#ชอกะเชร์คู่กันต์
ตอนที่ 06 : กลับบ้านเรารักรออยู่ (PART 2/2)
“สภาพมึงเหมือนคนเพิ่งโดนสิบล้อเหยียบมา ไปทำเชี่ยไรมาวะธูป โทรมฉิบหาย”
เจ้าของชื่อถอนหายใจเนือย ๆ พลางมองใครอีกคนที่นั่งรอเขาตั้งแต่สองชั่วโมงก่อน เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อเลี่ยงการเข้าเรื่องส่วนตัว อันที่จริงธูปไม่ได้อยากมาที่นี่นัก ถ้าไม่มีความสัมพันธ์แสนกระอักกระอ่วนกับพี่เชร์
“เมื่อคืนนอนกี่โมง?”
“ตีสอง”
“เอาดี ๆ” คนถูกเซ้าซี้ถอนหายใจหนัก ๆ เพื่อให้รู้ว่าไม่สบอารมณ์ เขาโตแล้ว แต่พี่เชร์คงไม่สนเรื่องนั้น อีกทั้งยังมองมาอย่างคาดคั้นไม่ต่างจากในทีแรก
“ตีห้า”
“ทำอะไรจนป่านนั้น เกมก็ไม่ได้ติดปะ ก็รู้ว่าวันนี้มีนัดยังนอนเช้า”
“มันเป็นนัดที่พี่อยากเจอฝ่ายเดียว ผมง่วงจะตายอยู่แล้วแต่ก็ต้องตื่นมานั่งฟังพี่บ่นอะไรก็ไม่รู้” เด็กหนุ่มกล่าวพลางมองคาดโทษอีกฝ่าย
“กูก็ไม่ได้อยากพูดหลายสิ่งนะธูป กูเป็นคนพูดมากก็จริง แต่บอกได้เลยว่าพอเป็นเรื่องมึงแล้วกูอยากพูดให้น้อยที่สุด แต่เราต้องเจอกันอย่างน้อยเดือนละครั้ง มึงก็รู้”
“อืม” ธูปจำเรื่องนี้ได้ดีกว่าบทเรียนเสียอีก แต่การมาเจอพี่เชร์ไม่ใช่สิ่งที่อยากทำทันทีที่ตื่นนอน
“มึงหงุดหงิดไรนักหนาวะ?”
“พูดไปพี่จะเข้าใจเหรอ?”
“ต้องเข้าใจอยู่แล้วดิ ขอแค่มึงงัดปากพูด” ในสายตาคนอื่นแหลมคือเด็กกะโหลกที่ไม่รู้จักโต แต่นั่นก็ไม่ใช่อยู่กับไอ้เด็กเวรนี่ที่ทำหน้าเหม็นเบื่อโลกทุกครั้งที่เจอเขา
“พี่ทำเหมือนผมเป็นขอทาน ทำเหมือนผมเป็นเด็กเหลือขอ แต่พี่คงไม่เข้าใจหรอก บ้านพี่มีเงินเหลือกินเหลือใช้”
“กูไม่เคยทำแบบนั้นหรอกธูป มึงอย่าปั่นดราม่า นอนไม่พอก็สั่งข้าวแดกจะได้กลับหอไปนอน” คนพี่เอนหลังนั่งพิงกับเก้าอี้ ถอนหายใจอย่างหัวเสียกับสิ่งที่อีกคนแสดงออกให้เห็น พออยู่กับไอ้เด็กห่านี่เขาก็ต้องเป็นคนมีความอดทนให้มากกว่าทุกทีสิน่า “แค่มาเจอกัน คุยกันเหมือนที่เคยเป็นตอนอยู่อุดร --”
“มันไม่เหมือนเดิมแล้วพี่ก็รู้”
“เพราะกูกับมึงโตขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้วไง ‘เหมือนที่เคยทำ’ ที่พูดไปหมายความว่ากูอยากให้มาเจอกัน บ้าง ไม่ใช่ห่างเหินไปเหมือนคนที่ต้องมาเจอเพราะความจำเป็น”
“ใช่ไง ผมจำเป็นต้องเจอพี่เพราะที่บ้านไม่มีใครสนว่าผมจะอยู่หรือตาย ไม่มีใครส่งเงินให้ ป่วยก็ไม่มีใครสน แล้วพี่ก็สวมบทพระเอกขี่ม้าขาว ให้เงินผมใช้เพื่อที่จะแสดงออกว่าเวทนาผมได้”
“เจตนากูเป็นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ เดี๋ยวฟาดกะโหลกร้าว น้อยใจแม่แล้วพาลกูเฉยแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ไอ้เด็กเหี้ย” คนพี่เลือดขึ้นหน้า ตั้งท่าง้างมือขึ้นจะตบแต่ก็ไม่เคยลงมือได้สักครั้ง เห็นหน้ามันทีไรเป็นต้องใจอ่อนทุกที
ไอ้ธูปทำหน้าเหมือนจะกระอักความทุกข์ตายอยู่รอมร่อ เขาจึงถอนหายใจหน่าย ๆ แล้วเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม พยายามใจเย็นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกได้ว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ได้มากกว่าที่มันคิด ถึงจะเป็นเรื่องยากแต่อย่างน้อยแหลมก็อยากให้ไอ้เด็กนี่เห็นว่าเขาพึ่งพาได้
ธูปเป็นรุ่นน้องที่เคยสนิทกันเมื่อตอนเรียนมัธยม มันเป็นน้องชายของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่อยากพูดถึง เมื่อตอนเป็นเด็กกางเกงดำขาสั้น ไอ้เด็กเวรนี่ตามติดเขาแจ ติดยิ่งกว่าพี่สาวแท้ ๆ ที่มันมีเสียอีก เขาเป็นที่ปรึกษาให้เรื่องเรียนในบางวิชา และเครื่องดนตรีบางประเภทที่ชอบเล่นเหมือนกัน แต่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอกับเด็กที่เข้าสู่วัยต่อต้าน ซึ่งจะโทษส่วนนี้อย่างเดียวก็ไม่ถูกถ้าสิ่งแวดล้อมไม่บีบบังคับจนทำให้คน ๆ หนึ่งเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
แม้บ้านเมืองจะมีรถราขับผ่าน มีสนามบิน แถมไม่ได้ใช้ช้างกับวัวเป็นยานพาหนะอย่างที่คนกรุงคิด แต่ความคิดผู้ใหญ่หลายคนก็ยังมีความล้าหลังอยู่มากที่คิดว่าการไปเรียนกรุงเทพฯเป็นความเสี่ยงระดับต้น ๆ ที่ควรพึงระวังให้ลูกหลาน
ครอบครัวธูปไม่เห็นด้วยที่มันขอไปเรียนกรุงเทพฯหลังจากสอบติดมหาวิทลัยลัยที่มีการจัดงานแฟร์บ่อย ๆ แม่มันอยากให้เรียนราชภัฏในจังหวัดมากกว่าจะให้ไปใช้ชีวิตแบบคนเมืองกรุง อ้างเรื่องกลัวลูกเสียคนเป็นอันดับแรก คนกรุงเทพเชื่อใจไม่ได้ และปิดด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายที่คูณสองเข้าไปเมื่อเทียบกับเรียนอยู่บ้าน
แต่แหลมมองเห็นความตั้งใจของไอ้ธูป มันไม่ใช่คนเรียนห่วยแตก เรียกได้ว่าดีในระดับหนึ่งเลย อีกอย่างมันคงอยากหนีจากความห่าเหวของบ้านที่มีพ่อเลี้ยงควบคุมทุกอย่าง ดังนั้นเขาจึงรับบทพระเอกแบบที่พี่ธีร์ยังงงตาแตกตอนที่เล่าให้ฟังครั้งแรก ซึ่งนั่นก็คือการช่วยเรื่องค่าหอ แต่ไอ้ธูปต้องหาค่าข้าว ค่าเน็ตด้วยตัวเอง
แหลมไม่ใช่คนรวย เงินที่ให้มันก็ได้มาก็จากยอดโดเนทจากแฟนคลับกับยอดวิวยูทูป บางทีได้เงินรางวัลจากแข่งเกมก็แบ่งเป็นค่าขนมให้มันบ้าง ดังนั้นเงินห้า-หกพันต่อเดือนจึงไม่ได้มากเกินไปถ้ามันช่วยเด็กคนหนึ่งให้มีอนาคตได้
ไอ้แหลมไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้นเว้ย แต่เข้าใจอารมณ์ไหมว่าน้องนุ่งลำบากอยู่คาตา จะให้เพิกเฉยมองเลยผ่านไปก็จะเกินไปหน่อยว่ะ
เคยเห็นชาวบ้านชาวช่องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เรียนไปด้วยและทำงานไปด้วยได้ เพราะคนเหล่านั้นไม่มีใครส่งเสีย แต่ใครจะรู้ว่าพอช่วยแล้วไอ้ธูปจะเป็นแบบนี้ มันทำงานพิเศษแค่ช่วงแรก ๆ สักพักก็เริ่มติดเพื่อนจนเกรดตก ล่าสุดดร็อปไปสองตัว อร่อยจานโต พอมาเจอกันทีก็ทำหน้าทำตาแบบนี้ กูไปกราบตีนให้มึงมาเรียนกรุงเทพฯเหรอถามก่อน
“ปล่อยผมไปเลยดิ จะแคร์อะไร?”
“มึงไม่ได้อยากพูดแบบนี้หรอก เพราะถ้ากูปล่อยจริง ๆ คนที่จะอยู่ไม่ได้ก็คือมึง กูไม่ลำบากอยู่แล้ว มีแต่จะสบายขึ้นด้วยซ้ำที่มีเงินเก็บเพิ่ม แถมไม่ต้องมาเห็นหนังหน้าไม่สบอารมณ์ของมึงด้วย”
แม่งเอ๊ยยยยย อยากตีปากตัวเองเหลือเกินที่ตอบโต้กลับไปแบบนั้น เขาควรใจเย็นให้ได้สักเศษเสี้ยวพี่แจ็คหรือไม่ก็เนิบ ๆ ไปแบบไอ้โซ่ หรือเลือกพูดดี ๆ กึ่งคำสอนเหมือนพี่ตั้บ ไม่ใช่ลั่นอย่างคนพร้อมเปิดสงครามโลกครั้งที่สามแบบพี่ธีร์
“งั้นก็ไม่ต้องโอนเงินมาแล้ว หลังจากนี้พี่อยากทำอะไรก็ทำ แต่ไม่ต้องแสร้งว่าเป็นคนดีหรอก พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับผมด้วยซ้ำ ผมก็แค่น้องชายพี่เทียน เค้าไม่มารับรู้ด้วยหรอกว่าพี่ทำดีกับผมยังไง”
“คิดแทนเก่ง ถ้าพี่มึงพูดแบบนี้เมื่อไหร่แล้วกูจะสะเทือนใจให้สักครั้งแล้วกัน”
แหลมแค่นหัวเราะแล้วลุกขึ้นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแจ็กเก็ต แต่เดินออกไปได้เพียงสองก้าวก็หยุดยืนอยู่กับที่ ก่อนจะหันมามองไอ้เด็กเวรเป็นครั้งสุดท้ายแบบที่พี่ชายปลอม ๆ พอจะใจเย็นได้
“กูจะกลับอุดรอาทิตย์หน้า ถ้ามึงมีเวลามากพอที่จะคิดเรื่องโง่ ๆ ได้ ก็ควรหาเวลากลับบ้านไปเยี่ยมพี่มึงบ้างนะ”
“...”
ธูปไม่ได้หันไปหาความหวังดี เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมแม้ว่าอีกฝ่ายจะเดินหายไปจากตรงนี้แล้ว เหมือนเดจาวูที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะช่วงหลัง ๆ ที่เขาแสดงอาการต่อต้านความหวังดีอย่างชัดเจน
เสียงข้อความเงินเข้าเด้งแจ้งเตือนเหมือนกับทุกครั้ง แม้ตัวไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว และบทสนทนาที่มีต่อกันก็สั้นและไม่รื่นหูจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นคนอื่นคงเลือกหายไปจากชีวิตธูปมากกว่าจะโอนเงินให้เหมือนอย่างเคย เด็กหนุ่มรู้สึกดีและรู้สึกแย่ไปพร้อม ๆ กันเพราะเขายังต้องพึ่งเงินของพี่เชร์อย่างที่ว่าจริง ๆ แต่ก็รังเกียจความรู้สึกแบบนี้ที่ทำให้เขากลายเป็นคนน่าสมเพชเพราะแม่ไม่ส่งเสียเลี้ยงดู
*
เพราะตั้งใจว่าจะไปต่างจังหวัดกับเด็กฝึกงานตัวแสบ ตลอดอาทิตย์กันต์กวินทร์จึงเร่งเคลียร์งานทุกอย่างเพื่อไม่ให้หลงเหลือปัญหาน่าปวดหัวในวันหยุดสุดสัปดาห์ ชายหนุ่มเอาเสื้อผ้าในตู้ออกมากระจายไว้บนเตียง กำมือป้องปากขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าชุดไหนจะทำให้หลีกเลี่ยงคำประชดประชันได้มากที่สุด เพราะถ้าแต่งตัวดีเกินไป เด็กคนนั้นก็คงหาเรื่องว่าเขาติดหรูไม่ดูสภาพแวดล้อม แต่ถ้าแต่งตัวธรรมดาเดี๋ยวก็หาว่าเหยียดอีก
หรือจะเล่นใหญ่ให้เด็กคนนั้นว่าตรง ๆ ไปเลยเป็นไง?
ให้ตายสิ ชอบแบบโดนด่าพร่ำเพรื่องั้นเหรอ เขาเริ่มจะซาดิสม์เข้าไปทุกทีแล้ว
ตั้งแต่รู้จักเด็กคนนั้นเขาก็ได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่มากมายนับไม่ถ้วน กาแฟถุงกระดาษรสชาติเป็นอย่างไรก็ได้รู้แล้ว ไหนจะบรรยากาศร้านอาหารตามสั่งที่ทำให้จามจนหัวเสียเพราะผัดกะเพรา ไหนจะกินส้มตำท่ามกลางความร้อนสามสิบสี่องศา ก่อนเจอเชร์ กันต์เคยกินส้มตำอยู่หลายครั้ง แต่นั่นก็เป็นห้องแอร์ในห้างมากกว่าจะเป็นเพิงหมาแหงนแบบที่วันดีคืนดีฝนก็เทลงมา หนำซ้ำเด็กคนนั้นกับแจ็คก็เลือกตากฝนวิ่งกลับบริษัทแทนที่จะรอให้ฝนหยุด คนหนึ่งกลัวโดนรุ่นพี่ด่า อีกคนกลัวโดนหักเงินเดือน โดยไม่สนใจว่าคนที่ควบคุมทุกอย่างของบริษัทยืนอยู่ข้าง ๆ แล้ว
คุณกำลังส่งข้อความถึง...
‘Naughty boy’
[ ระหว่างสีเทากับสีฟ้า คุณชอบสีไหนมากกว่ากันครับ? ]
กดส่งข้อความเสร็จก็คว้าไม้แขวนเสื้อทั้งสองขึ้นมาดูใกล้ ๆ First Impression กับครอบครัวเชร์เป็นสิ่งสำคัญ เขาอยากให้ท่านรู้สึกดีตั้งแต่ครั้งแรก เผื่อว่าอนาคตไปกันได้สวยจะได้ไม่ต้องพยายามให้มาก
ใส่สีฟ้าก็สดใสดูเป็นมิตรดี แต่สีเทาก็สุภาพ เด็กคนนั้นจะเลือกสีอะไรนะ?
คุณได้รับข้อความจาก...
‘Naughty boy’
[ สีเทา โอนเข้ากสิกรนะ บัญชีเดิม เอาเยอะ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ]
อืม ไม่น่าถาม เหมือนโยนเหรียญลงไปในน้ำแล้วหวังว่ามันจะว่ายน้ำได้ไม่มีผิด
สุดท้ายก็ใช้สัญชาตญาณตัดสิน หยิบจับมั่วซั่วราว ๆ แปดชุดเพื่อหนึ่งคืนสองวัน กันต์ถอยมายืนดูความอัดแน่นในกระเป๋า พลางถอนหายใจอย่างฝืน ๆ เพราะรู้ว่าควรเอาออกสักสามชุดถ้าไม่อยากโดนเหน็บว่าทำตัวเวอร์
ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ จับเผ้าผมที่เซ็ทมาเป็นอย่างดีอย่างคนสำอาง ตรวจเช็กความเรียบร้อยให้พร้อม ก่อนจะถามคนในกระจกว่าทำไมถึงทุ่มเทขนาดนี้ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะมีใจเลยด้วยซ้ำ แต่เขาไม่สามารถให้คำตอบคนในกระจกได้จนกว่าจะจบทริปบ้านต่างจังหวัด
กันต์เป็นนักธุรกิจ ดังนั้นการลงทุนทุกครั้งย่อมมีการหวังผลเสมอ
*
ทั้งคู่นัดเจอกันที่สนามบินดอนเมือง และขึ้นเครื่องตอนแปดโมงครึ่ง ใช้เวลาเดินทางราว ๆ สี่สิบห้านาที ก่อนขาทั้งสองข้างจะแลนดิ้งถึงหน้าร้านส้มตำ ‘เจ๊พรตำแหลก’ ตอนสิบโมงเช้า
“แม่!!!!!!!!!!!!!!!”
“เอ๋า บักหล่า มาได้จั๋งได๋ล่ะนั่น?!” ( อ้าวลูก มาได้ไงล่ะนั่น?!) ผู้หญิงที่กำลังตำส้มตำตะโกนตอบ อดคิดไม่ได้ว่าคนแถวนี้คุ้นชินกับการส่งเสียงดัง ๆ มากกว่าคุยกันด้วยโทนเสียงปกติงั้นหรือ?
“หลับตาแล้วก็โผล่มานี่เลย – ว่าได๋เจ๊ สั่งอีหยังไปให้ผัวกินล่ะมื้อหนิ เอาลาบเนื้อบ่ แถวนี้แม่ผมเฮดแซ่บสุดแล้วบ่อยากสิคุย สั่งแปดสิบกินได้เบิ่ดหมู่บ้าน” (ว่าไงเจ๊ สั่งอะไรไปให้ผัวกินบ้างล่ะวันนี้ เอาลาบเนื้อด้วยไหม แถวนี้แม่ผมทำอร่อยที่สุดแล้วไม่อยากจะโม้ สั่งแปดสิบบาทกินได้ทั้งหมู่บ้าน)
แหลมทักทายลูกค้า ขายตรงจนคนฟังแถวนั้นกรอกตามองบนเพราะเอือมไอ้เด็กหน้าลูกครึ่งที่ไม่เคยลดความกวนตีนลงไปได้เลย
“โอ๊ยยยยย บักเด็กเทพ มาฮอดกะขี้คุยโลดเนาะ อีนี่บ่สั่งเดี๋ยวกูสั่งเอง ขายเก่งคัก” (โอ๊ยยยยย ไอ้เด็กกรุงเทพ กลับมาถึงก็ขี้โม้เลยนะ อีนี่ไม่สั่งเดี๋ยวกูสั่งเอง ขายเก่งเหลือเกิน)
“เหนื่อยบ่หล่า มา ๆ กินน้ำก่อน ว่าแต่พาไผมาล่ะน่ะ?” (เหนื่อยไหมลูก เข้ามา ๆ กินน้ำก่อน ว่าแต่พาใครมาน่ะ?)
“เพิ่นเป็นเจ้าของหม่องที่ข่อยฝึกงานอยู่” (เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่ผมฝึกงานอยู่)
“สวัสดีครับ” กันต์ยกมือไหว้แม่ค้าส้มตำ เธอเป็นผู้หญิงสวยแบบไทย ๆ แต่ดูแล้วน่าจะอายุไม่ถึงห้าสิบ
“จ้า หวัดดีจ้า” คนเป็นแม่ทักทายเป็นภาษาไทยพร้อมรอยยิ้ม เพียงครู่เดียวก็มีหญิงแก่เดินออกมาจากหลังประตู
“ผู้ได๋มาเสียงดังหน้าร้านกู?” (ใครมาเสียงดังหน้าร้านกู?)
“ข่อยเอง มีหยังบ่ล่ะยาย?” (ผมเอง มีอะไรเปล่ายาย?) เด็กหนุ่มเชิดหน้ากวนยายแก่ที่กำลังหรี่ตามองมาทางนี้ และแหลมก็ยิ้มกว้างทันทีที่เจ้าของรอยเหี่ยวย่นยิ้มออกมาเมื่อเห็นหน้าเขา
“เอ้า บักหล่าตินั่น?!” (อ้าว หลานเองเหรอนั่น?)
แหลมไม่ได้ปล่อยให้ยายต้องรอนาน เขารีบวิ่งเข้าไปหาท่าน ย่อขาลงเล็กน้อยแล้วสวมกอดพร้อมฟัดหอมแก้มคลายความคิดถึง แม้ในร้านส้มตำจะร้อน แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกอบอุ่นเพียงเพราะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง บ้านของเขาที่มีแม่ ตา ยาย รวมหลานสาวอีกคนที่เพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยก็ได้ เด็กนั่นทำงานเก่งดี
กันต์มองภาพตรงหน้าแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เชร์เหมือนเด็กทั่วไปที่พูดจากวนประสาทไปเรื่อย แต่ก็ทำตัวน่ารักเวลาอยู่กับครอบครัว ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบตัว ที่นี่ร้อนไม่ต่างจากกรุงเทพฯ แต่สภาพแวดล้อมโอเคดี ถึงถนนจะแคบไปหน่อย แต่ก็เจริญกว่าที่คิดเอาไว้
“ขอโทษด้วยนะจ๊ะที่ไม่ได้เอาน้ำมาให้ตั้งแต่แรก เมื่อกี้ลูกค้าล้นมือมาก” คุณแม่ยังสาวเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ พร้อมเช็ดมือเปียก ๆ กับผ้ากันเปื้อนของตนเอง
“ขอบคุณครับ เมื่อกี้ผมก็ลืมแนะนำตัวไปเลย ผมชื่อกันต์นะครับ”
“พี่ชื่อพรจ้ะ ดูจากหน้าตาแล้วคงอายุสามสิบต้น ๆ ใช่ไหม พี่เดาถูกหรือเปล่า?”
“ครับ ผมอายุสามสิบสี่ และคุณก็คงอายุสี่สิบต้น ๆ ใช่ไหมครับ?”
“โอ๊ย เดาถูกเผ็งเลย พี่เพิ่งสี่สิบสองไม่นานนี้เอง เอาเป็นว่าเราคุยแบบเป็นกันเองได้ไหมจ๊ะ หรือว่าที่มาที่นี่เพราะอยากขยายกิจการในพื้นที่ต่างจังหวัดเฉย ๆ นี่พี่พูดเยอะไปไหม พอดีไอ้เชร์ไม่ได้บอกพี่ว่าจะพาเจ้านายมาด้วย พี่เลยทำตัวไม่ถูก” เธอหัวเราะแห้ง พลางกวักมือเรียกลูกชายที่เพิ่งคลายอ้อมกอดจากยาย
“เพิ่นอยากมาเที่ยวเล่นสื่อ ๆ บ่มีหยังดอก” (เขาแค่อยากมาเที่ยวเฉย ๆ ไม่มีอะไรหรอก)
“คือบ่บอกแม่ก่อน แม่สิได้แต่งโตงาม ๆ ถ่า” (ทำไมไม่บอกแม่ก่อน แม่จะได้แต่งตัวสวย ๆ รอ) คนเป็นแม่กระซิบกระซาบ ก่อนลูกชายจะผละตัวออกมาหรี่ตามอง
“เพิ่นบ่เอาเจ้าดอก อย่าสิฝัน” (เขาไม่เอาแม่หรอก อย่าฝันไปเลย)
“เอ๋าบักห่าหนิ – ว่าแต่คุณกันต์พักแถวไหนคะหนิ เปิดห้องโรงแรมละบ่จ๊ะ?” แม่หันไปใส่ใจผู้มาใหม่ จนกลายเป็นว่าคนที่ต้องรับหน้าที่ขายส้มตำเป็นไอ้แหลมคนนี้
“เอ่อ เรื่องนั้น... เชร์บอกว่าผมนอนที่นี่ได้ แต่ผมก็อยากคุยกับพี่พรก่อนว่าโอเคไหม ผมเกรงใจครับ”
“โอ๊ยยยยย พี่โอเคอยู่แล้วจ้า แต่ดูทรงจะไม่มีห้องให้นอนเนี่ยสิ เพราะหลานที่อยู่สกลเพิ่งย้ายมาอยู่กับพี่ ตอนนี้ห้องไอ้เชร์ก็เลยกลายเป็นห้องหลานสาวไปแล้ว จะนอนกันยังไงล่ะทีนี้?”
“ให้อีนุ้ยไปนอนกับยายดิ”
“ตานอนกรนอะ หนูนอนไม่หลับ” หลานสาวที่กำลังล้างจานตะโกนมาขอความเห็นใจ ว่าการนอนฟังเสียงคนแก่กรนทั้งคืนคงมีแค่พี่เชร์ที่ทนได้
“งั้นไปนอนโรงแรม ง่ายดี” แหลมปิดการขาย ไม่รู้จะทำให้เป็นเรื่องยากทำไมกะอีแค่หาห้องนอนให้คนรวย โรงแรมคือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
“ผมนอนพื้นได้ครับ ขอแค่มีหมอนให้ผมก็โอเคแล้ว”
“ไม่จริง บอสนอนไม่ได้” อย่ามาแสดงละคร เคยนอนบนปุยเมฆมาตลอดชีวิตแล้วจะมาอกผายไหล่ผึ่งบอกว่านอนพื้นแข็ง ๆ ได้ บอสทอแรชัดช้าดดดดดดด
“ผมเคยบอกคุณเหรอครับ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางอมยิ้มขณะมองอีกคนที่กำลังควงสากอย่างชำนาญ แถมยังหันมามองเหมือนจะบอกว่า ‘ผมรู้จักบอสดีกว่าใคร’
“เดี๋ยวกูกับไอ้แก่ออกไปนอนทางนอกเอง ให้บักหล่ากับเจ้านายเพิ่นนอนในห้องซะไป๋” (เดี๋ยวกูกับไอ้แก่จะออกไปนอนข้างนอกเอง ให้เชร์กับเจ้านายมันนอนในห้องเถอะ)
“ขอโทษนะครับ แต่คุณยายเธอพูดอะไรเหรอ?”
“แกจะให้คุณกันต์เข้าไปนอนแทนแกน่ะค่ะ”
“อ่า แบบนั้นคงไม่ดีครับ ผมนอนข้างนอกได้จริง ๆ ครับคุณยาย ขอบคุณมากนะครับ” กันต์กุมมือเหี่ยวของหญิงแก่พลางยิ้มบาง ๆ
“บอกให้ไปนอนโรงแรม โว๊ะ! – แม่รีบมาดู๊ ตำบ่ทันแล้วหนิ!!” (แม่รีบมาหน่อย ตำไม่ทันแล้วนะ!!)
สองแม่ลูกช่วยกันรับลูกค้า จากร้านที่มีคนประปรายเริ่มมีลูกค้าเข้ามานั่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนหลานสาวที่ล้างจานอยู่ต้องออกมารับออเดอร์ กันต์ยังคงนั่งอยู่กับคุณยาย เธอกำลังพูดไปเรื่อยเปื่อยถึงความร้อนในช่วงเช้าและฝนที่อาจจะตกล้างถนนตอนเย็น
ชายหนุ่มมองเด็กฝึกงานที่กำลังช่วยแม่อย่างตั้งใจ ถึงจะจากบ้านไปเรียนไกล ๆ แต่เชร์ก็ยังคุ้นมือกับสิ่งที่ทำจนอดคิดไม่ได้ว่าตอนยังอยู่ที่นี่ เจ้าตัวแสบจะเป็นเด็กดีสักแค่ไหน?
“เดี๋ยวผมไปช่วยพี่พรนะครับ”
“โอ๊ย อย่าไปเลยลูกเอ๊ย นั่งเถอะนั่ง มันเหนื่อย ปล่อยให้เด็ก ๆ มันทำเถอะ” หญิงแก่คว้าข้อมือเขาไว้ เรี่ยวแรงของเธอมีน้อยนัก แต่ก็รั้งให้เขาหยุดฟังได้
“เชร์เหมือนน้องชายผมคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นให้ผมช่วยเขาเถอะนะครับ” กันต์ยิ้มเล็ก ๆ การลงทุนของเขาเริ่มต้นไปหลายเปอร์เซ็นต์แล้ว และการลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคย มันก็อาจจะทำให้คะแนนพิศวาสเพิ่มมากขึ้นก็ได้
“งั้นก็ฝากด้วยนะลูก พรมันเหนื่อย พอไม่มีคนช่วยมันก็ต้องทำคนเดียว ยายจะไปช่วยมันก็ห้าม”
“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นเต็มความสูง ตรงไปหยุดยืนอยู่ข้างหลังเด็กลูกครึ่งที่กำลังใส่เครื่องปรุงเข้าไปในครกตามคำสั่งในออเดอร์ลูกค้า
กันต์พยายามมองหาสิ่งที่ตัวเองทำได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่การตำส้มตำ พอเห็นหลานสาวเร่งมือเสิร์ฟอาหารกับน้ำดื่ม เขาจึงเข้าไปของานจากเธอ
“นุ้ยใช่ไหม พี่ชื่อพี่กันต์นะครับ” เด็กบ้านนอกที่ถูกฮุคด้วยความหล่อสะดุ้งสุดตัวจนถอยหลังไปสองก้าว แก้วสแตนเลสที่มีน้ำแข็งอยู่ข้างในคงละลายเป็นน้ำเปล่าแล้วเพราะความหล่อพี่เขาที่นุ้ยซอมเบิ่งอยู่นาน
“จ้าพี่...”
“ตอนนี้มีอะไรให้พี่ช่วยบ้างไหม?” ชายหนุ่มคว้าแก้วเปล่ามา ยิ้มอย่างเป็นมิตรทำลายช่องว่างจากคำว่าคนแปลกหน้าให้อีกฝ่ายเชื่อใจ
“มีจ้ะ ต้องเสิร์ฟน้ำแข็งให้โต๊ะหก แล้วก็รับออเดอร์จากโต๊ะสี่...”
“โอเคครับ พี่จะเอาน้ำแข็งจากนุ้ยไปเสิร์ฟโต๊ะหก แล้วก็จดออเดอร์จากโต๊ะสี่ด้วย นุ้ยไปช่วยพี่พรเสิร์ฟอาหารได้เลยนะ เดี๋ยวพี่กันต์จัดการตรงนี้เอง”
“แต่มันเยอะนะพี่ นั่นอะ มีลูกค้าเข้ามาอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ทีมเรามีตั้งหลายคน ทั้งเชร์ ทั้งนุ้ย แล้วก็พี่อีกคน” ชายหนุ่มอมยิ้มพลางยีผมอีกฝ่าย “ตอนนี้นุ้ยเป็นหัวหน้าทีมแล้ว เพราะงั้นสั่งงานพี่ได้เลยนะครับ”
โอย... อีนุ้ยจะเป็นลม เด็กม.หนึ่งไม่รู้จะจัดการตัวเองอย่างไรกับความหล่อที่แอทแทคหัวใจจนต้องการยาดม ยาหอม พี่เชร์ทำบุญด้วยอีหยังวะ ถึงพาเจ้านายหล่อ ๆ หน้าเหมือนดารามาถึงบ้านได้
เด็กสาวพยักหน้าตกลงแล้วสาวขาเดินไปหาน้าพรและลูกชายแก ภูมิต้านทานคนหล่อพังยับเยิน ถ้าว่างแล้วจะขอถ่ายเซลฟี่ไปอวดเพื่อนสักหน่อยแล้วว่ามีคนหล่อมาตีสนิท
“พี่เชร์ วังกี้เจ้านายพี่เฮดตาหวานใส่หนูนำ” (พี่เชร์ เมื่อกี้เจ้านายพี่ทำตาหวานใส่หนูด้วย) เด็กสาวสะกิดคนข้าง ๆ พลางหันไปมองความเคลื่อนไหวของคนหล่อที่ยิ้มรับพร้อมจดออเดอร์ไปด้วย ชนิดว่าถ้าลูกค้าไม่ตายก็ต้องโทรจองศาลา
“มักแบบนั้นบ่?” (ชอบแบบนั้นเหรอ?)
“อือ หล่อปานหลุดออกมาจากการ์ตูนบงกช เพิ่นมักเด็กน้อยบ่ ฮือ หล่อโพดหล่อโพ” (อือ หล่อเหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนบงกช เขาชอบเด็กไหม ฮือ หล่อเกินไปอะ หล่อเกินคน)
“เพิ่นแต่งงานละไป่?” คนเป็นแม่หันมาถามลูกชายที่ตำส้มตำอยู่ข้าง ๆ และเขาก็ส่ายศีรษะเป็นคำตอบ
แหลมละสายตาจากสิ่งที่ทำอยู่พลางหันไปมองภาพแปลกใหม่ที่เชื่อว่าคนทั้งโลกคงไม่เคยเห็น ผู้ชายที่เคยใส่สูท นั่งทำหน้าเคร่งเครียดในห้องประชุมวันนั้นกำลังทำงานอยู่ในร้านส้มตำว่ะ พูดไปใครจะเชื่อ
ขณะที่กำลังอยู่ในห้วงของความคิด คนที่เคยทำให้หงุดหงิดโมโหก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นเพียงแค่ยิ้มเล็ก ๆ แล้วหันไปขานรับลูกค้า พอจดออเดอร์เสร็จก็มองมาด้วยสายตาแบบที่รู้ว่าโดนจีบอีกแล้ว
*
“สนใจลาออกจากบริษัทมาเป็นพนักงานร้านผมปะ?”
“ถ้าคุณให้เงินเดือนผมสักสิบล้าน มันก็น่าสนใจนะครับ”
เด็กหนุ่มไหวไหล่พลางหันไปสตาร์ทมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่เคยขับไปโรงเรียนทุกวัน ช่วงบ่ายสี่ลูกค้าเริ่มซาลงแล้ว จะยุ่งอีกทีก็ตอนห้าโมงเย็น แหลมจึงอยากพาบอสไปตะลอนสักหน่อย
“ไม่มีรถยนต์เหรอครับ?”
“มี แต่มอไซค์สะดวกกว่า ทำไม นั่งไม่ได้ว่างั้น?” ได้โอกาสเป็นหาเรื่องแขวะ กันต์ไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาแค่ก้าวคาบเบาะซ้อนท้ายอีกฝ่ายอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
“ไม่เคยนั่งมอไซค์สินะ?”
“เคยครั้งนึงตอนรถเสียเมื่อนานมาแล้วครับ”
“งั้นก็นั่งดี ๆ หน่อย จะเกร็งทำไมเนี่ย?” หันไปค้อนเจ้านายที่ไม่ได้เกร็งแค่ขา แต่พี่เขาเกร็งยันหน้าเลย
“วันนั้นวินมอเตอร์ไซค์พาผมรถล้มจนได้เลือด ผมเลยกลัวมาจนถึงวันนี้”
“โถ ที่แท้ก็มีแผลในใจ ไม่ต้องกลัวนะบอส ผมโคตรเซียนเรื่องแว๊น” เด็กหนุ่มสตาร์ทรถพร้อมเบิ้ลโชว์ แอบอมยิ้มสะใจเล็ก ๆ ที่คนซ้อนขยำเสื้อเขาไว้แน่นเหมือนกลัวตายทุกวินาที
“คุณจะพาผมไปไหน?”
“ไปกินไอติมเจ้าเด็ด”
กันต์ไม่ชอบซ้อนมอเตอร์ไซค์ แต่คำพูดอีกฝ่ายที่มาพร้อมการขยิบตามันก็ซื้อความหวาดกลัวจากใจเขาไปได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
(ต่อด้านล่างนะคะ)