' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--  (อ่าน 118979 ครั้ง)

ออฟไลน์ Dearbliss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

บทที่ 18
พ่อบ้านใจกล้า



ผม หมอก และเพลิงเดินทางมาถึงที่เพลินวานในเวลาต่อมา เรื่องของควันกับไอติมก็หายไปจากสมองทันทีเมื่อได้เจอเมืองย้อนยุคตรงหน้าซึ่งทำให้หวนคิดถึงช่วงเวลาเด็กๆที่เลือนหายไปตามกาลเวลา ผมเผลอจูงมือหมอกนำไปยังร้านที่ขายไอติมหลอด พวกเราสั่งไอติมคนละไม่ต่ำกว่าห้าแท่ง เดินกินไอติมไปแล้วก็ลากทั้งหมอกและเพลิงไปยิงปืน ปาเป้า ปาห่วงอีก เล่นกันเพลินจนไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว รู้แค่ว่าพระอาทิตย์ตกดินเรียบร้อย

“ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กันมั้ย”

ผมเสนอความคิดเห็น ตาวาวระยับเมื่อมองชิงช้าสวรรค์ตรงหน้า นานมากแล้วที่ผมไม่ได้นั่งถ้าได้นั่งกับหมอกและเพลิงสักครั้งก็คงดี

“กูก็อยากนั่งอยู่นะ แต่ว่ากูต้องไปแล้วว่ะ” เพลิงบอกด้วยสีหน้าเสียดาย

“ไปไหนของมึง” หมอกถามแทนความสงสัยในใจผม ส่วนผมก็จ้องรอฟังคำตอบของเพลิงด้วย

“แฟนกูมาหาน่ะ จอดรถรออยู่ด้านหน้าแล้วด้วย”

“แล้วมึงจะเทพวกกูเหรอ” ผมถามกลับ นี่พวกเรายังเที่ยวไม่ครบเลย ไอ้คนอยากมาที่สุดมันกลับจะเทพวกผมอย่างนั้นเหรอ

“ก็ไม่ได้เทมั้ยวะ กูก็มากับพวกมึงอยู่นี่ไง แค่กลับก่อนเท่านั้นเอง ดีซะอีก พวกมึงจะได้มีเวลาสวีทกัน กูไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ ดีจะตายเนอะไอ้หมอก” เพลิงพูดรัวเร็วก่อนจะพยายามหาพรรคพวก แต่หมอกกลับยืนนิ่งเงียบไม่ต่างจากผม ดูแล้วก็คงโกรธเพลิงไม่น้อยจากผมหรอกที่มันเทเราทั้งสองคนอย่างนี้

“จะไปไหนก็ไปเลยมึง ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดให้เมื่อยปากอย่างนี้”

“ฮือออออ ขอบคุณครับคุณหมอกที่เข้าใจ เดี๋ยวกลับกรุงเทพกูจะเลี้ยงเหล้ามึงเลย ไปแล้วน๊า”

พูดจบก็รีบเดินฝ่าฝูงคนออกไปทันที ผมกับหมอกยืนมองจนเพลิงหายไปจากกรอบสายตาก็หันมามองหน้ากันเมื่อไม่รู้จะไปไหนกันต่อดี เพราะคนวางแผนทริปในครั้งนี้เทพวกเราไปแล้วเรียบร้อย

“ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กันเถอะ หลังจากนั้นค่อยคิดต่อว่าจะไปไหนดี”

หมอกว่าก่อนจะจูงมือผมนำไปยังชิงช้าสวรรค์ เมื่อเข้าไปนั่งในกระเช้าและเริ่มลอยขึ้นบนฟ้า หมอกก็หยิบกล้องมาถ่ายวิวด้านล่างไปพลางๆ ส่วนผมก็ใช้ดวงตาเก็บภาพความทรงจำทั้งหมดไว้ในใจ ได้เห็นเมืองจำลองที่ทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งแล้วทำให้ผมรู้สึกดีจริงๆ

แชะ!

ผมสะดุ้งเพราะเสียงชัตเตอร์ หันกลับมามองหมอกที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอีกครั้ง

“แอบถ่ายอีกแล้วนะ” ผมพูดไปงั้นแหละ ความจริงนั้นผมชินแล้วที่หมอกชอบแอบถ่ายตอนผมเผลออย่างนี้ ไม่รู้ว่าที่ถ่ายไปผมหน้าตาเป็นยังไง ก็หวังว่าถ้าหมอกรักกันจริงคงจะลบรูปขี้เหร่ๆของผมออกไปจากกล้องแล้วกัน

“ดูดีจะตายไป ดูสิ” พูดไม่พอ ยังโชว์ผลงานของตัวเองให้ผมดูอีก

ยอมรับเลยว่าหมอกพัฒนาฝีมือในการถ่ายภาพได้รวดเร็วมากๆ ตั้งแต่ที่หมอกลากผมไปซื้อเลนส์ตัวใหม่มาถ่ายภาพแนวพอร์ตเทรตและเริ่มหัดถ่ายโบเก้ วันๆผมก็เห็นหมอกนั่งแต่งรูปท้องฟ้า ต้นไม้ ใบหญ้าที่ไปถ่ายเล่นแล้วก็อัพลงไอจีเก็บเป็นผลงานตัวเอง ผมนับถือความพยายามของหมอกที่ไม่ยอมหยุดพัฒนาตัวเองจริงๆ

“เดี๋ยวเอาไปดึงแสง แล้วปรับสีอีกนิดหน่อยก็อัพลงไอจีได้ล่ะ จะเอารูปมั้ย เดี๋ยวส่งให้”

“เอาสิ ไม่งั้นคิดค่าเป็นนายแบบให้นะ” ผมแกล้งพูดไปอย่างนั้น หมอกก็หัวเราะร่วน ดวงตาเรียวจ้องมองผมก่อนจะเปล่งประโยคที่มีอานุภาพทำลายล้างผมอีกครั้ง

“คิดเลยสิ จะให้จ่ายเท่าไรก็ว่ามา ให้จ่ายทั้งชีวิตเลยก็ได้”




.

..

...



วันนี้ผมเริ่มถ่ายงานตั้งแต่เช้า พี่ๆก็เตรียมกล้องบ้าง จัดสถานที่กันบ้าง แพลนตอนแรกที่บอกว่าจะมีถ่ายใต้น้ำก็ยกเลิกไปแล้วเพราะสถานที่ไม่พร้อม พวกเราจึงถ่ายกันที่ริมชายหาดเท่านั้น

ผมสูดอากาศสดชื่นยามเช้าที่ไม่ค่อยได้รู้สึกอย่างนี้มากนักในกรุงเทพ มองเพลิงที่กำลังวิ่งมาจากโรงแรมด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบ...เมื่อวานมันคงจะมีความสุขมากกับแฟนมันมากสินะ ทำเอาผมอยากเห็นเลยว่าพี่สายธารนั้นหน้าตาเป็นยังไง ส่วนไอติมที่ผมบังเอิญได้รู้ความลับอะไรบางอย่างเมื่อวาน ตอนนี้ก็กำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าประโคมใบหน้าที่ซีดโทรมของเจ้าตัวให้ดูดีขึ้นอยู่ ตอนแรกที่ผมเห็นไอติมเดินเข้ามาในกองถ่ายผมก็รู้สึกสงสารเจ้าตัวไม่น้อย แววตากลมใสนั้นมันหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางการเดินก็เหมือนคนที่จะล้มเอาเมื่อไรก็ได้ ผมไม่อยากนึกเลยว่าเมื่อวานควันทำอะไรกับคนที่น่ารักขนาดนี้ไปมากแค่ไหนกัน

“น้องบลูมาแต่งหน้าได้แล้วจ๊ะ”

เสียงของพี่ทรายเรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ผมสะดุ้งเบาๆก่อนจะขานรับเธอ เมื่อเดินเข้าไปนั่งข้างไอติมที่ยังคงนั่งหลับตาอยู่ที่เดิม ผมก็หันไปมองพี่ทรายเป็นเชิงถามว่าไอติมเป็นอะไร

“ไอติมรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ พี่เลยให้นั่งพักอยู่ที่นี่แหละ”

“อ๋อ” ผมมองด้วยความเป็นห่วง ไอติมก็ยังนั่งหลับตาอยู่อย่างนั้น และสุดท้ายผมก็ถูกพี่ๆดึงความสนใจจากไอติมเพื่อแต่งหน้าให้ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาขึ้นมาบ้าง

การถ่ายในช่วงเช้าเป็นการถ่ายเฉพาะกลุ่มของปีหนึ่ง พวกผมเลยไม่เกร็งกันมากเพราะก็สนิทกันมาตั้งแต่ช่วงประกวดอยู่แล้ว ผมหยิบขยะที่ใช้เป็นพร็อพขึ้นมาแล้วพูดแต่ประโยคเดิมๆจนกว่าพี่หมูซึ่งเป็นผู้กำกับจะพอใจ ถ่ายกันทั้งแบบโคลสอัพและแบบมุมกว้าง จนพระอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ พี่หมูถึงได้สั่งพักกอง คิวของพวกผมก็หมดลงเพราะตอนบ่ายจะถ่ายกลุ่มของรุ่นพี่ และตอนเย็นเราถึงจะกลับมารวมกลุ่มกันถ่ายทั้งหมดอีกรอบ

“กูไปนอนก่อนนะ ถ้าใกล้เวลาแล้วโทรหากูหน่อยนะเผื่อกูไม่ตื่น”

เพลิงบอกอย่างนั้นก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ส่วนผมก็ชะลอเท้าเอาไว้ รอจนไอติมเดินมาใกล้ ผมก็ทักคนตัวเล็กที่กำลังจะกลับห้องพักเช่นกัน

“ไอติม”

“หืม?”

“ไม่สบายเหรอ เห็นวันนี้หน้าซีดๆ” ผมชวนคุยขณะที่พวกเรากำลังรอลิฟต์ด้วยกัน

“อืม ปวดเนื้อปวดตัวนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก...ไปชั้นไหน” ไอติมตอบผมก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อเราเข้ามาอยู่ในลิฟต์แล้วและไอติมก็กดที่ชั้นห้าซึ่งเป็นชั้นที่หมอกอยู่พอดี

“ชั้นห้านี่แหละ”

ผมตอบแค่นั้น ไม่ได้พูดในสิ่งที่สงสัยอะไรอีก รอจนลิฟต์จอดที่ชั้นห้า ผมก็เดินนำไอติมออกมา แอบมองไอติมที่เดินไปอีกทางแล้วหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง เคาะประตูสามครั้งประตูห้องก็เปิดออกและไอติมก็เดินเข้าไป ผมเลยเดินตามไปหยุดดูหมายเลขห้อง 506 แล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น

เท่าที่ผมทราบมา พี่ๆทีมงานเปิดห้องพักสำหรับพวกเราไว้อยู่ชั้นหกกันทุกคนเพราะจะได้ดูแลกันได้สะดวก ส่วนผมที่ย้ายมานอนกับหมอกก็แจ้งพี่ดาวเรียบร้อยแล้ว แล้วไอติมที่น่าจะนอนชั้นหกกับพี่กรทำไมถึงเข้าไปในห้อง 506 ได้

พอนึกถึงหน้าใครบางคนที่จะสามารถทำให้ผมกระจ่างได้ผมก็รีบกลับไปที่ห้องของหมอก ไขกุญแจเข้าไปแล้วก็เดินไปกระตุกแขนหมอกที่กำลังนั่งแต่งรูปอยู่ในแมคบุ๊คทันที

“หมอก ถามอะไรหน่อยสิ”

“มีอะไร...นี่กำลังแต่งรูปเมื่อวานอยู่เลย สีสวยมั้ย” หมอกโชว์รูปที่ถ่ายผมอยู่บนชิงช้าสวรรค์ด้วยความภูมิใจ แต่ผมยังไม่มีอารมณ์จะชมภาพในตอนนี้ เพราะความสงสัยที่ติดค้างในใจมันมีมากกว่า

“ควันพักอยู่ห้องไหนเหรอ”

“ถามถึงมันทำไม” หมอกขมวดคิ้ว ปล่อยเม้าส์ทันทีแล้วหันกลับมามองหน้าผมตรงๆ

“ตอบมาก่อนสิ”

“ห้อง 506”

พอได้รู้คำตอบจากหมอกแล้วก็เหมือนผมได้ปลดล็อคในสิ่งที่สงสัย ที่แท้ไอติมก็ย้ายมานอนกับควันอย่างนั้นเหรอ หลังจากที่ได้รู้ความลับของควันและไอติม พอเห็นสภาพของไอติมวันนี้แล้วผมก็อดสงสารไม่ได้

แป๊ะ!

“โอ๊ย!” กำลังสงสารไอติมอยู่ดีๆก็สงสารตัวเองแทบไม่ทัน ผมลูบหน้าผากตัวเองเบาๆแล้วมองตัวการที่ทำให้ผมเจ็บแปล๊บที่หน้าผากอย่างนี้

“ดีดหน้าผากเราทำไมเนี่ย ตอนเย็นต้องไปถ่ายต่อนะ ถ้าเป็นรอยขึ้นมาจะทำไง”

“ไม่เป็นหรอก ดีดเบาๆเองเถอะ...แล้วนี่จะตอบได้ยังว่าถามถึงไอ้ควันทำไม”

“ก็เปล่า ไม่มีอะไรหรอก...ง่วงแล้ว ของีบก่อนดีกว่า” ผมเฉไฉแล้วเปลี่ยนเรื่องไม่ยอมตอบคำถามหมอก เดินไปล้มตัวนอนบนเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งนาฬิกาปลุกด้วยเดี๋ยวไม่ตื่นแล้วจะซวยเอา

“กินข้าวเที่ยงมารึยังถึงได้จะนอนแบบนี้เนี่ย” หมอกตามมานั่งลงด้านข้าง มือใหญ่ลูบผมของผมเบาๆเหมือนกำลังกล่อมเด็กให้หลับ ผมเหลือบตามองใบหน้าหล่อที่อยู่ด้านบนก่อนจะได้รับสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แตะลงที่ริมฝีปากเร็วๆ

“ฉวยโอกาสอีกแล้วนะ”

ผมตีแขนแกร่งเบาๆแก้เขินไปที ตั้งแต่วันเกิดของหมอกที่ผมโดนจูบแบบคอมโบไป หลังจากวันนั้นผมก็โดนเก็บเล็กเก็บน้อยมาตลอดจนการจูบเป็นเรื่องปกติสำหรับเราไปเสียแล้ว แล้วดูหมอกเหมือนจะชอบมากๆด้วยที่แกล้งจูบผมทีเผลออย่างนี้

“ก็มาทำหน้าตาน่ารักทำไม อดใจไม่ไหวน่ะสิ”

“หยุดพูดเลย จะนอนแล้ว”

ผมดึงผ้าห่มมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้เพราะรู้สึกว่าหน้ากำลังร้อนเอามากๆ ตอนนี้หน้าผมคงแดงลามไปถึงใบหูแล้วมั้งครับ ได้ยินเสียงหมอกหัวเราะเบาๆก่อนที่ผมจะได้รับสัมผัสหนักๆบริเวณหน้าผาก...หมอกจูบหน้าผากผมผ่านผ้าห่มผืนหนาก่อนจะผละออกไป

“นอนเถอะ เดี๋ยวถึงเวลาแล้วจะปลุกเอง”

แล้วหมอกก็ลุกออกไปจากเตียง ผมลดผ้าห่มลงมาถึงระดับสายตา เห็นหมอกกลับไปนั่งแต่งรูปที่โต๊ะตามเดิมแล้วผมก็อมยิ้มอยู่เพียงคนเดียว

หมอก...คนที่ผมแอบมองเขามานานหลายปี คนที่มีภาพลักษณ์นิ่งๆเงียบๆในวันที่ผมได้แต่มองจากที่ไกลๆ มาจนถึงตอนนี้ที่ผมเดินเข้ามาอยู่ในโลกของหมอกอย่างเต็มตัวก็ได้รู้ว่าภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบนั้นซ่อนความอบอุ่นเอาไว้มากมายแค่ไหน คนที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงทุกครั้งยามที่เข้ามาใกล้ คนที่ทำให้ผมมีความสุขกับการกระทำเล็กๆน้อยๆที่ใส่ใจผมโดยเสมอ

แล้วอย่างนี้ผมจะไปไหนรอดล่ะครับ...




.

..

...



การถ่ายงานในช่วงเย็นเป็นไปด้วยดี นอกจากดาว-เดือนที่มาถ่ายกันในวันนี้แล้วยังมีแขกไม่ได้รับเชิญอีกสองคนที่เดินไปรอบๆกองถ่าย ซึ่งทำให้พี่เจตน์มีความสุขมากจนหุบยิ้มไม่ได้

ผมมองหมอกที่ถือกล้องคู่ใจแล้วเดินถ่ายวิว ถ่ายทะเลไปตามเรื่องตามราว ส่วนควันที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งข้างๆกองถ่าย...ผมรู้สึกว่าควันในวันนี้ดูขรึมลงไปจนสัมผัสได้ ใบหน้าหล่อสวมแว่นดำปิดไปเกือบครึ่งหน้า ถึงจะไม่เห็นแววตาของควัน แต่ผมก็เดาได้ไม่ยากว่าควันคงกำลังจ้องมองไปที่คนที่กำลังยืนอยู่ข้างผมในตอนนี้...

“วู้วววว ภาพสวยมากเลยจ้า กร...แกขยับเข้ามาใกล้ๆน้องไอติมหน่อยซิ” พี่เจตน์ที่ยืนอยู่หลังกล้องชี้บอกพี่กรให้ขยับเข้าใกล้ไอติมมากยิ่งขึ้น ผมมองดูท่าทางของพี่กรก็ไม่ได้มีอะไรน่าสงสัย ส่วนไอติมก็ยังยืนนิ่งเงียบ ทำตัวลีบอยู่ข้างๆผม

“โอเค ดีมากเลย อยู่กันนิ่งๆนะจ๊ะ”

พี่เจตน์บอกอีกครั้ง แล้วพี่หมูก็ถือกล้องเดินถ่ายพวกเราทีละคน จนในที่สุดก็ถ่ายเสร็จในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าพอดี

“ขอบคุณทุกคนมากๆนะจ๊ะ เดี๋ยวมีข้าวเลี้ยงที่โรงแรม ไปกินกันได้เต็มที่เลย ส่วนใครจะไปเที่ยวที่ไหนก็ไปได้ตามอัธยาศัยเลย แต่แวะมาบอกพี่กันนิดนึงเนอะ...อ้อ! น้องหมอก น้องควันมาทานข้าวกับพวกเราก็ได้นะจ๊ะ” พี่เจตน์หันไปบอกสองฝาแฝดที่กำลังจะเดินออกไป พอพี่เจตน์ชวนก็เพียงแค่ยิ้มให้แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลงว่าจะทานด้วยกันรึเปล่า

ผมและเพลิงเดินกลับโรงแรมด้วยกันก็เห็นว่าหมอกยืนรออยู่ก่อนแล้ว พวกเราไม่ได้ไปร่วมโต๊ะกับเหล่าดาว-เดือนทั้งหลาย แต่เลือกที่จะไปทานข้าวเย็นด้วยกันที่ seenspace แทน

Seenspace เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ติดทะเลที่หมอกอยากจะมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ต้องพาเพลิงไปเที่ยวเพลินวานเสียก่อน วันนี้เลยเป็นคิวของหมอกบ้าง ผมมองหมอกที่ยังไม่หยุดถ่ายรูปตัวอาคารและบรรยากาศโดยรอบ ส่วนเพลินก็เดินไปหาของกินเรียบร้อย หลังจากเพลิงกลับมาพร้อมอาหารทะเล หมอกก็เก็บกล้องลงและเราก็เริ่มทานกัน

“พรุ่งนี้จะกลับกันกี่โมง” หมอกถามขึ้นมากลางวง ก่อนจะยื่นกุ้งที่พึ่งแกะเสร็จมาไว้ในจานผม

“ออกจากที่นี่บ่ายโมงอ่ะ ทำไมเหรอมึง” เพลิงว่าพลางจิบเบียร์ไปด้วย

“พรุ่งนี้กูคงได้กลับด้วย ไอ้ควันมันจะเอารถกลับไปก่อน”

“มาเลยๆ ที่เหลือตั้งเยอะ มึงมาเพื่อนบลูมันจะได้ไม่เหงาด้วย ตอนมานะ หน้ามันเศร้ายิ่งกว่าอะไรที่ได้แยกจะมึง”

“กูทำหน้าเศร้าตรงไหน อย่าใส่ร้ายกู” ผมทำท่าจะโยนกระดองปูใส่เพลิงที่หัวเราะร่วน ยิ่งหมอกหัวเราะผสมโรงด้วย ผมก็หันไปมองคนข้างกายผมแล้วหมอกก็หุบปากฉับทำเหมือนไม่ตัวเองไม่ได้หัวเราะผสมโรงไปกับเพลิงอย่างนั้นแหละ

“งั้นฝากมึงไปบอกพี่ๆเขาหน่อยแล้วกันว่าพรุ่งนี้กูจะขอติดรถไปด้วย”

“โอเค เดี๋ยวพี่เพลิงจัดการให้จ้า”



หลังจากเรานั่งชิวกันอยู่ที่ seenspace ได้ราวๆสองชั่วโมงพวกเราก็กลับมาถึงโรงแรม เพลิงแยกออกไปคุยกับพี่ดาวเรื่องที่พรุ่งนี้หมอกจะขอติดรถกลับด้วย ส่วนผมและหมอกก็เดินมาถึงที่หน้าห้อง 506 เพื่อเอากุญแจรถให้ควันที่จะกลับกรุงเทพก่อนพวกเรา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

หมอกเคาะประตูสามครั้งและรอให้ควันมาเปิดรับกุญแจ แต่เมื่อประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากับไม่ใช่ควันซะอย่างนั้น

“ควันอยู่รึเปล่า” หมอกถามคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง

“อาบน้ำอยู่น่ะ มีอะไรเหรอ” ไอติมบอกและชี้ไปที่ประตูห้องน้ำให้ดู ได้ยินเสียงน้ำไหลดังออกมาเป็นหลักฐาน หมอกก็พยักหน้าเบาๆ

“เอากุญแจรถมาให้มันน่ะ ฝากไว้หน่อยก็แล้วกัน”

“อืม” ไอติมรับกุญแจรถไปแล้วทำท่าจะปิดประตูลง แต่ผมก็รีบทักขึ้นเพื่อนคลายความสงสัยในใจเสียก่อน

“ไอติมก็จะกลับพร้อมควันเหรอ”

“อะ...อืม” ไอติมตอบไม่เต็มเสียง ใบหน้าน่ารักนั้นก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาผม ผมเลยไม่ได้พูดอะไรต่ออีก...ประตูห้องปิดลงแล้ว ผมจึงหันไปทางหมอกที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“พวกเรียนหมอก็งี้แหละ คงจะกลับไปอ่านหนังสือแหละมั้ง เรากลับไปนอนกันเถอะ วันนี้เหนื่อยจะแย่แล้ว”

พอมาถึงห้องผมก็เริ่มเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ ส่วนหมอกก็เปิดแมคบุ๊คแล้วนั่งโหลดรูปที่ถ่ายมาวันนี้ลงแล็ปท็อป ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ระหว่างเราในตอนนี้มีเพียงความเงียบที่อยู่รอบตัว แต่กลับเป็นความเงียบที่ผมรู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วกลับสบายใจ

เก็บของและอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงที่หมอกนอนแผ่อยู่บนเตียงก่อนแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้วที่ได้นอนข้างหมอกอย่างนี้...ก็หมอกน่ะหาเรื่องนอนกับผมบ่อยเสียขนาดนั้น ผม(พยายาม)ทำใจให้ชินได้แล้วล่ะครับ

“วางโทรศัพท์ได้แล้วบลู จ้องแต่จอโทรศัพท์ เดี๋ยวก็สายตาสั้นกว่าเดิมหรอก” หมอกหยิบโทรศัพท์ที่ผมกำลังดูคลิปทำอาหารออกไปแล้วล็อคโทรศัพท์ผมให้เสร็จสรรพก่อนจะวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง

“เรายังดูคลิปไม่จบเลยนะ”

“ไม่ต้องดูแล้ว ดูแล้วเดี๋ยวก็หิว พอกินแล้วก็จะอ้วน”

“อ้วนที่ไหนกัน ไม่อ้วนซะหน่อย”

ผมหน้ามุ่ยแล้วตีแขนคนที่กำลังเอาแขนยาวๆมาพาดตัวผมไว้ หมอกไม่ได้สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังรวบตัวผมไปกอดเอาไว้จนจมอก ครั้นจะดันออกก็ต้องยอมแพ้คนตัวโตกว่าที่ไม่ยอมปล่อยให้ผมหลุดออกจากอ้อมกอดไปง่ายๆ

“หอมจัง ใช้ครีมอาบน้ำของอะไรเหรอ”

ถามเสียงแผ่วแล้วเอาจมูกโด่งๆกดที่แก้มผม วันนี้ผมโดนฉวยโอกาสไปกี่ครั้งแล้ว ยิ่งดวงตาเรียวที่มองลึกเข้ามาราวกับจะสูบวิญญาณผมเอาให้ได้

“ก็ใช้สบู่เหลวขวดเดิมมาตลอด ทำไมมาทักตอนนี้เนี่ย”

“ก็หอม มันหอม จนอยากจะดมอย่างนี้ทั้งคืน”

“เว่อร์ล่ะ...นอนเถอะ พรุ่งนี้เราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นดีมั้ย” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะตอนนี้สายตาของหมอกที่มองมายังผมนั้นมันรุนแรงต่อหัวใจมากเกินไป ดวงตาเรียวที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์นั้นกำลังค่อยๆกลืนกินผมทีละนิดแล้ว

“ตามใจบลู...แต่จะตื่นทันรึเปล่าล่ะ”

“ทำไมจะไม่ทัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราปลุกเอง”

ผมว่าแล้วจะผละตัวออกจากอ้อมกอดของหมอกเพื่อหยิบโทรศัพท์มาตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ แต่เพราะท่อนแขนหนาที่รัดร่างผมไว้ไม่ยอมปล่อยผมให้ผมเป็นอิสระได้ เลยทำให้ผมยังคงนอนประสานสายตากับหมอกอยู่อย่างนี้

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ปลุกเอง บลูน่ะขี้เซากว่าเราอีก ถ้าพรุ่งนี้ไม่ตื่นจะทำโทษ”

“ทำโทษยังไง” ผมขมดคิ้วสงสัย ตื่นไม่ทันไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ผมก็จะโดนทำโทษด้วยเหรอ

“ก็แบบนี้ไง”

ริมฝีปากร้ายกาจค่อยๆประทับลงมาแผ่วเบาจากนั้นก็ขบเม้มริมฝีปากผมช้าๆอย่างอ้อยอิ่ง ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่เพราะคุ้นชินกับสัมผัสนี้แล้วผมก็หลับตาลงช้าๆก่อนที่จะโดนรวบตัวเข้าไปกอดแน่นขึ้น เรียวลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากกวาดต้อนจนผมจนมุม ผมหายใจกระชั้นขึ้นและตอบรับจูบร้ายกาจอย่างไม่ยอมแพ้ ริมฝีปากของเราทั้งคู่ยังคงผสานกัน และแรงจากร่างสูงใหญ่ก็ดันให้ผมนอนหงายก่อนที่เขาจะตามมาคร่อมร่างของผมเอาไว้

ผมถูกมัวเมาด้วยจูบอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่เพราะสัมผัสที่ช่วงเอวแล้วลูบไล้ร่างกายผมภายใต้ชุดนอนมันทำให้ผมหยุดชะงัก ผมผละริมฝีปากออกมาและพยายามร้องห้ามปรามหมอกที่เคลื่อนจากใบหน้าไปที่ลำคอของผมแล้ว

“หมอก...พะ...พอ...พอได้แล้ว”
 
หมอกหยุดชะงัก ดวงตาเรียวมองผมที่ยังนอนสั่นอยู่ด้านล่าง ก่อนจะพูดปลอบผมเสียงแผ่ว

“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ไม่เอาแล้ว...ปล่อย นอนเถอะนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไม่ทันไปดูพระอาทิตย์ทำไง”

ผมว่าและมองมือทั้งสองข้างของตัวเองที่ถูกหมอกตรึงไว้กับเตียง แต่ร่างสูงกับไม่ทำตามที่ผมบอก ใบหน้าหล่อโน้มเข้ามาใกล้อีกครั้ง จนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆที่รดอยู่บนแก้มของผม

“ก็ช่างพระอาทิตย์มันเถอะ เดี๋ยวพามาดูใหม่ก็ได้...กลัวอะไรหืม?”


ก็กลัวหมอกนั้นแหละ


อยากตอบไปแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป ผมพยายามมองหาทางหนีทีไล่ในตอนนี้เท่าที่จะทำได้ ทำไมสถานการณ์ในตอนนี้มันล่อแหลมขนาดนี้เนี่ย คืนนี้ผมจะรอดมั้ยครับ T___T

“ตอนนี้เรายังไม่พร้อม...ไม่แกล้งแล้วได้มั้ย ไม่เอาแล้วหมอก นอนเถอะ อื้อ!”

ผมพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม แต่หมอกก็ยังไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ ร่างสูงใหญ่ที่ยังทับร่างของผมไว้ก็ประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้งดูดกลืนเสียงผมให้หายไป ผมไม่ได้ต่อต้านจูบของหมอกที่กำลังมัวเมาผมอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ามือใหญ่ปล่อยผมให้เป็นอิสระแล้ว แต่หมอกก็ยังไม่หยุดพยายามที่จะสอดมือเข้ามาในเสื้อนอนของผมให้ได้ ผมจึงใช้แรงทั้งหมดดันอกแกร่งออกจากร่างกายทันที

“ถ้ายังไม่หยุดเราจะย้ายไปนอนกับเพลิงแล้วจริงๆนะหมอก”

ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมยังตัวสั่นไม่หายจากสัมผัสเมื่อครู่ รีบดึงเสื้อตัวเองที่ร่นขึ้นมาจนถึงหน้าอกให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม เมื่อเห็นว่าหมอกนิ่งไปเหมือนพึ่งได้สติ ผมก็รีบขยับออกห่างจากร่างสูงจนติดเตียงอีกฝั่ง

“โอเคๆ ยอมแล้ว...นอนต่อเถอะนะ” หมอกดึงแขนผมแล้วรั้งร่างผมเข้าไปกอดไว้หลวมๆก่อนจะจูบที่ขมับผมเบาๆ

“ขอโทษนะครับ...ไม่ทำแล้วจริงๆ พรุ่งนี้เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันนะ”

แววตาที่เหมือนเสือร้ายพยายามจะงับเหยื่อให้ได้ในตอนแรกนั้นกลับมาเป็นหมอกคนเดิมของผมแล้ว ผมพยักหน้าช้าๆแล้วพูดเสียงแผ่ว บอกหมอกที่ยังกอดผมไว้แล้วโยกกายช้าๆเหมือนกำลังกล่อมเด็กเล็กอย่างผม

 “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ...เรากลัวจริงๆ”

“ครับ ไม่ทำแล้ว นอนเถอะดึกแล้วนะ”

หมอกดันผมให้นอนลงแล้วก็ห่มผ้าให้อย่างดี ผมมองหมอกที่ยังนั่งยิ้มจางๆอยู่ข้างเตียง มือใหญ่เกลี่ยปลายผมที่ปรกอยู่หน้าผมออกแล้วก็ประทับจูบลงหน้าผากของผมอีกครั้ง

“ขอโทษนะ แล้วก็...ฝันดี”

หมอกยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วลุกไปเข้าห้องน้ำทันที ผมไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ว่าทำไมหมอกถึงต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปแบบนั้น เพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจริงๆ ผมยอมรับว่ากลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะลองศึกษามาบ้างแต่พอถึงเวลาจริงๆผมก็รู้ว่าตัวผมเองยังกลัวและไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ของเราที่จะก้าวไปอีกขั้น ผมมองไปที่ประตูห้องน้ำและพึมพำออกมาเบาๆ ไม่ได้หวังว่าหมอกจะได้ยิน แต่ผมหวังว่าหมอกคงจะเข้าใจ

“รอเราอีกสักนิดนะหมอก...ขอโทษนะ”



tbc.

ให้เวลาบลูกันหน่อยนะหมอกเอ้ยยยยยย
ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ท่องเอาไว้ๆๆ5555
ปล.เราอัพรายละเอียดเรื่องการรวมเล่มนิยายรวมถึงหน้าปกนิยายด้วย
แวะไปดูกันได้ที่เพจนะคะ แปะรูปในเล้ามันยากเหลือเกิน T__T





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2018 21:08:41 โดย Dearbliss »

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
รอบลูหน่อยเนาะหมอกเนาะ

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
งู้ยยยยย หมอกได้กำไรเต็มๆ แต่อยากได้มากกว่านี้ต้องรอน้องบลูพร้อมน้าาาาา

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :-[ :-[รออีกนิดนะหมอก555

ออฟไลน์ itsgonnabeme

  • It's me, not you.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 263
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เพิ่งได้มาอ่าน และอ่านรวดเดียวเลยค่ะ
ชอบหมอกจัง เป็นพระเอกที่เรียลดี

แต่แบบคุณพ่อบ้านยังไม่โปรนะคะ
น้องควันก้าวนำไปกี่ก้าวแล้วนั่นนนน

ปล. อยากรู้จักพี่สายธารจังค่ะ

ออฟไลน์ Dearbliss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
บทที่ 19
ม่านหมอกกลางใจ




F o g g y ‘ s  T a l k




ผมเดินออกจากโรงแรมมายังริมชายหาดพร้อมกับบลูที่ยังไม่ตื่นเต็มตา ตอนนี้ท้องฟ้ายังคงมืดแต่ก็พอเห็นทางรำไร ผมดึงมือบลูให้นั่งลงที่ริมหาดข้างกัน หัวทุยๆก็ซบไหล่ผมแล้วหลับตาลง

“ง่วงจัง”

“แล้วใครบอกอยากมาดูพระอาทิตย์ขึ้นล่ะหืม?”

“ไม่รู้สิ...แต่ตอนนี้ง่วงมากเลย”

ผมยิ้มให้กับคำตอบของคนขี้เซา เกลี่ยปอยผมที่ปรกใบหน้าของบลูออกแล้วทัดที่ใบหู ลมทะเลยามเช้ามืดพัดผ่านหน้าให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย ผมมองท้องทะเลสีดำตรงหน้าแล้วก็ปล่อยใจให้คิดถึงเรื่องราวที่อยู่ในหัวตลอดทั้งคืนอีกครั้ง

ความจริงแล้วผมยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ ผมนอนลืมตาอยู่ในความมืดอย่างนั้นทั้งคืน ความทรงจำในวันแรกที่ได้เจอกับบลูค่อยๆไหลย้อนกลับเข้ามาให้ผมได้พิจารณาอีกครั้งว่าผมรักบลูไม่มากพอเหรอ...ผมแสดงออกน้อยไปหรือยังไง...


ทำไมบลูถึงไม่เชื่อใจผม


นั้นคือสิ่งที่ติดค้างในใจมาตลอดทั้งคืน จนถึงตีห้านาฬิกาปลุกก็ร้องดังขึ้น ผมสะดุ้งเบาๆแล้วปิดเสียงโทรศัพท์ ปลุกคนที่นอนขดในผ้าห่มให้มาดูพระอาทิตย์ขึ้นตามที่ขอ และสุดท้ายบลูก็มานั่งซบไหล่ผมแล้วหลับทั้งอย่างนั้น

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคุยกับใครเหมือนไอ้ควันที่แทบจะได้ผู้หญิงทั้งโรงเรียนเป็นแฟน ยอมรับว่ามีคนเข้ามาทัก เข้ามาคุยเรื่อยๆ แต่เพราะผมไม่ได้สนใจในเรื่องอย่างนี้สักเท่าไร สุดท้ายพวกผู้หญิงที่ทักมาก็ห่างออกไปเอง...ดังนั้นชีวิตของผมในช่วงมัธยมนั้นจึงมีแต่หนังสือ บาสเกตบอล และโรงเรียนกวดวิชาเท่านั้น

และเมื่อผมรู้สึกอยากจริงจังกับใครสักคนขึ้นมา และใครคนนั้นก็คือคนที่ผมประทับใจตั้งแต่ม.5 นั้นจึงทำให้ผมไม่ลังเลที่จะเข้าหา เข้าไปจีบก่อนโดยที่บลูก็ตั้งตัวไม่ทัน ผมคิดว่าบลูก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมเช่นกัน ความสัมพันธ์ของเราค่อยๆพัฒนาขึ้นและในที่สุดเราก็เลื่อนสถานะเป็นแฟนกันในเวลาต่อมา

บลูคือแฟนคนแรกของผม...ผมไม่รู้เลยว่าควรจะต้องทำยังไง ผมจึงพยายามเทคแคร์ เอาใจใส่...ผมให้ใจเขาไปเต็มร้อย ให้ใจเขามากที่สุดเพื่อให้บลูมั่นใจว่าผมรักเขาจริง แต่ผมกลับไม่รู้ว่าเลยว่าบลูให้ใจผมมากเท่าที่ผมให้เขารึเปล่า...

เราคบกันอย่างนี้มานานแล้ว มีบ้างที่ผมรู้สึกขุ่นข้องใจ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรและปล่อยผ่าน

จนถึงเมื่อคืนที่มันชัดเจนแล้วว่า...บางทีบลูอาจจะไม่ได้รักผมมากขนาดนั้น...








ผมกลับมาถึงที่กรุงเทพฯในช่วงเย็น ติดรถไอ้เพลิงให้มาส่งที่คอนโดก่อนที่มันจะกลับไปพร้อมกับบลูเนื่องจากว่าอยู่คอนโดเดียวกัน พอขึ้นมาถึงห้องก็อดแปลกใจไม่ได้ที่วันนี้เห็นไอ้ควันที่ห้อง ช่วงหลังๆมานี้ผมไม่ค่อยเห็นหน้ามันเลยครับ จนวันก่อนที่มันเดินดุ่มๆเข้ามาถามว่า ‘กูจะไปหัวหิน มึงจะไปด้วยมั้ย’ นั้นแหละครับ ผมพึ่งเห็นหน้าฝาแฝดตัวเองในรอบหนึ่งอาทิตย์ แล้วพอตอบตกลงจะไปด้วย มันก็ชิ่งหนีกลับก่อนอีก ผมเลยต้องติดรถของมหา’ลัยกลับมาอย่างนี้ไง

“วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ อะไรดลใจให้มึงอยู่ห้องวะ”

ผมถามแล้วเดินเอากระเป๋าไปเก็บด้วยก่อนจะมานั่งข้างมันที่โซฟาหน้าทีวี ใบหน้าที่เหมือนผมแทบทุกส่วนยังคงจ้องอยู่หน้าทีวีเช่นเดิมก่อนจะเปล่งเสียงขึ้น

“กูโดนไล่กลับห้องล่ะ ไปอยู่ห้องเขานานเกิน”

“สรุปว่าคนนี้จริงจังใช่มั้ยวะ...เป็นแฟนกันยังล่ะ”

ผมลองถาม ถึงช่วงนี้เราจะไม่ค่อยเจอกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้เรื่องของควันเลย ก็พอรู้มาบ้างว่าช่วงนี้มันกำลังติดเพื่อนสนิทคนนั้นของมัน ยิ่งพอได้เห็นอาการนิ่งๆขรึมๆของมันเมื่อวานตอนที่จ้องไอติมผมก็รู้แล้วว่ากับคนนี้มันคงจริงจังมาก ไม่งั้นมันคงไม่ตามไปเฝ้าถึงที่หัวหินจนต้องลากผมไปด้วยหรอก

“ยังหรอก จะได้เป็นมั้ยก็ไม่รู้...ว่าแต่มึงเถอะ เป็นไงบ้างแฟนคนแรกน่ะ”

ควันหันมาถามบ้าง พอได้ยินคำถามของควันก็ทำผมชะงัก เพราะเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในใจทำให้ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของมันยังไงดี

“ทะเลาะกันเหรอ”

ควันถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเงียบ ผมหันมองหน้ามันแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆแทนคำตอบ

“เปล่าหรอก เราไม่ได้ทะเลาะกัน...แต่กูแค่รู้สึกสับสนว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของกูกับบลูมันคืออะไรกันแน่ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่กูคิดว่าเรารักกันจริงๆรึเปล่า”

“ทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้น กูก็เห็นว่ามึงกับบลูรักกันดีนี่”

“ใครๆก็คิดก็เหมือนมึงสินะ...ตอนแรกกูก็คิดอย่างนั้น แต่บางครั้งกูก็รู้สึกเหมือนกับว่าบลูยังไม่เปิดใจรับกูขนาดนั้น มันเหมือนมีกำแพงบางๆที่คั่นกูไว้ไม่ให้เข้าไปในใจบลูได้จริงๆ...มึงน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่ากู...มึงว่ากูควรทำไงดีวะ”

ผมขอความเห็นจากควัน เพราะผมรู้ว่ามันโชกโชนเรื่องอย่างนี้มากกว่าผมเสียอีก บางทีถ้าขอคำปรึกษาจากมันผมคงจะหาทางออกจากเรื่องนี้ได้ เผื่อว่าความขุ่นข้องในใจของผมจะได้จางหายไปเสียที

“แล้วทำไมพวกมึงไม่เปิดใจคุยกันล่ะ มึงจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจคนเดียวไปทำไม ถึงตอนนี้มึงจะปล่อยมันผ่านไป แต่ถ้าถึงจุดหนึ่งที่มึงรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้วเลิกกันไป กูว่าถึงตอนนั้นคนที่จะเสียใจมันไม่ได้มีแค่มึงคนเดียว...”

“...”


“มึงลองคิดดูว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามึงติดเขามากเกินไปรึเปล่า มึงใช้เวลากับบลูมากเกินไปจนบลูไม่ได้ให้ความสำคัญกับมึงเท่าที่ควรรึเปล่า...มึงลองถอยออกมาสักก้าวดูสิ ถ้าเขาใส่ใจมึง เขาจะรู้ว่ามึงเปลี่ยนไป และตอนนั้นพวกมึงก็เปิดใจคุยกันดีๆ มีอะไรก็ทำความเข้าใจกันซะ มึงไม่ชอบอะไรก็บอก ไม่ใช่เก็บไว้ในใจคนเดียวอย่างนี้”

“...”

“กูไม่รู้หรอกนะว่าพวกมึงคบกันยังไง...แน่นอนว่านิสัยแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอก แต่ในเมื่อพวกมึงรักกัน คบกันแล้วอยากให้ความสัมพันธ์มันยั่งยืน มันก็ต้องยอมกันบ้าง อย่าเอาแต่ตัวเองมากเกินไป คิดถึงใจอีกคนด้วย...กูพูดรวมๆนะ มึงก็คิดเอาแล้วกันว่าจะทำยังไงต่อไป ถ้ามีอะไรให้กูช่วยก็บอกแล้วกัน”








.

..

...




ตั้งแต่กลับมาจากหัวหินคราวนั้น ผมก็รู้สึกว่าระหว่างผมกับหมอกมันมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเพราะผมคิดมากไปเองรึเปล่า...อาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้เจอหมอกน้อยลงอย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะใกล้ถึงเวลาแข่งกีฬาระหว่างคณะทำให้หมอกต้องซ้อมบาสเกตบอลทุกเย็น ทำให้เวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันก็น้อยลงตามไปด้วย แต่นั้นมันไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ผมคิดไม่ตกจนถึงตอนนี้

สิ่งที่ทำให้ผมเครียดก็คือแววตาของหมอกที่เปลี่ยนไปมากกว่า ผมสัมผัสได้ว่าเวลาที่ผมมองดวงตาเรียวคู่นั้น มันเต็มไปด้วยความอึดอัดที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร ความเงียบและความอึมครึมระหว่างเราที่มันค่อยๆก่อตัวขึ้นมันทำให้ผมเริ่มอยู่ไม่สุข อยากจะถามว่าหมอกเป็นอะไรแต่ผมก็ไม่มีความกล้าพอสักที

“มึงเป็นอะไรวะบลู กูเห็นมึงถอนหายใจทิ้งหลายรอบแล้วนะ”

ว่านที่นั่งกินขนมไปพลางอ่านการ์ตูนในมือไปเงยหน้าขึ้นมาถามผม ตอนนี้ผมมานั่งอยู่ในห้องของว่านเพราะอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกฟุ้งซ่าน แต่สุดท้ายพอมานั่งเล่นที่ห้องว่านผมก็ยังไม่สามารถเลิกคิดเรื่องของหมอกได้เลย

“กูมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยอ่ะ มึงอย่าสนใจกูเลย”

ว่าแล้วผมก็ซุกหน้าลงกับหมอนที่กอดเอาไว้ นอนกอดหมอนด้วยหัวตื้อๆเพราะยังคิดไม่ตกเรื่องของหมอก จนได้ยินเสียงว่านปิดหนังสือการ์ตูนแล้วมืออุ่นๆก็ลูบเส้นผมของผมเบาๆ

“เล่าให้กูฟังสิ เผื่อกูพอจะแนะนำอะไรมึงได้บ้าง อย่างน้อยถ้ากูช่วยอะไรมึงไม่ได้ มึงก็ยังได้ระบายความอึดอัดในใจของมึงนะ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองว่านที่ยังคงมองผมด้วยความเป็นห่วง มันทำให้ผมที่กำลังรู้สึกอ่อนไหวในเวลานี้รู้สึกร้อนที่ขอบตาจนอยากจะร้องไห้ ผมไม่เคยเครียดขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกว่าการรักใครสักคนมันยากขนาดนี้มาก่อน

“กู...กูไม่รู้ว่าหมอกเป็นอะไร หลังกลับมาจากหัวหินกูสัมผัสได้ว่าหมอกเปลี่ยนไป หมอกเงียบลงจนผิดสังเกต แชทก็ไม่ค่อยจะตอบ ช่วงนี้ก็ซ้อมบาสทุกเย็นเราเลยไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนเดิม แต่กูก็ไม่กล้าถามว่าหมอกเป็นอะไร”

“แล้วทำไมมึงไม่ถามล่ะ เก็บไว้ในใจคนเดียวแล้วมึงมานั่งร้องไห้กับกูนี่น่ะเหรอ”

ว่านถามผมกลับ พอนึกถึงหน้าของหมอกที่มักจะมีรอยยิ้มจางๆอยู่ตลอด แต่ในตอนนี้กลับเรียบเฉยนั้นก็ทำให้ผมไม่กล้าเอ่ยปากถามแล้ว

“ก็...กูไม่กล้าถามอ่ะ” ผมเอ่ยเสียงอ่อย แล้วก้มหน้าลงมองดูมือตัวเองที่บีบกันจนขาวซีดอย่างเครียดๆ

“ถ้ามึงยังไม่อยากถาม มึงก็ลองคิดดูก่อนสิว่าอะไรทำให้หมอกของมึงเปลี่ยนไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไอ้หมอกมันมีชู้ มันก็เหลือเหตุผลเดียวก็คือตัวมึงเอง...มึงลองนึกดูว่าที่ผ่านมามึงทำอะไรไปบ้าง มึงเต็มที่กับความรักครั้งนี้ของมึงรึเปล่า กูแนะนำอะไรมึงมากไม่ได้หรอกบลูเพราะกูไม่ใช่มึง”

“...”

“แต่ถ้าไอ้หมอกมันมีชู้แล้วมันเทมึง มาบอกกู เดี๋ยวกูช่วยมึงจัดการเอง”




หลังจากได้คำแนะนำจากว่าน ผมก็กลับมานั่งคิดนอนคิดอีกครั้งว่าผมพลาดอะไร...เพราะผมรู้ว่าหมอกไม่ใช่คนที่จะไปมีชู้อย่างที่ว่านพูด ผมจึงกลับมานั่งมองตัวเองอีกครั้ง พิจารณาว่าผมผิดพลาดตรงไหน ผมทำอะไรผิดไปถึงทำให้เรื่องทุกอย่างมาถึงจุดนี้

นั่งคิดอย่างนั้นจนค่ำผมก็ยังคิดไม่ออก จึงตัดสินใจเดินออกจากห้องแล้วไปที่คอนโดของหมอกเสียเลย เป็นไงเป็นกัน ผมไม่อยากให้เราเป็นอย่างนี้อีกแล้ว ผมไม่ชอบความอึดอัดที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่อยากให้ระหว่างเราห่างกันไปมากกว่านี้อีกแล้ว...



มาถึงที่คอนโดของหมอกผมก็ยืนนิ่งที่หน้าห้องสักพัก สูดลมหายใจเข้าแล้วก็เคาะประตูห้องสามที ยืนรออยู่อึดใจประตูก็เปิดออกมา แต่คนตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่อยู่ในหัวของผมมาตลอดทั้งวัน

“มาหาหมอกเหรอ”

“อืม...หมอกอยู่ห้องรึเปล่าควัน”

“มันไปซ้อมบาสยังไม่กลับมาเลย...เข้ามาก่อนสิ”

ควันเปิดประตูให้ผม แต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ตอนนี้ผมไม่อยากรอแล้ว ผมเลยยิ้มให้ควันก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวเราไปหาหมอกที่มอเลยดีกว่า”

ผมว่าก่อนจะรีบเรียกแทกซี่ให้ไปส่งที่มหา’ลัย เมื่อแทกซี่จอดลงที่หน้าโรงยิมแล้วผมก็เดินไปหน้าประตูทางเข้า แอบส่องเข้าไปก็เห็นว่านักกีฬาหลายคนยังคงเล่นบาสอยู่แม้ว่าตอนนี้จะดึกมากแล้ว

ผมมองหาหมอกไม่นานก็เห็นร่างสูงที่วิ่งเลี้ยงลูกบาสอยู่กลางสนาม ยืนมองอยู่อย่างนั้นเพราะไม่กล้าเดินเข้าไปในสนามจนกระทั่งมีแรงสะกิดจากด้านหลังจึงทำให้ผมสะดุ้งแล้วหันไปมองอย่างตกใจ

“อ่าว เพลิงเองเหรอ”

ผมมองเพลิงที่อยู่ในชุดกีฬาเช่นเดียวกับทุกคนในโรงยิม ใบหน้าหล่อนั้นมีรอยยิ้มกว้างก่อนจะถามผม

“มาหาหมอกเหรอ...ทำไมไม่เข้าไปอ่ะ”

“ไม่เป็นไร รออยู่ตรงนี้ดีกว่า...แล้วอีกนานมั้ยกว่าจะเลิกซ้อม”

“ไม่นานหรอก นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว เดี๋ยวก็เลิกแล้วเนี่ย เข้าไปนั่งรอด้านในดีกว่า ยืนอยู่มืดๆอย่างนี้ยุงกัดขาลายหมด” เพลิงว่าแล้วก็จับแขนผมลากให้เข้าไปในโรงยิมด้วยกัน และในตอนนั้นเสียงนกหวีดก็เป่าหมดเวลาพอดี นักกีฬาในสนามจึงเดินออกมา และหมอกก็เห็นแล้วว่าผมกำลังเดินเข้ามาในโรงยิมพร้อมกับเพลิง

“วันนี้มีคนมาให้กำลังใจเหรอครับเพื่อนหมอก”

เสียงเพื่อนๆคนอื่นแซวหมอก แต่ใบหน้าหล่อนั้นกลับเพียงแค่ยิ้มบางๆและไม่ได้พูดอะไร ผมมองหมอกที่ยกน้ำขึ้นกระดกจนหมดขวดแล้วก็เข้าไปฟังโค้ชพูดเกี่ยวกับการซ้อมที่ผ่านมา ผมจึงนั่งรอเงียบๆอยู่ประมาณสิบนาทีโค้ชจึงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ ผมรอจนหมอกเก็บของหมดแล้วก็เดินเข้าไปหาคนที่ยังคงเงียบอยู่

“หมอก...”

“กลับกันเถอะ”

หมอกพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินนำผมออกจากโรงยิม ผมเดินตามหมอกไปจนถึงที่ลานจอดรถเงียบๆ ความอึดอัดมันค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัวจนผมเริ่มหายใจไม่ออก ผมมองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยที่เคลื่อนรถออกจากโรงยิม ในความมืดผมมองไม่เห็นหรอกว่าสีหน้าของหมอกในตอนนี้มันเป็นยังไง และผมก็คิดว่าผมเริ่มจะทนไม่ไหวกับความอึดอัดเหล่านี้แล้ว

“มาหาถึงโรงยิมมีอะไรเหรอ”

หมอกถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมเผลอกัดปากตัวเองแล้วเลียรอบริมฝีปากอย่างเครียดๆ ก่อนจะหันมาหมอกอีกครั้ง

“หมอก...เออ...หิวรึยัง กินอะไรก่อนดีมั้ย ซ้อมมาเหนื่อยๆไม่ใช่เหรอ”

สุดท้ายผมก็ยังไม่กล้าที่จะถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไป เลยได้แต่ถามอะไรโง่ๆออกไปแบบนั้น

“อืม ก็หิวอยู่ ว่าจะกลับไปต้มมาม่ากินที่ห้องแล้วก็จะเข้านอนเลย”

“งั้นไปกินที่ห้องเราดีมั้ย...เราต้มมาม่าอร่อยนะ”

ผมรีบถือโอกาสนี้แล้วชวนหมอกทันที ไม่รู้ว่าคำตอบของหมอกจะเป็นยังไงเพราะหมอกยังคงเงียบ นั่งตัวเกร็งอยู่อย่างนั้นจนมาถึงที่คอนโดของผม แล้วผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อหมอกเลี้ยวเข้าที่ลานจอดรถและดับเครื่องยนต์ลง

“คืนนี้ฝากท้องด้วยแล้วกันนะ”


.
.
.


ผมต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจนเสร็จก็ตักเส้นบะหมี่ลงถ้วย เทน้ำซุปลงแล้วตามด้วยไข่ต้มยางมะตูม แล้วยกถ้วยมาวางบนโต๊ะที่หมอกนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว

“มาม่าต้มยำกุ้งได้แล้ว ในตู้เย็นมีแค่ไข่อ่ะ พอกินได้เนอะ”

“อืม กินได้อยู่แล้ว”

ผมนั่งมองหมอกที่หยิบตะเกียบแล้วคีบเส้นบะหมี่เข้าปากแล้วตามด้วยน้ำซุปร้อนๆ ผ่านไปไม่ถึงสองนาทีถ้วยบะหมี่ก็เหลือเพียงถ้วยเปล่าเท่านั้น

“อิ่มมั้ย มีแอปเปิ้ลอยู่ในตู้เย็นด้วยนะเผื่ออยากกิน” ผมถามคนที่นั่งลูบท้องอยู่ตรงข้ามกัน แล้วเดินไปเปิดเอากล่องแอปเปิ้ลที่ปอกไว้มาวางบนโต๊ะ หมอกหยิบกินเพียงสามชิ้นก็ปิดกล่องแอปเปิ้ลคืนให้ผม

“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะ เดี๋ยวก็คงกลับแล้วล่ะ ดึกแล้วเราไม่อยากรบกวนบลูไปมากกว่านี้”

ผมมองหมอกที่ลุกจากเก้าอี้แล้วเตรียมจะเก็บของกลับ ผมเลยเผลอลุกตามแล้วยืนมองแผ่นหลังกว้างที่อยู่ตรงหน้าแต่มันดูเหมือนจะห่างไกลผมออกไปทุกที ผมจึงขยับเข้าไปใกล้หมอกก่อนจะดึงปลายเสื้อบาสตรงหน้าเบาๆ

“ไม่กลับไม่ได้เหรอ...”

“...”

“คืนนี้ค้างที่นี่ได้มั้ย”





.

..

...




ผมเดินไปหาคนที่นั่งอยู่ที่หน้าทีวีหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ไม่เหมือนทุกครั้งที่หมอกจะกระโดดขึ้นบนเตียงของผมแล้วทำตัวเหมือนเจ้าของเตียงเสียเอง คุณบราวน์ที่หมอกมักจะหยิบไปกอดก็ยังนอนแอ้งแม้งอยู่ที่เตียงของผมเช่นเดิม

“ทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องล่ะหมอก”

ผมถามคนที่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ เมื่อหมอกได้ยินคำถามของผมก็ชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหาผมที่ยืนมองอยู่

“ไม่ดีกว่า นอนตรงนี้แหละเราไม่อยากให้บลูอึดอัดใจ”

“อึดอัดอะไรเหรอหมอก คนที่ควรจะอึดอัดควรเป็นเรามากกว่ามั้ย”

คำว่าอึดอัดใจของหมอกราวกับสลักปลดล็อคความรู้สึกในใจของผมทั้งหมด จากที่กลัวและไม่กล้าที่จะถามหมอกในคราแรก ผมก็โพล่งขึ้นกลางความเงียบทันที ผมมองดวงตาเรียวที่เคยมีแต่ความอบอุ่น แต่ตอนนี้มันกลับเรียบนิ่งและเย็นชาจนผมเริ่มหนาวสั่น ผมจึงพูดขึ้นอีกครั้ง

“หมอก...อย่าเงียบได้มั้ย เราทำอะไรผิดหรือทำให้หมอกไม่พอใจงั้นเหรอ มีอะไรก็พูดกันตรงๆได้มั้ย”

“...”

“เราอึดอัดจะตายอยู่แล้วนะหมอก คุยกันดีๆเถอะนะได้โปรด”

ผมถามออกไปแล้วสิ่งที่ผมเก็บไว้ในใจมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมองคนที่ลุกขึ้นเต็มความสูงตรงหน้า รอคอยว่าหมอกจะพูดอย่างไร แต่แล้วร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปกอดจนแน่น ผมที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับสัมผัสนี้ได้แต่ยืนอึ้งในอ้อมกอดของหมอกอยู่อย่างนั้น

“อยากรู้ใช่มั้ยว่าทำถึงเป็นอย่างนี้”

เสียงทุ้มถามคืน ผมรีบพยักหน้าแล้วกอดเอวหมอกไว้จนแน่น รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ จนผมต้องซุกหน้ากับไหล่ของหมอกเอาไว้เพราะไม่อยากร้องไห้ตอนนี้

“งั้นเราขอถามอะไรบลูสักอย่างได้มั้ย”

“ถามอะไรเหรอ”

“บลูรักเราบ้างรึเปล่า”

คำถามของหมอกเหมือนค้อนปอนด์หนักๆทุบหัวของผมจนตาพร่าเบลอไปหมด ผมผละตัวออกมาจากอ้อมกอดแล้วมองใบหน้าหล่อตรงหน้าให้ชัดๆแม้ว่าตอนนี้จะมีม่านน้ำตาจนแทบมองอะไรไม่เห็นแล้ว

“หมอก...ทำไมถึงพูดอย่างนั้น...ทำไมเราจะไม่รัก...”

“ถามใจตัวเองดูดีๆก่อนจะตอบเถอะบลู เรารอได้”

หมอกพูดสวนกลับมาก่อนที่ผมจะพูดจบ ผมมองหมอกอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมหมอกถึงคิดอย่างนั้น ถึงจะให้เวลาผมคิดนานแค่ไหน คำตอบในใจของผมก็ยังคงตอบคำเดิมว่าผมรักหมอก ทำไมหมอกถึงคิดแบบนั้นหรือว่าผมแสดงออกไม่มากพองั้นเหรอ...

“ไม่ว่าจะให้เวลาคิดนานแค่ไหน...คำตอบของเรามันก็ชัดเจนเสมอว่าความรู้สึกที่มีต่อหมอกมันคือความรัก”

“ถ้ารักกันทำไมไม่เชื่อใจกันล่ะบลู”

“...”

“หลายครั้งที่เรารู้สึกว่ามีเพียงแค่เราที่พยายามเข้าหาบลู หลายครั้งที่เรารู้สึกว่ามีเพียงแค่เรารึเปล่าที่ทุ่มเต็มร้อยให้กับความรักครั้งนี้...จนบางทีเราก็คิดว่าบลูอาจจะไม่ได้รักเรามากขนาดนั้น ถ้าลองห่างออกมาสักนิดเผื่อจะได้รู้ว่าที่จริงแล้วความรู้สึกของบลูจริงๆแล้วมันคืออะไร”

คำพูดของหมอกทำให้ผมได้แต่เงียบ เพราะยังอึ้งกับสิ่งที่หมอกบอก พอได้รู้ว่าหมอกคิดอะไร เรื่องราวต่างๆระหว่างผมและหมอกก็ค่อยๆไหลเข้ามาให้ผมได้นึกย้อนกลับไปอีกครั้งว่าสิ่งที่หมอกพูดมันจริงหรือไม่ แม้จะไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่เคยทำลงไปนั้นทำให้หมอกเก็บมาคิดจนทำให้ความสัมพันธ์ของเรามาถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะให้หมอกเข้าใจอย่างนั้นอีกแล้ว

“เราชอบบลูมานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงมัธยมในวันที่ฝนตก วันนั้นที่บลูให้ยืมร่มมันคือความประทับใจแรกของเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราแอบมองบลูมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ปล่อยเวลาเสียไปเปล่าๆถึงสองปีโดยไม่ทำอะไร พอมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเราเลยไม่ยอมอยู่เฉยๆเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว...”

“...”

“เราดีใจนะที่ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนมาถึงจุดนี้ จากความชอบมันถลำลึกจนเป็นคำว่ารักไปแล้ว เราคิดว่าบลูก็คงจะคิดเหมือนกับเรา แต่ในหลายๆครั้งเราก็สงสัยว่าบลูรักเราจริงรึเปล่า ลองถามใจตัวเองดูดีๆนะบลู…ถ้ามันไม่ใช่ความรักแต่มันเป็นแค่ความหลง เราก็พร้อมที่จะหยุด...ถึงแม้เราจะเจ็บแค่ไหนก็ตาม”

ผมนิ่งอึ้งกับเรื่องที่ได้รู้ ทั้งอึ้งที่หมอกจำได้ว่าผมคือคนที่ให้ร่มในวันที่ฝนตก อึ้งที่รู้ว่าหมอกก็ชอบผมมาตั้งแต่สมัยมัธยม และอึ้งกับประโยคสุดท้ายของหมอกที่บอกว่าจะยอมเลิกกับผมถ้าความรู้สึกจริงๆของผมมันไม่ใช่ความรัก...

“ทำไมเราจะไม่รักหมอกล่ะ...เรายอมทิ้งมหา’ลัยที่เราอยากเข้าแต่แรกเพื่อมาอยู่ที่นี่ก็เพราะหมอก ที่เราลงประกวดดาว-เดือนก็เพราะหมอก เราพยายามทำตัวเองให้ดูดีก็เพราะหมอก ฮึก...จนมาถึงวันนี้มีเรามีหมอกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว สำหรับเรามันเลยคำว่าหลงไปนานแล้วนะหมอก”

ผมพูดทั้งน้ำตาก่อนจะพุ่งเข้ากอดร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง กอดแน่นๆเพราะกลัวคนตรงหน้าจะทิ้งกันไป ก่อนที่หมอกจะกอดตอบผมกลับมา ผมซบหน้าลงกับไหล่หนาแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น เพราะไม่รู้จะระบายความเครียดที่ก่อตัวขึ้นมาทางไหน สุดท้ายจึงต้องเผยความอ่อนแอออกมาอย่างนี้

“หมอก...ฮึก...ขอโทษนะ...ขอโทษที่ทำตัวอย่างนั้น ขอโทษที่ทำให้หมอกต้องคิดมาก ขอโทษที่ไม่เชื่อใจ...แต่อย่าโกรธกันได้มั้ย ฮึก”

ผมยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น เสื้อของหมอกเลอะเป็นดวงเพราะน้ำตาของผมแต่ผมก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด ยิ่งมือหนาลูบแผ่นหลังผมเบาๆราวกับปลอบใจยิ่งทำให้ผมเสียใจ

“ไม่ต้องขอโทษหรอก บลูไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย”

“ฮึก...กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย...ไม่เอาแล้วแบบนี้ ไม่ชอบเลย”

ผมผละออกมามองหน้าหมอกแล้วขอร้องร่างสูงตรงหน้า ได้เห็นรอยยิ้มจางๆของหมอกที่เริ่มกลับมาแล้ว มือหนาเกลี่ยน้ำตาผมออกจากดวงตาทำให้ผมมองเห็นหมอกชัดขึ้น แววตาอบอุ่นที่เคยเป็นของผมมันกลับมาแล้ว...

“อืม...กลับมาเป็นเหมือนเดิมดีกว่า ไม่ชอบเลยที่เห็นบลูร้องไห้อย่างนี้”

“สัญญาว่าต่อไปนี้จะเป็นบลูคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม จะไม่ทำให้หมอกเสียใจอีกแล้วนะ”

ผมยิ้มทั้งน้ำตา แล้วชูนิ้วก้อยขึ้นเกี่ยวก้อยกับคนตัวสูงแล้วหมอกก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผมอีกครั้ง สิ่งเล็กๆน้อยๆที่หมอกทำให้มันทำให้ผมอุ่นใจจนรู้ตัวอีกทีก็พบว่าผมเสพติดหมอกไปเสียแล้ว แค่คิดว่าถ้าผมยังปล่อยให้เรามึนตึงใส่กัน ไม่ยอมเดินเข้ามาหมอกเสียก่อน ไม่ยอมปรับความเข้าใจกันเสียที ผมคงจะไม่ได้รับความอ่อนโยนอย่างนี้อีกแล้ว แค่คิดอย่างนั้นผมก็รู้สึกใจหายขึ้นมาเสียดื้อๆ และชั่ววินาทีนั้นความคิดบ้าๆก็พุ่งเข้ามาในหัวของผม

“หมอก...”

“หืม?”

ผมตัดสินใจเขย่งเท้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าหล่อ ริมฝีปากของผมแตะลงเบาๆที่กลีบปากของคนตรงหน้า หมอกยังคงยืนนิ่งจนผมใจเสีย ผมจึงผละริมฝีปากออกช้าๆแต่ห่างเพียงไม่ถึงคืบผมก็ถูกรวบกอดแน่นก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะทาบทับลงมาอีกครั้ง ผมเงยหน้ารับจูบหวานที่ไม่ได้สัมผัสมานาน หลับตาลงซึมซับสัมผัสหอมหวานและค่อยๆผละออกเมื่อลมหายใจใกล้หมด

หลังจากผละออกจากจูบหวานๆ และในตอนนั้นผมก็ได้รู้ว่าหมอกก็คิดถึงผมไม่แพ้กัน และมันยิ่งทำให้ความกล้าของผมเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณ

ผมมองดวงตาเรียวที่สะท้อนเพียงแค่เงาของผมอีกครั้ง ก่อนจะพูดเสียงแผ่วประชิดริมฝีปากหนาเบาๆ

“เราเชื่อใจหมอกนะ”

“...”

“มาทำให้คืนนี้เป็นความทรงจำที่ดีของเรากันเถอะ”




tbc.
ดราม่าในตอน จบในตอน
ตอนต่อไปเตรียมตัวขึ้นเรือสำเภาเจ้าค่ะ
พี่หมอกของเราไม่นกแล้ว

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
พอบอกขึ้นเรือสำเภา ก็นึกภาพโล้สำเภาเลย :laugh:

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
ดราม่าจบไปอย่างรวดเร็ว.....ซึ่งเราชอบบบ รักกันชอบกันก็มาหวานกันเถอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
ชอบเลยแบบนี้
กรุ่นข้องกันเอง เคลียร์กันเอง แบบตรง ๆ
เปิดใจคุย และ ... เหนืออื่นใด

ดราม่าปุ๊บ ... จบในตอน
แบบนี้ ดราม่าตอนเว้นตอน ยังยอมเลยค่ะ

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
หืม นี่มันแผนลวงบลูมาปล้ำรึเปล่าเนี่ยยยยยยย
555555555

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
นุ้งหมอกน่าเอ็นดู มีความยอมถอยถึงแม้จะเจ็บงี้ หล่อไปอีกพระเอกเรา
แต่น้องบลูน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ Dearbliss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
บทที่ 20
แมวเชื่องกับเจ้าของสุดหล่อ





“มาทำให้คืนนี้เป็นความทรงจำที่ดีของเรากันเถอะ”

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตัวเองกำลังแดงขนาดไหน เหมือนหมอกจะยังคงอึ้งที่ได้ยินประโยคนั้นออกจากปากของผม แต่แล้วร่างของผมก็ถูกช้อนตัวขึ้นในทันที ผมซุกหน้าลงกับอกของหมอกด้วยความเขิน จนเมื่อร่างของผมถูกวางลงบนเตียงเบาๆ ผมก็เงยหน้ารับจูบหวานๆนั้นอีกครั้ง

ผมหลับตาลงและพยายามปล่อยตัวปล่อยใจให้สบาย ยกมือขึ้นคล้องคอหมอกก่อนจะเผยอปากเล็กน้อยเพื่อให้เรียวลิ้นร้อนแทรกเข้ามา ยามที่หมอกกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากนั้นราวกับมีผีเสื้อบินวนอยู่รอบท้อง มันทั้งหอม ทั้งหวาน และค่อยๆหลอมละลายผมช้าๆ ผมครางฮือยามที่หมอกผละริมฝีปากออกก่อนจะค่อยๆลากกลีบปากนุ่มไปทั่วใบหน้าของผม ลมหายใจร้อนรดบนแก้มของผมก่อนจะตามด้วยสัมผัสนุ่มหยุ่น จากนั้นก็ลากลงมาถึงปลายคาง และลำคอ...

ผมกำผ้าปูเตียงแน่นยามที่หมอกประทับจูบแผ่วเบาลงบนต้นคอ ใบหน้าหล่อนั้นเคลื่อนลงต่ำจนถึงหน้าอกของผมที่ยังหอบหายใจแรงไม่หยุด

“ถอดเสื้อนะ”

“อะ...อืม”

หมอกขออนุญาตผมเสียงแผ่วเบา เมื่อผมพยักหน้าและอนุญาต หมอกก็ค่อยๆดึงรั้งเสื้อยืดสีขาวตัวเก่าของผมขึ้นเหนือหัว...

ผมเหงื่อตกยามที่ต้องเผยร่างกายต่อตาเรียวคมคู่นั้น แต่อายได้ไม่นานหมอกก็เข้ามาประทับจูบอีกครั้ง มือใหญ่ประสานมือกับผมที่ยังกำผ้าปูเตียงไว้แน่นและบีบเบาๆให้ผมคลายกังวล ผมหลับตาลงและปล่อยตัวปล่อยใจอีกครั้ง หมอกผละจูบออกแล้วเคลื่อนไปจูบที่ขมับผมเบาๆ จากนั้นก็ลากไล้สัมผัสหวาบหวิวนั้นลงมาถึงกลางอกของผม

สัมผัสแผ่วเบาที่กลางอกของผมนั้นทำให้ผมขนลุกชัน บิดกายเบาๆยามที่มือใหญ่นั้นลูบไล้ที่ช่วงเอวก่อนจะค่อยๆสอดมือผ่านกางเกงผ้านิ่มที่ผมใส่อยู่

ผมสะดุ้งลืมตาขึ้นมา และเผลอกัดปากตัวเองยามที่หมอกค่อยๆดึงกางเกงผมลงจนถึงเข่า ตอนนี้ผมแทบจะเปลือยต่อหน้าหมอกอยู่แล้วถ้าไม่นับบ็อกเซอร์ที่ยังคงติดตัวอยู่ ผมอายจนหยิบหมอนมาปิดหน้าไว้ แต่สุดท้ายก็ถูกหมอกดึงออกเบาๆ พอลืมตาขึ้นมองก็เห็นว่าหมอกก็ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดแล้วเช่นกัน

ผมมองร่างกายแกร่งตรงหน้าแล้วใจกระตุกอีกครั้ง ผิวขาวจัดของหมอกยามต้องแสงไฟนั้นมันงดงามไร้ที่ติจนเกินไป หน้าท้องที่ไม่ถึงกับมีซิคแพค แต่มันก็ขึ้นลอนกล้ามสวยนั้นทำผมอิจฉา ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังหน้าแดงมากแค่ไหน รู้แต่ว่าตอนนี้หน้าผมกำลังร้อนมาก ร้อนจนเหงื่อแตกหมดแล้ว ทั้งๆที่ห้องของผมเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำถึง 18 องศา แต่ทำไมผมถึงร้อนอย่างนี้

“ไม่ต้องกลัวนะ...ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”

หมอกปลอบผมเมื่อร่างกายใหญ่ทาบทับลงมาอีกครั้ง มือใหญ่เกลี่ยปอยผมของผมแล้วจูบซับเหงื่อที่มันขึ้นรอบกรอบหน้าอย่างอ้อยอิ่ง ส่วนกลางตัวของเขาที่ยังมีบ็อกเซอร์คั่นไว้นั้นเริ่มเสียดสีกันกับผมจนผมขนลุกชัน นี่แค่เราจูบกันอย่างนี้ผมยังสัมผัสได้แล้วว่าหมอกพร้อมออกรบเต็มที่ ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากก่อนจะดันหมอกออกช้าๆ

หมอกทำหน้างุนงงยามที่ผมดันแผ่นอกหนาเบาๆ แล้วลุกขึ้นนั่ง ผมมองใบหน้าที่เริ่มจะเสียเซลฟ์ของหมอกแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปจูบหมอกเองอย่างเขินๆเพื่อให้หมอกมั่นใจในตัวผมว่าจะไม่ล่มกลางทางแน่นอน

“แค่เอาตัวช่วยนิดหน่อยน่ะ”

ผมบอกเสียงเบาๆ ตอนนี้เขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้ว ผมเปิดลิ้นชักข้างหัวเตียงแล้วหยิบเจลหล่อลื่นและถุงยางอนามัยออกมา หมอกเหมือนจะอึ้งอีกรอบที่เห็นของที่ผมเตรียมไว้...เออ ก็ไม่ได้เตรียมหรอก แต่ก็เคยศึกษามาบ้าง เลยซื้อมาเก็บไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเหมือนวันนี้ไง

“ชอบรสสตรอว์เบอร์รี่เหรอ”

หมอกถามยิ้มๆ ส่วนผมนั้นหน้าร้อนจนแก้มจะระเบิดอยู่แล้ว ชกแขนแกร่งเบาๆแก้เขินแล้วไม่ยอมตอบ สุดท้ายก็โดนดึงเข้าไปกอดจนจมอกแล้วหมอกก็หอมแก้มผมแรงๆไปสองที...

“ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้นะบลู แล้วจะไปไหนรอดกันฮึ”

“งั้นก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว อยู่กับบลูนะ”

ผมช้อนตามองหมอกแล้วเผลอแทนตัวเองด้วยชื่อเหมือนยามที่อ้อนพี่สาวหรืออ้อนพ่อแม่ หมอกชะงักไปนิดนึงแล้วก็โน้มหน้าเข้ามาจูบผมอีกครั้ง ผมถูกดันร่างลงกับเตียงอีกรอบ หมอกยังคงมัวเมาผมด้วยรสจูบที่ค่อยเพิ่มระดับความร้อนแรงจนผมแทบจะทนไม่ไหว บ็อกเซอร์ที่เหลือติดร่างเพียงแค่ตัวเดียวนั้นถูกมือใหญ่รั้งลงจากสะโพกแล้วดึงออกอย่างรวดเร็ว

ผมตัวสั่นเบาๆยามที่บนร่างกายไม่เหลืออะไรแล้ว แม้จะอายแค่ไหนแต่ก็ข่มความอายเอาไว้และเลือกที่จะหลับตาจะได้ไม่รับรู้อะไร

“ลืมตาสิ”

“ฮือออออ”

ผมร้องเบาๆแล้วส่ายหน้า แต่มือทั้งสองข้างยังคงกอดคอหมอกเอาไว้แน่น หมอกจูบผมหนักๆสองทีแล้วกระซิบที่ใบหูผมเบาๆ

หมอกบอกให้ลืมตาขึ้นมาครับ หลับตาอย่างนั้นหมอกก็ไม่เห็นบลูสิ”

คำแทนตัวเองของหมอกที่เปลี่ยนไปก็ทำให้ผมชะงักเช่นเดียวกัน ความละมุนของมันทำให้ผมยอมลืมตาขึ้นมาเพื่อสบตากับดวงตาเรียวที่ยังเต็มไปด้วยความสุข และนั้นทำให้ผมใจชื้นขึ้นว่าผมคิดถูกแล้วที่ใจกล้าบ้าบิ่นที่เป็นคนเชิญชวนหมอกเองอย่างนี้

“ขอบคุณที่เชื่อใจกันนะ วันนี้บลูจะมีความสุข...หมอกสัญญา”

คำสัญญาของหมอกทำให้ผมอุ่นวาบในหัวใจ ผมอมยิ้มน้อยๆยามที่ผละจูบออกมา ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะผละออกจากร่างผมแล้วฉีกซองสีเงินที่ผมเตรียมไว้อย่างรวดเร็ว ผมคว้าหมอนมาปิดหน้าไว้ยามที่หมอกกำลังจัดการกับตัวเองอยู่ หัวใจผมเต้นโครมครามยามที่ผิวเนื้อของผมถูกแตะเบาๆก่อนที่เจลเย็นๆจะสัมผัสลงมาที่ช่องทางด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน

ผมหอบหายใจอย่างตื่นเต้นเมื่อหมอกค่อยๆสอดปลายนิ้วเข้ามาในร่างกาย สัมผัสแปลกใหม่ที่ผมไม่เคยคุ้นชินทำให้ผมหน้าบิดเบี้ยว แต่ความเจ็บแปล๊บนั้นยังพอทนไหว ผมกำผ้าปูเตียงจนมันยับยู่เมื่อหมอกส่งนิ้วที่สองและที่สามตามเข้ามา

“ไม่ต้องกลัวนะ หมอกอยู่ตรงนี้”

ริมฝีปากได้รูปนั้นจูบปลอบประโลมผมไม่หยุด จนเมื่อผมเริ่มคุ้นชินและผ่อนคลายมากขึ้น หมอกก็ถอนนิ้วทั้งหมดออกจากร่างกายผม ผมกระตุกเฮือกราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง แล้วก็ต้องหลับตาลงเมื่อเสียงทุ้มกระซิบข้างใบหูผมอีกครั้ง

“ครั้งนี้ของจริง อดทนหน่อยนะบลู”

“อะ...อืม”

ผมหยักหน้าทั้งที่ยังหลับตา และเมื่อท่อนเนื้อที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่านิ้วทั้งสามนั้นแทรกเข้ามาในร่างกายผม ผมก็ต้องกัดฟันด้วยความเจ็บ ร่างกายผมราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผมน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวแต่เพราะจูบของหมอกที่คอยซับน้ำตาผมถึงทำให้ผมรู้ตัว

“ไม่เป็นไรนะ...เดี๋ยวมันจะดีขึ้น ถ้าทนไม่ไหวก็ร้องออกมา อย่าเก็บมันไว้คนเดียว”

“อื้อ...เจ็บ...”

ผมพูดได้เพียงแค่นั้น แล้วเสียงก็ถูกกลืนหายลงไปในคอเมื่อหมอกไม่ยอมให้ผมได้พูดอีก ผมถูกมอมเมาด้วยจูบจนพร่าเบลอ จนลืมความเจ็บที่ช่วงกลางตัวและสะโพกสอบนั้นก็เริ่มขยับและดันท่อนเนื้อเข้ามาลึกขึ้นอีก

“อึก...”

ผมร้องด้วยความจุก หมอนยังคงแช่ท่อนเนื้อเอาไว้ในกายผม จนเมื่อผมเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น หมอกก็ผละใบหน้าออกมา ผมจึงได้เห็นใบหน้าหล่อชัดๆที่อดกลั้นและเหงื่อเกาะพราวไปทั่วหน้าไม่ต่างจากผม

“ไม่ต้องเกร็งนะบลู...รักนะครับ”

“อ๊า!”

หมอกพูดจบร่างสูงก็ถอนกายแกร่งก่อนจะดันกลับเข้ามาอีกครั้ง ผมร้องออกมาด้วยความเสียวซ่าน ยิ่งเมื่อหมอกเริ่มเคลื่อนกายเข้าออกช้าๆผมยิ่งห้ามเสียงสั่นๆของผมเอาไว้ไม่อยู่ ความเจ็บในคราแรกมันหายไปจนหมด ตอนนี้ผมเสียวจนต้องร้องระบายออกมา ยิ่งหมอกไม่ห้าม ผมยิ่งครางแผ่วตามจังหวะที่หมอกไสกายเข้าออกไม่หยุด

“อา...อา...หมอก...ไม่ไหวแล้ว...เร็วกว่านี้อีกได้มั้ย”

ผมส่ายหน้าไปมาเมื่อช่องท้องปั่นป่วนไปหมด ยิ่งหมอกเขยื้อนกายแรงเท่าไหร่ ความต้องการของผมมันยิ่งพุ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมเผลอเร่งหมอกและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนในที่สุดผมก็ถึงฝั่งฝัน

น้ำขาวขุ่นถูกฉีดเลอะจนทั่วหน้าท้องเป็นลอนของหมอก ผมหน้าแดงแล้วหอบด้วยความเหนื่อย ส่วนหมอกที่ยังอยู่ในกายของผมก็ไสกายอีกเพียงไม่กี่ครั้งก็ปลดปล่อยในกระเปาะเช่นเดียวกัน

ร่างของผมยวบลงกับเตียงแล้วตามด้วยหมอกที่ถอนท่อนเนื้อออกจากร่างของผม ผมถูกรวบกอดเอาไว้แล้วหมอกก็พรมจูบที่หัวไหล่ของผมเบาๆ ผมเลยซุกหน้าลงกับอกหนาเสียเลย

“ขอบคุณนะ...คืนนี้จะเป็นความทรงจำที่ดีของหมอกเลย”

เสียงทุ้มกระซิบข้างหู ผมไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากอกของหมอกเพราะยังเขินไม่หาย แต่ก็พยักหน้ารับเบาๆเป็นเชิงว่ารับรู้แล้ว หมอกดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างเราทั้งสองคนเอาไว้แล้วก็ตระกรองกอดผมอยู่อย่างนั้น ส่วนผมก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลงช้าอย่างเหนื่อยล้า และผมก็พึมพำตอบหมอกกลับไปก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว

“คืนนี้จะเป็นความทรงจำที่ดีของเราเหมือนกัน”





.

..

...



ผมตื่นลืมตาขึ้นมาเมื่อนอนจนเต็มอิ่มแล้ว บิดร่างกายเบาๆภายใต้ผ้าห่มอย่างเหนื่อยล้า เหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังก็พบว่าตอนนี้บ่ายสามแล้ว ผมไม่เห็นหมอกอยู่ในห้อง ครั้นจะลุกก็ลุกไม่ขึ้น ผมมึนหัวไปหมดจนต้องนอนกระพริบตาปริบๆอยู่บนเตียงราวๆสองนาที

“ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง”

หมอกที่เดินเข้ามาในห้องนั่งลงบนเตียงแล้วใช้มืออังหน้าผากผมแล้วก็เอามือไปแตะที่หน้าผากตัวเอง ผมมองท่าทางนั้นอย่างงงๆ ก่อนหมอกจะช่วยไขข้อสงสัยให้ผม

“เมื่อเช้าบลูตัวร้อนมาก เลยจับเช็ดตัวแล้วใส่เสื้อผ้าให้ เดี๋ยวลุกมากินโจ๊กสักหน่อยแล้วทานยานะ เดี๋ยวไปอุ่นมาให้”

หมอกพูดแล้วก็หายออกไปจากห้องอีกครั้ง ผมยังคงนอนทำตาปริบๆอยู่เช่นเดิมเพราะยังเบลออยู่ ลองยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากตัวเองก็พบว่ามันอุ่นๆอย่างที่หมอกบอกไว้ ผมเลยนอนแผ่บนเตียงและทำใจยอมรับชะตากรรมในตอนนี้แต่โดยดี

“ลุกมากินโจ๊กก่อนนะ แล้วค่อยนอนต่อ”

กลิ่นโจ๊กหอมฉุยลอยแตะจมูก ผมหันมองถ้วยโจ๊กที่หมอกวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงแล้วประคองผมให้ลุกขึ้นนั่ง ผมเบ้ปากด้วยความเจ็บแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อสามารถนั่งได้โดยไม่เจ็บแล้ว ส่วนหมอกก็ยังคงยุ่งอยู่กับถ้วยโจ๊กในมือ แล้วช้อนที่มีโจ๊กอยู่เต็มคำก็ถูกเป่าเบาๆก่อนจะยื่นมาตรงหน้าผม

“อ้าปากเร็ว เดี๋ยวป้อน”

“กินเองก็ได้ เราไม่ได้ป่วยขนาดนั้นสักหน่อย” ผมว่าและทำท่าจะแย่งถ้วยโจ๊กมาจากมือหมอก แต่หมอกก็ยกหนีผมแล้วส่ายหน้าเร็วๆ

“เดี๋ยวป้อนเอง ถ้วยมันร้อนจะตาย อ้าปากเร็ว”

ผมยอมทำตามที่หมอกสั่ง อ้าปากรอรับโจ๊กที่หมอกเป่าให้มันเย็นแล้วก็ค่อยๆป้อนผม ผมกินไปได้พอประมาณก็เริ่มอิ่ม หมอกไม่ได้คะยั้นคะยอผมให้กินอีก แล้วก็เอายาสองเม็ดมาให้ผมกิน ผมโยนเข้าปากโดยไม่คิดอะไรจากนั้นก็ตามด้วยน้ำ แล้วหมอกก็ประคองผมลงนอนราบบนเตียงอีกครั้ง

“กินยาแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น พักผ่อนนะ เดี๋ยวไปเก็บถ้วยก่อน”

ผมมองตามหมอกที่เดินออกไปจากห้องแล้วก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า แค่ขยับตัวผมยังเจ็บจนแทบน้ำตาไหลเลย ได้แต่ยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคอแล้วหลับตาอย่างนั้น จนเสียงเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ และที่นอนด้านซ้ายผมก็อ่อนยวบลง สัมผัสอ่อนโยนที่ลูบเส้นผมของผมช้าๆทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองคนที่ยังมองผมด้วยสายตาห่วงใยอยู่ในตอนนี้

“ตัวยังอุ่นๆอยู่เลย พรุ่งนี้จะไปเรียนไหวมั้ยเนี่ย”

“ต้องไหวสิ...พรุ่งนี้เรามีพรีเซนต์งานนะ”

ผมจะขาดวิชาเคมีซึ่งเป็นวิชาเอกของผมไม่ได้เลย แล้วยิ่งงานพรีเซนต์พรุ่งนี้ผมเป็นคนพรีเซนต์ด้วย เป็นตายร้ายดียังไงผมก็ต้องไปพรีเซนต์งานให้ได้

“ถ้างั้นก็นอนพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้หายทันพรีเซนต์งาน”

“แต่เราไม่ง่วงแล้วอ่ะหมอก...นอนมาทั้งวันทั้งคืนแล้วนะ”

“กินยาเข้าไปแล้วเดี๋ยวก็ง่วงเองนั้นแหละ อย่างอแงสิบลูเดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่หายไข้ทำไง”

หมอกเอ็ดผมไม่ได้จริงจังนัก แต่ผมไม่ง่วงจริงๆนี่นา แค่รู้สึกเพลีย รู้สึกเหนื่อยเท่านั้น แต่ตอนนี้ผมตาสว่างมาก บังคับให้หลับยังไงก็หลับไม่ลงแล้ว

“หมอก...หยิบแมคบุ๊คกับชีทบนโต๊ะมาให้หน่อย เราจะท่องเนื้อหาที่จะพรีเซนต์พรุ่งนี้”

ผมวานหมอกที่เดินเหินคล่องกว่าผมมากให้หยิบของบนโต๊ะมาให้ผมที่ยังนอนแผ่ที่เตียง หมอกเดินไปหยิบอุปกรณ์การเรียนของผมทั้งหมดมาให้แล้วพยุงผมให้นั่งพิงหัวเตียง แล้วเอาโต๊ะญี่ปุ่นมากางให้ไว้บนเตียง ผมจึงเริ่มเปิดสไลด์และเขียนสคริปต์ที่จะพูดพรุ่งนี้ลงไป ส่วนหมอกที่โดดขึ้นมานั่งบนเตียงก็หยิบคุณบราวน์ของผมไปนอนกอดเล่นเสียแล้ว

“มาอยู่ใกล้ๆอย่างนี้ไม่กลัวติดไข้เหรอ”

ผมก้มหน้าถามคนที่เข้ามานอนตักผม ส่วนหมอกก็ยังยิ้มแล้วส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ

“ไม่กลัว ร่างกายแข็งแรงจะตาย”

“ครับ พ่อคนแข็งแรง”

ผมว่าและเริ่มเขียนสคริปต์ต่อ ส่วนหมอกก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมไปพลางๆ ผมไม่ได้สนใจหมอกอีกเพราะสมาธิจดจ่ออยู่แต่กับเนื้อหาและงานตรงหน้า จนเวลาผ่านไปได้เกือบชั่วโมงผมก็เริ่มล้าและเริ่มหนักตาขึ้นเรื่อยๆจนต้องวางปากกาลง

“ง่วงแล้วเหรอ”

หมอกถามและลุกขึ้นนั่ง ผมพยักหน้าตอบแล้วดันโต๊ะออกจากตัว หมอกเลยยกโต๊ะญี่ปุ่นออกแล้วประคองผมให้นอนลงอีกครั้ง

“หลับได้แล้ว เดี๋ยวตอนเย็นทำข้าวต้มไว้ให้”

“อืม ขอบคุณนะ”

ผมพึมพำแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ความทรงจำสุดท้ายของผมคือหมอกห่มผ้าห่มให้แล้วก็ล้มตัวนอนลงข้างผมนั่นเอง




หมอกหันมองบลูที่หายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ใบหน้าเนียนใสนั้นยังคงซีดเซียวเพราะพิษไข้ มือหนาแตะหน้าผากเนียนเพื่อวัดไข้แล้วลองทาบกับหน้าผากตัวเองอีกหน เมื่อเห็นว่าอาการของบลูดีขึ้นตามลำดับเขาก็ยิ้มออกมาเพียงคนเดียวก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

หมอกกดเข้าไปในเฟสบุ๊คของตัวเองที่มีคนติดตามอยู่หลายหมื่นคน แต่เขากลับไม่สนใจใครทั้งนั้น กดเลือกรูปคนป่วยที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วอัพลงบนเฟสบุ๊คที่นานๆทีจะอัพเดตบ้าง


Kavee Worakul
Just now

แมวป่วยต้องคอยดูแลไม่ให้คลาดสายตา


ก็รูปนี้บลูน่ะน่ารักจะตาย เหมือนแมวเชื่องๆตัวหนึ่งที่นอนหลับข้างเขาอย่างนั้นแหละ หมอกอมยิ้มเมื่อเห็นข้อความแซวจากเพื่อนไม่ขาดสาย เขาเลือกตอบแต่เฉพาะคนที่รู้จักก่อนจะปิดโทรศัพท์ลงเมื่อแมวขนฟูเริ่มกระดุกกระดิกอีกแล้ว

“อืออออ หนาว”

พึมพำแล้วก็ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มนั้นแหละ หมอกยิ้มขำแล้วก็เพิ่มอุณหภูมิแอร์ให้มันอุ่นขึ้น แล้วหาผ้าห่มอีกผืนมาห่มให้บลู พอเห็นว่าบลูนิ่งไปอีกครั้งหมอกจึงหยิบคุณบราวน์ของบลูขึ้นมาเล่นอีกหน...ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้เขาถูกชะตากับเจ้าตุ๊กตาตัวนี้มาก เห็นครั้งแรกหมอกก็ชอบเลย จนบางทีเขายังแอบเอาคุณบราวน์กลับไปที่ห้องตัวเองด้วยซ้ำ


Rrrrrrrrrrrrr


ขณะที่เล่นตุ๊กตาอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของบลูก็ดังขึ้น หมอกละความสนใจจากตุ๊กตาตรงหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นมาดูว่าเป็นใครที่โทรมา พอเห็นรูปที่โชว์หราอยู่หน้าจอเขาก็ต้องชะงัก

P’Pink

พี่พิ้งค์...พี่สาวของบลูโทรมา...ไม่โทรมาธรรมดานะ วีดิโอคอลมาด้วย แล้วบลูหลับอย่างสนิทอย่างนี้...

ไอ้หมอกคนนี้จะกล้ารับสายพี่สาวบลูงั้นเหรอครับ



tbc.
พี่พิ้งค์กำลังจะมาแล้ววววว
ปล. เปิดรวมเล่มวันที่16นี้นะคะ
ใครสนใจแวะไปดูรายละเอียดได้ที่เพจนะคะ


ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
จะไม่มีม่าใช่มั้ย

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
จะเจอพี่พิงค์แล้ว  :katai2-1:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เสร็จแน่หมอก 5555

ออฟไลน์ Dearbliss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0


บทที่ 21
ของขวัญในความทรงจำ




ผมตื่นขึ้นมาในช่วงหัวค่ำ แม้จะยังตัวอุ่นๆอยู่เช่นเดิมแต่ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ผมประคองตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วหันมองคนเฝ้าไข้ที่นั่งหลับเอาหน้าทับกับหนังสืออยู่ข้างๆ

เพราะไม่อยากรบกวนเวลานอนของหมอก แต่เห็นหมอกหลับในท่านั้นแล้วผมก็ปวดตัวแทน ผมเลยสะกิดไหล่เบาๆให้หมอกรู้สึกตัว หมอกจึงลืมตาขึ้นช้าๆแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม

“ตื่นแล้วเหรอ...แล้วเราหลับไปตอนไหนเนี่ย” หันมาพูดกับผม แล้วก็พึมพำกับตัวเองไปเบาๆอย่างงุนงง

“ดีขึ้นรึยัง ขอวัดไข้หน่อย”

หมอกเขยิบขึ้นมานั่งบนเตียง ผมเลยนั่งนิ่งๆให้หมอกวัดไข้เหมือนที่ผ่านมา แต่คราวนี้วิธีวัดไข้ของหมอกกลับทำผมเหมือนไข้จะจับอีกรอบ เมื่อใบหน้าหล่อเคลื่อนเข้ามาชิดใกล้ ก่อนจะใช้หน้าผากของหมอกชนกับหน้าผากของผมเบาๆเพื่อวัดไข้ ผมที่ไม่ได้เตรียมใจกับสัมผัสจู่โจมแบบนี้ได้แต่นั่งหัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก กลัวหมอกจะได้ยินเสียงหัวใจของผมจนต้องผลักอกหนาออกเบาๆ

“ดีขึ้นแล้ว...ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

“อืม ทำกับข้าวไว้ให้แล้วล่ะ...อ้อ! ลืมบอกไปว่าพี่สาวโทรมาหาน่ะ...แต่ว่าบอกไปแล้วว่าบลูหลับอยู่ เดี๋ยวให้โทรไปหาใหม่”

หืม? พี่พิ้งค์น่ะเหรอ พอหมอกบอกอย่างนั้นผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าพี่พิ้งค์โทรมาจริงๆงั้นเหรอ 

“เดี๋ยวไปอุ่นข้าวรอนะ”

“อืม เดี๋ยวโทรหาพี่พิ้งค์เสร็จแล้วจะออกไป”

“ครับ”

หมอกออกไปจากห้องแล้ว ผมเลยเช็คเวลาที่ไทยกับอังกฤษในตอนนี้ก่อนจะวีดิโอคอลกลับไปหาพี่พิ้งค์ รอสัญญาณไม่นานปลายสายก็รับ

[ตื่นแล้วเหรอจ๊ะบลู ปล่อยให้พี่รอตั้งนาน ถ้าเพื่อนบลูไม่บอกว่าบลูกำลังหลับอยู่พี่งอนแล้วจริงๆด้วย]

คำทักทายแรกของพี่สาวคนสวยของผมก็เริ่มงอนผมเสียแล้ว แต่พอได้คำว่า ‘เพื่อนของบลู’ ก็ทำผมชะงักนิดนึง...คงจะหมายถึงหมอกสินะ ผมไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดของพี่พิ้งค์และรีบฉีกยิ้มกว้างแล้วบอกอย่างอ้อนๆ เดี๋ยวพี่จะงอนผมเพิ่มอีก

“ก็บลูพึ่งตื่น วันนี้ไม่ค่อยสบายเท่าไร เลยกินยาแล้วนอนทั้งวันเลย”

[ไม่สบายเหรอ แล้วไปหาหมอรึยังบลู] สีหน้าของพี่สาวผมนั้นเปลี่ยนไปทันที เธอมองผมด้วยความห่วงใย แต่ผมก็ยังยิ้มแล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ไม่ล่ะครับ เริ่มดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงจะหายแล้ว...แล้วพี่พิ้งค์โทรมาหามีอะไรเหรอ ปกติก็แชทมาตลอดนี่นา”

[ก็อยากเห็นหน้าน้องชายหนิ คอลมาไม่ได้เลยรึไง]

“ได้สิครับ โถ่...พี่พิ้งค์อ่ะ อย่างอนผมสิ ผมก็แค่สงสัยเฉยๆเอง”

[งอนแล้ว ถ้าบลูจะง้อพี่ก็ต้องมารับพี่ที่สนามบินนะเข้าใจมั้ย]

“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปรับเองเลย นั่งนับวันรอพี่พิ้งค์กลับไทยแล้วเนี่ย เอาขนมมาฝากผมด้วยนะ”

[ได้จ้า เดี๋ยวซื้อไปฝาก...แค่นี้ก่อนนะบลู เดี๋ยวพี่ต้องเข้าไปหาอาจารย์แล้ว]

“ครับ แล้วผมจะคอลไปหาใหม่นะ”

ผมโบกมือให้พี่พิ้งค์ผ่านกล้องโทรศัพท์ก่อนที่สัญญาณจะตัดไป พอวางสายจากพี่พิ้งค์ผมก็หันไปมองปฏิทินเพื่อดูวันที่พี่พิ้งค์จะกลับมาไทย...อีกสองอาทิตย์กว่าจะถึงวันนั้น ผมอดใจรอจะเจอพี่สาวในรอบหกเดือนแทบจะไม่ไหวแล้ว


ผมวางโทรศัพท์ลงบนเตียงแล้วเดินออกมาจากห้องนอนก็ได้กลิ่นหอมของอาหารทันที พอผมเดินออกมาจากห้องหมอกก็รีบเดินมาประคองผมให้ไปที่โต๊ะอาหาร ผมมองอาหารบนโต๊ะที่มีอยู่สองจาน หมอกไม่ได้ทำข้าวต้มเหมือนที่พูดไว้เมื่อช่วงบ่ายแต่กลับเป็นเมนูง่ายๆอย่างผัดคะน้าน้ำมันหอย และแกงจืดแทน

“คิดว่ากินอะไรอย่างนี้คงอิ่มกว่าข้าวต้ม อีกอย่างบลูก็เริ่มดีขึ้นแล้วด้วยกินเมนูพวกนี้คงเจริญอาหารมากกว่าข้าวต้ม”

“เรากินอะไรก็ได้ ฝีมือหมอกอร่อยทุกอย่างนั้นแหละ...กินเลยนะ”

ผมว่าแล้วจับช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมจิ้มเนื้อหมูตรงหน้า พอหมอกอนุญาตผมก็ยิ้มกว้างแล้วเริ่มตักข้าวเข้าปากทันที ฝีมือหมอกอร่อยอย่าบอกใครเชียวล่ะ ผมเจริญอาหารทุกทีเวลาได้กินข้าวที่หมอกเป็นคนทำ ถ้าผมจะอ้วนขึ้นก็ต้องโทษหมอกคนเดียวเลย

“พี่พิ้งค์คือพี่สาวบลูใช่มั้ย” หมอกถามขึ้นขณะที่ผมกำลังตักน้ำแกงขึ้นซด ผมพยักหน้าแล้วเคี้ยวหมูสับในปากให้หมดก่อนจะตอบหมอก

“ใช่ พี่พิ้งค์เป็นพี่สาวแท้ๆ ห่างกับเราสีปี่ ตอนนี้พี่พิ้งค์อยู่อังกฤษน่ะ”

“อืม...วันนี้เห็นโทรมาตอนที่บลูกำลังหลับอยู่ แต่ไม่อยากปลุกบลู ก็เลยบอกไปว่าบลูหลับอยู่...ครอบครัวบลูยังไม่มีใครรู้ใช่มั้ยว่าเราคบกัน”

พอหมอกถามอย่างนี้ผมก็ชะงักมือที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากทันที ใช่ ครอบครัวผมยังไม่มีใครรู้ ถึงแม้ในโซเชี่ยลของผมจะขึ้นสถานะว่าคบกับหมอก แต่พี่พิ้งค์ก็ไม่ได้เล่นโซเชี่ยล เลยยังไม่มีใครรู้ว่าผมมีแฟนแล้ว

“ยังไม่รู้ เรากำลังจะหาเวลาบอกพวกท่านอยู่...กะว่าจะให้ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้วค่อยบอกทีเดียว อีกสองอาทิตย์พี่พิ้งค์ก็จะกลับไทยแล้ว เราตั้งใจจะบอกความจริงตอนนั้นแหละ”

ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดว่าผมจะบอกครอบครัวผมเรื่องความสัมพันธ์ของผมและหมอก ผมคิดว่าพูดต่อหน้าดีกว่าที่จะบอกผ่านทางโทรศัพท์จึงไม่มีเวลาได้บอกเสียที รอให้ครอบครัวของผมพร้อมหน้าพร้อมตาค่อยบอกอีกทีคงทัน

“งั้น...ก่อนจะถึงวันนั้น วันเสาร์หน้าไปที่บ้านเราก่อนได้มั้ย ไปทานมื้อเที่ยงกับพ่อแม่เราที่บ้าน”

หมอกถามผมด้วยแววตาแน่วแน่ มาถึงตอนนี้ที่พวกเราทั้งสองคนเริ่มคิดที่จะบอกครอบครัวให้รู้แล้วว่าพวกเรารักกัน ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเราจะยอมรับในความสัมพันธ์ของเรารึเปล่า และเแม้ว่าอาจจะมีอุปสรรคต่างๆเข้ามาในภายภาคหน้า ผมก็พร้อมจะสู้ไปพร้อมกับหมอกแล้ว

“ได้สิ เราพร้อมเสมอ”




.

..

...



เช้าวันเสาร์ที่แสนสดใส ผมตื่นตั้งแต่เช้าทั้งๆที่วันนี้เป็นวันหยุด อาบน้ำและเลือกเสื้อผ้าที่สุภาพที่สุดขึ้นมาใส่ นั่งรอไม่นานหมอกก็โทรมาบอกว่ามาถึงที่คอนโดแล้ว ผมจึงปิดห้องและรีบเดินมาหาหมอกที่นั่งรออยู่ในรถ หลังจากนั้นหมอกก็พาผมขับออกมาจากคอนโดอย่างไม่รีบร้อน และแวะกินข้าวเช้ากันก่อนจะเดินทางไปที่บ้านหมอกในเวลาต่อมา

ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้ไปบ้านของหมอก ผมได้เจอกับคุณแม่ของหมอกเพียงแค่ครั้งเดียวเมื่อครั้งนั้นหมอกพาไปทานข้าวที่ดาดฟ้าของโรงแรมสุดหรูใจกลางเมืองโดยไม่ทันตั้งตัว  พอคิดว่าวันนี้จะได้เจอทั้งพ่อและแม่ของหมอก เมื่อคืนผมนอนแทบไม่หลับ

นั่งคิดอยู่คนเดียวไปเรื่อยเปื่อย จนตอนนี้รถเบนซ์สีขาวก็มาจอดอยู่ตรงบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรรแล้ว ผมมองตัวบ้านที่ดูร่มรื่น มีต้นลีลาวดีต้นใหญ่ที่ส่งกลิ่นหอมของดอกไม้อยู่หน้าบ้าน ได้ยินเสียงกระดิ่งดังอยู่ไกลๆ ก่อนที่ลูกหมาคอร์กี้ขนสีน้ำตาลสวยจะวิ่งเข้ามาหาผม

“โฮ่ง โฮ่ง”

“อย่าเห่าพี่บลูสิไอ้เปี๊ยก"

หมอกอุ้มลูกหมาที่ยังขู่ฟ่อผมไม่หยุดขึ้นมาแล้วลูบหัวมันสองที ไอ้เปี๊ยกก็ร้องหงิงๆแล้วหันไปคลอเคลียหมอกอย่างอ้อนๆแทนซะงั้น

“ชื่อเปี๊ยกเหรอ” ผมถามอย่างสนใจ

“อืม ตอนซื้อมาคิดชื่อไม่ออก ตัวมันเล็กนิดเดียวเลยตั้งชื่อว่าเปี๊ยกซะเลย แล้วดูตอนนี้ดิ อ้วนอย่างกับหมู”

ผมมองลูกหมาที่เชื่องสนิทยามอยู่กับเจ้าของ แล้วเดินตามหมอกเข้าบ้านมาถึงห้องโถงที่ไร้ผู้คน แต่กลับเปิดทีวีทิ้งเอาไว้ หมอก
วางเจ้าเปี๊ยกลงแล้วบอกให้ผมนั่งรอก่อนที่หมอกจะเดินหายเข้าไปอีกห้องหนึ่งในบ้านหลังใหญ่ ผมเลยได้ทีลูบขนเจ้าเปี๊ยกเล่น มันมุดหน้าลงกับตักของผมแล้วยอมให้ผมอุ้มได้ ดูเหมือนมันจะเริ่มชอบผมแล้วล่ะ


“มาแล้วเหรอ...แม่กำลังทำอาหารเลย”

“มีแต่อาหารน่าทานทั้งนั้นเลย...บลูอยู่ข้างนอกกับไอ้เปี๊ยกครับ”

“งั้นเหรอจ๊ะ”


ผมได้ยินเสียงบทสนทนาของหมอกและคุณแม่ดังอยู่ไกลๆ แล้วจากนั้นผมก็เห็นคุณแม่และหมอกที่เดินออกมาด้วยกัน คุณแม่ยังใส่ผ้ากันเปื้อนและมีสีหน้ายิ้มแย้มยามที่เจอผม ผมจึงรีบยกมือไหว้ท่านอย่างนอบน้อม

“ไหว้พระเถอะลูก...แล้วกินอะไรกันมารึยัง แม่กำลังทำมื้อเที่ยงไว้รอเลยจ๊ะ”

“พวกเราทานข้าวเช้ามาแล้วล่ะครับ...งั้นให้ผมเป็นลูกมือช่วยดีมั้ยครับ” ผมเสนอตัวช่วยคุณแม่ แต่เธอก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ ในครัวมีคนช่วยเยอะแล้ว...หมอกพาน้องบลูไปสวัสดีพ่อที่สวนหลังบ้านก่อนเถอะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ทำอาหารเสร็จแล้วจะเรียกนะ”

“ได้ครับ”

หมอกรับคำแม่ แล้วกวักมือเรียกผมให้เดินตามหมอกไป ผมยิ้มให้คุณแม่อีกครั้งแล้วเดินตามหมอกไปที่ประตูด้านหลังบ้าน เมื่อเดินออกมาก็เห็นสนามหญ้าสีเขียวขจี ได้ยินเสียงเพลงดังอยู่ไกลๆ หมอกก็พาผมเดินไปใกล้จนเห็นแปลงดอกกล้วยไม้ แล้วก็เห็นชายวัยกลางคน ผมสีดอกเลา แผ่นหลังกว้างใหญ่ดูภูมิฐาน กำลังยืนตัดแต่งกิ่งก้านกล้วยไม้อย่างสบายอารมณ์

“โอ๊ะ! มากันไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง”

คุณพ่อหันหน้ากลับมาหาพวกเราแล้วยกมือขึ้นกุมอกด้วยความตกใจ ทั้งหมอกและผมรีบยกมือไหว้แล้วคุณพ่อก็วางกรรไกรตัดแต่งกิ่งลงในกล่องก่อนจะเดินนำเราไปที่โต๊ะไม้ที่มีวิทยุเปิดเพลงดังอยู่

“มากันตั้งแต่ตอนไหน แม่เราน่าจะยังทำอาหารไม่เสร็จเลยมั้ง”

“พึ่งมาถึงเองครับ ไปสวัสดีแม่มาแล้ว เลยแวะมาสวัสดีพ่อต่อ” หมอกสนทนากับผู้เป็นพ่อ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งสงบเสงี่ยมเงียบๆ โดยมีไอ้เปี๊ยกที่ยังคงวิ่งอยู่รอบๆตัวผมแล้วตะกุยขาผมให้ผมอุ้มมันให้ได้

“ดูเหมือนไอ้เปี๊ยกมันจะชอบหนูนะ” คุณพ่อบอกยิ้มๆ ผมเลยอุ้มไอ้เปี๊ยกขึ้นมานั่งบนตักในที่สุด คุณพ่อมองมันที่นั่งลิ้นห้อยอยู่บนตักผมก่อนจะหันมาคุยกับผมแทน “แล้วชื่ออะไรล่ะเรา”

“ชื่อบลูครับ”

“อยู่คณะวิทย์ฯใช่มั้ย ถ้าพ่อจำไม่ผิด”

“ครับ วิทย์เคมีครับ”

“อ้อ! จำได้ล่ะ...หมอกเคยพูดให้พ่อกับแม่ฟังอยู่บ่อยๆ พอวันนี้บอกว่าจะพามาทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แม่เลยตื่นเต้นมากจนลงมือเข้าครัวเองเลย”

“ครับ” ผมยิ้มจางๆเมื่อได้รู้อย่างนั้น แล้วคุณพ่อก็หันไปคุยกับหมอกอีกครั้ง

“พาบลูเข้าไปนั่งเล่นข้างในก่อนเถอะ อยู่ตรงนี้มันร้อน เดี๋ยวพ่อรดน้ำกล้วยไม้อีกสักหน่อยแล้วจะตามเข้าไป พาไอ้เปี๊ยกมันไปด้วยนะ”

“ครับ”

หมอกรับคำ แล้วพวกเราก็เดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ผมอุ้มไอ้เปี๊ยกเดินดูรูปภาพตามผนังและที่วางเรียงรายอยู่อย่างสนใจ ได้เห็นรูปตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่แต่งงาน จนเห็นรูปของหมอกและควันตั้งแต่ยังเล็กจนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผมมองจนถึงภาพสุดท้ายที่เป็นรูปของหมอกและควันในชุดนักศึกษาก็อมยิ้มน้อยๆ หน้าตาดีตั้งแต่เด็กเลย โตมาแล้วยิ่งหล่อกว่าเดิม

“ไปห้องนอนเราเถอะ อีกเกือบชั่วโมงเลยกว่าจะได้ทานข้าวเที่ยง มีของอะไรจะให้ดูด้วย”

หมอกว่าแล้วก็จูงมือผมไปยังชั้นสองของบ้าน ผมเดินตามไปจนถึงห้องที่มีป้ายชื่อสลักคำว่า ‘Foggy’ แปะเอาไว้หน้าประตู พอเปิดเข้าไปในห้องก็ไม่ต่างจากห้องนอนของหมอกที่คอนโดเท่าไรนัก ห้องนี้ตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงินเข้มตัดขาวคล้ายๆกัน ผมเดินตามหมอกเข้ามาถึงในห้องแล้วหมอกก็หยิบร่มสีฟ้าน้ำทะเลที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วให้ผมดู

“จำได้มั้ย”

หมอกถามแล้วยื่นมันให้ผม ผมมองร่มที่ยังถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพดีแล้วลองกางออกดูก็พบว่ายังมีรอยหมึกจางๆที่เขียนคำว่า ‘BLUE’ ด้วยลายมือของผมหลงเหลืออยู่

“ตอนแรกเอาไปเก็บไว้ที่คอนโด แต่กลัวมันหายเพราะบางทีควันมันก็เอาเพื่อนมาเล่นที่ห้องบ่อยๆ เลยเอากลับมาเก็บไว้ที่บ้านแทน”

“ไม่คิดว่าหมอกจะจำได้เลยจริงๆ”

ผมบอกเสียงแผ่วเบา ร่มคันนี้ผมไม่ได้คิดว่าจะให้หมอกยืมด้วยซ้ำ วันนั้นมันเป็นวันที่ฝนตกหนัก ผมที่ดูพยากรณ์อากาศในตอนเช้าก่อนมาโรงเรียนเลยพกร่มและเสื้อกันฝนติดตัวมาด้วย จนตอนเกือบเลิกเรียนที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก ผมที่กำลังจะเดินกลับบ้านก็เห็นร่างของคนที่แอบมองอยู่บ่อยๆ ทำหน้าสิ้นหวังอยู่ไม่ไกล ผมเลยแบ่งร่มของตัวเองให้เพราะยังไงผมก็มีเสื้อกันฝนอยู่แล้ว

และก็ไม่คิดว่าเพราะวันนั้น ถึงทำให้ผมอยู่ในสายตาของหมอกตั้งแต่นั้นมา...

“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ถ้าไม่ได้ร่มของบลูก็คงจะไปเรียนพิเศษไม่ทัน หลังจากนั้นก็คอยมองหาเจ้าของร่มตลอด”

พอได้รู้อย่างนี้ผมก็ยิ้มออกมา เข้าใจแล้วว่าทำไมช่วงแรกที่ได้รู้จักกัน กลับกลายเป็นหมอกที่รุกผมจนแทบตั้งตัวไม่ทัน ความรู้สึกที่เราชอบเขา แล้วเขาก็ชอบเราตอบมันดีอย่างนี้นี่เอง

“เราไม่เอาร่มคืนหรอก เก็บไว้กับหมอกนี่แหละ ไหนๆก็อยู่กับหมอกมานานขนาดนี้แล้ว”

ผมว่าแล้วคืนร่มให้หมอกเอาไปเก็บไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินไปนั่งที่ปลายเตียง แต่แล้วสายตาของผมก็ดันไปสะดุดกับสิ่งหนึ่งเข้า ผมเปลี่ยนปลายเท้าแล้วเดินไปที่หัวเตียงทันที จ้องมองสิ่งที่วางอยู่บนหัวเตียงให้ชัดๆเพราะกลัวว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตาฝาดอยู่

“มีอะไรเหรอบลู”

“มะ...หมอก...กรอบรูปอันนี้...”

“อ๋อ...กรอบรูปนี้ได้ตอนวันวาเลนไทน์น่ะ ตอนนั้นน่าจะม.4 มั้ง ถ้าจำไม่ผิด ไม่รู้มีใครเอามาวางไว้ที่โต๊ะนักเรียนแล้วคงเผลอหยิบติดกระเป๋ากลับมาบ้าน เห็นว่าสวยดีเลยเอามาตั้งโชว์ไว้”

ผมหยิบกรอบรูปขึ้นมาดูอีกครั้ง...ไม่ผิดแน่ รูปภาพที่ผมตั้งใจทำขึ้นมาเองเพื่อเป็นของขวัญให้หมอก ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะตั้งอยู่ในห้องนอนของหมอกมาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว พอผมพลิกกลับไปดูด้านหลังก็ยังเห็นข้อความที่ผมบรรจงเขียนกับมือยังอยู่ที่เดิม

‘ Happy Valentine’s Day for you
Foggy ’

“หมอก...ความจริงแล้วกรอบรูปอันนี้มันเป็นของเรา”

“หืม? ว่าไงนะ” หมอกเหมือนจะตกใจเมื่อผมพูดอย่างนั้น ผมก็ยังตกใจเหมือนกันที่ได้รู้ว่าหมอกเก็บมันเอาไว้

“ของขวัญวันวาเลนไทน์ชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่ทำให้หมอก...ตอนนั้นเราตั้งใจทำแล้วห่อด้วยกระดาษสีฟ้าไปวางที่โต๊ะของหมอก พอตอนเย็นก่อนกลับบ้านก็เห็นว่าดอกกุหลาบที่มีคนเอามาให้หมอกถูกวางทิ้งไว้หลังห้องเรียน เราเลยคิดว่าของขวัญของเราคงโดนทิ้งแล้วด้วย พอปีต่อๆมาเราเลยไม่กล้าทำของขวัญให้หมอกอีก...ไม่คิดเลยว่าหมอกจะเก็บเอาไว้อย่างนี้”

“อ๋อ...ผู้ชายคนที่ทำท่าทางลับๆล่อๆคนนั้นคือบลูเองเหรอ”

“อะไรนะ?”

ผมหันมามองหมอกที่เหมือนจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่ผมยังไม่เข้าใจนี่น่ะสิ หมอกยิ้มออกมาแล้วดึงมือผมให้นั่งบนเตียงด้วยกันก่อนจะคลายข้อสงสัยให้ผมได้รู้

“ก็ตอนนั้นเราลืมกระเป๋าเงินไว้ในห้องเรียน เลยรีบวิ่งจากโรงอาหารมาที่ห้องเรียน พอเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงโต๊ะของเรา เลยแอบดูเผื่อว่าจะมาขโมยของ แล้วผู้ชายคนนั้นก็ออกจากห้องไป พอเราเดินไปที่โต๊ะก็เห็นกล่องของขวัญสีฟ้าวางไว้อยู่ เลยไม่ได้คิดอะไรแล้วเอาของขวัญใส่กระเป๋าแล้วก็เดินออกมา”

“...”

“รู้ตัวอีกทีก็มาถึงบ้านแล้ว เลยได้เห็นของขวัญที่ติดกระเป๋ามาด้วย พอแกะดูเห็นว่าเป็นรูปของเราก็เลยเอามาตั้งไว้อย่างนี้ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก แต่พอรู้ว่าเจ้าของของขวัญชิ้นนั้นคือบลูก็อดรู้สึกดีไม่ได้”

“ขอบคุณนะที่เก็บมันเอาไว้”

ผมยิ้มแล้วก็ตั้งกรอบรูปวางไว้ที่เดิม และไม่คิดไม่ฝันเมื่อหันกลับมาจะได้รับจูบอุ่นๆจากหมอกอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมหลับตาลงแล้วจูบตอบหมอกช้าๆอย่างอ้อยอิ่ง สัมผัสนุ่มหยุ่นคลอเคลียผมไม่หยุดแล้วก็ดันตัวผมลงนอนบนเตียงทั้งที่เรายังคงจูบกันอย่างนั้น

“อืม...มะ...หมอก...เดี๋ยวต้องลงไปข้างล่างแล้วนะ”

“นิดหน่อยเอง”

พูดเท่านั้นก็ประทับจูบลงมาอีกครั้ง ผมยอมแพ้แล้วโอบรอบคอหมอกไว้หลวมๆ เผยอปากรับจูบและเรียวลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามา ทั้งห้องนั้นเงียบลงถนัดตา จะได้ยินก็เพียงเสียงครางแผ่วเบาและเสียงลมหายใจของเราของคนในระยะประชิดเท่านั้น

“ไม่อยากกินข้าวแล้ว...อยากกินบลู”

เสียงพึมพำนั้นทำเอาผมหน้าเห่อร้อน ไม่ทันให้ผมได้ต่อต้านได้ หมอกก็ผละจูบออกแล้วเริ่มจูบไปรอบกรอบหน้าของผม และก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูดังๆก็ทำให้พวกเราทั้งสองคนหยุดชะงัก

“หมอกจ๊ะ!! กับข้าวเสร็จแล้วลูก พาน้องบลูลงมาทานข้าวเร็ว”

เสียงของคุณแม่ที่ดังอยู่ด้านหลังประตูช่วยชีวิตผมไว้ ผมถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ส่วนหมอกที่สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเสยผมลวกๆก็ได้แต่ขานตอบแม่ไปแล้วดึงผมให้ลุกขึ้นนั่ง

“เกือบโดนจับกินในห้องนี้แล้วมั้ยล่ะ” หมอกพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ผมไม่ได้ยิ้มด้วยเพราะตอนนี้กำลังหน้าแดงสุดๆ ทำไมชอบแกล้งกันอย่างนี้อยู่ทุกทีก็ไม่รู้

“หยุดพูดเลย ลงไปกันได้แล้ว ให้ผู้ใหญ่รอมันไม่ดีนะ”

“ครับเมีย...โอ๊ย! เจ็บ” หมอกแกล้งโอดโอยแล้วจับแขนข้างที่ผมพึ่งตีเมื่อกี้ ตีเบาๆเอง ทำเป็นเจ็บจนเหมือนผมจะทำแขนเขาหักงั้นแหละ

“เมียเมออะไร แฟนก็พอ”

ผมพูดแล้วเอามือสางผมให้เรียบร้อย ดึงเสื้อที่มันยับยู่ให้เรียบเช่นเดิม ไม่กล้าสบตาหมอกที่ยังมองผมด้วยสายตาที่จ้องนานๆอาจจะละลายลงตรงนี้ได้

“แฟนกับเมียก็เหมือนกันนั้นแหละ...เป็นแฟนโดยนิตินัย...แล้วก็เป็นเมียโดยพฤตินัยไงครับเมีย”




tbc.
ตอนแรกวางแพลนไว้ว่าจบ22ตอน
แต่เขียนไปเขียนมาจบที่23ตอนซะงั้น
อีก2ตอนจะจบแล้ว ตอนนี้เปิดจองหนังสือแล้วด้วยนะคะ~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตัลล๊าคคคคคคคค
ชอบเวลาหมอกกับบลูอยู่ด้วยกัน
มันอุ่นในใจจริงๆ

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
น่ารักกก อ่านแล้วยิ้มๆ ดี

ออฟไลน์ Dearbliss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
บทที่ 22
พี่สาวขี้หวง


ผมเดินมาที่ห้องอาหารพร้อมกับหมอก ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต่างนั่งรอกันพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่ก่อนแล้ว ผมนั่งลงข้างหมอกแล้วมองอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอย่างตื่นตาตื่นใจ แล้วเสียงของคุณพ่อก็ดังขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมา

“หิวกันแล้วใช่มั้ย ทานได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”

“ได้ครับ” ผมยิ้มกว้าง และเมื่อทุกคนเริ่มทานข้าวแล้วผมก็ลงมือทานบ้าง ฝีมือของคุณแม่ไม่ต่างจากหมอกเลยสักนิด ผมรู้เลยว่าหมอกได้ฝีมือการทำอาหารมาจากใคร

“กินข้าวแล้วไปตีกอล์ฟกันดีมั้ย บลูตีกอล์ฟเป็นรึเปล่า” คุณพ่อถามขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า ผมเลยรีบตอบท่านอย่างสุภาพ

“ผมเล่นไม่เป็นครับ”

“งั้นก็ไปลองเดินเล่นที่สนามดีมั้ย หมอกเขาตีกอล์ฟเก่งนะ”

“เก่งที่ไหนกันพ่อ ผมก็พอเล่นถูๆไถๆได้แค่นั้นแหละ”

“ไอ้หมอกมันก็พูดไปงั้นแหละ บลูต้องลองไปดูของจริง”

ผมมองคุณพ่อที่แกล้งหยอกหมอกแล้วก็ยิ้มบางๆ เราทานข้าวด้วยกันจนเสร็จ ผมที่อาสาจะเก็บจานไปล้างให้ก็ต้องนั่งนิ่งๆเพราะมีแม่บ้านมาเก็บจานเอาไปที่ห้องครัวเรียบร้อย หลังจากนั้นผมก็เดินมานั่งที่โซฟาหน้าทีวีอย่างสงบเสงี่ยมโดยมีเปี๊ยกวิ่งตามผมแล้วกระโดดขึ้นมานั่งข้างผมซะงั้น ผมเลยต้องอุ้มมันไว้บนตักอย่างเสียไม่ได้

“สงสัยมันจะชอบบลูแล้วจริงๆ”

“ผมก็คิดว่างั้นแหละครับ” ผมตอบคุณแม่ที่ตามมานั่งข้างๆ ส่วนหมอกนั้นหายไปกับคุณพ่อแล้ว สงสัยจะเตรียมตัวกันไปออกรอบแล้วสินะ

“หมอกเป็นไงบ้างจ๊ะ น่ารักกับหนูรึเปล่า”

“ครับ?” ผมถามอย่างสงสัยว่าคุณแม่กำลังพูดอะไร แต่เธอก็ยิ้มแล้วอธิบายให้ผมฟังใหม่อีกรอบ

“หมอกบอกครอบครัวเรานานแล้วว่ามีแฟน แล้วแฟนคนนั้นก็คือหนู แม่เลยอยากรู้ว่าเวลาหมอกเค้ามีแฟน หมอกเป็นยังไง”

ผมอดทึ่งกับสิ่งที่รู้ไม่ได้ ตอนแรกผมคิดว่าที่ผมมาบ้านของหมอกในวันนี้เพราะจะมาบอกสถานะของเราให้ครอบครัวของหมอกได้ทราบ ผมเตรียมใจมาส่วนหนึ่งแล้วว่าอาจจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หวังไว้ แต่พอได้รู้ความจริงว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว และทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจผมอย่างนี้ผมก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้

“คุณแม่ไม่โกรธเหรอครับ...เออ...ที่หมอกคบกับผม”

“โกรธทำไมล่ะจ๊ะ ลูกชายแม่มีความรักทั้งทีทำไมแม่ต้องโกรธด้วย”

“...”

“ยิ่งน้องบลูน่ารักขนาดนี้ พ่อกับแม่จะโกรธทำไมล่ะ...ความรักมันเป็นสิ่งสวยงาม แม่เข้าใจว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป ความรักมันไม่แบ่งเพศ ไม่แบ่งภาษาเหมือนสมัยพ่อกับแม่อีกแล้ว ถ้าลูกแม่รักใคร แม่ก็จะรักด้วย”

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจพวกผม” ผมบอกด้วยความซาบซึ้ง ยิ่งเมื่อคุณแม่ดึงผมเข้าไปกอดอย่างเอ็นดูแล้วผมก็กอดตอบท่านทันทีด้วยความรู้สึกขอบคุณ

“ทีหลังก็มาหาพ่อกับแม่บ่อยๆนะ คนแก่อยู่ด้วยกันสองคนมันเหงา อยากเห็นหน้าลูกๆบ่อยๆ”

“ได้ครับ ผมสัญญาว่าผมจะมาบ่อยๆ”

ผมคุยกับคุณแม่อีกไม่นาน หมอกและคุณพ่อก็เดินเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ตีกอล์ฟ พวกเราทั้งสี่คนออกจากบ้านและไปถึงสนามกอล์ฟที่ห่างไปอีกไม่กี่กิโล ตลอดช่วงบ่ายนั้นผมใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของหมอกและเริ่มสนิทสนมจนผมสามารถเรียกคุณพ่อคุณแม่ของหมอกได้เต็มปาก และหมอกก็โชว์วงสวิงที่เก่งไม่ต่างจากที่คุณพ่อโม้เอาไว้เลยสักนิด เล่นกอล์ฟกันจนเพลินก็ได้เวลากลับกัน ผมจึงลาคุณพ่อคุณแม่แล้วนั่งรถกลับมาพร้อมกับหมอกที่มาส่งถึงที่คอนโด ระหว่างทางนั้นใบหน้าของพวกเราก็ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เกิดจากความสุขที่ได้รับในวันนี้

“หมอก”

“หืม?” หมอกขานรับแล้วก็ตบไฟเลี้ยว และขับชิดเลนขวาก่อนจะหยุดรอสัญญาณไฟจราจร

“หมอกบอกกับพ่อแม่ตั้งแต่ตอนไหนว่าคบกันเราอยู่”

“ก็นานแล้ว...ช่วงคบกันแรกๆเลยมั้ง ทำไมเหรอ”

“เราเข้าใจว่าหมอกยังไม่บอก ก่อนไปที่บ้านหมอกเรากลัวมากเลยนะ”

ผมนึกถึงตอนเช้าที่ผมตื่นเต้นอยู่เพียงลำพัง ในหัวคิดไปสารพัด กลัวว่าพ่อแม่ของหมอกจะยอมรับไม่ได้บ้าง กลัวว่าเราจะได้เลิกกันบ้าง แต่พอรู้ความจริงจากปากคุณแม่ว่าพวกท่านรู้เรื่องของเรานานแล้ว ผมก็แทบจะยกภูเขาออกจากอก

“พ่อแม่เราใจดีจะตาย พ่อยังบอกอีกว่าให้พาบลูไปหาบ่อยๆ”

“อืม...ไปได้อยู่แล้ว...เออ หมอก อาทิตย์หน้าคงถึงคิวเราแล้ว พาเราไปที่ที่หนึ่งได้มั้ย”

ถึงผมจะผ่านด่านครอบครัวของหมอกอย่างฉลุย แต่ก็เหลืออีกด่านก็คือครอบครัวของผมนี่แหละ ยิ่งพี่พิ้งค์ที่หวงผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรผมจึงต้องวางแผนอย่างดีเลย

“ไปไหนเหรอ”

“ไปสนามบินสุวรรณภูมิ...จะไปรับพี่พิ้งค์น่ะ”

“ได้สิ ต่อไปคงถึงคิวเราพิชิตใจครอบครัวบลูแล้วสินะ”

“ก็คงประมาณนั้น...พ่อแม่น่ะคงไม่เท่าไรหรอกเพราะท่านก็ใจดีไม่ต่างจากพ่อแม่ของหมอกหรอก...แต่พี่พิ้งค์น่ะสิ...”

“พี่พิ้งค์ทำไมเหรอ”

“เดี๋ยวหมอกเจอก็คงรู้”





.

..

...




ผมและหมอกมาถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิก่อนเครื่องแลนด์ดิ้งประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นเราก็นั่งรอกันที่สตาร์บัคจนเมื่อได้ยินเสียงประกาศว่าเครื่องบินไฟล์ทของพี่พิ้งค์มาถึงแล้ว ผมและหมอกจึงมายืนรอรับพี่พิ้งค์ที่หน้าเกท รอไม่นานก็เห็นพี่สาวผมที่เดินออกมาพร้อมผู้โดยสารคนอื่น ผมยิ้มกว้างแล้วรีบเดินไปหาพี่พิ้งค์โดยที่หมอกเดินตามมาด้านหลัง

“คิดถึงพี่พิ้งค์จังเลย”

“คิดถึงบลูเหมือนกันจ๊ะ...แล้วนี่...” พี่พิ้งค์ผละกอดออกจากผมแล้วมองหน้าหมอกด้วยความงุนงง และก่อนที่ผมจะได้แนะนำหมอกให้พี่พิ้งค์รู้จัก พี่พิ้งค์ก็โพล่งขึ้นมาก่อน

“เพื่อนบลูใช่มั้ยจ๊ะ...พอดีเลย พี่ฝากถือกระเป๋าหน่อยได้มั้ย”

“ได้ครับ”

หมอกรับคำพี่พิ้งค์ แล้วลากกระเป๋าใบใหญ่ของพี่พิ้งค์มาถือแทน ส่วนพี่พิ้งค์ก็เดินนำหน้าพวกเราแต่มืออีกข้างก็ลากแขนผมไปด้วย ผมเลยได้แต่หันกลับไปมองหมอกที่ยังเดินตามหลังพวกเราอย่างขอโทษ


พี่สาวของผมกำลังจะแผลงฤทธิ์แล้วสินะ


“ทำไมบลูต้องรบกวนเพื่อนให้มารับพี่ด้วยล่ะ พี่นึกว่าบลูจะมารับพี่พร้อมกับพ่อแม่ซะอีก”

พี่พิ้งค์กระซิบกระซาบกับผมขณะที่นั่งอยู่ในรถของหมอก ตอนแรกผมจะนั่งข้างหมอกเหมือนทุกที แต่พี่พิ้งค์ก็ให้ผมมานั่งเบาะด้านหลังเป็นเพื่อน ตอนแรกผมก็ค้านว่านั่งอย่างนี้แล้วหมอกเหมือนเป็นคนขับรถให้พวกเรามันจะดูไม่ดี แต่หมอกก็ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ผมจึงต้องขอโทษหมอกผ่านทางสายตาอีกครั้งจนได้

“พ่อกับแม่ไปงานแต่งงาน ก็เลยให้ผมมารับคนเดียว ผมเลยให้หมอกพามารับพี่ไง”

“ทีหลังไม่ต้องรบกวนเพื่อนหรอกนะ เกรงใจเขาน่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกครับ ผมเต็มใจ”

หมอกพูดแทรกเข้ามาในบทสนทนาของผมและพี่พิ้งค์ ผมเลยรีบพยักหน้าสนับสนุนหมอกทันที ส่วนพี่พิ้งค์ก็นั่งเงียบเลย จนเมื่อหมอกมาส่งผมและพี่พิ้งค์ถึงที่บ้านของผม ซึ่งผมเป็นคนบอกทางมาตลอดทาง หมอกก็ช่วยยกกระเป๋าของพี่พิ้งค์ลงมาจากรถจนหมด พี่พิ้งค์ก็หอบกระเป๋าใบโตเข้าบ้านไปก่อนส่วนผมก็ยังยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับหมอกที่ยังมีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เช่นเคย

“ขอโทษแทนพี่พิ้งค์ด้วยนะหมอก”

“ขอโทษทำไม เราไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้ว” หมอกพูดแล้วก็ยกมือขึ้นยีหัวผมเบาๆ ใบหน้าหล่อนั้นยังอมยิ้มอยู่ ส่วนผมนั้นยังรู้สึกผิดแทนพี่พิ้งค์อยู่เลย

“แต่ว่า...”

“เอาเถอะหน่าบลู อย่าคิดมากเลย เข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวเราจะกลับแล้ว”

“อืม ขับรถดีๆนะ ถึงที่คอนโดแล้วโทรมาหาด้วยล่ะ”

“ได้ครับ”

ผมยืนรอจนหมอกขับรถออกไปจากหน้าบ้านแล้ว จึงหันหลังเดินกลับเข้ามาในรั้วบ้าน และก็เห็นพี่พิ้งค์ที่ยืนรอผมอยู่ที่หน้าบ้าน ผมจึงยิ้มให้พี่พิ้งค์แล้วเดินเข้าไปกอดเอวอย่างอ้อนๆ

“ไหนครับ ของฝากจากอังกฤษให้น้องชายสุดหล่ออยู่ไหน บลูอยากดูแล้ว”


พอพระอาทิตย์ตกดิน พ่อแม่ของผมก็กลับมาถึงบ้านพอดี พี่พิ้งค์เอาของฝากจากอังกฤษที่ซื้อมาให้พ่อ แม่ และผมมาวางกลางบ้านและเริ่มให้ทีละคน ของพ่อเป็นเสื้อฟุตบอลทีมโปรดของท่าน ส่วนของแม่เป็นผงชาที่ท่านชอบจนฝากพี่พิ้งค์ซื้อมาถุงที่สามแล้ว ส่วนของผมเป็นขวดน้ำหอมโจมาโลน...กลิ่น Iris & White Musk...กลิ่นเดียวกันกับที่ผมเคยเลือกให้หมอกเลย

“พี่ว่าบลูเรียนมหา’ลัยแล้ว หัดฉีดน้ำหอมซะบ้าง โตแล้วนะเรา”

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะลองใช้ดู”

ผมเก็บขวดน้ำหอมลงกล่องเช่นเดิม จากนั้นครอบครัวของเราก็ขับรถออกไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกัน เรามาถึงร้านอาหารไทยขึ้นชื่อและให้พี่พิ้งค์เป็นสั่งทั้งหมดตามที่พี่พิ้งค์อยากทาน ส่วนผมก็นั่งเงียบๆ ในหัวตอนนี้กำลังเรียบเรียงคำพูดดีๆที่จะบอกเรื่องความสัมพันธ์ของผมและหมอกให้ที่บ้านได้รู้ไปด้วย

“วันนี้เงียบจังเลยบลู ไม่หิวเหรอลูก” เสียงของแม่ดึงผมออกมาจากภวังค์ ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ยิ้มแห้งๆตอบ

“หิวสิครับ...ผมแค่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ”

“คิดอะไรบลู พี่สาวทั้งคนกลับมาจะคิดถึงคนอื่นอีกเหรอ”

“ผมก็คิดถึงพี่พิ้งค์ที่สุดอยู่แล้วหน่า ไม่งอนสิครับ” ผมว่าแล้วก็เอนหัวซบพี่สาวคนสวยอย่างอ้อนๆ เห็นพ่อแม่ที่นั่งตรงข้ามยิ้มให้พวกเรา ผมก็รู้สึกอบอุ่นใจที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวขึ้นมา

“ไม่งอนก็ได้”

พี่พิ้งค์ว่าแล้วก็ลูบหัวผมเบาๆ พวกเราคุยกันเรื่องทั่วๆไปจนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ มีตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ปลาราดพริก ผัดหน่อไม้ฝรั่ง และปูผัดผงกระหรี่ พี่พิ้งค์ตักปูตัวใหญ่ใส่จานผม ตักต้มยำกุ้งให้พ่อและแม่ จากนั้นเราก็เริ่มทานข้าวกัน

ผมที่มองสมาชิกบนโต๊ะกำลังเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า แล้วตัดสินใจว่าเวลานี้แหละควรบอกเรื่องของผมและหมอกให้ครอบครัวทราบเสียที ผมจึงลองเกริ่นขึ้นก่อน

“เออ...ทุกคนครับ ผมมีอะไรจะบอก”

“หืม? เรื่องอะไรเหรอลูก” แม่มองผมอย่างสนใจ และทุกคนบนโต๊ะก็จ้องหน้าผมพร้อมกันทันที ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะบอกออกไป

“ผมมีแฟนแล้วนะ”


เคร้ง!


เสียงช้อนตกกระทบกับจานกระเบื้องทำผมสะดุ้ง พี่พิ้งค์ที่เผลอทำช้อนตกรีบรวบช้อนให้เรียบร้อยแล้วหยิบทิชชู่มาเช็ดรอบจานที่มันเลอะช้าๆ

“ไอ้ลูกคนเล็กของเรามีแฟนแล้วงั้นเหรอ...โตเป็นหนุ่มแล้วนี่นา”

คุณพ่อยังคงยิ้มแย้มไม่ต่างจากคุณแม่ ผมเลยพอโล่งใจได้ว่าพ่อและแม่คงไม่ได้ต่อต้านในเรื่องนี้เสียเท่าไร

“เราคบกันมาได้สักพักแล้วครับ...จะเป็นไรมั้ยครับ ถ้าพรุ่งนี้ผมจะพาแฟนผมมาทานข้าวกับครอบครัวของเรา”

“แม่ก็อยากจะเห็นคนที่พิชิตใจบลูได้เหมือนกัน...แต่ว่าอาทิตย์นี้พ่อกับแม่ไม่ว่างน่ะสิ เดี๋ยวก็ต้องบินไปสัมมนาที่เชียงใหม่แล้ว เอาไว้วันอื่นได้รึเปล่าลูก”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวค่อยหาเวลาว่างๆนัดเจอกันก็ได้” ผมยิ้มอย่างดีใจที่พ่อกับแม่ดูจะตื่นเต้นที่ได้รู้ว่าผมมีแฟนและจะพามาหาพวกท่าน แต่พี่พิ้งค์ที่นั่งเงียบอยู่ข้างผมมานานก็พูดขึ้นเนิบๆ

“แต่พรุ่งนี้พี่ว่าง งั้นเดี๋ยวเราไปทานข้าวกับแฟนบลูดีมั้ยจ๊ะ ถ้าผ่านด่านพี่ได้ กับพ่อแม่ก็คงฉลุย”

“เออ...ได้สิครับ” ผมยิ้มเก้อๆให้พี่สาวที่ยังยิ้มหวานอยู่...แต่ดวงตาของพี่พิ้งค์กลับวาววับจนผมอดขนลุกไม่ได้

“พี่พอจะเดาออกแล้วล่ะ ว่าแฟนบลูคือใคร ตื่นเต้นจังอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆแล้ว”







วันนี้ผมออกจากบ้านพร้อมกับพี่พิ้งค์ในช่วงสาย เมื่อคืนหลังจากทานข้าวเสร็จและกลับถึงบ้าน ผมก็รีบทักหาหมอกและบอกว่าพรุ่งนี้พี่พิ้งค์ให้ออกไปทานข้าวด้วยกันโดยที่ผมและพี่สาวจะไปรับ และตอนนี้พี่พิ้งค์ก็ขับรถมาจอดเทียบที่คอนโดของหมอกแล้ว

“หวัดดีหมอก”

ผมยิ้มให้กับคนที่เปิดประตูขึ้นมานั่งด้านหลัง หมอกยิ้มให้ผมก่อนจะทักทายพี่พิ้งค์ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พี่พิ้งค์แค่พยักหน้ารับไหว้แล้วก็ออกเดินทางไปต่อทันที

เป้าหมายในวันนี้คือพารากอน เรามาถึงช่วงเวลาเกือบเที่ยงพอดี โชคยังดีที่ได้ที่จอดรถมาแบบฟลุ๊คๆในเวลาอย่างนี้ พอเดินลงจากรถเข้ามาในห้าง พี่พิ้งค์ก็เดินอยู่ตรงกลางระหว่างผมและหมอก มือด้านซ้ายก็เกี่ยวแขนผมให้เดินชิดไม่ให้ห่าง

“กินอะไรดีบลู” พี่พิ้งค์หันมาถามความเห็นผม ผมเลยหันไปมองหมอกอีกทีราวกับจะโบ้ยให้พี่พิ้งค์ถามหมอกบ้าง เพราะตลอดทางพี่พิ้งค์ก็คุยอยู่กับผมแค่คนเดียวมาโดยตลอด และทำเหมือนหมอกไม่มีตัวตนอย่างนั้นแหละ

“หมอกอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย” ผมถามแทน เพราะพี่พิ้งค์ยังคงเมินหมอกอยู่เช่นเดิม

“กินอะไรก็ได้ ตามใจบลูเลย”

“ก็เห็นตามใจอย่างนี้ทุกที...” ผมพึมพำให้คนที่ชอบสปอยล์ผมทั้งสองคน สุดท้ายผมก็เลือกร้านบุฟเฟต์ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเสียเลย

พวกเราสามคนเดินเข้าไปในร้านและพนักงานก็ต้อนรับเป็นอย่างดี ผมนั่งข้างพี่พิ้งค์ ส่วนหมอกก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เราสั่งทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู และซีฟู๊ดมาจนเต็มโต๊ะ เมนูวันนี้มันน่ากินจนผมน้ำลายสอ แต่ความน่ากินของอาหารตรงหน้ามันกลับลดลงทันทีเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองทั้งพี่พิ้งค์และหมอก

พี่พิ้งค์ยังคงจ้องหมอกด้วยสายตาประเมินคนตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา ส่วนหมอกก็เริ่มหน้าซีดลงเรื่อยๆ แต่กระนั้นหมอกก็ยังใช้ใบหน้านิ่งๆเคลือบความไม่มั่นใจของตนเองเอาไว้ได้อย่างดี

“กินกันเถอะครับ ถ้าไม่กินผมขอกินก่อนเลยนะ”

ผมพูดขึ้นทำลายสงครามเย็นที่พี่พิ้งค์เป็นคนเริ่มก่อน พอผมพูดอย่างนั้นพี่พิ้งค์ก็หันมายิ้มให้ผมแล้วเริ่มคีบเนื้อลงเตาแล้ว ส่วนหมอกก็เริ่มย่างเนื้อบ้างเช่นกัน ผมแอบถอนหายใจออกมาเงียบๆคนเดียวกว่าทั้งสองคนจะยอมเลิกเล่นสงครามประสาทกันได้ ผมได้แต่ภาวนาให้วันนี้มันผ่านไปเร็วๆ ก่อนที่ผมจะอึดอัดตายเสียก่อน

“บลูชอบเนื้อสันคอใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ย่างให้”

พี่พิ้งค์พูดขึ้นแล้วก็คีบเนื้อลงบนเตา ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วคีบเนื้อหมูสามชั้นที่สุกได้ที่ให้หมอกที่ไม่ได้ขอ แล้วในนาทีต่อมา กุ้งตัวใหญ่ที่หมอกพึ่งแกะเสร็จก็ถูกวางลงบนจานผม

“วันนี้บลูฉีดน้ำหอมที่พี่ซื้อมาให้ด้วยใช่มั้ย พี่ได้กลิ่นตั้งแต่อยู่บนรถแล้วแต่ลืมทัก” พี่พิ้งค์หันมาชวนผมคุย ผมเผลอขมวดคิ้วก่อนจะคลายออก แล้วบอกพี่พิ้งค์กลับไป

“ผมยังไม่แกะออกมาใช้เลย คงจะเป็นน้ำหอมของหมอกนะครับ กลิ่นเดียวกับที่พี่พิ้งค์ซื้อมาฝากเลย”

“บลูเป็นคนเลือกให้ผมครับ” หมอกพูดต่อประโยคของผม ทำเอาพี่พิ้งค์ถึงกับไปต่อไม่ถูกเลย

พี่พิ้งค์ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนั้นพวกเราก็กินเนื้อย่างกันต่อจนอิ่ม มื้อนี้พี่พิ้งค์เป็นคนเลี้ยงทั้งหมด จากนั้นพวกเราทั้งสามคนก็มานั่งกันต่อที่ร้านชาชื่อดังซึ่งขยายสาขามาจากประเทศอังกฤษอีกที พี่พิ้งค์สั่ง afternoon special blend มาหนึ่งพ็อต หมอกสั่ง black tea latte ส่วนผมสั่งพุดดิ้งเค้กมาเพราะอยากกินของหวานมากกว่า

“บลู...แม่บอกว่าฝากไปเอาเสื้อที่สั่งไว้ที่ร้าน Q หน่อย พี่วานบลูไปเอาตอนนี้เลยได้มั้ย”

“ทำไมเราไม่ไปพร้อมกันทีเดียวล่ะครับ” ผมถามอยากสงสัย

“ก็บลูกินพุดดิ้งหมดแล้ว พี่กับหมอกยังกินไม่หมดเลย บลูมาถึงแล้วเราจะได้กลับกันเลยไง”

“เอางั้นก็ได้ครับ” ผมรับคำพี่พิ้งค์อย่างว่าง่าย แล้วเดินออกจากร้านเพื่อไปเอาเสื้อของแม่ที่สั่งเอาไว้ รีบไปรีบกลับดีกว่า ขืนปล่อยให้พี่พิ้งค์อยู่กับหมอกสองคนนานๆ ผมว่าคงไม่ดีแน่






คล้อยหลังบลูแล้ว หมอกก็ยืดตัวตรงก่อนที่ดวงตาเรียวจะสบกับดวงตากลมสวยของหญิงสาวตรงหน้าที่นั่งจิบน้ำชาด้วยท่าทางผู้ดี

“พี่พิ้งค์มีอะไรจะคุยกับผมก็เริ่มเลยดีกว่าครับ”

“รู้ตัวเร็วอย่างนี้ก็ดี งั้นก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน”

พิ้งค์วางถ้วยชาลง แล้วนั่งพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ต่างจากหมอกที่ยังนั่งตัวเกร็งและตีสีหน้านิ่งเคลือบความรู้สึกที่ไร้ความมั่นใจของตัวเองไว้อย่างแนบเนียน

“พี่หวงบลู”

“...”

“บลูเป็นคนเดียวที่พี่รัก และห่วงใยเสมอ...บลูเป็นเด็กน่ารัก บลูขี้อ้อนมาก เมื่อก่อนบลูติดพี่สาวคนนี้มาก แต่พอพี่ไปเรียนต่อที่อังกฤษเราก็เหมือนจะห่างกันไป”

“...”

“เมื่อก่อนเคยคิดว่าถ้าบลูมีแฟนจะเป็นยังไง คนๆนั้นก็สามารถดูแลบลู ปกป้องบลูได้เหมือนที่ครอบครัวของเราดูแลบลูรึเปล่า...ตอนแรกก็กะว่าจะขัดขวางมากกว่านี้อยู่หรอก แต่พอเห็นสายตาของบลูที่มองหมอกแล้วก็ทำไม่ลง พอได้เห็นว่าน้องชายพี่ใส่ใจแฟนตัวเองมากแค่ไหน แค่คิดว่าจะขัดขวางแล้วน้องต้องร้องไห้งอแงพี่ก็ทำไม่ลงแล้ว...”

พิ้งค์นึกไปถึงเหตุการณ์ในร้านบุฟเฟต์ที่ผ่านมา การกระทำเล็กๆน้อยๆที่คนทั้งคู่ทำให้กันอย่างเช่นว่าบลูคอยคีบเนื้อหมูของโปรดให้หมอก หรือหมอกที่คอยแกะเปลือกกุ้งให้บลูอยู่ในเรื่อยๆนั้นอยู่ในสายตาของพิ้งค์อยู่เสมอ ยังไม่นับรวมความอ่อนโยนที่เธอสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อวานที่หมอกและบลูยืนคุยกันอยู่ที่หน้าบ้านของเธอแล้ว

ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าทั้งสองคนไม่ใช่แค่เพื่อนกันแน่นอน

“สัญญากับพี่ได้มั้ยหมอก”

“สัญญาอะไรครับ”

หมอกสบตาพี่สาวของบลูที่ยังมีแววตาเคลือบแคลงเจือปนอยู่ ดวงตากลมสวยคู่นั้นจ้องมองเขาที่มีท่าทีมุ่งมั่นก็เริ่มเบาใจลงได้ว่าผู้ชายคนนี้คงจะดูแลน้องชายของเธอได้อย่างที่เธอหวัง

“สัญญาว่าจะดูแลบลูให้ดี อย่าทำให้บลูร้องไห้ สัญญากับพี่ว่าจะรักบลูให้มากเท่ากับที่พี่รักบลู”

หลังจากได้ยินคำสัญญานั้น หมอกก็อมยิ้มออกมาเพียงนิด ไม่จำเป็นต้องสัญญายังไงเขาก็ทำมันมาตลอดอยู่แล้ว ใบหน้าหล่อจ้องตอบพี่สาวบลูด้วยแววตาจริงจัง ดวงตาเรียวเหลือบเห็นร่างของคนรักที่เดินหอบถุงเสื้อผ้ามาไกลๆแล้ว ริมฝีปากได้รูปก็ขยับปากพูดให้คนตรงหน้ามั่นใจในตัวเขาเสียที

“ผมสัญญาว่าผมจะดูแลและปกป้องบลูให้ดีที่สุด วันไหนที่บลูร้องไห้ พี่ก็ตามมาแหกอกผมได้เลยครับ”



tbc.
ตอนหน้าจะจบแล้วนะคะ ใจหายจังT__T

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ itsgonnabeme

  • It's me, not you.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 263
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
หมอกคุงทำดีมากลูก!
ชอบประโยคสุดท้ายจริงๆค่ะ

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ฮืออ จะจบแล้วเหรอคะ ใจหายมากๆเลย จะไม่เห็นน้องบลูอีกแล้วเหรออ แงง ต้องคิดถึงมากๆแน่ๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
หวงน้องบลู หวงนิดเดียวเอง หมอกชิลเลยย

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เอาใจเราไปอีกดวงไหมหมอก // โดนบลูต่อย

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
อ่านรวดเดียว 22 ตอนเลย น่ารักมากๆ
 :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด