Chapter 31: บตบก.ย่อมาจากบิวตี้บลอกเกอร์
“มีน อ้าปากๆ” มีนาเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกของทินกร ก่อนจะพบกับไส้กรอกที่ถูกยัดเข้าปากเขาโดยไม่ยินยอม ร่างเล็กเคี้ยวตุ้ยๆ แม้จะพยายามส่งสายตาเตือนเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่ก้มลงจิ้มไส้กรอกคำโตอีกคำอย่างไม่สนใจ ทำไมคนรอบข้างเขาถึงได้ชอบขุนเขาให้อ้วนอยู่เรื่อยเลยนะ
“ไอ้มีน อ้าปาก” พูดยังไม่ทันขาดคำ เพื่อนตัวสูงของเขาอีกคนก็ผลุบนั่งลงขนาบอีกฝั่งของม้านั่งพร้อมกับไข่นกกระทาดาวเต็มถาดกระดาษ จิ้มไข่นกกระทายักเข้าปากเขาที่ยังคงเคี้ยวไส้กรอกไม่หมดโดยไม่สนใจว่ามีนาจะมีพื้นที่ให้มันหรือไม่
“เราคนนะ ไม่ใช่ลิงแสม ยัดเอาๆ” คนตัวเล็กท้วงด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ หลายเดือนที่เป็นเพื่อนกันมาทำให้มีนาเรียนรู้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้เกรงกลัวอะไรเขาสักนิด ต่อให้เขาดุไปก็คงไม่มีใครสนใจ แต่หากเขาตีหน้าเศร้าทำเสียงอ่อยแบบนี้ อย่างน้อยที่สุดเขามักจะได้แรงสนับสนุนจากทินกรเสมอ
“หวา เราขอโทษนะมีน เราไม่ได้ตั้งใจ เราแค่อยากให้มีนกินเยอะๆ ...” ทินกรรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ก่อนจะหันไปหาพายุ “ว่าแต่ ลิงสมุยคืออะไรเหรอ?”
“แสมว้อย ไอ้ฝรั่งขี้นก ทีชื่อท่านเจ้าคุณในละครยาวเป็นกิโลมึงท่องได้ ละครจักรๆ วงศ์ๆ ตอนเช้านี่รู้จักทุกตัวละคร” พายุด่า ก่อนจะหันมาหามีนาด้วยสีหน้าไม่สำนึกผิด “มึงก็ด้วยมีน ไม่ต้องมาแกล้งให้ไอ้ซันรู้สึกผิดเลย กูรู้ว่าปากมึงจุได้มากกว่านั้นเยอะ กูเคยเห็นผัวมึง”
“พายุ!” ร่างเล็กหน้าแดงก่ำ ส่วนทินกรที่ยังคงไม่เคยเห็นคนรักที่ว่าของเพื่อนตัวเล็กหูผึ่งอย่างสนอกสนใจ
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็ถ้าขนาดแม่งแปรผันตามรูปร่างก็ใหญ่กว่าของกูกับมึงอ่ะ” พายุตอบอย่างจริงจัง อ้าแขนทำภาพประกอบให้เพื่อนเห็น
การได้เห็นทินกรมีสีหน้าเลื่อมใสกับขนาดของผู้ให้กำเนิดทำให้มีนารู้สึกอยากจะเป็นลมหนีความเป็นจริงไปเสียดื้อๆ เด็กหนุ่มร่างเล็กมองหาหัวข้อสนทนาใหม่เพื่อเปลี่ยนประเด็น ก่อนจะมาจบที่ใบหน้าที่เขาเพิ่งสังเกตว่าดูเปลี่ยนแปลงไปจากปกติเล็กน้อยของเพื่อนผิวเข้ม
“พายุ..หน้าดูเนียนขึ้นรึเปล่า?”
“เออ จริง ตอนแรกก็ว่าจะทักอยู่ ไปทำไรมาวะ?” ทินกรถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยเช่นกัน
“สังเกตด้วยเหรอวะ?” พายุเกาหลังคอด้วยสีหน้าที่มีนาไม่เคยเห็นและไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร นั่นคือสีหน้าเอียงอายราวกับสาวน้อยกำลังมีความรัก
“มีน ถ่ายรูป เร็วๆ ๆ ๆ” ทินกรกระซิบตาโต ส่วนมีนานั้นตั้งกล้องพร้อมก่อนเพื่อนจะสั่งนานแล้ว
“พอเลยพวกมึง” พายุผลักศีรษะของร่างเล็กเบาๆ “เจนเขาให้กูไปช่วยถ่ายคลิป...”
“เชี่ย...กู้ดจ้อบ” ทินกรพยักหน้าพร้อมยกนิ้วโป้งให้เพื่อนอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะโดนปาเมล็ดถั่วคั่วที่อีกฝ่ายซื้อมาด้วยอัดเข้ากลางหน้าผาก
“คลิปสอนแต่งหน้าว้อย เขาให้กูไปเป็นตัวอย่างสอนแต่งหน้าผู้ชาย ปกปิดรอยคล้ำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอไรงี้ พวกมึงนี่ไม่อินเทรนด์เลย” หนุ่มผิวเข้มกอดอกส่ายหน้ามองเพื่อนๆ ราวกับว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนนั่งจ้องขวดรองพื้นด้วยสายตาพิศวงพร้อมๆ กับพวกเขาในช่วงประกวดเดือนก่อนหน้านี้ “เพิ่มมูลค่าสินค้าไง ถึงกูจะหล่อวัวตายควายล้ม แต่ถ้ามันหล่อได้อีกก็ต้องงัดให้สุดป่ะ”
“แล้วตกลง เจนนี่กับพายุ...”
“เออ คบกันแล้ว กูยังไม่ได้บอกพวกมึงเเหรอ?” พายุขมวดคิ้วอย่างงุนงง “เออ แต่ก็ไม่แปลก เรียนเสร็จแม่งหายหัวกันเป็นว่าเล่น ไอ้ซันนี่ขนาดมีเรียนยังไม่โผล่หัวมาเลย”
“โทรศัพท์ก็มีป่ะวะ?” ทินกรเลิกคิ้ว แต่ก่อนที่พายุจะได้โต้ตอบอะไร คนในหัวข้อสนทนาก็เดินเข้ามาในลานสายตาของพวกเขาเสียก่อน พายุโบกมือให้คนรักพร้อมรอยยิ้ม ส่วนเจนวิทย์ที่สังเกตเห็นอีกฝ่ายก็หันไปพูดอะไรบางอย่างกับกลุ่มเพื่อนแล้วปลีกตัวออกมาหาพวกเขา
“โทษทีนะ เราเพิ่งเลิกอ่ะ” เจนวิทย์เอ่ยกับพายุพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ใบหน้าของเด็กหนุ่มหน้าหวานยังคงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์บางๆ ที่แม้จะไม่ได้กลืนไปกับผิวจนแยกไม่ออกเหมือนของพายุ แต่ก็สำหรับคนที่ไม่รู้จักเครื่องสำอางค์อย่างพวกเขาแล้วก็ยากจะดูออกว่ามีอะไรอยู่บนหน้านอกจากลิปกลอสสีชมพูอ่อนบนริมฝีปาก
“อื้อ ไม่เป็นไร เราซื้อข้าวมาไว้ให้แล้ว” พายุชี้ไปที่กล่องโฟมสองกล่องในถุงหิ้ว “เอาข้าวหมูแดงช่ะ”
การได้ยินคนที่แพร่พันธุ์สุนัขนานาชนิดไว้ในปากตั้งแต่รู้จักกันมาแทนตัวเองว่าเราทำให้มีนาและทินกรมองหน้ากันด้วยสีหน้าสับสน แต่เจนวิทย์เพียงแค่ยิ้มขอบคุณแล้วนั่งลงข้างแฟนของตัวเอง
“เอ่อ เจนนี่...”
“เรียกเจนก็พอ” เจนวิทย์เอ่ยขัดทินกร “พี่ๆ ช่างแต่งหน้าเขาชอบเรียกเราว่าเจนนี่จนคนอื่นเขาติดเรียกกันไปแบบนั้น แต่จริงๆ เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
“อ๋อ ได้ๆ เราชื่อซันนะ นี่มีน ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มแนะนำตัวแล้วยื่นมือไปจับมือของเพื่อนใหม่ แต่โดนมือใหญ่ของเพื่อนตัวเองตีดังเพี๊ยะ
“ไม่ได้ กูหวง”
“พอเลย เยอะนะเราอ่ะ” เจนวิทย์ยิ้มขำ ยื่นมือไปจับมือทินกร ซึ่งหันไปฉีกยิ้มอวดเขี้ยวให้พายุอย่างมีความสุขที่แกล้งเพื่อนได้ มีนายิ้มแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่าย นึกดีใจแทนพายุที่ดูเหมือนชีวิตรักของเพื่อนจะดำเนินไปด้วยดี
“แล้วไปทำอะไรยังไงทำไมถึงได้ยอมคบกับคนอย่างพายุอ่ะ” ทินกรถาม ได้รางวัลจากเพื่อนเป็นฝ่ามืออรหันต์ตบเข้าที่กลางหลัง
“ก็…คุยกันถูกคอ พายุเขาก็น่ารักดี พอเขาขอคบเราก็เลยตอบตกลง” เจนวิทย์เล่าพร้อมรอยยิ้ม แก้มของเด็กหนุ่มแดงระเรื่อเพิ่มจากบลัชออนสีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย ทินกรและมีนากระพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจกับคำบอกเล่า ราวกับว่านั่นเป็นสิ่งที่ทั้งสองไม่รู้มาก่อนว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในการคบกับใครสักคน
“แป๊บนะ เดี๋ยวเรากลับมา” เจนวิทย์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเมื่อได้ยินเสียงสายเรียกเข้า
“อย่าไปนานนะ คิดถึง” พายุหยอดเสียงหวาน ทำเอาเพื่อนทั้งสองเบ้หน้าอย่างรับความหวานของอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อนที่เด็ก
หนุ่มผิวเข้มจะหันมาหาพวกเขาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “อะไรของพวกมึงวะ? ทำเหมือนไม่เคยมีแฟน ใครๆ เขาก็ทำกันแบบนี้ป่ะวะ?”
“เอ่อ...” มีนาพยายามหาคำตอบให้กับคำถามนั้นแต่ในหัวสมองมีเพียงความว่างเปล่า ทินกรทินกรนั้นไม่พยายามจะแก้ต่างอะไรให้ตัวเอง “เราแค่คิดว่าพายุจะ...โผงผางกว่านี้น่ะ”
“อะไร คิดว่ากูจะตีหัวเขาลากเข้าถ้ำจับปล้ำทำเมียงั้นดิ?” เด็กหนุ่มผิวเข้มถามเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนที่เสียงหัวเราะนั้นจะค่อยๆ หยุดลงเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองไม่ขำกับตัวเองด้วย “นี่พวกมึงรู้ใช่มั้ยว่าคนปกติเวลาจะหาแฟนเขาไม่ได้สปาร์คกันหนึ่งวันแล้วลากขึ้นเตียงน่ะ”
“….” มีนาตัดสินใจที่จะไม่ตอบคำถามนั้น และการเบือนหน้าหนีของทินกรยิ่งเป็นการคอนเฟิร์มสมมติฐานของพายุไปในตัว
“เฮ้ย พวกมึงจริงจังป่ะเนี่ย?”
“บางที คนเราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรตามขั้นตอนก็ได้นี่” ทินกรอ้าง พายุเลิกคิ้วราวกับจะถามว่า ‘มึงเอาจริงดิ?’ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ซัน การจะคบกับใคร มันก็เหมือนมึงจะสร้างบ้านอ่ะ มึงจะลงเสาหลักก่อนหรือจะสร้างหลังคาก่อนมันก็เป็นบ้าน แต่ถ้ามึงทำงานทั้งหมดจนเสร็จโดยที่มึงไม่ลงเสาหลัก บ้านมึงก็พังง่ายกว่าบ้านที่มีไง เก็ทป่ะ”
“มัน…ก็ไม่เสมอไปหรอก ใช่มั้ย?” มีนาพยายามให้กำลังใจเพื่อนที่หน้าเสียไป แม้ว่าน้ำเสียงของเด็กหนุ่มจะไม่มีความมั่นใจเลยก็ตาม
“ก็ไม่เสมอไป” พายุยอมรับ “แต่มึงอยากเป็นกลุ่มเสี่ยงมั้ยล่ะ?”
มีนากัดริมฝีปาก แม้จะรู้ว่าในกรณีของตัวเอง เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเปลี่ยนสถานะของตัวเองจากสัตว์เลี้ยงและลูกหนี้ไปเป็นอย่างอื่น แต่การได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูดก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้น
“อีกอย่าง ถ้ามึงคิดจะจริงจังกับใครสักคน มันอยู่ที่ความเคารพในตัวเขาของมึง” พายุอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้ามึงคิดจะคบกับใครซักคนไปนานๆ มึงไม่อยากให้เขาได้ทุกอย่างที่ควรจะได้เหรอ?”
“ทุกอย่าง...” มีนาทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
“มึงอยากให้ความทรงจำที่มองย้อนกลับมาเป็นเดทแรกที่พวกมึงคุยกัน ทำความรู้จักกัน ให้มึงได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคนที่เขาคู่ควรจะสานต่อความสัมพันธ์ด้วย หรืออยากให้มันเป็นเรื่องบนเตียงของคนสองคนที่ถ้าไม่นับเรื่องชื่อแล้วก็คนแปลกหน้าดีๆ นี่เองกันล่ะ” พายุไหวไหล่ “จริงๆ ก็ตามสะดวกพวกมึงล่ะนะ แต่กูอยากให้เจนได้ทุกอย่างที่เขาสมควรจะได้ เพราะสำหรับกู เขามีค่าขนาดนั้น”
“คุยอะไรกันเหรอ หน้าเครียดเชียว” เจนวิทย์ที่กลับมาจากการคุยโทรศัพท์ถามเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนทั้งสาม พายุหันไปยิ้มให้แฟน กลับมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างเดิม
“ก็ไอ้สองตัวนี้มันอยากรู้ว่าทำไมเราหล่อขึ้นไง เจนแนะนำมันหน่อยดิ ดูแต่ละคน หน้าตาอย่างกับซอมบี้”
นั่นก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน มีนารู้ว่าหมู่นี้ความเครียดที่สั่งสมมาเป็นเวลานานเริ่มแสดงของทางผิวพรรณและใต้ตาที่เริ่มคล้ำขึ้นของตัวเอง ถึงแม้ว่าเวลานี้เขาจะไม่ได้เครียดอย่างก่อนหน้ามากนัก แต่ความเสื่อมโทรมของร่างกายไม่ใช่สิ่งที่จะหายไปได้ทันทีทันใด และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองควรจะแก้ไขมันอย่างไร
“ของมีนง่ายนิดเดียวเอง ผิวใสอย่างกับแก้วกระจกแบบนี้แค่คอนซีลเลอร์ปิดแพนด้าก็เริ่ดละ” ผู้เชี่ยวชาญออกความเห็น
“บ่ายนี้ว่างมั้ย เดี๋ยวเราพาไปเลือกสี”
“คือ...”
“แล้วเราล่ะเจน” ทินกรเอ่ยแทรกขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พายุพุดก่อนหน้านี้แทงใจดำเด็กหนุ่มเข้าอย่างจัง “เราก็อยากลองบ้าง เราไม่อยากให้แฟนคิดว่าเราไม่ดูแลตัวเอง”
ชัดเลย...ทินกรคนคิดมากเข้าสู่วังวนของความเครียดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“โห ซัน หล่อขนาดนี้เราบอกตรงๆ เลยนะว่าไม่รู้จริงๆ ว่าจะแต่งอะไรเพิ่ม ขนาดขนคิ้วซันยังเรียงเป๊ะอย่างกับกันมาเลยอ่ะ” เจนวิทย์เอ่ยด้วยขบขัน “นี่ตำแหน่งเดือนหลุดจากซันมาที่พายุได้ไงอ่ะ ซันหล่อกว่าเดือนมหาลัยอีกนะรู้ตัวมั้ย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” ทินกรยิ้มเจื่อนเมื่อเห็นสายตาอาฆาตของพายุ “แล้ว...เราทำอะไรได้บ้าง”
“เน้นบำรุงผิวก็ได้นะ ป้องกันการเสื่อมโทรม...” เจนวิทย์พินิจพิเคราะห์ใบหน้าหล่อเหลาอย่างงุนงง “นี่ผิวคนจริงๆ เหรอ รูขุมขนนายอยู่ตรงไหนเนี่ย”
มีนาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ไพล่นึกไปถึงคนพ่อที่แม้จะสี่สิบกว่าแล้ว แต่ผิวหน้ายังคงเหมือนกับลูกชายคนเล็กไม่มีผิด
เขารู้ดี เพราะเขาตื่นขึ้นมามองใบหน้านั้นในระยะห่างที่สามารถมองเห็นทุกรูขุมขนของมนุษย์ได้ทุกเช้า
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้า เริ่มรู้สึกเป็นกังวลกับสภาพของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว
และแน่นอน เมื่อพวกเขาทั้งสามคนเห็นตรงกันเมื่อไหร่ หายนะย่อมปรากฎกายให้เห็นเมื่อนั้น
“ซัน…ที่นี่มันที่ไหนอ่ะ”
“เรา…เราก็ไม่รู้เหมือนกัน” ทินกรกลืนน้ำลายมองแดนดินลับแลที่แผ่ไกลสุดลูกหูลูกตาตรงหน้า โซนหนึ่งของห้างสรรพสินค้าที่เขาไม่เคยย่างกรายเข้ามา “มีน...เรากลัว”
“ซันตัวโตกว่าเรานะ ซันหลบหลังเราไม่ได้หรอก” มีนากระซิบบอกเพื่อนที่แทบจะสิงอยู่ในหลังของตัวเอง หันไปยิ้มแหยให้พนักงานที่เชิญชวนให้พวกเขาทดลองสินค้าและเดินตามประกบถามว่าพวกเขาหาอะไรอยู่ซ้ำไปมาแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีคำตอบให้ ส่วนพายุนั้นเดินควงแขนกับคนรักที่เป็นคนนำทัพอย่างสบายใจ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของร่างสูงในดินแดนแห่งสีสัน
“คุณลูกค้าหาอะไรอยู่เหรอคะ”
“พี่ครับปล่อยผมไปเถอะ ผมกลัวแล้ว” ทินกรยกมือไหว้ท่วมหัวอย่างน่าสูง เล่นเอาพนักงานสาวตัวพอๆ กับมีนาปั้นหน้าไม่ถูก
“มีน มาลองอันนี้ซิ ชอบรึเปล่า”
เจนวิทย์เอ่ยเรียก ลูกแกะหลงฝูงทั้งสองรีบพุ่งตัวไปหาอีกฝ่ายทันที เจนวิทย์แตะเนื้อครีมจากหลอดใสที่บรรจุของเหลวสีเนื้อมาแตะตรงใบหน้าขาว
“ถ้าเป็นคอนซีลเลอร์ใต้ตา จะใช้อันที่สีสว่างกว่าผิวหน่อยก็ได้ จะได้ดูสดใสขึ้น ตัวนี้มีส่วนผสมของสารบำรุงด้วย น่าจะเหมาะกับมีน” เด็กหนุ่มผมยาวออกความเห็น “แต่ยังไงก็ต้องใช้สกินแคร์ควบคู่กันไปด้วยนะ ความสวยมันต้องออกมาจากภายใน”
มีนาเหลือบมองราคาจากป้ายบนเคาท์เตอร์แล้วส่ายหน้าพรืด ไม่มีทาง ต่อให้เขามีเงินเป็นของตัวเองเขาก็ไม่มีทางซื้อของราคาขนาดนี้ให้ตัวเองเด็ดขาด
“เจนเลือกเลยครับ เอาที่คิดว่าเหมาะ เดี๋ยวเราจ่ายให้” พายุเอ่ยขัดแล้วหยิบกระเป๋าตังค์ของตัวเองออกมา “เอาที่มันปิดรอยดูดรอยอะไรด้วยอันนึง”
“ไอ้ยุ!” ทินกรถองสีข้างเพื่อนด้วยแรงไม่เบานัก นี่เขาอุตส่าห์ไม่พูดแล้วนะ
“อะไรวะ? มึงจะเก็บไว้ให้เพื่อนในคณะมันเป็นคนทักรึไง” พายุเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันไปหามีนา “แล้วอีกอย่าง กูนี่แหละที่ทนมองไม่ได้ เห็นแล้วหน้าไอ้เสี่ยฝรั่งมึงก็ลอยมาทุกที แม่ง คิดว่ามึงเป็นชาไข่มุกเหรอวะ ดูดเอาๆ”
“พายุ!” คราวนี้เจนวิทย์เป็นฝ่ายปรามบ้าง ส่วนมีนาเพียงแต่ก้มหน้างุดอย่างไม่รู้จะพูดอะไร แม้เขาจะรู้ว่าพายุไม่ได้มีเจตนาร้ายและนั่นเป็นวิธีที่ปากของอีกฝ่ายทำงาน แต่เขาก็อดยกมือขึ้นปิดคออย่างเสียความมั่นใจไม่ได้
“ขอบใจนะที่เตือน...ดีกว่าให้คนอื่นมาเห็นจริงๆ นั่นแหละ” มีนาพึมพำ เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ถือสา หมู่คณะทั้งสี่ก็เดินตามหาเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้กับทั้งมีนาและทินกรต่อไป
สิ่งที่พวกเขาได้มาทั้งหมดรวมมูลค่าแล้วมากกว่าค่าเช่าแผงที่มีนาติดไว้ทั้งปีเสียอีก
“มา เดี๋ยวเราสอนแต่ง วิธีทำความสะอาดเราส่งคลิปให้แล้ว ไปเปิดดูนะ การล้างหน้าให้สะอาดจำเป็นมากนะรู้มั้ย” เจนวิทย์สอนแล้วจับมีนานั่งลงที่หน้ากระจกบานใหญ่ ก่อนจะดึงเอาของที่ซื้อมาออกมาสาธิตกับหน้าของร่างเล็ก โชคดีที่มันดูง่ายกว่าที่เขาคิดไว้มาก และวิธีการแต้มคอนซีลเลอร์เพื่อลบรอยที่ธีรเชษฐ์ทำไว้เมื่อเช้าก็ทำให้มีนารู้สึกใจชื้นขึ้นมาอีกครั้งกับการมาเรียนในแต่่ละวัน
เด็กหนุ่มมองหน้าตัวเองในกระจก ทั้งที่ดูเหมือนไม่มีเครื่องสำอางค์ได้ๆ แต่งแต้มบนใบหน้า แต่มีนากลับรู้สึกได้ว่าตัวเองดู...สะอาดตาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“อ่ะ นี่ลิปกลอส เราให้เป็นของขวัญ” เจนวิทย์ยื่นถุงกระดาษใบเล็กให้มีนาพร้อมรอยยิ้ม “ถึงทาไปแล้วจะดูออกว่าทา แต่มันจะทำให้ปากมีนน่าจุ๊บมากเลยนะ แฟนมีนน่าจะชอบ”
“ขะ…ขอบใจนะ” มีนารู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว ก้มหน้างุดหลบสายตาหยอกล้อของเพื่อนทั้งสาม
เขาจะไม่มีวันยอมรับหรอกว่า ก่อนที่ธีรเชษฐ์จะมารับในเย็นวันนั้น มีนาแอบเข้าไปทาลิปกลอสที่เจนวิทย์ซื้อให้ในห้องน้ำก่อนจะก้าวออกมารอร่างสูงที่จุดนัดประจำของพวกเขา
“หน้าไปโดนอะไรมา”
นั่นคือสิ่งแรกที่ธีรเชษฐ์ทักเมื่อเด็กหนุ่มก้าวเข้ามาในรถ มีนาหน้าเสียไปกับคำถามและแววตาสับสนงุนงงราวกับไม่มั่นใจว่ากำลังมองอะไรอยู่ของเจ้าชีวิต เขาไม่ได้คาดหวังให้ธีรเชษฐ์อ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึงหรือชมว่าเขาดูดีขึ้นผิดหูผิดตา แต่การถูกถามด้วยสายตาเหมือนเห็นเขาโดนยุงกัดหน้าผากแบบนี้ก็ทำให้คนตัวเล็กแอบรู้สึกน้อยใจไม่ได้
“ปะ…เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
“จะไม่มีได้ยังไง” อีกฝ่ายจับที่หัวไหล่มนให้เด็กหนุ่มหันมามองหน้าเขาตรงๆ มือใหญ่ดึงคอเสื้อของเขา เผยให้เห็นช่วงคอขาวและบางส่วนของแผ่นอกแบนราบ
ทีแรก มีนาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการกระทำนั้น ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าดวงตาสีควันบุหรี่ที่ดูไม่สบอารมณ์นั้นกำลังกวาดมองหาอะไร
ธีรเชษฐ์กำลังมองหารอยที่ตนทำไว้บนซอกคอขาวเมื่อเช้า
“คือ…เพื่อนที่เป็นช่างแต่งหน้าเขาอยากลองแต่งหน้าให้ผู้ชายน่ะครับ…” มีนาพึมพำโกหกไม่เต็มเสียง แต่ธีรเชษฐ์ที่ยังคงแสดงสีหน้าหงุดหงิดไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ มีนาก้มหน้ามองตักของตัวเอง รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองแดงก่ำไปตลอดระยะทาง
สิ่งแรกที่มีนาทำหลังจากกลับมาถึงห้องคือการล้างเครื่องสำอางค์ทั้งหมดออกพร้อมกับอาบน้ำให้เสร็จในรอบเดียว เด็กหนุ่มเหลือบมองลิปกลอสที่เสียบอยู่ในกระเป๋าตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจหยิบมันออกมาทาบางๆ อีกครั้ง ริมฝีปากของเด็กหนุ่มใน
ตอนนี้ไม่ได้ดูชมพูกว่าปกติมากนัก แต่สิ่งที่แปลกตาไปคือความเงาวาวที่ช่วยเน้นให้ริมฝีปากอิ่มดูโดดเด่นขึ้น
ลองใหม่อีกครั้งคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ในตอนนี้ที่มีนาไม่มีอะไรมาดึงดูดความสนใจนอกจากรอยรักสีหวานที่ถูกปิดฝังใต้คอนซีลเลอร์ก่อนหน้านี้กลับมาเด่นชัดอีกครั้ง ริมฝีปากปากของร่างเล็กจึงกลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุด
แน่นอน มีนาไม่ได้คิดว่าคนอย่างตัวเองจะมีปัญญาทำให้คนอย่างธีรเชษฐ์หลงได้ แต่เขาแค่อยาก…พายุเรียกว่าอะไรนะ? เพิ่มมูลค่าสินค้าไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาน่าเบื่อจนเกินไป
“ทำอะไรอยู่…” เสียงทุ้มถูกกลืนหายไปในลำคอ ดวงหน้าหวานขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาคมเคลื่นลงมาหยุดที่ริมฝีปากอิ่ม ก่อนจะเคลื่อนลงไปยังร่องรอยที่ตนตามหาก่อนหน้า ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มอย่างพึงพอใจ “ค่อยดีขึ้นหน่อย”
ร่างเล็กถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนแกร่ง ริมฝีปากร้อนโฉบลงมาครอบครองริมฝีปากนิ่ม มีนารู้สึกว่าธีรเชษฐ์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่
ลิ้นร้อนจะสอดเข้ามาในโพรงปากอุ่น เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กที่พยายามโต้ตอบอย่างไม่ประสา แม้เวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ การฝึกฝนที่ได้รับจากร่างสูงจะมากแค่ไหน แต่มีนาก็ยังคงขัดเขินเกินกว่าจะเปิดใจเรียนรู้ได้มากกว่าการตอบโต้ตามสัญชาตญาณ
แต่ครั้งนี้ เขารู้สึกว่าริมฝีปากได้รูปไม่ยอมผละจากเขาง่ายๆ ธีรเชษฐ์งับริมฝีปากล่างของเด็กหนุ่มเบาๆ ดูดดึงติ่งเนื้อสีหวานราวกับมีนาเป็นลูกกวาดรสเลิศ ร่างเล็กพยายามจะผละออกแต่กลับถูกมือใหญ่กดท้ายทอยไว้ก่อนที่ลิ้นร้อนจากลากกลับมาหยอกล้อกับลิ้นเรียวเล็กอีกครั้ง
“แฮ่ก…”
กว่าธีรเชษฐ์จะยอมปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นอิสระ มีนารู้สึกว่าขาของตัวเองกลับไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาจนต้องเป็นฝ่ายคว้าแขนของ
ร่างสูงไว้เสียเอง ริมฝีปากที่บวมเจ่อจากการถูกชิมอ้าฮุบเอาอากาศหายใจอย่างเอาเป็นเอาตาย เรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอจากคนขี้แกล้งได้เป็นอย่างดี
“ปากนี่ทาอะไรมา” นิ้วหัวแม่มือของอีกฝ่ายเกลี่ยที่ริมฝีปากของมีนาเพื่อช่วยเช็ดของเหลวสีใสที่ไม่ใช่ลิปกลอสออกเบาๆ
“ลิป…ลิปมันน่ะครับ…” เด็กหนุ่มตอบเสียงเบา “พอดีได้มาฟรีก็เลย…”
“อร่อยดีนะ”
เสียงทุ้มกระซิบข้างหูของร่างเล็ก ก่อนจะผละจากมีนาที่เริ่มยืนเองได้แล้วก้าวเข้าไปในห้องน้ำบ้าง มีนาทรุดตัวลงบนเตียง มือเรียวยกขึ้นกุมหน้าอกของตัวเองที่หัวใจดวงน้อยเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก
มีนาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง มองเพดานห้องพร้อมรอยยิ้มกว้างขณะฟังเสียงน้ำไหลกระทบพื้น
เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเปิดอินเตอร์เน็ตแล้วพิมพ์ชื่อของลิปที่เจนวิทย์ให้เขามา ในเว็บไซต์ของเครื่องสำอางมีภาพของหญิงสาวหลายคนในชุดนอนเบาบางขยิยตาส่งจูบให้กล้องอย่างยั่วยวน
‘Made for your man.’
‘มอบของขวัญให้คนที่คุณรัก ด้วยริมฝีปากที่เขาไม่มีวันลืม’
เด็กหนุ่มหน้าแดงวาบกับคำเคลมที่บอกว่ากลิ่นในลิปกลอสตัวนี้ถูกสังเคราะห์ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้ได้รสสัมผัสที่ชายหนุ่มส่วนใหญ่หลงใหล เรียกได้ว่าเป็นลิปที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการถูกจูบโดยเฉพาะ
เจนนะเจน เล่นอะไรของเขาเนี่ย
มีนาส่ายหน้าแล้วกดปิดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะพลิกตัวไปหยิบลิปกลอสแท่งนั้นจากกระเป๋าตัวเองอีกครั้งแล้วแต้มเนื้อลิปลงบนริมฝีปากของตัวเองเบาๆ
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะน่ะซัน”
ภรัณยูที่อาบน้ำแต่งตัวในชุดนอนเสร็จเรียบร้อยแล้วถามเมื่อเห็นถุงกระดาษจากห้างสรรพสินค้าหลายถุงวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของคนรัก ทินกรที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาอย่างภาคภูมิใจ
“สกินแคร์ครับ เพื่อนผมเลือกมาให้เยอะแยะเลย”
“เหรอ…พี่ไม่เห็นซันจะเคยใช้อะไรพวกนี้เลยนี่”
ภรัณยูเปิดดูภายในถุงอย่างสนใจ
“ก็ผมไม่อยากโทรมนี่ครับ เดี๋ยวพี่ภัทรไม่รักไง” ทินกรโอบแขนรอบเอวของคนรัก ถูไถใบหน้าไปกับหน้าท้องแบนราบอย่างเอาอกเอาใจ ภรัณยูลูบศีรษะคนขี้อ้อนอย่างงุนงง วันนี้มาอารมณ์ไหนเนี่ย
“อะไรคือโทรมแล้วพี่จะไม่รัก ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนเนี่ย”
“ไม่รู้อ่ะ กันไว้ดีกว่าแก้” ทินกรเงยหน้ามองคนรักด้วยสีหน้าเป็นกังวล “พี่ภัทร ผมถามหน่อยได้มั้ยครับ?”
“อะไรเหรอ?” ภรัณยูขมวดคิ้วเมื่อจู่ๆ คนที่ทำเล่นเมื่อครู่ดันมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“พี่ภัทรเสียใจมั้ยครับที่เราไม่ได้รู้จักกันมากกว่านี้ก่อนคืนแรกที่เรานอนด้วยกัน”
ภรัณยูพยายามเก็บซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองกับคำถามนั้น เขาไม่ใช่สาวน้อยในการ์ตูนตาหวานนะจะได้มาหน้าแดงกับคำถามแบบนี้
“ทำไมพี่ต้องเสียใจด้วย?”
“ก็ผมข้ามมันไปทั้งหมดเลยนี่นา” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “ทั้งจับมือกันครั้งแรก ได้กอดพี่ครั้งแรก หอมแก้มราตรีสวัสดิ์ครั้งแรก ของที่ผมควรจะทำก่อนหน้า ผมไม่ได้ทำให้พี่ภัทรเลยนี่ครับ”
“แล้วมันยังไงล่ะ?” ภรัณยูนั่งลงบนเตียง โอบแขนรอบไหล่กว้างของคนรัก นึกแปลกใจกับความคิดของอีกฝ่ายในวันนี้
ทินกรเล่าสิ่งที่พายุพูดกับตัวเองให้ภรัณยูฟัง ร่างโปร่งพยักหน้ารับฟังด้วยสีหน้าที่เขาอ่านไม่ออกตั้งแต่ต้นจนจบ ก่อนจะดึงแก้มของคนรักยืดขึ้นลงสุดแรงจนเด็กหนุ่มร้องโอดโอยออกมาดังลั่น
“โอ้ยอี้อัดเอ็บๆ ๆ ๆ ๆ (โอ้ยพี่ภัทรเจ็บๆ ๆ ๆ ๆ) ” คนโดนหยิกแก้มร้องโอดโอย ทว่าไม่ได้รับความเห็นใจจากคนรัก
“ดี จะได้ไม่คิดอะไรแบบนี้อีก” คนอายุมากกว่าดุด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คนเราน่ะ ถ้าไม่ได้รักกันแล้ว ต่อให้เคยมีความทรงจำดีๆ ร่วมกันแค่ไหน สุดท้ายก็เอามาเป็นเรื่องชวนทะเลาะกันได้อยู่ดีนั่นแหละ”
ทินกรยังคงมองเขาด้วยสายตาคลางแคลงใจ
“เชื่อพี่สิซัน” ภรัณยูเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “เพราะคนที่พี่ทำทุกอย่างด้วยตามลำดับขั้นตอนที่ซันว่ามา ตอนนี้เขากำลังพยายามทำทุกวิถีทางให้ชีวิตพี่ตกนรกทั้งเป็น แค่เพราะพี่เลือกที่จะไม่กลับไปเป็นความลับของเขา”
“พี่ภัทร…” ทินกรมีสีหน้าสำนึกผิด “ขอโทษนะครับ ทั้งที่พี่ภัทรมีเรื่องเครียดอยู่แล้วแท้ๆ”
“พี่น่ะ อยากคิดเรื่องของซันมากกว่าเรื่องของผู้ชายคนนั้นเยอะ เชื่อสิ” ร่างโปร่งเอ่ยยิ้มๆ “ไหน เอาของที่ซื้อมามาลองบ้างซิ”
“พี่ภัทรไม่เห็นต้องใช้เลย แค่นี้ผมก็หลงจะตายอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มแย้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ภรัณยูหัวเราะ เอื้อมไปหยิบถุงกระดาษถุงนั้นมาเทลงบนเตียงเพื่อดูว่าอีกฝ่ายซื้ออะไรมาบ้าง
” แล้วใช้เป็นเหรอเนี่ย ซื้อมาเยอะแยะเลย”
” อ่า…เจนก็สอนมาบ้างแล้วล่ะครับ ใช้ไปเรื่อยๆ น่าจะจำได้” ทินกรยิ้มเจื่อน ร่างโปร่งส่ายหัวยิ้มๆ ดึงให้อีกฝ่ายเอนตัวลงมา
นอนที่ตักของตัวเอง
“พี่ทาให้”
ถึงเขาจะไม่ได้สันทัดอะไรมากนัก แต่ภรัณยูก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลยการดูแลตัวเองขนาดวักน้ำเปล่าล้างหน้าแบบอีกฝ่าย ยิ่งหลังจากคบกับร่างสูง เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องพยายามมากขึ้น
จากหน้าเด็กแค่ไหน สังขารก็คือสังขารอยู่ดีล่ะนะ
“โห เที่ยงคืนแล้วเหรอครับเนี่ย?” เด็กสมาธิสั้นที่นอนนิ่งๆ ให้เขานวดครีมเข้าหน้าไม่เป็นเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองจากหัวเตียง
“ทำอะไรเหรอ?” ภรัณยูถาม ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ของร่างบนตัก ทินกรยิ้ม
“ทำหน้าที่ลูกที่ดีครับ”
-----------
น้องมีนนางก็ขี้อ่อยเหมือนกันนะตัว