[จบแล้ว] Sugar Daddy เล่น||ของ||สูง(อายุ) 4 years later [6-2-63] คห.951
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว] Sugar Daddy เล่น||ของ||สูง(อายุ) 4 years later [6-2-63] คห.951  (อ่าน 199140 ครั้ง)

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ตอนคุณเชษฐ์น่ารักที่สุดแหละ 555

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
คิดถึงน้องมีนที่สุดดด

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5

Chapter 29: กลิ้งตกที่นอน




“ซัน ตั้งใจเรียนหน่อยสิ ไม่งั้นพี่จะหาคนอื่นมาสอนแทนแล้วนะ”



ภรัณยูดุลูกศิษย์ตัวใหญ่ที่นับวันชักจะได้ความรู้จากบทเรียนน้อยลงไปทุกที ทินกรยิ้มเผล่ แต่ยังคงไม่ยอมดึงมือที่สอดเข้า
มาใต้เสื้อของร่างโปร่งออกไป



“ก็ผมคิดถึงพี่ภัทรนี่ครับ”



“พอเลย อ่านย่อหน้านี้ให้พี่ฟังซิ” ภรัณยูกลอกตากับคำพูดของคนรัก ทินกรเกยคางกับไหล่ของเขาแล้วอ่านบทความที่ภรัณยูชี้ให้ชายหนุ่มฟังอย่างตั้งใจ แม้ว่ามือที่วางอยู่บนหน้าท้องของเขาจะเริ่มไต่สูงขึ้นมาเรื่อยๆราวกับคิดว่าร่างโปร่งจะไม่สังเกตเห็น




“...และนอกจากนี้ยังทำให้....โอ๊ย เจ็บๆๆๆๆ”




เด็กหนุ่มร้องลั่นเมื่อโดนหยิกหลังมือเข้าให้เต็มแรงหลังภรัณยูรู้สึกว่ามือปลาหมึกนั้นเริ่มเคลื่อนตัวสูงเกินกว่าเขาจะให้อภัย ร่างโปร่งส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายใจกับคนรักที่เริ่มจะดื้อขึ้นทุกวันแล้วลุกขึ้นจากเตียง



“ถ้าบนเตียงเรียนไม่ได้ก็ลงไปเรียนข้างล่าง พี่บอกแล้วไงว่าเรียนคือเรียน เล่นคือเล่น”



“โธ่ พี่ภัทรครับ...” ทินกรทำตาละห้อยใส่เขา ซึ่งคนขี้ใจอ่อนก็ยินยอมพร้อมจะให้อภัยอยู่แล้วหากไม่มีประโยคถัดมา “พี่ภัทรคิดจริงๆเหรอครับว่าอยู่ข้างล่างแล้วพี่ภัทรจะปลอดภัย”
ไอ้เด็กบ้านี่ พอใจดีด้วยแล้วเอาใหญ่เลยนะ




“เก็บของ”



“ครับ?” รอยยิ้มกว้างผู้ชนะค้างกึกอย่างไม่เข้าใจ



“เก็บของ” ภรัณยูเอ่ยย้ำ เก็บชีทเรียนและหนังสือบทเตียงใส่กระเป๋าเป้ใบโตของตัวเอง “วันนี้เราจะไปเรียนนอกสถานที่กัน”









“พี่ภัทรใจร้าย” ทินกรทำหน้ามุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กโดนขัดใจ ก่อนจะหันไปยิ้มและรับไหว้ให้พนักงานของบริษัทที่ผ่านไปมา



“ก็ทำตัวเองนี่” ภรัณยูเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ตั้งใจเรียนได้แล้ว”



พวกเขาอยู่ในห้องกระจกซึ่งเป็นห้องรับรองแขกห้องหนึ่งในชั้นบนสุดของบริษัทซึ่งอยู่หน้าห้องทำงานของพี่ชายคนโตและบิดาของเด็กหนุ่ม ยังไม่รวมถึงจอมทัพที่เป็นญาติผู้พี่ คุณขวัญข้าวเลขาของคุณจอมทัพและคุณมธุวันที่นอกจากการเหลือบมองพวกเขาตอนที่เดินออกมาจากลิฟท์แล้วไม่คิดจะสนใจพวกเขาอีกเลย



“พี่ภัทรรู้มั้ยครับว่าผู้ชายบ้านผมมีอะไรที่เหมือนกัน?”



ภรัณยูเงยหน้าจากหนังสืออย่างงุนงงกับคำถามที่จู่ๆก็ถูกโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก่อนจะส่ายหน้า ทินกรยิ้ม ดวงตาสีควันบุหรี่วาววับอย่างสนุกสนาน



“พวกผมชอบความท้าทาย ยิ่งใครบอกว่าทำไม่ได้ พวกผมก็ยิ่งอยากทำ”



“ซัน…”




“พี่ภัทรคิดว่าบทสรุปในคืนนี้คืออะไรเหรอครับ?” ทินกรถามเสียงซื่อ แม้ว่าแววตาของเด็กหนุ่มจะไม่ได้ใกล้เคียงกับความใสซื่อนั้น “อีกไม่กี่นาที ชั้นนี้ทั้งชั้นก็จะไม่มีคนอยู่แล้ว พี่ภัทรรู้มั้ยครับ?”




“…” พนักงานหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของใครสักคนในละแวกนี้




“พี่เมฆมีนัดกับหมอ พี่หมอกต้องขับรถไปส่งพี่เมฆ ส่วนพ่อ พอทางสะดวกไม่มีพี่หมอกอยู่ก็หนีไปหาเด็กในสต็อก ส่วนพี่นายกับพี่ข้าว...”




ทินกรหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดโทรออกทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากภรัณยู




“ครับ พี่นาย รู้มั้ยครับว่าวันนี้มีเปิดตัวบุฟเฟ่ต์ขนมไทยเจ้าดังที่โรงแรมของอาวี ครับ แต่ว่าพี่ต้องออกตอนนี้เลยนะครับ ไม่อย่างนั้นไม่ได้เข้างานแน่เลย”




ที่หางตาของภรัณยู เขาเห็นขวัญข้าวลุกขึ้นจากโต๊ะของตัวเองแล้วเปิดประตูเข้าไปหาจอมทัพที่พูดอะไรบางอย่างกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก่อนจะลากเลขาของตัวเองออกจากห้องไป



ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลายเมื่อตระหนักว่าในชั้นนี้ไม่มีใครอยู่แล้วนอกจากพวกเขา ในห้องกระจกเก็บเสียงที่เขาเป็นคนพาร่างสูงเข้ามา ทินกรเลียริมฝีปากของตัวเองช้าๆ



“ผมอยากรู้มานานแล้ว ว่าผนังกระจกนี่มันแข็งแรงได้แค่ไหน...”




“อยากให้พี่ช่วยจับคนแถวนี้ทุ่มใส่ดูมั้ยล่ะ?” เสียงของเลขาหนุ่มร่างโปร่งดังขึ้นเล่นเอาเด็กหนุ่มที่กำลังขยับเข้ามาใกล้เขาเบรกตัวโก่ง มธุวันที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ยืนกอดอกพิงขอบประตูกระจกด้วยสีหน้าที่ภรัณยูไม่มั่นใจว่าจะสามารถเรียกว่าเป็นความขบขันได้หรือไม่



“พะ…พี่หมอก...” ทินกรหันไปยิ้มแหยให้ผู้มาใหม่ มธุวันก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่วงท่าที่ทำให้ภรัณยูนึกถึงเสือดาวที่กำลังจ้องจะขย้ำเหยื่อ ก่อนเท้าแขนลงบนโต๊ะ โน้มตัวลงมาหาทินกรพร้อมรอยยิ้มมุมปาก



“ซันรู้มั้ยครับ ว่าผู้ชายบ้านซันเหมือนกันยังไง?”



“ยะ…ยังไงเหรอครับ?” ทินกรกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก หากเป็นคนอื่นมาทำแบบนี้กับคนรักของเขา ภรัณยูอาจจะรู้สึกหึงหวงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาแค่ดีใจที่ตัวเองไม่ใช่คนที่ถูกมธุวันจ้องด้วยสายตาเหมือนงูจงอางที่กำลังจะกลืนลูกหมาป่าตัวใหญ่ลงท้องในคำเดียวนั้น



“ตรงที่คิดว่าจะหนีพี่พ้นได้ง่ายๆไงครับ” มธุวันชี้ไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองพร้อมรอยยิ้ม “เอกสารกองนั้นต้องเสร็จก่อนพี่กลับมา เข้าใจมั้ยครับ?”



“แต่…”



“อะไรนะครับซัน?” มธุวันแสร้งทำเป็นเงี่ยหูฟัง “เมื่อกี้ซันจะบอกอะไรพี่รึเปล่า?”



“ครับ เสร็จแน่นอนครับ”



“แล้วทำไมซันยังนั่งอยู่ตรงนี้ล่ะครับ หืม?”



เด็กหนุ่มพุ่งตัวไปยังโต๊ะทำงานของมธุวันด้วยความเร็วเหนือเสียง ภรัณยูมองตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปอย่างไม่รู้ว่าตัวเอง
ควรมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไร ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อด้วยตาสีเทาอมฟ้าคู่นั้นตวัดมามองเขาเป็นรายต่อไป



“ผมว่าเรียนอยู่ที่บ้านแบบเดิมน่าจะปลอดภัยกับตัวคุณมากกว่านะครับ คุณภรัณยู”



“คือ..ผม...”



“กล้องวงจรปิดห้องนี้บันทึกเสียงได้ด้วยนะครับ” มธุวันชี้ไปที่กล้องวงจรปิดขนาดเล็กตรงมุมห้องที่ดูกลืนไปกับเพดานจนเขาไม่สังเกตเห็น “ผมแนะนำว่าห้องเบรกหลังห้องท่านประธานน่าจะสะดวกกว่า เพราะห้องเก็บเอกสารมีคนจองแล้ว”
ร่างโปร่งหมุนตัวเดินกลับออกไป ชายตามองทินกรที่สะดุ้งไม่ต่างจากเขาแล้วเดินตรงไปยังลิฟท์ส่วนตัวของท่านประธานก่อ
นที่ภรัณยูจะได้มีโอกาสแก้ไขความเข้าใจผิดอะไร



ภรัณยูนั่งสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาของมธุวันสักพัก ก่อนจะเก็บอุปกรณ์การเรียนการสอนของตนใส่ลงในกระเป๋าเป้อีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจว่าตัวเองควรจะไปสำรวจห้องเบรกที่ว่านี่ดูสักนิดเผื่อเวลาฉุกเฉิน



สรุปแล้ว นอกจากจะไม่ได้เรียน พวกเขายังต้องอยู่รอมธุวันกลับมาตรวจความเรียบร้อยของงานของทินกรอีกด้วย ภรัณยูตวัดสายตามองค้อนเด็กหนุ่มข้างกาย แม้จะรู้ว่าความน่ากลัวของตัวเองไม่ได้เทียบเท่าปีศาจน้ำแข็งที่เป็นที่ยำเกรงของทุกคนในบริษัทเลย


“คุณภรัณยู พอดีเลยครับ มีพัสดุมาส่งไว้เมื่อเช้า ผมไม่มั่นใจว่าเป็นของสดรึเปล่าเพราะมันเริ่มมีกลิ่นแล้วน่ะครับ” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เอ่ยเรียกพวกเขาไว้ ภรัณยูขมวดคิ้ว นึกไม่ออกว่าตัวเองสั่งของสดอะไรให้มาส่งที่บริษัท



กลิ่นที่ว่าเริ่มลอยมาแตะจมูกเมื่อประชาสัมพันธ์หนุ่มยกกล่องขึ้นมาวางทำให้ภรัณยูเบ้หน้าเบาๆ



“พี่ภัทรหยุดก่อนครับ” ทินกรเอ่ยห้ามเมื่อชายหนุ่มกำลังจะเปิดออกดู “ผมเปิดเอง”



“ทำไมเหรอซัน?” ภรัณยูหันไปหาคนรักอย่างไม่เข้าใจ แต่เด็กหนุ่มนั้นหันกลับไปหาพนักงานทำความสะอาดแล้วขอถุงมือกับผ้าปิดปาก การกระทำนั้นยิ่งทำให้คนที่เดินผ่านไปมาหยุดมองด้วยความสนใจ



หลังจากใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปตัวกล่องไว้ เด็กหนุ่มก็ใช้คัตเตอร์กรีดตามแนวเทปกาวแล้วดึงกล่องกระดาษให้เปิดออก ภรัณยูถึงกับผงะเมื่อเห็นซากนกพิราบที่ถูกยัดไว้ภายในกล่องส่งกลิ่นคละคลุ้งจนเขาแทบจะอาเจียนออกมา



“รบกวนแจ้งตำรวจให้ด้วยนะครับ” ทินกรเอ่ยกับประชาสัมพันธ์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะหันมาหาภรัณยู “ผมว่าเขาไม่ยอมจบง่ายๆแน่”



ชายหนุ่มยังคงไม่เข้าใจว่าเขาที่ว่าของเด็กหนุ่มนั้นหมายถึงใคร จนกระทั่งดวงตาเรียวสีน้ำตาลเหลือบไปเห็นภาพถ่ายที่ถูกฉีกเป็นสองซีกซึ่งถูกทับโดยซากนกพิราบนั้น



รูปของเขากับปภพกำลังกอดคอกันยิ้มให้กับกล้องอย่างมีความสุข










“หน้าตาสดชื่นเชียวนะมึง”



แว่นแซวแทนไทยที่มีสีหน้าอิ่มเอิบใจตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องเรียนจนกระทั่งทานข้าว มีนาเงยขึ้นจากหนังสืออย่างอยากรู้อยากเห็นเมื่อได้ยินดังนั้น ก็เด็กหนุ่มลูกครึ่งเล่นเดินฮัมเพลงอย่างมีความสุขจนออกนอกหน้าเสียขนาดนั้น
 แทนไทยเพียงแต่ยิ้มอย่างมีเลศนัยแต่ไม่พูดอะไร



มีนาไม่มั่นใจว่าจะมีอะไรที่ทำให้เพื่อนผมบลอนด์ดูมีความสุขได้ขนาดนี้ แต่คาดว่าคงจะไม่พ้นคนรักของเจ้าตัวที่เป็นหัวข้อที่มีนาไม่คิดจะอยากเปิดบทสนทนาเสียเท่าไหร่



ร่างเล็กหันกลับไปสนใจชีทเรียนในมือเมื่อฝ่ามืออรหันต์บินมาลงกลางกบาลของแทนไทยที่นั่งเหม่อหานางฟ้าคนสวย



“โอ๊ย! เจ็บๆๆ พี่ติณณ์ทำอะไรครับเนี่ย?!”




เด็กหนุ่มลูกครึ่งโวยวายคนที่เดินเข้ามาเพ่นกบาลเขาโดยไม่พูดไม่จา ติณณ์ภพดีดหน้าผากเด็กหนุ่มอีกรอบอย่างหมั่นไส้ เดือนปีสี่ของคณะแพทยศาสตร์ไม่ไดปรากฎกายให้สาธารณชนเห็นบ่อยนัก แต่ขนาดคนไม่เข้าสังคมอย่างมีนายังรู้ว่าชายหนุ่มกับธารธาราเป็นเพื่อนสนิทกัน



“เห็นมาถามซะดิบดี กลัวพี่อุ่นเจ็บอย่างนั้นกลัวพี่อุ่นปวดอย่างนี้ นี่อะไร ไอ้อุ่นแทบคลานมาเรียน”



ติณณภพด่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องอย่างเกรี้ยวกราด ถึงแม้ว่ามีนาจะสนใจเนื้อความของโยคนั้นมากกว่าน้ำเสียงของร่างสูงก็ตาม



“ก็ผมถึงบอกไง ว่าผมไม่อยากทำ” แทนไทยบ่นอุบ “ผมกลัวหยุดตัวเองไม่ได้...”



“แล้วมันใช่ข้ออ้างมั้ยได้เด็กเวร” ติณณ์ภพประเคนฝ่ามือให้อีกป้าบแทนเพื่อนรักที่นอนหลับเป็นตายในห้องเลคเชอร์ทั้งที่
ร้อยวันพันปีไม่เคยฟุบ



“โอ๊ย! หัวคนนะครับไม่ใช่ลูกวอลเล่ย์” แทนไทยโอดครวญ



“ไม่รู้ล่ะ ถ้าไอ้อุ่นเสียการเรียนเพราะเรื่องนี้หัวมึงเป็นลูกบอลให้กูเตะแน่” ติณณภพชี้หน้าคาดโทษ แล้วเดินผ่านพวกเขาเข้าไปในโรงอาหารที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมาย



ส่วนของมีนานั้น สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของร่างเล็กมีเพียงความทรงจำของความเจ็บระบมไปทั้งร่างในวันรุ่งขึ้นหลังจากครั้งแรกของเขากับธีรเชษฐ์ และนั่นคือผลลัพธ์จากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์หลายสิบปีรวมกับยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบที่เขาได้กันไว้ก่อนแล้ว เขาไม่อยากคิดเลยว่าสภาพของธารธาราในตอนนี้จะเป็นอย่างไร



“แทน ได้ให้เขากินยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดรึเปล่า” ร่างเล็กถามเสียงเบา



“เอ๊ะ? ต้องให้กินด้วยเหรอ?” แทนไทยมีสีหน้าตกใจ



“จริงๆก็มียาทาด้วย...แต่ถ้ามันไม่บวมคงไม่ต้อง” มีนางึมงำ จดชื่อยาที่ธีรเชษฐ์เคยให้เขากินในกระดาษแผ่นเล็กแล้วยื่นให้แทนไทย ไม่กล้าสบตาเพื่อนที่เขามั่นใจว่าตอนนี้คงอ้าปากค้างมองเขาด้วยตาโตเท่าไข่ห่านแล้ว



“เราขึ้นเรียนก่อนนะ”



เด็กหนุ่มหยิบจานของตัวเองลุกขึ้น เดินไปยังที่เก็บจานโดยไม่เปิดช่องว่างให้ใครถามอะไร



เพราะเขาก็ไม่รู้คำตอบของสิ่งที่เขามั่นใจว่าเพื่อนใหม่ของเขาอยากถามเช่นกัน



ร่างเล็กเดินออกมาจากโรงอาหารได้เพียงไม่กี่ก้าวก่อนจะชนกับร่างสูงของทินกรที่เขารู้สึกเหมือนไม่ได้เจอมานานเข้าอย่างจังจนเซไปหลายก้าว



“ซัน เป็นอะไรรึเปล่า หน้าตาดูไม่ดีเลย” มีนาทักด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง  ทินกรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ซึ่งผิดวิสัยเด็กน้อยร่าเริงของอีกฝ่ายมาก



“พี่ภัทรโดนแฟนเก่าตามมารังควาญไม่เลิกเลย เมื่อวานเขาส่งพิราบตายมาที่บริษัทด้วย”



“ฮะ? ขนาดนั้นเลยเหรอ?” มีนาถามอย่างไม่อยากเชื่อ



“อือ แจ้งความไปแล้วล่ะ” ร่างสูงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “แต่ตอนนี้ฉันเป็นห่วงพี่ภัทรมากกว่า พี่ภัทรไม่ยอมย้ายเข้ามาบ้านฉัน แต่ฉันไม่อยากให้เขาอยู่ห้องคนเดียวแบบนี้เลย”



ส่วนตัวแล้วมีนาคิดว่าคนรักของเด็กหนุ่มคงไม่อยากให้ทินกรมาเสี่ยงอันตรายกับตัวเอง แต่หากมีอะไรที่เขาเรียนรู้จากคนบ้านนี้ ร่างเล็กคิดว่าคนที่ควรจะกลัวน่าจะเป็นแฟนเก่าของคุรภรัณยูที่กล้ามายุ่งกับคนของทินกรมากกว่า




“แล้วทำไมนายไม่ย้ายไปห้องเขาล่ะ” มีนาถาม ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างนึกขึ้นได้ “แต่ถ้าซันไป อาจจะเป็นการรบกวนเขาก็ได้นะ ห้องของคุณภรัณยูเขาคงไม่ได้มีพื้นที่ให้ข้าวของซันขนาดนั้นหรอก”




ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะมีห้องขนาดเท่าบ้านไว้นอนเล่นอย่างธีรเชษฐ์น่ะ



 ทินกรชะงัก ดวงตาสีควันบุหรี่เป็นประกายแพรวพราวราวกับกับไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อน ซึ่งนั่นทำให้มีนาค่อนข้างมั่นใจว่าอะไรก็ตามที่เขาเพิ่งพูดไปนั้นถูกแปลสารผิดไปจากที่เขาตั้งใจแน่ๆ



“ขอบใจมากนะมีน! บ่ายเรามีเรียนด้วยกันใช่มะ? ฝากจดหน่อยนะ”



“อ้าว เอ๊ะ เดี๋ยวสิ...”



เพื่อนตัวสูงของเขาวิ่งหายไปเร็วพอๆกับขามา มีนาเอียงคอมองตามแผ่นหลังกว้างในชุดนักศึกษาไปอย่างเป็นกังวล ไม่มั่นใจว่าตนควรจะบอกธีรเชษฐ์เรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่



แต่เขาคิดว่าแทนที่ชายหนุ่มจะสนใจเรื่องนั้น เขานี่แหละน่าจะเป็นฝ่ายถูกทำโทษเรื่องแอบพูดคุยกับลูกชายของอีกฝ่ายลับหลังมากกว่า เขามีปัญหามากพอแล้วกับเรื่องของลูกชายคนรอง




และเขาเชื่อว่าป่านนี้ธีรเชษฐ์คงรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบริษัทจากเลขาของตัวเองแล้ว










ก๊อกๆๆ



ภรัณยูสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ชายหนุ่มกำโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้แน่นแล้วเดินไปยังประตูหน้าของห้องตัวเอง หลังจากตื่นตกใจกับสิ่งเร้าเพียงเล็กน้อยมาตั้งแต่เมื่อวาน เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่ปฏิเสธข้อเสนอของทินกรที่ให้เขาไปอยู่ด้วยที่คฤหาสน์ทรัพย์ดำรง แต่ภรัณยูไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ถึงแม้เขาจะตกใจกับซากนกพิราบก่อนหน้า แต่ชายหนุ่มไม่คิดว่าปภพอยู่ในสถานะที่จะทำอะไรเขาได้



จากที่พวกเขาได้ยินจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปภพถูกจับได้ว่าคบชู้กับพนักงานผู้ชายในบริษัทและยักยอกเงินจากบริษัทของภรรยาไปเป็นจำนวนมากเพื่อนำไปซื้อยาเสพติดและปรนเปรอเด็กของตัวเอง ชายหนุ่มหนีหายเข้ากลีบเมฆไปสองสามวันก่อนที่กล่องพัสดุปริศนานั้นจะมาถึงภรัณยู



ต่อให้โง่แค่ไหน คนคนนั้นก็คงไม่โผล่มาที่ห้องของเขาทั้งที่รู้ว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับตาอยู่หรอก



และเมื่อเห็นว่าใครอยู่ที่อีกฝั่งของประตูจากตาแมว ภรัณยูก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาแล้วเปิดประตูให้คนรัก



“ซัน พี่บอกแล้วไงว่า...นั่นอะไรน่ะ?”



ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นกระเป๋าใบโตที่วางอยู่แทบเท้าของทินกร ผู้บุกรุกของเขายิ้มแฉ่ง ตอบคำถามของเจ้าของห้องได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด



“ซัน…”



“ถ้าเกิดสลับกัน แล้วเป็นผมกลิ้งตกที่นอน พี่ภัทรจะไม่อยากขนข้าวของมานอนห้องผมเหมือนกันเหรอครับ” ทินกรออดอ้อน ซึ่งภรัณยูคิดว่าตัวเองน่าจะสามารถตอบคำถามนั้นได้หากเขาเข้าใจประโยคที่ออกมาจากปากร่างสูง



“กลิ้งตกที่นอน?”



“เวลาพี่ภัทร in troubleไงครับ ตกที่นอนอ่ะ” เด็กหนุ่มยังคงดื้อแพ่งราวกับว่าเขาเป็นคนที่ไม่เข้าใจภาษาไทยเสียเอง




“ตก…ที่นั่งลำบาก?” ภรัณยูมั่นใจแล้วว่าบทเรียนภาษาไทยที่เขาเสียเวลาสอนไปทั้งหมดนั้นไม่ได้เข้าหัวร่างสูงเลย ประโยคอะไรก็ตามที่ทินกรสามารถพูดได้ถูกนั้นล้วนแล้วแต่มาจากละครไทยย้อนยุคที่เด็กหนุ่มชอบไปขลุกดูอยู่ที่เรือนคนรับใช้กับป้าแต้วทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับที่เขาสอนเลยสักนิด



“ใช่ๆ ถ้าเป็นผมพี่ภัทรก็ต้องอยากอยู่ข้างๆเหมือนกันใช่ม้า” ทินกรพยักหน้าหงึกหงึกพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ทำให้ภรัณยูรู้สึกอุ่นใจและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน



“เหอะ อยากไปคนเดียวเถอะ ถ้าเป็นซันพี่จะปล่อยให้อยู่คนเดียวนั่นแหละ”



“พี่ภัทรปากแข็ง” เด็กหนุ่มเอ่ยหน้าระรื่นแล้วยกกระเป๋าก้าวเข้ามาให้องโดยไม่รอคำอนุญาตจากคนรัก “รบกวนด้วยนะคร้าบ”




“ก็รู้นี่ว่ารบกวน” ภรัณยูที่สู้แรงคนตัวใหญ่ไม่ได้ปล่อยเลยตามเลย ปิดประตูตามหลังอีกฝ่ายด้วยีหน้าจนใจ “มันอันตรายนะซัน พี่ไม่อยากให้ซันอยู่ใกล้พี่ตอนนี้เลย”



“เพราะมันอันตรายไงครับผมถึงอยากให้พี่ภัทรมาอยู่กับผม บ้านผมมีทั้งยาม ทั้งแม่บ้านคนสวนอยู่กันเยอะแยะ มีระบบรักษาความปลอดภัยด้วย” ทินกรไหวไหล่ “แต่ในเมื่อพี่ภัทรไม่อยากไปนอนบ้านผม ผมก็จะมาก่อกวนจนกว่าพี่ภัทรจะยอมไป”



เดี๋ยว สรุปนี้คือจุดประสงค์ที่แท้จริงงั้นเหรอ?!



ภรัณยูนึกอยากเขกกระโหลกเจ้าเด็กหน้าเป็นตรงหน้า แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าครั้งนี้ฝ่ายที่มีเหตุผลกว่าไม่ใช่เขา




“ไปลากกระเป๋าเดินทางพี่มา เดี๋ยวพี่ไปเก็บเสื้อผ้ารอ”



สุดท้ายสิ่งที่ทำได้มีเพียงยกมือขึ้นยอมแพ้แล้วหมุนตัวเดินกลับไปในห้องนอนด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ ทินกรยิ้มร่า ก่อนจะรีบมองหากระเป๋าลากของคนรักตามคำสั่ง



ทางด้านภรัณยู ร่างโปร่งเปิดประตูตู้เสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วหยิบเอาเสื้อผ้าที่แขวนไว้ออกมาวางบนเตียงแล้วหันกลับไปหยิบผ้าส่วนที่พับไว้ในตู้ ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก



เงาสะท้อนที่มีรอยยิ้มกว้างแปะอยู่บนใบหน้าอย่างผิดวิสัยคนอย่างเขาเป็นที่สุด




ให้ตายเถอะ แบบนี้ใช่มั้ยที่เขาเรียกว่าแพ้ทางน่ะ


----------------------

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ไอ้เราก็งงตั้งนานกับตกที่นอนของซัน
ปล่อยนางเรียนภาษาไทยกับละครเถอะ
เหมือนคนเราเรียนภาษาอังกฤษกับซีรีย์ไง
แต่พี่ภัทรคงทำใจไม่ได้หรอกถ้าไม่ได้สอนเอง
ก็ขนาดห้องพักเบรกยังไปสำรวจเลย
ปล.จำได้นะว่าห้องเอกสารคนจองคือใคร อิอิ

ออฟไลน์ จุ๊บจิ๊บจ๊ะจ๋า

  • I LOVE MY SMILE
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1892
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-4
น้องซันมันน่ารักจริงๆเลยน้าาาา

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
ขอคั่นรายการด้วยข่าวด่วนข่าวร้อนนะคะ

หนังสือเรื่อง Which one รักหลอกเด็ก จะออกวางขายที่งาน Ybookfair กรกฎาคม 2562 นะคะ รอบไปรษณีย์จะเปิดให้จองวันที่ 5 กรกฎาคม และสามารถหาซื้อได้ตามร้านนายอินทร์และB2Sค่ะ



https://www.facebook.com/HermitBooks/photos/a.359474807434062/2204111236303734/?type=3&theater

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
คุณมธุวันนี่สุดยอดจริงๆ
ส่วนพี่ภัทรก็แพ้ทางเด็กอีกแล้ว 555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตกที่นอน = ตกที่นั่งลำบาก จะจำไว้ ๆ  o18

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เอ็นดูภาษาไทยของซัน ฮ่าๆ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เป็นคำศัพท์สไตล์ซันๆ5555

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
เป็นการเรียนภาษาซันจริงๆ ตกที่นอน 5555

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
ซันนี้ใช้การได้จริงๆๆ 55555

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
เขาเรียกแพ้ทางเด็ก

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Chapter 30:  คนขี้เก๊ก




“....งั้นเหรอหมอก ขอบใจมากนะ บอกทางตำรวจไปด้วยว่าถ้ามีอะไรที่เราช่วยได้ให้บอก ภรัณยูเป็นยังไงบ้าง? อือ แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน มาอยู่บ้านกับเจ้าซันน่าจะปลอดภัยกว่าจริงงๆนั่นแหละ ลำบากเธออีกแล้วนะ”



เป็นอย่างที่มีนาคิด มธุวันโทรศัพท์มารายงานความคืบหน้าของสถานการณ์ทุกอย่างให้ธีรเชษฐ์ฟังระหว่างทางที่พวกเขากลับจากมหาวิทยาลัย ถึงแม้จะรู้ว่าเรื่องที่ทั้งสองคุยกันเป็นเรื่องจริงจัง แต่ในหัวของมีนากลับอดไม่ได้ที่จะสังเกตความอ่อนโยนในน้ำเสียงที่ธีรเชษฐ์มีให้กับเลขาของตนทุกครั้งที่คุยกัน



“จริงสิ ฉันวางกล่องโมจิเจ้าประจำที่เธอชอบไว้ที่โต๊ะ เห็นรึยัง?” ร่างสูงถาม รอยยิ้มเล็กๆแต่งแต้มมุมปากเมื่อได้ยินคำตอบ
จากปลายสาย “อย่ากินทีเดียวหมดล่ะ อืม พรุ่งนี้คงเข้าสายหน่อย แค่นี้นะ”




เวลาสั้นๆเพียงไม่กี่นาทีที่ร่างสูงถือสายคุยกับเลขาของตนรู้สึกเหมือนหลายชั่วโมงสำหรับคนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ มีนาเกลียดความรู้สึกน้อยอกน้อยใจของตัวเองที่มักจะเอ่อท้นขึ้นมาจนท่วมอกทุกครั้งที่เห็นธีรเชษฐ์คุยกับมธุวัน



เขาเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้



“อยากกินอะไร?” น้ำเสียงที่ธีรเชษฐ์ใช้กับเขานั้นถึงแม้จะไม่เหมือนช่วงก่อนหน้าที่ทำให้มีนานึกอยากจะขดตัวหนีจากอีกฝ่าย แต่ยังคงไม่ใกล้เคียงกับเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน



“ผมไม่หิวครับ” ร่างเล็กตอบเสียงเบา แม้จะรู้ว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่อีกฝ่ายต้องการ




“ไม่หิวก็ต้องกิน” ธีรเชษฐ์ดุ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง “อยากกินอะไร?”



“ของที่ผมอยากกิน คุณเชษฐ์กินไปม่เป็นหรอกครับ” มีนาตอบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คำตอบที่แปลกประหลาดออกไปจากที่ผ่านมาไปสะกิดต่อมความสนใจของคนฟังเข้าให้อย่างจัง



“บอกทางมา” ร่างสูงเอ่ยขึ้นตามประสาคนไม่ยอมแพ้ เด็กนี่คิดว่าเขาเป็นใครกัน ถึงจะกินอะไรอย่างที่อีกฝ่ายกินไม่ได้
มีนายอมบอกจุดหมายปลายทางให้อีกฝ่ายรู้แต่โดยดี เขารู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวไม่น่ารัก แต่บางครั้ง เขาก็แค่อยากเอาแต่ใจ
ตัวเองในแบบของเขาบ้างก็แค่นั้นเอง









“เธอมั่นใจนะว่าตัวเองเป็นเด็กอายุสิบเจ็ดจริงๆ”



ธีรเชษฐ์นั่งมองร่างเล็กที่เอาแตงกวาจิ้มน้ำพริกกะปิขึ้นมากัดกรวมๆอย่างอเร็ดอร่อย พวกเขาอยู่ที่ร้านบุฟเฟ่ต์ข้าวแกงและน้ำพริกราคาไม่กี่สิบบาทซึ่งเป็นร้านข้างทางห่างจากมหาวิทยาลัยของเด็กหนุ่มไปไม่มาก แน่นอนว่าเขาไม่ได้กินอาหารพวกนี้ไม่เป็นอย่างที่มีนากล่าวหา แต่ธีรเชษฐ์กับลูกๆมักจะไม่ค่อยถูกโฉลกกับอาหารรสจัดกันเท่าไหร่นัก



แต่ดูจากจานอาหารที่วางเรียงรายกันอยู่ตรงหน้ามีนา ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะชอบของพวกนี้มากกว่าอาหารญี่ปุ่นหรืออาหารฝรั่งที่เขาชอบพาไปกิน



ธีรเชษฐ์จดจำรายละเอียดนั้นไว้ในหัว เตือนตัวเองให้ถามเลขาที่ชื่นชอบอาหารอีสานและอาหารรสจัดเป็นชีวิตจิตใจว่ามีร้านแนะนำบ้างมั้ย



“อร่อยนะครับคุณเชษฐ์ ลองดูมั้ยครับ?” มีนาถาม ดวงตากลมโตจ้องจานอาหารที่ยังคงว่างเปล่าของชายหนุ่มตรงหน้าด้วย
แววตาคาดหวัง กัดลูกแตงกวาด้วยท่าทางที่ทำให้ธีรเชษฐ์ไขว้ขาตัวเองตามสัญชาตญาณ



เขาจะบอกอีกฝ่ายก็ได้ว่าตัวเองไม่ทานเผ็ด นั่นเป็นทางออกง่ายๆในสถานการณ์แบบนี้ แต่ธีรเชษฐ์ไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรง่ายๆเท่าไหร่นัก



ชายหนุ่มเลือกที่จะตักแกงสีเหลืองในถ้วยที่อยู่ขวามือสุดของมีนาขึ้นมาชิม เดาจากสีที่ไม่ฉูดฉาดเท่าอย่างอื่นว่ามันจะมีรสชาติอ่อนที่สุด แต่ร่างสูงพบว่าตัวเองคิดผิดถนัดเมื่อความเผ็ดร้อนตีแสกหน้าแล้วพุ่งขึ้นจมูกทันทีที่ตักเข้าปาก




แม้จะรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆที่เอ่อล้นขอบตา แต่ร่างสูงยังคงสามารถกระเดือกลูกไฟในปากลงไปตามลำคอได้โดยไม่สำลัก



“ก็ใช้ได้” เสียงทุ้มแหบพร่า ราวกับว่าคอหอยของเขานั้นถูกเผาไปตามทางเช่นกัน



“คุณเชษฐ์! เมื่อกี้ไม่เผ็ดเหรอครับ?” เด็กหนุ่มถาม ดวงตากลมโตมีแววตื่นตระหนกและแฝงด้วยความประทับใจที่ทำให้ธีรเชษฐ์แอบยืดอกอย่างภูมิใจในความสามารถในการแสดงของตัวเอง



“เฉยๆ” ร่างสูงไหวไหล่



“โห เมื่อกี้นี้เป็นของที่เผ็ดที่สุดในร้านเลยนะครับ ขนาดผมถ้าไม่ได้คลุกข้าวคงแสบท้องแย่” เด็กน้อยมองเขาตาแป๋ว ก่อนจะยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของธีรเชษฐ์กระตุกวูบเหมือนโดนดึง “แบบนี้ผมจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องทำของเผ็ดให้คุณ
เชษฐ์แล้วสินะครับ”



“…ก็ไม่เคยบอกให้ห่วงนี่”



ธีรเชษฐ์ขุดหลุมฝังตัวเองด้วยประโยคสุดท้ายแล้วเบือนหน้าหนีก่อนที่อีกฝ่ายจะจับพิรุธได้ โชคดีที่มีนาลุกไปตักอาหารเพิ่ม ทำให้เขาได้จังหวะคว้าขวดน้ำเปล่าบนโต๊ะมายกกระดกรวดเดียวหมดขวดแม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่มีนาเรียกกว่าของกินนั้นน่าจะย่อยทำลายทางเดินอาหารเขาไปจนหมดแล้วก็ตาม



“คุณเชษฐ์ อันนี้อร่อยมากเลยนะครับ ลองชิมดู”



เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของคนที่มักจะทำตัวเหมือนเขาเป็นเจ้าหนี้นอกระบบอยู่ตลอดทำให้ธีรเชษฐ์ยอมอ้าปากรับช้อนที่มาจ่อชิดริมฝีปากอย่างว่าง่าย โชคดีที่ดูเหมือนแกงอะไรก็ตามก่อนหน้านี้นั้นทำลายต่อมรับรสบนลิ้นของเขาจนด้านชาไปหมดแล้ว ทำให้ทุกย่างหลังจากนั้นง่ายขึ้นสำหรับร่างสูง



สำหรับพรุ่งนี้อะไรจะเกิดเขาก็จะถือว่ามันเป็นเวรเป็นกรรม



“วันหลังต้องพาหมอกมาบ้างแล้ว” ธีรเชษฐ์เอ่ยขึ้นลอยๆ มีนาชะงัก ก่อนจะรีบปรับสีหน้าของตัวเองให้เป็นปกติก่อนที่ร่างสูงจะสังเกตเห็น



“ครับ?”



“เขาชอบอาหารแบบนี้เหมือนกัน” ธีรเชษฐ์ขยายความ แม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้มีนารู้สึกดีขึ้นสักนิด



“คุณเชษฐ์กับคุณมธุวันนี่สนิทกันดีนะครับ”


หากน้ำเสียงของมีนาแฝงไปด้วยความประชดประชัน ธีรเชษฐ์ไม่ได้สังเกตเห็นมันแม้แต่น้อย



“เราผ่านอะไรด้วยกันมามาก ไม่ให้สนิทก็คงยาก” แม้จะประหลาดใจกับคำถามของเด็กหนุ่ม แต่ธีรเชษฐ์ก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆที่อีกฝ่ายให้ความสนใจถามเรื่องของเขา “อีกอย่าง หมอกเขาเป็นเด็กน่าสงสาร ฉันเลยเอ็นดูเขาเป็นพิเศษล่ะมั้ง”



 มีนาไม่สามารถปิดบังแววตาไม่เชื่อของตัวเองได้แม้จะพยายามเพียงใด



ภาพของเลขาหนุ่มในเสื้อผ้าแบรนด์เนมและการวางตัวที่แค่เหลือบตามองทุกคนก็แทบจะถลาเข้ามารับคำสั่งนั้นต่อให้มอง
ยังไงเขาก็ไม่เห็นถึงความน่าสงสาร



“ฉันรู้ว่ามันฟังดูไม่น่าเชื่อ” ธีรเชษฐ์ยิ้มอย่างรู้ทัน ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องเลขาของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง “เด็กคนนั้นเป็นเด็กกำพร้า ผู้หญิงที่ทำงานในสถานสงเคราะห์เอามาเลี้ยงหลังสถานสงเคราะห์ปิดตัวเพราะขาดเงินสนับสนุน นอกจากหมอกแล้วเขายังต้องเลี้ยงลูกชายตัวเองกับแม่ ต้องอดมื้อกินมื้อ หมอกต้องไปเป็นลูกมือช่วยเขาขายข้าวแกงมาตั้งแต่เด็ก”



มีนาเกือบสำลักน้ำที่ดื่มเมื่อได้ยินภูมิหลังที่ละม้ายคล้ายคลึงกับของตัวเองจนน่าตกใจ ธีรเชษฐ์ที่ไม่ได้สังเกตยังคงเล่าต่อ


“เขาสอบเข้ามหาลัยนี้ได้เป็นนักเรียนทุน จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ส่งเงินกลับไปให้ดูแลแม่บุญธรรมกับยายของตัวเองที่ภาคอีสานตลอดไม่เคยขาด แถมยังเป็นเด็กขยันเอาการเอางาน หาไม่ได้แล้วนะกับเด็กสมัยนี้”



เด็กอายุสิบเจ็ดปีที่ทำงานตัวเป็นเกลียวหาเงินจุนเจือครอบครัว เคยเป็นลูกมือช่วยแม่ที่เคยทำงานร้านขายข้าวแกงตั้งแต่เล็ก และเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ได้ด้วยทุนเต็มจำนวนและดิ้นรนทำทุกวิถีทางให้มีเงินมารักษามารดาและดูแลครอบครัวกระพริบตาปริบๆกับคำพูดของคนตรงหน้า ก่อนจะตัดสินใจว่าเขาจะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสุดยอดเลขาในดวงใจของธีรเชษฐ์



เพราะสำหรับอีกฝ่าย เขาคงเป็นได้แค่เด็กอมมือที่หวังรวยทางลัดโดยไม่สนใจซึ่งวิธีการเท่านั้น












ฮัดชิ่ว



เสียงจามเบาๆของมธุวันทำให้ภรัณยูควานหาทิชชู่ให้เลขาหนุ่มอย่างเร่งรีบ แต่ในมือของอีกฝ่ายนั้นมีผ้าเช็ดหน้าของตัวเองกดปิดใบหน้าไว้ตั้งแต่ก่อนจามแล้ว และเสียงจามที่ฟังดูราวกับซักซ้อมมาเป็นอย่างดีให้ฟังดูระคายหูน้อยที่สุดทำให้เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าคนข้างๆเป็นมนุษย์จริงๆหรือไม่



“มีอะไรรึเปล่าครับคุณภรัณยู” มธุวันเหลือบตามองเขาหลังจากถูกจ้องนานเกินควร ภรัณยูรีบเสตาไปมองผนังข้างกายแล้วส่ายหน้าอย่างร้อนตัว



“เปล่าครับคุณมธุวัน”


“ท่านประธานให้แจ้งว่าถ้าคุณมีปัญหาอะไรให้ติดต่อผมได้ แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ ผมคิดว่าคุณน่าจะติดต่อคุณทินกรได้เร็วกว่า”



ใช่ เร็วมาก เร็วชนิดที่หันไปหาตอนตื่นนอนก็เจอเลยล่ะ



ถึงแม้ภรัณยูจะมานอนค้างที่บ้านของทินกรบ่อยจนเคยชิน แต่การย้ายข้าวของของตัวเองเข้ามาในห้องของเด็กหนุ่มกลับดูเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากในความคิดของเขา ทินกรนั้นดูอยากจะยกมือกราบไหว้ขอบคุณปภพนาทีที่ภรัณยูรื้อข้าวของออกจากกระเป๋าเดินทางเสร็จ แถมยังหาเรื่อง’รับขวัญ’เข้าบ้านใหม่จนกว่าเขาจะได้นอนก็เช้าวันถัดไป เรียกได้ว่าอีกฝ่ายมีอต่ได้กับได้



เขาชักเริ่มสงสัยแล้วว่านี่อาจจะเป็นแผนการของเด็กหนุ่มมาโดยตลอด



”พี่ภัทร ผมมารับแล้วคร้าบ~” ร่างสูงที่เขากำลังนึกถึงโผล่ออกมาจากลิฟท์ราวกับมีคนจุดธูปอันเชิญ ภรัณยูขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ



“มารับ?”



“ครับ ไปให้ปากคำเพิ่มที่สถานีตำรวจไงครับ” ทินกรอธิบาย ก่อนจะโน้มตัวเข้ามากระซิบพร้อมรอยยิ้มกว้าง “เสร็จแล้วไปเที่ยวกันต่อนะครับ ผมลาคุณแจนให้แล้ว”



“ซันคิดว่าหูพี่ตึงขนาดไหนกัน?” มธุวันที่ยืนอยู่ไม่ไกลถามขึ้นอย่างน้ำเสียงเหนื่อยใจ ทินกรยิ้มเผล่ เข้าไปเกาะแกะเลขาหนุ่มที่เห็นได้ชัดว่าแพ้ทางเด็กยักษ์นี่ไม่ต่างจากเขา



“โธ่ พี่หมอกอ่ะ ผมรู้ว่าพี่หมอกใจดี ให้พี่ภัทรคลายเครียดบ้างเถอะนะครับ”



“จะพาเขาไปคลายเครียดน่ะถามเขารึยัง” มธุวันบีบจมูกคนตัวสูงกว่าอย่างหมั่นเขี้ยวจนทินกรร้องโอดโอย ภาพที่ไม่ว่าจะผ่านไปแค่ไหนภรัณยูก็ยังคงไม่ชินเสียที



“อี้ออกอ่า(พี่หมอกอ่า)” คนโดนทำโทษงอแง มธุวันยิ้ม อีกภาพที่ภรัณยูยังคงรู้สึกไม่ชินเท่าไหร่



“ดื้อเหมือนใครเนี่ยเรา จะไปไหนก็ไป เกะกะ จะพี่ทำงาน” มธุวันปล่อยจมูกโด่งให้เป็นอิสระแล้วหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ทินกรลูบจมูกที่แดงระเรื่อของตัวเองป้อยๆแล้วหันมายิ้มแฉ่งให้คนรักอายุมากกว่า



“ป่ะ ไปกันดีกว่าครับพี่ภัทร”



“มาป่ะเปอะอะไรล่ะ” ภรัณยูเขกกระโหลกอีกฝ่ายไปอีกสักครั้งให้สำนึกผิด “เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ถ้าเป็นคนอื่นโดนคุณมธุวันเขากินหัวแล้วรู้มั้ย?”



“เอ๋ พี่หมอกเป็นซอมบี้เหรอครับ?” ทินกรถามตาโต ความเสแสร้งในน้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้ภรัณยูกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ



“ไปสถานีก่อน แล้วพาพี่กลับมาส่ง…” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนลงเมื่อเห็นสีหน้าที่หงอยลงไปถนัดตาของคนรัก “…กินข้าวกันก่อนแล้วค่อยกลับมาก็ได้ พอใจรึยัง?”



“ครับ!” ร่างสูงรีบพยักหน้าหงึกหงักอย่างดีใจ เดินตามภรัณยูไปที่ลานจอดรถพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า



เขาว่า…ทินกรน่าจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังจริงๆนั่นแหละ











”พี่ภัทรไม่เครียดจริงๆใช่มั้ยครับ?”



ทินกรถามขึ้นหลังจากพวกเขาให้ปากคำที่สถานีตำรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาอยู่ในร้านอาหารข้างทางเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากสถานี ภรัณยูส่ายหน้า



“จะบอกว่าไม่เครียดก็คงไม่ใช่หรอก คงต้องบอกว่าพี่ไม่คิดว่าเขาจะมาทำอะไรพี่มากกว่า”



“ลองทำดูสิครับ ผมไม่เอาไว้แน่” ทินกรพึมพำกับตัวเอง แต่ภรัณยูที่ได้ยินชัดเต็มสองรูหูเงยหน้ามองคนรักอายุน้อยกว่าอย่างตกใจ



“ซัน อย่าพูดแบบนั้นสิ เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือมันไม่คุ้มหรอกนะ”



“พิม…อะไรนะครับ?”ทินกรขมวดคิ้วอย่างงุนงง ภรัณยูถอนหายใจ


“เอาเป็นว่า เรื่องนี้ปล่อยให้ตำรวจจัดการก็พอ ตกลงมั้ย?”



“ก็ได้ครับ…” คนอายุน้อยกว่ารับคำอย่างไม่เต็มใจนัก จนกระทั่งภรัณยูเอื้อมมือมาแตะหลังมือของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่สบายใจที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน



“รับปากกับพี่นะว่าซันจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงกับเรื่องนี้ พี่เป็นห่วง เข้าใจมั้ย”



“พี่ภัทรเป็นห่วงผมเหรอครับ?” เจ้าเด็กโข่งทำตาวาววับหูตั้งหางกระดิก



“เอ้า ขนาดหมาพี่ยังห่วงเลย นี่แฟนทั้งคนไม่ให้ห่วงได้ยังไง”




แน่นอนว่าทินกรยังคงประมวลผลไม่ทันว่าตัวเองถูกหลอกด่าหรือถูกชมกันแน่ แต่เด็กหนุ่มยังคงเลือกที่จะยิ้มอย่างมีความสุขกับการยอมรับของคนรัก



“ครับ ผมสัญญา”



“ค่อยน่ารักหน่อย” ภรัณยูขยี้ผมของอีกฝ่ายเบาๆพร้อมรอยยิ้ม



“แบบนี้ต้องมีรางวัลให้แล้วล่ะครับ” คนได้คืบจะเอาศอกกระแซะออดอ้อนอย่างไม่อายสถานที่ ภรัณยูแสร้งกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่รอยยิ้มที่ติดอยู่ที่มุมปากชักจะเริ่มยากที่จะแอบซ่อนขึ้นทุกวัน



“กลับบ้านค่อยว่ากัน”


ร่างโปร่งทิ้งท้าย รู้ดีว่าคำตอบปลายเปิดของตนนั้นจะทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้าอารมณ์ดีไปได้ตลอดทั้งวัน



--------------
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ชั้นก็ยังคงสงสารน้องอยู่ดี อีคุณเชษ อีขี้เก๊ก อีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่รู้จะด่าอะไร จะว่าว่าพูดและทำกับน้องไม่ดี ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะนางก็ดูแลน้องดีอยู่
แต่จะท่ามากไปไหนอะ :angry2: :z6:

ออฟไลน์ จุ๊บจิ๊บจ๊ะจ๋า

  • I LOVE MY SMILE
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1892
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-4
น้องมีนน้อยใจ น่ารัก~~~~~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หนูมีนน้อยใจ แต่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครปลอบ  :hao5:

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
น้องมีนนนนนนนน

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อยากรู้ว่า หมอกมีซัมติงกับคุณเชษรึป่าว

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
เด็กอยากกินคนแก่อีกแล้วจ้าาาา
คุณเชษฐ์น้องมีนยังอยู่ในหมอกต่อไป

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชั้นก็ยังคงสงสารน้องอยู่ดี อีคุณเชษ อีขี้เก๊ก อีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่รู้จะด่าอะไร จะว่าว่าพูดและทำกับน้องไม่ดี ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะนางก็ดูแลน้องดีอยู่
แต่จะท่ามากไปไหนอะ :angry2: :z6:

จริงด้วย .....  :z3:  :z3:  :z3:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
พูดดีๆกับน้องกว่านี้หน่อยได้มั้ยคุณเชษฐ์
ส่วนซันก็คือภาษาไทยไม่แข็งแรง เอ็นดู  :m3:

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
ฮือออออ น้องมีนคิดมากอีกแล้วลูกกกกกกกก
คุณเชษฐ์น่ะ ตบปากตัวเองเลยยยย

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
น้องมีนคิดมากจริงๆเลย คงไม่เข้าอารมณ์เอ็นดูเหมือนลูกหลาน หึงคุณเชษฐ์ใหญ่แล้ว

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Chapter 31: บตบก.ย่อมาจากบิวตี้บลอกเกอร์





“มีน อ้าปากๆ” มีนาเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกของทินกร ก่อนจะพบกับไส้กรอกที่ถูกยัดเข้าปากเขาโดยไม่ยินยอม ร่างเล็กเคี้ยวตุ้ยๆ แม้จะพยายามส่งสายตาเตือนเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่ก้มลงจิ้มไส้กรอกคำโตอีกคำอย่างไม่สนใจ ทำไมคนรอบข้างเขาถึงได้ชอบขุนเขาให้อ้วนอยู่เรื่อยเลยนะ




“ไอ้มีน อ้าปาก” พูดยังไม่ทันขาดคำ เพื่อนตัวสูงของเขาอีกคนก็ผลุบนั่งลงขนาบอีกฝั่งของม้านั่งพร้อมกับไข่นกกระทาดาวเต็มถาดกระดาษ จิ้มไข่นกกระทายักเข้าปากเขาที่ยังคงเคี้ยวไส้กรอกไม่หมดโดยไม่สนใจว่ามีนาจะมีพื้นที่ให้มันหรือไม่




“เราคนนะ ไม่ใช่ลิงแสม ยัดเอาๆ” คนตัวเล็กท้วงด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ หลายเดือนที่เป็นเพื่อนกันมาทำให้มีนาเรียนรู้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้เกรงกลัวอะไรเขาสักนิด ต่อให้เขาดุไปก็คงไม่มีใครสนใจ แต่หากเขาตีหน้าเศร้าทำเสียงอ่อยแบบนี้ อย่างน้อยที่สุดเขามักจะได้แรงสนับสนุนจากทินกรเสมอ





“หวา เราขอโทษนะมีน เราไม่ได้ตั้งใจ เราแค่อยากให้มีนกินเยอะๆ ...” ทินกรรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ก่อนจะหันไปหาพายุ “ว่าแต่ ลิงสมุยคืออะไรเหรอ?”




“แสมว้อย ไอ้ฝรั่งขี้นก ทีชื่อท่านเจ้าคุณในละครยาวเป็นกิโลมึงท่องได้ ละครจักรๆ วงศ์ๆ ตอนเช้านี่รู้จักทุกตัวละคร” พายุด่า ก่อนจะหันมาหามีนาด้วยสีหน้าไม่สำนึกผิด “มึงก็ด้วยมีน ไม่ต้องมาแกล้งให้ไอ้ซันรู้สึกผิดเลย กูรู้ว่าปากมึงจุได้มากกว่านั้นเยอะ กูเคยเห็นผัวมึง”




“พายุ!” ร่างเล็กหน้าแดงก่ำ ส่วนทินกรที่ยังคงไม่เคยเห็นคนรักที่ว่าของเพื่อนตัวเล็กหูผึ่งอย่างสนอกสนใจ




“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”




“ก็ถ้าขนาดแม่งแปรผันตามรูปร่างก็ใหญ่กว่าของกูกับมึงอ่ะ” พายุตอบอย่างจริงจัง อ้าแขนทำภาพประกอบให้เพื่อนเห็น




การได้เห็นทินกรมีสีหน้าเลื่อมใสกับขนาดของผู้ให้กำเนิดทำให้มีนารู้สึกอยากจะเป็นลมหนีความเป็นจริงไปเสียดื้อๆ เด็กหนุ่มร่างเล็กมองหาหัวข้อสนทนาใหม่เพื่อเปลี่ยนประเด็น ก่อนจะมาจบที่ใบหน้าที่เขาเพิ่งสังเกตว่าดูเปลี่ยนแปลงไปจากปกติเล็กน้อยของเพื่อนผิวเข้ม




“พายุ..หน้าดูเนียนขึ้นรึเปล่า?”





“เออ จริง ตอนแรกก็ว่าจะทักอยู่ ไปทำไรมาวะ?” ทินกรถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยเช่นกัน





“สังเกตด้วยเหรอวะ?” พายุเกาหลังคอด้วยสีหน้าที่มีนาไม่เคยเห็นและไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร นั่นคือสีหน้าเอียงอายราวกับสาวน้อยกำลังมีความรัก




“มีน ถ่ายรูป เร็วๆ ๆ ๆ” ทินกรกระซิบตาโต ส่วนมีนานั้นตั้งกล้องพร้อมก่อนเพื่อนจะสั่งนานแล้ว





“พอเลยพวกมึง” พายุผลักศีรษะของร่างเล็กเบาๆ “เจนเขาให้กูไปช่วยถ่ายคลิป...”





“เชี่ย...กู้ดจ้อบ” ทินกรพยักหน้าพร้อมยกนิ้วโป้งให้เพื่อนอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะโดนปาเมล็ดถั่วคั่วที่อีกฝ่ายซื้อมาด้วยอัดเข้ากลางหน้าผาก





“คลิปสอนแต่งหน้าว้อย เขาให้กูไปเป็นตัวอย่างสอนแต่งหน้าผู้ชาย ปกปิดรอยคล้ำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอไรงี้ พวกมึงนี่ไม่อินเทรนด์เลย” หนุ่มผิวเข้มกอดอกส่ายหน้ามองเพื่อนๆ ราวกับว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนนั่งจ้องขวดรองพื้นด้วยสายตาพิศวงพร้อมๆ กับพวกเขาในช่วงประกวดเดือนก่อนหน้านี้ “เพิ่มมูลค่าสินค้าไง ถึงกูจะหล่อวัวตายควายล้ม แต่ถ้ามันหล่อได้อีกก็ต้องงัดให้สุดป่ะ”





“แล้วตกลง เจนนี่กับพายุ...”





“เออ คบกันแล้ว กูยังไม่ได้บอกพวกมึงเเหรอ?” พายุขมวดคิ้วอย่างงุนงง “เออ แต่ก็ไม่แปลก เรียนเสร็จแม่งหายหัวกันเป็นว่าเล่น ไอ้ซันนี่ขนาดมีเรียนยังไม่โผล่หัวมาเลย”





“โทรศัพท์ก็มีป่ะวะ?” ทินกรเลิกคิ้ว แต่ก่อนที่พายุจะได้โต้ตอบอะไร คนในหัวข้อสนทนาก็เดินเข้ามาในลานสายตาของพวกเขาเสียก่อน พายุโบกมือให้คนรักพร้อมรอยยิ้ม ส่วนเจนวิทย์ที่สังเกตเห็นอีกฝ่ายก็หันไปพูดอะไรบางอย่างกับกลุ่มเพื่อนแล้วปลีกตัวออกมาหาพวกเขา





“โทษทีนะ เราเพิ่งเลิกอ่ะ” เจนวิทย์เอ่ยกับพายุพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ใบหน้าของเด็กหนุ่มหน้าหวานยังคงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์บางๆ ที่แม้จะไม่ได้กลืนไปกับผิวจนแยกไม่ออกเหมือนของพายุ แต่ก็สำหรับคนที่ไม่รู้จักเครื่องสำอางค์อย่างพวกเขาแล้วก็ยากจะดูออกว่ามีอะไรอยู่บนหน้านอกจากลิปกลอสสีชมพูอ่อนบนริมฝีปาก





“อื้อ ไม่เป็นไร เราซื้อข้าวมาไว้ให้แล้ว” พายุชี้ไปที่กล่องโฟมสองกล่องในถุงหิ้ว “เอาข้าวหมูแดงช่ะ”




การได้ยินคนที่แพร่พันธุ์สุนัขนานาชนิดไว้ในปากตั้งแต่รู้จักกันมาแทนตัวเองว่าเราทำให้มีนาและทินกรมองหน้ากันด้วยสีหน้าสับสน แต่เจนวิทย์เพียงแค่ยิ้มขอบคุณแล้วนั่งลงข้างแฟนของตัวเอง




“เอ่อ เจนนี่...”





“เรียกเจนก็พอ” เจนวิทย์เอ่ยขัดทินกร “พี่ๆ ช่างแต่งหน้าเขาชอบเรียกเราว่าเจนนี่จนคนอื่นเขาติดเรียกกันไปแบบนั้น แต่จริงๆ เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”




“อ๋อ ได้ๆ เราชื่อซันนะ นี่มีน ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มแนะนำตัวแล้วยื่นมือไปจับมือของเพื่อนใหม่ แต่โดนมือใหญ่ของเพื่อนตัวเองตีดังเพี๊ยะ




“ไม่ได้ กูหวง”




“พอเลย เยอะนะเราอ่ะ” เจนวิทย์ยิ้มขำ ยื่นมือไปจับมือทินกร ซึ่งหันไปฉีกยิ้มอวดเขี้ยวให้พายุอย่างมีความสุขที่แกล้งเพื่อนได้ มีนายิ้มแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่าย นึกดีใจแทนพายุที่ดูเหมือนชีวิตรักของเพื่อนจะดำเนินไปด้วยดี




“แล้วไปทำอะไรยังไงทำไมถึงได้ยอมคบกับคนอย่างพายุอ่ะ” ทินกรถาม ได้รางวัลจากเพื่อนเป็นฝ่ามืออรหันต์ตบเข้าที่กลางหลัง




“ก็…คุยกันถูกคอ พายุเขาก็น่ารักดี พอเขาขอคบเราก็เลยตอบตกลง” เจนวิทย์เล่าพร้อมรอยยิ้ม แก้มของเด็กหนุ่มแดงระเรื่อเพิ่มจากบลัชออนสีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย ทินกรและมีนากระพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจกับคำบอกเล่า ราวกับว่านั่นเป็นสิ่งที่ทั้งสองไม่รู้มาก่อนว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในการคบกับใครสักคน




“แป๊บนะ เดี๋ยวเรากลับมา” เจนวิทย์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเมื่อได้ยินเสียงสายเรียกเข้า




“อย่าไปนานนะ คิดถึง” พายุหยอดเสียงหวาน ทำเอาเพื่อนทั้งสองเบ้หน้าอย่างรับความหวานของอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อนที่เด็ก
หนุ่มผิวเข้มจะหันมาหาพวกเขาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “อะไรของพวกมึงวะ? ทำเหมือนไม่เคยมีแฟน ใครๆ เขาก็ทำกันแบบนี้ป่ะวะ?”




“เอ่อ...” มีนาพยายามหาคำตอบให้กับคำถามนั้นแต่ในหัวสมองมีเพียงความว่างเปล่า ทินกรทินกรนั้นไม่พยายามจะแก้ต่างอะไรให้ตัวเอง “เราแค่คิดว่าพายุจะ...โผงผางกว่านี้น่ะ”




“อะไร คิดว่ากูจะตีหัวเขาลากเข้าถ้ำจับปล้ำทำเมียงั้นดิ?” เด็กหนุ่มผิวเข้มถามเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนที่เสียงหัวเราะนั้นจะค่อยๆ หยุดลงเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองไม่ขำกับตัวเองด้วย “นี่พวกมึงรู้ใช่มั้ยว่าคนปกติเวลาจะหาแฟนเขาไม่ได้สปาร์คกันหนึ่งวันแล้วลากขึ้นเตียงน่ะ”




“….” มีนาตัดสินใจที่จะไม่ตอบคำถามนั้น และการเบือนหน้าหนีของทินกรยิ่งเป็นการคอนเฟิร์มสมมติฐานของพายุไปในตัว




“เฮ้ย พวกมึงจริงจังป่ะเนี่ย?”




“บางที คนเราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรตามขั้นตอนก็ได้นี่” ทินกรอ้าง พายุเลิกคิ้วราวกับจะถามว่า ‘มึงเอาจริงดิ?’ ก่อนจะถอนหายใจออกมา




“ซัน การจะคบกับใคร มันก็เหมือนมึงจะสร้างบ้านอ่ะ มึงจะลงเสาหลักก่อนหรือจะสร้างหลังคาก่อนมันก็เป็นบ้าน แต่ถ้ามึงทำงานทั้งหมดจนเสร็จโดยที่มึงไม่ลงเสาหลัก บ้านมึงก็พังง่ายกว่าบ้านที่มีไง เก็ทป่ะ”




“มัน…ก็ไม่เสมอไปหรอก ใช่มั้ย?” มีนาพยายามให้กำลังใจเพื่อนที่หน้าเสียไป แม้ว่าน้ำเสียงของเด็กหนุ่มจะไม่มีความมั่นใจเลยก็ตาม




“ก็ไม่เสมอไป” พายุยอมรับ “แต่มึงอยากเป็นกลุ่มเสี่ยงมั้ยล่ะ?”




มีนากัดริมฝีปาก แม้จะรู้ว่าในกรณีของตัวเอง เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเปลี่ยนสถานะของตัวเองจากสัตว์เลี้ยงและลูกหนี้ไปเป็นอย่างอื่น แต่การได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูดก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้น




“อีกอย่าง ถ้ามึงคิดจะจริงจังกับใครสักคน มันอยู่ที่ความเคารพในตัวเขาของมึง” พายุอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้ามึงคิดจะคบกับใครซักคนไปนานๆ มึงไม่อยากให้เขาได้ทุกอย่างที่ควรจะได้เหรอ?”




“ทุกอย่าง...” มีนาทวนคำอย่างไม่เข้าใจ




“มึงอยากให้ความทรงจำที่มองย้อนกลับมาเป็นเดทแรกที่พวกมึงคุยกัน ทำความรู้จักกัน ให้มึงได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคนที่เขาคู่ควรจะสานต่อความสัมพันธ์ด้วย หรืออยากให้มันเป็นเรื่องบนเตียงของคนสองคนที่ถ้าไม่นับเรื่องชื่อแล้วก็คนแปลกหน้าดีๆ นี่เองกันล่ะ” พายุไหวไหล่ “จริงๆ ก็ตามสะดวกพวกมึงล่ะนะ แต่กูอยากให้เจนได้ทุกอย่างที่เขาสมควรจะได้ เพราะสำหรับกู เขามีค่าขนาดนั้น”




“คุยอะไรกันเหรอ หน้าเครียดเชียว” เจนวิทย์ที่กลับมาจากการคุยโทรศัพท์ถามเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนทั้งสาม พายุหันไปยิ้มให้แฟน กลับมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างเดิม




“ก็ไอ้สองตัวนี้มันอยากรู้ว่าทำไมเราหล่อขึ้นไง เจนแนะนำมันหน่อยดิ ดูแต่ละคน หน้าตาอย่างกับซอมบี้”





นั่นก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน มีนารู้ว่าหมู่นี้ความเครียดที่สั่งสมมาเป็นเวลานานเริ่มแสดงของทางผิวพรรณและใต้ตาที่เริ่มคล้ำขึ้นของตัวเอง ถึงแม้ว่าเวลานี้เขาจะไม่ได้เครียดอย่างก่อนหน้ามากนัก แต่ความเสื่อมโทรมของร่างกายไม่ใช่สิ่งที่จะหายไปได้ทันทีทันใด และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองควรจะแก้ไขมันอย่างไร




“ของมีนง่ายนิดเดียวเอง ผิวใสอย่างกับแก้วกระจกแบบนี้แค่คอนซีลเลอร์ปิดแพนด้าก็เริ่ดละ” ผู้เชี่ยวชาญออกความเห็น



“บ่ายนี้ว่างมั้ย เดี๋ยวเราพาไปเลือกสี”




“คือ...”




“แล้วเราล่ะเจน” ทินกรเอ่ยแทรกขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พายุพุดก่อนหน้านี้แทงใจดำเด็กหนุ่มเข้าอย่างจัง “เราก็อยากลองบ้าง เราไม่อยากให้แฟนคิดว่าเราไม่ดูแลตัวเอง”




ชัดเลย...ทินกรคนคิดมากเข้าสู่วังวนของความเครียดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว





“โห ซัน หล่อขนาดนี้เราบอกตรงๆ เลยนะว่าไม่รู้จริงๆ ว่าจะแต่งอะไรเพิ่ม ขนาดขนคิ้วซันยังเรียงเป๊ะอย่างกับกันมาเลยอ่ะ” เจนวิทย์เอ่ยด้วยขบขัน “นี่ตำแหน่งเดือนหลุดจากซันมาที่พายุได้ไงอ่ะ ซันหล่อกว่าเดือนมหาลัยอีกนะรู้ตัวมั้ย”





“ไม่ขนาดนั้นหรอก” ทินกรยิ้มเจื่อนเมื่อเห็นสายตาอาฆาตของพายุ “แล้ว...เราทำอะไรได้บ้าง”





“เน้นบำรุงผิวก็ได้นะ ป้องกันการเสื่อมโทรม...” เจนวิทย์พินิจพิเคราะห์ใบหน้าหล่อเหลาอย่างงุนงง “นี่ผิวคนจริงๆ เหรอ รูขุมขนนายอยู่ตรงไหนเนี่ย”





มีนาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ไพล่นึกไปถึงคนพ่อที่แม้จะสี่สิบกว่าแล้ว แต่ผิวหน้ายังคงเหมือนกับลูกชายคนเล็กไม่มีผิด





เขารู้ดี เพราะเขาตื่นขึ้นมามองใบหน้านั้นในระยะห่างที่สามารถมองเห็นทุกรูขุมขนของมนุษย์ได้ทุกเช้า




เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้า เริ่มรู้สึกเป็นกังวลกับสภาพของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว













และแน่นอน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนเห็นตรงกันเมื่อไหร่ หายนะย่อมปรากฎกายให้เห็นเมื่อนั้น




“ซัน…ที่นี่มันที่ไหนอ่ะ”




“เรา…เราก็ไม่รู้เหมือนกัน” ทินกรกลืนน้ำลายมองแดนดินลับแลที่แผ่ไกลสุดลูกหูลูกตาตรงหน้า โซนหนึ่งของห้างสรรพสินค้าที่เขาไม่เคยย่างกรายเข้ามา “มีน...เรากลัว”




“ซันตัวโตกว่าเรานะ ซันหลบหลังเราไม่ได้หรอก” มีนากระซิบบอกเพื่อนที่แทบจะสิงอยู่ในหลังของตัวเอง หันไปยิ้มแหยให้พนักงานที่เชิญชวนให้พวกเขาทดลองสินค้าและเดินตามประกบถามว่าพวกเขาหาอะไรอยู่ซ้ำไปมาแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีคำตอบให้ ส่วนพายุนั้นเดินควงแขนกับคนรักที่เป็นคนนำทัพอย่างสบายใจ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของร่างสูงในดินแดนแห่งสีสัน





“คุณลูกค้าหาอะไรอยู่เหรอคะ”





“พี่ครับปล่อยผมไปเถอะ ผมกลัวแล้ว” ทินกรยกมือไหว้ท่วมหัวอย่างน่าสูง เล่นเอาพนักงานสาวตัวพอๆ กับมีนาปั้นหน้าไม่ถูก





“มีน มาลองอันนี้ซิ ชอบรึเปล่า”





เจนวิทย์เอ่ยเรียก ลูกแกะหลงฝูงทั้งสองรีบพุ่งตัวไปหาอีกฝ่ายทันที เจนวิทย์แตะเนื้อครีมจากหลอดใสที่บรรจุของเหลวสีเนื้อมาแตะตรงใบหน้าขาว





“ถ้าเป็นคอนซีลเลอร์ใต้ตา จะใช้อันที่สีสว่างกว่าผิวหน่อยก็ได้ จะได้ดูสดใสขึ้น ตัวนี้มีส่วนผสมของสารบำรุงด้วย น่าจะเหมาะกับมีน” เด็กหนุ่มผมยาวออกความเห็น “แต่ยังไงก็ต้องใช้สกินแคร์ควบคู่กันไปด้วยนะ ความสวยมันต้องออกมาจากภายใน”





มีนาเหลือบมองราคาจากป้ายบนเคาท์เตอร์แล้วส่ายหน้าพรืด ไม่มีทาง ต่อให้เขามีเงินเป็นของตัวเองเขาก็ไม่มีทางซื้อของราคาขนาดนี้ให้ตัวเองเด็ดขาด




“เจนเลือกเลยครับ เอาที่คิดว่าเหมาะ เดี๋ยวเราจ่ายให้” พายุเอ่ยขัดแล้วหยิบกระเป๋าตังค์ของตัวเองออกมา “เอาที่มันปิดรอยดูดรอยอะไรด้วยอันนึง”




“ไอ้ยุ!” ทินกรถองสีข้างเพื่อนด้วยแรงไม่เบานัก นี่เขาอุตส่าห์ไม่พูดแล้วนะ




“อะไรวะ? มึงจะเก็บไว้ให้เพื่อนในคณะมันเป็นคนทักรึไง” พายุเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันไปหามีนา “แล้วอีกอย่าง กูนี่แหละที่ทนมองไม่ได้ เห็นแล้วหน้าไอ้เสี่ยฝรั่งมึงก็ลอยมาทุกที แม่ง คิดว่ามึงเป็นชาไข่มุกเหรอวะ ดูดเอาๆ”




“พายุ!” คราวนี้เจนวิทย์เป็นฝ่ายปรามบ้าง ส่วนมีนาเพียงแต่ก้มหน้างุดอย่างไม่รู้จะพูดอะไร แม้เขาจะรู้ว่าพายุไม่ได้มีเจตนาร้ายและนั่นเป็นวิธีที่ปากของอีกฝ่ายทำงาน แต่เขาก็อดยกมือขึ้นปิดคออย่างเสียความมั่นใจไม่ได้




“ขอบใจนะที่เตือน...ดีกว่าให้คนอื่นมาเห็นจริงๆ นั่นแหละ” มีนาพึมพำ เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ถือสา หมู่คณะทั้งสี่ก็เดินตามหาเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้กับทั้งมีนาและทินกรต่อไป




สิ่งที่พวกเขาได้มาทั้งหมดรวมมูลค่าแล้วมากกว่าค่าเช่าแผงที่มีนาติดไว้ทั้งปีเสียอีก





“มา เดี๋ยวเราสอนแต่ง วิธีทำความสะอาดเราส่งคลิปให้แล้ว ไปเปิดดูนะ การล้างหน้าให้สะอาดจำเป็นมากนะรู้มั้ย” เจนวิทย์สอนแล้วจับมีนานั่งลงที่หน้ากระจกบานใหญ่ ก่อนจะดึงเอาของที่ซื้อมาออกมาสาธิตกับหน้าของร่างเล็ก โชคดีที่มันดูง่ายกว่าที่เขาคิดไว้มาก และวิธีการแต้มคอนซีลเลอร์เพื่อลบรอยที่ธีรเชษฐ์ทำไว้เมื่อเช้าก็ทำให้มีนารู้สึกใจชื้นขึ้นมาอีกครั้งกับการมาเรียนในแต่่ละวัน




เด็กหนุ่มมองหน้าตัวเองในกระจก ทั้งที่ดูเหมือนไม่มีเครื่องสำอางค์ได้ๆ แต่งแต้มบนใบหน้า แต่มีนากลับรู้สึกได้ว่าตัวเองดู...สะอาดตาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก





“อ่ะ นี่ลิปกลอส เราให้เป็นของขวัญ” เจนวิทย์ยื่นถุงกระดาษใบเล็กให้มีนาพร้อมรอยยิ้ม “ถึงทาไปแล้วจะดูออกว่าทา แต่มันจะทำให้ปากมีนน่าจุ๊บมากเลยนะ แฟนมีนน่าจะชอบ”




“ขะ…ขอบใจนะ” มีนารู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว ก้มหน้างุดหลบสายตาหยอกล้อของเพื่อนทั้งสาม




เขาจะไม่มีวันยอมรับหรอกว่า ก่อนที่ธีรเชษฐ์จะมารับในเย็นวันนั้น มีนาแอบเข้าไปทาลิปกลอสที่เจนวิทย์ซื้อให้ในห้องน้ำก่อนจะก้าวออกมารอร่างสูงที่จุดนัดประจำของพวกเขา












“หน้าไปโดนอะไรมา”




นั่นคือสิ่งแรกที่ธีรเชษฐ์ทักเมื่อเด็กหนุ่มก้าวเข้ามาในรถ มีนาหน้าเสียไปกับคำถามและแววตาสับสนงุนงงราวกับไม่มั่นใจว่ากำลังมองอะไรอยู่ของเจ้าชีวิต เขาไม่ได้คาดหวังให้ธีรเชษฐ์อ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึงหรือชมว่าเขาดูดีขึ้นผิดหูผิดตา แต่การถูกถามด้วยสายตาเหมือนเห็นเขาโดนยุงกัดหน้าผากแบบนี้ก็ทำให้คนตัวเล็กแอบรู้สึกน้อยใจไม่ได้




“ปะ…เปล่าครับ ไม่มีอะไร”




“จะไม่มีได้ยังไง” อีกฝ่ายจับที่หัวไหล่มนให้เด็กหนุ่มหันมามองหน้าเขาตรงๆ มือใหญ่ดึงคอเสื้อของเขา เผยให้เห็นช่วงคอขาวและบางส่วนของแผ่นอกแบนราบ




ทีแรก มีนาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการกระทำนั้น ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าดวงตาสีควันบุหรี่ที่ดูไม่สบอารมณ์นั้นกำลังกวาดมองหาอะไร




ธีรเชษฐ์กำลังมองหารอยที่ตนทำไว้บนซอกคอขาวเมื่อเช้า




“คือ…เพื่อนที่เป็นช่างแต่งหน้าเขาอยากลองแต่งหน้าให้ผู้ชายน่ะครับ…” มีนาพึมพำโกหกไม่เต็มเสียง แต่ธีรเชษฐ์ที่ยังคงแสดงสีหน้าหงุดหงิดไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ มีนาก้มหน้ามองตักของตัวเอง รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองแดงก่ำไปตลอดระยะทาง








สิ่งแรกที่มีนาทำหลังจากกลับมาถึงห้องคือการล้างเครื่องสำอางค์ทั้งหมดออกพร้อมกับอาบน้ำให้เสร็จในรอบเดียว เด็กหนุ่มเหลือบมองลิปกลอสที่เสียบอยู่ในกระเป๋าตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจหยิบมันออกมาทาบางๆ อีกครั้ง ริมฝีปากของเด็กหนุ่มใน
ตอนนี้ไม่ได้ดูชมพูกว่าปกติมากนัก แต่สิ่งที่แปลกตาไปคือความเงาวาวที่ช่วยเน้นให้ริมฝีปากอิ่มดูโดดเด่นขึ้น




ลองใหม่อีกครั้งคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง




ในตอนนี้ที่มีนาไม่มีอะไรมาดึงดูดความสนใจนอกจากรอยรักสีหวานที่ถูกปิดฝังใต้คอนซีลเลอร์ก่อนหน้านี้กลับมาเด่นชัดอีกครั้ง ริมฝีปากปากของร่างเล็กจึงกลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุด




แน่นอน มีนาไม่ได้คิดว่าคนอย่างตัวเองจะมีปัญญาทำให้คนอย่างธีรเชษฐ์หลงได้ แต่เขาแค่อยาก…พายุเรียกว่าอะไรนะ? เพิ่มมูลค่าสินค้าไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาน่าเบื่อจนเกินไป




“ทำอะไรอยู่…” เสียงทุ้มถูกกลืนหายไปในลำคอ ดวงหน้าหวานขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาคมเคลื่นลงมาหยุดที่ริมฝีปากอิ่ม ก่อนจะเคลื่อนลงไปยังร่องรอยที่ตนตามหาก่อนหน้า ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มอย่างพึงพอใจ “ค่อยดีขึ้นหน่อย”




ร่างเล็กถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนแกร่ง ริมฝีปากร้อนโฉบลงมาครอบครองริมฝีปากนิ่ม มีนารู้สึกว่าธีรเชษฐ์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่
ลิ้นร้อนจะสอดเข้ามาในโพรงปากอุ่น เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กที่พยายามโต้ตอบอย่างไม่ประสา แม้เวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ การฝึกฝนที่ได้รับจากร่างสูงจะมากแค่ไหน แต่มีนาก็ยังคงขัดเขินเกินกว่าจะเปิดใจเรียนรู้ได้มากกว่าการตอบโต้ตามสัญชาตญาณ





แต่ครั้งนี้ เขารู้สึกว่าริมฝีปากได้รูปไม่ยอมผละจากเขาง่ายๆ ธีรเชษฐ์งับริมฝีปากล่างของเด็กหนุ่มเบาๆ ดูดดึงติ่งเนื้อสีหวานราวกับมีนาเป็นลูกกวาดรสเลิศ ร่างเล็กพยายามจะผละออกแต่กลับถูกมือใหญ่กดท้ายทอยไว้ก่อนที่ลิ้นร้อนจากลากกลับมาหยอกล้อกับลิ้นเรียวเล็กอีกครั้ง





“แฮ่ก…”





กว่าธีรเชษฐ์จะยอมปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นอิสระ มีนารู้สึกว่าขาของตัวเองกลับไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาจนต้องเป็นฝ่ายคว้าแขนของ
ร่างสูงไว้เสียเอง ริมฝีปากที่บวมเจ่อจากการถูกชิมอ้าฮุบเอาอากาศหายใจอย่างเอาเป็นเอาตาย เรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอจากคนขี้แกล้งได้เป็นอย่างดี





“ปากนี่ทาอะไรมา” นิ้วหัวแม่มือของอีกฝ่ายเกลี่ยที่ริมฝีปากของมีนาเพื่อช่วยเช็ดของเหลวสีใสที่ไม่ใช่ลิปกลอสออกเบาๆ






“ลิป…ลิปมันน่ะครับ…” เด็กหนุ่มตอบเสียงเบา “พอดีได้มาฟรีก็เลย…”




“อร่อยดีนะ”




เสียงทุ้มกระซิบข้างหูของร่างเล็ก ก่อนจะผละจากมีนาที่เริ่มยืนเองได้แล้วก้าวเข้าไปในห้องน้ำบ้าง มีนาทรุดตัวลงบนเตียง มือเรียวยกขึ้นกุมหน้าอกของตัวเองที่หัวใจดวงน้อยเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก





มีนาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง มองเพดานห้องพร้อมรอยยิ้มกว้างขณะฟังเสียงน้ำไหลกระทบพื้น





เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเปิดอินเตอร์เน็ตแล้วพิมพ์ชื่อของลิปที่เจนวิทย์ให้เขามา ในเว็บไซต์ของเครื่องสำอางมีภาพของหญิงสาวหลายคนในชุดนอนเบาบางขยิยตาส่งจูบให้กล้องอย่างยั่วยวน





‘Made for your man.’




‘มอบของขวัญให้คนที่คุณรัก ด้วยริมฝีปากที่เขาไม่มีวันลืม’





เด็กหนุ่มหน้าแดงวาบกับคำเคลมที่บอกว่ากลิ่นในลิปกลอสตัวนี้ถูกสังเคราะห์ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้ได้รสสัมผัสที่ชายหนุ่มส่วนใหญ่หลงใหล เรียกได้ว่าเป็นลิปที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการถูกจูบโดยเฉพาะ




เจนนะเจน เล่นอะไรของเขาเนี่ย




มีนาส่ายหน้าแล้วกดปิดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะพลิกตัวไปหยิบลิปกลอสแท่งนั้นจากกระเป๋าตัวเองอีกครั้งแล้วแต้มเนื้อลิปลงบนริมฝีปากของตัวเองเบาๆ

















“ซื้ออะไรมาเยอะแยะน่ะซัน”




ภรัณยูที่อาบน้ำแต่งตัวในชุดนอนเสร็จเรียบร้อยแล้วถามเมื่อเห็นถุงกระดาษจากห้างสรรพสินค้าหลายถุงวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของคนรัก ทินกรที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาอย่างภาคภูมิใจ




“สกินแคร์ครับ เพื่อนผมเลือกมาให้เยอะแยะเลย”





“เหรอ…พี่ไม่เห็นซันจะเคยใช้อะไรพวกนี้เลยนี่”




ภรัณยูเปิดดูภายในถุงอย่างสนใจ




“ก็ผมไม่อยากโทรมนี่ครับ เดี๋ยวพี่ภัทรไม่รักไง” ทินกรโอบแขนรอบเอวของคนรัก ถูไถใบหน้าไปกับหน้าท้องแบนราบอย่างเอาอกเอาใจ ภรัณยูลูบศีรษะคนขี้อ้อนอย่างงุนงง วันนี้มาอารมณ์ไหนเนี่ย




“อะไรคือโทรมแล้วพี่จะไม่รัก ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนเนี่ย”




“ไม่รู้อ่ะ กันไว้ดีกว่าแก้” ทินกรเงยหน้ามองคนรักด้วยสีหน้าเป็นกังวล “พี่ภัทร ผมถามหน่อยได้มั้ยครับ?”




“อะไรเหรอ?” ภรัณยูขมวดคิ้วเมื่อจู่ๆ คนที่ทำเล่นเมื่อครู่ดันมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาเสียอย่างนั้น




“พี่ภัทรเสียใจมั้ยครับที่เราไม่ได้รู้จักกันมากกว่านี้ก่อนคืนแรกที่เรานอนด้วยกัน”




ภรัณยูพยายามเก็บซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองกับคำถามนั้น เขาไม่ใช่สาวน้อยในการ์ตูนตาหวานนะจะได้มาหน้าแดงกับคำถามแบบนี้





“ทำไมพี่ต้องเสียใจด้วย?”





“ก็ผมข้ามมันไปทั้งหมดเลยนี่นา” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “ทั้งจับมือกันครั้งแรก ได้กอดพี่ครั้งแรก หอมแก้มราตรีสวัสดิ์ครั้งแรก ของที่ผมควรจะทำก่อนหน้า ผมไม่ได้ทำให้พี่ภัทรเลยนี่ครับ”




“แล้วมันยังไงล่ะ?” ภรัณยูนั่งลงบนเตียง โอบแขนรอบไหล่กว้างของคนรัก นึกแปลกใจกับความคิดของอีกฝ่ายในวันนี้





ทินกรเล่าสิ่งที่พายุพูดกับตัวเองให้ภรัณยูฟัง ร่างโปร่งพยักหน้ารับฟังด้วยสีหน้าที่เขาอ่านไม่ออกตั้งแต่ต้นจนจบ ก่อนจะดึงแก้มของคนรักยืดขึ้นลงสุดแรงจนเด็กหนุ่มร้องโอดโอยออกมาดังลั่น




“โอ้ยอี้อัดเอ็บๆ ๆ ๆ ๆ (โอ้ยพี่ภัทรเจ็บๆ ๆ ๆ ๆ) ” คนโดนหยิกแก้มร้องโอดโอย ทว่าไม่ได้รับความเห็นใจจากคนรัก




“ดี จะได้ไม่คิดอะไรแบบนี้อีก” คนอายุมากกว่าดุด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คนเราน่ะ ถ้าไม่ได้รักกันแล้ว ต่อให้เคยมีความทรงจำดีๆ ร่วมกันแค่ไหน สุดท้ายก็เอามาเป็นเรื่องชวนทะเลาะกันได้อยู่ดีนั่นแหละ”




ทินกรยังคงมองเขาด้วยสายตาคลางแคลงใจ




“เชื่อพี่สิซัน” ภรัณยูเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “เพราะคนที่พี่ทำทุกอย่างด้วยตามลำดับขั้นตอนที่ซันว่ามา ตอนนี้เขากำลังพยายามทำทุกวิถีทางให้ชีวิตพี่ตกนรกทั้งเป็น แค่เพราะพี่เลือกที่จะไม่กลับไปเป็นความลับของเขา”




“พี่ภัทร…” ทินกรมีสีหน้าสำนึกผิด “ขอโทษนะครับ ทั้งที่พี่ภัทรมีเรื่องเครียดอยู่แล้วแท้ๆ”




“พี่น่ะ อยากคิดเรื่องของซันมากกว่าเรื่องของผู้ชายคนนั้นเยอะ เชื่อสิ” ร่างโปร่งเอ่ยยิ้มๆ “ไหน เอาของที่ซื้อมามาลองบ้างซิ”




“พี่ภัทรไม่เห็นต้องใช้เลย แค่นี้ผมก็หลงจะตายอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มแย้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ภรัณยูหัวเราะ เอื้อมไปหยิบถุงกระดาษถุงนั้นมาเทลงบนเตียงเพื่อดูว่าอีกฝ่ายซื้ออะไรมาบ้าง




” แล้วใช้เป็นเหรอเนี่ย ซื้อมาเยอะแยะเลย”




” อ่า…เจนก็สอนมาบ้างแล้วล่ะครับ ใช้ไปเรื่อยๆ น่าจะจำได้” ทินกรยิ้มเจื่อน ร่างโปร่งส่ายหัวยิ้มๆ ดึงให้อีกฝ่ายเอนตัวลงมา
นอนที่ตักของตัวเอง




“พี่ทาให้”




ถึงเขาจะไม่ได้สันทัดอะไรมากนัก แต่ภรัณยูก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลยการดูแลตัวเองขนาดวักน้ำเปล่าล้างหน้าแบบอีกฝ่าย ยิ่งหลังจากคบกับร่างสูง เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องพยายามมากขึ้น




จากหน้าเด็กแค่ไหน สังขารก็คือสังขารอยู่ดีล่ะนะ




“โห เที่ยงคืนแล้วเหรอครับเนี่ย?” เด็กสมาธิสั้นที่นอนนิ่งๆ ให้เขานวดครีมเข้าหน้าไม่เป็นเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองจากหัวเตียง





“ทำอะไรเหรอ?” ภรัณยูถาม ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ของร่างบนตัก ทินกรยิ้ม






“ทำหน้าที่ลูกที่ดีครับ”





-----------




น้องมีนนางก็ขี้อ่อยเหมือนกันนะตัว :hao6: :hao6: :hao6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด