เกียร์สีขาวกับกาวน์สีฝุ่น
ตอนที่ 9 : ความถี่ของคลื่นเสียง
หลังจากที่ไอ้อิฐบอกความต้องการที่แท้จริงของมัน อะไรก็ง่ายขึ้น
ไอ้อิฐกับไอ้เพียวกลายมาเป็นขาประจำของโรงอาหารคณะวิทย์ไปโดยปริยาย มันบอกว่าพวกมันต้องมาเสนอหน้าบ่อยๆ ให้น้ำหอมคุ้นเคย ไอ้เพียวเอาไลน์กับเบอร์น้ำหอมจากเขาไปแล้ว ไม่รู้ว่ามันสานต่อยังไงบ้าง เขาเองก็ไม่ค่อยได้สนใจ รู้แค่ว่ามีพวกมันมาร่วมวงบ่อยๆ ก็สนุกดี
“เฮ้ย ไอ้อิฐ มึงนี่ฮอตกว่าที่กูคิดไว้นะเนี่ย ดูดิ๊ เพจแฟนคลับมึงคนกดไลค์เกินหมื่นคนแล้ว”
ว่านพูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปให้ไอ้อิฐดู วันนี้มันอยู่ในชุดช๊อปสีน้ำเงินเข้มอีกแล้ว พอมันมานั่งอยู่ในคณะวิทย์ที่มีแต่คนใส่ชุดนักศึกษาบ้างชุดกาวน์ทำแลปบ้าง มันก็กลายเป็นจุดเด่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เลย
“แอดมินเขาขยันโพสมั้ง กูไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอก”
ตัวต้นเรื่องตอบแบบไม่ค่อยสนใจอะไรนัก มันกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านแลปฟิสิกส์อยู่ วันนี้เป็นวันแรกที่วิชาฟิสิกส์จะมีแลปหลังจากที่สัปดาห์แรกอาจารย์มาพูดแนะนำรายวิชาเฉยๆ มันไม่ได้ขยันหรอก มันแค่มีควิชเฉยๆ
“วันนี้ไป๋เรียนแลปฟิสิกส์ที่ตึกไหนอะ”
เสียงจากคนที่นั่งข้างเขาดังเป็นคำถามขึ้น ไอ้โฟคนั่นเอง ไอ้นี่ก็กลายมาเป็นหนึ่งในขาประจำของกลุ่มเขาไปแล้ว ตอนสัปดาห์แรกมันมาส่งเขาตอนเช้า แต่พอสัปดาห์ต่อมาเขาเอารถมาเรียนเอง มันก็ยังมานั่งเรียนแล้วก็กินข้าวกับพวกเขาเหมือนเดิม สงสัยมันจะนับผมกับไอ้ว่านเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับมันไปเรียบร้อยแล้วมั้ง
“ตึกวิศวะอะ แล้วมึงหละ”
ไป๋ตอบ วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาที่ใช้พื้นที่กว้างกว่าห้องแลปเคมีกับชีววิทยา คณะแพทย์อย่างเขากับไอ้ว่านเลยต้องระเห็จไปทำแลปร่วมกับคณะวิศวะ ส่วนคณะเภสัชกับทันตะยังคงใช้ตึกวิทยาศาสตร์เหมือนเดิม
“ตึกวิทยานี่แหละ” ไป๋ผงกหัวเป็นเชิงรับรู้
“เฮ้ยๆๆ น้ำหอมมาหวะ”
เสียงของไอ้เพียวดังขึ้นในระดับกระซิบกระซาบขึ้นในโต๊ะ บุคคลที่เหลืออันได้แก่ไป๋ อิฐ โฟค และว่านจึงหันไปรอบๆ แทบจะพร้อมกัน น้ำหอมกำลังเดินมาทางนี้จริงๆ ด้วย จะว่าไปเขาก็ไม่ค่อยได้เจอน้ำหอมบ่อยเท่าไหร่นัก ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยได้เข้าห้องเลคเชอร์เท่าไหร่
“ไป๋ วันนี้ไป๋เข้าประชุมดาวเดือนหรือเปล่า” เธอเอ่ยพูดขึ้นทันที ดูเหมือนเป้าหมายของการเดินมาที่โต๊ะจะเป็นตัวเขา
“อืม เขาดิ ก็ไม่ได้ติดอะไรนะ” เขาตอบพลางลอบมองไอ้เพียว มันกำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างขะมักเขม้น
“ดีเลย เราคงไม่ได้เข้าอะไป๋ ติดแคสงาน มีอะไรบอกเราแล้วกันนะ” ฝ่ายนั้นพูดง่ายๆ
“ได้เลย”
“อ๊าว นี่เดือนวิศวะไม่ใช่เหรอ” น้ำหอมหันไปเอ่ยทักไอ้อิฐที่ตอนนี้กำลังนั่งฟังเขาและน้ำหอมพูดกันอยู่
“อืม สวัสดี เราชื่ออิฐ” ไอ้อิฐตอบ เขายิ้มให้มันนิดหน่อย ในขณะที่อีกฝ่ายก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน
“แล้วทำไมถึงมานั่งกับไป๋หละ เป็นบัดดี้ไป๋เหรอ”
เสียงหญิงสาวเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้ม ไป๋ที่นั่งฟังอยู่ถึงกับสะดุ้งน้อยๆ ความจริงเขาต่างหากที่ต้องเทคแคร์ไอ้อิฐ ไม่ใช่มันที่ต้องมาที่นี่สักหน่อย ส่วนไอ้โฟคก็หันหน้ามายิ้มแหยๆ กับเขา ไอ้นี่ต่างหากที่จับได้เขาเป็นบัดดี้
“เปล่าหรอก พอดีเพื่อนเรามีธุระให้ไป๋ช่วยนะ นี่เพื่อนเรานะ ชื่อเพียว”
ไอ้อิฐตบบ่าไหล่เพียวเป็นการแนะนำ ไอ้เพียวเงยหน้าขึ้นยิ้มให้น้ำหอมหนึ่งทีถ้วนก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือต่อ ท่าทางมันคงจะเขิน
“อ๋อ เข้าใจแล้ว งั้นเราไปแล้วนะไป๋ โชคดี” น้ำหอมหันกลับมาบอกเขาเป็นการจบบทสนทนา
ความจริงการที่ไอ้อิฐมาเสนอหน้ากับพวกเขาบ่อยๆ ก็ถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างมาก เพราะเขาจะได้ไม่ต้องลำบากลำบนถ่อไปเทคแคร์มันหรือจะต้องปกปิดมันให้ลำบาก เขาอาศัยวิธีฝากตังให้ไอ้ว่านซื้อของมาแบ่งกันกินบ่อยๆ นี่แหละการเทคแคร์ของเขา ง่ายดี ไว้จังหวะดีๆ ค่อยซื้ออะไรจริงจังให้มัน
ส่วนไอ้โฟคหลังจากที่ไม่ได้มาส่งเขาตอนเช้าแล้ว มันก็หันมาซื้อโน่นนี่ให้กินบ้าง แต่ส่วนใหญ่มันจะชอบเสนอตัวถือกระเป๋าให้ ตอนแรกเขาโคตรอึดอัดเพราะมันดูตลกมากที่จะให้ผู้ชายมาถือกระเป๋าให้แบบนี้ แต่พอมันแย่งบ่อยๆ เขาก็ชิน หลังๆ เขาเลยหาพวกหนังสือแลปหรือหนังสือเรียนมาให้มันถือแทน จะได้ไม่ต้องวุ่นวายเถียงกันให้ลำบาก เตรียมของมาให้มันถือซะเลย จบๆ ไป
ไอ้โฟคนี่เป็นมนุษย์เหมือนคนเป็นพี่ชายคนโต นิสัยเหมือนแบบชอบเทคแคร์คนอื่นไปเรื่อย ขับรถไปส่งเอย อาสาไปซื้อข้าวให้เอย ถือกระเป๋าให้เอย ที่สำคัญมันยิ้มบ่อยมาก จะอธิบายไอ้โฟคยังไงดีนะ มันเป็นคนมีแก้มหน่อยๆ ชอบยิ้มตาหยีแบบโชว์ฟันเรียงกันเป็นระเบียบ มันไม่ได้ยิ้มแบบคนขี้เก๊กนะ แต่ยิ้มแบบเด็กยิ้มเวลาได้ของเล่นอะไรแบบนั้น
ไอ้เพียวนี่ก็อีกคน มันก็เป็นมนุษย์ตัวติดหนึบมาพร้อมกับไอ้อิฐ ตั้งแต่วันที่ไอ้อิฐมาบอกเรื่องน้ำหอม มันก็มาเสนอหน้าที่โต๊ะพวกเขาตลอด แต่ความจริงมันก็ไม่ค่อยพูดเรื่องน้ำหอมเท่าไหร่หรอก เหมือนมานั่งเป็นกลุ่มเพื่อนกันมากกว่า เวลาเจอน้ำหอมที่มันก็ก้มหน้างุดๆ กับโทรศัพท์มือถือ ไอ้อิฐบอกว่ามันเขิน
เขาปรึกษาไอ้ว่านเป็นที่เรียบร้อยเรื่องที่ไอ้อิฐมาบอก ความจริงเขาก็อยากช่วยแหละ เพราะถ้าไอ้เพียวมาที่นี่บ่อยๆ เขาก็เทคแคร์บัดดี้เขาซึ่งก็คือไอ้คิงคองอิฐได้ไม่ยากเย็นนัก สบายเขาไปเปลาะหนึ่ง ส่วนไอ้ว่านก็ไม่ได้ขัดอะไร มันดูจะเต็มใจช่วยไอ้เพียวมากกว่าเขาเสียอีก อย่างว่าแหละนะ ไอ้ว่านมันเป็นคนอารมณ์ดี เฟรนลี่ ชอบช่วยเหลือคนอื่นไปเรื่อย มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก ไม่ว่าจะเรื่องไอ้เพียว หรือไอ้อิฐ หรือไอ้โฟคที่มานั่งหัวโด่สลอนกันเต็มโต๊ะกินข้าวทั้งเช้า กลางวัน เย็นแบบนี้
ตอนบ่ายของวันนี้เป็นวิชาแลปฟิสิกส์ ห้องแลปมีสามห้องใหญ่ใช้ร่วมกันสองคณะแพทย์กับวิศวะ ห้องแรกเป็นแพทย์ล้วนไล่ลำดับไปเรื่อยๆ ตัดตรงโต๊ะไอ้ว่านพอดี ส่วนเขามาขึ้นห้องใหม่อยู่ห้องสองกับคณะวิศวะอีกส่วนหนึ่ง ไอ้อิฐก็อยู่ห้องนี้ด้วย ส่วนห้องสุดท้ายเป็นวิศวะล้วน ไอ้เพียวหลุดไปอยู่ห้องนี้
แลปฟิสิกส์มีห้องละ 12 โต๊ะ แลปวันหนึ่งจะทำพร้อมกัน 6 เรื่อง เรื่องละ 2 โต๊ะ ไอ้อิฐได้รอบที่ตรงกับเขาพอดี เขาเลยทำแลปเหมือนกับมันทุกอาทิตย์ ส่วนไอ้ว่านไอ้เพียวที่อยู่อีกห้องจะสลับหัวข้อกันไป ทำเหมือนกันแต่จะเหลื่อมสัปดาห์กัน ไม่ได้ตรงกันเหมือนเขากับไอ้อิฐ
“มึงคิดความถี่ของคลื่นเสียงได้เท่าไหร่วะ”
เสียงของไอ้อิฐดังขึ้นไม่ห่างจากเขาไปเท่าไหร่ หมอไป๋ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำรีพอร์ตแลปจึงหันไปทางฝั่งขวาตามที่มาของเสียงแล้วก็พบว่า จมูกเขาเกือบจะชนหูมันอยู่แล้ว มันยื่นหน้ามาดูรีพอร์ตที่เขากำลังเขียนในระยะใกล้มาก ใกล้ในระยะที่เขาจะเห็นรอยลักยิ้มของมันได้ชัดมากเลยทีเดียว
“ไอ้สัด มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”
เขาเอ่ยด่ามันเบาๆ แต่มันก็ดูไม่ได้สนใจอะไรเขามากนัก มันหยิบเก้าอี้แถวนั้นมาแทรกตัวนั่งร่วมกับเขาบนโต๊ะแลป เพื่อนในโต๊ะเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อยว่าทำไมถึงมีเด็กวิศวะมานั่งรวมกับพวกหมอด้วย แต่พอไม่เห็นเขาพูดอะไร เพื่อนในโต๊ะแลปคนอื่นก็ก้มหน้าก้มตาเขียนงานกันต่อ
“ตกลงมึงคิดได้เท่าไหร่”
มันเอารีพอร์ตแลปของเขามาเปิดรื้อดูอย่างหาคำตอบ มันพลิกไปพลิกมาแล้วก็จดๆ ผลของเขาไปในรีพอร์ตของมันเฉยเลย
“เฮ้ย มึงลอกได้ไงวะ ผลการทดลองมึงได้เท่าไหร่เอาไปคำนวณเองดิ มันต้องได้ไม่เท่ากัน” เขาพูดพลางดึงรีพอร์ตแลปคืนจากมือมัน
“เออๆ กูจดวิธีคิดไปก่อน เดี๋ยวกูเอาไปแทนค่าผลแลปของกลุ่มกูเองน่า” มันตอบออกมา
“เป็นวิศวะภาษาไรวะ มานั่งลอกแลปฟิสิกส์จากหมอเนี่ย” ไป๋บ่นพึมพำ
“กูไม่ได้ลอกจากหมอ กูลอกจากมึงต่างหาก”
“แล้วมันต่างกันยังไงวะ”
“ต่างสิ”
“เออๆ ช่างมึงเหอะ”
“เดี๋ยวมึงไปประชุมดาวเดือนเย็นนี้ยังไง”
ไอ้อิฐเอ่ยถามขณะที่ยังลอกรีพอร์ตเขาไม่หยุด เย็นนี้มีประชุมดาวเดือนคณะด้วย คณะวิศวะอยู่ติดรั้วหน้ามหาวิทยาลัย ส่วนคณะวิทย์ที่ประชุมค่อนไปเกือบท้ายมหาวิทยาลัย ถ้าเดินไปลิ้นก็คงไหลมารวมที่คอหอยพอดี แต่ถ้าขับรถไปก็วุ่นวายอีก เพราะที่จอดรถคณะวิทย์ในเวลาแบบนี้คงหาได้ไม่ง่ายนัก
“ขับรถไปมั้ง” เขาตอบไปส่งๆ
“ซ้อนจักรยานกูไปดิ วันนี้กูเอาจักรยานมา” ไอ้อิฐพูดทั้งที่ก้มหน้าเขียนรีพอร์ตอยู่
“ไม่เอาอะ ยางแบนพอดี แค่มึงคนเดียวจักรยานก็คงจะแทบรับน้ำหนักไม่ไหวแล้ว”
คือไอ้อิฐนี่ไม่ใช่คนอ้วนนะ แต่มันเป็นคนสูง น่าจะสูงเกินร้อยแปดสิบ แถมตัวมันก็มีแต่กล้ามเต็มไปหมด มันดูแบบเป็นคนตัวหนาๆ มากกว่า
“ตัวมึงเล็กแค่เนี้ย ทำอะไรยางจักรยานกูไม่ได้หรอกน่า ที่จอดรถคณะวิทย์หายากนะเว้ยตอนนี้ เดี๋ยวหาว่าไม่เตือน” ไอ้อิฐหันหน้ามาพูดกับเขา
“คิดแป๊บ”
“คิดเชี่ยไรนักหนาวะ แค่ซ้อนจักรยาน”
“เออๆ แต่ขากลับมึงวนมาส่งกูที่รถด้วยนะ” เขาพูด
“เออ กูก็ว่าจะติดรถมึงกลับหออยู่แล้ว ทิ้งจักรยานไว้คณะนี่แหละ”
“อ๊าว”
“กูลอกเสร็จและ กูกลับไปทำงานต่อแล้วนะ เลิกเรียนเจอกันหน้าห้องแลปนี่แหละ เดี๋ยวเดินลงไปด้วยกัน” มันพูดแบบตัดบทก็จะลุกกลับไปโต๊ะของมันเฉย อะไรของมันวะ บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป เดาใจยากฉิบหาย ไอ้นี่
นายพินต้า
ติดตามและพูดคุยกับนักเขียนได้ที่
www.twitter.com/ninepinta ตอนหน้ามาซ้อนจักรยานอิฐไปด้วยกันนะ อิอิ อย่าลืมเม้นให้น้า รออ่านเลย อยากอ่านคอมเม้นๆๆ อ้อนๆๆ