เกียร์สีขาวกับกาวน์สีฝุ่น
ตอนที่ 22 : รังสิต
หลังจากที่ไอ้ว่านไปประชาสัมพันธ์เขาไว้ เขาก็รู้สึกเหมือนเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น ยังไงดีหละ เวลาเดินไปไหนมาไหนเขารู้สึกเหมือนมีคนมองเขาและซุบซิบกัน แต่ก็ยังดีที่ไม่ค่อยมีใครมายุ่งวุ่นวายอะไรกับเขามาก นานๆ จะมีมาขอถ่ายรูปสักที ส่วนใหญ่เขาก็จะยอมถ่ายเป็นรูปคู่ไปบ้าง แต่จะไม่ยอมให้ถ่ายเดี่ยวเลย เขาอาศัยเทคนิคทำหน้าบูดตลอดเวลาแทน คนจะได้ไม่กล้าเดินเข้ามา อยากแอบถ่ายก็ถ่ายไป ขออย่าให้เขารู้ตัวก็พอ
“ขอโทษนะคะ ขอถ่ายรูปได้ไหมคะ”
ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเดินมาทักเขาพร้อมมือถือในมือ หน้าสาวเจ้าก้มหน้างุดๆ อย่างแทบไม่กล้ามองหน้าเขาเลย ตอนนี้เขากำลังขนกระเป๋าขึ้นรถไอ้โฟคเพื่อที่จะมุ่งหน้าไปงานค่ายผู้นำของมหาวิทยาลัย สโมสรกลางให้เลือกได้ว่าจะไปเองหรือไปกับรถมหาวิทยาลัย พวกเขาเลือกไปกันเอง ส่วนไอ้อิฐกับไอ้เพียวล่วงหน้าไปเตรียมงานกับทีมสตาฟตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
“ได้ครับ เฮ้ย ไอ้โฟคมาถ่ายรูปให้หน่อย” เขาเรียกไอ้โฟคที่กำลังจัดของอยู่ตรงท้ายรถ
“แป๊บๆ”
“ไม่ใช่ค่ะ คือหนูอยากขอถ่ายรูปคู่ของพี่สองคน” หน้าผู้หญิงคนนั้นแดงขึ้นไปอีกตอนพูดประโยคนี้
“ได้สิครับ ไม่เป็นปัญหา” ไอ้โฟคที่เดินมายกมือขึ้นมาโอบไหล่พร้อมกับฉีกยิ้มกว่างอย่างรู้หน้าที่ทันที
“ไว้เชียวนะมึง” ไป๋เอาศอกถองไอ้โฟคไปเบาๆ ทีหนึ่งก็ยิ้มให้น้องผู้หญิงคนนั้นถ่ายอย่างยินดี
“พี่ไป๋สนิทกับพี่โฟคเหรอคะ” คนตรงหน้าเอ่ยถาม ทำไมถึงเรียกเขาว่าพี่หนอ เขายังเป็นเฟรชชี่อยู่เลย
“สนิทครับ”
ไอ้เดือนทันตแพทย์ลูกลิงแย่งเขาตอบออกไปแบบไม่เปิดโอกาสแม้จะให้เขาเผยอปาก วันนี้มันดูระริกระรี้เป็นพิเศษ สงสัยเจ้านายให้แทะกระดูกก่อนออกจากบ้าน
“ทำไมเหรอครับ” ไป๋ถามกลับ
“พอดีเห็นในเฟสบุ๊คเขาแชร์รูปพี่กับพี่ว่านกันเยอะ”
“อ๋อ คนนั้นก็เพื่อนสนิทครับ” สงสัยจะรูปตอนอยู่สนามบาส แผนการสร้างกระแสของไอ้ว่านก็ดูเห็นผลเหมือนกันนะเนี่ย มีคนสนใจดูรูปเขาด้วย
“รูปพี่กับพี่อิฐก็เยอะเหมือนกันค่ะ”
“ดังจังเลยนะครับ ไป๋เนี่ย” โฟคพูดขึ้นทันทีที่ขึ้นรถ
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน กูไม่ค่อยได้เล่นเฟส” เขาตอบแบบไม่สนใจอะไรมาก
“ทำไมถึงมีข่าวกับหลายคนจังเลยไป๋” มันพูดทั้งที่สายตายังมองไปยังถนนเบื้องหน้าอยู่
“ข่าวอะไรของมึงวะ เขาพูดถึงรูปคู่”
“ทำไมมีรูปคู่กับหลายคนจังเลยไป๋” มันจงใจแก้ไขประโยคใหม่
“ก็เพื่อนกันหมดไหมอะ กูไม่ชอบถ่ายรูปเดี่ยวอะ บางทีคนมาขอถ่ายรูปเขาก็ไม่อยากถ่ายรูปตัวเขากับกู กูก็เลยต้องหาเพื่อนแถวๆ นั้นมาประกอบฉาก” เขาตอบอย่างอธิบาย มีอะไรที่ไหนกันเล่า ก็เพื่อนกันหมด
“อยากให้มีแต่โฟคที่เป็นคนเดียวที่ได้ประกอบฉากให้ไป๋ถ่ายรูปจังเลยครับ” มันพูดเชิงรำพึง
“โฟค กูคุยกับมึงรู้เรื่องแล้วนี่ มึงอย่าพูดอะไรกับกูแบบนี้ได้เปล่าวะ กูอึดอัดหวะ” เขาพูดแบบอึดอัดจริงๆ ทุกครั้งที่มันทำหน้าเสียใจใส่เขา เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดว่าเขาเป็นต้นเหตุ
“โฟคแค่กลัวสู้คนอื่นไม่ได้” มันยังพูดต่อไป
“โฟค!”
“ว่านก็สนิทกับไป๋มานาน นานจนโฟคไม่รู้จะไปแทรกตรงไหน ส่วนอิฐก็หล่อจนคนหลงทั้งมหาวิทยาลัย โฟคก็ไม่มีอะไรจะไปสู้ว่าที่เดือนมหาวิทยาลัยเหมือนกัน” มันพูดมาด้วยเสียงเบาๆ
“ต้องให้กูบอกกี่ครั้งวะว่าก็เป็นเพื่อนกันหมด” เขาบ่น
“เรารู้ว่าไม่ควรพูด แต่ถ้าวันหนึ่งไป๋ชอบใครมากๆ ไป๋จะรู้ว่าต่อให้เรารู้ดีแค่ไหนว่าไม่ควร แต่บางครั้งเราก็ห้ามความคิดเราไม่ได้หรอก”
“เฮ้ย มึงคิดมากไปปะหวะ แค่เรื่องรูปคู่เนี่ยนะ ใจเย็นดิ” แค่เรื่องรูปคู่ ทำไมมันวุ่นวายใหญ่โตจังวะ
“ถ้าไป๋เล่นเฟสบุ๊คบ่อยๆ ไป๋ก็จะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องรูปคู่อย่างเดียว”
“แล้วไงวะ มึงเอาคำพูดคนอื่นความคิดคนอื่นมาชวนกูทะเลาะเนี่ยนะ”
“โฟคขอโทษ”
“อย่าคิดมากสิวะ มึงก็เพื่อนกูนะเว้ย”
“ไม่ต้องย้ำบ่อยๆ ก็ได้ครับไป๋ ...โฟคเจ็บ”
ค่ายผู้นำหรือชื่อเต็ม ค่ายนววิวัฒน์พัฒนาความเป็นผู้นำ จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยของพวกเขาเองแต่อยู่ที่วิทยาเขตรังสิต ค่ายไม่ได้จัดในโรงแรมหรือรีสอร์ต แต่เป็นวิทยาลัยพัฒนาการอาชีพที่อยู่ในเครือมหาวิทยาลัยนววิวัฒน์นี่เอง ห้องพักก็อยู่ในมหาวิทยาลัย กิจกรรมก็จัดขึ้นในมหาวิทยาลัยทั้งหมด
เมื่อพวกเขามาถึงก็หยิบแค่กระเป๋าสะพายลงไปเข้าร่วมกิจกรรมเลย สัมภาระสำหรับค้างคืนต่างๆ ก็ทิ้งไว้ในรถก่อน พวกเขาค้างที่นี่เป็นจำนวนหนึ่งคืนถ้วน นั่นก็คือคืนวันเสาร์คืนนี้นี่เอง
“ลงทะเบียนครับ” ไป๋เดินไปแจ้งลงทะเบียนกับโต๊ะที่อยู่ใต้ป้ายชื่อของงานนี้
“อ๊าว ไอ้ไป๋ไอ้โฟค เพิ่งมาถึงเหรอวะ กูลงทะเบียนไว้ให้แล้ว มาเอาป้ายชื่อที่กูเลย” ไอ้เพียวโผล่มาจากไหนไม่รู้พร้อมกับลังใส่ของในมือ มันวางลงกับพื้นแถวนั้น พร้อมกับหยิบป้ายชื่อส่งให้
“เออๆ ขอบใจมาก ลงทะเบียนไว้ให้ก่อนไม่เป็นบอกกูก่อนเลย” เขาพูดกับมันขณะที่เดินออกมาจากโต๊ะลงทะเบียนแล้ว
“พอดีเขาให้เลือกห้องนอนตอนลงทะเบียนเลยหวะ กูเลยลงชื่อให้พวกมึงเลยจะได้นอนกับพวกกู นอนห้องละ 4 คนนะ ห้องพวกเราก็มีกู ไอ้อิฐ แล้วก็มึง 2 คน” เพียวอธิบาย
“แล้วไอ้อิฐอะ” โฟคเอ่ยถามบ้าง
“มันเข้าไปร่วมกิจกรรมแล้ว พวกมึงก็เข้าไปได้แล้วเนี่ย งานจะเริ่มแล้ว เดี๋ยวกูไปเตรียมงานบ่ายก่อน พวกมึงรีบเข้างานไปก่อนเลย”
ไอ้เพียวพูดพร้อมพยักเพยิดหน้าไปทางห้องประชุมที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก พวกเขาสองคนก็เดินตามคำสั่งไปอย่างว่าง่าย ไม่รู้ว่าสองวันที่จะมาถึงนี้จะมีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง
กิจกรรมค่ายผู้นำในชีวิตมหาวิทยาลัยของเขาน่าประทับใจมาก
ตอนแรกไป๋เข้าใจว่ากิจกรรมค่ายผู้นำที่นี่จะเป็นเหมือนสารพัดค่ายที่เขาเข้ามาที่จะเต็มไปด้วยการเล่มเกมสันทนาการ กิจกรรมละลายพฤติกรรม การแสดงตอนก่อนนอน การเล่นบัดดี้บัดเดอร์ และอีกสารพัดกิจกรรมที่ไม่รู้ว่าจะเสริมสร้างความเป็นผู้นำได้อย่างไร
แต่กิจกรรมค่ายนี้ถูกวางแผนมาอย่างมีวัตถุประสงค์มาก กิจกรรมถูกจัดขึ้นในโครงการ Deal with Difference โดยเน้นการสร้างความเข้าใจในความแตกต่างและให้ผู้เข้าร่วมพัฒนาต่อยอดโครงการมาจากความเข้าใจความแตกต่างเหล่านั้น ตอนเช้าพวกเขามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้พิการทางการได้ยินจากวิทยาลัยส่งเสริมวิชาชีพที่มหาวิทยาลัยให้ยืมสถานที่มาจัดค่ายนี้ ตัวแทนจากนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยจะนั่งรวมกลุ่มกันประมาณ 6 คนต่อผู้พิการทางการได้ยิน 1 คนและผู้แปลภาษามืออีก 1 คน
สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการพูดคุยกับผู้พิการที่เป็นตัวแทนมาให้พวกเขาสัมภาษณ์ให้เข้าใจถึงมุมมองชีวิต เป้าหมาย และความฝันสูงสุดในชีวิต เขาค้นพบว่าเพื่อนใหม่ที่อยู่ในโลกเงียบของเขาไม่ได้แตกต่างอะไรจากพวกเขาเลย น้ำหนึ่ง ผู้ให้สัมภาษณ์เล่าให้ฟังถึงชีวิตผู้หญิงอายุ 20 ปีคนหนึ่ง เธอกังวลเรื่องน้ำหนักตัว ลดความอ้วน แอบชอบเพื่อนในวิทยาลัย อ่านนิยายรัก ติดตามศิลปินเกาหลีในทวีตเตอร์ และชอบกินบิงชู
ไม่มีสิ่งใดแตกต่างเลยระหว่างเธอและพวกเขา การได้มาสัมผัสกับความแตกต่างยิ่งทำให้พวกเขาไม่รู้สึกถึงความต่างเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแทบไม่เคยคิดว่าผู้พิการทางการได้ยินเหล่านี้มีมุมมองมิติทางชีวิตอย่างไรบ้าง สิ่งที่คิดคือจบแค่เพียงว่าเธอไม่ได้ยิน แต่ไม่ได้ไปไกลกว่านั้น การมาค่ายครั้งนี้ได้เปิดโลกทัศน์อย่างมากสำหรับพวกเขา อย่างน้อยก็หมอไป๋คนหนึ่งแหละที่จะจำวันนี้ไปอย่างไม่รู้ลืม
“เราอยากนักเขียน”
เสียงของโฟค เดือนคณะทันตแพทยศาสตร์เอ่ยขึ้นเป็นคนแรกในช่วงกิจกรรมตอน 11 โมง หลังจากสัมภาษณ์ผู้พิการทางการได้ยินเสร็จแล้ว พิธีกรจากสโมสรกลางก็ให้น้องปีหนึ่งจับกลุ่มกันอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ถามความฝันของน้ำหนึ่งแล้ว แต่พวกเราผลัดกันถามความฝันของพวกเรากันเองซึ่งกันและกัน
“แล้วทำไมถึงมาเรียนคณะทันตะวะ”
เสียงของเพียวถามขึ้นอย่างสงสัย ตอนนี้มันมานั่งรวมกลุ่มทำกิจกรรมกับพวกเขาด้วยหลังจากเตรียมงานของช่วงบ่ายเสร็จ ไอ้วิศวะหน้าคมนั่นเอ่ยถาม
“เราชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะพวกวรรณกรรม พอโตมาก็อยากเขียน อยากทำเป็นอาชีพ แต่ก็รู้สึกว่าการเขียนงานอย่างเดียวอาจจะสามารถมีรายได้ที่มั่นคงมากๆ ได้ เราก็เลยมาเรียนทันตะเพื่อที่จะสร้างความมั่นคงให้ชีวิต”
บรรยากาศเป็นไปอย่างเป็นกันเอง ตอนนี้ในวงมีแค่ไป๋ โฟค อิฐ เพียว เกล้า ประธานชั้นปีคณะแพทย์ กาญ ประธานชั้นปีคณะวิศวะ แล้วก็ปุยฝ้าย ประธานชั้นปีคณะทันตะ
“เหรอ แล้วได้เคยเขียนงานออกมาจริงๆ จังๆ บ้างไหม” คราวนี้เป็นเสียงของปุยฝ้าย เพื่อนร่วมคณะ
“เคยเขียนบ้างตอนม.ปลาย เขียนลงพวกเว็บออนไลน์ต่างๆ แต่พอมาจริงจังกับการสอบเข้าก็ไม่ได้กลับไปทำต่อเลย” โฟคตอบ
“ความจริงมึงน่าจะลองเขียนนิยายสำหรับผู้พิการอ่านนะ พอดีกูได้พูดคุยกับน้องๆ พี่ๆ ที่เขามาให้เราสัมภาษณ์วันนี้หลายคนก่อนล่วงหน้าแล้ว ส่วนใหญ่เขาชอบอ่านหนังสือกัน แต่หลายคนก็บอกว่าอยากลองอ่านนิยายที่เขาสามารถเข้าถึงได้มากกว่านี้ หลายคนอยากอ่านหนังสือที่ตัวเอกเป็นผู้พิการ” เพียวพูดเสนอออกมา
“อื้ม เอาดิ ไว้ถ้ามีรายละเอียดหรือยังไงลองมาคุยกันดู แค่รู้ว่ามีคนอยากอ่าน คนเขียนก็อยากเขียนแล้ว”
‘แปลกเหมือนกันนะเนี่ย คนอย่างมันนี่ก็ชอบแต่งนิยายด้วย โคตรเป็นอะไรที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลย’ ไป๋ได้แต่รำพึงในใจในขณะที่นั่งเท้าคางตั้งใจฟังไอ้ทันตะหน้าหล่ออย่างตั้งใจ
นายพินต้า
ติดตามและพูดคุยกับนักเขียนได้ที่
www.twitter.com/ninepinta ********** มาเล่นเกมกัน มาเล่นเกมกัน **********
ถามมาตอบไปกับไป๋อิฐ : ผู้อ่านคนไหนอยากถามคำถามอะไรเกี่ยวกับตัวละครในเรื่องหรือเหตุการณ์ในเรื่อง สามารถทิ้งคอมเมนท์ไว้ได้เลย เดี๋ยวนักเขียนจะมาหยิบคำถามไปตอบให้ ถ้าคำถามไหนที่ไม่สปอยด์เนื้อหาในอนาคต หรือไม่มีนัยสำคัญต่อการดำเนินเรื่อง ผมจะมาตอบนะ เล่นสนุกกัน ถือว่ามาท่องโลกของไป๋และอิฐไปด้วยกัน : )