน! เหตุใดอีพวกนางข้าไทจึงยังไม่ออกมาสักคน”

“ข้าเจ้าหารู้ไม่เจ้า” หนึ่งในชายที่กำลังแบกเสลี่ยงตอบคำถาม

“เฮ้อ! ช่างหัวพวกมัน รอให้ข้ากลับมาก่อนเถิดจักลงหวายให้หลังลายเลยทีเดียว พวกเอ็งจงเร่งฝีเท้าให้ทันพิธีการบัดเดี๋ยวนี้”

“เจ้า” ชายทั้งสี่กระตุกยิ้มก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปจากหน้าคุ้ม

นางเขียนกำลังแอบมองอยู่หลังพุ่มไม้แสยะยิ้มด้วยความสะใจ วันนี้เครือแก้วจะได้รู้ว่าการอยู่อย่างตายทั้งเป็นมันเป็นยังไง นั่นเพราะนางเขียนได้ทำคุณไสยให้ทหารทั้งสี่นายหลงเสน่ห์เจ้านางเครือแก้ว และจุดมุ่งหมายของขบวนเสลี่ยงก็คือนอกกำแพงเมือง กว่าพิธีราชาภิเษกจะเสร็จสิ้นลง เครือแก้วคงได้เป็นเมียของชายฉกรรจ์ทั้งสี่ไปไม่รู้ต่อกี่รอบแล้ว

ขบวนเสลี่ยงออกมาได้สักพัก เครือแก้วก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ นั่นเพราะทั้งสี่หนุ่มกำลังพาเจ้าหล่อนเดินลัดเลาะออกไปนอกกำแพงเมือง แทนที่จะมุ่งตรงไปยังหอหลวงตามคำสั่ง

“พวกเอ็งจักพาข้าไปที่ใด ข้าบอกให้ไปหลวงไม่ใช่รึ!” นางตะโกนเสียงดังด้วยท่าทีร้อนใจ เกรงว่าจะเข้าร่วมพิธีไม่ทันการ

“เจ้าเมืองแมนสั่งให้ข้าเจ้าพาเจ้านางไปหาที่นอกกำแพงเมืองเจ้า”

“เหตุใดเจ้าพี่จึงสั่งเยี่ยงนั้น ในเมื่อวันนี้เจ้าพี่ควรต้องเข้าไปอยู่ในหอหลวงไม่ใช่รึ” เครือแก้วแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสวามีจะสั่งการอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะต้องออกไปนอกกำแพงเมืองในเวลานี้

“ข้าเจ้าหารู้เหตุผลไม่ เพียงรับคำสั่งมาเท่านั้นเจ้า”

“แต่ข้าหาเชื่อพวกเอ็งไม่ พาข้ากลับไปที่หอหลวงบัดเดี๋ยวนี้”

“คงไม่ได้แล้วล่ะเจ้านาง เพราะวันนี้พวกข้าจักพาเจ้านางไปขึ้นสวรรค์ด้วยกันเช่นใดเล่า ฮ่าๆ ๆ” พูดจบชายฉกรรจ์ทั้งสี่ก็หัวเราะพร้อมกันเสียงดัง

“ปล่อยข้าลงบัดเดี๋ยวนี้ไอ้พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าจักสั่งให้เจ้าพี่ตัดคอพวกเอ็งให้หมดทุกคนเลยคอยดู” เครือแก้วพยายามหาทางลงจากเสลี่ยง แต่ทว่าชายทั้งสี่กลับเร่งฝีเท้าด้วยความเร็ว นางจึงกลัวว่าจะตกลงไปจนบาดเจ็บ

“หากกล่าวเยี่ยงนั้นเจ้านางเองจะมีแต่เสียกับเสีย ตรองให้ดีนะเจ้านางคนงาม”

“ไอ้พวกสารเลว ไอ้พวกชั้นต่ำ ขี้กากจะกินกบาลพวกเอ็งคอยดู”

มาถึงป่าละเมาะนอกกำแพงเมืองแล้ว ชายทั้งสี่ก็นำตัวเครือแก้วลงมาจากเสลี่ยง จากนั้นจึงใช้กำลังบังคับให้นอนราบลงบนพื้น นางดิ้นรนส่งเสียงร้องโวยวายปานจะขาดใจ แต่ทว่ากลับถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของคนทั้งสี่

“ฮ่าๆ ๆ ร้องให้ตายก็หามีใครได้ยินไม่ เจ้านางช่างงามเหลือเกิน วันนี้จงเป็นของพวกข้าเสียเถิด ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้านางหาได้เป็นที่รักของเจ้าเมืองแมนเหมือนเดิมไม่ เจ้านางไร้ประโยชน์เยี่ยงเจ้าคู่ควรกับพวกข้ายิ่งกว่า”

“ไม่! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้ ปล่อยสิวะไอ้พวกไพร่ กรี๊ดดดด!!!”

เครือแก้วถูกชายฉกรรจ์ทั้งสี่ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมอบรสสวาทให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหนำใจ จากนั้นพวกมันทั้งสี่ก็รีบวิ่งหนีหายไปในกลีบเมฆ นั้นเพราะกลัวความผิดหลังจากมนต์เสน่ห์ ที่นางเขียนจ้างวานให้หมอเสน่ห์ทำไว้ได้คลายลงจนหมดสิ้น

ความบอบช้ำจากการโดนย่ำยีอย่างป่าเถื่อน ทำให้เนื้อตัวของเครือแก้วมีรอยแดงช้ำเต็มไปหมด เจ้าหล่อนนั่งร้องไห้ร้องห่มกอดตัวเอง เดินโซซัดโซเซออกมาจากป่าละเมาะด้วยความหวาดกลัว

“ฮือๆ ๆ ช่วยข้าด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที”

เรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็มที ทำให้ร่างบอบบางล้มฟลุบลงบนพื้นหญ้าอย่างสิ้นท่า น้ำหยาดใสไหลหยดลงพื้นอยู่เนืองๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งประสบพบเจอมา ความเคียดแค้นภายในใจของเจ้านางทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะมั่นใจว่าเมืองแมนคือผู้สั่งการให้ทหารทั้งสี่นำพาตนมาย่ำยี เพราะหากไม่มีคนสั่งการมีหรือที่พวกมันจะกล้าทำอย่างนี้ ความเคียดแค้นนั้นพาลไปถึงคำน้อย ผู้ที่ทำให้เมืองแมนหลงเสน่ห์อย่างโงหัวไม่ขึ้น

ในขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดอยู่นั้น ใบหูที่แนบชิดกับพื้นดินก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม ราวกับมีเท้านับร้อยนับพันกำลังเดินตรงมาหา เมื่อได้ยินอย่างนั้นเครือแก้วจึงเงยหน้าขึ้น หันไปมองยังต้นเสียงก็พบกับกองทัพทหารจำนวนมหาศาล กำลังเดินตรงมาที่เธอ โดยมีชายรูปงามกำลังควบม้าน้ำทัพมา

“เกิดเหตุอันใดขึ้น แล้วทหารพวกนี้เป็นใครกัน หรือจักมีทัพข้าศึกเข้ามาโจมตี นี่ข้าหนีเสือปะจระเข้งั้นรึเนี่ย ฮือๆ ๆ” เครือแก้วเอ่ยราวกับพูดประชดชีวิตพลางหยัดตัวลุกขึ้นอีกครั้ง เพื่อหลีกหนีกองทัพที่กำลังเคลื่อนตัวมา แต่จนแล้วจนเล่าเจ้าหล่อนก็ไม่สามารถลุกขึ้นหนีได้ จึงนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

กองทัพจากเมืองผาพิงค์และเมืองพันธมิตร รวมตัวกันเพื่อมาทวงคืนอิสรภาพ และแก้แค้นให้พี่น้องที่เคยสูญเสียจากการถูกรุกราน ในช่วงหลายปีที่เมืองเชียงราชคำกำเริบเสิบสาน เบ่งบารมีไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่

“เจ้าคือผู้ใด เหตุใจจึงมานอนสิ้นท่าอยู่ชายป่าเยี่ยงนี้ ทำท่าทีราวกับหวาดกลัวสิ่งใดมา” แสงชัยเอ่ยถามหลังจากควบม้ามาหยุดตรงหน้าเครือแก้ว ชายหนุ่มแลตามองลงไปที่พื้น จ้องมองหญิงสาวในสภาพอาภรณ์หลุดลุ่ยราวกับเพิ่งโดนทำร้ายมา ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วคงไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่

“ข้าเป็นธิดาเจ้าเมืองเวียงคุ้งนามว่าเครือแก้ว ถูกนำตัวมาเป็นเชลยเจ้าค่ะ อย่าทำอันใดข้าเลย ฮือๆ ๆ ข้าเพิ่งโดนทหารทำร้ายมาเจ้าค่ะ” เครือแก้วก้มกราบร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิต ในวินาทีเธอต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน หากมีชีวิตรอดกลับไปเธอจะต้องไปแก้แค้นเมืองแมนคืนให้จงได้

“เป็นเชลยงั้นรึ แต่เท่าที่ข้ารู้มาเมืองเวียงคุ้งจงรักภักดิ์ดีกับเชียงราชคำยิ่งกว่าสิ่งใด แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ถูกส่งมาเป็นเชลย” แสงชัยรู้สึกสงสัย ถึงแม้ว่าเมืองเวียงคุ้งจะเป็นหนึ่งในเมืองประเทศราชของเชียงราชคำ แต่ทว่าเกิดจากการยอมสาวมิภักดิ์ ไม่ได้ผ่านการนำทัพเข้าโจมตีเหมือนเมืองผาพิงค์และเมืองอื่นๆ

“เป็นอย่างที่ท่านกล่าว เพียงแต่ข้าโดนเจ้าพ่อบังคับให้มาอยู่ที่นี่ หาได้เต็มใจไม่ และที่สำคัญข้าเกลียดที่นี่ ข้าอยากกลับบ้านเมืองของข้า ท่านอย่าทำอันใดข้าเลยนะ” เครือแก้วตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปมอง แรกพบเจ้าหล่อนก็ถึงกับตะลึง เมื่อเห็นความสง่างามของแสงชัย ไม่ต่างจากชายหนุ่มที่เห็นใบหน้าอันงดงามของเครือแก้ว ทำให้หัวใจเต้นแรงราวกับเจอความรักปักอกเข้าให้เสียแล้ว

“หากเจ้านางอยากกลับบ้านก็จงขึ้นมา” แสงชัยเอื้อมมือไปพร้อมกับรอยยิ้ม เพื่อเชื้อเชิญให้หญิงสาวที่เพิ่งเคยเจอหน้าสัมผัส ขึ้นมานั่งบนหลังม้าด้วยกัน ก่อนจะนำทัพเข้าไปประชิดกำแพงเมือง เพื่อรอเวลาอันเหมาะสมเข้าไปโจมตี

เครือแก้วส่งยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม ราวกับลืมรอยรักจากชายฉกรรจ์ทั้งสี่เสียหมดสิ้น บัดนี้นางเจอเป้าหมายใหม่โดยไม่รู้เลยว่า ชายผู้นี้คือพี่ชายของแสงหล้า คนที่เธอเกลียดเข้าไส้ไม่ต่างจากคำน้อยเลยสักนิด













หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.19 เพลิงพระนาง [Up.06-02-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2019 22:09:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.19 เพลิงพระนาง [Up.06-02-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-02-2019 00:54:58
นังงูพิษ :z6:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.19 เพลิงพระนาง [Up.06-02-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-02-2019 01:06:48
ชะนีตัวนี้ ฆ่าไม่ตายจริง ๆ เลยหรือเนี่ย  :katai1:
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.20 ศึกนอกศึกใน [Up.09-02-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 09-02-2019 22:47:56
บทที่ 20

ศึกนอกศึกใน



ในที่สุดวันนี้แสงหล้าก็ได้พบหน้าชายที่เขารักมากที่สุดในชีวิต บิดาที่เฝ้าคิดถึงตลอดเวลาได้นั่งอยู่ในหอหลวงแห่งนี้แล้ว เป็นแขกบ้านแขกเมืองในฐานะเจ้าหลวงผู้ครองเมืองประเทศราช เจ้าตัวไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่าบิดาจะเข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย แม้แต่จักรคำเองก็ไม่เคยได้บอกกล่าวเลยสักนิด

แสงหล้าทำได้เพียงส่งยิ้มให้บิดา น้ำตาแห่งความปลื้มปีติหลั่งไหลอาบสองแก้มอยู่เนือง ๆ หากไม่ติดว่าตอนนี้พิธีการอันสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เขาคงจะรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดบิดาให้หายคิดถึงเป็นแน่แท้

“บัดนี้ถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ข้า...เจ้าหลวงพรหมวงศ์ขอสละราชบัลลังก์ให้กับลูกชายสุดที่รักของข้า ต่อจากนี้ไปเมืองเชียงราชคำอันยิ่งใหญ่จักมีเจ้าหลวงองค์ใหม่นามว่า เจ้าหลวงจักรคำ ขอให้เจ้าเมืองประเทศราชจงให้เกียรติเจ้าหลวงองค์ใหม่เยี่ยงที่ให้เกียรติข้า หากแม้นผู้ใดคิดกระด้างกระเดื่องเชียงราชคำจักนำทัพไปกำราบให้สิ้นซาก หาได้มีความปรานีไม่”

นั่นคือคำปราศรัยสุดท้ายของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ในการครองราชย์ ก่อนที่จักรคำจะเดินเข้ามาในหอหลวงอย่างช้า ๆ สวมชุดตามราชประเพณีเต็มยศ ตามทางเดินที่ปูด้วยพรมกำมะยี่สีแดง ตรงไปยังบัลลังก์ตั่งทองเพื่อให้ผู้เป็นบิดาสวมศิราภรณ์ทองคำให้ พร้อมมอบดาบประจำกายของกษัตริย์ซึ่งเป็นสมบัติตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

แสงหล้ารู้สึกตื้นตันใจเป็นที่สุดเมื่อเห็นชายผู้เป็นที่รักเดินเข้ามาอย่างสง่างาม หากวันนี้ผ่านพ้นไปแล้วเขาหวังว่าความบาดหมางระหว่างเมืองทั้งสองจะได้จบสิ้นลงเสียที แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกกังวลเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ชายยังคงคิดจะนำทัพเข้ามาโจมตีอยู่อีกหรือไม่ ครั้นจะเดินไปถามบิดาให้รู้ความก็ทำไม่ได้

ก่อนจะเดินไปถึงปรัมพิธีจักรคำก็ส่งยิ้มให้ชายาผู้ซึ่งนั่งอยู่บนตั่งประจำตำแหน่งพร้อมกับลูกชายตัวน้อย ซึ่งอยู่เหนือกว่าข้าราชบริพารและเจ้าเมืองประเทศราชทุกพระองค์ รอยยิ้มหวานที่แสงหล้าส่งตอบกลับเต็มไปด้วยความปรารถนาดีเป็นที่สุด

“ข้าขอสาบานต่อหน้าบัลลังก์ตั่งทอง ผีบ้านผีเมือง ผีบรรพบุรุษที่คอยปกปักษ์รักษาเมืองเชียงราชคำมาโดยตลอด ว่าจักเป็นกษัตริย์ที่มีความเที่ยงตรง และถือความผาสุขของประชาชนมาเป็นที่หนึ่ง” จักรคำกล่าวสาบานตนต่อหน้าผู้เป็นบิดา เจ้าหลวงพรหมาวงศ์มอบดาบคู่กายกษัตริย์ให้เป็นอันดับแรก จากนั้นถอดศิราภรณ์ที่ตนสวมอยู่ออกมาถือไว้ตรงกลางอก กำลังจะสวมให้จักรคำแต่ทว่า...

แปะ แปะ แปะ

“ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเสียนี่กระไร” เมืองแมนลุกขึ้นจากตั่ง พร้อมทั้งปรบมือเสียงดังกึกก้องท้องพระโรง ทำให้ผู้คนที่อยู่ในงานต่างจ้องมองมาเป็นตาเดียวกัน

คำน้อยตกใจกับสิ่งที่สวามีได้กระทำออกไป แต่เจ้าตัวทำได้เพียงนั่งอยู่บนตั่งดังเดิม ไม่สามารถลุกขึ้นไปห้ามปรามได้ เพราะตามกฎมณเฑียรบาล ในขณะกำลังทำพิธีห้ามมิให้ผู้ใดส่งเสียงพูดคุย หรือแม้กระทั่งลุกจากตั่งของตนเอง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเมืองแมนจึงทำเช่นนั้นทั้งที่รู้และเข้าใจกฎเป็นอย่างดี

“บังอาจ! ไยเจ้าจึงกล้าทำลายพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้เมืองแมน รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่มันคือการก่อกบฏ” คนเป็นพ่อมองลูกชายคนเล็กด้วยแววตาที่แข็งกร้าว สื่อว่าตอนนี้ไม่พอใจเป็นที่สุด

“เจ้าพ่อรักและเทิดทูนเจ้าพี่ยิ่งกว่าข้ามาโดยตลอด ที่เป็นเช่นนั้นเพราะข้าเป็นเพียงลูกที่เกิดจากนางสนมใช่หรือไม่”

“หุบปาก! หากเจ้ายังไม่ยอมหยุดข้าจักสั่งจำตรุเจ้าบัดเดี๋ยวนี้” เจ้าหลวงชี้หน้าลูกชายด้วยความเดือดดาล อับอายแขกเหรื่อรวมถึงขุนนางที่อยู่ในหอหลวงมากเหลือเกิน ไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในวันสำคัญอย่างนี้

“เจ้าพ่อหามีอำนาจเหมือนเดิมไม่ เพราะตอนนี้ข้าคือผู้คุมอำนาจทั้งหมดไว้แล้ว ตำแหน่งเจ้าหลวงจักต้องเป็นของข้าเท่านั้น”

ในวินาทีนั้นเสียงประชาชนที่มารอเข้าเฝ้าเจ้าหลวงองค์ใหม่ที่หน้าหอหลวงส่งเสียงกรีดร้อง วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น นั่นเพราะกองทัพกบฏของเมืองแมนได้เข้ามาโจมตียึดอำนาจเสียแล้ว ภายในหอหลวงเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงสนทนาของเหล่าขุนนางทั้งหลาย ต่างก็พูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ไอ้ลูกทรพี เจ้าอยากนั่งตั่งทองถึงขนาดกับก่อกบฏเลยงั้นรึ ข้าผิดหวังในตัวเจ้ามากเหลือเกิน อ๊อก..” กล่าวจบเจ้าหลวงก็รู้สึกเจ็บหน้าอกจนไม่สามารถทรงตัวได้ จักรคำจำต้องทิ้งดาบเพื่อรีบไปพยุงร่างผู้เป็นบิดาไว้

“เจ้าพ่อ! เจ้าพ่อทรงเป็นอันใด”

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว”

เมื่อเห็นว่าบิดาเริ่มอาการดีขึ้นแล้วจึงหันมาหาน้องชาย “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจักกล้าทำเยี่ยงนี้ หากเจ้าอยากได้บัลลังก์เหตุใดจึงไม่บอกข้าตรง ๆ ข้าจะเสียสละมันให้เจ้า”

“มันไม่มีประโยชน์แล้วเจ้าพี่สุดที่รักของน้อง บัดนี้มันถึงเวลาของข้าเสียที”

เมืองแมนเดินไปหยิบดาบขึ้นมาถือไว้ จากนั้นจึงชูขึ้นประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคน

“หากผู้ใดยังอยากมีชีวิตกลับไปหาลูกเมีย จงยอมสยบแทบเท้าข้า หากมันผู้ใดคิดจะอยู่คนละฝั่งกับข้ามันผู้นั้นต้องถูกตัดหัวสถานเดียว”

กล่าวจบกองทัพทหารของเมืองแมนก็หลั่งไหลก็เข้ามาภายในหอหลวง แม้นข้างนอกจะยังคงมีเสียงดาบฟาดฟันกันอยู่ แต่ทว่าด้วยกำลังพลที่มากกว่าทำให้ทางฝั่งกบฏเป็นต่ออยู่มากโข

“คุ้มกันเจ้าหลวงให้พ้นจากเนื้อมมือของพวกกบฏ” องครักษ์ประจำตัวของจักรคำอย่างคำป้อ อดรนทนไม่ไหวเมื่อเห็นศัตรูหัวใจคิดการใหญ่เช่นนี้ จึงยืนหยัดที่จะสู้เพื่อให้บัลลังก์ตั่งทองยังคงเป็นของเจ้านายผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิต

องครักษ์นับสิบชักดาบออกจากฝัก ตั้งการ์ดพร้อมสู้ ภายในหอหลวงเกิดความระส่ำระสายผู้คนที่เข้ามาร่วมงานต่างหวาดกลัว ยกเว้นเจ้าหลวงแสงคำที่ยิ้มในใจ ไม่นึกว่าเรื่องมันจะง่ายอย่างนี้ เกิดการก่อกบฏในวันที่ลูกชายของตนจะยกทัพมา ทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างง่ายขึ้น

“เหิมเกริม คิดรึว่าเอ็งจักช่วยรักษาตั่งทองไว้ให้นายเอ็งได้ไอ้คำป้อ จัดการมัน” ทหารกบฏกำลังจะเข้ามาปะทะกับกลุ่มองครักษ์ แต่ทว่าจักรคำทนเห็นความพังพินาศของเชียงราชคำอีกไม่ได้แล้ว คนเมืองเดียวกันแต่กลับต้องมาเข่นฆ่ากันเองเช่นนี้ มันน่าอนาถใจนัก

“หยุดได้แล้วเมืองแมน หากเจ้าอยากนั่งตั่งทองข้าจักยกให้ เพราะข้าไม่อาจทนเห็นพี่น้องชาวเชียงราชคำต้องมาเข่นฆ่ากันเยี่ยงนี้” ว่าแล้วก็หันไปเอ่ยกับบิดา “เจ้าพ่อข้าไม่อาจรับหน้าที่ต่อจากท่านได้แล้ว โปรดยกหน้าที่นี้ให้เมืองแมนเถิดเจ้า”

“ข้าไม่มีวันปล่อยให้เชียงราชคำตกไปอยู่ในกำมือไอ้ลูกเลวเยี่ยงเจ้าเป็นแน่แท้”

“นั่นเพราะเจ้าพ่อไม่เคยรักข้าเหมือนที่รักเจ้าพี่ ทำให้ข้าต้องทำเยี่ยงนี้เช่นใดเล่า” เห็นสายตาอันชิงชังจากบิดายิ่งทำให้โทสะทวีความรุนแรงขึ้น

“ข้ารักลูกเท่ากันเพียงแต่เจ้าไม่เคยทำตัวดีให้ข้ารักเยี่ยงพี่ชายเจ้า เจ้าไม่เคยมีคุณสมบัติความเป็นผู้นำเลยแม้แต่น้อย เช่นนี้แล้วข้าจักฝากบ้านเมืองไว้ที่เจ้าได้เช่นใดเล่าไอ้ลูกชั่ว อ็อก! ผีปู่ผีย่าจักไม่ปล่อยให้เจ้าตายดีแน่” กล่าวแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจจนศิราภรณ์ทองคำที่อยู่ในมือหล่นลงบนพื้น กลิ้งไปหยุดอยู่ที่เท้าของเมืองแมน จากนั้นจึงสิ้นลมลงต่อหน้าต่อตาจักรคำ

“เจ้าพ่อ! เจ้าพ่อทรงเป็นอันใด”

จักรคำพยายามส่งเสียงเรียกอยู่อย่างนั้น แต่ทว่าบิดากลับไม่มีทีท่าจะฟื้นจึงตะโกนเรียกหาหมอหลวง

“หมอหลวงมาช่วยพ่อข้าเร็ว! เจ้าพ่ออย่าเป็นอันใดไปนะเจ้า”

“เอ่อ…เจ้าหลวงทรงสิ้นพระชนม์แล้วเจ้า”

“ไม่นะเจ้าพ่อ ฮือๆ ๆ เจ้าพ่อฟื้นขึ้นมาสิ” จักรคำกอดร่างไร้วิญญาณของบิดาไว้ด้วยความเจ็บปวด ดวงใจที่แข็งแกร่งแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับจะขาดใจตายตกตามบิดาไป

แสงหล้ารีบพาลูกเลี้ยงวิ่งเข้าไปหาด้วยความตื่นตกใจ อินเหลาน้อยร้องไห้ร้องห่มตามบิดาเมื่อรู้ว่าเจ้าปู่ได้สิ้นบุญเสียแล้ว

“เจ้าปู่ ฮือ ๆ ๆ เจ้าปู่ต้องไม่ตายนะเจ้า ฮือๆ ๆ”

แสงหล้าได้แต่นั่งปลอบใจอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นภาพอันน่าสะเทือนใจ กเขาเองก็หลั่งน้ำตาออกมาไม่ขาดสาย รู้สึกสงสารสวามีและลูกเลี้ยงจับใจ แค่ห่างอกบิดามาต่างบ้านต่างเมืองเขายังเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ แต่นี่เจ้าหลวงไม่สามารถกลับมามีชีวิตได้อีกแล้ว มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดยิ่งกว่า

เมื่อเห็นบิดาสิ้นลมไปต่อหน้าต่อตาเมืองแมนได้แต่มองทั้งน้ำตา แต่ทว่าในวินาทีนี้เขาต้องใจแข็งเข้าไว้ เพราะมาไกลเกินกว่าจะกลับตัวเสียแล้ว แม้จะเจ็บปวดที่เป็นต้นเหตุให้บิดาต้องจากไป แต่ทว่าทิฐิและความมักใหญ่ใฝ่สูงยังคงเป็นแรงผลักดันให้ชายหนุ่ม ยืนหยัดที่จะควบคุมอำนาจไว้ในมือตัวเองอยู่ดี

“จากนี้ไปข้าคือเจ้าหลวงองค์ใหม่แห่งเชียงราชคำ หากมันผู้ใดในที่นี้ไม่ไหว้สาข้า มันผู้นั้นจักต้องถูกตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร”

“ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องก้มหัวให้กับคนอย่างเจ้า” คำป้อไม่อาจทนเห็นความล่มจมของเชียงราชคำได้ จึงถือดาบคู่กายวิ่งเข้าไปหมายจะฆ่าเมืองแมนให้ตายเสีย แต่ในวินาทีนั้นทหารฝีมือดีฝ่ายกบฏจึงวิ่งเข้ามาอารักขา เกิดการปะทะกันในหอหลวงอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนี้มาก่อน

“ตัดหัวมันให้ได้” เมืองแมนออกคำสั่งเสียงดังกึกก้อง อำนาจทำให้เขาลุ่มหลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว ตั่งทองคือสิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดและวันนี้เขาจะต้องขึ้นไปนั่งให้จงได้

“ไยเจ้าพี่จึงทำเยี่ยงนี้ นั่นบิดาแท้ ๆ ของท่านนะ” คำน้อยอดรนทนไม่ไหวจึงรั้งมือสวามีห้ามไม่ให้เดินเข้าไปยังตั่งทอง

“ปล่อย! ข้าจักขึ้นไปนั่งบนตั่งทอง” เมืองแมนสลัดแขนแต่ทว่าคำน้อยไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ

“ข้าไม่อาจทนอยู่กับคนไร้จิตใจ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเยี่ยงท่านได้อีกแล้ว” ทุกอย่างกำลังจะดีอยู่แล้วเชียว เขากำลังมอบความรู้สึกดี ๆ ให้ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงชั่วช้าจนขุดไม่ขึ้นอย่างนี้

“เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดอันใด ไม่มีสิทธิ์จากข้าไปไหนจำใส่หัวเอาไว้ จับตัวคำน้อยไว้บัดเดี๋ยวนี้” เมื่อชายาไม่ยอมเชื่อฟังแถมยังจะตีตัวออกห่าง เมืองแมนจึงสั่งทหารให้จับตัวไว้ เพื่อจะเดินขึ้นไปนั่งบนตั่งทองโดยสะดวก ไม่สนแม้กระทั่งบิดาที่นอนสิ้นลมหายใจอยู่ตรงหน้า

“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้! หากเจ้าพี่ไม่หยุดกระทำเรื่องเลวทรามเยี่ยงนี้ ข้าจักไม่มีวันยอมเป็นชายาท่านอีกต่อไป” คำน้อยพยายามดิ้นรนขัดขืน สายตาจับจ้องไปยังสวามีที่ไม่แม้จะชายตาแลกลับมามอง

เมื่อเห็นว่าน้องชายกำลังเดินตรงไปยังตั่งทองราวกับคนบ้าเสียสติ ที่โดนอำนาจแห่งความโลภเข้าครอบงำ จักรคำจึงคว้าดาบขององครักษ์จะเดินไปเผชิญหน้ากับน้องชาย แต่แสงหล้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น จึงรั้งแขนสวามีไว้แน่น ส่งสายตาเว้าวอนขอร้องว่าอย่าไปเด็ดขาด

“เจ้าพี่หาควรทำเยี่ยงนั้น ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไปอีกคน”

“ข้าไม่ยอมให้ไอ้น้องชายสารเลวลอยนวลไปได้แน่ มันทำให้เจ้าพ่อสิ้นพระชนม์เจ้าไม่เห็นรึไง” จักรคำเอ่ยทั้งน้ำตา สะบัดแขนจนหลุดแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปหาน้องชาย ในวินาทีนี้เขาไม่สนอะไรทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตของน้องชายก็ไม่สามารถชดเชยกับการสูญเสียในครั้งนี้ได้

“ระวังตัวด้วยนะเจ้า ฮือๆ ๆ”

“เจ้าน้าข้ากลัว ฮือๆ ๆ”

“คนเก่งของน้าหาต้องกลัวอันใดไม่ น้าจักอยู่ข้างเจ้าเยี่ยงนี้ไม่ไปไหน”

แสงหล้านั่งกอดอินเหลาไว้แน่น พยายามปลอบประโลมให้เจ้าเด็กน้อยไม่หวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่ยอมให้เห็นภาพอันรุนแรงจากการสู้รบกันของผู้ใหญ่

ตอนนี้จักรคำยืนถือดาบอยู่ด้านหลังน้องชาย จ้องมองคนที่มีสายเลือดเดียวกันอย่างอาฆาตแค้น ไม่นึกฝันว่าวันนี้จะต้องมาฆ่ากันเองเพราะราชบัลลังก์

“อย่าแม้แต่จะคิดขึ้นไปเหยียบบนตั่งทอง ข้าไม่มีวันยอมให้คนบาปเยี่ยงเจ้าได้ครอบครองมันแน่นอน”

เมืองแมนชะงักเมื่อได้ยินเสียงพี่ชายจากด้านหลัง หันขวับมามองก็เห็นอีกฝ่ายพร้อมจะดวลดาบ จึงชักดาบออกมาพร้อมสู้เช่นเดียวกัน

“แน่จริงก็เข้ามา มาถึงตอนนี้แล้วข้าไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดแม้แต่เจ้า” ว่าพร้อมชี้ปลายดาบไปยังพี่ชายร่วมสายเลือดอย่างไม่เกรงกลัว

“ข้าไม่เคยคิดอยากจะฆ่าเจ้าเลยสักนิด แต่วันนี้หากไม่ได้ตัดหัวเจ้า ข้าจักไม่มีวันอภัยให้ตัวเองเด็ดขาด” กล่าวจบผู้เป็นพี่ชายก็วิ่งเข้าไปหา

คมมีดที่ปะทะกันเกิดเสียงดังไปทั่วท้องพระโรง บรรดาขุนนางที่นั่งอยู่ต่างก็หวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามลุกขึ้นวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่ในวินาทีนั้นเจ้าหลวงแสงคำกลับภาวนาให้ลูกชายรีบยกทัพเข้ามาโดยเร็ว เพราะช่วงเวลานี้เหมาะที่จะเข้ามายึดอำนาจเป็นที่สุด

ในระหว่างทั้งสองฝ่ายกำลังดวลดาบอยู่ในหอหลวงนั้น กองทัพนิรนามก็เคลื่อนเข้ามาควบคุมพื้นที่โดยรอบของคุ้มหลวงไว้ ส่วนหนึ่งตรงมายังบริเวณรอบหอหลวงโดยมีผู้นำทัพอย่างแสงชัย เดินอย่างอาจหาญและไม่เกรงกลัวผู้ใดนำเข้ามา

ทหารของเชียงราชคำได้ห้ำหั่นกันเองทำให้กำลังพลบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้ง่ายต่อการควบคุมอำนาจในทุกพื้นที่ จะเหลือก็เพียงในหอหลวงแห่งนี้ที่หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์คนสำคัญทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจนตอนนี้สะบักสะบอมกันทั้งคู่

คำน้อยเห็นท่าไม่ดีจึงขัดขืนจากการถูกจับกุมวิ่งมาหาเจ้านาย จากนั้นก้มลงกราบแทบเท้าด้วยความคิดถึงและสำนึกกับสิ่งที่ได้ทำมาตลอดระยะเวลาที่ผ่าน แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้นก็ตามที

“เจ้านายน้อย ฮึก...จักทำเช่นใดให้ทั้งสองหยุดต่อสู้กัน ข้าเจ้ากลัวว่าจักมีผู้ใดต้องเพลี่ยงพล้ำจนถึงขั้นต้องมีการสูญเสีย” คนพูดร้องไห้ร้องห่ม นั่งหมอบกราบแทบเท้าผู้เป็นเจ้านายอยู่อย่างนั้นราวกับคิดถึงจับใจ

“ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากรอ” แสงหล้าเอ่ยด้วยความหวัง ขณะวางสายตาไว้ที่การดวลดาบอย่างเอาเป็นเอาตายของสองพี่น้อง โดยมีตั่งทองเป็นฉากหลัง เป็นภาพที่เขาไม่เคยนึกฝันว่ามันจะเกิดขึ้นกับเมืองที่ถูกขนานนามว่ามีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคนี้

“รออันใดเจ้านายน้อย หรือว่ารอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้อง...” คำน้อยเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความฉงน

“รอเจ้าพี่แสงชัยเข้ามาคุมอำนาจในเมืองนี้ ข้าคิดว่าคงอีกไม่นานหรอกคำน้อย”

“เป็นเรื่องจริงรึเจ้านายน้อย” คำน้อยมีสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อได้ยินข่าว ไม่นึกว่าแสงชัยจะกล้าทำเรื่องเกินตัวขนาดนี้ได้ เชียงราชคำหากใครได้ยินชื่อนี้จะต้องกลัวจนตัวสั่นเลยทีเดียว

“เป็นเรื่องจริง มันเป็นทางเดียวที่จะหยุดสองคนนี้ได้”

“ข้าเจ้ากลัวว่า...หากเจ้าแสงชัยมาถึงแล้วจักไม่ไว้ชีวิต ผู้ที่มีเชื้อสายของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์แม้แต่คนเดียว รวมถึง...” คนพูดจ้องมองไปยังเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดแสงหล้า ด้วยความเป็นห่วง

“ข้าจักไม่มีวันให้มันเกิดขึ้นแน่” แสงหล้ากระชับกอดเด็กน้อยไว้แน่น เขาจะไม่ให้ใครต้องมาสูญเสียอะไรอีกแล้ว นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะต้องมีการนองเลือด

ปัง!

เสียงปืนดังขึ้นในหอหลวงนั่นทำให้ทุกชีวิตหันไปมองยังต้นเสียงเป็นตาเดียวกัน บางส่วนเอามือปิดหูหมอบลงพื้นด้วยความหวาดกลัวว่าจะโดนลูกหลงเข้าให้ แม้กระทั่งจักรคำและเมืองแมนก็ต้องหยุดชะงักในขณะกำลังยกดาบขึ้นจะฟาดฟันกัน

การปรากฏตัวของแสงชัยทำให้ทุกคนต่างประหลาดใจ โดยเฉพาะจักรคำที่รู้ว่าชายผู้นี้เป็นใคร เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวของผู้มาใหม่ที่มาพร้อมกำลังทหารจำนวนไม่น้อย มีอาวุธครบครัน เช่นนี้ก็รู้แล้วว่ามาเพื่อจุดประสงค์ใด

“ข้าไม่นึกเลยว่าการมายึดอำนาจเชียงราชคำจักง่ายดายเพียงนี้ เจ้าหลวงนอนสิ้นพระชนม์อยู่หน้าตั่งทอง ลูกชายทั้งสองแก่งแย่งอำนาจชิงดีชิงเด่นกัน มันเป็นบาปที่พ่อของพวกเจ้าได้สร้างไว้ รวมถึงตัวพวกเจ้าที่เคยทำไว้กับเมืองอื่น ๆ บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เชียงราชคำจักอยู่ใต้อำนาจเมืองเล็ก ๆ เยี่ยงเมืองผาพิงค์ ฮ่าๆ ๆ ๆ” กล่าวจบแสงชัยก็หัวเราะด้วยความสะใจท่วมท้องพระโรง

สร้างความเจ็บปวดและเคียดแค้นให้บรรดาขุนนาง และแน่นอนว่าจักรคำคือผู้ที่ต้องคิดหนักมากที่สุด ไหนจะศึกสายเลือดกับน้องชาย แถมยังมีกองทัพกบฏจากเมืองผาพิงค์อีก ในวินาทีนี้เขามองไม่เห็นหนทางที่จะรักษาบ้านเมืองไว้ได้เลย
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.20 ศึกนอกศึกใน [Up.09-02-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-02-2019 02:01:54
สมชื่อตอนจริงๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.20 ศึกนอกศึกใน [Up.09-02-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 10-02-2019 09:47:23
รอๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.20 ศึกนอกศึกใน [Up.09-02-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 13-02-2019 21:40:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.20 ศึกนอกศึกใน [Up.09-02-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 14-02-2019 00:29:03
 :pig4:รอ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.20 ศึกนอกศึกใน [Up.09-02-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-02-2019 00:39:18
รอๆๆ
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.21 ความหวังสุดท้าย [Up.13-06-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 13-06-2019 19:58:34
บทที่ 21

ความหวังสุดท้าย


ความโกลาหลในท้องพระโรงได้จบสิ้นลงอย่างทุลักทุเล เจ้านายทุกพระองค์แห่งเชียงราชคำถูกจับไปขังในคุกหลวง รอรับการลงทัณฑ์จากผู้ครองเมืองคนใหม่นามว่าเจ้าหลวงแสงชัย

จักรคำและเมืองแมนถูกขังไว้ในคุกชั้นในสุด โดยมีการวางกำลังไว้อย่างแน่นหนา เพราะเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในเชียงราชคำ ผู้ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อจิตใจของชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองไม่มีแม้โอกาสได้ไปเคารพศพผู้เป็นบิดา ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าพระศพจะถูกนำไปกระทำหยามเกียรติอย่างไรบ้าง

“เพราะเจ้าคนเดียว เจ้าพ่อถึงได้สิ้นพระชนม์ เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นมารบ้านเมืองโดยแท้” จักรคำตะโกนลั่นไปยังห้องขังที่อยู่ติดกัน น้ำตาลูกผู้ชายไหลหลั่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันช่างรู้สึกหดหู่และเศร้าใจเกินกว่าจะมีสิ่งใดมาเยียวยาได้

บัดนี้ทุกอย่างได้พังพินาศลงเพราะฝีมือผู้เป็นน้องชาย หากไม่เกิดการก่อกบฏกำลังทหารก็จะสามารถสู้รบกับกองทัพของแสงชัยได้อย่างแน่นอน

“เป็นเพราะเจ้าข้าจึงต้องทำเยี่ยงนี้ เจ้าแย่งทุกอย่างไปจากข้า ตั้งแต่เด็กจนโตเจ้าพ่อรักเจ้ามากกว่าข้า ไม่เคยดูดำดูดีปล่อยให้ข้าต้องอยู่อย่างเคว้งคว้างมาโดยตลอด” ตอนนี้เมืองแมนเองก็ร้องไห้เสียใจไม่ต่างกัน เมื่อได้สติก็นึกถึงภาพผู้เป็นบิดาล้มลงต่อหน้าต่อตา รู้ตัวว่าผิดแต่ยังหาเหตุผลอ้างเพื่อหลอกตัวเองไปเท่านั้น

“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เคยทำตัวดี ๆ ให้เจ้าพ่อรู้สึกภาคภูมิใจเลยสักครั้ง มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะโทษเจ้าพ่ออยู่อีกหรือเมืองแมน นับจากนี้ไปเจ้าไม่ใช่น้องชายข้าอีกต่อไปแล้ว เจ้าคือฆาตกรที่ฆ่าเจ้าพ่อ เจ้าฆ่าพ่อตัวเองรู้หรือไม่ไอ้สารเลว ฟ้าดินจะต้องลงโทษเจ้าไม่ให้ตายดีแน่นอน” จักรคำนั่งชันเข่า หลังพิงกำแพง หลั่งน้ำตาออกมาอย่างหนักหน่วง ไม่อยากจะมองหน้าน้องชายให้เจ็บปวดหัวใจอีก

“เจ้าพ่อ ฮือ...ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วเจ้าพ่อ ฮือ...” เมืองแมนร้องไห้โอดครวญราวจะขาดใจเสียให้ได้ ก้มลงกราบไปยังทิศที่บัลลังก์ตั่งทองตั้งตระหง่านอยู่

ในระหว่างที่ภายในคุกหลวงมีแต่เสียงร่ำไห้ระงมนั้น กลับมีใครบางคนเดินเข้ามาพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง แต่ทว่าคนทั้งสองที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่นั้น กลับไม่มีกะจิตกะใจจะเงยหน้าขึ้นไปมอง

“โถ...ชีวิตช่างน่าสมเพชเสียจริง ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าผู้สูงศักดิ์ แต่ตอนนี้กลับเป็นไอ้ขี้คุกกันเสียแล้ว” เสียงเล็กแหลมที่คุ้นหูดังขึ้นตรงหน้า ทำให้นักโทษการเมืองที่อยู่ในห้องขังเงยขึ้นไปมองหน้า สองพี่น้องขมวดคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเครือแก้วยืนแสยะยิ้มอยู่ข้างแสงชัย

“เครือแก้วนี่เจ้า...” เมืองแมนแทบไม่เชื่อตาตัวเองว่าชายาเอกจะแสดงกิริยาอย่างนั้น แถมยังทำตัวราวกับรู้จักคุ้นเคยกับศัตรูเป็นอย่างดี

“ยังจำข้าได้ด้วยรึไอ้ชายชั่ว”

“เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยกับพี่เยี่ยงนี้ แล้วเจ้าไปรู้จักมักจี่กับไอ้เลวนั่นได้เยี่ยงไร”

“หุบปากบัดเดี๋ยวนี้! หาควรกล่าวกับเจ้าพี่แสงชัยเยี่ยงนั้น ตอนนี้เจ้ามันก็แค่ผู้ชายที่ไร้ซึ่งเกียรติยศ จะตายวันตายพรุ่งก็หารู้ไม่ ถึงเวลาที่เจ้าจักต้องชดใช้เวรกรรมแล้วไอ้เมืองแมน” นางกล่าวอย่างใส่อารมณ์ แถมยังคว้าแขนล่ำของแสงชัยมาควงเย้ยอดีตสวามีอีกต่างหาก

“นังแพศยา ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเปลี่ยนผัวได้เร็วเยี่ยงนี้ เชิญสมสู่กันให้หนำใจ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยรักคนเยี่ยงเจ้า คนที่ข้ารักคือคำน้อยรู้ไว้ด้วย”

เจ้านางถลึงตามองอย่างโกรธแค้น แม้จะเปลี่ยนฝ่ายมาอยู่ฝั่งผู้มีอำนาจเหนือกว่า แต่เธอก็อยากเอาชนะคำน้อยอยู่ดี

“น่าสมเพชทั้งพี่ทั้งน้อง โดนคนของข้าหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว คนพี่ก็โดนน้องชายข้าหลอกให้รักเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ส่วนคนน้องก็ลุ่มหลงข้าไทผู้ต้อยต่ำจนหัวปักหัวปำ ช่างน่าขำเสียจริง ๆ” แสงชัยหัวเราะเย้ยคนทั้งสองที่อยู่ในคุกหลวง เขามาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ ทำให้พวกมันเจ็บปวดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะสั่งประหารให้ตายตกตามเจ้าหลวงพรหมมาวงศ์ไป

“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ แสงหล้าน่ะหรือหลอกใช้ข้า ปะ...เป็นไปไม่ได้” จักรคำไม่มีทางเชื่อ เพราะสีหน้าและแววตาของแสงหล้าที่ผ่านมานั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจเป็นที่สุด

“จักเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เจ้า แต่ข้าได้ยินมันจากปากแสงหล้าเอง เจ้ามีเวลาหลอกตัวเองแค่คืนนี้คืนเดียว เพราะวันพรุ่งข้าก็จักนำตัวพวกเจ้าไปลานประหารแล้ว”

“เหตุใดไม่ฆ่าพวกเราเสียตอนนี้เลยล่ะ ตายตอนไหนมันก็เหมือนกันอยู่ดี” จักรคำยังไม่ปักใจเชื่อ จนกว่าจะได้ยินจากปากแสงหล้าเอง แต่สิ่งที่เขาห่วงตอนนี้คือลูกชายตัวน้อย ไม่รู้จะมีชะตากรรมอย่างไรบ้าง

“ข้ายังอยากให้พวกเจ้าอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์อีกสักหน่อย ที่เข้ามาเพราะอยากส่งข่าวให้พวกเจ้ารู้ว่า พรุ่งนี้เช้าข้าจะสั่งให้ทหารนำศพพ่อของเจ้าทั้งสอง ไปโยนทิ้งให้แร้งกามันกินที่ลานหน้าเมือง ให้ชาวเชียงราชคำรู้ว่าตอนนี้ชีวิตพวกมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหลวงองค์ก่อนแล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น” แสงชัยกล่าวอย่างสะใจ ชัยชนะที่ได้มานั้นทำให้เขาฮึกเหิม จนไม่มีใครสามารถคัดค้านความคิดด้านมืดได้อีกแล้ว

“ไอ้สารเลว! เจ้าจักทำเยี่ยงนั้นกับเจ้าพ่อไม่ได้ ถ้าออกไปได้ข้าจักฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง” จักรคำตะโกนร้องเจียนจะขาดใจ เจ็บปวดราวกับมีมีดกรีดลงกลางใจ พยายามยื่นมือออกมาจากกรงเหล็กเพื่อจะคว้าตัวแสงชัยมาสำเร็จโทษให้ได้

เมืองแมนได้แต่นั่งกอดเข่าร้องไห้ ความรู้สึกผิดประเดประดังเข้ามาจนไม่สามารถควบคุมสติได้ ตะโกนร้องอย่างสุดเสียงราวกับคนเสียสติ เครือแก้วเห็นภาพนั้นก็แสยะยิ้มอย่างสะใจ ในที่สุดนางก็ได้หลุดพ้นจากผู้ชายคนนี้เสียที ต่อไปนี้ก็จะได้ขึ้นเป็นเจ้านางหลวงแห่งเชียงราชคำตามความตั้งใจเสียที

“ไปกันเถอะเจ้าพี่ อยู่ที่นี่นาน ๆ ข้ารู้สึกพะอืดพะอมเต็มทีแล้ว” เครือแก้วควงแขนแสงชัยแน่น ทำหน้ารังเกียจซะเต็มประดา

แสงชัยยิ้มให้เจ้านางคนโปรดคนใหม่ จากนั้นหันไปยิ้มเยาะคนที่อยู่ในห้องขัง พร้อมเอ่ยประโยคที่ทำเอาหัวใจจักรคำแทบแหลกสลาย

“กลับไปข้าจักจัดการกับทายาทของเจ้า ไม่ให้เลือดเลว ๆ ของราชวงศ์เจ้าแปดเปื้อนแผ่นดินนี้อีกต่อไป”

“จะ...เจ้าจักทำอันใดลูกข้า”

“ก็จักฆ่ามันยังไงเล่า เจ้าจักไม่มีวันได้เห็นหน้าลูกชายเจ้าอีกตลอดชีวิต ฮ่า ๆ ๆ” แสงชัยหัวเราะลั่นอย่างสะใจ

“กูจักฆ่ามึง กูจักฆ่ามึงให้ได้ไอ้แสงชัย ฮือ... กูสัญญาว่าจักตามจองเวรมึงไปทุกภพทุกชาติ ไอ้ชาติชั่ว” จักรคำทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก หัวใจที่เจ็บปวดอยู่แล้วถูกกระทืบซ้ำอีก เขาอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดเสียตอนนี้ หากไม่มีอินเหลาอยู่บนโลกใบนี้ชีวิตก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว

หลังจากแสงชัยออกไปแล้ว เมืองแมนก็หันมามองดูสภาพพี่ชายตัวเองน้ำตานองหน้า ทุกอย่างต้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะเขาคนเดียวเท่านั้น หากจะมีใครต้องตายเขาขอเป็นคนนั้นเสียเอง ไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนด้วยอีกแล้ว เจ้าตัวคลานเข่าเข้าไปหาพี่ชาย นั่งลงตรงหน้ากรงเหล็กจากนั้นพนมมือขึ้น

“เจ้าพี่ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ร้องขอให้ท่านอภัยให้ข้า แต่อยากให้ท่านรับรู้ว่าข้าได้สำนึกผิดแล้ว ข้ามันเลว ต่ำช้าเกินกว่าที่จักเกิดมาเป็นคน ตายไปจักต้องตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิดที่ทำให้พ่อตัวเองต้องตาย” กล่าวจบก็ก้มลงกราบแล้วค้างไว้อย่างนั้น

จักรคำพยายามตั้งสติแล้วเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าน้องชาย ยื่นมือไปวางบนศีรษะลูบเบา ๆ แม้จะโกรธกันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะตอนนี้ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน

“เจ้าคือน้องชายข้า ยังไงก็ตัดกันไม่ขาดดอก ไม่ว่าจักเกิดอันใดขึ้นหลังจากนี้ โปรดจงรู้ไว้ว่าเรายังคงมีสายเลือดขัตติยาเช่นเดิม ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงมันได้ อย่าคิดโทษตัวเองอีกเลยเมืองแมน”

“ฮึก...ข้าไม่น่าทำเรื่องอย่างนั้นเลย หากจักมีใครต้องตายมันควรจักเป็นข้าคนเดียว ข้าควรตายเสียยิ่งกว่าใคร ๆ” เมืองแมนยังคงซบหน้าลงที่พื้น ปล่อยให้น้ำตาไหลนองอยู่อย่างนั้น ใจจะขาดเมื่อนึกเห็นภาพที่บิดาล้มลงต่อหน้าต่อตา แต่เขายังคงลุ่มหลงในอำนาจไม่แม้แต่จะเข้าไปดูใจ

จักรคำคงทำได้เพียงเท่านั้นเพื่อให้น้องชายรู้สึกดีขึ้น แต่ทว่าในใจตอนนี้คิดถึงแต่เรื่องลูกชาย หากแสงชัยคิดจะทำอย่างนั้นจริง ๆ เขาคงจะขาดใจตายเสียตั้งแต่คืนนี้ คงไม่รอให้ต้องถูกประหาร เพราะการสูญเสียคนที่เรารักไปนั้น มันเจ็บปวดและทรมานยิ่งกว่าการตายเสียอีก

..........

หลังจากความโกลาหลได้จบสิ้นลงแสงหล้าก็รีบพาตัวอินเหลาไปฝากไว้กับตนบุญที่วัด เพราะมั่นใจว่าที่นั่นจะปลอดภัยที่สุดแล้ว ส่วนเจ้าตัวก็รีบเข้าไปหาบิดาที่ตำหนักพร้อมกับคำน้อย เพื่อไปขอร้องไม่ให้นำพระศพของเจ้าหลวงพรหมมาวงศ์ไปกระทำหยามเกียรติเช่นนั้น

“เจ้าพ่อ” แสงหล้ารีบวิ่งเข้าไปกราบแทบเท้าบิดา เมื่อเดินเข้าไปถึงตำหนักของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่พำนักชั่วคราวของแสงชัยและเจ้าหลวงแสงคำไปแล้ว

“แสงหล้าลูกพ่อ”

เมื่อมีโอกาสได้เจอหน้ากันอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้งสองต่างก็ยิ้มทั้งน้ำตาดีใจอย่างสุดซึ้ง สวมกอดอย่างแนบแน่นอยู่นานกว่าจะผละตัวออกมาสนทนากัน

“ลูกคิดถึงเจ้าพ่อเหลือเกิน”

“พ่อก็คิดถึงลูกเช่นกัน เฝ้าฝันว่าวันนี้จักมาถึง และมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ วันที่เราสองพ่อลูกได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง กลับเมืองผาพิงค์ของเรากันนะแสงหล้าลูกพ่อ”

“ลูกอยากกลับใจแทบขาด แต่ลูกไม่อาจกลับไปตอนนี้ได้”

“เพราะเหตุใดเจ้าจึงกลับเมืองผาพิงค์กับพ่อไม่ได้”

“เจ้าพ่อก็ทรงทราบดีว่าลูกเป็นชายาของเจ้าพี่จักรคำแล้ว ลูกจักทิ้งชายที่ลูกรักไปมีความสุขได้เช่นใดเล่าเจ้าพ่อ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าหลวงแสงคำก็อึ้งไม่น้อย เพราะเข้าใจว่าลูกชายทำลงไปเพราะต้องการมีอำนาจเท่านั้น ไม่มีเรื่องหัวใจมาเกี่ยวข้อง

“แสงชัยบอกพ่อว่ามันคือแผนของลูก ลูกไม่ได้รักมัน”

“ลูกยอมรับว่าพูดปดต่อเจ้าพี่ ความจริงแล้วลูกรักเขา และเราก็รักกันมาก ที่ลูกมาวันนี้เพื่อจักมาขอร้องให้เจ้าพ่อปล่อยตัวเจ้าพี่จักรคำ และจัดงานถวายพระเพลิงเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ให้สมพระเกียรติด้วยเถิดเจ้า” ในวินาทีนี้แสงหล้ายอมโดนต่อว่า หากจะทำให้ชายผู้เป็นที่รักมีชีวิตรอดต่อไป

เพี๊ยะ!

“ไม่นึกเลยว่าจิตใจของเจ้าจักแปรเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้ เจ้าลืมสิ่งที่พวกมันทำกับบ้านเมืองเราไว้แล้วหรือแสงหล้า”

“ลูกไม่มีวันลืม แต่หากเรายังยึดติดกับเรื่องราวในอดีต ความแค้นมันก็หาได้จบสิ้นไม่ เจ้าพ่อ...ได้โปรดให้อภัยสิ่งที่เจ้าพี่จักรคำได้ทำลงไปด้วยเถิด หากเจ้าพี่จักรคำเป็นอันใดไปลูกเองก็จักไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต เจ้าพ่อได้โปรดลืมความแค้นแล้วมาเริ่มต้นใหม่เถิด...ลูกขอร้อง”

“ไม่! พ่อจักไม่มีวันลืมสิ่งที่พวกมันทำ แม้แต่เจ้าพ่อก็สละได้หากทำให้บ้านเมืองเรากลับมาเป็นปึกแผ่นเช่นเดิม รู้เยี่ยงนี้แล้วเจ้ายังจักกล้ามาขอร้องให้พ่อไว้ชีวิตพวกมันอีกอยู่หรือ”

“เจ้าพ่อ!” แสงหล้ารู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดกลางใจ ไม่นึกว่าคำคำนี้จะออกจากปากบิดา แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เขาก็เข้าใจว่าบ้านเมืองต้องมาก่อน

“แล้วเอ็งล่ะคำน้อย ข้าบอกให้มาดูแลลูกข้า แต่เหตุใดจึงมาเป็นเมียของน้องชายมันอีกคน”

“ข้าเจ้าผิดไปแล้ว แต่ที่ข้าเจ้าทำเพราะไม่อยากให้เจ้าเมืองแมนมายุ่งวุ่นวายกับเจ้านายน้อย ข้าเจ้าไม่ได้อยากมักใหญ่ใฝ่สูงเลยนะเจ้า” คำน้อยก้มลงกราบ เอ่ยความจริงกับเจ้าหลวงแสงคำ

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าก็หันขวับไปมองหน้าข้าไทคนสนิท ไม่นึกเลยว่าข้าไทผู้นี้จะเสียสละตัวเองเพื่อเขาได้ขนาดนี้ เจ้าตัวซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ

“ขอบใจเอ็งมากนะคำน้อยที่ทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้”

“แม้แต่ชีวิตข้าเจ้าก็ให้เจ้านายน้อยได้เจ้า”

เมื่อเรื่องทุกอย่างถูกเปิดเผยออกมา เจ้าหลวงแสงคำก็มีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“เอาล่ะข้าจักไม่เอาเรื่องเอ็ง จบเรื่องนี้เพียงเท่านี้ เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว เพราะพรุ่งนี้เช้าพวกมันทั้งหมดจักต้องถูกประหารชีวิต ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกชายตัวเล็ก ๆ ของมัน”

“ไม่นะเจ้าพ่อ ลูกขอร้องโปรดไว้ชีวิตอินเหลาด้วย อินเหลายังเด็กนักหามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ หากเจ้าพ่อจักฆ่าอินเหลาก็เท่ากับได้ฆ่าลูกไปด้วย เพราะลูกรักอินเหลาเหมือนลูกแท้ ๆ ไปแล้ว” แสงหล้าคลานเข่าเข้าไปกราบแทบเท้าขอร้องบิดาเพื่อให้เห็นใจ แต่ทว่ากลับโดนเมินเฉยอย่างไร้เยื่อใย

“ต่อให้เจ้าร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด พ่อก็ไม่มีทางยอมยกโทษให้พวกมัน กลับไปที่คุ้มแล้วเตรียมตัวเก็บของให้เรียบร้อย หลังจากฆ่าพวกมันแล้วเราจะกลับเมืองผาพิงค์ทันที”

“เจ้าพ่อ ฮือ...ลูกขอร้อง”

“เจ้าหลวงได้โปรดไว้ชีวิตเจ้าอินเหลาด้วยเถิดนะเจ้า”

“ออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้” เจ้าหลวงแสงคำชี้หน้าไล่คนทั้งสองออกไปจากตำหนัก ก่อนที่จะโมโหโกรธาไปมากกว่านี้

“ลูกไม่ไปจนกว่าเจ้าพ่อจักยอมเปลี่ยนพระทัยใหม่”

“ถ้าเจ้าไม่ไปพ่อจักไปเอง” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป แม้ลูกชายจะรั้งข้อเท้าไว้แต่ก็ไม่เป็นผล

“เจ้าพ่อ ฮือ... ได้โปรดเปลี่ยนพระทัยใหม่เถิดนะเจ้า”

แสงหล้าตะโกนตามหลังเสียงดัง ร้องไห้ปานจะขาดใจ แค่คิดว่าจะต้องเสียจักรคำและอินเหลาไป ใจดวงนี้ก็ปวดร้าวเจียนตาย เขาอยากหยุดเวลาไว้เพียงเท่านี้ไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เลยจริง ๆ

“คำน้อยข้าจักทำเช่นไรดี ข้าไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เลยจริง ๆ”

“ข้าเจ้าเองก็จนใจ เจ้าหลวงทรงเด็ดขาดกับทุกเรื่อง ข้าเจ้าคิดหาทางออกไม่เจอเลยจริง ๆ หรือว่าเรา...จักพาเจ้าอินเหลาหนีไปจากที่นี่เจ้า” คำน้อยเอ่ยอย่างไม่ได้จริงจังสักเท่าไรนัก

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าก็ยิ้มอย่างมีความหวัง เพราะความคิดนี้เข้าท่าและเหมาะกับสถานการณ์อย่างนี้เป็นที่สุด หากจะหนีก็ต้องหนีไปด้วยกันทั้งหมด เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ใครต้องตายแม้แต่คนเดียว

“ไปตอนนี้เลยคำน้อย ไปหาอินเหลาที่วัดหลวงตอนนี้เลย”

“เจ้านายน้อยจักเอาอย่างนี้จริง ๆ หรือเจ้า”

“จริงสิ เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่”

“แต่ถ้าเจ้าหลวงทรงจับได้ มีหวังเราโดน...”

“หาต้องกลัวสิ่งใดแล้ว เชื่อข้าว่าเราจักต้องหนีไปได้”

“ข้าเจ้าเชื่อใจเจ้านายน้อย เราจักไปจากที่นี่กัน”

“ก่อนไปข้าขอถามเอ็งสักคำถาม ว่ารู้สึกเช่นใดกับเจ้าเมืองแมน...เกลียดหรือรัก”

“ข้าเจ้า...ยังไม่รู้ใจตัวเองเลย ใจหนึ่งก็เกลียดที่เจ้าเมืองแมนทำตัวเป็นอันธพาล แต่อีกใจก็รู้สึกดีที่เขาดูแลเอาใจใส่ข้าเจ้าเป็นอย่างดี”

“ข้าให้เอ็งตัดสินใจว่าจักช่วยเมืองแมนหนีไปด้วยกันหรือไม่”

คำน้อยลังเลใจ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยกับผู้เป็นนาย

“หากเจ้าเมืองแมนสำนึกผิดแล้ว ข้าเจ้าคิดว่าควรให้โอกาสเขาอีกสักครั้งเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารีบไปรับตัวอินเหลา แล้วไปเจอกันที่เชิงดอยทางทิศตะวันตกของคุ้มหลวง ส่วนข้าจักไปช่วยเจ้าพี่จักรคำและเจ้าเมืองแมนออกมา”

“ระวังตัวด้วยนะเจ้า”

“เอ็งก็เช่นกัน รีบไปเถิดก่อนที่อะไรมันจักสายไปกว่านี้”

“ข้าเจ้ารักและเทิดทูนเจ้านายน้อยยิ่งกว่าสิ่งใด ขอผีหลวงช่วยคุ้มครองเจ้านายน้อยของข้าเจ้าให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวงด้วยเถิด” คำน้อยกล่าวทั้งน้ำตา ก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นเจ้านาย

“ขอให้เอ็งปลอดภัยเช่นเดียวกันนะคำน้อย เราจักต้องได้เจอกันอีกแน่นอน”

“ข้าเจ้าก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้น”

ทั้งสองสวมกอดกันอย่างแนบแน่นก่อนจะแยกย้ายกันไปทำภารกิจสำคัญ แม้มันอาจจะเสี่ยงแต่ทว่ามันคือทางเดียวที่จะรักษาชีวิตคนที่พวกเขารักไว้ได้

หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.21 ความหวังสุดท้าย [Up.14-06-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-06-2019 20:22:03
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.21 ความหวังสุดท้าย [Up.14-06-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-06-2019 21:05:28
อิเครือแก้ว อิงูพิษ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.21 ความหวังสุดท้าย [Up.14-06-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-06-2019 22:04:16
เอาแล้วไง จะรอดไปกันทังหมดไหมเนี่ย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.21 ความหวังสุดท้าย [Up.14-06-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 14-06-2019 00:46:03
หนีไปด้วยกันแล้วไปอยู่นอกเมืองเบยย
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.21 ความหวังสุดท้าย [Up.14-06-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-06-2019 09:19:51
ลุ้นๆ
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.22 ความสูญเสีย [Up.10-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 10-07-2019 22:32:43
บทที่ 22

ความสูญเสีย
[/b]



หลังจากแยกย้ายกันแล้วคำน้อยก็รีบกลับไปยังคุ้มเพื่อเก็บของจำเป็น ในระหว่างเดินออกมานั้น บังเอิญเจอกับนางเขียนที่กำลังเดินสวนเข้ามาพอดี

“เอ็งจะไปที่ใดรึคำน้อย เหตุใดจึงถือห่อผ้ามาด้วย”

“ข้า...” คำน้อยอึกอัก ยังไม่มั่นใจว่าจะเชื่อใจเขียนได้มากน้อยแค่ไหน

“ตอนนี้ข้าก็ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน มีแผนอันใดบอกข้าเถิดเราจะได้ช่วยกัน”

“ข้ากำลังจะพาเจ้าอินเหลาหนีออกไปจากที่นี่ รู้เยี่ยงนี้แล้วยังจะอยากไปเสี่ยงกับข้าอยู่อีกหรือไม่” คำน้อยกล่าวอย่างระแวดระวัง กลัวว่าใครจะเข้ามาได้เย็นเสียก่อน

“ไปสิ ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปมีหวังข้าโดนเจ้านางเครือแก้วฆ่าตายแน่”

“ถ้าเช่นนั้นรีบไปเสียตอนนี้เลย”

“อื้ม”

สนทนากันจบแล้วทั้งสองก็รีบตรงไปที่วัดหลวง ซึ่งตอนนี้อินเหลาอยู่ในความดูแลของตนบุญนั่นเอง

..........

