บทที่ 19
ม่านหมอกกลางใจ
F o g g y ‘ s T a l kผมเดินออกจากโรงแรมมายังริมชายหาดพร้อมกับบลูที่ยังไม่ตื่นเต็มตา ตอนนี้ท้องฟ้ายังคงมืดแต่ก็พอเห็นทางรำไร ผมดึงมือบลูให้นั่งลงที่ริมหาดข้างกัน หัวทุยๆก็ซบไหล่ผมแล้วหลับตาลง
“ง่วงจัง”
“แล้วใครบอกอยากมาดูพระอาทิตย์ขึ้นล่ะหืม?”
“ไม่รู้สิ...แต่ตอนนี้ง่วงมากเลย”
ผมยิ้มให้กับคำตอบของคนขี้เซา เกลี่ยปอยผมที่ปรกใบหน้าของบลูออกแล้วทัดที่ใบหู ลมทะเลยามเช้ามืดพัดผ่านหน้าให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย ผมมองท้องทะเลสีดำตรงหน้าแล้วก็ปล่อยใจให้คิดถึงเรื่องราวที่อยู่ในหัวตลอดทั้งคืนอีกครั้ง
ความจริงแล้วผมยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ ผมนอนลืมตาอยู่ในความมืดอย่างนั้นทั้งคืน ความทรงจำในวันแรกที่ได้เจอกับบลูค่อยๆไหลย้อนกลับเข้ามาให้ผมได้พิจารณาอีกครั้งว่าผมรักบลูไม่มากพอเหรอ...ผมแสดงออกน้อยไปหรือยังไง...
ทำไมบลูถึงไม่เชื่อใจผม
นั้นคือสิ่งที่ติดค้างในใจมาตลอดทั้งคืน จนถึงตีห้านาฬิกาปลุกก็ร้องดังขึ้น ผมสะดุ้งเบาๆแล้วปิดเสียงโทรศัพท์ ปลุกคนที่นอนขดในผ้าห่มให้มาดูพระอาทิตย์ขึ้นตามที่ขอ และสุดท้ายบลูก็มานั่งซบไหล่ผมแล้วหลับทั้งอย่างนั้น
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคุยกับใครเหมือนไอ้ควันที่แทบจะได้ผู้หญิงทั้งโรงเรียนเป็นแฟน ยอมรับว่ามีคนเข้ามาทัก เข้ามาคุยเรื่อยๆ แต่เพราะผมไม่ได้สนใจในเรื่องอย่างนี้สักเท่าไร สุดท้ายพวกผู้หญิงที่ทักมาก็ห่างออกไปเอง...ดังนั้นชีวิตของผมในช่วงมัธยมนั้นจึงมีแต่หนังสือ บาสเกตบอล และโรงเรียนกวดวิชาเท่านั้น
และเมื่อผมรู้สึกอยากจริงจังกับใครสักคนขึ้นมา และใครคนนั้นก็คือคนที่ผมประทับใจตั้งแต่ม.5 นั้นจึงทำให้ผมไม่ลังเลที่จะเข้าหา เข้าไปจีบก่อนโดยที่บลูก็ตั้งตัวไม่ทัน ผมคิดว่าบลูก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมเช่นกัน ความสัมพันธ์ของเราค่อยๆพัฒนาขึ้นและในที่สุดเราก็เลื่อนสถานะเป็นแฟนกันในเวลาต่อมา
บลูคือแฟนคนแรกของผม...ผมไม่รู้เลยว่าควรจะต้องทำยังไง ผมจึงพยายามเทคแคร์ เอาใจใส่...ผมให้ใจเขาไปเต็มร้อย ให้ใจเขามากที่สุดเพื่อให้บลูมั่นใจว่าผมรักเขาจริง แต่ผมกลับไม่รู้ว่าเลยว่าบลูให้ใจผมมากเท่าที่ผมให้เขารึเปล่า...
เราคบกันอย่างนี้มานานแล้ว มีบ้างที่ผมรู้สึกขุ่นข้องใจ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรและปล่อยผ่าน
จนถึงเมื่อคืนที่มันชัดเจนแล้วว่า...บางทีบลูอาจจะไม่ได้รักผมมากขนาดนั้น...
