เกียร์สีขาวกับกาวน์สีฝุ่น
ตอนที่ 25 : หมอน 4 ใบกับผ้าห่ม 2 ผืน
“ไอ้โฟคมันชอบมึงเหรอ”
ไอ้อิฐที่อาบน้ำเรียบร้อยนอนอยู่บนเตียงอยู่ก่อนแล้วเงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนในมือขึ้นมาถาม ทันทีที่เขาอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยออกมาจากห้องน้ำ
“ทำไมวะ”
“เปล่า ก็ถามดู”
“นั่นแหละ แล้วอยู่ดีดีทำไมถึงถาม”
“วันก่อนไอ้โฟคมันไลน์มาถามกูว่ากูเป็นอะไรกับมึง” มันพูดพลางที่สายตายังกวาดไปบนหน้าหนังสือต่อ
“แล้วมึงตอบไปว่าอะไรหละ” เขาถามพร้อมกับเอาผ้าขนหนูเช็ดหัวไปด้วยในเวลาเดียวกัน
“กูก็ตอบว่ามึงเป็นลูกน้องกูเอง” มันเงยหน้ามายักคิ้วแบบกวนประสาท
“ลูกน้องพ่อมึงสิ”
“ปากมึงนี่หมาเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ”
“แหม มึงไม่ได้กวนตีนเลยมั้ง”
“แล้วตกลงมันชอบมึงหรือเปล่า”
“ไม่เอา ไม่เสือกเรื่องลูกน้องสิครับหัวหน้า” เขาหันไปยักคิ้วกวนประสาทใส่มันกลับ
พวกเขานอนเล่นกันได้อยู่พักเดียวก็ปิดไฟนอน เตียงในห้องพักเป็นแบบเอาเตียงเดี่ยวสี่เตียงมาเรียงต่อกัน ทุกเตียงต่อเชื่อมถึงกันหมด แต่ด้วยความกว้างของมันก็กว้างมาก พวกเขาที่นอนกันอยู่สองคนเรียกได้ว่ามีพื้นที่เหลืออยู่มากมายมหาศาล นอนเว้นช่องไฟสองเมตรยังทำได้เลย
“ไอ้สัด ถ้ามึงกระเถิบเข้ามาอีกคืบนึงกูถีบมึงตกเตียงแน่”
เสียงไป๋ดังขึ้นอย่างเฉียบขาดทั้งที่ดวงตาคู่นั้นยังหลับพริ้มอยู่ ไอ้คิงคองที่ปฏิบัติการกระดึ๊บตัวเข้าใกล้อีกฝ่ายเรื่อยๆ ถึงกับหยุดชะงักอย่างคนโดนจับได้
“ตรงโน้นมันหนาว แอร์มันลง” เสียงดังตอบมาในความมืด
“แอร์มันลงมึงก็เดินไปปรับแอร์”
“แอร์มันมีให้ปรับที่ไหนหละ มันมีแค่คัทเอาท์สับปิดกับเปิด”
“ไม่งั้นมึงก็ห่มผ้าห่มไป”
“กูก็มีผืนเดียวเหมือนมึงไหม มึงจะให้กูไปเสกมาจากไหนอีกหละ” พวกเขาได้เครื่องนอนคือหมอน 4 ใบและผ้าห่ม 2 ผืนสำหรับ 4 คน
“ได้”
เขาตอบพร้อมกับกระเถิบตัวหนีไปอีกฝั่งและเอาหมอนมาขวางตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งคู่ หมอนใบนี้เปรียบเสมือนเขตฉนวนระหว่างกองทัพที่ห้ามบุกรุก
“อารมณ์ไม่ดีอะไรมาเนี่ยวันนี้”
“ไอ้โฟคมันชอบกู” อะไรไม่รู้ที่ทำให้เขาพูดออกไป
“...”
“กูบอกมันว่าอย่ารอกู กูไม่ใช่คนที่ศรัทธาในความรัก กูไม่ใช่คนที่จะเปิดพื้นที่ในชีวิตให้ใครมาใช้ร่วมกันได้” เขาพูดไปด้วยความอยากระบายมากกว่า
“แล้วมันว่าไง”
“มันก็ดูเข้าใจ แต่มันก็ดูเสียใจมาก”
“เหรอ” เสียงของอีกคนหนึ่งดังเบาๆ มาในความมืด
“อืม กูไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยหวะ กูไม่อยากทำให้ใครเสียใจ”
“แล้วทำไมมึงถึงไม่อยากมีความรักวะ”
“มึงวาดภาพชีวิตวัยเกษียณมึงไว้ยังไงวะ”
“เกษียณเหรอ” อีกฝ่ายทวนคำเหมือนไม่คาดคิดว่าจะเจอคำถามนี้มาก่อน
“เออ ชีวิตหลังอายุ 60 ปีของมึงอะ”
“กูก็คงอยู่กับครอบครัวและคนที่กูรักมั้ง กูอาจจะหางานทำก๊อกๆ แก๊กๆ กูเก็บเงินซื้อบ้านเดี่ยวสักหลังหวะ แล้วก็เอาเวลามาปลูกต้นไม้ ทำสวน ต่อเติมบ้าน เลี้ยงปลาคาร์ฟ ประมาณนี้มั้ง”
“แล้วมึงอะ คิดว่ายังไง”
“ภาพที่กูเห็นคือกูอยู่ในบ้านที่มีห้องสมุดใหญ่ๆ ดูแลพ่อแม่กูจนวันสุดท้าย นอกจากนั้นก็คงไม่มีอะไร กูคงอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จนกว่ากูจะอ่านไม่ไหว” เขาตอบ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความรักวะ”
“อนาคตกูไม่เคยมีภาพคนรักอยู่ในชีวิตเลยหวะ”
“ทำไมวะ” เสียงนั้นถามอย่างไม่เข้าใจ
“พ่อแม่กูเป็นหมอเป็นเจ้าของโรงพยาบาล กูวิ่งเล่นในโรงพยาบาลมาตั้งแต่กูจำความได้ กูเห็นคนตายมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วหวะ กูรู้สึกว่าเราไม่ควรผูกพันกับคนเลย”
“...”
“กูชอบหนังสือได้ เพราะจบเล่มนี้กูจะซื้อเล่มใหม่ กูชอบดูหนังได้ เพราะจบเรื่องนี้กูจะดูเรื่องใหม่ แต่ถ้าเป็นคน กูต้องทำยังไงวะ ถ้าคนที่กูรักตายจากกูไป กูต้องทำยังไง”
“แต่ทุกคนก็ต้องตายเปล่าวะ”
“เพราะทุกคนต้องตายไง กูถึงเลือกที่จะไม่มีใครดีกว่า ถ้ากูรักใครมากๆ กูคงไม่สามารถทำใจเห็นการจากไปของเขาได้หรอก กูเห็นคนร้องไห้กับการสูญเสียมาเยอะจนนับครั้งไม่ถ้วน แม่งโคตรทรมาน”
“แต่ตลอดเวลาที่ได้อยู่ข้างกันมันคือความทรงจำที่ดีไม่ใช่เหรอวะ”
“มันก็จริง แต่สำหรับกู ความทรงจำจากความรักที่ดีไม่จำเป็นต้องมาจากรักที่สมหวังก็ได้ กูอยู่ได้หวะ อยู่ได้กับความทรงจำที่อาจจะผิดหวังแต่มันก็สวยงามสำหรับกู”
“ชีวิตเรามันคือเดี๋ยวนี้เวลานี้ไม่ใช่เหรอวะ” ไอ้อิฐพูด
“...”
“ทำไมมึงต้องไปคิดถึงอนาคตตั้งมากมาย แค่ตอนนี้เวลานี้ มึงมีความสุข มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอวะ”
“...”
“คนเราถ้าวันหนึ่งต้องตายจากกัน มันก็ต้องเป็นไป แต่ชีวิตมึงเกิดมาครั้งเดียวนะเว้ย มึงบอกว่ามึงไม่มีความรักเพราะกลัวการสูญเสีย แต่มึงอย่าลืมนะเว้ย การที่มึงไม่มีใครมันก็เป็นการสูญเสียอย่างหนึ่งเปล่าวะ”
“สูญเสียอะไรวะ ก็กูไม่เคยได้อะไรมา” เขาเถียงอย่างไม่เข้าใจ
“มึงสูญเสียโอกาสที่จะมีความสุขไง”
“อือ” เขาไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลย
“มึงเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งนะเว้ย ทำไมมึงต้องคิดอะไรให้มันซับซ้อนเกินไปด้วยวะ”
“กูแค่...”
“มึงมีสิทธิ์ที่จะมีความสุข มึงมีสิทธิ์ที่จะเจอความรักที่ดีเหมือนทุกคน”
เขาเงียบไม่ตอบอะไรแต่กลับจมดิ่งไปในความคิดมากมายที่ลอยฟุ้งกระจายอยู่ในเวลานี้ ยากเกินไป ความรักเป็นเรื่องที่ยากเกินไป มันคาดเดายาก จัดการยาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่ไม่เคยควบคุมได้ เขาไม่ชอบความรักเลย
“กูควรไปขอโทษไอ้โฟคเปล่าวะ” เขาถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ขอโทษเรื่องอะไรวะ” อีกเสียงถามกลับมา
“ไม่รู้สิ กูรู้สึกผิด เหมือนกูทำไม่ถูกกับมัน”
“มึงชอบมันเหรอ”
เสียงไอ้อิฐดังกลับมา โชคดีที่ห้องนอนของพวกเขามันมืดมากทีเดียว ไอ้อิฐเลยไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าเขา แต่หากบางที อิฐก็อาจจะโชคดีที่ไป๋ไม่ได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
“กูไม่รู้ กูไม่เคยคิดเรื่องความรักเลย”
“เหรอ”
“กูคิดว่านะ”
“มึงเคยใจสั่นกับมันไหม”
“...”
“เวลามันบอกชอบมึง มึงหวั่นไหวไหม”
“...”
“เวลามันจีบมึง มึงหน้าแดงไหม”
“กูก็ไม่รู้หวะ เอาจริงนะมึง กูแม่งโคตรโง่เรื่องความรักเลย”
“เออ ถ้าเรื่องความรักมึงฉลาดได้สักครึ่งที่เรื่องวิชาการของมึงนะ อะไรๆ มันคงง่ายกว่านี้”
“มึงไม่เคยชอบใครบ้างเหรอวะ” คำถามของไอ้อิฐทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เคยดิ กูคนนะเว้ย ทำไมจะไม่เคยชอบใคร” เขาตอบหลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง
“แล้วมึงทำไงวะ มึงได้บอกคนที่มึงชอบหรือเปล่า”
“เปล่าหวะ”
“อ๊าว ทำไมวะ”
“กูรู้ว่ามันไม่สมหวังหรอก ถ้ามึงรู้ว่ามันจะจบแบบไหน มึงจะพูดออกไปทำไมวะ”
“มึงแม่งโคตรป๊อด”
“...”
“มึงบอก มันก็ยังมีโอกาสผิดหวังกับสมหวังเปล่าวะ แต่มึงไม่พูด มันก็ผิดหวังร้อยเปอร์เซ็นต์”
“เออ พ่อคนกล้า ไหน ไหนแฟนมึงอะ เอามาอวดกูสักทีซิ๊” ไป๋พูด
“ไม่มี” มันตอบด้วยเสียงเรียบๆ
“แหม่ แล้วทำมาเป็นด่ากู มึงแม่งก็ลูสเซอร์เหมือนกันเปล่าวะ”
“กูจีบอยู่”
“เป็นไงวะ”
“...”
“ตอบสิไอ้เชี่ย กูลุ้นจนเยี่ยวเหนียวแล้วเนี่ย”
“เขาดูไม่ค่อยสนใจกูเท่าไหร่หรอก”
“มึงพูดจริงเปล่าเนี่ย หน้าอย่างมึงเนี่ยนะมีผู้หญิงไม่สนใจด้วยเหรอ มีแต่คนบอกว่ามึงเป็นว่าที่เดือนมหาวิทยาลัยเลยนะ เฮ้ย หรือเขาจะเป็นเลสเบี้ยนวะ”
“ปาก ไอ้สัด ปาก เกรงใจกูบ้าง”
“เออๆ ขอโทษ กูปากหมาเองอะ”
“แต่กูก็คิดจะบอกเขานะเว้ย”
“ทั้งที่เขาดูไม่ค่อยสนใจมึงเนี่ยนะ”
“อืม”
“มึงไม่กลัวผิดหวังเหรอวะ”
“กลัวดิ โคตรกลัวเลย แต่ถึงแม้จะมีโอกาสแค่เปอร์เซ็นต์เดียว มันก็ต้องเสี่ยงเปล่าวะ นี่มันคือความรักของกูนะเว้ย”
“เชี่ย โคตรคม”
“สัด”
“เออ กูนอนละ เรื่องไอ้โฟคมึงก็อย่าไปบอกใครแล้วกัน กูเกรงใจมันหวะ”
“อืม”
นายพินต้า
ติดตามและพูดคุยกับนักเขียนได้ที่
www.twitter.com/ninepinta ความจริงก็อยากจะเซอร์วิสคนอ่านและก็เร่งเรื่องให้คนอ่านฟินมากขึ้น แต่นิยายแต่งจนเสร็จไปแล้ว แถมเร่งไปก็จะผิดเนื้อหาในสาระสำคัญอีก เอาเป็นว่า ใจร่มๆ และอ่านกันไปแบบเนิบๆ นะ อยากให้การอ่านนิยายเรื่องนี้เหมือนการจิบชาอุ่นๆ ในยามบ่าย ใครเหงาก็กลับไปย้อนตอนเก่าๆ อ่านก็ได้นะ : )