มาถึงแล้วคำน้อยกับเขียนก็เข้าไปกราบตนบุญ กล่าววัตถุประสงค์ที่มาในวันนี้ และถือโอกาสกล่าวลาก่อนจะหนีออกไปจากเมือง โดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือไม่

“คิดดีแล้วหรือโยมคำน้อย”

“ไม่มีหนทางอื่นแล้วเจ้า หากไม่ทำเยี่ยงนี้เจ้าอินเหลาคงไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่”

“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปเสีย อาตมาคงช่วยโยมได้เพียงเท่านี้” ตนบุญกล่าวแล้วยื่นบางอย่างให้

“อันใดรึท่านตนบุญ”

“ตะกุดนี้จะช่วยให้พวกเจ้าแคล้วคลาดจากผยันตรายทั้งปวง อาตมานำมันให้เจ้าอินเหลาก่อนหน้านี้แล้ว”

“ขอบน้ำใจท่านตนบุญเจ้า หากข้าเจ้ายังไม่ตายเสียก่อน คงมีโอกาสได้กลับมากราบท่านอีกครั้ง” ว่าแล้วทั้งสองก็ก้มลงกราบคนบุญ

“อย่าลืมนะโยมคำน้อย โยมต้องใส่ตะกุดนี่ติดตัวเอาไว้ตลอด ห้ามนำมันออกจากตัวไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นก็ตาม”

“ข้าเจ้าจะทำตามที่ท่านตนบุญกำชับเจ้า”

ท่านตนบุญพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับอินเหลาที่นั่งอยู่ข้างคำน้อย

“สักวันท่านจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างสง่าผ่าเผย จงดูแลรักษาตัวให้ดี อาตมาจะรอท่านอยู่ที่นี่”

“เจ้า ท่านตนบุญรอข้าที่นี่อย่าไปไหนนะ สักวันข้าจะกลับมา” อินเหลากล่าวแล้วก้มลงกราบ

“อาตมาจะรอท่านที่นี่ รีบไปกันเถิดเดี๋ยวจะไม่ทันการ”

“ข้าเจ้าขอลาก่อน”

กราบตนบุญแล้วทั้งสามก็รีบออกไปจากวัดหลวงอย่างระแวดระวัง

เดินลัดเลาะตามพื้นที่อับคนมาเรื่อย ๆ ทว่ายังไม่พ้นประตูทางออกเลยด้วยซ้ำ ก็เจอกับกลุ่มทหารของเมืองผาพิงค์ นั่นทำให้ทั้งสามตกอยู่ในที่นั่งลำบากทันที ดาบที่เตรียมมาด้วยถูกนำออกมาขู่ศัตรูอย่างอาจหาญ

“พวกเอ็งจักไปที่ใดกันคำน้อย”

“หลีกทางบัดเดี๋ยวนี้! เจ้าหลวงแสงคำมีรับสั่งให้ข้า พาเจ้าเด็กนี่ออกไปฆ่าที่นอกเมือง”

“เหตุใดพวกข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย อีกอย่างตอนนี้เอ็งทำตัวมีพิรุธ พวกข้าคงให้เอ็งออกไปนอกเมืองมิได้ดอก” ทหารทั้งสี่นายมองคำน้อยอย่างไม่ไว้ใจ

“หรือพวกเอ็งจะขัดคำบัญชาของเจ้าหลวงงั้นรึ”

“พวกข้าหาเชื่อเอ็งไม่ เอ็งอยู่ที่นี่นานจนกลายเป็นคนเมืองเชียงราชคำไปแล้ว รีบกลับเข้าไปไม่เช่นนั้นอย่างหาว่าข้าไม่เตือน”

“ข้าบอกให้หลีกไป ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าพวกเอ็งให้ตายเสีย” คำน้อยยกดาบขึ้นมาขู่ ส่วนเขียนและอินเหลายืนกอดกันอยู่ด้านหลัง

“คำน้อยข้ากลัว ฮือๆ ๆ” อินเหลาตกใจจนร้องไห้เสียงดัง เขียนจึงกอดองค์รัชทายาทไว้แน่น

“หาต้องกลัวอันใดไม่เจ้าอินเหลา ข้าเจ้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเจ้าอินเหลาได้แน่”

“ใครที่มันเป็นกบฏต้องจัดการให้สิ้นซาก ฆ่ามันให้หมดทุกคน” หนึ่งในกลุ่มทหารกล่าว ก่อนจะชักดาบขึ้นมา เดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ นั่นทำให้คำน้อยถอยหลังทันที

“เขียนพาเจ้าอินเหลาหนีไปก่อนเร็ว!”

“แล้วเอ็งล่ะคำน้อย”

“ไม่ต้องเป็นห่วงข้ารีบไป”

“เอ็งต้องรีบตามไปนะคำน้อย” ว่าแล้วเขียนก็รีบพาอินเหลาวิ่งหนีไปอีกทาง แต่ทว่าทหารพวกนั้นกลับแบ่งกลุ่มกัน ตามหลังไปสองนาย

คำน้อยพยายามดวลดาบกับทหารชาติเดียวกันอย่างไม่ยอมแพ้ โชคดีที่เขาเคยฝึกวิชาการต่อสู้มาพร้อมกับแสงหล้า เมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองผาพิงค์ ทำให้พอสู้เอาตัวรอดได้

“ยอมแพ้พวกข้าเถอะคำน้อย แล้วกลับไปรับโทษกับเจ้าหลวง”

“ไม่! ข้าไม่ยอมแพ้พวกเอ็งดอก” แม้ร่างกายจะอ่อนแรงเพราะโดนฟันเข้าที่แขน แต่ทว่าก็ยังฮึดสู้

“ถ้าเช่นนั้นก็ตายซะเถอะ!”

ฉับ! ฉึก!

“เอื้อก อ็อก” ดาบเล่มใหญ่ฟันเข้าที่แผงอกของคำน้อย จนตะกุดที่ตนบุญให้ขาดร่วงลงพื้น ก่อนจะถูกแทงเข้าที่หน้าท้องจนปลายดาบโผล่ไปที่ด้านหลัง

“คำน้อย!!”

แสงหล้าที่เพิ่งจะช่วยจักรคำและเมืองแมนออกมาได้สำเร็จ เจอภาพนั้นเข้าพอดี จึงตะโกนลั่นด้วยความตกใจอย่างสุดขีด น้ำตาไหลพรากลงมาทาง

“คำน้อยเมียพี่!” เมืองแมนเองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน รีบวิ่งเข้าไปถีบทหารคนนั้นแล้วชักดาบแทงเข้าตรงจุดเดียวกับที่ทำกับคำน้อย และอีกคนที่เหลือถูกจักรคำสังหารไปเรียบร้อยแล้ว

“แสงหล้าเอ็งอย่าเป็นอะไรไปนะ ฮึก เอ็งต้องสู้นะคำน้อย เรากำลังจะออกไปจากที่นี่กันแล้ว” แสงหล้าเข้าไปสวมกอด จนอาภรณ์เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ร้องไห้ราวจะขาดใจเมื่อเห็นแววตาเศร้าของคำน้อย

“ระ...รีบไปช่วยเจ้าอินเหลา เฮือก” คำน้อยพยายามชี้ไปยังทิศที่คนทั้งสองหลบหนีไปก่อนหน้านั้น

“คำน้อยเมียพี่ เจ้าห้ามเป็นอันใดเด็ดขาด ฮึก” เมืองแมนลูบไล้ตามพวงแก้มขาวอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น

“ข้าห้ามเลือดให้แล้ว เรารีบไปช่วยเจ้าอินเหลากันเถอะ”

“ช่วยพยุงคำน้อยขึ้นหลังข้าที” เมืองแมนเอ่ยผ่านม่านน้ำตา แสงหล้าและจักรคำจึงช่วยกันพยุงร่างที่ไร้ซึ่งพลังงานขึ้นไปบนแผ่นหลังเมืองแมน ก่อนจะรีบออกเดินทางไปช่วยอินเหลา

..........

ตอนนี้นางเขียนจูงมืออินเหลาวิ่งออกมายังทางลับ ที่เคยใช้เข้าออกเป็นประจำ แต่ทว่าทหารทั้งสองนายยังคงวิ่งตามมาติด ๆ จนเธอเริ่มอ่อนแรงและสะดุดล้มในที่สุด

“โอ้ย! เจ้าอินเหลารีบหนีไปเจ้าค่ะ”

“แต่ข้าหารู้ทางไม่”

“รีบวิ่งที่อุโมงค์ตรงนั้นเร็ว เร็วสิเจ้าคะ”

“อะ...อื้ม” อินเหลาหวาดกลัวจนร้องไห้มาตลอดทาง แม้กระทั่งตอนนี้น้ำตายังคงไม่หยุดไหล คิดถึงผู้เป็นบิดาจับใจ อยากจะเห็นหน้าเหลือเกิน เมื่อเห็นทหารกำลังจะเข้ามาอินเหลาก็รีบวิ่งหนีไปทันที

“ปล่อยเจ้าอินเหลาไปเถอะนะข้าขอร้อง” เขียนยกมือไหว้ขอร้อง แต่กลับไม่เป็นผล ทหารทั้งสองนายกำลังจะวิ่งตามไป นางเขียนรีบกอดขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ส่วนอีกคนได้ตามอินเหลาไป

“ปล่อยเดี๋ยวนี้” ชายฉกรรจ์พยายามสะบัดขา แต่ก็ไม่สามารถสลัดนางเขียนออกไปได้

“ไม่ปล่อย ข้าจะไม่ยอมให้พวกเอ็งมาย่ำยีเจ้านายข้าเด็ดขาด”

“ถ้างั้นก็ตายซะเถอะ”

ฉึก!

“เฮือก!”

นางเขียนโดนแทงเข้าที่แผ่นหลัง จนเลือดไหลทะลักออกมาจากปาก แต่ทว่ายังไม่ยอมปล่อยมือ

“โธ่โว้ย! ตายยากตายเย็นเหลือเกิน” กำลังจะง้างดาบแทงอีกครั้ง

ฉึก!

ดาบที่อยู่ในมือของทหารคนนั้นหล่นลงพื้น เพราะโดนจักรคำใช้ดาบแทงเข้าที่แผ่นหลัง จนล้มลงกับพื้น

“เขียน!” แสงหล้ารีบวิ่งเข้ามาดูอาการนางเขียน

“มันตามเจ้าอินเหลาไปแล้ว เฮือก!” พูดจบนางเขียนก็สิ้นใจฟลุบหน้าลงกับพื้น แสงหล้าเห็นอย่างนั้นก็น้ำตาไหล ไม่คิดว่าวันหนึ่งคนอย่างเขียนจะกลายมาเป็นมิตรได้ แถมยังช่วยชีวิตอินเหลาจนต้องมาสิ้นใจตายอย่างนี้

“เรารีบไปกันเถิดเจ้าพี่ ฮึก”

ทั้งหมดต้องจำใจทิ้งศพนางเขียนเอาไว้อย่างนั้น ก่อนจะรีบตามไปช่วยอินเหลา

...........

อินเหลาวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต แต่ทว่าเด็กคงไม่สามารถเอาชนะผู้ใหญ่ได้ จนในที่สุดทหารผู้นั้นก็สามารถคว้าตัวอินเหลาไว้ได้

“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ฮือ เจ้าพ่อช่วยลูกด้วย” เจ้าเด็กน้อยพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ

“ปล่อยลูกข้าบัดเดี๋ยวนี้”

จักรคำเข้ามาได้ทันการจึงชักดาบขึ้นขู่ มองด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด

“เจ้าพ่อ ฮือ ช่วยลูกด้วย ลูกกลัวเหลือเกิน”

“หุบปาก! ไม่งั้นข้าจะปิดปากเจ้าด้วยดาบเล่มนี้”

“ปล่อยเจ้าอินเหลาบัดเดี๋ยวนี้ หากเอ็งปล่อย ข้ารับรองว่าจะไม่มีผู้ใดทำร้ายเอ็ง” ถึงยังไงก็เป็นคนชาติเดียวกัน แสงหล้าจึงพยายามเกลี้ยกล่อม เพื่อไม่ให้ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันอีก

“แต่เจ้าหลวงได้มีรับสั่ง ให้ฆ่าหน่อเนื้อของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ไม่ให้เหลือ รวมถึงผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อบ้านเมืองเยี่ยงเจ้าด้วย”

“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นลูกเจ้าพ่อ มิควรมาลบหลู่ข้าเยี่ยงนี้ หากเอ็งไม่ปล่อยอินเหลา รับรองว่าข้าจะให้เจ้าพ่อจัดการเอ็งแน่ เคยได้ยินหรือไม่ว่าสายเลือดยังไงก็ตัดกันไม่ขาด”

ได้ยินอย่างนั้นทหารหนุ่มก็เริ่มลังเลใจ ก่อนจะตัดสินใจลดดาบลง ยอมปล่อยตัวอินเหลาให้เป็นอิสระ

“ข้าเจ้าขออภัยที่พูดจาล่วงเกินเจ้าแสงหล้า ได้โปรดยกโทษให้ข้าเจ้าด้วยเถิด”

“ข้ามิได้ถือสาเอ็งดอก รีบกลับไปแล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเสีย”

“เจ้า”

ฉึก!

“เฮือก!”

“เจ้าพี่อย่า!”

ขณะที่ทหารผู้นั้นกำลังจะเดินไป จักรคำกลับจ้วงแทงจนล้มกองอยู่บนพื้น สิ้นลมหายใจในทันที

“หากปล่อยไปเราอาจจะไม่รอด”

“แต่ทหารผู้นี้ยอมปล่อยอินเหลา คงไม่มีทางนำเรื่องนี้ไปบอกใครแน่นอน”

“ตอนนี้เรามิควรไว้ใจใครทั้งนั้น รีบไปกันเถอะก่อนจะมีคนตามมา”

“เจ้า”

แสงหล้ายอมรับฟังแม้จะรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง เขาไม่อยากให้มีการสูญเสีย การนองเลือดอีกแล้ว หวังว่าการออกไปจากเมืองเชียงราชคำในครั้งนี้ จะทำให้เรื่องทุกอย่างมันสงบลงได้ หากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วเขาจะกลับมาขอโทษบิดาด้วยตัวเอง

..........

ออกเดินทางมาเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย จนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ จักรคำเดินสำรวจจนเจอถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูง มั่นใจว่าน่าจะปลอดภัยสำหรับการหลับนอนในค่ำคืนนี้

กองไฟน้อย ๆ ถูกจุดขึ้นมาเพื่อให้แสงสว่างและความอบอุ่น ตอนนี้ทุกคนต่างให้ความสนใจกับคำน้อย ที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนใบตอง ที่เมืองแมนตั้งใจหามาปูรองให้

“คำน้อย ฮึก เอ็งเป็นเช่นใดบ้าง” แสงหล้ากุมมือข้าไทคนสนิทไว้แน่น จ้องมองใบหน้าอันซีดเซียว น้ำตาไหลพรากลงมาเป็นสาย บาดแผลฉกรรจ์ที่คำน้อยได้รับ มันสาหัสเกินที่จะเยียวยาได้แล้ว เจ้าตัวได้แต่ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาผืนป่าแห่งนี้ ช่วยให้คำน้อยรอดพ้นจากวิบากกรรมในครั้งนี้

“ข้าเจ้า...มิได้เป็นอันใด เจ้านายน้อยโปรดวางใจ” เสียงอันแผ่วเบาเอ่ยออกมาจากปากคนป่วย ที่หางตามีหยดน้ำใส ๆ ไหลลงเป็นทาง

เมืองแมนได้แต่นั่งจับมืออีกข้างไว้ จ้องมองหน้าชายาปานจะขาดใจ เขาเสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยใส่ใจคำน้อยเท่าที่ควร ห่วงแต่เรื่องการแย่งชิงราชสมบัติ จนมาถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้ใจตัวเองว่ารักคนคนนี้มากแค่ไหน หากตายแทนได้เขาก็จะทำ

“เอ็งจะต้องไม่เป็นไร ข้าจักพาเอ็งไปรักษากับหมอที่เก่งที่สุด แต่เอ็งต้องอดทนเข้าไว้นะ เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน”

“เจ้า...เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน เฮือก...” คนป่วยพยายามฝืนยิ้ม

“คำน้อยจะต้องไม่เป็นอะไรนะ หายดีแล้วเราจะมาเล่นขี่ม้าก้านกล้วยด้วยกันอีกนะ” อินเหลาส่งยิ้มให้

“เจ้า” คำน้อยตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหันไปมองคนที่จับมือไปซบแก้มตัวเองไว้ จ้องมองมาทั้งที่ยังร้องไห้ตลอดเวลา

“เจ้าพี่”

“คำน้อยเมียพี่ พี่ขอโทษที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ พี่มันเลวเกินกว่าจะให้อภัย ฮือ” เมืองแมนร้องไห้อย่างไม่อายใคร เห็นสภาพของคำน้อยยิ่งตอกย้ำให้เจ้าตัวคิดว่า ตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ทำให้ต้องสูญเสียคนที่รักไปทีละคน

“ข้าเจ้าดีใจ ที่เจ้าพี่คิดได้ สัญญาได้ไหม หากไม่มีข้าเจ้าแล้ว ขอให้เจ้าพี่จงทำแต่สิ่งดี ๆ เรื่องที่ผ่านมาแล้วขอให้มันผ่านไป” คำน้อยพยายามฝืนพูด ทั้งที่ตอนนี้เจ็บบริเวณแผลเจียนจะขาดใจ

“พี่สัญญา แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่จากพี่ไปไหน เจ้าจะอยู่กับพี่ไปตลอดชีวิต”

“ข้าเจ้าสัญญา ว่าจะอยู่กับเจ้าพี่ตลอดไป”

“พี่ขอโทษที่เคยข่มเหงน้ำใจเจ้า แต่ขอให้รู้ไว้ว่าพี่รักเจ้ามาก หัวใจของพี่มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้น ฮึก” เมืองแมนโน้มใบหน้าลงไปจุมพิต ที่กลางหน้าผากชายาสุดที่รักอย่างทะนุถนอม

แสงหล้าและจักรคำต่างก็มองดูภาพนั้นผ่านม่านน้ำตา คำน้อยเป็นข้าไทที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีมาโดยตลอด ยอมอุทิศทั้งกายและใจเพื่อนคนรอบข้างโดยไม่คิดถึงตัวเอง บัดนี้คงถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องมาเจ็บปวดและทรมานอีกแล้ว

“ข้าเจ้าก็...ระ...รักเจ้าพี่” นี่เป็นคำบอกรักครั้งแรกที่เมืองแมนได้ยิน ทำให้น้ำตาไหลหลั่งออกมายิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“ฮือ คำน้อยเมียพี่”

กล่าวจบคำน้อยก็หลับตาลง ริมฝีปากยังคงยิ้ม นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ จนสิ้นใจในที่สุด

“คำน้อย! เอ็งจะจากข้าไปเยี่ยงนี้ไม่ได้นะ ฮือ ฟื้นขึ้นมาสิคำน้อย” แสงหล้าปล่อยโฮออกมาอย่างหนักหน่วง กอดรัดร่างที่ไร้วิญญาณด้วยความเศร้าเสียใจ

“คำน้อย...ไหนเจ้าบอกว่าจะอยู่กับพี่ตลอดไป ลืมตาขึ้นมาสิคำน้อย ตื่นขึ้นมาพูดกับพี่ ฮือ...” เมืองแมนกอดร่างชายาไว้อย่างแนบแน่น เขย่าตัวเพื่อให้อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมา แต่ทว่าปาฏิหาริย์กลับไม่มีจริง จึงทำได้เพียงกอดร่างไร้วิญญาณ ร้องไห้ร้องห่มไปอย่างนั้นจนถึงรุ่งเช้า

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

เช้าวันรุ่งขึ้น...

ศพของคำน้อยถูกฝังไว้บริเวณหน้าปากถ้ำ แสงหล้าพยายามเดินเข้าป่าไปเก็บดอกไม้ป่ามาประดับตกแต่งหลุมศพให้เท่าที่จะสามารถทำได้ เมืองแมนยังคงนั่งเฝ้าหลุมศพอย่างหมดสภาพ เผ้าผมยุ่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบดินโคลน แววตาเศร้าจ้องมองไปยังหลุมศพตลอดเวลา

“หากชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันนะคำน้อย ฮึก” แสงหล้ากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ จักรคำได้แต่ยืนโอบไหล่ชายาเพื่อปลอบใจ

“ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้านายน้อยของเอ็งให้ดีที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงอันใดนะคำน้อย” จักรคำเอ่ยกับคำน้อยเป็นครั้งสุดท้าย

“คำน้อยของพี่ เจ้าจะไม่กลับมาหาพี่แล้วจริง ๆ หรือ ฮือ...” เมืองแมนวางมือไว้บนหลุมฝังศพ ราวกับต้องการสื่อสารกับร่างไร้วิญญาณที่ถูกฝังอยู่ในนั้น

“ลุกขึ้นเถอะน้องพี่ เราต้องเดินทางกันต่อแล้ว”

“ไม่! ข้าจะอยู่กับคำน้อยที่นี่”

“แต่ที่นี่มันอันตราย หากเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป คนของแสงชัยอาจจะทำร้ายเจ้าก็เป็นได้”

“ข้าไม่กลัวอันใดแล้ว คนเยี่ยงข้าตายซะได้ก็ดี อยู่ไปก็รกโลก”

“ทำไมเจ้าพูดเยี่ยงนั้น มนุษย์ทุกคนย่อมมีค่าในตัวเอง แม้แต่สิ่งที่ไร้ชีวิตก็มีคุณค่า เรื่องมันผ่านมาแล้วเจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจอีกเลย”

“เจ้าพี่กับแสงหน้าไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ อยู่ดูแลหลุมศพของคำน้อย หากข้าไม่ตายเสียก่อน เราอาจจะได้เจอกันอีก” เมืองแมนหันมามองหน้าพี่ชายด้วยแววตาเศร้า พวงแก้มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เดินเข่าเข้าไปหาพี่ชายก่อนจะก้มกราบแทบเท้า

จักรคำมองหน้าแสงหล้าอย่างหมดหนทางที่จะเกลี้ยกล่อม จึงเอื้อมมือไปลูบเรือนผมน้องชายเบา ๆ “หากเจ้าต้องการเยี่ยงนี้ ข้าก็ไม่จัด แต่ขอให้เจ้าระวังตัวให้มาก ๆ ให้รู้ไว้ว่าพี่ชายเจ้าคนนี้รักและเป็นห่วงเจ้าเสมอ”

“ข้าขอโทษที่จงเกลียดจงชังเจ้าพี่มาโดยตลอด ข้าขอโทษ ฮือ...”

จักรคำดึงตัวน้องชายมากอดไว้ แม้ว่าเมืองแมนจะเป็นคนมุทะลุ แต่ทว่าความจริงเป็นผู้ชายที่จิตใจอ่อนแอมาก โหยหาความรักอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยนิสัยที่แสดงออกมา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องไม่สนิทแนบแน่นเท่าที่ควร

“ถึงข้าจะเคยโกรธเจ้า แต่ให้รู้ไว้ว่าข้าไม่เคยเกลียดน้องชายตัวเอง ยังรักและเป็นห่วงเจ้าเสมอ ดูแลตัวเองให้ดีนะน้องพี่”

“เจ้าพี่เองก็เช่นกัน ดูแลตัวเองให้ดี ๆ” ชายหนุ่มทั้งสองยิ้มให้กันเป็นครั้งแรกในชีวิต “อินเหลามาให้น้ากอดหน่อยสิ”

ได้ยินอย่างนั้นเด็กชายก็เดินเข้าไปหาผู้เป็นน้าอย่างว่าง่าย เมืองแมนโอบกอดหลานชายเป็นครั้งแรกในชีวิต ลูบกลางกระหม่อมอย่างเอ็นดู

“เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อของเจ้านะอินเหลา”

“อินเหลาจะเป็นเด็กดีเจ้า”

“ดีมาก” เมืองแมนลูบกลางกระหม่อมหลานตัวน้อยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืน หันไปส่งยิ้มให้กับแสงหล้า

“ฝากพี่ชายข้าด้วยนะเจ้าแสงหล้า”

“มิต้องห่วงอันใด ข้าจะดูคอยดูแลเจ้าพี่และอินเหลาเป็นอย่างดี ท่านเองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ข้าดีใจที่อย่างน้อยท่านก็รักคำน้อยจากใจจริง มิได้เพียงแค่ต้องการเอาชนะ ฝากดูแลคำน้อยด้วยนะ”

“อื้ม ข้าจะดูแลคำน้อยเองไม่ต้องห่วง หากเราไม่ตายจากกันคงได้เจอกันอีก”

ทั้งสองส่งรอยยิ้มแห่งมิตรภาพให้กันก่อนจะแยกย้าย เมืองแมนกลับไปนั่งเฝ้าที่หลุมศพของคำน้อย ส่วนสามคนที่เหลือเดินมุ่งหน้าออกไปจากเขตพื้นที่ของเมืองเชียงราชคำ รักษาชีวิตเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดหาหนทางว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตนับจากนี้ไป



................
มาแล้วคร้าบบบบ หลังจากนี้จะลงบ่อยขึ้นนะ จะพยายามเขียนให้จบเร็ว ๆ ครับผม


หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.22 ความสูญเสีย [Up.10-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-07-2019 23:26:37
ตอนเดียวก็ต่อมน้ำตาอักเสบได้  :เศร้า2:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.22 ความสูญเสีย [Up.10-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-07-2019 02:38:34
 แล้วนังงูพิษเครือแก้ว ล่ะ?
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.22 ความสูญเสีย [Up.10-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 12-07-2019 00:04:53
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.23 เริ่มต้นใหม่ [Up.16-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 16-07-2019 19:41:18
บทที่ 23

เริ่มต้นใหม่



เมื่อรู้ข่าวว่าลูกชายสุดที่รักได้ช่วยศัตรูหนีออกจากเมือง เจ้าหลวงแสงคำก็โกรธแค้นอย่างสุดขีด สั่งให้แสงชัยออกตามล่าผู้หลบหนีมารับโทษทัณฑ์ ในขณะที่พระศพของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ที่จักรคำไม่สามารถนำออกไปได้ ถูกปล่อยให้แร้งการุมจิกอยู่ที่ลานหน้ากำแพงเมือง สร้างความสะเทือนใจให้ชาวเมืองเชียงราชคำเป็นที่สุด

หลังจากส่งแสงชัยออกไปตามหาน้องชายสุดที่รักแล้ว เครือแก้วก็กลับมาที่ตำหนัก ตอนนี้เธอย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักใหญ่ ซึ่งเคยเป็นของจักรคำมาก่อน ทำตัวราวกับเป็นเจ้านางหลวงแห่งเชียงราชคำ วางอำนาจบาตรใหญ่จนบรรดาข้าไทต่างก็ไม่ชอบขี้หน้า

“พวกเอ็งสองคนจัดการศพนางเขียนให้ข้ารึยัง”

“ตอนนี้ศพนางเขียนอยู่ที่ลานหน้าเมืองแล้วเจ้าค่ะ แร้งกากำลังบินโฉบลงมาจิกกินศพจนเต็มไปหมดเจ้าค่ะ” นางข้าไทกล่าวรายงาน

“ดีมาก ดูเอาไว้เป็นเยี่ยงอย่าง หากผู้ใดที่มันคิดทรยศข้า มันต้องเจอจุดจบเยี่ยงนี้”

“เจ้าค่ะ”

“ออกไปได้แล้ว ข้าอยากพักผ่อนอยู่คนเดียวเงียบ ๆ”

“เจ้าค่ะ”

เครือแก้วเดินไปยืนที่หน้าต่าง แววตาที่อาฆาตแค้นจ้องมองไปยังกำแพงเมือง ซึ่งเป็นจุดที่ศพนางเขียนถูกนำไปทิ้งไว้ บัดนี้ศัตรูทุกคนของนางได้ถูกกำจัดออกไปจากเมืองนี้แล้ว อีกไม่นานตำแหน่งเจ้านางหลวงจะเป็นของใครไปไม่ได้แล้ว

“เจ้านางเจ้าคะ” จู่ ๆ นางข้าไทที่เพิ่งจะออกไป ก็กลับเข้ามาอีกครั้งด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“เหตุใดจึงพรวดพราดเข้ามาเยี่ยงนี้ เจ้าอยากโดนเฆี่ยนหรืออย่างไร”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”

“อันใดวะอีนี่ อ้ำอึ้งอยู่ได้พูดมา!” เจ้านางเกรี้ยวกราด แล้วเดินเข้าไปตบหน้า

เพี๊ยะ!

“พูดแล้วเจ้าค่ะ! ทะ…ทหารกำลังจะบุกเข้ามาในตำหนักเจ้าค่ะ”

“ห๊ะ! มาด้วยเรื่องอันใด”

“ข้าเจ้าหารู้ไม่เจ้าค่ะ”

“ไร้ประโยชน์สิ้นดีอีพวกขี้ข้า” เครือแก้วใช้เท้าถีบนางข้าไทจนล้ม แล้วเดินออกไปดูว่ามันผู้ใดที่กล้าเข้ามาบุกถึงตำหนัก

มาถึงหน้าตำหนักแล้ว ก็พบว่ามีทหารจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ เจ้านางเดินเข้าไปหาอย่างอาจหาญ มิเกรงกลัวผู้ใดแม้แต่น้อย เพราะคิดว่าตัวเองอยู่ในสถานะชายาของเจ้าเมืองพระองค์ใหม่

“พวกเอ็งบุกมาที่ตำหนักข้าด้วยเหตุอันใด”

“เจ้าหลวงแสงคำให้มาเชิญตัวเจ้านางไปที่หอคำบัดเดี๋ยวนี้เจ้า” หัวหน้าทหารกล่าว

“เรื่องขี้ปะติ๋วเหตุใดจึงต้องมากันเป็นกองทัพเยี่ยงนี้ ไอ้พวกทหารไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง อีกประเดี๋ยวข้าจะนั่งเสลี่ยงตามไป” นางกล่าวกับทหารเหล่านั้นอย่างไม่สบอารมณ์

“มิได้! เจ้านางจะต้องเดินไปพร้อมกับพวกข้า”

“บังอาจ! ข้าคือชายาของเจ้าหลวงแสงชัย และอีกไม่นานก็จะได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้านางหลวง พวกเอ็งไม่รู้หรืออย่างใด ก้มลงกราบตีนข้าบัดเดี๋ยวนี้”

“พวกข้าคงทำเยี่ยงนั้นไม่ได้ เพราะตอนนี้ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดคือเจ้าหลวงแสงคำ จับตัวเจ้านางไปหอคำบัดเดี๋ยวนี้”

“ยะ...อย่านะ อย่าเข้ามา ข้าจะฟ้องเจ้าพี่ให้จัดการพวกเอ็ง กรี๊ด ปล่อย!”

ในที่สุดเครือแกล้วก็ไม่อาจรอดพ้นการถูกจับกุม ถูกนำตัวเข้าไปยังหอคำ โดยไม่รู้เลยว่าตนเองได้กระทำความผิดอะไรเอาไว้

..........

หอคำ...

เครือแก้วถูกนำตัวให้มานั่งคุกเข่าอยู่กลางหอคำ ซึ่งตอนนี้มีเพียงเจ้าหลวงแสงคำและองครักษ์เพียงแค่ไม่กี่คน

“มาแล้วรึ”

“เหตุใดเจ้าหลวงจึงทำกับข้าเยี่ยงนี้ ข้าทำผิดอันใดรึเจ้า”

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าทำกับแสงหล้าเอาไว้” เจ้าหลวงแสงชัยยืนกอดอกจ้องมองอย่างเดือดดาล หลังจากได้อ่านจดหมายที่นางเขียนสารภาพทุกอย่างที่เคยทำไว้ในอดีต นางรู้ว่าเครือแก้วไม่มีทางปล่อยให้รอดชีวิต จึงเตรียมการทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้า

“ขะ...ข้าไม่เคยทำ ไม่เคยคิดไม่ดีกับเจ้าแสงหล้าเลยนะเจ้า ข้ารักเจ้าแสงหล้าเยี่ยงน้องชายแท้ ๆ ฮึก มิเคยดุด่าว่ากล่าว มิเคยคิดร้ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฮือ ๆ ๆ” เธอนั่งก้มหน้าร้องไห้อย่างหนักหน่วง แสดงบทนางเอกให้ทุกคนสงสาร

“จดหมายฉบับนี้นางเขียน ซึ่งเคยเป็นข้าไทคนสนิทของเจ้าบันทักไว้ มันฝากคนมาให้ข้าก่อนที่จะโดนสังหารตาย อ่านซะ” ว่าแล้วก็โยนจดหมายฉบับนั้นมาให้เครือแก้ว นางนึกแค้นใจที่นางเขียนตายไปแล้วแต่ก็ยังสร้างเรื่องปวดหัวให้

มือเรียวเอื้อมไปหยิบจดหมายขึ้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อกวาดสายตาอ่านก็ตกใจกลัว เพราะนางเขียนบันทึกความเลวของเจ้าหล่อนไว้อย่างละเอียด

“มันใส่ร้ายข้า ได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วยเถิดเจ้าหลวง ข้าไม่มีวันทำเยี่ยงนั้นแน่นอน”

“เจ้ากล้าสาบานต่อหน้าบัลลังก์ตั่งทองนี้หรือไม่ ว่าไม่เคยคิดร้ายต่อลูกชายข้า”

“ข้าสาบานว่าไม่เคยคิดร้ายกับแสงหล้าแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าข้าโกหกขอให้ชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ทรมาน ไร้ซึ่งความสุขไปตลอดชีวิต”

“ช่างใจกล้าหน้าด้านเสียจริง ผู้หญิงมีตำหนิเยี่ยงเจ้า ไม่คู่ควรกับลูกชายของข้า กลับไปเก็บสัมภาระ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้า”

“ไม่นะเจ้าหลวง เมตตาข้าด้วยเถิด ฮึก ข้าอยากอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากกลับ ฮือๆ ๆ” เครือแก้วร้องไห้เสียงดังเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นใจ คลานเข่าเข้าไปหวังจะขอร้อง แต่ทว่าองครักษ์กลับดึงตัวนางออกมา

“พานางออกไปให้พ้นหน้าข้า”

“เจ้า”

“ไม่นะ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ปล่อยข้า! หากผัวข้ามารับรองพวกเอ็งหัวขาดแน่”

“ผัวเจ้าก็คือลูกชายของข้า ถึงอย่างไรแสงชัยก็ไม่มีทางขัดใจข้าได้ เอาตัวนางออกไป”

“กรี๊ดดด ไอ้พวกชั่ว ขอให้ชีวิตพวกแกล่มจม พังพินาศ หาได้มีความสุขตลอดไป”

เธอกรีดร้อง ดิ้นพล่าน ขณะโดนจับตัวออกไปจากหอคำ ทุกอย่างที่คิดฝันไว้ต้องพังทลายลง เพราะนางเขียนคนเดียวแท้ ๆ ถึงแม้ว่านางเขียนจะสิ้นใจไปแล้ว แต่เธอก็ยังคงสาปส่งในใจ ขอให้ตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิดอีก

เจ้าหลวงแสงคำมองตามหลังไปพร้อมกับถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดลูกชายสุดที่รักถึงได้ยอมทรยศบ้านเมือง พาศัตรูผู้เข่นฆ่าชาวเมืองผาพิงค์หนีไป ไม่ว่าจะยังไงก็ตามต้องพาแสงหล้ากลับไปที่เมืองผาพิงค์ให้ได้ และจะไม่ยอมให้กลับไปเกลือกกลั้วกับจักรคำอีกอย่างแน่นอน

“พ่อจะตามเจ้ากลับมาให้ได้ จะทำให้ลูกกลับมาเป็นลูกที่น่ารักคนเดิมของพ่อให้ได้”

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

รถม้ากำลังแล่นไปตามถนนลูกรังกลางป่า เพื่อส่งตัวเจ้านางผู้อาภัพกลับบ้านเกิดเมืองนอน เครือแก้วนั่งร้องไห้ร้องห่ม เสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ใช้มารยาหญิง ออดอ้อนให้แสงชัยคัดค้านคำสั่งของเจ้าหลวงแสงคำ แววตาสวยเต็มไปด้วยแรงเกลียดชัง เกลียดชังทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้ต้องเจอกับเรื่องที่อัปยศอดสูหลายต่อหลายครั้ง

“หากมีโอกาสข้าจะกลับมาล้างแค้นพวกเจ้าให้หมดทุกคน ที่ทำชีวิตข้าพังพินาศเยี่ยงนี้ โดยเฉพาะอีเขียน กูขอให้มึงตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป” เจ้านางถลึงตา กำมือแน่น ด้วยความโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

ในระหว่างนั้นรถม้าก็หยุดวิ่งกะทันหัน ทำให้เครือแก้วหัวคะมำเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนด่าออกไป

“ไอ้พวกบ้า”

ไม่มีเสียงตอบรับจากภายนอก แต่ทว่ากลับได้ยินเสียงการดวลดาบ ทำให้คนที่อยู่ในรถม้ารู้สึกแปลกใจจึงเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านสีขาวตรงประตูออก ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางเบิกตาด้วยความตกใจ รีบปิดผ้าไว้เช่นเดิม ก่อนจะเขยิบเข้าไปนั่งชิดด้านหลังสุด

“เกิดอันใดขึ้นกับข้าอีก เหตุใดจึงซวยซ้ำซวยซ้อนเยี่ยงนี้”

ข้างนอกมีการดวลดาบระหว่างทหารและโจรป่า ด้วยกำลังที่น้อยกว่าทำให้ทหารสิบกว่าชีวิต ถูกสังหารจนนอนเกลื่อนพื้น กลิ่นคาวของเลือดคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่

“เก็บของมีค่าในรถมาให้หมด”

สิ้นเสียงคำสั่งผ้าม่านที่หน้าประตูรถม้าก็ถูกเปิดออก

“กรี๊ดดด!!! อย่าเข้ามานะไอ้พวกโจรบ้า ออกไปเดี๋ยวนี้”

“ที่แท้ก็มีสตรีผู้เลอโฉมอยู่ในนี้นี่เอง เป็นบุญของข้ากับเอ็งแล้ว” ไอ้โจรคนหนึ่งกล่าวกับเพื่อน จ้องมองมาที่เครือแก้วตาเป็นมัน

“พวกเอ็งรู้รึไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นเจ้านางหลวงแห่งเชียงราชคำ รู้เยี่ยงนี้แล้วรีบไสหัวไปบัดเดี๋ยวนี้” เจ้านางชี้หน้าไอ้พวกโจรอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“ใคร ๆ ก็รู้ว่าตอนนี้เชียงราชคำถูกโจมตีจนไม่เหลือซากแล้ว ถึงเจ้าจะเป็นเจ้านางหลวง แต่ก็หาได้มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับพวกข้าไม่” กำลังจะเดินเข้ามา แต่ทว่ากลับมีใครบางคนรั้งตัวไอ้โจรทั้งสองไว้

“ออกไป! แม่นางผู้นี้ต้องเป็นของข้า พวกเอ็งออกไปรอข้างนอกก่อน”

ชายฉกรรจ์ทั้งสองทำหน้าเสียดายเล็กน้อย ก่อนจะยอมออกไปแต่โดยดี ทิ้งให้เครือแก้วอยู่ในรถม้ากับชายผู้มาใหม่ตามลำพัง

“เอ็งเป็นใคร ออกไปบัดเดี๋ยวนี้ ออกไป!” เครือแก้วคว้าของที่อยู่รอบตัว ขว้างปาไปยังชายหนุ่มผู้มาใหม่ ซึ่งสวมใส่ชุดชนเผ่า กรอบหน้าคมเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง แววตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

“ไปอยู่กับข้าเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองล่ะ”

“ไม่! ข้าไม่ไป ข้าจะกลับบ้านเมืองของข้า”

เมื่อไม่ยอมฟังกันหัวหน้าโจรผู้นั้นก็ เข้าไปจับข้อมือเครือแก้วไว้ ขึงพรืดไว้บนพื้นไม้

“กรี๊ดดด!!! ปล่อยข้า ไอ้ชั่ว ไอ้สารเลว ไอ้…อุ๊ก” พูดยังไม่ทันจบเครือแก้วก็ถูกชกเข้าที่ท้อง จุกจนไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ แถมยังโดนฉีกอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่อย่างป่าเถื่อน

แคว่ก!!!

“ปากดีเยี่ยงนี้ต้องเจอข้า วันนี้ข้าจัดเยียดความเป็นผัวให้เจ้าเองแม่นางคนสวย หึ ๆ” รอยยิ้มเหี้ยมบนใบหน้าคมนั้น ช่างน่ากลัวและน่าขยะแขยง เครือแก้วกลัวจนสั่นไปทั้งตัว น้ำตาไหลลงมาเป็นทางแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอนน้ำตาไหล ปล่อยให้ไอ้โจรผู้นั้นกระทำย่ำยีอย่างป่าเถื่อนและรุนแรง ราวกับไม่เคยเจอสตรีมานานนับปีเสียอย่างนั้น

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

หลายวันผ่านมา…

หลังจากแยกกับเมืองแมนแล้ว ทั้งสามก็เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นป่าที่ถูกล้อมรอบไปด้วยหุบเขาสูง ซึ่งน่าจะรอดพ้นจากการถูกตามล่าจากแสงชัย จักรคำสร้างกระท่อมหลังเล็ก ๆ เพื่อเป็นที่พัก ซึ่งอยู่ห่างจากลำธารไม่ไกลมากนัก ความเงียบสงบไร้ซึ่งความวุ่นวายจากผู้คน ทำให้จิตใจที่เคยผ่านเรื่องราวเลวร้ายมา มีสภาพดีขึ้นมากพอสมควร

ตอนนี้แสงหล้ากำลังนั่งบนโขดหิน ซักเสื้อผ้าอยู่ข้างลำธารเพียงลำพัง ได้ยินเสียงน้ำไหลแล้วหวนให้นึกถึงคำน้อย เมื่อครั้งที่ออกเดินทางมาจากเมืองผาพิงค์ด้วยกัน เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่เด็กจนโต มันเหมือนฝันร้ายที่แสงหล้าต้องจำไปจนวันตาย ขณะที่มือน้อย ๆ ขยี้เสื้อผ้าอยู่นั้นน้ำตาก็หยดลงไป ตามด้วยเสียงสะอื้นไห้

“ฮือ ข้าคิดถึงเอ็งเหลือเกินคำน้อย ขอให้เอ็งไปสู่ภพภูมิที่ดี เกิดชาติหน้าขออย่าให้อาภัพเหมือนชาตินี้เลยนะ” เจ้าตัววางเสื้อผ้าเอาไว้ก่อนจะนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่อย่างนั้น

“มานั่งร้องไห้คนเดียวอีกแล้วนะ” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลังทำให้แสงหล้ารีบเงยหน้าขึ้น แล้วใช้หลังมือปาดน้ำตาออก

“เปล่าสักหน่อย”

“คิดถึงคำน้อยอีกแล้วสินะ คำน้อยไปสบายแล้ว มีเพียงแค่เราที่ต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของโลกใบนี้ต่อไป อย่าเศร้าใจไปเลยน้องพี่ บัดนี้ชีวิตเป็นของเราแล้ว มาช่วยกันสร้างอนาคตด้วยกันเถอะนะ” จักรคำนั่งลงข้าง ๆ โอบไหล่บางลูบไล้เบา ๆ ส่งยิ้มอบอุ่นเพื่อให้กำลังใจ

“น้องขออะไรสักอย่างได้ไหม” แสงหล้ามองหน้าสวามีอย่างจริงจัง

“ได้สิ พี่ให้เจ้าได้ทุกอย่าง”

“ให้อภัยเจ้าพ่อกับเจ้าพี่ของน้องได้หรือไม่ น้องรู้ว่ามันอาจจะยากแต่…”

“พี่ให้อภัยได้ คิดแก้แค้นกันไปมามันก็ไร้ประโยชน์ มันคงเป็นเวรกรรมที่พี่กับเจ้าพ่อเคยทำไว้กับเมืองผาพิงค์และเมืองอื่น ๆ หมดเวรหมดกรรมกันเสียที” ว่าพลางถอนหายใจเบา ๆ

“ขอบน้ำใจเจ้าพี่มาก น้องสัญญาว่าจะอยู่กับเจ้าพี่ไม่จากไปไหน เราจะสร้างครอบครัวที่น่ารักด้วยกันที่นี่” แสงหล้าโน้มตัวเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น รู้สึกสบายใจขึ้นที่รู้ว่าจักรคำไม่ได้ผูกใจอาฆาตบิดาและพี่ชายตนเอง

“แค่มีน้องกับอินเหลา พี่ก็พอใจแล้ว” จักรคำยิ้มน้อย ๆ ลูบมือบนเรือนผมอย่างเอ็นดู แม้ความเป็นจริงมันโหดร้ายเกินกว่าจะให้อภัย แต่ทว่าหากพอนึกย้อนกลับไป ความเหี้ยมโหดที่เคยทำไว้มันก็สมควรที่จะได้รับแล้ว การให้อภัยกันมันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว

“น้องรักเจ้าพี่เหลือเกิน”

“พี่ก็รักน้อง”

จักรคำผละตัวคนรักออกมา แล้วโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่กลางหน้าผากนุ่ม สายตาทั้งสองคู่ประสานกันอย่างหวานซึ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สุดแสนจะมีความสุข

“พี่รู้สึกร้อน อยากนั่งแช่ตัวในน้ำ”

“ถ้าเช่นนั้นน้องขอซักผ้าต่อให้เสร็จ” กำลังจะผละตัวออกไปหยิบเสื้อขึ้นมา แต่โดนจักรคำจับมือเรียวเอาไว้

“ไม่! พี่อยากนั่งแช่ตัวอาบน้ำเย็น ๆ กับเจ้าสองคน”

“เอ่อ…เดี๋ยวอินเหลาก็มาเห็นเข้าหรอก” คนพูดเอียงอายเมื่อเห็นแววตาหื่น

“อินเหลาหลับไปแล้วพี่ถึงได้เดินมาหาเจ้า” จักรคำจ้องมองดวงหน้าสวยหวานด้วยความเสน่หา พร้อมทั้งปลดเปลื้องอาภรณ์ของแสงหล้าออกอย่างช้า ๆ

หลังจากนั้นทั้งสองก็นั่งแช่ตัวอยู่ในลำธารในสภาพเปลือยเปล่า แสงหล้านั่งอยู่บนตักเอนหลังพิงแผงอกแกร่งอย่างสบายตัว จักรคำโอบกอดเรือนร่างบอบบางไว้แน่น ใบหน้าหล่อคมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม วางสายตาไว้บนท้องฟ้าสีครามอย่างสบายใจ

“พี่ชอบบรรยากาศเยี่ยงนี้เหลือเกิน และอยากกอดเจ้าอย่างนี้ไปตลอดทั้งคืน”

“น้องก็ชอบที่นี่มาก เรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันนะเจ้าพี่”

“ในเมื่ออดีตมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราก็สร้างอนาคตให้มันดีกว่า เราจะสร้างอาณาจักรแห่งใหม่ด้วยกัน ขอแค่เจ้าอยู่ข้างพี่เยี่ยงนี้ไปตลอด ชีวิตพี่ก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว”

คนทั้งสองส่งยิ้มให้กันอย่างหวานซึ้ง นั่งแช่ตัวในลำธารอยู่อย่างนั้นอย่างมีความสุข โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ได้มีใครบางคนแอบซุ่มดูอยู่ และจะเป็นผู้ที่จะมาตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขาในอีกไม่ช้า

หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.23 เริ่มต้นใหม่ [Up.16-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-07-2019 23:35:59
พี่ชายแน่เลย จะรอดหรือไม่รอดล่ะคราวนี้  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.23 เริ่มต้นใหม่ [Up.16-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-07-2019 04:20:17
ยังตามมาอีกเรอะ!!!
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.23 เริ่มต้นใหม่ [Up.16-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 17-07-2019 16:56:37
ใครกัน?
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.24 การจากลา [Up.17-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 17-07-2019 19:52:01
บทที่ 24

การจากลา



วันนี้แสงหล้าอยู่ในกระท่อมกับอินเหลาเพียงลำพัง ส่วนจักรคำตอนนี้ออกไปล่าสัตว์สำหรับทำอาหารมื้อเย็น หลายวันมานี้ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ชีวิตใหม่ที่ไร้ซึ่งศักดินาได้เริ่มต้นขึ้นภายใต้ผืนป่าใหญ่ แม้จะไม่ได้สุขสบายเหมือนเมื่อก่อน แต่ทว่าชีวิตที่เรียบง่ายนี้กลับทำให้มีความสุขได้ไม่แพ้กัน

“เจ้าน้าเมื่อไหร่เจ้าพ่อจะกลับมาสักที” อินเหลาตั้งคำถามทั้งที่กำลังตาปรือจะหลับรอมร่อ หลังจากรอผู้เป็นพ่อเป็นเวลานานมากแล้ว

“อีกประเดี๋ยวก็คงมา ง่วงก็หลับตานอนเสียเถอะ หากพ่อเจ้ากลับมาแล้วน้าจะปลุกเอง” แสงหล้าเอ่ย พลางลูบกลางกระหม่อมของเด็กชายตัวน้อยอย่างทะนุถนอม ในใจก็รู้สึกหวั่นกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น

นั่งให้อินเหลานอนหนุนตักอยู่อย่างนั้นจนหลับไป แสงหล้าจึงอุ้มร่างของเด็กน้อยไปนอนในท่าที่สบาย ขณะห่มผ้าให้นั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่ด้านนอก เจ้าตัวยิ้มแล้วรีบเดินออกไปจากกระท่อมทันที

ภาพแรกที่เห็นอยู่ตรงหน้ากระท่อม ทำเอารอยยิ้มของแสงหล้าต้องจางลง จักรคำกำลังนั่งคุกเข่า โดยมีทหารเมืองผาพิงค์คุมตัวเอาไว้ ปรายตามองไปข้างกันก็เห็นพี่ชายตัวเอง ยืนกอดอกมองด้วยสายตาที่โกรธเคือง

“เจ้าพี่!”

“ข้าไม่เคยมีน้องชายเป็นกบฏเยี่ยงเจ้า”

“เจ้าพี่น้องขอโทษ น้องผิดไปแล้ว ได้โปรดปล่อยน้องกับเจ้าพี่จักรคำไปเถอะนะ ฮึก” แสงหล้ารีบเดินเข้าไปกอดเข่าพี่ชายตนเองไว้ สายตาจับจ้องมองไปยังจักรคำ ที่ตอนนี้สภาพดูแทบไม่ได้ โดนซ้อมจนบอบช้ำไปทั้งตัว

“อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวข้า ข้าตัดขาดกับเจ้าตั้งแต่รู้ว่าช่วยพวกมันหนีออกมาแล้ว” แสงชัยยังคงทำเป็นเมินน้องชาย แต่ทว่าในใจกลับคิดถึงมากเหลือเกิน อยากกอด อยากเข้าไปถามไถ่ว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้มีความลำบากยากแค้นเช่นใดบ้าง

“เจ้าพี่ ฮือ น้องขอโทษ โปรดไว้ชีวิตเจ้าพี่จักรคำและอินเหลาด้วยเถอะน้องขอร้อง” แสงหล้าก้มลงกราบแทบเท้าพี่ชาย ร้องไห้อยู่อย่างนั้นไม่ลุกขึ้นมา

“ไม่มีทาง! ถึงอย่างไรวันนี้พวกมันก็ต้องตาย แล้วไอ้เมืองแมนกับคำน้อยมันอยู่ที่ใดกัน”

“คำน้อยกับเจ้าเมืองแมน สิ้นใจตายระหว่างทางแล้วเจ้า”

ได้ยินอย่างนั้นแสงชัยก็ใจหายเล็กน้อย แม้ว่าคำน้อยจะเป็นเพียงข้าไท แต่ทว่าก็เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก รู้สึกรักและเอ็นดูไม่ต่างไปจากน้องชายคนหนึ่ง

“ตายซะได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องออกแรงให้เสียเวลา หึ ๆ”

“เหตุใดเจ้าพี่จึงพูดเยี่ยงนี้ เจ้าพี่ไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิดเลยหรือ คำน้อยก็เปรียบเสมือนน้องชายของเราอีกคนนะเจ้า”

“ข้าไม่เคยนับญาติกับข้าไทที่เป็นกบฏเยี่ยงนั้น” ว่าแล้วก็หันไปสั่งทหาร “เอาตัวไอ้เด็กคนนั้นออกมาบัดเดี๋ยวนี้”

“อย่านะ! ห้ามเข้าไปเด็ดขาด” แสงหล้ารีบวิ่งไปขวางทางเอาไว้ ทำให้ทหารพวกนั้นชะงักงัน หันไปมองแสงชัยทันที

“เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะข้า ฉะนั้นเจ้าจงฆ่าข้าเพียงคนเดียว ได้โปรดปล่อยลูกชายข้าเถอะนะ ข้าขอร้อง” จักรคำกล่าวขอร้องทั้งน้ำตา นี่คือสิ่งที่จะช่วยให้ชีวิตของลูกชายอยู่ต่อไปได้ แม้จะต้องเสียศักดิ์ศรีแค่ไหนก็ตาม

“หากเจ้าทำตามที่ข้าสั่ง บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตลูกชายเจ้าก็เป็นได้”

“ข้าทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกชายข้า กล่าวมาเถอะ”

“คลานเข้ามากราบตีนข้า แล้วข้าจะไตร่ตรองดูอีกครั้ง” แสงชัยยืนกอดอกยิ้มอย่างผู้มีชัย

แสงหล้าหันไปมองหน้าสวามี ส่ายหน้าเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้ทำ เขาจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่จักรคำไม่ฟังคำทัดทานจากสายตานั่น ตัดสินใจเดินเข่าเข้าไปหาแสงชัยอย่างช้า ๆ

“ไม่นะเจ้าพี่ หาควรทำเยี่ยงนั้นไม่” แสงหล้าเอ่ยห้าม แต่จักรคำไม่ฟังเลยสักนิด

“เป็นพ่อที่รักลูกชายมากจริง ๆ คลานเข้ามาใกล้ ๆ”

“พอได้แล้ว! พอเถอะนะเจ้าพี่ น้องขอร้องล่ะ” แสงหล้าพยายามห้ามความคิดอันชั่วร้ายของพี่ชาย

“หุบปาก! ไอ้น้องชายไม่รักดี แค่เจ้าไปสมสู่กับมันข้าก็ขยะแขยงเกินทนแล้ว เสร็จสิ้นภารกิจนี้แล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับไปรับโทษทัณฑ์ที่เมืองผาพิงค์อย่างสาสมแน่นอน”

ในวินาทีนั้นจักรคำได้ก้มลงกราบแทบเท้าแสงชัยแล้ว แสงหล้ามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกเจ็บปวด และคิดว่าจักรคำคงจะเจ็บปวดไม่แพ้กัน

ผั๊วะ!

แสงชัยถีบเข้าที่ใบหน้าของจักรคำ จนล้มกองอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ

“เหตุใดเจ้าพี่ที่เคยน่ารักของน้อง ถึงได้มีจิตใจที่อัปลักษณ์เยี่ยงนี้ ฮือ น้องผิดหวังในตัวเจ้าพี่เหลือเกิน ในเมื่อไม่มีเจ้าพี่จักรคำและอินเหลาบนโลกใบนี้แล้ว น้องก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่เช่นกัน” แสงหล้าลุกขึ้นไปแย่งดาบทหารนายหนึ่งมาจ่อที่คอตนเอง

“แสงหล้าจะ...เจ้าจะทำอันใด” เมื่อเห็นน้องชายกำลังจะปลิดชีพตนเอง แสงชัยก็ตกใจจนใบหน้าซีดเซียว ไม่นึกว่าจะกล้าทำถึงขนาดนี้

“แสงหล้า...วางดาบลงบัดเดี๋ยวนี้ เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ อยู่ดูแลอินเหลาแทนพี่เช่นใดเล่า ฮึก” จักรคำเอ่ยห้ามผ่านม่านน้ำตา พยายามตะเกียกตะกายเข้าไปหา แต่ความเจ็บปวดและบอบช้ำทางร่างกายกลับเป็นอุปสรรค

“หากไม่มีเจ้าพี่ ไม่มีอินเหลา ถึงอยู่ไปชีวิตก็เหมือนตายทั้งเป็น ฮือ....”

“นี่เจ้ากล้าสละชีวิตเพื่อมันได้เชียวหรือ”

“หากเจ้าพี่เคยมีความรัก เจ้าพี่จะเข้าใจสิ่งที่น้องกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ฝากกราบทูลลาเจ้าพ่อด้วย หากชาติหน้ามีจริงน้องจะขอกลับมาชดใช้ความผิดทั้งหมด” เจ้าตัวกล่าวทั้งน้ำตา กดคมดาบลงจนเริ่มมีเลือดไหลออกมา

“แสงหล้า! อย่าทำเยี่ยงนั้น แสงหล้าเจ้าไม่รักพี่แล้วหรือ” จักรคำตะโกนลั่นเมื่อเห็นเลือดของคนที่รักไหลลงพื้น น้ำตาของลูกผู้ชายไหลหลั่งลงมาเป็นทางจนแทบจะเป็นสายเลือด

ไม่ต่างจากแสงชัยที่ยืนกำหมัดแน่นจนสั่น ทั้งเป็นห่วงทั้งโกรธน้องชายตนเอง ที่เอาชีวิตมาเป็นเดิมพันอย่างนี้ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

“หยุดได้แล้วแสงหล้า พี่ยอมเจ้าแล้ว พี่ยอมเจ้าแล้ว” ความแข็งแกร่งที่เคยมีหายไป น้ำตาของแสงชัยไหลลงมาเป็นทาง ตั้งแต่เด็กจนโตเขาดูแลน้องชายเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ไม่เคยทำให้ต้องเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว

“ข้าจะเชื่อใจเจ้าพี่ได้เช่นไร” แม้จะยิ้มในใจแต่ทว่าแสงหล้ายังคงไม่ยอมวางดาบลง แม้จะรู้สึกเจ็บแต่ทว่ายังคงยืนเล่นสงครามประสาทกับพี่ชาย อย่างนี้ต่อไปจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ

“พี่จะไว้ชีวิตไอ้สองพ่อลูกคู่นี้ แต่เจ้าต้องกลับไปกับพี่ ห้ามกลับมาเจอพวกมันอีกตลอดชีวิต มิเช่นนั้นพี่จะไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่”

“เจ้าพี่กล่าวแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาด เมื่อใดที่น้องรู้ว่าเจ้าพี่ไม่รักษาสัจจะ น้องจะปลิดชีพตัวเองเมื่อนั้น”

“พี่สัญญา ขอแค่เจ้ากลับไปเป็นน้องที่น่ารักของพี่เช่นเดิม แต่เจ้าต้องสัญญาเช่นกันว่าจะตัดใจจากมัน แล้วก็ไม่หาทางกลับมาเจอมันอีกเด็ดขาด” แสงชัยปรับอารมณ์กลับเข้าสู่ปกติ เขารักน้องชายมากจนยอมปล่อยให้ศัตรูมีชีวิตรอดต่อไป ถึงอย่างไรก็ตามเชียงราชคำก็พังทลายจนไม่เหลือซากแล้ว แถมทหารต่างก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ไม่มีทางกลับคืนมารุ่งเรืองได้อีกแน่นอน

“น้องสัญญา ขอแค่ให้คนที่น้องรักมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เพียงพอแล้ว” แสงหล้าค่อย ๆ ลดดาบลง ยิ้มให้จักรคำทั้งน้ำตา ในที่สุดความพยายามที่จะช่วยชีวิตทุกคนก็เป็นผลสำเร็จ ต่อให้แลกกับความทุกข์ระทมก็ยอม

“แสงหล้า...หากไม่มีเจ้าพี่กับอินเหลาจะมีความสุขได้เยี่ยงไร”

“นี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้วเจ้าพี่ น้องขอโทษที่ไม่อาจอยู่ดูแลเจ้าพี่ได้ หากชาติหน้ามีจริงน้องจะขอเกิดมาเป็นคู่ชีวิตเจ้าพี่อีกครั้ง” กล่าวจบก็เดินเข้าไปกอดคนที่นั่งอยู่บนพื้น เป็นการโอบกอดที่ผูกแน่นไปด้วยความรักและอาลัยอาวรณ์ น้ำตาอันบริสุทธิ์ไหลหลั่งลงมาจนเปียกปอนไปทั้งใบหน้า

“คุมตัวเจ้าแสงหล้ากลับไปบัดเดี๋ยวนี้” แสงชัยไม่อาจยืนทนมองภาพนี้ได้ จึงออกคำสั่งแล้วเดินนำหน้ากลับไปก่อน

คนทั้งสองถูกแยกออกจากกัน มือที่ประสานไว้ค่อย ๆ ห่างกันเรื่อย ๆ แต่ทว่าความรักและความผูกพันของคนทั้งสองกลับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และจะไม่มีวันเลือนหายไปจากใจ

“เจ้าพี่! ฮือ”

“แสงหล้าเมียพี่ สักวันเราจะต้องได้เจอกันแน่นอน” จักรคำตะโกนตามหลังไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ แสงหล้าหันกลับมามองชายผู้เป็นที่รักผ่านม่านน้ำตาจนถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนจะถูกบดบังด้วยต้นไม้และผืนป่า

หลังจากเมียสุดที่รักหายไปจากชีวิตแล้ว จักรคำก็นอนร้องไห้อยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ สายตาคมมองไปยังท้องฟ้าที่ตอนนี้ฝนกำลังจะตั้งเค้าตกลงมา หัวใจที่เคยแข็งแกร่งเหมือนถูกคมมีดกรีดแล้วเอาน้ำเกลือราด หยดน้ำใส ๆ ไหลลงมาจากหางตา ก่อนจะถูกชะล้างด้วยน้ำฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ภาพความหลังตั้งแต่แรกพบจนมาถึงตอนนี้ มันฉายอยู่ในหัวจักรคำเป็นฉาก ๆ ยิ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกปวดหัวใจเจียนจะบ้าตาย ตะโกนร้องราวกับคนที่เจ็บปวดและทรมานอย่างแสนสาหัส

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ณ เมืองเชียงราชคำ

เมื่อเดินทางมาถึงเมืองเชียงราชคำแล้ว แสงหล้าก็ถูกนำตัวเข้าไปพบผู้เป็นบิดาในตำหนัก สภาพตอนนี้ราวกับคนที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ แววตาเศร้านั้นทำให้เจ้าหลวงแสงคำรู้สึกเป็นห่วง แต่ทว่ายังคงนั่งนิ่งจ้องมองลูกชายด้วยแววตาที่แข็งกร้าว

“มาแล้วรึเจ้าลูกชายตัวดี”

“ถวายบังคมเจ้าพ่อ ลูกพร้อมที่จะรับโทษทัณฑ์แล้วเจ้า” แสงหล้าคลานเข่าเข้าไป ก้มลงกราบแทบเท้าบิดาด้วยความสำนึกผิด และพร้อมที่จะรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างแล้ว

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าได้กระทำความผิดร้ายแรงแค่ไหน เจ้าช่วยชีวิตศัตรูของบ้านเมืองให้หนีรอดไปได้ พ่อผิดหวังในตัวเจ้ามากแสงหล้า”

“ลูกขอโทษที่ทำให้เจ้าพ่อต้องผิดหวัง ทำให้เจ้าพ่อต้องทุกข์ใจ หลังจากนี้ไปลูกจะไม่ทำให้เจ้าพ่อต้องเสียพระทัยอีกแล้ว ลูกขอสัญญา”

“ถึงแม้พ่อจะโกรธเจ้ามากเพียงใด แต่เจ้าก็คือลูกชายของพ่อ คนเป็นพ่อยังไงก็ไม่มีวันเกลียดลูกตัวเองได้ลงคอดอก ลุกขึ้นมาให้พ่อกอดเจ้าสิลูกรัก”

“ฮึก...เจ้าพ่อ”

แสงหล้ารีบลุกขึ้นไปสวมกอดบิดาอย่างแนบแน่น ความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกเริ่มกลับคืนมาเป็นเช่นเดิมแล้ว แต่ทว่าในใจของแสงหล้ายังคงต้องใช้เวลาเยียวยาอีกนาน เพราะในนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ ที่สร้างความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานให้เจ้าตัวมากเหลือเกิน

“เจ้าเอาศพพวกมันกลับมาด้วยหรือไม่แสงชัย” เจ้าหลวงแสงคำหันไปถามลูกชายคนโต หลังจากผละตัวออกมาแล้ว

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าจึงหันขวับไปมองพี่ชาย ส่งแววตาอ้อนวอนให้แสงชัยจบเรื่องบาดหมางพวกนี้ไปเสีย

“เอ่อ...ศพของพวกมัน ลูกนำไปทิ้งลงเหวให้สัตว์ป่าแทะกินแล้วเจ้าพ่อ”

“ได้ยินเจ้ากล่าวเยี่ยงนี้พ่อก็วางใจ อย่างน้อยพวกมันก็ตายปแล้ว เราจะได้กลับบ้านเราเสียที” จู่ ๆ เจ้าหลวงแสงชัยก็สังเกตเห็นรอยแผลที่คอของลูกชาย “เอ๊ะ! นั่นคอเจ้าไปโดนอะไรมาแสงหล้า”

แสงหล้ายกมือขึ้นไปสัมผัสที่คอตัวเอง คิดหาคำตอบที่สวยหรูให้บิดาฟัง “ลูก...ลูก” แสงหล้ายังคงอ้ำอึ้งคิดหาคำตอบไม่ได้

“บาดแผลนั่นลูกเป็นคนทำเองเจ้าพ่อ ลูกพลั้งมือทำดาบโดนที่คอน้อง ในช่วงที่กำลังแย่งตัวน้องมาจากไอ้จักรคำ”

“ยังโชคดีที่น้องเจ้าไม่ได้เป็นอันใดมาก แต่คราวหน้าระวังให้มากกว่านี้เข้าใจรึไม่”

“คราวหน้าคงไม่มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีกแล้วเจ้า”

เจ้าหลวงแสงคำพยักหน้าอย่างพอใจ “ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว พรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับเมืองผาพิงค์พร้อมกัน”

“แล้วเราจะทำเช่นใดกับเมืองเชียงราชคำแห่งนี้เจ้า” แสงหล้าเอ่ยถามด้วยความหวัง หวังว่าจักรคำจะมีโอกาสกลับมากอบกู้บ้านเมืองคืนได้

“เราก็จะปล่อยมันไว้เยี่ยงนี้ บัดนี้เชียงราชคำพังย่อยยับไม่เหลือความยิ่งใหญ่แล้ว ในเมื่อพ่อได้ลูกชายสุดที่รักกลับคืนสู่อ้อมอกแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่เราจะอยู่ต่อที่นี่ไป” เจ้าหลวงแสงชัยกล่าวอย่างฮึกเหิม เมื่อตอนนี้ได้รับชัยชนะเหนือกว่า

“ถ้าหากไม่มีอันใดแล้ว ลูกขอตัวกลับคุ้มไปหาเครือแก้วก่อนนะเจ้า”

“เจ้ากลับไปก็คงไม่เจอนางผู้นั้นแล้ว”

แสงชัยมองหน้าบิดา คิ้วเข้มขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย “เหตุใดเจ้าพ่อจึงกล่าวเยี่ยงนี้”

“พ่อเนรเทศนางกลับไปยังเมืองเวียงคุ้งแล้ว ผู้หญิงเยี่ยงนั้นไม่มีอันใดคู่ควรกับลูกเลยสักนิด กลับบ้านครั้งนี้พ่อจะไปทาบทามลูกสาวของบ้านพี่เมืองน้องให้เจ้าเอง”

“เหตุใดเจ้าพ่อจึงทำเยี่ยงนี้ เจ้าพ่อก็ทรงทราบว่าลูกรักนางมากเพียงใด” แสงชัยรู้สึกจุกเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น เจ้าตัวตั้งใจจะพาเครือแก้วกลับไปยังเมืองผาพิงค์ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมอบหัวใจให้ผู้หญิงคนไหนตั้งแต่แรกพบเช่นนี้ ความเจ็บปวดจากการโดนพรากคนรักไปมันเป็นเช่นนี้นี่เอง ตอนนี้เขาเข้าใจหัวอกน้องชายอย่างสุดซึ้งแล้ว

“นางเคยเป็นเมียไอ้เมืองแมน เป็นเมียของศัตรู แถมยังเคยทำร้ายแสงหล้าหลายต่อหลายครั้ง พ่อจะไม่ยอมให้เลือดของเราไปแปดเปื้อนกับเลือดชั่ว ๆ ของนางแน่ กลับไปพักผ่อนเสียเถอะ พรุ่งนี้เราจะได้เดินทางกลับตั้งแต่เช้าตรู่”

“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าพ่อ ลูกจะทำตามพระบัญชาของเจ้าพ่อทุกอย่างเจ้า”

กล่าวกับบิดาแล้วแสงชัยก็ส่งยิ้มให้น้องชาย เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด แสงหล้ายิ้มตอบอย่างเข้าใจ เพราะตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

ออกมาข้างนอกแล้ว แสงชัยก็มุ่งตรงไปยังตำหนักที่พักชั่วคราว เผื่อว่าสิ่งที่บิดากล่าวมานั้นมันจะเป็นเรื่องโกหก แต่พอมาถึงแล้วกลับพบเพียงความว่างเปล่า เดินตรงไปยังเตียงนอนก็เจอเพียงปิ่นปักผมวางทิ้งไว้บนหมอน แสงชัยหยิบมันขึ้นมามองดูด้วยหัวใจที่ปวดร้าว น้ำตาแห่งความเสียใจไหลหยดลงบนปิ่นปักผมนั้น ความรักคงจะต้องจบลงเพียงเท่านี้ แม้ใจจริงอยากจะไปตามตัวเครือแก้วกลับคืนมา แต่ทว่าการเป็นคนที่อยู่ในครรลองคลองธรรมมาโดยตลอด จึงไม่อาจขัดขืนประกาศิตจากผู้เป็นบิดาได้ ปล่อยให้มันเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น

..........

..........

.........

10 ปีผ่านไป.....
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.24 การจากลา [Up.17-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-07-2019 23:16:31
ขอให้ได้เจอและอยู่ด้วยกันด้วยเถอะ สาธุ  :call:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.24 การจากลา [Up.17-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-07-2019 01:21:03
เครือแก้วมีผัวใหม่ไปแล้วจ้าาา
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.25 ฟ้าใหม่ [Up.19-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 19-07-2019 18:20:32
บทที่ 25

ฟ้าใหม่



10 ปีผ่านไป......

เสียงปี่กลองแตรสังข์ดังมโหระทึกกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง ชาวบ้านต่างก็พร้อมใจมานั่งรอชมพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์อย่างใจจดใจจ่อ วันนี้มีการเส้นไหว้ผีบ้านผีเมือง ผีบรรพบุรุษผู้ซึ่งได้ล่วงลับไปแล้ว จากเมืองที่เคยรุ่งเรืองและมีอำนาจ บัดนี้เชียงราชคำกลายเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าหลวงคำป้อ ซึ่งยึดถือความสงบสุขและความผาสุกของประชาชนเป็นที่ตั้ง

หลังจากเมืองแห่งนี้ถูกปล่อยให้ร้างผู้ครองเมือง หลายคนที่รู้ข่าวต่างก็เข้ามารบราแย่งชิง แต่ทว่าคำป้อซึ่งรอดชีวิตจากกองกำลังเมืองผาพิงค์ ได้รวบรวมกำลังพลเท่าที่มียึดเมืองกลับมาไว้ได้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะรอคอยการกลับมาของจักรคำ แต่ทว่านานวันไปกลับไม่ได้ข่าวคราว กลุ่มผู้ร่วมอุดมการณ์จึงสนับสนุนให้ขึ้นนั่งบัลลังก์ตั่งทอง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวเมืองที่ยังคงหลงเหลืออยู่

‘เวลาสิบปีมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ตอนนี้ท่านอยู่ที่ใดเจ้าอุปราช ไม่ว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ข้าขอให้ท่านจงมีแต่ความสุข และรอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวงด้วยเถิด’

คำป้ออธิษฐานในใจขณะกำลังไหว้สาสุสานหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และศูนย์รวมทางจิตใจของชาวเมือง

“เจ้าพี่ทรงอธิษฐานสิ่งใดเจ้า” คนที่นั่งข้างกันหันมาเอ่ยถาม นางคือบัวตองผู้ซึ่งเคยเป็นพระพี่เลี้ยงของเจ้าอินเหลานั่นเอง คนทั้งสองต่อสู้และฝ่าฟันมาด้วยกัน จากความเป็นเพื่อนค่อย ๆ ก่อตัวเป็นความรัก และตอนนี้ได้มีพยานรักด้วยกันหนึ่งคน

“ข้าอธิษฐานให้เจ้าอุปราชจักรคำและเจ้าอินเหลาอยู่ดีมีสุข หาได้มีสิ่งเลวร้ายแผ้วพาน”

“น้องขอให้บ้านเมืองเราสงบสุขร่มเย็นเยี่ยงนี้ตลอดไป”

คนทั้งสองยิ้มให้กัน “แล้วบัวแก้วล่ะ อยู่ที่ใด”

“น้องกลัวว่าลูกจะมาป่วนในพิธี จึงให้อยู่กับนางข้าไทที่สวนหลวงเจ้า”

“เสร็จสิ้นพิธีแล้วเราไปหาลูกกันนะ”

“เจ้าค่ะเจ้าพี่”

แม้ว่าตอนนี้คำป้อจะรักลูกกับเมียมากแค่ไหน แต่ในใจลึก ๆ ก็ไม่สามารถลืมรักครั้งแรกได้เลย เขายังคงคิดถึงคำน้อยอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยน และบัวตองเองก็รับรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ไม่เคยนึกน้อยใจ เพราะรู้ดีว่าคนทั้งสองเคยรักกันมาก่อน นิสัยที่ไม่เจ้ากี้เจ้าการของบัวตอง ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยาวนานมาจนถึงตอนนี้

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางป่าเขาห่างไกลจากผู้คน กระท่อมเล็ก ๆ ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่เดียวกัน กลายเป็นชุมชนซึ่งทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการทำเกษตรกรรม

หญิงสาวรูปร่างหน้าตาสะสวยสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ กำลังนั่งไกวเปลอยู่เพียงลำพัง แววตาเศร้าไร้ซึ่งความสุขจ้องมองไปยังทางเข้าหมู่บ้าน โดยหวังว่าจะออกไปจากที่แห่งนี้ให้ได้ในสักวัน

หลังจากถูกโจรป่าปล้นระหว่างทางในวันนั้น เครือแก้วก็ตกเป็นเมียหัวหน้าโจรนามว่าอินตา ซึ่งเป็นผู้นำหมู่บ้านแห่งนี้ ผู้ชายทุกคนมีหน้าที่ออกไปปล้นฆ่า ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่เลี้ยงลูกและทำงานเกษตรกรรม ตอนนี้เครือแก้วได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียขุนโจร ที่ใครต่างก็หวาดกลัว และทางการของหลาย ๆ เมืองต่างก็ออกหมายจับ เพราะกลุ่มโจรเหล่านี้ได้สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกสารทิศ

“เมื่อไหร่ชีวิตข้าถึงจะหลุดพ้นจากที่แห่งนี้เสียที” เจ้าหล่อนเอ่ยอย่างหมดหวัง หันไปมองดูลูกน้อยคนสุดท้องที่กำลังนอนหลับอยู่ในอู่เปล เธอมีลูกกับอินตาสามคน ลูกชายคนโตอายุเจ็ดขวบ อินตารักมากและเสี้ยมสอนให้เข้าสู่เส้นทางของการเป็นโจรตามรอยตนเอง ลูกสาวคนรองอายุห้าขวบ และลูกสาวคนสุดท้องอายุหนึ่งขวบ แม้ว่าจะเกลียดอินตามากแค่ไหน แต่ทว่าเธอกลับไม่สามารถเกลียดลูกทั้งสามคนได้ ยังมีความหวังว่าจะพากลับไปยังเมืองเวียงคุ้งในสักวัน

“แม่จ๋าพ่อกลับมาแล้ว”

ได้ยินเสียงลูกชายลูกสาวเอ่ยอย่างนั้น จึงหันไปมองก็เจอกับกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังเดินมา คนที่เดินนำหน้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหนคืออินตานั่นเอง

“ไปหาพ่อเถอะลูก”

“จ้ะแม่”

เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นบิดา เครือแก้วได้แต่นั่งมองตามหลังไปอย่างสิ้นหวัง เธออยากให้ลูก ๆ ได้อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ แต่ติดตรงที่ว่าตอนนี้อินตาไม่ยอมให้เธอออกไปจากหมู่บ้านเลย

“ไม่คิดจะไปรับผัวหน่อยรึ” มาถึงแล้วอินตาก็กล่าวกับเมียรักทันที เห็นสีหน้าเมินเฉยอย่างนี้จนชินชาเสียแล้ว

“ไม่มีความจำเป็น ข้าไม่อยากไปต้อนรับคนที่เพิ่งจะไปปล้นฆ่าผู้อื่นมาเยี่ยงเจ้า” เธอกล่าวอย่างไม่ไยดี

“แต่ของที่ได้มา ก็ทำให้เจ้ากับลูกมีอยู่มีกินจนถึงทุกวันนี้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธสิ่งของพวกนี้ และไม่มีวันที่จะออกไปจากที่นี่ได้”

“สักวันข้าจะพาลูกหนีไปจากที่นี่ให้ได้ ข้าจะรอวันนั้น”

“หากเจ้าทำเยี่ยงนั้น ข้าจะไม่ยอมให้ทั้งเจ้าและลูกมีชีวิตรอดต่อไป”

“เหตุใดเจ้าจึงกล้าพูดเยี่ยงนี้ต่อหน้าลูก ไอ้คนไม่มีหัวใจ ไอ้โจรสารเลว” เธอโกรธจนถลึงตามองอย่างโกรธแค้น อุ้มลูกที่อยู่ในเปลขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปในกระท่อม

เข้ามาแล้วก็นั่งกอดลูกร้องไห้เพียงลำพัง แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่เธอก็ยังไม่คุ้นชินกับชีวิตชาวป่าแบบนี้ ยังคงอยากกลับไปเป็นเจ้านาง มีชีวิตที่สุขสบาย มีข้าไทคอยรับใช้เหมือนเมื่อสิบปีก่อน แต่ท่าความหวังแทบจะริบหรี่ ความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจที่ได้รับมาอย่างยาวนาน ทำให้เธอแทบจะเป็นบ้าตายในเร็ววัน หากไม่มีลูกทั้งสามป่านนี้คงคิดสั้นปลิดชีพตัวเองไปนานแล้ว

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ณ เมืองผาพิงค์

สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาหนแล้วหนเล่า แม้นจะมีผ้าห่มผืนหนาคอยให้ความอบอุ่น แต่ทว่าความเหน็บหนาวภายในใจกลับยังคงอยู่ไม่มีวันจบสิ้น หัวใจที่เคยแหลกลาญเพราะถูกพรากจากคนรัก ยังคงไม่สามารถกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนดังเดิมได้

พลังงานชีวิตของแสงหล้าหายไป หลังจากต้องสูญเสียข้าไทที่รักดั่งพี่น้องร่วมสายเลือด สูญเสียชายผู้เป็นที่รักสุดหัวใจอย่างไม่มีวันกลับคืนมาได้ และท้ายที่สุดยังมาต้องสูญเสียบิดา ซึ่งเป็นดั่งลมหายใจ สิ่งเดียวที่จะรักษาแผลใจให้ดีขึ้นได้ คือการทำสมาธิ หมั่นทำบุญกุศลเพื่อให้จิตใจว่างเปล่า และสามารถต่อสู้กับความเจ็บปวดพวกนั้นได้

ในขณะที่เมืองเชียงราชคำมีพิธีเส้นไหว้ผีบ้านผีเมือง แต่ทว่าเมืองผาพิงค์กลับเป็นวันสำคัญยิ่งกว่า เพราะวันนี้มีการสถาปนาเจ้าหลวงและเจ้าอุปราชพระองค์ใหม่ หลังจากพิธีการในหอคำเสร็จสิ้นลง มีการเสด็จเลียบพระนคร เพื่อให้ชาวเมืองได้ชมพระบารมี บัดนี้เมืองผาพิงค์มีความยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการค้า เป็นที่รู้จักของเมืองต่าง ๆ ซึ่งต่างก็อยากมาเชื่อมความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์

ขบวนเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ของเจ้าหลวงแสงชัย เคลื่อนผ่านใจกลางเมือง ซึ่งมีประชาชนเรือนหมื่นนั่งพนมมือรออยู่ตลอดสองข้างทาง ต่างก็เปล่งคำสรรเสริญ ถวายความจงรักภักดีอยู่เนือง ๆ ส่วนเสลี่ยงที่ตามหลังมาติด ๆ นั้น คือเสลี่ยงของเจ้าอุปราชแสงหล้า ผู้ซึ่งเป็นที่รักและเคารพของประชาชนผู้ยากไร้ทั่วทุกสารทิศ

“เจ้าเป็นอันใดเหนือคำ จึงทำท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เยี่ยงนั้น” แม้นจะนั่งบนเสลี่ยง แต่ทว่าเจ้าตัวไม่ลืมที่จะมองมายังข้าไทคนสนิท ที่เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น

“หาได้มีอันใดเจ้า ข้าเจ้าเพียงแค่รู้สึกชอบบรรยากาศเยี่ยงนี้ นานทีปีหนจะได้ออกมาจากคุ้มหลวง” เด็กหนุ่มวัยสิบหกกะรัต เงยหน้าขึ้นไปกล่าวกับเจ้าอุปราช ซึ่งเป็นผู้ชุบเลี้ยงมาตั้งแต่วัยเด็ก มีพระคุณไม่ต่างจากมารดาบิดา

“ข้าเลี้ยงเจ้ามาตั้งแต่เด็กจนโต เหตุใดจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังสนใจสิ่งใด มันผู้ใดที่ทำให้เจ้ายิ้มได้ตลอดทางเยี่ยงนี้” แสงหล้าเอ่ยเสียงเข้มราวกับพ่อที่กำลังหวงลูกชาย

“ไม่มีอันใดจริง ๆ เจ้า” ปากก็พูดกับเจ้าอุปราช แต่สายตากลับชำเลืองมองไปยังหนุ่มวัยรุ่นผู้หนึ่ง รูปร่างหน้าตาดี ซึ่งเดินตามมาตลอดทาง ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่น่าจะใช่คนเมืองนี้

“เอาเถอะ ถึงอย่างไรวันหนึ่งข้าก็ต้องรู้อยู่ดี จะคิดทำสิ่งใดไตร่ตรองให้รอบคอบ เจ้ายังอ่อนหัดเรื่องความรักอยู่รู้หรือไม่”

“ข้าเจ้าจะคิดไตร่ตรองทุกเรื่องให้ดี อย่างที่เจ้าอุปราชทรงแนะนำเจ้า”

สนทนากับเหนือคำแล้วแสงหล้าก็หันไปส่งยิ้มให้กับประชาชนสองข้างทาง โบกมือทักทายอยู่ตลอดเวลา ให้สมกับที่ทุกคนต่างก็ตั้งใจมาต้อนรับในวันนี้

...........

ขบวนเกียรติยศกลับเข้ามาในคุ้มหลวงอีกครั้ง เป็นอันจบสิ้นพิธีการในวันนี้ แสงหล้าเดินตามพี่ชายเข้าไปในตำหนัก เพื่อสนทนากันตามประสาพี่น้อง

“ขอเจ้าหลวงจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” แสงหล้าก้มลงกราบแทบเท้าพี่ชายเมื่อมาถึง

“ไม่เอาน่าน้องพี่ หาควรมีพิธีรีตอง ตอนนี้เราอยู่กันแค่สองพี่น้องแล้วนะ” แสงชัยโอบกอดน้องชาย พยุงตัวให้ลุกขึ้นมา

“เป็นพระมหากรุณาเจ้า” แสงหล้าส่งยิ้มให้พี่ชาย ก่อนจะแยกย้ายกันไปนั่งบนตั่ง

“เจ้าพ่อน่าจะได้อยู่รอดูวันที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้” แสงชัยกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า เมื่อนึกถึงบิดาผู้ซึ่งล่วงลับไปเมื่อสองปีที่แล้ว และได้ไว้ทุกนานเกือบสองปี จึงได้มีการสถาปนาเจ้าหลวงพระองค์ใหม่

“น้องเชื่อว่าตอนนี้เจ้าพ่อ คงมองดูความสำเร็จของเจ้าพี่อยู่บนสรวงสวรรค์ ท่านต้องภูมิใจที่เจ้าพี่ได้สานต่อพระปณิธานเป็นผลสำเร็จ นำพาบ้านเมืองมาสู่ความรุ่งเรืองเช่นนี้”

“พี่ก็หวังว่าท่านพ่อจะรับรู้ได้ ต่อไปนี้เราต้องช่วยกันดูแลบ้านเมืองให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปนะน้องพี่”

“เจ้า น้องจะช่วยเจ้าพี่ หากมีกิจอันใดให้น้องทำ เชิญเจ้าพี่รับสั่งมาได้เลย” ได้ยินอย่างนั้นแสงชัยก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ดีเลย วันพรุ่งรบกวนช่วยพาเจ้าอินทร์แปงแห่งเมืองเป็งเงิน ไปเที่ยวชมบ้านเมืองเราแทนพี่ด้วยนะ”

แสงหล้าขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “อ้าว! น้องเข้าใจว่าแขกของเจ้าพี่กลับกันหมดแล้วไมใช่รึ”

“ยังหรอก เจ้าหลวงอินทร์ถาได้ฝากฝังให้เจ้าอินทร์แปง อยู่เรียนรู้งานที่นี่สักพัก แล้วก็...” แสงชัยรู้ว่าตอนนี้หัวใจของน้องชายยังไม่สามารถลืมจักรคำได้ แต่ก็อยากให้ใครสักคนเข้ามาแทนที่ เผื่อว่าจะทำให้ความเศร้าในใจทุเลาเบาบางลงได้

“ก็อันใดเจ้า” แสงหล้ามองหน้าพี่ชายด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เอ่อ...”

“น้องรู้สึกเหมือนเจ้าพี่กำลังมีเรื่องปกปิดน้องอยู่”

“ไม่มีอันใด เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

“น้องจะถือว่าเจ้าพี่ยังติดค้างเรื่องนี้อยู่ หากเจ้าพี่พร้อมเมื่อใดน้องก็พร้อมจะรับฟัง ถ้าเช่นนั้นน้องขอตัวกลับคุ้มก่อนเจ้า” ว่าแล้วก็ก้มลงกราบพี่ชายก่อนจะเดินออกไปจากตำหนัก

แสงชัยได้แต่มองตามหลังไปด้วยความกังวล เกรงว่าน้องชายจะไม่ตอบรับความสัมพันธ์จากเจ้าชายต่างเมือง เขาไม่อยากให้แสงหล้าอยู่กับความทุกข์เช่นนี้อีกแล้ว

..........

ช่วงเย็นวันนั้น...

หลังจากตามเจ้าอุปราชกลับมาจนถึงคุ้มแล้ว เหนือคำก็ได้รับอนุญาตให้ออกมาพักผ่อนตามอัธยาศัย และสถานที่ซึ่งชอบมากที่สุดก็คือสวนบุพชาติ ที่นี่มีดอกไม้นานาพรรณ ปลูกเอาไว้ใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญและประดับตกแต่งตามพระตำหนักต่าง ๆ

เด็กหนุ่มถือตะกร้าหวายมาพร้อมกับมีดเล่มเล็ก ๆ เพื่อเก็บดอกไม้ไปประดับใส่แจกันให้เจ้าอุปราช ความสดใสน่ารักของเหนือคำ ทำให้ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวที่ได้พบต่างก็ตกหลุมรัก และอยากเป็นเจ้าของ แต่ด้วยการที่เจ้าตัวเป็นคนโปรดของเจ้าอุปราช ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามาเกี้ยวพาราสี เว้นแต่บุตรชายของขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ปิ่นคำก็ไม่ได้สนใจใครแม้แต่คนเดียว

“เจ้าอุปราชชอบดอกบัวตอง ข้าจะเก็บไปให้เยอะ ๆ เลย” เด็กชายกล่าวพลางใช้มีดตัด เก็บดอกบัวตองอย่างอารมณ์ดี ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนที่กำลังแอบซุ่มดูอยู่ถึงกับยิ้มตาม

แกร๊บ!

เสียงเหมือนใครบางคนกำลังเหยียบกิ่งไม้ ทำให้เหนือคำหันขวับไปมองต้นเสียง แต่กลับไม่เจอใคร มองไปรอบตัวก็ไร้ซึ่งผู้คน

“ผู้ใด! แสดงตัวบัดเดี๋ยวนี้”

“...”

“หากไม่แสดงตัว ข้าไม่รับรองความปลอดภัยเจ้าแน่”

“เมี๊ยวว”

ได้ยินเสียงแมวร้อง เหนือคำก็ถอนหายใจ ยิ้มออกมาทันที “ที่แท้ก็เจ้าเหมียวนี่เอง เจ้าอยู่ที่ใดน้า” วางตะกร้าดอกไม้ แล้วเดินตรงไปยังพุ่มไม้

สวบ!

“เฮ้ย! อื้อ อ่อย..”

เดินไปถึงก็โดนใครบางคนพุ่งเข้ามาสวมกอด เมื่อจะตะโกนร้องก็โดนปิดปากด้วยมือหนา ดวงตาคู่สวยเบิกตามองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้ว

“เงียบ! หาไม่ข้าจะจับเจ้าทำเมียเสียตรงนี้”

“อื้อ...”

“หากเจ้าร้องข้าทำจริงแน่” คนพูดค่อย ๆ ละมือออกมา จนตอนนี้ใบหน้าสวยไม่มีสิ่งใดปกปิดเอาไว้

“ข้าจำเจ้าได้ เหตุใดจึงบังอาจเข้ามาในสวนบุพชาติเยี่ยงนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้าตามข้ามา”

เด็กหนุ่มถือตะกร้าหวายมาพร้อมกับมีดเล่มเล็ก ๆ เพื่อเก็บดอกไม้ไปประดับใส่แจกันให้เจ้าอุปราช ความสดใสน่ารักของเหนือคำ ทำให้ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวที่ได้พบต่างก็ตกหลุมรัก และอยากเป็นเจ้าของ แต่ด้วยการที่เจ้าตัวเป็นคนโปรดของเจ้าอุปราช ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามาเกี้ยวพาราสี เว้นแต่บุตรชายของขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ปิ่นคำก็ไม่ได้สนใจใครแม้แต่คนเดียว

“เจ้าตามผู้ใดมา บอกข้าบัดเดี๋ยวนี้”

“เจ้าอุปราชแสงหล้า”

“นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นพวกกบฏ คิดจะลอบปลงพระชนม์เจ้าอุปราชใช่หรือไม่ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย อื้อ” ตะโกนได้แค่เพียงแค่สองคำ ก็โดนปิดปากด้วยการจุมพิต ชายหนุ่มผู้มาใหม่โอบกอดร่างบอบบางไว้อย่างแนบแน่น บดจูบอย่างดูดดื่ม จนลืมจุดประสงค์ว่าตอนนี้แค่ไม่อยากให้อีกฝ่ายส่งเสียงเท่านั้น

“แฮ่ก ๆ ๆ นี่เจ้ากล้าจูบข้างั้นเหรอ ไอ้คนชั่ว ไอ้ลามก”

“หากเจ้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว ข้าไม่ทำแค่จูบแน่” แววตาคมที่ส่งความเผด็จการมานั้น ทำให้เหนือคำยอมอยู่นิ่ง ๆ แสดงสีหน้างองุ้มราวกับเด็กน้อย อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ

“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”

“ข้าบอกไว้ก่อนว่ามิได้คิดร้ายต่อเจ้าน้า เอ่ออุปราชเลยสักนิด แค่อยากให้เจ้าช่วย”

“ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้เยี่ยงไร ในเมื่อเราเพิ่งจะเคยรู้จักกัน อีกอย่างการแต่งกายของเจ้าก็หาได้เหมือนชาวเมืองผาพิงค์ อาจจะเป็นพวกสอดแนมจากต่างเมืองก็เป็นได้”

“ข้าไม่ใช่อย่างที่เจ้าพูดมา ข้าเคยรู้จักกับเจ้าอุปราชแสงหล้ามาก่อน”

“เด็กเยี่ยงเจ้าเนี่ยนะ จะเคยรู้จักกับเจ้าอุปราชมาก่อน ข้าไม่มีวันเชื่อ”

“พูดอย่างกับตัวเองมิใช่เด็ก ข้าแก่กว่าเจ้าอีกรู้ไว้ด้วย” คนพูดจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง

“แก่แล้วไง เจ้าจะทำอันใดข้าได้ ในเมื่อตอนนี้เจ้าอยู่ในเขตคุ้มหลวง หากข้าเป็นอันใดไป รับรองว่าเจ้าอุปราชไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าเป็นคนโปรดของเจ้าอุปราช”

“กล้าท้าทายข้างั้นรึ”

ชายผู้นั้นผลักร่างอันบอบบางของเหนือคำลงบนพื้นหญ้า ตรึงข้อมือทั้งสองข้างไว้อย่างแน่นหนา โน้มตัวทับทาบทุกสัดส่วน โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ จนเหนือคำเอียงหน้าหนี

“ปล่อยข้านะไอ้โจรห้าร้อย”

“ขอร้องกันดี ๆ ไม่ชอบ ต้องให้ใช้กำลังใช่ไหม”

“ปล่อยนะ อะ...อื้อ ปะ...ปล่อย” คนที่อยู่ใต้ร่างโดนไซร้ซอกคออย่างบ้าคลั่ง จนตอนนี้แทบไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืน เลือดในกายไหลพลุ่งพล่าน รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“หึ ๆ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบ หากยอมรับปากว่าจะช่วยข้า รับรองว่าข้าจะสนองให้เจ้าอย่างหนักหน่วงแน่”

“ไอ้คนสารเลว ใครชอบกันเล่า”

“แล้วเหตุใดเจ้าต้องหน้าแดงเช่นนี้ สารภาพมาเถิดว่าเจ้าชอบข้าตั้งแต่แรกเจอ เพราะเจ้าเอาแต่ส่งยิ้มให้ข้า” คนพูดกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“เจ้านี่ช่างหลงตัวเองเสียจริง ข้าไม่มีทางชอบคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเยี่ยงเจ้าดอก”

“กล่าวเยี่ยงนี้ หากเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร เจ้าจะยอมเปิดใจให้ข้าใช่หรือไม่”

“...” เหนือคำไม่ตอบได้แต่ทำตาเลิ่กลั่ก รู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนอ่านใจเขาออกทุกเรื่อง

“ไม่ตอบแสดงว่าใช่ ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ว่าข้าเป็นใคร ข้าชื่ออินเหลา เป็นลูกชายของคนที่เจ้าอุปราชรักสุดหัวใจ แต่ต้องแยกจากกันเพราะโดนบังคับ”

“เจ้าจักรคำใช่พ่อเจ้าหรือไม่” เหนือคำพอจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง จากเหล่าทหารที่เคยไปทำศึกที่เมืองเชียงราชคำเมื่อสิบปีก่อน

“ถูกต้อง เจ้ารู้เรื่องนี้มาก่อนงั้นรึ”

“ก็พอจะรู้มาบ้าง แล้วที่ว่าจะให้ข้าช่วย ช่วยเรื่องอันใด”

“ช่วยทำให้พ่อข้ากับเจ้าอุปราชได้เจอกันอีกครั้ง”

“แต่มันเสี่ยงมากเลยนะ หากเป็นเช่นนั้นมีหวังเจ้าหลวงทรงกริ้วแน่ อีกอย่างข้านี่ล่ะจะโดนตัดหัวเอา”

“ข้าขอร้องเถอะนะ ถือซะว่าช่วยให้คนสองคนที่รักกันมากได้เจอกันอีกครั้ง ข้าขอร้องเจ้าแค่ครั้งเดียวจริง ๆ”

“ปล่อยข้าก่อนสิ”

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังนอนตรึงข้อมือเหนือคำเอาไว้ อินเหลาก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระแล้วลุกขึ้นยืน ยื่นมือให้เพื่อจะช่วยพยุงตัวขึ้น

“เดี๋ยวข้าช่วย”

“ไม่จำเป็น”

เหนือคำพยุงตัวลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง ก่อนจะง้างหมัดซัดเข้าที่ใบหน้าอย่างสุดกำลัง

ผั๊วะ!

“นี่สำหรับที่เจ้าล่วงเกินข้า”

“ถือว่าเราหายกันแล้ว ปากหวานๆ เยี่ยงนี้ ไม่นึกว่าจะหมัดหนักน่าดู” อินเหลาผู้โตเป็นหนุ่มเต็มวัย หรี่ตามองเหนือคำอย่างสนใจ ยกนิ้วหัวแม่มือเช็ดเลือดที่มุมปาก

“หากยังปากดีเยี่ยงนี้ ข้าไม่ช่วยเจ้าแน่” คนพูดหน้าแดงก่ำ แต่ยังพยายามทำหน้ายักษ์ใส่เขา

“ข้าว่า...เรามาสงบศึกกันชั่วคราวดีกว่า ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรนะ”

“ข้าไม่บอก”

“ถ้าไม่บอก ข้าจะเรียกตามใจข้านะ งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า...” เห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์นั้นก็ทำให้เหนือคำเบะปาก

“ข้าชื่อเหนือคำ”

“ชื่อไพเราะดีนี่ อินเหลากับเหนือคำ ชื่อเราสองคนดูคล้องจองกันมาก สงสัยคงจะเป็นเนื้อคู่กันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน”

“หุบปากเน่า ๆ ของเจ้า แล้วพูดมาว่าจะให้ข้าทำเช่นใด หากยังไม่มีสาระข้าจะกลับแล้ว”

“ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้วก็ได้ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”

หลังจากตกลงสงบศึกกันชั่วคราวแล้ว ชายหนุ่มวัยแรกรุ่นทั้งสองก็สนทนากันอย่างตั้งใจ ต่างฝ่ายต่างออกความคิดเห็นในทางที่เป็นประโยชน์ เพราะต้องการช่วยให้ผู้ใหญ่ที่รักทั้งสอง ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.25 ฟ้าใหม่ [Up.19-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-07-2019 23:00:45
จะได้เจอกันไหมนะ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.25 ฟ้าใหม่ [Up.19-07-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-07-2019 23:11:37
มวยถูกคู่รุ่นเยาว์  :katai2-1:
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.26 วันที่รอคอย [Up.02-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 02-08-2019 22:07:24
บทที่ 26

วันที่รอคอย



เช้าวันรุ่งขึ้นแสงหล้ารีบออกไปจากคุ้มตั้งแต่เช้า เพื่อไปทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี พาเจ้าชายต่างเมืองเยี่ยมชมความงดงามของเมืองผาพิงค์ และที่ขาดไม่ได้ก็คือเหนือคำ กำลังเดินตามหลังมาติด ๆ ไม่พูดไม่จา ดูแปลกกว่าทุก ๆ วัน ที่มักจะพูดมากจนแสงหล้าต้องปรามไว้

ขณะยืนรอเจ้าอินทร์แปงอยู่ที่ศาลาริมสระบัวนั้น แสงหล้าก็อดไม่ได้ที่จะถามไถ่ ว่าเด็กในปกครองนั้นเป็นอะไรกันแน่ ถึงได้ดูแปลกไปเช่นนี้

“วันนี้ข้ารู้สึกว่าเจ้าแปลกไป”

“...” เหนือคำยังคงเงียบ

“เหนือคำ”

“...”

“เหนือคำ!” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ยิน แสงหล้าจึงเพิ่มระดับเสียงขึ้น จนคนที่นั่งเหม่ออยู่บนพื้นสะดุ้งโหยง

“จะ...เจ้า”

“วันนี้เจ้าเป็นอันใด ไม่สบายรึ”

“ข้าเจ้าสบายดีเจ้า”

“แล้วเหตุใดวันนี้จึงเงียบผิดปกติ”

“หามีอันใดจริง ๆ เจ้า”

“อย่าให้ข้ารู้ทีหลังว่าเจ้าไปทำความผิดอันใดไว้ มิเช่นนั้นข้าลงโทษเจ้าหนักแน่”

ได้ยินอย่างนั้นเหนือคำก็กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ

“ข้าเจ้ามิกล้าทำเรื่องพวกนั้นดอก คนอย่างข้าเจ้าอยู่ในครรลองคลองธรรมมาโดยตลอด เจ้าอุปราชก็ทรงทราบดี”

“ช่างกล้าพูด เด็กดื้อเยี่ยงเจ้าเคยฟังใครซะที่ไหนกัน” กล่าวจบแล้วเจ้าอินทร์แปงก็เดินเข้ามา แสงหล้าจึงคาดโทษด้วยสายตาก่อนจะกันไปมองผู้มาใหม่

“ข้าขออภัยที่ทำให้เจ้าอุปราชต้องรอนาน”

“มิเป็นไรดอก ข้าเพิ่งจะรอได้ไม่นาน ถ้าเช่นนั้นเราไปกันเลยดีไหม”

“ว่าแต่ เราจะไปด้วยวิธีใด จะนั่งเสลี่ยงหรือขี่ม้าไปกัน” เจ้าอินทร์แปงกล่าวด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ดูออกชัดเจนว่าต้องการสิ่งใด เห็นอย่างนั้นแสงหล้ายิ่งรู้สึกอึดอัด

“ข้าว่า...เรานั่งเสลี่ยงไปกันดีรึไม่ ข้าได้เตรียมเสลี่ยงไว้ให้ท่านแล้ว เชิญทางนี้เจ้า”

อินทร์แปงยิ้มก่อนจะเดินไปขึ้นเสลี่ยงที่ได้ถูกเตรียมไว้แล้ว เหนือคำมองหน้าเจ้าชายต่างเมืองด้วยความไม่พอใจ เกลียดสายตาที่มองเจ้านายตนเอง มันแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายจนสังเกตได้ชัดเจน

.........

ขบวนเสลี่ยงเจ้าอุปราชและแขกบ้านแขกเมือง เคลื่อนไปยังย่านการค้าที่สำคัญที่สุด เมื่อถึงแล้วเจ้านายทั้งสองพระองค์ก็ลงจากเสลี่ยง เพื่อเดินเข้าไปยังตลาดได้สะดวกขึ้น เมื่อเห็นเจ้าอุปราชประชาชนที่อยู่ในตลาดต่างก็ก้มลงกราบ เปล่งคำสรรเสริญดังกึกก้อง แสงหล้าได้แต่ส่งยิ้มให้ทุกคนอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย

“รู้สึกว่าชาวเมืองจะรักเจ้าอุปราชมากเหลือเกิน คงเป็นเหตุผลนี้ที่ทำให้เมืองผาพิงค์เจริญรุ่งเรืองได้ถึงขนาดนี้”

“เป็นเพราะพระปรีชาของเจ้าหลวงต่างหาก ที่ทรงดูแลประชาชนเป็นอย่างดี ตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงทำให้ชาวเมืองจงรักภักดีกับเจ้านายทุกพระองค์เช่นนี้” แสงหล้าหันไปกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“รู้รึไม่ว่ารอยยิ้มท่านทำให้หัวใจข้ามันพองโตมากแค่ไหน” อินทร์แปงหยอดคำหวาน ส่งสายตากรุ้มกริ่มมองจนแสงหล้าทำตัวไม่ถูก

“ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าอินทร์แปงเป็นคนมีอารมณ์ขันเยี่ยงนี้”

“ข้ากล่าวเรื่องจริง เจ้าหลวงยังมิได้บอกท่านเรื่องของเรางั้นรึ”

“เรื่องของเรา? ข้าหาเข้าใจไม่” เดินยังไม่ถึงไหน แสงหล้าก็เริ่มหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว ตอนนี้คนทั้งคู่ยืนอยู่กลางตลาด เป็นเป้าสายตาของคนทั้งเมือง

“เจ้าพ่อทาบทามเจ้าอุปราชให้ข้า อีกไม่นานเราทั้งสองเมืองก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว หากท่านไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ตกใจ”

“เหตุผลที่ท่านอยู่ที่นี่ต่อ ก็เพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่”

“ใช่! ข้าอยู่ที่นี่เพื่อจะได้ใกล้ชิดทำความรู้จักท่าน ก่อนที่เราจะเข้าพิธีอภิเษกกัน” อินทร์แปงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้จะเห็นสีหน้าไม่ค่อยชอบใจของแสงหล้า

“เราเลิกกล่าวถึงเรื่องนี้กันดีกว่า เพราะข้ายังมิได้ตัดสินใจอันใด แม้แต่เจ้าหลวงก็หามีสิทธิ์บังคับข้า” ว่าแล้วก็เดินนำหน้าไปก่อน เหนือคำเองก็เสียมารยาททำหน้าบูดบึ้งใส่เจ้าชายต่างเมืองแล้วเดินตามไป ส่วนคนที่เป็นต้นเหตุให้แสงหล้ายืนยิ้มเจ้าเล่ห์

..........

“เจ้าอุปราชอย่าทรงยอมนะเจ้า แวบแรกที่ข้าเจ้าเห็นหน้าชายผู้นั้น ก็รู้แล้วว่าเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ หาได้มีใจต่อท่านเลยสักนิด” เหนือคำพยายามหาเหตุผลมาอ้าง เพื่อเพิ่มเชื้อไฟให้ผู้เป็นนายปฏิเสธการคลุมถุงชนครั้งนี้

“ข้ารู้น่า เจ้าห้ามทำกิริยาไม่งามต่อหน้าเจ้าอินทร์แปงเด็ดขาด เข้าใจรึไม่”

“เข้าใจเจ้า” เหนือคำตอบรับเสียงอ่อย

“เจ้าอุปราช! รอข้าด้วย”

อินทร์แปงตะโกนตามหลัง วิ่งตามมาจนทัน “เจ้าอุปราชโกรธข้างั้นรึ”

“เปล่า เหตุใดข้าต้องโกรธท่านด้วย เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเจ้าหลวงจึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้แก่ข้า”

“เจ้าหลวงทรงอยากให้เราทำความสนิทสนมกันก่อน จึงค่อยบอกทีหลัง ข้าถูกใจท่านตั้งแต่แรกเจอ แล้วท่านล่ะรู้สึกเช่นใดกับข้าบ้าง”

“ดูจากสีหน้าเจ้าอุปราชก็น่าจะรู้” เหนือคำเปรยออกมาเบาเสียง โดยไม่สนใจว่าจะโดนเอ็ดเพราะหมั่นไส้อินทร์แปงเหลือเกิน

“เหนือคำ!”

“ข้าเจ้าเงียบแล้วเจ้า” เหนือคำกล่าวเสียงอ่อย ทำหน้างองุ้มเมื่อโดนดุ

“ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเสียเวลา จึงต้องบอกตรง ๆ ว่าข้าไม่มีทางรักท่านได้ เป็นเช่นนี้แล้วตัดใจจากข้าเสียเถอะ”

“เหตุใดข้าต้องตัดใจจากท่านด้วย ในเมื่อสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจอยู่ที่เจ้าหลวงแสงชัย มิใช่ท่าน” อินทร์แปงยิ้มมุมปาก เพราะได้ยินมากับหูตนเองว่าแสงชัยจะยกน้องชายให้กับตน

“นี่ท่าน! จะมากไปแล้วนะ”

“มากตรงไหนรึ ข้าแค่ชอบท่านไม่ได้จะฆ่าจะแกงเสียหน่อย”

“หากยังดื้อด้านเช่นนี้ ข้าก็ขอเสียมารยาทกลับเสียตอนนี้ หากต้องการไปเยี่ยมชมที่แห่งใด ก็ให้ทหารของข้าพาไปละกัน” กล่าวจบก็เดินหนีไปจากตรงนั้น เหนือคำเองก็เบะปากแล้วเดินตามไปโดยเร็ว ทิ้งให้อินทร์แปงยืนงงอยู่กับทหารที่ตามมารับใช้

“ข้าไม่มีวันปล่อยท่านไปแน่เจ้าแสงหล้า หึๆ” แววตาคมที่จ้องมองตามหลังไป เต็มไปด้วยความต้องการเอาชนะ ในเมื่อมาถึงที่แล้วจะไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่มีค่าหลุดมือไปแน่

..........

แสงหล้าเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ความโกรธปนน้อยใจพี่ชายทำให้เขาไม่อยากจะกลับไปเจอหน้า ทั้งที่รู้ว่าหัวใจดวงนี้ไม่อาจเป็นของใครได้อีกแล้ว แต่ทว่าแสงชัยก็ยังดื้อดึงที่จะยัดเยียดให้คนอื่น

“เจ้าอุปราชรอข้าเจ้าด้วย” เหนือคำตะโกนตามหลังมาติด ๆ ยิ้มมุมปากเมื่อตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปตามแผน

“ข้าอยากอยู่คนเดียว เจ้าจะไปไหนก็ไป”

“ข้าเจ้าทำเยี่ยงนั้นไม่ได้ เจ้าอุปราชอยู่ที่ใดข้าเจ้าต้องอยู่ที่นั่น”

“นี่คือคำสั่งของข้า” แสงหล้าเริ่มหงุดหงิดกับความดื้อด้านของเด็กหนุ่ม หันกลับมาถลึงตามอง

“เจ้าอุปราชทรงเคยรู้จักคนที่อินเหลาหรือไม่เจ้า” เมื่ออยู่กันเพียงลำพังแล้ว เหนือคำก็เริ่มทำตามแผนที่ได้วางไว้

กำลังจะก้าวขาเดินไปแต่ทว่าต้องชะงักงัน ชื่อนี้ทำให้แสงหล้านึกถึงความหลังเมื่อสิบปีก่อน ใบหน้าของพ่อลูกคู่นั้นลอยมาให้เห็น

“ป่านนี้เจ้าคงโตเป็นหนุ่มแล้วสินะอินเหลา แต่เอ๊ะ! เหนือคำรู้จักชื่อนี้ได้เช่นใดกัน” แสงหล้าเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ

“สรุปว่าเจ้าอุปราชรู้จักคนที่ชื่ออินเหลารึไม่เจ้า”

“เจ้าไปได้ยินชื่อนี้มากจากที่ใด”

“หากเจ้าอุปราชต้องการเจอกับอินเหลา ข้าเจ้าพาไปเจอได้”

“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย เจ้าได้ยินชื่อนี้มาจากที่ใด” แสงหล้าเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาอีก หัวใจเต้นแรงเพราะคิดว่าเหนือคำจะต้องรู้อะไรบางอย่างมาแน่นอน

“หากเจ้าอุปราชต้องการคำตอบ ตามข้าเจ้ามาทางนี้” เหนือคำรู้ว่าถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องตามมา จึงรีบวิ่งนำหน้าออกไปจากตลาดแห่งนั้น โดยไม่หันกลับไปมอง

………..

เหนือคำวิ่งตามตรอกซอกซอยจนออกมานอกตลาด ตรงไปยังเนินเขาซึ่งมีต้นจามจุรีขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำสายเล็ก ๆ ซึ่งตอนนี้มีคนกำลังยืนรออย่างใจจดใจจ่อ

จักรคำยืนชะเง้อมองอยู่นาน ก็เจอกับเด็กหนุ่มกำลังเดินเร็วมาเพียงลำพัง จึงหันไปมองหน้าลูกชายสุดที่รัก ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม

“เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นั้น จึงเดินมาเพียงลำพัง”

“ลูกเองก็ไม่แน่ใจ แต่ได้กำชับแล้วว่าต้องพาเจ้าน้ามาให้ได้”

“พ่อก็หวังว่าน้าของเจ้าจะยอมมาด้วย” ผ่านไปนานหลายปีแล้ว สิ่งต่าง ๆ มันย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เขากลัวว่าใจของแสงหล้าจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา มีใครคนอื่นเสียแล้ว

“ลูกเชื่อว่าเจ้าน้าต้องมาแน่นอน”

ขณะนั้นเองเหนือคำก็เดินมาถึง เด็กหนุ่มมองตามหลังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่พบผู้เป็นเจ้านายแม้แต่เงา

“เหตุใดเจ้าจึงมาเพียงลำพัง แล้วเจ้าน้าของข้าล่ะ” มาถึงอินเหลาก็ตั้งคำถามทันที

“เอ่อ...คือ รออีกสักพัก เจ้าอุปราชต้องตามข้ามาแน่ ว่าแต่นี่คือพ่อของเจ้าใช้รึไม่”

“ใช่! นี่พ่อข้าเอง”

“ถวายบังคมเจ้าหลวงจักรคำ” เหนือคำรีบนั่งลงกราบ เพราะรู้ว่าในอดีตอีกฝ่ายมีสถานะเป็นถึงเจ้าหลวงแห่งเชียงราชคำ

“ตอนนี้ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมสามัญ มิได้มียศถาบรรดาศักดิ์เช่นเดิม หาควรต้องมีพิธีรีตอง ลุกขึ้นเถิดเหนือคำ” เห็นหน้าครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มผู้นี้ น่ารักสมกับที่อินเหลาสาธยายให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง

“แต่ถึงอย่างไรพระองค์ก็ยังคงเป็นเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน เป็นผู้ที่เจ้าอุปราชรักสุดหัวใจ ข้าเจ้าคงมิอาจทำตัวเสมอพระองค์ได้”

“พ่อข้าไม่ได้ยึดติดกับเรื่องพวกนั้นแล้ว รีบลุกขึ้นสิ อย่าให้ข้าต้องใช้กำลังบังคับเจ้า ไม่นึกเลยว่าเด็กดื้อเยี่ยงเจ้า จะมีกิริยามารยาทดีงามเช่นนี้”

“นี่เจ้าชมหรือด่าข้ากันแน่อินเหลา” เหนือคำยอมลุกขึ้น แล้วยืนเผชิญหน้ากับอินเหลา

“แล้วแต่จะคิด”

“แล้วต้องรอนานเท่าใด แสงหล้าจึงจะตามเจ้ามา” จักรคำถามด้วยความกระวนกระวายใจ อยากเห็นหน้าคนรักใจแทบขาด อยากเข้าไปกอดให้หายคิดถึงเหลือเกิน

“ข้าเจ้าเองก็หารู้ไม่”

“ไม่ได้เรื่อง ข้าไม่น่าให้คนเยี่ยงเจ้าช่วยเลย” อินเหลากอดอกมองอย่างไม่สบอารมณ์

“นี่เจ้า!” เหนือคำถลึงตามองอย่างเดือดดาลที่โดนต่อว่าซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้

“ขอโทษเหนือคำบัดเดี๋ยวนี้ แค่นี้เราก็ไปรบกวนเขามากแล้ว”

“แต่ข้าไม่ผิดนะเจ้าพ่อ”

“เหตุใดจึงไม่ผิด ในเมื่อเราร้องขอให้คนอื่นช่วย เท่ากับว่าเราเป็นหนี้บุญคุณ เจ้าไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าเหนือคำเช่นนี้”

“ข้า...ขอโทษ!” อินเหลายอมขอโทษแต่โดยดี ทว่าสีหน้ากลับไม่พอใจเป็นที่สุด หากไม่มีบิดาอยู่ข้าง ๆ รับรองว่าเขาจะจับทำเมียซะให้เข็ดหลาบ

“ข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก เพราะรู้ว่าเจ้ามันเป็นคนชอบเอาแต่ใจแค่ไหน” เหนือคำเป็นฝ่ายยิ้มเยาะเย้ย

อินเหลาจ้องมองใบหน้าเรียวรูปไข่แทบไม่กะพริบตา ยกนิ้วขึ้นมาสัมผัสที่ริมฝีปากตนเอง เหมือนเป็นการขู่กลาย ๆ ว่าหากปากดีเช่นนี้ คราวหน้าต้องโดนจูบอีก เหนือคำเบะปากทำเป็นไม่สนใจ

เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งรออยู่ข้างลำธาร ส่วนจักรคำได้แต่ยืนจ้องมองไปยังถนนลูกรัง เพื่อรอการมาถึงของคนรัก ไม่นั่งพักแม้แต่ครั้งเดียว รออยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมงแสงหล้าก็ยังไม่มาเสียที นั่นทำให้ความหวังของจักรคำเริ่มริบหรี่ลงเรื่อย ๆ

“เจ้าน้าคงไม่มาแล้วล่ะเจ้าพ่อ”

“พ่อจะรออยู่ตรงนี้ จนกว่าแสงหล้าจะมา”

“ข้าเจ้าว่าเอาไว้วันหลังเราค่อยนัดเจอกันใหม่อีกครั้งจะดีกว่า ป่านนี้เจ้าอุปราชคงกลับเข้าไปในคุ้มหลวงแล้ว ต้องมีเหตุบางอย่างที่ทำให้พระองค์ไม่ตามข้าเจ้ามา”

“พวกข้าหาเชื่อใจเจ้าอีกแล้ว คนอุตส่าห์ไว้ใจ”

“ก็ใครจะไปรู้เล่าว่ามันจะเป็นเยี่ยงนี้ ข้าขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง คราวหน้ารับรองไม่พลาดแน่”

“เอาเถอะ ถึงอย่างไรมันก็พลาดไปแล้ว ลองให้โอกาสเหนือคำอีกสักครั้ง รอมาสิบปีพ่อยังทนได้ รออีกแค่อึดใจเดียวเหตุใดพ่อจะรอไม่ได้” จักรคำเห็นถึงความตั้งใจของเด็กหนุ่ม จึงตั้งใจจะให้โอกาสอีกสักครั้ง ครั้นจะลักลอบเข้าไปในคุ้มหลวงมันก็เสี่ยงเกินไป การมาพบเจอกันนอกเมืองเช่นนี้ มันคือวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว

“ขอบน้ำใจท่านมากที่ไว้ใจข้าเจ้า ครานี้จะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดอีกเด็ดขาด”

“ฝากเจ้าด้วยนะเหนือคำ” จักรคำส่งยิ้มให้อย่างเอ็นดู

“หากครั้งนี้เจ้าทำพลาดอีก ข้าจะจับเจ้าทำเมียเลยคอยดู” คนพูดส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ แต่เหนือคือถลึงตา เบะปากเป็นการตอบแทน

“ปากอย่างนี้มันน่าช่วยไหมล่ะ เห็นแก่เจ้าจักรคำ ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดมาก่อนหน้านี้” กล่าวจบแล้วก็ยกมือไหว้สาจักรคำ “ข้าเจ้าต้องกลับเข้าไปในคุ้มหลวงแล้ว ข้าเจ้าขอไหว้สา”

“รีบไปเถอะ เดี๋ยวเจ้าจะโดนทำโทษเอา หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่สบายใจ”

กำลังจะแยกทางกันไป แต่ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา คนทั้งสามจึงหันขวับไปมองยังต้นเสียง แม้จะไม่ได้ยินเสียงนี้มาสิบปีแล้ว แต่ทว่าจักรคำยังคงจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร

“เหนือคำ เจ้าอยู่ที่ใด”

“หากเจอตัวข้าจะลงโทษซะให้เข็ดหลาบเลยคอยดู”
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.26 วันที่รอคอย [Up.02-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-08-2019 23:21:49
จะได้พบกันไหมหนอ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.26 วันที่รอคอย [Up.02-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-08-2019 11:03:09
ขอให้ได้เจอกัน
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.26 วันที่รอคอย [Up.02-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 03-08-2019 12:55:57
 :sad4:เจอกันเถอะนะ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.26 วันที่รอคอย [Up.02-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 04-08-2019 00:30:18
รอๆ
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.27 รักมิเคยเปลี่ยน [Up.21-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 21-08-2019 15:45:23
บทที่ 27

รักมิเคยเปลี่ยน



เมื่อสายตาทั้งสองคู่ประสานกัน ราวกับทุกสิ่งรอบตัวหยุดการเคลื่อนไหว สำหรับแสงหล้ามันช่างเหมือนฝัน เมื่อได้มาเจอชายผู้เป็นที่รักอย่างไม่ได้ตั้งใจ น้ำตาแห่งความยินดีไหลหลั่ง ภาพใบหน้าคมคายที่สะท้อนเข้ามาในดวงตา ทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงมากพอสมควร จักรคำดูโทรมกว่าเมื่อสิบปีก่อน หนวดเครารุงรังบ่งบอกว่าไม่ได้ใส่ใจดูแลตัวเอง แต่ทว่าสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนนั่นคือแววตาที่จ้องมองกัน มันยังคงชัดเจน ว่าความรักที่มีให้กันนั้นไม่เคยลดลงเลย

“ฮึก...เจ้าพี่”

“แสงหล้า”

หลังจากยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง คนทั้งสองก็วิ่งเข้าไปสวมกอดกันอย่างแนบแน่น ต่างก็หลั่งน้ำตาแห่งความยินดีออกมา การรอคอยที่แสนยาวนานได้สิ้นสุดลงแล้ว ช่วงเวลาอันสุดแสนน่าประทับใจนี้ ทำให้อินเหลาและเหนือคำต่างก็ยิ้มทั้งน้ำตา ดีใจเมื่อเห็นมุมที่สวยงามของความรัก

“พี่ดีใจเหลือเกินที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง”

“น้องก็ดีใจ มันเหมือนความฝัน น้องคิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้พบหน้าเจ้าพี่อีกแล้ว ฮึก” คนกล่าวน้ำตายังคงไหลพราก

“พี่บอกเจ้าแล้วเช่นใดเล่า ว่าสักวันเราต้องได้เจอกันอีก และพี่ก็ไม่เคยทำให้เจ้าผิดหวัง” ว่าแล้วก็จุมพิตกลางหน้าผากคนรักอย่างเสน่หา

“แล้วนั่นอินเหลาใช่หรือไม่”

“ข้าคิดถึงเจ้าน้าเหลือเกิน” อินเหลาก้มลงกราบแทบเท้า แล้วลุกขึ้นโผเข้ากอดแสงหล้า

“น้าก็คิดถึงเจ้ามาก โตเป็นหนุ่มแล้วเหตุใดจึงร้องไห้งองแงราวกับเด็กน้อยเยี่ยงนี้”

“ข้าไม่สน ใครจะว่าข้าเป็นเด็กก็ช่างปะไร”

“โตเป็นหนุ่มรูปงามเยี่ยงนี้แล้ว น้าว่าคงจะมีแม่หญิงเข้ามาต่อคิว อยากเป็นเจ้าของใช่รึไม่”

“เจ้าน้าตาถึงที่สุด ใคร ๆ ต่างก็สนใจข้ากันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่ง...” อินเหลาปรายตามองเหนือคำที่ยืนมองอยู่ เมื่อรู้ตัวจึงหลบตาแล้วเอียงหน้าหนีไปอีกทาง

แสงหล้ามองตามไปก็เห็นเด็กในปกครองทำหน้าบูดบึ้ง ทำให้พอจะรู้แล้วว่าอินเหลาหมายถึงใคร หากเดาไม่ผิดคงใช้วิธีมาตีสนิทเหนือคำ เพื่อจะได้เข้าถึงตัวเขาได้ง่ายยิ่งขึ้น และดูเหมือนว่าตอนนี้อินเหลาจะสนใจเด็กในปกครองของตนไม่น้อย

“เหนือคำงั้นรึ”

“ข้าเจ้าหาได้สนใจชายผู้นั้น ตอนนี้แผนของเจ้าก็สำเร็จแล้ว หวังว่าเราคงจะไม่ได้เจอกันอีก” กล่าวจบก็ยืนกอดอกหันหลังให้

“เจ้าน้ากับเจ้าพ่อสนทนากันอยู่ที่นี่ก่อนนะเจ้า ข้ากับเหนือคำจะไปเดินชมป่าแถวนี้รอ”

“อย่าไปแกล้งเหนือคำนักล่ะ พ่อไม่ไว้ใจเจ้าเลยจริง ๆ”

“ข้าจะพยายาม” ว่าแล้วก็เดินไปดึงแขนเหนือคำให้เดินตามหลังไป

“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้ เจ้าจะพาข้าไปไหน เจ้าอุปราชช่วยข้าเจ้าด้วย”

เหนือคำตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ แต่ทว่าแสงหล้ากลับยิ้มกริ่ม เมื่อได้เห็นความน่ารักของเด็กหนุ่มทั้งสองคน

..........

เหนือคำถูกกึ่งลากกึ่งดึงเข้ามาจนถึงกลางป่า ก่อนจะเจอกับลำธารน้ำใสขนาดเล็ก อินเหลาจึงปล่อยมือให้เป็นอิสระ เหนือคำจะเดินหนีไปแต่ทว่ากลับถูกรั้งข้อมือเอาไว้

“จะไปไหน”

“ปล่อย ข้าจะไปจากผู้ชายปากหมาเยี่ยงเจ้า”

“ข้าไม่ให้ไป” อินเหลาดึงร่างบอบบางเข้ามาสวมกอดไว้อย่างแนบแน่น เหนือคำพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ จนทำให้คนทั้งสองเสียหลักล้มลงไปที่กลางลำธาร

ตู้ม!

ผั๊วะ!

เหนือคำใช้จังหวะนี้ซัดหมัดเข้าไปที่ใบหน้าหล่อ ๆ ของอินเหลา ก่อนจะว่ายน้ำกลับเข้าไปที่ฝั่ง แต่ทว่าอินเหลารีบตามขึ้นไปจับข้อเท้าเอาไว้ ใช้ความเร็วขึ้นไปคร่อมบนตัวที่ริมตลิ่ง

“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้!”

“เมื่อครู่ยังชกหน้าข้าอยู่เลย แล้วตอนนี้จะกลัวอันใดเล่า” อินเหลาพลิกร่างบางให้นอนหงาย ตรึงข้อมือเอาไว้อย่างแน่นหนา

“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้ ข้าเจ็บ”

“แค่นี้ทำเป็นเจ็บ แล้วทีเจ้าชกหน้าข้าล่ะ อย่างนี้มันต้องสั่งสอนสักหน่อยแล้ว” อินเหลาโน้มใบหน้าลงไปหอมแก้มขาวเนียนซ้ำ ๆ เหนือคำได้แต่ส่ายหน้าไปมา ดูเหมือนรังเกียจแต่ทว่าในใจกลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

“จะ...เจ้าจะทำอันใด ขะ...ข้าไม่เล่นด้วยหรอกนะ”

“ใครบอกว่าข้าล้อเล่น แต่ข้าเอาจริงต่างหากล่ะ เจ้าเองก็ชอบข้าไม่ใช่รึ” น้ำเสียงหื่นที่ดังข้างหู ทำเอาเหนือคำขนลุกชันไปทั้งตัว ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดพวงแก้ม ทำให้เลือดลมในกายไหลพลุ่งพล่านดีเสียจริง

“ข้าไม่เคยบอกว่าชอบเจ้า”

“แต่สายตาเจ้ามันฟ้องว่าชอบข้า”

“คิดเองเออเอง ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ หากไม่ยอมปล่อย ข้าฟ้องเจ้าอุปราชให้เล่นงานเจ้าแน่”

“หากได้เป็นเมียข้าแล้ว ดูซิว่าเจ้าจะกล้าไปฟ้องเจ้าน้าอยู่รึไม่ หึ ๆ”

“ไอ้คนลามก ไอ้ อื้อ...”

พูดยังไม่ทันจบอินเหลาก็ทำให้อีกฝ่าย สงบปากสงบคำด้วยการจูบ ส่งความเร่าร้อนผ่านการบดเบียดริมฝีปากอย่างดูดดื่ม ความมีชั้นเชิงทำให้คนที่อยู่ใต้ร่างเริ่มอ่อนกำลัง ลดดีกรีความดื้อรั้นลงจนกลายเป็นเพียงลูกแมวตัวน้อยไร้เดียงสา ยอมศิโรราบให้อินเหลาอย่างราบคาบ และนับจากวินาทีนั้น อินเหลาก็ทำให้เหนือคำกลายเป็นเมียโดยสมบูรณ์แบบ โดยที่อีกฝ่ายก็ยินยอมพร้อมใจแต่โดยดี

...........

หลังจากเด็กหนุ่มทั้งสองปล่อยให้มีโอกาสอยู่กันเพียงลำพัง ทั้งคู่จึงใช้โอกาสนี้นั่งพรอดรักกันใต้ต้นจามจุรี หันหน้าไปทางฝั่งแม่น้ำ จักรคำนอนหนุนตักอย่างสบายใจ สายตาทั้งสองคู่สอดประสาน จ้องมองใบหน้าของกันและกันอย่างหวานซึ้ง ให้สมกับที่รอคอยมาแสนนาน

“สิบปีที่ผ่านมา เจ้าพี่สุขสบายดีหรือไม่”

“พี่สุขสบายดี ใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนมาตั้งแต่บัดนั้น หาเลี้ยงชีพด้วยการทำปางไม้”

“เหตุใดเจ้าพี่จึงไม่กลับไปเชียงราชคำ ตอนนั้นเจ้าพี่แสงชัยปล่อยให้เมืองร้าง น้องนึกว่าเจ้าพี่จะกลับไปที่นั่น แต่ทว่าตอนนี้ได้ยินข่าวมาว่าคำป้อได้ขึ้นนั่งเป็นเจ้าเมืองเสียแล้ว”

“พี่ก็ได้ยินข่าวคราวมาเช่นนั้น คำป้อเป็นองครักษ์ที่พี่รักและไว้ใจมากที่สุด มีความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง จึงวางใจว่าจะดูแลบ้านเมืองให้มีความผาสุขได้ แล้วเจ้าล่ะเป็นเช่นไรบ้าง ในยามที่ไม่มีพี่ข้างกาย หัวใจของเจ้ายังคงคิดถึงพี่บ้างไหม” คนพูดเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสที่แก้มขาว ก่อนจะโน้มลงมาเรื่อย ๆ จนริมฝีปากสัมผัสกัน

“อืม”

การตอบรับรสจูบที่เร่าร้อนนั่นคือคำตอบ จักรคำตักตวงลมหายใจของชายาสุดที่รักอย่างบ้าคลั่ง ส่งลิ้นร้อนตวัดเลยในโพรงปากอย่างมิรู้เบื่อ เมื่อสมใจอยากแล้วจึงผละใบหน้าออกจากกัน

“รสจูบนี้เป็นคำตอบว่าน้องคิดถึงเจ้าพี่มากเพียงใด” แสงหล้ายิ้มหวาน นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนี้

“ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเพียงใด แต่ริมฝีปากเจ้ายังหวานเช่นเคย เจ้าคือสมบัติของพี่ ห้ามให้มันผู้ใดได้มาสัมผัสเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”

“น้องไม่เคยให้สิทธิ์ผู้ใดนอกจากเจ้าพี่”

“พี่ดีใจที่ได้ยินเช่นนี้ นับจากนี้พี่จะไม่ยอมให้เราแยกจากกันไปไหนแล้ว เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

ได้ยินประโยคนั้นแสงหล้าก็หลุบตาลง เรื่องที่อินทร์แปงกล่าวก่อนหน้านี้ ทำให้รู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง

“มีเรื่องอันใดไม่สบายใจงั้นรึ”

“หามีอันใดเจ้า น้องแค่คิดถึงช่วงเวลาที่ไม่มีเจ้าพี่ มันช่างอ้างว้างและเดียวดาย หาได้มีความสุขแม้แต่วันเดียว”

“พี่เองก็รู้สึกไม่ต่างจากเจ้า หากทุกอย่างลงตัวแล้ว พี่จะเข้าไปสู่ขอเจ้าจากเจ้าหลวงแสงชัย เจ้าจะว่าเยี่ยงไร”

“แต่...น้องกลัวว่าเจ้าพี่จะโดนทำร้าย น้องไม่อยากเสียเจ้าพี่ไปอีกแล้ว”

“หากไม่ทำเช่นนั้น เราจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันรึ แค่นี้พี่ก็ทุกข์ทรมานมากพอแล้ว ขอให้พี่ได้ทำเพื่อเจ้าบ้างเถอะนะแสงหล้า พี่ไม่อยากเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดตาขาว ให้เจ้าปกป้องชีวิตพี่อีกแล้ว” แววตาที่มุ่งมั่นทำให้แสงหล้าไม่กล้าที่จะห้ามปรามอะไรอีก

“หากมันไม่เป็นดังที่เราหวังไว้ เจ้าพี่จะทำเช่นใดเล่า”

“พี่ก็พร้อมจะรับโทษทัณฑ์จากเจ้าหลวง”

“เจ้าพี่!”

“หากไม่มีเจ้าข้างกาย ชีวิตพี่ก็ไม่มีความหมายอันใด เมื่อสิบปีที่แล้วเจ้าปกป้องชีวิตพี่ มาถึงตอนนี้พี่ขอเป็นฝ่ายปกป้องความรักของเราบ้าง เจ้าเชื่อใจพี่รึไม่”

“อื้ม น้องเชื่อใจเจ้าพี่ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น เราจะฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน”

“วันนี้พี่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต คืนนี้เจ้าค้างคืนที่ป่าแห่งนี้กับพี่ได้หรือไม่”

“ได้สิ น้องเองก็อยากจะสนทนากับเจ้าพี่ไปตลอดทั้งคืน”

“เพียงแค่สนทนางั้นรึ” สายตาอันกรุ้มกริ่มที่จ้องมองมา ทำเอาแสงหล้าหน้าแดงก่ำทันที

“หากเจ้าพี่ต้องการสิ่งใด น้องก็พร้อมจะให้ได้ทุกอย่าง”

“พี่รักเจ้าที่สุดในโลก รักจนไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบเคียงได้ แสงหล้าเมียพี่”

“น้องก็รักเจ้าพี่เช่นกัน” คนทั้งสองส่งยิ้มหวานให้กัน ก่อนที่แสงหล้าจะสะดุดตากับอะไรบางอย่าง

“ใบหน้าพี่มีอันใดผิดปกติงั้นรึ”

“เหตุใดเจ้าพี่จึงปล่อยให้หนวดเครายาวราวกับโจรป่าเยี่ยงนี้” ว่าพร้อมลูบมือตามกรอบหน้าคม แม้จะมีหนวดเครามาบดบัง แต่ทว่าความหล่อเหลายังคงเหมือนเดิมไม่ลดน้อยลงเลย

“เจ้าไม่ชอบงั้นรึ”

“น้องชอบเจ้าพี่คนเดิม หาใช่โจรป่าเยี่ยงนี้”

“หากไม่ชอบก็จัดการเอามันออกให้พี่สิ”

“อื้ม น้องจะจัดการให้ แต่เจ้าพี่ต้องให้ความร่วมมือกับน้องด้วยเช่นกัน”

“ร่วมมือเช่นใดเล่า”

“เจ้าพี่ต้องลงไปแช่ตัวในน้ำกับน้อง หาได้สวมอาภรณ์แม้แต่ชิ้นเดียว” แสงหล้ายิ้มกริ่ม ส่งสายตาหวานหยาดเยิ้ม สื่อให้เขารู้ว่าตอนนี้กำลังต้องการสิ่งใด

“นี่เจ้ากำลังยั่วยวนพี่งั้นรึ รู้รึไม่ว่าหากพี่มีความต้องการแล้ว เจ้าอาจจะแหลกคามือพี่ก็เป็นได้” จักรคำหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ เลือดลมในกายไหลพลุ่งพล่าน แก่นกายเริ่มตื่นตัวเมื่อมือเรียวเลื้อยมาสัมผัสที่กลางอก ลูบไล้เบา ๆ อย่างยั่วยวน

“ขอแค่เป็นเจ้าพี่ น้องก็หากลัวอันใดไม่” แสงหล้ายิ้มทั้งน้ำตา รู้สึกตื้นตันใจเป็นที่สุด ไม่นึกฝันว่าจะได้มีโอกาสเจอคนรักอีกครั้ง มือเรียวค่อย ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ของจักรคำออก จนเผยให้เห็นเรือนกายกำยำ ไล้มือไปตามผิวกายสีแทนซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออย่างเสน่หา

“พี่ต้องการเจ้าเหลือเกินแสงหล้า พี่ต้องการเจ้า”

จักรคำไม่รอช้า รีบปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนรักออกจนหมด เผยให้เห็นเรือนกายสะโอดสะอง ผิวขาวเนียนชวนสัมผัส สมกับเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน งามไปทุกสัดส่วนจนห้ามใจไม่อยู่

“อ๊ะ จะ...เจ้าพี่ ฮื่อ...” แสงหล้าร้องเสียงหลง เมื่อจักรคำไซร้ซอกคอขาว พรมจูบลงมาจนถึงยอดอก ละเลงลิ้นดูดเลียติ่งสีชมพูระเรื่อ แสงหล้าสั่นเทิ้มไปทั้งตัว วางมือไว้ที่ต้นคอลูบไล้ไปมาระบายความเสียว

ไม่นานหลังจากนั้นจักรคำก็อุ้มคนตัวเล็กกว่า เดินลงไปที่โขดหินขนาดใหญ่ริมตลิ่ง วางร่างบอบบางลงอย่างนุ่มนวล โน้มตัวลงไปทับทาบ จักรคำโน้มใบหน้าลงไปจนริมฝีปากสัมผัสกัน ตวัดลิ้นแลกเปลี่ยนความหวานอย่างไม่รู้เบื่อ สอดประสานมือไว้อย่างแนบแน่น ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปจากชีวิตอีกครั้ง

“อืม...”

เสียงครางฮือในลำคอดังอยู่เนือง ๆ รสจูบที่เร่าร้อน ทำให้ร่างบอบบางอ่อนระทวย ยอมให้คนรักเสพสมตามอำเภอใจ ขาเรียวทั้งสองข้างถูกแยกออกจากกัน ก่อนที่จักรคำจะจับแท่งร้อนขนาดใหญ่ ถูกไถที่ปากทางเข้า

“อ๊ะ อื้อ เจ้าพี่ น้องสะ...เสียว”

จักรคำได้ยินก็พอใจ ตวัดเลียยอดปทุมถันอย่างบ้าคลั่ง ในวินาทีนั้นก็ยัดเยียดความเป็นชายที่ไม่เคยใช้งานมาตลอดนับสิบปี เข้าไปในช่องทางรักอันคับแคบ

“โอ๊ย จะ...เจ็บเหลือเกิน อื้อ” แม้น้ำใส ๆ จะไหลพรากจากหางตาด้วยความเจ็บปวด แต่ทว่าความสุขกลับมากกว่าเป็นร้อยเท่านัก จักรคำเห็นสีหน้าอันเหยเกของคนรัก ก็รู้สึกสงสารจะถอนมันออกมา แต่ทว่าแสงหล้ารีบจับมือ ส่งแววตาเป็นประกาย สื่อให้รู้ว่ามีความต้องการมากเพียงใด

“เจ้าไหวแน่นะ”

“น้องไหว มันคือสิ่งที่น้องรอคอยมาทั้งชีวิต” น้ำเสียงที่เจือความออดอ้อนนั้น ทำให้จักรคำยิ้มอย่างพอใจ โน้มใบหน้าลงไปจุมพิตที่กลางหน้าผาก ประสานมือทั้งสองไว้เหนือศีรษะ

“อ่าห์ ซี๊ด...”

จักรคำส่งเสียงเสียวขณะดันท่อนเอ็นเข้าไปอย่างช้า ๆ ความเสียวซ่านเพิ่มทวีคูณยิ่งขึ้น เมื่อแก่นกายถูกตอดรัดอย่างไม่เป็นจังหวะ

บลั่ก! บลั่ก! บลั่ก!

เมื่อทั้งสองกายเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว จักรคำก็เริ่มจังหวะรัก กระแทกกระทั้นท่อนเนื้อใหญ่เข้าไปอย่างไม่ปรานี ส่งความเสียวซ่านให้เมียผ่านช่องทางรัก ด้วยไฟปรารถนาอันท่วมท้น บทรักอันเร่าร้อนดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบลง

“อ๊า ซี๊ด เจ้าพี่ของน้อง ละ...ลึกที่สุด อะ..อ๊า”

“พี่มีความสุขเหลือเกิน ซี๊ด แสงหล้าเมียรักของพี่ ตอดแน่นจนพี่จะทนไม่ไหวแล้ว”

แสงหล้ายืนโก้งโค้งค้ำมือไว้บนโขดหิน ปล่อยให้จักรคำจับขาข้างหนึ่งยกขึ้นพาดที่เอวสอบ ขยับสะโพกส่งความใหญ่โตเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ความสุขอันท่วมท้นที่เกิดขึ้นเป็นเวลานาน ทำให้ถึงควรแก่เวลาที่จะต้องปลดปล่อยความกำหนัดออกมา จักรคำเร่งจังหวะรักให้เร็วและแรงขึ้น จนเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องไปทั่วบริเวณพื้นที่ ไม่ได้สนใจว่าเด็กหนุ่มทั้งสองจะกลับมาเจอ

“เจ้าพี่น้อง อะ...อื้อ ไม่ไหวแล้ว อ๊า”

“พี่ก็ไม่ไหวแล้ว โอ๊ย ซี๊ด แสงหล้าของพี่ เสียวเหลือเกิน อ๊ากก” อุณหภูมิรักขับให้เหงื่อกาฬผุดออกมาตามรูขุมขน จนใบหน้าและผิวกายของคนทั้งสองเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

กระตุกตัวสองสามครั้ง น้ำรักอุ่น ๆ ก็ไหลพุ่งเข้าไปในตัวแสงหล้าจนหมดทุกอยาดหยด จักรคำดึงร่างอันอ่อนแรงเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง พรมจูบตามแผ่นหลังอย่างหื่นกระหาย ทั้งที่ร่างกายยังเชื่อมต่อกัน

“แฮ่ก ๆ น้องมีความสุขเหลือเกิน”

“พี่ก็ไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อน แทบยืนไม่ได้เยี่ยงนี้ เจ้าจะมีแรงโกนหนวดเคราให้พี่งั้นรึ” คนพูดเกยคางไว้บนไหล่ แสดงความออดอ้อนจนน่าหมั่นไส้

“ถึงอย่างไรวันนี้น้องก็ต้องจัดการกับหนวดเคราพวกนี้ให้ได้ รอให้น้องมีแรงกว่านี้อีกสักหน่อย เราได้เห็นดีกันแน่” คนพูดยกมือขึ้นมาลูบไล้ตามกรอบหน้าอย่างเสน่หา

“แช่ตัวในน้ำสักพัก เจ้าคงจะมีแรงขึ้นมาบ้าง” ว่าแล้วก็พลิกตัวให้หันมามองกัน ก่อนจะอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาว พาคนรักลงไปแช่ตัวในน้ำที่เย็นกำลังดี

แสงหล้านั่งเอนหลังบนแผงอกแกร่งอยู่ในน้ำอย่างสบายตัว เรือนร่างบอบบางถูกโอบกอดอยู่อย่างนั้น มันคือช่วงเวลาแห่งความสุข ที่ไม่นึกฝันว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองอีกแล้วในชาตินี้



หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.27 รักมิเคยเปลี่ยน [Up.21-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-08-2019 16:33:05
ต้องมีดราม่ามาอีกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.27 รักมิเคยเปลี่ยน [Up.21-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-08-2019 22:39:02
เตรียมต้มน้ำร้อนรอตอนหน้าก่อนดีกว่า  :a2:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.27 รักมิเคยเปลี่ยน [Up.21-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-08-2019 03:08:26
โว้วววว~outdoor ตลอดดบุ้ย แซ่บซี้ด เจอกันที ก็นะ 10ปี จัดไปอย่าได้เสีย ทั้งพ่อทั้งลูก >.,< ฮ่าๆ //จะเอาไงต่อดีละทีนี้ มันจะมีทางบรรจบครบลงด้วยการอยู่ด้วยกันอย่างนิรันดร์ไหม? ถ้าคนพี่จะร๊ายๆอยู่แบบนี้ หาคนมาทำให้ใจคนพี่อ่อนโยนเข้าใจรักนี่จะมีป่าวอ่ะ ว่าแต่เมืองแมนตายจริงดิ?? แต่ก็ โอ๊ยย10ปี เห้ออ~~ //ไอ้เจ้าเมืองคู่หมายนี่จะแค้นไหมละเนี้ย แสงหล้าไม่ตอบรับรัก จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้บ้าง รอตอนต่อไปเลยค่ะ โอ๊ยยอ่านรวดเดียวเพิ่งเม้นต์ อ่านยาวๆสนุกกมากค่ะ ชอบบบ อ่านเพลินๆ นังเมียโจรนี่อึดดีจริงๆ ยอมรับในการรักษาชีวิตและความทนถึกของนาง  สู้ต่อไปเว้ย เลี้ยงลูก3 แอบตามดูชีวิตนาง  5555 ขอบคุณนะคะที่แต่งและอัพในนี้ให้อ่านกัน รรรเลยค่ะตอนหน้า
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.27 รักมิเคยเปลี่ยน [Up.21-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 23-08-2019 08:11:27

ร้างลาไปนาน

ต้องกลับไปอ่านทวนอีกรอบ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.27 รักมิเคยเปลี่ยน [Up.21-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 23-08-2019 09:51:29
รอๆ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.27 รักมิเคยเปลี่ยน [Up.21-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 24-08-2019 20:19:26
อื้อหือ แซบแท้ ทั้งพ่อทั้งลูก ชอบธรรมชาติอะเนาะ
ชีวิตวนกันไปมา แบบไม่จบไม่สิ้น เริ่มใหม่กันบ้างแล้ว

แต่เหมือนจะวนกลับไปทีเดิม
เพิ่มเติมคืออินเหลากับเหนือคำ เป็นคู่ชู้ชื่นกัน
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.28 อุปสรรคครั้งใหญ่ [Up.26-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 26-08-2019 20:06:57
บทที่ 28

อุปสรรคครั้งใหญ่



เช้าวันต่อมาแสงหล้าไปหาเจ้าหลวงที่ตำหนักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเจรจาเรื่องงานอภิเษกสมรสที่เจ้าตัวไม่รู้เห็นด้วยเลยสักนิด ดูเหมือนว่าผู้เป็นพี่ชายจะรู้ล่วงหน้า จึงได้มายืนทำหน้าถมึงทึงรออยู่เช่นนี้

“ถวายบังคมเจ้าพี่เจ้า”

“เมื่อคืนเจ้าไปที่ใดมาแสงหล้า เหตุใดจึงทำตัวเหลวไหลเยี่ยงนี้” แสงชัยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

แสงหล้ายกมือไหว้สา “น้องขอสุมาที่ไม่ได้บอกกล่าวเจ้าพี่ เมื่อคืนน้องไปค้างคืนนอกเมืองมาเจ้า”

“เหตุใดจึงปล่อยให้เจ้าอินทร์แปงอยู่กลางตลาดเพียงลำพัง รู้รึไม่ว่าทำไม่ถูกต้อง เสียแรงที่พี่ฝากฝังเจ้าให้ดูแลแขกบ้านแขกเมือง”

“ที่เจ้าพี่ให้ความสำคัญกับเจ้าอินทร์แปง เป็นเพราะต้องการให้น้องอภิเษกกับชายผู้นั้นใช่รึไม่ เหตุใดเจ้าพี่จึงไม่ถามไถ่น้องเสียก่อน เจ้าพี่ก็ทรงทราบว่าน้องมิอาจมอบหัวใจให้ผู้ใดได้อีกแล้ว” แสงหล้าส่งแววตาผิดหวังให้พี่ชาย หวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจได้

“ใช่! อีกไม่นานเจ้าจะต้องเข้าพิธีอภิเษกกับเจ้าอินทร์แปง หามีสิทธิ์ปฏิเสธแม้แต่คำเดียว พี่ได้ตัดสินใจดีแล้ว”

“เจ้าพี่! ฮึก น้องผิดหวังในตัวเจ้าพี่เหลือเกิน ไยจึงไม่มีเหตุผลเยี่ยงนี้ ไม่ว่าอย่างไรน้องก็จะไม่ยอมอภิเษกกับเจ้าอินทร์แปงแน่นอน” น้ำตาแห่งความผิดหวังเสียใจไหลพรากลงอาบสองแก้ม จ้องมองใบหน้าพี่ชายด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

“ที่พี่ทำก็เพราะอยากให้เจ้ามีความสุข ป่านนี้ไอ้จักรคำมันคงล้มหายตายจากไปแล้ว นึกถึงความสุขที่กำลังจะเกิดขึ้นเถิดน้องรัก พี่ทำเพื่อเจ้าจริง ๆ หาได้มีเจตนาอื่น”

“เจ้าพี่จักรคำยังมีชีวิตอยู่ และยังอยู่สุขสบายดีอีกด้วย” พูดแล้วก็ทำหน้าตกใจเล็กน้อย ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทันที

“นี่เจ้าแอบไปเจอมันแล้วงั้นรึ อย่าบอกนะว่าที่ออกไปค้างคืนข้างนอกมา เพราะไปอยู่กับมัน”

“หาเป็นเยี่ยงนั้นไม่ น้องแค่...”

“เจ้าโกหกพี่ไม่ได้ดอกแสงหล้า เจ้าผิดสัญญา นับจากนี้พี่จะคุมตัวเจ้าไว้ในตำหนัก ห้ามมิให้ออกมาข้างนอกจนกว่าจะถึงวันอภิเษก”

“ไม่นะเจ้าพี่ อย่าทำเช่นนี้กับน้องเลย ฮึก น้องรักเจ้าพี่จักรคำ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้”

“พี่จะเป็นคนเปลี่ยนใจเจ้าเอง” กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แล้วตะโกนสั่งทหารด้านนอก “ทหาร!”

เมื่อเจ้าหลวงเอ่ยเรียก ทหารหนุ่มก็รีบยกโขยงเข้ามาในห้อง “เจ้า”

“คุมตัวเจ้าอุปราชไปที่ตำหนัก จัดกำลังเฝ้าเวรยามให้แน่นหนา ห้ามให้ออกไปนอกคุ้ม จนกว่าข้าจะมีคำสั่งยกเลิก”

“เจ้า”

แสงหล้ายืนร้องไห้จ้องหน้าผู้เป็นพี่ชายอย่างไม่พอใจ ก่อนจะยกมือไหว้สาแล้วเดินออกไปแต่โดยดี ในช่วงเวลานี้เขาคิดหาทางออกไม่เจอจริง ๆ ว่าควรทำเช่นไร เหตุใดช่วงเวลาแห่งความสุข มันจึงมักมาพร้อมกับอุปสรรคเช่นนี้

เมื่อน้องชายออกไปจากตำหนักแล้ว แสงชัยก็มีท่าทีอ่อนลง สีหน้าที่เคยจริงจังฉายแววความกังวลออกมา หวังว่าสิ่งที่กำลังยัดเยียดให้น้องชายตอนนี้ จะทำให้ชีวิตในอนาคตมีความสุขได้อย่างที่ตั้งใจ

...........

เมื่อแสงหล้ากลับมาถึงแล้ว ทหารต่างก็ยืนเฝ้ายามล้อมรอบตำหนักจำนวนมาก แม้แต่หนูตัวเดียวก็แทบจะเล็ดลอดเข้าออกไม่ได้ นั่นทำให้เจ้าตัวนั่งกระวนกระวายใจ เพราะไม่รู้จะหาวิธีติดต่อกับจักรคำ

“เจ้าอุปราชจะทำเช่นไรต่อไปเจ้า หรือว่าเราจะหนีออกไปจากที่นี่” เหนือคำเสนอความเห็น

“ข้าจะไม่หนีไปไหนอีกแล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”

“แต่หากไม่ทำอันใดเลย มันจะไม่ทันการนะเจ้า”

“เจ้าจงออกไปบอกเจ้าพี่ ว่านับจากนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”

“อ้าว! เหตุใดเจ้าอุปราชจึงกล่าวเยี่ยงนี้ ทรงไม่รักเจ้าจักรคำแล้วรึเจ้า” เหนือคำตกใจเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ ก่อนหน้านี้เขาเห็นแววตาที่มีความสุขของผู้เป็นนาย แต่ไม่นึกว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างนี้

“เพราะข้ารักจึงได้สั่งให้เจ้าทำเยี่ยงนี้ หากเจ้าพี่ทรงทราบว่าข้ากำลังจะอภิเษกกับชายอื่น คงจะต้องบุกเข้ามาหาถึงในคุ้มหลวงเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นข้ากลัวว่า เจ้าพี่จะไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับไปได้ ข้าไม่อยากให้คนที่ข้ารักต้องตาย เจ้าเข้าใจข้ารึไม่เหนือคำ”

“ข้าเจ้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าอุปราช แต่ความรู้สึกของเจ้าจักรคำเล่า เจ้าอุปราชไม่ทรงห่วงเลยรึเจ้า”

“ความเศร้าโศกเสียใจ การพลัดพราก มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน ข้าจะยังมีความสุขมากกว่า หากเห็นเจ้าพี่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป เจ้ารีบออกไปแจ้งข่าวให้เจ้าพี่รับรู้ แล้วห้ามบอกเรื่องที่ข้ากำลังจะอภิเษกโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะทำโทษเจ้าแน่”

“ข้าเจ้าทราบแล้วเจ้า แต่จะออกไปได้เช่นไร ในเมื่อทหารเฝ้ายามคุมเข้มเยี่ยงนี้”

“เจ้าพี่กักบริเวณข้ามิใช่เจ้า คงไม่มีอันใดน่ากังวลดอก รีบไปเถิดแล้วอย่าลืมสิ่งที่ข้ากำชับ”

“เจ้า แต่เจ้าอุปราชตัดสินใจดีแล้วรึ ที่จะอภิเษกกับเจ้าอินทร์แปง”

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีทางอื่นแล้ว” แม้จะแสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่ยอมรับการอภิเษก แต่ทว่าความเป็นจริง ก็ไม่อยากทำให้พี่ชายต้องผิดคำพูดกับฝ่ายโน้น เพราะมันหมายถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างเมืองทั้งสอง

“หากมีรักแล้วมันต้องเจ็บปวดเช่นนี้ ข้าเจ้าเองก็หาได้อยากมีความรักไม่”

“บางทีความรักของเจ้า มันอาจจะไม่ได้มีอุปสรรคเช่นข้าก็เป็นได้ อย่าเพิ่งหมดศรัทธาต่อความรัก เจ้ารีบไปเถิด จะได้รีบกลับมาก่อนที่ใครจะสงสัย”

“เจ้า”

เหนือคำกราบแทบเท้าผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินออกไปจากตำหนักด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ เมื่อยามได้รักมันช่างมีความสุข แต่ทว่าการจากลาก็ทำให้เจ็บปวดยิ่งนัก ทำให้เจ้าตัวลังเลใจที่จะสานสัมพันธ์กับอินเหลาเช่นกัน

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ออกมาจากคุ้มหลวงได้อย่างไม่มีอุปสรรคแล้ว เหนือคำก็รีบตรงไปยังที่พำนักของจักรคำ ระหว่างทางก็ลังเลใจว่าจะบอกความจริงดีหรือไม่ เพราะมันคือความหวังสุดท้าย ที่คนทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว

“ข้าเจ้าขอไหว้สาเจ้า”

จักรคำมองไปเลยด้านหลังเพื่อหาคนรัก แต่ทว่ากลับไม่เจอแม้แต่เงา จึงหันกลับมามองเหนือคำด้วยสีหน้ามีแต่คำถาม

“แล้วแสงหล้าไม่มาด้วยรึ”

“เอ่อ...เจ้าอุปราชให้ข้าเจ้ามาส่งข่าว”

“ข่าวอันใดรึ”

“เจ้าอุปราชให้ข้าเจ้ามาแจ้งท่านว่า...นับจากนี้ไปไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีก ขอให้ความสัมพันธ์จบลงเพียงเท่านี้” จักรคำยืนอึ้งเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น ทั้งที่ก่อนหน้ายังแสดงความรักต่อกันอย่างดูดดื่ม แต่เหตุใดวันนี้จึงกลับตาลปัตรไป

“เจ้าช่างไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย เอาเรื่องนี้มาล้อเจ้าพ่อข้าเล่นได้เยี่ยงไร” อินเหลาเดินเข้ามาถามใกล้ ๆ อย่างไม่พอใจ

“ข้าหาได้ล้อเล่น มันคือเรื่องจริง เจ้าอุปราชสั่งให้ข้ามาบอกเยี่ยงนี้จริง ๆ” เหนือคำยืนยันด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจัง

“เหตุใดแสงหล้าจึงสั่งให้มาบอกเช่นนี้ เจ้าพอจะบอกเหตุผลข้าได้รึไม่เหนือคำ” จักรคำพยายามไม่ฟูมฟาย เพราะรู้ว่ามันต้องมีเหตุผลที่มากพอ ไม่เช่นนั้นคนรักคงไม่ทำอย่างนี้

“ข้าเจ้าบอกไม่ได้จริง ๆ เจ้าอุปราชบอกเพียงว่า นี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”

“เจ้าน้าต้องโดนใครบังคับแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำเยี่ยงนี้ เจ้าพ่อห้ามยอมเด็ดขาด ต้องพาเจ้าน้ากลับมาอยู่กับเราเหมือนเดิมให้ได้นะเจ้า”

“พ่อรู้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่เราจะบุ่มบ่ามมิได้ เพราะเรื่องนี้มันร้ายแรงจนถึงความเป็นความตาย แต่พ่อจะไม่ยอมปล่อยให้มันเป็นเยี่ยงนี้แน่”

“ข้าพร้อมจะช่วยเจ้าพ่อเต็มที่ มีอันใดรับสั่งมาได้เลย”

“หากท่านเข้าใจแล้ว ข้าเจ้าขอตัวกลับก่อน” เหนือคำกล่าวด้วยใบหน้าเศร้า ไม่ยอมสบตาอินเหลาแม้แต่น้อย นั่นทำให้อีกฝ่ายเริ่มหงุดหงิด

“ขอบน้ำใจเจ้ามากเหนือคำ ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็อึดอัดกับเรื่องนี้เช่นกัน”

“ขอบน้ำใจที่ท่านเข้าใจ ข้าเจ้าขอไหว้สา” เหนือคำยกมือไหว้สา ก่อนจะเดินหน้าเศร้ากลับไป

อินเหลารีบเดินตามหลังไปติด ๆ ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น เมื่อโดนเมินอย่างไร้คุณค่าเช่นนี้

“เดี๋ยว!” ว่าพร้อมรั้งมือเหนือคำไว้

“มีอันใดกับข้า”

“เจ้าเป็นอันใด เหตุใดจึงทำหน้าเยี่ยงนี้ ไม่พอใจข้างั้นรึ”

“หามีอันใด ข้าแค่รู้สึกเพลีย อยากรีบกลับไปพักผ่อน ปล่อยมือข้าเถอะ” เหนือคำพยายามบิดข้อมือ

“ไม่! จนกว่าเจ้าจะบอกว่าเหตุใดจึงเมินข้าเยี่ยงนี้”

“ได้! ข้าจะบอกเจ้าว่านับจากนี้ไป เราไม่ต้องมาเจอกันอีก ในเมื่อความรักของเจ้าอุปราชกับพ่อของเจ้ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เรื่องของเราก็เช่นเดียวกัน”

“ข้าไม่ยอม เจ้าเป็นเมียข้าแล้ว”

“แต่ข้าไม่ยอมรับเจ้า แค่ความหลงใหลเพียงชั่วข้ามคืน ข้าไม่นับว่ามันคือความรัก” เหนือคำพยายามข่มอารมณ์ให้ได้มากที่สุด กลั้นน้ำตาเอาไว้จนดวงตาสวยแดงก่ำ

“แต่ข้ารักเจ้า ข้ารักเจ้าได้ยินรึไม่” อินเหลาดึงร่างบางเข้ามาสวมกอด

“แต่ข้าไม่ได้รักเจ้า ปล่อยข้า เรื่องของเรามันไม่มีทางเป็นไปได้”

“เป็นไปได้สิ ขอเพียงแค่เจ้ากับเจ้าน้าหนีออกมาจากที่นั่น แล้วไปอยู่กับพวกข้า รับรองว่าไม่มีใครตามตัวพบแน่”

“ข้าเกิดและเติบโตมาจากคุ้มหลวง ไม่มีทางออกไปจากที่นั่นเด็ดขาด หากตายก็ขอตายอยู่ที่นั่น ตัดใจจากข้าเสียเถอะ ชีวิตยังอีกยาวไกล เจ้าอาจจะเจอคนที่ถูกใจยิ่งกว่าข้าก็เป็นได้” ว่าแล้วก็ดันตัวอินเหลาออก

“ไม่มีผู้ใดเทียบเจ้าได้ เจ้าคือคนที่ข้าตามหามาทั้งชีวิต ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้เลยเหนือคำ”

“ลาก่อนอินเหลา หากมีบุญวาสนาเราคงได้เจอกันอีก” น้ำตาที่กลั้นไว้หยดแหมะลงมา ก่อนที่เหนือคำจะหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งให้อินเหลายืนมองด้วยแววตาเศร้า หัวใจดวงน้อยที่ไม่เคยเจ็บปวดเพราะความรัก บัดนี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

..........

จักรคำนั่งเหม่ออยู่บนโขดหินริมแม่น้ำ ทอดสายตามองไปยังอีกฝั่งอย่างเวิ้งว้าง ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อนึกถึงใบหน้าอันงดงามของคนรัก หัวใจบีบรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บปวด แม้ว่าจะน้อยใจในโชคชะตา ที่ไม่เอื้ออำนวยให้รักนี้ราบรื่น แต่ทว่าก็ไม่ยอมท้อถอย มาถึงขั้นนี้แล้วต้องสู้ให้ถึงที่สุด

“เจ้าพ่อคิดสิ่งใดอยู่รึ” อินเหลาเดินทำหน้าเศร้า เข้ามานั่งข้างผู้เป็นบิดาในท่าเดียวกัน มองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าอย่างรู้สึกเหนื่อยหัวใจ

“พ่อกำลังคิดถึงน้าของเจ้า คิดถึงรอยยิ้มและใบหน้าอันงดงามที่มันเคยเป็นของพ่อมาก่อน” หันมากล่าวกับลูกชายสุดที่รัก ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

“เจ้าพ่อจะยอมแพ้งั้นรึ”

“เจ้าคิดว่าพ่อควรทำเช่นไร”

“ข้าเห็นเจ้าพ่อต้องทุกข์ใจมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่อยากเห็นภาพนั้นอีกแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าพ่อก็ต้องสู้ต่อไป อย่ายอมแพ้เด็ดขาด ข้าจะสู้ไปพร้อมกับเจ้าพ่อเอง” อินเหลายิ้มให้กำลังใจบิดา

“ขอบน้ำใจเจ้ามากที่อยู่ข้างพ่อมาโดยตลอด ไม่ว่านับจากนี้จะเกิดอันใดขึ้น เจ้าต้องสัญญากับพ่อว่าจะต้องเข้มแข็ง และผ่านมาไปให้ได้”

“ข้าสัญญาว่าจะเข้มแข็ง เพราะข้าคือลูกชายของเจ้าพ่อ”

“ดีมากลูกพ่อ เห็นเจ้าเข้มแข็งเยี่ยงนี้ พ่อก็วางใจว่าในกาลข้างหน้า เจ้าจะสามารถยืนด้วยลำแข้งตนเอง หากแม้นไม่มีพ่อแล้วก็ตาม” จักรคำยิ้มอย่างภูมิใจกับลูกชายสุดที่รัก เข้มแข็งสมกับเป็นลูกหลานของตระกูลนักรบผู้อาจหาญ

“แต่หากมีเจ้าพ่อมันจะดีกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า และมันจะดียิ่งขึ้นหากมีเจ้าน้าด้วยอีกคน”

“พ่อก็หวังว่ามันจะเป็นเยี่ยงนั้น”

สองพ่อลูกกอดคอกัน ทอดสายตามองไปยังอีกฝั่งของท้องฟ้า ราวกับที่นั่นมันคือเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ส่วนผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาลนี้คืออุปสรรค และแน่นอนว่ามันจะต้องมีวิธี ที่จะก้าวผ่านมันไปได้ ไม่ด้วยวิธีใดก็ต้องวิธีหนึ่ง

หลังจากที่เหนือคำกลับไปยังคุ้มหลวงแล้ว ทางการก็นำแผ่นป้ายมาติดประกาศไปทั่วทั้งเมือง ถึงกำหนดการณ์อภิเษกสมรสของเจ้าอุปราช ให้ประชาชนได้รับทราบกันอย่างถ้วนหน้า และแน่นอนว่าข่าวนี้ได้มาถึงหูสองพ่อลูก นั่นทำให้ได้รู้ว่าต้นเหตุของการถูกปฏิเสธมันคืออะไรกันแน่





...........

เฮลโล ทักทายคร้าบบบ จะบอกว่าตอนหน้าก็จะถึงตอนจบแล้วน้า จุ๊บๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและสนับสนุนคร้าบบ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.28 อุปสรรคครั้งใหญ่ [Up.26-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 26-08-2019 21:22:57
เฮ้อ

 หวังว่าคงไม่มีใครตายเน้อ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.28 อุปสรรคครั้งใหญ่ [Up.26-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-08-2019 21:46:47
แววจบยังบ่เห็น แต่หลานคนแต่งบอกจะจบ ขอให้จบด้วยดีเถอะ  :call:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.28 อุปสรรคครั้งใหญ่ [Up.26-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-08-2019 23:42:47
ตัวร้ายควรโดนกำจัด
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.28 อุปสรรคครั้งใหญ่ [Up.26-08-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-08-2019 09:33:02
จะจบแล้วเหรอ
หัวข้อ: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 01-09-2019 19:48:16
บทที่ 29

อวสาน



พิธีอภิเษกสมรสของเจ้าอุปราชถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกเหรื่อจากต่างเมืองพร้อมใจกันเข้ามาร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ประชาชนต่างก็มาเฝ้ารอกเฝ้ารอที่หน้ากำแพงเมือง เพื่อชมพระบารมีของเจ้านายอย่างใกล้ชิด แม้ว่าวันนี้ทุกคนต่างก็ยินดีและตื่นเต้น แต่ทว่าแสงหล้ากลับรู้สึกตรงกันข้าม นั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องอย่างหมดหวัง

“อีกไม่นานก็จะต้องเข้าพิธีแล้ว ถอนตัวตอนนี้ยังทันนะเจ้า” เหนือคำที่นั่งอยู่เบื้องล่าง กล่าวเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะไปเข้าร่วมพิธีตามธรรมเนียมราชประเพณี

“ข้าตัดสินใจดีแล้ว ไม่มีทางคืนคำเด็ดขาด”

“แล้วถ้าเจ้าจักรคำมาที่นี่ล่ะ เจ้าอุปราชจะทำเช่นไร”

“เจ้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าพี่งั้นรึ”

“ข้าเจ้าหาได้บอกไม่ แต่งานอภิเษกครั้งนี้ใคร ๆ ต่างก็รู้ มีหรือที่เจ้าจักรคำจะไม่รู้”

“จริงสินะ ใคร ๆ ก็รู้เรื่องนี้ ป่านนี้เจ้าพี่คงจะโกรธข้าไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะถึงอย่างไร ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว” เอ่ยราวกับท้อแท้ในชีวิต ในค่ำคืนนี้เขาจะต้องเป็นของคนอื่นไปแล้วจริง ๆ หรือนี่ แสงหล้าได้แต่คิดในใจ

“หากเปลี่ยนใจตอนนี้ยังพอมีเวลานะเจ้า”

“มันสายไปแล้วล่ะเหนือคำ ถึงอย่างไรเราก็คงไม่ทำให้เจ้าพี่ต้องอับอายขายหน้าเป็นแน่ อย่างน้อยข้าก็ได้เจอกับเจ้าพี่แล้ว แค่นี้ข้าก็ดีใจที่สุดแล้ว”

เหนือคำพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

“ถ้าเช่นนั้นเราไปที่หอคำกันเลยรึไม่เจ้า ป่านนี้แขกเหรื่อคงมาถึงกันหมดแล้ว” สีหน้าของคนพูดเองก็หาได้มีความสุข ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้เป็นนาย แต่เรื่องของตัวเองก็หนักหนาสาหัสพอ ๆ กัน

“อืม” ว่าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นจากตั่งอย่างอิดออด ชุดที่สวมใส่อย่างเต็มยศนั้นทำให้ยากลำบากต่อการเดิน แต่ถึงกระนั้นก็พยายามเดินออกไปจากตำหนัก โดยมีเหนือคำตามหลังไปติด ๆ เหมือนที่ผ่านมา

……….

มาถึงหน้าหอคำแล้ว แสงหล้าก็เดินตรงเข้าไปยังกลางท้องพระโรงอย่างสง่างาม เมื่อถึงบริเวณหน้าตั่งทองก็ก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นพี่ชาย เงยขึ้นไปส่งยิ้มให้ แสงชัยประคองน้องชายขึ้นไปยืนตรงหน้า

“วันนี้พี่ดีใจเหลือเกิน ที่เจ้าจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว แต่ก็รู้สึกใจหายที่เจ้าต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองเป็งเงิน เจ้ายังโกรธพี่อยู่หรือไม่ที่ตัดสินใจเยี่ยงนี้”

“น้องไม่เคยโกรธพี่ชายคนนี้เลย น้องรู้ว่าเจ้าพี่ทรงหวังดีต่อน้อง”

แสงชัยดึงตัวน้องชายเข้ามาสวมกอดอย่างรู้สึกผิด ที่ทำลายความรักของน้องชายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทว่ามันยังจะดีกว่าต้องไปร่วมหอลงโรงกับคนอย่างจักรคำ

“ใกล้ถึงเพลาอันเป็นมงคลแล้ว เตรียมตัวต้อนรับว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าเถิด อีกไม่กี่อึดใจคงยกขบวนแห่ขันหมากมาถึงแล้ว”

“เจ้า”

แสงหล้ากลับไปนั่งบนตั่งประจำตำแหน่ง โดยมีเหนือคำนั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่เคยห่าง คนทั้งสองต่างก็นั่งรอเวลาด้วยสีหน้าและแววตาเศร้า เห็นอย่างนั้นแสงชัยก็พยายามไม่มอง เพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนเข้าให้

หลังจากนั่งรอได้สักพักก็ได้ยินเสียงดนตรีดังเข้ามา เป็นสัญญาณบอกว่าตอนนี้ขบวนแห่ขันหมากเจ้าบ่าวได้มาถึงแล้ว ทุกคนที่อยู่ในหอคำจึงเตรียมพร้อม สำหรับทำหน้าที่ในพิธีสำคัญนี้อย่างพร้อมหน้า

แต่ทว่า...

“เจ้าหลวงเจ้า เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเจ้า” ทหารองครักษ์รีบวิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์ภายนอกให้ทราบ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

“ตอนนี้ภายนอกหอคำเกิดการจลาจลขึ้น นั่นเพราะ...” ว่าแล้วก็หันไปมองหน้าแสงหล้า ราวกับว่าเรื่องมันเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวโดยตรง

“เพราะอันใดรีบบอกข้ามา”

“เพราะมีขบวนเจ้าบ่าวแห่เข้ามาพร้อมกันสองขบวนเจ้า”

ได้ยินกล่าวรายงาน เสียงขุนนางในหอคำก็ส่งเสียงซุบซิบกันดังระงม แสงชัยหันขวับไปมองน้องชายตนเองทันที เพราะเข้าใจว่าได้วางแผนเตรียมการล่วงหน้า และรู้ว่าอีกขบวนนั้นคือใคร

“น้องมิได้รู้เห็นกับเรื่องนี้เลยนะเจ้าพี่”

“จริงรึ เจ้าไม่ได้โกหกพี่ใช่ไหม” แสงชัยหรี่ตามองน้องชายอย่างไม่เชื่อใจ

“น้องเองก็ตกใจเช่นกัน ไม่นึกว่ามันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เจ้าพี่ทรงอย่าทำอะไรเจ้าพี่จักรคำเลยนะเจ้า” แสงหล้ารีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหา แต่ทว่าแสงชัยไม่สนใจรีบเดินออกไปก่อน

แสงหล้าได้แต่มองตามหลัง ประสานมือไว้ตรงหน้าอกด้วยความกังวลใจ “ในที่สุดสิ่งที่ข้ากังวลใจก็เกิดขึ้นจริง ๆ”

“ข้าเจ้าว่ารีบตามไปดีกว่าเจ้า บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้”

“ข้าก็ได้แต่ภาวนาว่าคงไม่ใช่เจ้าพี่จักรคำ”

ทั้งสองรีบเดินออกไปดูให้เห็นกับตา ว่าจะใช่อย่างที่คาดการณ์เอาไว้หรือไม่

……….

เดินออกมานอกหอคำแล้ว แสงหล้าก็กวาดสายตามองหาชายผู้เป็นที่รัก และพบว่าตอนนี้จักรคำได้ยืนประจันหน้ากับอินทร์แปง โดยที่แสงชัยกำลังเดินเข้าไปหาพร้อมกับกำลังทหาร เจ้าตัวไม่รีรอรีบเดินเร็วเข้าไปหาพร้อมกับเหนือคำ

“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าเข้ามาเหยียบที่เมืองของข้าอีกครั้ง” แสงชัยกล่าวเมื่อเดินเข้าไปถึง จ้องมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยแววตาที่แข็งกร้าว

“ถวายบังคมเจ้าหลวง” บัดนี้จักรคำไม่ได้มาในฐานะนักรบเหมือนเมื่อก่อน แต่มาในฐานะผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่เข้ามาต่อสู้เพื่อความรักของตน จึงยกมือไหว้สาตามมารยาท แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนให้เห็น

“คนเยี่ยงเจ้าหามีเกียรติพอที่จะมาไหว้สาข้า มาทางไหนกลับไปทางนั้น ก่อนที่ข้าจะสั่งตัดหัวเจ้า” แสงชัยชี้หน้าอย่างเดือดดาล

“มันผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงกล้ามาทำลายพิธีอันสำคัญเยี่ยงนี้” อินทร์แปงถามแสงชัยด้วยความอยากรู้ซะเต็มประดา

“หาต้องกังวลอันใด ถึงอย่างไรวันนี้ท่านกับแสงหล้าจะต้องได้เข้าพิธีอภิเษกอย่างแน่นอน”

“ถ้าเช่นนั้นก็สั่งให้ทหารลากตัวมันออกไป ก่อนพี่ลูกชายข้าจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้” เจ้าหลวงอินทร์ถากล่าว ชำเลืองตามองจักรคำอย่างไม่เป็นมิตร

“เจ้าพี่รีบกลับไปเสียเถอะ ก่อนที่มันจะสายเกินไปกว่านี้” แสงหล้ารีบตะโกนบอก

“ไม่มีทาง! พี่เคยบอกแล้วเช่นใด ว่าจะมาสู่ขอเจ้าจากเจ้าหลวงแสงชัย บัดนี้พี่ได้ทำตามสัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นพี่ก็พร้อมจะรับผลที่ตามมา”

“แต่น้องคงอยู่ไม่ได้ หากเจ้าพี่ต้องเป็นอันใดไป ฮึก”

คำพูดและแววตาที่คนทั้งสองส่งให้กัน ทำให้อินทร์แปงกระจ่างใจทันที ไม่นึกฝันว่าเจ้าอุปราชผู้นี้จะมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในวันนี้จะไม่มีทางยอมให้พิธีการเป็นอันต้องล้มเลิกแน่

“ถึงอย่างไรก็ตาม วันนี้ข้าก็ต้องได้เป็นเจ้าบ่าวเพียงผู้เดียว” อินทร์แปงกล่าวอย่างมั่นใจ

“แต่ข้าไม่มีวันให้เจ้าแต่งกับเมียข้าแน่”

“หุบปาก! ทหาร! คุมตัวพวกมันทุกคนไปขังไว้ที่คุกหลวง รอรับการลงทัณฑ์จากข้า” แสงชัยตะโกนสั่ง นั่นทำให้ผู้คนที่อยู่ในขบวนขันหมากของจักรคำต่างก็ตื่นตกใจ

“เจ้า”

“ไม่นะเจ้าพี่ น้องขอร้อง อย่าทำพวกเขาเลย” แสงหล้าเอ่ยขอร้องทั้งน้ำตา

ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป จักรคำก็ตัดสินใจนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า ยกมือขึ้นพนมตรงกลางอก ก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้าอย่างช้า ๆ แสงชัยยืนอึ้งไม่นึกว่าจักรคำจะกล้าทำถึงเพียงนี้

“ข้าขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่เคยทำไม่ดีต่อเมืองผาพิงค์ ข้าไม่ได้อยากให้มันเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นเลย ข้าหาได้มีความสุขกับการเข่นฆ่าทุกชีวิต แต่มันคือหน้าที่ของเจ้าอุปราช ที่ต้องรักษาเอกราชของบ้านเมืองเอาไว้ ท่านน่าจะเข้าใจในจุดนี้ แต่ทว่าตอนนี้เวรกรรมได้ตามสนองข้าแล้ว ข้าสูญเสียบิดา สูญเสียน้องชาย สูญเสียประชาชนซึ่งเป็นที่รัก สูญเสียตั่งทองที่บรรพบุรุษเคยเสียเลือดเสียเนื้อรักษาเอาไว้ แค่นี้ข้าก็เจ็บปวดมากพอแล้ว ที่ไม่อาจรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังมีโอกาสที่จะรักษาความรักของข้า ขอโอกาสให้ข้าได้ดูแลแสงหล้าได้รึไม่ เวลาสิบปีที่ผ่านมามันก็ทุกข์ทรมานมากแล้ว ขอให้เราทั้งคู่ได้มีโอกาสกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งได้รึไม่” จักรคำกล่าวทั้งน้ำตา ก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้าอีกครั้ง

แสงชัยขยับเท้าออกมาเล็กน้อย ยังคงยืนอึ้ง คิดไม่ออกว่าจะเอายังไงต่อ มองไปยังน้องชายตนเอง ก็พบว่าตอนนี้กำลังนั่งพนมมือ จ้องมองมาด้วยแววตาเศร้า มองไปตรงหน้าก็เจอกับเจ้าบ่าวตัวจริงที่ยืนกอดอก รอฟังคำตอบจากปากตน นั่นยิ่งทำให้รู้สึกหนักใจมากขึ้น

“เจ้าหลวงรีบจัดการมันซะ เราจะได้เริ่มพิธีการต่อเสียที นี่ก็เลยเพลาอันเป็นมงคลมานานแล้ว” อินทร์แปงกล่าวอย่างไม่ได้สนใจใคร ยังคงต้องการเข้าสู่พิธีให้เสร็จโดยเร็ว

“ครานี้น้องจะยอมตามใจเจ้าพี่ หากเจ้าพี่สั่งให้พิธีเริ่มต่อไป น้องก็จะยินดีอภิเษกกับเจ้าอินทร์แปง เพราะถึงอย่างไรเราก็เหลือกันแค่สองพี่น้อง เจ้าพี่คือเจ้าชีวิตของน้อง” กล่าวจบแสงหล้าก็หลับตาลง รอฟังคำตอบ ยอมวัดใจผู้เป็นพี่ชายว่าจะตัดสินใจอย่างไร

จักรคำมองหน้าคนรักอย่างเจ็บปวด หากไม่เป็นอย่างที่หวัง ความทุกข์และทรมานคงจะถาโถมเข้ามาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ยอมรับการตัดสินใจของแสงหล้า หลับตาลงรอฟังคำตอบเช่นกัน

แสงชัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ จ้องมองไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกคน หลับตาลงใบหน้าของบิดาก็ลอยมา นึกถึงคำสั่งเสียก่อนจะจากโลกใบนี้ไป ให้ดูแลน้องชายเป็นอย่างดีและมีความสุขที่สุด

“เจ้าหลวงอินทร์ถา เจ้าอินทร์แปง ข้าต้องขออภัยพวกท่านด้วย ที่ต้องล้มเลิกงานอภิเษกในวันนี้”

ได้ยินอย่างนั้นทั้งแสงหล้าและจักรคำก็ลืมตาขึ้น มองหน้ากันด้วยความดีใจ แต่ทว่าสองพ่อลูกที่อยู่ตรงหน้า กลับแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดไม่พอใจ

“ข้าไม่ยอม! ท่านบอกว่าจะยกเจ้าแสงหล้าให้กับข้า แต่เหตุใดจึงกลับคำเยี่ยงนี้ แล้วไอ้เศษสวะผู้นี้มันเป็นใคร เหตุใดจึงต้องยอมมันด้วยเล่า” อินทร์แปงโวยวายเสียยกใหญ่

“ชายผู้นี้คือคนรักของแสงหล้า ข้าไม่อาจทนเห็นน้องชายเจ็บปวดได้อีกแล้ว ข้าจะให้สิทธิ์เมืองเป็งเงินทำสัมปทานป่าไม้เป็นเวลาหนึ่งปี แลกกับการที่ข้าต้องเสียคำพูด เจ้าหลวงอินทร์ถามีความเห็นว่าอย่างไร”

“ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง”

“แต่ข้าไม่ยอม!”

“หุบปาก! โอกาสดี ๆ เยี่ยงนี้ไม่ให้หาง่าย ๆ” เจ้าหลวงอินทร์ถาหันไปเอ็ดบุตรชาย

“หากไม่มีอันใดแล้ว ขอเชิญพวกท่านเคลื่อนขบวนขันหมาก กลับไปยังเมืองเป็งเงินเถิด”

“เอาไว้ข้าจะเข้ามาเจรจาเรื่องสัมปทานใหม่อีกครั้ง ข้าลาล่ะ”

“ขอให้เจ้าหลวงเดินทางโดยสวัสดิภาพ”

เจ้าหลวงอินทร์ถายิ้ม ก่อนจะหันไปดึงแขนลูกชายให้เดินกลับออกไป พร้อมกับขบวนขันหมากที่เคลื่อนออกไปด้วย เปิดทางให้จักรคำได้ทำหน้าที่เจ้าบ่าวอย่างสมบูรณ์แบบ

“ขอบพระทัยเจ้าพี่เหลือเกิน ที่ทรงทำเพื่อน้องถึงเพียงนี้” แสงหล้าคลานเข่าเข้ามากราบแทบเท้าพี่ชาย สวมกอดที่ขาทั้งน้ำตา ส่วนจักรคำก็ก้มลงกราบแทบเท้าเช่นเดียวกัน

“ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของเจ้าหลวงไปจนตาย”

“จริง ๆ แล้วข้าเองก็ผิด ที่ทำให้พวกเจ้าต้องแยกจากกันนานถึงเพียงนี้ หวังว่าพวกเจ้าคงจะให้อภัยข้าเช่นกัน” แสงชัยกล่าวด้วยรอยยิ้ม แววตาที่เคยแข็งกร้าวบัดนี้กลับอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ

“น้องไม่เคยโกรธเจ้าพี่เลยแม้แต่น้อย ที่ทำทุกอย่างเพราะเจ้าพี่หวังดีต่อน้อง ฮึก”

“ข้ายอมรับว่าเคยโกรธแค้นท่านมาก แต่เวลามันก็ล่วงเลยผ่านมานานแล้ว ถึงโกรธไปคงไม่มีประโยชน์อันใด ท่านคือพี่ชายของคนรักข้า ก็เปรียบดังพี่ชายข้าเช่นเดียวกัน”

ในวินาทีนั้นอินเหลารีบเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ เหนือคำ ซึ่งกำลังนั่งยิ้ม มองภาพแห่งความสุขของผู้เป็นนาย เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกกุมมือ เหนือคำก็พยายามดึงมือออกแต่ก็ไม่สำเร็จ เห็นรอยยิ้มกวน ๆ ของอินเหลาเจ้าตัวก็ทำหน้าบูดบึ้ง ทำเป็นไม่สนใจ

“บัดนี้ข้ารู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก รู้สึกสบายใจมากขึ้น เจ้าไม่ต้องไปอยู่ที่ต่างเมืองแล้วนะแสงหล้า เราสองพี่น้องจะอยู่ที่นี่ด้วยกันตลอดไป”

“น้องรักเจ้าพี่เหลือเกิน” ว่าแล้วก็ลุกขึ้น โผเข้ากอดพี่ชายอย่างแนบแน่น สร้างความปีติยินดีให้กับประชาชนที่เข้าร่วมงานอภิเษกสมรสกันถ้วนหน้า

“เจ้ารีบเข้าไปเตรียมตัวในหอคำเถิด วันนี้เป็นวันอภิเษกของเจ้าไม่ใช่รึ”

“เจ้าพี่หมายความว่าเช่นไร”

“ก็หมายความว่า วันนี้จะเป็นวันอภิเษกของพวกเจ้าทั้งสองคนเช่นใดเล่า วันนี้เป็นวันมงคล เป็นวันที่เราต่างก็มีความสุข บัดนี้พี่พร้อมจะคืนความสุขให้กับเจ้าแล้วแสงหล้า”

“ขอบพระทัยเจ้าพี่ ฮึก น้องดีใจเหลือเกิน น้องดีใจเหลือเกิน” แสงหล้าโผเข้ากอดพี่ชายอีกครั้ง ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ

“ขอบพระทัยเจ้าหลวง ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” จักรคำยกมือไหว้สาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อความตั้งใจเป็นผลสำเร็จ อุปสรรคที่เคยกั้นขวางความรัก บัดนี้มันได้ถูกทำลายลงแล้ว

หลังจากนั้นพิธีอภิเษกสมรสได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจซึ่งกันและกัน บรรยากาศจึงมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มองไปทางไหนก็เจอแต่ความสุข ความทุกข์ทรมานใจของทุกคนในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา บัดนี้มันได้หมดสิ้นไปแล้ว

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

สามเดือนต่อมา

“ที่ก็ออกกว้าง เหตุใดจึงมานั่งใกล้ข้าเยี่ยงนี้เล่า ออกไปเลย” เหนือคำผลักร่างกำยำของอินเหลาให้ออกห่าง ขณะนั่งอยู่ริมลำธารมองดูน้ำตกอย่างสบายใจ แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็เข้ามาอย่างไม่ให้สัญญาณล่วงหน้า

“พ่อเจ้าสร้างไว้รึไงกัน ข้าจึงนั่งไม่ได้” อินเหลาไม่ฟัง แถมยังเลื้อยมือไปรั้งเอวคอดไว้อีกต่างหาก

“ปล่อยข้า”

“ไม่ปล่อย ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปจากชีวิตข้าแน่” ว่าพร้อมส่งสายตาคมจ้องมองอย่างเสน่หา เห็นแววตาที่จริงใจ เหนือคำก็หลุบตาลงมองที่ผืนน้ำ ดวงหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อ

“ในฐานะใด...”

“เจ้าอยากอยู่ในฐานะใด ข้าให้เจ้าได้หมด”

“ข้าขอเป็นผัวเจ้าได้รึไม่” เหนือคำเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไม่มีทาง! เจ้าต้องเป็นเมียข้าเท่านั้น ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าเอ่อ...” อินเหลาขึ้นเสียงใส่ทันที

“เหตุใดเจ้าต้องจริงจังถึงเพียงนี้ ข้าแค่ล้อเล่น” คนพูดหัวเราะออกมาเบา ๆ

“นี่เจ้าแกล้งข้างั้นรึ โดนดีแน่”

“เจ้าจะทำอันใดอินเหลา ไม่นะ!”

อินเหลาผลักร่างบอบบางลงบนพื้น ตรึงข้อมือเอาไว้เหนือศีรษะ สายตาทั้งสองคู่สอดประสานกันอย่างลึกซึ้ง

“พูดให้ชื่นใจหน่อยซิ ว่าข้าเป็นใคร”

“ถ้าข้าไม่พูดเจ้าจะทำอันใด” เหนือคำยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“ข้าจริงจัง พูดมาเดี๋ยวนี้เลย”

“หอมแก้มข้าก่อนสิ แล้วจะพูดให้ได้ยิน”

ฟอด! ฟอด!

อินเหลาโน้มใบหน้าลงไปหอมแก้มทั้งสองข้างทันที

“รีบพูดมาเร็ว”

“เจ้านี่ช่างเอาแต่ใจเสียจริง ข้าพูดแล้วก็ได้ เจ้า...”

อินเหลาตั้งใจมองด้วยสีหน้าจริงจัง กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

“เร็ว!”

“เจ้าเป็นผัวข้า จะเป็นผัวคนแรกและคนเดียวตลอดไป ข้ารักเจ้านะอินเหลา”

ในที่สุดสิ่งที่อยากได้ยินมาตลอดก็เกิดขึ้นเสียที อินเหลายิ้มกว้าง โน้มใบหน้าลงไปจุมพิตริมฝีปากบางอย่างดูดดื่มและเร่าร้อน ก่อนที่บทรักจะเริ่มต้นขึ้นและดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ

..........

ถัดจากนั้นขึ้นมาจนเกือบจะถึงน้ำตก จักรคำและแสงหล้านั่งคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพของคำน้อยและเมืองแมน ดอกไม้ป่าถูกนำมาวางประดับอย่างสวยงามด้วยฝีมือของคนทั้งสอง บัดนี้สองชีวิตที่พวกเขารักได้ดับสูญไปแล้ว แต่ทว่าความทรงจำดี ๆ ยังคงไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ

“เจ้าพี่จะบอกน้องได้รึยัง ว่าเจ้าเมืองแมนสิ้นชีวิตด้วยสาเหตุใด”

“หลังจากที่เจ้าโดนพาตัวกลับไปเมืองผาพิงค์แล้ว พี่กับอินเหลาก็รีบกลับมาหาเมืองแมน ด้วยกลัวว่าจะโดนทำร้ายไปอีกคน แต่พอมาถึงก็พบว่าเมืองแมนได้ปลิดชีพตัวเองไปเสียแล้ว สิ้นใจตายบนหลุมศพของคำน้อย พี่จึงฝังร่างไว้ข้าง ๆ กัน ให้ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันที่นี่ตลอดไป”

“เจ้าเมืองแมนคงรักคำน้อยมากจริง ๆ ถึงได้ทำเยี่ยงนี้ อย่างน้อยคำน้อยมันก็ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว” เอ่ยพร้อมจ้องมองหลุมศพด้วยรอยยิ้ม ภาพที่คำน้อยเคยดูแลรับใช้และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาฉายให้เห็น ทำให้น้ำตาของแสงหล้าไหลพรากลงมาเป็นทาง

“เหตุใดจึงขี้แยเยี่ยงนี้ ตอนนี้เจ้าไม่ได้เป็นเด็กเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ” จักรคำยกมือขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาออกให้

“ก็น้องคิดถึงคำน้อย”

“พี่เชื่อว่าคำน้อยคงไม่อยากเห็นน้ำตาเจ้าเช่นกัน” จักรคำพยุงร่างบอบบางให้ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากัน เสียงน้ำตกดังให้ได้ยินอยู่เนือง ๆ แต่ทว่ากลับไม่ดังกังวานเท่ากับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อได้เห็นแววตาคมที่เป็นประกายตรงหน้า

“เจ้าพี่...”

“มีอันใดรึ...” จักรคำยิ้มอย่างเอ็นดู

“น้องอยากให้เจ้าพี่อยู่กับน้องที่เมืองผาพิงค์ไปตลอดชีวิต”

“หากพี่บอกว่าคงทำเยี่ยงนั้นไม่ได้ น้องจะเสียใจหรือไม่”

“น้องไม่เสียใจ เพราะรู้ว่าเจ้าพี่มีภารกิจที่จะต้องดูแลคนงานอีกหลายร้อยชีวิตที่ปางไม้ น้องเข้าใจ...แต่ก็อยากให้มาอยู่ด้วยกันอยู่ดี”

“พี่รักเจ้ามากนะแสงหล้า รักจนสามารถตายแทนเจ้าได้ แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่พี่สัญญาว่าหากมีเวลาว่างเมื่อใด จะมาหาเจ้าที่เมืองผาพิงค์ หากในอนาคตอินเหลาสามารถดูแลที่นั่นได้ พี่สัญญาว่าจะมาอยู่กับเจ้าอย่างที่เจ้าต้องการ”

“ได้ยินเยี่ยงนี้น้องก็ดีใจมากแล้ว ต่อจากนี้จะไม่มีใครสามารถแยกเราจากกันได้ ยกเว้นแต่ความตายเท่านั้น”

“หากแม้นชาติหน้ามีจริง เราจะเกิดมาครองคู่กันอย่างนี้ทุกภพทุกชาติ”

“รักกันอย่างนี้ตลอดไป”

กล่าวจบแล้วคนทั้งสองก็ส่งยิ้มหวานให้กัน ก่อนที่จักรคำจะโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่กลางหน้าผากนุ่ม ปิดท้ายด้วยการสวมกอดกันอย่างแนบแน่น เป็นการสัญญาว่าจะไม่จากกันไปไหนจนตราบสิ้นลมหายใจ



จบบริบูรณ์
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-09-2019 22:47:56
อีพี่กลับตัวกลับใจให้อีน้องได้คู่กับคนที่รัก ยก 2  นิ้วให้เลย  :เหอะ1:
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-09-2019 22:53:14
ในที่สุดก็สมหวังสักทีเนอะ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 01-09-2019 23:21:45
จบแล้ว ประทับใจ
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-09-2019 23:23:42
ซาบซึ้งในความฟันฝ่าอุปสรรคความรักของจักรคำและเจ้าแสงหล้า ในที่สุดก็มีวันนี้ขอบคุณนะท่านเจ้าพี่แสงชัยที่ทำเพื่อน้อง คู่ลูกก็ไม่เบาเลย 555  ส่วนคู่คำน้อยและเจ้าเมืองแมนชาติหน้าฉันท์ใดก็ขอให้เกิดมาคู่กันจริงๆนะ //สนุกมากๆค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งมาต่อจนจบ ชอบบ รอตามงานต่อไปเลยค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 02-09-2019 23:03:40
 o13
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 03-09-2019 17:27:16
ได้อยู่ด้วยกันแล้ว เย้
หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 03-09-2019 22:26:42
น้ำตาท่วม กว่าจะสมหวัง

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: ❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ไมเลอร์ ที่ 07-09-2019 19:49:58
แจ้งให้ทราบ

นิยายเรื่อง ทาสรักเชลยหัวใจ มีวางขายในรูปแบบอีบุ๊กด้วยนนะครับ ใครสนใจอ่านรวดเดียวจบไปอุดหนุนกันได้น้า หรือใครอยากจะอุดหนุนไรท์ก็ไปตำได้ครับ ราคาเบา ๆ 179 บาทเท่านั้นเอง

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTU1NTgxOCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijk5OTQwIjt9
หัวข้อ: Re: มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 08:47:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 05-12-2022 01:10:16
ขอบคุณค่ะ