ผมกลับมาถึงที่กรุงเทพฯในช่วงเย็น ติดรถไอ้เพลิงให้มาส่งที่คอนโดก่อนที่มันจะกลับไปพร้อมกับบลูเนื่องจากว่าอยู่คอนโดเดียวกัน พอขึ้นมาถึงห้องก็อดแปลกใจไม่ได้ที่วันนี้เห็นไอ้ควันที่ห้อง ช่วงหลังๆมานี้ผมไม่ค่อยเห็นหน้ามันเลยครับ จนวันก่อนที่มันเดินดุ่มๆเข้ามาถามว่า ‘กูจะไปหัวหิน มึงจะไปด้วยมั้ย’ นั้นแหละครับ ผมพึ่งเห็นหน้าฝาแฝดตัวเองในรอบหนึ่งอาทิตย์ แล้วพอตอบตกลงจะไปด้วย มันก็ชิ่งหนีกลับก่อนอีก ผมเลยต้องติดรถของมหา’ลัยกลับมาอย่างนี้ไง
“วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ อะไรดลใจให้มึงอยู่ห้องวะ”
ผมถามแล้วเดินเอากระเป๋าไปเก็บด้วยก่อนจะมานั่งข้างมันที่โซฟาหน้าทีวี ใบหน้าที่เหมือนผมแทบทุกส่วนยังคงจ้องอยู่หน้าทีวีเช่นเดิมก่อนจะเปล่งเสียงขึ้น
“กูโดนไล่กลับห้องล่ะ ไปอยู่ห้องเขานานเกิน”
“สรุปว่าคนนี้จริงจังใช่มั้ยวะ...เป็นแฟนกันยังล่ะ”
ผมลองถาม ถึงช่วงนี้เราจะไม่ค่อยเจอกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้เรื่องของควันเลย ก็พอรู้มาบ้างว่าช่วงนี้มันกำลังติดเพื่อนสนิทคนนั้นของมัน ยิ่งพอได้เห็นอาการนิ่งๆขรึมๆของมันเมื่อวานตอนที่จ้องไอติมผมก็รู้แล้วว่ากับคนนี้มันคงจริงจังมาก ไม่งั้นมันคงไม่ตามไปเฝ้าถึงที่หัวหินจนต้องลากผมไปด้วยหรอก
“ยังหรอก จะได้เป็นมั้ยก็ไม่รู้...ว่าแต่มึงเถอะ เป็นไงบ้างแฟนคนแรกน่ะ”
ควันหันมาถามบ้าง พอได้ยินคำถามของควันก็ทำผมชะงัก เพราะเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในใจทำให้ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของมันยังไงดี
“ทะเลาะกันเหรอ”
ควันถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเงียบ ผมหันมองหน้ามันแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆแทนคำตอบ
“เปล่าหรอก เราไม่ได้ทะเลาะกัน...แต่กูแค่รู้สึกสับสนว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของกูกับบลูมันคืออะไรกันแน่ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่กูคิดว่าเรารักกันจริงๆรึเปล่า”
“ทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้น กูก็เห็นว่ามึงกับบลูรักกันดีนี่”
“ใครๆก็คิดก็เหมือนมึงสินะ...ตอนแรกกูก็คิดอย่างนั้น แต่บางครั้งกูก็รู้สึกเหมือนกับว่าบลูยังไม่เปิดใจรับกูขนาดนั้น มันเหมือนมีกำแพงบางๆที่คั่นกูไว้ไม่ให้เข้าไปในใจบลูได้จริงๆ...มึงน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่ากู...มึงว่ากูควรทำไงดีวะ”
ผมขอความเห็นจากควัน เพราะผมรู้ว่ามันโชกโชนเรื่องอย่างนี้มากกว่าผมเสียอีก บางทีถ้าขอคำปรึกษาจากมันผมคงจะหาทางออกจากเรื่องนี้ได้ เผื่อว่าความขุ่นข้องในใจของผมจะได้จางหายไปเสียที
“แล้วทำไมพวกมึงไม่เปิดใจคุยกันล่ะ มึงจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจคนเดียวไปทำไม ถึงตอนนี้มึงจะปล่อยมันผ่านไป แต่ถ้าถึงจุดหนึ่งที่มึงรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้วเลิกกันไป กูว่าถึงตอนนั้นคนที่จะเสียใจมันไม่ได้มีแค่มึงคนเดียว...”
“...”
“มึงลองคิดดูว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามึงติดเขามากเกินไปรึเปล่า มึงใช้เวลากับบลูมากเกินไปจนบลูไม่ได้ให้ความสำคัญกับมึงเท่าที่ควรรึเปล่า...มึงลองถอยออกมาสักก้าวดูสิ ถ้าเขาใส่ใจมึง เขาจะรู้ว่ามึงเปลี่ยนไป และตอนนั้นพวกมึงก็เปิดใจคุยกันดีๆ มีอะไรก็ทำความเข้าใจกันซะ มึงไม่ชอบอะไรก็บอก ไม่ใช่เก็บไว้ในใจคนเดียวอย่างนี้”
“...”
“กูไม่รู้หรอกนะว่าพวกมึงคบกันยังไง...แน่นอนว่านิสัยแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอก แต่ในเมื่อพวกมึงรักกัน คบกันแล้วอยากให้ความสัมพันธ์มันยั่งยืน มันก็ต้องยอมกันบ้าง อย่าเอาแต่ตัวเองมากเกินไป คิดถึงใจอีกคนด้วย...กูพูดรวมๆนะ มึงก็คิดเอาแล้วกันว่าจะทำยังไงต่อไป ถ้ามีอะไรให้กูช่วยก็บอกแล้วกัน”
.
..
...
ตั้งแต่กลับมาจากหัวหินคราวนั้น ผมก็รู้สึกว่าระหว่างผมกับหมอกมันมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเพราะผมคิดมากไปเองรึเปล่า...อาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้เจอหมอกน้อยลงอย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะใกล้ถึงเวลาแข่งกีฬาระหว่างคณะทำให้หมอกต้องซ้อมบาสเกตบอลทุกเย็น ทำให้เวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันก็น้อยลงตามไปด้วย แต่นั้นมันไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ผมคิดไม่ตกจนถึงตอนนี้
สิ่งที่ทำให้ผมเครียดก็คือแววตาของหมอกที่เปลี่ยนไปมากกว่า ผมสัมผัสได้ว่าเวลาที่ผมมองดวงตาเรียวคู่นั้น มันเต็มไปด้วยความอึดอัดที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร ความเงียบและความอึมครึมระหว่างเราที่มันค่อยๆก่อตัวขึ้นมันทำให้ผมเริ่มอยู่ไม่สุข อยากจะถามว่าหมอกเป็นอะไรแต่ผมก็ไม่มีความกล้าพอสักที
“มึงเป็นอะไรวะบลู กูเห็นมึงถอนหายใจทิ้งหลายรอบแล้วนะ”
ว่านที่นั่งกินขนมไปพลางอ่านการ์ตูนในมือไปเงยหน้าขึ้นมาถามผม ตอนนี้ผมมานั่งอยู่ในห้องของว่านเพราะอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกฟุ้งซ่าน แต่สุดท้ายพอมานั่งเล่นที่ห้องว่านผมก็ยังไม่สามารถเลิกคิดเรื่องของหมอกได้เลย
“กูมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยอ่ะ มึงอย่าสนใจกูเลย”
ว่าแล้วผมก็ซุกหน้าลงกับหมอนที่กอดเอาไว้ นอนกอดหมอนด้วยหัวตื้อๆเพราะยังคิดไม่ตกเรื่องของหมอก จนได้ยินเสียงว่านปิดหนังสือการ์ตูนแล้วมืออุ่นๆก็ลูบเส้นผมของผมเบาๆ
“เล่าให้กูฟังสิ เผื่อกูพอจะแนะนำอะไรมึงได้บ้าง อย่างน้อยถ้ากูช่วยอะไรมึงไม่ได้ มึงก็ยังได้ระบายความอึดอัดในใจของมึงนะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองว่านที่ยังคงมองผมด้วยความเป็นห่วง มันทำให้ผมที่กำลังรู้สึกอ่อนไหวในเวลานี้รู้สึกร้อนที่ขอบตาจนอยากจะร้องไห้ ผมไม่เคยเครียดขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกว่าการรักใครสักคนมันยากขนาดนี้มาก่อน
“กู...กูไม่รู้ว่าหมอกเป็นอะไร หลังกลับมาจากหัวหินกูสัมผัสได้ว่าหมอกเปลี่ยนไป หมอกเงียบลงจนผิดสังเกต แชทก็ไม่ค่อยจะตอบ ช่วงนี้ก็ซ้อมบาสทุกเย็นเราเลยไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนเดิม แต่กูก็ไม่กล้าถามว่าหมอกเป็นอะไร”
“แล้วทำไมมึงไม่ถามล่ะ เก็บไว้ในใจคนเดียวแล้วมึงมานั่งร้องไห้กับกูนี่น่ะเหรอ”
ว่านถามผมกลับ พอนึกถึงหน้าของหมอกที่มักจะมีรอยยิ้มจางๆอยู่ตลอด แต่ในตอนนี้กลับเรียบเฉยนั้นก็ทำให้ผมไม่กล้าเอ่ยปากถามแล้ว
“ก็...กูไม่กล้าถามอ่ะ” ผมเอ่ยเสียงอ่อย แล้วก้มหน้าลงมองดูมือตัวเองที่บีบกันจนขาวซีดอย่างเครียดๆ
“ถ้ามึงยังไม่อยากถาม มึงก็ลองคิดดูก่อนสิว่าอะไรทำให้หมอกของมึงเปลี่ยนไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไอ้หมอกมันมีชู้ มันก็เหลือเหตุผลเดียวก็คือตัวมึงเอง...มึงลองนึกดูว่าที่ผ่านมามึงทำอะไรไปบ้าง มึงเต็มที่กับความรักครั้งนี้ของมึงรึเปล่า กูแนะนำอะไรมึงมากไม่ได้หรอกบลูเพราะกูไม่ใช่มึง”
“...”
“แต่ถ้าไอ้หมอกมันมีชู้แล้วมันเทมึง มาบอกกู เดี๋ยวกูช่วยมึงจัดการเอง”
หลังจากได้คำแนะนำจากว่าน ผมก็กลับมานั่งคิดนอนคิดอีกครั้งว่าผมพลาดอะไร...เพราะผมรู้ว่าหมอกไม่ใช่คนที่จะไปมีชู้อย่างที่ว่านพูด ผมจึงกลับมานั่งมองตัวเองอีกครั้ง พิจารณาว่าผมผิดพลาดตรงไหน ผมทำอะไรผิดไปถึงทำให้เรื่องทุกอย่างมาถึงจุดนี้
นั่งคิดอย่างนั้นจนค่ำผมก็ยังคิดไม่ออก จึงตัดสินใจเดินออกจากห้องแล้วไปที่คอนโดของหมอกเสียเลย เป็นไงเป็นกัน ผมไม่อยากให้เราเป็นอย่างนี้อีกแล้ว ผมไม่ชอบความอึดอัดที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่อยากให้ระหว่างเราห่างกันไปมากกว่านี้อีกแล้ว...
มาถึงที่คอนโดของหมอกผมก็ยืนนิ่งที่หน้าห้องสักพัก สูดลมหายใจเข้าแล้วก็เคาะประตูห้องสามที ยืนรออยู่อึดใจประตูก็เปิดออกมา แต่คนตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่อยู่ในหัวของผมมาตลอดทั้งวัน
“มาหาหมอกเหรอ”
“อืม...หมอกอยู่ห้องรึเปล่าควัน”
“มันไปซ้อมบาสยังไม่กลับมาเลย...เข้ามาก่อนสิ”
ควันเปิดประตูให้ผม แต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ตอนนี้ผมไม่อยากรอแล้ว ผมเลยยิ้มให้ควันก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวเราไปหาหมอกที่มอเลยดีกว่า”
ผมว่าก่อนจะรีบเรียกแทกซี่ให้ไปส่งที่มหา’ลัย เมื่อแทกซี่จอดลงที่หน้าโรงยิมแล้วผมก็เดินไปหน้าประตูทางเข้า แอบส่องเข้าไปก็เห็นว่านักกีฬาหลายคนยังคงเล่นบาสอยู่แม้ว่าตอนนี้จะดึกมากแล้ว
ผมมองหาหมอกไม่นานก็เห็นร่างสูงที่วิ่งเลี้ยงลูกบาสอยู่กลางสนาม ยืนมองอยู่อย่างนั้นเพราะไม่กล้าเดินเข้าไปในสนามจนกระทั่งมีแรงสะกิดจากด้านหลังจึงทำให้ผมสะดุ้งแล้วหันไปมองอย่างตกใจ
“อ่าว เพลิงเองเหรอ”
ผมมองเพลิงที่อยู่ในชุดกีฬาเช่นเดียวกับทุกคนในโรงยิม ใบหน้าหล่อนั้นมีรอยยิ้มกว้างก่อนจะถามผม
“มาหาหมอกเหรอ...ทำไมไม่เข้าไปอ่ะ”
“ไม่เป็นไร รออยู่ตรงนี้ดีกว่า...แล้วอีกนานมั้ยกว่าจะเลิกซ้อม”
“ไม่นานหรอก นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว เดี๋ยวก็เลิกแล้วเนี่ย เข้าไปนั่งรอด้านในดีกว่า ยืนอยู่มืดๆอย่างนี้ยุงกัดขาลายหมด” เพลิงว่าแล้วก็จับแขนผมลากให้เข้าไปในโรงยิมด้วยกัน และในตอนนั้นเสียงนกหวีดก็เป่าหมดเวลาพอดี นักกีฬาในสนามจึงเดินออกมา และหมอกก็เห็นแล้วว่าผมกำลังเดินเข้ามาในโรงยิมพร้อมกับเพลิง
“วันนี้มีคนมาให้กำลังใจเหรอครับเพื่อนหมอก”
เสียงเพื่อนๆคนอื่นแซวหมอก แต่ใบหน้าหล่อนั้นกลับเพียงแค่ยิ้มบางๆและไม่ได้พูดอะไร ผมมองหมอกที่ยกน้ำขึ้นกระดกจนหมดขวดแล้วก็เข้าไปฟังโค้ชพูดเกี่ยวกับการซ้อมที่ผ่านมา ผมจึงนั่งรอเงียบๆอยู่ประมาณสิบนาทีโค้ชจึงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ ผมรอจนหมอกเก็บของหมดแล้วก็เดินเข้าไปหาคนที่ยังคงเงียบอยู่
“หมอก...”
“กลับกันเถอะ”
หมอกพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินนำผมออกจากโรงยิม ผมเดินตามหมอกไปจนถึงที่ลานจอดรถเงียบๆ ความอึดอัดมันค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัวจนผมเริ่มหายใจไม่ออก ผมมองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยที่เคลื่อนรถออกจากโรงยิม ในความมืดผมมองไม่เห็นหรอกว่าสีหน้าของหมอกในตอนนี้มันเป็นยังไง และผมก็คิดว่าผมเริ่มจะทนไม่ไหวกับความอึดอัดเหล่านี้แล้ว
“มาหาถึงโรงยิมมีอะไรเหรอ”
หมอกถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมเผลอกัดปากตัวเองแล้วเลียรอบริมฝีปากอย่างเครียดๆ ก่อนจะหันมาหมอกอีกครั้ง
“หมอก...เออ...หิวรึยัง กินอะไรก่อนดีมั้ย ซ้อมมาเหนื่อยๆไม่ใช่เหรอ”
สุดท้ายผมก็ยังไม่กล้าที่จะถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไป เลยได้แต่ถามอะไรโง่ๆออกไปแบบนั้น
“อืม ก็หิวอยู่ ว่าจะกลับไปต้มมาม่ากินที่ห้องแล้วก็จะเข้านอนเลย”
“งั้นไปกินที่ห้องเราดีมั้ย...เราต้มมาม่าอร่อยนะ”
ผมรีบถือโอกาสนี้แล้วชวนหมอกทันที ไม่รู้ว่าคำตอบของหมอกจะเป็นยังไงเพราะหมอกยังคงเงียบ นั่งตัวเกร็งอยู่อย่างนั้นจนมาถึงที่คอนโดของผม แล้วผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อหมอกเลี้ยวเข้าที่ลานจอดรถและดับเครื่องยนต์ลง
“คืนนี้ฝากท้องด้วยแล้วกันนะ”
.
.
.
ผมต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจนเสร็จก็ตักเส้นบะหมี่ลงถ้วย เทน้ำซุปลงแล้วตามด้วยไข่ต้มยางมะตูม แล้วยกถ้วยมาวางบนโต๊ะที่หมอกนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว
“มาม่าต้มยำกุ้งได้แล้ว ในตู้เย็นมีแค่ไข่อ่ะ พอกินได้เนอะ”
“อืม กินได้อยู่แล้ว”
ผมนั่งมองหมอกที่หยิบตะเกียบแล้วคีบเส้นบะหมี่เข้าปากแล้วตามด้วยน้ำซุปร้อนๆ ผ่านไปไม่ถึงสองนาทีถ้วยบะหมี่ก็เหลือเพียงถ้วยเปล่าเท่านั้น
“อิ่มมั้ย มีแอปเปิ้ลอยู่ในตู้เย็นด้วยนะเผื่ออยากกิน” ผมถามคนที่นั่งลูบท้องอยู่ตรงข้ามกัน แล้วเดินไปเปิดเอากล่องแอปเปิ้ลที่ปอกไว้มาวางบนโต๊ะ หมอกหยิบกินเพียงสามชิ้นก็ปิดกล่องแอปเปิ้ลคืนให้ผม
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะ เดี๋ยวก็คงกลับแล้วล่ะ ดึกแล้วเราไม่อยากรบกวนบลูไปมากกว่านี้”
ผมมองหมอกที่ลุกจากเก้าอี้แล้วเตรียมจะเก็บของกลับ ผมเลยเผลอลุกตามแล้วยืนมองแผ่นหลังกว้างที่อยู่ตรงหน้าแต่มันดูเหมือนจะห่างไกลผมออกไปทุกที ผมจึงขยับเข้าไปใกล้หมอกก่อนจะดึงปลายเสื้อบาสตรงหน้าเบาๆ
“ไม่กลับไม่ได้เหรอ...”
“...”
“คืนนี้ค้างที่นี่ได้มั้ย”
.
..
...
ผมเดินไปหาคนที่นั่งอยู่ที่หน้าทีวีหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ไม่เหมือนทุกครั้งที่หมอกจะกระโดดขึ้นบนเตียงของผมแล้วทำตัวเหมือนเจ้าของเตียงเสียเอง คุณบราวน์ที่หมอกมักจะหยิบไปกอดก็ยังนอนแอ้งแม้งอยู่ที่เตียงของผมเช่นเดิม
“ทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องล่ะหมอก”
ผมถามคนที่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ เมื่อหมอกได้ยินคำถามของผมก็ชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหาผมที่ยืนมองอยู่
“ไม่ดีกว่า นอนตรงนี้แหละเราไม่อยากให้บลูอึดอัดใจ”
“อึดอัดอะไรเหรอหมอก คนที่ควรจะอึดอัดควรเป็นเรามากกว่ามั้ย”
คำว่าอึดอัดใจของหมอกราวกับสลักปลดล็อคความรู้สึกในใจของผมทั้งหมด จากที่กลัวและไม่กล้าที่จะถามหมอกในคราแรก ผมก็โพล่งขึ้นกลางความเงียบทันที ผมมองดวงตาเรียวที่เคยมีแต่ความอบอุ่น แต่ตอนนี้มันกลับเรียบนิ่งและเย็นชาจนผมเริ่มหนาวสั่น ผมจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
“หมอก...อย่าเงียบได้มั้ย เราทำอะไรผิดหรือทำให้หมอกไม่พอใจงั้นเหรอ มีอะไรก็พูดกันตรงๆได้มั้ย”
“...”
“เราอึดอัดจะตายอยู่แล้วนะหมอก คุยกันดีๆเถอะนะได้โปรด”
ผมถามออกไปแล้วสิ่งที่ผมเก็บไว้ในใจมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมองคนที่ลุกขึ้นเต็มความสูงตรงหน้า รอคอยว่าหมอกจะพูดอย่างไร แต่แล้วร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปกอดจนแน่น ผมที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับสัมผัสนี้ได้แต่ยืนอึ้งในอ้อมกอดของหมอกอยู่อย่างนั้น
“อยากรู้ใช่มั้ยว่าทำถึงเป็นอย่างนี้”
เสียงทุ้มถามคืน ผมรีบพยักหน้าแล้วกอดเอวหมอกไว้จนแน่น รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ จนผมต้องซุกหน้ากับไหล่ของหมอกเอาไว้เพราะไม่อยากร้องไห้ตอนนี้
“งั้นเราขอถามอะไรบลูสักอย่างได้มั้ย”
“ถามอะไรเหรอ”
“บลูรักเราบ้างรึเปล่า”คำถามของหมอกเหมือนค้อนปอนด์หนักๆทุบหัวของผมจนตาพร่าเบลอไปหมด ผมผละตัวออกมาจากอ้อมกอดแล้วมองใบหน้าหล่อตรงหน้าให้ชัดๆแม้ว่าตอนนี้จะมีม่านน้ำตาจนแทบมองอะไรไม่เห็นแล้ว
“หมอก...ทำไมถึงพูดอย่างนั้น...ทำไมเราจะไม่รัก...”
“ถามใจตัวเองดูดีๆก่อนจะตอบเถอะบลู เรารอได้”
หมอกพูดสวนกลับมาก่อนที่ผมจะพูดจบ ผมมองหมอกอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมหมอกถึงคิดอย่างนั้น ถึงจะให้เวลาผมคิดนานแค่ไหน คำตอบในใจของผมก็ยังคงตอบคำเดิมว่าผมรักหมอก ทำไมหมอกถึงคิดแบบนั้นหรือว่าผมแสดงออกไม่มากพองั้นเหรอ...
“ไม่ว่าจะให้เวลาคิดนานแค่ไหน...คำตอบของเรามันก็ชัดเจนเสมอว่าความรู้สึกที่มีต่อหมอกมันคือความรัก”
“ถ้ารักกันทำไมไม่เชื่อใจกันล่ะบลู”
“...”
“หลายครั้งที่เรารู้สึกว่ามีเพียงแค่เราที่พยายามเข้าหาบลู หลายครั้งที่เรารู้สึกว่ามีเพียงแค่เรารึเปล่าที่ทุ่มเต็มร้อยให้กับความรักครั้งนี้...จนบางทีเราก็คิดว่าบลูอาจจะไม่ได้รักเรามากขนาดนั้น ถ้าลองห่างออกมาสักนิดเผื่อจะได้รู้ว่าที่จริงแล้วความรู้สึกของบลูจริงๆแล้วมันคืออะไร”
คำพูดของหมอกทำให้ผมได้แต่เงียบ เพราะยังอึ้งกับสิ่งที่หมอกบอก พอได้รู้ว่าหมอกคิดอะไร เรื่องราวต่างๆระหว่างผมและหมอกก็ค่อยๆไหลเข้ามาให้ผมได้นึกย้อนกลับไปอีกครั้งว่าสิ่งที่หมอกพูดมันจริงหรือไม่ แม้จะไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่เคยทำลงไปนั้นทำให้หมอกเก็บมาคิดจนทำให้ความสัมพันธ์ของเรามาถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะให้หมอกเข้าใจอย่างนั้นอีกแล้ว
“เราชอบบลูมานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงมัธยมในวันที่ฝนตก วันนั้นที่บลูให้ยืมร่มมันคือความประทับใจแรกของเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราแอบมองบลูมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ปล่อยเวลาเสียไปเปล่าๆถึงสองปีโดยไม่ทำอะไร พอมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเราเลยไม่ยอมอยู่เฉยๆเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว...”
“...”
“เราดีใจนะที่ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนมาถึงจุดนี้ จากความชอบมันถลำลึกจนเป็นคำว่ารักไปแล้ว เราคิดว่าบลูก็คงจะคิดเหมือนกับเรา แต่ในหลายๆครั้งเราก็สงสัยว่าบลูรักเราจริงรึเปล่า ลองถามใจตัวเองดูดีๆนะบลู…ถ้ามันไม่ใช่ความรักแต่มันเป็นแค่ความหลง เราก็พร้อมที่จะหยุด...ถึงแม้เราจะเจ็บแค่ไหนก็ตาม”
ผมนิ่งอึ้งกับเรื่องที่ได้รู้ ทั้งอึ้งที่หมอกจำได้ว่าผมคือคนที่ให้ร่มในวันที่ฝนตก อึ้งที่รู้ว่าหมอกก็ชอบผมมาตั้งแต่สมัยมัธยม และอึ้งกับประโยคสุดท้ายของหมอกที่บอกว่าจะยอมเลิกกับผมถ้าความรู้สึกจริงๆของผมมันไม่ใช่ความรัก...
“ทำไมเราจะไม่รักหมอกล่ะ...เรายอมทิ้งมหา’ลัยที่เราอยากเข้าแต่แรกเพื่อมาอยู่ที่นี่ก็เพราะหมอก ที่เราลงประกวดดาว-เดือนก็เพราะหมอก เราพยายามทำตัวเองให้ดูดีก็เพราะหมอก ฮึก...จนมาถึงวันนี้มีเรามีหมอกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว สำหรับเรามันเลยคำว่าหลงไปนานแล้วนะหมอก”
ผมพูดทั้งน้ำตาก่อนจะพุ่งเข้ากอดร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง กอดแน่นๆเพราะกลัวคนตรงหน้าจะทิ้งกันไป ก่อนที่หมอกจะกอดตอบผมกลับมา ผมซบหน้าลงกับไหล่หนาแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น เพราะไม่รู้จะระบายความเครียดที่ก่อตัวขึ้นมาทางไหน สุดท้ายจึงต้องเผยความอ่อนแอออกมาอย่างนี้
“หมอก...ฮึก...ขอโทษนะ...ขอโทษที่ทำตัวอย่างนั้น ขอโทษที่ทำให้หมอกต้องคิดมาก ขอโทษที่ไม่เชื่อใจ...แต่อย่าโกรธกันได้มั้ย ฮึก”
ผมยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น เสื้อของหมอกเลอะเป็นดวงเพราะน้ำตาของผมแต่ผมก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด ยิ่งมือหนาลูบแผ่นหลังผมเบาๆราวกับปลอบใจยิ่งทำให้ผมเสียใจ
“ไม่ต้องขอโทษหรอก บลูไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย”
“ฮึก...กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย...ไม่เอาแล้วแบบนี้ ไม่ชอบเลย”
ผมผละออกมามองหน้าหมอกแล้วขอร้องร่างสูงตรงหน้า ได้เห็นรอยยิ้มจางๆของหมอกที่เริ่มกลับมาแล้ว มือหนาเกลี่ยน้ำตาผมออกจากดวงตาทำให้ผมมองเห็นหมอกชัดขึ้น แววตาอบอุ่นที่เคยเป็นของผมมันกลับมาแล้ว...
“อืม...กลับมาเป็นเหมือนเดิมดีกว่า ไม่ชอบเลยที่เห็นบลูร้องไห้อย่างนี้”
“สัญญาว่าต่อไปนี้จะเป็นบลูคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม จะไม่ทำให้หมอกเสียใจอีกแล้วนะ”
ผมยิ้มทั้งน้ำตา แล้วชูนิ้วก้อยขึ้นเกี่ยวก้อยกับคนตัวสูงแล้วหมอกก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผมอีกครั้ง สิ่งเล็กๆน้อยๆที่หมอกทำให้มันทำให้ผมอุ่นใจจนรู้ตัวอีกทีก็พบว่าผมเสพติดหมอกไปเสียแล้ว แค่คิดว่าถ้าผมยังปล่อยให้เรามึนตึงใส่กัน ไม่ยอมเดินเข้ามาหมอกเสียก่อน ไม่ยอมปรับความเข้าใจกันเสียที ผมคงจะไม่ได้รับความอ่อนโยนอย่างนี้อีกแล้ว แค่คิดอย่างนั้นผมก็รู้สึกใจหายขึ้นมาเสียดื้อๆ และชั่ววินาทีนั้นความคิดบ้าๆก็พุ่งเข้ามาในหัวของผม
“หมอก...”
“หืม?”
ผมตัดสินใจเขย่งเท้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าหล่อ ริมฝีปากของผมแตะลงเบาๆที่กลีบปากของคนตรงหน้า หมอกยังคงยืนนิ่งจนผมใจเสีย ผมจึงผละริมฝีปากออกช้าๆแต่ห่างเพียงไม่ถึงคืบผมก็ถูกรวบกอดแน่นก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะทาบทับลงมาอีกครั้ง ผมเงยหน้ารับจูบหวานที่ไม่ได้สัมผัสมานาน หลับตาลงซึมซับสัมผัสหอมหวานและค่อยๆผละออกเมื่อลมหายใจใกล้หมด
หลังจากผละออกจากจูบหวานๆ และในตอนนั้นผมก็ได้รู้ว่าหมอกก็คิดถึงผมไม่แพ้กัน และมันยิ่งทำให้ความกล้าของผมเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณ
ผมมองดวงตาเรียวที่สะท้อนเพียงแค่เงาของผมอีกครั้ง ก่อนจะพูดเสียงแผ่วประชิดริมฝีปากหนาเบาๆ
“เราเชื่อใจหมอกนะ”
“...”
“มาทำให้คืนนี้เป็นความทรงจำที่ดีของเรากันเถอะ”
tbc.
ดราม่าในตอน จบในตอน
ตอนต่อไปเตรียมตัวขึ้นเรือสำเภาเจ้าค่ะ
พี่หมอกของเราไม่นกแล้ว