บทที่ 10
เหตุผลที่ทนเจ็บปวด
เมื่อมาถึงคุ้มแล้วคำน้อยก็เดินตามหลังเมืองแมนเข้าไปในตำหนักโดยไม่พูดจาใดๆ เจ้าตัวยังคงนึกถึงสีหน้าและแววตาที่แสงหล้าและคำป้อแสดงออกว่าผิดหวังในตัวเขามากแค่ไหน เขาทำให้คนทั้งสองต้องผิดหวังเสียใจ แต่ทว่าทุกสิ่งอย่างที่ทำเขามั่นใจว่ามันคือทางที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้
เมื่อเครือแก้วเห็นคำน้อยเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก้มลงมองหน้านางเขียนที่นั่งอยู่บนพื้นถลึงตาใส่เชิงตำหนินางข้าไท สื่อว่างานที่สั่งให้ทำนั้นไม่สำเร็จตามเป้าหมาย เครือแก้วเข้าใจว่าคำน้อยจะมาเอาเรื่องที่เธอส่งคนไปทำร้าย
“มึงบอกกูมาสิอีเขียนว่าทำไมมันถึงเดินตามหลังผัวกูมา มึงมันไม่ได้เรื่องเลยให้ตายสิ”
“ข้าเจ้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” นางเขียนทำหน้าเศร้าด้วยความรู้สึกผิด แต่ทว่าในใจกลับพ่นคำก่นด่าผู้เป็นนายไม่หยุดหย่อน
“กูไม่น่าทำตามที่มึงแนะนำเลยจริงๆ ไม่รู้ว่ามันจะมาเอาเรื่องกูถึงที่นี่รึเปล่า” เจ้านางยกนิ้วเรียวขึ้นจิ้มลงตรงกลางหน้าผากนางเขียนแล้วออกแรงผลัก จนศีรษะนางข้าไทโน้มไปตามแรง
“เจ้านางรีบไปเอาใจเจ้าราชวงศ์ก่อนสิเจ้าคะ” นางเขียนเอ่ยแนะนำผู้เป็นนาย
“อย่าริบังอาจมาสั่งกู” เครือแก้วเหลือบตามองนางข้าไทอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินตรงไปหาสวามี
นางเขียนเองก็ไม่ชอบใจนักที่โดนผู้เป็นนายต่อว่าต่อขานอยู่บ่อยๆ ทั้งที่ตัวเธอมีความจงรักภักดีมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดนอย่างนี้ก็ทำให้คนที่เคยคิดว่าสามารถตายแทนได้เริ่มน้อยใจและเบื่อหน่ายขึ้นทุกวันๆ
“เหตุใดเจ้าพี่ถึงพาไอ้เชลยต่างด้าวเข้ามาในตำหนักด้วยล่ะเจ้า” เครือแก้วควงแขนผู้เป็นสวามีเอาไว้ พร้อมทั้งเหลือบตามองผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
คำน้อยไม่ได้มีกะจิตกะใจที่จะต่อกรกับผู้ใดเลยสักนิด เขาอยากไปพักใจอยู่ที่ใดสักแห่งเพียงลำพังเหลือเกิน เพราะในหัวยังคงคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยังคงสะเทือนใจไม่หาย
“คำน้อยจะมาอยู่ที่นี่ในฐานะเมียข้าอีกคน” เมืองแมนเอ่ยกับชายาอย่างไม่ยี่หระ
“กรี๊ดดดดด!!! เหตุใดเจ้าพี่ถึงกับกับข้าเยี่ยงนี้!” เครือแก้วปล่อยแขนสวามีด้วยความน้อยใจ ก่อนจะเดินถอยห่างเล็กน้อย เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาใช้ผู้ชายร่วมกับข้าไทต่างเมือง แถมยังเป็นคนที่เธอเกลียดเข้าไส้อีกด้วย
“มันเรื่องของข้า!” เมืองแมนพูดตอกหน้าชายาก่อนจะหันไปเอ่ยกับนางข้าไททั้งหลาย “ต่อไปนี้คำน้อยคือเมียของข้า มีศักดิ์เป็นเจ้าเยี่ยงเจ้านางเครือแก้ว ให้เรียกคำน้อยว่าเจ้าคำน้อยพวกเอ็งได้ยินรึไม่” เมืองแมนตะโกนสั่งนางข้าไทในตำหนัก
“เจ้าค่ะ” นางข้าไทขานรับพร้อมกัน หนึ่งในนั้นก็คือนางเขียนที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ด้วยความอิจฉาริษยา เมื่อเห็นคำน้อยได้ดีกว่าตัวเอง
“ตามข้ามา” เมื่อทุกคนรับทราบเมืองแมนก็หันไปเอ่ยกับเมียคนใหม่
“ช้าก่อน! เจ้าพี่จักให้มันอยู่ในตำหนักนี้ไม่ได้ ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด!”
“ที่นี่คือคุ้มของข้าเจ้าลืมไปแล้วรึ”
“เจ้าพี่!!” เครือแก้วมองหน้าผู้เป็นสวามีด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด
“อย่ามองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนั้น หากเจ้าไม่อยากเจ็บตัว” เมืองแมนไม่ยอมให้สตรีมามีอำนาจเหนือตนแน่นอน หากผู้ใดมันคิดเหิมเกริมเขาก็จะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น
เมื่อโดนขู่เครือแก้วก็ยอมอ่อนลง เจ้าหล่อนก้มหน้าไม่กล้าสบตาสวามี เพราะรู้ดีว่าเวลาอีกฝ่ายโมโหร้ายนั้นจะต้องโดนอะไรบ้าง
“เอาเถอะ...ข้าจักให้คำน้อยไปอยู่ตำหนักเล็ก” เมืองแมนเอ่ยกับชายา อย่างน้อยก็จะได้ตัดปัญหาว่าทั้งสองจะมีเรื่องตบตีกัน นั่นเพราะตอนนี้เขาไม่ได้มีเวลามากพอที่จะมาสนใจเรื่องผัวๆ เมียๆ อย่างนี้แน่เพราะกำลังมีงานใหญ่ที่ต้องจัดการ
“จริงรึเจ้าพี่...ข้าดีใจเหลือเกินที่อย่างน้อยเจ้าพี่ยังให้ข้าเป็นใหญ่กว่ามัน” เครือแก้วเริ่มยิ้มออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“ข้าไม่อยากให้พวกเจ้ามีปัญหากัน ช่วงนี้ข้าจักไปนอนที่ตำหนักเล็กกับคำน้อยไม่ต้องรอข้านะ” ว่าแล้วเมืองแมนก็เดินนำหน้าไปยังตำหนักเล็ก ซึ่งอยู่ติดกับตำหนักใหญ่ที่เขาและเครือแก้วพำนักอยู่นั่นเอง
ก่อนจะเดินผ่านเมียหลวงไปนั้น คำน้อยก็ไม่ลืมที่จะยิ้มมุมปากเยาะเย้ยเครือแก้ว เชิงเป็นการประกาศศึกอย่างเป็นทางการ ในเมื่อเขาไม่มีทางเลือกแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปให้ถึงที่สุด แม้ว่าตัวเองจะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตามที
หลังจากคำน้อยเดินตามหลังเมืองแมนไปแล้ว เครือแก้วก็ยืนกำมือไว้แน่น ถลึงตามองตามหลังไปอย่างอาฆาตแค้น ตอนแรกกะว่าจะเล่นงานแสงหล้าเพราะเห็นว่าเมืองแมนสนใจอีกฝ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ตอนนี้เจ้าหล่อนคงจะต้องคิดใหม่เสียแล้ว เพราะคนที่น่ากลัวกว่าแสงหล้าเป็นเท่าตัวก็คือคำน้อยต่างหาก
“กรี๊ดดดดดดด!!! กูจะเล่นงานมึงให้จมดินไม่ได้ผุดได้เกิดเลยคอยดู” หลังจากกรีดร้องเสียงดังแล้ว เจ้าหล่อนก็กระทืบเท้าตามไปด้วย ทำให้บรรดานางข้าไทที่นั่งอยู่ต่างก็ก้มหน้างุดไม่กล้าหันมามองเพราะกลัวจะโดนเจ้านางเล่นงานเอา
“ข้าเจ้าสนับสนุนเต็มที่เลยเจ้าค่ะ” นางเขียนยื่นหน้ามาเอ่ยสนับสนุนผู้เป็นนายเพื่อเป็นการเอาใจ แต่ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานั่งคือโดนเท้าถีบยันที่ต้นแขนจนล้มลงกับพื้นซะอย่างนั้น
“โอ๊ยยยย!! ข้าเจ้าเจ็บนะเจ้าคะ”
“นี่มันยังน้อยไปกับการที่มึงทำงานพลาด สั่งคนไปตามเก็บไอ้พวกนั้นให้หมดทุกคนอย่าให้มันปริปากซัดทอดมาถึงกูได้”
“เจ้าค่ะเจ้านาง” นางเขียนก้มหน้ารับคำสั่งด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว แต่ต้องข่มมันเอาไว้ในใจเพราะความจงรักภักดีมันค้ำคออยู่ หากเลือกได้เธออยากจะออกไปอยู่นอกเขตรั้ววัง ใช้ชีวิตอย่างชาวบ้านธรรมดา ไม่อยากเป็นที่ระบายอารมณ์ของเจ้านางผู้มีนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างนี้อีกแล้ว
คำน้อยเดินตามหลังเมืองแมนเข้ามายังตำหนักเล็กๆ ภายในเขตคุ้มเดียวกัน เข้ามาด้านในแล้วเมืองแมนก็สั่งให้บรรดาทหารที่ติดตามมาด้วยออกไปรอหน้าตำหนักเสียก่อน เพราะอยากใช่ช่วงเวลานี้สนทนากับชายาคนใหม่เพียงลำพัง
“นี่คือเรือนใหม่ของเจ้า ข้าว่ามันคงจะดีกว่าเรือนไม้หลังเล็กๆ ในคุ้มเจ้าพี่อยู่มากโข” เมืองแมนเอ่ยกับคำน้อย ที่ตอนนี้เอาแต่ยืนนิ่งเหม่อลอยไร้ซึ่งชีวิตชีวา
“.....”
“ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะคำน้อยอย่าเมินข้าเยี่ยงนี้ เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำตัวอย่างนี้ต่อหน้าข้าเข้าใจหรือไม่” เมื่อโดนอีกฝ่ายเมิน เมืองแมนก็เดินเข้าไปประชิดตัวกอดจากด้านหลัง พรมจูบตามซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย แต่ทว่าคำน้อยกลับไม่ได้ต่อสู้ขัดขืนเลยสักนิด
“ท่านต้องรักษาสัญญาที่ได้เอ่ยกับข้าไว้ หาไม่ข้าจักเป็นคนฆ่าท่านด้วยมือของข้าเอง”
“ได้! ข้าสัญญาขอเพียงแต่เจ้ายอมอยู่ที่นี่อย่าดื้อกับข้าเป็นพอ ตอนแรกข้าหมายปองนายของเจ้าแต่ตอนนี้ข้าไม่ได้สนใจแล้ว เพราะตัวเจ้าน่าสนใจยิ่งกว่าเป็นเท่าตัวนัก อยู่ที่นี่ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง และที่สำคัญห้ามเจ้ากลับไปที่คุ้มหาแสงหล้าอีกเด็ดขาด หากข้ารู้รับรองว่านายของเจ้าไม่รอดพ้นมือข้าไปแน่” เขาเอ่ยพลางกดจมูกคมลงบนซอกคอขาว ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มเรือนร่างบางเอาไว้อย่างช้าๆ
“ข้าไม่มีอารมณ์” คำน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจนัก เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะโดนอีกฝ่ายกระทำย่ำยีอีกครั้ง
“แต่ข้ามี”
เมืองแมนไม่ยอมฟังคำคัดค้าน เขาปลดเปลื้องอาภรณ์ส่วนที่เหลือออก จนตอนนี้คำน้อยยืนตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่ตรงหน้าแล้ว มือหนาสอดไปที่สีข้างก่อนจะวางไว้ที่ยอดปทุมถันเม็ดงาม เขาสะกิดมันเบาๆ ทำเอาร่างบางสะดุ้งโหยงเมื่อได้รับสัมผัสสวาทนั้น
“อ๊ะ...อื้อ” คำน้อยพยายามข่มเสียงตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมา แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งรุกหนักมากขึ้นทำเอาน้ำตาแห่งความเสียใจไหลลงมาเป็นทาง
“หยุดร้องบัดเดี๋ยวนี้รังเกียจข้าขนาดนั้นเลยรึ!” เมื่อน้ำตาของคำน้อยหยดแหมะลงที่แขน ก็ทำให้เมืองแมนอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
“ใช่! ตัวท่านมันสกปรกยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกนี้” เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนสัตว์เดียรัจฉานเลื้อยไต่ร่างกายอยู่ซะอย่างนั้น
“พยศไม่ต่างจากนายของเจ้าเลยสักนิด...ข้าชอบใจยิ่งนัก” ว่าแล้วเมืองแมนก็อุ้มร่างอันเปลือยเปล่าขึ้นในท่าเจ้าสาว ก่อนจะพาเดินไปที่เตียง เมื่อวางร่างคำน้อยไว้บนเตียงแล้วเมืองแมนก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองบ้าง ก่อนจะขึ้นบนไปคร่อมตัวเอาไว้แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเบนหน้าหนีอย่างไร้อารมณ์ร่วม
“มองตาข้า!” เขาออกคำสั่งแต่อีกฝ่ายยังคงเมินเฉย
“พยศไม่ต่างจากนายของเจ้าเลยสักนิด...ข้าชอบใจยิ่งนัก” ว่าแล้วเมืองแมนก็อุ้มร่างอันเปลือยเปล่าขึ้นในท่าเจ้าสาว ก่อนจะพาเดินไปที่เตียง เมื่อวางร่างคำน้อยไว้บนเตียงแล้วเมืองแมนก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองบ้าง ก่อนจะขึ้นบนไปคร่อมตัวเอาไว้แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเบนหน้าหนีอย่างไร้อารมณ์ร่วม
“อยากทำอันใดก็เชิญข้าไม่อาจปฏิเสธท่านได้อยู่แล้ว รีบทำให้มันจบๆ ไปเสีย” คำน้อยหันมามองใบหน้าคมที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่แข็งกร้าว
“ยิ่งเจ้าเมินข้าเยี่ยงนี้ ข้ายิ่งจักยืดเวลาแห่งความสุขนี้ให้มันยาวนาน เจ้าจักได้รู้ว่าความทรมานมันเป็นเยี่ยงไรหึๆ” ว่าแล้วเมืองแมนก็โน้มใบหน้าคมลงบนยอดอกสีกลีบกุหลาบ ส่งลิ้นสากออกมาตวัดเลียวนมันอยู่อย่างนั้นเพื่อทรมานอีกฝ่าย ทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่มีอารมณ์ร่วมก็ให้มันรู้กันไป
“อ๊ะ!” คำน้อยเผลอร้องออกมาก่อนจะขบริมฝีปากล่างเอาไว้ เพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกไปอีก
เมืองแมนจับมือเรียวเล็กให้ไปสัมผัสแก่นกายที่กำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ มันแข็งขันไปทุกสัดส่วนจนคำน้อยต้องชักมือกลับคืนมา ครั้งก่อนที่มีอะไรกันไม่ได้มีความละเมียดละไมถึงเพียงนี้ เมืองแมนรีบยัดเยียดความเป็นชายเข้าไปในตัวนั่นเพราะตอนนั้นเขาขัดขืนอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง
“อย่าปฏิเสธข้า!” เขาสั่งอีกครั้งทำเอาคนที่นอนนิ่งอยู่ถึงกับยอมปล่อยให้เขาทำตามใจอีกครั้ง
คำน้อยจำต้องยอมกำรอบแท่งร้อนนั้นไว้ให้มั่นก่อนจะรูดมันขึ้นลงตามสัญชาตญาณความเป็นชาย มันน่าอายเหลือเกินที่เขาต้องมาทำเช่นนี้ให้กับคนที่เกลียดนักหนา รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร่ค่าไร้ราคาซะเหลือเกิน ที่ต้องมาเสียตัวให้ชายถึงสองคนในเวลาไล่เลี่ยกันอย่างนี้
เมื่ออีกฝ่ายยอมทำตามใจแล้ว เมืองแมนก็สอดมือไปช้อนที่แผ่นหลังดึงตัวคำน้อยให้ขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็ขยับตัวถอยหลังไปเล็กน้อยแล้วกดศีรษะอีกฝ่ายลง ให้ริมฝีปากบางตรงตำแหน่งความเป็นชาย
“อื้อออ อ็อก!!”
เมื่อแท่งร้อนถูกสอดใส่เข้ามาในโพรงปากทำเอาคำน้อยแทบจะสำลักความมหึมานั่น แต่ทว่าเมืองแมนกลับไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสหายใจหายคอ เขาจับศีรษะคำน้อยโยกขึ้นลงเป็นจังหวะ เพื่อสนองความใคร่ให้กับตัวเองก่อนจะเงยหน้าหลับตาพริ้ม สูดปากส่งเสียงเสียวไปด้วยความสุขสม
ไม่นานเจ้าราชวงศ์ก็ผลักร่างบางให้นอนราบลงบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะพลิกตัวให้นอนคว่ำ โน้มตัวนอนทับทาบทุกสัดส่วนของคำน้อยเอาไว้จนแทบขยับตัวไม่ได้ มือเรียวทั้งสองข้างถูกตรึงเอาไว้บนเตียงแน่น ขาเรียวทั้งสองข้างถูกแยกออกจากกันด้วยท่อนขาแกร่ง
“ข้าต้องการเจ้าเหลือเกินคำน้อย ข้าต้องการเจ้าได้ยินหรือไม่” เมืองแมนเอ่ยเสียงกระเส่าข้างใบหูงาม ปล่อยมือข้างหนึ่งไปจับแก่นกายถูไถที่แก้มก้นงามงอนอย่างหื่นกระหาย ไม่นานเขาก็ปล่อยน้ำบ่อน้อยจากปากลงบนฝ่ามือ เพื่อใช้เป็นน้ำหล่อลื่นในการนำพาความเป็นชายเข้าไปในตัวคำน้อย
ชายร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนสัมผัสที่ช่องทางรัก ยิ่งเมื่อเมืองแมนส่งนิ้วหนาเข้าไปลองเชิงเจ้าตัวยิ่งอยู่ไม่สุข นิ้วเรียวทั้งห้ากำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น ขบริมฝีปากล่างเอาไว้เพื่อข่มความเจ็บปวดที่กำลังค่อยๆ แผ่ซ่านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ...อื้อ...ฮึก”
เมื่อนิ้วหนาถูกแทนที่ด้วยแท่งร้อนยาวใหญ่ คำน้อยก็เบิกตาโพลงด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลพรากลงมาเป็นสาย เจ้าตัวทำได้เพียงซบแก้มขาวนวลลงบนเตียงร้องไห้โฮด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา
“ซี๊ดส์!!!! ข้ามีความสุขเหลือเกินคำน้อย ถ้าเจ้าทำตัวดีๆ ข้าสัญญาว่าจักดูแลเจ้าให้มีความสุข อ่าส์!” เมืองแมนเอ่ยเสียงกระเส่าข้างใบหูสวยขณะกระแทกกระทั้นความใหญ่โตเข้ามาในร่างของคำน้อย ชายหนุ่มเอาแต่พรมจูบไปตามแผ่นหลังสวยด้วยความพอใจเป็นที่สุด
นิ้วทั้งห้าของคำน้อยที่กำผ้าปูที่นอนอยู่นั้นจำต้องคลายออกมา เมื่อโดนอีกฝ่ายประสานนิ้วแกร่งเอาไว้แน่น เรือนร่างกำยำของเมืองแมนที่ทับทาบอยู่บนร่างเล็กขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ ทำเอาความร้อนรุ่มภายในกายแผ่ซ่านไปทั้งร่าง อุณหภูมิร่างกายที่สูงลิ่วส่งเหงื่อกาฬให้ผุดออกมาจากรูขุมขนอยู่เนืองๆ จนเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง
“อือ...อ้าส์....อ๊ะ”
ความเสียวซ่านที่อีกฝ่ายส่งมาให้ผ่านช่องทางรัก ทำเอาคนที่นอนอยู่ใต้ร่างเผลอร้องครวญครางออกมาเป็นระยะ เมืองแมนยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะเร่งจังหวะรักให้รุนแรงขึ้น
“ขะ...ข้าไม่ไหวแล้วคำน้อย ข้าไม่ไหวแล้วววว!!!” เมืองแมนพร่ำบอกกับอีกฝ่าย พรมจูบตามแผ่นหลังขาวนวลเนียนอย่างบ้าคลั่ง เร่งจังหวะรักระรัวเพื่อส่งน้ำสวาทเข้าไปในตัวอีกฝ่าย
“อ๊ากกกก...อื้อออออ”
ในที่สุดของเหลวสีขาวขุ่นก็พุ่งกระฉูดเข้าไปในตัวคำน้อย เมืองแมนกระตุกตัวหลายครั้งก่อนจะฟลุบตัวทับทาบบนร่างบางอย่างหมดแรง ใบหน้าหล่อคมเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ลมหายใจอุ่นเป่ารดที่แผ่นหลังงามขณะคลอเคลียใบหน้าราวกับโหยหาสิ่งนี้มาแสนนาน พรมจูบครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับพอใจเรือนร่างนี้เป็นที่สุด
คำน้อยนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนส่วนใดของร่างกายเลยสักนิด มีเพียงน้ำใสๆ ที่ไหลลงมาจากดวงตาสวยเท่านั้น ตอนนี้เขาควรจะตัดใจจากคำป้อแล้วสินะ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักนิดเพราะตัวเขาก็มีมลทินไปเสียแล้ว ยิ่งคิดน้ำตายิ่งไหลลงมาไม่หยุดหย่อนจนผ้าปูที่นอนเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำตา
“คิดอันใดอยู่รึเมียข้า” เมืองแมนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกดจมูกลงที่แก้มขาวอย่างเสน่หา
“ฮึก” คำน้อยไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้ร้องห่ม
“ถึงเจ้าจักร้องไห้จนตายก็ไม่อาจหนีจากข้าไปไหนได้แน่ จงทำใจยอมรับเสียเถอะ จากเจ้ายังคงดื้อดึงนายของเจ้าคงจักได้มาเป็นเมียของข้าอีกคนแน่” ในเมื่อพูดดีๆ แล้วไม่ให้ความร่วมมือ เขาจึงจำเป็นจะต้องเอาเรื่องนี้มาขู่เพื่อให้อีกฝ่ายตื่นตัว
“ไม่นะ! ห้ามทำเยี่ยงนั้นเด็ดขาด” คำน้อยเหลือบตามองคนที่นอนทับทาบอยู่บนตัวอย่างไม่เป็นมิตร
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรจักเชื่อฟังข้า ห้ามดื้อห้ามขัดใจข้ารู้หรือไม่”
“หากท่านยอมทำตามสัญญา ข้าเจ้าก็จักยอมเชื่อฟังท่านทุกอย่าง”
“ดีมากเมียข้า...นอนเอาแรงเสียเถิดอย่าได้คิดเรื่องอันใดอีกเลย”
เมืองแมนเขยิบตัวมานอนข้างกัน ก่อนจะยกศีรษะอีกฝ่ายขึ้นเล็กน้อยสอดแขนไปรองเพื่อให้อีกฝ่ายใช้ต้นแขนแกร่งหนุนแทนหมอน คำน้อยได้แต่ยอมนอนนิ่งๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ
ในเมื่อตอนนี้เจ้าตัวตกเป็นเมียเมืองแมนไปแล้วคงจะต้องทำใจยอมรับความจริงให้ได้ ทำหน้าที่เมียให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เมืองแมนไปทำอันตรายเจ้านายของตัวเอง และอีกอย่างเขาจะต้องเอาชนะเครือแก้วให้ได้เพื่อทำให้เจ้าหล่อนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพราะมั่นใจว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการโดนฉุดทำร้ายต้องเป็นฝีมือของเครือแก้วอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่มาอยู่ในเมืองนี้เขาและแสงหล้าไม่เคยมีเรื่องกับผู้ใดเลยนอกจากเครือแก้วและนางข้าไทที่ชื่อเขียนเท่านั้น