มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: มีอีบุ๊กที่ meb จ้า❤️:::::ทาสรักเชลยหัวใจ[พีเรียด]:::::❤️ EP.29 อวสาน [Up.01-09-2019]  (อ่าน 25381 ครั้ง)

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
จูบแรกก็ทำลายกำแพงได้แล้ว อิอิ
เอาเจ้านางแก้วไปหมกป่าเลย



ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 7

ตอบรัก



          เรือนนอนน้อยๆ ภายในเขตคุ้มเจ้าอุปราช คำป้อกำลังช่วยเพื่อนร่วมห้องประคบรอยฟกช้ำบนใบหน้าให้อย่างเบามือ คนเจ็บได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองใบหน้าคมอย่างเขินอาย

            “เอ็งเจ็บหรือไม่คำน้อย” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยกับหนุ่มน้อยที่บอบบางกว่า

            “เจ็บสิถามได้”

            “หากข้าอยู่ด้วย คงไม่ปล่อยให้เอ็งเจ็บตัวเช่นนี้ดอก”

            “เอ็งจะตบตีกับอีเขียนแทนข้ารึ” คำน้อยยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้พูดจากวนประสาท

            “ข้าเป็นชายจักทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไรเล่า เพียงแต่ข้าจักห้ามพวกเอ็งไม่ให้ตบตีกัน”

            “นี่เอ็งหาว่าข้าไม่สมเป็นชายรึ”

            “ข้าเปล่า!” คำป้อทำหน้างงเล็กน้อยเมื่อโดนอีกฝ่ายทำหน้าค้อนใส่

            “ก็เอ็งหมายความเยี่ยงนั้น หาว่าข้าทำตัวไม่สมชายไปมีเรื่องกับสตรีเพศ”

            “ข้าขอโทษ ข้าลืมไปว่าเอ็ง...เป็นชายเยี่ยงข้า”

            “ทำไมเอ็งพูดเยี่ยงนั้นข้าไม่สมเป็นชายตรงส่วนใดรึ”

            “เอ็งไม่ได้เป็นชายในสายตาข้าเลยคำน้อย ตัวของเอ็งผอมบางกว่าอีเขียนเสียด้วยซ้ำ ใบหน้าเอ็งก็สะสวยเกินหญิงใดในเมืองนี้ ผิวกายเอ็งนวลเนียนนักจนหามีที่ติไม่ อย่างนี้แล้วเอ็งจักคิดว่าตนเป็นชายอยู่อีกหรือ” คำป้อไม่พูดเปล่า กลับกวาดตามองทุกสัดส่วนบนเรือนร่างของคำน้อยพร้อมทั้งกลืนน้ำลายลงคอ เขายิ้มมุมปากให้เพื่อนร่วมห้องอย่างมีนัยแอบแฝง ทำเอาคำน้อยถึงกับทำหน้าไม่ถูก เพราะรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังจะโดนอีกฝ่ายเกี้ยวพาราสี

            “อย่างไรข้าก็เป็นชาย แม้เอ็งจักยกยอข้ามากกว่านี้ ข้าก็ไม่สนใจเอ็งดอก”

            “เป็นเพียงเพราะข้าเป็นข้าไทผู้ต่ำต้อยอย่างนั้นรึ” คำป้อหลบตาหลงอย่างเจียมตัว

            “หาใช่เยี่ยงนั้นไม่ ข้าเพียงแต่คิดว่าเราทั้งสองไม่ควรคิดอันใดเกินเลย เพราะข้าเป็นเพียงเชลยต่างเมือง จึงไม่อยากผูกใจไว้กับผู้ใด เพราะในสักวันข้าก็ต้องกลับบ้านเมืองข้าอยู่ดี” ใช่แล้วเขาไม่ได้ปิดกั้นเพียงเพราะเรื่องฐานะหรือชนชั้น เพียงแต่เขาไม่ใช่คนบ้านเมืองนี้ หากเปิดใจรักใครเข้าสักคนสักวันก็ต้องจากกันอยู่ดี และทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากกว่านี้เสียอีก สำหรับเขาแล้วคำป้อเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง ไม่เคยรังเกียจเดียดฉันท์ที่เขาเป็นเชลย นั่นคือมิตรภาพที่ดีที่เขาควรรักษาระดับมันไว้เพียงแค่คำว่าเพื่อนเท่านั้น มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ แม้ว่าเขาเองก็มีใจเอนเอียงให้ไปแล้วก็ตาม

            “สักวันข้าจักทำให้เอ็งเปิดใจให้ข้า หากเรามีใจให้กันจริงๆ ไม่ว่าจักอยู่ที่ใดเราก็มีความสุขได้ข้าเชื่ออย่างนั้น”

            “ข้าไม่อยากให้เอ็งเสียเวลากันคนอย่างข้า หญิงงามเมืองนี้มีเยอะนัก เอ็งจักเอาผู้ใดมาทำเมียก็ย่อมได้นะคำป้อ”

            “แต่ข้าหมายปองเอ็งเพียงคนเดียว เอ็งก็รู้ว่าข้าถูกชะตาเอ็งตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน แต่ถ้าเอ็งต้องการเยี่ยงนั้นข้าก็จักพยายามห้ามใจตนเอง แต่ข้าไม่สัญญาว่าจักทำได้นานเท่าใด”

            “ขอบน้ำใจที่เอ็งมีความรู้สึกที่ดีให้กับข้านะ” คำน้อยส่งยิ้มให้อย่างรู้สึกผิด จริงๆ แล้วเขาไม่ควรจะเมินเฉยกับความรู้สึกนี้เสียด้วยซ้ำ เพราะลึกๆ ในใจลึกก็รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน

            ณ คุ้มเจ้าราชวงศ์เมืองแมน

            เครือแก้วนั่งร้อนรนจิตใจอยู่ภายในตำหนัก โดยมีนางข้าไทคนสนิทนั่งเฝ้ารับใช้อยู่ไม่ห่างกาย ตอนนี้ใบหน้าของเขียนเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ จากการเปิดศึกกับคำน้อยมาเมื่อช่วงเช้า

            “มึงช่วยกูคิดหน่อยสิวะอีเขียน กูจักทำอย่างใดกับไอ้สองตัวเชลยต่างด้าวพวกนั้นดี กูชังน้ำหน้าพวกมันนัก” เจ้าหล่อนเอ่ยกับข้าไทด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น

            “ข้าเจ้าว่าส่งคนไปจับตัวพวกมันมาทรมานดีหรือไม่เจ้าคะ”

            “มึงเอาสมองส่วนใดคิดวะอีเขียน” เครือแก้วหันขวับไปชำเลืองมองนางเขียน ก่อนจะเอานิ้วชี้จิ้มที่กลางหน้าผาก จนศีรษะของเขียนโน้มไปตามน้ำหนักมือ

            “โอ๊ย! ข้าเจ้าเจ็บนะเจ้าคะเจ้านาง” นั่นเพราะรอยช้ำเก่ายังไม่หายดี แต่ต้องมาได้รับแรงกระแทกเพิ่มอีก

            “มึงจักได้จำให้ขึ้นใจ ก่อนออกความคิดเห็นควรตรองให้ดีเสียก่อน ที่คุ้มเจ้าอุปราชมีทหารเฝ้ายามนับร้อย มึงคิดว่าจักเข้าหาตัวมันได้อย่างใดวะ”

            “หากเข้าหาตัวมันไม่ได้ ก็ให้มันออกมานอกคุ้มสิเจ้าคะ” เขียนเสนอความคิดเห็นด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

            เครือแก้วได้ยินอย่างนั้นก็เบิกตากว้าง เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนางข้าไทแล้ว

            “เออว่ะ เอ็งนี่ก็ฉลาดเหมือนกันนี่หว่า”

            “เจ้าค่ะเจ้านาง” เขียนเริ่มยิ้มออก ขยับตัวเข้าไปใกล้ผู้เป็นนายอย่างภูมิอกภูมิใจ

            “แล้วจักทำอย่างใดให้พวกมันออกมาจากคุ้มได้ กูคิดหาหนทางไม่ออกเลยจริงๆ” เครือแก้วนั่งคิดหาหนทาง แต่ก็ยังคิดไม่ออกเสียที

            เห็นอย่างนั้นนางเขียนก็ทำหน้าเบื่อหน่ายผู้เป็นนาย ด่าว่าเธอโง่เง่าเต่าตุ่นแต่กลับต้องให้เธอช่วยคิดตลอดทุกครั้ง....สรุปใครโง่กันแน่ก็ไม่รู้

            “อีกไม่กี่วันก็จะมีงานสมโภชน์เมืองนี่เจ้าคะ มีหรือที่พวกมันจะไม่ไปร่วมงานเจ้าคะ”

            “เออว่ะอีเขียน ทำไมกูนึกไม่ได้ คราวนี้ล่ะข้าจักทำให้พวกมันได้สัมผัสกับความเจ็บปวด ข้าจักส่งคนไปจับพวกมันทำเมีย แค่คิดก็สนุกแล้วว่ะอีเขียน” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็หัวเราะเสียงดังท่วมตำหนัก ส่วนเขียนเองก็หัวเราะตามน้ำ แถมยังเสียงดังกว่าผู้เป็นนายอีกด้วยซ้ำ

            เครือแก้วปรายตามองนางข้าไทอย่างไม่สบอารมณ์ นั่นเพราะอีกฝ่ายทำตัวเกินหน้าเกินตา

            “อีเขียน!”

            “อุ๊ย! ข้าเจ้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” เขียนรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองไว้ทันที

            “มึงจงไปว่าจ้างชายฉกรรจ์นอกกำแพงเมืองสักสี่คน สั่งงานและให้ค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อกับพวกมันด้วย กำชับพวกมันด้วยว่าห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”

            “เจ้าค่ะ ข้าเจ้าจักรีบไปจัดการบัดเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ” ว่าแล้วเขียนก็ก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินเข่าออกไปจากตำหนัก

            เครือแก้วนั่งชูคอบนตั่งยิ้มอย่างโหดเหี้ยมผิดนิสัยสตรีทั่วไป แค่เห็นหน้าครั้งแรกในหอหลวงเธอก็ไม่ชอบแล้ว ยิ่งสวามีของเธอหลงใหลอยากได้มาเป็นชายาเพิ่มอีกคนยิ่งทำให้เกลียดเข้าไปใหญ่ หากฆ่าได้เธอก็จะทำ แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ รอให้สวามีเธอได้ขึ้นเป็นเจ้าหลวง ส่วนเธอก็จะได้เป็นเจ้านางหลวง ถึงเวลานั้นแล้วเธอจะสั่งตัดหัวใครก็ย่อมได้

*-*-*-*-*-*-*-*

            อีกไม่กี่วันงานสมโภชน์เมืองก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว งานนี้เป็นงานประจำปีใหญ่ที่สุดของชาวเมืองเชียงราชคำ เจ้าหลวงจะใช้โอกาสนี้บวงสรวงผีหลวงและบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ที่คอยปกป้องบ้านเมืองมาตลอด ชาวเมืองทุกคนจะต้องมาเข้าเฝ้าเจ้าหลวงที่ลานหน้ากำแพงเมือง นอกจากนั้นยังมีงานมหรสพสมโภชน์ตลอดทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืนอีกด้วย

จักรคำได้จัดหาเครื่องแต่งกายมาให้แสงหล้า เพื่อสวมใส่ในงานสมโภชน์เมืองในฐานะชายาของเจ้าอุปราช ในงานนี้เจ้านายทุกพระองค์จะต้องแต่งกายให้ถูกต้องตามจารีตประเพณีและลำดับยศ แม้ว่าจะเป็นชายาที่เป็นเชลยจากต่างเมืองก็ตาม

            “วางไว้ตรงนี้แล้วออกไปได้”

            “เจ้าค่ะ”

            จักรคำสั่งให้ข้าไทนำเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจากคลังหลวงมาวางไว้บนโต๊ะ นั่นทำให้แสงหล้าที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่นั้นต้องวางมือ แล้วหันไปมองหน้าผู้มาใหม่เชิงตั้งคำถาม

            “อันใดรึเจ้าพี่”

            จักรคำส่งยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยเสียงละมุนนุ่มหู “ข้านำชุดมาให้เจ้า อีกไม่กี่วันก็จะมีงานสมโภชน์เมือง เจ้าต้องสวมชุดตามราชประเพณีของเชียงราชคำเข้าร่วมงานในฐานะชายาข้าด้วย”

            “ไม่! ข้าไม่ยอมสวมใส่อาภรณ์ของเมืองนี้เด็ดขาด”

            “เจ้าต้องใส่ หามีข้อแม้ไม่”

            “ข้าไม่ไป ข้าจักอยู่ที่คุ้ม ข้าเป็นเพียงเชลยเหตุใดเจ้าพี่ถึงต้องบังคับข้าด้วย” เขาไม่มีทางไปแน่นอน ไม่อยากเห็นผู้คนเมืองนี้มีความสุขสนุกสนาน ในขณะที่บ้านเมืองของเขาเองเพิ่งผ่านการสูญเสียมาไม่นาน

            “เพราะเจ้าคือเมียข้าอย่างใดเล่า อีกอย่างนี่ก็เป็นคำสั่งของเจ้าพ่อ ทุกคนต้องไปร่วมงานสมโภชน์เมืองในครั้งนี้โดยไม่มีข้อยกเว้น”

            “แต่ข้าไม่อาจทนเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนเมืองนี้ได้ ในขณะที่ชาวเมืองผาพิงค์เพิ่งผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่มาไม่นาน”

            จักรคำได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่เขาจำเป็นต้องพาแสงหล้าไปร่วมงานด้วย แค่ให้บิดาเห็นหน้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ร่วมจนจบงานก็ได้

            “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่หากเจ้าไม่ไปให้เจ้าพ่อเห็นหน้าเลย เจ้าจักต้องอาญาและโดนเจ้าพ่อลงทัณฑ์ และข้าก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น นั่นเพราะข้าเป็นห่วงเจ้า” จักรคำพยายามพูดจาหว่านล้อมให้อีกฝ่ายคล้อยตามและยอมใจอ่อนให้ได้

            “หากเจ้าพี่ไม่สบายใจข้าจักไปร่วมงานด้วย แต่ขออยู่เพียงไม่นานได้หรือไม่”

            “ได้สิ ข้าจักทูลเจ้าพ่อว่าเจ้าไม่สบายจึงขอตัวกลับมาที่คุ้มก่อน”

            “ขอบน้ำใจเจ้าพี่ที่คอยช่วยเหลือข้ามาตลอด”

            “ข้าบอกแล้วอย่างใดเล่า ว่าข้าจักทำให้เจ้าอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขและไม่มีอันตรายใดๆ ข้าเองก็รู้สึกผิดที่เคยทำเยี่ยงนั้นกับเมืองของเจ้า ข้าไม่ได้ร้องขอให้เจ้าเห็นใจ เพียงแค่อยากให้เจ้าวางใจว่าข้าจักดูแลเจ้าให้อยู่ดีมีสุขในขณะอยู่ที่นี่ได้” จักรคำเผยความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้ เขารู้ดีว่ามันอาจยากที่จะทำให้แสงหล้าลืมเรื่องราวในอดีตได้ แต่ทว่าเขาเองก็อยากให้ความโกรธและความเกลียดชังมันลดทอนน้อยลงให้มากที่สุด

            “แม้มันอาจยากที่จักลืมเรื่องพวกนั้นไปจากใจได้ แต่ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ข้าจักแสร้งทำเป็นลืม เพื่อความสบายใจของท่าน”

            “ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้ยินเจ้าเอ่ยเยี่ยงนี้ ข้าขอสัญญาว่าจักไม่ให้ผู้ใดมาทำอันตรายเจ้าได้เด็ดขาด”

            ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตรเป็นครั้งแรก ความดีงามของจักรคำค่อยๆ ทำลายกำแพงทิฐิของแสงหล้าลง จนอีกฝ่ายเริ่มยอมที่จะรับฟังและทำตามอย่างว่าง่าย นั่นเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการเริ่มต้นความสัมพันธ์คนทั้งสอง

            ในเรือนนอนน้อยๆ ภายในเขตรั้วคุ้มเจ้าอุปราช แสงสีส้มจากตะเกียงที่เปล่งออกมา ทำให้ห้องที่เคยมืดมิดกลับสว่างไสวขึ้น เผยให้เห็นการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นเจ้าของห้องทั้งสอง คำน้อยกำลังนั่งพนมมือสวดมนต์ไหว้พระ ซึ่งทำเป็นประจำทุกคืนก่อนเข้านอนอยู่แล้ว ส่วนคำป้อก็เอาแต่นั่งมองแล้วยิ้มตามอย่างมีความสุข

            “เอ็งไม่เบื่อรึที่ต้องมาสวดมนต์เยี่ยงนี้ทุกคืน” คำป้อเอ่ยถาม พร้อมกับยิ้มไม่ยอมหุบ

            “เหตุใดข้าต้องเบื่อด้วยล่ะ การสวดมนต์ก่อนนอนจักทำให้เรานอนหลับฝันดี เอ็งก็ควรทำด้วย”

            “หากเป็นเยี่ยงนั้นวันหลังข้าจักสวดมนต์พร้อมเอ็งดีหรือไม่” คำป้อขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ๆ แต่คำน้อยกลับห้ามการกระทำนั้นด้วยแววตาที่ดุดัน

            “กลับไปอยู่บนที่นอนของเอ็งเลย ข้าง่วงแล้ว”

            “แต่ข้ายังไม่ง่วง”

            “นั่นมันก็เรื่องของเอ็งข้านอนล่ะ” ว่าแล้วคำน้อยก็เอนหลังลงบนพื้นไม้ที่มีเพียงผ้าผืนบางปูรองไว้ ก่อนจะนอนตะแคงหันหลังให้อีกฝ่าย

            คำป้อเห็นท่าทีของคำน้อยก็ยิ้มอย่างเอ็นดู เขาไม่ยอมแพ้หรอกเพราะหมายใจกับหนุ่มรูปงามคนนี้แล้ว จะต้องทำให้อีกฝ่ายยอมเปิดใจให้ได้ คำป้อเดินเข้าไปใกล้แล้วนอนตะแคงข้าง มองหน้าคำน้อยแล้วยิ้มอยู่อย่างนั้น คนที่หลับตานอนกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา รู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่จึงลืมตาขึ้นมาดู

            “คำป้อ! เหตุใดเอ็งไม่ไปนอนในที่ของเอ็งเล่า มานอนจ้องหน้าข้าอยู่ได้” คำน้อยเอ่ยทั้งที่ยังนอนอยู่อย่างนั้น ส่งสายตาดุให้แต่ใบหน้ากลับเปลี่ยนสีจนสังเกตได้ชัดเจน

            “เหตุใดสีหน้าเจ้าจึงแดงปานลูกตำลึงเยี่ยงนั้นด้วยเล่า เอ็งเขินข้ารึ”

            “เหตุใดข้าต้องเขินเอ็งด้วยเล่า อย่าสำคัญตัวไปนักเลย” ว่าแล้วคำน้อยก็หมุนตัวนอนหันหลังให้ เพราะไม่กล้าสบตาผู้ชายที่ทำให้หัวใจเขาสั่นไหวในตอนนี้

            “หากไม่เขินก็หันกลับมามองหน้าข้าสิ”

            “ไม่! เหตุใดข้าต้องทำตามคำสั่งเอ็งด้วย”

            “หากเอ็งไม่หันมาข้าก็จักทำเยี่ยงนี้” ว่าแล้วคำป้อก็เขยิบตัวเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง ล็อกตัวไว้แน่นไม่ยอมให้คำน้อยหนีจากเขาไปไหนได้

            “เอ็งทำบ้าอะไรปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้” คำน้อยพยายามเอ่ยห้าม มือเรียวหยิกเข้าที่แขนของอีกฝ่ายเพื่อให้คลายอ้อมกอด แต่คำป้อไม่ยอมปล่อย กลับซุกใบหน้าคมเข้ามาดอมดมที่ซอกคอขาวแทน กลิ่นกายของคำน้อยทำให้เขาลืมความเจ็บปวดที่แขนได้ดีเลยทีเดียว

            “เหตุใดตัวเอ็งถึงได้หอมเยี่ยงนี้ ข้ารักเอ็งนะคำน้อย”

            “ไอ้คนบะ...” คำน้อยกำลังจะพ่นคำก่นด่าออกมา แต่ทว่าคำป้อกลับทำอะไรบางอย่างให้เขาต้องสะดุด โดยการสวมกำไลทองที่ข้อมือให้นั่นเอง

            “ข้าจักไม่ยอมให้เอ็งเป็นของผู้อื่น เป็นเมียข้าเถอะนะคำน้อย ข้าสัญญาว่าจักรักและดูแลเจ้าไปตลอดชีวิต” เสียงเข้มเอ่ยเบาๆ ที่ข้างใบหู แต่ทว่าคำน้อยกลับได้ยินมันชัดเจนทุกถ้อยคำ

            หัวใจของคำน้อยเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ แม้จะอยากปฏิเสธออกไปเหมือนคราวที่แล้ว แต่ทว่าหัวใจเขากลับเรียกร้องหาแต่ผู้ชายคนนี้ แล้วอย่างนี้จะปฏิเสธต่อไปได้อย่างไร หรือมันควรแก่เวลาที่เขาจะต้องเรียนรู้กับคำว่ารักแล้ว

            “เอ็งทำถึงขนาดนี้แล้วข้าจักปฏิเสธได้เยี่ยงใดเล่า” แม้จะรู้สึกอายอยู่ไม่น้อยแต่เจ้าตัวก็กล้าที่จะจับมือของคำป้อมาประสานไว้

            “ข้าดีใจมากเหลือเกิน ข้าจะมีเมียแล้วโว้ย”

            คำป้อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่ออีกฝ่ายตอบรับ เจ้าตัวกอดรัดคนรักเอาไว้แน่นให้ชื่นใจ ก่อนจะพลิกตัวคนที่อยู่ในอ้อมกอดให้มาสบตากัน แววตาของคนทั้งสองเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข คำป้อไม่รอช้ารีบโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่กลางหน้าผากนุ่ม เลื่อนลงมาคลอเคลียตามพวงแก้มขาว โดยมีจุดหมายปลายทางที่ริมฝีปากบาง และในคืนนั้นดวงใจทั้งสองก็ประสานเป็นหนึ่งเดียว ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านทางหน้าต่าง เผยให้เห็นเรือนร่างอันเปลือยเปล่าที่กำลังโอบกอดซึ่งกันและกัน มอบอุ่นไอรักผ่านสัมผัสทางกายอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
คำน้อยโดนกินแล้ว ตัดฉากไวจังเลย อิอิ
รู้สึกแอบเป็นห่วงคำน้อยแล้ว
คำทำนายจะมาแล้วแน่ๆๆ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 8

โดนย่ำยี



ในที่สุดค่ำคืนที่ทุกคนในเมืองรอคอยก็มาถึง งานสมโภชเมืองประจำปีถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ โคมลอยถูกปล่อยขึ้นบนท้องฟ้าโดยเจ้าหลวงผู้เป็นประมุขสูงสุดของชาวเมือง ตามด้วยเจ้านายชั้นสูงทุกพระองค์และขุนนางตามลำดับ ทำให้ท้องฟ้าที่เคยมืดมิดกลับมีความสว่างไสวจากโคมลอยนับร้อย ดูแล้วช่างเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก

หลังจากปล่อยโคมลอยแล้วก็ถึงพิธีการสำคัญ นั่นคือการสักการะผีบรรพบุรุษที่คอยปกปักรักษาบ้านเมืองมาตลอด เมื่อพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งหมดก็นั่งชมการแสดงชุดพิเศษจากนางรำนับร้อยชีวิต ที่คัดเลือกมาจากธิดาของขุนนางชั้นผู้ใหญ่และต้องเป็นสาวพรหมจรรย์เพียงเท่านั้น ทั้งหมดพร้อมใจกันร่ายรำอย่างสวยงามอ่อนช้อย เข้ากับจังหวะเพลงมโหรีที่ถูกบรรเลงจากนักดนตรียอดฝีมือของวังหลวง เพิ่มสีสันความครึกครื้นให้กับงานในวันนี้ได้เป็นอย่างดี

แสงหล้าตีหน้านิ่งนั่งอยู่บนตั่งข้างกายจักรคำ เขาไม่ได้มีอารมณ์ร่วมในงานครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าจักรคำกลับพยายามชักชวนให้ดูโน่นนี่นั่นอยู่เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกเบื่อจนเกินไป

ส่วนคนที่นั่งอีกฝั่งของเจ้าหลวงก็คือเมืองแมนและเครือแก้ว เมืองแมนมักจะส่งสายตามองแสงหล้าอยู่บ่อยครั้งจนเครือแก้วต้องสะกิดเตือนสติผู้เป็นสวามีอยู่เนืองๆ พร้อมทั้งเหลือบตามองแสงหล้าด้วยความไม่พอใจ

“เจ้าพี่หาควรมองมันเยี่ยงนั้นไม่” เครือแก้วเอ่ยกับสวามีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก

“เหตุใดข้าจักมองไม่ได้” แม้ว่าจะโดนชายาเอ่ยปากห้าม แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเกรงใจเลยแม้แต่สักนิด

“เจ้าพี่!” เครือแก้วนั่งหน้าบูดบึ้งเมื่อไม่สามารถห้ามสวามีได้ เจ้าหล่อนรอจังหวะที่จะเล่นงานแสงหล้าอย่างใจจดใจจ่อ รอให้สองคนนั้นออกจากบริเวณพิธีก่อนเถอะ หล่อนจะสั่งให้คนจัดการมันให้เสียศูนย์เลยทีเดียว



เมื่อเห็นว่าการแสดงของเหล่าบรรดานางรำใกล้จะจบลงแล้ว แสงหล้าจึงเอ่ยขอจักรคำกลับไปยังคุ้มตามที่เคยได้พูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้

“เจ้าพี่ข้าขอตัวกลับไปที่คุ้มก่อนนะเจ้า” แสงหล้าหันไปเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

“ก่อนกลับคุ้มเจ้าควรไปไหว้สาเจ้าหลวงก่อน ข้าจักเป็นคนกราบทูลเจ้าพ่อเองว่าเจ้าไม่สบาย”

“เจ้า” แสงหล้าพยักหน้ารับ

จากนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้นจากตั่งก่อนจะหันไปเอ่ยกับเจ้าหลวงพรหมมาวงศ์

“เจ้าพ่อเจ้า แสงหล้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ข้าอยากขอประทานอนุญาตให้แสงหล้ากลับไปที่คุ้มก่อนได้หรือไม่เจ้า”

“จักกลับก็กลับไปข้าหาสนใจไม่ แล้วเจ้าจักไปกับเมียหรืออยู่กับข้า”

“ข้าจักอยู่ร่วมงานจนกว่าเจ้าพ่อจักกลับคุ้มเจ้า”

“ดีมากปล่อยให้คนของเจ้ากลับคุ้มไปเสีย จักได้ไม่อยู่ขวางหูขวางตาข้า” ว่าแล้วเจ้าหลวงก็หันไปสนใจนางรำตรงหน้าต่อ

แสงหล้าพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ให้เดือดไปมากกว่านี้ ไม่งั้นมีหวังเขาได้ต่อปากต่อคำกับเจ้าหลวงอย่างแน่นอน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เจ้าหลวงพรหมมาวงศ์ไม่เคยพูดจาดีๆ กับเขาเลยสักครั้ง นั่นทำให้แสงหล้าเองก็ไม่อยากจะให้ความเคารพอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เห็นแก่จักรคำเท่านั้นเขาจึงยอม

จักรคำจับมือแสงหล้าไว้แน่นพยายามปลอบใจไม่ให้คิดมาก พอได้รับสัมผัสนั้นก็ทำให้แสงหล้าสามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายส่งยิ้มน้อยๆ ให้

“เดี๋ยวข้าจักให้ทหารไปส่งเจ้าถึงที่คุ้ม”

“ไม่เป็นไรดอกเจ้าพี่ ข้ากับคำน้อยกลับกันเองได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยข้าเป็นห่วง”

“เจ้า” แสงหล้าส่งยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะยกมือไหว้สาเจ้าหลวงตามมารยาท แล้วหันไปเอ่ยกับคำน้อย “คำน้อยเราไปกันเถอะ”

“เจ้า”

แสงหล้าเดินนำหน้าออกไปจากบริเวณพิธีด้วยความโล่งใจ เขาเบื่อที่จะต้องนั่งปั้นหน้าอยู่ในงานเต็มทนแล้ว



“ข้าเบื่อที่จะนั่งปั้นหน้าอยู่ที่นั่นเต็มทนแล้วคำน้อย” แสงหล้าบ่นในระหว่างเดินกลับไปที่คุ้ม วันนี้ทุกคนไปรวมตัวกันที่บริเวณงานทำให้ตามถนนหนทางต่างๆ ค่อนข้างจะเงียบเหงาไม่มีผู้คนพลุกพล่านเลยสักนิด

“ข้าเจ้าเองก็เหมือนกันเจ้า ไม่ชอบใจที่เห็นพวกขุนนางนั่งดื่มเมรัยหัวเราะลั่นราวกับคนไร้สติเยี่ยงนั้น”

“บรรยากาศเยี่ยงนี้เหมาะแก่การหนีกลับไปที่บ้านเมืองเราเสียจริงคำน้อย แต่ถ้าเราหนีไปชาวเมืองผาพิงค์จักต้องเดือดร้อนอีกเป็นแน่” เขาอยากทำอย่างที่พูดมากเหลือเกิน แต่ทว่าหากทำไปแล้วจะทำให้บ้านเกิดเมืองนอนต้องมีสงครามขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน

“เจ้านายน้อยระวังเจ้า!” คำน้อยเห็นชายฉกรรจ์โพกผ้าสีดำปกปิดใบหน้าเอาไว้ ยืนถือมีดคมกริบรออยู่ตรงหน้า เห็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็รู้แล้วว่าทั้งสองคนไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน

“พวกเอ็งเป็นใคร เหตุใดถึงกล้ามาขวางทางข้าเยี่ยงนี้” แสงหล้าเอ่ยกับชายฉกรรจ์ทั้งสองอย่างไม่เกรงกลัว

“พวกข้าก็กำลังเป็นผัวพวกเจ้าทั้งสองคนยังไงล่ะหึๆ” หาใช่เสียงของชายทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่กลับเป็นคนที่ยืนดักอยู่ด้านหลังต่างหาก

“อย่าเข้ามาใกล้เจ้านายน้อยของข้าเด็ดขาด ออกไปบัดเดี๋ยวนี้!” คำน้อยรีบวิ่งเข้าไปบังตัวแสงหล้าเอาไว้

“เหตุใดพวกข้าต้องฟังเอ็งด้วยล่ะจับตัวพวกมันไป หากพวกเอ็งกระดิกตัวแม้แต่น้อยรับรองว่ามีดที่อยู่ในมือไอ้สองคนนั่นกรีดที่คอหอยพวกเอ็งแน่”

ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าและคำน้อยก็มองหน้ากัน สื่อว่าให้ยอมๆ ไปก่อนเพราะตอนนี้พวกเขากำลังเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด

“เอ็งจะพาพวกข้าไปที่ใด” แสงหล้าเอ่ยถามขณะโดนจับตัวให้เดินลัดเลาะออกไปตามทางลัด จนในที่สุดก็ออกมานอกกำแพงคุ้มหลวง

“อย่าถามให้มากความถึงแล้วเดี๋ยวพวกเอ็งก็รู้เองล่ะหึๆ”

แสงหล้ากำลังคิดหาทางหนีแต่ทว่ายิ่งเดินไปเรื่อยๆ แสงไฟจากบริเวณพื้นที่จัดงานสมโภชเมืองยิ่งริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ เดินผ่านทุ่งนามาได้สักพักก็เจอกับกระท่อมหลังเล็กๆ

แสงหล้ากำลังคิดหาทางหนีแต่ทว่ายิ่งเดินไปเรื่อยๆ แสงไฟจากบริเวณพื้นที่จัดงานสมโภชเมืองยิ่งริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ เดินผ่านทุ่งนามาได้สักพักก็เจอกับกระท่อมหลังเล็กๆ

“พวกเอ็งช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้วนี่คือชายาแห่งเจ้าอุปราช หากเจ้าอุปราชทรงทราบว่าพวกเอ็งทำเยี่ยงนี้มีหวังพวกเจ้าหัวหลุดจากบ่าแน่” คำน้อยพยายามถ่วงเวลาหาทางหนีทีไล่ ก่อนจะมองเห็นท่อนไม้วางอยู่บนพื้นจึงคิดอะไรดีๆ ออก

“พวกข้าหากลัวไม่รีบเข้าไปในกระท่อมเร็ว!”

คำน้อยขยิบตาให้ผู้เป็นนายเพื่อส่งสัญญาณให้รีบหนีไป เพราะในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเจ้าตัวกำลังจะเสี่ยงชีวิตเพื่อให้แสงหล้ามีโอกาสได้หนีออกไป

“โอ๊ย!! ข้าปวดท้องเหลือเกิน” คำน้อยกุมท้องเอาไว้ร้องโอดโอยล้มลงที่พื้น ก่อนจะหยิบท่อนไม้ขึ้นมาฟาดไปที่ไอ้โจรคนหนึ่งจนล้มพับลงกับพื้น ส่วนสองคนที่เหลือก็รุมทึ้งเข้ามาหาคำน้อยทันที

“ฤทธิ์เยอะนักนะ มึงได้เจ็บตัวแน่” แม้ว่าทั้งสองจะมีมีดอยู่ในมือแต่คำน้อยก็ไม่เกรงกลัว เขาฟาดไม้เข้าไปไม่ยั้ง

“เจ้านายน้อยหนีไป ไม่ต้องห่วงข้าเจ้า”

แสงหล้าลังเลแวบหนึ่งก่อนจะตัดสินใจรีบวิ่งหนีไป เขาจะไม่ให้การเสียสละของคำน้อยต้องเสียเปล่า เพราะอย่างน้อยหากรอดไปก็มีโอกาสที่จะเรียกให้คนมาช่วยได้



แสงหล้าวิ่งหนีสุดชีวิตอย่างทุกลักทุเล โดยมีหนึ่งในกลุ่มโจรวิ่งตามมาติดๆ วิ่งมานานจนแสงหล้าเริ่มอ่อนแรง ทำให้ไอ้โจรคนนั้นเกือบจะตามมาทัน แต่ทว่าโชคดีที่โชคดีที่เขาเจอกับจักรคำเข้าเสียก่อน ทำให้มันรีบวิ่งหนีไปทันทีที่เห็นเจ้าอุปราช

“เจ้าพี่ช่วยข้าด้วยฮือๆ” ด้วยความกลัวแสงหล้าจึงกอดจักรคำเอาไว้แน่น ร้องไห้เสียงดังด้วยความตื่นตกใจ

“พวกเอ็งตามมันไปจับตัวมันมาให้จงได้”

“เจ้า”

เมื่อรับคำสั่งแล้วทหารที่ติดตามมาก็รีบวิ่งตามไอ้โจรคนนั้นไป ส่วนจักรคำยังคงกอดปลอบใจชายาอยู่อย่างนั้น เมื่อหายตกใจแล้วแสงหล้าก็นึกถึงคำน้อยขึ้นมาทันที จึงผละตัวออกมาแล้วรีบบอกจักรคำให้ไปช่วย

“เจ้าพี่ช่วยคำน้อยด้วย คำน้อยกำลังตกอยู่ในอันตราย”

“พาข้าไปหาคำน้อยบัดเดี๋ยวนี้”

แสงหล้าวิ่งนำหน้าไปยังกระท่อมกลางทุ่ง เมื่อไปถึงก็พบว่าไอ้โจรทั้งสองคนที่ไม่ได้ตามเขาไปนั้นได้โดนฆ่าตายเสียแล้ว เห็นอย่างนั้นแสงหล้าจึงรีบเข้าไปในกระท่อมเพื่อหาตัวคำน้อย

“คำน้อยเอ็งอยู่ที่ใด คำน้อย ฮือๆ ๆ” แสงหล้าตะโกนเรียกแต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของคำน้อย เขาไม่เชื่อว่าคนอย่างคำน้อยจะฆ่าทั้งสองคนนี้ได้ แสดงว่าต้องมีใครที่เข้ามาช่วยหรือไม่ก็พาตัวคำน้อยไปอีกที

“เห็นคำน้อยหรือไม่” จักรคำหันไปเอ่ยถามขณะนั่งสังเกตลักษณะการตายของทั้งสองคน

“คำน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วเจ้า คำน้อยเอ็งอยู่ที่ใดกันแน่นะข้าเป็นห่วงเอ็งเหลือเกิน” แสงหล้าทำอะไรไม่ถูกได้แต่เดินวนไปมาอย่างเป็นกังวล

“อย่าเป็นกังวลไปเลยข้าจักให้คนไปตามหาตัวคำน้อยจนเจอแน่นอน”

“คำน้อยเสี่ยงชีวิตช่วยข้าไว้หากมันเป็นอันใดไปข้าจักไม่มีวันยอมให้อภัยตนเองเด็ดขาด”

“ข้าสัญญาวางใจได้”

ในระหว่างนั้นทหารที่ตามชายฉกรรจ์อีกคนที่เหลือไปก็เดินเข้ามาหาจักรคำ

“จับตัวมันมาได้หรือไม่”

“มันหนีไปได้เจ้า มันรู้ทางหนีทีไล่ต้องเป็นคนในเมืองนี้แน่นอนเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้นตามตามตัวมันมาให้ได้ พวกเอ็งนำศพไอ้สองคนนี้ไปแขวนไว้บนเสากลางเมือง ประกาศให้ชาวบ้านรับรู้ด้วยว่าพวกมันทำเลวอะไรไว้บ้าง จะได้ไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”

“เจ้า”

เมื่อสั่งทหารแล้วจักรคำก็หันมาเอ่ยกับคนที่ยืนอยู่ข้างกัน

“กลับไปพักผ่อนที่คุ้มเสียก่อน ข้าจักให้ทหารหาตัวคำน้อยทั้งคืนหากไม่เจอจักไม่ยอมหยุดค้นหาเด็ดขาด”

“เจ้าพี่สัญญากับข้าแล้วนะเจ้า” แสงหล้ายังคงเป็นห่วงคำน้อยไม่หาย

“ข้าสัญญา เรากลับคุ้มกันเถอะ”

จักรคำสั่งให้ทหารที่ตามมาด้วยออกตามหาคำน้อยให้หมดทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้ ก่อนจะพยุงแสงหล้าเดินกลับไปรอฟังข่าวที่คุ้ม



ในระหว่างที่คำน้อยกำลังจะโดนลากตัวเข้าไปในกระท่อมนั้น ทหารของเมืองแมนก็เข้าไปช่วยเอาไว้การปะทะกันทำให้โจรทั้งสองคนพลาดท่าโดนฆ่าตาย เมืองแมนตั้งใจตามทั้งสองคนออกมาตั้งแต่แรก หมายใจจะเข้ามาเกี้ยวพาราสีแสงหล้า แต่เมื่อเข้ามาช่วยแล้วกลับไม่เห็นแสงหล้าอยู่ตรงนั้นด้วย เขาจึงไม่ยอมให้เสียเวลาเปล่า จึงนำตัวคำน้อยเข้าไปที่คุ้มด้วยอย่างน้อยก็พอแก้ขัดไปได้บ้าง

ตอนนี้คำน้อยอยู่ในเรือนไม้หลังเล็กๆ ภายในคุ้มของเจ้าราชวงศ์ เขากำลังจ้องมองเมืองแมนด้วยความหวาดกลัว ตอนแรกที่รู้ว่าอีกฝ่ายมาช่วยก็ดีใจจนน้ำตาไหลก้มลงกราบแทบเท้า แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อเมืองแมนกลับสั่งทหารให้นำตัวเขามาที่นี่ซะอย่างนั้น

“ปล่อยข้าเจ้าไปเถอะเจ้าเมืองแมน” คำน้อยนั่งตัวสั่นอยู่มุมห้องยกมือไหว้ด้วยความกลัว

“ปล่อยให้โง่สิ ในเมื่อไม่ได้นายของเอ็งข้าก็จักเอาเอ็งมาทำเมียแทน รูปร่างหน้าตาผิวพรรณเอ็งก็งามไม่น้อยกว่าแสงหล้าเลยสักนิด เป็นบุญของเอ็งแล้วที่ได้ข้าเป็นผัว” เมืองแมนเดินเข้าไปนั่งตรงหน้าคำน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นไปดึงผ้าโพกศีรษะออก ทำให้เรือนผมยาวสลวยถูกปล่อยลงมา จากนั้นเมืองแมนก็เอื้อมมือไปเชยคางให้ตนเองมองใบหน้าสวยได้ถนัดมากขึ้น “งามเหลือเกิน”

“ปล่อยข้าเจ้าไปเถอะนะ ข้าเจ้ากลัวแล้วฮือๆ ๆ”

“ไม่ต้องกลัวข้าจักไม่รุนแรงกับเจ้าดอก หากเจ้ายอมข้าแต่โดยดี”

“ไม่มีทาง!” คำน้อยผลักเมืองแมนจนล้มลงกับพื้นก่อนจะรีบวิ่งหนีออกมา แต่ยังไม่พ้นประตูเลยด้วยซ้ำเขาก็ถูกกอดจากด้านหลัง ก่อนจะถูกทุ่มตัวลงบนที่นอนที่ถูกปูไว้บนพื้นไม้

“ฤทธิ์เยอะนักใช่ไหม”

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

“ฮือๆ ๆ ปล่อยข้าเจ้าไปเถอะ”

“ปล่อยแน่แต่ต้องหลังจากที่ข้าเชยชมเรือนร่างของเจ้าจนหมดทุกซอกทุกมุมแล้วเท่านั้นหึๆ” ว่าแล้วเมืองแมนก็ตรึงแขนคำน้อยเอาไว้บนที่นอน ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปซุกไซร้ดอมดมที่ซอกคอขาว

“ฮือๆ ๆ ปล่อยข้า” คำน้อยได้แต่อ้อนวอนขอร้องด้วยน้ำตา แต่เมืองแมนกลับไม่ได้ให้ความปรานีเลยสักนิด

ในเมื่อขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์คำน้อยจึงยอมนอนนิ่งๆ ให้เมืองแมนเสพสมกับเรือนร่างของตนเองอย่างหนำใจ ไม่นานอาภรณ์ที่เคยปกปิดเรือนร่างเอาไว้ก็ถูกปลดเปลื้องออกจนหมด เมื่อทั้งสองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าแล้วเมืองแมนก็กระตุกยิ้ม ก่อนจะสอดใส่ความเป็นชายเข้าไปในตัวคนที่อยู่ใต้ร่าง คำน้อยได้แต่นอนน้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้อีกฝ่ายย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างป่าเถื่อน

โดนกระทำย่ำยีอย่างนี้แล้วเขาคงไม่อาจกลับไปเป็นของคำป้อได้อีกแล้วสินะ มันน่าละอายใจมากเหลือเกิน....

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2018 21:20:14 โดย ไมเลอร์ »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พลาดตอนนี้ไปได้ไงหว่า แต่ว่าตอนที่ 7 นี่โพสซ้ำกับวันที่ 4 นิ  :hao4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 9

เมียรอง



แสงหล้านั่งร้อนใจอยู่ภายในตำหนักทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอน จนตอนนี้รุ่งเช้าของวันใหม่แล้วแต่ทว่ายังไม่มีวี่แววว่าจะตามตัวคำน้อยเจอเลยสักนิด เขากลัวว่าข้าไทคนสนิทจะได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต แต่ในใจก็ยังหวังว่าจะได้เห็นหน้าคำน้อยอีกครั้งอย่างปลอดภัย

“เจ้าควรจักไปนอนพักผ่อนเสียบ้างนะแสงหล้า” จักรคำเดินเข้ามาหาก่อนจะนั่งลงข้างกัน จับมือเรียวทั้งสองข้างขึ้นมากุมไว้เพื่อให้กำลังใจ

“ฮึก ข้ากลัวเหลือเกินเจ้าพี่ ข้ากลัวว่าคำน้อยจักเป็นอันตรายถึงชีวิต จนถึงเพลานี้แล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจักเจอ”

“ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานทหารจักต้องนำข่าวดีมาแจ้งเป็นแน่แท้”

“ขอให้มันเป็นเยี่ยงนั้น หากคำน้อยรอดปลอดภัยกลับมาข้าจักพามันไปถือศีลกับตนบุญที่วัดสักเจ็ดวัน”

“หากข้าไม่ติดกิจอันใดจักไปกับพวกเจ้าด้วย”

ก่อนที่แสงหล้าจะเอ่ยตอบกลับไป นางข้าไทที่นั่งเฝ้าอยู่นอกตำหนักก็รีบวิ่งเข้ามากล่าวรายงานอย่างหน้าตาตื่น

“เกิดเหตุอันใดขึ้นรึ!” จักรคำลุกขึ้นจากตั่งเมื่อเห็นท่าทีตื่นตระหนกของนางข้าไท

“คำน้อยกลับมาแล้วเจ้า แต่...”

“คำน้อยกลับมาแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นแสงหล้าก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที ความเศร้าโศกเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง ก่อนจะรีบวิ่งออกไปที่หน้าคุ้มไม่รอผู้ใด

“แต่อันใดบอกข้ามา” จักรคำยังค้างคาใจกับสิ่งที่นางข้าไทจะบอก

“แต่คำน้อยนั่งบนเสลี่ยงมาพร้อมกับเจ้าเมืองแมนเจ้าค่ะ”

“เมืองแมนงั้นรึ!” จักรคำเอ่ยเบาๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย กลอกลูกตาไปมาเหมือนกังวลอะไรอยู่ในใจก่อนจะรีบวิ่งตามแสงหล้าออกไป



แสงหล้าวิ่งออกมาจนถึงหน้าคุ้มก็เจอกับภาพที่ทำให้ต้องประหลาดใจ คำน้อยนั่งอยู่บนเสลี่ยงภายในอ้อมแขนของเมืองแมน สีหน้าของคำน้อยมีแต่ความหวาดกลัวฉายออกมา บ่งบอกว่าไม่ได้เต็มใจกับการกระทำของเมืองแมนเลยสักนิด เห็นอย่างนั้นแสงหล้าก็กำมือแน่น รู้สึกโมโหขั้นสุด เพราะเข้าใจว่าเมืองแมนคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนี้

เมื่อเสลี่ยงถูกทหารหนุ่มรูปร่างล่ำสันทั้งสี่วางลงบนพื้นแล้วเมืองแมนก็ลุกขึ้น เดินพยุงร่างที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงของคำน้อยมาหยุดอยู่ตรงหน้าแสงหล้า ราวกับต้องการยั่วให้อีกฝ่ายรู้สึกโมโหโกรธาซะอย่างนั้น

“คำน้อยเอ็งเป็นอย่างใดบ้าง ข้าเป็นห่วงเอ็งทั้งคืนเลยรู้หรือไม่” แสงหล้าหันไปเอ่ยกับคำน้อยพร้อมทั้งร้องไห้ด้วยความดีใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัยกลับมา แม้จะอยู่ในสภาพอิดโรยก็ตามที

“เจ้านายน้อยของข้าเจ้า ฮึก” คำน้อยร้องไห้มองหน้าผู้เป็นนายตาละห้อย ก่อนจะทำท่าก้มลงกราบแทบเท้าแต่ทว่าเมืองแมนกลับรั้งตัวไว้เสียก่อน

“หยุด! ต่อจากไปนี้เจ้าห้ามก้มลงกราบแทบเท้าผู้ใดอีกเด็ดขาด เพราะเจ้าคือเมียของข้าแล้ว” เมืองแมนประกาศต่อหน้าบรรดาทหารและนางข้าไทที่กำลังนั่งมองอยู่ลานหญ้าหน้าคุ้ม

“เจ้าหมายความว่าอย่างใด เจ้าสินะที่เป็นผู้สั่งการให้ไอ้พวกเลวระยำนั่นมาทำร้ายพวกข้า” แสงหล้าแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน คำน้อยได้กลายเป็นเมียของเมืองแมนไปแล้วหรือนี่ เขาไม่อยากจะเชื่อเลย

“ข้าหาทำเยี่ยงนั้นไม่ คนอย่างข้าไม่ทำเรื่องเช่นนั้นให้เสียศักดิ์ศรีดอก หากแต่ข้าเป็นผู้ไปช่วยคำน้อยไว้ต่างหากเล่า และตอนนี้คำน้อยก็ตกลงปลงใจที่จักเป็นเมียข้าแล้ว” เมืองแมนยิ้มเยาะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ในเมื่อเขาไม่ได้ตัวแสงหล้ามาเป็นเมีย แต่เอาคำน้อยผู้ซึ่งเป็นที่รักและไว้ใจมากที่สุดไปเป็นเมียให้อีกฝ่ายทรมานใจเล่นก็ยังดี

ครั้งแรกที่เห็นคำน้อยนั่งบนเสลี่ยงมาพร้อมกับเมืองแมนคำป้อก็น้ำตาตกในทันที เขาเป็นเพียงแค่ทหารผู้ต้อยต่ำจึงไม่อาจปกป้องคนรักจากเมืองแมนได้เลย นั่นทำให้เขากำมือแน่นนั่งตัวสั่นเทาด้วยความโมโห หากเมืองแมนไร้ซึ่งยศถาบรรดาศักดิ์เขาคงจะวิ่งไปแย่งตัวคำน้อยมาแล้วกระทืบชายผู้นั้นให้จมดินเสีย

“ไม่มีทาง! คำน้อยไม่มีทางยอมเป็นเมียเจ้า เจ้าข่มเหงคำน้อยใช่หรือไม่”

“หากไม่เชื่อ เจ้าควรถามคำน้อยเองว่าข้าได้บังคับขืนใจมันหรือไม่” เมืองแมนเอ่ยด้วยความมั่นอกมั่นใจ ยืนยิ้มอย่างผู้ชนะ หากใครได้มาเห็นคงจะหมั่นไส้ชายผู้นี้เข้ากระดูกดำเป็นแน่แท้

“บอกข้ามาคำน้อยว่าเอ็งโดนมันบังคับขืนใจใช่หรือไม่” แสงหล้าหันไปเอ่ยกับข้าไทคนสนิท ที่ตอนนี้เอาแต่ยืนน้ำตาไหลลงมาเป็นทาง สภาพของคำน้อยแทบไม่เหลือเค้าคนที่เคยมีชีวิตชีวาเลยด้วยซ้ำ

“ข้าเจ้า ฮึก เป็นฝ่ายยอมเจ้าเมืองแมนเองเจ้า” คำน้อยก้มหน้าพูดไม่กล้าสบตาผู้เป็นนาย

“ข้าไม่เชื่อว่าเอ็งจักทำเยี่ยงนั้น กล่าวความจริงออกมาบัดเดี๋ยวนี้คำน้อย นี่คือคำสั่งของข้าผู้เป็นนายของเจ้า” แสงหล้าตะโกนใส่หน้าด้วยความโมโห เขามั่นใจว่าคำน้อยโดนเมืองแมนบังคับให้พูดอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

“ข้าเจ้า....ฮึก”

“หยุดเถอะแสงหล้า อย่าเพิ่งไปคาดคั้นเอาความจริงตอนนี้เลย ข้าเองก็เชื่อเหมือนเจ้าว่าคำน้อยคงโดนใครบางคนบังคับขู่เข็ญเป็นแน่” จักรคำเดินเข้ามายืนโอบไหล่แสงหล้าเพื่อร่วมต่อกรกับน้องชายต่างมารดาอีกแรง

เมื่อเห็นพี่ชายเมืองแมนก็ยกมือขึ้นไหว้สา แต่ทว่ามันกลับเป็นการทักทายอย่างไม่เต็มใจนัก ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยคิดว่าจักรคำเป็นพี่ชายเลยสักนิด ทั้งสองเป็นพี่น้องต่างมารดา จักรคือโอรสที่กำเนิดจากเจ้านางหลวง ส่วนเมืองแมนกำเนิดจากพระสนมเอก หลังจากมารดาของทั้งสองได้เสียชีวิตพร้อมกันจากอุบัติเหตุทางเรือเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ตอนนี้เจ้าหลวงนั่งอยู่บนตั่งทองโดยไร้ซึ่งเจ้านางหลวงและสนมเอกเคียงกาย แต่ทว่าก็ยังคงมีสนมนางอื่นๆ ที่เข้ามาถวายตัวอยู่ไม่ขาด การเป็นลูกที่เกิดจากเมียน้อยทำให้เมืองแมนอยู่นอกสายตาของผู้เป็นบิดามาโดยตลอด นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องการเอาชนะพี่ชายตนเองไม่เว้นแม้กระทั่งผู้เป็นบิดามาโดยตลอด

“เจ้าพี่กล่าวเยี่ยงนี้หมายความถึงข้าใช่หรือไม่” เมืองแมนชักสีหน้าใส่ผู้เป็นพี่ชายด้วยความไม่พอใจ

“ข้าไม่ได้เอ่ยชื่อผู้ใด แต่หากเจ้าไม่ได้ทำเยี่ยงนั้นก็หาต้องร้อนตัวไม่”

“กล่าวอันใดเจ้าพี่ก็คงไม่รับฟัง ที่ข้ามาเพราะต้องการจะแจ้งให้เมียของเจ้าพี่รู้ว่า ต่อจากไปนี้คำน้อยจักไปอยู่ที่คุ้มกับข้าในฐานะเมียรอง มียศเป็นเจ้าให้สมฐานะกับข้า”

“ไม่ได้! ข้าไม่มีวันให้คำน้อยไปอยู่กับเจ้าเด็ดขาด คำน้อยเป็นคนของข้า”

“แต่คำน้อยเป็นเมียข้าแล้ว อีกอย่างควรให้คำน้อยเป็นผู้ตัดสินใจเอง...ดีหรือไม่เล่า” เมืองแมนกระตุกยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัย

“หากเอ็งตัดสินใจไปอยู่กับผู้ชายคนนี้ข้ากับเอ็งขาดกัน นับจากนี้ถือซะว่าเราไม่เคยรู้จักกันและข้าจะถือว่าเจ้าไม่ใช่คนเมืองผาพิงค์อีกต่อไป” แสงหล้าเอาเรื่องนี้มาขู่เพื่อให้คำน้อยกล้าที่จะเอาชนะความกลัว เขารู้ว่าตอนนี้เมืองแมนต้องขู่อะไรบางอย่างเอาไว้แน่นอน

“เอ็งหาต้องกลัวผู้ใดไม่ เพราะนอกจากเจ้าหลวงแล้วข้าถือว่ามีอำนาจสูงสุดแล้ว ข้าจักปกป้องเอ็งไม่ให้ถูกโดนผู้ใดทำร้ายได้แน่ กล่าวสิ่งที่เอ็งต้องการจริงๆ ออกมาเถอะคำน้อย” จักรคำเอ่ยเพื่อคำน้อยมีความมั่นใจว่าจะปลอดภัยหากเอ่ยปฏิเสธเมืองแมนออกมา

ได้ยินอย่างนั้นเมืองแมนก็จ้องมองผู้เป็นพี่ชายตาเขม็ง กำมือไว้แน่นอย่างอาฆาตแค้น

“ข้าเจ้า....ข้าเจ้าจักไปอยู่ที่คุ้มกับเจ้าเมืองแมนเจ้า”

“คำน้อย! เอ็งกล่าวอันใดออกมารู้ตัวรึไม่ เหตุใดล่ะคำน้อย! เหตุใดเจ้าถึง...” แสงหล้าตะโกนใส่หน้า ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห เขาอยากจะรู้ว่าเหตุผลใดที่ทำให้คำน้อยกลัวเมืองแมนถึงเพียงนี้

“ข้าเจ้าต้องขอสุมาเจ้านายน้อยด้วยนะเจ้า ข้าเจ้าต้องการมีชีวิตที่สุขสบาย ข้าเจ้าไม่อยากเป็นข้าไทไปตลอดชีวิต” นั่นคือเหตุผลที่คำน้อยเอ่ยกับผู้เป็นเจ้านาย แม้ว่าคำพูดจะตัดรอนความสัมพันธ์แต่ทว่าเจ้าตัวกลับน้ำตาไหลลงมาเป็นทาง

“เอ็งโกหก! เอ็งไมใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูง บอกความจริงกับข้ามาว่าเอ็งทำเยี่ยงนี้ด้วยเหตุผลอันใด” แสงหล้าเองก็น้ำตาไหลพรากไม่ต่างกัน จักรคำเห็นอย่างนั้นก็โอบไหล่บางเอาไว้แน่นเพื่อปลอบประโลมใจ

“ข้าเจ้ากล่าวความจริงแล้ว จากนี้ไปข้าเจ้าคงไม่ได้มารับใช้เจ้านายน้อยอีกต่อไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้า”

พูดจบคำน้อยก็ปรายตาหนีไปอีกทาง แต่ทว่ากลับเห็นคนรักกำลังจ้องมองมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เห็นอย่างนั้นก็ทำให้หัวใจที่เจ็บปวดอยู่แล้วเพิ่มทวีคูณขึ้นไปอีก คำป้อคงจะโกรธเกลียดเขาไปแล้วเพราะเพิ่งจะบอกรักกันเพียงแค่ไม่กี่วัน เขากลับกลายเป็นอื่นไปเสียแล้ว ก่อนที่จะเสียใจไปมากกว่านี้คำน้อยจึงตัดใจหันกลับมามองหน้าแสงหล้าอีกครั้ง

“ชัดเจนเยี่ยงนี้แล้วหาควรมีข้อสงสัยอันใดไม่ ข้าขอตัวกลับคุ้มพร้อมกับเมียสุดที่รักของข้าก่อน” เมืองแมนเอ่ยก่อนจะโน้มใบหน้าไปหอมแก้มคำน้อยฟอดหนึ่ง เอื้อมมือไปโอบไหล่เอาไว้แน่น

“ข้าขอให้เจ้าคำน้อยโชคดีมีสุขกับชีวิตใหม่ ต่อจากนี้ไปหากเจอหน้าหาควรต้องทักกันไม่ เพราะข้าไม่อยากสนทนากับคนเยี่ยงนี้”

พูดจบแสงหล้าก็เดินกลับเข้าไปในตำหนัก เขาไม่อาจทนรับฟังเรื่องที่สุดแสนจะเจ็บปวดอย่างนี้ได้อีกแล้ว เขารักคำน้อยไม่ต่างจากพี่น้องร่วมสายเลือด แต่ทำไมคำน้อยถึงได้ทำกับเขาอย่างนี้ ตอนนี้เขาไม่เหลือใครพอที่จะปรับทุกข์ในเมืองนี้ได้อีกแล้ว

“ข้าเจ้าฝากเจ้านายน้อยด้วยนะเจ้า” คำน้อยยกมือไหว้สาจักรคำด้วยใบหน้าเศร้า

“ไม่ต้องห่วงนายของเจ้าดอก ข้าจักดูแลแสงหล้าด้วยชีวิต หากมีอันใดที่ทำให้เอ็งไม่สบายใจ คุ้มนี้ยินดีต้อนรับเจ้าเสมอนะคำน้อย” จักรคำเอ่ย

“ข้าเจ้าคงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”

“ได้ยินชัดเจนแล้วนะเจ้าพี่ คำน้อยต้องการไปอยู่ที่คุ้มกับข้าอย่างเต็มใจ หาควรมีเรื่องต้องเป็นห่วงไม่ ข้าลาล่ะ” เมืองแมนยกมือไหว้สาก่อนจะหันหลังกลับพร้อมคำน้อย

“ช้าก่อน!”

ได้ยินอย่างนั้นทั้งสองก็หยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับมามองจักรคำพร้อมกัน

“มีอันใดอีกรึเจ้าพี่”

“หากเจ้าคิดว่าทำเยี่ยงนี้แล้วทุกอย่างมันจักดีขึ้น ข้าบอกไว้เลยว่าไม่มีทาง หากเจ้าเอาคำน้อยเข้าไปอยู่ในคุ้มด้วยอีกคน เจ้าคิดรึว่าเครือแก้วจักยอมแต่โดยดี”

“เจ้าพี่หาควรยุ่งกับเรื่องของข้าไม่” เมืองแมนถลึงตาใส่ผู้เป็นพี่ชายด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร

“ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ”

“หาต้องเตือนข้าไม่ เจ้าพี่เป็นเพียงพี่ชายไม่ใช่พ่อ!” เมืองแมนพูดเน้นเสียงคำสุดท้าย ก่อนจะเดินขึ้นเสลี่ยงไปพร้อมกับคำน้อย

“กลับคุ้ม!”

คำป้อได้แต่มองตามหลังคนรักอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่มีอีกแล้วสินะข้าไทที่ชื่อคำน้อย มีแต่เจ้าคำน้อยผู้เป็นชายารองของเจ้าราชวงศ์ ใช่สินะ! เขาเป็นเพียงคำป้อผู้ต่ำต้อยไม่มียศศักดิ์อันใดที่จะทำให้คำน้อยสบายได้ เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันเห็นคนรักอยู่ดีมีสุขเขาควรจะดีใจด้วย

“ข้าดูออกว่าเอ็งกับคำน้อยหาใช่เพื่อนร่วมห้องธรรมดาไม่” จักรคำเอ่ยกับข้าไทคนสนิทเมื่อเห็นว่าคำป้อมีสีหน้าเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าเจ้าดีใจที่คำน้อยได้ดิบได้ดี เป็นถึงชายารองของเจ้าเมืองแมน” กล่าวจบคำป้อก็ถอนหายใจเสียงดัง บ่งบอกว่าสิ่งที่พูดกับความรู้สึกภายในใจไม่ตรงกันเลยสักนิด

“ข้ารู้ว่าเอ็งเสียใจมากแค่ไหน แต่เชื่อข้าเถอะว่าหากเราเป็นคู่กันแล้ว วันหนึ่งจักต้องได้กลับมาครองคู่กันอีกเป็นแน่”

“ข้าเจ้าไม่ได้หวังเยี่ยงนั้น แต่ข้าเจ้าหวังเพียงว่าคำน้อยจักอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุข เท่านั้นข้าเจ้าก็ดีใจมากแล้ว”

“ข้าเองก็หวังให้มันเป็นเยี่ยงนั้น” จักรคำกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขารู้จักนิสัยน้องชายดี อีกฝ่ายต้องการเอาชนะเป็นที่สุด การเอาคำน้อยไปเป็นเมียอีกคนโดยไม่ใช่เพราะความรัก แต่ต้องการเอาชนะเขาและแสงหล้าเท่านั้นเอง เขากลัวว่าคำน้อยจะถูกเครือแก้วเล่นงานจนทำให้ไม่มีความสุข โดยที่เมืองแมนเองก็อาจจะไม่ได้สนใจมากนัก



เหมันต์เดินเข้าไปในตำหนักก็เจอแสงหล้ากำลังนั่งร้องไห้เสียใจอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปนั่งข้างกันก่อนจะโอบกอดไหล่บางเอาไว้เพื่อให้กำลังใจ

“ทำใจเสียเถอะคำน้อยตัดสินใจแล้ว”

“ฮือๆ ๆ ข้าน้อยใจเหลือเกินที่คำน้อยไม่ยอมกล่าวความจริงกับข้า ทั้งที่เราก็มีกันเพียงแค่สองคน เหตุใดคำน้อยถึงทำเยี่ยงนี้” แสงหล้าเสียใจเป็นที่สุด หากคำน้อยเอ่ยกับเขาตามจริงว่าโดนเมืองแมนบังคับขืนใจ เขาเองก็พร้อมที่จะปกป้องด้วยชีวิต แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเลือกที่จะยอมไปกับเมืองแมนโดยไม่ปรึกษาเขาก่อนเลยสักคำ

“ข้าเชื่อว่าคำน้อยต้องมีเหตุผล เจ้าเองก็รู้จักนิสัยคำน้อยดีไม่ใช่หรือ คำน้อยไม่ได้เป็นคนเหลวไหลเยี่ยงนั้นสักหน่อย”

“ไม่ว่าจักด้วยเหตุผลอันใดคำน้อยก็ควรมาปรึกษาข้าก่อนในฐานะเจ้านาย แต่มันกลับตัดสินใจตอบรับไปเยี่ยงนั้นแล้วข้าจักช่วยอันใดมันได้เล่าเจ้าพี่”

“ข้าเชื่อว่าสักวันคำน้อยจักเป็นฝ่ายพูดความจริงกับเจ้าเอง ให้เวลาคำน้อยสักระยะ เจ้าก็เห็นว่าสภาพคำน้อยเป็นเช่นไร แรงจะยืนก็หามีไม่ ตอนนี้สภาพจิตใจของคำน้อยก็ใช่ว่าจะสู้ดีนัก ข้าสัญญาว่าจักหาทางทำให้คำน้อยกลับมาอยู่ที่คุ้มให้จงได้”

“เจ้าพี่ต้องช่วยคำน้อยกลับมาให้ได้นะเจ้า ข้าไม่ควรเอ่ยกับคำน้อยเยี่ยงนั้นเลย ป่านนี้มันคงจักไม่สบายใจอยู่เป็นแน่แท้” เมื่อความโมโหโกรธาในใจสงบลงแสงหล้าก็รู้สึกผิด นึกถึงเมื่อครั้งที่คำน้อยเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อช่วยให้เขารอดพ้นจากเงื้อมมือของไอ้พวกจัญไรนั่น ก็ทำให้ความระแวงในใจหายเป็นปลิดทิ้ง เขาไม่ควรจะด่าว่าคำน้อยแต่ควรหาวิธีช่วยต่างหาก

“อย่าได้เป็นกังวลอันใดเลย ไปพักผ่อนเถอะเจ้าเองก็อดหลับอดนอนมาทั้งคืนไม่ใช่รึ”

“เจ้า” แสงหล้าตอบรับแต่ยังคงกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นอย่างลืมตัว

“หรือเจ้าจักนั่งกอดข้าอยู่ที่นี่จนถึงรุ่งเช้า” จักรคำเอ่ยขณะกระชับอ้อมแขนไว้แน่น ยิ้มกริ่มอย่างพอใจ

เมื่อรู้ตัวแสงหล้าก็ทำหน้าเหลอหลาคลายอ้อมกอดทันที ใบหน้าขาวแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อครู่เขามัวแต่ร้องไห้เสียใจพออีกฝ่ายเข้ามาปลอบจึงเผลอตัวไป คิดได้อย่างนั้นก็อยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาดเพื่อเตือนสติว่าไม่ควรทำอย่างนี้อีก

“อย่าทำหน้าราวกับเจ้าทำผิดเยี่ยงนั้น ข้าดีใจที่เราได้มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกันเยี่ยงนี้ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าข้าเสน่หาในตัวเจ้ามาตลอดนะแสงหล้า แต่คนอย่างข้าคงได้เพียงแค่หวังลมๆ แล้งๆ เพราะรู้ดีว่าเจ้าหาชายตาแลคนเลวเยี่ยงข้าไม่” จักรคำไม่ลังเลที่จะบอกความรู้สึกภายในใจให้อีกฝ่ายรับรู้ อย่างน้อยหากทำอะไรรุ่มร่ามไปแสงหล้าจะได้รู้ตัวว่ามันเกิดจากความรู้สึกของเขาจริงๆ

“เจ้าพี่พูดอันใดข้าหาเข้าใจไม่”

แสงหล้าหลบตาเขาก่อนจะรีบเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องนอน จักรคำได้แต่มองตามหลังด้วยรอยยิ้มที่มีหวัง สักวันเขาจะทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนยอมรับมิตรไมตรีที่มอบให้อย่างเต็มใจ...เขาจะรอวันนั้น

เมื่อเข้ามาในห้องนอนแล้วแสงหล้าก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ก่อนจะนึกถึงประโยคที่จักรคำเอ่ยเมื่อสักครู่ อีกฝ่ายมีใจให้เขางั้นเหรอเป็นไปไม่ได้ แล้วเหตุใดหัวใจเขาจะต้องเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินอย่างนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขากันแน่ ทำไมแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้เขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวแถมยังต้องมานั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวอย่างนี้อีกด้วย


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คำน้อยผู้น่าสงสาร  :m15:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สงสารคำน้อยจัง

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
สงสารคำน้อย ต่อไปคงโดนเมียเอกอย่างคำแก้วใส่ร้ายป้ายสีแน่ๆ
เมืองแมนคงขู่เกีืยวกับเจ้าแสงหล้าแน่ๆ

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 10

เหตุผลที่ทนเจ็บปวด



เมื่อมาถึงคุ้มแล้วคำน้อยก็เดินตามหลังเมืองแมนเข้าไปในตำหนักโดยไม่พูดจาใดๆ เจ้าตัวยังคงนึกถึงสีหน้าและแววตาที่แสงหล้าและคำป้อแสดงออกว่าผิดหวังในตัวเขามากแค่ไหน เขาทำให้คนทั้งสองต้องผิดหวังเสียใจ แต่ทว่าทุกสิ่งอย่างที่ทำเขามั่นใจว่ามันคือทางที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้

เมื่อเครือแก้วเห็นคำน้อยเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก้มลงมองหน้านางเขียนที่นั่งอยู่บนพื้นถลึงตาใส่เชิงตำหนินางข้าไท สื่อว่างานที่สั่งให้ทำนั้นไม่สำเร็จตามเป้าหมาย เครือแก้วเข้าใจว่าคำน้อยจะมาเอาเรื่องที่เธอส่งคนไปทำร้าย

“มึงบอกกูมาสิอีเขียนว่าทำไมมันถึงเดินตามหลังผัวกูมา มึงมันไม่ได้เรื่องเลยให้ตายสิ”

“ข้าเจ้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” นางเขียนทำหน้าเศร้าด้วยความรู้สึกผิด แต่ทว่าในใจกลับพ่นคำก่นด่าผู้เป็นนายไม่หยุดหย่อน

“กูไม่น่าทำตามที่มึงแนะนำเลยจริงๆ ไม่รู้ว่ามันจะมาเอาเรื่องกูถึงที่นี่รึเปล่า” เจ้านางยกนิ้วเรียวขึ้นจิ้มลงตรงกลางหน้าผากนางเขียนแล้วออกแรงผลัก จนศีรษะนางข้าไทโน้มไปตามแรง

“เจ้านางรีบไปเอาใจเจ้าราชวงศ์ก่อนสิเจ้าคะ” นางเขียนเอ่ยแนะนำผู้เป็นนาย

“อย่าริบังอาจมาสั่งกู” เครือแก้วเหลือบตามองนางข้าไทอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินตรงไปหาสวามี

นางเขียนเองก็ไม่ชอบใจนักที่โดนผู้เป็นนายต่อว่าต่อขานอยู่บ่อยๆ ทั้งที่ตัวเธอมีความจงรักภักดีมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดนอย่างนี้ก็ทำให้คนที่เคยคิดว่าสามารถตายแทนได้เริ่มน้อยใจและเบื่อหน่ายขึ้นทุกวันๆ

“เหตุใดเจ้าพี่ถึงพาไอ้เชลยต่างด้าวเข้ามาในตำหนักด้วยล่ะเจ้า” เครือแก้วควงแขนผู้เป็นสวามีเอาไว้ พร้อมทั้งเหลือบตามองผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร

คำน้อยไม่ได้มีกะจิตกะใจที่จะต่อกรกับผู้ใดเลยสักนิด เขาอยากไปพักใจอยู่ที่ใดสักแห่งเพียงลำพังเหลือเกิน เพราะในหัวยังคงคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยังคงสะเทือนใจไม่หาย

“คำน้อยจะมาอยู่ที่นี่ในฐานะเมียข้าอีกคน” เมืองแมนเอ่ยกับชายาอย่างไม่ยี่หระ

“กรี๊ดดดดด!!! เหตุใดเจ้าพี่ถึงกับกับข้าเยี่ยงนี้!” เครือแก้วปล่อยแขนสวามีด้วยความน้อยใจ ก่อนจะเดินถอยห่างเล็กน้อย เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาใช้ผู้ชายร่วมกับข้าไทต่างเมือง แถมยังเป็นคนที่เธอเกลียดเข้าไส้อีกด้วย

“มันเรื่องของข้า!” เมืองแมนพูดตอกหน้าชายาก่อนจะหันไปเอ่ยกับนางข้าไททั้งหลาย “ต่อไปนี้คำน้อยคือเมียของข้า มีศักดิ์เป็นเจ้าเยี่ยงเจ้านางเครือแก้ว ให้เรียกคำน้อยว่าเจ้าคำน้อยพวกเอ็งได้ยินรึไม่” เมืองแมนตะโกนสั่งนางข้าไทในตำหนัก

“เจ้าค่ะ” นางข้าไทขานรับพร้อมกัน หนึ่งในนั้นก็คือนางเขียนที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ด้วยความอิจฉาริษยา เมื่อเห็นคำน้อยได้ดีกว่าตัวเอง

“ตามข้ามา” เมื่อทุกคนรับทราบเมืองแมนก็หันไปเอ่ยกับเมียคนใหม่

“ช้าก่อน! เจ้าพี่จักให้มันอยู่ในตำหนักนี้ไม่ได้ ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด!”

“ที่นี่คือคุ้มของข้าเจ้าลืมไปแล้วรึ”

“เจ้าพี่!!” เครือแก้วมองหน้าผู้เป็นสวามีด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด

“อย่ามองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนั้น หากเจ้าไม่อยากเจ็บตัว” เมืองแมนไม่ยอมให้สตรีมามีอำนาจเหนือตนแน่นอน หากผู้ใดมันคิดเหิมเกริมเขาก็จะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น

เมื่อโดนขู่เครือแก้วก็ยอมอ่อนลง เจ้าหล่อนก้มหน้าไม่กล้าสบตาสวามี เพราะรู้ดีว่าเวลาอีกฝ่ายโมโหร้ายนั้นจะต้องโดนอะไรบ้าง

“เอาเถอะ...ข้าจักให้คำน้อยไปอยู่ตำหนักเล็ก” เมืองแมนเอ่ยกับชายา อย่างน้อยก็จะได้ตัดปัญหาว่าทั้งสองจะมีเรื่องตบตีกัน นั่นเพราะตอนนี้เขาไม่ได้มีเวลามากพอที่จะมาสนใจเรื่องผัวๆ เมียๆ อย่างนี้แน่เพราะกำลังมีงานใหญ่ที่ต้องจัดการ

“จริงรึเจ้าพี่...ข้าดีใจเหลือเกินที่อย่างน้อยเจ้าพี่ยังให้ข้าเป็นใหญ่กว่ามัน” เครือแก้วเริ่มยิ้มออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น

“ข้าไม่อยากให้พวกเจ้ามีปัญหากัน ช่วงนี้ข้าจักไปนอนที่ตำหนักเล็กกับคำน้อยไม่ต้องรอข้านะ” ว่าแล้วเมืองแมนก็เดินนำหน้าไปยังตำหนักเล็ก ซึ่งอยู่ติดกับตำหนักใหญ่ที่เขาและเครือแก้วพำนักอยู่นั่นเอง

ก่อนจะเดินผ่านเมียหลวงไปนั้น คำน้อยก็ไม่ลืมที่จะยิ้มมุมปากเยาะเย้ยเครือแก้ว เชิงเป็นการประกาศศึกอย่างเป็นทางการ ในเมื่อเขาไม่มีทางเลือกแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปให้ถึงที่สุด แม้ว่าตัวเองจะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตามที

หลังจากคำน้อยเดินตามหลังเมืองแมนไปแล้ว เครือแก้วก็ยืนกำมือไว้แน่น ถลึงตามองตามหลังไปอย่างอาฆาตแค้น ตอนแรกกะว่าจะเล่นงานแสงหล้าเพราะเห็นว่าเมืองแมนสนใจอีกฝ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ตอนนี้เจ้าหล่อนคงจะต้องคิดใหม่เสียแล้ว เพราะคนที่น่ากลัวกว่าแสงหล้าเป็นเท่าตัวก็คือคำน้อยต่างหาก

“กรี๊ดดดดดดด!!! กูจะเล่นงานมึงให้จมดินไม่ได้ผุดได้เกิดเลยคอยดู” หลังจากกรีดร้องเสียงดังแล้ว เจ้าหล่อนก็กระทืบเท้าตามไปด้วย ทำให้บรรดานางข้าไทที่นั่งอยู่ต่างก็ก้มหน้างุดไม่กล้าหันมามองเพราะกลัวจะโดนเจ้านางเล่นงานเอา

“ข้าเจ้าสนับสนุนเต็มที่เลยเจ้าค่ะ” นางเขียนยื่นหน้ามาเอ่ยสนับสนุนผู้เป็นนายเพื่อเป็นการเอาใจ แต่ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานั่งคือโดนเท้าถีบยันที่ต้นแขนจนล้มลงกับพื้นซะอย่างนั้น

“โอ๊ยยยย!! ข้าเจ้าเจ็บนะเจ้าคะ”

“นี่มันยังน้อยไปกับการที่มึงทำงานพลาด สั่งคนไปตามเก็บไอ้พวกนั้นให้หมดทุกคนอย่าให้มันปริปากซัดทอดมาถึงกูได้”

“เจ้าค่ะเจ้านาง” นางเขียนก้มหน้ารับคำสั่งด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว แต่ต้องข่มมันเอาไว้ในใจเพราะความจงรักภักดีมันค้ำคออยู่ หากเลือกได้เธออยากจะออกไปอยู่นอกเขตรั้ววัง ใช้ชีวิตอย่างชาวบ้านธรรมดา ไม่อยากเป็นที่ระบายอารมณ์ของเจ้านางผู้มีนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างนี้อีกแล้ว



คำน้อยเดินตามหลังเมืองแมนเข้ามายังตำหนักเล็กๆ ภายในเขตคุ้มเดียวกัน เข้ามาด้านในแล้วเมืองแมนก็สั่งให้บรรดาทหารที่ติดตามมาด้วยออกไปรอหน้าตำหนักเสียก่อน เพราะอยากใช่ช่วงเวลานี้สนทนากับชายาคนใหม่เพียงลำพัง

“นี่คือเรือนใหม่ของเจ้า ข้าว่ามันคงจะดีกว่าเรือนไม้หลังเล็กๆ ในคุ้มเจ้าพี่อยู่มากโข” เมืองแมนเอ่ยกับคำน้อย ที่ตอนนี้เอาแต่ยืนนิ่งเหม่อลอยไร้ซึ่งชีวิตชีวา

“.....”

“ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะคำน้อยอย่าเมินข้าเยี่ยงนี้ เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำตัวอย่างนี้ต่อหน้าข้าเข้าใจหรือไม่” เมื่อโดนอีกฝ่ายเมิน เมืองแมนก็เดินเข้าไปประชิดตัวกอดจากด้านหลัง พรมจูบตามซอกคอขาวอย่างหื่นกระหาย แต่ทว่าคำน้อยกลับไม่ได้ต่อสู้ขัดขืนเลยสักนิด

“ท่านต้องรักษาสัญญาที่ได้เอ่ยกับข้าไว้ หาไม่ข้าจักเป็นคนฆ่าท่านด้วยมือของข้าเอง”

“ได้! ข้าสัญญาขอเพียงแต่เจ้ายอมอยู่ที่นี่อย่าดื้อกับข้าเป็นพอ ตอนแรกข้าหมายปองนายของเจ้าแต่ตอนนี้ข้าไม่ได้สนใจแล้ว เพราะตัวเจ้าน่าสนใจยิ่งกว่าเป็นเท่าตัวนัก อยู่ที่นี่ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง และที่สำคัญห้ามเจ้ากลับไปที่คุ้มหาแสงหล้าอีกเด็ดขาด หากข้ารู้รับรองว่านายของเจ้าไม่รอดพ้นมือข้าไปแน่” เขาเอ่ยพลางกดจมูกคมลงบนซอกคอขาว ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มเรือนร่างบางเอาไว้อย่างช้าๆ

“ข้าไม่มีอารมณ์” คำน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจนัก เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะโดนอีกฝ่ายกระทำย่ำยีอีกครั้ง

“แต่ข้ามี”

เมืองแมนไม่ยอมฟังคำคัดค้าน เขาปลดเปลื้องอาภรณ์ส่วนที่เหลือออก จนตอนนี้คำน้อยยืนตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่ตรงหน้าแล้ว มือหนาสอดไปที่สีข้างก่อนจะวางไว้ที่ยอดปทุมถันเม็ดงาม เขาสะกิดมันเบาๆ ทำเอาร่างบางสะดุ้งโหยงเมื่อได้รับสัมผัสสวาทนั้น

“อ๊ะ...อื้อ” คำน้อยพยายามข่มเสียงตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมา แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งรุกหนักมากขึ้นทำเอาน้ำตาแห่งความเสียใจไหลลงมาเป็นทาง

“หยุดร้องบัดเดี๋ยวนี้รังเกียจข้าขนาดนั้นเลยรึ!” เมื่อน้ำตาของคำน้อยหยดแหมะลงที่แขน ก็ทำให้เมืองแมนอารมณ์เสียขึ้นมาทันที

“ใช่! ตัวท่านมันสกปรกยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกนี้” เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนสัตว์เดียรัจฉานเลื้อยไต่ร่างกายอยู่ซะอย่างนั้น

“พยศไม่ต่างจากนายของเจ้าเลยสักนิด...ข้าชอบใจยิ่งนัก” ว่าแล้วเมืองแมนก็อุ้มร่างอันเปลือยเปล่าขึ้นในท่าเจ้าสาว ก่อนจะพาเดินไปที่เตียง เมื่อวางร่างคำน้อยไว้บนเตียงแล้วเมืองแมนก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองบ้าง ก่อนจะขึ้นบนไปคร่อมตัวเอาไว้แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเบนหน้าหนีอย่างไร้อารมณ์ร่วม

“มองตาข้า!” เขาออกคำสั่งแต่อีกฝ่ายยังคงเมินเฉย

“พยศไม่ต่างจากนายของเจ้าเลยสักนิด...ข้าชอบใจยิ่งนัก” ว่าแล้วเมืองแมนก็อุ้มร่างอันเปลือยเปล่าขึ้นในท่าเจ้าสาว ก่อนจะพาเดินไปที่เตียง เมื่อวางร่างคำน้อยไว้บนเตียงแล้วเมืองแมนก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองบ้าง ก่อนจะขึ้นบนไปคร่อมตัวเอาไว้แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเบนหน้าหนีอย่างไร้อารมณ์ร่วม

“อยากทำอันใดก็เชิญข้าไม่อาจปฏิเสธท่านได้อยู่แล้ว รีบทำให้มันจบๆ ไปเสีย” คำน้อยหันมามองใบหน้าคมที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่แข็งกร้าว

“ยิ่งเจ้าเมินข้าเยี่ยงนี้ ข้ายิ่งจักยืดเวลาแห่งความสุขนี้ให้มันยาวนาน เจ้าจักได้รู้ว่าความทรมานมันเป็นเยี่ยงไรหึๆ” ว่าแล้วเมืองแมนก็โน้มใบหน้าคมลงบนยอดอกสีกลีบกุหลาบ ส่งลิ้นสากออกมาตวัดเลียวนมันอยู่อย่างนั้นเพื่อทรมานอีกฝ่าย ทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่มีอารมณ์ร่วมก็ให้มันรู้กันไป

“อ๊ะ!” คำน้อยเผลอร้องออกมาก่อนจะขบริมฝีปากล่างเอาไว้ เพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกไปอีก

เมืองแมนจับมือเรียวเล็กให้ไปสัมผัสแก่นกายที่กำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ มันแข็งขันไปทุกสัดส่วนจนคำน้อยต้องชักมือกลับคืนมา ครั้งก่อนที่มีอะไรกันไม่ได้มีความละเมียดละไมถึงเพียงนี้ เมืองแมนรีบยัดเยียดความเป็นชายเข้าไปในตัวนั่นเพราะตอนนั้นเขาขัดขืนอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง

“อย่าปฏิเสธข้า!” เขาสั่งอีกครั้งทำเอาคนที่นอนนิ่งอยู่ถึงกับยอมปล่อยให้เขาทำตามใจอีกครั้ง

คำน้อยจำต้องยอมกำรอบแท่งร้อนนั้นไว้ให้มั่นก่อนจะรูดมันขึ้นลงตามสัญชาตญาณความเป็นชาย มันน่าอายเหลือเกินที่เขาต้องมาทำเช่นนี้ให้กับคนที่เกลียดนักหนา รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร่ค่าไร้ราคาซะเหลือเกิน ที่ต้องมาเสียตัวให้ชายถึงสองคนในเวลาไล่เลี่ยกันอย่างนี้

เมื่ออีกฝ่ายยอมทำตามใจแล้ว เมืองแมนก็สอดมือไปช้อนที่แผ่นหลังดึงตัวคำน้อยให้ขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็ขยับตัวถอยหลังไปเล็กน้อยแล้วกดศีรษะอีกฝ่ายลง ให้ริมฝีปากบางตรงตำแหน่งความเป็นชาย

“อื้อออ อ็อก!!”

เมื่อแท่งร้อนถูกสอดใส่เข้ามาในโพรงปากทำเอาคำน้อยแทบจะสำลักความมหึมานั่น แต่ทว่าเมืองแมนกลับไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสหายใจหายคอ เขาจับศีรษะคำน้อยโยกขึ้นลงเป็นจังหวะ เพื่อสนองความใคร่ให้กับตัวเองก่อนจะเงยหน้าหลับตาพริ้ม สูดปากส่งเสียงเสียวไปด้วยความสุขสม

ไม่นานเจ้าราชวงศ์ก็ผลักร่างบางให้นอนราบลงบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะพลิกตัวให้นอนคว่ำ โน้มตัวนอนทับทาบทุกสัดส่วนของคำน้อยเอาไว้จนแทบขยับตัวไม่ได้ มือเรียวทั้งสองข้างถูกตรึงเอาไว้บนเตียงแน่น ขาเรียวทั้งสองข้างถูกแยกออกจากกันด้วยท่อนขาแกร่ง

“ข้าต้องการเจ้าเหลือเกินคำน้อย ข้าต้องการเจ้าได้ยินหรือไม่” เมืองแมนเอ่ยเสียงกระเส่าข้างใบหูงาม ปล่อยมือข้างหนึ่งไปจับแก่นกายถูไถที่แก้มก้นงามงอนอย่างหื่นกระหาย ไม่นานเขาก็ปล่อยน้ำบ่อน้อยจากปากลงบนฝ่ามือ เพื่อใช้เป็นน้ำหล่อลื่นในการนำพาความเป็นชายเข้าไปในตัวคำน้อย

ชายร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนสัมผัสที่ช่องทางรัก ยิ่งเมื่อเมืองแมนส่งนิ้วหนาเข้าไปลองเชิงเจ้าตัวยิ่งอยู่ไม่สุข นิ้วเรียวทั้งห้ากำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น ขบริมฝีปากล่างเอาไว้เพื่อข่มความเจ็บปวดที่กำลังค่อยๆ แผ่ซ่านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ...อื้อ...ฮึก”

เมื่อนิ้วหนาถูกแทนที่ด้วยแท่งร้อนยาวใหญ่ คำน้อยก็เบิกตาโพลงด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลพรากลงมาเป็นสาย เจ้าตัวทำได้เพียงซบแก้มขาวนวลลงบนเตียงร้องไห้โฮด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา

“ซี๊ดส์!!!! ข้ามีความสุขเหลือเกินคำน้อย ถ้าเจ้าทำตัวดีๆ ข้าสัญญาว่าจักดูแลเจ้าให้มีความสุข อ่าส์!” เมืองแมนเอ่ยเสียงกระเส่าข้างใบหูสวยขณะกระแทกกระทั้นความใหญ่โตเข้ามาในร่างของคำน้อย ชายหนุ่มเอาแต่พรมจูบไปตามแผ่นหลังสวยด้วยความพอใจเป็นที่สุด

นิ้วทั้งห้าของคำน้อยที่กำผ้าปูที่นอนอยู่นั้นจำต้องคลายออกมา เมื่อโดนอีกฝ่ายประสานนิ้วแกร่งเอาไว้แน่น เรือนร่างกำยำของเมืองแมนที่ทับทาบอยู่บนร่างเล็กขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ ทำเอาความร้อนรุ่มภายในกายแผ่ซ่านไปทั้งร่าง อุณหภูมิร่างกายที่สูงลิ่วส่งเหงื่อกาฬให้ผุดออกมาจากรูขุมขนอยู่เนืองๆ จนเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง

“อือ...อ้าส์....อ๊ะ”

ความเสียวซ่านที่อีกฝ่ายส่งมาให้ผ่านช่องทางรัก ทำเอาคนที่นอนอยู่ใต้ร่างเผลอร้องครวญครางออกมาเป็นระยะ เมืองแมนยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะเร่งจังหวะรักให้รุนแรงขึ้น

“ขะ...ข้าไม่ไหวแล้วคำน้อย ข้าไม่ไหวแล้วววว!!!” เมืองแมนพร่ำบอกกับอีกฝ่าย พรมจูบตามแผ่นหลังขาวนวลเนียนอย่างบ้าคลั่ง เร่งจังหวะรักระรัวเพื่อส่งน้ำสวาทเข้าไปในตัวอีกฝ่าย

“อ๊ากกกก...อื้อออออ”

ในที่สุดของเหลวสีขาวขุ่นก็พุ่งกระฉูดเข้าไปในตัวคำน้อย เมืองแมนกระตุกตัวหลายครั้งก่อนจะฟลุบตัวทับทาบบนร่างบางอย่างหมดแรง ใบหน้าหล่อคมเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ลมหายใจอุ่นเป่ารดที่แผ่นหลังงามขณะคลอเคลียใบหน้าราวกับโหยหาสิ่งนี้มาแสนนาน พรมจูบครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับพอใจเรือนร่างนี้เป็นที่สุด

คำน้อยนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนส่วนใดของร่างกายเลยสักนิด มีเพียงน้ำใสๆ ที่ไหลลงมาจากดวงตาสวยเท่านั้น ตอนนี้เขาควรจะตัดใจจากคำป้อแล้วสินะ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักนิดเพราะตัวเขาก็มีมลทินไปเสียแล้ว ยิ่งคิดน้ำตายิ่งไหลลงมาไม่หยุดหย่อนจนผ้าปูที่นอนเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำตา

“คิดอันใดอยู่รึเมียข้า” เมืองแมนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกดจมูกลงที่แก้มขาวอย่างเสน่หา

“ฮึก” คำน้อยไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้ร้องห่ม

“ถึงเจ้าจักร้องไห้จนตายก็ไม่อาจหนีจากข้าไปไหนได้แน่ จงทำใจยอมรับเสียเถอะ จากเจ้ายังคงดื้อดึงนายของเจ้าคงจักได้มาเป็นเมียของข้าอีกคนแน่” ในเมื่อพูดดีๆ แล้วไม่ให้ความร่วมมือ เขาจึงจำเป็นจะต้องเอาเรื่องนี้มาขู่เพื่อให้อีกฝ่ายตื่นตัว

“ไม่นะ! ห้ามทำเยี่ยงนั้นเด็ดขาด” คำน้อยเหลือบตามองคนที่นอนทับทาบอยู่บนตัวอย่างไม่เป็นมิตร

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรจักเชื่อฟังข้า ห้ามดื้อห้ามขัดใจข้ารู้หรือไม่”

“หากท่านยอมทำตามสัญญา ข้าเจ้าก็จักยอมเชื่อฟังท่านทุกอย่าง”

“ดีมากเมียข้า...นอนเอาแรงเสียเถิดอย่าได้คิดเรื่องอันใดอีกเลย”

เมืองแมนเขยิบตัวมานอนข้างกัน ก่อนจะยกศีรษะอีกฝ่ายขึ้นเล็กน้อยสอดแขนไปรองเพื่อให้อีกฝ่ายใช้ต้นแขนแกร่งหนุนแทนหมอน คำน้อยได้แต่ยอมนอนนิ่งๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ

ในเมื่อตอนนี้เจ้าตัวตกเป็นเมียเมืองแมนไปแล้วคงจะต้องทำใจยอมรับความจริงให้ได้ ทำหน้าที่เมียให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เมืองแมนไปทำอันตรายเจ้านายของตัวเอง และอีกอย่างเขาจะต้องเอาชนะเครือแก้วให้ได้เพื่อทำให้เจ้าหล่อนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพราะมั่นใจว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการโดนฉุดทำร้ายต้องเป็นฝีมือของเครือแก้วอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่มาอยู่ในเมืองนี้เขาและแสงหล้าไม่เคยมีเรื่องกับผู้ใดเลยนอกจากเครือแก้วและนางข้าไทที่ชื่อเขียนเท่านั้น






ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai2-1: ปรบมือในความรักนายของคำน้อย

หาเมียใหม่ให้คำป้อหน่อย น่าสงสารรร :mew6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คำน้อยจะสู้ไหวป่ะเนี่ย คนเดียวโดดๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ `ลoงสิจ๊ะ™

  • รักคือรัก จะให้หักห้ามใจนั้นยาก
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
คำน้อยสู้ๆนะหนู // ปาดน้ำตา

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
สงสารคำน้อยสุดๆๆๆ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ดีใจนะที่แสงหล้าทำตัวว่าง่ายขึ้น
ตอนแรกๆนี่ไม่ได้กลัวตายเลย
สงสัยจะลืมว่าตัวเองมาในฐานะตัวประกัน
ต้องคิดถึงพ่อกับพี่ชายด้วยว่าเค้าเป็นห่วง
ถ้าแสงหล้าตายต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ

ออฟไลน์ ไมเลอร์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-6
บทที่ 11

น้ำตกแห่งรัก


หลังจากไม่ได้มีข้าไทคนสนิทอยู่ข้างกายเหมือนเช่นเดิมแล้ว แสงหล้าก็รู้สึกว่าชีวิตช่างเงียบเหงาไร้ซึ่งชีวิตชีวา วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ออกมาพูดจากับผู้ใด ความเงียบเหงาคืบคลานเข้ามาเกาะกินหัวใจ เขารู้สึกโดดเดี่ยวตัวคนเดียวท่ามกลางเมืองใหญ่แห่งนี้ แม้กระทั่งอินเหลาผู้ที่เคยทำให้เขามีความสุขก็ไม่สามารถทำให้ความสุขเหล่านั้นของแสงหล้ากลับคืนมาได้เลย

จักรคำสังเกตเห็นและรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าโศกานั้น เขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย จึงคิดหาหนทางเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง การหมกตัวอยู่แต่ในคุ้มอาจจะทำให้แสงหล้าเอาแต่คิดเรื่องคำน้อยไม่หยุดหย่อน เขาจึงตั้งใจจะพาชายาต่างเมืองออกไปเปิดหูเปิดตานอกวังเผื่อว่าจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

แสงหล้านั่งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางคิดหาหนทางพาตัวคำน้อยกลับมาอยู่ที่คุ้มด้วยกัน เขาเคยไปหาคำน้อยถึงที่แต่ทว่าทหารที่เฝ้ายามอยู่กลับไม่ให้เข้าไปในคุ้ม โดยให้เหตุผลว่าเป็นคำสั่งของเมืองแมน นั่นทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงกลัวว่าคำน้อยอาจจะโดนกดขี่ข่มเหงจนไม่มีความสุข

“คิดอันใดอยู่รึ” เสียงทุ้มดังแว่วเข้ามาทำให้เจ้าตัวหลุดจากภวังค์ในทันที หันไปมองยังต้นเสียงก็พบว่าจักรคำกำลังเดินยิ้มเข้ามาหาตนเอง

“ข้าหาคิดอันใดไม่” เขาปฏิเสธแต่ทว่าสีหน้ากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด จักรคำก็ดูออกว่าคงไม่ใช่เรื่องใดนอกจากเรื่องของคำน้อย

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดปดข้าอยู่”

“ข้าเปล่า!” แสงหล้ายังคงยืนยันคำพูดตนเอง

“ข้ายอมเจ้าก็ได้...ลุกขึ้นเถิดข้าจักพาไปเปิดหูเปิดตานอกวัง” ผู้มาใหม่ยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลา

“ข้าไม่ไป! ในช่วงเวลาเช่นนี้ข้าไม่มีกะจิตกะใจไปเที่ยวที่ใดดอก” แสงหล้ายังคงนั่งนิ่งไม่กระดิกตัว

“ถ้าไม่ลุกขึ้นข้าจักเป็นคนอุ้มเจ้าเอง” ไม่ว่าเปล่าจักรคำก้าวขาเดินเข้าไปหาทันที ทำเอาคนที่นั่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นยืนทันควันด้วยความกลัว

“ขะ...ข้าลุกเองได้”

“เดินตามข้ามา”

จักรคำยิ้มมุมปากยักคิ้วกวนอีกฝ่าย แสงหล้าเห็นอย่างนั้นก็ทำหน้างองุ้มอย่างไม่พอใจเสตาหนีไปอีกทาง จากนั้นเจ้าอุปราชก็หันหลังเดินออกไปจากห้อง ร่างบางจึงจำยอมเดินตามหลังไปอย่างอิดออด



ออกมาถึงหน้าคุ้มก็มีทหารนำม้าศึกสีขาวตัวหนึ่งมารออยู่ลานหญ้าแล้ว มันคือ ‘ไอ้ขาวศึก’ ม้าตัวโปรดที่ร่วมออกศึกกับจักรคำในทุกครั้ง

“เจ้าพี่จักพาข้าไปที่ใดรึ” แสงหล้าเอ่ยถามเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าไอ้ขาวศึกแล้ว

“ไปถึงที่นั่นเจ้าจักรู้เอง” ว่าแล้วจักรคำก็เดินไปลูบไล้ใบหน้าไอ้ขาวศึกอย่างเบามือเพื่อทักทาย ราวกับว่าทั้งสองสามารถสื่อคำพูดถึงกันได้โดยไม่ต้องออกเสียง

“ไอ้ขาวศึกลูกพ่อ เอ็งคิดถึงพ่อบ้างหรือไม่” จักรคำเอ่ยกับม้าตัวโปรด แสงหล้าได้ยินอย่างนั้นถึงกับกลั้นขำไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นมุมน่ารักๆ ของเจ้าอุปราชอย่างนี้เลยสักครั้ง

“ขำอันใดรึแสงหล้า” คนที่โดนขำหันขวับไปมองทันควัน ทำเอาแสงหล้าปรับสีหน้าแทบไม่ทัน

“หามีอันใดไม่” เจ้าตัวลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

จักรคำไม่ได้ว่าอะไรแต่หันหลังกลับมาอมยิ้มด้วยความพอใจเมื่อสามารถทำให้อีกฝ่ายยิ้มได้ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปขี่หลังไอ้ขาวคำรออีกฝ่าย

“ขึ้นมาสิ” เมื่อนั่งอยู่บนหลังม้าแล้วจักรคำก็ยื่นมือลงมา เพื่อจะดึงตัวอีกฝ่ายให้ขึ้นตามไป

“ไม่! ข้าขี่ม้าเป็น หาม้ามาให้ข้าสักตัวได้หรือไม่”

“ขึ้นมาบัดเดี๋ยวนี้” จักรคำพูดเสียงเข้มเมื่ออีกฝ่ายเริ่มงอแงไม่ทำตามคำสั่ง

แสงหล้าเหลือบตามองอีกฝ่าย ถอนหายใจเสียงดังเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนไม่พอใจ “ขึ้นก็ขึ้น”

เจ้าตัวเดินอิดออดเข้าไปยืนข้างไอ้ขาวคำ ก่อนจะยื่นไปจับมือคนที่นั่งอยู่ข้างบน ก้าวขาขึ้นไปเหยียบสายโกลนเพื่อให้จักรคำดึงตัวขึ้นไป

“อึ๊บ!”

ตอนนี้ร่างบางขึ้นไปนั่งบนหลังม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีเจ้าอุปราชรูปงามนั่งซ้อนท้ายโอบกอดเอาไว้แน่น จักรคำโน้มใบหน้าคมเข้ามาวางเกยบนไหล่บางอย่างถือวิสาสะ ส่งลมหายใจอุ่นเป่ารดข้างใบหูงามเพื่อหยอกล้อเล่น ทำเอาแสงหล้าใบหน้าแดงก่ำปานลูกตำลึงสุก

“นั่งสบายตัวดีหรือไม่” จักรคำจงใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้พวงแก้มขาว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“อื้ม” คนที่อยู่ในอ้อมกอดตอบรับสั้นๆ กลอกลูกตาไปมาด้วยความเขินอายเป็นที่สุด

“ไป!”

จักรคำตะโกนสั่งไอ้ขาวคำพร้อมทั้งดึงสายบังเหียน บีบขาทั้งสองข้างไปที่ลำตัวเพื่อสั่งให้ออกเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายที่เขาต้องการ



ไอ้ขาวคำวิ่งออกจากคุ้มเจ้าอุปราชตรงไปยังภูเขาสูงตระหง่านที่มองเห็นอยู่รำไร สถานที่ซึ่งอยู่ห่างจากกำแพงเมืองพอประมาณ เนินเขาลูกนั้นมีน้ำตกขนาดใหญ่ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายสายที่ไหลเข้าไปหล่อเลี้ยงทุกชีวิตของชาวเมืองเชียงราชคำให้อยู่ดีมีสุขมานมนาน

“หยุด!”

เมื่อได้ยินคำสั่งไอ้ขาวคำก็ค่อยๆ ลดความเร็วจากวิ่งเป็นเดินช้าๆ และหยุดอยู่กับที่ในที่สุด จากนั้นจักรคำก็ลงมาจากหลังม้าก่อนจะอุ้มตัวแสงหล้าให้ตามลงมาอีกที

“ขอบน้ำใจเจ้า” เมื่อลงมาแล้วแสงหล้าก็เอ่ยกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความเขินอาย ก่อนจะหันไปสนใจมองรอบตัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ

จักรคำมองหน้าร่างบางด้วยรอยยิ้มก่อนจะพาไอ้ขาวคำไปล่ามไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

มวลน้ำปริมาณมากไหลหลากลงมาจากยอดเขาสูงตกกระทบกับแผ่นหินด้านล่าง เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วพื้นที่ ซึ่งรายล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพรรณเป็นที่อาศัยของบรรดาสัตว์ป่าน้อยใหญ่จำนวนมาก โขดหินและพื้นดินโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยมอสส์สีเขียวบ่งบอกว่าพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์มากแค่ไหน หากผู้ใดมาพบเห็นต่างก็ต้องตื่นตาเหมือนอย่างเขาเป็นแน่แท้

“ช่างสวยงามเหลือเกิน” แสงหล้าเอ่ยเบาๆ ขณะดวงตาคู่สวยกวาดมองดูความงดงามของน้ำตกแห่งนี้

จักรคำเดินมายืนซ้อนหลังอย่างเงียบๆ ก่อนจะยกมือหนาทั้งสองข้างวางไว้บนไหล่บางอย่างถือวิสาสะ ทำเอาคนที่ยืนอยู่สะดุ้งเล็กน้อย เอียงหน้าหันไปมองด้วยสายตาดุเล็กน้อย

“เหตุใดจึงมองข้าด้วยสายตาดุดันเยี่ยงนี้” จักรคำยิ้มอ่อนเพิ่มความหมั่นไส้ให้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากเป็นเท่าตัว

“เอามือท่านออกไปบัดเดี๋ยวนี้”

“ไม่!” คนตัวสูงยิ้มอย่างผู้ชนะ

“ข้าอึดอัด”

“แต่ข้าไม่อึดอัดเลยสักนิดเดียว” จักรคำยังดื้อ

“เหตุใดจึงดื้อดึงเช่นนี้ ข้ารู้ว่าท่านต้องการเอ่อ...”

“อันใดรึ” คนพูดชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะเป่าลมร้อนเข้าที่ใบหู ทำเอาแสงหล้าถึงกับขนลุกชันไปทั้งตัว

“เจ้าพี่กวนข้ารึ!”

“ถ้าใช่เจ้าจักทำอันใดข้ารึ” จักรคำได้แต่ยิ้ม เลื้อยมือทั้งสองข้างไปวางไว้ที่หน้าท้องแบนราบก่อนจะกอดรัดเอาไว้แน่น แสงหล้าจึงพยายามแกะมือหนานั่นออกแต่ทว่ากลับโดนอีกฝ่ายปรามเอาไว้เสียก่อน “เจ้าสู้แรงข้าไม่ได้ดอก ยืนนิ่งๆ ฟังสิ่งที่ข้าจักพูดสักครู่ได้หรือไม่”

“ข้าอึดอัดเต็มทีแล้ว” แสงหล้าอ้างออกไปแต่ทว่าหัวใจกลับเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าขาวร้อนผ่าวเปลี่ยนสีในพริบตา เจ้าตัวไม่รู้เลยว่านี่คืออาการของคนที่กำลังเขินอายเมื่อโดนคนที่ถูกใจแตะเนื้อต้องตัว

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้อึดอัดอย่างที่กล่าว แต่เจ้ากำลังรู้สึกดีต่างหากใช่หรือไม่” เมื่อได้โอกาสจักรคำก็กดจมูกคมลงไปดอมดมที่พวงแก้มขาวอย่างบรรจง เขารับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แรงผิดปกติของคนที่อยู่ในวงแขนแกร่ง

ฟอดดดด!!!

“คนฉวยโอกาส!” คนที่โดนเอาเปรียบเอียงแก้มขาวปรายตามองเชิงต่อว่า

“ข้าแค่ต้องการพิสูจน์ว่าแก้มของเจ้าหอมหรือไม่ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันหอมเหลือเกิน หอมจนข้าอยากดอมดมเจ้าไปทั้งตัวแล้ว”

เขาไม่มีอะไรจะต้องอ้อมค้อมอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้หัวใจมันเรียกร้องหาคนที่อยู่ตรงหน้าทุกวัน หากช้ากว่านี้มีหวังได้ลงแดงตายก่อนแน่นอน นั่นเพราะแสงหล้าอยู่ในคุ้มด้วยกัน ได้เห็นหน้าทุกวัน ยิ่งทำให้ความต้องการมากล้นเกินกว่าจะห้ามใจ ใบหน้างามๆ ของคนที่อยู่ในอ้อมกอดช่างยั่วเย้าความเป็นชายของเขาให้ตื่นตัวได้ดีเลยทีเดียว

“หยุดเอ่ยคำเลี่ยนๆ พวกนั้นได้แล้วข้าไม่อยากฟัง” ร่างเล็กได้แต่เอียงอายอยู่อย่างนั้นหากจะขยับตัวหนีก็ทำไม่ได้ มันเป็นอะไรที่อึดอัดแต่ทว่าคำหวานที่เขาเพิ่งจะบอกว่าเลี่ยนนั้น กลับทำให้หัวใจพองโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“รู้หรือไม่...ข้าเคยกอดอิงฟ้าดังเช่นที่กอดเจ้าอยู่ที่เดียวกันนี้” เขาเอ่ยเบาเสียงก่อนจะทอดสายตามองไปยังโขดหินข้างน้ำตกก่อนจะยิ้มน้อยๆ ออกมา เมื่อจินตนาการว่าเห็นอิงฟ้าชายาคนก่อนกำลังนั่งยิ้มให้ตนเองอยู่บนนั้น

“อิงฟ้า...คือผู้ใดรึเจ้าพี่” แสงหล้าเอ่ยถามเสียงเบาราวกับน้อยใจที่ตนเองไม่ได้เป็นคนแรกที่โดนกระทำอย่างนี้

“แม่ของอินเหลา...เมียคนก่อนของข้ายังไงเล่า” จักรคำตอบ

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วแสงหล้าก็หลุบตาลงเล็กน้อย รู้สึกผิดที่หึงหวงแม้กระทั่งคนที่ตายไปแล้ว เขาเคยจะให้อินเหลาเล่าเรื่องเธอคนนี้ให้ฟัง แต่ทว่ากลับมีเรื่องกับเครือแก้วเสียก่อนเลยยังไม่มีโอกาสได้ถามอีกครั้ง วันนี้ได้โอกาสแล้วเขาจึงอยากจะถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

“เอ่อ...เจ้านางอิงฟ้าเป็นอันใดถึงได้จากท่านกับอินเหลาไปเร็วเยี่ยงนี้”

“อิงฟ้าป่วยด้วยอาการไข้ป่า นางจากข้าไปตั้งแต่อินเหลาเกิดมาลืมตาดูโลกได้เพียงสามปีเท่านั้น นางเป็นสตรีที่ร่าเริงเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ทำหน้าที่เป็นทั้งแม่และเมียได้อย่างดี และเหตุผลพวกนั้นก็ทำให้ข้าไม่อาจยกย่องผู้ใดมาแทนที่อิงฟ้าได้เลย จนกระทั่งมาพบเจ้า...” จักรคำพลิกตัวร่างบางให้หันมาเผชิญหน้ากัน ก่อนจะสอดมือหนาไปวางไว้บนแผ่นหลังดันตัวให้เข้ามาประชิดกัน จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยอย่างลึกซึ้ง

“เกี่ยวอันใดกับข้ารึ” แสงหล้าแสร้งทำเป็นถาม แต่ทว่าในใจกลับรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายความถึงอะไร

“เจ้าคือคนที่ทำให้ข้าต้องการมีความรักอีกครั้ง ทุกครั้งที่ข้าได้เห็นหน้า ได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้า หัวใจข้ามันเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งเห็นเจ้าเข้ากับอินเหลาได้เป็นอย่างดี ข้ายิ่งมั่นใจว่าผู้ที่จักมาอยู่เคียงข้างข้าในวันที่ได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองต่อจากเจ้าพ่อก็คือเจ้า” พูดจบจักรคำก็ส่งรอยยิ้มที่สุดแสนจะอบอุ่นให้คนที่อยู่ตรงหน้า สื่อว่าเขาจริงจังกับคำพูดนั่นมากแค่ไหน

“ข้า...คงไม่อาจเป็นอย่างที่ท่านต้องการได้ดอก เพราะเหตุใดท่านเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”

เขาเป็นเพียงเชลยต่างเมืองคงไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปนั่งเคียงข้างเจ้าหลวงเมืองนี้ได้แน่ อีกอย่างเขาเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานถึงขนาดนั้น อยากกลับไปเมืองผาพิงค์อยู่อย่างพร้อมหน้ากับบิดาและพี่ชายรวมถึงประชาชนที่รัก ไปเป็นเจ้าฟ้าพระองค์เล็ก เป็นที่พึ่งให้กับชาวเมืองเหมือนเมื่อก่อน

“ข้ารู้ว่าเจ้ายังคงโกรธเคืองข้าเรื่องนั้น แต่ข้าเชื่อว่าสักวันเจ้าจักเห็นใจข้า หากวันใดที่ข้าได้ขึ้นนั่งบนตั่งทองแล้ว ข้าสัญญาว่าจักปลดปล่อยเมืองผาพิงค์ให้เป็นอิสระ ได้ยินเช่นนี้แล้วเจ้าจักลังเลใจอยู่อีกหรือไม่” จักรคำอยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น เพราะรู้ดีว่าแสงหล้ารักบ้านเมืองยิ่งกว่าชีวิตเสียด้วยซ้ำ

“จริงรึเจ้าพี่” แสงหล้ายิ้มกว้างด้วยความดีใจ ตอนแรกเขายังมองไม่เห็นทางที่จะทำให้บ้านเมืองได้รับเอกราชเลยสักวิธี แต่พอได้ยินจากปากจักรคำอย่างนี้แล้ว โลกที่เคยเป็นสีเทากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที จากที่เคยเดินในทางเปลี่ยวไร้ซึ่งแสงสว่าง ตอนนี้เขาเห็นแสงรำไรจากปลายทางพอที่จะเดินหน้าต่อไปได้แล้ว

“จริงสิข้าไม่พูดปดเจ้าดอก ได้ยินเยี่ยงนี้แล้วเจ้าจักยิ้มได้หรือยัง”

“หากเจ้าพี่สัญญาเยี่ยงนี้แล้ว ข้าจักรอวันนั้น วันที่เจ้าพี่ได้ขึ้นนั่งบนตั่งทอง”

“แล้วเรื่องที่ข้าขอเจ้าเล่าจักได้หรือไม่” เขาให้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการแล้ว ทีนี้ถึงตาเขาที่จะเป็นฝ่ายร้องขอบ้าง

“ข้า....ขอคิดดูก่อน”

แสงหล้ายังไม่ชัดเจนกับความรู้สึกของตนเอง แต่หากถามว่ารู้สึกดีกับจักรคำหรือไม่ เขาตอบได้เลยทันทีว่าใช่ แต่ทว่าหากจะให้ตอบโป้งๆ เลยว่ารักมันคงจะต้องชั่งใจดูอีกสักระยะ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวแทบไม่ทัน

“ข้าจักให้โอกาสเจ้าสามวันเพื่อคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ หากเกินนั้นแล้วเจ้าไม่มาให้คำตอบ ข้าจักถือว่าเจ้าปฏิเสธ แต่หากเป็นเยี่ยงนั้นจงวางใจเถิดว่าข้าจักรักษาสัญญาเรื่องอิสรภาพของเมืองผาพิงค์ไว้เช่นเดิม”

“ข้ารับรองว่าจักให้คำตอบท่านภายในเร็ววันนี้” แสงหล้าเป็นฝ่ายส่งยิ้มให้เขาบ้าง

“หวังว่าเจ้าจักให้โอกาสข้านะ” ว่าแล้วจักรคำก็โน้มใบหน้าเข้าไปอย่างช้าๆ หมายใจจะจุมพิตบนหน้าผากนุ่มนั้นให้ชื่นใจแต่ทว่า...

“ปะ...ปล่อยข้าได้รึยัง ข้าอยากไปนั่งบนโขดหินใกล้น้ำตกโน่น” แสงหล้าก้มหน้างุด วางสายตาไว้บนแผงอกแกร่ง แต่ทว่าจักรคำไม่ยอมให้ตัวเองพลาดโอกาสดีๆ อย่างนี้ไปแน่ เขาละมือข้างหนึ่งขึ้นมาเชยคางเรียวให้ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกันอีกครั้ง

“ข้าจักปล่อยก็ต่อเมื่อเจ้ายอมให้ข้าจูบ” ตอนแรกตั้งใจว่าแค่จะจุมพิตบนหน้าผากแต่ตอนนี้เขาอยากทำให้มากกว่านั้นเสียแล้ว

“เหตุใดข้าต้องยอมท่านด้วยเล่า” ร่างบางพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น แต่ทว่าสีหน้าที่แดงก่ำนั้นกลับไม่สามารถปกปิดความรู้สึกเอาไว้ได้

“เพราะข้ารักเจ้ายังไงล่ะ”

“อื้อออ”

จักรคำโน้มใบหน้าคมเข้าไปประกบจูบอีกฝ่ายโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากบางถูกบดจูบอย่างดูดดื่ม จักรคำพยายามแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากนั่น แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับเม้มปากเอาไว้แน่น เขาจึงเปิดมันด้วยการบีบเคล้นที่แก้มก้นงอนงามอย่างรุนแรงทำให้แสงหล้ารู้สึกเจ็บจนเผยอปากออกมา จักรคำจึงใช้โอกาสนี้ส่งลิ้นสากเข้าไปชอนไชข้างใน ตวัดเลียลิ้นของร่างบางอย่างสนุกสนาน แรกๆ ความไร้เดียงสาทำให้แสงหล้าไม่กล้าตอบสนอง แต่พอนานเข้าเขากลับเป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้าไปในปากจักคำเสียเอง

จังหวะการหายใจของคนทั้งสองเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไฟสวาทเริ่มก่อตัวขึ้นมา ตอนแรกจักรคำตั้งใจแค่จะแกล้งหยอกเล่นๆ แต่ทว่าเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติความหอมหวานในโพรงปากนั่น กลับทำให้เขาคิดการใหญ่กว่านั้นอีก มือหนาพยายามปลดเปลื้องอาภรณ์คนที่อยู่ในอ้อมกอด แต่ทว่าแสงหล้ากลับตั้งสติได้เสียก่อนจึงจับมือห้ามเอาไว้

“ยะ...หยุดก่อน แฮ่กๆ ๆ” เจ้าตัวเอ่ยทั้งที่ยังหายใจหอบเหนื่อย นั่นเพราะโดนตักตวงเอาลมหายใจอยู่นานสองนาน

“เหตุใดข้าต้องหยุด ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ต้องการมันเช่นกัน”

จักรคำไม่ยอมฟังคำค้านกลับอุ้มร่างบางขึ้นในท่าเจ้าสาว

“ปล่อยข้าลงบัดเดี๋ยวนี้!” กำปั้นน้อยๆ ทุบเข้าที่แผงอกแกร่งแต่ทว่าคนตัวใหญ่กว่ากลับยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ข้าปล่อยแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ข้าอยากทำให้เจ้ามีความสุขหาควรขัดใจข้าไม่...เมียข้า”

เจ้าอุปราชรูปงามกระตุกยิ้มร้ายก่อนจะอุ้มร่างเล็กเดินตรงไปยังน้ำตก ในนั้นมีถ้ำเล็กๆ ที่เขาเคยพาชายาคนก่อนเข้าไปพลอดรักกันอย่างถึงพริกถึงขิงมาแล้ว และที่นี่ก็จะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเขาและแสงหล้าในอีกไม่กี่อึดใจนี้


ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
หมั่นไส้  จะฟันท่าเดียว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด