มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]  (อ่าน 25369 ครั้ง)

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




ทาสรักเชลยหัวใจ

นิยายวายแนวพีเรียด
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-09-2019 19:50:52 โดย ไมเลอร์ »

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
สวัสดีครับ...

         วันนี้มีโอกาสได้มาเปิดเรื่องใหม่ ซึ่งเป็นแนวพีเรียดเรื่องแรก ภาษาที่ใช้อาจจะไม่ได้สละสลวยมากนัก คนเขียนต้องขออภัยด้วยนะครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของคนเขียนล้วนๆ ไม่ได้พาดพิงถึงบุคคลใดๆในประวัติศาสตร์เลย

หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ

-------------------------------------------------------------------------------------


-๑-

เสียเอกราช



          เสียงปืนใหญ่ดังระงมจากภายนอกคุ้ม ทำให้ชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ใบหน้าเรียวรูปไข่ ที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก เจ้าตัวรีบลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบเสื้อคลุมที่วางพาดอยู่หัวเตียงมาสวมใส่ ในระหว่างนั้นประตูไม้ที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายกนกดูงดงามอ่อนช้อยก็ถูกเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของข้าไทคนสนิท ‘คำน้อย’ ก้มลงกราบบนพื้นแล้วเอ่ยรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

            “เกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นคำน้อย” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยถามด้วยสีหน้าตระหนก

            “มีข้าศึกนำกำลังเข้ามาโจมตีเมืองเจ้า” คำน้อยเอ่ยรายงานผู้เป็นนายด้วยสีหน้าเป็นกังวล

            “แล้วเจ้าพ่อกับเจ้าพี่ล่ะอยู่ที่ใด” สิ่งแรกที่ ‘แสงหล้า’ นึกถึงนั่นคือบิดาและพี่ชายที่อยู่อีกคุ้ม หากมีการศึกเยี่ยงนี้เจ้าตัวทราบดีว่าคนทั้งสองจะต้องออกไปปกป้องบ้านเมือง ไม่ให้ข้าศึกเข้ามารุกรานได้เป็นอันขาด นั่นหมายความว่ามีโอกาสที่จะได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต

            “เจ้าหลวงกับเจ้าอุปราชนำทัพไปสู้กับพวกมันที่ลานศึกแล้วเจ้า”

            “ข้าจะออกไปช่วยเจ้าพ่อกับเจ้าพี่ขับไล่พวกมันออกจากเมือง” ว่าแล้วก็รีบหยิบดาบประจำกายที่วางอยู่ใต้หมอนออกมา หมายจะออกไปช่วยบิดาและพี่ชายปกป้องบ้านเมือง

            “อย่าออกไปเลยนะเจ้า เจ้าอุปราชให้ข้าเจ้าพาเจ้านายน้อยหนีออกไปทางด้านหลังคุ้ม ก่อนที่พวกมันจะบุกเข้ามาในหอคำ” คำน้อยได้รับคำสั่งจากเจ้าอุปราช ก่อนจะออกไปที่ลานศึกหน้ากำแพงเมือง

            “ไม่! ข้าจะออกไปสู้กับพวกมัน” ว่าแล้วแสงหล้าก็ลุกขึ้นจะเดินออกไปจากคุ้ม แต่คำน้อยรีบรั้งขาผู้เป็นนายไว้ไม่ให้ออกไป

            “เจ้านายน้อยอย่าไปเลยนะเจ้า การศึกเยี่ยงนี้มันอันตราย ข้าเจ้าไม่ยอมให้เจ้านายน้อยต้องไปเสี่ยงเป็นอันขาด”

            “ยิ่งอันตรายข้ายิ่งต้องออกไป เจ้าพ่อกับเจ้าพี่จะเป็นตายร้ายดียังไงข้าก็หารู้ไม่” แสงหล้าไม่ฟังคำทัดทานจากข้าไทคนสนิท สลัดขาก้าวไปข้างหน้าจนหลุดพ้นจากการเกาะกุม แล้วรีบวิ่งออกไปยังกำแพงเมือง คำน้อยได้แต่รีบวิ่งตามไปด้วยความกังวลใจ

            แสงหล้าวิ่งออกไปจากคุ้มแล้วมองไปรอบๆก็แทบจะขาดใจ เมื่อเห็นคุ้มต่างๆถูกปืนใหญ่ยิงเข้ามาจนพังพินาศ ควันไฟที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณทำให้รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก เจ้าตัวกัดฟันวิ่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองเพื่อมองหาบิดาและพี่ชายที่ลานศึก ดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกอย่างมันจะสายเกินไปเสียแล้ว นั่นเพราะกำลังพลที่เคยมีหลายพันนาย บ่างส่วนนอนตายระเนระนาดจนเกลื่อนไปทั่วลานศึกหน้าประตูเมือง บางส่วนต้องวางอาวุธลงบนพื้นอย่างจำยอม เพราะตอนนี้บิดาและพี่ชายของตนถูกข้าศึกฝ่ายตรงข้ามจับตัวเอาไว้เสียแล้ว น้ำตาแห่งความเสียใจไหลพรั่งพรูลงมาเป็นสาย แสงหล้าทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงบนกำแพงเมืองอย่างสิ้นหวัง

            “เจ้าพ่อ!” แสงหล้าตะโกนไปสุดเสียงหวังจะให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ว่าตัวเองยังอยู่ตรงนี้ไม่ได้หนีไปไหน

            “โธ่! แสงหล้าลูกพ่อทำไมเจ้าไม่หนีไป” ‘เจ้าหลวงแสงคำ’ เปรยออกมาเบาๆ น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้หยดแหมะลงบนผืนแผ่นดินเกิด ตอนนี้เขาไม่สามารถปกป้องบ้านเมืองเอาไว้ได้เสียแล้ว แม้นตายคงไม่กล้าไปสู้หน้าบรรพบุรุษ ที่เคยต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อเพื่อผืนแผ่นดินนี้มาตั้งแต่ครั้งในอดีต

            “แสงหล้าน้องพี่รีบหนีไปเร็ว!” ‘แสงชัย’ ตะโกนเสียงดัง ขณะโดนทหารของอีกฝ่ายคุมตัวเอาไว้

            ดูเหมือนว่าน้องชายจะไม่ฟังสิ่งที่เขาพูดออกไป กลับลงจากกำแพงเมืองเดินอย่างอาจหาญมายังลานศึกพร้อมกับข้าไทคนสนิท ในมือก็ถือดาบคู่กายยืนประจันหน้ากับข้าศึกฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เกรงกลัว

            “นี่คงเป็นแก้วตาดวงใจของเจ้าหลวงเมืองผาพิงค์สินะ” ‘จักรคำ’ แม่ทัพของเชียงราชคำเอ่ยขึ้นเสียงดัง เมื่อเห็นความอาจหาญของชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็แค่นยิ้มอย่างพอใจ

            “ทำไมลูกไม่หนีไป” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยกับบุตรชายคนเล็ก

            “จะให้ลูกหนีไปได้เยี่ยงไร ในเมื่อตอนนี้เจ้าพ่อกับเจ้าพี่กำลังตกอยู่ในอันตราย ลูกทำเยี่ยงนั้นไม่ได้” แสงหล้าร้องไห้อย่างหนักหน่วงเมื่อเห็นสภาพของคนที่รักทั้งสอง ถูกจับนั่งคุกเข่าอยู่บนแผ่นดินเกิดของตัวเองอย่างไร้ศักดิ์ศรี

            “ข้าว่าเราไปทำข้อตกลงกันในหอคำดีหรือไม่” จักรคำเอ่ย

            “ข้าไม่มีทางให้เจ้าเข้าไปเหยียบในหอคำเป็นอันขาด” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยออกมาด้วยความเด็ดเดี่ยว เขาไม่มีทางให้พวกศัตรูที่มาข่มเหงชาวเมืองผาพิงค์ เข้าไปเหยียบในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเป็นอันขาด

            “เจ้าหลวงไม่มีสิทธิ์พูดอันใดแล้ว คุมตัวทุกคนเข้าไปในหอคำบัดเดี๋ยวนี้” สิ้นคำสั่งเหล่าทหารของเชียงราชคำก็เข้าไปจับตัวแสงหล้าและคำน้อยทันที ส่วนเจ้าหลวงแสงคำและเจ้าแสงชัยก็ถูกจับให้ลุกขึ้น แล้วคุมตัวเดินตรงไปยังหอคำ ซึ่งเป็นสถานที่ว่าข้อราชการและเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเมืองผาพิงค์

            ทั้งหมดถูกคุมตัวเข้ามายังหอคำแล้วถูกจับให้นั่งคุกเข่าอยู่ในท้องพระโรง เจ้าหลวงแสงคำมองดูบังลังค์ตั่งทองที่เคยนั่งว่าราชการอย่างคับแค้นใจ ตอนนี้ศัตรูต่างถิ่นได้เขามาเหยียบในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมือง มันเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของคนเป็นเจ้าหลวงเสียเหลือเกิน

            จักรคำเดินขึ้นไปยืนอยู่ตรงหน้าบัลลังค์ตั่งทองอย่างอุกอาจ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้นั่งลงแต่อย่างใดเพราะยังให้เกียรติกับเจ้าหลวงของเมืองนี้อยู่นั่นเอง

            “ลงมาจากตั่งทองของพ่อข้าบัดเดี๋ยวนี้” แสงชัยตะโกนลั่นใส่หน้าแม่ทัพของเชียงราชคำอย่างเดือดดาล

            “ข้าคงทำตามที่เจ้าร้องขอไม่ได้เพราะตอนนี้ เมืองผาพิงค์ได้เป็นเมืองขึ้นของนครหลวงเชียงราชคำอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าหลวงมีหน้าที่ส่งเครื่องบรรณาการไปถวายราชสำนัก นครหลวงเชียงราชคำเป็นประจำทุกปีไม่ให้ขาด ไม่เช่นนั้นแล้วจะถือว่าพวกท่านกระด้างกระเดื่อง” จักรคำประกาศกร้าวต่อหน้าเจ้าหลวงและบรรดาข้าราชบริพารที่ถูกคุมตัวอยู่ในหอคำ

            “ข้าไม่ยอมให้เมืองผาพิงค์ตกเป็นเบี้ยล่างของพวกเจ้าแน่นอน” เจ้าหลวงแสงคำกำหมัดแน่น โกรธแค้นจนใบหน้าสั่นเทา เพ่งมองคนที่ยืนอยู่หน้าบังลังค์ตั่งทองของตัวเองอย่างเคียดแค้น

            “หากมันผู้ใดไม่ยอมรับ ข้าก็ต้องกำจัดให้สิ้นซากไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น...แม้แต่เจ้าหลวง” จักรคำประกาศกร้าวเสียงดังอย่างเด็ดขาด ทำให้ทุกคนที่ถูกคุมตัวก้มหน้าลงอย่างเกรงกลัวในอำนาจ ยกเว้นแสงหล้าที่จ้องมองเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด

            “มีอันใดจะพูดกับข้าหรือไม่เจ้าแสงหล้า” จักรคำยิ้มเยาะเมื่อเห็นความกล้าของอีกฝ่าย

            “ข้า-เกลียด-เจ้า” แสงหล้าเอ่ยเสียงต่ำแบบเน้นคำบ่งบอกว่ากำลังโกรธแค้นเหลือทน

            “ถ้าข้าเป็นเจ้าจะไม่พูดเยี่ยงนี้ เพราะวันพรุ่งเจ้าจะต้องกลับไปที่นครหลวงเชียงราชคำกับข้า” พูดแล้วก็ยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัย ทำเอาแสงหล้าถึงกับหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที

            “มะ...หมายความว่าเยี่ยงไร” เมื่อได้ยินอย่างนั้นทำเอาแสงหล้าถึงกับทรุดตัวลงบนพื้นจนคำน้อยรีบพยุงตัวเอาไว้

            “แม้ตอนนี้เมืองผาพิงค์เป็นเมืองขึ้นของนครหลวงเชียงราชคำแล้ว แต่ทุกอย่างที่นี่จะยังคงเหมือนเดิม ตั่งทองนี้ยังคงเป็นของเจ้าหลวง เว้นแต่ข้าจะต้องคุมตัวเจ้าแสงหล้ากลับไปที่นครหลวงเชียงราชคำด้วย เพื่อเป็นประกันว่าเจ้าหลวงแห่งเมืองผาพิงค์จะไม่กระด้างกระเดื่องต่อเมืองของข้า หากวันใดที่พวกท่านคิดก่อการกบฏ เจ้าแสงหล้าจะหามีชีวิตอยู่ต่อไม่” จักรคำเอ่ย

            “ข้าไม่ไปข้าจะขอตายอยู่ที่นี่” แสงหล้ารีบปฏิเสธทันควัน เขาไม่มีทางไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแน่นอน หากตายก็ขอตายที่เมืองผาพิงค์เท่านั้น

            “ทำไมพวกข้าจะต้องทำตามที่เจ้าบอกด้วย” แสงชัยเอ่ยขึ้น

            “ถ้าพวกท่านไม่ยอมรับการเป็นเมืองขึ้น ข้าจะพังที่นี่ให้ราบคาบ และไม่ไว้ชีวิตผู้ใดแม้แต่คนเดียว คนฉลาดอย่างเจ้าคงรู้ดีว่าจะเลือกทางไหน” แม้จะให้ทางเลือกแต่ก็เหมือนเป็นการบีบบังคับให้เลือกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ

            แสงชัยกำหมัดแน่นเมื่อหมดหนทางที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้ เขาไม่มีทางให้ประชาชนต้องมาเดือดร้อนเพราะความรั้นของตัวเองเป็นแน่ แต่ก็เป็นห่วงน้องชายมากเหลือเกิน กลัวว่าจะไปตกระกำลำบากที่ต่างเมือง ยิ่งไปอยู่ในฐานะเชลยแล้วยิ่งปวดใจ

            “ข้าขอไปแทนน้องข้าได้หรือไม่” แสงชัยเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว

            “ไม่! เอาข้าไปแทนเถิด” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยขึ้นถัดจากนั้น ทำเอาบุตรชายทั้งสองหันไปมองหน้าทันที

            “ไม่นะเจ้าพ่อ” แสงหล้าเอ่ยน้ำตานองหน้า

            “พ่อแก่แล้วให้พ่อไปยังดีกว่าให้ลูกของพ่อต้องไปตกระกำลำบาก” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยกับบุตรชาย

            “พวกท่านไม่มีสิทธิ์เลือก คนที่จะต้องไปคือเจ้าแสงหล้าเท่านั้น” จักรคำยื่นคำขาด

            “เจ้าพ่อมิต้องห่วง ลูกจะไปเพื่อบ้านเมืองของเรา เพื่อประชาชนของเรา เจ้าพ่อกับเจ้าพี่ต้องอยู่ที่นี่ เป็นเสาหลักให้ชาวเมืองนะเจ้า..ฮึก” เมื่อเลี่ยงไม่ได้ แสงหล้าก็พยายามรวบรวมสติแล้วทำใจฮึดสู้อีกครั้ง เลือดนักสู้ในตัวเขามันยังเข้มข้นอยู่ไม่หาย

            เมื่อได้ยินคำพูดที่เด็ดเดี่ยวของแสงหล้า ทั้งสองก็น้ำตาร่วงแล้วพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ แม้จะเจ็บปวดเพียงใด แต่เพื่อให้บ้านเมืองได้เดินหน้าต่อไป ทั้งสองจะต้องทนรับความเจ็บปวดนี้ให้ได้

            “ขอให้ข้าเจ้าติดตามไปรับใช้เจ้านายน้อยด้วยเถิดเจ้า” คำน้อยยกมือไหว้จักรคำวอนขอไปรับใช้เจ้านายที่ต่างเมืองด้วย

            “เจ้าต้องอยู่ที่นี่ดูแลเจ้าพ่อนะคำน้อย” แสงหล้าเอ่ยกับข้าไทคนสนิท แต่คำน้อยกลับส่ายหน้าร้องไห้แล้วซบหน้าลงที่ฝ่าเท้าของผู้เป็นนาย

            “ข้าอนุญาต” จักรคำเห็นว่าหากไปอยู่ที่นั่นเพียงลำพังอาจจะทำให้แสงหล้ารู้สึกโดดเดี่ยว หากมีเพื่อนคุยอาจจะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขาเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายไส้ระกำขนาดนั้น ทุกอย่างที่ทำลงไปเพราะเป็นคำสั่งของบิดาเท่านั้นเอง

            “ขอบน้ำใจเจ้า” รอยยิ้มปรากฏบนหน้าของคำน้อย เขาจ้องมองหน้าผู้เป็นนายแล้วร้องไห้ด้วยความดีใจ อย่างน้อยก็จะได้ไปดูแลอย่างใกล้ชิดที่ต่างเมือง

            “เอาล่ะข้าจะให้พวกท่านไปพักผ่อนในคุ้มเสียก่อน แต่อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะทหารของข้าจะตรึงกำลังไว้ทั่วเมือง หากผู้ใดคิดกระด้างกระเดื่องขึ้นมา ข้าจะจับตัดหัวทันทีไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ส่วนเจ้าแสงหล้าเตรียมตัวให้พร้อม เพราะวันพรุ่งเจ้าต้องเดินทางกลับเชียงราชคำกับข้าตั้งแต่เช้าตรู่” จักรคำประกาศกร้าวให้คนที่อยู่ในหอคำรับทราบก่อนจะเดินออกไป แต่ยังคงสั่งทหารให้ตรึงกำลังไว้ทุกจุดอย่างเข้มงวด

            หลังจากจักรคำเดินออกไปแล้ว สามคนพ่อลูกก็โผเข้ามากอดกันทันที แสงหล้าซบหน้าลงบนตักบิดาราวกับจะไม่มีโอกาสกลับมาสัมผัสไออุ่นนี้อีกตลอดชีวิต ส่วนแสงชัยก็มองน้องชายด้วยความสงสารและคับแค้นใจ สักวันเขาจะต้องพาตัวน้องชายกลับมาที่นี่ให้ได้

            “พ่อผิดเองที่ไม่สามารถปกป้องบ้านเมืองเราจากพวกเชียงราชคำได้” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยอย่างตัดพ้อคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ไม่สามารถรักษาเอกราชของบ้านเมืองไว้ได้ แถมบุตรชายคนเล็กยังต้องถูกนำตัวไปเป็นตัวเชลยที่เมืองนั้นอีกด้วย

            “เจ้าพ่ออย่าโทษตัวเองเลยเจ้า คนที่ผิดคือพวกมัน” แสงชัยเอ่ยปลอบใจบิดา

            “ลูกให้สัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี เจ้าพ่อกับเจ้าพี่ไม่ต้องเป็นห่วง” แสงหล้าเอ่ยกับคนทั้งสอง

            “พี่สัญญาว่าจะพาน้องกลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตพี่ก็ตาม” แสงชัยให้สัญญากับน้องชาย พลางใช้มือหนาลูบไล้ที่เรือนผมอย่างปลอบโยน

            “เจ้าพี่อย่าพูดเยี่ยงนั้น น้องจะอดทนอยู่ที่นั่นให้ได้ รอวันที่ผาพิงค์เป็นอิสระอีกครั้ง”

            “เอ็งต้องดูแลน้องข้าให้ดีนะคำน้อย” แสงสัยหันไปเอ่ยกับข้าไทที่เขาไว้ใจได้

            “เจ้า..ข้าเจ้าจะไม่ให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้านายน้อยได้เป็นอันขาด” คำน้อยให้สัญญากับเจ้านายทั้งสอง

            “ขอบน้ำใจเอ็งมาก” เจ้าหลวงเอ่ย

            “คืนนี้ลูกขอนอนที่คุ้มเจ้าพ่อเป็นคืนสุดท้ายได้หรือไม่เจ้า” ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยห่างบ้านห่างเมืองไปไหนเลยแม้แต่หนเดียว คิดแล้วก็แทบจะขาดใจเสียเหลือเกิน

            “ได้สิลูกคืนนี้พ่อจะไม่ให้เจ้าห่างอกพ่อแม้แต่น้อย”

            “ลูกจะพาทหารที่เหลือมาเฝ้าอารักขาที่หน้าคุ้มหลวงทั้งคืน เจ้าพ่อจะได้ไม่ต้องทรงกังวลอันใด” แสงชัยเอ่ย

            “เจ้าเองก็ควรไปพักเอาแรงเสียก่อนปล่อยให้ทหารมันอยู่เฝ้ายามเป็นพอ”

            “ถ้าเช่นนั้นลูกจะไปอยู่ที่คุ้มกับเจ้าพ่อและน้อง จะได้วางใจว่าเจ้าพ่อจะทรงปลอดภัย” เจ้าหลวงพยักหน้ารับแล้วหันไปเอ่ยกับคำน้อยอีกที

            “คำน้อยเอ็งพาลูกข้าไปเก็บสัมภาระที่คุ้มก่อน แล้วค่อยพามาที่คุ้มหลวง” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยกับข้าไท

            “เจ้า” คำน้อยตอบรับ

            “ลูกขอไปเก็บสัมภาระที่คุ้มก่อน หากเสร็จแล้วลูกจะไปเข้าเฝ้าเจ้าพ่อที่คุ้มนะเจ้า” แสงหล้าเอ่ยกับบิดาแล้วก้มกราบแทบเท้า หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกจากหอคำโดยมีข้าไทคนสนิทเดินตามหลังไป

            เมื่อแสงหล้าออกไปจากหอคำแล้ว เจ้าหลวงได้เดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังค์ตั่งทองอย่างเศร้าใจ ขณะที่แสงชัยก็นั่งลงบนตั่งด้านล่าง ส่วนข้าราชบริพารต่างก็พากันนั่งร้องไห้ระงมด้วยความเสียใจ จากเมืองเล็กๆที่เคยปกครองตัวเองมาอย่างยาวนาน แต่วันนี้กลับต้องมาเสียเอกราชให้กับเมืองใหญ่ที่กระหายสงครามอย่างนครหลวงเชียงราชคำ เจ้าหลวงแสงคำพยายามทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อจะฟื้นฟูและสร้างเมืองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เผื่อในอนาคตจะหาทางแยกตัวเป็นอิสระอีกครั้ง และพาตัวบุตรชายคนเล็กกลับมาที่เมืองผาพิงค์ให้จงได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2018 22:55:48 โดย ไมเลอร์ »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 ไมพระเอก มันบ้าสงครามฟะ   :serius2:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
มารอตอนต่อไป
แสงหล้าสู้ๆ
 :mew3:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบบ :pig2:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๒-

จากบ้าน



          บรรยากาศหน้ากำแพงเมืองตอนนี้อบอวลไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ เสียงร่ำไห้ของเหล่าข้าไทที่เคยรับใช้ใกล้ชิดเจ้าแสงหล้าดังระงมไปทั่วพระนคร ไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้าเมืองและเจ้าอุปราชที่ยอมแสดงความอ่อนแอหลั่งน้ำตาต่อหน้าข้าราชบริพาร การจากลาครั้งนี้ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่เมืองผาพิงค์สูญเสียเจ้านางหลวงเมื่อหลายปีที่แล้ว

           เหล่ากำลังพลบางส่วนของเชียงราชคำเตรียมพร้อมเคลื่อนทับกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน อีกส่วนก็อยู่ควบคุมสถานการณ์ที่เมืองผาพิงค์ไปก่อนสักระยะ ทหารของเมืองผาพิงค์นำสัมภาระของแสงหล้าไปขึ้นไว้บนรถม้าเรียบร้อยแล้ว ส่วนจักรคำยืนถือดาบคู่กายจ้องมองเจ้านายน้อยแห่งเมืองผาพิงค์กอดกับบิดาร่ำไห้แทบจะขาดใจ เจ้าตัวดูแล้วก็รู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อยแต่สงครามก็คือสงคราม ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีคนแพ้คนชนะ ต้องมีฝ่ายที่สูญเสียนั่นคือสัจธรรม

            “ดูแลตัวเองดีๆนะลูกพ่อ” หลังจากกอดกันอยู่นาน เจ้าหลวงแสงคำก็ผละตัวบุตรชายออกมาแล้วมองหน้าให้ชัดๆอีกครั้งก่อนจะไม่ได้เห็นอีกนาน มันเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะเจ็บปวดไม่ต่างจากตอนที่สูญเสียเมียสุดที่รักไปจากโรคร้ายเมื่อหลายปีก่อน

            “เจ้า...ลูกจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเจ้าพ่ออย่าได้เป็นกังวลอันใดเลยนะเจ้า” แสงหล้าจ้องมองบิดาอย่างไม่วางตา เขาอยากหยุดเวลาเอาไว้อย่างนี้ตลอดไป ไม่อยากจากทุกคนที่นี่ไปไหนเลย ขณะคิดน้ำตาแห่งความเสียใจก็ไหลลงมาเป็นสายไม่ยอมหยุด

            “พ่อสัญญาว่าจะพาเจ้ากลับมาบ้านเราให้จงได้ พ่อรักลูกมาก ขอผีหลวงช่วยตามไปปกปักรักษาลูกที่เชียงราชคำด้วยเถิด” เจ้าหลวงแสงคำเอ่ยกับบุตรชาย

            “ลูกจะรอวันนั้นเจ้า...ไม่ว่าจะกี่ปีกี่เดือนหรือตลอดชีวิตลูกก็จะรอ ลูกขอกราบทูลลาเจ้าพ่อ” พูดแล้วก็โผเข้ากอดบิดาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ก้มลงกราบแทบเท้าบิดา พร้อมทั้งแนบแก้มขาวประทับบนฝ่าเท้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะลุกขึ้นไปร่ำลาผู้เป็นพี่ชายต่อ

            “ฝากดูแลเจ้าพ่อด้วยนะเจ้า น้องขอกราบทูลลาหากมีบุญวาสนาเราคงได้กลับมาพบเจอกันอย่างพร้อมหน้าอีกครั้งเจ้า” แสงหล้าเอ่ยกับพี่ชายแล้วโผเข้ากอด

            “น้องไม่ต้องห่วงพี่จะดูแลเจ้าพ่อเองอย่าได้เป็นกังวลอันใด อยู่ที่นั่นน้องต้องดูแลตัวเองดีๆอย่าให้ผู้ใดมารังแกน้องได้เป็นอันขาด จงภูมิใจในเลือดขัตติยาแห่งเมืองผาพิงค์ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นน้องต้องเข้มแข็ง หากวันใดฟ้าดินเห็นใจเราคงได้เจอกันอีกครั้ง” แสงชัยเองก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน วันนี้เจ้าอุปราชได้หลั่งน้ำตาให้กับชาวเมืองได้เห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต

            “น้องจะรอวันที่เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกนะเจ้า” ว่าแล้วก็ก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นพี่ชาย

            ระหว่างนั้นจักรคำที่ยืนรออยู่เห็นควรแก่เวลาที่จะออกเดินทางแล้วจึงเอ่ยแจ้ง...

            “ถึงควรแก่เวลาที่ต้องออกเดินทางกันแล้ว เจ้าแสงหล้าจงขึ้นไปยังรถม้าบัดเดี๋ยวนี้”

            คำน้อยได้ยินก็รีบก้มลงกราบแทบเท้าลาเจ้านายทั้งสองพระองค์ทันที

            “ข้าเจ้าขอกราบทูลลาเจ้าหลวงและเจ้าแสงชัยเจ้า”

            “ดูแลลูกข้าให้ดีนะคำน้อย แสงหล้าไม่มีผู้ใดนอกจากเจ้าแล้ว จงทำหน้าที่แทนข้าอย่าให้ข้าต้องผิดหวัง ส่วนเจ้าก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ” เจ้าหลวงเอ่ย

            “ข้าเจ้าจะดูแลเจ้านายน้อยให้ดีที่สุด หากแม้นตายแทนได้ข้าเจ้าก็จะทำ” คำน้อยให้คำสัญญากับเจ้าหลวง

            บิดาและมารดาของคำน้อยเป็นข้าไทในคุ้มหลวงมาก่อน ทั้งสองเสียชีวิตด้วยโรคระบาดเมื่อครั้งคำน้อยยังเป็นเด็ก เจ้าหลวงสงสารเลยให้มาเป็นเพื่อนเล่นและรับใช้บุตรชายคนเล็กตั้งแต่นั้นมา นั่นทำให้ทั้งสองผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นทั้งเพื่อนและข้าไทคนสนิทไปพร้อมๆกัน

            หลังจากร่ำลากันแล้วแสงหล้าก็เดินขึ้นไปนั่งบนรถม้า แต่กลับส่งสายตาเศร้าไปที่บิดาและพี่ชายอย่างไม่วางตา จากไปครั้งนี้ไม่รู้จะมีโอกาสได้หวนกลับมาที่บ้านเกิดเมืองนอนอีกหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็จะอดทนเพื่อให้บ้านเมืองไม่ต้องถูกไอ้พวกคนบ้าอำนาจมาทำลายอีกครั้ง

            จากเมืองผาพิงค์ไปยังเชียงราชคำต้องใช้เวลาเดินทางนานหลายวัน ทำให้ต้องแวะพักระหว่างทางอยู่บ่อยครั้ง จากวันที่ออกมาจากเมืองผาพิงค์ตอนนี้ก็เข้าสู่วันที่เจ็ดแล้ว แสงหล้าได้พบเจอกับอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ก็ทำให้คลายความเศร้าใจลงไปได้บ้าง แต่ถึงยังไงเจ้าตัวก็ไม่มีทางลืมความสูญเสียครั้งนี้ไปแน่นอน เหมือนเป็นการย้ำเตือนว่าเชียงราชคำเคยทำอะไรกับเมืองผาพิงค์ไว้บ้าง

            “คำน้อยเอ็งเดินไหวหรือไม่” ออกเดินทางมาได้สักพักแสงหล้าก็หันไปเอ่ยถามข้าไท ที่เดินตากแดดเคียงข้างรถม้ามาตลอดทางไม่เคยห่าง เห็นแล้วแสงหล้าก็รู้สึกสงสารที่คำน้อยต้องมาตกระกำลำบากกับเขาไปด้วย

            “ข้าเจ้าทนไหว” แม้ความจริงคำน้อยเริ่มจะอ่อนแรงแล้วแต่ต้องตอบออกไปอย่างนั้น เพื่อไม่ให้ผู้เป็นนายต้องเป็นห่วง

            “แต่สีหน้าเอ็งดูไม่ค่อยดี” แสงหล้าสังเกตเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของคำน้อยก็เริ่มจะเป็นห่วง กลัวว่าจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน

            “ข้าเจ้ามิเป็นอันใดจริงๆเจ้านายน้อย” พูดจบคำน้อยก็เป็นลมล้มลงทันที

            “คำน้อย!! หยุดบัดเดี๋ยวนี้คำน้อยเป็นลม” แสงหล้าตะโกนสั่งให้เหล่าทหารที่กำลังบังคับรถม้าหยุดทันที

            “หยุดรถม้าบัดเดี๋ยวนี้!” จักรคำตะโกนลั่นเมื่อได้ยินเสียง แล้วบังคับม้าขี่มายังต้นเสียง

            ระหว่างนั้นแสงหล้าก็รีบลงจากรถม้าแล้วพยุงร่างคำน้อยขึ้นมากอดไว้

            “คำน้อยเอ็งอย่าเป็นอันใดไปนะ...พวกเจ้าช่วยพาคนของข้าเข้าไปในร่มบัดเดี๋ยวนี้” แสงหล้าตะโกนสั่งทหารที่อยู่ใกล้ให้มาช่วยพาคำน้อยไปยังร่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล

            “สงสัยเป็นลมแดดมิเป็นอันใดดอก” จักรคำลงจากม้าแล้วเอ่ยกับแสงหล้า แต่อีกฝ่ายกลับเหลือบตามองอย่างไม่เป็นมิตร แล้วเดินตามหลังเข้าไปหาคำน้อยที่ใต้ร่มไม้ใหญ่

            เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น จักรคำจึงสั่งให้ทุกคนพักเอาแรงเสียก่อนค่อยออกเดินทางอีกครั้งวันพรุ่งนี้

            “คำน้อยเป็นอย่างใดบ้าง” แสงหล้าเอายาหอมให้ข้าไทคนสนิทสูดกลิ่นอยู่นานจนเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา

            “เจ้านายน้อยข้าเป็นอันใด” คำน้อยค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ก็เห็นว่าตัวเองกำลังหนุนศีรษะอยู่บนตักของผู้เป็นนาย

            “เอ็งเป็นลมหมดสติหลังจากคุยกับข้า พักผ่อนให้เพียงพอเถิดคืนนี้เราจะพักกันที่นี่แล้วค่อยเดินทางต่อในวันพรุ่ง” แสงหล้าเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มให้

            “ข้าเจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว” คำน้อยเอ่ยพร้อมพยุงตัวจะลุกขึ้นมา

            “ถ้าเช่นนั้นไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธารกันเถิด ข้าได้ยินพวกทหารเอ่ยกันว่ามีลำธารแถวนี้ เอ็งก็จะได้รู้สึกดีขึ้นมาด้วยหากได้น้ำเย็นๆล้างหน้า”

            “ถ้าเช่นนั้นข้าเจ้าขอไปเตรียมผ้าให้เจ้านายน้อยก่อนนะเจ้า”

            “ข้าจะรอเอ็งอยู่ตรงนี้แล้วเราค่อยไปพร้อมกัน”

            “เจ้า” คำน้อยค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินไปที่รถม้า

            หลังจากคำน้อยเดินไปแล้ว จักรคำก็เดินเข้ามาหาหมายจะเข้ามาถามอีกฝ่ายว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ แสงหล้าเห็นหน้าจักรคำก็แทบจะไม่มองหน้า แถมยังหันหลังให้อีกต่างหาก แม้จะร่วมเดินทางกันมาหลายวันแล้ว แต่แสงหล้าก็พยายามไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาตีสนิทแม้แต่น้อย

            “ใยไม่มองหน้าข้าเจ้าแสงหล้า” จักรคำเห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็ถึงกับขำออกมา เจ้านายน้อยผู้ทระนงตนแห่งเมืองผาพิงค์ช่างสมคำล่ำลือจริงๆ ไม่ยอมพูดจาดีๆกับเขาแม้แต่ครั้งเดียว

            “ใยข้าต้องมองหน้าเจ้าด้วย ข้าไม่อาจทนมองใบหน้าของฆาตกร ที่เข่นฆ่าประชาชนของข้าอย่างโหดเหี้ยมได้” แสงหล้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง

            ระว่างนั้นคำน้อยก็เดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นจักรคำก็ก้มหน้าแล้วเข้าไปนั่งลงข้างๆผู้เป็นนาย

            “เจ้าดีขึ้นแล้วรึ” จักรคำเอ่ยถาม

            “เจ้า” คำน้อยก้มหน้าตอบ

            “ไปกันเถิดคำน้อย” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืนทันที ส่วนคำน้อยก็รีบลุกขึ้นตามผู้เป็นนาย

            “จะไปไหนกันรึ” ก่อนทั้งสองจะเดินไปจักรคำก็เอ่ยถามขึ้นมาก่อน

            “ไม่ใช่เรื่องของเจ้าหลีกทางให้ข้าด้วย” จักรคำตั้งใจจะยืนขวางทางไม่ให้ไปไหนจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมตอบ ในตอนนี้เขาต้องดูแลควบคุมไม่ให้อีกฝ่ายคลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว

            “ถ้าไม่บอกข้าก็ไม่ให้ออกไปไหนทั้งนั้น อย่าลืมว่าเจ้าอยู่ในฐานะเชลยหามีสิทธิ์ต่อปากต่อคำกับข้าไม่” จักรคำย้ำสถานะของอีกฝ่ายให้ฟังชัดๆอีกครั้ง

            “ข้าไม่ลืมว่าอยู่ในสถานะใด ถ้าเช่นนั้นข้าขอนุญาตไปล้างหน้าที่ลำธารได้หรือไม่เล่า” แสงหล้าเอ่ยประชดประชันเสียงดัง

            “ได้...แต่ข้าต้องไปกับเจ้าด้วยเชิญ..” จักรคำผายมือเชิญอีกฝ่ายให้เดินนำไป แสงหล้าถอนหายใจแล้วเดินนำหน้าไปด้วยอารมณ์ที่บูดบึ้ง

            เดินมาไม่ไกลก็ถึงลำธารขนาดใหญ่ที่มีต้นน้ำมาจากภูเขาสูง ตลอดทั้งสองฝั่งมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาจนปกคลุมเป็นร่มเงา บรรยากาศดีเช่นนี้ทำให้คนที่มาเยือนต่างก็รู้สึกผ่อนคลาย ลืมเรื่องทุกข์ใจไปในชั่วขณะได้เลยทีเดียว

            “เย็นชื่นใจเหลือเกินคำน้อย” เมื่อวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าแล้วแสงหล้าก็เอ่ยกับข้าไทคนสนิททันที นอกจากน้ำจะใสจนเห็นตัวปลาแหวกว่ายไปมาแล้วยังเย็นฉ่ำสดชื่นอีกด้วย

            “เห็นเจ้านายน้อยรู้สึกดีข้าเจ้าก็ดีใจ” คำน้อยตอบขณะยืนมองผู้เป็นนายนั่งวักน้ำมาล้างหน้าอยู่ริมลำธาร

            “ทำไมเอ็งไม่ลงมาล่ะ..เร็วๆ” แสงหล้ากวักมือเรียก

            “เจ้า” คำน้อยวางผ้าที่ถือมาด้วยลงบนพื้นแล้วเดินลงไปวักน้ำมาล้างหน้าบ้าง ลำธารใสน้ำเย็นทำให้ความเมื่อยล้าที่มีอยู่หายเป็นปลิดทิ้งโดยทันที

            “ทำไมเจ้าไม่อาบเลยล่ะมาถึงที่แล้ว” จักรคำที่ยืนมองอยู่นานเอ่ยแนะนำ เพราะเห็นท่าทีของคนทั้งสองมีความสุขกับการได้อยู่ที่นี่

            “เรื่องของข้า” แสงหล้าตอบด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น แล้วเหลือบตามองอย่างไม่สบอารมณ์

            “ถูกต้องมันไม่ใช่มันเรื่องของข้า แต่บอกไว้ก่อนว่าจะไม่อนุญาตให้เจ้ามาที่นี่อีกแล้ว ถ้าไม่อาบตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสแล้วเลือกเอา” จักรคำยืนกอดอกเอ่ยกับคนทั้งสอง

            “เจ้านายน้อยข้าเจ้าว่าอาบให้เสร็จตอนนี้ก็ดีนะเจ้า อย่างใดข้าเจ้าก็ได้เตรียมผ้ามาให้เจ้านายน้อยแล้ว” เมื่อได้ยินที่จักรคำเอ่ยจึงแนะนำผู้เป็นนายให้รีบคว้าโอกาสเอาไว้เสียก่อน

            “ได้ข้าจะอาบแต่..เจ้าต้องไปจากที่นี่เสียก่อน” แสงหล้าหันไปต่อรองกับจักรคำ

            “ทำไมข้าจะต้องไปด้วยเจ้าอายอะไรรึเจ้าแสงหล้า หรือเจ้ามีอะไรที่ข้าไม่มีอย่างนั้นรึ” จักรคำมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเป็นต่อ พร้อมจ้องมองไปที่เรือนร่างอย่างไม่ละสายตาตั้งใจจะหยอกเล่น

            “ข้าไม่จำเป็นต้องตอบเจ้า”

            “เอาล่ะๆข้าจะปล่อยให้เจ้าได้อาบน้ำที่ลำธารนี้อย่างสบายใจ ส่วนข้าจะไปเดินสำรวจแถวๆนี้รอ เสร็จตอนไหนก็เรียกข้าละกัน” จักรคำเอ่ย

            “พูดแล้วก็ไปสิรออะไรรึ” แสงหล้าเอ่ยปากไล่อีกฝ่ายทันที

            จักรคำเดินออกจากตรงนั้นแล้วเข้าไปในป่าไม้ทึบเพื่อสำรวจพื้นที่ เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไปแล้วแสงหล้าแล้วก็รีบถอดเสื้อวางไว้บนฝั่ง ก้าวขาลงไปแช่ตัวในน้ำเย็นๆอย่างสบายใจ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกผ่อนคลายจากธรรมชาติอย่างนี้

            “คำน้อยลงมาเล่นน้ำกับข้าสิ” แสงหล้าเอ่ยเชิญชวนขณะอยู่ในน้ำ

            “มิเป็นไรเจ้า ข้าเจ้าจะรออยู่บนฝั่งคอยดูเผื่อมีใครเข้ามาที่นี่ เจ้านายน้อยจะได้เล่นน้ำอย่างสบายใจ” ข้าไทผู้ซื่อสัตย์ยังคงทำหน้าที่ได้ดีเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม

            “ถ้าเช่นนั้นให้ข้าลงไปเล่นด้วยได้หรือไม่” เสียงจักรคำดังมาแต่ไกลทำเอาแสงหล้าถึงกับรีบเดินลงไปยังน้ำบริเวณน้ำลึกเพื่ออำพรางตัวไม่ให้อีกฝ่ายเห็นเรือนกายอันขาวนวล

            “นี่เจ้ากล้าดียังไง ไหนบอกจะเดินไปสำรวจป่าแล้วใยกลับมาที่นี่อีก” แสงหล้าตะโกนเสียงดังจากกลางลำธาร

            “ข้าเดินสำรวจเสร็จแล้ว ก็รีบกลับมาดูว่าทานหนีไปที่ใดแล้วหรือไม่เล่า” จักรคำตอบกลับหน้าตาเฉย

            “ข้าไม่มีทางหนีให้เสื่อมเสียพระเกียรติเจ้าพ่อข้าเป็นแน่ ถ้าหากข้าคิดเช่นนั้นตั้งแต่แรก ตอนนี้เจ้าคงไม่ได้เห็นหน้าข้าอยู่ตรงนี้แน่ ออกไปบัดเดี๋ยวนี้คนชั้นต่ำเช่นเจ้าอย่ามาบังอาจมองดูเรือนกายข้า” แสงหล้าเข้าใจว่าจักรคำเป็นแค่แม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้น หารู้ไม่ว่าเป็นถึงเจ้าอุปราชแห่งเชียงราชคำ

            “ใยข้าจะทำเยี่ยงนั้นไม่ได้” จักรคำยังคงไม่ยอมหยุดต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย

            “ก็ข้าเป็นถึงเจ้าฟ้าแห่งเมืองผาพิงค์แต่เจ้าเป็นแค่แม่ทัพคนหนึ่งของเชียงราชคำเท่านั้น แค่นี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ ในสมองคงคิดแต่เรื่องเข่นฆ่าคนอื่นกระมังถึงได้โง่เยี่ยงนี้” แสงหล้ายังคงก่นด่าอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด ทำให้คำน้อยรู้สึกกลัวว่าผู้เป็นนายจะโดนจักรคำเล่นงาน เพราะตอนนี้อยู่ในสถานะเชลยหากจักรคำจะทำอะไรก็ย่อมได้

            “ใช่! ข้ามันเป็นแค่คนชั้นต่ำ แต่ก็อย่าลืมนะว่าตอนนี้ข้าจักทำอันใดเจ้าก็ย่อมได้ ระวังปากเอาไว้ด้วย ไม่แน่หากไปถึงเชียงราชคำแล้วเจ้าอาจจะต้องพึ่งข้าก็เป็นได้” จักรคำยิ้มกริ่มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นต่อ

            “ถึงข้าจะต้องตายก็ไม่มีวันเอ่ยปากข้อร้องเจ้าเป็นอันขาดจำไว้ด้วย” พูดจบแสงหล้าก็รู้สึกเกร็งๆที่ท่อนขาจนไม่สามารถพยุงตัวในน้ำได้ ใช่แล้วตอนนี้ขาของแสงหล้ากำลังเป็นตะคริว “ชะ..ช่วยด้วย” เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะจมน้ำแสงหล้ารีบตะโกนขอความช่วยเหลือทันที

            “เจ้านายน้อยเป็นอันใดเจ้า” จักรคำเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งไปที่ริมลำธารพร้อมจะช่วยเหลือทันที

            “ขาข้ามันปวดเกร็งไปหมดแล้วคำน้อย” แสงหล้าพยายามใช้สองมือว่ายน้ำพยุงตัวเองไม่ให้จมลงไป

            จักรคำไม่รอช้ารีบวางดาบลงบนพื้นแล้วกระโดดลงไปช่วยทันที เมื่อถึงตัวแสงหล้าแล้วจักรคำก็ยื่นมือไปหมายจะคว้าตัวเข้ามากอดไว้ แต่กลับโดนอีกฝ่ายปฏิเสธการช่วยเหลือ เพราะตอนนี้แสงหล้ากำลังเปลือยกายอยู่นั่นเอง

            “อย่าบังอาจมาแตะตัวข้า” มือเรียวพยายามผลักไปที่อกแกร่ง แม้ตัวเองกำลังจะจมน้ำอยู่แล้วก็ตาม

            “เจ้าอยากตายรึ” จักรคำตะโกนใส่หน้าด้วยความโมโห จะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาถือเนื้อถือตัวอยู่อีก มันน่าปล่อยให้ตายเสียเหลือเกิน

            “เจ้านายน้อยให้ท่านแม่ทัพช่วยเถิดเจ้า” คำน้อยรีบตะโกนลงไปเพราะห่วงชีวิตของผู้เป็นนายมากกว่าสิ่งอื่นใด

            “ไม่!ข้าขอตายดีกว่าให้คนอย่างเจ้ามาแตะตัวข้า..โอ๊ย!” พูดจบก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

            “ทำอย่างกับข้าอยากแตะตัวเจ้านักล่ะ” จักรคำเอ่ยแล้วใช้มือหนาโอบรัดบริเวณลำคอว่ายน้ำพาอีกฝ่ายเข้าฝั่งจนสำเร็จ

            หลังจากขึ้นมาแล้วคำน้อยก็รีบนำผ้าไปปกปิดเรือนร่างของผู้เป็นนายไว้แล้วช่วยนวดบริเวณขาให้

            “โอ๊ย!! ข้าเจ็บคำน้อย” แม้จะขึ้นฝั่งได้แล้วแสงหล้าก็ยังร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

            “เจ้านายน้อยอยู่นิ่งๆก่อนเจ้า ข้าเจ้ากำลังนวดให้” คำน้อยมีสีหน้าตระหนก เขาไม่น่าปล่อยให้ผู้เป็นนายลงไปเล่นน้ำเพียงลำพังเลย

            “รู้หรือไม่ว่าความหยิ่งยโสของเจ้าจักทำให้เจ้าตายโดยไม่รู้ตัว” จักรคำยืนมองอยู่ไม่ไกล เจ้าตัวอดไม่ไหวที่จะต่อว่าอีกฝ่าย ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นใครหยิ่งผยองอย่างนี้มาก่อน

            “ข้าไม่สนอันใด เพราะตอนนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว” แม้จะยังทำหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวดอยู่ แต่แสงหล้าก็ยังตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้

            “สงสัยคงจะหายปวดแล้วกระมัง ได้เพลากลับกันแล้ว” พูดจบจักรคำก็นั่งยองๆลงแล้วเอื้อมมือหนาไปช้อนตัวอุ้มคนเจ็บขึ้นในท่าเจ้าสาวทันที

            “เจ้าจักทำอันใด ปล่อยข้าลงบัดเดี๋ยวนี้” มือเรียวทุบเข้าที่อกแกร่งเต็มแรง

            “ท่านแม่ทัพปปล่อยเจ้านายน้อยของข้าลงเถิดเจ้า”

            “ถ้าข้าปล่อยแล้วเมื่อใดจะเดินไปถึงเล่า”

            เมื่อได้ยินอย่างนั้นคำน้อยก็เห็นด้วย เพราะตอนนี้ตะวันก็เริ่มจะคล้อยต่ำลงเรื่อยๆแล้ว

            “แต่...” แสงหล้าพยายามจะเถียงขึ้นมาอีกครั้งแต่กลับโดนอีกฝ่ายดักคอเอาไว้เสียก่อน

            “ห้ามพูดอันใดไม่เช่นนั้นข้าจักทิ้งเจ้าไว้ให้พวกเสือมันกินอยู่ที่นี่” เมื่อไม่ยอมฟังกันจักรคำก็จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งบ้างแล้ว

            แสงหล้าได้ยินอย่างนั้นก็สงบปากสงบคำทันที เขายังไม่อยากกลายเป็นผีเฝ้าป่าในตอนนี้ จะต้องรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อจะได้เจอหน้าบิดาและพี่ชายอีกครั้ง และที่สำคัญเขาจะอยู่รอดูความพินาศย่อยยับของเชียงราชคำให้จงได้         


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อย่าบอกนะไปถึงแล้ว จะเจอคนหื่น ๆ รออยู่  :ling3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ลูกนกบินออกจากรังแล้ว
 :mew1:

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๓-

สถานะใหม่



          เดินทางมานานหลายวัน ในที่สุดก็มาถึงนครหลวงเชียงราชคำ เมืองที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และมีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในภูมิภาคนี้ ผู้คนต่างเมืองต่างก็อยากเข้ามาทำการค้าขายที่นี่ นั่นเพราะชาวเมืองนี้ล้วนแต่เป็นผู้มีอันจะกิน แต่ทว่ากลับมีนิสัยถือตัว ชอบกดขี่ข่มเหงและดูถูกดูแคลนพลเมืองชั้นล่าง ที่เป็นเชลยศึกถูกเกณฑ์เข้ามาใช้แรงงาน จากเมืองนครประเทศราชทั้งหลายจนกลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว พวกเขาเหล่านั้นต้องมาอยู่ในฐานะพลเมืองชั้นล่าง ต้องโดนโขกสับอย่างปฏิเสธไม่ได้

            รถม้าที่แสงหล้านั่งอยู่กำลังวิ่งช้าๆ ผ่านเข้าไปในกำแพงเมือง ผู้มาใหม่ทั้งสองคนต่างก็รู้สึกตื่นตากับความใหญ่โตของนครหลวงเชียงราชคำ ทว่ากลับไม่ได้ยินดีปรีดากับการต้องเข้ามาอยู่ที่นี่เลย ภายใต้ความงดงามของบ้านเมืองนี้ คือการเข่นฆ่าเอาชีวิตผู้คนมากมายจากการไปรุกรานเมืองต่างๆ เพื่อแย่งชิงเอาทรัพย์ในดินสินธุ์ในน้ำ เข้ามาทำนุบำรุงบ้านเมืองตัวเองจนรุ่งเรืองได้ถึงขนาดนี้

            “หยุด!” จักรคำที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ ชูดาบคู่กายขึ้นอย่างสง่างาม เมื่อมาถึงหน้าหอหลวง เหล่าทหารที่ตามมานั้นก็หยุดทัพทันที แล้วตั้งใจรอฟังคำสั่งการจากแม่ทัพใหญ่ “พวกเอ็งทั้งหลายแยกย้ายกลับไปหาครอบครัวและพักผ่อนให้เต็มที่ หากมีการอันใดข้าจะเรียกรวมพลอีกครั้ง” เมื่อสิ้นเสียงเอ่ยของจักรคำ เหล่าบรรดาทหารก็ตอบรับแล้วยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ต่างก็พากันแยกย้ายกลับบ้านไป วันนี้พวกเขาทั้งหลายได้กลับมาสู่อ้อมกอดของครอบครัวอีกครั้ง แต่ทว่าบางครอบครัวกลับต้องใจสลายเพราะมีทหารอีกหลายชีวิตที่ต้องพลีชีพเพื่อบ้านเมืองจนกลายเป็นศพไร้ญาติในต่างเมือง

             เมื่อทหารแยกย้ายกลับไปแล้ว จักรคำก็ลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาหาแสงหล้า เขาไม่อยากจะลงจากรถม้าเพื่อมาเหยียบย่ำลงบนผืนแผ่นดินนี้ให้เป็นเสนียดเท้าเลยแม้แต่น้อย

            “ลงมาบัดเดี๋ยวนี้ ข้าจะพาไปเข้าเฝ้าเจ้าหลวงแห่งเชียงราชคำ” จักรคำยืนมองเจ้านายต่างเมืองด้วยสายตาที่แข็งกร้าว เพราะท่าทีของแสงหล้านั้นไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

            “ข้ามิลง ข้ามิอยากเหยียบย่ำบนผืนแผ่นดินที่อัปรีย์เยี่ยงนี้ ให้เจ้าหลวงของเจ้าออกมาหาข้าข้างนอกได้หรือไม่เล่า” แสงหล้าเอ่ยด้วยคำพูดที่อาจหาญไม่ได้เกรงกลัวอำนาจของผู้ใดแม้แต่น้อย

            “โอหังยิ่งนัก หากมิลงมาข้าจะตัดหัวเจ้าบัดเดี๋ยวนี้” จักรคำชักคมดาบออกจากฝักเล็กน้อย เพื่อข่มขู่อีกฝ่ายให้กลัว แต่แสงหล้ากลับยังชูคอระหงทำหน้านิ่งหยิ่งเพยิดอย่างไม่ยอมแพ้ คำน้อยเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามพูดเกลี้ยกล่อมผู้เป็นนาย

            “เจ้านายน้อยลงมาเถิดนะเจ้า ทำเยี่ยงนี้มันหาเป็นเรื่องดีไม่ หากเจ้านายน้อยเป็นอันใดไปข้าเจ้าจักอยู่กับผู้ใดเล่า” คำน้อยเอ่ยกับผู้เป็นนายด้วยความร้อนใจ เขากลัวว่าจักรคำจะทำอย่างที่เอ่ยออกมาจริงๆ

            “เลือกเอานะเจ้าแสงหล้า หากเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปจงเดินลงมาบัดเดี๋ยวนี้” จักรคำเก็บดาบเข้าฝักเหมือนเดิม แล้วยืนมองดูท่าทีของอีกฝ่าย

            แสงหล้ามองดูข้าไทคนสนิทอย่างชั่งใจ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินลงมาอย่างจำใจ เขาเกลียดผืนแผ่นดินนี้เสียเหลือเกิน หากไม่เห็นแก่คำน้อยเขาคงไม่ลงมาแต่โดยดีเป็นแน่

            “พาเจ้านายของเจ้าเดินตามข้ามา” จักรคำหันไปเอ่ยกับคำน้อยแทนที่จะเป็นแสงหล้า เขาขี้เกียจต่อปากต่อคำกับคนที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างนั้น

            หอหลวงเมืองเชียงราชคำตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางคุ้มหลวง โดยถูกออกแบบและตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ช่างฝีมือดีทั้งในเมืองและต่างเมืองถูกเกณฑ์เข้ามาช่วยกันบรรจงสร้างอย่างประณีตและงดงาม รอบๆหอหลวงมีทหารเฝ้ายามอย่างเข้มงวด ในตอนนี้เจ้าหลวงกำลังว่าราชการอยู่ภายใน

            เมื่อจักรคำเดินมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ทางเข้าหอหลวง ทหารที่เฝ้ายามอยู่ต่างก็วางอาวุธแล้วก้มลงกราบที่พื้นทันที แสงหล้าและคำน้อยที่เดินตามหลังมาติดๆถึงกับประหลาดใจ ทำไมเหล่าบรรดาทหารและข้าไทที่เห็นบุรุษผู้นี้ ถึงได้หมอบกราบราวกับเป็นคนใหญ่โตของบ้านเมืองซะอย่างนั้น

            “เจ้าพ่อข้ากลับมาแล้ว” จักรคำเดินผ่านบรรดาขุนนางทั้งหลายที่นั่งอยู่บนพื้น ตรงเข้าไปหาบิดาอย่างถือวิสาสะ

            บนบัลลังค์ตั่งทองที่อยู่ตรงกลางท้องพระโรงมีชายสูงวัยนั่งอยู่อย่างสง่างาม เขาสวมอาภรณ์ที่ถูกถักทอจากเส้นใยที่ทำมาจากทองคำเกือบทั้งหมด ส่วนบนศีรษะก็สวมศิราภรณ์ที่ทำมาจากทองคำเฉกเช่นเดียวกัน สมพระเกียรติของการเป็นเจ้าหลวงแห่งเมืองเชียงราชคำ เมื่อจักรคำเดินขึ้นไปเกือบถึงตั่งทองแล้ว เจ้าตัวก็ก้มลงกราบแทบเท้าบิดาด้วยความคิดถึง เพราะห่างบ้านจากเมืองไปนานหลายเดือน

            “ลูกพ่อกลับมาอย่างปลอดภัยเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าได้รับชัยชนะกลับมาฝากพ่อใช่หรือไม่” เจ้าหลวงพรหมมาวงศ์เอ่ยกับบุตรชาย พร้อมกับโน้มตัวลงมาโอบไหล่ทั้งสองข้างรับขวัญลูกชายที่เพิ่งทำศึกกลับมา

            “เป็นอย่างที่เจ้าพ่อเข้าพระทัย ตอนนี้เมืองผาพิงค์ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของเชียงราชคำแล้วเจ้า” จักรคำเอ่ยขึ้นเสียงดัง ทำให้เจ้าหลวงพรหมมาวงศ์พอใจยิ่งนัก รวมถึงบรรดาขุนนางที่อยู่ในหอหลวงต่างก็ส่งเสียงร้องแสดงความดีใจกันอย่างถ้วนหน้า แต่นั่นกลับทำให้แสงหล้าและคำน้อยที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรงถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ ทั้งสองเหมือนกำลังถูกผู้คนพวกนี้เยาะเย้ย ที่ได้เข้าไปย่ำยีบ้านเมืองของตัวเองอย่างไร้ศักดิ์ศรี

            “พ่อภูมิใจในตัวเจ้าเหลือเกินลุกขึ้นเถิดลูกพ่อ” เจ้าหลวงเอ่ยกับบุตรชาย แล้วตะโกนลั่นท่ามกลางผู้คนในหอหลวง “นี่คือคนที่จะสืบทอดราชบัลบังค์ต่อจากข้า เจ้าอุปราชจักรคำแห่งเชียงราชคำ” สิ้นเสียงของเจ้าหลวงทุกคนในหอหลวงก็ไหว้สา พร้อมกับตะโกนทรงพระเจริญ เพื่อสรรเสริญความเก่งกาจของเจ้าอุปราชด้วยความจงรักภักดี

            “เจ้าพ่อลูกพาตัวเจ้าฟ้าองค์เล็กแห่งเมืองผาพิงค์มาเข้าเฝ้าด้วยเจ้า” จักรคำหันไปมองชายหนุ่มรูปงามที่ยืนทำหน้าเกรี้ยวกราดอยู่กลางหอหลวง ไม่ให้ความเคารพคนที่นั่งอยู่บนตั่งทองแต่อย่างใด

            “เจ้าฟ้าองค์เล็กแห่งเมืองผาพิงค์ ดูท่าทางโอหังไม่น้อย อยู่ต่อหน้าข้าทำไมเจ้าหานั่งลงบนพื้นไม่” เจ้าหลวงตะโกนลั่นเสียงดัง แต่แสงหล้ากลับยังยืนนิ่งเฉย ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็งไปยังเจ้าหลวงอย่างไม่เกรงกลัวในอำนาจ คำน้อยเอื้อมมือเรียวไปลูบที่ฝ่าเท้าของผู้เป็นนาย พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเพื่อเตือนสติให้ใจเย็นลง

            จักรคำมองใบหน้ารูปงามที่แปดเปื้อนไปด้วยน้ำตาอย่างเห็นใจ ทั้งที่ควรจะโมโหที่อีกฝ่ายไม่ให้ความเคารพบิดาตัวเอง แต่กลับเข้าใจในความรู้สึกของแสงหล้าว่ารู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใด ลำพังต้องจากคนที่รักมาก็ถือว่าหนักมากพอแล้ว แต่นี่มาอยู่ในฐานะเชลยยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

            แสงหล้าจำยอมนั่งลงที่พื้นข้างคำน้อยอย่างจำยอม แต่ยังคงจ้องมองเจ้าหลวงอย่างแข็งกระด้าง เขารู้แล้วว่าทำไมจักรคำถึงได้มีอำนาจสั่งการใครต่อใคร ที่แท้ก็เป็นถึงเจ้าอุปราชแห่งเมืองเชียงราชคำนี่เอง รู้อย่างนี้แล้วเขายิ่งเกลียดอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก 

            “เชลยจากเมืองเล็กๆเยี่ยงเจ้า ข้าจะสั่งตัดหัวเมื่อใดก็ย่อมได้ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังท้าทายอำนาจของข้า” หลังจากตั้งสติจนระงับอารมณ์โกรธได้ เจ้าหลวงก็เอ่ยกับเชลยผู้หยิ่งทระนงต่อทันที

            “ข้าหากลัวท่านไม่ ข้าหากลัวเจ้าหลวงที่กระหายเพียงแต่อำนาจ ไร้ศีลธรรมความดีงาม เข่นฆ่าคนอย่างไร้ความปรานีเยี่ยงท่านดอก” แสงหล้าต่อปากต่อคำกับเจ้าหลวงแห่งเมืองเชียงราชคำอย่างไม่เกรงกลัว

            “บังอาจ! ข้าจักมิให้เจ้าได้อยู่สุขสบายเฉกเช่นเชลยจากเมืองอื่นเป็นแน่ เอาตัวมันไปจำตรุบัดเดี๋ยวนี้” เจ้าหลวงชี้หน้าด้วยความเดือดดาล ไม่เคยมีผู้ใดกล้าต่อกรกับเขาถึงเพียงนี้มาก่อน

            “ช้าก่อนเจ้าพ่อ ลูกขอตัวเจ้าหนุ่มรูปงามผู้นี้ไปเป็นเมียอีกคนของลูกได้หรือไม่” เจ้าเมืองแมนที่นั่งอยู่บนตั่งเอ่ยกับบิดา แม้นข้างกายจะมีเจ้านางอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทำเอาหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายถึงกับมองตาขวางด้วยความไม่พอใจ

            “เจ้าพี่จักทำเยี่ยงนี้มิได้ ข้าเจ้าหายอมไม่” เจ้านางเครือแก้วเอ่ยเสียงแหลม ไม่เห็นด้วยกับความคิดของสวามีเลยแม้แต่น้อย

            เจ้านางเครือแก้วเป็นธิดาของเจ้าหลวงเมืองเวียงคุ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองขึ้นของเชียงราชคำ ไม่ได้ถูกจับตัวมาเป็นเชลยเฉกเช่นแสงหล้า แต่เจ้าหลวงแห่งเมืองเวียงคุ้งส่งตัวธิดามา เพื่อเป็นหลักประกันถึงความจงรักภักดี จึงมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเจ้านายเชลยองค์อื่นๆ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เสกสมรสกับเจ้าเมืองแมน ราชบุตรองค์เล็กของเจ้าหลวงพรหมมาวงค์

            “เมียเจ้าหายอมไม่ เช่นนี้เจ้าจักว่าอย่างใดเมืองแมน” เจ้าหลวงเอ่ยถามบุตรชาย

            แสงหล้าน้ำตาไหลไม่หยุด ชีวิตเขาตอนนี้แทบไม่ต่างจากสัตว์เดียรัจฉานเลยแม้แต่น้อย ถูกกดขี่ข่มเหง ใครจะทำอะไรก็ไม่สามารถขัดขืนหรือตอบโต้ได้เลย

            “ลูกยังยืนยันคำเดิมเจ้าพ่อ ลูกพอใจในตัวเจ้าหนุ่มคนนี้เหลือเกิน” เมืองแมนยังยืนยันคำเดิม แม้นเจ้านางที่อยู่ข้างกายจะทำท่าทางไม่ชอบใจอยู่ตลอดเวลา แต่เมืองแมนก็ไม่ได้ใส่ใจ

            “ข้าขอถูกจำตรุดีกว่าต้องมาเป็นเมียผู้ใด” แสงหล้าเอ่ยขึ้น

            “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกอันใด ข้าจะเป็นคนพิพากษาชีวิตของเจ้าเอง” เจ้าหลวงตอบกลับทันควัน

            “เจ้าพ่อลูกขอตัวเชลยผู้นี้มาเป็นเมียของลูกได้หรือไม่ ยศศักดิ์ก็มิได้ต้อยต่ำนักเป็นถึงเจ้าฟ้าเมืองผาพิงค์  ขอให้เจ้าแสงหล้ามาอยู่ดูแลลูกในคุ้มเถิดเจ้า” จักรคำเอ่ยปากขอกับบิดา อย่างน้อยถ้าแสงหล้ามาอยู่กับเขา ก็ไม่ต้องตกระกำลำบากมากนัก อีกอย่างก็ไม่อยากให้เจ้านางเครือแก้วกับน้องชายตัวเองต้องมาขุ่นข้องหมองใจกัน

            “ทำไมเจ้าพี่ทำเยี่ยงนี้ ข้าเป็นผู้เอ่ยปากขอเจ้าพ่อก่อน” เมืองแมนลุกขึ้นจากตั่ง เจ้าตัวรู้สึกไม่พอใจพี่ชายตัวเองมากที่มาแย่งคนที่หมายตาไป

            “เจ้าก็มีเจ้านางเครือแก้วอยู่แล้ว เหตุใดถึงไม่ถนอมน้ำใจเมียเจ้าบ้าง” คนเป็นพี่เอ่ยตักเตือนน้องชายตัวเอง

            “มันเป็นเรื่องของข้าเจ้าพี่หาควรมายุ่งไม่”

            “พี่ยังยืนยันคำเดิม พี่จะให้เจ้าแสงหล้าเข้ามาอยู่ในคุ้มของพี่” จักรจำเอ่ยคำขาดกับน้องชาย

            “หายุติธรรมกับข้าไม่ ข้าไม่ยอม เจ้าพี่เกิดมาเพื่อแย่งทุกอย่างจากข้าไป” เมืองแมนจะไม่ยอมท่าเดียว

            “เจ้าพี่หาควรเอ่ยกับเจ้าอุปราชเยี่ยงนั้นไม่ ให้เชลยผู้นั้นไปอยู่ที่คุ้มของเจ้าอุปราชเหมาะสมที่สุดแล้วเจ้า” เครือแก้วเอ่ยกับสวามีตัวเอง เพราะหากแสงหล้าได้ไปอยู่ที่คุ้มกับจักรคำ มันก็เป็นผลดีต่อตัวหล่อนเอง

            “ข้ามิได้ขอความคิดเห็นอันใดจากเจ้า” เมืองแมนหันไปเอ็ดชายาตัวเอง

            “พอได้แล้ว! ข้าจะยกเจ้าเชลยยโสผู้นั้นให้กับจักรคำก็แล้วกัน เห็นแก่ความดีความชอบที่ยกทัพไปตีเมืองผาพิงค์เป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จ” ในที่สุดเจ้าหลวงก็ตัดสินความได้

            “แต่เจ้าพ่อ...” เมืองแมนพยายามเอ่ยคัดค้าน

            “คำสั่งของพ่อเป็นอันสิ้นสุด เจ้าหาควรต่อปากต่อคำไม่” เจ้าหลวงพรหมมาวงค์เอ่ยเสียงเข้มกับบุตรชายคนเล็ก

            เมืองแมนได้ยินอย่างนั้นก็ยอมเงียบแต่โดยดี แต่สายตาแห่งความเคียดแค้นชิงชัง ยังคงมองไปที่พี่ชายของตัวเอง เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาต้องเป็นรองให้พี่ชายตัวเอง การเป็นบุตรคนเล็กมันไม่ได้ดีอะไรเลย พี่ชายได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความรักและความไว้วางใจจากบิดา แถมยังจะได้นั่งบัลลังค์ตั่งทองครองเมืองนี้ต่อจากบิดาอีกด้วย

            “ลูกขอสุมาเจ้า” เมืองแมนยกมือไหว้สาบิดา พร้อมกับทำหน้าเซ็งต่อไป

            “วันนี้เป็นวันดีที่ลูกชายของข้าได้รับชัยชนะกลับมา คืนนี้ข้าจะจัดงานสมโภชต้อนรับการกลับมาของลูกชายข้า พวกเจ้าจงเร่งไปจัดเตรียมงานให้เสร็จโดยเร็ว...ข้าขอจบการว่าราชการเพียงเท่านี้” เจ้าหลวงออกคำสั่งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบนั้นๆ ให้รีบไปดำเนินการโดยเร็ว

            “รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” ขุนนางทั้งหลายยกมือไหว้เหนือศีรษะ พร้อมกับส่งเสียงขานรับอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นก็ทยอยออกจากหอหลวง จะเหลือก็แต่เจ้านายฝ่ายในเท่านั้น ส่วนแสงหล้าและคำน้อยก็ยังนั่งอยู่กลางท้องพระโรงเช่นเดิม มองดูคนพวกนั้นยิ้มหน้าระรื่นกับความสำเร็จ ที่ได้มาจากการเสียเลือดเนื้อของชาวเมืองผาพิงค์

            “ลูกขอกลับคุ้มไปหาอินเหลาก่อนนะเจ้า” จักรคำเอ่ย ห่างไปหลายเดือนไม่มีวันไหนที่เขาไม่คิดถึงลูกชายเลย ถ้าเจ้าตัวเล็กรู้ว่าเขากลับมาแล้วคงจะดีใจมาก

            “ได้สิลูกพ่อ...อินเหลาบ่นหาเจ้าทุกวันมิเคยขาด บัดนี้คงได้เจอหน้าพ่อสมใจเสียที” เจ้าหลวงเอ่ยกับลูกชาย พร้อมกันนั้นมือหนาก็ตบเบาๆที่ไหล่ สื่อว่ามีความภาคภูมิใจกับบุตรชายคนนี้มากเหลือเกิน

เมืองแมนที่นั่งมองอยู่ถึงกับกำกำปั้นเอาไว้แน่นจนสั่น สายตาคมจ้องมองดูพี่ชายด้วยความอิจฉาริษยา เขาไม่อาจทนมองภาพที่อยู่ตรงหน้าได้ จึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับคนทั้งสอง

            “ลูกขอกลับคุ้มก่อนนะเจ้า” เมืองแมนยกมือไหว้สาบิดาพร้อมกับเจ้าเครือแก้ว

            “คืนนี้เจ้าอย่าลืมมาร่วมงานด้วยล่ะ เจ้าเองก็ด้วยนะเครือแก้ว” เจ้าหลวงเอ่ย

            “เจ้าค่ะเจ้าพ่อ” หล่อนรับคำแล้วเดินตามหลังสวามีไป

            ขณะเดินผ่านแสงหล้าเมืองแมนก็ไม่วายที่จะส่งยิ้มให้ แต่เจ้าตัวกลับยังคงทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมมองหน้าผู้ใด เขายังคงพึงพอใจในตัวแสงหล้าไม่คลาย หากวันใดมีโอกาสเขาจะทำให้แสงหล้ามาเป็นเมียอีกคนให้จงได้

            “ถ้าเช่นนั้นพ่อกลับคุ้มก่อน เจ้าเองก็จงอย่าประมาทเจ้าเชลยผู้นี้ พ่อกลัวว่ามันจักคิดทำร้ายเจ้าได้” เจ้าหลวงเอ่ยเตือนบุตรชาย เพราะเห็นว่าแสงหล้ายังคงมีความพยศ กลัวว่าอาจจะเป็นอันตรายกับบุตรชายของตนได้

            “ลูกจักระวังตัว มิยอมให้ผู้ใดมาทำอันตรายเป็นอันขาด เจ้าพ่อโปรดวางใจเถิด”

            “เอาเป็นว่าพ่อเชื่อใจลูก หากมีอันใดไม่ชอบมาพากลให้รีบบอกพ่อ”

            “เจ้า”

            เมื่อพูดคุยกับบุตรชายเสร็จแล้ว เจ้าหลวงก็เดินออกไปจากหอหลวง โดยมีทหารเดินตามอารักขาไม่ห่างกาย แต่เมื่อจะเดินผ่านแสงหล้าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วย...

            “ไปอยู่กับลูกข้าก็อย่าได้ทำตัวเป็นภาระ จงจำให้ขึ้นใจว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองของเจ้า อย่าบังอาจทำการอันใดที่ขัดต่อกฏระเบียบของบ้านเมืองข้าเป็นอันขาด” พูดจบก็เดินออกไปจากหอหลวง

            แสงหล้าเอาแต่ก้มหน้าไม่มองใครทั้งนั้น ไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะต้องมาตกระกำลำบากที่นี่ แต่ก่อนเคยมีแต่คนนับหน้าถือตา ให้เกียรติให้ความเคารพนับถือ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต่างจากทาสในเรือนเบี้ยที่ต้องมาคอยรองรับอารมณ์ของคนพวกนี้ ชีวิตมันช่างบัดซบเสียนี่กระไร

            “ลุกขึ้นแล้วตามข้ามา” จักรคำเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยขึ้นเสียงดัง ทำให้แสงหล้าหลุดจากภวังค์แล้วเงยหน้าขึ้นไปมอง

            “เจ้านายน้อยลุกขึ้นเถิดเจ้า” คำน้อยรีบพยุงผู้เป็นนายขึ้น กลัวว่าหากช้าไปอาจจะโดนทำโทษก็เป็นได้ เขามาที่นี่เพื่อดูแลรับใช้และปกป้องแสงหล้าไม่ให้โดนใครทำร้าย และอีกอย่างก็คือคอยเตือนสติ เพราะแสงหล้าเป็นคนใจร้อน นั่นเป็นจุดอ่อนที่อาจจะทำให้โดนใครต่อใครเล่นงานได้ง่าย

            “ข้าเดินเองได้คำน้อย แค่นี้เอ็งก็ลำบากเพราะข้ามากพอแล้ว เอ็งมิต้องห่วงอันใด ต่อไปนี้ข้าจักพยายามใจเย็นให้มากขึ้น” แสงหล้าเอ่ยกับข้าไทคนสนิท พร้อมกับยิ้มน้อยๆให้ ความใจร้อนของเขาทำให้คำน้อยต้องเดือดร้อนไปด้วยมาหลายครา จากนี้เขาจะพยายามใจเย็นให้มากขึ้น

            “ข้าเจ้ามิได้ลำบากอันใดเลย เจ้านายน้อยอย่าได้คิดเยี่ยงนั้น”

            “ข้าขอบใจเอ็งมาก ไปกันเถอะ”

            เมื่อพูดคุยกันแล้วทั้งสองก็เดินตามหลังจักรคำไปที่คุ้ม โดยมีทหารเดินตามหลังไปสองนาย จากนี้ไปเขาจะต้องเป็นสมบัติของผู้ชายคนนั้นหรอกหรือนี่ ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างแต่เขาจะพยายามลดทิฐิลงมาบ้าง เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไม่ต้องลำบากมากนัก เผื่อวันหน้าอาจจะมีโอกาสได้กลับไปหาบิดาและพี่ชายที่เมืองผาพิงค์อีกครั้ง



------------------------------------------------------------------------------------

เฮลโล....หากคำที่ใช้มันไม่ถูกต้องมากนักอย่าว่าเขานะ เพราะไม่เคยเขียนพีเรียดแนวล้านนาเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ว่าแล้ว เมืองนี้มันต้องหื่นกันแทบจะทุกคน  o12

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
พระเอกมีลูกแล้ว เมียไปไหน

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๔-

เมีย



          เชลยต่างเมืองทั้งสองคนเดินตามหลังเจ้าอุปราชเข้าไปในคุ้มอย่างระแวดระวัง คุ้มนี้ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากคุ้มของเจ้าหลวง นอกคุ้มเต็มไปด้วยเหล่าทหารหลวงที่เฝ้ายามตลอดทั้งวันทั้งคืน ส่วนด้านในก็เต็มไปด้วยบรรดาข้าไท ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาดูแลทำความสะอาดและคอยรับใช้เจ้านายอยู่ไม่ขาดช่วง 

            “เจ้าพ่อ!!!!” เสียงเล็กแหลมของเด็กชายตัวน้อยดังขึ้น ทำให้แสงหล้าหลุดจากภวังค์แล้วหันไปมองยังต้นเสียง ก็พบกับเด็กชายตัวน้อยวิ่งเข้ามากอดผู้เป็นเจ้าของคุ้มด้วยความดีใจ สีหน้าของอินเหลาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขหลังจากตั้งตาคอยบิดามาเสียนาน

            “อินเหลาลูกพ่อ” จักรคำนั่งย่อตัวกอดลูกชายเอาไว้ด้วยความดีใจไม่ต่างกัน ทั้งสองกอดกันครู่หนึ่งก่อนที่จักรคำจะผละออกมาแล้วจ้องมองใบหน้าลูกชายให้ถนัดตา

            “เหตุใดเจ้าพ่อหายไปนานเยี่ยงนี้ ลูกคิดถึงเจ้าพ่อที่สุด” อินเหลาเอ่ยกับบิดาพร้อมกับร้องไห้ไปด้วยความตื้นตันดีใจ

            “พ่อกลับมาแล้วอย่าร้องไห้ไปเลยคนดีของพ่อ นับจากนี้พ่อสัญญาว่าจะไม่จากลูกไปที่ใดอีกแล้ว” จักรคำเอื้อมมือไปปาดน้ำตาบนแก้มให้กับลูกชายแล้วกอดเอาไว้อีกครั้ง

            แสงหล้าเห็นภาพนั้นก็น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย ไม่ใช่เพราะซึ้งไปกับคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า แต่เจ้าตัวรู้สึกคิดถึงบิดาและพี่ชายขึ้นมา ป่านนี้คนทั้งสองเองก็คงจะคิดถึงเขาอยู่เหมือนกันแน่นอน

            “คำน้อย...ข้าคิดถึงเจ้าพ่อกับเจ้าพี่เหลือเกิน” แสงหล้าเอ่ยกับข้าไปคนสนิทเพื่อระบายความอัดอั้นภายในใจ

            “อย่าร้องไปเลยนะเจ้า เจ้านายน้องต้องเข้มแข็งเอาไว้ ข้าเจ้าเชื่อว่าสักวันเราคงมีโอกาสได้กลับเมืองผาพิงค์เป็นแน่เจ้า” คำน้อยจับมือของผู้เป็นนายเอาไว้เพื่อปลอบใจ

            “ถ้าไม่มีเอ็งทั้งคนข้าก็ไม่รู้จักอยู่ได้อย่างไร” แสงหล้ายิ้มให้กับข้าไทคนสนิท กำลังใจจากคำน้อยทำให้เขารู้สึกไม่โดดเดี่ยว เขาเองก็ไม่ควรอ่อนแอจนทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวลตามไปด้วย

            เมื่อจักรคำกอดลูกชายจนคลายความคิดถึงไปได้บ้างแล้ว ก็หันมามองเชลยทั้งสองคน เขาตั้งใจจะให้แสงหล้าเข้ามาอยู่ที่นี่ในฐานะเมีย เพื่อไม่ให้ผู้ใดมารังแกหรือดูหมิ่นดูแคลนได้ เขาเป็นต้นเหตุให้อีกฝ่ายต้องจากบ้านจากเมืองมาไกล จึงพยายามชดเชยให้อยู่อย่างสุขสบายที่สุดเท่าที่จะช่วยได้

            “ยินดีต้อนรับพวกเจ้าเข้ามาอยู่ในคุ้มของข้า หากพวกเจ้าทั้งสองไม่สร้างความเดือดร้อนอันใดให้ข้า ข้ารับรองว่าพวกเจ้าทั้งสองจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข ไม่มีผู้ใดมาทำอันตรายพวกเจ้าได้” จักรคำขึ้นไปนั่งบนตั่งไม้ที่แกะสลักลวดลายไว้อย่างสวยงาม ข้างกายก็มีลูกชายตัวน้อยนั่งอยู่ไม่ห่าง

            “เป็นพระกรุณาที่เจ้าอุปราชอุตส่าห์ให้ความสำคัญกับเชลยเยี่ยงข้าทั้งสองคนถึงเพียงนี้” แสงหล้าเอ่ยประชดประชันเจ้าอุปราชแห่งเชียงราชคำ

            “คนพวกนี้เป็นใครกันรึเจ้าพ่อ” อินเหลามองแขกผู้มาใหม่ด้วยความสงสัย

            “คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าคือเจ้าแสงหล้า ส่วนด้านหลังชื่อคำน้อยเป็นข้าไทที่ติดตามมาด้วย ทั้งสองคนมาจากเมืองผาพิงค์และจะมาอยู่ที่คุ้มกับเราไงลูก” จักรคำเอ่ยเสียงดังชัดเจนเพื่อให้บรรดาข้าไทในคุ้มได้ยินกันอย่างถ้วนหน้า

            “เหตุใดต้องมาอยู่ที่คุ้มเราด้วยล่ะเจ้าพ่อ” อินเหลายังคงไม่หายสงสัย

            “เพราะเจ้าแสงหล้าเป็นเมียพ่อและก็เป็นแม่เลี้ยงของเจ้าด้วยไงล่ะ ลูกเข้าใจพ่อใช่หรือไม่” จักรคำเอ่ยตรงๆกับลูกชาย ด้วยความเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายทำให้อินเหลาไม่ได้มีท่าทีต่อต้านบิดาเลย เพียงแต่มองหน้าแม่เลี้ยงคนใหม่อย่างสนใจ ราวกับกำลังมีของเล่นชิ้นใหม่ซะอย่างนั้น

            “ลูกดีใจที่เจ้าพ่อจักได้มีความสุขเสียที” อินเหลายิ้มรับกับความรักครั้งใหม่ของบิดา

            “พ่อดีใจที่ลูกเข้าใจ” จักรคำยิ้มให้กับลูกชาย ไม่เสียแรงที่เขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายคนนี้มาอย่างดี ทำให้อินเหลาเป็นเด็กมีความคิดเป็นผู้ใหญ่และว่านอนสอนง่าย “นี่คือเจ้าอินเหลาลูกชายคนเดียวของข้า”

            อินเหลายิ้มให้กับคนทั้งสองอย่างเป็นมิตร แต่ทว่าแสงหล้ากลับทำหน้านิ่งไม่ยินดีกับการได้รู้จักลูกชายของศัตรูเลยแม้แต่น้อย ส่วนคำน้อยข้าไทผู้ซื่อสัตย์ก็ก้มลงกราบบนพื้นด้วยเข้าใจในสถานะของตนเป็นอย่างดี

            “คำป้อ” จักรคำเอ่ยกับข้าไทคนสนิทที่นั่งอยู่ไม่ไกล

            “เจ้า” ชายหนุ่มคมเข้มยกมือขึ้นไหว้รอรับคำบัญชาจากเจ้านาย

            “ข้าจักให้คำน้อยไปพักอยู่กับเอ็ง เอ็งจักว่าอย่างไร”

            “ข้าเจ้าไม่มีปัญหาอันใดเจ้า”

            คำน้อยเหลือบมองชายหนุ่มที่จะต้องไปพักอาศัยอยู่ด้วยนับจากนี้ ก็พบว่าเป็นหนุ่มรูปงามหน่วยก้านดีไม่น้อย  ดูท่าทางซื่อๆไม่น่าจะเป็นคนชั่วร้ายอะไร

            “ดี...ถ้าเช่นนั้นเอ็งจงพาคำน้อยเอาสัมภาระไปเก็บก่อนเถิด เดินทางมาเสียนานคงจักเพลียอยู่ไม่น้อย”

            “เจ้า” คำป้อรับคำสั่งแล้วก้มลงกราบบนพื้น แล้วหันไปมองเพื่อนใหม่อย่างเป็นมิตร

            “แล้วข้าล่ะ ทำไมต้องแยกคำน้อยกับข้าด้วยเล่า” แสงหล้ารู้สึกไม่พอใจที่ถูกจับแยกกับคำน้อย หากเป็นเช่นนั้นเขาไม่มีทางยอมแน่นอน

            “เจ้าต้องไปอยู่กับข้า อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้ามีสถานะเป็นเมียข้าแล้ว” จักรคำเอ่ยย้ำสถานะของอีกฝ่ายให้ได้ยินอย่างชัดเจนอีกครั้ง ทำเอาแสงหล้าเถียงไม่ออกได้แต่ถอนหายใจเสียงดังด้วยความขัดใจ

            “เจ้านายน้อยอย่าเป็นกังวลเลยเจ้า อย่างน้อยเราก็ได้อยู่ในคุ้มเดียวกัน ข้าเจ้าสัญญาว่าจักมารับใช้เจ้านายน้อยเช่นเดิม”

            “ดูแลตัวเลงด้วยล่ะข้าไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น” แสงหล้าเอ่ยกับข้าไทคนสนิทด้วยความเป็นห่วง

            “เจ้านายน้อยก็เหมือนกันนะเจ้า”

            “เอ็งไม่ต้องห่วงข้าจักดูแลตัวเองให้ดี” แสงหล้ายิ้มให้กับคำน้อยอย่างอ่อนโยน

            “ถ้าเช่นนั้นข้าเจ้าขอตัวก่อน” คำน้อยก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นนาย แล้วเดินตามหลังคำป้อไป

            เมื่อคำน้อยเดินออกไปแล้วแสงหล้าก็รู้สึกวังเวงอย่างบอกไม่ถูก เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ เขาจะต้องมาเป็นเมียคนที่ทำลายบ้านเมืองตัวเองจริงๆหรือนี่ ศักดิ์ศรีของเจ้าฟ้าเมืองผาพิงค์ต้องมาย่อยยับลงที่นี่หรือไร คิดแล้วก็ได้แต่น้อยใจกับโชคชะตาของตัวเอง

            “อยู่กับบัวตองสักประเดี๋ยวนะลูก”

            “เจ้าเจ้าพ่อ”

            “ดีมากลูกรักของพ่อ” จักรคำยิ้มให้ลูกชายแล้วหันไปเอ่ยกับข้าไทซึ่งเป็นพี่เลี้ยง “ดูแลลูกข้าให้ดีล่ะบัวตอง ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”

            “เจ้าค่ะ”

            หลังจากสั่งข้าไทไว้ดิบดีแล้วจักรคำก็หันไปมองหน้าแขกผู้มาใหม่ แสงหล้าเอาแต่ยืนนิ่งราวกับหุ่นไร้ซึ่งชีวิตชีวา จักรคำเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะไม่พอใจที่ต้องตกอยู่ในสถานะเมียของตัวเองอย่างนี้

            “เดินตามข้ามา” จักรคำเอ่ยแล้วเดินนำหน้าไปยังห้องนอนของตัวเอง

            แสงหล้าเดินตามหลังอย่างจำยอมพร้อมกับเบะปากใส่อีกฝ่ายอยู่ตลอดทาง

เมื่อเข้าไปถึงภายในห้องแล้วจักรคำก็สั่งให้ข้าไทที่ตามมาออกไปจนหมด ทำเอาแสงหล้าถึงกับตกอกตกใจเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำมิดีมิร้าย

            “เหตุใดเจ้าต้องสั่งให้ข้าไทพวกนั้นออกไปด้วย เจ้าหมายจักทำอันใด ข้าบอกไว้ก่อนว่าข้าจักสู้ไม่ยอมให้ผู้ใดมาเข่มเหงได้แน่” แสงหล้าพยายามอยู่ให้ห่างจากเจ้าของคุ้มให้มากที่สุด

            “ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าฟ้าแห่งเมืองผาพิงค์ผู้มีความกล้าหาญจักตื่นกลัวได้ถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจักพิศวาสเจ้าหรืออย่างไร” จักรคำไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากไปกว่านี้จึงเผยความในใจให้ได้รับรู้เสียก่อน

            “ถ้าเจ้าไม่พิศวาสข้าแล้วเหตุใดต้องป่าวประกาศ ให้คนทั้งพระนครรู้ว่าข้าคือเมียของเจ้าด้วยล่ะ”

            “ถ้าข้าไม่ทำเยี่ยงนี้อย่าหวังเลยว่าเจ้าจักอยู่ที่เมืองนี้ได้อย่างสงบสุข ที่ข้าทำเพราะต้องการช่วยเจ้าจำเอาไว้ด้วย” จักรคำตะโกนใส่เสียงดัง เพราะโมโหว่าอีกฝ่ายช่างเข้าใจอะไรยากซะเหลือเกิน

            “นี่ข้าต้องขอบน้ำใจเจ้าสินะ” แสงหล้าแค่นยิ้มออกมา

            “เหตุใดต้องประชดประชันข้าด้วย หรือเจ้าต้องการเข้าไปอยู่ในตรุเฉกเช่นนักโทษไร้ซึ่งอิสรภาพ ถ้าเจ้าต้องการเยี่ยงนั้นข้าจะไปบอกเจ้าพ่อให้ดีหรือไม่เล่า” เมื่อเรื่องมากดีนักเขาจะทำให้ได้ลำบากสมใจอยาก

            “อย่านะ! ข้ายอมทนอยู่ที่นี่ในฐานะเมียของเจ้าก็ได้ แต่เจ้าห้ามมาแตะเนื้อต้องตัวข้าเด็ดขาด” แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต่อรองได้ แต่แสงหล้าก็เอ่ยวาจาสามหาวออกไปอย่างไม่ได้เกรงกลัวเลย

            “เจ้าคิดว่าจักห้ามคนอย่างข้าได้งั้นรึ” จักรคำทำหน้าเหี้ยมมองอีกฝ่ายปานจะกลืนกิน แต่นั่นมันคือการแสดงเท่านั้น เขาอยากจะแกล้งให้เจ้าฟ้าเชลยอวดเก่งผู้นี้ได้สำนึกเสียบ้าง

            “จะ...เจ้าจักทำอันใด ถอยห่างออกไปบัดเดี๋ยวนี้มิเช่นนั้น ข้าจักเอาโถใบนี้ทุบเจ้าให้ตายลงตรงนี้เสีย” แสงหล้ามองเห็นโถสำริดวางอยู่บนโต๊ะไม้ก็รีบหยิบขึ้นมาป้องกันตัวทันที

            “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าเป็นคนขี้กลัวเยี่ยงนี้ หมดกันเจ้าฟ้าผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองผาพิงค์” จักรคำยืนกอดอกยิ้มเยาะเย้ยอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ ไม่ได้รู้สึกกลัวกับท่าทีของอีกฝ่ายเลย

            “เรื่องของข้าอย่าเข้ามานะ”

            “พอได้แล้วข้าล้อเจ้าเล่น ข้ายังยืนยันว่าคนอย่างเจ้าไม่ทำให้ข้าพิศวาสได้เลยแม้แต่น้อย ที่ข้าช่วยเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้เจ้าต้องจากบ้านจากเมืองมาก็เท่านั้น” จักรคำเฉลยสิ่งที่ทำลงไปให้อีกฝ่ายรับรู้ แต่แสงหล้ากลับยังลังเลไม่เชื่อใจ

            “ข้าจักเชื่อเจ้าได้อย่างไรกัน”

            “ถ้าเจ้าต้องการอยู่อย่างหวาดระแวงอย่างนี้ก็แล้วแต่นะ ข้าไม่สามารถห้ามความคิดเจ้าได้ แต่วันนี้ข้ามีเรื่องที่จักต้องทำความตกลงกับเจ้าให้เข้าใจเสียก่อน”

            “ว่ามาสิข้ารอฟังอยู่” แสงหล้ายอมวางโถสำริดลงบนโต๊ะเช่นเดิม

            “ในฐานะที่เจ้าได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียข้าแล้ว ต่อไปให้เรียกข้าว่าเจ้าพี่”

            “ไม่มีทาง! หัวเด็ดตีนขาดข้าก็ไม่มีทางเรียกเจ้าอย่างนั้นแน่” แสงหล้ารีบปฏิเสธทันควัน

            “ถ้าเจ้าไม่ให้เกียรติข้าซึ่งมีฐานะเป็นผัวของเจ้า แล้วผู้ใดมันจักเคารพนับถือให้เกียรติเจ้าในฐานะเมียของข้ากันล่ะ” จักรคำเอ่ยเสียงเข้มย้ำถึงความจำเป็นที่อีกฝ่ายจะต้องทำตาม หากต้องการอยู่ที่นี่อย่างมีหน้ามีตาและไม่สามารถมีใครทำอะไรได้ก็ต้องทำตามทุกอย่างที่เขาแนะนำเท่านั้น

            “ข้า...” แสงหล้าทำหน้าไม่ถูกเพราะไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรดี เขาต้องทำตามเพื่อเอาตัวรอดก่อนใช่ไหม

            “ทำตามที่ข้าบอกแล้วเจ้าจักอยู่ที่นี่อย่างสุขสบาย ข้าคิดว่าเจ้าหลวงแสงคำเองก็คงอยากให้เจ้าทำเยี่ยงนี้เช่นเดียวกัน” จักรคำหวังว่าความหวังดีที่มีให้นั้นมันจะช่วยทำให้แสงหล้ามองเขาในแง่ดีขึ้นมาบ้าง ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ห่วงใยความรู้สึกของเจ้านายน้อยแห่งเมืองผาพิงค์มากขนาดนี้ หรือนั่นอาจเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่พรากอีกฝ่ายมาจากอกบิดา เขาก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนให้กับตัวเองไม่ได้

            “ตกลง! ข้าจักยอมเรียกเจ้าว่าเจ้าพี่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น หากอยู่กันเพียงลำพังข้ามิอาจแสร้งทำอย่างนั้นได้แน่ แต่ท่านต้องสัญญาว่าจักไม่ล่วงเกินข้า มิเช่นนั้นแล้วข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านมีชีวิตรอดไปแน่”

            “ผัวเมียกันก็ต้องมีเรื่องอย่างนั้นบ้าง เจ้าไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆทั้งสิ้น” จักรคำไม่อาจให้คำสัญญากับอีกฝ่ายได้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าในอนาคตเรื่องราวมันจะเป็นอย่างไร แต่ในตอนนี้เขาไม่ได้คิดจะล่วงเกินหรือทำอะไรแสงหล้าอยู่แล้ว

            “เจ้ามัน…” แสงหล้าหาคำก่นด่าที่เหมาะสมกับอีกฝ่ายไม่ถูก

            “ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้จริงๆ กฎของบ้านเมืองข้ามันไม่ได้เหมือนบ้านเมืองเจ้า จงเรียนรู้ที่จักใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้ได้ มิเช่นนั้นแล้วตัวเจ้าเองอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไปหาพ่อของเจ้าเป็นแน่” จักรคำพยายามเอ่ยเตือนสติด้วยความหวังดี

            “นี่ท่านขู่ข้ารึ”

            “ไม่ได้ขู่ข้าพูดเรื่องจริง มีอีกหลายอย่างที่เจ้าไม่รู้ เชื่อฟังข้าแล้วทุกอย่างจักดีเอง” จักรคำเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเกรงว่าหากแสงหล้ายังคงดื้อดึงอยู่อย่างนี้ อาจจะไม่เข้าตาเจ้านายฝ่ายในบางพระองค์จนทำให้อยู่ในเมืองนี้ได้ลำบากมากยิ่งขึ้น เขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น

            “ข้าทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่ อยู่ในฐานะเชลยก็ต้องเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้” แสงหล้าเอ่ยประชดประชัน ในขณะเดียวกันก็น้อยใจกับสิ่งที่ตัวเองต้องมาเผชิญอยู่ในตอนนี้

            “ข้าจักถือว่าเจ้าไม่ได้พูดประชดก็แล้วกัน พักผ่อนให้สบายเถิดข้าจักไปหาลูกชาย หากต้องการสิ่งใดให้เรียกข้าไทที่อยู่ด้านนอกได้ตลอดเพลา” พูดแล้วจักรคำก็เดินออกไปจากห้อง

            แสงหล้ายืนสำรวจภายในห้องนอนขนาดใหญ่ ที่ถูกประดับตกแต่งไปด้วยไม้ที่แกะสลักเป็นลวดลายได้อย่างสวยงาม แม้ศิลปะการตกแต่งภายในของเชียงราชคำจะมีความใกล้เคียงกับเมืองผาพิงค์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ทำให้แสงหล้าคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนลดลงได้เลย เจ้าตัวเดินไปยืนข้างเตียงที่อยู่กลางห้อง ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงอย่างช้าๆ

            “ข้าคิดถึงเจ้าพ่อกับเจ้าพี่เหลือเกิน ไม่ว่าจักเกิดอันใดขึ้นข้าจักอดทนให้ได้”

            พูดจบแสงหล้าก็นอนซบใบหน้าลงบนเตียงที่ไม่คุ้นเคย ไม่นานน้ำตาแห่งความคิดถึงก็ไหลพรากลงมาเป็นสาย น้ำตาทุกหยดที่ไหลลงมาถูกซึมซับลงบนเตียงนุ่มจนหมด ด้วยความอ่อนเพลียจึงทำให้เปลือกตาสวยค่อยๆปิดลงอย่างเชื่องช้า และแสงหล้าก็เข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด



-------------------------------
นานๆมาทีอย่าลืมกันเด้อ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สู้ ๆ เข้มแข็งเข้าไว้  o7

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

ช๊อบชอบ….  มีความรากนครา     :give2:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ความคิดเยี่ยมอ่ะ อนาคตไม่มีใครรู้ เพราะต้องเป็นเมียแน่ๆๆ อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ข้าจักรอตอนต่อไป

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๕-

คำทำนาย



          คืนนี้เป็นคืนแรกที่แสงหล้าจะได้นอนร่วมห้องกับผู้เป็นเจ้าของคุ้ม หลังจากชำระล้างร่างกายจนสดชื่นแล้ว เจ้าตัวก็มานั่งอยู่หน้าโต๊ะกระจก เมื่อดวงตาคู่สวยจ้องมองเข้าไปในนั้น ก็พบกับชายหนุ่มผู้มีใบหน้าสวยหมดจด ผิวขาวสะอาดสะอ้าน คิ้วโก่งดกดำงาม ริมฝีปากเป็นกระจับสีชมพูระเรื่อ เรือนผมดำขลับยาวถึงกลางหลังที่เพิ่งผ่านการเช็ดพอหมาดยังไม่แห้งดีนัก กระเซิงนิดหน่อย เจ้าตัวจึงหยิบหวีไม้ที่วางอยู่ยนโต๊ะขึ้นมาจัดการผมที่รุงรังนั้นให้เรียบร้อย แต่ขณะนั้นเองก็ปรากฏเงาสะท้อนของใครบางคนเข้ามาในกระจกด้วย

            “เจ้าช่างเป็นชายที่มีใบหน้างดงามยิ่งนัก” เสียงเข้มเอ่ยขณะยืนอยู่ข้างหลังในระยะประชิด จ้องมองใบหน้าสวยผ่านกระจกบานใหญ่

            “โปรดออกห่างจากตัวข้าด้วย” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่เตียง

            “กลัวข้าจักทำอันใดเจ้างั้นรึ” คนพูดยิ้มมุมปาก รู้สึกเหมือนกำลังตามจีบสาวแรกรุ่นอยู่ซะอย่างนั้น

            “ถ้าท่านทำเยี่ยงนั้นข้าจักฆ่าท่านด้วยมือของข้าเอง หากอยากตายนักก็เข้ามา” แสงหล้าหยิบมีดสั้นที่พกติดตัวไว้ตลอดขึ้นมาขู่

            “ดูสีหน้าเจ้าสิ แม้จักมองข้าด้วยความโกรธแค้น แต่กลับงดงามยิ่งกว่าหญิงใดในเมืองนี้ เหมาะที่จักเป็นชายาข้าเหลือเกิน” จักรคำเอ่ย เดินเข้าตรงไปหาอย่างไม่เกรงกลัวคำขู่นั่นเลย

            “ยะ...อย่าเข้ามานะ ข้าแทงจริงๆ ด้วย” แสงหล้ายื่นมีดที่แหลมคมไปตรง แต่จักรคำกลับเดินตรงเข้ามา จนอกแกร่งสัมผัสกับปลายมีดพอดิบพอดี

            “หากเจ้าทำข้าเจ็บแม้แต่ปลายเล็บ คิดเหรอว่าเจ้าจักมีชีวิตรอดกลับไปหาพ่อของเจ้า อย่าทำเรื่องเขลาเยี่ยงนี้ให้ข้าเห็นอีก ไม่เช่นนั้นข้าจักไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้ากับคำหล้า” จักรคำเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง เอื้อมมือไปจับมีดเล่มนั้นมาถือไว้เอง ขว้างทิ้งลงบนพื้นจนกระเด็น ก่อนจะผลักอีกฝ่ายลงบนเตียง แสงหล้าจะลุกหนีแต่กลับโดนผลักลงอีกครั้ง จักรคำตรึงแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่น

            “เจ้าคงชอบข่มเหงคนไม่มีทางสู้เยี่ยงนี้อยู่บ่อยครั้ง คงสืบสันดานเยี่ยงนี้มาจากพ่อของเจ้าสินะ” เมื่อสายตาทั้งคู่ประสานกัน แสงหล้าไม่ยอมหลบตา กลับจ้องเขม็งสู้อย่างไม่มีถอย แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ก็ตาม

            “หยุดเอ่ยวาจาสามหาวเยี่ยงนั้นกับเจ้าพ่อของข้าเด็ดขาด เจ้านี่มันไม่กลัวตายเลยรึไงกัน” เมื่อโดนยั่วยุด้วยคำพูดร้ายกาจจักรคำก็อดรนทนไม่ไหว ว่าจะไม่ทำอะไรล่วงเกินอีกฝ่าย แต่เมื่อยังปากดีอย่างนี้ต้องมีการสั่งสอนกันเสียหน่อย

            “ข้าไม่มีวันกลัวคนอย่างพวกเจ้า”

            “ได้! ถ้าเจ้าพยศนักข้าจักทำให้เจ้ายอมศิโรราบเอง” ว่าแล้วก็โน้มใบหน้าคมลงไปซุกไซร้ที่ซอกคอขาว กลิ่นกายหอมเป็นเอกลักษณ์ชวนน่าหลงใหล ทำเอาจักรคำไม่อยากจะผละใบหน้าออกมาเลยแม้แต่น้อย

            “หยุด! เอาตัวสกปรกของเจ้าออกจากตัวข้า” แสงหล้าพยายามดิ้นรน แต่สู้ร่างกำยำของจักรคำไม่ได้

            “คนอย่างเจ้ากลัวเป็นด้วยรึ” จักรคำเอ่ยหลังจากผละใบหน้าออกมาอย่างเสียดาย

            “ข้าไม่ได้กลัวข้าขยะแขยงเจ้าต่างหากล่ะ”

            “หากเจ้ายังพยศเยี่ยงนี้อีก สงสัยข้าต้องทำให้เจ้าเป็นเมียข้าจริงๆ เสียแล้ว” หากคำขู่ของเขามันไม่ได้ผล คงจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่มีทางยอมศิโรราบแน่นอน

            จักรคำจ้องมองที่ริมฝีปากหยักได้รูป เห็นอย่างนั้นก็ทำให้แสงหล้ารู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองทันที ขณะอีกฝ่ายกำลังโน้มใบหน้าลงมานั้น เป็นช่วงเวลาที่แสงหล้ากำลังตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ตัวเองจะต้องแปดเปื้อนไปมากกว่านี้

            “ข้ายอมแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะนะ” แสงหล้ากลั้นใจพูดออกมา           

            “ข้าจักเชื่อเจ้าได้เยี่ยงไร ตั้งแต่มาที่นี่ข้ายังไม่เคยเห็นเจ้ายอมผู้ใดเลยสักครั้ง” จักรคำยังไม่ยอมเชื่อใจ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายพูดเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้นเอง

            “ข้าสัญญาว่าจากนี้ไปข้าจักอยู่ที่นี่อย่างสงบปากสงบคำ ข้าจักไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนเพราะข้าอีก ขอแค่เจ้าอย่า...ทำอันใดล่วงเกินข้าเป็นพอ”

            “เจ้าสัญญาแล้วนะ หากเจ้าทำอย่างที่เอ่ยได้ ข้าก็สัญญาว่าจักไม่ข่มเหงเจ้า” จักรคำส่งยิ้มให้อย่างพอใจ

            “ถ้าเช่นนั้นปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้”

            “ข้ายังพูดไม่จบ”

            “อันใดอีกเล่า” แสงหล้าชักสีหน้าใส่ อารมณ์เสียอยู่ไม่น้อย

            “ต่อไปนี้เจ้าจงเรียกข้าว่าเจ้าพี่ไม่ว่าจักต่อหน้าผู้อื่น หรืออยู่กับข้าเพียงลำพัง ถ้าเจ้าทำได้ข้าก็ยอมรับปากว่าจักไม่ข่มเหงเจ้า”

            “ข้าจักทำอันใดได้เล่า นอกจากรับปากเจ้าเท่านั้น” แสงหล้าถอนหายใจยาว ไม่เคยรู้สึกฝืนใจมากเท่านี้มาก่อน

            “ถ้าเช่นนั้นจงพักผ่อนเถิดข้าจักไปนอนกับลูกชายข้า ข้าจักยกห้องนี้ให้เจ้าแต่เพียงผู้เดียว” จักรคำยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ ลุกออกจากเตียงแล้วบิดขี้เกียจ ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างหื่นกระหาย

            “ไหนว่าจักไปลูกชาย มองข้าเยี่ยงนั้นเจ้าจักทำอันใด” เมื่อจักรคำไม่ยอมเดินไปไหน แสงหล้าก็ยังคงไม่ไว้ใจ

            “ไม่ไว้ใจข้ารึ ข้ารักษาคำพูดอยู่แล้ว การที่ข้ามองมันก็เป็นตาของข้า หาเกี่ยวกับเจ้าไม่”

            “ก็ข้าไม่ให้มอง”

            “ไหนสัญญาแล้วไงว่าจักเรียกข้าว่าเจ้าพี่ ลืมแล้วรึ” จักรคำยืนกอดอก จ้องมองใบหน้าสวยเพื่อทวงคำสัญญา

            “ข้าไม่ลืมเพียงแต่ยังไม่ชินปากเท่านั้นเอง”

            “ลองเรียกให้ข้าชื่นใจสักครั้งก่อนไปได้หรือไม่”

            “เจ้าพี่!” แสงหล้าพูดเสียงห้วนประชดอีกฝ่าย แล้วเบนหน้าหนี

            “อีกไม่นานเจ้าก็คงจะชิน ข้าไปล่ะ” จักรคำยิ้ม แล้วเดินออกไป

*-*-*-*-*-*-*

            เช้าวันใหม่คำน้อยรีบออกมาจากห้องพักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาเฝ้ารับใช้ผู้เป็นนาย เมื่อมาถึงหน้าห้องแล้วก็เอ่ยเรียกคนที่อยู่ข้างใน เพื่อขออนุญาตก่อนจะเข้าไป

            “เจ้านายน้อยเจ้า”

            เมื่อได้ยินเสียงข้าไทคนสนิทเอ่ยเรียก แสงหล้าก็รีบจัดการกับเครื่องแต่งกายให้แล้วเสร็จ จากนั้นก็ตะโกนตอบรับ

            “เข้ามาได้เลยคำน้อย”

            เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว คำน้อยก็ก้มกราบแทบเท้าเหมือนเช่นทุกครั้ง

            “เมื่อคืนเอ็งนอนหลับดีหรือไม่ มีผู้ใดทำให้เอ็งไม่สบายใจหรือไม่” แสงหล้าเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

            “ไม่มีเจ้า คำป้อดูแลข้าเจ้าเป็นอย่างดี”

            “ได้ยินเยี่ยงนี้ข้าก็อุ่นใจ อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่ได้สิ้นไร้คนดีซะทีเดียว”

            “แล้วเจ้านายน้อยล่ะเจ้า นอนหลับดีหรือไม่ ข้าเจ้าเป็นห่วงทั้งคืนเกรงว่าเจ้าอุปราชจักทำเอ่อ....” คำน้อยไม่กล้าเอ่ยต่อ เพราะคำพูดนั้นมันไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร

            “ข้าหลับสบายดี เจ้าอุปราชไม่ได้มานอนที่นี่ดอก”

            “เยี่ยงนี้เจ้านายน้อยก็คงไม่ต้องกังวลอันใดแล้ว” คำน้อยยิ้ม ดีใจแทนผู้เป็นนาย

            “เราออกไปข้างนอกกันเถิด ข้าอยากจักเดินชมรอบคุ้มนี้เสียเหลือเกิน”

            “เจ้า”

            ชายหนุ่มหน้าสวยลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลแดง ความสง่างามของเขานั้นช่างสมกับเป็นผู้มีสายเลือดขัตติยา ผิวกายที่ขาวสะอาดสะอ้านถูกปกคลุมด้วยผ้าเนื้อดี ที่ถูกถักทอจากช่างหลวงฝีมือดีแห่งเมืองผาพิงค์ เครื่องประดับเงินแท้ที่ถูกประโคมตามตัวนั้น ดูสมเกียรติแม้จะอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็ตามที

            ทั้งสองเดินออกมาด้านนอก ชมความงดงามของคุ้มเจ้าอุปราช สวนดอกไม้ที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง เห็นแล้วช่างทำให้รู้สึกสดชื่นมากเหลือเกิน แสงหล้าเอื้อมมือไปสัมผัสดอกกุหลาบสีขาว แล้วโน้มใบหน้าสวยลงไปดอมดมกลิ่นหอมนั้นให้ชื่นใจ

            “กลิ่นหอมมากเลยคำน้อย” แสงหล้าหันไปเอ่ยกับข้าไทคนสนิทด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นี่ถือเป็นรอมยิ้มแรกในบ้านเมืองนี้

            “ดูท่าทางเจ้าจักชอบดอกไม้” เสียงเข้มเอ่ยทัก ทำให้แสงหล้าผละจากดอกไม้นั้นแล้วหันไปมองที่ต้นเสียง

            “ใช่! ข้าชอบแต่ไม่ใช่ดอกไม้ของเมืองนี้”

            “ไม่ชอบแล้วไยทำหน้าระรื่นเวลาได้สูดกลิ่นหอมจากมัน หรือข้าตาฝาดไปเอง” จักรคำเอ่ยแซว เพราะเห็นภาพนั้นเข้าพอดี

            “ก็ข้า...” แสงหล้าไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นมันคือเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

            “เอาเถอะข้าแค่หยอกเจ้าเล่น วันนี้ข้าจักพาเจ้าไปชมคุ้มของข้า รวมถึงสถานที่สำคัญในเมืองเชียงราชคำ และห้ามปฏิเสธเด็ดขาด” จักรคำพูดดักทางเอาไว้ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องปฏิเสธเป็นแน่

            “เจ้าพ่อลูกขอไปด้วย” คนที่ดีใจกลับเป็นอินเหลาซะอย่างนั้น

            “ได้สิลูก เราจักไปด้วยกันทั้งหมดนี่ล่ะ” จักรคำบอกกับลูกชาย

            “เย้!” อินเหลาเต้นโหยงเมื่อได้ยินอย่างนั้น

            แสงหล้าเอาแต่ปรายตามองดูสองพ่อลูกด้วยความหมั่นไส้ แต่ทว่าความน่ารักของอินเหลานั้นกลับทำให้เขาเกลียดไม่ลง แม้ว่าจะโกรธแค้นจักรคำมากเพียงใด แต่เขาก็แยกแยะออกว่าอินเหลาเป็นเพียงเด็กที่บริสุทธิ์ ไม่ได้รับรู้สิ่งที่ผู้ใหญ่กระทำเลยแม้แต่น้อย

            เจ้าอุปราชเดินนำหน้าขบวนไปพร้อมกับลูกชาย ข้างหลังนั้นก็มีเชลยต่างเมืองเดินตามอย่างไร้อารมณ์พร้อมกับข้าไทคนสนิท ส่วนคำป้อและทหารก็เดินตามอารักขามาติดๆ

            แสงหล้าเอาแต่แหงนชมความงดงามของสถาปัตยกรรมเมืองเชียงราชคำ จนเผลอเดินชนแผ่นหลังกว้างเข้าให้

            “เหตุใดเจ้าพี่ไม่บอกข้าว่าจักหยุดเดิน” แสงหล้ามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ขุ่นมัว

            “ก็เจ้ามัวแต่เดินเหม่อลอยเยี่ยงนั้น เหตุใดมาโทษข้าเล่า” คนพูดยิ้มละมุนให้ ทำเอาแสงหล้ารีบหลุบตาลง รู้สึกเหมือนกำลังโดนคุกคามผ่านดวงตาคมคู่นั้น

            “ข้าขออภัย” แสงหล้ายอมเอ่ยปากขอโทษ

            “มาเดินเคียงข้างข้า ตอนนี้เจ้าคือชายาของข้าแล้วลืมไปแล้วรึ”

            “ข้าไม่ลืม เพียงแต่ขอให้ข้าได้ปรับตัวอีกสักหน่อย ตอนนี้ข้าอาจจักยังไม่ชินกับการต้องมาเป็นเมียของผู้ใด” แสงหล้าเอ่ยแกมประชดประชัน นั่นจักรคำก็รู้ดี

            “ต่อไปนี้เจ้าพ่อกับเจ้าน้าจักอยู่กับข้าที่นี่ตลอดไปใช่หรือไม่” อินเหลาเดินมาแทรกกลาง จับมือคนทั้งสองเอาไว้ แล้วส่งยิ้มให้

            เมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กชาย แสงหล้าก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ ตอนแรกมันอาจจะดูฝืนๆ แต่ไม่นานมันก็ออกมาจากใจ ความไร้เดียงสาของอินเหลา อาจจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขาเห็นมุมที่ดีงามของบ้านเมืองนี้ และอาจจะเป็นเพียงแค่สิ่งเดียวที่เขาเปิดใจยอมรับได้

            “ใช่แล้วลูก ต่อไปนี้พ่อกับเจ้าน้าจักอยู่ที่นี่กับลูกตลอดไป” จักรคำบอกกับลูกชาย แล้วหันไปจ้องตากับอีกฝ่าย เหมือนสื่อว่าให้ตามน้ำไป แสงหล้าจึงตอบรับโดยการส่งยิ้มให้เด็กชายทันที

            จักรคำแนะนำสถานที่ต่างๆ ให้กับผู้มาใหม่ได้รู้จัก เริ่มจากภายในคุ้มจนหมดทุกซอกทุกมุม จากนั้นก็เป็นนอกคุ้ม ไม่ว่าจะเป็นคุ้มของเจ้านายองค์อื่นๆ หรือสถานที่สำคัญทางราชการ ได้บอกข้อห้ามและกฎระเบียบไว้อย่างคร่าวๆ อีกด้วย

            “ฝั่งโน้นเป็นวัดหลวง เจ้าจักเข้าไปกราบตนบุญหรือไม่”

            “ดีเหมือนกัน เผื่อวันหลังข้าจักได้เข้าไปถือศีลปฏิบัติธรรมบ้าง” แสงหล้าพอจะเห็นทางสว่างแล้ว คือวัดนั่นเองที่จะทำให้จิตใจของเขามีความสงบสุข ขณะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่

            “ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้ามา”

ว่าแล้วจักรคำก็เดินนำหน้าเข้าไปในวัดหลวง ที่ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของเจ้านายชั้นสูงทุกพระองค์ รวมถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เข้าไปกราบไหว้ตนบุญที่นี่

            มาถึงแล้วจักรคำก็พาทั้งหมดเข้าไปกราบตนบุญที่กำลังนั่งภาวนาศีลอยู่บนอาสนะ ตนบุญรูปนั้นยังคงนั่งสมาธิหลับตาในอาการสำรวม แต่กลับรับรู้ได้ว่าคนที่มานั่นคือใคร

            “กลับมาแล้วรึเจ้าอุปราช”

            “ข้าขออภัยท่านตนบุญที่ไม่ได้เข้ามากราบตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เพราะมีหลายเรื่องให้จัดการ” จักรคำเอ่ย

            “เรื่องที่ว่านั้นคือเรื่องของคนที่นั่งอยู่ข้างท่านใช่หรือไม่” ท่านตนบุญเอ่ย แม้จะยังคงหลับตาอยู่ ทำเอาแสงหล้าถึงกับอึ้งในญาณวิเศษนั้น

            “ท่านรู้ด้วยรึว่าข้าเป็นใคร” แสงหล้าเอ่ยถาม

            “ไยข้าจักไม่รู้ล่ะเจ้าแสงหล้า ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างหลังท่านคือคำน้อย ข้าไทที่ติดตามมาจากเมืองผาพิงค์ใช่หรือไม่”

            “ข้าขอกราบท่านอีกครั้งท่านตนบุญผู้วิเศษ ไยท่านรู้แม้ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดู” แสงหล้าเอ่ยถาม

            “เรื่องนั้นท่านไม่ต้องรู้ดอก รู้เพียงว่าข้ารู้เรื่องของพวกท่านทุกเรื่อง” ว่าแล้วท่านตนบุญก็ลืมตาขึ้นมา

            “คำน้อยเอ็งเข้ามาหาข้าหน่อยสิ” เมื่อโดนเรียก คำน้อยก็ทำหน้างง มองหน้าผู้เป็นนายทันที แสงหล้าพยักหน้าเชิงอนุญาตให้เข้าไปได้ คำน้อยจึงคลานเข่าเข้าไปหาท่านตนบุญ

            “มีอันใดรึท่านตนบุญ”

            “เจ้าจงเอาตะกรุดนี้ติดตัวไว้ตลอด มันอาจจะช่วยให้เจ้าแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้หรือในอนาคต” ท่านตนบุญเอ่ยพลางหยิบตะกรุดชิ้นหนึ่ง วางลงบนฝ่ามือให้

            “ขอบน้ำใจท่านมาก ข้าจักเก็บมันไว้อย่างดี” คำน้อยก้มกราบแล้วกลับไปนั่งที่เดิม

            “จักมีเหตุอันใดเกิดขึ้นกับคำน้อยรึท่าน ข้าได้ยินเยี่ยงนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย” แสงหล้าได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงคำน้อยขึ้นมาทันที

            “หามีเรื่องอันใดไม่ ท่านจงอย่าทุกข์ใจไปเลย” ท่านตนบุญเอ่ยอย่างนั้นออกไปเพื่อให้แสงหล้าสบายใจ แต่สิ่งที่อยู่ในนิมิตมันกลับไม่ใช่อย่างนั้น ชะตากรรมของคำน้อยนั้นช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน

            “ได้ยินท่านเอ่ยเยี่ยงนั้นข้าก็เบาใจ”

            “ข้ารู้ว่าในใจท่านยังคงไม่คลายทุกข์โศกเรื่องบ้านเมือง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจักบอกให้ท่านรู้เอาไว้ ในอนาคตข้างหน้าท่านจักได้กลับไปเมืองผาพิงค์อย่างแน่นอน”

            “จริงรึท่าน ข้าดีใจเหลือเกิน” แสงหล้ายิ้มออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น

            “ก่อนที่ข้าเข้าฌานต่อ ข้ามีสิ่งที่จะบอกท่านอีกเรื่อง ผู้ชายที่อยู่ข้างท่านจักเป็นคนที่นำพาท่านกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน และคนที่ท่านจักไว้ใจได้มากที่สุดในเมืองนี้ก็คือเจ้าอุปราชท่านนี้ จำคำของข้าเอาไว้” พูดจบท่านตนบุญก็หลับตาลง เข้าสู่ห้วงแห่งธรรมะ ละทิ้งความวุ่นวายจากสิ่งรอบกาย

            จักรคำยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เพราะสิ่งที่ท่านตนบุญเอ่ยออกมามันคือสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำอยู่แล้ว ไม่เสียแรงที่ศรัทธาท่านมาตั้งแต่เด็กจนโต

            ส่วนแสงหล้าได้ยินอย่างนั้นก็กลอกลูกตาไปมา เขามั่นใจว่าสิ่งที่ท่านตนบุญเอ่ยออกมานั้นคือเรื่องจริง แต่การจะปรับตัวเข้าหาคนที่นั่งข้างกันนั้น มันเป็นอะไรที่ฝืนใจมากเหลือเกินนั่น ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายคือที่พึ่งหนึ่งเดียวในเมืองนี้ ยิ่งรู้สึกกังวลหนักเข้าไปใหญ่

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คำน้อยจะเป็นอะไรมากไหมนะ  :hao4:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
แอบเป็นห่วงคำน้อยเลยจะเจออะไรน่ะ
แสงหล้าอย่าดื้อกับคำจักรเลย
ลุ้นต่อๆๆๆ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
-๖-

รสจูบแห่งเจ้าอุปราช



การได้คลุกคลีใช้ชีวิตด้วยกันในคุ้มเกือบทุกวัน นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของแสงหล้าและอินเหลาแน่นแฟ้นขึ้นเป็นลำดับ แสงหล้าปฏิบัติต่ออินเหลาราวกับน้องชายตัวน้อย ความใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ของเด็กน้อย ทำให้แสงหล้ายอมเปิดใจได้อย่างง่าย

ในแต่ละวันแสงหล้าแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย หางานอดิเรกทำเพื่อคลายเหงา ร่วมกับข้าไทคนอื่นๆ นั่น ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นที่รักของบรรดาข้าไทในคุ้มนี้ไปเสียแล้ว

“เจ้าน้าข้าอยากเล่นม้าก้านกล้วย ช่วยเล่นเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่” อินเหลาเดินเข้ามาพะเน้าพะนออยู่ข้างกาย ขณะแสงหล้าและคำน้อยกำลังช่วยกันจัดดอกไม้ใส่แจกันทองสำริดอยู่ในห้องโถง

แสงหล้ายิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น “ข้าจักเล่นกับเจ้าได้เยี่ยงไร ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เด็กเยี่ยงเจ้านะอินเหลา ใครเห็นเข้าคงหัวเราะเยาะข้าเป็นแน่”

“ก็ข้าเบื่อจะเล่นกับข้าไทพวกนั้นแล้ว ข้าอยากเล่นกับผู้อื่นบ้าง” อินเหลาทำหน้าตาบูดบึ้ง เชิงอ้อนอีกฝ่ายให้ยอมใจอ่อน

“หากเจ้าต้องการข้าจักไปเล่นด้วย แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องเล่าเรื่องแม่ของเจ้าให้ข้าฟัง ตงลงหรือไม่”

“ตกลง! ข้าจักเล่าให้ฟังแต่ตอนนี้เจ้าน้าต้องไปกับข้าก่อน” ว่าแล้วอินเหลาก็ดึงมือแสงหล้า พาเดินออกไปที่ลานหญ้าหน้าคุ้ม



มาถึงก็มีข้าไทเตรียมก้านกล้วยเอาไว้รอแล้ว อินเหลารีบวิ่งไปหยิบมาแล้วยื่นให้แสงหล้าและคำน้อยคนละอัน ก่อนที่ทั้งสามคนจะขึ้นขี่ แสงหล้ากับคำน้อยมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาอย่างเคอะเขิน เพราะทั้งสองเคยเล่นตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ตอนนี้เวลาก็ผ่านล่วงเลยมานานแล้ว มันรู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย

“เจ้าน้าวิ่งตามข้ามา ฮี่ๆ” ว่าแล้วอินเหลาก็ขี่ม้าก้านกล้วยวิ่งวนเป็นวงกลม โดยมีเพื่อนเล่นคนใหม่วิ่งตามหลังมาติดๆ แม้ช่วงแรกอาจจะยังเคอะเขินอยู่ แต่นานไปแสงหล้าและคำน้อยกลับสนุกไปพร้อมกับอินเหลาซะอย่างนั้น

ข้าไทที่นั่งชมอยู่นับสิบต่างก็มองดูแล้วมีรอยยิ้มตาม เล่นกันอยู่อย่างนั้นได้ไม่นาน ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญนั่งเสลี่ยงชูคอระหงมาเยี่ยมเยียนถึงที่

“ท่าทางคงจะสนุกกันจริงเชียว แม่เลี้ยงเชลยต่างด้าวกับลูกเลี้ยงดูท่าคงจะเข้ากันได้ดี” เป็นเครือแก้วนั่นเองที่ย่างกรายลงมาจากเสลี่ยง ข้างกันนั้นก็มีข้าไทคนสนิทนามว่า ‘เขียน’ ติดสอยห้อยตามมาติดๆ

ได้ยินเสียงของผู้มาเยือน ทั้งสามคนก็หยุดชะงักทันที แสงหล้าเหลือบตามองแวบเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดี สีหน้าที่แสดงออกและน้ำเสียงที่เปล่งวาจาออกมานั้น บ่งบอกว่าเจ้าหล่อนกำลังประกาศสงครามกลายๆ

“เห็นข้าแล้วไยยืนนิ่งอยู่เยี่ยงนั้น เจ้าควรจักก้มลงกราบแทบเท้าข้าเสีย ข้าเป็นถึงเจ้านางของเจ้าราชวงศ์ หาได้เป็นเชลยต่างเมืองเยี่ยงเจ้าไม่” เครือแก้วแค้นใจตั้งแต่ที่สวามีร้องขอให้แสงหล้า มาเป็นชายาอีกคนในหอหลวงวันนั้นแล้ว วันนี้จึงอยากมาประกาศศักดาให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า หล่อนนั้นไม่ได้เป็นเจ้านางที่ต่ำต้อยด้อยค่าแต่อย่างใด (เจ้าราชวงศ์ คือพระยศของอนุชาเจ้าอุปราช มียศรองลงมาอีกขั้นหนึ่ง)

แสงหล้าจ้องมองเจ้านางผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่แข็งกร้าว เขาอุตส่าห์ไม่ออกไปนอกคุ้มเลย แต่ทว่ากลับมีคนเข้ามาหาเรื่องถึงที่ มันน่าโมโหเสียเหลือเกิน กำลังจะเอ่ยปากตอบโต้ไป แต่อินเหลากลับเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เจ้าน้าไม่ใช่เชลยเยี่ยงเจ้าอากล่าว แต่เจ้าน้าคือชายาของเจ้าพ่อต่างหาก” อินเหลาเป็นคนออกรับแทน ทำให้แสงหล้ารู้สึกซึ้งน้ำใจมากเหลือเกิน

แสงหล้าเดินไปยืนข้างเด็กชาย “รู้เยี่ยงนี้แล้วเจ้าควรจักก้มลงกราบแทบเท้าข้าเสีย ชักช้าอยู่ไยเล่าเจ้านางเครือแก้ว” คนกล่าวยิ้มเยาะใส่ เขาอยู่ในคุ้มดีๆ ไม่อยากมีเรื่องกับใคร แต่ทว่าเครือแก้วกลับเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องก่อน เช่นนั้นแล้วเขาไม่มีทางยอมแน่นอน

“กรี้ดดด! บังอาจนักไอ้เชลยต่างด้าว แม้เจ้าจักเป็นชายาเจ้าอุปราช แต่ก็ไม่ได้มียศศักดิ์อันใดเทียบเคียงข้า วันนี้ข้าจักตบสั่งสอนเจ้าให้รู้ที่ต่ำที่สูง” ว่าแล้วเครือแก้วก็เดินย่างสามขุมตรงเข้ามา ง้างมือเรียวขึ้นจะฟาดเข้าที่ใบหน้างามของแสงหล้า แต่แรงสตรีหรือจะสู้แรงบุรุษ แสงหล้าจับข้อมือเจ้าหล่อนไว้ก่อน จากนั้นก็ผลักจนล้มลงบนพื้น เครือแก้วร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด พลางมือเรียวก็ลูบตรงสะโพกงามไปด้วย

“โอ๊ย! อีเขียนจัดการมันให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้”

เขียนรีบเข้ามาพยุงตัวเจ้านายขึ้น ด้วยความเป็นเดือดเป็นร้อนแทน เจ้าหล่อนจึงหันมาจ้องมองแสงหล้าตาเขม็ง พร้อมที่จะระรานอีกฝ่ายตามคำสั่งเจ้านาย

“เจ้าบังอาจทำเจ้านางของข้ารึไอ้พวกเชลย”

“เหตุใดข้าจักทำไม่ได้ เจ้านางของเจ้าไม่ใช่มารดาข้าเสียหน่อย” แสงหล้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ปรายตามองคู่อริด้วยความสะใจ

“นี่เจ้า” เขียนทำหน้ายักษ์เดินกร่างเข้ามาหา หักมือกร็อดเสียงดัง บ่งบอกว่าเจ้าหล่อนหมายจะเข้ามาทำร้าย แสงหล้าเห็นอย่างนั้นก็ยืนนิ่ง รอตั้งรับอย่างมีสติ

“อย่ามาบังอาจกับข้าอีข้าไทไพร่ราบ” คนอย่างเขียนไม่ควรบังอาจมาต่อกรกับเขาอย่างนี้ เห็นทีจะต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบเสียหน่อย

“เจ้ามันก็ไม่ต่างจากข้านักดอก ปากดีนักข้าจักตบสั่งสอนเจ้าให้เข็ดหลาบเลยคอยดู” ว่าแล้วเขียนก็เดินปรี่เข้ามาหาแสงหล้า แต่คนที่เข้ามาขวางไว้นั่นคือคำน้อย

“ข้าจักไม่ยอมให้เอ็งมาแตะตัวเจ้านายน้อยของข้าเด็ดขาด” ว่าแล้วคำน้อยก็เป็นฝ่ายง้างมือ ฟาดเข้าที่ใบหน้าของเขียนก่อน

เพี๊ยะ!

“มึงกล้าตบกูเหรอว๊ะ!”

“ก็เออสิวะเข้ามาเลย กูไม่กลัวมึงดอก”

หลังจากนั้นข้าไททั้งสองคน ก็กอดรัดฟัดเหวี่ยง ผลัดกันตบ จิก ขยุ้มผม อยู่บนพื้นราวกับที่นี่คือตลาดสดนอกวัง

ผ่านไปเพียงครู่เดียว สภาพของทั้งสองต่างก็สะบักสะบอม ผมเผ้าที่เคยเกล้าไว้บนศีรษะอย่างเป็นระเบียบก็หลุดลุ่ยยุ่งเหยิง เสียงเชียร์ของทั้งสองฝั่งดังขึ้นระงมไปทั่วทั้งคุ้ม ราวกับมีมวยคู่เด็ดที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในลานประลอง

“คำน้อยสู้ๆ เอาชนะให้จงได้” อินเหลาปรบมือ ส่งเสียงเชียร์อย่างสนุกสนาน ลานหญ้าที่เพิ่งเล่นม้าก้านกล้วยกัน

“คำน้อยอย่ายอมมัน” แสงหล้าเองก็ใช่ย่อย ยืนหักนิ้ว ทำหน้าตาสะใจเวลาที่คำน้อยสามารถขึ้นคร่อมตบอีกฝ่ายได้

“อีเขียนมึงอย่ายอมมัน สู้สิวะ! สู้มันให้จงได้” เครือแก้วส่งเสียงตะโกนให้ดังกว่า เพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้

ตอนนี้คำน้อยขยุ้มผมเขียนไว้แล้วกระแทกลงที่พื้นเต็มแรง

“โอ๊ย! กูไม่ไหวแล้วนะไอ้คำน้อยยย” เขียนกัดมือคำน้อยอย่างเต็มแรง ทำให้ต้องปล่อยมือออกจากผมของเขียนทันที

“อ๊ากก!!! อีเขียน!”

พอเป็นอิสระเขียนก็ออกแรงถีบเข้าที่ท้องคำน้อยจนกระเด็นออกไป เขียนจึงเซถลาเข้าซบเท้าของผู้เป็นนาย แต่เครือแก้วกลับผลักไสออกมาให้ต่อสู้อีก แม้ว่าตอนนี้เนื้อตัวของเขียนนั้นจะสะบักสะบอมเกินทน เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ใบหน้าที่เคยเนียนใสนั้นกลับเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ แถมยังมีเลือดไหลที่มุมปากอีกด้วย

“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงของผู้เป็นเจ้าของคุ้มดังขึ้น ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ทุกคนหันไปมองยังต้นเสียงด้วยอาการเงียบสงบ คำน้อยและเขียนต่างก็กลับมานั่งแทบเท้าผู้เป็นนาย ก้มหน้ามองพื้นเพราะกลัวอาญาจากเจ้าอุปราช

“เจ้าอุปราช!” เครือแก้วรีบยกมือไหว้สา ก่อนจะเอาแต่ก้มหน้าเพราะรู้ว่าตนมีความผิด ที่เข้ามาก่อกวนถึงในคุ้ม

“เกิดเหตุอันใดขึ้น เหตุใดข้าไททั้งสองคนถึงได้กัดกันราวกับหมาบ้าเยี่ยงนี้” จักรคำเอ่ยเสียงเข้ม พลางกวาดสายตามองไปรอบตัว ก่อนจะหยุดลงที่เครือแก้ว “เครือแก้วเจ้าจักอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่”

“คือว่า...เจ้าแสงหล้ามาหาเรื่องข้าก่อนเจ้าค่ะ”

“ไม่จริง! ข้าไม่ได้หาเรื่องเจ้า เจ้าต่างหากที่เข้ามาหาเรื่องข้าก่อน”

“เจ้านั่นล่ะที่มาหาเรื่องข้าก่อน” เครือแก้วเองก็ไม่ยอมเช่นเดียวกัน

จักรคำมองหน้าทั้งสองคนสลับไปมาอย่างเหลืออด ก่อนจะตะโกนเสียงดังเพื่อห้ามการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้

“หยุด! เรื่องนี้ข้าจักถามความจากอินเหลาลูกชายข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ข้าเชื่อว่าเด็กจักไม่พูดปดข้าแน่นอน” จักรคำเอ่ย

เครือแก้วหน้าเจื่อนกลัวความผิด เพราะรู้ดีว่าอินเหลาต้องพูดตามความจริงกับสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่แน่นอน เธอจะหาคำแก้ตัวอย่างไรดี

“บอกพ่อมาว่าผู้ใดเป็นผู้ก่อเรื่องก่อน เจ้าห้ามพูดปดพ่อเด็ดขาด” จักรคำหันไปถามลูกชาย อินเหลาพยักหน้ารับแล้วส่งยิ้มให้บิดา

“ข้ากับเจ้าน้าและคำน้อยกำลังเล่นม้าก้านกล้วยกันอยู่ดีๆ แต่พอเจ้าอามา ก็บังคับให้เจ้าน้าก้มกราบแทบเท้า เจ้าน้าทนไม่ได้จึงเกิดเรื่องตบตีขึ้น เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้เจ้าพ่อ” อินเหลาเล่าต้นตอของการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้ให้กับบิดาฟัง

“เจ้าจักแก้ตัวว่าอย่างใดเครือแก้ว” จักรคำหันไปมองหน้าเจ้าหล่อนด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก บ่งบอกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“ข้าเพียงต้องการพูดหยอกเจ้าแสงหล้าเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” เครือแก้วแสร้งทำเป็นพูดจาดี เพื่อให้ความผิดของตัวเองลดน้อยลง

“ไม่จริง! เจ้าตั้งใจดูหมิ่นข้า หาว่าข้าเป็นเพียงเชลยต่างด้าว ข้าไม่ยอมเด็ดขาด!”

“ถ้าเจ้าไม่พอใจ ข้าต้องขอโทษเจ้าจากใจจริง อภัยให้ข้าด้วยเถิด”

“เอาล่ะ เจ้ารู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดและได้เอ่ยขอโทษแล้ว ก็ให้เรื่องมันจบไป ส่วนเจ้าแสงหล้าเองก็ต้องเอ่ยขอโทษเจ้าน้องเครือแก้วด้วย เรื่องมันจักได้จบอย่างไม่คลางแครงใจกัน” จักรคำเอ่ย

แสงหล้าหันขวับไปมองจักรคำด้วยความไม่พอใจ เขาไม่ได้เป็นคนผิด ทำไมต้องขอโทษอีกฝ่ายด้วยล่ะ “ไม่! ข้าไม่ขอโทษใครทั้งนั้น เพราะข้าไม่ได้ทำผิดอันใด”

“เหตุใดเจ้าถึงได้หัวรั้นเยี่ยงนี้ ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสองก็ถือว่าเป็นเครือญาติกันแล้ว ควรจักปรองดองกันไว้”

“ข้าไม่มีวันนับญาติกับคนเยี่ยงนั้นดอก”

“ข้าบอกให้เจ้าขอโทษเจ้านางเครือแก้วไงล่ะ!” จักรคำขึ้นเสียงใส่ เขาไม่อยากให้แสงหล้ามีศัตรูที่ไหนอีก เพราะจะทำให้อยู่ที่นี่อย่างลำบากมากขึ้น

“เจ้าพี่ไม่มีเหตุผล้ขาไม่ขอโทษใครทั้งนั้น” ว่าแล้วแสงหล้าก็สะบัดหน้าเดินกลับเข้าไปในคุ้มทันที คำน้อยเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินตามเจ้านายไป

จักรคำยืนเท้าสะเอวถอนหายใจยาว รู้สึกไม่พอใจที่อีกฝ่ายยังคงดื้อดึงไม่เชื่อฟังคำสั่ง ทั้งที่เคยเอ่ยปากสัญญาแล้วว่าจะไม่ทำให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ แต่อีกฝ่ายก็ทำจนได้ มันน่าจับมาตีกันให้ลายนัก

ไม่นานจักรคำก็หันไปเอ่ยกับเครือแก้วต่อ “แล้วเจ้ามาที่นี่เพราะเหตุอันใดเครือแก้ว”

“ข้าแค่ต้องการมาทักทายเจ้าแสงหล้าเพียงเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจักเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าต้องขออภัยเจ้าอุปราชด้วยนะเจ้าคะ” เจ้าหล่อนเอ่ยด้วยสีหน้าสำนึกผิด จักรคำรู้นิสัยอีกฝ่ายดี ขี้เกียจเอ่ยอะไรอีกแล้ว จึงบอกให้กลับไปเสียก่อน

“ไม่เป็นไร เจ้ารีบกลับไปเสียเถิด หากไม่จำเป็นอย่าได้มาที่นี่อีก ข้าไม่ต้องการให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีก”

“เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าขอไหว้สาเจ้าอุปราชเจ้าค่ะ” เธอยกมือไหว้เหนือศีรษะ ก่อนจะหันเอ่ยกับข้าไทคนสนิท “อีเขียนกลับคุ้ม”

“เจ้าค่ะ”

เครือแก้วเดินขึ้นไปนั่งชูคอบนเสลี่ยง ก่อนจะสั่งให้ผู้หามเสลี่ยงออกเดินทางกลับไปที่คุ้มทันที

เมื่อเครือแก้วออกจากอาณาเขตคุ้มแล้ว จักรคำก็หันมาสนใจลูกชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ในใจก็นึกเป็นห่วงคนที่น้อยอกน้อยใจเดินเข้าไปข้างในก่อนหน้านี้ซะเหลือเกิน

“อินเหลาไปรอพี่ที่ห้องโถงในคุ้มก่อน เดี๋ยวพ่อจะตามเข้าไป”

“เจ้าพ่อจักไปที่ใดหรือเจ้า”

“เอ่อ...พ่อจักเข้าไปหาเจ้าน้าแสงหล้า ไม่รู้ว่าป่านนี้จักเป็นเยี่ยงไรบ้าง”

“เจ้าพ่อแลดูเป็นห่วงเจ้าน้ามากเหลือเกิน” อินเหลายิ้มแซวผู้เป็นบิดา

“พ่อไม่ได้เป็นห่วง เพียงแต่พ่อไม่อาจละเลยความรู้สึกของเจ้าน้าได้ อย่างน้อยเขาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียพ่อ”

“เจ้าพ่อไม่ต้องรีบมาหาลูกดอก ไปปรับความเข้าใจกับเจ้าน้าเถิดเจ้า”

“ขอบใจลูกมากที่เข้าใจพ่อ” จักรคำส่งยิ้มให้ลูกชาย ก่อนจะหันไปเอ่ยกับพี่เลี้ยงของอินเหลา “บัวตองฝากดูแลลูกข้าด้วย”

“เจ้าค่ะ”



จักรคำรีบเดินเข้าไปหาแสงหล้าภายในคุ้ม เดินเข้ามาในห้องก็พบว่าแสงหล้ากำลังช่วยทายาให้กับคำน้อยอยู่ แสงหล้าปรายตามองแวบหนึ่งก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ ตั้งใจช่วยทายาให้กับคำน้อยต่อ

“คำน้อยออกไปให้คำป้อช่วยทายาให้ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับนายของเอ็ง”

คำน้อยได้ยินอย่างนั้นก็รีบตอบรับ “เจ้า”

“ไม่ต้อง! ข้าจักทำให้เอ็งเองคำน้อย” แสงหล้าเอ่ยห้ามข้าไทคนสนิทไว้

“ออกไปคำน้อยถ้าไม่อยากให้นายของเอ็งเดือดร้อน”

“เจ้านายน้อย ข้าเจ้าจำเป็นต้องออกไปก่อน”

ด้วยความกลัวว่าเจ้านายจะเดือดร้อนเพราะตน คำน้อยจึงรีบถือถ้วยยาเดินออกไปอย่างเร่งรีบ

“คำน้อยอย่าเพิ่งไป!” แสงหล้าตะโกนตามหลัง พร้อมกับจะเดินตามออกไปด้วย แต่โดนจักรคำกางแขนแกร่งห้ามไว้เสียก่อน

“ห้ามไปไหน”

“ข้าไม่อยากสนทนากับท่าน”

“แต่ข้ามี”

“แต่ข้าไม่มี”

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับฟังกัน จักรคำจึงรวบตัวเข้ามากอดไว้ ทำให้ร่างบอบบางอยู่ภายใต้อาณัติของจักรคำในทันที

“ปล่อยข้า”

“ข้าปล่อยแน่ หากเจ้ายอมสนทนากับข้าดีๆ”

“ข้าไม่อยากสนทนากับคนไม่มีความยุติธรรมเยี่ยงท่าน”

“ข้าไม่ยุติธรรมตรงไหนกัน” จักรคำพยายามจ้องตาคนที่อยู่ในอ้อมกอด แต่แสงหล้าเอาแต่วางสายตาไว้ที่แผงอกแกร่ง ทำหน้างองุ้มราวกับเด็กน้อยโดนขัดใจ

“เหตุใดเจ้าพี่จึงบังคับให้ข้าขอโทษเจ้านางเครือแก้ว ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าหล่อนมาหาเรื่องข้าก่อน” แสงหล้าถือโอกาสเงยขึ้นมาเผชิญหน้า แต่เมื่อได้สบตากันกลับทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างควบคุมไม่ได้

“ที่ทำเยี่ยงนั้นเพราะข้าเป็นห่วงเจ้ายังไงล่ะ ข้าไม่อยากให้เจ้ามีศัตรู เข้าใจหรือข้ายังเจ้าแสงหล้า” เสียงเข้มเอ่ยด้วยโทนเสียงนุ่มละมุนหู ราวกับมีมนต์สะกดให้คนที่อยู่ตรงหน้าเคลิบเคลิ้ม เมื่อทุกอย่างอยู่ในความนิ่งงัน จักรคำจึงโน้มใบหน้าคมเข้าไปประกบจูบอย่างนุ่มนวล เขาห้ามใจตัวเองไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าหวานนี้ ยิ่งบดจูบหนักหน่วงมากเท่าไหร่ อ้อมแขนแกร่งก็ยิ่งกอดรัดร่างบางแน่นตามไปด้วย

“อืมม”

ความหอมหวานของริมฝีปากบางทำให้จักรคำไม่สามารถหยุดการกระทำครั้งนี้ได้ แต่ห้วงเวลาแห่งความสุขสมก็ต้องจบลง เมื่อแสงหล้าเรียกสติกลับคืนมาได้ จึงผละใบหน้าออกมา ผลักอกแกร่งให้ออกห่างจากตัว ก่อนจะฟาดมือเรียวเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง

“เพี๊ยะ!”

ดวงตากลมโตสีดำขลับจ้องมองหน้าชายหนุ่มผู้เอาเปรียบแวบหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงมาด้วยความเขินอาย ใบหน้าสวยที่เคยขาวปานหยวกกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อในพริบตา

“ข้าขอโทษ...ที่ล่วงเกินเจ้า ข้าห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ” จักรคำเอ่ยอย่างสำนึกผิด แต่สายตาคมกลับจ้องมองที่ริมฝีปากบางชมพูระเรื่อนั้นอย่างเสียดาย

“ไม่ต้องพูดอันใดแล้ว ข้า...ข้าจักออกไปข้างนอกแล้ว” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไปนอกห้อง แต่ทว่าจักรคำกลับรั้งข้อมือไว้เสียก่อน

“ต้องการอันใดจากข้าอีกรึ” แสงหล้ามองที่ข้อมือตัวเอง ไล่ขึ้นไปจนถึงใบหน้าคม ก่อนจะชักสีหน้าใส่

“ข้าจักไม่ให้ผู้ใดมาดูหมิ่นเจ้าได้อีก ข้าสัญญา”

“สัญญาแล้วต้องทำให้จงได้”

ว่าแล้วแสงหล้าก็เดินอมยิ้มออกไป ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนนิ่งงันทบทวนความรู้สึกและการกระทำของตนเอง ว่าแท้ที่จริงแล้วต้องการสิ่งใดระหว่างความรักหรือความต้องการ ไม่นานจักรคำก็ยกมือขึ้นมา ใช้นิ้วสัมผัสเบาๆ ที่ริมฝีปากตัวเอง ยืนยิ้มอยู่อย่างนั้น

ส่วนแสงหล้าแม้จะยังมีอคติกับจักรคำอยู่ แต่ทว่ารสจูบเมื่อครู่ก็ทำให้หัวใจที่เคยแข็งแกร่งกลับเริ่มสั่นคลอน กำแพงแห่งความพยศเริ่มแตกร้าวไปเสียแล้ว หากได้รับความรู้สึกดีๆ จากจักรคำไม่หยุดหย่อน อีกไม่นานกำแพงนี้มันจะต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ท่าทางชะนีตัวนี้ฤทธิ์คงยังไม่หมด  :katai1:

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
เอาแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆ พัฒนาแน่นอน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด