พิมพ์หน้านี้ - ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Dearbliss ที่ 05-02-2018 22:19:14

หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 05-02-2018 22:19:14
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)
 
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




ม่านหมอกสีฟ้า

เธอหมุนรอบฉัน
ฉันหมุนรอบเธอ
และสองดาวยังคงหมุนรอบตัวเอง


twitter : @Dearblisss
Fanpage : https://www.facebook.com/Dearblisss/


--------------------------------------


สารบัญ


ตอนที่ 1 : ความพยายาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3784510#msg3784510)
ตอนที่ 2 : ยินดีที่ได้รู้จัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3784886#msg3784886)
ตอนที่ 3 : ไม่ทันได้เตรียมใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3786103#msg3786103)
ตอนที่ 4 : #หมอกบลู vs #เพลิงบลู (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3787199#msg3787199)
ตอนที่ 5 : หมอกและควัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3788464#msg3788464)
ตอนพิเศษ : สุขสันต์วันแห่งความรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3789576#msg3789576)
ตอนที่ 6 : ดอกกุหลาบสีแดง 12 ดอก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3790773#msg3790773)
ตอนที่ 7 : เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3792646#msg3792646)
ตอนที่ 8 : ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3794846#msg3794846)
ตอนที่ 9 : งอนแล้วต้องง้อยังไง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3797146#msg3797146)
ตอนที่ 10 : โกหกไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3798812#msg3798812)
ตอนที่ 11 : วันหยุดของดาวเดือน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3800422#msg3800422)
ตอนที่ 12 : สรุปแล้วเราเป็นอะไรกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3801250#msg3801250)
ตอนที่ 13 : แฟนกันวันแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3802802#msg3802802)
ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3806357#msg3806357)
ตอนที่ 15 : นายแบบจำเป็น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3807772#msg3807772)
ตอนที่ 16 : เซอร์ไพร์สในเซอร์ไพร์ส (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3809580#msg3809580)
ตอนที่ 17 : ความลับไม่มีในโลก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3811810#msg3811810)
ตอนที่ 18 : พ่อบ้านใจกล้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3813848#msg3813848)
ตอนที่ 19 : ม่านหมอกกลางใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3815797#msg3815797)
ตอนที่ 20 : ลูกแมวเชื่องกับเจ้าของสุดหล่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3816998#msg3816998)
ตอนที่ 21 : ของขวัญในความทรงจำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3819060#msg3819060)
ตอนที่ 22 : พี่สาวขี้หวง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3821722#msg3821722)
ตอนที่ 23 : วาเลนไทน์นี้ไม่โสดแล้ว (จบ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66099.msg3823397#msg3823397)




หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 1 -- 05/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 05-02-2018 22:20:15

บทที่ 1
ความพยายาม




“อะไรถึงทำให้คุณอยากเป็นเดือนคณะเราครับ”


คำถามของรุ่นพี่กรรมการถามขึ้นท่ามกลางห้องประชุมที่เงียบสนิท ทุกสายตาของเพื่อนๆร่วมคณะต่างมองมาที่ผมเป็นตาเดียว รอคอยเหตุผลของผมเหมือนกับที่ทุกๆคนโดนถาม

นั่นสิ...ทำไมผมถึงอยากเป็นเดือนคณะกันนะ ทั้งๆที่รู้ว่าถ้าได้เป็นงานมันจะหนักขนาดไหน แต่ผมกลับเป็นคนที่เดียวที่ลงสมัครเป็นเดือนคณะวิทยาศาสตร์ด้วยความเต็มใจ ในขณะที่หลายๆคนอาจถูกรุ่นพี่สาขาบังคับให้ลงเพราะไม่มีตัวแทนส่งมา

“เพราะผม...”

ผมนิ่งคิดอีกนิด เพราะเหตุผลที่ทำให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้มันบ้าบอมาก


“ผมแค่อยากโดดเด่น อยากมีพื้นที่ยืนในสังคมมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เผื่อว่าวันหนึ่งคนที่ผมรอคอยเขาจะหันมาเห็นผมบ้าง...”


ผมพูดมันออกไปแล้ว เหตุผลจริงๆที่ทำให้ผมเลือกที่จะลงประกวดดาว-เดือน ผมรู้ว่ามันบ้ามาก ถ้ารุ่นพี่ไม่รับผมก็ไม่เป็นไร เพราะผมถือว่าผมได้พยายามอย่างสุดความสามารถของผมแล้ว



.
..




“เชื่ยบลูแม่งได้เป็นเดือนคณะว่ะ”


เสียงโหวกเหวกโวยวายของว่านดังขึ้นในห้องสโลป เลื่อนดูภาพที่ผมไปถ่ายมาพร้อมกับแป้ง ดาวคณะวิทยาศาสตร์จากสาขาชีววิทยาเมื่อสามวันก่อน ทุกคนดูตื่นเต้นมากเพราะเรื่องการคัดตัวดาว-เดือนจากสาขาต่างๆนั้นเป็นความลับสุดๆ และทางสโมสรคณะจะเปิดตัวดาว-เดือนคณะครั้งเดียวผ่านทางเพจของสโมสร ไม่มีใครรู้เรื่องนี้จนเมื่อว่านพูดลั่นห้องสโลปนั้นแหละ ทุกคนถึงได้กรูกันเข้ามาดูรูปผมในไอแพดของไอ้ว่าน

“เกิดมาชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะมีเพื่อนเป็นเดือนคณะกับเขา มึงนี่แม่งสานฝันวันของกูจริงๆว่ะบลู”

ว่านยิ้มร่า เข้ามากอดผมจนแน่นด้วยอาการดี๊ด๊า ผมส่ายหน้าเบาๆอย่างหน่ายใจ ก่อนจะหยิบชีทเรียนขึ้นมารออาจารย์ที่ยังไม่เข้ามาในห้อง

“ตอนกูแข่งก็อย่าลืมไปเชียร์ด้วยก็แล้วกัน”

“ได้จ้า เดี๋ยวพี่ว่านและผองเพื่อนจะเกณฑ์คนทั้งคณะไปเชียร์มึงเลย เอาให้ได้เป็นเดือนมหา’ลัย แม่งจะได้ฮอต! ฮอต! ฮอตจนปรอทแตก”

ผมมองเพื่อนสนิทที่ดูจะตื่นเต้นเกินหน้าเกินตาผมไปมาก ดิ้นไปสักพักอาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องพอดี เพื่อนทั้งหมดจึงรีบสลายตัวและนั่งประจำที่ตัวเองทันทีก่อนจะโดนอาจารย์เทศนาตั้งแต่เช้า



.
..




“น้องบลูมาแล้ว พี่กำลังรออยู่เลย”

“ขอโทษทีครับ พอดีอาจารย์ปล่อยเลทนิดหน่อย”

“ไม่เป็นไรจ้า ยังพอมีเวลาอยู่ งั้นเราไปที่ตึก A กันเลยเถอะ เดี๋ยวคนอื่นๆจะรอ”

พี่ปูเป้เป็นพี่เลี้ยงดาว-เดือนของผมและแป้ง พวกเราพยักหน้าก่อนจะเก็บของและเดินตามพี่ปูเป้มาถึงรถเก๋งของเธอ หลังจากนั้นไม่นานพวกผมก็มาถึงอาคาร A อาคารที่เอาไว้ใช้สำหรับเก็บตัวและทำกิจกรรมของดาว-เดือนจากทุกคณะ

“มากันแล้วเหรอจ๊ะเด็กๆ ปีนี้ทำไมคณะวิทย์งานดีอย่างนี้!”

พี่สาวประเภทสองเดินมาต้อนรับพวกผมกับพี่ปู้เป้ ผมและแป้งรีบยกมือไหว้ก่อนเลยแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนเพราะคณะผมเคร่งเรื่องระบบรุ่นพี่-รุ่นน้อง และมารยาทมาก ถ้าไม่ไหว้นี่อาจโดนตำหนิยาวไปถึงคณะแน่ๆ

“นี่พี่เจตน์นะน้องบลู น้องแป้ง” พี่ปูเป้แนะนำ แต่พี่เจตน์กลับทำตาขวางใส่

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อนี้ เรียกพี่ว่าเจสสิก้านะจ๊ะ”

“ครับพี่เจสสิก้า”

พอเห็นว่าผมตอบรับอย่างนั้น พี่เจตน์ก็ยิ้มหน้าบานก่อนจะลากผมและแป้งเข้าไปรวมกลุ่มกับดาว-เดือนคณะอื่นที่มารออยู่ก่อนแล้ว ผมกับแป้งถูกจับแยกกัน ผมที่เดินเข้าไปนั่งกับกลุ่มเดือนเลยเลือกที่จะนั่งลงข้างผู้ชายที่กำลังเล่น RoV อยู่ แอบมองเขาเล่นสักพักก็จบเกม คนข้างๆจึงเงยหน้าขึ้นมา

“อ้าว สวัสดี มานั่งอยู่ตรงนี้นานแล้วเหรอ”

“อืม เราชื่อบลูนะ จากคณะวิทย์”

“เพลิง จากนิติ”

นิติงั้นเหรอ? คนๆนี้เหรอที่เป็นเดือนจากคณะนิติศาสตร์...หัวใจผมหล่นวูบอย่างน่าใจหาย ในหัวมีแต่คำว่าเสียดายเต็มไปหมด

“จ้องหน้าเราขนาดนี้ทำไมอ่ะ มีอะไรติดหน้างั้นเหรอ” เพลิงถามและเอามือแตะใบหน้าตัวเองเบาๆ

“เปล่า ไม่มีอะไร”

ผมยิ้มบางๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับพี่เจตน์ที่จับไมค์และเริ่มพูดต้อนรับดาว-เดือนจากทุกคณะที่มากันจนครบสักที เพลิงเอาโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋าแล้ว พวกเราจึงเริ่มตั้งใจทำกิจกรรมตามที่ทีมงานทุกคนจัดขึ้น





เวลาผ่านไปนานจนพระอาทิตย์ตกดิน วันนี้พวกเราทั้งหมดถูกละลายพฤติกรรม ผมได้รู้จักเพื่อนๆจากหลายคณะ ไม่ว่าจะเป็นเพลิงจากคณะนิติศาสตร์ มาร์ชจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือเจ๋งจากคณะรัฐศาสตร์

“เอาล่ะค่ะทุกคน วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนเนอะ พรุ่งนี้เจอกันใหม่ เวลาเดิมนะค๊า แยกย้ายค่า”

พี่เจตน์ปล่อยพวกเรากลับแล้ว ทุกคนลุกขึ้นและรีบออกจากห้องประชุมใหญ่ มาร์ชก็ทักขึ้น

“หิวว่ะ ไปหาไรกินกันเถอะพวกเรา”

“กูไปๆ” เจ๋งรีบบอกทันที

“เออ กูไปด้วย บลูไปด้วยกันป่ะ” เพลิงตอบตกลงอีกคนก่อนจะหันมาถามผม

“ไปด้วยก็ได้ แต่ขอไปบอกพี่ปูเป้ก่อนนะ” ผมตอบตกลงก่อนจะรีบขอตัวออกมาบอกพี่ปูเป้ที่ยังรอผมอยู่กับแป้ง ผมขออนุญาตเสร็จก็เดินกลับมาหาเพื่อนใหม่ที่ยืนรออยู่

“เรียบร้อยแล้ว แล้วจะไปกินกันที่ไหนอ่ะ”

“พวกกูตกลงกันว่าจะไปกินชาบู”

“งั้นก็ไปก็เลยดิ”

ผมว่า และทุกคนก็รีบเดินออกจากห้องประชุมทันที เราเดินกันมาจนถึงลานจอดรถ ผมก็เห็นเพลิงกดรีโมตปลดล็อกรถยนต์ BMW สีดำส่งเสียงปลดล็อก ทุกคนก็ร้องว้าว

“รวยโคตรเลยนี่หว่า อย่างนี้ต้องเรียกว่าเสี่ยเพลิงป่ะครับ”

เพลิงเพียงแค่ยิ้มบางๆ มาร์ชถามแซวๆแล้วรีบไปนั่งที่เบาะหลังพร้อมกับเจ๋ง ผมเลยนั่งที่เบาะด้านหน้าข้างเพลิงอย่างไม่มีทางเลือก พวกเรามาถึงร้านชาบูในเวลาต่อมา พอนั่งลงที่โต๊ะ ทุกสายตาในร้านก็มองมาโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะทุกคณะเปิดตัวดาว-เดือนแล้ว คงมีหลายคนที่เริ่มจะคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเราอยู่บ้างแหละมั้ง

กินกันจนอิ่ม หลังจากคิดเงินเสร็จเพลิงก็ขับไปส่งมาร์ชและเจ๋งที่หอของพวกมัน เหลือแต่ผมที่ยังอยู่บนรถเป็นคนสุดท้าย

“อยู่หอไหนอ่ะ จะได้ไปส่งถูก” เพลิงถามเมื่อเจ๋งลงจากรถไปแล้ว

“คอนโด X รู้จักทางป่ะ”

“คอนโดเดียวกัน งั้นเดี๋ยวกูขอแวะไปทำธุระที่คณะแป๊บนึงนะ แล้วเราค่อยกลับพร้อมกัน”

“เอางั้นก็ได้” ผมตอบตกลง เพราะยังไงวันนี้ก็คงไม่มีอีเว้นท์ที่ไหนอีกแล้ว ดีซะอีก ถ้าไปที่คณะนิติศาสตร์เผื่อจะบังเอิญเห็นใครบางคน...

รถของเพลิงแล่นมาถึงที่คณะนิติศาสตร์ในเวลาต่อมา จอดรถใกล้กับตึกเรียนที่ยังเปิดไฟอยู่ แม้ว่าจะดึกแล้วแต่ก็ยังมีคนเรียนอยู่เลย ผมเดินตามเพลิงเข้ามาในคณะเงียบๆ เพลิงนำผมไปยังห้องพักนักศึกษาที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังอยู่เนืองๆ

“รออยู่ข้างนอกแป๊บนึงนะ เดี๋ยวไปเอางานก่อน”

“อืม” ผมรับคำเพลิงและยืนอยู่กับที่ เพลิงเดินเข้าไปในห้องและผมก็ได้ยินเสียงทักทายของเพื่อนๆเพลิง จนกระทั่งได้ยินเสียงที่กล่าวถึงใครสักคน

“เชี่ยหมอกมันนอนรอมึงนานแล้วเนี่ยไอ้เพลิง”

ชื่อที่ผมได้ยินทำเอาหูผึ่ง และเผลอเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเพลิงเดินออกมาจากห้องพร้อมผู้ชายตัวสูงใหญ่ ดวงตาเรียวนั้นดูง่วงนอน ผมดูยุ่งไม่ได้ทรง ชุดนักศึกษาที่ใส่อยู่นั้นไร้ความเป็นระเบียบโดยสิ้นเชิง ผมยืนนิ่งเหมือนโดนสาป จนเพลิงที่เดินออกมาต้องกระตุกแขน

“เป็นอะไรไปอ่ะบลู”

“ปะ...เปล่า...ไม่ได้เป็นอะไร”

ผมรีบพูด ดวงตายังมองที่หมอกที่มองมายังผมด้วยแววตาสงสัยอยู่

“อ้อ นี่หมอก เพื่อนสนิทกูเอง ส่วนนี่บลูจากคณะวิทย์”

“เพื่อนเดือนมึงอ่ะเหรอ” หมอกถาม และเพลิงก็พยักหน้าตอบ

“เออ บลูอยู่หอเดียวกับกูเลยแวะมาเอาการบ้านแล้วค่อยกลับพร้อมกัน”

หมอกพยักหน้าเบาๆ แล้วยังคงมองผมด้วยความสงสัย ผมเผลอกลืนน้ำลายอย่างเกร็งๆ เพลิงที่ไม่ได้สังเกตอะไรก็เดินนำหน้าพวกเราไปยังลานจอดรถ หมอกขึ้นไปนั่งข้างเพลิงแทนที่ผม ผมจึงมานั่งที่เบาะหลังแทนอย่างเงียบๆ

ตลอดทางผมได้แต่เงียบฟังหมอกและเพลิงคุยกันด้วยเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ จนกระทั่งรถมาจอดอยู่หน้าคอนโดหนึ่งที่ไม่ใช่คอนโดของผม หมอกก็เปิดประตูรถออกไป ผมยังนิ่งอยู่อย่างนั้นจนเพลิงหันมามองผม

“มานั่งข้างหน้าด้วยกันดิ ไอ้หมอกมันออกไปแล้ว”

“อ้อ...อืม”

ผมรับคำและเปลี่ยนไปนั่งด้านหน้าแทน ยังรับรู้ได้ถึงความอุ่นที่อยู่บนเบาะอยู่เลย แค่คิดว่าคนที่นั่งก่อนหน้าเป็นหมอกผมก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอย่างนั้น ดีที่ในรถมันมืด ไม่งั้นเพลิงคงได้เห็นอาการแปลกๆของผมแน่

“มึงเห็นไอ้หมอกแล้วใช่ป่ะบลู...”

เสียงของเพลิงดังขึ้นขัดใจผมที่ลอยไปไกลแล้ว ผมเลยหันมามองเพลิงที่ยังคงขับรถอยู่

“ความจริงแล้วพวกรุ่นพี่อยากได้ไอ้หมอกไปแข่งดาว-เดือน ก็ดูสิมันหล่อซะขนาดนั้น ใครที่ไหนจะไม่อยากได้มันไป”

“เพลิงก็หล่อเหมือนกันนี่”

“อย่าชมกันเลย กูก็รู้อยู่หรอกว่ามันหล่อ ไอ้หมอกมันเป็นตัวเต็งตั้งแต่เข้ามาที่คณะวันแรกแล้วอ่ะ แต่พอรุ่นพี่ขอให้มันไปประกวดมันก็ไม่ยอม ทำยังไงก็ไม่ยอม สุดท้ายหวยเลยมาลงที่กู”



.
..




ผมกลับมาถึงห้อง เปิดไฟจนห้องทั้งห้องสว่าง ใจยังคงเต้นแรงจนตอนนี้เลยได้แต่กุมหัวใจไว้และเดินไปถอดคอนแทคเลนส์ที่ใส่มาตั้งแต่เช้า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแว่นสายตา ในหัวยังคงนึกถึงแต่ใบหน้าที่ไม่ได้พบเกือบครึ่งปี หลังจากจบมัธยมที่โรงเรียนรัฐบาลชื่อดังของประเทศ ผมก็ไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกเลยจนกระทั่งวันนี้...








6 เดือนก่อน



“กรี๊ดดดดดดด นี่แกๆ วันนี้ฉันเห็นหมอกกับควันด้วย บุญตาเหลือเกิน”

เสียงซุบซิบของผู้หญิงโต๊ะด้านหน้าทำให้ผมต้องลดหนังสือการ์ตูนที่อ่านลงนิดนึง แอบมองด้านหลังของเธอที่กำลังคุยกันอย่างออกรส

“จริงป่ะ นี่ไม่ได้เห็นมาเป็นอาทิตย์แล้ว เห็นว่าซุ่มอ่านหนังสืออยู่บ้าน ทำไมวันนี้ถึงได้มาโรงเรียนล่ะเนี่ย”

“เห็นว่าห้อง 1 มีสอบย่อยวิชาฟิสิกส์อ่ะ คงจะมาสอบกันมั้ง”

“คงใช่แหละ แล้วผลสอบรับตรงมหา’ลัย T ออกยังอ่ะ นี่ฉันรีเฟรชหน้าเว็บรอทุกวันเลยนะ รอลุ้นให้หมอกกับควันด้วยว่าจะติดรึเปล่า”

“เอ้า สองแฝดนั้นก็สมัครมหา’ลัยนี่เหรอ”

“ใช่ ตามมาจากเพจ Foggy & Smoky ถ้าจำไม่ผิดควันยื่นคะแนนเข้าคณะแพทย์ ส่วนหมอกยื่นคะแนนเข้าคณะนิติ”

“เชรดดดด เลือกแต่คณะดังๆ ถ้าติดทั้งคู่นี่แม่งต้องเป็นตำนาน”

“นี่แหละ ฉันก็ลุ้นอยู่ ถ้าฉันติดที่มอนี้พร้อมกับหมอกและควันคงฟินกับความหล่อไปอีกสี่ปี”

ผมไม่ได้สนใจที่พวกเธอคุยกันอีก มือขวาแอบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากใต้โต๊ะ ถ้าได้ยินไม่ผิดผมว่าผมได้ยินว่ามีเพจ Foggy & Smoky ผมเลยลองพิมพ์ชื่อเพจดู และก็พบจริงๆว่ามีเพจนี้อยู่ ภาพของหมอกและควันปรากฏสู่สายตา ยอดไลค์เพจเกือบห้าหมื่น ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะมีคนติดตามมากขนาดนี้ และผมก็ไม่ลังเลที่จะกดติดตามเพจทันที

“บลู ทำไรวะ” ว่านที่โผล่มาจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งตกใจ และรีบกดล็อกโทรศัพท์มือถือทันที ว่านที่ชะโงกหน้ามาดูว่าผมทำอะไรอยู่มองอย่างงงๆกับท่าทีแปลกๆของผม

“เปล่าๆ กูอ่านโคนันอยู่นี่ไง” ผมชูการ์ตูนที่ถืออยู่ให้ดู ว่านเลยไม่ได้เอะใจอะไร

“ตื่นเต้นว่ะมึง”

“ตื่นเต้นอะไรวะ” ผมถามว่านที่มานั่งข้างๆ สีหน้าดูซีดๆ

“ก็มหา’ลัย T จะประกาศผลแล้วอ่ะดิ กูนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน ไม่เหมือนมึงหรอก สอบติดมหา’ลัย K ไปแล้วหนิ”

“กูยังไม่ได้ยืนยันสิทธิ์เลยเหอะ”

“อ่าว แล้วรออะไรอยู่วะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน” ผมพึมพำ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารออะไรอยู่ จนกระทั่งเสียงกรี๊ดจากเพื่อนหน้าห้องดังขึ้น ผมและว่านเลยหันไปมองพวกเธอด้วยสายตางุนงง

“ผลออกแล้ว กรี๊ดดดดดด ฉันติดบัญชี” เหมี่ยวกระโดดโลดเต้นใหญ่ ว่านที่นั่งข้างผมถึงกับซีด มือสั่นรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดเช็คผลดูบ้าง

“เป็นไงมึง” ผมถามเมื่อว่านเลื่อนรายชื่อดูพลางกัดเล็บไปด้วย

“ติดเว้ย! กูมีที่เรียนแล้วเว้ยยยยยยย” ว่านแหกปากร้องลั่นไม่แพ้เหมียว ผมมองชื่อของมันที่โชว์หราอยู่ก็อดยิ้มดีใจกับมันด้วยไม่ได้

“เหมี่ยว! หมอกกับควันก็ติดอ่ะแก” เสียงของนุ่นที่ร้องอย่างดีใจ ทำให้ผมชะงัก มองพวกเธอที่ร้องดีใจพร้อมกับเสียงเฮร้องของห้องด้านข้าง

“เชี่ยหมอก คณะนิติ มอT เลยนะเว้ย เชี่ยยยย มึงเอาเลยมั้ย”

“เอาดิวะ ไม่อยากสอบอีกรอบแล้ว” ผมได้ยินเสียงเฮลั่นพร้อมตะโกนอย่างมีความสุขของทุกคน ผมยินดีไปกับเพื่อนๆและเริ่มคิดแล้วว่าควรจะสละสิทธิ์มหา’ลัย K ดีรึเปล่า

“ถึงจะเสียใจที่มึงไปอยู่มอ K ส่วนกูอยู่มอ T แต่ไม่เป็นไร อยู่ในกรุงเทพฯเหมือนกัน” เสียงว่านดังขึ้น ผมที่ใจลอยไปถึงห้อง 1 หันมามองว่านที่ยังมีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าอยู่

“กูคิดๆดูแล้วนะ...กูว่ากูจะสละสิทธิ์ว่ะ” ผมตัดสินใจและบอกว่านไป ว่านตกใจก่อนจะยิ้มออกมา

“แล้วมึงจะสอบเข้าที่ไหนวะ”

“กูจะยื่นรอบแอดฯใหม่ มหา’ลัยเดียวกับมึง”

“จริงมั้ย” ว่านถามย้ำ

“อืม”

“ไอ้บลูแม่งเพื่อนรักสัสๆ มากอดทีหนึ่งดิ เก่งอย่างมึงสอบเข้ามอ T ได้สบายมาก”



.
..
...



ผมถอนหายใจออกมาเบาๆขณะเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ นึกไปถึงสมัยมัธยมก็แปลกใจดี ไม่คิดว่าเพราะคนๆนึงถึงทำให้ผมเปลี่ยนใจที่จะเข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันและเข้ามาอยู่ที่นี่ ตอนแรกพ่อแม่ค้านแทบตายที่ผมบอกว่าจะสละสิทธิ์แต่สุดท้ายท่านก็ตามใจผมอยู่ดี


ติ้ง~


เสียงแจ้งเตือนเฟสบุ๊คดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นการแจ้งเตือนจากเพจ Foggy & Smoky ผมเลยรีบกดเข้าไปดูทันที วันนี้ก็เหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา แอดมินเพจ(ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร)อัพรูปของควันที่ห้องแลปของคณะวิทยาศาสตร์


Foggy & Smoky : ว่าที่คุณหมอกวินกำลังตั้งใจทำแลปเลย ขอบคุณรูปจากทางบ้านที่ส่งมาให้แอดเผยแพร่ต่อนะคะ เป็นบุญต่อลูกตาแอดเหลือเกิน ว่าแล้วก็มาเสพความหล่อของหนุ่มควันกันเถอะค่า~~~~


ถ้าถามผมว่าจะแยกหมอกกับควันออกได้ยังไงน่ะเหรอ แยกไม่ยากหรอก ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะสูงราวๆ 185 ซม. เหมือนกันทั้งคู่ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว และหน้าตาดี แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันชัดเจนเลยก็คือดวงตา หมอกจะดวงตาเรียวคม ตาสองชั้นหลบใน ส่วนควันจะมีตาสองชั้นชัดเจน ที่หน้าจะมีรอยบากเล็กๆเนื่องจากว่าตอนเด็กวิ่งหกล้มจนหน้าเป็นแผลมาจนถึงตอนนี้ แถมยังเจาะที่หูด้านซ้ายอีก

คนที่ตามสองคนนี้มาตั้งแต่สมัยมัธยมอย่างผม แค่เห็นด้านหลังผมก็รู้แล้วว่าเป็นใคร แต่คนที่ตรึงสายตาของผมไว้อยู่หมัดไม่ใช่ควันที่สาวๆกรี๊ดในความแบด แต่เป็นหมอกที่เงียบๆนิ่งๆ มีรอยยิ้มที่อบอุ่นราวกับแสงพระอาทิตย์ยามเช้า และวันนี้ผมก็เข้าใกล้หมอกไปอีกขั้นแล้ว ถึงแม้ว่าหมอกจะจำไม่ได้ก็ตามว่าผมคือไอ้แว่นหน้าเฉิ่มดัดฟันที่อยู่ห้อง 2 ที่มองตามเขามาตั้งแต่ม.4 แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะในตอนนี้ความพยายามของผมสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว
 


คนที่ผมพยายามสอบเข้ามหา’ลัยแห่งนี้ทั้งๆที่ผมสอบติดมหา’ลัยอื่นแล้ว

คนที่ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เผื่อว่าวันหนึ่งเขาจะหันมาเห็นผมบ้าง

คนที่ผมพยายามสมัครเป็นเดือนคณะ เผื่อว่าเขาจะได้รับเลือกให้เป็นเดือนคณะเช่นกัน

คนที่ผมพยายามทำทุกทางเพื่อไปอยู่ในวงโคจรของเขา




tbc.
เอ็นดูน้องบลูกันเยอะๆนะคะ

หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 1 -- 05/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 05-02-2018 22:48:59
รอตอนต่อไปจ้าาาาาาาาา :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 1 -- 05/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 06-02-2018 03:08:18
ติดตามค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 1 -- 05/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 06-02-2018 08:32:17
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 1 -- 05/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 06-02-2018 10:32:32
เข้่ามาเป็นกำลังใจให้น้องบลูค่าาา :กอด1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 1 -- 05/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 06-02-2018 17:20:47
ชอบมากค่ะ ฮือออ พยายามนะลูกกก
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 1 -- 05/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 06-02-2018 17:48:24
ตามมมมมม สู้เขาน้องบลู
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 2 P.1 -- 06/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 06-02-2018 19:02:52

บทที่ 2
ยินดีที่ได้รู้จัก






“อยู่กองประกวดเป็นไงบ้างวะบลู”

เสียงว่านขัดขึ้นขณะที่ผมกำลังทำโจทย์แคลคูลัสอยู่ เงยหน้ามองหน้ามันที่ทำตาปริบๆ ดูอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

“ก็ดี ทำไมเหรอ”

“ดาวคณะไหนแซ่บสุด กูเห็นรูปของพรีม เภสัช แม่งอย่างน่ารัก ตัวจริงเหมือนในรูปเลยป่ะ” ว่านมันหางกระดิกไปมา ผมมองแล้วก็ส่ายหัวเบาๆอย่างเอือมระอา

“เหมือนเลย ตัวเล็กๆขาวๆ”

“โอ๊ยยยย อิจฉามึง ได้อยู่ในดงคนหน้าตาดี”

“แล้วกูไม่หน้าตาดีเหรอ” ผมถามขำๆ ไอ้ว่านกับผมเราสนิทกันมาตั้งแต่ม.1 จนตอนนี้ขึ้นปี 1 ผมกับมันก็ยังคงนั่งทำการบ้านอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม เห็นผมมาตั้งแต่ตอนนั้นมันคงคิดว่าผมหล่อหรอก

“เอาจริงๆกูไม่คิดว่าระยะเวลาปิดเทอมช่วงสั้นๆมึงจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้จริงๆนะ พอถอดเหล็ก เลิกใส่แว่น ผมสั้นเกรียนยาวได้ทรงแล้วมึงก็หล่อสะบัดไม่แพ้เดือนคณะอื่นเลยแหละ”

“ขอบใจที่อุตส่าห์ชมกู” ผมพูดยิ้มๆ รู้หรอกว่ามันคงพูดเอาใจผม

“เห้ย กูพูดจริงๆ ตอนอยู่โรงเรียนต้องโทษแว่น ทรงผม แล้วก็เหล็กจัดฟันของมึงเลย บดบังความหล่อของเพื่อนกูหมด ฮ่าฮ่า”

ผมส่ายหน้าและเริ่มทำโจทย์ต่อ ต้องรีบปั่นการบ้านให้เสร็จก่อนเย็นนี้ ผมจะได้ทำกิจกรรมกับกองประกวดได้อย่างหายห่วง ส่วนว่านก็บ่นไปเรื่อยในขณะที่รอการบ้านของผมเพื่อเอาไปลอกต่อ ผมทำจนเสร็จและฝากให้ว่านเอาไปส่งให้ด้วย ก่อนจะผละออกมาและไปยังกองประกวด




ระหว่างทางก็มีคนมองๆมาที่ผมอยู่เรื่อยๆ ผมเลยเลือกที่จะเสียบหูฟังและนั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ไปพลางๆ เฟชบุ๊คของผมมีหลายคนแอดมามากขึ้นหลังจากที่เปิดตัวดาว-เดือน ผมกดรับทุกคนจนตอนนี้เพื่อนจะเต็มแล้ว ส่วนยอดติดตามก็ตามมาติดๆ ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าจะมีคนมากมายมองเห็นผมขนาดไหน ผมสนใจเพียงแค่คนๆเดียวเท่านั้น


ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะมองเห็นผมตอนไหน...


จนมาถึงอาคาร A ที่ใช้เป็นสถานที่ไว้สำหรับทำกิจกรรมของดาว-เดือน มหาวิทยาลัยในปีนี้ ผมเดินเข้าไปในอาคารอย่างคุ้นเคย ยกมือไหว้รุ่นพี่ทุกคนก่อนจะเดินเข้าไปนั่งกับเพื่อนๆที่มาถึงก่อนแล้ว

“วันนี้มาช้าจังวะ”

เพลิงถามเมื่อผมนั่งลงด้านข้างเหมือนทุกวัน ผมหันไปมองเจ้าตัวที่ดูหงุดหงิดนิดหน่อย

“พึ่งปั่นงานเสร็จน่ะ ขอโทษที แล้วนี่ทำไมหน้าบูดงี้วะ”

“ทะเลาะกับแฟนนิดหน่อย” เพลิงบ่นอุบอิบ พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันอีกเพราะพี่เจตน์เรียกรวมพอดี

การทำกิจกรรมในวันนี้ก็ไม่ต่างจากทุกวันที่ผ่านมา แต่วันนี้กิจกรรมที่ทำนั้นเลทไปจนเกือบสี่ทุ่ม ทุกคนล้ากันหมดและในที่สุดพวกพี่ๆก็ยอมปล่อยให้พวกเรากลับ ผมที่ปกติจะกลับกับเพลิงทุกวันที่ทำกิจกรรม วันนี้ผมก็เดินตามเพลิงมาที่ลานจอดรถเช่นเดิม แต่แปลกไปที่วันนี้ไม่เห็น BMW สีดำของเพลิงจอดเหมือนทุกวัน

เพลิงเดินนำผมไปยังรถเบนซ์สีขาวคันสวยที่จอดติดเครื่องไว้อยู่ ผมเลยดึงแขนเสื้อเพลิงไว้ก่อน

“รถใครอ่ะ นี่ไม่ใช่รถมึงหนิ”

“รถไอ้หมอก วันนี้กูจะไปแฮงค์กับพวกมัน มึงก็ไปด้วยกันดิ”

คำว่าหมอกทำเอาใจผมหล่นวูบทันที ตั้งแต่วันนั้นที่เจอหมอก ผมก็ไม่ได้เจอกกับหมอกอีกจนผ่านมาถึงหนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้ผมกำลังจะขึ้นไปนั่งบนรถของหมอกอย่างนั้นเหรอ

“เออ...เพื่อนมึงเขาอยากให้กูไปรึเปล่าล่ะ กูเกรงใจ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก กูนี่แหละเป็นคนชวน พวกไอ้มาร์ชไอ้เจ๋งก็ไป แต่มันกลับไปเปลี่ยนชุดก่อน มึงก็ไปด้วยกันเลยดิ”

“เออ แล้วทำไมมึงไม่เอารถมึงมาล่ะ หมอกเขายอมให้กูไปด้วยเหรอ”

“พ่อเอารถกูไปใช้อยู่ กูบอกมันแล้วว่ามึงจะมาด้วย มันโอเคแล้วหน่า ไปเหอะ” พูดจบก็เปิดประตูด้านหลังและยัดผมใส่ในรถทันทีก่อนที่เพลิงจะไปนั่งด้านหน้าข้างหมอก ผมเผลอนั่งตัวเกร็ง หลังตรงโดยอัตโนมัติทันที

หมอกหันมามองผมเล็กน้อย ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัว เสียงดนตรีสากลคลอเบาๆในรถทำให้ผมได้รู้แนวเพลงที่หมอกชอบ ตอนนี้ผมจำมันจนขึ้นใจเลยแหละ

“มึงกับเพื่อนมึงจะไม่ไปเปลี่ยนชุดใช่มั้ย” หมอกถามเมื่อรถขับออกมานอกมอแล้ว ผมนั่งเงียบรอให้เพลิงเป็นคนตอบ แต่เพลิงดันหันหน้ามาหาผมซะงั้น

“มึงอยากอาบน้ำก่อนป่ะบลู”

“เออ...ไม่อาบก็ได้ ไปที่ร้านเลยก็ได้”

ความจริงแล้วผมโคตรเหนียวตัวเลยแหละ วันนี้เต้นทั้งวันจนเหงื่อออกเต็มหลังไปหมด แต่ถ้าจะให้บอกว่าอยากอาบน้ำเต็มแก่ ผมก็เกรงใจหมอกที่กำลังขับรถอยู่น่ะสิ

“ถ้าอยากอาบน้ำก็บอกตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจ” เสียงนิ่งๆของหมอกพูดขึ้น ผมเผลอมองไปที่หมอกแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“เออ...”

“ไม่ต้องมาองมาเออ กูเห็นว่าวันนี้มึงเต้นทั้งวัน ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ...ไอ้หมอกไปคอนโดกูก่อน”

เพลิงตัดบทและตอบแทนผม ผมเลยได้แต่นั่งนิ่งๆ ส่วนหมอกก็หักพวงมาลัยไปทางซ้ายซึ่งเป็นทางไปคอนโดของผมแทนที่จะเลี้ยวขวาไปทางร้านเหล้า

เมื่อมาถึงคอนโดพวกเราทั้งสามคนก็เดินเข้ามาพร้อมกัน ผมแยกกับหมอกและเพลิงมาที่ห้องของตัวเอง รีบอาบน้ำและเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว สวมคอนแทคเลนส์อีกครั้งแม้ว่าจะเริ่มระคายเคืองแล้ว ใช้เวลาไม่นานผมก็จัดการตัวเองเสร็จ เลยเดินไปเคาะห้องของเพลิงซึ่งอยู่อีกฝั่งของชั้น



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



รออยู่เพียงอึดใจเดียว ประตูห้องก็เปิดออก แต่คนที่เปิดให้ไม่ใช่เจ้าของห้อง แต่เป็นหมอกที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“เข้ามาก่อนสิ”

หมอกว่าอย่างนั้นและหลบทางให้ผมเดินเข้ามา และเขาก็ปิดประตูลง ผมเดินเก้ๆกังๆเข้ามาในห้องและไม่พบเพลิง เลยเลือกที่จะนั่งลงบนโซฟา

“มันพึ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังแต่งตัวอยู่”

หมอกพูดอย่างนั้นก่อนจะนั่งลงข้างผมเพราะโซฟามีแค่ตัวเดียว ผมเลยต้องเขยิบจนติดโซฟาอีกฝั่ง

“ชื่อบลูใช่มั้ย”

หมอกเริ่มบทสนทนาเพราะคงเห็นว่าระหว่างเราเงียบใส่กันอยู่นานแล้ว ผมพยักหน้าแทนคำตอบ หมอกเลยถอนหายใจเบาๆ

“เป็นใบ้เหรอ”

“ฮะ?” ผมตกใจเมื่อหมอกถามประโยคนั้นออกมา ดวงตาเรียวที่มองมาที่ผมยังคงนิ่งสงบขัดกับคำพูดเมื่อครู่

“ฉันถามว่าเป็นใบ้เหรอ”

“ปะ...เปล่า...ทำไมถามงั้นล่ะ” ใจผมหล่นวูบไปกองอยู่แทบเท้า น้ำเสียงของหมอกติดจะหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ ผมเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง

“ก็ไม่เห็นพูด ถามอะไรก็เอาแต่พยักหน้า ไม่ก็ทำท่าอ้ำๆอึ้งๆตลอด”

“ขอโทษ”

ผมก้มหน้าลงอย่างหงอยๆ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงนี่นา ลองมาอยู่ใกล้คนที่ชอบมากๆอย่างนี้บ้างสิ จะหายใจยังรู้สึกตื่นเต้นเลย

“กูเสร็จล่ะ รอนานมั้ย”

เพลิงที่เข้ามาได้จังหวะพอดีทำให้ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองเพลิงที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่ ส่วนหมอกนั้นใส่เชิ้ตสีดำสนิท ช่างเป็นความแตกต่างที่โคตรจะลงตัว ในขณะที่ผมนั้นใส่เสื้อยืดสกรีนลายเท่ห์ๆเท่านั้น

“มาได้จังหวะพอดีนะมึง ไปกันเถอะ”

หมอกพูดจบก็คว้ากุญแจรถบนโต๊ะกระจกก่อนจะเดินนำออกไป เพลิงทำหน้างงที่หมอกพูดอะไรแปลกๆ หันมามองผมเพื่อขอคำอธิบายแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินออกไปจากห้องบ้าง เพลิงเลยรีบปิดห้องและตามออกมา




พวกเรามาถึงที่ร้าน ‘เหล้าสู่กันฟัง’ ในเวลาต่อมา ร้านนี้เป็นร้านยอดนิยมอันดับต้นๆของเด็กมอเรา ผมพึ่งเคยมาครั้งแรกเพราะตั้งแต่เข้ามหา’ลัยมาก็ยุ่งกับการประกวดลากยาวจนมาถึงตอนนี้ ผมเดินตามเพลิงและหมอกเข้าไปที่โต๊ะด้านในซึ่งเป็นโซฟาที่มีกลุ่มผู้ชายนั่งกันอยู่ประมาณสี่คน เหลือโซฟาอีกฝั่งที่ยังว่าง พวกเราทั้งสามคนเลยนั่งเราโดยเพลิงนั่งคั่นระหว่างผมและหมอกเอาไว้

“มาแดกเหล้าต้องหล่อขนาดนี้เลยเปล่าครับคุณหมอก คุณเพลิง”

ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามพวกเราเอ่ยแซว แต่ว่าเขาก็หล่อไม่แพ้เพลิงกับหมอกเลยเหอะ โต๊ะนี้นี่มันรวมคนหน้าตาดีรึไงวะ

“มึงก็ไม่แพ้พวกกูหรอกไอ้มาร์ค ตกไปได้กี่คนแล้วล่ะ”

“2 คนเอง” มาร์คชูนิ้วขึ้นสองนิ้วก่อนจะยิ้มแฉ่ง ผมแอบทึ้งในใจเบาๆกับสกิลการตกผู้หญิงของเพื่อนกลุ่มนี้

“เออ กูลืมแนะนำ นี่บลู เพื่อนกูเอง ส่วนนี้มาร์ค” เพลิงแนะนำให้ผมกับมาร์ครู้จักกัน มาร์คยิ้มให้ผมก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นมา ผมเลยต้องยกแก้วของผมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ เดือนคณะวิทย์ใช่เปล่า เห็นไอ้เพลิงมันพูดมาก่อนหน้านั้น”

“ครับ”

“น่ารักกว่าที่คิดไว้อีก”

ผมแอบสำลักเบียร์ที่กำลังดื่ม เพลิงที่นั่งด้านข้างหัวเราะก่อนจะลูบหลังผมเบาๆ แอบเห็นมาร์คยิ้มขำก่อนจะดื่มเบียร์จนหมดแก้วและบอกขอโทษ

“โทษทีที่ทำเอาสำลักเบียร์เลย”

“ไม่เป็นไรครับ”

ผมไม่คิดอะไร และจิบเบียร์ช้าๆ นั่งอยู่สักพักมาร์ชและเจ๋งก็เดินเข้ามา ผมเลยไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดในดงผู้ชายนิติเท่าไรแล้ว

“อ้าวเฮ้ยไอ้เจ๋ง เป็นไงบ้างวะ ไม่ได้เจอกันนานเลย”

เมื่อเจ๋งนั่งลง มาร์คก็ยิ้มทักทายเหมือนรู้จักกันมานาน เจ๋งยิ้มให้ก่อนยกกำปั้นชกกับมาร์คเบาๆ พวกผมมองตาปริบๆ ก่อนที่เพลิงจะถามขึ้น

“พวกมึงรู้จักกันมาก่อนเหรอ”

“เออ จบจากโรงเรียนเดียวกัน ห้องเดียวกันด้วย” มาร์คว่าอย่างนั้น พวกผมเลยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนที่เพลิงที่นั่งด้านข้างจะสะกิดผม ผมเลยหันไปทางเพลิง

“แล้วนี่พวกมึงรู้จักกันมาก่อนเหมือนไอ้มาร์คกับไอ้เจ๋งมั้ยอ่ะ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าพวกมึงจะจบจากโรงเรียนเดียวกันนี่”
 
“เออ...” ผมอ้ำอึ้งเมื่อเพลิงถามผมและหมอก ผมไม่รู้ว่าเขารู้จักผมรึเปล่า แต่ผมรู้จักเขา...รู้จักดีมากด้วย

หมอกที่นั่งนิ่งเงียบมาตั้งแต่แรก มองผมนิ่งๆ ในความมืดนั้น หมอกจะจำได้รึเปล่านะว่าผมเป็นเพื่อนห้อง 2 จู่ๆผมก็ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมอ่านสายตาของเขาไม่ออก ผมไม่รู้ว่าหมอกกำลังคิดอะไรอยู่ แต่น้ำเสียงราบเรียบที่พูดขึ้นก็ทำให้หัวใจของผมเต้นช้าลงตามเดิม

“ไม่รู้ ไม่เคยเห็นหน้า จำไม่ได้”

“ก็ไม่แปลกหรอก โรงเรียนพวกมึงใหญ่ขนาดนั้น จำหน้าคนในห้องได้หมดก็ดีแค่ไหนแล้ว”

เพลิงพูดและยกแก้วเบียร์ขึ้นมาชนกับทั้งผมและหมอก ผมเลยนั่งจิบเบียร์เงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก แอบมองผ่านเพลิงไปก็เห็นว่าหมอกยังคงมองมาทางผมอยู่ ผมเลยรีบหันหน้ากลับมาทางเดิม โชคดีที่มาร์ชชวนผมคุยเรื่องการประกวด ผมเลยทำเป็นไม่สนใจหมอก และลืมความเสียใจไปชั่วคราวได้



เขาไม่รู้จักเรา แล้วจะเสียใจไปทำไมวะไอ้บลูเอ้ย



จนเวลาผ่านไปได้สักระยะ หลายคนเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง ยกเบียร์ขึ้นดื่มราวกับน้ำเปล่า ผมก็เริ่มมึนๆบ้างแล้วแต่สติยังคงครบ 100% มองดูมาร์คกับเจ๋งที่ยืนขึ้นเต้นไปตามเพลงอย่างสนุกสนาน ก่อนจะได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงที่ด้านหลังผมเลยหันไปมอง และพบว่าเพลิงกำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่

“โต๊ะตรงไหนนะ? อ่อ เดี๋ยวไปชน แล้วเจอกัน”

เพลิงบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนที่เธอจะเดินจากไป และหันมาคีบน้ำแข็งใส่แก้วตัวเอง เลยเห็นว่าผมกำลังมองอยู่ด้วยความสงสัย

“สวยป่ะล่ะ แคท เพื่อนกูเอง” เพลิงว่าอย่างนั้น

“ก็สวยดี” ผมพึมพำ และยกแก้วขึ้นจิบเบียร์

“ไปหาพวกเธอกับกูป่ะ ถ้าชอบเดี๋ยวแนะนำให้รู้จัก” เพลิงเสนอให้ ผมเลยส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ไม่เอาหรอก มึงไปเหอะ”

พอผมปฏิเสธ เพลิงเลยยกแก้วตัวเองและเดินออกไป ผมมองตามก่อนจะหันกลับมาที่โต๊ะของตัวเอง โซฟาสีขาวนั้นเหลือเพียงแค่ผมกับหมอกเท่านั้น เว้นตรงกลางไว้ซึ่งเป็นที่ของเพลิง ผมแอบมองหมอกอีกครั้งก็เห็นหมอกเอาแต่นั่งกดโทรศัพท์อยู่เงียบๆคนเดียว...อยากรู้จังว่ากำลังคุยกับใครอยู่

“ไอ้บลู เขยิบให้เจ๋งมันนั่งด้วยหน่อย มันแม่งไม่ไหวแล้วว่ะ”

เสียงของมาร์ชทำให้ผมหันไปมอง ก่อนจะรีบเขยิบไปทางด้านขวาเพื่อให้เจ๋งที่เริ่มทรงตัวไม่ได้นั่งลงและพิงพนักโซฟาหลับไปทันที ผมกับมาร์ชช่วยกันดูเจ๋งจนเห็นว่าเจ๋งไม่น่าจะไหวแล้ว เลยให้นอนอยู่อย่างนั้น พอเจ๋งสงบลงแล้ว พวกเราก็กลับมานั่งจิบเบียร์กันเช่นเดิม แต่คนที่ไม่เหมือนเดิมคงจะเป็นผม



พึ่งนึกได้ว่าตอนนี้กำลังนั่งข้างหมอก...


แถมนั่งเบียดกันด้วย


โอ๊ยยยยย ผมจะร้องไห้ หัวใจจะวายแล้วววววว T_______T



หมอกหยุดเล่นโทรศัพท์และเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ผมที่พึ่งนึกได้ว่ากำลังนั่งเบียดหมอกอยู่ พยายามจะเขยิบออกห่างเพื่อไม่ให้หมอกอึดอัด แต่เจ๋งที่นอนอยู่เต็มพื้นที่ก็ทำให้ผมขยับตัวได้ยาก

ใจจริงก็ไม่ค่อยอยากเขยิบเท่าไร นั่งอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้กลิ่นน้ำหอมของหมอกชัดเจน หอมมากจนผมนึกว่ากำลังฝันอยู่ T___T

“โทษทีนะที่เบียดพื้นที่นายขนาดนี้”

ผมพยายามเริ่มบทสนทนาโดยเอ่ยประโยคขอโทษก่อนเป็นอันดับแรก หมอกหันมามองผมด้วยสายตานิ่งๆ และก็ไม่ได้บ่นอะไร

“ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้อึดอัดมากนักหรอก” หมอกพูดอย่างนั้น ส่วนสมองผมก็ประมวลอย่างรวดเร็วว่าควรจะต่อบทสนทนาไปทางไหน

“แล้วก็ขอโทษด้วยนะ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยพูด เออ...บางทีเวลาอยู่กับคนแปลกหน้าเราก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไร”

ผมยิ้มให้หมอกก่อน หมอกยังคงจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น ผมไม่รู้จะทำอย่างไร เลยหุบยิ้มลงก่อนจะหยิบแก้วเบียร์มาจิบแก้เก้อ

“นายก็อยู่โรงเรียน W งั้นเหรอ” หมอกถามผมขึ้น ผมหันไปมองก่อนจะพยักหน้าตอบ

“อืม เรียนมาตั้งแต่ม.1 แล้วล่ะ แต่นายคงไม่รู้จักฉันหรอก”

“ก็โรงเรียนใหญ่ซะขนาดนั้น” หมอกพึมพำ ก่อนจะยกแก้วเบียร์มาทางผม “ยังไงก็รู้จักกันแล้ว ยินดีที่ได้รู้จัก”

ผมมองแก้วเบียร์ตรงหน้าอย่างทึ่งๆ ไม่คิดว่าหมอกจะเป็นคนเอ่ยประโยคนี้ ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นชนกับหมอกเบาๆ แล้วพวกเราก็ดื่มเบียร์ในแก้วจนหมด ผมสะบัดหัวเบาๆไล่ความมึนที่ค่อยๆเพิ่มตามปริมาณเบียร์ที่ดื่มเข้าไป แอบเห็นหมอกอมยิ้มน้อยๆก่อนจะเอ่ยปากถาม

“แค่นี้ก็เมาแล้วเหรอ”

“ไม่ได้เมาสักหน่อย แค่มึนๆ”

“งั้นก็ไม่ต้องกินแล้ว เดี๋ยวเมามาแล้วไปอ้วกใส่รถ” หมอกดึงแก้วที่อยู่ในมือผมลง เป็นอีกครั้งที่ผมตกใจ เฮ้ยยย คราวนี้มือเราสัมผัสกันด้วย โอ๊ยยยย หัวใจผมเต้นผิดจังหวะไปกี่รอบแล้วเนี่ย

“อ่าว แล้วเป็นอะไร ทำไมนิ่งอีกแล้ว” หมอกมองผมด้วยสายตาสงสัย ผมรีบควานหาเสียงก่อนจะโดนหมอกด่าอีก

“เปล่าๆ ไม่ได้เป็นอะไร...แล้วนี่เพลิงไปไหนแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาอีก”

ผมหันไปมองทางที่เพลิงเดินไป นี่ก็เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่เพลิงหายไปและยังไม่กลับมา

“มันไม่กลับมาแล้วล่ะ บอกจะไปต่ออีกร้านกับเพื่อน”

หมอกโชว์ห้องแชทที่พึ่งคุยกับเพลิงเมื่อครู่ให้ผมดู ผมเผลออ้าปากค้างด้วยความตกใจ เห้ยยย ไอ้เพลิงทำไมมึงกล้าทิ้งกูอย่างนี้



Plerng : กูไปต่อกับแคทนะมึง

Foggy : อ่าว มึงทิ้งกู?

Plerng : เออ ฝากไปส่งบลูด้วย



“หมอกจะไปส่งเรางั้นเหรอ”

ผมถามอย่างไม่แน่ใจ เพลิงฝากให้ไปส่ง แต่ถ้าหมอกไม่ไปส่ง ผมคงกลับกับมาร์ชและเจ๋งก็ได้ ไม่ได้หวังหรอกว่าหมอกจะไปส่งคนอย่างผม

“เดี๋ยวไปส่ง ไม่ต้องกลัวว่าจะทิ้งให้เดินกลับหรอก”

หมอกว่าอย่างนั้นผมก็เบาใจ พวกเรานั่งกันต่ออีกสักพักร้านก็ปิด ผมและมาร์ชช่วยกันพยุงเจ๋งออกจากร้าน ส่วนหมอกก็หิ้วมาร์คตามมาติดๆ จนเมื่อผมจับเจ๋งยัดเข้าไปในรถของมาร์ชได้สำเร็จก็หันมาดูหมอกที่กำลังหิ้วปีกมาร์คไว้อยู่

“มึงจะกลับกับหมอกใช่มั้ย” มาร์ชถามเพื่อความแน่ใจ

“อืม”

“โอเค งั้นกูไปส่งไอ้เจ๋งก่อนล่ะ”

“ขับกลับดีๆล่ะ”

ผมยืนส่งจนมาร์ชขับรถออกไปแล้ว เลยหันมาช่วยหมอกที่หิ้วปีกมาร์คไว้

“เดี๋ยวไปส่งไอ้มาร์คก่อนแล้วกัน ไปเปิดประตูรถให้หน่อย” หมอกว่า และส่งกุญแจรถให้ผม ผมรีบไปเปิดและดันมาร์คให้นอนเหยียดที่เบาะด้านหลัง เมื่อจัดการกับคนเมาเสร็จผมก็ยื่นกุญแจคืนให้หมอก

“หนักเป็นบ้า” หมอกพึมพำ

จากนั้นผมก็ย้ายมานั่งด้านหน้าข้างคนขับ หมอกขับรถจนมาถึงคอนโดที่น่าจะเป็นของมาร์ค ผมช่วยหมอกพยุงมาร์คจนมาถึงห้อง พาคนเมาขึ้นเตียงนอนเสร็จ ก็ต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยกันทั้งคู่

“กินเหล้าทีไร ฉันก็ต้องเป็นคนเก็บศพทุกที”

“นายคงจะคอแข็งที่สุดในกลุ่มล่ะสิ” ผมถามแหย่ๆ

“ก็มีฉันกับไอ้เพลิง แต่คราวนี้มันชิ่งหนีก่อน ถ้าไม่ได้นาย ก็คงทิ้งมันไว้ที่ร้านนั้นแหละ” หมอกมองมาร์คที่นอนหลับอยู่ก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ลวกๆก่อนจะหันมาทางผม

“เรากลับกันเถอะ”

“อืม”

ผมรับคำและเดินตามหมอกมาจนถึงรถ ขับออกมาจากคอนโดของมาร์คและมาถึงคอนโดของผมในเวลาต่อมา รถของหมอกจอดลงเทียบฟุตบาท ผมที่เตรียมจะลงจากรถลังเลใจอยู่สักพัก แอบหันมองเจ้าของรถที่ก็มองมาที่ผมอยู่แล้ว

“มีอะไรรึเปล่า” หมอกถามผมที่ยังไม่ยอมปลดเบลท์สักที

“เออ...ไหนๆเราก็เป็นเพื่อนกันแล้วใช่มั้ย”

“...”


“ขอเฟสหน่อยได้เปล่า”


ผมยื่นโทรศัพท์ตัวเองให้กับหมอก ไม่รู้หรอกว่าหมอกจะตอบยังไง รู้แต่ว่าเฟสบุ๊คของหมอกเป็นอะไรที่แรร์ไอเท็มมาก คนที่หล่อขนาดนี้ มีคนชอบมากขนาดนี้ ทุกเพจคิ้วท์บอยในประเทศไทยต้องมีรูปของหมอกและควัน แต่เฟสบุ๊คของหมอกกลับมีเพื่อนอยู่เพียงพันกว่าคน ไม่รับคนที่ไม่รู้จัก โพสต์อะไรก็ไม่เคยแชร์ให้เห็นแบบสาธารณะ ถึงคนติดตามเป็นหมื่นๆก็ไม่เคยเห็นอะไร



แล้วผมเป็นใครเนี่ย จู่ๆมาขอแอดเฟสบุ๊คหมอกอย่างนี้ ._.



“เอามาสิ”

หมอกว่าอย่างนั้น ผมนึกว่าหูฟาด เงยหน้ามองหมอกที่หยิบโทรศัพท์ผมไปพิมพ์ชื่อเฟสของหมอกและกดเพิ่มเพื่อนให้ด้วย ก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้ผม

“เดี๋ยวถึงห้องแล้วจะรับแอดนะ”

หมอกว่าอย่างนั้น ผมยังตกใจไม่หาย แต่ก็ลงมาจากรถอย่างงงๆ เดินเข้ามาในคอนโดอย่างเลื่อนลอย และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วหัวใจก็เต้นแรงอีกรอบ




Kavi Worakul รับคุณเป็นเพื่อนแล้ว เขียนบนไทม์ไลน์ของ Kavi




ไหนบอกว่าถึงห้องแล้วจะรับแอดไง นี่พึ่งออกมาจากรถก็รับแล้ว คนโกหกเอ๊ย T___T




tbc.

ตอนที่ 2 มาแล้วค่ะ เป็นกำลังให้ทั้งเราและน้องบลูกันต่อไปนะคะ
พูดคุยเม้าท์มอยหอยสังข์หอยกาบกันได้ที่

twitter : @Dearbliss
Fanpage : Dear bliss

ติด #ม่านหมอกสีฟ้า กันได้นะคะ เราอยากตามไปส่อง

ปล.
หมอก - กวี วรกุล
ควัน - กวิน วรกุล




หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 2 P.1 -- 06/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 06-02-2018 20:22:28
คุณหมอกก็นิ่งซะ แอบสนใจน้องบลูบ้างมั้ยน้อ :z1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 2 P.1 -- 06/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 06-02-2018 20:52:11
อื้อหืออ เดาใจหมอกไม่ถูกเลย นิ่งเกินไปนะลูกนะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 2 P.1 -- 06/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Zeta ที่ 07-02-2018 09:09:24
ตามค่าาาาารอตอนต่อไปเลยยย :hao7:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 2 P.1 -- 06/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 07-02-2018 11:19:00
หมอกยังไม่มีปฏิกิริยา รอต่อไปปปปปปปปปป :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 2 P.1 -- 06/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 07-02-2018 17:41:27
ติดตามจ้า
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 08-02-2018 18:06:48

บทที่ 3
ไม่ทันได้เตรียมใจ



Foggy & Smoky : มีข่าวมาอัพเดทยามตี 1 ค่ะทุกค๊นนนนนนนนนนนนน  มีใครเห็นความเคลื่อนไหวในเฟสบุ๊คของหมอกกันบ้างคะ ถึงแอดจะพยายามกดขอเป็นเพื่อนหมอกมานานแค่ไหนแต่แอดก็ไม่สามารถเข้าไปเผือกในเฟสบุ๊คของหมอกได้สักที แต่วันนี้เห็นการเปลี่ยนแปลงค่ะทุกคน เพื่อนในเฟสบุ๊คของหมอกจากตอนแรกมี 1,060 คน ตอนนี้มันขยับเป็น 1,061 คนแล้วค่ะ!! และจากที่แอดตามเผือกไปพร้อมๆกับลูกเพจที่อินบ็อกซ์มาเม้าท์มอย ได้ความมาว่าเพื่อนใหม่ของหมอกเป็นหนุ่มบลู เดือนคณะวิทย์ปีนี้แหละค่ะทุกคน ไม่รู้ว่าเขาไปรู้จักกันได้ยังไง แต่วันนี้แอดประสบความสำเร็จในการเผือกแล้วค่ะ คืนนี้ขอให้หลับฝันดี หมอกและควันมาเข้าฝันกันถ้วนหน้า กู๊ดไนท์ค่า~~~



ผมนอนมองหน้าเฟสบุ๊คที่จ้องมาแล้วเป็นชั่วโมง หลังจากที่หมอกรับแอดแล้ว จากที่ง่วงและมึนจากฤทธิ์น้ำเมาที่ดื่มเข้าไป กลายเป็นว่าตาสว่างจนถึงตี 3 ไม่ได้สนเลยว่าพรุ่งนี้มีเรียนตั้งแต่เช้า มือยังคงเลื่อนขึ้นเลื่อนลงดูสเตตัสของหมอกอยู่ และก็อดใจไม่ได้ที่จะกดถูกใจรัวๆ ฮือออ มือมันไปเองครับ T__T


หลังจากที่กระหน่ำรัวไลค์ไปแล้ว จุดเขียวๆก็ปรากฏขึ้นที่ชื่อเฟสบุ๊คของหมอก แล้วข้อความแชทผมก็เด้งขึ้นมา ทำหัวใจผมกระตุกอีกแล้ว


Kavi Worakul : ยังไม่นอนอีก

แงงงงงงงง ผมไปรัวไลค์ให้เขารำคาญรึเปล่าเนี่ย

Punnawit thanawatchai : เราไปไลค์ให้รำคาญรึเปล่า

Punnawit thanawatchai : ขอโทษ

Kavi Worakul : ทำไมชอบขอโทษจัง ไม่ได้รำคาญสักหน่อย

Kavi Worakul : เห็นว่าตีสามแล้ว ยังมากดไลค์เฟสเรา พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเช้ารึไง

Punnawit thanawatchai : ก็มีอยู่ เรียนแปดโมงเช้าด้วย

Kavi Worakul : งั้นก็ไปนอนได้แล้ว วางโทรศัพท์แล้วนอนเลย

Punnawit thanawatchai : อ่า...ไปนอนก็ได้ ฝันดีนะ

Kavi Worakul : ฝันดี


หน้าผมแดงไปหมดแล้ว นั่งจ้องคำว่า ‘ฝันดี’ ที่หมอกส่งมาให้แล้วก็กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอย่างมีความสุข ถึงพรุ่งนี้จะมีเรียนตอนแปดโมงเช้า ผมก็มั่นใจว่าผมจะต้องสดชื่นแน่นอน

ก็ได้รับพลังงานบวกขนาดนี้อ่ะนะ~





.
..
...





“หน้าตามึงดูมีความสุขจังนะเชี่ยบลู กินยาผิดขวดรึไง”

ว่านทักผมขึ้นหลังจากที่เราเรียนวิชาไบโอเสร็จ ผมหันมามองมัน ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรแต่ยิ้มให้เพื่อนสนิทอย่างน่าหมั่นไส้

“ไม่ได้กินยาผิดขวด คนมีความสุขมันผิดตรงไหนวะ”

“ก็ไม่ได้ผิด แต่มึงเลิกยิ้มสักที กูกลัวคนอื่นจะมองว่ามึงเป็นบ้า” ว่านบอกก่อนจะชี้ให้ผมดู ผมเลยมองตามไปก็เห็นผู้หญิงหลายคนมองมาที่ผมแล้วก็ยิ้มเขินๆกัน

“มองว่ากูเป็นบ้ายังไงวะ เห็นแต่คนเขินกู”

“จ้า พ่อคนหล่อ หล่อระดับเดือนคณะ” ว่านมันทำหน้าหมั่นไส้ ผมเลยหัวเราะไปที และพวกเราก็รีบวิ่งเข้าคลาสแคลคูลัสกันต่อ เมื่อเห็นว่าอาจารย์เดินเข้าห้องแล้ว






จนเวลาวนกลับมาถึงตอนเย็นอีกครั้ง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อคิดได้ว่าต้องไปที่กองประกวดอีกแล้ว เรียนเหนื่อยๆมาทั้งวัน อยากกลับไปนอนเล่นที่ห้องเหมือนเพื่อนคนอื่นบ้าง แต่เพราะมีตำแหน่งเดือนคณะวิทยาศาสตร์อยู่ เลยได้แต่มองพวกไอ้ว่านที่กระโดดขึ้นรถขับออกไปจากคณะแล้ว

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลาเพราะกว่าจะถึงเวลานัดของกองประกวดก็อีกสองชั่วโมง นั่งเล่นอยู่ใต้ถุนคณะไปพลางๆขณะเลื่อนหน้าฟีดในเฟสบุ๊คดูไปด้วย และอัพสเตตัสความรู้สึกในตอนนี้


Punnawit thanawatchai
Just now


เหนื่อยจัง อยากกลับไปนอนนนนนนนนนนนน


ยอดไลค์ค่อยๆเพิ่มขึ้นพร้อมกับคอมเมนต์ของทั้งเพื่อนและคนที่ผมไม่รู้จัก ผมไม่ได้สนใจและก้มหน้าลง เอาหน้าแนบกับโต๊ะ พร้อมกับหลับตาลง กะจะงีบเอาแรงสักหน่อย

ติ้ง~

เสียงข้อความแชทดังขึ้น ผมเลยเงยหน้าขึ้นมองโทรศัพท์ว่าใครเป็นคนส่งข้อความมา แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง

Kavi Worakul : ง่วงก็ไปนอนสิ

Punnawit thanawatchai : นอนไม่ได้ ต้องรอไปกองประกวด

หมอกทักผมมาอีกแล้ว ผมรีบตอบแล้วเข้าไปดูสเตตัสที่ผมพึ่งอัพไปทันที คนกดไลค์ไปร้อยกว่าคน คอมเมนต์อีกสามสิบ ผมรีบไล่ดูอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นว่าหมอกจะมาคอมเมนต์หรือไลค์เลย แต่หมอกกลับทักแชทส่วนตัวมาหาผมซะอย่างนั้น

Kavi Worakul : ไปกองประกวดตอนไหนล่ะ

Punnawit thanawatchai : ไปตอนหกโมงเย็น เราไม่มีรถกลับคอนโด เลยนั่งรอที่คณะดีกว่า

Kavi Worakul : อีกสองชั่วโมงเลยกว่าจะถึงเวลานัด ไปกินขนมก่อนมั้ย

Kavi Worakul : เดี๋ยวพาไป




เดี๋ยวพาไป เดี๋ยวพาไป เดี๋ยวพาไป


หมอกจะพาผมไปกินขนมงั้นเหรอ เห้ยยยย ผมตาฝาดรึเปล่าเนี่ยยยยย T______T




Punnawit thanawatchai : จะพาไปกินขนมเหรอ ไม่ได้โกหกใช่มั้ย

Kavi Worakul : เราดูเหมือนคนโกหกมากรึไง ไปรึเปล่า จะได้ไปรับ

Punnawit thanawatchai : ไปสิ รออยู่ที่ใต้ถุนคณะวิทย์นะ



ใครปฏิเสธก็บ้าแล้วครับ หมอกส่งสติกเกอร์กลับมา ผมเลยวางโทรศัพท์ลงแล้วได้แต่ยกมือกุมหัวใจตัวเองที่มันเต้นแรงจนผมรู้สึกได้ ใครจะคิดว่าวันหนึ่งคนที่ผมชอบมากๆจะเข้ามาในวงโคจรของผมได้ แค่พยายามทำตัวเองให้เข้าไปอยู่ในวงโคจรของเขาได้ผมก็พอใจแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันเหนือกว่าสิ่งที่ผมคิดไว้มาก


นั่งรออยู่ไม่ถึง 15 นาที รถเบนซ์สีขาวคันเดิมก็มาจอดอยู่ที่หน้าใต้ถุนตึกคณะ ผมเก็บชีทเรียนที่เอามาอ่านรอฆ่าเวลาใส่กระเป๋า เดินไปถึงหน้ารถ หมอกก็ปลดล็อกรถให้ ผมเลยถือวิสาสะเปิดเข้าไปนั่งด้านหน้าซะเลย

“รอนานรึเปล่า” หมอกถามเมื่อผมเข้ามานั่งในรถแล้ว ผมรีบส่ายหน้าทันที

“ไม่นานเลย พึ่งเรียนเสร็จเหรอ”

ผมมองคนที่อยู่ในชุดนักศึกษาสีขาว ผมที่ปรกลงมาเกือบถึงตาไม่ได้เซ็ตแต่ทำเอาใจสั่นแปลกๆ เครื่องหน้าที่หล่อเหลารับกับทุกอย่างบนตัวหมอกในตอนนี้ นี่มันมนุษย์หรือเทวดาวะ ผมอิจฉาความหล่อแบบร้ายกาจของเขาจริงๆนะครับ

“พึ่งเรียนเสร็จ อยากหาอะไรกินพอดีเลยชวนไปด้วยกัน”

“แค่เราสองคนเหรอ?” ผมถามด้วยความสงสัย ตอนแรกเข้าใจว่าเพลิงจะมาด้วย แต่ผิดคาดที่มีหมอกเพียงคนเดียว

“ใช่ ทำไมเหรอ”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

ผมรีบบอก หมอกเลยไม่ได้พูดอะไรอีก รถยนต์คันหรูขับออกจากคณะวิทยาศาสตร์ช้าๆ จนเมื่อมาถึงที่ร้าน Chill ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่มีคนมากประมาณหนึ่ง พวกเราเดินเข้ามาในร้าน กลิ่นคั่วกาแฟหอมอบอวล พร้อมกับเสียงเพลงดังคลอเบาๆ หมอกพาผมไปที่หน้าเค้าท์เตอร์เพื่อสั่งเมนู แอบเห็นหลายคนในร้านที่เริ่มมองมาที่เราก็รู้สึกเกร็งแปลกๆ แต่ผมก็ทำเป็นมองไม่เห็นเหมือนกับหมอกที่ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาใดๆที่มองมาทั้งสิ้น

“อเมริกาโน่แก้วนึงครับ แล้วก็ช็อคโกแลตลาวา” หมอกสั่งเมนูของหมอกเสร็จก็ยื่นเมนูให้ผมรับไปดู ผมที่ไม่ค่อยชอบกินกาแฟเท่าไรเลยหาอะไรที่พอกินได้แทน

“เออ...เอาบลูเบอร์รี่สมูตตี้ครับ”

“อย่างเดียวนะคะ” พนักงานทวนเมนูผม

“ครับ”

“ไม่สั่งของหวานด้วยล่ะ” หมอกถาม ผมลังเลสักพัก ก็เลยเลือกเค้กที่อยู่ในตู้โชว์ไปหนึ่งชิ้น

“เป็นอเมริกาโน่ 1 แก้ว บลูเบอร์รี่สมูตตี้ 1 แก้ว ช็อคโกแลตลาวา 1 ชิ้น กับเค้กส้ม 1 ชิ้นนะคะ ทั้งหมด 270 บาทค่ะ”

ผมควักกระเป๋าเงินออกมาเตรียมจ่ายในส่วนของผม แต่ก็แพ้หมอกที่ยื่นธนบัตรสีเทาให้พนักงานทันที เธอทอนเงินให้หมอกก่อนที่เราจะไปนั่งที่โต๊ะว่างมุมด้านในสุดของร้าน

“นี่ส่วนของเรา” ผมยื่นเงินค่าน้ำกับเค้กของผมให้หมอก แต่หมอกกลับไม่สนใจเงินของผม

“ไม่ต้องจ่ายหรอก ฉันเลี้ยงเอง”

“เห้ยยย ไม่ได้หรอก เอาเงินไปเถอะ เกรงใจ” ผมยังดึงดันที่จะจ่าย หมอกมองผมแล้วก็ยกยิ้มที่มุมปากเล็กๆ


ยิ้มทำไมอ่ะ เขินนะเว้ย


“ไม่ต้องจ่ายหรอก ครั้งหน้าค่อยเลี้ยงฉันคืน”

พอหมอกพูดอย่างนั้นก็ห้ามให้หัวใจเต้นเร็วอีกครั้งไม่ได้ หมายความว่าผมกับหมอกอาจจะไปกินขนมด้วยกันอย่างนี้อีกงั้นเหรอ คิดได้ดังนั้นผมก็เลยเก็บเงินเข้ากระเป๋า พึมพำเสียงเบา

“เอางั้นก็ได้”

ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของหมอก พร้อมกับขนมเค้กและน้ำที่เราสั่งมาพอดี เมื่อของทุกอย่างมาถึง ผมก็ตาลุกวาว หยิบซ้อมขึ้นมาเตรียมจิ้มเค้กส้มของผมทันที

“ดูน่าอร่อยจัง” หมอกพูดขึ้นเมื่อผมจิ้มเค้กส้มเข้าปาก รู้สึกว่ามันนุ่มละลายในปากจนเหมือนจะขึ้นสวรรค์ให้ได้ ผมเลยเลื่อนจานเค้กไปตรงหน้าหมอก

“ลองชิมดูสิ อร่อยสุดๆ”

“งั้นลองชิมหน่อยแล้วก่อน” ผมมองหมอกที่ตักเค้กเข้าปาก ลุ้นว่าจะถูกปากหมอกเหมือนผมรึเปล่า และใบหน้าหล่อนั้นก็ผ่อนคลายลงก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“อร่อยใช้ได้เลย...ลองช็อคโกแลตลาวาสิ ของขึ้นชื่อของที่นี่เลยนะ” หมอกแบ่งเค้กมาให้บ้างทั้งๆที่หมอกก็ยังไม่ได้แตะ

“หมอกกินก่อนดิ ให้เจ้าของเค้กเปิดก่อน”

“เอางั้นก็ได้”

หมอกพูดจบก็จิ้มลงไปที่เนื้อเค้ก ไส้ลาวาค่อยๆไหลเยิ้มออกมา ผมมองหมอกที่กินเค้กอย่างเอร็ดอร่อย แล้วเนื้อช็อตโกแลตก็เลอะที่มุมปาก ผมเลยส่งทิชชู่ให้คนที่กำลังเคี้ยวขนมเค้กอยู่

“ช็อตโกแลตเลอะปาก เช็ดสิ” ผมถือทิชชู่ค้างไว้ แต่หมอกก็ไม่ยอมรับทิชชู่ที่ผมส่งให้ เคี้ยวเค้กจนหมด คนตรงหน้าก็พูดประโยคที่ทำเอาหัวใจผมจะวายอีกรอบ

“เช็ดให้หน่อย”

ผมเบิกตากว้าง หมอกยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมอีกนิด แต่ไม่ยอมรับกระดาษทิชชู่ของผม ผมเลยไม่มีทางเลือกนอกจากจะค่อยๆเช็ดที่มุมปากของหมอก เมื่อเช็ดจนไม่เหลือคราบช็อคโกแลตแล้ว หมอกก็กลับไปนั่งที่เดิม



ส่วนคนที่ไม่เหมือนเดิมคงจะเป็นผม


หน้าร้อนไปหมดแล้ววววววววววววววววววววววว



กินเสร็จ มองนาฬิกาก็พบว่าเหลืออีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลานัดของกองประกวด เราทั้งคู่ออกจากร้านขนมด้วยกัน และหมอกก็ไปส่งผมที่อาคาร A เมื่อมาถึงแล้วผมก็ปลดเบลท์เตรียมจะลงจากรถ แต่เสียงทุ้มหนาก็ทำให้ผมหันกลับไปมองอีกคนก่อน

“เลิกกี่โมง”

“น่าจะประมาณ 3 ทุ่ม ถ้าไม่เลทอ่ะนะ ทำไมเหรอ”

“เดี๋ยวมารับ” หมอกพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ผมกลับไม่นิ่งตาม มือไม้รีบยกไปยกมารีบปฏิเสธ

“เห้ยๆๆ ไม่ต้อง เดี๋ยวกลับพร้อมเพลิงก็ได้ เกรงใจ”

“เดี๋ยวมารับ ลงไปได้แล้ว”

พอหมอกยืนยันอีกครั้ง ผมเลยหุบปากฉับ ลงจากรถและยืนรอจนกระทั่งหมอกขับออกไปแล้ว ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม กุมหัวใจดวงเดิมที่ยังเต้นแรงไม่หยุด บอกผมทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ผมไม่ได้กำลังฝันไป




.
..
...





“ตั้งใจซ้อมกันหน่อยน๊า พี่รู้ว่าทุกคนเหนื่อยแต่ว่างานก็ใกล้เข้ามาแล้วนะจ๊ะ”

เสียงของพี่เจตน์ที่เดินให้กำลังใจพวกเรา วันนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนทุกวัน เล่นเกม ทำกิจกรรม และซ้อมเดินแบบ ซ้อมเต้นกันจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว

“ปวดขาไม่ไหวแล้วโว๊ย”

เพลิงบ่นอุบอิบ ผมหันไปมองมันที่ทรุดนั่งลงบนพื้นทันทีที่เสียงเพลงจบ เลยไปกดน้ำเย็นมาสองแก้วให้มันและผม เดินกลับมาและยื่นน้ำเย็นไปตรงหน้าเพลิง

“ขอบคุณ”

ว่าแล้วก็ดื่มน้ำจนหมดแก้ว ก่อนจะสะบัดเสื้อนักศึกษาที่มีเหงื่อออกเต็มหลัง ท่าทางมันคงจะเหนื่อยมากจริงๆ

“อดเอามึง เหลืออีกแค่ 3 สัปดาห์จะเป็นไทแล้ว”

ผมพูดอย่างให้กำลังใจ เพลิงบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนที่มือใหญ่จะวางแปะลงที่หัวของผมและขยี้เบาๆ แต่นั่นก็ทำเอาทรงผมของผมมันเสียทรงหมด

“อย่าทำดิวะ กว่าจะเซ็ทให้หล่อได้ขนาดนี้”

“หึ หล่อได้แค่นี้น่ะเหรอ”

“เออ!”

ผมเบิกตาโตใส่ไอ้คนขี้แกล้ง เพลิงยิ้มขำออกมา แล้วหนิงกับพลอย ดาวคณะบริหารและคณะเกษตรฯ ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ทำท่าดีดๆดิ้นๆพร้อมใบหน้าฟินๆของพวกเธอ ไม่คิดว่าในกองประกวดจะมีสาววายหลบซ่อนตัวกันมากขนาดนี้

ตั้งแต่เราเริ่มทำกิจกรรมวันแรกและผมสนิทกับเพลิงที่สุดทำให้พวกเธอแอบจิ้นผมกับเพลิงก่อนมันจะลามไปทั้งกองประกวด ส่วนไอ้เพลิงพอรู้กระแสของเรามันก็ยิ่งเอาใหญ่ เดี๋ยวจับแขน เดี๋ยวกอดแขน เดี๋ยวมานอนที่ตัก แล้วทุกวันที่ทำกิจกรรมผมและมันก็กลับพร้อมกันตลอดเลยกลายเป็นว่าหลังๆมานี้กระแสของผมกับเพลิงมันยิ่งจะแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากเลยตามเลยไปกับมันอ่ะ

“วันนี้ก่อนกลับพากูไปหาไรกินก่อนนอนด้วยนะ”

เสียงของเพลิงเรียกสติของผมกลับมา ผมหันมองเพลิงและนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีคนมารับแล้ว เลยรีบบอกเพลิง

“วันนี้กูไม่กลับด้วยนะ”

“อ่าว แล้วจะกลับยังไง” เพลิงทำหน้าสงสัย

“เดี๋ยวมีคนมารับ มึงกลับเลย”

“งั้นเหรอ ว่าจะชวนไปกินบะหมี่เกี๊ยวสักหน่อย ไปกินคนเดียวก็ได้” เพลิงว่าอย่างนั้น ผมได้แต่ยิ้ม และพวกเราก็เริ่มซ้อมเต้นกันต่ออีก





ผมมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แปะอยู่ที่ฝาผนัง บอกหมอกไว้ว่าสามทุ่มถึงจะเลิก แต่นี่มันสามทุ่มครึ่งแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะเลิกง่ายๆเลย โทรศัพท์ของผมก็ถูกยึดไว้กับพี่ปูเป้เลยไม่สามารถเอามาเล่นได้ ไม่รู้ว่าหมอกจะมารอรึยัง หรือว่ามารอจนกลับไปแล้วผมก็ไม่รู้

“วันนี้เลิกเลทหน่อยน๊า แต่ไม่เกินสี่ทุ่มแน่นอน ซ้อมอีกรอบหนึ่งก่อน รอบสุดท้ายของวันนี้แล้ว”

พี่เจตน์พูดให้กำลังใจพวกเรา ไม่ใช่แค่ผมที่เหนื่อย แต่ทุกคนในห้องก็เหนื่อยล้ากันหมดแล้ว หน้าทุกคนอิดโรยเพราะต้องซ้อมกันอย่างหนักหน่วง เสียงบ่นงึมงำดังให้ผมได้ยินอยู่เรื่อยๆ แต่แล้วเสียงบ่นก็กลายเป็นเสียงกรี๊ดเบาๆที่ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองที่มาของเสียงกรี๊ดนั้น

“แอร๊ยยยยยยย สวัสดีค่าน้องหมอกกก เอ๊ะ! หรือน้องควัน?”

พี่เจตน์แทบจะทำไมค์ตกลงบนพื้นเมื่อประตูห้องประชุมถูกเปิดออกเบาๆ ผมมองคนที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา กวาดสายตามองรอบๆก่อนที่สายตาของเขาจะล็อกที่ผม...

“หมอกครับ”

“อ่อออ น้องหมอกกก มาหาใครจ๊ะ มาหาน้องเพลิงรึเปล่า” พี่เจตน์ยังชวนคุยต่อ

“มารอรับเพื่อนกลับครับ”

“อ่อ มารอรับเพื่อนนนนน งั้นน้องหมอกนั่งรอก่อนนะจ๊ะ เอ้า! ใครว่างก็หาน้ำหาท่ามาเสิร์ฟน้องหมอกกันหน่อย ส่วนดาว-เดือนทั้งหลาย อย่าพึ่งตกตะลึงกับความหล่อของน้องหมอกค่า รีบซ้อมกัน ไม่งั้นวันนี้พี่จะปล่อยกลับห้าทุ่มนะคะ”

พอพี่เจตน์พูดอย่างนั้น ทุกคนก็รีบลุกขึ้นยืนไร้เสียงโอดครวญทันที รีบๆซ้อม จะได้กลับไปพักสักที เหนื่อยจนร่างจะพังอยู่แล้ว ซ้อมเต้นรอบสุดท้ายเสร็จในที่สุดพวกเราก็เป็นอิสระ พี่เจตน์ปล่อยพวกเราแล้ว ผมรีบวิ่งไปขอกระเป๋าคืนจากพี่ปูเป้และเดินมาทางหมอกซึ่งยืนคุยอยู่กับเพลิงอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง

“นี่อ่ะหรอ คนที่มารับกลับอ่ะ”

เพลิงทำหน้าล้อๆตอนที่ผมเดินมาถึง และเราทั้งสามคนก็เดินออกมาจากห้องประชุมด้วยกัน ผมไม่รู้จะตอบเพลิงยังไง เลยหันมองหมอกอย่างขอความช่วยเหลือ แต่หมอกก็ยังคงเงียบ ไม่พูดอะไรเลยว้อย

“เออ จะไปกินบะหมี่ไม่ใช่รึไง รีบไปเลยไป” ผมพูดก่อนแสร้งตีหน้ายุ่งที่ยังเห็นเพลิงล้อไม่หยุด

“พอมีคนมารับแล้วถึงกับไล่กูเลยอ่ะ เออๆ ไปแล้ว” พูดจบเพลิงก็เดินแยกออกไปอีกทางทันที ทั้งทางเดินเลยเหลือแต่ผมและหมอก นั้นแหละคนตัวสูงเลยเริ่มปริปากพูดแล้ว

“ซ้อมเหนื่อยรึเปล่า”

“เหนื่อยสิ อยากกลับไปอาบน้ำเย็นๆแล้วก็นอนสักที”

ผมว่าและเดินตามหมอกมาถึงรถ เข้าไปนั่งด้านในอย่างเคยและหมอกก็ค่อยๆเคลื่อนรถออกจากลานจอดรถ ใช้เวลาเดินทางมาถึงคอนโดของผมไม่ถึง 15 นาที เมื่อมาถึงผมก็ปลดเบลท์ก่อนจะบอกขอบคุณสารถีในวันนี้

“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ ทั้งค่าขนมและที่มาส่งถึงที่นี่”

“อืม กลับไปก็รีบนอนล่ะ ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าหมดแล้ว”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมเผลอจับรอบดวงตาตัวเอง ใจเสียไปหมดแล้ว นี่ผมตาคล้ำขนาดนั้นเลยรึไง

“ล้อเล่นหน่า ไปได้แล้ว”

พูดจบก็เอามือมายีผมของผมทีหนึ่ง น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกไม่ชอบใจเหมือนที่เพลิงทำ กลับกันผมอยากจะให้หมอกจับให้นานกว่านี้ด้วยซ้ำ เราทั้งคู่อยู่ในความเงียบ และหมอกก็ค่อยๆเอามือออกจากหัวของผม

“ฝันดีนะ”

“อะ...อืม”

ผมว่าอย่างนั้นก่อนจะลงจากรถ หมอกขับรถออกไปแล้ว ผมได้แต่ยืนอยู่อย่างนั้น หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุด...



ถ้าหมอกทำผมหัวใจวายตายขึ้นมาจริงๆ จะมาหลอกหมอกคนแรกเลยคอยดูเถอะ T____T



tbc.

พระเอกของเรามีความเคลื่อนไหวแล้วนะเออ
ตอนนี้น้องบลูของเรากุมใจไปแล้วกี่รอบคะก็ไม่รู้
คุณหมอกรุกแรงมาก555555555555

มาคุยและอัพเดตข่าวสารต่างๆกันได้ที่เพจหรือทวิตเตอร์นะคะ
ใครผ่านไปผ่านมาแวะอ่านแล้วคอมเมนต์ให้ชื่นใจสักนิดก็ขอบคุณมากๆค่า

twitter : @dearblisss
fabpage : https://www.facebook.com/Dearblisss/   

หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 08-02-2018 18:22:53
ใจละะลายตามบลูเลย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 - ไม่ทันได้เตรียมใจ P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Zeta ที่ 08-02-2018 21:39:07
เขินแทนบลูเลย หมอกก็ชอบบลูป่ะเนี่ย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 - ไม่ทันได้เตรียมใจ P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 08-02-2018 21:42:32
น่ารักจัง น้องบลู  :-[ 
ชอบมากเลยจ้า อ่านไปก็เอาใจช่วยน้องบลูไปด้วย
น้องน่ารัก มีความพยายามมาก ๆ น่าเอ็นดูด้วย > <
หมอกก็นิ่ง ๆ ขรึม ๆ แต่มีแอบเจ้าเล่ห์นิด ๆ หรือเปล่านะ 555
หลัง ๆ เริ่มรุกแรง จนน้องตั้งตัวไม่ทันแล้ว แต่ก็ดี เราชอบ
นี่ยังสงสัย ว่าหมอกรู้จักน้องบลูตอนใส่แว่นดัดฟันหรือเปล่านะ
ถ้าจำได้ขึ้นมา หวังว่าจะไม่ดราม่าน้า กลัวดราม่า T^T
ติดตามตอนต่อไปน้า เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า ชอบมากเลย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 - ไม่ทันได้เตรียมใจ P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 08-02-2018 21:50:07
เขินเลยยย หมอกไม่ค่อยพูดถนัดทางการกระทำสินะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 - ไม่ทันได้เตรียมใจ P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 08-02-2018 22:08:49
น้องบลูน่ารัก
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 - ไม่ทันได้เตรียมใจ P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 08-02-2018 22:34:26
นิยายน่ารักมากกกกก ติดตามค่ะ
เเต่งดีมากเลย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 - ไม่ทันได้เตรียมใจ P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 09-02-2018 03:11:49
ตามจ้าาา
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 - ไม่ทันได้เตรียมใจ P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 09-02-2018 09:35:26
นี่ใครจีบใคร 55555555
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 - ไม่ทันได้เตรียมใจ P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 09-02-2018 10:20:02
คุณหมอกเนียนได้อีกกก :z1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 - ไม่ทันได้เตรียมใจ P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 09-02-2018 13:03:18
หมอกมีความอ้อยว่ะ55  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 10-02-2018 16:17:55



บทที่ 4
#หมอกบลู vs #เพลิงบลู







วันนี้ผมตื่นนอนมาก็เกือบแปดโมงแล้ว รีบกระโดดลงจากที่นอน วิ่งผ่านน้ำ ใส่ชุดนักศึกษาอย่างรวดเร็วก่อนจะกระโดดขึ้นรถบัสคันล่าสุดที่ผ่านสายตาเพื่อไปยังมหาวิทยาลัย



เกือบไม่ทันแล้ว

มัวแต่ฝันถึงหมอกอยู่นั้น...



“เชี่ยบลู ทำไมวันนี้มาสายวะ”

ว่านทักเมื่อเห็นผมวิ่งเข้าห้องได้ทันก่อนอาจารย์จะเข้ามาในห้อง ผมปาดเหงื่อที่เกาะพราวทั่วใบหน้า เสื้อนักศึกษายังคงลอยชาย พออาจารย์เห็นก็เลยรีบยัดเข้าในกางเกงทันทีก่อนจะหันมาตอบคำถามว่าน

“ตื่นสายน่ะสิ เมื่อคืนซ้อมหนัก ถึงห้องกูก็สลบเป็นตาย”

“แสดงว่ามึงยังไม่เช็คเฟสเลยใช่มั้ย” ว่านถาม ผมเลยหันไปมองด้วยความสงสัย

“ทำไมเหรอ”

“มึงลองเปิดดูเองดิ แล้วกูค่อยจะถามมึง”

ว่านพูดอย่างนั้น ผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตั้งแต่ผมได้เป็นเดือนคณะวิทยาศาสตร์ แถบแสดงการแจ้งเตือนมันก็เยอะมากอยู่แล้ว ผมเลยไม่ได้ใส่ใจเท่าไรว่าจะมีอะไรอัพเดทรึเปล่า แต่พอเปิดแอพลิเคชั่นเข้าไป หน้าฟีดแรกที่เห็นก็เป็นของเพจ Foggy & Smoky


Foggy & Smoky
Yesterday at 23:58

วันนี้มีลูกเพจแจ้งข่าวแอดมาอีกแล้วค่า
วันนี้เป็นเรื่องของหนุ่มหมอกอีกแล้ววว รู้สึกว่าช่วงนี้จะปรากฏตัวบ่อยกว่าควันซะอีกนะคะ
ลูกเพจเราไปเจอหนุ่มหมอกที่ร้าน Chill สั่งอเมริกาโน่เมนูโปรดปราน พร้อมกับเค้กช็อคโกแลตลาวา
มันจะไม่มีอะไรน่าแปลกใจหรอกนะคะ ถ้าหนุ่มหมอกไม่มาพร้อมกับบลู บลูไหน ก็บลูเดือนคณะวิทย์ เพื่อนใหม่ล่าสุดนั้นไงละค้า
มีความกระหนุงกระหนิงสุดๆ ช็อตเด็ดที่แอดแทบทำมือถือหล่นตอนเห็นภาพครั้งแรกนั้นก็คือเขาเช็ดปากให้กันค่าทุกคนนน
เท่านั้นยังไม่พอ ลูกเพจยังเม้าท์มอยมาอีกว่าหมอกของพวกเราไปส่งน้องบลูถึงกองประกวด แถมยังมารับกลับด้วยนะเออ
อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนคงจะสงสัยเหมือนๆกันใช่มั้ยคะ ว่าเขาไปสนิทกันตอนไหน
ใช่ค่ะ แอดก็สงสัย จะมีอะไรในกอไผ่อ่ะเปล่า เราต้องโบกป้ายเชียร์ #หมอกบลู รึเปล่าคะงานนี้

BBeam beam : วันนี้เราก็เห็นว่าหมอกมารับบลูที่คณะนะคะแอด หมอกตัวจริงโคตรหล่อเลยค่ะ ไม่คิดว่าจะมีบุญได้เห็นคนหล่อขนาดนี้ T__T

GiGi Geeranun : ที่เพจกองประกวดดาวเดือนปีนี้ เขาโบกป้ายไฟ #เพลิงบลู กันนะคะแอด แต่ถ้าจะ #หมอกบลู หนูก็ไม่ขัดสนค่า

Dream dararat : มาแบบเหนือเมฆมากค่ะ วันก่อนพึ่งเป็นเพื่อน วันนี้จะเป็นแฟนแล้วอ่อคะ #ใช่ค่ะดิฉันขี้ชิป #ลงเรือหมอกบลู


และอีกหลากหลายคอมเมนต์ที่ผมอ่านไม่หมด ตาผมพร่าเบลอไปหมดเมื่อเห็นรูปของผมกับหมอกเมื่อวานนี้ แถมรูปที่ผมกำลังเช็ดคราบช็อคโกแลตให้หมอกนั้นยิ่งทำให้ผมนึกถึงเมื่อวานแล้วก็รู้สึกเขินขึ้นมาอีกรอบ มิน่าล่ะทำไมแจ้งเตือนของผมถึงเยอะขนาดนี้ ตอนนี้มีคนขอแอดเป็นเพื่อนผมมามากขึ้นอีกเท่าตัว หน้าเฟสบุ๊คมีแต่คนถามว่าผมกับหมอกเป็นอะไรกัน



ไม่รู้เหมือนกันเว้ย นี่ก็ยังตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน T________T



“กูถามมึงเรื่องเมื่อวานได้ยัง” ว่านกระซิบถามผมด้วยใบหน้าที่อยากรู้เต็มที

“เรื่องอะไร”

“อย่ามาแอ๊บโง่ ก็เมื่อวานแอบไปเต๊าะใครมาล่ะมึง ข่าวดังไปทั้งมอแล้วตอนนี้”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“เออ ทำไมจู่ๆมึงถึงไปกินเค้กกับหมอกได้วะ มันจำได้เหรอว่ามึงกับมันมาจากโรงเรียนเดียวกัน” ว่านเข้าประเด็น ผมที่ตั้งตัวไม่ทันก็ขอเวลาเรียบเรียงความคิดสักนิด แถมอาจารย์ก็มองมาที่พวกเราบ่อยๆด้วย จะโดนด่ามั้ยล่ะเนี่ย

“กูว่าเราค่อยพูดเรื่องนี้ทีหลังเหอะ อยากให้ป้าสมศรีด่ารึไง ดูดิ มองอีกแล้ว”






ถึงจะหาเรื่องเบี่ยงประเด็นมาได้แล้ว แต่ว่านมันก็ไม่ยอมปล่อยผมให้หลุดมืออีกครั้ง พวกเราเดินไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกัน ว่านมันก็ยังถามผมยิกๆ จนเมื่อหาซื้อข้าวและได้โต๊ะแล้ว มันก็ถามผมขึ้นอีกครั้ง

“เล่ามาเลยมึง เลิกเฉไฉได้แล้ว ต่อมเผือกกูสั่นไปหมดแล้วเนี่ย”

“ให้เริ่มตรงไหนล่ะ”

ผมถามว่านอย่างขอความเห็น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดยังไง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนผมก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน

“เริ่มตรงที่ว่ามึงไปรู้จักกับหมอกยังไงก่อนแล้วกัน” ว่านเกริ่นให้ ผมเลยนึกย้อนกลับไปถึงครั้งแรกที่เจอกัน

“ตอนนั้น...วันแรกที่กูไปกองประกวด กูรู้จักกับเพลิง...เดือนนิติอ่ะมึง...แล้วเราบังเอิญอยู่คอนโดเดียวกัน กูเลยติดรถกลับกับเพลิง แล้วเพลิงก็แวะไปที่คณะ กูก็เลยได้เจอหมอก...”

“แล้วเขาจำมึงได้รึเปล่าว่ามึงเป็นเพื่อนห้อง 2”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวไปด้วย

“หลังจากนั้นผ่านไปอีก 1 อาทิตย์ เพลิงก็ชวนกูไปกินเหล้ากับเพื่อนเขา กูเลยได้คุยกับหมอกมากขึ้น...แล้วกูก็ขอเฟสหมอก”

“แล้วเขาก็รับแอดมึง?”

“อืม”

“รับแอดเฟสแล้วไงต่อ ทำไมถึงได้ไปกินเค้กด้วยกัน” ว่านยังซักต่อไม่หยุด ผมมองหน้ามันที่กำลังทำหน้าสงสัยขั้นสุด

“ก็ตอนที่กูอัพตัสว่าเหนื่อย อยากกลับไปนอน เขาก็ทักกูมาว่าให้ไปนอน แต่กูบอกว่าต้องไปกองประกวดต่อ เขาเลยชวนกูไปกินเค้กฆ่าเวลา”

“แค่นี้?”

“อืม”

“แต่ภาพที่ออกมาแม่งหวานสัสๆ กูเห็นแล้วขนลุกเกรียวเลย มึงดูอีกทีสิ ผู้ชายที่ไหนเขาเช็ดปากให้กัน แถมมึงเป็นคนเช็ดให้ด้วย”

ว่านโชว์ภาพต้นเหตุให้ผมดูอีกครั้ง ไม่อยากบอกหรอกว่าแอบเซฟเก็บไว้แล้ว ผมจิบน้ำมะพร้าวแก้เก้อช้าๆ ก่อนจะแก้ข่าวให้ว่านเข้าใจ

“ก็ช็อคโกแลตเลอะปากหมอก กูยื่นทิชชู่ให้เขา แต่หมอกบอกให้กูเช็ดให้”

“เหรอ” ว่านมองอย่างไม่เชื่อสายตา

“ก็ใช่น่ะสิ”


“เขาชอบมึงป่ะวะบลู”


คำพูดของว่านทำเอาผมที่กำลังกินน้ำมะพร้าวอยู่ถึงกับสำลักออกมา ผมไอเสียงดังจนคนหันมามองทั้งโรงอาหาร แต่ตอนนี้ผมแสบคอจนน้ำหูน้ำตาไหลแล้ว ว่านตกใจและรีบลูบหลังให้ผมเป็นการใหญ่ จนผมอาการดีขึ้นแล้วมันก็ส่งกระดาษทิชชู่ให้ผมเช็ดปากอีกที

“แค่กูถามว่าเขาชอบมึงรึเปล่า สำลักจนเกือบตายเลยนะ”

“ก็คนมันตกใจป่ะวะ มึงนั้นแหละ พูดอะไรก็ไม่รู้” ผมใช้กระดาษทิชชู่เช็ดปากจนสะอาดแล้วก็มองมันอย่างเคืองๆที่เกือบฆาตกรรมผมกลางโรงอาหารแล้ว

“ก็จริงนี่นา ฟังจากที่มึงพูดแล้วคิดตามภาพที่กูเห็นอ่ะนะ ผู้ชายหล่อระดับนั้นเขาจะมายุ่งวุ่นวายกับมึงทำไมถ้าเขาไม่ได้สนใจมึงอยู่”

“มึงคิดอย่างนั้นเหรอวะ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ ผมไม่ได้อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลยนะ

“ก็เออสิวะ กูเอาหัวกูเป็นประกันเลย เขาชอบมึงแน่นอนไอ้บลู”





.
..
...





คำพูดของว่านยังคงติดอยู่ในหัวของผมแม้ว่าตอนนี้จะซ้อมเต้นอยู่ วันนี้ผมโดนดุไปหลายรอบมากเพราะไม่มีสมาธิเลย แต่ผมก็ไม่โกรธใคร ก็ผมไม่มีสมาธิจริงๆนั้นแหละ

“พักก่อนแล้วกันนะคะน้องๆ ใครอยากจะไปหาอะไรกินก็ไปได้น๊า พี่ให้เวลา 30 นาทีนะค๊า”

พี่เจตน์ประกาศผ่านไมค์ ทุกคนร้องเฮแล้วก็รีบสลายตัวอย่างรวดเร็ว ผมนอนแผ่ลงกับพื้นห้อง เพลิงเดินมาหาแล้วใช้เท้าสะกิดขาผมเบาๆ ผมเลยเหลือบตามองมัน แอบเห็นพี่บูมที่เป็นตากล้องรีบยกกล้องโปรขึ้นมาถ่ายภาพเราไว้เอาไปลงในเพจด้วย ผมรู้หรอกว่าพี่เขาคงจะเอาไปเรียกกระแสกันต่อ แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร

“ไปแดกข้าวป่ะ วันนี้กูว่ายาว”

“กินก็ได้ ดึงขึ้นหน่อย” ผมชูมือขึ้นให้เพลิงดึงผมจนลุกได้

เราเดินออกจากอาคารไปจนถึงตลาดอาหารยามดึก เพลิงลูบท้องวนไปวนมา สูดจมูกดมกลิ่นอาหารที่ลอยมาแต่ไกล จนสุดท้ายก็ไปจบที่ร้านข้าวผัดปู ส่วนผมก็สั่งคะน้าหมูกรอบ เมื่อได้อาหารมาแล้วก็รีบนั่งโกยอาหารเข้าปากเพราะใกล้จะหมดเวลาพักแล้ว

“น้องเพลิงกับน้องบลูใช่รึเปล่าค๊า”

ผมที่กำลังจิ้มหมูกรอบชิ้นสุดท้ายในจานเข้าปาก และเพลิงที่กำลังตักพริกน้ำปลาใส่ข้าวผัดปูเงยหน้าขึ้นตามเสียงบีบเล็กๆที่ยืนอยู่ที่โต๊ะของเรา

“ครับ?” เพลิงขานรับ ส่วนผมก็เคี้ยวหมูกรอบขณะรอฟังว่าพี่สาวประเภทสองตรงหน้าจะพูดอะไร

“พี่ชื่อพี่พอลล่านะคะ คือพี่เป็นแอดมินเพจคิ้วท์บอยของมอเรา พี่อยากให้น้องๆพูดอะไรถึงแฟนเพจเราหน่อยนะคะ”

เธอว่าอย่างนั้นแล้วชูไอโฟน 8+ สีชมพูเครื่องใหญ่มาตรงหน้าพวกเรา ผมและเพลิงที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่หันมองหน้ากันก่อนที่เพลิงจะหันกลับไปหาพี่พอลล่า แล้วยิ้มแห้งๆให้พี่แก

“เออ...ให้พวกผมพูดอะไรอ่ะครับ” ผมถามบ้าง เพราะให้เพลิงรับมือคนเดียวก็สงสารมัน

“ก็พูดอะไรก็ได้ค่ะ แนะนำตัว ฝากโหวตดาว-เดือนก็ได้เลยจ้า ตามสบายเลย”

“อ้อ”

ผมพยักหน้าเข้าใจ เลยส่งซิกให้เพลิงเป็นคนพูดก่อน ส่วนเพลิงมันก็ส่งซิกให้ผมพูดก่อนเหมือนกัน เหมือนพี่พอลล่าจะรู้ว่าเราไม่ยอมพูดก่อน เธอเลยพูดกลางโต๊ะ

“ไม่ต้องเกี่ยงกันค่ะ พูดกันทั้งสองคนนั้นแหละค่ะ พูดเลยนะคะ เอ้า สาม สี่”

ว่าแล้วเธอก็ตั้งกล้องอัดวีดิโอทันที ผมกับเพลิงเลยต้องมองไปที่กล้องอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนที่พวกเราจะด้นสดใส่กล้องอย่างงงๆ

“สวัสดีครับ ผมเพลิงจากคณะนิติศาสตร์”

“ผมบลูจากคณะวิทยาศาสตร์ครับ”

“งานประกวดดาว-เดือนปีนี้จะจัดขึ้นวันไหนครับบลู” อ้าว เวร โยนขี้มาให้กูเฉยไอ้เพลิง

“เออ...วันที่...วันที่ 25 เดือนนี้ครับผม” ต้องขอบคุณพี่พอลล่ามากๆนะครับที่ส่งซิกหลังกล้องให้ผมยิกๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่างานจัดวันไหน

“ครับ ในงานนี้พวกเรามีโชว์เซอร์ไพร์สรอทุกๆคนอยู่ อย่าลืมมางานกันเยอะๆครับ” เพลิงพูดจบ เหมือนจะปิดคลิปด้วยดี แต่พี่พอลล่าก็ส่งเสียงมาจากหลังกล้อง

“น้องบลูฝากอะไรนิดนึงสิคะ”

“อย่าลืมมาเชียร์พวกเราด้วยนะครับ ทั้งผมแล้วก็เพลิงด้วย งานนี้พวกเราเต็มที่กันมาก” ผมพูดจบก็หันมองเพลิงว่าควรจะเอาไงกันต่อดี สุดท้ายเพลิงก็หันกลับไปมองกล้อง

“ครับ วันนี้ก็พอแค่นี้แหละครับ ขอบคุณนะครับ”

ตัดจบทันที ผมเลยรีบยกมือไหว้ผ่านกล้อง พี่พอลล่าลดโทรศัพท์ลง หน้าชื่นตาบานสุดๆก่อนจะขอถ่ายรูปผมและเพลิงไปอีกนิดหน่อย แล้วเธอก็จากไป พวกเราเลยรีบกินข้าวให้หมดและรีบออกจากตลาดเพื่อไปซ้อมต่อทันที

ผมซ้อมต่อจนกระทั่งเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ที่เลข 12 เที่ยงคืนแล้วแต่พี่ๆยังคงให้เราซ้อมไม่หยุด ก็มันเหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียว แถมผมก็ยังลืมท่าลืมทางอยู่เลย แต่เพราะพวกเรานั้นมีตารางเรียนไม่เหมือนกัน เวลาซ้อมจึงเลทสุดได้ถึงเที่ยงคืนเท่านั้น พี่เจตน์เลยยอมปล่อยพวกเรากลับไปพักผ่อนได้

“กลับกันเลยป่ะ”

เพลิงว่า ผมเลยเดินตามเพลิงออกมาจนถึงลานจอดรถ น่าแปลกที่คราวนี้ลานจอดรถที่มักมีเพียงแค่ BMW ของเพลิงจอดอยู่ ตอนนี้กลับมีรถเบนซ์สีขาวมุกจอดเทียบอยู่ข้างกัน มองป้ายทะเบียนแล้วผมก็ต้องใจกระตุก และหัวใจผมก็เต้นเร็วขึ้นเมื่อคนด้านในรถเปิดประตูออกมา

“คิดถึงผมเหรอครับคุณหมอก~~~~”

เพลิงทำหน้าล้อเลียน วิ่งไปกอดแขนหมอกพร้อมกับใช้เสื้อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อถูไปตามแขนของหมอกด้วย

“เออ...หมอกมาทำไมเหรอ” ผมถามขึ้น หมอกมองผมนิ่งๆ เสียงทุ้มนั้นก็เปล่งขึ้น

“มารับไง”

“มารับเค้าเหรอตะเอง” เพลิงยังคงใช้เสียงที่หน้าตบให้หายแรดสักที ส่วนหมอกยังคงหน้าตาย มองเพลิงที่ยังเกาะแขนอยู่ก่อนจะดันมันออกเบาๆ

“มึงมายังไงก็กลับไปอย่างนั้นแหละ” หมอกพูดนิ่งๆ แล้วชี้ไปที่ BMW สีดำที่จอดอยู่

“ง่า...พี่หมอกอ่ะ” เพลิงแสร้งทำหน้าบูด เห็นหมอกยกกำปั้นขึ้นพร้อมต่อยเพลิงเต็มที เพลิงก็รีบสลัดโหมดสาวน้อยออกจากร่างทันที

“เอาเถอะ กูไม่แกล้งพวกมึงแล้วครับ ไปส่งเพื่อนกูดีๆล่ะ”

เพลิงพูดจบก็ขึ้นไปนั่งในรถของตัวเอง ผมยืนมองตาปริบๆ รู้ตัวอีกทีเพลิงก็ขับรถออกไปแล้ว ทั้งลานจอดรถมีเพียงผมและหมอกที่ยืนอยู่ ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกรุ่นพี่ในกองประกวดที่ดังอยู่ไกลๆ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจนอกจากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ทำไมไม่บอกว่าจะมารับ” ผมถามหมอกขณะที่เข้ามานั่งในรถแล้ว

“บังเอิญขับผ่านมาทางนี้แล้วเห็นว่ารถไอ้เพลิงยังจอดอยู่ นึกได้ว่ามันเคยบอกไว้ว่าช่วงนี้จะกลับไปนอนที่บ้าน เลยคิดว่าคงไม่มีใครจะไปส่ง”

“ถ้าเพลิงไม่ไปส่ง เดี๋ยวให้คนอื่นไปส่งก็ได้”

ผมว่าอย่างนั้น หมอกเลยหันมามองหน้าผมในความมืด ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำหน้ายังไง แต่เดาเอาว่าหมอกคงจะอารมณ์เสียไม่น้อย

“เออ...แล้วมารอนานรึยังอ่ะ” ผมถามอีกเพราะหมอกไม่ยอมคุยกับผมต่อ น้ำเสียงทุ้มเลยตอบกลับมา

“ก็ไม่นานหรอก”

“งั้นเหรอ”

ผมพึมพำและทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบ ระหว่างพวกเราไม่มีบทสนทนาใดๆอีก จนกระทั่งเมื่อรถของหมอกมาจอดที่หน้าคอนโดของผมแล้ว

“ขอบคุณที่มาส่งนะ ไปล่ะ”

ผมกล่าวขอบคุณเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่คราวนี้ความอบอุ่นรอบข้อมือทำให้ผมต้องชะงัก ผมหันกลับไปมองข้อมือของผมที่ถูกหมอกกุมเอาไว้

“พรุ่งนี้มีเรียนกี่โมง”

“เก้าโมงเช้า...ทำไมเหรอ”

“เดี๋ยวมารับ รอด้วยล่ะ” หมอกพูดอย่างนั้น ผมก็รีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

“ไม่ต้องลำบากมารับก็ได้ แค่มาส่งอย่างนี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

“ฉันบอกเหรอว่าลำบาก” หมอกถาม ผมเลยส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ

“ก็รู้อยู่นี่ พรุ่งนี้เจอกัน ไปนอนได้ล่ะ” พูดจบก็คลายมือที่จับข้อมือผมไว้แล้วผลักหัวผมเบาๆ ผมลูบผมให้เป็นทรงเหมือนเดิมก่อนจะโบกมือลาเจ้าของรถ

“งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ”

ผมว่าอย่างนั้นและยืนส่งจนหมอกขับรถออกไปถึงเดินขึ้นห้องของตัวเอง ความเหนื่อยล้าของวันนี้หายเป็นปลิดทิ้งเพราะคนที่มาส่งถึงคอนโดเมื่อครู่ ผมอาบน้ำ ถอดคอนแทคเลนส์เสร็จก็เปลี่ยนมาใส่แว่นตา และสวมรีเทนเนอร์ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงและคว้าโทรศัพท์มาเช็คข่าวสารก่อนนอน

ผมเลื่อนสเตตัสของเพื่อนร่วมคณะไป อัพเดทความเคลื่อนไหวในโลกโซเชี่ยลไปสักพัก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำเอาผมหลุดขำออกมา มันเป็นภาพของผมกับเพลิงที่ตลาดที่พี่พอลล่าเป็นคนมาขอถ่ายนั้นแหละ ดูคลิปแล้วผมก็ตลกความอิหลักอิเหลื่อของเราทั้งคู่ที่จู่ๆก็โดนจู่โจมกระทันหันด้วยแอดมินเพจคิ้วท์บอย พอเลื่อนอ่านคอมเมนต์แล้วผมก็เผลอขมวดคิ้วขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

Eing Eing : แอร๊ยยยยย ลงเรือ #เพลิงบลู เต็มตัวค่า ดูสายตาที่เขามองกันสิ หวานเฟร้อ

Nucknick : ฉันรักคู่เน้!! ดูรูปในเพจนี้ว่าฟินแล้ว ไปดูที่เพจกองประกวดด้วยค่า ฟินx100

ผมอ่านคอมเมนต์แล้วก็ต้องเข้าไปดูรูปในกองประกวดบ้าง ภาพผมกับเพลิงตอนที่ผมนอนแผ่ที่พื้นแล้วเพลิงดึงผมขึ้นนั้นมีคนกดไลค์ไปราวๆพันกว่าคน คนแชร์ไปอีกเป็นร้อย ก็พอรู้ว่ากระแสของผมและเพลิงเป็นยังไง แต่ไม่คิดว่ามันจะแรงขนาดนี้เลย

Miko mikakokukakiko : พูดตามตรงนะว่า #เพลิงบลู ก็จัดว่าฟินอยู่ แต่นี่คิดว่า #หมอกบลู อ่ะของจริง ไปเชื่อตามไปส่องที่เพจ Foggy & Smoky เลยค่า


ผมสะดุดคอมเมนต์ล่าสุดที่พึ่งเด้งขึ้นมา มือรีบค้นเพจ Foggy & Smoky อย่างรวดเร็ว พอเห็นกระทู้ที่พึ่งอัพเดทไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนผมก็ต้องกุมหัวใจที่จู่ๆก็หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่



Foggy & Smoky
30 min ago

สวัสดีค่าลูกเพจทุกคนนนน วันนี้แอดมาดึกขนาดนี้เพราะหมอกของพวกเราปรากฏตัวอีกแล้วค่า
น้ำตาแอดจะไหลกับเรื่องที่จะเม้าท์มอยในวันนี้ ตอนแรกก็ว่าจะไม่ชิปแล้วนะคะ แต่พอได้ลงเรือแล้วมือมันก็พายไม่หยุดเลยค่ะทุกคน
อ่ะๆ เข้าเรื่องกันเถอะ วันนี้แอดไปเห็นด้วยตาตัวเองค่ะ ในขณะที่หาอะไรกินยามดึก แอดก็ไปเจอกับรถคันคุ้นตา
ใช่แล้วค่า รถของหนุ่มหมอกเรานั้นเอง แบบว่าไปเจอรถของหมอกจอดอยู่ที่หน้าอาคาร A ที่ใช้ทำกิจกรรมของดาว-เดือนปีนี้ตั้งแต่สามทุ่ม
ย้ำนะคะว่าสามทุ่ม! แล้วแอดก็ได้ข่าวมาจากมิตรสหายท่านหนึ่งว่าพวกดาว-เดือนทั้งหลายเลิกกิจกรรมตอนเที่ยงคืน
แต่ก็ยังเห็นรถของหมอกจอดอยู่ค่า จอดรอใครล่ะคะ ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก~~~~~~~
ไม่ต้องเดากันยากเลย ก็น้องบลูจากคณะวิทยาศาสตร์คนดีคนเดิมนั้นไง ฝ่ายนั้นก็ออกมาจากอาคารพร้อมกับหนุ่มเพลิง
ปลุกกระแส #เพลิงบลู ไปอี๊กกกก นั่นแหละค่ะ หมอกของพวกเราเลยไม่ยอมน้อยหน้าพาน้องบลูไปส่งถึงคอนโดเลยสิคะ
โอยยยหัวใจชิปเปอร์อย่างแอดถึงกับต้องหลั่งน้ำตา ความเรียลที่แท้ทรูต้อง #หมอกบลู สิคะ
สำหรับวันนี้แอดก็มีเรื่องมาอัพเดทเพียงเท่านี้ ฝันดี หมอกและควันเข้าฝันกันถ้วนหน้าค่า



ผมมองภาพที่แอบถ่ายรถเบนซ์ที่ลานจอดรถ รูปที่มีผม หมอก และเพลิงคุยกันอยู่ จนกระทั่งรูปที่ผมพึ่งลงจากรถหมอกที่หน้าคอนโดเมื่อ 30 นาทีก่อน

ไม่รู้ว่าใครจะทีม #เพลิงบลู แต่ใครจะทีม #หมอกบลู

แต่ผมน่ะ....

ลงเรือ #หมอกบลู มานานแล้วล่ะครับ





tbc.

แล้วทุกคนล่ะคะ ทีมไหนกันบ้าง
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ทุกคนมากๆเลยนะคะ
เริ่มมีคนเมนต์ จำนวนยอดวิวค่อยๆเพิ่ม เห็นอย่างนี้แล้วปลื้มค่ะT_T
ค่อยมีแรงปั่นนิยายต่ออีกหน่อย 55555

แวะไปทักทายกันได้ทั้งทวิตและเฟสนะคะ มีอะไรก็จะอัพเดททั้งสองช่องทางนี้ค่ะ

twitter : @dearblisss
fabpage : https://www.facebook.com/Dearblisss/   
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 10-02-2018 16:47:25
เราก็#ทีมหมอกบลู
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 10-02-2018 17:01:58
เจ้าตัวเขาก็ชวนลงเรือซะขนาดนี้ ไปค่ะ ลงเรื่องหมอกบลูกันนนนน
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 10-02-2018 17:13:55
#หมอกบลู ฉันรักพวกเขาาาาา ถ้าพี่หมอกมาหลอกอะไรน้องบลูแม่จะตบคว่ำ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 10-02-2018 19:03:17
ลงเรือหมอกบูลด้วยคนนะคะ :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 10-02-2018 20:25:53
หมอกบลูซิค่ะ
รอตอนต่อไป มาเร็วๆน้าาาา
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Zeta ที่ 10-02-2018 23:00:52
หมอกบลูแน่นอนนน   :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 10-02-2018 23:46:50
หมอกบลูสิคะกัปตัน :z1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 11-02-2018 10:34:00
เพลิงบลูน่ารักนะ แต่เกาะเรือ หมอกบลู แน่นเลยค่า ฟินสุด ๆ ฮื่อออ   :m3:
คุณหมอก ขี้หึงใช่ไหมเนี่ย เจอ#เพลิงบลู เข้าไป ต้องรีบมาแสดงความเป็นเจ้าของเชียว
ไหนว่าขับผ่านมาไง แหม สามทุ่มเนี่ยนะ คนปากแข็ง 555
หมอก แสดงออกชัดขนาดนี้ ก็ขอจีบน้องบลูไปตรง ๆ เลยเถอะจ้า
แล้วเมื่อไหร่คุณหมอควันจะปรากฎกายน้อ ชอบคุณหมอสายแบด
สงสัยเรื่องแฟนของเพลิงด้วย อยากรู้ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย > <
ชอบเรื่องนี้มากค่า คนเขียนสู้ ๆ เรารออยู่น้า
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: rebon ที่ 11-02-2018 18:43:20
ชอบบ รอติดตามนะคะ :-[
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 11-02-2018 21:22:58
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ
แวะเอาสปอยตอนที่ 5 มาแปะในเล้าด้วย
แล้วเจอกันพรุ่งนี้ค่ะ หมอกวินจะมาแล้ววววว



“ใครโทรมา”

“Smoky...ควันรึเปล่า”

“อืม รับให้หน่อย แล้วก็เปิดสปีกเกอร์ด้วยนะ”


.

.

.


“มีอะไร”
 
[อยู่ไหนวะหมอก]

“กำลังขับรถ ว่าจะไปหาอะไรกิน”

[งั้นเหรอ กูกลับมาถึงห้องแล้วไม่เหลืออะไรให้กินเลย มารับไปกินด้วยดิ เดี๋ยวอาบน้ำรอ]

“แต่กูมากับเพื่อนนะ”

[เพื่อนมึงก็เหมือนเพื่อนกูนั้นแหละ รีบๆมาเลย หิวจนจะกินหมีได้ทั้งตัวแล้วโว้ย]

หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 5 - หมอกและควัน หน้า 2 -- 12/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 12-02-2018 19:49:03



บทที่ 5
หมอกและควัน




วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าที่นาฬิกาปลุกตั้งไว้ซะอีก  แค่คิดว่าหมอกจะมารับ ร่างกายมันก็ตื่นตัวโดยอัตโนมัติทันที ผมอาบน้ำ แต่งตัวจนเรียบร้อยก็นั่งรอเวลา จนกระทั่งเสียงข้อความแชทดังขึ้นตอนแปดโมงตรงพอดี

Kavi Worakul : มาถึงแล้ว รออยู่ด้านล่างนะ

ผมรีบตอบกลับข้อความของหมอกทันที แล้วคว้ากระเป๋า ล็อกห้องจนเรียบร้อยก็รีบลงไปที่ด้านล่าง เห็นรถเบนซ์สีขาวคันเดิมจอดอยู่ ผมก็เดินเข้าไปหาและเปิดประตูเข้าไปนั่งเหมือนทุกวันที่ผ่านมา

วันนี้หมอกดูหล่อกว่าทุกวันที่ผ่านมา ถึงจะใส่ชุดนักศึกษาเหมือนเดิม แต่ว่าวันนี้กลับดูเนี๊ยบกว่าทุกวัน ผมที่ไม่ค่อยยุ่งกับมัน วันนี้ก็เซ็ทเปิดด้านข้าง ได้กลิ่นน้ำหอมสปอร์ตๆลอยมาถึงที่นั่งของผม ทำไมต้องดูดีขนาดนี้ด้วยวะ ไม่ยุติธรรมกับใจผมเลยสักนิด : (

“รอนานรึเปล่า” หมอกเป็นคนถามขึ้นมาก่อน ผมเลยรีบส่ายหน้า

“ไม่นานหรอก”

“เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง ไปหาอะไรกินกันก่อนแล้วกัน”

“ก็ได้ เริ่มหิวพอดี” ผมลูบท้องไปมา พอพูดถึงอาหารแล้วน้ำย่อยก็เริ่มหลั่งเลยนะ

“แถวนี้มีอะไรแนะนำรึเปล่า”

“ก็...น่าจะก๋วยจั๊บญวนล่ะมั้ง เห็นคนกินเยอะมาก อีกร้านก็โจ๊กลุงเฮง” ผมบอกเท่าที่จะนึกออกว่าแถวคอนโดผมมีอะไรน่ากินบ้าง หมอกนิ่งคิดสักพักก็ตอบผม

“งั้นลองก๋วยจั๊บญวนแล้วกัน”

หมอกว่าอย่างนั้นผมเลยบอกทางไปร้าน จนเมื่อมาถึงร้านและหาที่จอดรถได้ เราก็สั่งก๋วยจั๊บญวนคนละถ้วย หาโต๊ะว่างแล้วผมก็ตักน้ำมาสองแก้วให้ผมและหมอก

“ขอบคุณ”

หมอกว่า ผมยิ้มบางๆและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นไปพลางๆ จะได้เลิกสนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของสาวๆโต๊ะข้างๆ หรือเสียงกรี๊ดพร้อมซุบซิบที่โต๊ะด้านหลังสักที



“นั้นหมอกหรือควันอ่ะแก”

“ฉันคิดว่าน่าจะหมอกนะ ไม่ได้เจาะหู แถมมากับบลูด้วยอ่ะ”

“เออ แล้วสรุปว่าคู่นี้เขาคบกันเหรอวะ”

“ไม่รู้สิ เพื่อนเฉยๆแหละมั้ง แค่เคมีแม่งโคตรได้ ตามกันต่อไปค่ะ”



ผมขยับตัวอย่างอึดอัด รู้สึกทำตัวไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้ ต่างจากหมอกที่นิ่งสยบความเคลื่อนไหวทุกอย่าง จนเมื่อถ้วยก๋วยจั๊บมาวางอยู่ตรงหน้า พวกเราก็เริ่มกินทันที และผมก็รีบชิ่งจ่ายเงินก่อนที่หมอกจะจ่าย ไม่งั้นเขาคงจะเลี้ยงผมแน่ๆ

“ขอบคุณสำหรับค่าก๋วยจั๊บนะ”

“ถือว่าหายกันกับค่าเค้กครั้งก่อนแล้วกัน” ผมว่าอย่างนั้น หมอกเลยพยักหน้าเบาๆ

ใช้เวลาไม่นานจากร้านก็เข้ามาสู่เขตรั้วมหา’ลัย เหลือเวลาอีกสิบนาทีจะถึงเวลาเข้าเรียน รถเลยเริ่มเยอะเป็นพิเศษ เหล่านักศึกษาเดินอยู่ข้างทางกับเป็นแถบ ผมเลยบอกให้หมอกจอดลงที่ริมฟุตบาทที่ห่างจากตึกเรียนเกือบ 500 เมตร

“จอดตรงนี้แหละหมอก”

“ตรงนี้เหรอ...ไม่ไปจอดด้านหน้าตึกเลยล่ะ”

“เอาตรงนี้แหละ หมอกจะได้ยูเทิร์นออกจากคณะเราไปง่ายๆ”

“เอางั้นก็ได้”

หมอกค่อยๆชะลอความเร็วและจอดรถในที่สุด ผมรีบบอกลาและเตรียมลงจากรถ แต่เจ้าของรถก็ไม่ยอมปลดล็อกให้ผม ผมเลยหันกลับไปมองหมอกที่ยังคงนิ่ง

“เปิดประตูให้หน่อย”

“วันนี้ต้องไปซ้อมรึเปล่า” แต่หมอกกลับถามอีกคำถามขึ้นมา แทนที่จะปลดล็อกประตูรถให้ผม

“วันนี้ไม่ได้ไป แต่ต้องมาซ้อมการแสดงที่คณะ ทำไมเหรอ”

“แล้วเลิกกี่โมง”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงไม่เกินสองทุ่มมั้ง”

“เดี๋ยวมารับ ลงไปได้แล้ว” พอได้คำตอบที่ต้องการ หมอกก็ปลดล็อกประตูให้ผม

ผมลงจากรถและยืนรอจนกระทั่งหมอกขับออกไปแล้ว ผมถึงได้เดินเข้าตึกเรียนไป เดินเข้าห้องเรียนก็เจอว่านที่ยืนจังก้ารออยู่หน้าห้อง ผมมองมันด้วยสายตาสงสัย แล้วก็วางกระเป๋าลงที่โต๊ะเรียนพร้อมกับเสียงว่านที่ดังตามมา

“เมื่อกี้นี้อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะว่ามึงลงมาจากรถใคร”

“เห็นด้วยเหรอ” ผมถาม แปลกใจนิดนึงเพราะคิดว่าจอดห่างจากตึกเรียนขนาดนั้นแล้วว่านยังเห็นเหรอว่าผมมากับหมอก

“ก็เออสิ เห็นตั้งแต่ที่ร้านก๋วยจั๊บญวนแล้วนะว่ามึงไปกินกับใคร เห็นคนเต็มร้านกูเลยย้ายไปกินโจ๊กลุงเฮงแทน” ว่านทำหน้าเหนือ อมยิ้มล้อเลียน ผมเลยได้แต่อึกอักเพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไง

“จากที่กูตามเผือกในเพจต่างๆนี่สรุปแล้วตัวจริงของมึงคือหมอกไม่ใช่เพลิงใช่มั้ย” ว่านยังคงถามด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็น ผมเลยสั่นศีรษะอย่างรวดเร็ว

“ตัวจงตัวจริงอะไร ไม่มีหรอก”

“จ้า ตอนนี้ไม่มีอะไร แต่ในอนาคตนี่กูมั่นใจว่าเพื่อนกูต้อง sold out แน่นอน”



.
..
...




“การแสดงของคณะเราจะเอายังไงดี น้องบลูมีความสามารถพิเศษอะไรมั้ยเอ่ย”

พี่ๆในสโมสรกำลังช่วยกันคิดการแสดงช่วยผมกับแป้งอยู่ แป้งนั้นเธอจะเต้นโคฟเวอร์เพลงเกาหลี และทุกคนก็เห็นดีเห็นงามด้วย และพอคิดการแสดงฝั่งดาวเสร็จ ทุกคนก็หันมารุมทึ้งผมที่นั่งเงียบๆมานานทันที

“เออ...ผมพอจะเล่นกีต้าร์เป็นนิดหน่อยครับ”

“ร้องเพลงได้ด้วยรึเปล่า” พี่ปูเป้ถาม

“ก็พอได้ครับ”

“งั้นเอาเป็นโคฟเวอร์เพลงเป็นแนวอะคูสติกดีมั้ย” แป้งเสนอขึ้น ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันมามองผมเป็นตาเดียว

“ว่าไงน้องบลู”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”

และสุดท้ายผมมานั่งเลือกเพลงอยู่หน้าคอม พี่ๆให้เวลาหาเพลงมาเสนอ 1 ชั่วโมง แล้วคนอื่นก็ไปช่วยกันเลือกเพลงและดูท่าเต้นช่วยแป้งกันหมด

ผมนั่งเลื่อนเม้าท์ไปมา เข้าออกยูทูปสลับกับเปิดหาโน้ตเพลงเป็นว่าเล่น อยากจะลองร้องเพลงสากลดสักครั้ง แต่พอลองแล้วก็รู้สึกลิ้นเปลี้ย ร้องตามไม่ทันอีก เลยหันกลับมาซบอกที่เพลงไทยจนได้


เอาเพลงอะไรดีหว่า?


“หืมมม”

ผมเผลอร้องออกมาเมื่อสายตาหันไปเจอเพลงด้านข้างของยูทูป แค่เห็นชื่อเพลงก็สะดุดตาแล้ว พอฟังแล้วก็นึกได้ว่าสมัยก่อนเพลงนี้มันฮิตมากๆ และเนื้อร้องมันช่างเข้ากับตัวผมในตอนนี้เหลือเกิน

“น้องบลูได้เพลงที่อยากร้องรึยัง” พี่ปูเป้เดินมาถาม ผมพยักหน้าก่อนจะชี้ที่หน้าจอให้พี่ปูเป้ดู

“ผมจะร้องเพลงนี้ครับ”

“อ๋อ เพลงนี้เหรอ น่ารักดีนะ ว่าแต่เล่นได้ใช่มั้ย” พี่ปูเป้ถามเพื่อความแน่ใจ

“ได้ครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมจะกลับไปแกะคอร์ดและเริ่มฝึกเลยครับ”

ผมให้คำสัญญา พวกพี่ๆจะได้ไม่ต้องห่วงในส่วนของผมและไปดูแลฝั่งของแป้งที่น่าจะต้องซ้อมหนักกว่าผมเยอะเลย

“โอเคจ้า งั้นถ้าบลูมั่นใจว่าซ้อมเองได้งั้นกลับก่อนเลยก็ได้นะ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาดูกัน”

“ได้ครับ”

ผมยิ้มตอบพี่ปูเป้และลาทุกคน ตอนนี้เกือบจะสองทุ่มแล้ว ดีนะที่ผมบอกว่าจะกลับไปซ้อมที่ห้อง ไม่งั้นคงจะต้องซ้อมยาวๆที่คณะเหมือนกับแป้งแน่ๆ


ติ้ง~


เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นเมื่อผมเดินออกมาจากห้องสโมสรแล้ว เมื่อเห็นชื่อที่ทักเข้ามา ผมก็รีบเข้าไปตอบแชททันที

Kavi Worakul : ซ้อมเสร็จรึยัง กำลังจะออกไปรับแล้ว

Punnawit thanawatchai : เสร็จพอดีเลย เดี๋ยวเราไปรอที่เดิมเมื่อเช้านะ

หมอกส่งสติกเกอร์กลับมา ผมเลยเดินไปรอที่หน้าคณะที่หมอกมาส่งผมเมื่อเช้า ระหว่างทางผมก็คิดไปด้วยว่าระหว่างผมกับหมอกเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง เราสนิทกันถึงขั้นที่หมอกมารับมาส่งผมแล้วงั้นเหรอ ระยะเวลายังไม่ถึงเดือนที่ผมตัดสินใจลงสมัครเป็นเดือนคณะวิทยาศาสตร์ มันทำให้หมอกหันมาเห็นผมแล้วจริงๆด้วย


ผมสามารถเข้าไปอยู่ในวงโคจรของหมอกได้สำเร็จแล้ว


ยินยิ้มอยู่เพียงลำพังจนเมื่อไฟรถส่องเข้ามากระทบตา ผมก็หันไปมองรถต้นเหตุ เมื่อเห็นว่าเป็นรถคันคุ้นตาผมก็ยิ้มออกมาและเปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างในทันทีเมื่อหมอกปลดล็อกรถให้

“กินอะไรมารึยัง” เสียงทุ้มถามเมื่อค่อยๆเคลื่อนออกจากคณะ

“ยังเลย หมอกกินแล้วเหรอ”

“ยังไม่ได้กินเหมือนกัน ไปกินสุกี้ดีมั้ย” หมอกถาม และผมก็รีบตอบตกลงอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เราจะไปถึงห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุดในย่านนี้ เสียงโทรศัพท์ที่ไม่ใช่ของผมก็ดังขึ้น

“ใครโทรมา” หมอกถาม ผมเลยถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์ของหมอกที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาดู

“Smoky...ควันรึเปล่า” ผมอ่านชื่อที่เมมเอาไว้ แล้วเงยหน้าถามหมอก

“อืม รับให้หน่อย แล้วก็เปิดสปีกเกอร์ด้วยนะ”

ผมทำตามที่หมอกสั่ง แล้วยื่นโทรศัพท์ไปใกล้หมอกที่กำลังขับรถอยู่ นั่งนิ่งเงียบรอฟังบทสนทนาของทั้งคู่

“มีอะไร” หมอกกรอกเสียงไปยังอีกปลายทางหนึ่ง

[อยู่ไหนวะหมอก] เสียงที่ดังมาทางปลายสายนั้นช่างเหมือนกับคนที่นั่งอยู่ด้านข้างผมตอนนี้เหรอเกิน

“กำลังขับรถ ว่าจะไปหาอะไรกิน”

[งั้นเหรอ กูกลับมาถึงห้องแล้วไม่เหลืออะไรให้กินเลย มารับไปกินด้วยดิ เดี๋ยวอาบน้ำรอ]

“แต่กูมากับเพื่อนนะ”

[เพื่อนมึงก็เหมือนเพื่อนกูนั้นแหละ รีบๆมาเลย หิวจนจะกินหมีได้ทั้งตัวแล้วโว้ย]

ว่าแล้วควันก็ตัดสายไปทันที ผมเลยลดโทรศัพท์ลงแล้ววางไว้ที่เดิม ไม่รู้จะพูดอะไรกับหมอกเหมือนกัน ถ้าหมอกจะพาควันไปกินด้วยคงจะไม่เป็นไรมั้ง

“ถ้าพาควันไปกินด้วยจะโอเครึเปล่า”

หมอกถามเมื่อใกล้จะถึงทางแยกแล้ว ผมเกาหัวเก้อๆ แล้วทำไมเขาต้องถามความเห็นจากผมล่ะเนี่ย รถก็รถของเขา ควรจะเป็นผมมากกว่าที่ต้องเกรงใจทั้งหมอกแล้วก็ควัน

“โอเคสิ ทำไมถึงจะไม่โอเคล่ะ ไปรับควันก่อนเถอะ”

พอผมพูดอย่างนั้นหมอกก็ตีไฟเลี้ยวขวาและยูเทิร์นกลับไปทางเดิมที่เราพึ่งจากมา ผมรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆเมื่อคิดได้ว่าครั้งนี้ผมต้องไปที่คอนโดของหมอก และเผลอๆอาจจะได้ขึ้นไปที่ห้องของหมอกและควันด้วย

คิดเรื่อยเปื่อย จนในที่สุดหมอกก็ขับเข้ามาในคอนโดและจอดรถ ผมมองหมอกที่ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก็ปลดตามก่อนจะออกมาจากรถพร้อมกับหมอก

“ขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะ”

“อืม” ผมรับคำและเดินตามหมอกเข้าไปในคอนโดเงียบๆ ถึงจะตื่นเต้นขนาดไหนแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้

หมอกพาผมขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่ 9 และมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องหมายเลข 1 หมอกใช้บัตรสแกนเข้าที่หน้าประตูแล้วกดรหัสผ่าน ประตูห้องก็เปิดออกมา

ห้องของหมอกและควันมันกว้างกว่าที่ผมคิดเอาไว้อยู่พอสมควร ทั้งห้องเป็นโทนสีขาวดำ มีโซนนั่งเล่นที่มีจอทีวีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เยื้องไปด้านข้างเป็นมุมครัวที่ผมแอบเห็นว่ายังมีกองจานที่ยังไม่ล้างอยู่ 3-4 ใบ ถัดไปก็น่าจะเป็นห้องน้ำ และมีอีกสองห้องที่ซ่อนอยู่หลังบานประตู ถ้าให้ผมเดาก็คงจะเป็นนอนของหมอกและควันนั้นแหละ

“มาแล้วเหรอ แป๊บนะหาเสื้อใส่ก่อน”

ควันชะโงกหน้าออกมาจากห้องทางด้านซ้าย ใบหน้านั้นยังมีหยดน้ำเกาะพราว เส้นผมลู่ลงแนบกับใบหน้าขาว พอควันเห็นว่าผมยืนอยู่ด้านหลังหมอกก็ยิ้มให้ผม ผมเลยยิ้มตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ แล้วควันก็ปิดประตูห้องกลับไปเช่นเดิม ผมแอบเหลือบมองหมอกที่ส่ายหัวน้อยๆแล้วนั่งลงบนโซฟา ผมเลยนั่งตาม

“อยู่กับมันมาตั้งแต่เกิด เลยรู้นิสัยมันดีว่าอาบน้ำนานขนาดไหน” หมอกว่า แล้วหันไปทางห้องนอนของควัน

“แล้วหมอกอาบน้ำนานเหมือนกันรึเปล่า” ผมถาม อย่างน้อยถามเก็บเป็นข้อมูลไว้ก็ดี

“ฉันเหรอ...ไม่นานหรอก แล้วนี่หิวรึยัง”

“ไม่เท่าไร พอทนได้” ผมยิ้มให้หมอกไม่ต้องกังวล เราคุยกันอยู่ไม่นานประตูห้องนอนก็เปิดออก ควันขยี้ผมที่ยังชื้นอยู่ไปด้วยแล้วคว้ากระเป๋าเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมกับหมอกเลยลุกขึ้นเก็บของด้วย

“ไปกันเถอะ หิวสุดๆ” ควันว่าก่อนจะหันมาทางผมที่ยืนอยู่เงียบๆ รู้สึกทำตัวไม่ถูกเท่าไรแหะ

“ชื่อบลูใช่ป่ะ เราควันนะ แยกกับไอ้หมอกออกรึเปล่า” ควันชี้ระหว่างตัวเองและหมอกที่เดินนำหน้าพวกเราอยู่ ผมไม่อยากจะบอกหรอกว่าแยกมาได้ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วเหอะ

“เนี่ย ไอ้หมอกมันจะติ๋มๆหน่อย ตามันสองชั้นหลบใน แล้วก็จะชอบขี้เก๊ก ไม่รู้จะเก๊กไปไหน แล้วก็ถ้ามองดีๆนะ เราอ่ะหล่อกว่ามันเยอะ”

ควันยักคิ้วให้ผม ทำหน้าภูมิใจที่สุด ผมหลุดหัวเราะออกมาเพราะคิดไม่ถึงว่าควันจะเป็นคนอย่างนี้ นิสัยที่กวนๆพูดมากขนาดนี้มันค่อนข้างจะขัดกับลุคภายนอกไปอยู่มากพอสมควร

“หน้าก็เหมือนกัน ยังมาบอกว่าหล่อกว่ากู”

หมอกหันมาตบหัวควันทีเล่นทีจริง นั้นเลยทำให้ผมหัวเราะออกมาจริงๆ ขำสองแฝดที่ยืนตีกันอยู่ขณะรอลิฟต์ สุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนห้ามก่อนที่จะตีกันจริงจังเสียก่อน

ระหว่างทางจากคอนโดของหมอกมาถึงที่ห้างสรรพสินค้าหมอกก็ยังคงขับรถเงียบๆ ส่วนควันก็พูดไปเรื่อย บ่นเรื่องเรียนบ้าง เรื่องเพื่อนบ้าง บางทีก็หันมาคุยกับผมที่นั่งอยู่ด้านหลัง การกระทำของควันช่วยลดช่องว่างของพวกเราไปได้เยอะจนผมเริ่มคุยได้อย่างสนิทใจกับทั้งคู่แล้ว

เมื่อมาถึงที่ร้านสุกี้ ควันที่บอกว่าตัวเองหิวจนจะกินหมีได้ทั้งตัวก็ไม่ทำให้ผมและหมอกผิดหวัง เพราะควันเล่นสั่งเกือบทุกอย่างที่อยู่ในเมนูจนพนักงานจิ้มเมนูตามแทบไม่ทัน เมื่ออาหารวางเต็มโต๊ะ เราก็จัดการโยนทุกอย่างลงใส่หม้อสุกี้อย่างรวดเร็ว เร่งไฟจนสุดแล้วก็กินติ่มซำรอ

“กินเป็ดย่างมั้ย”

หมอกที่นั่งอยู่ข้างผมถาม ผมเลยพยักหน้าตอบตกลง แล้วเนื้อเป็ดก็มาวางอยู่ที่จานของผมทันที

“ป้อนด้วยเลยสิครับคุณหมอก” ควันที่นั่งตรงข้ามพวกเราส่งเสียง และคีบเนื้อเป็ดในจานขึ้นมาบ้าง “ถ้าไม่ป้อน เดี๋ยวกูป้อนเองน๊า”

“แดกเงียบๆไปเลยมึง”

หมอกพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆอย่างเคย ส่วนควันก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และกินเนื้อเป็ดชิ้นนั้นที่ยกขึ้นมาแกล้งผม



ส่วนผมน่ะเหรอ...หน้าแดงลามไปถึงหูแล้วมั้งตอนนี้อ่ะ T_______T







หลังจากเรากินสุกี้ด้วยกันเสร็จ ควันที่บ่นว่าของใช้ในห้องหมดแล้วก็ลากหมอกไปซื้อด้วยกัน ผมที่ติดสอยห้อยตามมาตั้งแรกก็ได้แต่เดินตามทั้งสองคนไปยังโซนซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย

“ยาสีฟันที่ห้องมึงหมดยังอ่ะ จะได้ซื้อไปเผื่อ” ควันหันไปถามหมอกที่ยืนเฝ้ารถเข็นไว้

“ซื้อๆมาเถอะ”

“เออ เดี๋ยวพี่ควันจัดให้”

พูดพร้อมกับชูแพคยาสีฟันใส่หน้าหมอกที่ยืนอยู่นิ่งๆด้วยจากนั้นก็โยนของที่หยิบมาใส่รถเข็น แล้วเดินตัวปลิวไปซื้อสบู่เหลว ยาสระผม กระดาษทิชชู่ ผงซักฟอก และอีกหลายอย่างที่ผมสาธยายไม่หมด รู้ตัวอีกทีของก็พูนจนเกือบล้นรถเข็น

พอเข็นไปจ่ายเงิน พนักงานที่คิดเงินเธอก็ทำหน้าฟินเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ยิ้มหน้าบานขณะที่คิดเงิน ส่วนสองแฝดที่ยืนอยู่ข้างๆผมเหมือนจะไม่ได้สนใจเท่าไรว่าคนรอบกายจะปลื้มปริ่มกับความหล่อแพคคู่ขนาดไหน จ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตเสร็จเราทั้งสามคนก็เดินกลับมาที่รถ ผมยืนมองดูหมอกและควันช่วยกันโยนของทั้งหมดใส่หลังรถเสร็จแล้ว เราถึงกลับจากห้างสรรพสินค้าได้ตอนที่ห้างเกือบจะปิดพอดี

“บลูรู้จักไอติมรึเปล่า...เดือนคณะแพทย์อ่ะ”

“รู้จักสิ...ดังจะตาย”

ควันชวนผมคุยเมื่อนั่งอยู่ในรถมาได้สักระยะ ผมนึกไปถึงคนที่ควันถาม ไอติม...เดือนคณะแพทยศาสตร์ ผมไม่ค่อยสนิทเท่าพวกเพลิง มาร์ช หรือเจ๋ง แต่ไอติมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ป๊อบมากๆในกองประกวด ผู้ชายอะไรทำไมถึงได้ดูนุ่มนิ่มไปทั้งตัวขนาดนั้น ไอติมตัวไม่สูงมากแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าตัวเล็ก เจ้าตัวมีใบหน้าเล็ก ดวงตากลม จมูกโด่งเป็นสัน ปากเป็นกระจับ ทุกอย่างบนใบหน้านั้นมันรับกันหมด พูดตามตรงว่าถึงผมจะชอบหมอกมาก แต่ไอติมนี่ผมก็ปลื้มไม่น้อยเลยทีเดียว

“เพื่อนสนิทเราเองแหละ อยู่ในกองประกวดก็ฝากดูแลมันหน่อยนะ มันยิ่งดูเปลี้ยๆอยู่ โชคร้ายที่ปีนี้พวกรุ่นพี่อยากได้เดือนแนวเกาหลีไปลงแข่งกับคณะอื่น หวยเลยตกไปอยู่ที่มัน”

ควันพูดขำๆ ผมฟังแล้วก็นึกถึงเพลิง รายนั้นก็โดนจับเป็นเดือนเพราะหมอกไม่ยอมประกวด ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง น่าจะซ้อมการแสดงที่คณะมันนั้นแหละ เก็บเป็นความลับขนาดนี้

เราคุยกันมาตลอดทางจนในที่สุดรถของหมอกก็จอดเทียบฟุตบาทเหมือนทุกครั้งที่เคยมาส่ง ผมบอกลาทั้งสองคนและลงมาจากรถ ยืนส่งเหมือนทุกครั้งที่มาด้วยกันจนเมื่อรถของหมอกหายไปจากกรอบสายตาผมถึงได้ขึ้นห้อง

เหมือนทุกวันที่ผ่านมา ผมอาบน้ำและใส่แว่นตา สวมรีเทนเนอร์แล้วนั่งลงที่หน้าคอมพิวเตอร์ แต่วันนี้มีสิ่งที่พิเศษกว่าทุกวัน ผมหยิบกระเป๋ากีต้าร์มา เช็คกีต้าร์ลูกรักที่ใช้เงินเก็บซื้อมาหัดเล่นสมัยมัธยม ปรับสายนิดหน่อยแล้วผมก็เข้ายูทูป ดูเพลงที่ผมเลือกใช้ในการแสดง และเริ่มเล่นคอร์ดแรกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ระหว่างนั้นผมก็เปิดหน้าเฟสบุ๊คไว้ด้วย ดูความเคลื่อนไหวของเพื่อนในโลกโซเชียลไปพลางๆ แล้วก็เห็นแจ้งเตือนล่าสุดเป็นของเพลิง มันทักมาในหน้าเฟสบุ๊คของผม คงจะสร้างกระแสอะไรอีกแล้วรึเปล่าเนี่ย



Plerng Palapol > Punnawit thanawatchai
Just now


ซ้อมที่คณะเหนื่อยมั้ยคะคนดี? อยู่ทางนี้เหนื่อยมากๆเลย


56 คนถูกใจ 10 คอมเมนต์ 3 แชร์

หืม? แล้วทำไมคนอื่นมากดไลค์ ถูกใจเร็วกันขนาดนี้ ติดดาวพวกผมสองคนไว้รึไง ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วพิมพ์ตอบมัน

Punnawit thanawatchai : ซ้อมหนักจนเป็นบ้าเหรอ?

Plerng Palapol
: หยอกให้บางคนมันหึงเล่น อิอิ




ใครกัน?



ผมไม่ได้สนใจคอมเมนต์ของคนอื่นที่เข้ามาแซวผมและเพลิง ในหัวยังคงคิดว่าใครกันที่กำลังหึงผมอยู่ ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเลย คงไม่ใช่อย่างที่ผมคิดหรอกมั้ง


อย่างหมอกน่ะเหรอ จะหึงผม...



อย่าสำคัญตัวเองเกินไปดิวะไอ้บลูเอ๊ยยยยย





tbc.

พี่ควันมารับเชิญเล็กๆน้อยๆพอกรุบๆ
อาจจะพูดมากผิดคาแรคเตอร์ไปนิด เดี๋ยวเรื่องตัวเองล่ะจะฮาไม่ออก5555
คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้กันหน่อยนะคะ
ตอนต่อไปมีสเปเชียลวันวาเลนไทน์มาเสิร์ฟแน่นอนค่าาา


หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 5 - หมอกและควัน หน้า 2 -- 12/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 12-02-2018 21:44:19
ควันน่ารักอ่ะ พูดมาก ร่าเริง อัธยาศัยดีเหลือเกิน คิดว่าจะแบด ๆ กวน ๆ เสียอีก
ตัวละครเพิ่มอีกหนึ่งละ ไอติม น้องบลูบรรยายซะรู้สึกได้ถึงความเด่นเลยอ่ะ จะมามีบทบาทยังไงน้อ
ว่าแต่ ควันจะมีเรื่องของตัวเองเหรอเนี่ย แล้วทำไมจะฮาไม่ออกล่ะ จะดราม่าเหรอ แง T^T
หมอกจ๋า คิดยังไงกับบลูก็บอกชัด ๆ ก็ดีน้า น้องบลูจะได้ไม่คิดว่า คิดเข้าข้างตัวเอง
สงสัยต้องให้เพลิงคอยกระตุ้นมากกว่านี้ซะแล้ว 555
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 5 - หมอกและควัน หน้า 2 -- 12/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 12-02-2018 23:03:00
ควันกับไอติมใช่หรือไม่
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 5 - หมอกและควัน หน้า 2 -- 12/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 12-02-2018 23:35:57
ควันนี่ดูเฮฮาไม่นิ่งเหมือนหมอก
เชียร์ให้หมอกสารภาพรักกะบลูสักที   
#ทีมหมอกบลู
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 5 - หมอกและควัน หน้า 2 -- 12/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 13-02-2018 00:35:38
ชอบควันอ่ะ พูดมากดี คู่กับไอติมหรือเปล่า
อันนี้ชิปเอง ใครจะขึ้นเรือไปกับเราบ้าง55
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 5 - หมอกและควัน หน้า 2 -- 12/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 13-02-2018 02:42:11
ควันพูดมากอ่ะ5555 ดูอัธยาศัยดี แตกต่างจากหมอกเลย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 5 - หมอกและควัน หน้า 2 -- 12/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Zeta ที่ 13-02-2018 18:01:52
ควันน่ารักกกกกกก
ดูสดใส ร่าเริงต่างจสกหมอกมากกก :laugh: :laugh:
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนพิเศษ - Happy Valentine's Day P.2 -- 14/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 14-02-2018 18:40:57



ตอนพิเศษ
สุขสันต์วันแห่งความรัก




“สุขสันต์วันแห่งความรัก ให้ใครต่อใครเขา

สุขสันต์วันแห่งความเหงา ให้เราที่ต้องเดียวดาย

วันนี้เป็นอีกปีแล้ว Bad Valentineeeeeeee”



เสียงของเพื่อนในห้องเรียนที่ร้องเพลงฮิตของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เหมือนทุกๆปีทำให้ร่างโปร่งในชุดนักเรียนที่นั่งอยู่หลังห้องมองยิ้มๆ

บลูหยิบหนังสือการ์ตูนโคนันขึ้นมาอ่านเล่น เพราะคาบนี้อาจารย์ทุกคนติดประชุมด่วน ทั้งโรงเรียนเลยไม่มีการเรียนการสอน เพื่อนๆหลายคนเลยใช้โอกาสนี้ในการหยิบดอกกุหลาบที่ซื้อมาจากหน้าโรงเรียนเอาไปให้คนที่แอบชอบ...หรือคนที่รัก

บลูมองเพื่อนผู้หญิงกลุ่มหนึ่งหน้าห้องที่ผลัดกันติดสติกเกอร์รูปหัวใจให้กันจนเริ่มเต็มเสื้อนักเรียน บางคนที่ดราม่าหน่อยก็เปิดเพลงเศร้าๆในวันแห่งความรักประชดชีวิตที่ยังไม่มีแฟนเหมือนคนอื่นเขา


ดูๆไปก็สนุกดี



บลูคิดอย่างนั้น


“บลู เอาเสื้อมา” เสียงแหบๆเรียกเขาที่กำลังนั่งมองเพื่อนๆอยู่ บลูหันไปมองก็พบว่าว่านกำลังถือแผ่นสติกเกอร์อยู่ตรงหน้า ร่างโปร่งไม่ได้พูดอะไร แล้วยื่นเสื้อให้ว่านที่แกะสติกเกอร์รูปหัวใจดวงที่ใหญ่ที่สุดแปะลงบนหน้าอกเขา

“ไม่มีแฟนก็ไม่เป็นไรนะมึง กูติดให้มึงแล้ว” ว่านพูดยิ้มๆ ก่อนจะตบที่อกเขาเบาๆ

“ขอบคุณที่ตอกย้ำกู” บลูว่า และทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

“แล้วนี่มึงไม่มีดอกกุหลาบเหมือนคนอื่นเหรอวะ ลงไปซื้อที่โรงอาหารมั้ย” ว่านชวน เพราะมองไปรอบโต๊ะก็ไม่เห็นว่าบลูจะมีดอกกุหลาบเหมือนคนอื่น แต่คนที่ถูกชวนก็รีบส่ายหน้า

“ไม่ซื้อหรอก เปลืองเงิน กูเอาเงินค่าดอกไม้ไปกินข้าวได้ตั้งมื้อนึง”

“คนไม่อินอย่างมึง ก็ไม่อินจริงๆสินะ”

ว่านพูดพร้อมกับผลักศีรษะเพื่อนด้านข้างเบาๆ บลูได้แต่ลูบผมแล้วคิดในใจคนเดียว


...ใครว่าเราไม่อินล่ะ...นี่อินสุดเลยเหอะ...




“ไปกินข้าวกันเถอะ”

ว่านดึงแขนบลูที่ยังคงเก็บของบนโต๊ะไม่เสร็จ แอบสงสัยว่าทำไมวันนี้บลูดูเฉื่อยมากผิดปกติ ทั้งๆที่เวลาพักเที่ยงทีไรพวกเขาทั้งสองคนจะวิ่งออกจากห้องเพื่อให้ไปถึงโรงอาหารเป็นคนแรกๆเสมอ แต่คราวนี้เพื่อนทั้งห้องเริ่มไปที่โรงอาหารกันแล้ว บลูก็ยังเก็บของไม่เสร็จสักที

“มึงไปกับพวกแดนก่อนเลยเถอะ เดี๋ยวตามไป” บลูบอกคนที่ยังยืนรออยู่ด้านข้าง

“อ่าว แล้วมึงไม่กินข้าวเหรอ” ว่านถามด้วยสีหน้างุนงง

“จะไปกินอยู่ แต่อาจารย์นพดลเรียกไปพบก่อนน่ะ”

“เอ้า! ก็ไม่บอกกูก่อน งั้นเดี๋ยวไปจองที่ไว้รอนะ รีบตามมาล่ะ” ว่าแล้วว่านก็รีบวิ่งออกไปจากห้องเรียนทันที

บลูมองจนว่านออกไปแล้วก็เผลอถอนลมหายใจเบาๆ รอจนกระทั่งห้องเรียนของเขาไม่เหลือใคร ฟังเสียงแล้ว ทั้งชั้นนี้ก็คงไม่มีใครอยู่แล้วเช่นกัน บลูถึงได้ลุกขึ้นแล้วเปิดกระเป๋าเป้ หยิบเอากล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีฟ้าออกมา เช็คความเรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่ห้องเรียนม.4/1 ซึ่งเป็นห้องของใครบางคน…

บลูเดินผ่านห้องม.4/1 อยู่ทุกวันและรู้ว่าโต๊ะตัวไหนเป็นของคนที่เขาแอบมองมาโดยตลอด บลูเดินไปอย่างไม่ลังเล แอบมองไปรอบๆโต๊ะก็แปลกใจว่าทำไมไม่มีของขวัญหรือดอกกุหลาบวางอยู่บนโต๊ะเลย

หรือเขาจะเป็นคนแรกงั้นเหรอ...

คิดได้ดังนั้นบลูก็แอบยิ้มเพียงคนเดียว และวางกล่องของขวัญที่เขาตั้งใจทำตั้งแต่เมื่อคืนลงบนโต๊ะนักเรียนตรงหน้า


สุขสันต์วันแห่งความรักนะหมอก...

   





.

..

...




“อ้าว หมอกจะไปไหนวะ”

เสียงของกลุ่มเพื่อนเรียกร่างสูงที่กำลังจะเดินถึงโรงอาหารแล้ว แต่ก็ชะงักไปเมื่อจับกระเป๋ากางเกงแล้วพบว่าไม่มีอะไรติดตัวเลย ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมาหาเพื่อนที่ยืนรออยู่หน้าโรงอาหารแล้วบอกให้เพื่อนเข้าใจ

“เข้าไปก่อนเลย กูลืมกระเป๋าเงินว่ะ เดี๋ยววิ่งไปเอาแป๊บ”

“เออๆ รีบไปรีบมา เดี๋ยวพวกกูจองโต๊ะไว้รอ”

พยักหน้าเสร็จก็รีบวิ่งไปที่อาคารเรียนอย่างรวดเร็ว สวนทางกับนักเรียนอีกหลายร้อยคนที่มุ่งหน้ามาโรงอาหาร สาวๆบางคนก็ตกใจ พยายามจะหยิบสติกเกอร์รูปหัวใจมาแปะเสื้อคนหล่อของโรงเรียน แต่หมอกก็ยกมือปฏิเสธเสียก่อน

“เดี๋ยวขอไปเอากระเป๋าเงินก่อนนะ เดี๋ยวค่อยไปติดที่โรงอาหาร”

พอพูดอย่างนั้นพวกเธอก็เหมือนต้องมนต์ รีบพยักหน้าและแหวกทางให้คนหล่อไปถึงที่หมาย หมอกวิ่งมาถึงชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นห้องเรียนของนักเรียนม.4 เดินมาด้วยความเหนื่อยแต่แล้วก็ต้องชะงักปลายเท้าที่หน้าห้อง เมื่อเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังทำอะไรลับๆล่อที่โต๊ะของเขาอยู่

ถ้ามาขโมยกระเป๋าเงินเขา หมอกจะจับให้ได้คาหนังคาเขาเลย คอยดูสิ

ร่างสูงไม่ได้เดินเข้าไปในห้องให้โจรตกใจ รอจนผู้ชายที่หันหลังให้เขาอยู่เดินจากไป หมอกก็รีบเดินไปที่โต๊ะ มองหากระเป๋าเงินเป็นอย่างแรกแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อพบว่ามันยังนอนแอ้งแม้งอยู่ใต้โต๊ะของเขา

หมอกรีบยัดกระเป๋าเงินใส่กระเป๋ากางเกง แล้วดวงตาเรียวก็มองกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีฟ้าอยู่บนโต๊ะของเขา หัวคิ้วเผลอขมวดโดนไม่รู้ตัวแล้วก็ยกกล่องของขวัญขึ้นมาดูด้วยความงงๆ


ของขวัญวันวาเลนไทน์งั้นเหรอ...


แปลก...ทำไมแหวกแนว เทศกาลนี้มันต้องสีชมพูไม่ใช่เหรอ...


หมอกไม่ได้คิดอะไรมาก โยนของขวัญใส่กระเป๋าเป้แล้วก็วิ่งกลับไปโรงอาหารอย่างรวดเร็ว เพราะคิดว่าเพื่อนๆคงจะรอเขาอยู่




ด้านบลูที่ไปกินข้าวแล้ว และกลับขึ้นห้องเรียนตอนเกือบบ่ายโมง ขณะที่เดินผ่านห้องม.4/1 ใจดวงน้อยก็กระตุกเมื่อเห็นว่าโต๊ะที่พึ่งแอบไปวางของขวัญที่เขาอุตส่าห์ตั้งใจทำมาทั้งคืน บัดนี้เต็มไปด้วยกองดอกไม้และของขวัญเต็มโต๊ะ ดวงตากลมสอดส่องด้วยความรวดเร็ว และก็ไม่พบของขวัญของตัวเองเลยว่าอยู่ตรงไหนของกองของขวัญบนโต๊ะหมอก

“มีอะไรวะบลู” เสียงของว่านดังด้านหลัง ร่างโปร่งที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องม.4/1 สะดุ้งเบาๆก่อนจะรีบส่ายหัวเร็วๆ

“ไม่มีอะไรๆ เข้าห้องเถอะ”

ว่านไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไร เดินกอดคอเพื่อนรักเข้าห้องเรียนของตัวเอง บลูแอบถอนหายใจพรืด การเรียนการสอนในช่วงบ่ายดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งเมื่อคาบสุดท้ายหมดลง ทุกคนก็รีบเก็บของและกลับบ้าน

บลูก็เช่นกัน...ร่างโปร่งเก็บของใส่กระเป๋าและเดินตามว่านออกจากห้องเรียน ในจังหวะที่ผ่านหน้าห้องม.4/1 ร่างโปร่งก็เผลอมองเข้าไปในห้องและพบว่ากองดอกไม้ที่เขาจำได้ว่าเป็นของหมอกแน่ๆนั้นวางอยู่ที่หลังห้องโดยที่ไม่มีใครสนใจ

จู่ๆหัวใจดวงน้อยรู้สึกเสียใจขึ้นมาดื้อๆ แค่คิดว่าของขวัญที่ให้หมอกไปแล้วอยู่ในกองดอกไม้ราวกับของไร้ค่าก็รู้สึกร้อนรอบดวงตาขึ้นมาซะงั้น เลยรีบก้มหน้าและเดินกลับบ้านให้เร็วที่สุด


แค่ให้ได้เขาก็พอแล้วไอ้บลู เขาจะเอาไปหรือไม่มันก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว อย่าไปหวังมากดิ





ด้านหมอกที่กลับมาถึงบ้านพร้อมกับควัน รายนั้นรีบเปลี่ยนชุดจนหล่อแล้วก็ไปดูหนังกับแฟนคนล่าสุดเรียบร้อย ส่วนหมอกก็วางกระเป๋าลงและเปลี่ยนชุดออกไปเล่นบาสเกตบอลเหมือนทุกวัน ไม่ได้รู้สึกว่าวันนี้มันพิเศษกว่าทุกวัน ดอกไม้และของขวัญที่เขาได้ หมอกก็แค่วางมันไว้ที่หลังห้องเรียนเพราะขี้เกียจหอบกลับบ้านให้ปวดแขน

พอเล่นบาสกับเพื่อนจนเสร็จ กลับมาถึงบ้านก็เป็นลูกมือช่วยแม่ทำอาหารเย็น เมื่อกินข้าวเสร็จหมอกก็ขึ้นห้องนอน อาบน้ำให้สดชื่นก็หยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมาเปิดเอาการบ้านขึ้นมาทำ แต่มือหนาก็ชะงักเมื่อพบว่าใต้หนังสือเรียนมีอะไรบางอย่างที่แปลกเกินกว่าจะเป็นหนังสือ

พอเห็นว่ามันคือกล่องของขวัญสีฟ้า ที่มันเรียบและบางจนคล้ายหนังสือ หมอกเลยเผลอหอบติดกระเป๋ากลับมาด้วย...พอนึกว่ามันเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ชิ้นเดียวที่เขาเอากลับมา หมอกเลยลองแกะดู

กรอบรูปลายไม้สีน้ำตาลปรากฏสู่สายตา ข้างในเป็นภาพของเขาที่ถ้ามองดีๆจะพบว่ามันมีภาพเล็กๆซึ่งเป็นภาพของเขาจากที่ต่างๆประกอบกันขึ้นเป็นใบหน้าของเขา

นึกทึ้งว่าคนๆนี้ต้องมีความพยายามขนาดไหนถึงสามารถทำอะไรที่มันละเอียดขนาดนี้ได้กันนะ

พอพลิกดูด้านหลังก็พบตัวหนังสือเล็กๆเขียนไว้ที่มุมกรอบรูป



‘ Happy Valentine’s Day for you
Foggy ’



หมอกอมยิ้มนิดๆ ไม่รู้ว่าเจ้าของที่แท้จริงคือใคร จำได้แค่ว่าเป็นผู้ชาย หน้าตาเป็นยังไงเขาก็ไม่รู้ ร่างสูงไม่ได้พยายามคิดว่าเขาคนนั้นเป็นใคร เพียงแค่ขอบคุณในใจสำหรับของขวัญชิ้นนี้และตั้งกรอบรูปไว้ที่หัวนอน มองอยู่อย่างนั้นสักพักก็หันไปสนใจการบ้านที่กองอยู่บนที่นอนแทน



วันวาเลนไทน์สำหรับหมอก...มันก็มีแค่นี้แหละ





tbc.

แน่นอนว่าเราไม่พลาดสำหรับวันนี้
ตอนนี้ย้อนเวลากลับไปตอนม.4 ตอนนั้นหมอกยังไม่รู้จักบลูเเลย (หรือว่ารู้จักแล้วน๊า)
คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ ขอบคุณค่าาา
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนพิเศษ - Happy Valentine's Day P.2 -- 14/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 14-02-2018 20:23:42
ง่าาาา น่ารักกก ถ้าบลูรู้ว่าหมอกเก็บของขวัญกลับมาต้องดีใจแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนพิเศษ - Happy Valentine's Day P.2 -- 14/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 14-02-2018 21:03:00
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนพิเศษ - Happy Valentine's Day P.2 -- 14/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Zeta ที่ 15-02-2018 00:10:48
บลูน่ารักกกกกกกกก แอบรักมาตั้งแต่ม.4เลยลูกกก
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนพิเศษ - Happy Valentine's Day P.2 -- 14/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-02-2018 09:35:02
โธ่ ตกใจนึกว่าหมอกจะรู้แล้วจับได้ตั้งนานแล้วว่าเป็นบลู
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนพิเศษ - Happy Valentine's Day P.2 -- 14/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 15-02-2018 21:53:10
 :-[
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 6 - ดอกกุหลาบสีแดง 12 ดอก P.2 -- 16/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 16-02-2018 20:36:54

บทที่ 6
ดอกกุหลาบสีแดง 12 ดอก




หลังจากวันนั้นที่ผมไปกินสุกี้กับหมอกและควัน ผมก็ไม่ได้เจอกับหมอกอีกเลย เพราะตอนนี้ผมกำลังยุ่งกับการประกวดดาว-เดือนที่กำลังใกล้เข้ามามากถึงมากที่สุด แต่ละวันผมต้องตื่นไปเรียน เสร็จแล้วก็ซ้อม ซ้อมที่กองประกวดเสร็จก็เที่ยงคืน แล้วต้องแบกร่างพังๆมาซ้อมการแสดงต่อที่คณะ ฝึกซ้อมตอบคำถาม กว่าจะเสร็จแต่ละวันก็ปาเข้าไปเกือบเช้า แล้วก็กลับไปอาบน้ำและมาเรียนต่อ


ชีวิตผมวนลูปอย่างนี้มาได้จะครบหนึ่งอาทิตย์แล้วครับ


ตาคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้าซะอีก...

แต่ถึงผมจะไม่ได้เจอหมอก แต่เราก็ยังแชทคุยกันบ้างประปราย เขาส่งข้อความมาให้กำลังใจผมอยู่ทุกวัน ราวกับเป็นน้ำหล่อเลี้ยงร่างกายชนิดเยี่ยมเลยทีเดียว

“มึง กูไม่ไหวแล้วว่ะ”

เพลิงหันมาร้องโอดครวญหลังจากที่เราซ้อมเดินแบบเสร็จ ผมตบหลังมันปุๆให้กำลังใจ ทั้งๆที่สภาพร่างกายผมก็ไม่ต่างจากมัน

“อดทนเอามึง พรุ่งนี้เราก็จะเป็นไทแล้ว”

ใช่ครับ พรุ่งนี้ก็ถึงวันงานแล้ว วันนี้เราเลยยิ่งซ้อมกันอย่างหนักหน่วง ดาว-เดือนจากทุกคณะมาซ้อมที่เวทีจริงที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้ เราซ้อมเดินและฟิกซ์ตำแหน่งเอาไว้บนเวทีใหญ่ ตอนนี้พวกพี่ๆกำลังลองเช็คเสียงลำโพง และพวกแสงสีไฟบนเวทีอยู่ พวกผมถึงได้นั่งพักกันสักที

“พรุ่งนี้กูขออย่างเดียวว่าอย่าให้กูได้ตำแหน่งอะไรเลย กูไม่อยากทำอะไรแล้ววว พอแล้วววว”

เพลิงว่าแล้วก็นอนแผ่ลงบนพื้นโดยไม่สนว่ามันจะสกปรกขนาดไหน หัวของมันพาดลงที่ต้นขาของผมและใช้แทนหมอน ผมมองอย่าเอือมๆและก็ภาวนาให้ผมไม่ได้ตำแหน่งอะไรเช่นกัน เพราะถ้าได้ตำแหน่งปุ๊บ งานทุกอย่างของมหา’ลัย ก็จะต้องมากองอยู่ตรงหน้า ปฏิเสธที่จะทำก็ไม่ได้อีก


Rrrrrrrrrrr


เสียงร้องโทรศัพท์ที่ไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น เพลิงขยับตัวนิดหน่อย แล้วหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงมาสไลด์รับโทรศัพท์

“ฮัลโหล...เออ ซ้อมอยู่ที่เวทีจริง...ใช่...ถามทำไม...คิดถึงหรา...มันอยู่กับกูเนี่ย...อยากคุยหรอครับเพื่อนนนนน”

ผมมองเพลิงด้วยสายตางุนงงเมื่อเพลิงยกโทรศัพท์ขึ้นมาให้ผม แล้วมันก็ทำหน้าเป็นเชิงว่าให้ผมรับไปคุย

“อะไร” ผมถาม

“รับไปคุยเหอะหน่า เพื่อนกูอยากคุยด้วย”

ผมรับโทรศัพท์ที่เพลิงแทบจะยัดใส่มือผม แนบโทรศัพท์กับหูแล้วกรอกเสียงลงไป

“เออ...สวัสดีครับ”

[เป็นไงบ้าง]

น้ำเสียงทุ้มที่คุ้นเคยตอบกลับมา ทำให้หัวใจของผมมันเต้นรัวเร็วอย่างช่วยไม่ได้

“มะ...หมอก...หมอกเหรอ”

[อืม...ซ้อมหนักรึเปล่า]

“ก็หนักอยู่” ผมว่า กลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะไม่เคยคุยกันผ่านโทรศัพท์แบบนี้เลย

[สู้ๆแล้วกันนะ]

“ขอบคุณ...เออ...พรุ่งนี้จะมาดูมั้ย” ผมถามเสียงแผ่วเบา ไม่สนสายตาเพลิงที่กำลังทำหน้าล้อเลียนอยู่

[ไปสิ หาฉันให้เจอก็แล้วกัน]

“อืม...แล้วจะรอนะ”

ผมว่า และหมอกก็ตอบรับ เราคุยกันอีกนิดหน่อย หมอกก็วางสาย ผมเลยคืนโทรศัพท์ให้เพลิงที่ยิ้มล้อเลียนผมสุดๆ

“พรุ่งนี้จะมาดูมั้ย...แล้วจะรอนะ” เพลิงแกล้งบิดเสียงเล็กๆแล้วก็อปประโยคที่ผมพึ่งพูดเมื่อครู่ ผมเลยอดไม่ไหวบิดแขนมันอย่างแรงจนมันร้องโอดโอย วิ่งเหยงๆไปหามาร์ชกับเจ๋งแทน แต่ไม่วายยังแลบลิ้นปลิ้นตาให้ผม

“เหม็นความรัก!”

มันว่าอย่างนั้นแล้วหัวเราะดังลั่น ทิ้งผมที่นั่งหน้าแดงไว้ที่เดิม อย่างให้ถึงตาผมเอาคืนบ้างนะ จะล้อจนไปไหนไม่ได้เลย หื้ม!




.
..






และแล้ววันที่พวกผมรอคอยก็มาถึง วันนี้ตอนเช้าพวกเราทั้งหมดก็มาซ้อมเดินแบบ และรันคิวทุกอย่างอีกครั้ง เมื่อซ้อมเสร็จ พี่ปูเป้ก็พาผมและแป้งไปแต่งหน้า แต่งตัวยกใหญ่ เปลี่ยนหมีแพนด้าสองตัวให้กลับสภาพมาเป็นคนได้ในที่สุด ชุดแรกที่ใส่คือชุดนักศึกษา เลยแต่งไม่ยากมากนัก พอแต่งตัวเสร็จผมเลยของีบสักพัก เพราะเหลือเวลาอีกสองชั่วโมง งานทุกอย่างถึงจะเริ่ม


“เป็นไงบ้างแป้ง สวยจังเลย”

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ผมลืมตาก็เห็นว่าเป็นว่านที่กำลังดูแป้งแต่งหน้าอยู่ ก่อนที่มันจะเห็นผมและเดินเข้ามาหา

“เพื่อนบลู วันนี้มึงหล่อสุดๆไปเลยนะสัส”

“ขอบคุณที่อุตส่าห์ชมกู” ว่าแล้วก็รับขนมปังที่ฝากว่านซื้อมา แล้วก็ฉีกซองเพื่อกิน

“เออ...กูกับเพื่อนในสาขารวบรวมเงินซื้อดอกกุหลาบมาแล้วนะ เห็นตอนแรกนี่กูถึงกับทำตัวไม่ถูก กองประกวดแม่งเล่นใหญ่สุด”

“ทำไมเหรอ” ผมถามอย่างสนใจ ก็พอจะรู้มาบ้างว่ารางวัลป๊อบปูล่าร์ต้องซื้อดอกกุหลาบให้ แต่ก็อยากรู้ว่ากองประกวดเล่นใหญ่อย่างไร

“ตอนพวกกูไปซื้ออ่ะมึง แม่งมีดอกกุหลาบใส่ถังใหญ่ๆวางเรียงอยู่ห้าสี มีสีแดง ชมพู เหลือง ขาว แล้วก็ส้ม มีความหมายของดอกแต่ละสีแปะไว้ด้วยนะ ยังไม่พอ มีบริการห่อเป็นช่อให้อีกถ้าซื้อมากกว่าหนึ่งดอก”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถามทึ่งๆ

“ก็เออน่ะสิ กูนึกว่าวันวาเลนไทน์ซะอีก แต่ขายดอกล่ะ 50 บาท ผู้ชายที่ไหนจะซื้อไปให้คนที่ชอบกัน ขูดเลือดขูดเนื้อชิบหาย”

“เอาน่า อย่าไปบ่นเลย เขาก็หารายได้เข้ากองประกวดนั้นแหละ”

ผมว่าอย่างนั้นก่อนจะลุกขึ้นเพราะพี่หมิวที่เป็นช่างแต่งหน้าเรียกให้ผมไปเติมแป้ง และเตรียมตัวได้แล้ว เพราะต้องไปรวมตัวกับคณะอื่นแล้วตอนนี้



ตอนนี้งานเริ่มแล้ว ผมที่ยืนอยู่หลังเวทีได้แต่ถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น ได้ยินเสียงกรี๊ดดังอยู่ตลอด จนเมื่อพิธีกรแนะนำผู้เข้าแข่งขันแต่ละคณะ ผมก็ถูกทีมงานพาไปยังที่บันได สูดลมหายใจเข้าลึกๆและฟังเสียงพิธีกรไปด้วย

“หมายเลข M06 นาย พลพล  เพลิงพานิชย์ จากคณะนิติศาสตร์”

ผมแอบมองเพลิงที่เดินขึ้นไปบนเวที เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มต้อนรับมันอย่างอบอุ่น แล้วไอ้เพลิงก็โปรยรอยยิ้มอยู่เรื่อยๆ ผมบอกได้เลยว่าสาวๆหน้าเวทีต้องละลายอ่ะ

“หมายเลข M07 นาย เหมันต์  วัฒนาวุฒศกุล จากคณะแพทยศาสตร์”

ไอติม...ขวัญใจหลายๆคนทั้งในกองประกวดและคนทั้งมหาวิทยาลัย ผมมองเดือนคณะแพทย์ที่เดินออกไปด้วยท่าทางคล่องแคล่วมั่นใจ เสียงกรี๊ดดังอย่างต่อเนื่อง รอยยิ้มของไอติมมันสว่างไสวมาก ผมยังชอบเลย...

“หมายเลข M08 นาย ปุณณวิช  ธนาวัฒน์ชัย จากคณะวิทยาศาสตร์”

ในขณะที่กำลังหลงใหลกับรอยยิ้มของไอติม ผมก็โดนเรียกชื่อให้เดินออกไป เมื่อได้สติผมก็สูดลมหายใจและเดินออกไปกลางเวทีตามที่ซ้อมมามากกว่าร้อยรอบ พอได้มายืนอยู่กลางเวที แสงไฟ สปอร์ตไลท์ก็ส่องเข้ามายังผม เสียงกรี๊ดของผู้คนรอบเวทีทำให้ผมไม่ได้ยินเสียงดนตรี แต่ผมก็ตั้งสติและเดินไปเรื่อยๆตามที่ซ้อม ไม่ลืมที่จะยิ้มให้ดูหล่อที่สุดเท่าที่จะหล่อได้ จนเมื่อเดินมายืนข้างไอติมแล้วผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พิธีกรก็ประกาศหมายเลขต่อจากผม

รอจนประกาศทั้งดาวและเดือนเสร็จ ผมก็ได้กลับไปหลังเวที รีบวิ่งไปเปลี่ยนชุดที่ใช้สำหรับทำการแสดง ผมได้แสดงลำดับที่ 8 ตามหมายเลขของผม เลยไม่ค่อยเร่งรีบเท่าไร ผมเปลี่ยนจากชุดนักศึกษาเป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงสแลคสีดำ มีผ้าพันคอเล็กๆเป็นกิมมิค พี่ช่างทำผมมาเซ็ทผมให้เปิดหน้าผาก โชว์กรอบหน้าเต็มๆ เติมแป้ง เติมลิปจนเสร็จ ก็เอากำไลผ้าที่ตกแต่งด้วยดอกไม้มาใส่ที่ข้อมือด้านขวาผม

“เหมือนเจ้าชายน้อยมากๆเลยน้องบลู” พี่ปูเป้ยิ้มกว้าง ถ่ายรูปผมรัวๆ

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ขนาดนั้นเลยจ๊ะ ไปกันเถอะ จะถึงคิวเราแล้ว”

ผมเลยหยิบกีต้าร์ลูกรักขึ้นมา ถือมันออกมาจากห้องแต่งตัว ตอนนี้ไอติมกำลังทำการแสดงอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้ดูว่าไอติมกำลังแสดงอะไรเพราะพี่ปูเป้นั้นเช็คความเรียบร้อยของผมจนนาทีสุดท้าย ได้ยินเสียงปรบมือเกรียวกราว ไอติมคงจะแสดงเสร็จแล้วแน่ๆ

“พร้อมมั้ยน้องบลู” พี่ปูเป้ถามอีกรอบ ตอนนี้ผมได้ยินเสียงพิธีกรประกาศชื่อการแสดงของผมแล้ว

“พร้อมครับ”

ผมหายใจเข้าลึกและถือกีต้าร์เดินขึ้นเวทีไปในความมืด นั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเอาไว้ก่อนที่ไฟสีฟ้าจะสว่างวาบขึ้นเมื่อผมเริ่มดีดกีต้าร์คอร์ดแรก


“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”


เสียงกรี๊ดดังสนั่นฮอล ผมยิ้มให้กำลังใจตัวเอง มองขาตั้งไมค์ที่มีดอกไม้ประดับประดา แท่นที่ผมนั่งก็มีดอกไม้ตกแต่งเอาไว้ ผมยิ้มแล้วดีดกีต้าร์ช้าๆ ทุกคนก็เริ่มเงียบลงรอผมเริ่มทำการแสดง

“ใครร้องได้ก็ช่วยผมร้องด้วยนะครับ” ผมพูดผ่านไมค์แล้วเริ่มเล่นทำนองเพลงที่ฝึกซ้อมมาตลอดหนึ่งอาทิตย์



เช้าแล้ววันนี้ยังไม่สาย

ตื่นมาก็ร้องเพลงถึงเธอ

ท่องเอาไว้ตัวโน๊ตอย่าให้หาย

กลั่นมาจากหัวใจ

ขอให้เธอโปรดฟังนะคนดี



ผมกวาดสายตามองไปรอบๆฮอล มองหาคนที่สัญญากับผมไว้ว่าจะมาดู และผมก็เห็นเขาแล้ว...ท่ามกลางผู้คนมากมาย ผมเห็นเขาคนนั้นใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ยืนมองผมอยู่ไกลๆ ผมยิ้มออกมาและร้องเพลงต่อไปตามที่ซ้อมมา



ไม่รู้ตอนนี้เธออยู่ไหน

ไม่รู้ว่าหัวใจของเธอคิดถึงใคร

รู้ไหมว่าฉันก็หวั่นไหวก็ภายในหัวใจ

ฉันคิดถึงแต่เธอนะคนดี



สายตาของผมยังคงมีเพียงแต่เขา เพลงที่ผมพยายามจะสื่อสารไปถึงเขาคนนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะรับรู้ได้รึเปล่า แต่ผมก็ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว...



ในความจริงฉันไม่อาจรู้เลย

แม้ว่าเธอนั้นไม่รู้จักฉันสักหน่อย

แต่ฉันก็แอบชอบเธอไม่ใช่น้อย

หัวใจฉันยังเฝ้ารอ และเฝ้าคอย

เฝ้าคอยให้เธอหันมา


ตลอดเวลาสามปีสมัยมัธยม เพลงนี้คงจะแทนความรู้สึกผมได้ดีที่สุด คนที่ได้แต่อยู่ในมุมมืด มองเขาเงียบๆโดยไม่ทำอะไร จนถึงตอนนี้ที่ผมเข้าไปอยู่ในวงโคจรของเขาได้ทีละนิดๆ ผมก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา



บอกกับฉันสักนิดได้ไหม

ว่าเธอก็คิดอยู่หน่อยหน่อย

ว่าเธอก็แอบชอบฉันไม่ใช่น้อย

ให้ใจฉันได้ชื่นฉ่ำ เมื่อเฝ้าคอย

เฝ้าคอยให้เธอหันมา

มองฉันสักที



เพลงจบลงแล้ว ได้ยินเสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือดังทั่วฮอลผมก็ดีใจ ผมยิ้มกว้างและโค้งขอบคุณทุกคนที่ช่วยผมร้องจนจบเพลง พี่ๆที่คอยลุ้นอยู่ด้านหลังกอดผมแน่นที่ทำการแสดงผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นผมก็ได้พักระหว่างรอให้ทุกคนแสดงเสร็จ และผมก็แต่งด้วยชุดเป็นทางการเพื่อเดินโชว์ตัวอีกครั้ง คราวนี้ผมได้รับเสียงกรี๊ดที่ดังมากกว่าเดิม แล้วก็ถึงช่วงที่ให้ดอกกุหลาบเพื่อวัดความป๊อบปูล่าร์

ทุกคณะยืนเรียงหน้ากระดาน มีสตาฟรอเก็บดอกไม้อยู่ด้านหลัง พอพิธีกรประกาศว่าเริ่มให้ดอกไม้ได้ ทุกคนก็ค่อยๆทยอยให้ดอกไม้ดาว-เดือนที่ตัวเองชื่นชอบ

ผมยิ้มกว้างและรับดอกไม้จากทุกคนที่เอามาให้ผม เพื่อนๆในคณะและในสาขาถือมาให้ผมกันคนละดอกสองดอก ผมขอบคุณทุกคน และรับดอกไม้จากว่านที่มันพยายามจะเอามาให้ผมให้ได้ แม้ว่ามันจะถูกเบียดเป็นปลากระป๋องขนาดไหน

“ขอบคุณมึงมาก”

ผมมองช่อดอกไม้ในมือที่ว่านมันคงลงทุนไปซื้อเป็นช่อใหญ่ทั้งๆที่มันพึ่งบ่นกับผมเมื่อตอนเย็นว่ามันแพงขนาดไหนแต่มันก็ยังซื้อให้ผม

“มึงแม่งโคตรฮอตไอ้บลู ร้องเพลงเมื่อกี้ตกสาวๆไปเยอะเลยสัส”

ว่านรีบพูดและออกไปเพราะมีอีกหลายคนที่รอยื่นดอกไม้ให้กับมือ ผมรับดอกไม้และขอบคุณทุกๆคนไม่หยุด

“เหลือเวลาอีก 1 นาทีสุดท้ายแล้ว รีบๆกันหน่อยนะคะ” พิธีกรประกาศ แต่แถวของผมยังคงไม่ลดลงเลยสักนิด

“30 วินาทีสุดท้ายแล้วค่ะ”

ผมได้ยินเสียงประกาศ พยายามรับดอกไม้ให้ได้มากที่สุด แล้วจู่ๆแถวของผมก็โดนแหวก ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่กำลังต่อคิวให้ดอกไม้ผมอยู่แหวกทางออกให้คนคนหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้

ผมมองผู้ชายในเชิ้ตสีขาวที่ผมมองตลอดการแสดง เขายื่นช่อดอกกุหลาบสีแดงให้ผม เหมือนนาฬิกาหยุดหมุน และผมมองเห็นเพียงแค่คนที่ยืนยิ้มให้ผมที่ด้านล่างเวที ผมไม่สนว่าจะมีใครมองมาที่พวกเราสองคนและยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป แม้แต่เสียงกรี๊ดที่ดังอยู่รอบๆก็ไม่สามารถดึงความสนใจของผมไปได้

“ยินดีด้วยนะ” เขาพูด...

“ขอบคุณนะหมอก”

“หมดเวลาแล้วค่ะ!”

ผมรับช่อดอกกุหลาบมา และเสียงพิธีกรก็ประกาศหมดเวลาให้ดอกไม้พอดิบพอดี ผมถือช่อกุหลาบของหมอกไว้เอง ไม่ได้ส่งให้พี่สตาฟเอาไปเก็บ พิธีกรยังคงพูดต่อไป แต่สายตาของผมยังมองอยู่แค่เพียงหมอกที่กลับไปยืนอยู่ด้านหลังเช่นเดิม จนท้ายที่สุดผมก็ลงจากเวทีเพื่อกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษาอีกครั้งเพื่อมารอประกาศผลผู้ผ่านเข้ารอบ 5 คนสุดท้าย

“ไม่วางช่อดอกไม้หน่อยเหรอจ๊ะ” พี่ปูเป้ถามยิ้มๆ ผมเลยวางช่อกุหลาบของหมอกไว้ข้างกีต้าร์ของผม

“ไปสแตนบายด์รอที่ข้างเวทีก่อนเถอะ เดี๋ยวกุหลาบช่อนี้พี่จะดูแลให้อย่างดีเลยจ๊ะ”

พี่ปูเป้ว่าอย่างนั้น ผมเลยพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปรอข้างเวทีพร้อมแป้ง และพิธีกรก็ประกาศให้เราขึ้นไปยืนที่เวทีเพื่อประกาศรางวัลต่างๆ

“คนที่ได้รับดอกกุหลาบมากที่สุดและคนที่ทำการแสดงได้ดีที่สุดจะได้เข้ารอบ 5 คนสุดท้ายโดยอัตโนมัตินะคะ และก็มาถึงรางวัลป๊อบปูล่าร์ในค่ำคืนนี้ มาเดากันสิคะทุกคน”

พิธีกรพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ผมก็พลอยตื่นเต้นตามไปด้วยเลย

“เราจะประกาศดาวก่อนแล้วกัน ฝั่งดาวที่ได้ดอกกุหลาบมากที่สุดในคืนนี้ ได้ไปถึง 257 ดอกเลยทีเดียว...และคนที่ได้รับรางวัลนี้ก็คือ...น้องน้ำหวานจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ค่า”

โหหหห ตัวเก็งดาวปีนี้เลยอ่ะ เธอสวยมากจริงๆนะครับ ผมปรบมือเปาะแปะ มองเธอที่เดินไปรับสายสะพายและถ่ายรูป ก่อนจะไปยืนที่จุดสำหรับ 5 คนสุดท้าย

“มาต่อกันที่เดือนบ้างค่ะ ปีนี้เดือนของเราฮอตมากๆ สตาฟแบกดอกไม้กันแทบจะไม่ไหวเลยทีเดียว และคนที่ได้ดอกกุหลาบมากที่สุดได้ไปถึง 303 ดอกเลยค่ะ”

“โหหหหหหหหหห” เสียงคนในฮอลก็ตกใจไม่แพ้กัน 303 ดอก ดอกละ 50 บาท คิดเป็นเงินที่กองประกวดได้ก็ 15150 บาทเลยอ่ะ

“และเดือนที่ได้ดอกกุหลาบมากที่สุดในปีนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...น้องบลู จากคณะวิทยาศาสตร์ค่า”

เสียงพิธีกรเรียกชื่อผมพร้อมกับเสียงกรี๊ด ผมเดินงงๆไปที่กลางเวที ยกมือไหว้ทุกคนและสวัสดีอาจารย์ที่มามอบรางวัล ใส่สายสะพายเสร็จผมก็เดินขาสั่นๆไปยืนข้างน้ำหวาน

การประกาศรางวัลยังคงดำเนินต่อไป ในส่วนของการแสดง แป้งก็ได้ที่ 1 ฝ่ายดาว ส่วนฝ่ายเดือนเป็นของเพลิงที่แสดงรำมวยไทย โชว์ซิกแพคจนคนกรี๊ดฮอลเกือบร้าว จนเมื่อประกาศครบทุกคนที่ผ่านเข้ารอบแล้ว พวกผมก็ลงไปเตรียมตัวหลังเวทีเพื่อกลับมาเตรียมตอบคำถาม

ผมได้ตอบเป็นคนแรก ด้วยความตื่นเต้นมาก คำถามที่พิธีกรถามนั้นโชคดีที่มันเหมือนกับที่เตี๊ยมมา เลยทำให้ผมตอบผ่านไปได้อย่างหวุดหวิด ยืนรอจนตอบคำถามกันครบทุกคน พิธีกรก็ให้เราลงไปพักอีกครั้ง เพื่อที่จะได้รวบรวมคะแนน

“กูว่ามึงได้แน่เลยไอ้เพลิง ตอบแม่งโคตรดี” ผมทักมันขณะที่พวกเรารอกลับไปบนเวทีอีกครั้ง

“ไม่ว่ะ กูว่าไอติมน่าจะได้ ตอบแบบมันเอามงไปเหอะ” เพลิงมันมองไอติมที่ยืนอยู่เงียบๆ ไอติมก็ตอบดีเช่นเดียวกัน ผมว่างั้นนะ

“แล้วดอกไม้ช่อนั้นอยู่ในเหรอครับ แกรนด์โอเพนนิ่งเหี้ยๆ” เพลิงถามแซวๆ ผมขมวดคิ้วนิดนึง

“ดอกไม้อะไร”

“เอ้า! ก็ดอกไม้ไอ้หมอกไง กับเพื่อนกับฝูงมันเอามาให้กูแค่ดอกเดียว ยัดใส่มือกูเสร็จมันก็หายไปเลย รู้ตัวอีกทีคนก็กรี๊ดทั้งฮอล กูเลยเห็นว่ามันกำลังยื่นดอกไม้ช่อใหญ่ให้มึงอยู่ไง”

“ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นสักหน่อย” ผมเกาแก้มแก้เขินเบาๆ พูดไม่ออกเลยอ่ะ

“ไม่ได้ใหญ่ห่าอะไร ใหญ่สุดในงานแล้วเหอะ”

เพลิงมันว่า ก่อนที่ผมจะได้ตอบ พี่ๆก็เรียกเราขึ้นไปบนเวที ผมสูดลมหายใจลึก เดินขึ้นไปตามหมายเลขของเรา ยืนรอประกาศผลเรื่อยๆ และผลสุดท้ายในคืนนี้ก็คือผมได้รองชนะเลิศอันดับสอง ไอติมได้รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ส่วนเดือนมหา’ลัยในปีนี้ ก็กำลังยืนหน้ายิ้มอกตรมอยู่

ก็ไอ้เพลิงมันเคยบ่นเอาไว้ว่าไม่อยากได้ตำแหน่ง เพราะไม่อยากรับงานอีกแล้ว เป็นไงล่ะ สมพรปากมึงเลย ได้ตำแหน่งใหญ่สุดในคืนนี้เลยนะ


หลังจากเลิกงาน ผมก็ถูกพี่ๆและเพื่อนๆบูมให้ รู้สึกได้เติมเต็มพลังหลังจากที่ซ้อมอย่างเหน็ดเหนื่อยมาร่วมเดือน ต้องขอบคุณทุกๆคนที่เคี่ยวเข็ญจนผมมายืนถึงจุดนี้ ขอบคุณเพื่อนๆที่ให้กำลังใจผมมาตลอด ถ้าไม่มีพวกมันผมก็คงไม่มีกำลังใจมากขนาดนี้ แสดงความยินดีกันเสร็จผมก็หอบร่างพังๆของตัวเองกลับห้องได้สำเร็จ

ผมกลับมาถึงห้องเป็นเวลาตีสาม แทบจะสลบไปแล้วถ้าไม่ติดว่าต้องเช็ดเครื่องสำอางทั้งหมดออก ผมอาบน้ำเสร็จก็เอากีต้าร์เก็บเข้าที่เดิม และสายตาก็มองเห็นช่อดอกกุหลาบที่ผมถือติดมือกลับมาด้วย

ความจริงผมจะเอากลับมาทั้งหมด 303 ดอกเลยก็ได้ แต่เอามาทั้งหมดผมก็คงไม่มีที่นอน เลยเอามาเพียงแค่ช่อเดียวเท่านั้น...ช่อที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาดอกกุหลาบทั้งหมด


ผมมองช่อดอกกุหลาบสีแดงที่หมอกให้ นับดูก็พบว่ามันมีทั้งหมด 12 ดอก มันมีความหมายว่าอะไรหว่า?


คิดได้ดังนั้นเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดเข้ากูเกิ้ลและค้นหาความหมายของสีกุหลาบและจำนวนดอกที่ได้

“ดอกกุหลาบสีแดง...”

ผมพึมพำและคลิกอ่านความหมายของมัน และมันก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ



ดอกกุหลาบสีแดง ไม่ว่าจะเป็นดอกกุหลาบ สีแดงอ่อน หรือสีแดงสด บ่งบอกถึงการตกหลุมรักหรือแอบปลื้มใครซักคน เป็นสื่อแทนใจเพื่อจะบอกให้รู้ว่ามีคนกำลังแอบปลื้มอยู่



“จำนวน 12 ดอก...”

พอได้อ่านความหมายของจำนวนดอกกุหลาบที่ผมได้แล้ว ผมก็คิดว่าผมคงจะตัวระเบิดในไม่ช้าแน่ๆ



ดอกกุหลาบ 12 ดอก หมายถึง ฉันรักเธอ เธอก็รักฉัน เรารักกัน






tbc.

ตอนนี้บอกเลยว่าตายยยยยยยย
เพลงที่บลูร้องคือเพลง แอบชอบ - ละอองฟอง นะคะ เปิดคลอวนไปปป

วันนี้เรามีเรื่องจะมาแจ้งเกี่ยวกับการอัพนิยายนะคะ อ่านกันหน่อยน๊า
ต่อไปเราจะอัพนิยายช้าลงนะคะ จะขอปรับเป็นลงนิยายเต็มตอนทุกวันจันทร์และวันศุกร์
ในเด็กดีอาจจะทยอยอัพแบบ 50% ไรงี้นะคะ แต่ในเล้าจะอัพทีเดียวเต็มตอนเลยเน้อ
สองอาทิตย์ที่ผ่านมาเราอัพถี่มาก แทบจะวันเว้นวันจนตอนนี้นิยายกำลังจะหมดสต็อก
ตอนนี้เราก็พยายามจะปั่นนิยายเรื่อยๆ บวกกับเราต้องอ่านหนังสือด้วย
เลยต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือบ้างเลยทำให้แต่งนิยายได้ช้าลง ;---;
เข้าใจกันด้วยน๊าาาาาาาาา ขอบคุณที่ติดตาม แล้วก็อย่าพึ่งเทกันนะคะ5555555
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 6 - ดอกกุหลาบสีแดง 12 ดอก P.2 -- 16/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 16-02-2018 21:15:48
ตายไปแล้วจ้าาาา หมอกคิดอย่างนี้จริงๆใช่มั้ยยนน
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 6 - ดอกกุหลาบสีแดง 12 ดอก P.2 -- 16/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-02-2018 21:54:21
 :-[
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 6 - ดอกกุหลาบสีแดง 12 ดอก P.2 -- 16/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 16-02-2018 22:07:47
ฮื่อออ เพิ่งเห็นตอนพิเศษวันวาเลนไทน์ โถ น้องบลูของพี่ คิดว่าของขวัญโดนทิ้งไปแล้ว
ถ้าได้มารู้ว่าหมอกวางไว้บนหัวนอนจะดีใจขนาดไหนเนาะ อยากให้น้องได้รู้จัง
หลงรักมายาวนานมาก ม.4 เลย อยากรู้จังว่าอะไรที่ทำให้น้องบลูมาหลงรักหมอกได้
ส่วนตอนปัจจุบันเนี่ย แหมมมม  :m1:  ขอเหม็นความรักด้วยคนนะเพลิง 555
นึกภาพตาม ตอนคนเปิดทางให้หมอกเข้ามามอบช่อกุหลาบให้น้องบลูแล้ว อยากจะกรี๊ด ฮื่อเขิน >////<
แถมความหมาย กุหลาบแดง 12 ดอก โหยยยย  เหมือนหมอกรู้ว่าน้องบลูคือเจ้าของของขวัญเลยอ่ะ
รอได้เสมอจ้า ไม่เทหรอก หมอกบลูน่ารักขนาดนี้ > <
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 6 - ดอกกุหลาบสีแดง 12 ดอก P.2 -- 16/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 16-02-2018 22:15:59
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 6 - ดอกกุหลาบสีแดง 12 ดอก P.2 -- 16/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 16-02-2018 23:38:02
คนอ่านก็ฟินไปสิ  :hao7:  :hao7: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 6 - ดอกกุหลาบสีแดง 12 ดอก P.2 -- 16/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Zeta ที่ 17-02-2018 20:24:42
โอ๊ยเขินนนนนน หมอกคิดมาอย่างดีแล้วใช่มั้ยเนี่ยยย ฟินแทนบลู :o8:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 6 - ดอกกุหลาบสีแดง 12 ดอก P.2 -- 16/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 18-02-2018 00:39:22
  :call: เพี้ยง...ขอให้จริงเหมือนความหมาย  :call:
หัวข้อ: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 7 - เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ P.2 -19/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 19-02-2018 21:34:47

บทที่ 7
เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ



Foggy & Smoky : มีข่าวมาอัพเดทกันอีกแล้วค่าทุกคนนนนนนนนนนนนนน
คราวนี้แบบไม่ต้องพึ่งลูกเพจ หรือมิตรสหายใดๆทั้งสิ้น แอดไปเห็นด้วยตาตัวเองแบบเน้นๆ
ก็งานประกวดดาว-เดือนที่ผ่านมา พวกเราคงทราบผลกันไปแล้วว่าใครได้ตำแหน่งอะไรไป จุดนี้แอดไม่ขอโฟกัส
สิ่งที่โฟกัสก็คือที่จะมาเม้าท์มอยในวันนี้ เรื่องที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังไปทั้งมอนั้นแหละค่ะคุณผู้โชมมมมมม
ตอนนั้นแอดกำลังต่อแถวเพื่อให้ดอกไม้น้องบลูเลย แถวยาวเป็นหางว่าว เวลาให้ดอกไม้ก็มีแค่นิดเดียว
ตอนนั้นแอดก็สอดส่องอยู่นะคะว่าพระเอกของเราอยู่ไหน มองไกลๆก็เห็นหมอกเอาดอกไม้ไปให้เพลิง
ส่วนควันก็เอาดอกไม้ไปให้ไอติม ตอนแรกก็ท้อใจแล้วล่ะค่ะว่าสองแฝดคงไม่มีใครเอาดอกไม้มาให้น้องบลู
แต่แล้วพระเอกขี่ม้าขาวของเราก็เดินเข้ามาอย่างหล่อๆ ทุกคนมีอันต้องแหวกเพราะสู้รัศมีความหล่อของหมอกมั่ยดั้ย!!
แอดแทบจะควักโทรศัพท์ออกไม่ถ่ายไม่ทัน ดูในภาพสิคะ เขามองกันตาหวานเยิ้มเลย ฟินค่ะ แอดฟิน!!
อ้ออออ แล้วในงานนั้นขายดอกกุหลาบดอกล่ะ 50 บาท แถมยังมีให้เลือกตั้ง 5 สี หมอกของเรานั้นเลือกสีแดงสดให้น้องบลู
แล้วจากที่แอดซูมดูจำนวนดอกแล้ว พบว่ามี 12 ดอกค่ะ เดาความหมายกันได้รึเปล่า ถ้าเดาไม่ได้ก็จะเฉลยตรงนี้เลยแล้วกัน

ดอกกุหลาบสีแดง : ดอกกุหลาบสีแดง ไม่ว่าจะเป็นดอกกุหลาบ สีแดงอ่อน หรือสีแดงสด บ่งบอกถึงการตกหลุมรักหรือแอบปลื้มใครซักคน เป็นสื่อแทนใจเพื่อจะบอกให้รู้ว่ามีคนกำลังแอบปลื้มอยู่

จำนวน 12 ดอก : ฉันรักเธอ เธอก็รักฉัน เรารักกัน

ณ จุดๆนี้บอกเลยค่ะว่าตาย! ชิปเปอร์หมอกบลูบนเรือยื่นใบลาออกกันหมดแล้วค่ะ ว่างงาน ไม่มีอะไรจะชง!





ผมตื่นนอนก็ราวๆบ่ายสองแล้ว บอกเลยว่าหลังจากเสร็จการประกวดผมก็ปิดการสื่อสารทุกอย่าง และนอนเอาแรงจนอิ่ม หยีตาสู้แสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้องแล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้นมาบ้าง พอเดินกลับมาที่เตียง สายตาก็มองเห็นช่อดอกกุหลาบที่ยังวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ แล้วพอเห็นก็นึกถึงความหมายของดอกกุหลาบช่อนี้ หน้าก็ร้อนขึ้นมาดื้อๆซะงั้นอ่ะ

ผมสะบัดศีรษะเบาๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ที่เปิดโหมดเครื่องบินไว้มาดู พอปิดโหมดเครื่องบินเท่านั้นแหละ เสียงแจ้งเตือนก็ดังรัวๆ ผมรอจนโทรศัพท์สงบลงแล้วเลยเข้าไปดูที่แอพแมสเซนเจอร์ก่อนเป็นอันดับแรก และชื่อที่อยู่บนสุดก็ทำเอาผมเบิกตากว้าง


Kavi Worakul : ฟื้นยัง            


หมอกทักมาตั้งแต่เก้งโมงเช้า ตอนนี้จะบ่ายสามแล้ว โอ้ชิททททททททททททททททททททท


Punnawit thanawatchai
: พึ่งตื่น ;-;

Punnawit thanawatchai : หมอกมีอะไรรึเปล่า

พอตอบปุ๊บ เจ้าตัวก็เข้ามาอ่านปั๊บ โหหหห ทำไมเร็วขนาดนี้ แล้วจุด 3 จุดก็ขึ้นมาบอกว่าอีกฝั่งกำลังพิมพ์อยู่ ผมเผลอกัดเล็บไปโดยที่ไม่รู้ตัว จนเมื่อข้อความของหมอกส่งมา ผมก็รีบวางโทรศัพท์แล้วลงไปด้านล่างคอนโดทันที

Kavi Worakul : นั่งอยู่หน้าล็อบบี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว ลงมารับหน่อย


ผมวิ่งออกมาจากห้องด้วยสภาพรองเท้าแตะ ชุดนอนตัวเก่าๆ ทรงผมที่ยังไม่เซ็ท แว่นตายังค้างอยู่บนใบหน้าพร้อมกับรีเทนเนอร์ที่ยังไม่ได้ถอด แต่ด้วยอารามตกใจเลยทำให้ลืมทุกอย่าง รู้ตัวอีกทีผมก็เอาร่างพังๆมาเจอหมอกที่ตอนนี้แต่งตัวแบบดูดีสุดๆ รู้สึกอยากจะเอาหัวจุ่มบ่อน้ำพุหน้าล็อบบี้เลย T___T

“ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา”

ผมถามเมื่อเราเข้ามาอยู่ในลิฟต์แล้ว เอามือลูบผมที่มันชี้ไม่เป็นทรงให้ดูเรียบที่สุดแต่มันก็ยังชี้อยู่ดี พอหันไปมองหมอก เขาก็ยิ้มขำซะงั้น

“ก็ถ้าบอกว่าจะมา จะเจอแบบนี้มั้ยล่ะ”

ผมรีบส่ายหน้าทันที ไม่มีทางที่ผมจะให้หมอกเห็นสภาพแย่ๆของผมแน่ แต่ตอนนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว ผมเลยเดินนำไปที่ห้องแล้วเปิดประตูให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

“ห้องรกนิดหนึ่งนะ ไม่ได้เก็บของเลย”

ผมว่าแล้วหอบหนังสือที่วางอยู่บนโซฟาขึ้นไปวางบนโต๊ะลวกๆ หมอกนั่งลงแล้วก็หันไปมองโต๊ะหนังสือ...ที่มีช่อดอกไม้ของหมอกวางไว้อยู่

“เออ...แล้วนี่มาทำไมเหรอ แต่งตัวหล่อเชียว” ผมดึงความสนใจของหมอกมาที่ผม ยิ้มแห้งๆให้หมอกที่กำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์

“มาชวนไปเที่ยว ไปอาบน้ำสิ”

“หืม? เที่ยวที่ไหน”

“อยากไปไหนล่ะ ตามใจคนที่ได้รางวัลป๊อบปูล่าร์”

ความจริงแล้วถ้าถามว่าอยากไปไหน บอกเลยว่าอยากนอนโง่ๆอยู่ที่ห้องเฉยๆ แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร คิดว่าผมจะตอบอย่างนั้นเหรออออออออ

“งั้นไปกินข้าวแล้วก็ดูหนังก็ได้ หมอกเลือกหนังรอเลยนะ เราขอไปอาบน้ำแป๊บนึง”

ว่าแล้วผมก็คว้าผ้าเช็ดตัวแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำทันที ทริปกระทันหันสุดอะไรสุด ผมอาบน้ำด้วยความเร็วเป็นสถิติใหม่ แต่งตัวและเลือกเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้มาเร็วๆ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าหมอกที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่

“อาบน้ำเร็วจัง” หมอกว่า มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใส่เสื้อสเว็ตเตอร์สีดำกับกางเกงยีนส์นี่มันไม่เข้ากันเหรอ”

เห็นหมอกมองด้วยสายตาเหมือนกำลังประเมินอะไรสักอย่าง ผมเลยถามด้วยความไม่แน่ใจ วินาทีนั้นเห็นอะไรอยู่ตรงหน้าผมก็เอามาใส่หมดนั้นแหละ

“เปล่า แต่งแบบนี้ก็น่ารักดี” หมอกพูดเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป แต่ผมนี่เบิกตากว้างกับคำพูดนั้นแล้ว

“...”

พูดไม่ออก บออกไม่ถูก รู้ตัวอีกทีก็โดนหมอกจูงมือออกมาจากห้อง ล็อกประตูห้องให้ผมจนเรียบร้อยแล้วก็จูงมือผมออกจากคอนโดแล้วพาไปที่รถอีก ผมรู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างจนกระทั่งถูกเขาจับยัดเข้าไปในรถนั้นแหละถึงพึ่งรู้ตัว

“แล้วสรุปเราจะไปไหนกันอ่ะ” ผมถามคนที่ชวนออกมาในวันนี้

“กินข้าวแล้วก็ดูหนังไง ไม่ต้องห่วง ไม่ได้ลวงไปฆ่า”

“อย่าแกล้งกันงี้ดิ” ผมตีหน้ายุ่ง หมอกแค่หัวเราะเบาๆก่อนจะออกรถ

พวกเรามาถึงใจกลางเมืองในอีก 1 ชั่วโมงถัดมา หมอกพาผมลัดเลาะไปรอบๆสยาม ดีที่ตอนนี้แดดเริ่มไม่แรงเท่าไรแล้ว เลยไม่รู้สึกร้อนเท่าไร พวกเราเดินหาร้านอาหารที่อยากกินอยู่นาน สุดท้ายแล้วก็มาจบที่ร้านหมูย่างเกาหลี

พอเข้าไปในร้านพนักงานก็ต้อนรับอย่างดี พนักงานเอาหมูหลากหลายแบบมาวางจนเต็มโต๊ะพร้อมกับเครื่องเคียง ตั้งเตาจนพร้อมแล้ว ผมและหมอกก็เริ่มลงมือย่างหมู พึ่งรู้ว่าหิวมากๆก็ตอนที่วางเนื้อหมูลงบนเตาแล้วควันหอมฉุยก็แตะจมูกนั้นแหละ

“ลองอันนี้มั้ย อร่อย”

หมอกคีบเนื้อหมูที่สุกแล้วใส่ในจานผม ผมที่ง่วนอยู่กับการพลิกหมูในเตาเลยวางที่คีบลงและลองชิมเนื้อหมูที่หมอกยื่นให้ อร่อยสมคำคุยจริงๆครับ มันหวานละลายในปากโดยไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มเลยด้วยซ้ำ

“อร่อยจริงๆด้วย เอาซี่โครงเปล่า จะได้ย่างให้” ผมถามคนที่นั่งตรงข้าม หมอกพยักหน้าแล้วคีบหมูย่างพร้อมเครื่องเคียงกินทีละอย่าง แต่ไม่ยอมแตะผักที่วางอยู่เลยสักนิด

“ไม่ชอบกินผักเหรอ” ผมถาม และหมอกก็รีบส่ายหน้าทันที

“ไม่ชอบ เหม็นเขียว กินไปก็ไม่อร่อย”

“แต่มันแก้เลี่ยนได้นะ ลองสักหน่อยมั้ย” ผมว่า และหยิบสลัดมา คีบหมูและเครื่องเคียงใส่ลงไปแล้วห่อเป็นคำ ยื่นไปตรงหน้า

“ลองหน่อย มันเข้ากันอยู่นะ”

หมอกทำหน้าไม่ยอมรับสุดๆ แต่ผมก็ยังคะยั้นคะยอให้หมอกได้ลอง คนตรงหน้าเลยทำหน้าลังเลนิดนึง

“ลองชิมดูหน่อย ถ้าไม่ชอบก็คายทิ้งเลย”

ผมยังไม่หยุดความพยายามที่จะทำให้หมอกกินผักให้ได้ และเหมือนหมอกจะกลั้นใจอ้าปากรับห่อผักที่ผมถือไว้ไป ผมที่โดนแอคแทคอีกรอบ ไม่คิดว่าเขาจะใช้ปากรับไปอย่างนั้นก็รีบเก็บมือทันที เห็นคนตรงหน้าที่ทำหน้าทะแม่งๆ แล้วสุดท้ายก็กลืนลงไป แล้วรีบดื่มน้ำตาม

“เป็นไง โอเครึเปล่า”

ผมถามอย่างลุ้นๆ หมอกมองมาที่ผมแล้วก็พูดขึ้น

“ก็พอกินได้”

“ดีแล้ว กินผักด้วยจะได้ไม่เลี่ยนเกินไป”

“แต่ถ้าอยากให้กินอีกก็ห่อแล้วป้อนด้วยนะ ถ้าให้กินเองบอกเลยว่าไม่มีทาง”

แล้วหมอกก็คีบเนื้อหมูที่อยู่ในเตาขึ้นมาจิ้มน้ำจิ้มเข้าปากทันที ผมมองคนตรงหน้า ไม่คิดว่าจะดื้อเงียบอย่างนี้เลยจริงๆ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากทำผักห่อเป็นคำๆแล้วป้อนเขาล่ะครับ...





หลังจากกินหมูย่างเสร็จ โดยที่คราวนี้ผมไม่ยอมให้เขาเลี้ยง เราเลยหารค่าอาหารกันและเดินไปสยามพารากอน ไปถึงชั้นโรงหนังก็เลือกหนังที่หมอกบอกว่าอยากดู ผมก็เลยตามเลย ระหว่างรอเราก็ซื้อป๊อบคอร์นกับน้ำโค้กคนละแก้ว พอเดินออกมาจากเค้าท์เตอร์แล้ว ก็เจอน้องผู้หญิงในชุดนักเรียนสองคนยืนอยู่ตรงหน้า

“พี่ๆ...ใช่พี่หมอกกับพี่บลูรึเปล่าคะ”

“ครับ?” ผมถามอย่างงุนงง เธอเตรียมยกมือถือขึ้นมาจะจ่อหน้าพวกเราอยู่แล้ว

“ใช่ครับ ทำไมเหรอ” หมอกเป็นคนตอบแทนผมที่ยังคงเอ๋ออยู่ พวกเธอดีดดิ้นแล้วก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมา

“พวกพี่มาดูหนังกันเหรอคะ”

เออ...น้องครับ เจออยู่หน้าโรงหนัง พวกพี่คงมาร้องคาราโอเกะมั้งครับน้อง

“ครับ พวกพี่มาดูหนัง...” หมอกเป็นคนตอบอีกแล้ว พอบอกชื่อหนังที่พวกเรากำลังจะดู เธอก็รีบชูตั๋วหนังของเธอให้ดูบ้าง

“พวกหนูก็กำลังจะไปดูหนังเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ”

“ครับ ขอให้ดูให้สนุกนะ” หมอกว่า กำลังจะลากผมออกไปจากพวกเธอทั้งสองคนแล้ว แต่หนึ่งในสองคนนั้นก็จับแขนผมไว้เสียก่อน

“พวกหนูขอถ่ายรูปพวกพี่ๆหน่อยได้มั้ยคะ”

ขอมาอย่างนี้ ถ้าปฏิเสธก็คงใจร้ายไปสินะ ทั้งผมและหมอกยอมให้ถ่ายรูปได้ เราถ่ายอยู่ประมาณ 2-3 รูป หลังจากนั้นก็ขอตัวจากพวกเธอแล้วเดินเข้าไปในโรงหนังด้วยกัน


ตื่นเต้นแหะ...

ดูหนังกับหมอกครั้งแรก...ไม่คิดเลยจริงๆว่าจะมีวันนี้


ผมนั่งนิ่ง มองหน้าจอที่กำลังฉายโฆษณาอย่างตั้งใจ ได้ยินเสียงคนข้างๆที่เอาแต่เคี้ยวป๊อบคอร์นจนหมดไปเกือบครึ่งถังทั้งๆที่หนังยังไม่เริ่ม ผมเลยหันไปมอง แล้วหมอกก็มองมาที่ผมเช่นกัน

“กินมั้ย” ว่าแล้วก็ยื่นถังป๊อบคอร์นมาให้ผม

“เก็บไว้กินตอนหนังเล่นด้วยเถอะหมอก”

พอผมพูดอย่างนั้นหมอกก็ทำตามที่ผมบอกทันที ด้วยการส่งถังป๊อบคอร์นมาให้ผมถือไว้ ไม่งั้นเขาก็จะเผลอกินอีก ผมเลยกลายเป็นนักคุมถังป๊อบคอร์นไปโดยปริยาย จนเมื่อหนังเริ่มผมเลยยอมให้หมอกกินได้ มือยาวนั้นก็ล่วงเข้ามาในถังป๊อบคอร์นที่ผมถือไว้ทันที มันจะไม่รู้สึกอะไรหรอกถ้าเขาไม่เอาแขนมาพาดกับแขนผมไว้อีกที บางทีก็กระซิบให้ผมป้อนเขา


นี่สาบานเลยว่าตอนนี้ผมดูหนังไม่รู้เรื่องแล้ว ;----------;


ออกมาจากโรงหนังก็ค่ำพอดี ระหว่างทางพวกเราก็คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังที่พึ่งดูมา หมอกมาส่งผมถึงคอนโดก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว แม้จะรู้สึกว่าวันนี้ผมใช้เวลากับหมอกไปยังไม่ค่อยพอ แต่มันก็ถึงเวลาที่เราต้องลากันแล้ว

“ไปแล้วนะ” ผมบอกแล้วปลดเบลท์ออก แต่เสียงของหมอกก็ทำให้ผมหยุดทุกการกระทำ

“เดี๋ยว”

“หืม?” ผมหันไปมองหมอก ใบหน้าหล่อๆนั้นหันมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว แล้วยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้ผม

“เอาเบอร์โทรศัพท์กับไอดีไลน์มาหน่อย”

“...” ผมพูดไม่ออกเลย ขณะที่ผมกำลังนิ่งเหมือนถูกสาป หมอกก็จัดการยัดโทรศัพท์ใส่มือผมด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม เห้ยยยย คนหล่อเขาขอไลน์คนอื่นกันอย่างนี้เหรอ

ผมพูดไม่ออก แต่มือกลับพิมพ์ไอดีไลน์และเบอร์โทรให้หมอกแล้ว หมอกรับไปก่อนจะโทรเข้ามาหาผม เสียงริงโทนดังขึ้นก่อนจะถูกตัดสายไป

“เบอร์ฉัน เซฟไว้ด้วยล่ะ”

“อะ...อืม”

ผมรับคำก่อนจะออกมาจากรถ ดีที่ตอนนี้มันมืดแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นหมอกต้องเห็นแน่ๆ


ว่าหน้าผมมันแดงมากขนาดไหน





กลับขึ้นมาถึงห้องด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ หยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็พบว่าหมอกส่งไลน์เข้ามาทักทาย ผมเลยส่งสติกเกอร์ตอบกลับไป เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก

ผมอาบน้ำเสร็จก็เดินมานั่งหน้าคอม วันนี้ทั้งวันไม่ได้เข้าโซเชี่ยลเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะมีอะไรอัพเดทบ้าง และเมื่อเข้าไปในเฟสบุ๊ค ผมก็นั่งเท้าคางเลื่อนเม้าท์ไปอย่างเรื่อยเปื่อย จนเมื่อเห็นเพจดังสักเพจที่ไม่ใช่เพจของหมอกและควันอัพภาพที่เป็นภาพของผมและหมอกที่ไปดูหนังในวันนี้ คนแชร์และกดถูกใจไปร่วมพันกว่าคน คงต้องเป็นน้องมัธยมสองคนนั้นส่งรูปไปให้แน่ๆ หรือไม่พวกเธอก็คงจะเป็นแอดมินเองนั้นแหละ

แล้วเพจ Foggy & Smoky ก็แชร์ภาพต่อพร้อมกับแคปชั่นยาวเหยียด และคนก็แชร์กันต่อไปเรื่อยๆจนเหมือนไฟลามทุ่ง ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแจ้งเตือนผมถึงเยอะมากขนาดนี้ มีหลายคนที่ทักแชทมาหาผมเพื่อถามว่าผมเป็นอะไรกับหมอก แต่ผมก็ไม่ได้ตอบกลับสักคน


เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างเราคืออะไร...


ผมแค่คิดว่าที่เป็นอย่างทุกวันนี้มันก็เหนือความคาดหมายของผมไปมากแล้ว จากที่เมื่อก่อนแค่มองตามในมุมมืดๆ แค่หวังว่าการประกวดดาว-เดือนจะทำให้ผมเข้าไปอยู่ในวงโคจรของเขาได้ ได้เป็นเพื่อนห่างๆก็ยังดี แต่พอได้รับความรู้สึกดีๆที่หมอกมอบให้ขนาดนี้ ผมคิดว่าผมก็พอใจในสิ่งที่ได้รับมากแล้ว


ไม่กล้าคาดหวังไปมากกว่านี้ เพราะผมกลัว...

กลัวว่าถ้าวันหนึ่งที่ผมผิดหวังขึ้นมา แล้วผมจะเจ็บเกินกว่าจะทนไหว



ติ้ง~



เสียงแชทที่ดังขึ้นมาก็ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ น้ำหวาน...ดาวมหา’ลัยในปีนี้เธอทักผมมา ด้วยประโยคที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว


Namwhan Thitinan : บลู เราถามอะไรหน่อยสิ

Punnawit thanawatchai
: อะไรเหรอ

Namwhan Thitinan : บลูเป็นอะไรกับหมอกเหรอ


คำถามนี้อีกแล้ว...ถ้าผมไม่ตอบเธอจะเป็นอะไรรึเปล่า...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างผมกับเขา เราเป็นอะไรกัน


Punnawit thanawatchai : เป็นแค่เพื่อนเฉยๆ ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้นเลย

Punnawit thanawatchai : น้ำหวานถามทำไมเหรอ

Namwhan Thitinan : อ้อจ้า คือเราถามเพื่อความสบายใจน่ะ คือเราชอบหมอก

Namwhan Thitinan
: ถ้าหมอกยังไม่มีใคร เราก็สบายใจ

Punnawit thanawatchai : อ๋อ


แค่น้ำหวานบอกว่าชอบหมอก แล้วทำไมใจผมถึงได้รู้สึกหวิวๆก็ไม่รู้


Namwhan Thitinan
: เราขอแคปที่บลูบอกว่าเป็นแค่เพื่อนกับหมอกไปแก้ข่าวให้คนอื่นรู้ด้วยนะ

Punnawit thanawatchai : อืม ตามสบาย


แล้วน้ำหวานเธอก็จากไป ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำไมจู่ๆก็รู้สึกจุกในอกยังไงก็ไม่รู้ เลยปิดคอมแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง คว้าคุณบราวน์...ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลที่ได้จากการจับของขวัญสมัยมัธยมขึ้นมากอดเอาไว้จนแน่น

ถ้าหมอกเห็นข้อความนั้นจะโกรธผมรึเปล่านะที่ตอบออกไปแบบนั้น...

แต่เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆนี่นา


เป็นแค่เพื่อน


ก็ถูกแล้ว...






tbc.

วันนี้มาดึกเลย งานเยอะค่าา เยอะจนลืมว่ายังไม่อัพนิยาย
นิยายเรื่องนี้ไม่ดราม่านานแน่นอน อาจจะมีพอกรุบๆพอหอมปากหอมคอ
อยากให้ฟีลแบบใสๆวัยรุ่นชอบ อ่านง่ายย่อยง่าย5555



หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 7 - เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ P.2 -16/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 19-02-2018 21:50:10
รอตอนต่อไป ชะนีเริ่มมีบทบาทละ  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 7 - เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ P.2 -16/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 19-02-2018 22:01:14
ไม่ว่าน้องบลูนะ ที่ตอบน้ำหวานไปแบบนั้น ก็หมอกยังไม่ได้พูดอะไรเลยนี่นา
จะให้น้องบลูตอบว่าไงล่ะ ถ้าไม่ใช่แค่เพื่อนกัน ฮือออ
แต่หมอกต้องน้อยใจแน่ ๆ อ่ะ แล้วน้องบลูก็ต้องเสียใจอีก
ยังไงก็อย่าดราม่านาน คุยกันให้เข้าใจเร็ว ๆ น้า
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 7 - เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ P.2 -16/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-02-2018 23:56:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 7 - เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ P.2 -16/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 20-02-2018 00:22:47
โอ๋ๆนะลูกนะ แต่ที่บลูตอบก็ไม่ผิดนะ ก็ไม่มีใครพูดอะไรกับความสัมพันธ์นี้เลยอ่ะ หมอกก็ไม่ได้บอกอะไร แต่อยากรู้หมอกจะรู้สึกอะไรมั้ยที่ได้อ่านคำตอบนั้นจากบลู
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 7 - เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ P.2 -16/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Zeta ที่ 21-02-2018 00:49:32
หมอกต้องชัดเจนได้แล้ว ชอบหรือไงใจๆไปเลย
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 7 - เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ P.2 -16/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Plavann ที่ 21-02-2018 01:10:49
บลูทำถูกแล้ว สถานะตอนนี้คือเพื่อน ถ้าจะพัฒนาอะไรก็ต้องคุยกันก่อน แถมอีกอย่างถ้าออกตัวแรงลงโซเชียลแล้วจะแก้ไขไม่ได้แล้ว
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 7 - เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ P.2 -19/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 22-02-2018 08:26:53
น่ารักดีนะคะ

ก้ถูกแล้วเนอะที่น้องบลูบอกไปแบบนั้น

เพราะหมอกไม่ชัดเจนด้วยวาจาเท่าไหร่

แต่รู้สึกว่าการแทนตัวว่าฉันกับนายมันไม่ค่อยปกติในชีวิตจริงเลยง่ะ

ยังไงก้รอติดตามนะค้าาาาา

 :katai2-1:
หัวข้อ: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 23-02-2018 19:56:28


บทที่ 8
ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน




F o g g y ’ s  T a l k




3 ปีก่อน



“ตั้งใจเรียนนะลูกๆ ขอให้โชคดีนะจ๊ะ”

แม่ของพวกเราหันมายิ้มให้กำลงใจผมและควัน พวกเราลาพ่อและแม่ก่อนจะเปิดประตูรถออกมา มองโรงเรียนใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกเรียบเฉย ไม่ได้ตื่นเต้น ไม่ได้คาดหวังว่าโรงเรียนใหม่จะดีขนาดไหน

ก็เพราะผมกับควันแทบจะย้ายโรงเรียนกันทุกปีเพราะตามพ่อแม่ไปทำงานที่ต่างจังหวัดตลอด การย้ายโรงเรียนใหม่ของผมมันเลยกลายเป็นเหมือนเรื่องชินชาไปซะแล้ว แต่คราวนี้แม่บอกว่าจะให้เรียนที่โรงเรียนนี้จนจบม.6 เลย ผมก็ได้แต่ภาวนาให้มันเป็นอย่างนั้น เพราะผมกับควันก็ขี้เกียจจะไปสร้างสัมพันไมตรีกับคนที่ไม่รู้จักอีกแล้ว

และการปรากฏตัวของผมและควันไม่ว่าจะที่ไหนล้วนแล้วแต่เหมือนกัน ผมกับควันไม่ต่างอะไรกับช่วงช่วงและหลินฮุ่ยในสวนสัตว์เชียงใหม่เลยสักนิด ทุกคนมองเราเหมือนเป็นตัวประหลาด บางทีก็แอบถ่ายรูป บางทีก็กรี๊ดเบาๆเวลาพวกผมเดินผ่าน หนักสุดก็เดินเข้ามาในห้องเรียนและเรียกชื่อผมกับควันแล้วบอกว่าอยากเห็นหน้า


นั้นมันทำให้ผมเบื่อ แต่ผมก็ชินกับมันมาตั้งนานแล้ว


ทุกสายตามักจับจ้องมาที่ผมกับควัน เรามักจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและใช้ชีวิตปกติทั่วไปเหมือนคนอื่น พยายามไม่หงุดหงิดกับทุกเทศกาลที่มักจะมีของขวัญมาวางกองอยู่ที่โต๊ะนักเรียน วันวาเลนไทน์ก็แค่ยิ้มให้กับคนที่เอาสติกเกอร์รูปหัวใจมาแปะที่เสื้อนักเรียนจนมันเต็มไปหมด

วันวาเลนไทน์ในปีนี้ก็เช่นกัน...

ผมเดินไปกินข้าวที่โรงอาหารกับเพื่อนในช่วงเที่ยงเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แล้วก็นึกได้ว่าลืมเอากระเป๋าเงินมาด้วย เลยขอตัววิ่งขึ้นอาคารเรียนไปเอากระเป๋าเงิน ผมเดินจนมาถึงห้องก็หยุดชะงักเมื่อเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนด้อมๆมองๆอยู่ที่โต๊ะของผม ถ้าเป็นขโมยที่มาขโมยกระเป๋าเงินผม ผมก็จะได้จับได้คาหนังคาเขาเลยแหละ

ผมมองผู้ชายคนนั้นหยิบอะไรบางอย่างมาวางที่โต๊ะผม เขาหันมองไปรอบๆอย่างระแวดระวังแล้วก็เดินออกไปอีกประตูหนึ่ง ผมที่หลบอยู่หลังประตูเลยเดินออกมาแล้วไปที่โต๊ะของตัวเอง พอเห็นว่ากระเป๋าเงินยังวางอยู่ใต้โต๊ะผมก็เบาใจ คว้ากระเป๋าเงินใส่กระเป๋ากางเกง แล้วมองกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีฟ้าที่อยู่บนโต๊ะ


แปลก...วาเลนไทน์เขามีแต่สีชมพูกันทั้งนั้น นี่ทำไมถึงมาแหวกแนว


ผมเก็บความประหลาดใจไว้และยัดของขวัญลงในกระเป๋าเป้ ก่อนจะเดินกลับไปที่โรงอาหารเพื่อนกินข้าวกับเพื่อนที่คงจะรอผมกันนานแล้ว


.
..
...



“ไอ้หมอก นี่มึงไม่คิดจะมีใครหน่อยเหรอวะ ดูอย่างไอ้ควันดิ แม่งล่าแต้มไปเท่าไรแล้ว”

น็อต...เพื่อนสนิทในกลุ่มถามขึ้นเมื่อพวกเรามาแฮงค์เอ้าท์ที่ทะเลหลังจากสอบเสร็จ ผมหัวเราะเบาๆเมื่อน็อตมันพูดถึงควัน รายนั้นคบกับคนสวยจนแทบจะหมดโรงเรียนแล้วมั้ง

“ไม่รู้ดิวะ ยังไม่เจอคนที่ถูกใจ”

“แล้วเมื่อไรมึงจะเจอ เบ้าหน้าทองคำอย่างพวกมึง โสดตายไปคงเสียชาติเกิด”

“เนื้อคู่อ่ะ...เดี๋ยวถึงเวลามันก็มา กูไม่รีบหาเหมือนไอ้ควันมันหรอก”

ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ถึงจะมีใครหลายต่อหลายคนมาสารภาพรัก เอาของขวัญมาให้ หรือใช้เพื่อนมาขอไอดีไลน์ แต่ผมกลับไม่รู้สึกหัวใจเต้นแรงกับใครเลยสักคน ผมคิดว่าสักวัน ถ้าคนที่ใช่เข้ามาผมจะไม่มีทางปล่อยให้เขาหลุดมือไปได้หรอก



.
..
...



เปิดเทอมมาได้สักระยะแล้ว ช่วงม.5 เป็นอะไรที่ดีสำหรับผมมากที่สุด ผมกับเพื่อนๆสนิทกันมากพอที่จะไปเที่ยว ไปพักที่บ้านของแต่ละคนได้ พวกเราทั้งเที่ยวและเรียนด้วยกัน ต่างคนต่างตั้งใจเพื่อเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ ควันก็เริ่มเทผู้หญิงและหันกลับมามุ่งมั่นอ่านหนังสือ เพราะมันประกาศกร้าวต่อหน้าพ่อแม่ไว้ว่าจะเข้าคณะแพทยศาสตร์ ส่วนผมที่มีธงปักไว้ในใจแล้วว่าอยากเข้าคณะนิติศาสตร์ก็มุ่งมั่นติวและอ่านหนังสือหนักไม่แพ้ควัน

จนวันหนึ่งหลังจากหมดคาบสุดท้าย ผมมองไปนอกหน้าต่างห้องเรียนอย่างสิ้นหวัง ใครจะไปคิดว่าฝนจะมาตกหนักตอนนี้วะ เพื่อนๆทยอยออกจากห้องกันไปหมด เหลืออยู่ในห้องไม่กี่คน ผมเลยตัดสินใจคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นหลังแล้วออกจากห้องเรียนอย่างห้าวหาญเมื่อเห็นว่าฝนมันเริ่มซาลงแล้ว

แต่พอลงมาที่ชั้นล่างเท่านั้นแหละ ฝนก็กลับมาตกหนักอีกครั้ง ผมมองทางข้างหน้าที่แทบจะเป็นสีขาวเพราะน้ำฝน ฝนตกหนักขนาดนี้คงจะไปเรียนพิเศษไม่ทันแน่ๆ ผมกำลังจะถอดใจแล้ว แต่แรงสะกิดด้านหลังก็ทำให้ผมหันไปมอง

“เราให้ยืมร่ม”

“...”

“เอาไปเถอะ จะไปเรียนพิเศษไม่ใช่เหรอ”

เขาอ่านใจผมได้รึไง...ผมมองผู้ชายที่อยู่ในเสื้อกันฝนสีฟ้า ผมนั้นลู่ลงกับหน้าผากเพราะละอองฝนที่กระเด็นเข้ามา ดวงตากลมนั้นอยู่ภายใต้กรอบแว่นที่เริ่มขึ้นฝ้า ผมเลยมองเห็นเขาไม่ค่อยชัด แถมฟันก็ยังเต็มไปด้วยเหล็กดัดฟัน เลยทำให้พูดไม่ชัดอีก

“แล้วนายไม่ใช้ร่มเหรอ” ผมถามเขากลับ

“ไม่หรอก มีเสื้อกันฝนอยู่แล้วไง เอาไปใช้เถอะ” แล้วเขาก็ยัดร่มใส่มือผมก่อนจะวิ่งฝ่าฝนออกไปจากอาคาร ผมมองตามจนเขาหายไป แล้วผมก็มองร่มสีฟ้าน้ำทะเลที่อยู่ในมือ ด้านในร่มเขียนไว้ว่า

‘BLUE’



หลังจากวันนั้นผมก็ตามหาเขา ไม่ได้ตามหาแบบพระเอกในละครหลังข่าวหรอกนะ ก็แค่มองหาคนที่เข้าข่ายนั้นแหละ อยากจะเอาร่มไปคืนแล้วก็ขอบคุณ เพราะถ้าไม่ได้ร่มคันนั้น ผมคงจะไปเรียนพิเศษไม่ทันแน่ๆ จนในที่สุดผมก็ได้รู้ว่าเจ้าของร่ม ‘BLUE’ นั้นชื่อว่าบลูอยู่ห้อง 2


ผมแอบมองเขามานานแล้ว และพบว่าเขาก็มักจะแอบมองผมอยู่บ่อยๆ แต่พอผมจับได้เขาก็ทำเป็นไม่สนใจผม


ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีคนมาบอกชอบผมทั้งชายและหญิง แต่คนนี้อ่ะแปลกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ผมรู้แล้วว่าเขาชอบแอบมองผม และนั้นไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดใจเหมือนที่รู้สึกกับคนอื่นๆ ตรงกันข้ามผมอยากให้เขาเดินเข้ามาหาผมตรงๆ เลิกแอบมองผมอย่างนี้สักที

ผมได้แต่รอว่าเมื่อไรเขาจะเข้ามาหาผม


รอ...


รอจนกระทั่งวันสำเร็จการศึกษา ผมก็ยังเห็นเขามองผมอยู่ไกลๆเช่นเดิม...




จนเมื่อผมเข้ามหาวิทยาลัย สังคมในมหาวิทยาลัยนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากมัธยมสักเท่าไร ผมกับควันยังถูกจับจ้องเหมือนช่วงช่วงและหลินฮุ่ยเช่นเดิม รู้มาอีกว่าในเฟสบุ๊คมีเพจที่ทำให้ผมกับควันด้วย ก็เข้าไปส่องบ้างเวลาเบื่อๆ ไม่คิดว่าจะมีคนที่ชอบผมกับไอ้ควันมากขนาดนี้ พวกเขาอัพเดทเรื่องราวของผมกับควัน จนบางทีผมก็คิดว่าพวกเขาก็รู้เรื่องของผมดีกว่าผมเองซะอีก...

“น้องหมอกว่างรึเปล่าจ๊ะ”

พี่ในคณะเดินเข้ามาทัก ผมจำหน้าพี่ได้แต่ผมจำชื่อพี่เขาไม่ได้ เธอยิ้มหวานหยดย้อยผมเลยต้องยิ้มตอบอย่างช่วยไม่ได้

“มีอะไรครับ”

“คือพี่ๆในสโมสรอยากให้น้องหมอกไปเป็นตัวแทนประกวดดาว-เดือนให้กับคณะเรา...”

“ไม่ครับ” ผมปฏิเสธทันทีที่ได้ยิน

“แต่ว่า...”

“ผมไม่เป็นครับ”

ผมยืนกรานหนักแน่น ผมไม่ยอมไปประกวดแน่นอน ผมไม่ใช่ยอดนักกิจกรรมที่อุทิศตนเพื่อคณะอะไรขนาดนั้น มามหาวิทยาลัยนี่มาเรียนครับ ไม่ได้มาทำกิจกรรม

“แต่ไม่มีใครเหมาะไปกว่าน้องหมอกอีกแล้วนะจ๊ะ ไปเป็นเดือน...”

“คนที่เหมาะกว่าผมมันมีแน่นอนครับ พี่ๆไปหาคนอื่นเถอะครับ”

ผมตอบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าสุภาพที่สุด เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วก็จากไป นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอ และวันต่อๆมาผมก็เจออีก ผลัดเปลี่ยนคนมาขอร้องอ้อนวอนให้ผมไปประกวดให้ได้ แต่ทำยังไงผมก็ไม่ยอม พวกเธอเลยถอดใจและไปคว้าไอ้เพลิง...เพื่อนสนิทของผมแทน


เลือกไอ้เพลิงตั้งแต่แรกก็จบล่ะ



และการที่ผมตัดสินใจไม่รับตำแหน่งเดือนคณะนิติศาสตร์มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมตัดสินใจพลาดที่สุดก็ตอนที่เพลิงมันกลับมาจากกองประกวดวันแรก เดือนคณะวิทยาศาสตร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้ผมตกใจไม่น้อย แต่ผมก็ซ่อนอาการของผมไว้ภายใต้สีหน้าเรียบๆได้เป็นอย่างดี


ไม่ผิดแน่...แววตาแบบนี้คือคนที่ให้ผมยืมร่มในวันนั้นแน่ๆ


“เป็นอะไรไปอ่ะบลู” เพลิงถามคนที่ดูจะตกใจมากกว่าผมเสียอีก ผมมองอากัปกิริยาที่ดูลุกลี้ลุกลนแล้วก็ตอบปฏิเสธ

“ปะ...เปล่า...ไม่ได้เป็นอะไร”

“อ้อ นี่หมอก เพื่อนสนิทกูเอง ส่วนนี่บลูจากคณะวิทย์”

เพลิงแนะนำคนที่ผมคุ้นหน้าให้ได้รู้จัก และก็ลงล็อกเมื่อได้รู้ว่าคนตรงหน้าชื่อบลู...ผมจำเขาได้ ไม่ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมากขนาดไหน แต่ผมก็ไม่เคยลืมแววตากลมใสหลังแว่นตาที่ฝ้าขึ้นกรอบนั้นหรอก

“เพื่อนเดือนมึงอ่ะเหรอ” ผมแสร้งถาม ทั้งๆที่พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าเพลิงไปรู้จักกับบลูได้ยังไง

“เออ บลูอยู่หอเดียวกับกูเลยแวะมาเอาการบ้านแล้วค่อยกลับพร้อมกัน”

วันนั้นผมเลยกลับจากคณะพร้อมกับเพลิงและบลู เมื่อมาถึงคอนโดผมก็เห็นควันที่กำลังนั่งดูหนังอยู่ที่โซฟา ผมเดินผ่านหน้ามันไปหยิบร่มสีฟ้าน้ำทะเลที่ผมเก็บไว้มาสองปีแล้ว กางมันออกก็เห็นคำว่า BLUE ที่เขียนด้วยปากกาเมจิคสีน้ำเงินที่เริ่มเลือนลางแล้ว

“พรุ่งนี้ฝนจะตกเหรอมึง”

ควันทักผม คงเพราะเห็นว่าผมหยิบร่มขึ้นมากางดูในห้องนั้นแหละ ผมมองมันก่อนจะค่อยๆยิ้มออกมา

“กูเจอเจ้าของร่มแล้วว่ะ”

“ก็เจอมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ แต่เสือกป๊อด ไม่กล้าเข้าไปหาเขาเอง”


พูดแล้วก็จี้ใจดำ...


ควันรู้ความลับทุกอย่างเกี่ยวกับผม พอๆกับที่ผมรู้ทุกเรื่องของควัน แต่เรื่องนี้ผมยังเจ็บใจจนตอนนี้ เจ็บใจที่ปล่อยให้เวลาสองปีมันสูญเปล่าโดยที่เขาเอาแต่แอบมองผม...และผมก็แอบมองเขาเช่นกัน

“ครั้งนี้กูสาบานว่ากูจะไม่ป๊อดแล้ว”

“...”

“น่ารักขึ้นเยอะเลย มึงรู้รึเปล่า”




.
..
...



วันต่อมาผมอาสาไปรับเพลิงที่กองประกวด เพราะได้ยินมันบ่นมาตั้งแต่เช้าว่าพ่อเอารถไปใช้ เผื่อบางทีผมไปรับเพลิงแล้วจะมีคนอื่นติดสอยห้อยตามมาด้วย และบลูก็ตามมาด้วยจริงๆ พวกเราไปที่ร้านเหล้ากันในคืนนั้น ในตอนที่เพลิงถามว่าผมกับบลูเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า ตอนนั้นผมก็ตกใจไม่น้อยและไม่รู้จะตอบคำถามของเพลิงยังไง

“แล้วนี่พวกมึงรู้จักกันมาก่อนเหมือนไอ้มาร์คกับไอ้เจ๋งมั้ยอ่ะ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าพวกมึงจะจบจากโรงเรียนเดียวกันนี่”
 
“เออ...” บลูอ้ำอึ้ง ผมเลยตัดปัญหานั้นด้วยคำตอบของผม

“ไม่รู้ ไม่เคยเห็นหน้า จำไม่ได้”


และจนถึงวันนี้ผมก็ยังรู้สึกผิด...พูดแรงไปรึเปล่านะ...บลูหน้าเสียหมดแล้ว...


วันนั้นหลังจากกลับจากร้านเหล้า บลูก็ขอแอดเฟสผม เฟสบุ๊คที่ผมรับเฉพาะเพื่อนของผมเท่านั้น มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ผมไม่ค่อยอยากรับใครที่ไม่รู้จักเข้ามาส่องในพื้นที่ของผม...แต่กับบลู...ผมกลับดีใจ และยินดีที่จะให้ตามที่เขาขอ

ผมแอบมองใบหน้าน่ารักที่ก้มหน้าก้มตาซ่อนความอายเอาไว้ ถึงในรถมันจะมืดยังไงผมก็ยังเห็นริ้วแดงๆที่ขึ้นอยู่บนแก้มขาวอยู่ดี หลังจากให้เฟสบุ๊คเขาเสร็จและบลูลงไปจากรถแล้วผมก็เผลอยิ้มออกมาเพียงคนเดียว กดตอบรับคำขอเป็นเพื่อนที่นานๆทีผมจะรับใครสักคนเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว

คืนนั้นบลูเข้ามารัวไลค์ในหน้าเฟสบุ๊คผม ผมที่กำลังจะนอนแล้วก็รู้สึกว่าผมคงจะต้องทำอะไรมากกว่านิ่งเฉยเหมือนเมื่อสองปีก่อน


ในเมื่อบลูเริ่มที่จะเดินเข้ามาในโลกของผมแล้ว...ผมก็ควรจะเดินเข้าไปในโลกของเขาเช่นกัน


ผมไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆเหมือนครั้งนั้นอีก

เพราะถ้าครั้งนี้ผมปล่อยให้คนที่เข้ามาวิ่งเล่นในหัวใจของผมตลอดสองปีหลุดลอยไปอีก ผมคงคว้าเขากลับมาไม่ได้อีกแล้ว


และไอ้ควันมันคงตามด่าให้กับความโง่ของผมไปอีกนาน...



.
..




“มึงบอกกูมาเดี๋ยวนี้เลยเชี่ยหมอก ไปสนิทกับไอ้บลูขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ”

“...”

“มึงจะจีบเพื่อนกูใช่มั้ยสาสสสส”

“อืม”

“ห๊ะ!”

“ก็อืม...จะจีบ”

หลังจากที่ไอ้เพจตามติดชีวิตผมกับควันมันเอารูปที่ผมไปกินเค้กกับบลูไปลงในเพจ เพลิงมันก็ตามมาแหกอกผมถึงคอนโด ถามอยู่นั้นว่าทำไมผมถึงได้ไปกินเค้กกับบลู ทำไมถึงต้องเช็ดปากให้กัน พอผมยอมรับตรงๆว่าผมจะจีบบลู มันก็อ้าปากค้าง หมดกัน...ภาพลักษณ์เดือนคณะผม

“มะ...มึง...มึงจะจีบไอ้บลูจริงๆเหรอ”

“อืม...กูชอบบลูมานานแล้ว”

“เห้ย! ไหนมึงบอกว่าพวกมึงไม่เคยรู้จักกันไงวะ” เพลิงมันยังคงอึ้ง แต่มันก็ซักผมไม่จบสักที ถ้าผมเป็นผ้าสกปรกๆผืนหนึ่ง ป่านนี้ผมคงขาวสะอาดแล้วแหละครับ

“ก็ไม่เคยรู้จักกันอย่างเป็นทางการ...แต่กูแอบมองเขาบ่อยๆ”

“มึงจริงจังใช่มั้ยวะ” เพลิงถามเพื่อความแน่ใจ

“แล้วมึงเห็นว่ากูล้อเล่นงั้นเหรอ” ผมถามกลับ

เพลิงมันส่ายหน้า ก่อนจะทรุดตัวลงข้างผม

“ถ้ามึงชอบมันจริงๆก็วิ่งเข้าชนเลย...บอกตามตรงนะ อยู่ในกองประกวดอ่ะ มีหลายคนมากที่มองมันอยู่ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพลังคู่จิ้นระหว่างกูกับมันครอบกะลาหัวอยู่ ไอ้บลูโดนตกไปแน่ๆ”



.
..
...



ความรู้สึกของผมที่มีต่อบลูมีเพียงแค่ควันและเพลิงเท่านั้นที่รู้ ผมไม่เคยพูดให้เขาได้ยิน แต่อาศัยการกระทำของผมเป็นการตอบแทน ผมตามรับตามส่งบลูตลอดเวลาที่อยู่ในช่วงการประกวด วันที่ประกวดผมรู้ว่าเพลงที่เขาร้องนั้นมันหมายความว่ายังไง

ถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป..ทั้งสายตา...และความหมายของเนื้อเพลงที่เขาส่งมาถึงผมตลอดนั้น ผมก็คิดว่าเขาก็รู้สึกแบบเดียวกับผม

ผมเดินไปที่ซุ้มขายดอกกุหลาบ มีดอกกุหลาบอยู่ห้าสี ผมอ่านความหมายของแต่ละสี พร้อมจำนวนของดอกกุหลาบแล้วผมก็ตัดสินใจเลือกดอกกุหลาบสีแดง จำนวน 12 ดอก...


ที่หมายความว่า ผมกำลังแอบชอบขา...และเขาก็แอบชอบผม...


เหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ผมกับเขา...เราไปกินหมูย่างเกาหลีด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกัน แต่หลังจากกลับมาถึงห้อง ผมก็จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยสายตาเครียดๆ

หลังจากที่เห็นรูปที่ผมกับบลูที่ถูกถ่ายหน้าโรงหนังวันนี้มีคนแชร์ไปมากขนาดไหน พร้อมกับการตั้งคำถามของแต่ละคนว่าผมเป็นอะไรกับบลู ผมคิดว่าจะปล่อยให้คนอื่นสงสัยกันต่อไป ในเมื่อมันเป็นเรื่องระหว่างผมและบลู ทำไมคนนอกต้องรู้ แต่จากที่เห็นคอมเมนต์ที่มีคนกดถูกใจมากที่สุดแล้วผมก็ต้องนวดขมับเบาๆ


Namwhan Thitinan : เราถามบลูมาแล้วนะคะ หมอกกับบลูเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ ไม่ได้เป็นมากกว่าเพื่อนเหมือนอย่างที่ทุกคนคิดเลย ดูหลักฐานได้เลยว่าเราไปถามบลูมาจริงๆ


ผมมองภาพแคปข้อความระหว่างเธอกับบลูที่คุยโต้ตอบกัน แล้วก็รู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ



ที่ผมทำไปมันยังชัดเจนไม่พออีกเหรอว่าผมไม่ได้คิดกับเขาแค่เพื่อน...



หรือว่าผมต้องทำอะไรมากกว่านี้ใช่มั้ยเขาถึงจะได้เข้าใจว่าผมกำลังจีบ ไมได้จะเป็นเพื่อน?


คิดได้ดังนั้นผมก็รัวมือลงบนแป้นพิมพ์ ตั้งสเตตัสเฟสบุ๊คที่ไม่ได้อัพเดทมาชาติเศษ แถมคราวนี้เปิดเป็นสาธารณะด้วย จะได้แชร์ไปให้รู้ทั้งมอ เอาให้เดือนคณะวิทยาศาสตร์ปีนี้ตาสว่างด้วย


Kavi Worakul
Just now

I don’t wanna be your friend
But, I wanna be your boyfriend : )


tbc.

พาร์ทนี้เป็น flashback ในส่วนของหมอกทั้งหมดเลย
ชอบไม่ชอบ ติชมได้นะคะ จะพยายามพัฒนางานเขียนของเราไปเรื่อยๆค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน กดเฟบไว้ และคอมเมนต์มากๆนะคะ
เป็นแรงผลักดันที่ดีมากๆเลยค่ะ

 
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 23-02-2018 20:50:01
อ่าาาาานะ. กล้าๆหน่อย.

ใจตรงกัน แต่ปิดไปปิดมา ฮิ้วววว

 :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:

....

.
.
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 23-02-2018 21:19:20
ลุยค่ะ

 o13
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Plavann ที่ 23-02-2018 21:42:50
Good job!!! มากหมอก ออกตัวเลยแบบนี้แหละบลูจะได้มั่นใจ การกระทำกับคำพูดสำคัญทั้งคู่นั่นแหละ
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 23-02-2018 21:47:16
 :hao3: สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 23-02-2018 22:46:21
การกระทำยังไม่มากพอ ต้องพูดให้บลูรู้ด้วยเน้อออ
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-02-2018 02:11:46
ต้องกล้าต้องชัดเจนแบบนี้สิ
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 24-02-2018 21:03:35
หูยยยย  พี่หมอกคนจริงมาแล้วจ้า  มันต้องอย่างนี้ ๆ  :m3:
โปรดเข้าใจความเป็นน้องบลูนะจ้ะ น้องแค่ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง
เพราะงั้นหมอกต้องเป็นฝ่ายบอกความในใจก่อนน้า
ประกาศให้โลกรู้อย่างนี้ก็ดี จะให้ดียิ่งขึ้น ไปพูดกับเจ้าตัวตรง ๆ อีกทีเถอะจ้า
เป็นกำลังใจให้คนเขียน เราชอบเรื่องนี้มากนะคะ ><

หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-02-2018 22:23:09
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: dino94 ที่ 26-02-2018 14:59:24
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
เขิงงงงงงงงงงงงงง
มาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 27-02-2018 11:57:27
สนุกมากๆเลย ติดตามนะคะ
หัวข้อ: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 9 - งอนแล้วต้องง้อยังไง P.3 -27/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 27-02-2018 20:31:46



บทที่ 9
งอนแล้วต้องง้อยังไง




Kavee Worakul
Yesterday at 23:58

I don’t wanna be your friend
But, I wanna be your boyfriend : )



สเตตัสของ กวี วรกุล ที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้...แค่ประโยคภาษาอังกฤษง่ายๆเพียงแค่สองบรรทัด แต่คอมเมนต์นั้นปาไป 500 กว่าคอมเมนต์ คนถูกใจอีก 2000 กว่าไลค์ แชร์ไปอีก 300….

เพราะหมอกไม่เคยเปิดสเตตัสให้เป็นสาธารณะเลยสักครั้ง พอผู้ชายของทุกคนทำตัวเป็นสาธารณะแล้ว ความฮอตก็ฉุดไม่อยู่

ผมจะไม่ตกใจขนาดนี้หรอกถ้าว่านมันไม่โทรเรียกผมให้ตื่นมาดูข้อความของหมอกตั้งแต่เช้า พร้อมกับพูดกรอกหูผมตลอดเวลาว่าหมอกอัพถึงผมแน่นอน

ผมก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองนักหรอก...แต่เมื่อคืนน้ำหวานพึ่งแก้ข่าวให้ผมเองว่าผมกับหมอกเป็นแค่เพื่อนกัน แล้วหมอกก็มาอัพว่าไม่อยากเป็นแค่เพื่อน แต่อยากเป็นแฟน คือถามว่ามันรุนแรงกับหัวใจผมมากมั้ย...ก็ต้องบอกว่าเหมือนโดนหย่อนระเบิดนิวเคลียร์ลงมาที่หัวใจของผมเลยอ่ะ...


.
..



“หน้าอิ่มเอิบสัสๆ เขาทักมึงมาแล้วเหรอวันนี้อ่ะ”

ว่านทักเมื่อผมเดินเข้ามานั่งในห้องเรียน เผลอจับหน้าตัวเองตอนโดนทักว่าหน้าอิ่มเอิบ...นี่มันกำลังหลอกด่าว่าผมหน้าบานรึเปล่าวะ

“ยังไม่ได้ทักมา ถามทำไม” ผมตอบพลางหยิบชีทเรียนขึ้นมาวางบนโต๊ะด้วย

“ก็แหมมมม เพื่อนโดนจีบทั้งที กูก็อยากติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดน่ะสิ”

“มึงมั่นใจใช่มั้ยว่าเขาพูดถึงกู” ผมถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ผมก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองนักหรอก ต้องให้เพื่อนยืนยันความคิดของผมอีกสักที

“โหหหหห เอาหัวกูเป็นประกัน นั่งยัน นอนยัน ยังไงเขาก็อัพถึงมึง เมื่อคืนกูวางโทรศัพท์ไม่ได้เลย ประเด็นของมึงกับหมอกโคตรฮอต พอน้ำหวานมาแก้ข่าว หมอกก็อัพสเตตัสปั๊บ น้ำหวานนี่หน้าแหกกลับคณะไปเลยมั้ง เจอพ่อออกโรงเองขนาดนี้”

“มึงก็พูดเกินไป” ผมพูดเสียงเบา เพราะอาจารย์เดินเข้ามาแล้ว

“พูดเกินไปอะไร จริงกว่านี้ไม่มีอีกแล้วโว้ย”
.
..
...




ตั้งแต่วันนั้น ผ่านมา 5 วันแล้วที่หมอกหายไปจากชีวิตของผม ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะยุ่งเรื่องเรียน หรือมีธุระอะไรสักอย่างเลยไม่ว่างที่จะทักมาหาผม ทั้งๆที่มีทั้งไลน์ เบอร์ หรือแม้แต่แชทในเฟสบุ๊ค แต่เขาก็ไม่เคยทักผมมาเลยสักครั้ง

“มึงจะมานั่งเป็นหมาโดนเจ้าของทิ้งอย่างนี้ทำไมวะ เขาไม่ทักมามึงก็ทักไปเองสิ”

ว่านแนะนำหลังจากที่ผมทำการบ้านแคลคูลัสเสร็จ แล้วยื่นให้ว่านลอกต่อ ผมนอนมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีแจ้งเตือนจากทุกคนยกเว้นคนที่ผมรอคอย นั่งมองมันมาอย่างนั้นได้ 5 วันแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าหมอกจะทักมาเหมือนเช่นเดิม

“หรือกูจะลองทักไปหาเพลิงก่อนดี” ผมถามความเห็นของว่าน

“เอาที่มึงสบายใจอ่ะ อย่าพึ่งชวนคุย ขอลอกการบ้านก่อน” มันว่าอย่างนั้นแล้วก็ลงมือลอกการบ้านของผมต่อ ผมเลยหันกลับมามองโทรศัพท์อีกครั้ง และตัดสินใจลองทักเพลิงไปดูก่อน

BLUEBLUR : เพลิง ว่างรึเปล่า

Plerng : ว่าไงเหรอบลู

BLUEBLUR : ช่วงนี้พวกเพลิงมีสอบอะไรรึเปล่าอ่ะ

Plerng : ก็ไม่นะ ก็เรียนเรื่อยๆ สอบก็มิดเทอมนู้นแหละ

BLUEBLUR : อ๋อ

Plerng : มีอะไร จะมาหลอกถามถึงไอ้หมอกเหรอ


ผมเผลอสะดุ้งทั้งๆที่รู้ว่าเพลิงคงมองไม่เห็น ทำไมถึงรู้ล่ะ อ่านใจผมได้รึไง


BLUEBLUR : ไม่ได้จะถามถึงสักหน่อย

Plerng : ไม่ต้องเฉไฉหรอก เล่ามาสิว่ามีเรื่องอะไรเผื่อจะได้ช่วยได้

พอเพลิงบอกอย่างนั้นผมก็ลังเลสักพัก แล้วก็ตัดสินใจเล่าให้เพลิงฟังทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น เพลิงเงียบไปอยู่หลายนาทีก่อนจะตอบผมกลับมา

Plerng : มันงอนอยู่รึเปล่า ลองทักมันไปดิ


งั้นก็แสดงว่าหมอกโกรธผมเรื่องที่ผมตอบว่าเราเป็นแค่เพื่อนกันแน่ๆเลย ผมบอกขอบคุณเพลิงก่อนจะนั่งคิดขณะรอว่านทำการบ้านเสร็จว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี

หลังจากแยกกับว่านแล้วผมก็กลับมาที่ห้อง เดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่น สุดท้ายผมเลยลอกทักไลน์หมอกไปดู


BLUEBLUR : หมอก

BLUEBLUR: งอนเราเหรอ

BLUEBLUR : ขอโทษ


นั่งจ้องโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นมา 5 นาทีหมอกก็ยังไม่ตอบผม ผมเลยลองทักแชทในเฟสบุ๊คไปอีก รออีก 10 นาทีหมอกก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ่านข้อความของผมเลย

เหลือทางเดียวคือโทรหา...

“เอาวะ”

ผมพูดให้กำลังใจตัวเองก่อนจะกดเบอร์โทรของหมอก นั่งรออยู่ไม่นานสุดท้ายหมอกก็รับโทรศัพท์ ผมแทบจะกระโดดด้วยความดีใจ แต่ปลายสายกลับเงียบใส่ผมซะอย่างนั้น ผมเลยสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะทักอีกฝั่งสายก่อน

“หมอก”

[...]

ฮืออออออ เงียบทำไม ใจไม่ดีนะเว้ย T_____T

“โกรธเราเหรอ”

[…]

เงียบอีกแล้ว...นี่ใช่เบอร์หมอกจริงๆป่ะเนี่ย

“เออ...ใช่หมอกรึเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่ผมขอ...”

[อยู่ห้องรึเปล่า]

“ห๊ะ!” ผมงงไปหมดแล้ว กำลังจะขอโทษนึกว่าโทรผิดสาย แต่เสียงที่ถามผมกลับมานั้นมันเป็นเสียงของหมอก

[หรือจะมาหาที่ห้องเรา?]

“เออ...เราไปหาก็ได้”

ผมบอกไปอย่างนั้น ผมเป็นคนผิด ผมก็ต้องไปหาเขาสิ

[เดี๋ยวรออยู่ที่ห้อง ขึ้นมาได้เลย จำห้องเราได้อยู่ใช่มั้ย]

“ดะ...ได้...จะไปตอนนี้เลย”

[อืม]

พอหมอกวางสายผมก็รีบโกยของทุกอย่างใส่กระเป๋าทันที วิ่งสี่คูณร้อยไปโบกวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งที่คอนโดของหมอกซึ่งห่างออกไปจากคอนโดของผมมากพอสมควร พอมาถึงแล้วก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ 9 เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องหมายเลข 1 สูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งแล้วก็กดกริ่งที่ข้างประตู รอไม่นานประตูก็เปิดออก

“เข้ามาสิ”

หมอกว่าอย่างนั้นแล้วเดินเข้าไปด้านใน ผมเลยเดินตามไปแล้วปิดประตูให้สนิทเหมือนเดิม มองห้องที่เงียบสนิทแล้วเลยถามหมอกเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันอึมครึมเกินไป

“ควันไม่อยู่เหรอ”

“ไปติวหนังสือกลับเพื่อน บอกว่าจะกลับพรุ่งนี้”

หมอกตอบแบบนั้นผมเลยได้แต่พยักหน้าตอบรับ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลย เรายืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นสักพัก เหมือนหมอกจะรอให้ผมพูดก่อน แต่ผมก็ไม่ยอมปริปากสักที

“สรุปจะคุยเรื่องอะไร”

สุดท้ายหมอกก็เป็นคนถามผม ผมเหลือบตามองหมอกอีกครั้งแล้วก็รีบหลุบตาลงเหมือนเดิม บิดมือไปมาจนมันแดงไปหมด ก็มันเครียดอ่ะ ไม่เคยมีโมเมนต์อย่างนี้เลย ต้องทำยังไงผมก็ไม่รู้ สุดท้ายหมอกก็เดินเข้ามาหาแล้วดึงมือผมที่บีบกันไว้แล้วจับไว้ทั้งสองข้าง

“จะพูดอะไร เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดีๆ”

เขาว่าอย่างนั้น ผมเลยไม่มีทางเลือกนอกจากเงยหน้ามองหมอกที่อยู่ใกล้ผมเหลือเกิน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาเขินอะไรทั้งนั้น ผมต้องรีบพูดแล้วก่อนที่หมอกจะโมโหผมที่เอาแต่เงียบเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน

“หมอก...งอนเราเหรอ”

“ใช่”

ตอบมาแบบนี้ก็ไปต่อไม่ถูกเลย...เผลอกัดปากไปที แล้วหมอกก็เอามือมาดึงปากผมที่กำลังกัดอยู่ออกจากกัน...โอ้โห...ช็อตนี้แบบตายมั้ย...บอกเลยว่าตายแบบไม่ฟื้น

“ถ้าหมอกงอนเราเรื่องที่เราบอกน้ำหวานว่าเป็นแค่เพื่อนกับหมอกเราก็ขอโทษจริงๆ...คือตอนนั้นเราไม่กล้าคิดไปไกล...เราไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง”

ผมว่าอย่างนั้นแล้วก็ก้มหน้างุด แต่คนที่อยู่ตรงหน้าก็เชยคางผมให้เราสบตากัน แววตาของคนตรงหน้านั้นมีแต่ความจริงจัง...จริงจังจนผมไม่กล้าเขินเลย

“ทุกการกระทำที่เราทำมันไม่ชัดเจนพอเหรอ”

“...”

“ตั้งแต่วันที่เราแอดเฟสกัน ตั้งแต่ที่ไปรับไปส่งที่กองประกวด ดอกกุหลาบ 12 ดอกนั้นไม่รู้ความหมายเลยเหรอ”

คำถามที่หมอกถามมามันทำให้ผมพูดไม่ออก พอคิดย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่เราคุยกัน...ใช่...หมอกชัดเจนมาตลอด มีแต่ผมที่ไม่ยอมรับ...ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองเพราะกลัวความผิดหวัง กลัวว่าถ้าหมอกจะคิดไม่เหมือนกัน ผมคงเจ็บจนทนไม่ไหว

“ขอโทษ” ผมก้มหน้างุด ได้ยินเสียงถอนหายใจของหมอกเบาๆแล้วผมก็ยิ่งรู้สึกผิด

“เลิกพูดคำว่าขอโทษสักที ได้ยินจนเบื่อแล้ว”

“แต่ไม่มีคำไหนที่เหมาะไปกว่าคำว่าขอโทษแล้ว ขอโทษจริงๆ เราขอโทษนะหมอก”

“เลิกพูดคำว่าขอโทษสักที ตั้งแต่รู้จักกันมาพูดคำนี้ไปกี่ครั้งแล้ว” หมอกพูดเสียงนิ่งๆ ผมเงยหน้าหมายจะค้าน

“แต่...”

“ถ้าพูดอีกครั้งจะจูบจริงๆด้วย” ผมกำลังจะอ้าปากประท้วง แต่น้ำเสียงนิ่งในประโยคถัดมาก็ทำเอาผมหุบปากทันที

“ไม่แล้ว...ไม่พูดแล้ว”

ผมรีบปฏิเสธและแอบมองปฏิกิริยาของหมอกอีกครั้ง เห็นแววตาของหมอกที่อ่อนลงให้ผม ผมเลยกล้าที่จะพูดในสิ่งที่ติดค้างในใจออกมา

“หมอกหายงอนเราแล้วเหรอ”

“จะหายถ้าค้างที่นี่”

ผมเผลอเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเงื่อนไขของหมอก ค้างเหรอ...ค้างกับหมอกสองต่อสองเนี่ยนะ!

“เงียบทำไม หรือว่าไม่อยากง้อแล้ว”

“ยะ...อยาก...อยากสิ...ก็ได้...ค้างก็ได้ แต่ต้องหายงอนนะ” ผมตัดสินใจยอมรับเงื่อนไขของหมอก เพราะถ้าไม่ยอมรับแล้วหมอกไม่ยอมคุยกับผมอีกต่อไปจะทำยังไงล่ะ

“ครับ”

พอหมอกตอบอย่างนั้นผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลยดิ ทำไมต้องมาพูดเพราะแล้วยิ้มหวานใส่ผมด้วยเนี่ย หัวใจผมมันไม่ได้แข็งแรงพอจะรับเรื่องแบบนี้ได้หรอกนะ

“แต่ว่าเราไม่ได้เอาอะไรมาเลยนะ” ผมแย้ง ในกระเป๋ามีแค่โทรศัพท์กับกระเป๋าเงินแค่นั้นเอง หรือผมต้องกลับห้องไปเก็บของมาก่อนรึเปล่านะ

“ไม่ต้องไปไหน อยู่นี่แหละ มีให้ทุกอย่าง”

หมอกว่าแล้วก็จูงมือผมเข้าไปห้องนอนทางด้านขวาที่คงจะเป็นห้องของหมอก ผมมองเข้าไปด้านในที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ห้องของหมอกทาด้วยสีน้ำเงินเข้มตัดกับสีขาว มีเตียงหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ข้างๆกันเป็นโต๊ะหนังสือตัวยาวที่มีหนังสือกฎหมายที่ผมไม่ค่อยรู้จักวางตั้งไว้อยู่

ไม่ทันได้สำรวจอย่างละเอียด หมอกก็พาผมไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบแปรงสีฟันที่ยังไม่ได้แกะกล่องมาให้ผมถือ แล้วเขาก็เปิดตู้เสื้อผ้าเอาผ้าขนหนูที่พับอย่างเรียบร้อยยัดใส่มือผม

“ผ้าขนหนู...ซักสะอาดแล้ว”

“อ้อ...” ผมขานรับ แอบดมกลิ่นหอมๆของผ้าขนหนูขณะมองหมอกรื้อตู้เสื้อผ้าต่อ

“ชุดพวกนี้คงพอใส่ได้ใช่มั้ย”

หมอกเอาชุดของเขามาทาบลงบนตัวผม กะประเมินด้วยสายตาตัวเองแล้วก็พยักหน้าหงึกหงักอยู่คนเดียว ก่อนจะดันผมเข้าไปในห้องน้ำในห้องนอนของเขา

“ไปอาบน้ำไป เสร็จแล้วจะได้ออกมากินข้าว”

“ตอนนี้เลยเหรอ” ผมเบรกเท้าไว้ก่อนขาจะก้าวเข้าไปในห้องน้ำ พอบอกว่าจะค้างก็บังคับให้อาบน้ำเลยโว้ย งงไปหมดแล้วเนี่ย

“ใช่ ตอนนี้แหละ เดี๋ยวทำกับข้าวรอ”

แล้วหมอกก็ดันผมเข้าห้องน้ำได้สำเร็จ ผมมองบานประตูที่กั้นระหว่างผมกับเขาด้วยความไม่เข้าใจ...


ไม่เข้าใจว่าผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง


จุดที่ต้องนอนค้างที่คอนโดหมอกเนี่ย โว้ยยยยยยยยย จะเป็นบ้าตายแล้ววววว




[มีต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 9 - งอนแล้วต้องง้อยังไง P.3 -27/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 27-02-2018 20:34:59

ผมอาบน้ำเสร็จก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา เหลือบตามองไปทั้งห้องนอนก็ไม่เห็นหมอก เลยถือจังหวะนี้เดินสำรวจห้องนอนซะเลย ห้องของหมอกมีมุมหนังสืออีกมุมที่ไม่ใช่หนังสือเรียนแนวกฎหมายแต่เป็นพวกหนังสือการ์ตูนที่ตั้งเรียงเป็นเซ็ต ชั้นบนเป็นฟิกเกอร์สุนัขตั้งเรียงอยู่ 5-6 ตัว มีแต่ตัวน่ารักๆทั้งนั้นเลย

ผมมองแล้วก็อมยิ้มเบาๆ ไม่ได้แตะต้องพวกมันแล้วก็เดินออกมาห้องนั่งเล่น ได้กลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูกก็ลากเท้าเดินไปดูคนตัวสูงที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตา

“ทำอะไรเหรอ” ผมถาม แล้วชะโงกดูหมอกที่กำลังผัดอะไรบางอย่างอยู่

“ผัดกระเพราหมูสับ...ตักข้าวดิ กำลังจะเสร็จแล้ว”

ผมทำตามที่หมอกสั่ง หยิบจานมาสองใบและตักข้าวสวยใส่จานในปริมาณที่พอดี หยิบช้อนและส้อมวางในแต่ละจานแล้วเอามาวางที่โต๊ะทานข้าว หมอกถือผัดกระเพราะหน้าตาน่าทานวางลงตรงกลาง ก่อนจะไปยกไข่ตุ๋นร้อนๆมาวางอีกจาน

“โหหหหหหห หมอกทำเป็นขนาดนี้เลยเหรอ” ผมมองเมนูที่อยู่ตรงหน้า เหมือนมันจะเป็นเมนูง่ายๆ แต่ผมที่ทำเป็นแค่ไข่เจียวกับต้มมาม่าก็อดตื่นเต้นไม่ได้

“ก็ไม่เห็นจะยาก ช่วยแม่เข้าครัวตั้งแต่เด็กเลยจำมา...ลองชิมสิ”

ผมพยักหน้าและลองตักผัดกระเพราะหมูสับกินพร้อมข้าวสวยร้อนๆ รสชาติผัดกระเพราของหมอกอร่อยกว่าตามร้านข้างทางเป็นไหนๆ รสชาติถูกปากผมมากจริงๆ ทำได้แค่ยกนิ้วโป้งให้แล้วก็ตักไข่ตุ๋นกินตามไปด้วย พึ่งนึกได้ว่าวันนี้ผมยังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน เพราะมัวแต่เครียดเรื่องหมอกอยู่นั้นแหละ อาหารมื้อนี้เลยรู้สึกว่ามันอร่อยมากกว่าปกติ


“กินช้าๆก็ได้ ไม่มีใครแย่งกินหรอก” หมอกปรามผมที่แทบจะกลืนข้าวลงคอทันทีที่เข้าปาก

“ก็คนมันหิวนี่นา”

“ไม่ได้กินข้าวเที่ยงมาเหรอ”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะตักไข่ตุ๋นคำใหญ่เข้าปาก เห็นหมอกหัวเราะเบาๆผมเลยใช้สายตาถามแทนปากว่า หัวเราะอะไร เพราะกำลังเคี้ยวข้าวอยู่เลยถามไปไม่ได้

แต่หมอกกลับไม่ตอบคำถามผมแล้วใช้มือเช็ดมุมปากผมที่มีไข่ตุ๋นชิ้นเล็กติดอยู่แล้วเอาเข้าปากของเขาซะงั้น


อ่า...กินข้าวต่อไม่ถูกเลย



หลังจากกินข้าวด้วยกันเสร็จ เราก็ช่วยกันล้างจาน เก็บจานจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ นั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟาขณะที่รอหมอกอาบน้ำ เลยหยิบโทรศัพท์มาเล่นไปพลางๆ แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อนที่ผมจะได้กดเข้าไปที่แอพไหน

“ว่าไงว่าน” เป็นว่านที่โทรเข้ามาหาผมในตอนนี้

[ไม่อยู่ห้องเหรอวะบลู เคาะห้องตั้งนานแล้วนะ]

“อืม...ไม่อยู่ มีอะไรเหรอ”

[แล้วไปไหนอ่ะ นี่ก็สามทุ่มแล้วนะ ยังไม่กลับห้องอีก]

“เออ...ตอนนี้เราอยู่ห้องหมอกน่ะ” พอผมพูดจบ ผมก็ต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูทันที เพราะเสียงของว่านที่ตอบกลับมาดูตกใจมากๆ

[อะไรนะบลู! อยู่ห้องหมอก! ทำไมพวกมึงไวไฟกันอย่างนี้!!]

“เดี๋ยวๆ ไวไฟอะไร กูมาง้อหมอก...เขางอนกูแบบที่คิดไว้จริงๆ”
 
[แล้วง้อสำเร็จมั้ยล่ะ] น้ำเสียงของว่านนี่อยากรู้อยากเห็นสุดๆ นั้นสิ...สำเร็จรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมยอมค้างที่นี่กับหมอกแล้ว...ก็คงจะสำเร็จแหละมั้ง

“ก็...คงสำเร็จมั้ง...แล้วมึงไปหากูที่ห้องมีอะไร”

[ว่าจะชวนไปหาอะไรกินเฉยๆ กูไปหากินเองก็ได้ อยู่กับผัว...เอ้ย! กับเพื่อนให้มีความสุขนะ แค่นี้แหละ]

พูดจบก็วางสายไปเลย ผมมองหน้าจอที่ดับสนิทแล้วก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก หันไปมองก็เห็นว่าหมอกยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของเจ้าตัว

“หมอกจะให้เรานอนตรงไหน...เรานอนที่โซฟาก็ได้นะ” ผมรีบบอกด้วยความเกรงใจเจ้าของห้อง

“มานอนในห้องนอน”

ว่าแล้วก็กวักมือเรียกผมอยู่หน้าห้องนอนนั้นแหละ ผมเลยเดินไปหาคนตัวสูง แอบส่องเข้าไปในห้องนึกว่าจะมีฟูกปูไว้ที่พื้นให้แล้วถึงเรียกให้ไปนอนที่ห้องนอน แต่กลับไม่เห็นอะไรนอกจากพื้นห้องเปล่าๆ

“เออ...ให้เรานอนบนพื้นเหรอ...มีหมอนสักใบมั้ย” ผมถามด้วยความเกรงใจ ถ้าให้นอนพื้นโดยที่ไม่มีหมอนเลย ผมขอเลือกนอนโซฟายังดีกว่า

“นอนบนพื้นอะไร นอนบนเตียงสิ” หมอกยังตอบคำถามผมอย่างใจเย็น

“แล้วถ้าเรานอนบนเตียง หมอกจะนอนที่พื้นเหรอ...หรือจะนอนโซฟาข้างนอก” ผมชี้ไปที่โซฟาที่ผมพึ่งลุกออกมา ได้ยินเสียงหมอกถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ยกร่างของผมลอยหวือขึ้นจากพื้น เห้ยยย!!!

“ไปนอนด้วยกันบนเตียงนี่แหละ เข้าใจอะไรยากจัง”

พูดจบก็อุ้มผมแล้วเดินไปที่เตียงกว้างกลางห้องนอนทันทีโดยไม่สนใจหน้าตื่นๆของผมเลยสักนิด ผมตกใจจนพูดไม่ออกตอนที่หมอกวางผมลงบนเตียง แล้วเขาก็คร่อมร่างผม...


โคตรล่อแหลม...


เรามาถึงจุดนี้กันได้ยังไงครับ T________T


“เออ...” กว่าผมจะควานหาเสียงหัวเองเจอ สบตากับดวงตาเรียวของหมอกที่จ้องผมจนจะทะลุแล้ว อยากหันหน้าหนีก็ทำไม่ได้

“ยังไม่ได้ถอดคอนแทคเลนส์ใช่มั้ย”

“ห๊ะ!” ผมงงกับประโยคของหมอก พอนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ถอดคอนแทคเลนส์จริงๆก็พยักหน้าเบาๆ

หมอกดึงผมให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วเขาก็เปิดลิ้นชักข้างเตียง ผมมองการกระทำที่ไม่ได้บอกได้กล่าวอะไรให้ผมได้รับรู้ จนเมื่อหมอกแกะกล่องน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ออกแล้วก็ยื่นตลับเล็กๆให้ผม

“ยังไม่ได้ใช้เลย ไปถอดซะสิ”

“ขอบคุณ” ผมพึมพำและรับตลับคอนแทคเลนส์พร้อมน้ำยาขวดใหม่ของหมอก เดินไปถอดคอนแทคเลนส์ หมอกก็มายืนรออยู่หน้าห้องน้ำ จนเมื่อผมถอดเสร็จและล้างหน้าเรียบร้อย หมอกก็จูงมือผมเดินมาถึงเตียง

“หมอก” ผมพูดเสียงเบา เมื่อนั่งลงบนเตียงแล้ว

“ว่าอะไร”

“คือเราสายตาสั้น...ไม่ได้ตาบอด” ผมมองมือหนาที่ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากมือของผมสักที

“ก็รู้อยู่ แต่ก็เป็นห่วงกลัวเดินชนเสา”

“ไม่ได้สายตาสั้นจนมองไม่เห็นอะไรสักหน่อย ตอนนี้ก็เห็นหน้าหมอกชัดเจน” ผมพูดตามที่เห็นจริงๆ ก็เรานั่งอยู่ข้างกัน ผมไม่ต้องใส่คอนแทคเลนส์ก็เห็นชัดไปถึงขนตาของหมอกเลยด้วยซ้ำ

“งั้นมองเห็นอะไรบ้าง ว่ามาสิ”

พูดไม่พอ แถมยื่นหน้าหล่อๆเข้ามาใกล้ ผมเผลอถดตัวหนีคนตรงหน้า แล้วมองสำรวจใบหน้าที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นใกล้ขนาดนี้ ผิวของหมอกมันขาวเนียนละเอียด ไม่มีสิวหรือผดผื่นขึ้นเลยแม้แต่นิด ดวงตาเรียวนั้นถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่ามันเป็นตาสองชั้นจริงๆ แถมจมูกที่โด่งได้รูปก็รับกับกระจับปากสีชมพูอ่อนอีกด้วย


ทำไมคนๆนี้ต้องสมบูรณ์แบบขนาดนี้ด้วย


ไม่ยุติธรรมต่อใจผมเลยจริงๆ ให้ตายเหอะ : (


“ก็เห็นหน้าหมอกไง ถอยออกไปเลย”

ผมดันอกหนาออกเบาๆ ไม่รู้จะทำตัวยังไงในสถานการณ์อย่างนี้เลยคว้าหมอนข้างที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาวางไว้ระหว่างเราสองคน

“แบ่งเขตแล้วกัน อันนี้ฝั่งของเรา จะพยายามไม่นอนดิ้นนะ” ผมว่าแล้วนอนลงบนพื้นที่ที่แบ่งไว้ มันก็กว้างพอที่ผมจะนอนได้อย่างสบาย แต่ปกติแล้วผมชอบนอนดิ้นไง กลัวหมอกจะรำคาญเอาน่ะสิ

“ไม่ต้องมีหมอนข้างก็ได้มั้ง”

เสียงเจ้าของห้องติดจะหงุดหงิดนิดหน่อย ผมเหล่สายตามองหมอกที่พยายามจะดึงหมอนข้างออกให้ได้ แต่ผมก็ใช้ขาทับเอาไว้ไม่ยอมให้หมอกดึงได้สำเร็จ แล้วก็กระตุกแขนให้หมอกนอนได้แล้ว ไม่งั้นหมอกก็คงจะดึงจนหมอนข้างปลิวตกพื้นอีกรอบแน่ๆ

“มีหมอนข้างไว้แบบนี้แหละดีแล้วๆ นอนกันๆ”

พอผมพูดอย่างนั้นหมอกเลยยอมปล่อยหมอนข้างไว้ที่เดิม และนอนลงในพื้นที่ของหมอก พวกเรานอนมองเพดานอยู่อย่างนั้นเพราะตอนนี้ยังไม่ใช่เวลานอนเลยด้วยซ้ำ

“เออ...หมอก...”

“หืม?” คนที่นอนข้างๆขานรับ ผมที่นอนมองเพดานอยู่เลยตัดสินใจถามคำถามที่ติดอยู่ในหัวตั้งแต่ยอมตกลงค้างที่นี่

“ถ้าตอนที่หมอกบอกว่าจะไปหาเราที่ห้องแล้วเราไม่บอกว่าจะมาหาเอง...หมอกก็จะค้างที่ห้องเราใช่มั้ย”

“ใช่”

แล้วเสียงทุ้มก็ตอบผมกลับมาทันที หัวใจที่เต้นเร็วอยู่แล้วยิ่งห้ามให้มันเต้นเร็วมากกว่าเดิมไม่ได้ ผมหันไปมองหมอกที่ก็หันมาหาผมเช่นกัน ดวงตาเรียวนั้นราวกับจะดึงดูดผมเข้าไปทุกขณะที่จ้องมอง

“เตรียมของใส่กระเป๋าตั้งแต่โดนทักมาทางไลน์ล่ะ แต่เผอิญคนอยากง้อจะมาที่นี่แทน ก็เลยได้นอนห้องตัวเองเหมือนเดิม”

หมอกพูดแล้วอมยิ้มนิดๆ จนผมอดไม่ได้ที่เหน็บแนมคนที่มีแผนการล้ำลึกข้างๆนี่เหลือเกิน

“เจ้าเล่ห์จริงๆ”

“หึ...ถ้าไม่เจ้าเล่ห์จะได้นอนกอดแบบนี้เหรอ”

“เห้ย!!”

พอสิ้นคำนั้นร่างสูงก็พลิกตัวมาทางผม แขนยาวๆของหมอกพาดผ่านหมอนข้างจนสามารถรัดรอบตัวผมได้ง่ายๆ ผมเบิกตากว้าง ร่างกายเหมือนถูกดึงให้เข้าไปใกล้ชิดหมอกมากกว่าเดิม พอจะดิ้นก็ดิ้นไม่ได้เพราะคนที่ตัวสูงกว่าใช้ทั้งขาทั้งแขนรัดร่างผมพร้อมกับหมอนข้างเอาไว้

“นอนกันเถอะ ง่วงแล้ว” เสียงทุ้มๆกระซิบข้างหูของผม ผมมองดวงตาเรียวในระยะประชิด เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของหมอกแล้วก็ต้องยอมแพ้


ผมแพ้เขาจริงๆ


ไม่มีทางชนะได้เลย...


tbc.

ตอนแรกบอกว่าจะอัพวันศุกร์ แต่ว่าเราเอาคอมมาด้วย
โรงแรมก็เน็ตแรง อัพซะเลยแล้วกัน5555555555
พระเอกของเรามันร้ายค่ะ แต่งไปก็หมั่นไส้ไป
บลูตามอะไรนังหมอกทันมั้ยลูกกกกกกก
เหมือนกระต่ายหลงเข้าถ้ำเสือเลยลูกแม่
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 9 - งอนแล้วต้องง้อยังไง P.3 -27/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 27-02-2018 21:05:21
โถหมอกก แกล้งงอนให้บลูมาง้อรึเปล่าเนี่ยย
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 9 - งอนแล้วต้องง้อยังไง P.3 -27/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 27-02-2018 22:33:00
หมอกคนนิ่งได้ตายไปแล้ว
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 9 - งอนแล้วต้องง้อยังไง P.3 -27/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 28-02-2018 23:10:12
หมั่นไส้เค้านะคะ 555555555555555555555
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 9 - งอนแล้วต้องง้อยังไง P.3 -27/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Zeta ที่ 01-03-2018 15:11:22
เจ้าเล่ห์มากอ่ะหมอก เขินเหมือนตัวเองเป็นบลู  :-[
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 9 - งอนแล้วต้องง้อยังไง P.3 -27/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 01-03-2018 16:15:23
ตกลงใครจะทำตัวให้ไปอยู่ในสายตาใครกันแน่ค้าาาา เราชอบจังเลย น่ารักจังเลย
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 9 - งอนแล้วต้องง้อยังไง P.3 -27/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 01-03-2018 16:48:18
พอบอกว่าจะรุก ก็รุกซะทำตัวไม่ถูกเลยน้อ
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 9 - งอนแล้วต้องง้อยังไง P.3 -27/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 01-03-2018 20:54:01
หูย แผนสูงจริงจริ๊งคุณหมอก  :-[
น้องบลูมาง้อถึงห้อง แถมยังได้นอนกอดอีก เขิน > <
แต่ชอบความช่างดูแลของหมอกมากกก
จัดเตรียมให้ทุกอย่าง ทำกับข้าวให้กิน
ใส่ใจกระทั่งเรื่องคอนแทคเลนส์ เตรียมน้ำยาล้างไว้ให้อีก โหย
ขอน้องบลูเป็นแฟนเลยเถอะจ้า จะได้ไม่มีหมอนข้างกั้นนะ 555
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 10 - หน้า 3 --02/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 02-03-2018 18:55:18



บทที่ 10
โกหกไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่



ปังๆๆๆๆๆ

“หมอกกกกกกกกก”

ปังๆๆๆๆๆ

“เชี่ยหมอกกกกกกก ตื่นนนนนนนนนนน”

ปังๆๆๆๆๆ

“ตื่น! เดี๋ยว! นี้! ไอ้เหี้ยหมอกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”


เสียงที่ร้องตะโกนโหวกเหวกสลับกับเสียงทุบประตูทำให้ผมที่กำลังจมดิ่งอยู่ในความฝันต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่พอจะขยับตัวกลับรู้สึกแน่นที่รอบเอว ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของใครบางคนอยู่ เปลือกตาของหมอกปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ แม้ว่าประตูห้องนอนใกล้จะพังเพราะโดนทุบเต็มที


“จะตื่นดีมั้ยๆ ไม่ตื่นจะพังประตูเข้าไปแล้วนะสาสสสส”


เสียงด้านนอกยังคงดังแทรกเข้ามา ผมที่คิดประมวลผลอยู่ไม่นาน พอรู้ว่าเสียงด้านนอกห้องนอนเป็นเสียงของใครก็ต้องเบิกตากว้าง รีบเขย่าร่างของหมอกที่ยังหลับทันที

“หมอก ตื่นได้แล้ว” ผมว่าและเขย่าร่างของหมอกไม่หยุด คนตรงหน้าถึงค่อยๆลืมตาขึ้น

“หืม?”

“ควันกลับมาแล้ว”

ผมบอก เสียงทุบประตูยังคงดังเป็นจังหวะ ได้ยินเสียงหมอกถอนหายใจแล้วคลายอ้อมกอดออกให้ผมเป็นอิสระ ขยี้ตาแล้วลูบผมที่ไม่เป็นทรงให้มันไม่ยุ่งฟูแล้วก็เดินไปเปิดประตูให้คนด้านนอก ส่วนผมก็รีบหลบอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ไม่รู้กลัวอะไร แต่ไม่อยากให้ควันรู้เลยว่าเมื่อคืนผมค้างที่นี่

“มีอะไร” ผมได้ยินเสียงหมอกถามควัน

“หิว ทำข้าวให้กูกินหน่อย”

“กูไม่ใช่ทาสมึง อยากกินก็ทำกินเองไป๊ คนจะนอน”

“แต่กูไม่อยากกินมาม่า อาหารไร้ประโยชน์แบบนั้นกินไปก็ไม่ได้เสริมสร้างสมองกูเลยสักนิด มึงทำข้าวผัดให้กูหน่อยดิ...ว่าแต่นี่ก็จะเที่ยงล่ะ ทำไมวันนี้มึงตื่นสายจังวะ ทุกทีไม่เคยตื่นเกินแปดโมง”

“เรื่องของกู ถ้าอยากกินก็อย่าถามมาก”

“โอเค งั้นกูไปนอนรอที่ห้อง เสร็จแล้วไปเรียกนะ”

“เออ!”


เสียงประตูห้องปิดลง ผมเลยลองแง้มผ้าห่มออกก็เห็นว่าหมอกยังคงมีใบหน้าที่ยุ่งเหยิง ร่างสูงเดินมาใกล้ผมแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียงกว้าง ผมเลยถดตัวให้หมอกนอนได้สบายมากยิ่งขึ้น

“จะทำข้าวผัดเหรอ” ผมลองถามคนที่ยังนอนอยู่ หมอกพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็เด้งตัวขึ้นมานั่งข้างผม

“มีแต่เราที่ทำอาหารเป็น ส่วนไอ้ควัน...แค่ต้มมาม่าได้ก็บุญหัวมันแล้ว” เหมือนผมถูกด่าไปด้วยเลย แต่ผมยังดีกว่าควันหน่อยตรงที่ยังทอดไข่เป็นล่ะนะ

“มาช่วยทำอาหารหน่อยสิ...เดี๋ยวไปรอข้างนอก อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ตามออกมานะ เสื้อผ้าก็ค้นๆในตู้ในนั้นแหละ อยากใส่อะไรก็ใส่เลย”

พอหมอกพูดเสร็จ ร่างสูงก็ลุกออกจากห้องไปเลย ตั้งแต่รู้จักกันมานี่ชักจะทำตัวเผด็จการขึ้นทุกวัน ผมไม่เคยค้านได้ทัน หมอกก็ชิงหนีไปอย่างนี้ทุกที


แล้วผมเคยปฏิเสธเขาได้ด้วยงั้นเหรอครับ...





หลังจากอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จ ผมก็มองตัวเองในกระจกบานใหญ่ รู้สึกเขินๆยังไงก็ไม่รู้ที่อยู่ในชุดของหมอก พยายามหาเสื้อยืดที่พอจะมีขนาดเท่าตัวผม แต่พอใส่แล้วปลายเสื้อก็ตกเกือบถึงเข่า ผมเลยแก้ปัญหาโดยยัดปลายเสื้อเข้าในกางเกงเลที่มันสามารถใช้เชือกมัดได้ พอมั่นใจว่าทุกอย่างโอเคแล้วก็ลองแง้มประตูห้องดูว่าด้านนอกมีแค่หมอก ผมเลยกล้าเดินออกไป

“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ...มานี่สิ”

หมอกกวักมือเรียกผมที่เค้าน์เตอร์ครัว ผมเลยเดินไปดูว่าหมอกกำลังทำอะไรอยู่ เห็นหมอกกำลังหั่นแครอทเป็นลูกเต๋าชิ้นเล็กๆอยู่ ผมเลยยืนมองอย่างสนใจ

“ให้เราช่วยอะไร”

“เอาต้นหอมพวกนี้ไปล้างสิ”

หมอกชี้ต้นหอมที่อยู่ในถุงพลาสติก ผมพยักหน้าและทำตามที่หมอกสั่งอย่างตั้งใจ พอเรียบร้อยแล้วหมอกก็ไม่ให้ผมทำอะไรอีกเพราะกลัวผมจะเปื้อน สุดท้ายผมก็ได้แต่ยืนมองหมอกเตรียมวัตถุดิบต่างๆ แล้วก็ลงมือผัดข้าวในปริมาณที่มากพอสำหรับผู้ชายสามคนในมื้อนี้

“โอ๊ะ!”

ในขณะที่ผมกำลังยืนดูหมอกทำอาหารอยู่ เสียงทุ้มที่คล้ายกับหมอกจนแทบแยกไม่ออกก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง ผมหันไปมองควันที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนแล้วก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง เลยส่งยิ้มแห้งๆให้กับคนตรงหน้า

“หวัดดี” ผมทักควันก่อน

“ทำไมบลูมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ มาตั้งแต่ตอนไหน” ควันถาม ผมเลยแอบเหล่มองหมอกที่ทำเป็นไม่สนใจในบทสนทนาของผมและควัน ผมเลยหันมายิ้มให้ควันแห้งๆอีกครั้ง

“เออ...คือว่าเราพึ่งมาถึงน่ะ”

ผมปั้นน้ำเป็นตัวสุดชีวิต จะให้ควันรู้ไม่ได้ว่าเมื่อคืนผมมาค้างที่นี่ หมอกก็ไม่ได้พูดอะไรด้วยนะที่ผมโกหกอย่างนั้น เจ้าตัวยังตั้งใจผัดข้าวอยู่หน้าเตาอยู่เลย คงไม่ว่าอะไรที่ผมโกหกหรอกมั้ง

“พึ่งมาแล้วก็ใส่เสื้อหมอกเลยเหรอ...นั้นมันเสื้อตัวโปรดของหมอกเลยนะ”

ควันชี้เสื้อที่ผมใส่อยู่แล้วเดินเข้ามาใกล้ พูดไม่ออกเลยครับ ผมมองเสื้อสีฟ้าที่ใส่อยู่แล้วก็เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ชิบหายแล้วไง

“เออ...บังเอิญจังเลย หมอกก็มีเสื้อแบบนี้เหรอ...แหะๆ”

ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก็หลบตาควันที่ยังไม่หยุดจ้องหน้าผม ได้ยินเสียงหมอกหัวเราะเบาๆแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อด้วย ร่างสูงยังตั้งหน้าตั้งตาผัดข้าวอยู่นั้นแหละ ไม่ช่วยกันเลยโว้ย

“ว่าไงไอ้หมอก มึงมีเสื้อแบบนี้มั้ย” ควันถามช่วย เมื่อหมอกไม่ยอมตอบคำถามผม

“อืม...มีสีขาวแบบนี้อยู่ตัวนึง” พูดพลางตักข้าวผัดใส่จานไปด้วย พอได้ยินอย่างนั้นผมก็เบาใจไปได้หน่อยหนึ่ง และช่วยหมอกยกจานข้าวมาที่โต๊ะทานข้าวด้วย

“เชื่อก็ได้ว่าเสื้อบลู กินข้าวดีกว่า หิว” ควันพูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าโดยไม่สนใจผมและหมอกเลย

“กินเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

หมอกบอกผม ผมพยักหน้ารับคำและมองสองแฝดที่เริ่มกินข้าวกันแล้วจึงหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวผัดสีเหลืองหน้าตาน่าทานขึ้นมาชิมดูบ้าง ควันร้อนๆพร้อมกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก ผมเป่าให้มันเย็นและลองกินคำแรก และเป็นอีกครั้งที่ผมประทับใจในฝีมือการทำอาหารของหมอกมาก อร่อยจนน้ำตาจะไหลเลยล่ะครับ

“ทำไว้เยอะอยู่นะ เดี๋ยวเก็บไว้ให้ในตู้เย็น”

หมอกพูดแล้วก็มองควันที่ยังก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่หยุด ควันเพียงพยักหน้าแล้วก็กินต่อ ผมเห็นความรักความห่วงใยของหมอกที่มีต่อควันแล้วก็อดรู้สึกดีไม่ได้ เห็นแล้วก็คิดถึงพี่พิ้งค์เลย...พี่พิ้งค์เป็นพี่สาวของผม เธอได้ทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษได้เกือบปีแล้ว ทุกวันนี้ผมก็ยังคงติดต่อกับพี่พิ้งค์อยู่เสมอ แต่พวกเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม เลยทำให้ผมอดคิดถึงพี่สาวคนเดียวของผมไม่ได้

“เดี๋ยวเราล้างจานให้นะ”

ผมบอกหลังจากที่ทานข้าวคำสุดท้ายในจานจนหมด ควันก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที

“ไม่ได้ๆ จะให้แขกล้างได้ยังไง เดี๋ยวล้างเอง มันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว”

“ไม่ได้หรอก เราก็กินเหมือนกันนะ” ผมแย้ง

“งั้นช่วยกันล้างก็ได้ โอเคมั้ย” ควันยื่นข้อเสนอ ผมพยักหน้าตกลงและช่วยเก็บจานไปที่ซิงค์ ส่วนหมอกนั้นก็ขอตัวไปอาบน้ำ ทิ้งให้ทั้งห้องเหลือแค่ผมและควัน

“นี่...บลู”

ควันทักผม ขณะที่ผมกำลังจะเริ่มล้างจาน ผมมองควันที่ตักข้าวที่เหลือลงในกล่องพลาสติก ดวงตาที่ถอดแบบกันมากับหมอกจ้องผมแล้วก็พูดต่อ

“จะบอกความจริงอะไรให้ฟังอย่างหนึ่ง”

“อะไรเหรอ” ผมถามพลางบีบน้ำยาล้างจานใส่ฟองน้ำไปด้วย

“เสื้อที่ใส่อ่ะ มีตัวเดียวในโลกรู้รึเปล่า”

พอควันพูดแบบนั้น ผมเลยชะงักมือและเงยหน้ามองควันที่ยืนอมยิ้มอยู่ด้านข้าง

“หมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความว่าเสื้อตัวนี้มันมีตัวเดียวไง...ทำไมเราจะไม่รู้ว่ามันเป็นของหมอก ไอ้หมอกมันซื้อเสื้อตัวนี้ที่ญี่ปุ่นตั้งหลายปีแล้ว ความจริงเสื้อตัวนี้มันสีขาวแต่ไอ้หมอกมันเผลอเอาเสื้อตัวนี้ไปซักปนกับกางเกงยีนส์สีเลยตกใส่จนกลายเป็นสีฟ้าแบบนี้”

“...”


พูดไม่ออกเลย...


“เถียงไม่ออกเลยล่ะสิ บอกได้รึยังว่าทำไมถึงได้ใส่เสื้อไอ้หมอกได้ กางเกงเลที่ใส่มันก็ของคณะแพทย์ นี่ไม่ชอบกางเกงเลเลยเอาให้ไอ้หมอกมันเอาไปใส่นอน ถ้าไม่เชื่อก็ดูที่แถบสกรีนด้านข้างสิ”

ผมลืมสังเกตไปเลยว่ามันเป็นกางเกงเลของอะไร เห็นคำว่า MEDICINE ตัวใหญ่ๆแล้วก็อยากเอาหัวจุ่มลงในซิงค์ล้างจานให้มันรู้แล้วรู้รอด ควันหัวเราะร่วน ส่วนผมนั้นทำหน้าไม่ถูกแล้ว หมอกมาช่วยผมด้วยยยยยย

“ฮ่าฮ่า ทำหน้าอย่างนี้แล้วตลกว่ะ”

“อย่าแกล้งเราดิ” ผมตีแขนควันที่หมายจะเอื้อมมาแกล้งผม เห็นควันหัวเราะจนตาหยีแล้วผมก็ยิ่งเขิน เลยเลือกที่จะล้างจานอย่างเดียว ไม่คุยด้วยแล้ว!

“อ้าว งอนเหรอ”

“...” ผมไม่ตอบ แล้วล้างจานโดยไม่หันหน้าไปมองคนที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ไม่รู้แหละ แกล้งผมอย่างนี้ผมก็จะแกล้งงอนคืนบ้าง

“อย่างอนเลย นี่ไม่ใช่ไอ้หมอกนะจะง้อยังไงเนี่ย”

“ยิ่งพูดยิ่งงอนบอกเลย” ผมพึมพำแล้วก็หยิบกระทะมาล้าง แกล้งไม่สนใจควันที่ยืนอยู่ด้านข้างต่อไป

“ไม่พูดแล้วก็ได้...แต่ขอถามอะไรหน่อยได้ป่ะ”

“ถามอะไร” ผมมองควันอย่างไม่ไว้ใจ เห็นสายตาอยากรู้ของเจ้าตัวแล้วผมก็แอบเสียวสันหลังขึ้นมาแปลกๆ

“สรุปว่ากับหมอกเป็นไรกันอ่ะ เป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย”

คำถามของควันทำเอาผมไปต่อไม่ถูก ผมอึกอักและหันหน้าหนีควันที่กำลังลุ้นรอคำตอบ เป็นจังหวะเดียวกับที่หมอกออกมาจากห้องนอนพอดี ผมเลยรีบเดินไปหยิบกระเป๋าของผมแล้วสับขาเร็วๆไปหาหมอก

“กลับแล้วนะหมอก” ผมยิ้มให้ และรีบผละออกมา แต่ข้อมือของผมก็ถูกรั้งไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวไปส่ง”

“อะ...อืม งั้นก็รีบไปกันเถอะ” ผมพยักหน้าตกลงและรีบดึงมือหมอกให้เดินตามออกมา

“เอ้า! ไม่ตอบคำถามก่อนเหรอ” ควันที่ยังยืนอยู่ที่เค้าน์เตอร์ครัวตะโกนเรียกผมไว้ ผมไม่ตอบควันแล้วพยายามจะลากหมอกออกจากห้องให้ได้ แต่หมอกกลับเบรกเท้าไว้เสียก่อน

“คำถามอะไร”

“กูถามบลูว่ามึงกับบลูเป็นแฟนกันแล้วรึเปล่า แต่บลูไม่ยอมตอบกู”

ผมมองควันที่ฟ้องหมอกและยังคงทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็นในเรื่องของผมต่อไม่หยุด ใบหน้าที่ถอดแบบเดียวกันมากับหมอกส่งยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่ดูน่าหมั่นไส้มากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ผมยังคงเงียบและดึงมือหมอกยิกๆ ไม่ต้องไปตอบอะไร ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น กลับเถอะ ผมไม่อยากอยู่แล้ววว

“บลูไม่ยอมตอบมึงเหรอ”

“เออ...มึงจะตอบแทนมั้ยล่ะ”


ไม่เอา ไม่ต้องตอบนะหมอกกกกกกกกก


“ตอบให้ก็ได้...ฟังดีๆล่ะ”

“...”

“ตอนนี้ยังไม่เป็น แต่ในอนาคตมึงก็รอดูเองแล้วกัน”






หลังจากได้ยินประโยคนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนว่าหูดับไปแล้ว จากที่เร่งให้หมอกรีบออกจากห้อง กลายเป็นว่าตอนนี้หมอกต้องลากผมออกมาแทน ไม่ได้สนใจเลยว่าควันจะแซวผมกับหมอกมากแค่ไหน รู้ตัวอีกทีผมก็มาถึงหน้าคอนโดของผมเสียแล้ว

“เออ...ขอบคุณที่มาส่งนะ” ผมยิ้มให้หมอกแล้วเตรียมจะลงจากรถเหมือนทุกครั้ง แต่หมอกก็จับมือผมไว้เสียก่อน

“หิวน้ำ ขอขึ้นไปกินที่ห้องได้รึเปล่า”

“น้ำในรถก็มีนี่นา” ผมชี้ไปที่ขวดน้ำที่วางอยู่เบาะหลัง แต่หมอกก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผม

“อยากกินน้ำเย็นๆ อากาศข้างนอกมันร้อนจะตาย อยากกินอะไรที่มันสดชื่นไม่ได้เหรอ”

“แต่...”

“อยากเข้าห้องน้ำด้วย”

เหตุผลล้านแปดขนาดนี้ ถ้าผมไม่ยอมให้ขึ้นห้องก็คงจะใจร้ายเกินไปใช่มั้ยครับ ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆแล้วค่อยๆดึงมือออกจากการเกาะกุม

“ถ้าอยากขึ้นห้องเราก็บอกตรงๆก็ได้ ไม่ต้องอ้างนู้นอ้างนี้หรอก”

“ครับ อยากขึ้นห้องบลูใจจะขาดแล้ว”


บางที...ไม่ต้องตรงขนาดนี้ก็ได้มั้ง สงสารหัวใจผมบ้าง...


พอขึ้นมาถึงห้องแล้ว ผมก็ชำเลืองมองว่าหมอกจะทำอะไร เห็นว่าเจ้าตัวเดินไปเดินมาทั่วห้อง สุดท้ายก็นั่งจุมปุ๊กลงที่โซฟาเงียบๆ ผมเลยเอาน้ำเย็นๆมาเสิร์ฟให้แขกคนสำคัญแล้วนั่งลงที่พื้นที่ว่างที่เหลืออยู่

“น้ำ...เห็นว่าหิว”

“ขอบคุณที่อุตส่าห์เชื่อคำโกหกของเรา” หมอกพูดขำๆและยกแก้วน้ำขึ้นจิบ สายตามองไปรอบๆห้องของผมราวกับกำลังประเมินทางสายตาอยู่

“หมอก...”

“หืม?”

“ที่พูดกับควันที่ห้องนั้นพูดจริงๆเหรอ”

ผมถามสิ่งที่คาในใจอยู่ด้วยเสียงแผ่วเบา ถึงจะแอบดีใจที่หมอกพูดแบบนั้น แต่ผมก็อยากได้ความชัดเจนที่มากกว่านี้อีกสักหน่อย

“ทำไมถึงถามอย่างนั้น คิดว่าเราพูดเล่นๆอย่างนั้นเหรอ”

“...” ผมไม่ได้ตอบหมอกออกไป มีเพียงความเงียบที่โรยตัวอยู่รอบๆตัวเราเท่านั้น ผมมองฝ่ามือตัวเองที่ถูกหมอกดึงไปกุมเอาไว้ ก่อนที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าจะเริ่มพูด

“ที่พูดกับควันน่ะหมายความอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด...ที่ผ่านมายอมรับว่ามันคลุมเครือ มันอาจทำให้บลูไม่มั่นใจว่าระหว่างเรามันคืออะไร แต่หลังจากนี้ไปเราสัญญาว่าจะทำให้บลูเชื่อใจเราให้ได้”

“...”

ผมยังคงเงียบ ที่เงียบเพราะพูดไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้


“เราชอบบลูจริงๆนะ”


วันที่หมอกบอกว่าชอบผม...






.
..







“ไหน เล่าให้กระผมฟังสิครับว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง”

หลังจากที่หมอกกลับไปแล้ว คนที่มานั่งอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ก็คือเพื่อนรักของผมคนดีคนเดิม ว่านนั่งกอดหมอนข้างอยู่ตรงหน้า ทำหน้าอยากรู้ขั้นสุด

“ก็ไม่มีอะไร” ผมเกาแก้มแก้เขิน รู้สึกทำตัวไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้

“อย่าคิดจะตอแหลกับเพื่อนที่อยู่กับมึงมาเกือบสิบปีไอ้บลู”

“ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ กู...”

“กูเห็นว่ามึงพึ่งมาถึงห้องเมื่อชั่วโมงก่อน กูรู้ด้วยว่าเมื่อคืนมึงไม่ได้อยู่ห้อง” ว่านมันทำหน้าเหนือใส่ผม ผมที่กำลังหาทางเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็โดนต้อนจนมุม

“มึงตามติดชีวิตกูขนาดนี้เลยเหรอ”

“ใช่ กูแปลกใจตั้งแต่เมื่อคืนที่มึงไปอยู่ห้องหมอกล่ะ กูเลยลองกลับมาหามึงอีกรอบตอนเที่ยงคืนก็ไม่เห็นใคร”

ว่านพูดขนาดนี้แล้ว ผมจะแก้ตัวอะไรได้อีก ผมถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้มันฟัง

“เออๆ...เล่าก็ได้...หมอกงอนกูเรื่องที่กู...”

สุดท้ายผมก็ต้องยอมเล่าความจริงให้ว่านฟัง ไอ้เพื่อนตัวดีตั้งอกตั้งใจฟังจนผมเล่าจบ ผมมองคนตรงหน้าที่กำลังคิดวิเคราะห์ในสิ่งที่ผมพึ่งพูดจบแล้วก็โพล่งออกมา

“สรุปว่าตอนนี้หมอกชอบมึง ไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนอย่างที่มึงเข้าใจตั้งแต่แรก”

“อืม” ผมพยักหน้างึกงัก

“แล้วมึงล่ะ...ชอบเขารึเปล่า”

คำถามของว่านทำผมชะงัก ความลับที่ผมเก็บเอาไว้คนเดียวตลอดมาโดยที่ไม่มีใครรู้ แม้แต่คนที่สนิทกับผมที่สุดอย่างว่านยังไม่เคยรู้เลยว่าผมแอบชอบหมอกมานานแค่ไหนแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว มีเหตุผลอะไรอีกที่ผมต้องปิดบังความจริงข้อนี้ไว้ ในเมื่อคนที่ผมแอบชอบมานานเขาก็คิดเช่นเดียวกันกับผม

ผมสบตาว่าน...มองแววตาของเพื่อนสนิทด้วยความจริงจัง อยากให้ว่านสัมผัสได้ว่าคำพูดของผมนั้นมันซื่อสัตย์ต่อหัวใจของผมมากแค่ไหน

“กูเหรอ...”

“...”

“ตอนนี้คงเกินคำว่าชอบไปไกลมากแล้วล่ะ”




tbc.


ตอนนี้เราขอทอล์คยาวๆหน่อยนะคะ เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมาเราตื่นเต้นมากจริงๆ
หลังจากที่แต่งนิยายเรื่องนี้มาได้สักพัก คอมเมนต์และยอดวิว จำนวนคนเฟบก็ค่อยๆกระเตื้องขึ้นทีละนิด
จนอาทิตย์ที่ผ่านมายอดวิว ยอดเฟบมันขึ้นเร็วมากจนเราตกใจ จนตอนนี้จำนวนแฟนคลับเกินพันคนแล้วT__T
ดีใจมากจริงๆค่ะ ที่นิยายของเราเริ่มมีคนรู้จักแล้ว ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกยอดวิวเลยนะคะ เรามีกำลังใจมากๆ

แล้วในส่วนของช่วงแรกๆที่มีคำสรรพนามเช่นฉันหรือนาย ตอนนี้เราแก้ไขหมดทุกตอนแล้วนะคะ
น้อมรับทุกคำติชม และจะปรับปรุงแก้ไขทุกอย่างให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

มีคอมเมนต์หนึ่งบอกว่าพล็อตเรื่องมันง่ายไป ไม่มีอะไรแปลกใหม่ อันนี้เราก็ยอมรับค่ะ
ซึ่งจุดประสงค์หลักจริงๆของเราในการแต่งนิยายเรื่องนี้ก็คือแนว feel good อ่านง่าย ย่อยง่ายนี่แหละค่ะ
เราอยากให้ทุกคนที่ผ่านเข้ามาอ่านได้ยิ้ม ได้เขินกับหมอกและบลู ได้มีความสุขทุกครั้งที่อ่านนิยายเรื่องนี้
ถ้าคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ยิ้มกว้างเวลาได้อ่านเรื่องราวที่เราสร้างขึ้นมา เราก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้วแหละค่ะ

ต่อไปนี้จะเป็นเวลาขายของ55555 เรื่องนี้เรากะไว้คร่าวๆว่าคงจะมีประมาณ20กว่าตอน นี่ก็มาถึงตอนที่10แล้ว
เราเลยอยากจะมาสอบถามทุกคนว่าอยากได้รูปเล่มหมอกบลูไปกอดกันมั้ยเอ่ย?
เพราะถ้ารวมเล่ม เราก็คงจะพิมพ์เอง จึงมาถามกันตั้งแต่เนิ่นๆ
เพื่อที่จะวางแผนการพิมพ์ หาคนวาดปก อาร์ตเวิร์คต่างๆ จัดรูปเล่มอีก
ซึ่งเวลาในการวาดปกค่อนข้างนาน เป็นเดือนๆเลย  เลยจะสอบถามกันตั้งแต่ตอนนี้เลย และทุกๆคนจะได้เตรียมเงินกันไว้ด้วย
เราคาดว่านิยายเรื่องนี้คงจะมีราวๆประมาณ 350-450 หน้า ตอนพิเศษยังไม่แน่ใจ ต้องรอดูก่อนว่าเนื้อเรื่องหลักจะจบที่กี่หน้า
ตอนพิเศษคงจะบวกเพิ่มอีกประมาณ 50-100 หน้าค่ะ ราคาหนังสือจะราวๆ 400-500 บาท ไม่เกินนี้ค่ะ
และเวลาการเปิดพรีจริงๆก็น่าจะช่วงเมษายน ประมาณช่วงสงกรานต์เลยล่ะค่ะ
เลยมาสอบถามกันก่อนเน้อ เผื่อใครสนใจจะได้เตรียมเงินกันไว้
สำหรับคนที่สนใจและจะซื้อแน่นอน ในตอนที่เปิดพรี เราจะแถมสติกเกอร์ให้1ชื่อที่จองต่อ1แผ่นค่ะ
ซึ่งเราจะส่งอีเมล์ไปให้พร้อมกับรหัสของแต่ละคน เมื่อถึงการเปิดจองจริง
ทุกคนที่กรอกในรอบนี้ ตอนที่พรีแล้วก็กรอกรหัสจองที่เราจะส่งไปทางอีเมล์ก็จะได้สติกเกอร์กันทุกคนค่ะ
ส่วนเวลาในการสำรวจ เราจะเปิดสำรวจจนถึงวันที่ 31 มีนาคม ยาวๆไปเลย
ถ้าประเมินแล้วว่ามีจำนวนคนสนใจประมาณเท่าไร เราจะได้กะถูกว่าควรจะแบ่งงบในส่วนอาร์ตเวิร์คเท่าไรดี
อยากให้กรอกกันหน่อยนะคะ จะได้ประกอบการตัดสินใจของเรา
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่รักหมอกและบลูค่ะ
 
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfI5uF1yFlUCotfjtWgqZMZwSP7IqfxTjMkumbV0f0OnxU-oQ/viewform (https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfI5uF1yFlUCotfjtWgqZMZwSP7IqfxTjMkumbV0f0OnxU-oQ/viewform)

หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 10 - หน้า 3 --02/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 02-03-2018 20:24:40
ชอบก็จีบเลยชอบก็จีบเลยสิ ชูวับๆๆ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 10 - หน้า 3 --02/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 02-03-2018 20:36:38
รอดูคนเขาจีบกันดีกว่า
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 10 - หน้า 3 --02/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 03-03-2018 12:42:53
เค้าไม่ซึนกันแล้ววว เย้ จีบกันๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 10 - หน้า 3 --02/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 04-03-2018 11:54:02
ชอบก็ขอเป็นแฟนเลยจ้า เป็นแฟนกันแล้วก็จะได้ประกาศให้รู้กันทั่ว ๆ เลย  :m1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 10 - หน้า 3 --02/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Eomoge ที่ 04-03-2018 17:06:42
ฮือออออออออ

น่ารักกกกก
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 11 - หน้า 4 --05/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 05-03-2018 16:54:38



บทที่ 11
วันหยุดของดาวเดือน




ผมรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในโลกของความฝัน โลกที่มีหมอกอยู่ในนั้น...หมอก คนที่ผมแอบมองเขามานานหลายปี คนที่ผมไม่เคยคาดหวังว่าเขาจะมองเห็นผม คนที่ผมไม่เคยคาดหวังว่าชีวิตนี้ผมจะได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้


คนที่ผมไม่เคยคาดหวังว่าหัวใจของเราจะตรงกัน


“อมยิ้มอะไรอยู่คนเดียว”

ปากกาสีแดงเคาะลงที่หน้าผากผมเบาๆ ทำเอาผมหลุดออกจากภวังค์ หมอกยิ้มขำแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆที่เห็นผมสะดุ้งตกใจเพียงแค่เขาสะกิดผมเพียงนิดเท่านั้น

“จะยิ้มไม่ได้รึไง อ่านหนังสือไปสิ” ผมว่า

“ก็ยิ้มได้อยู่หรอก แต่ทำหน้าเหมือนคนเมากลิ่นเมล็ดกาแฟคั่ว ตลกดี” หมอกว่าแล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ผมบุ้ยปากอย่างหมั่นไส้ ยิ่งรู้จักทำไมยิ่งปากร้ายขนาดนี้นะคุณหมอก

ตอนนี้เราทั้งสองคนอยู่ที่ร้าน Chill ร้านเดิมที่ผมและหมอกเคยมากินขนมเค้กด้วยกันครั้งแรก ร้านนี้เป็นร้านกาแฟที่นักศึกษาในมอนิยมมากินกาแฟหรือของหวานกันที่นี่ และนักศึกษาก็ยังนิยมเอาหนังสือหรือเอางานมาทำกันที่นี่ด้วย เนื่องจากทางร้านมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง มีโซนทำงานที่สามารถเสียงดัง พูดคุยกันได้ แล้วก็มีโซนอ่านหนังสือไว้สำหรับคนที่เบื่อการอ่านหนังสือที่ห้องแล้วหอบหนังสือมาอ่านที่ร้านก็ยังได้

และผมก็ไม่รู้ว่าหมอกผีเข้าหรือธาตุไฟเข้าแทรก ถึงได้ลากผมออกมาจากห้องพร้อมหนังสือกฎหมายเล่มใหญ่ พอเปิดประตูเข้าไปในร้าน ทุกสายตาก็พุ่งมาที่ผมและหมอกโดยไม่ได้หมาย และก็เหมือนเดิมที่หมอกมักจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เดินหน้ามึนไปสั่งกาแฟและของหวานเสร็จก็ลากผมไปนั่งที่โต๊ะว่างติดริมหน้าต่างเฉย ใครจะมองอะไรยังไงก็ไม่สนใจ ใครจะซุบซิบเรื่องของเราก็ทำเป็นหูทวนลม


เรื่องหน้ามึน ไม่สนใจโลก ผมนี่ยกให้เป็นอันดับหนึ่งเลย : (


ติ้ง~


เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองที่สว่างวาบขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นเพลิงที่ทักผมมา ก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปตอบทันที

Plerng : บลู อยู่กับหมอกป่ะ

BLUEBLUR : ใช่ ทำไมเหรอ

Plerng : อยู่ไหนกันอ่ะ นี่ทักมันไปหลายรอบแล้ว มันก็ไม่ยอมตอบ

BLUEBLUR : ร้าน Chill มามั้ย นั่งกันอยู่สองคน วังเวงเว่อร์

Plerng : อยู่กันสองคนเหรอ กูเข้าใจล่ะว่าทำไมมันถึงไม่ยอมตอบกู


เข้าใจอะไรวะ...


Plerng : ถึงมันจะไม่ยอมตอบกูว่าอยู่ไหน แต่กูจะไปเป็นมารขัดขวางความสุขมันเอง เดี๋ยวตามไปนะจ๊ะบลู


ผมจินตนาการหน้าของเพลิงในตอนนี้ออกเลยว่ามันกำลังทำหน้ายังไง พอวางโทรศัพท์ลงก็แอบเหล่มองหมอกที่ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้า ถ้าผมบอกหมอกว่าเพลิงจะมาหา หมอกจะหงุดหงิดรึเปล่านะ...หรือรอให้เพลิงมาเซอร์ไพร์สตรงหน้าเลยดีมั้ย

นั่งให้ความคิดของตัวเองตีกันนานอยู่หลายนาที เสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังขึ้น ผมที่มองเห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาพร้อมๆกับลูกค้าทุกคนที่อ้าปากค้าง ผิดกับหมอกที่นั่งหันหลังให้ลูกค้าคนใหม่ของร้าน เลยยังไม่เห็นว่าเพลิงกำลังเดินตรงดิ่งมาที่โต๊ะของเราแล้ว

“ฮัลโหลลลลล เพื่อนร๊ากกกกกกกก”

ร่างของเดือนมหา’ลัยกอดหมับที่ด้านหลังของหมอก ผมเห็นว่าหมอกสะดุ้งตกใจนิดๆก่อนจะได้ยินเสียงแรดๆของเพลิงดังที่ข้างหู เพลิงปล่อยให้หมอกเป็นอิสระแล้วก็นั่งลงเบียดโซฟาหมอกอย่างระราน เลยทำให้หมอกต้องถดตัวไปที่โซฟาอีกฝั่งอย่างช่วยไม่ได้

ดูๆไปแล้วก็เริ่มสงสารหมอก นี่ผมคิดผิดหรือคิดถูกที่ชวนให้เพลิงมาที่นี่กันเนี่ย

“ปล่อยให้กูทักหาตั้งนาน แต่ไม่ยอมตอบกูเลยน๊า แอบมานั่งสวีทกับเพื่อนกูนี่เอง” เพลิงยังพูดไม่หยุด ผมที่นั่งอยู่ตรงข้ามทำตัวไม่ถูกกับประโยคนั้นของเพลิง เลยยกบลูเบอร์รี่สมูตตี้ขึ้นมาดื่มแก้เก้อ รู้สึกคอแห้งยังไงก็ไม่รู้

“ก็กูรู้ว่าถ้ามึงมา มึงก็จะมาทำตัวอย่างนี้ไง”

ดวงตาเรียวของหมอกมองเพลิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาที่แบบ เออ...ถ้าผมโดนมองแบบนั้นผมคงจะรู้สึกกลัวบ้างอ่ะ แต่มันใช้ไม่ได้กับเพลิงเลยแม้แต่นิด ใบหน้าของเดือนมหา’ลัยยังฉีกยิ้มแฉ่ง แล้วก็จิ้มขนมปังปิ้งบนโต๊ะขึ้นกินหน้าตาเฉย

“ที่กูทำอย่างนี้เพราะกูหมั่นไส้มึงไงครับ ออร่าสีชมพูรอบตัวพวกมึงนี่แบบเหม็นอ่ะ”

“เหม็นอะไร” ผมเผลอขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย เพลิงก็หันมายิ้มให้ผมก่อนจะตอบด้วยเสียงอันดัง

“เหม็นความรักไงบลู”

พอเพลิงพูดอย่างนั้น ผมก็รู้สึกร้อนขึ้นมาทันที...ร้อนไปทั้งหน้าหมดแล้ว ทำไมคนพวกนี้ชอบแกล้งผมกันจังครับ สนุกกันมากใช่มั้ย

“เลิกแกล้งบลูได้แล้วมึง เขินหน้าแดงหมดแล้วนั้น” หมอกพูดเรียบๆ แต่ที่พูดมาเนี่ย มันยิ่งทำให้ผมหน้าแดงมากขึ้นเถอะ ถ้าจะเลิกแกล้งกันก็เลิกพูดสิโว้ย

“หยุดพูดกันทุกคนนั้นแหละ ไม่ได้เขินสักหน่อย อากาศในนี้มันร้อนเฉยๆ”

“ร้อนตรงไหนวะ เปิดแอร์หนาวจนกูนึกว่าอยู่ขั้วโลกเหนือ...โอ๋ๆๆ ไม่แกล้งแล้วๆ” พอเห็นว่าผมชี้นิ้วใส่หน้า เพลิงก็รีบกลับคำพูดทันที ผมมองทั้งหมอกและเพลิงที่ยังยิ้มขำไม่หยุดแล้วก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน เลยยกชีทเรียนของตัวเองขึ้นมาบังหน้าเสียเลย

“งอนหรือเขินวะมึง”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้างอนจริงกูค่อยง้อ”

“หมั่นไส้ว่ะไอ้หมอก หน้าบานเลยนะมึง”

“หึ...แล้วสรุปมึงมีอะไร ถึงถ่อมาหากูถึงที่นี่”

“ก็เรื่องงานที่อาจารย์สมรแกสั่งไงวะ มึงมีใบงานป่ะ กูจะยืมมึงไปถ่ายเอกสาร”

“อยู่ในแฟ้ม เอาไปดิ”

“เออ...ก็แค่นี้แหละ เสือกลีลาไม่ยอมตอบ กูเลยมาเป็นมารขวางความสุขมึงตรงนี้ไง”

ผมฟังบทสนทนาของหมอกและเพลิงพร้อมกับลดชีทเรียนในมือลงก็เห็นว่าเพลิงหยิบเอาใบงานในแฟ้มของหมอกแล้ว แต่ก่อนที่เพลิงจะลุกออกไปก็หันมาคุยกับผมเสียก่อน

“ไปแล้วนะบลู แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

“อืม”

“เจอกันที่ไหน” หมอกขมวดคิ้ว มองทั้งผมและเพลิงด้วยสายตาที่เก็บความสงสัยไว้ไม่มิด

“พรุ่งนี้พวกดาว-เดือนมีถ่ายแบบให้มหา’ลัย...ทำไม...มึงกลัวว่ากูจะตีท้ายครัวมึงรึไง”

เพลิงโยนระเบิดพร้อมกับเบ้ปากใส่หมอกทีนึงแล้วก็รีบชิ่งหนีออกจากร้านไป ผมได้ยินหมอกก่นด่าเสียงเบาจนจับใจความไม่ได้ รู้แต่ว่าต้องด่าเพลิงแน่นอน ใบหน้าหล่อนั้นส่ายหัวอย่างเอือมๆก่อนจะหันมามองหน้าผม

“พรุ่งนี้ต้องไปถ่ายแบบกี่โมง”

“พี่เขานัดตอนเก้าโมงเช้าอ่ะ ทำไมเหรอ”

“เดี๋ยวไปส่ง”




.

..





เช้าวันอาทิตย์ที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของใครหลายๆคน แต่ไม่ใช่สำหรับผมที่มีตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 2 การประกวดดาว-เดือนของมหาวิทยาลัยค้ำคออยู่ ถึงไม่ใช่เดือนมหาวิทยาลัยเหมือนไอ้เพลิง แต่ผมก็ยังต้องช่วยงานของมหาวิทยาลัยมากไม่แพ้เพลิง งานวันนี้ก็เช่นกันที่ให้พวกเราที่ได้ตำแหน่งมาถ่ายแบบโปรโมตมหาวิทยาลัย

ผมแบกร่างพังๆมาถึงรถของหมอกที่จอดรอรับอยู่ที่เดิมเหมือนทุกวัน ต่างกันแค่วันนี้ผมมาด้วยชุดเสื้อยืด กางเกงบอล และรองเท้าแตะ เพราะพวกชุดต่างๆที่กองเขามีให้พร้อมอยู่แล้ว ต่างจากหมอกที่เป๊ะตั้งแต่หัวจรดเท้า ร่างสูงสมส่วนอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบๆเข้าชุดกับกางเกงสีดำเนื้อดี รองเท้าหนังหัวแหลมมันวาว กลิ่นน้ำหอมแนวสปอร์ตที่หมอกฉีดมาในวันนี้มันก็เข้ากับลุคที่หมอกแต่งมาเหลือเกิน


หมอกดูดีมาก...


ดูดีจนผมได้แต่คิดว่าคนที่ควรจะไปถ่ายแบบในวันนี้ควรจะเป็นเขามากกว่าที่จะเป็นผมซะอีก

“แต่งตัวจัดเต็มอย่างนี้ จะไปไหนเหรอ”

“นี่เต็มแล้วเหรอ...ก็แค่หยิบๆเสื้อผ้าในตู้มาใส่เอง”

เออ...นี่เรียกไม่เต็มเหรอ ตอนแรกผมนึกคนที่นั่งข้างๆผมนี่คือดารากำลังจะไปออกงานอีเวนท์ด้วยซ้ำๆ

“ต้องแอบด่าอยู่ในใจแน่ๆเลยใช่มั้ย”

หมอกมองหน้าผมแล้วก็ยิ้มขำก่อนจะผลักหัวผมเบาๆ ผมปัดมือหมอกออกแล้วก็ลูบผมที่มันยุ่งให้เป็นทรงไปด้วย ทำไมชอบยีผมกันจังเนี่ย

“ไม่แกล้งแล้ว...ที่แต่งขนาดนี้เพราะจะพาแม่ไปชอปปิ้งน่ะ ไปห้างเลยต้องดูดีนิดนึง”

“อ้าว ถ้ามีธุระทำไมไม่บอกกันล่ะ ความจริงเราไปที่มอพร้อมกับเพลิงก็ได้นะ” เพราะยังไงผมก็ต้องไปที่เดียวกับเพลิงอยู่แล้ว ถ้ารู้ว่ารบกวนหมอกอย่างนี้ ผมคงจะปฏิเสธตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ทำหน้าเครียดไปได้ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะกว่าจะไปหาแม่ ไหนจะต้องวนกลับมารับไอ้ควันที่ยังอาบน้ำไม่เสร็จอีก...แล้วถ่ายแบบเสร็จกี่โมงล่ะ”

“พี่เขาบอกว่าสี่โมงเย็นน่ะ”

ถึงผมจะเกรงใจมากขนาดไหน แต่หมอกก็แค่ยิ้มบางๆแล้วก็พาผมมาส่งถึงที่หมาย ผมลงจากรถแล้วจะเดินเข้าไปในตึกแต่เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้ผมชะงักปลายเท้าแล้วหันไปมองคนที่อยู่ในรถเสียก่อน

“เดี๋ยวเลิกแล้วจะมารับนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เราเกรงใจเวลาของหมอกกับครอบครัว ค่อยเจอกันพรุ่งนี้เลยดีกว่า”

“ก็บอกว่าจะมารับไง เสร็จแล้วก็รอก่อน เข้าใจมั้ย”

“ก็ได้” ผมไม่อยากขัดใจหมอก เพราะคนหล่อเริ่มทำหน้าบูดแล้วที่ผมเกรงใจอย่างนั้น ผมโบกมือลาจนกระจกรถปิดสนิท พอหมอกขับรถออกไปแล้วผมก็เดินเข้าไปในตัวอาคารที่ใช้สำหรับการถ่ายแบบในวันนี้

“สวัสดีครับพี่ๆ”

ผมทักทายพี่ๆที่เจอกันตั้งแต่ช่วงประกวด พอหลังจบการประกวดดาว-เดือนแล้ว พวกพี่เหล่านี้ก็ยังตามดูแลพวกผมอยู่เสมอ

“ตายแล้ววว น้องบลูคะ หนูอาบน้ำมารึยังคะลูก” พี่ดาวมองผมด้วยสีหน้าตื่นๆ เห็นสภาพผมที่ยืนอยู่ตรงนี้คงคิดว่าผมมาด้วยชุดนอนแน่ๆ

“อาบมาแล้วสิครับ ไม่เชื่อมาดมก็ได้”

“จ้า เชื่อก็ได้ ไปๆ ไปแต่งตัว แต่งหน้าได้แล้ว จะได้มาถ่ายรูปกัน”

พี่ดาวไล่ผมไปที่ห้องแต่งตัวแล้วเธอก็หันไปดูความเรียบร้อยของฉากและไปคุยกับพี่ต้นที่เป็นตากล้องต่อ ผมเลยเดินไปทางขวาซึ่งเป็นห้องแต่งตัวสำหรับผู้ชายทั้งหมด

พอเปิดเข้าไปในห้อง ผมก็เห็นเพียงความเงียบงัน นี่ผมมาเร็วเกินไปงั้นเหรอ...ยังไม่มีใครมาสักคนเลยแหะ...ผมกวาดตามองไปรอบๆ วางกระเป๋าไว้ที่โซฟาแล้วก็เดินไปหยิบชุดนักศึกษาที่แปะชื่อผมไว้ออกมา กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุด แต่ผมก็ต้องหยุดปลายเท้าเสียก่อนเมื่อประตูห้องเปลี่ยนชุดตรงหน้าเปิดออก

“อ่าว...หวัดดี”

“เออ...สวัสดีไอติม”

ผมยิ้มบางๆให้ไอติมที่อยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าขาวใสนั้นยังไม่ได้แต่งหน้า แต่แก้มขาวก็มีสีแดงระเรื่อเหมือนคนสุขภาพดี ผมหลบทางให้ไอติมเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด และผมก็เดินเข้าไปในห้องเล็กๆนั้นแทน ระหว่างเราไม่ได้พูดอะไรกันอีก...ความจริงไอติมก็ไม่ค่อยจะพูดกับใครอยู่แล้วอ่ะนะ...

หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ ผมก็เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด เห็นว่าทั้งห้องนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ผมและไอติมอีกแล้ว ผมเดินเข้าไปหาเพลิงที่นั่งอยู่ที่โซฟา แต่พอเห็นหน้ามันแล้วผมก็คิดว่าตอนนี้ถ้าผมไปผูกมิตรกับไอติมคงจะดีกว่าคุยกับมันแน่ๆ

ไปโมโหใครมาวะ...หน้าบูดชิบหาย

“เพลิง...มึงไปเปลี่ยนชุดดิ” ผมบอกเพลิงที่ยังรัวแป้นพิมพ์ในโทรศัพท์ไม่หยุด พอได้ยินเสียงผมมันก็ชะงักแล้วกดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“อืม”

ตอบแค่นั้นแล้วก็เดินเข้าห้องเปลี่ยนชุดไป สงสัยมันต้องไปกินรังแตนมาแน่ๆ หงุดหงิดเหมือนมนุษย์เมนส์ไม่มา เมื่อวานยังดีๆอยู่เลย หรือมันทะเลาะกับแฟนของมันอีกแล้วกันนะ?

ครืดดดดด

เสียงสั่นโทรศัพท์ของเพลิงดังขึ้นพร้อมกับหน้าจอที่สว่างวาบ ผมไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหรอกนะ แต่ข้อความที่แจ้งเตือนนั้นมันปรากฏอยู่ตรงหน้า เลยทำให้ผมเห็นว่าใครเป็นคนส่งมา


SaiTarn : โตๆแล้ว อย่าทำตัวงี่เง่าได้มั้ย


“บลู”

เสียงนุ่มๆดังขึ้นเรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ผมหันไปทางเสียงเรียกก็เห็นว่าไอติมนั่งอยู่หน้ากระจก ผมเลยเดินไปหารองเดือนมหา’ลัยและนั่งลงที่เก้าอี้ว่างอีกตัวเพื่อให้พี่ๆมาแต่งหน้าและทำผมให้พวกเรา

“มีอะไรเหรอไอติม”

“เมื่อเช้านี้ใครมาส่งเหรอ”

“อ้อ...หมอกน่ะ มีอะไรรึเปล่า”

“หมอกงั้นเหรอ...” ผมได้ยินเสียงไอติมพึมพำเบาๆ ก่อนที่จะสั่นศีรษะช้าๆ “ไม่มีอะไรหรอก...แค่สงสัยเฉยๆ”

“สับสนหมอกกับควันรึเปล่า เราจำได้ว่าควันเคยพูดให้ฟังว่าเป็นเพื่อนสนิทกับไอติม”

“ควันพูดถึงเราด้วยงั้นเหรอ” ไอติมหันมามองผมอย่างสนใจ ผมเลยรีบพยักหน้าตอบ

“ใช่ๆ เคยบอกให้เราช่วยดูแลไอติมด้วยนะตอนที่อยู่ในกองประกวดอ่ะ”

“อย่างนั้นเหรอ” เห็นไอติมพึมพำแล้วก็หลับตาลงคล้ายคนอ่อนล้า แก้วตาใสปิดลงพร้อมกับที่พวกพี่ๆเข้าไปรุมแต่งหน้าและทำผมให้ไอติม ผมเลยหันมาให้พี่ทรายลงรองพื้นต่อ ผมมองผ่านกระจกไปด้านหลังก็เห็นเพลิงที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วกำลังนั่งหน้าบึ้งกดโทรศัพท์ยิกๆอยู่คนเดียวเช่นเดิม ไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับมันเลยสักคน

“น้องบลูจ๊ะ เดี๋ยวพี่แต่งหน้าให้น้องบลูเสร็จแล้ว ช่วยเรียกเพลิงมาให้พี่หน่อยนะ”

“ได้ครับ...ว่าแต่ปกติพี่ก็เรียกเองนี่นา” ผมถามพี่ทรายที่หยิบลิปกลอสมาทาให้ผม เธอยิ้มแห้งๆแล้วแอบเหล่มองเพลิงที่ยังไม่หยุดจ้องโทรศัพท์ของตัวเอง

“พี่กลัวอ่ะ...ไม่รู้เพลิงไปโกรธใครมา กลัวโดนลูกหลงเอาน่ะสิ”


.

..

...


หลังจากที่ผมแต่งหน้าและทำผมเสร็จ ผมก็ยืนขึ้นเต็มความสูง พี่ทรายเข้ามาเช็คดูความเรียบร้อยอีกรอบ จัดชายเสื้อ ดูปกเสื้อจนเรียบร้อยแล้วเธอก็ส่งสายตาให้ผมไปเรียกเพลิงมาแต่งหน้าได้แล้ว ผมเลยสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วก็เดินเข้าไปหาคนหน้าบึ้งที่โซฟา

“เพลิง”

“หืม?”

“พี่ทรายให้เรียกไปแต่งหน้า”

“อืม เดี๋ยวไป ขอเวลาอีกห้านาที”

เพลิงพูดกับผม แต่กลับไม่มองหน้าผมเลย ใบหน้าของเดือนมหา’ลัยยังคงจ้องหน้าต่างห้องแชทอยู่อย่างนั้น ผมเห็นว่ามีเพียงแค่ฝั่งของเพลิงที่ส่งข้อความไปเพียงฝ่ายเดียว ต่างจากอีกฝั่งที่ไม่ตอบอะไรกลับมาสักนิด แต่เพลิงก็ยังนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นราวกับว่าถ้าจ้องไปนานๆแล้วอีกฝั่งจะตอบกลับมาสักที

“มึงทะเลาะกับแฟนเหรอ” ผมเลียบๆเคียงๆถาม ก็คนมันอดสงสัยไม่ได้นี่นา

“อืม”

“ชื่อสายธารเหรอ...”

“ใช่ ทำไมรู้” เพลิงหันมามองหน้าผมแล้วขมวดคิ้วหนาด้วยความสงสัย

“เออ...ขอโทษนะ แต่ตอนที่มึงเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้อง เขาก็ส่งข้อความมาพอดี เลยบังเอิญเห็นน่ะ”

“ไม่เป็นไร มึงไม่ได้ผิดอะไรนี่” ว่าแล้วเพลิงก็หันไปสนใจโทรศัพท์ในมือต่อ แต่ผมก็ยังมีความสงสัยที่อยู่ในใจไม่หมด แถมรั้งปากไว้ไม่อยู่ด้วย

“แฟนมึงสวยรึเปล่าวะ”

“น่ารัก...แฟนกูโคตรน่ารักเลย”

“รุ่นเดียวกับเรามั้ยหรือรุ่นน้อง” ผมยังถามต่อ พอถามถึงคนๆนั้นแล้วเพลิงก็ยิ้มออกมาเลย คงจะรักมากจริงๆสินะ

“ไม่ใช่ เป็นรุ่นพี่”

“เหยดดดดดด รุ่นพี่เหรอมึง ชอบกินหญ้าแก่นี่หว่า”

“หึๆ ของแบบนี้แหละอร่อย กูไปแต่งหน้าล่ะ”

พูดจบเพลิงก็ลุกไปนั่งหน้ากระจกเลย ทิ้งผมไว้ที่โซฟาเช่นเดิมพร้อมกับความลับของเพลิงที่ผมพึ่งได้รู้...แฟนของเพลิงชื่อสายธาร...น่ารักมาก แถมยังเป็นรุ่นพี่ด้วย

ไม่ธรรมดาจริงๆครับเพื่อนผม



หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มถ่ายแบบกัน ผมถูกจับคู่กับอุ๋งอิ๋งจากคณะพยาบาลศาสตร์ เธอได้ตำแหน่งเดียวกันกับผมครับ เราค่อนข้างสนิทกันอยู่แล้ว เลยไม่เกร็งมาก พอถ่ายกับเธอเสร็จ ผมก็รอจนดาวและเดือนแต่ละคู่ถ่ายกันจนเสร็จ เห็นเพลิงได้ถ่ายแบบคู่น้ำหวาน ผมไม่กล้าสู้หน้าเธอเลยเพราะเธอเหมือนโกรธผมอยู่เนืองๆจากการที่ผมตอบแชทเธอไปคราวนั้นว่าเป็นแค่เพื่อนกับหมอก แต่หมอกดันออกมาพูดอีกอย่าง ส่วนเพลิงที่มันทำหน้าหงุดหงิดมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ก็กลับมายิ้มร่าเริงเป็นปกติแล้ว ทั้งกองถ่ายจึงสบายใจ สงสัยคงจะเคลียร์กับแฟนกันแล้วสินะ ส่วนไอติมที่ผมเห็นใบหน้าล้าๆในช่วงที่แต่งหน้า พอเข้ามาอยู่ในเฟรม คนตัวขาวก็โดดเด่นมาก ยิ้มแล้วเหมือนโลกทั้งใบสว่างขึ้นมาทันตา

บรรยากาศในกองถ่ายนั้นเป็นไปด้วยดี พวกเราถ่ายแบบกันหลายเซ็ตมากๆ เพราะถ่ายครั้งเดียวและใช้งานกันทั้งปีเลย การถ่ายแบบในวันนี้เลยกินเวลายาวจนถึงเย็น ผมตาแห้งจนต้องหยอดน้ำตาเทียมอยู่หลายรอบ แอบมองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้มันเลยเวลาที่นัดหมอกไว้แล้ว แถมโทรศัพท์ของผมยังทิ้งไว้ในห้องแต่งตัว ไม่รู้ว่าป่านนี้หมอกจะมารอรึยัง

“น้องบลูไหวมั้ยลูก”

พี่ดาวเดินเข้ามาหาผมเมื่อพี่ต้นลั่นชัตเตอร์เสร็จแล้วผมก็ก้มหน้าทันที เธอเดินเข้ามาพร้อมกับขวดน้ำตาเทียมของผม ผมขอบคุณพี่ดาวแล้วก็หยอดตาจากนั้นก็กระพริบตาช้าๆ

“หนูเอาแว่นมารึเปล่า พี่ว่าถ่ายเสร็จแล้วถอดคอนแทคเลนส์ออกดีกว่านะ”

“ครับ”

ผมยิ้มให้พี่ดาว แล้วเธอก็เดินออกจากเฟรมไป พี่ต้นถ่ายภาพพวกเราทั้งสิบคนอีกประมาณห้าภาพ ทุกอย่างก็จบลง ผมขอบคุณพี่ๆทุกคนที่ทำให้งานในวันนี้ผ่านไปด้วยดี แล้วไปเปลี่ยนชุดคืน ดีที่ผมเอาแว่นและตลับใส่คอนแทคเลนส์มาเผื่อไว้ด้วยเพราะคิดว่าถ่ายภาพทั้งวันขนาดนี้ดวงตาของผมคงจะทนไม่ไหว

ผมเปลี่ยนกลับมาเป็นชุดเดิมแล้วก็สวมแว่นสายตาแทนคอนแทคเลนส์ เห็นเพลิงยืนรออยู่ก็เลยเดินไปหามันที่ยังกดโทรศัพท์ไม่หยุด

“ใส่แว่นแล้วแปลกไปเลยว่ะมึง”

“มันดูไม่ดีเหรอ” ผมถามอย่างเป็นกังวล ตั้งแต่เข้ามหา’ลัยมา ผมก็ใส่แว่นเฉพาะเวลาอยู่ที่ห้องเท่านั้น พอใส่แว่นแล้วเจอเพลิงทักอย่างนี้เลยเสียความมั่นใจไปเลย

“เปล่าหรอก มึงใส่แล้วมันเข้ากับมึงดี ไอ้หมอกเห็นแล้วคงจะหลงตาย”

“จะบ้าเหรอ” ผมตีแขนเพลิงแรงๆไปที เพลิงหัวเราะร่วนแล้วกอดคอผมเดินออกมาจากตึกด้วยกัน พอเดินลงบันไดมาแล้วเราทั้งคู่ก็หยุดปลายเท้าลง เพลิงรีบปล่อยแขนที่พาดไหล่ผมไว้ทันที แล้วยกมือเหมือนยอมแพ้คนที่กำลังยืนพิงรถเบนซ์ตรงหน้า

“เปล่านะครับ...ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับคุณหมอก”

“กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย” หมอกพูดเสียงนิ่งๆ แต่สายตาที่มองเพลิงนี่ผมเห็นแล้วรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

“ก็พูดไว้ก่อน เดี๋ยวมึงไปคิดบัญชีกับกูทีหลังไง”

“กูคิดแน่...ไปบลู ขึ้นรถ” พอพูดกับเพลิงเสร็จก็หันมาบอกผม ผมพยักหน้าแล้วบอกลาเพลิงที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ด้านข้าง จากนั้นหมอกก็ขับรถออกมาทันที

“ทำไมถึงได้ใส่แว่นล่ะ” หมอกถามผมขึ้นขณะที่รถหยุดหน้าไฟแดง

“ใส่คอนแทคเลนส์ถ่ายรูปมาทั้งวันแล้วมันแสบตาน่ะ เลยถอดออก แล้วหมอกไปชอปปิ้งกับแม่เป็นยังไงบ้าง” ผมหันมาถามสารถีที่ยังเป๊ะทุกระเบียบนิ้วเหมือนเมื่อเช้านี้

“ก็ดี แม่ซื้อของเยอะเลย ตอนนี้กำลังดูหนังอยู่กับควัน”

“อ่อ” ผมรับคำแล้วเตรียมลงจากรถเมื่อหมอกขับมาถึงคอนโดของผม แต่แปลกที่คราวนี้หมอกเลี้ยวรถเข้ามาจอดในลานจอดรถแทนที่จะจอดเทียบฟุตบาทเพื่อให้ผมลงอย่างทุกวัน

“มีอะไรเหรอหมอก”

“ไปเปลี่ยนชุดสิ จะพาไปกินข้าวข้างนอก”

“หืม? จะไปไหน”

“ไปกินข้าวกับแม่เราไง”


ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย...หมอกบอกจะพาผมไปกินข้าวกับแม่...

แม่ของหมอก...

อ่า...นี่ผมกำลังฝันอยู่แน่ๆเลย




tbc.

พอมาถึงตอนนี้แล้ว เห็นตัวละครใหม่กันมั้ยคะ?
เราจะวางแพลนไว้แล้วว่าจะเขียนเรื่องอะไรบ้าง ตามไปดูในเพจกันนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันจนถึงตอนนี้ค่ะ อย่าพึ่งหายไปไหนกันนะคะทุกคน

หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 11 - หน้า 4 --05/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-03-2018 17:26:35
จะพาไปหาแม่แล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 11 - หน้า 4 --05/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 05-03-2018 18:01:05
อูยยย พาเปิดตัวหยออ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 11 - หน้า 4 --05/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 05-03-2018 18:28:09
งู้ยยยยยยยย มีเปิดตงเปิดตัวนะคะ 555555555555
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 11 - หน้า 4 --05/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 05-03-2018 19:30:12
หมอกคนจริง2018 หวังว่าคุณแม่จะปลื้มบลูนะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 11 - หน้า 4 --05/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 05-03-2018 20:31:59
พี่หมอกคนจริงอีกแล้วววว  คุณแม่ต้องเอ็นดูน้องบลูแน่ ๆ  :-[
ไอติมมีบทพูดแล้ว น้องดูนุ่ม ๆ นิ่ม ๆ แต่ดูเศร้า ๆ จัง ควันทำอะไรน้องไอติม T^T
เปิดตัวพี่สายธารแฟนคุณเพลิง หูย แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเพลิงหลงแฟนแค่ไหน
แต่เดาได้เลยว่า พี่สายธารต้องเป็นหนุ่มน่ารักแน่ ๆ > < รู้สึกถึงความควีนของพี่สายธารล่ะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 11 - หน้า 4 --05/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-03-2018 01:00:38
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 11 - หน้า 4 --05/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 06-03-2018 20:26:09
หมอกนี่รุกแรงตลอด จะพาหาแม่แล้วด้วย
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 12 - หน้า 4 --07/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 07-03-2018 20:38:55


บทที่ 12

สรุปแล้วเราเป็นอะไรกัน




ตอนนี้ผมยืนอยู่ในลิฟต์ที่กำลังพาผมไปยังชั้นบนสุดของโรงแรมหรู พอรู้ว่าต้องไปกินข้าวเย็นกับแม่ของหมอกผมก็ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก หมอกเลยเป็นคนจัดชุดเซ็ตใหญ่ให้ผมซะเลย โชคดีที่ยังพอมีทรงผมที่พอดูได้มาจากกองถ่าย ส่วนชุดที่ใส่ในตอนนี้ หมอกก็เลือกให้เป็นเสื้อยืดสีขาวของแบรนด์ดังเข้ากับกางเกงสกินนี่สีดำและรองเท้าคอนเวิร์ด

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆยามที่ประตูลิฟต์เปิดออก เมื่อเดินมาถึงชั้นดาดฟ้าของโรงแรมพนักงานก็ยิ้มแย้มต้อนรับเราอย่างดีก่อนจะพาไปที่โต๊ะซึ่งมีผู้หญิงวัยกลางคนนั่งหันหลังให้เราและผู้ชายอีกคนที่หน้าถอดแบบออกมาจากหมอกแทบทุกอย่าง

“มาแล้วครับแม่”

หมอกทักเธอ แล้วคุณแม่ของหมอกก็หันมา ผมที่ยืนอยู่ด้านหลังหมอกรีบยกมือไหว้เธอทันที คุณแม่ของหมอกยิ้มให้ผมอย่างใจดีก่อนจะเชิญให้เราทั้งคู่นั่งลง เธอสวยมากๆครับ แม้ว่าจะมีอายุแล้วแต่ก็ยังดูสวยอยู่เลย ผมไม่แปลกใจเลยว่าหมอกและควันได้ความหล่อราวกับพระเจ้าปั้นนี้มาจากใคร

“แม่สั่งของโปรดของหมอกให้หมดแล้ว...แล้วนี่คือเพื่อนที่หมอกเคยพูดให้แม่ฟังตลอดใช่มั้ยจ๊ะ”

“ครับ” หมอกขานรับก่อนที่คุณแม่จะหันมาทางผม

“น่ารักเหมือนที่หมอกเคยพูดไว้เลย...ไม่ต้องเกร็งหรอกจ๊ะ ถือซะว่าแม่เป็นแม่อีกคนแล้วกัน ว่าแต่ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ”

“ชื่อบลูครับ”

“แล้วรู้จักหมอกกับควันมานานรึยังจ๊ะ”

“เออ...ผมรู้จักเขาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่โรงเรียน W แล้วครับ แต่หมอกกับควันคงไม่รู้จักผมเพราะตอนนั้นอยู่คนละห้อง แต่พอขึ้นมหา’ลัย ผมก็รู้จักกับหมอกผ่านเพื่อนอีกคนน่ะครับ”

“งั้นเหรอจ๊ะ คงจะสนิทกับหมอกมากจริงๆเพราะหมอกไม่เคยพาเพื่อนคนไหนมากินข้าวกับแม่เลย...” คุณแม่ยิ้มละไม ก่อนจะชวนผมคุยต่อ “...บลูรู้รึเปล่าจ๊ะว่าทำไมสองคนนี้ถึงชื่อหมอกกับควัน”

“เอ๋?” ผมเผลอครางด้วยความสงสัย คุณแม่ยังคงยิ้มก่อนจะพูดต่อ

“นี่แม่ไม่เคยพูดให้ใครฟังเลยนะ...แต่ก่อนน่ะแม่ชอบเพลงหมอกหรือควันมาก ข่วงที่ท้องเจ้าสองคนนี้แม่ต้องฟังทุกวันเลย พอคลอดออกมาเลยตั้งชื่อตามชื่อเพลงซะเลย”

ผมก็พอจะเดาๆได้บ้างว่าที่มาของชื่อหมอกและควันมาจากไหน พอได้ยินคำยืนยันจากปากคุณแม่แล้วก็ดีใจที่ตัวเองคิดถูก เราคุยกันต่ออีกสักพัก อาหารหลากหลายอย่างก็ถูกเสิร์ฟในเวลาต่อมา ปูผัดผงกระหรี่ ห่อหมกมะพร้าวอ่อน ต้มยำกุ้ง ปลากะพงสามรส ผัดหน่อไม้ฝรั่ง ถูกแต่งในจานอย่างสวยงาม พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆที่บริกรตักใส่จานของแต่ละคน

เป็นอีกครั้งที่ผมได้ร่วมโต๊ะอาหารพร้อมกับหมอกและควัน แต่ที่พิเศษกว่าทุกครั้งก็ตรงที่ครั้งนี้มีคุณแม่ของทั้งคู่ด้วย ผมหายเกร็งทันทีที่เห็นรอยยิ้มของคุณแม่ และเธอก็เอ็นดูผมเหมือนลูกอีกคนของเธอนั้นทำให้ผมอดดีใจไม่ได้ และท้ายที่สุดอาหารมื้อนี้ก็จบลงด้วยดี

“กลับแล้วนะจ๊ะเด็กๆ ดูแลตัวเองกันด้วยล่ะ”

“ครับ แล้วผมจะกลับบ้านให้บ่อยมากขึ้นนะครับแม่” ควันเดินเข้าไปกอดคุณแม่ก่อนจะผละออกมา เธอยิ้มพรายแล้วอ้าแขนรอหมอกที่ยืนอยู่ด้านหลัง หมอกเลยไม่ลังเลที่จะเขาไปกอดคุณแม่พร้อมกับหอมแก้มท่านทีนึง

“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ครับ กลับบ้านดีๆนะครับ”

“จ๊ะ เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนกันนะเด็กๆ แม่ไปแล้ว”

คุณแม่เดินออกไปจากโรงแรมแล้ว ผมเห็นว่ามีรถมารอรับเธออยู่ด้านนอก พอรถของคุณแม่ขับออกไปแล้ว ควันก็หันมาหาผมที่ยังยืนอยู่ข้างหมอก

“กลับแล้วนะบลู”

“อ้าว...ไม่ได้จะกลับด้วยกันเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย

“ไม่ล่ะ ไอ้หมอกมันคงไม่อยากให้กลับด้วยหรอกมั้ง” ควันเหลือบมองหมอกแล้วก็ยิ้มออกมา...ซึ่งรอยยิ้มของหมอกมันคล้ายเพลิงเหลือเกิน...


คล้ายยังไงน่ะเหรอ


ก็กวนตีนเหมือนกันน่ะสิ


“แล้วจะกลับยังไง วันนี้จะกลับห้องรึเปล่า” หมอกถามด้วยเสียงเรียบๆเช่นเดิม

“เดี๋ยวจะไปหาเพื่อนก่อน ส่วนจะกลับห้องรึเปล่า...ก็คงต้องรอดูสถานการณ์ก่อนอ่ะนะ ช่วงนี้เพื่อนกูมันกำลังอาการร่อแร่ ต้องดูแลมันหนักหน่อย”

หืม? เพื่อนคนไหนกันนะ ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ หรือว่าจะเป็นไอติมรึเปล่า วันนี้เห็นท่าทางอ่อนล้าเหมือนคนไม่ได้นอนของไอติมแล้วก็ได้แต่คิดว่าเพื่อนคนนั้นของควันคงจะเป็นไอติมแน่ๆ ควันเดินออกไปแล้วตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่ผมกับหมอกเท่านั้น

“งั้นเราก็กลับกันเถอะ”

หมอกหันมาบอกผม ผมยิ้มกว้างแล้วเดินตามหมอกไปที่รถ วันนี้เป็นวันที่หนักหน่วงสำหรับผมเหลือเกิน ถ่ายแบบมาตั้งแต่เช้า อยากกลับไปนอนก็ถูกหมอกลากออกมาด้วยเสียก่อน จนตอนนี้ก็สองทุ่มแล้ว ผมเหนื่อยจนเผลองีบหลับบนรถ เมื่อมาถึงคอนโดแล้วหมอกก็สะกิดผมเบาๆให้ตื่น

“ถึงแล้วเหรอ...ขอบคุณนะที่มาส่ง”

ผมขยี้ตาเบาๆแล้วเตรียมลงจากรถ แต่พอเห็นว่าหมอกจอดรถที่ไหนผมก็ขมวดคิ้ว

“ทำไมมาจอดที่นี่ล่ะ ไม่ได้จะกลับคอนโดหมอกเหรอ”

“ไม่ล่ะ วันนี้จะค้างด้วย”

พอหมอกพูดจบ ผมก็เบิกตากว้าง จากที่ง่วงนอนก็ตาสว่างขึ้นมาทันที หมอกจะค้างกับผมงั้นเหรอ บ้าไปแล้ว

“ค้างอะไรกัน ห้องตัวเองก็มี แล้วอยู่ที่นี่ก็ไม่มีของใช้อะไรเลยนะ” ผมเถียงอย่างรวดเร็ว แค่ตอนนั้นที่ไปง้อหมอกแล้วโดนหลอกให้นอนด้วยนั้นก็เกินพอแล้ว ตอนนี้ยังจะมาบุกห้องผมอีก ผมไม่เคยตั้งตัวทันเลยให้ตายเถอะ

“เรื่องของใช้ไม่ต้องห่วง เตรียมมาหมดแล้ว”

หมอกหยิบเอากระเป้ที่ด้านหลังรถขึ้นมาสะพาย ใบหน้าหล่ออมยิ้มแล้วตบเป้ให้ผมได้ยินเสียงมาของข้างในนั้นมันแน่นขนาดนั้น ผมเถียงไม่ออกเลย...


คิดมาอย่างดีแล้วสินะ ไอ้คนเจ้าเล่ห์เอ๊ย!


.

..

...



“นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน ขอเก็บห้องก่อน”

ผมจัดแจงให้หมอกนั่งนิ่งๆอยู่ที่โซฟาพร้อมกับกระเป๋าเป้ของหมอก ส่วนผมก็วิ่งวุ่นเก็บของต่างๆในห้อง ทั้งชีทเรียนที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะก็จัดให้มันเข้าที่ ถ้วยมาม่าตอนเช้าที่กินเสร็จและวางทิ้งไว้ก็จัดการล้างจนเรียบร้อย หยิบไม้กวาดมากวาดเอาเศษฝุ่นบนพื้นจนมันสะอาดแล้วผมก็มัดถุงขยะสีดำเอาไปทิ้งด้านล่างคอนโด ใช้เวลาอยู่ครึ่งชั่วโมงผมก็จัดการห้องของผมจนมันสะอาดเรียบร้อยแล้วผมก็ทิ้งตัวลงอย่างหมดแรงที่โซฟาที่ว่างอีกตัว

“ไปอาบน้ำเถอะ ฝุ่นเต็มตัวหมดแล้ว”

ผมเหล่มองปลายเท้าหมอกที่ดันสีข้างผมเบาๆ สาบานได้ว่านี่คือคนที่บอกว่าชอบผม เขาทำกันอย่างนี้งั้นเหรอครับ

“จะนอนตรงนี้มั้ย เดี๋ยวไปหาหมอนกับผ้าห่มให้ จะได้ไปอาบน้ำทีเดียว” ผมถามแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เตรียมจะลุกไปหยิบหมอนกับผ้าห่มมาให้แล้ว แต่หมอกก็ดึงมือผมไว้ก่อนจะฉุดลงให้นั่งข้างเจ้าตัว

“นอนตรงไหน”

“ก็ตรงนี้ไง ที่โซฟา” ผมมองหน้าหมอกงงๆ ไม่เข้าใจอะไรหว่า ก็ว่าพูดภาษาไทยอยู่นะ

“ใครจะนอนโซฟากัน จะนอนในห้องนอน”

“ไม่ให้นอน นอนตรงนี้แหละ เดี๋ยวไปเอาหมอนมาให้”

ผมเถียงแล้วดันหมอกให้ห่างจากตัว เดินเข้าไปในห้องนอนแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบหมอนและผ้าห่มออกมา แต่ว่าหมอนมันอยู่สูงและเก็บไว้ลึกจนผมเอื้อมไม่ถึง กำลังจะไปลากเก้าอี้มาเพื่อปีนขึ้นไปเอาหมอนแล้ว แต่ไอร้อนที่แผ่อยู่ด้านหลังก็ทำให้ผมชะงักเสียก่อน

หมอกเข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ร่างสูงกำลังยืนซ้อนหลังผมอยู่ หมอกแค่เขย่งปลายเท้าแล้วก็เอื้อมแขนยาวๆนั่นไปหยิบหมอนได้อย่างสบาย ผมลดมือลงและหันกลับมามองแขกที่ยังยืนอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นว่าระยะห่างระหว่างเราสองคนนั้นใกล้กันเหลือเกิน ผมก็ถอยปลายเท้าจนแผ่นหลังแนบกับตู้เสื้อผ้าโดยอัตโนมัติ

“ได้หมอนแล้วก็ถอยออกไปสิ” ผมพูดเสียงเบา พอดันคนตรงหน้าให้ถอยออก หมอกก็ไม่ยอมขยับเลย

“ไม่ถอย จนกว่าจะได้นอนในห้องนอน” พูดอย่างเดียวไม่พอยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมอีก ผมเผลอย่นคอหนีโดยอัตโนมัติ แต่ก็หนีได้เพียงนิดเพราะตอนนี้แผ่นหลังผมก็ติดกับตู้เสื้อผ้าแล้ว

“งั้นนอนในห้องก็ได้ ดะ...เดี๋ยว...เดี๋ยวเราไปนอนที่โซฟาข้างนอกก็ได้” พอพูดจบผมก็รีบหลับตาปี๋ทันที เมื่อหมอกยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมยิ่งกว่าเดิมอีก ใกล้จนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่กระทบที่ข้างแก้มของผม

“ให้โอกาสใหม่พูดอีกที...ถ้ายังพูดไม่ถูกใจอีกน่าจะรู้นะว่าจะโดนอะไร”

เสียงของหมอกกระซิบเบาๆอยู่ข้างหู ผมยังไม่กล้าลืมตาขึ้นมา ตอนนี้แม้แต่จะหายใจผมยังไม่กล้าเลย

“ก็...ก็ได้...หมอกนอนในห้องนี้ก็ได้” ผมยอมแพ้แล้วครับ

“แล้วบลู?”

“เรา...เออ...ก็จะนอนห้องนี้เหมือนกัน”

“ก็แค่นั้นแหละ”

พูดจบหมอกก็ผละออก ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมเผลอสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด เมื่อกี้นี้เกือบลืมหายใจไปแล้วด้วยซ้ำ ผมยังยืนมองหมอกที่วางกระเป๋าเป้แล้วก็กระโดดขึ้นเตียงของผมอยู่ที่เดิม เห็นหมอกนอนแผ่จนเต็มเตียงแล้วผมก็คิดหนัก เตียงของผมมันไม่ได้กว้างเท่าเตียงของหมอก แถมห้องของผมยังไม่มีหมอนข้างอีก หรือว่าผมควรจะนอนที่พื้นดีนะ?

“ไปอาบน้ำสิบลู”

หมอกพูดแล้วก็หยิบคุณบราวน์ของผมขึ้นมากอดเล่น ผมมองภาพตรงหน้าแล้วก็อมยิ้มออกมา ผู้ชายตัวสูงเกือบ 190 ซม. กำลังนั่งกอดตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลอยู่บนเตียงของผม ใครได้เห็นภาพนี้ก็คงจะต้องยิ้มเหมือนผมแน่ๆ

“ยิ้มอยู่นั้น หรือที่ไม่ยอมไปอาบน้ำเพราะว่ารออาบพร้อมกันรึไง”

“อาบน้ำพร้อมกันอะไรเล่า!” ผมตีหน้ายุ่งแล้วก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำทันที ขืนยืนต่อนานอีกสักนิด หมอกต้องหาเรื่องมาแกล้งให้ผมหัวใจเต้นรัวอีกแน่ๆ

หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว หมอกก็ลุกออกจากเตียงมาคุ้ยของในกระเป๋าเป้เพื่ออาบน้ำบ้าง ผมมองหมอกหยิบเอาชุดนอน ผ้าขนหนู แปรงสีฟัน พร้อมกับชุดนักศึกษาสำหรับใสในวันพรุ่งนี้ออกมาสะบัดๆแล้วเอาไม้แขวนผ้าของผมไปแขวนเอาไว้ แล้วร่างสูงก็เดินเข้าไปอาบน้ำ

ผมเดินเข้าไปดูกระเป๋าเป้ที่ยังเปิดเอาไว้อยู่ เห็นของข้างในแล้วก็ต้องยอมหมอกจริงๆ เตรียมมาพร้อมทุกอย่างเหมือนวางแผนมาตั้งแต่เช้าแล้วว่าคืนนี้จะค้างที่ห้องของผมเพราะผมเห็นกระเป๋าเป้ใบนี้วางอยู่ในรถตั้งแต่เช้าแล้ว ผมหันไปมองชุดนักศึกษาของหมอกที่มันค่อนข้างยับเพราะถูกพับไว้ในกระเป๋าอยู่นาน ผมเลยหวังดีเอาชุดนักศึกษาของหมอกมารีดให้จนเรียบร้อย พอรีดเสร็จแล้วก็แขวนไว้ที่เดิม หมอกก็ออกมาจากห้องน้ำพอดี

“ทำอะไรน่ะ”

“รีดชุดให้เฉยๆ เสื้อเรียบดี ไม่ไหม้เลยนะ”

“ขอบใจ นึกว่าจะได้ใส่เสื้อยับๆไปเรียนซะแล้ว”

หมอกเดินมาดูฝีมือการรีดเสื้อของผมด้วยความซึ้งใจ คงไม่คิดว่าผมจะรีดเสื้อได้ดีขนาดนี้สินะ ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะตั้งใจรีดเสื้อให้หมอกขนาดนี้ เสื้อตัวเองยังรีดไม่เรียบเท่านี้เลยเถอะครับ

“เสื้อก็เรียบแล้ว แถมตอนนี้ก็ดึกแล้วด้วย งั้นเรานอนกันเถอะ” คนตัวสูงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ ผมรีบแกะมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของหมอกทันที จู่ๆก็รู้สึกกลัวรอยยิ้มของหมอกขึ้นมาเฉยๆ ใครก็ได้ช่วยผมด้วยครับ T___T

“หมอกนอนเลย เดี๋ยวเราเอาผ้าไปปูนอนที่พื้น”

“ได้ไง นอนด้วยกันดิ” ร่างสูงขมวดคิ้ว มองผมที่ยังยืนยิ้มใจดีสู้เสือ(ร้าย)อยู่

“เตียงเรามันไม่ได้กว้างพอจะนอนด้วยกันสองคนสักหน่อย เดี๋ยวเราเสียสละนอนที่พื้นเองก็ได้”

“ไม่เอา ไปนอนด้วยกัน” พูดไม่พอ จับแขนผมหมับแล้วก็ลากผมขึ้นเตียงเลย ผมตั้งตัวไม่ทันแล้วครับ ทำไมเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้เนี่ยคุณหมอก!

“เตียงเล็กตรงไหนกัน เรียกไอ้ควันมานอนด้วยอีกคนยังได้เลย” หมอกว่าแล้วก็คว้าเอาคุณบราวน์ของผมไปกอดหมับ ผมมองคนตัวโตที่หยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาถ่ายตุ๊กตาหมีของผม ผมเลยเอนตัวหลบกล้องของหมอก

“หลบทำไมอ่ะ มานั่งเหมือนเดิมสิ”

“ไม่เอา จะถ่ายตุ๊กตาก็ถ่ายไปสิ”

“ก็อยากถ่ายเจ้าของตุ๊กตาด้วย” ว่าแล้วก็เบนกล้องมาทางที่ผมนั่งอยู่พร้อมกับคุณบราวน์ “ยิ้มหน่อยครับ”

“ไม่เอา”

“ยิ้มเร็ว ไม่ยิ้มจับปล้ำจริงๆด้วย”

สุดท้ายผมก็ยอมฉีกยิ้มใส่กล้องของหมอกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ยอมถ่ายเดี๋ยวก็หาเรื่องบังคับให้ผมถ่ายให้ได้นั้นแหละ พอได้รูปไปแล้วหมอกก็ยิ้มกว้างแล้วนอนแผ่กลางเตียง ผมมองหมอกกดๆจิ้มๆโทรศัพท์แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวผมก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าหมอกกำลังทำอะไรอยู่ จนกระทั่งเสียงแชทจากโทรศัพท์ของผมดังขึ้นรัวๆ ผมก็เลยลุกไปเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดดู


Wan : เชี่ยบลู! มึง!

Plerng : อ๊ะๆๆ ไม่ธรรมดาเลยนะครับเพื่อน


หืม? เกิดอะไรขึ้น ทั้งว่านและเพลิงทักผมมาพร้อมกัน ยังไม่รวมเพื่อนอีกหลายคนที่ทักผ่านผมมาทางเฟสบุ๊คด้วย ผมรีบเข้าไปดูเฟสบุ๊คทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นว่าโพสต์แรกเป็นของใคร ผมก็รู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาจนอยากจะกระโดดถีบคนที่นอนยิ้มหน้าบานอยู่บนเตียง


Kavee Worakul
2 mins

Nice bear with nice boy : )


“มัน nice boy ตรงไหนหมอก นี่มัน ugly boy ชัดๆ”

ผมมองรูปที่หมอกอัพลงในเฟสบุ๊คส่วนตัวของหมอก แต่ไอ้เฟสบุ๊คส่วนตัวเนี่ยดันเปิดโพสต์นี้เป็นสาธารณะซะงั้น รูปผมที่ใส่แว่นตากรอบหนา แถมยังใส่รีเทนเนอร์อยู่ด้วย ไม่เหลือสภาพความหล่ออะไรแล้ว ตอนนี้ผมกลายเป็นไอ้แว่นเฉิ่มๆในชุดนอนย้วยๆเป็นแบคกราวน์ด้านหลังคุณบราวน์ไปแล้ว

“น่ารักจะตาย กระแสดีด้วยเนี่ยดูสิ”

หมอกยื่นโทรศัพท์ของเจ้าตัวมาให้ผมดู ผมเห็นคอมเมนต์ที่ค่อยเพิ่มพร้อมกับยอดไลค์และยอดแชร์ที่ตามมาติดๆ หมดกันภาพลักษณ์เดือนคณะวิทยาศาสตร์ที่ผมพยายามสั่งสมมาตลอดทั้งเทอมนี้

“ลบเดี๋ยวนี้เลยนะหมอก น่าเกลียดจะตาย”

“ไม่อ่ะ ปล่อยไว้งี้แหละ” หมอกยังคงยืนยันคำเดิม ผมเบะปากแล้วเลื่อนดูคอมเมนต์ที่เหล่าสาวกของหมอกยังคอมเมนต์ไม่หยุด


นั้นมันน้องบลูนี่นาน้องหมอก

เปิดตัวกันแล้วเหรอคะคู่นี้ ถ้าเปิดตัวดิฉันก็พร้อมจะฟินแล้วค่ะ

ลาออกจากการเป็นชิปเปอร์ได้ที่ไหนคะ ตกงานค่ะ กัปตันพายเรือหนักเหลือเกิน

สรุปว่าตอนนี้เป็นเพื่อนสนิทหรือแฟนกันแน่ บลูก็บอกว่าเป็นเพื่อนสนิท หมอกก็บอกจะเป็นแฟน งงไปหมดแล้วค่า

 

พอเห็นคอมเมนต์ของแต่ละคนแล้วผมก็ชะงัก นั้นสิแล้วตอนนี้ผมกับหมอกเป็นอะไรกันเหรอ เราสนิทกัน เราไปไหนมาไหนด้วยกัน หมอกบอกว่าชอบผม และผมก็ชอบหมอก ความรู้สึกของเราตรงกันทุกอย่าง แต่ผมก็ไม่กล้าถามหมอกว่าสถานะของเราตอนนี้คืออะไรกันแน่

“หมอก” ผมเปล่งเสียงเรียกคนที่ยังนอนไถโทรศัพท์เล่นอยู่ที่เตียง หมอกขานรับแล้วก็หยิบคุณบราวน์มากอดด้วย ดูท่าจะชอบตุ๊กตาของผมจริงๆ

“มีอะไรงั้นเหรอ มานอนดิ” ว่าแล้วก็ตบที่ว่างข้างเตียงเบาๆ แต่ผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม

“เราถามอะไรสักอย่างหน่อยดิ”

“ว่ามาสิ”

“สรุปว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกันเหรอ”

พอผมถามจบ หมอกที่นอนเล่นอยู่บนเตียงก็เปลี่ยนโหมดเป็นโหมดจริงจังทันที ร่างสูงเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแล้วดึงแขนผมให้นั่งข้างๆ

“เครียดอะไรอีกหืม?”

“ไม่ได้เครียด แต่เราสงสัยจริงๆว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกับหมอกกันแน่”

“คนที่ต้องถามคำถามนี้มันควรเป็นเรามั้ยที่ถาม...แต่สงสัยอย่างนี้ก็ดี เอาโทรศัพท์มาสิ จะได้รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน” พูดเสร็จก็แย่งโทรศัพท์ในมือของผมไปกดอะไรก็ไม่รู้อยู่คนเดียว กดๆอยู่สักพักแล้วก็ยิ้มกับตัวเองก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้ผม

“ถ้าอยากรู้ว่าเราเป็นอะไรกันก็เปิดดูในเฟสบุ๊คเอาแล้วกัน คำตอบอยู่ในนั้นแหละ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแล้วรีบเข้าไปดูว่าหมอกทำอะไรกับเฟสบุ๊คของผม พอเห็นข้อความตรงหน้าวผมก็เบิกตากว้าง หัวใจเต้นเร็วอย่างห้ามไม่อยู่ ผมกำลังนึกว่าผมตาฝาดอยู่ แต่ขยี้ตาอีกกี่ทีผมก็ยังเห็นแต่ข้อความเดิมๆปรากฏอยู่ตรงหน้า


Punnawit thanawatchai in a Relationship with Kavee Worakul



tbc.

อัพถี่ขนาดนี้อย่าพึ่งเบื่อกันนะคะ
ใครที่บอกว่าหมอกพาไปเปิดตัวกับแม่ เรียกว่าไปแนะนำตัวจะดีกว่าเนอะ
ตอนนี้มีใครอ่านไปแล้วยิ้มบ้างคะ นี่แต่งไปแล้วก็ตลกกับความเจ้าเล่ห์ของหมอก
พอบลูถามสถานะปุ๊บก็รวบหัวรวบหางบลูจับเป็นแฟนซะเลย55555555

ปล.ถ้าชอบก็คอมเมนต์หรือติดแทกกันทางทวิตได้นะคะ
ติด #ม่านหมอกสีฟ้า ให้หน่อยนะคะ ตามไปอ่านแล้วไม่มีฟีดแบคเลย เศร้าใจแท้ ;-;


หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 12 - หน้า 4 --07/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-03-2018 21:25:22
 o13
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 12 - หน้า 4 --07/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-03-2018 21:36:11
อีหมอกนี้ก็ไวเกิ๊นนน
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 12 - หน้า 4 --07/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 07-03-2018 22:00:48
แว้กกก หมอกคนเจ้าเล่ห์ มือไวใจไวเหลือเกินนน
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 12 - หน้า 4 --07/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 08-03-2018 00:37:25
ว้ายยยๆยาฟหยดฟายดาฟยห เค้าเปิดตัวกันแล้ววว ตั้งคบแล้วว แงงงงง
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 13 : แฟนกันวันแรก - หน้า 4 --11/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 11-03-2018 20:57:07



บทที่ 13
แฟนกันวันแรก


Foggy & Smoky : เพจแตกไปแล้วค่าทุกคนนนนนนนนนนนนนนนนนน
หลังจากที่เมื่อคืนหนุ่มหมอกของชาวเราโยนระเบิดลงกลางเฟสบุ๊คตอนเที่ยงคืน
ชาวเรือตายเกลื่อนจนตอนนี้ยังมีการกู้ซากศพชิปเปอร์หมอกบลูที่ตายยังไม่ฟื้นกันอยู่เลยค่ะทุกคนฮืออออออ
สรุปแล้วว่าตอนนี้คู่เรียล คู่แท้ คู่ที่ไม่ต้องมโน คู่ที่ไม่ต้องจิ้นเค้าคอนเฟิร์มกันแล้วโน๊ะ
ถึงแอดจะเสียใจที่หมอกของเราไม่โสดอีกต่อไปแล้ว แต่แอดก็ไม่เสียใจค่ะเพราะแอดก็ชอบหมอกบลูมากเหมือนกัน
น้องบลูน่ารักกกกกกกก สะใภ้ของชาวเราน่ารักขนาดนี้ พวกเราจะเสียใจไปทำไมกันคะ
ส่วนใครที่กำลังเสียใจ ซดน้ำใบบัวบกกันอยู่ก็อย่าเสียใจกันนานนะคะ เรายังเหลือหนุ่มควันอีกคนไว้แทะโลมอยู่
ว่าแล้วก็แปะรูปหมอควันของชาวเราไปดูแก้ช้ำในกันเถอะค่ะ
 




ผมตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังลั่นห้อง ยื่นแขนออกไปกดปิดนาฬิกาปลุกอย่างเคยชินแล้วผมก็มุดหน้าเข้ากับอ้อมกอดอบอุ่นที่ผมซุกอยู่ตลอดทั้งคืน

อ้อมกอดอบอุ่น...

ของหมอก

“เช้าแล้วนะ จะไม่ตื่นเหรอ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูแผ่วเบา ผมยังคงหลับตานิ่งพร้อมกับครางปฏิเสธ

“อืออออ ขอเวลาอีกสิบนาที” ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาอุดหู ไม่สนอีกคนที่ขยุกขยิกอยู่รอบๆตัวผม

“งั้นเดี๋ยวไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะมาปลุก”

หมอกลุกออกไปจากเตียงแล้วผมก็กลิ้งตัวม้วนเอาผ้าห่มทั้งหมดมาเป็นของผม จะได้นอนต่อสักที ต้องรีบทำเวลาเพราะเวลาสิบนาทีในตอนนี้มันมีค่ากับผมมากจริงๆ


.

..




“บลู”

“...”

“บลู ตื่น”

“อื้อออออ”

สิบนาทีมันผ่านไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอ ผมยังคงหลับตาอยู่แม้ว่าแรงจากด้านนอกผ้าห่มจะเขย่าตัวผมจนหัวหมุนไปหมด และในท้ายที่สุดผมก็ถูกดึงออกจากผ้าห่มผืนหนาจนได้

“จะตื่นดีๆ หรือต้องให้กระตุ้นก่อนหืม?”

“อือออออ...กระตุ้นอะไร” ผมปรือตามองคนปลุกในวันนี้ แต่พอลืมมาขึ้นมาผมก็ต้องเบิกตากว้าง ความง่วงงุนหายไปหมดเมื่อเห็นใบหน้าของหมอกอยู่ใกล้ชนิดที่ว่าผมสามารถนับเส้นขนตาของหมอกได้

“เห้ยยยยย”

ผมผลักหมอกออกห่างอย่างรวดเร็ว เกือบไปแล้ว ถ้าผมไม่ยอมตื่นเขาต้องเข้ามาใกล้ผมกว่านี้แน่ๆ

“ไม่น่ารีบตื่นเลย เกือบจะได้กินของหวานตอนเช้าล่ะ”

หมอกพึมพำอย่างเสียดาย ผมมองคนตรงหน้าที่คิดจะเก็บเล็กเก็บน้อยกับผมตลอดเวลา แถมสายตาของหมอกนั้นก็เจ้าเล่ห์สุดๆ ผมหมั่นไส้จนอดไม่ได้ที่จะปาหมอนที่อยู่ใกล้ตัวสุดใส่คนตรงหน้า

“ออกไปรอด้านนอกเลย จะไปอาบน้ำแล้ว” หมอกกดยิ้มมุมปากแล้วนั่งลงที่ปลายเตียงก่อนจะชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้งของผม

“หึหึ เดี๋ยวนอนรอในนี้แหละ เจลเซ็ตผมใช้ได้ใช่มั้ย”

“อื้อ จะทำอะไรก็เชิญ”

หลังจากนั้นผมก็วิ่งเข้าห้องน้ำพร้อมชุดนักศึกษาที่จะใส่ในวันนี้ ตั้งแต่อยู่ที่คอนโดนี้มา ผมไม่เคยต้องอาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดในห้องน้ำเลย แต่ตอนนี้ผมเริ่มเป็นห่วงความปลอดภัยในชีวิตขึ้นมาแล้วล่ะครับ อะไรที่เซฟตัวเองได้ผมก็จะทำแล้วล่ะครับตอนนี้

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนักศึกษาเต็มยศ พอเห็นสายตาของหมอกที่มองผมอย่างคาดหวังตอนออกมาจากห้องน้ำแล้วรู้สึกดีที่ใส่ชุดออกมาก่อนแทนที่จะออกมาแต่งตัวเหมือนทุกวัน ผมทาครีมและทาแป้งจนเสร็จเรียบร้อย พอหันไปมองหมอกที่ยังผมยุ่งฟูอยู่เหมือนเดิมก็อดจะถามไม่ได้

“ยังไม่เซ็ตผมเหรอ ไหนบอกว่าจะใช้เจลของเราไง”

“ยัง”

“ไม่เซ็ตแล้ว?”

“เปล่า เซ็ตให้หน่อย” พูดไม่พอ ยังยื่นกระปุกเจลมาให้ผมอีก ผมรับเจลเซ็ตผมมาแล้วเดินเข้าไปหาหมอกที่ยังนั่งอยู่ปลายเตียง ดวงตาเรียวมองที่ผมอย่างคาดหวัง

“จะเอาทรงแบบไหน”

“เอาทรงที่คิดว่าหล่อที่สุด เอาแบบที่ไปเรียนแล้วคนต้องอิจฉาว่ามีแฟนหล่ออ่ะ”

หมอกพูดประโยคนั้นด้วยเสียงเรียบๆเหมือนเป็นเรื่องปกติ ต่างจากผมที่หัวใจเต้นรัวกับคำว่า แฟน ของหมอก ตั้งแต่เมื่อคืนที่เราเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนกลายเป็นแฟนแบบงงๆ จนมาถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดว่าผมกำลังฝันอยู่เลย โซเชี่ยลต่างๆผมก็ไม่ได้เช็ค เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรที่น่าสนใจมากไปกว่าคนตรงหน้าผมอีกแล้ว

“งั้นไม่ต้องเซ็ตแล้วกัน” ผมว่า แล้วเดินไปเก็บกระปุกเจลเข้าที่เดิม ส่วนหมอกนั่งที่ยังนั่งอยู่ปลายเตียง จากที่กำลังยิ้มกว้างก็หุบยิ้มหน้าบึ้งไปแล้ว

“ทำไม ไม่อยากมีแฟนหล่อรึไง”

“ไม่ล่ะ แค่นี้คนก็ชอบทั้งมอแล้ว ขืนหล่อไปมากกว่านี้ ถ้าคนหลงเสน่ห์มากขึ้นอีก เราคงหวงแย่”



.

..

...



ตั้งแต่ที่หมอกกลายมาเป็นสารถีส่วนตัวของผม ผมก็ไม่เคยให้หมอกขับรถมาจอดถึงหน้าคณะเลยสักครั้ง อย่างดีก็จอดห่างจากคณะไปประมาณ 500 เมตร แล้วผมก็เดินไปที่คณะจะได้ไม่เป็นจุดสนใจของคนอื่น แต่วันนี้พอมาถึงที่เดิมที่ผมมักจะลงแล้ว หมอกกลับไม่ยอมหยุดรถ พอผมท้วงก็เอาหูทวนลมแล้วรถเบนซ์สีขาวก็ทะยานมาจอดลงที่หน้าตึกเรียนของผมในเวลาที่นักศึกษากำลังพลุกพล่านอย่างนี้

“หมอก ขับเลยออกไปกว่านี้อีกนิดได้มั้ย” ผมถามแล้วเหลือบมองผู้คนด้านนอกที่มองมาที่พวกเราด้วยความสงสัย

“ขับออกไปทำไม ลงตรงนี้แหละ คนเยอะดี”

“ไม่เอาอ่ะ ขับไปจอดป้ายนั้นเร็ว” ผมชี้ไปที่ป้ายจอดรถซึ่งห่างออกไปจากตรงนี้พอสมควร แต่หมอกกลับฉีกยิ้มแล้วส่ายหน้า

“ไม่ไป เลือกเอาว่าจะลงไปเองหรือว่าจะให้ไปอุ้มลงจากรถ”

พอพูดแบบนั้นผมก็รีบเปิดประตูลงจากรถทันที ไว้ใจอะไรหมอกไม่ได้หรอกครับ ขืนบ้าดีเดือดทำจริงตามที่พูดขึ้นมา ผมคงโดนซุบซิบทั้งวันแน่ ผมยังอยากเรียนอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขนะครับ

พอผมลงมาจากรถ ทุกสายตาก็มองมาที่ผมเป็นจุดเดียว ผมก้มหน้าแล้วรีบก้าวเท้าเข้าห้องเรียนอย่างรวดเร็ว พอเข้ามาในห้อง เพื่อนทั้งห้องก็พร้อมใจกันมองมาที่ผมอย่างไม่ได้นัดหมาย พอผมเดินไปนั่งประจำที่ตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมา เพื่อนทุกคนก็เข้ามารุมผมทันทีโดยมีไอ้ว่านเป็นแกนนำอยู่ตรงหน้า

“มีอะไรกันเหรอพวกมึง” ผมยิ้มแห้งๆ ถึงพอจะรู้อยู่แล้วว่าทำไมทุกคนถึงเข้ามาล้อมรอบที่โต๊ะผมอย่างนี้ แต่ผมก็แอบกลัวอยู่นิดๆนะ

“สรุปแล้วมึงกับหมอกเป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย”

“เออ...” ผมกำลังมึนกับสายตาทุกคนที่จ้องอย่างคาดหวังกับคำตอบของผม แม้แต่ไอ้ว่านมันยังไม่อยู่ข้างผมเลยครับ T__T

“ไม่ต้องอ้ำอึ้งเลยนะหมอก นี่ตามส่องตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว วันนี้เห็นด้วยนะว่าหมอกมาส่งอ่ะ” มะนาว...เพื่อนร่วมคลาสพูดขึ้น ผมแอบปาดเหงื่อแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“ให้เราพูดอะไรก่อนล่ะ ถามมาทีละเรื่องสิ” พอผมพูดแบบนั้น ทุกคนก็พร้อมจะรัวคำถามใส่ผมทันที แต่ว่านก็ยกมือห้ามก่อน

“ถามคำถามทีละคน...กูเริ่มก่อน” ว่านจ้องหน้าผม พร้อมกับรอยยิ้มที่ผมไม่ไว้ใจเลย

“เมื่อคืนหมอกนอนที่ห้องมึงใช่มั้ย”

“เออ...”

“ห้ามโกหก!” กำลังคิดจะทำอย่างนั้นเลย แต่ว่านก็พูดดักไว้ก่อน ผมเลยพยักหน้าช้าๆอย่างยอมรับ

“แล้วที่ขึ้นสถานะเมื่อคืน สรุปว่าตอนนี้มึงคบกับหมอกแล้วใช่มั้ย”

“ไม่รู้...หมอกหยิบโทรศัพท์ไปแล้วก็จัดการเองทุกอย่างเลย”

ผมตอบคำถามเหมือนนักโทษที่ทำความผิดร้ายแรง ทำไมต้องจ้องคาดคั้นเอาความจริงกันขนาดนี้ด้วย แอบได้ยินเสียงเพื่อนด้านหลังกรี๊ดเบาๆกับคำตอบของผมด้วย อย่าบอกนะว่าในห้องนี้ก็มีคนจิ้นผมกับหมอกอ่ะ

“ยังจะมาบอกว่าไม่รู้อีก เขาชัดเจนขนาดนั้นแล้วมึงก็มั่นใจได้แล้วโว้ยไอ้บลู”







หลังจากเรียนเสร็จในช่วงเช้าแล้ว ตอนบ่ายผมยังต้องเข้าแลปอีก ผมและว่านจึงรีบไปที่โรงอาหารทันที พอมาถึงแล้วพวกผมก็ยืนนิ่งอยู่หน้าโรงอาหาร คนเยอะตามระเบียบครับเพราะนักศึกษาสาขาอื่นก็เลิกพร้อมกันหมด

“เอาไงดีมึง หรือจะกินขนมปังในมินิมาร์ทประทังชีวิตไปก่อน” ผมขอความเห็นจากว่าน เห็นแถวที่รอซื้อข้าวแล้วก็ท้อแท้ ถ้ารอกินข้าวที่นี่ผมคงไม่ทันไปเข้าแลปแน่ๆ

“กูว่ามึงไม่น่าจะต้องกินขนมปังประทังชีวิตหรอกนะ ดูนั้นสิ”

“หืม?” ผมมองไปทางที่ว่านชี้ให้ดู พอหรี่ตามองแล้วผมก็ต้องเบิกตากว้าง เห็นเพลิงนั่งโบกมือหยอยๆอยู่กลางโรงอาหาร พอผมเห็นมันแล้วมันก็รีบกวักมือเรียกทันที ผมเลยเดินเข้าไปหามันและพบว่าหมอกก็นั่งอยู่ด้วย

“นั่งลงเร็วบลู จองที่ไว้ให้แล้ว” เพลิงชี้ไปที่ที่ว่างด้านข้างหมอก ผมเลยต้องนั่งลงอย่างช่วยไม่ได้

“มีเรียนแลปตอนบ่ายใช่มั้ย” หมอกถามผมพร้อมกับเลื่อนจานข้าวมาตรงหน้า “กินสิ ซื้อไว้ให้แล้ว”

“อ่า...ขอบคุณนะ” ผมยิ้มกว้างแล้วกำลังจะหยิบช้อนขึ้นมาตักกินข้าว แต่พอได้ยินเสียงว่านแล้วผมก็ชะงักกึก

“อิจฉาคนมีแฟนจังว่ะ ข้าวเที่ยงก็ซื้อให้พร้อม แถมตามมาเฝ้าถึงที่คณะ ไอ้เราไม่มีใครก็คงต้องไปหาซื้อข้าวเองสินะ”

“คนไม่มีแฟนก็ต้องดูแลตัวเองนะว่าน ไปกันเถอะ กูอยู่แถวนี้แล้วกูรู้สึกตาร้อน ไปหาอะไรกินดับความร้อนดีกว่า”

“เออ กูก็ว่างั้น”

ว่านและเพลิงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินออกไปทิ้งให้ทั้งโต๊ะเหลือเพียงแค่ผมและหมอก พอมองไปรอบๆตัวก็พบว่าสายตาหลากหลายคู่มองมายังพวกผมเป็นจุดเดียว พอเห็นว่าผมมอง คนพวกนั้นก็รีบหลบสายตาผมกันทันที

“กินข้าวดิ เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอก”

“ก็จะกินอยู่ แล้วหมอกล่ะ กินแล้วเหรอ” ผมถามคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเพราะไม่เห็นว่าตรงหน้ามีอะไรวางอยู่ หรือว่าหมอกแค่มานั่งเฝ้าผมเฉยๆงั้นเหรอ

“ยัง เดี๋ยวจะออกไปกินข้างนอก ช่วงบ่ายว่างน่ะ”

“อ่อ” ผมว่า และตักข้าวเข้าปากตามไปด้วย

“บลูยืมกุญแจห้องหน่อยดิ”

“จะเอาไปทำไม” ผมขมวดคิ้วแล้วเคี้ยวข้าวตามไปด้วย

“ลืมของไว้ที่ห้องน่ะ เดี๋ยวว่าจะแวะเข้าไปเอา แล้วตอนเย็นเดี๋ยวคืนกุญแจให้”

ผมพยักหน้าเข้าใจ ไม่ได้คิดอะไรมากและหยิบเอากุญแจห้องส่งให้หมอก จากนั้นผมก็รีบกินข้าวเลยไม่ทันเห็นรอยยิ้มของหมอกว่าเป็นยังไง พอกินข้าวจนหมดแล้วก็รีบเก็บของทั้งหมดเพื่อที่จะวิ่งไปแลปต่อ

“แล้วเจอกันตอนเย็นนะ อย่าขโมยของที่ห้องล่ะ”

“ไม่ขโมยหรอกหน่า ไปได้แล้ว”



หลังจากเลิกเรียนแลปเคมีแล้ว ผมก็ออกมารอหมอกอยู่ที่หน้าคณะเช่นเดิม รอไม่นานหมอกก็ขับรถมาจอดเทียบอยู่ตรงหน้า ผมยิ้มกว้างและเปิดประตูขึ้นรถอย่างเคยชิน 

“หาของเจอแล้วใช่มั้ย ล็อคห้องเรียบร้อยดีรึเปล่า” ผมหันไปถามสารถีส่วนตัวที่ยังไม่หยุดยิ้มอีก ยิ้มอะไรกันนักหนานะ

“อืม เรียบร้อยแล้ว ไปไหนกันต่อดี ฉลองกันหน่อย”

“ฉลองอะไร?”

“ฉลองที่เป็นแฟนกันวันแรกไง”

“ถึงกับต้องฉลองเลยเหรอ” ผมถามเสียงเบา ยื่นมือไปปรับแอร์ให้มันโดนหน้าผมเยอะๆ จู่ๆก็ร้อนหน้าขึ้นมาอีกแล้ว อากาศประเทศไทยนี่มันร้อนจริงๆครับ T/////T

“ต้องฉลองสิ อยากไปไหน บอกมาเร็ว”

“ไปที่ไหนก็ได้ แล้วแต่หมอกเลย”

ผมไปที่ไหนก็ได้ครับ...ขอแค่คนข้างกายเป็นผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าเขาจะพาผมที่ไหน ผมก็พร้อมจะเดินไปข้างๆเราแล้วล่ะครับ




ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 13 : แฟนกันวันแรก - หน้า 4 --11/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 11-03-2018 20:58:41
หมอกพาผมมาที่ห้างสรรพสินค้าที่ใกล้กับมหา’ลัยของเรามากที่สุด เราเลือกที่จะไปดูหนังด้วยกัน ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมได้มาดูหนังกับหมอกอย่างนี้ ครั้งแรกที่เรามาด้วยกันผมยังเกร็งๆอยู่เลย แถมตอนนั้นผมยังแอบชอบหมอกมากๆ คิดแค่ว่าได้เป็นแค่เพื่อนกับหมอกก็ดีมากแค่ไหนแล้ว ไม่คิดว่าในวันนี้สถานะของผมกับหมอกจะเปลี่ยนจากเพื่อนมาเป็นแฟนอย่างนี้เลย

“อยากดูเรื่องอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า” หมอกถามผมหลังจากที่เติมเงินในบัตรแล้ว วันนี้หมอกบอกว่าจะเลี้ยงหนังผมครับ

“ดูเรื่องนี้ก็ได้” ผมลังเลระหว่างหนังรักกับหนังแอคชั่นฮีโร่ สุดท้ายก็ชี้ไปที่หนังแอคชั่นฮีโร่ที่กำลังฮอตสุดๆในตอนนี้ดีกว่า

“กำลังอยากดูพอดีเลย” หมอกพูดพึมพำแล้วจัดการซื้อบัตรและเลือกที่นั่ง หมอกเลือกเบาะฮันนีมูนแทนที่จะเป็นบัตรนั่งธรรมดา พอซื้อบัตรเสร็จก็ลากผมไปซื้อป็อบคอร์นและน้ำอัดลมต่อ

พอเข้ามาในโรงหนังแล้วผมก็เดินไปนั่งตรงที่นั่งที่หมอกเลือกไว้ การดูหนังในครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิมครั้งแรกมากๆ สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมจากการดูหนังครั้งก่อนก็คือฝ่ามือที่กุมมือผมไว้ตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังแอคชั่นที่สนุกจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ แม้ว่าหนังจะน่าตื่นเต้นขนาดไหนแต่ผมกลับนั่งอมยิ้มเหมือนดูหนังรักตลอดเวลาสองชั่วโมงที่อยู่ในโรงหนัง


พอมีความรักแล้วมันเป็นอย่างนี้สินะ...

อะไรๆก็ดีไปหมดแบบนี้


หลังจากดูหนังเสร็จ เราก็ยังเดินเล่นกันอยู่ในห้างกันต่อไป หมอกอยากได้น้ำหอมขวดใหม่เลยพาผมเข้าออกร้านน้ำหอมเป็นว่าเล่น ให้ผมดมกลิ่นน้ำจนเส้นประสาทส่วนการรับกลิ่นของผมเอ๋อไปได้พักใหญ่ๆ

“นี่ยังไม่ได้น้ำหอมที่ถูกใจอีกเหรอ” ผมกระตุกแขนเสื้อหมอกเบาๆ นี่เราออกมาจากร้านที่สามแล้ว หมอกก็ยังไม่ได้น้ำหอมที่ถูกใจสักที

“ยังไม่ถูกใจ ร้านนี้ร้านสุดท้ายแล้ว เชื่อสิ”

ผมจะเชื่อคำพูดของหมอกได้แค่ไหนกัน พูดอย่างนี้มาตั้งแต่ร้านที่สองแล้วนะ จนมาถึงร้านที่สี่แล้ว ต้องมีร้านที่ห้า หก เจ็ด ต่อมั้นล่ะเนี่ย

“สวัสดีค่ะ สนใจน้ำหอมตัวไหนคะ”

ผมและหมอกมายืนอยู่ที่ช็อปของโจมาโลน บีเอสาวเดินเข้ามาต้อนรับพวกเรา แอบเห็นสายตาวิบวับของเธอยามที่มองหมอก แต่คนด้านข้างกายผมกลับไปสนใจ ตาเรียวจดจ้องอยู่แต่กับขวดน้ำหอมที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า

“ขอลองเทสต์ Rose Water & Vanilla กับ Iris & White Musk หน่อยครับ” หมอกบอกกับบีเอสาว เธอยิ้มหวานและฉีดน้ำหอมใส่เทสเตอร์ก่อนจะส่งให้หมอก หมอกดมกลิ่นดูก่อนจะส่งให้ผมที่ยืนเงียบๆไม่ออกความเห็นอยู่ด้านข้าง

“เลือกเร็ว อันไหนดีกว่ากัน”

ผมอยากจะบอกว่าตอนนี้จมูกของผมตายด้านไปแล้วครับ แต่ก็ยังรับเทสเตอร์จากหมอกมาลองดมดู เอาจริงๆผมว่าทุกร้านที่หมอกไปลองดมมามันก็หอมเหมือนๆกันหมดนั้นแหละ แต่ถ้ามีตัวเลือกเป็นน้ำหอมสองกลิ่นนี้ ผมว่าหมอกน่าจะเหมาะกับกลิ่น Iris & White Musk กว่า Rose Water & Vanilla นะ

“เราชอบกลิ่นนี้มากกว่า” ผมยื่นเทสเตอร์ของกลิ่น Iris & White Musk ให้หมอกไปลองดมอีกที หมอกแทบจะไม่ดมเลย แล้วบอกบีเอทันที

“เอากลิ่น Iris & White Musk ครับ”

“ได้ค่ะ” เธอหยิบน้ำหอมออกมา หมอกไม่ถามราคาเลย ร่างสูงยื่นบัตรเครดิตให้บีเอไปจัดการ ก่อนจะหันมาดมเทสเตอร์ทั้งสองอันอีกรอบ

“ทำไมไม่รีบเลือกจัง ทีร้านอื่นไม่เห็นจะเลือกง่ายอย่างนี้เลย” ผมถามด้วยความสงสัย งงจริงๆครับ ให้ผมดมกลิ่นจนจมูกพังแล้วมาเลือกง่ายๆแบบนี้เนี่ย

“ก็ร้านอื่นบลูไม่เลือกสักทีว่าชอบกลิ่นไหน อยากได้กลิ่นที่บลูชอบไง”

“อ่าว แล้วก็ไม่บอกแต่แรก” ถ้าผมรู้ว่าหมอกคิดอย่างนี้ ผมเลือกตั้งแต่ร้านแรกแล้ว ไม่ต้องเดินดมน้ำหอมกันเป็นสิบๆกลิ่นจนมึนอย่างนี้หรอกครับ

“ได้แล้วค่ะคุณลูกค้า” บีเอคนเดิมเดินกลับมาพร้อมถุงน้ำหอม หมอกรับของพร้อมกับบัตรเครดิตมาก็ได้เวลาที่เราจะกลับสักที ตอนนี้ผมก็เริ่มเหนื่อยแล้วด้วย

หลังจากออกมาจากห้าง ผมก็นั่งคุยกับหมอกมาตลอดทางเพื่อไม่ให้ในรถมันเงียบ จนเมื่อเข้ามาถึงละแวกมหา’ลัยแล้ว ผมก็เริ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าทางที่กำลังไปนั้นมันไม่ใช่ทางไปคอนโดของผม

“จะไปไหนอีกอ่ะหมอก ไม่ได้จะไปส่งเราเหรอ”

ผมมองทางด้านนอกที่มันเริ่มคุ้นตา แต่มันเป็นทางที่ไปคอนโดของหมอกแทนที่จะเป็นคอนโดของผมน่ะสิ

“เดี๋ยวถึงก็รู้” หมอกว่าแค่นั้น และในที่สุดรถเบนซ์คันหรูก็จอดลงที่ลานจอดรถในคอนโดของหมอก ผมเดินลงจากรถอย่างงงๆตามหมอก เห็นหมอกเปิดเข้าไปเอากระเป๋าเป้ด้านหลังรถก็ไม่ได้ติดใจอะไร

“พาเรามาที่คอนโดหมอกทำไมเหรอ”

“ก็มาค้างที่นี่ไง”

“เดี๋ยวก่อนๆ เรายังไม่ได้พูดสักคำว่าจะค้างที่นี่นะ” ผมเบรกปลายเท้าไว้ แม้ว่ากำลังจะโดนหมอกลากขึ้นคอนโดยังไงก็ตาม

“ก็ไม่ได้พูด แต่จะให้ค้างด้วยกันไง”

“จะบ้าเหรอ จะค้างยังไง ควันก็อยู่ด้วย ของใช้ต่างๆของเราที่อยู่ที่ห้องอีก ไม่เอาอ่ะ ถ้าไม่ไปส่งเดี๋ยวกลับเองก็ได้ เอากุญแจห้องเรามานะ” ผมแบมือขอกุญแจห้องคืนจากหมอก เกือบลืมไปแล้วว่าวันนี้หมอกเอากุญแจห้องของผมไป

“วันนี้ควันไม่อยู่ห้อง เอาจริงๆมันก็ไม่อยู่ห้องมาเกือบอาทิตย์แล้ว ส่วนเรื่องของใช้ต่างๆไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเราเอามาหมดแล้ว”

“ห๊ะ!” ผมเบิกตากว้าง ร้องเสียงหลงเมื่อหมอกเฉลยให้ผมได้รู้โดนการเปิดของในกระเป๋าให้ผมดู

“ตอนบ่ายไปขนของทุกอย่างมาหมดแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะไม่มีอะไรใช้ ขึ้นห้องกันเถอะ ยืนอยู่ตรงนี้นานๆแล้วยุงมันกัด”

แล้วคนตรงหน้าก็ลากผม...ครับ ใช้คำว่าลากเลย ทั้งลากทั้งฉุดผมขึ้นห้องจนได้ ทำไมเจ้าเล่ห์ขนาดนี้เนี่ย หมอกคนเดิมที่นิ่งๆคูลๆคนนั้นหายไปไหนแล้ว ฮืออออออ ใครก็ได้ช่วยผมด้วย T____T

เครื่องปรับอากาศในคอนโดของหมอกกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างดีแต่ผมกลับนั่งปาดเหงื่ออยู่บนโซฟานิ่งๆคนเดียว พอมองของในกระเป๋าเป้ที่หมอกแอบไปเก็บของมาแล้วก็จะร้องไห้ มีของใช้ทุกอย่างของผมที่จำเป็นทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว ครั้นจะหาเรื่องกลับห้องก็ทำไม่ได้อีก


ผมไม่คิดเลยว่าหมอกจะร้ายขนาดนี้


“นั่งตัวเกร็งเลย หนาวเหรอเดี๋ยวเพิ่มอุณหภูมิให้”

หมอกที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำ ทักผมแล้วเดินไปหยิบรีโมตแอร์มาปรับอุณหภูมิขึ้นให้ แล้วร่างสูงก็เดินมานั่งลงข้างผม

“เงียบเลย เป็นอะไรหืม?” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมอีก ผมเบนตัวหนีโดยอัตโนมัติ แล้วเผลอตีแขนหมอกทีนึงอย่างแรงด้วยความลืมตัว

“โอ๊ยยย” นั้น แล้วก็แกล้งทำเป็นเจ็บแขนอีก ต้องเล่นใหญ่รัชดาลัยขนาดนี้มั้ยคนเรา

“ยังไม่รู้ตัวอีกว่าโกรธอยู่”

“โกรธอะไรผมเหรอครับ วันนี้วันดี อย่าทำให้เสียฤกษ์สิ” หมอกอมยิ้ม เป็นยิ้มที่ผมเริ่มเห็นว่ามันคล้ายกับเพลิงเข้าไปทุกที ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะถามหมอกที่ยังไม่ยอมเอาหน้าออกไปให้ห่างจากผมสักที

“เสียฤกษ์อะไร” ผมขมวดคิ้ว และมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ

“ก็เสียฤกษ์เข้าห้องหอไง...โอ๊ยยย!!!”

“เข้าห้องหออะไร ไอ้คนเจ้าเล่ห์! ไอ้คนหื่นกาม! ไอ้! ไอ้...ตายซะเถอะ!”

“โอ๊ยยยยย พอแล้ววว”

หมอกร้องเสียงหลง แต่ผมไม่ยอมหยุดตีไอ้คนหื่นกามง่ายๆหรอก ผมกระโดดขึ้นคร่อมเจ้าของห้องที่นอนแผ่เต็มโซฟาแล้วเอาแต่หลบฝ่ามือของผม ผมไม่ยอมหยุดแถมยังหยิบหมอนมาตีรัวๆอีก หมอกร้องเสียงหลงปนหัวเราะขำอีก ขำอะไร สนุกมากนักใช่มั้ย!

“โอ๊ยยยย บลู พอแล้ว ยอมแล้ว”

หมอกยกมืออย่างยอมแพ้ ผมเลยหยุดรัวมือ รู้สึกเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆอยู่บนร่างของหมอก พอเห็นรอยยิ้มของคนที่บอกว่ายอมแพ้ผมก็ตีอกหนาไปทีนึงด้วยความหมั่นไส้

“โอ๊ยยย ชอบใช้กำลังก็ไม่บอก”

“หยุดพูดเลย พูดอีกคำจะกลับห้องจริงๆด้วย”

“ไม่พูดแล้วครับ”

หมอกปิดปากตัวเอง แล้วชูสามนิ้วขึ้นมาสัญญาผมเลยพอจะเบาใจขึ้นมาได้บ้างว่าหมอกคงจะทำตามอย่างที่พูดจริงๆ ผมเตรียมจะลุกขึ้นจากตัวของหมอก แต่พอจะลุกขึ้นมือหนาก็รวบตัวผมเอาไว้ ไวเท่าความคิดร่างสูงก็ดันร่างผมลงโซฟาก่อนเจ้าตัวกลับขึ้นมาคร่อมตัวผมย่างรวดเร็ว ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจที่ตอนนี้ผมกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียแล้ว


ไม่มีสัจจะในหมู่โจรจริงๆด้วยโว้ยยยย


“ปะ...ปล่อย...ปล่อยเราเลยนะ”

ผมบอกเสียงสั่น ยิ่งเห็นหมอกที่โน้มตัวเข้ามาใกล้เท่าไร ผมยิ่งใจไม่ดี ใบหน้าหล่อนั้นขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ดวงตาเรียวคมที่มีอานุภาพทำลายล้างของหมอกมองทะลุเข้ามาในดวงตาของผม ลมหายใจจากด้านบนกระทบข้างแก้มจนผมใจไม่ดี ผมหลับตาปี๋ยามที่หมอกขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นบริเวณริมฝีปาก ผมไม่กล้าลืมตาเลยจริงๆจนกระทั่งสัมผัสนั้นหลุดออกไป ผมก็ถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ทันที

“กลัวเหรอ” เสียงทุ้มกระซิบถามเสียงแผ่ว ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมองหมอกที่ยังไม่ยอมออกห่างจากผมเท่าไรนัก

“...”

“จูบแรกรึไง อึ้งขนาดนี้” หมอกยังคงอมยิ้ม ยิ้มไม่พอยังจะยื่นหน้าเข้ามาหาผมอีกรอบ ผมรีบเอามือดันอกหนาแล้วออกแรงผลักให้หมอกออกห่างจากตัวของผม

“เราจะกลับแล้ว ขอกุญแจห้องคืนด้วย”

ผมทวงกุญแจห้องคืน หมอกยังไม่ยอมคืนผมจนตอนนี้ ถึงจะดึกขนาดไหนผมก็จะกลับแล้วครับ ไม่อยู่ด้วยแล้วครับ ผมยังแบมือแล้วมองหน้าหมอกด้วยใบหน้าที่คิดว่าน่าจะน่ากลัวที่สุด แต่หมอกไม่ได้ดูกลัวเลย แถมร่างสูงยังลุกขึ้นแถมบิดขี้เกียจตรงหน้าผมอีก

มาไม้ไหนกันอีกเนี่ย?

“เห้ออออ วันนี้เรียนเหนื่อยมากเลย ไปอาบน้ำกันเถอะ” พูดไม่พอ ยังจับข้อมือผมและกระตุกเบาๆให้ลุกขึ้นตามอีก แต่ผมยังยืนหยัดอยู่บนโซฟา ไม่ยอมไหลตามง่ายๆหรอกบอกเลย

“ไม่เอา เอากุญแจห้องเราคืนมา จะกลับห้องแล้ว”

“จะกลับยังไง ดึกขนาดนี้แล้ว”

“ถ้าไม่ไปส่ง เดี๋ยวจะหาทางกลับเองหรอก ให้เพลิงมารับก็ได้จะยากตรงไหน” ผมขมวดคิ้ว เริ่มมีน้ำโหกับหมอกที่เฉไฉไปมาอยู่นั้น

“จะไปรบกวนไอ้เพลิงมันทำไม นอนที่นี่แหละ สะดวกสบาย มีทุกอย่างที่อยากได้ มีหมอกด้วย ไม่ชอบเหรอ”

หมอกเปลี่ยนจากกระตุกมือผมเหมือนคนเอาแต่ใจเป็นกุมมือผมเอาไว้แทน ผมเงยหน้ามองหมอกที่เริ่มทำหน้าเหมือนหมาหงอยเข้าไปทุกที แล้วเจ้าของห้องก็นั่งลงตรงหน้าผม

“โกรธจริงๆเหรอ”

“...” ผมไม่ตอบ ถ้าถามว่าโกรธมั้ยมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่ไม่พอใจมากกว่าที่ทำอะไรโดยที่ไม่ปรึกษาผมเลยสักคำ

“ถ้าอยากกลับจริงๆเดี๋ยวไปส่งก็ได้”

“อืม อยากกลับแล้ว ขอกุญแจห้องคืนด้วย” ผมบอกด้วยเสียงที่เรียบที่สุด หมอกไม่อิดออดที่จะคืนกุญแจให้ผมเหมือนก่อนหน้านี้ทันที

“งั้นเดี๋ยวไปส่ง ขอเก็บของ...”

“ไม่ต้องคิดจะขนของไปข้างที่ห้องเราด้วย ส่งเราเสร็จก็กลับมา” ผมดักทางอย่างรู้ทัน

“ครับ”

หมอกก็รีบเดินกลับมาหาผมพร้อมรับคำอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยทันที ดูๆไปก็แอบขำกับท่าทางหางลู่หูตกของหมอก เหมือนหมาฮัสกี้ตัวใหญ่ๆที่โดนเจ้าของดุ แต่ผมก็ต้องเก็กเอาไว้แล้วเดินนำหมอกที่ถือกระเป๋าเป้ที่ไปขนออกมาจากห้องของผมออกมาด้วย

ท้ายที่สุดหมอกก็พาผมมาส่งถึงคอนโด ตลอดทางผมไม่ยอมคุยกับหมอกเลยแม้ว่าหมอกจะพยายามชวนคุยยังไง ร่างสูงทำท่าจะเดินตามผมลงมาจากรถเมื่อจอดรถแล้ว แต่ผมก็ดักคอไว้อีกรอบ

“ไม่ต้องลงมาเลย ขับรถกลับคอนโดดีๆล่ะ” ผมบอกแล้วเตรียมจะเปิดประตูลงจากรถ แต่ข้อมือของผมก็ถูกดึงไปกุมไว้เสียก่อน

“หายโกรธรึยัง”

“ไม่บอก” ผมแกะมือของหมอกแล้วรีบลงจากรถ แต่เสียงของหมอกก็ยังเรียกผมให้หยุดอยู่กับที่ได้ชะงัก

“ขอโทษ...ขอโทษที่ทำไปโดยไม่คิด บลูหายโกรธหมอกนะครับ...นะ”

เสียงอ้อนๆแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้ผมต้องหันกลับไปมองหมอก พยายามแล้วที่จะไม่หลุดยิ้มออกมา แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ พอเห็นว่าผมยิ้มแล้วหมอกก็ยิ้มกว้าง ทำท่าจะลงมาจากรถแต่ผมก็เบรกไว้ได้ทัน

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องลงมาเลย”

“แต่...”

“ไม่ต้องแต่ เราจะขึ้นไปนอนแล้ว กลับห้องไปได้แล้วหมอกมันดึกแล้ว”

“ก็ได้...งั้นถึงห้องแล้วจะทักหานะ”

“อืม”

“ราตรีสวัสดิ์นะครับ...คุณแฟน”

หมอกบอกลาผมที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ก่อนจากไม่วายโปรยรอยยิ้มหล่อให้ผมใจกระตุกเล่นยามดึกอย่างนี้ ผมมองจนรถของหมอกขับออกไปแล้วถึงได้เดินขึ้นคอนโดของตัวเองบ้าง วันนี้ผมเหนื่อยมากจริงๆ ไหนจะทั้งเรียน ไหนจะต้องรับมือกับแฟนคนแรกที่แผลงฤทธิ์ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มคบกันอีก

ผมยิ้มออกมาให้กับวันธรรมดาๆของผมที่ต่อไปนี้คงจะไม่ธรรมดาอีกต่อไป เพราะใครสักคนที่เข้ามาแต่งแต้มสีสันในชีวิตของผมให้มันพิเศษกว่าทุกๆวันที่ผ่านมา...ใครคนนั้นที่เข้ามาทำให้ผมยิ้ม ทำให้ผมมีความสุข ทำให้ผมใจเต้นแรง


ใครคนนั้น...ที่ทำให้โลกใบเดิมของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 





tbc.
กว่าจะจบตอนนี้ /ปาดเหงื่อ
ตอนนี้ยาวมาก ยาวเกือบ5พันคำ
ตอนแรกจะตัดตอนหลังไปอีกตอน แต่สุดท้ายก็เอามาลงในตอนนี้ให้หมดเลย
อ่านกันให้สนุกนะคะ หวังว่าทุกคนจะยิ้มกับนิยายเรื่องนี้
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 13 : แฟนกันวันแรก - หน้า 4 --11/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 11-03-2018 21:21:09
อุ้วว หนูบลูใจแข็งกว่าที่คิดนะเนี่ยย เล่นเอาหมอกหงอยเลยย5555
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 13 : แฟนกันวันแรก - หน้า 4 --11/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 11-03-2018 21:56:49
บลูต้องสู้นะลูกกกก อย่ายอมแพ้ในอำนาจฝ่ายต่ำ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 13 : แฟนกันวันแรก - หน้า 4 --11/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-03-2018 22:02:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 13 : แฟนกันวันแรก - หน้า 4 --11/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-03-2018 23:44:55
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 13 : แฟนกันวันแรก - หน้า 4 --11/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 12-03-2018 10:17:04
ให้เวลาบลูบ้าง ใจเย็นๆนะหมอก
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง - หน้า 4 --19/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 19-03-2018 18:22:03
บทที่ 14
หึงก็บอกว่าหึง


เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงการสอบมิดเทอมครั้งแรกในชีวิตมหา’ลัยของผมแล้ว ผมไม่รู้ว่ามันจะยากขนาดไหน ต้องอ่านหนังสือหนักกว่าสมัยมัธยมยังไง รู้แต่ว่าข้อสอบนั้นเป็นข้อสอบแบบอัตนัย แถมคะแนนสอบในครั้งนี้ก็มากถึง 45% ซึ่งมันเยอะมากๆ ถ้าผมทำคะแนนในรอบนี้ไม่ดี เกรดเทอมนี้ของผมคงจะพลาดเอแน่นอน

“ไอ้บลูมึงไม่คิดจะพักสักหน่อยเหรอวะ กูเห็นมึงทำโจทย์แคลมาตั้งแต่บ่ายแล้วนะ” เสียงที่เรียกชื่อผม ทำให้ผมต้องเงยหน้าจากโจทย์ขึ้นมามองหน้าว่านที่หัวยุ่งฟูไม่ต่างจากผมเท่าไรนัก

“เดี๋ยวค่อยพัก ขอทำโจทย์ข้อนี้เสร็จก่อน” ผมว่าแล้วก็ก้มหน้าลงแก้โจทย์ต่อไป

“มึงอย่าไปทักมันเลย ให้มันทำไปเถอะ เพื่อมันตรัสรู้เรื่องภาคตัดกรวยแล้ว จะได้เผื่อแผ่อานิสงส์มาถึงพวกเรา”

“เออ นี่กูมานั่งอ่านกับพวกมึงเพราะหวังจะให้ไอ้บลูมันติวแคลให้เลยนะเว้ย”

“เออ งั้นเดี๋ยวกูออกไปหากาแฟกินก่อนแล้วกัน คืนนี้น่าจะยาว ไบโอกูก็ยังอ่านไม่จบ”

“ไอ้แอล ไอ้โต๋ มึงจะไปเซเว่นกับกูมั้ย”

ว่านเรียกเพื่อนอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเราในเวลานี้ พวกเราสี่คนมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันอย่างนี้มาหลายวันแล้วครับ วันแรกที่ผมกับว่านมาอ่านหนังสือที่หอสมุดแล้วพบว่าโต๊ะทุกตัวถูกจับจองหมดแล้ว พอเห็นว่าเพื่อนในสาขาของเรานั่งกันอยู่สองคน ว่านก็ไม่ลังเลที่จะพาผมไปขอนั่งด้วยเลย ตอนนี้เลยกลายเป็นพวกเราสี่คนมักจะเกาะกลุ่มกันมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันอย่างนี้มาได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์แล้ว

“กูไปๆ มึงจะไปมั้ยแอล” โต๋ถามเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม

“กูกำลังทำโจทย์ฟิเพลินๆ พวกมึงไปเหอะ”

“โอเค เดี๋ยวกูซื้อทาโร่มาฝากนะบลู” ว่านบอกผม ผมยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้ยินคำว่าทาโร่ ของโปรดผมเลย

“ขอห่อใหญ่เลยนะ รสบาร์บิคิว”

“เออ ไม่ต้องบอกกูก็รู้ ไปเถอะไอ้โต๋”

แล้วทั้งโต๊ะก็เหลือเพียงแค่ผมและแอล ทั้งผมและแอลก็ต่างคนต่างทำโจทย์ในวิชาที่ตัวเองถนัดด้วยกันทั้งคู่ ผมชอบแคลคูลัส ส่วนแอลชอบฟิสิกส์...ไม่มีใครถนัดเคมีซึ่งเป็นสาขาที่เราเรียนเลยสักคน

“อย่ากัดเล็บตัวเองดิมึง” ผมสะดุ้งเมื่อแอลปัดมือข้างซ้ายของผมเบาๆจนสมาธิผมหลุด

“อ่า...นี่กัดเล็บอีกแล้วเหรอ” ผมมองเล็บตัวเองที่โดนแทะอีกแล้ว แก้ไม่หายจริงๆนิสัยของผมเวลาที่เครียดแล้วผมมักจะเผลอกัดเล็บโดยไม่รู้ตัวอย่างนี้

“ใช่ ดูดิบิ่นหมดแล้ว” แอลจับมือผมไปดู ก็เห็นจริงๆแหละว่ามันมีรอยฟันของผมอยู่

“กำลังพยายามเปลี่ยนนิสัยอยู่ แม่ก็ดุหลายรอบแล้วที่ชอบแทะเล็บตัวเองแบบนี้” ผมว่าก่อนจะชักมือกลับเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของตัวเอง พอหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นหมอกที่ทักมาหา
 

Foggy : อยู่ไหน

BLUEBLUR
: อยู่หอสมุด ทำไมเหรอ

Foggy : อยู่กับใคร

BLUEBLUR : อยู่กับเพื่อนไง

Foggy : ใครบ้าง

BLUEBLUR : ว่าน แอล โต๋

Foggy : เดี๋ยวไปอ่านด้วย

BLUEBLUR : แต่เราอยู่โซน 24 ชม.นะ หมอกจะอ่านหนังสือรู้เรื่องเหรอ

Foggy : รู้เรื่อง เดี๋ยวไปหา

BLUEBLUR : โอเคๆ มาถึงแล้วก็หาเอาแล้วกัน โต๊ะอยู่ทางซ้ายนะ


“ใครเหรอ” ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วกำลังจะเริ่มทำโจทย์ต่อ แต่แอลก็ถามผมขึ้นมาก่อน

“หมอกน่ะ บอกว่าจะมาอ่านหนังสือด้วย”

“หูวววว คนดังของมอเชียว” แอลทำเสียงตื่นเต้นพอรู้ว่าหมอกจะมาอ่านหนังสือด้วย ผมหัวเราะกับท่าทางตื่นเต้นเกินจริงของแอลก่อนจะคนตรงข้ามอย่างสงสัย

“ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ก็อยากเห็นฝาแฝดคนดังของมอสักที ดูสิว่าจะหล่อมากกว่ากูแค่ไหนกันเชียว”

ผมมองแอลแล้วก็ยิ้มออกมากับความมั่นใจเกินร้อยว่าตัวเองก็หล่อไม่แพ้หมอก ความจริงแอลก็เป็นคนหล่อมากๆคนหนึ่งเหมือนกัน แอลสูงราวๆ 180 ซม. ผิวขาวจัด ดวงตาของแอลนั้นเรียวแถมตี๋กว่าหมอกหลายเท่าเพราะมีเชื้อจีนในตัวอยู่ครึ่งนึง ถ้าให้เทียบว่าใครหล่อกว่ากันผมคงบอกไม่ได้ เพราะทั้งแอลและหมอกต่างก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน

“เดี๋ยวมาก็คงรู้ อ่านหนังสือต่อเถอะ”

ผมว่าแล้วก็กลับมานั่งทำโจทย์ต่อ เสียบหูฟังเพื่อฟังเพลงเบาๆแก้เครียดไปด้วย นั่งทำโจทย์ไปเพลินๆ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ว่านและโต๋ก็ยังไม่กลับมา แต่ที่นั่งของว่านด้านข้างผมในตอนนี้กลับมีคนอื่นเดินเข้ามานั่งด้วยเสียแล้ว

“เสียงดังจริงๆอย่างที่ว่าไว้ด้วย”

ผมมองหมอกที่ยังถือหนังสือกฎหมายเล่มใหญ่เอาไว้ ดวงตาเรียวมองไปรอบๆบริเวณที่มีนักศึกษาหลายคนยังอ่านหนังสือแล้วก็ติวกันอยู่ ผู้หญิงบางคนก็หันมามองหมอกแล้วก็หันไปซุบซิบกันอย่างออกรส หมอกขมวดคิ้วมุ่นแล้วก็หันมาทางผม

“อ่านหนังสือรู้เรื่องได้ไง เสียงดังขนาดนี้”

“ก็เรามาติวกับเพื่อน บอกแล้วไงว่าเสียงมันดัง หมอกอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องหรอก”

โซนนี้มันเหมาะสำหรับคนที่มานั่งติวกันจริงๆ เพราะถ้าผมต้องอ่านหนังสือ หรือท่องจำเยอะๆแบบหมอก ผมก็เลือกจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆอยู่ที่ห้องคนเดียวดีกว่า แต่ว่านมันอยากให้ผมช่วยติวแคลให้ ผมถึงมานั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อนมันที่นี่แทนที่จะอ่านหนังสือเงียบๆที่ห้องเหมือนอย่างหมอก

“ไปอ่านที่ห้องเรามั้ย อยู่แถวนี้แล้วไม่ไว้ใจว่ะ” ดวงตาเรียวชำเลืองมองแอลที่ยังนั่งทำโจทย์ฟิสิกส์อยู่ตรงข้ามผม พอผมหันไปมองแอลตามสายตาของหมอกแล้วก็พอจะปะติดปะต่อได้ว่าทำไมหมอกถึงถ่อมาถึงที่นี่

“ไม่ไว้ใจอะไร คนก็อยู่กันเยอะแยะ”

“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าไม่ไว้ใจอะไร” พูดไม่พอ ยังตวัดสายตาไปมองแอลอีกรอบ ผมยิ้มขำแล้วปกล้งปล่อยเบลออีกสักหน่อย แกล้งหมอกแล้วสนุกดีจริงๆ

“ก็ไม่เข้าใจอ่ะ เราจะอ่านอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวว่านมาก็จะเริ่มติวแคลแล้ว หมอกไปหานั่งอ่านหนังสือรอที่โซนเงียบเสียงเถอะ” ผมไล่หมอกที่ยังทำหน้าบึ้งอยู่ที่เดิมไปอ่านหนังสือรอที่โซนอื่น เพราะถ้านั่งอ่านอยู่ที่โต๊ะผม อ่านหนังสือยังไงก็อ่านไม่รู้เรื่องหรอก

“ไม่ล่ะ จะอ่านที่นี่”

“ก็ตามใจแล้วกัน” ผมยักไหล่และเริ่มจะทำโจทย์อีกรอบ แต่หมอกก็ดึงแขนผมไว้เสียก่อน

“มีอะไรอีก”

“เปลี่ยนที่ก่อน” 

“เปลี่ยนทำไม” ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ หมอกจึงรีบอธิบายให้ผมฟัง

“ก็ถ้าว่านมาแล้วจะได้ติวกันได้ไง บลูมานั่งตรงกลาง เดี๋ยวเราจะนั่งติดมุมเอง”

สุดท้ายผมก็ยอมเปลี่ยนที่กับหมอก ให้หมอกนั่งที่เดิมของผมซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแอล เป็นจังหวะเดียวกับที่ว่านและโต๋กลับมาพอดี ว่านที่แอบเอาทาโร่ห่อใหญ่เข้ามาในหอสมุดด้วยก็เริ่มฉีกซองขนมกินรอแล้ว ส่วนผมก็ไปยืมเก้าอี้จากโต๊ะอื่นมานั่งหัวมุมของโต๊ะ และหยิบชีทตัวเองมาเพื่อเริ่มติวให้ว่านและโต๋ไปพร้อมๆกัน

“ติวรอบเดียวนะ กูจะกลับไปอ่านไบโอต่อที่ห้อง เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังด้วย”


.

..




ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะติวจนทั้งว่านและโต๋ทะลุปรุโปร่งในเรื่องภาคตัดกรวย ผมเขียนโจทย์ให้พวกมันเอากลับไปฝึกทำต่ออีกคนละ 5 ข้อ พอหันไปมองหมอกที่นั่งเสียบหูฟังอยู่ในมุมของตัวเองแล้วอ่านหนังสือรอเงียบๆ ผมก็เริ่มสงสารหมอกแล้วที่ต้องมาอ่านหนังสือในที่ที่เสียงดังขนาดนี้

“มึงจะกลับเลยก็ได้นะบลู เดี๋ยวกูฝึกทำโจทย์อยู่ที่นี่ แล้วจะให้แอลติวฟิให้ด้วย มึงกลับพร้อมหมอกเลยก็ได้”

ว่านกระซิบบอกผม ผมก็อยากจะกลับแล้วเหมือนกันเพราะตอนนี้ก็สามทุ่มแล้ว พักสักชั่วโมงค่อยเริ่มอ่านไบโอต่อแล้วกัน

“ขอบคุณมึงมากนะบลู สอนเข้าใจกว่าลุงสมศักดิ์อีก” โต๋พูดถึงอาจารย์ที่สอนวิชาแคลคูลัสที่สอนได้ชวนหลับตลอดเวลา ผมยิ้มให้ทั้งสองคนแล้วเก็บของบนโต๊ะไปด้วย

“งั้นกูกลับก่อนนะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ทักมาถามแล้วกัน” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นแล้วสะกิดหมอกที่ยังอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองให้รู้ตัว

“กลับกันเถอะ”

“อืม” รับคำผมแล้วก็รีบเก็บของทันที ตอนนี้ผมเริ่มจะหิวอีกรอบแล้วเพราะใช้พลังงานในการอ่านหนังสือและสอนว่านกับโต๋ไปเกือบหมด ชวนหมอกไปหาอะไรกินก่อนจะเริ่มอ่านไบโอต่อก็คงดี

“หมอก...ก่อนกลับแวะหาอะไรกินก่อนดีมั้ย”

“ก็ได้ อยากกินอะไรล่ะ”

“คิดไม่ออกเหมือนกัน โจ๊กก็คงไม่อิ่มท้อง กินข้าวก็ได้”

“งั้นเดี๋ยวทำให้กินเอามั้ย”

“ก็ได้...ขออะไรง่ายๆแล้วกันนะ”



ภาพของเดือนคณะวิทยาศาสตร์และหนุ่มหล่อสุดฮอตของมหาวิทยาลัยในขณะนี้ เดินเคียงคู่กันออกไปจากหอสมุด ทั้งสองคนสนทนากันด้วยร้อยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าที่แม้ว่าจะดูอ่อนล้าเพราะอ่านหนังสือมาหนักตลอดทั้งวัน แต่รอยยิ้มที่ทุกคนได้เห็นนั้นกลับเต็มไปด้วยความสุขที่เออล้นออกมาจนสัมผัสได้

เหมาะสมแล้วจริงๆที่คนทั้งมอแอบตั้งฉายาให้ว่าเป็น ‘คู่รักแห่งปี’

“หมอกดูท่าจะหวงบลูมากเลยเนอะ พวกมึงว่าป่ะ” โต๋มองเพื่อนที่พึ่งติววิชาแคลคูลัสให้เขาเดินออกไปพร้อมกับแฟนที่พึ่งเปิดตัวหมาดๆ ดูไปแล้วก็น่าอิจฉาบลูเป็นบ้าที่มีแฟนตามมานั่งอ่านหนังสือด้วยขนาดนี้

“ก็ควรจะหวงอยู่หรอก มึงไม่เห็นรูปที่ลงเต็มเฟสเรอะ ไอ้แอลมันก่อวีรกรรมอะไรให้หมอกมันหึงล่ะ” ว่านที่มองตามหมอกและบลูจนคนทั้งคู่หายไปจากกรอบสายตาแล้ว ก็หันกลับมามองแอลที่ยังคงอ่านหนังสืออยู่

“กูทำอะไร ไหนหลักฐาน” แอลเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเมื่อถูกพาดพิงทั้งๆที่นั่งอยู่เงียบๆมาตั้งนาน

“ก็นี่ไง มึงระวังไว้ โดนแฟนคลับพวกมันมาถล่มแน่!”

ว่านเปิดภาพที่เขาเจอระหว่างที่ไปซื้อขนมกับโต๋ ภาพของบลูที่ถูกแอลจับมือไปดูอะไรสักอย่าง สายตาที่แอลมองนั้นดูเป็นห่วงมาก ถ้าเขาเป็นหมอกแล้วเห็นรูปนี้คงจะหวงแน่ๆล่ะ...ก็บลูน่ารักซะขนาดนั้น

“เวร! บลูมันกัดเล็บตัวเอง กูเลยเอามือมันมาดูเฉยๆ ไม่น่าล่ะ หมอกแม่งมองกูเหมือนจะกินหัวให้ได้ กูยังคิดอยู่เลยว่าไปทำอะไรให้เขาไม่ชอบขี้หน้ากูวะ”

“หึหึ สงสัยหมอกจะหึงมึงกับไอ้บลูแน่ๆ ตายแน่มึงไอ้แอล!”


.

..




ผมเดินตามหมอกเข้ามาในห้อง หลังจากที่ทนความตื้อของหมอกไม่ไหวเลยยอมไปขนหนังสือและเสื้อผ้ามาจากคอนโดผมเพื่อมาอ่านหนังสือที่ห้องของหมอก

“ควันไม่อยู่อีกแล้วเหรอ” ผมถามเมื่อมองไปรอบแล้วเห็นเพียงความเงียบ ผมไม่ได้เห็นควันนานแค่ไหนแล้วนะ ตั้งแต่วันที่ไปกินข้าวพร้อมกับแม่ของหมอกในวันนั้นผมก็ไม่ได้เห็นควันอีกเลย

“ใช่ ไม่อยู่หลายวันแล้ว เห็นว่าไปค้างกับเพื่อนน่ะ”

“อ่อ”

ผมพยักหน้าและเดินตามหมอกไปดูของในตู้เย็นว่าพอมีอะไรจะทำให้ผมกินได้บ้าง หมอกหยิบผักและเนื้อหมูสดที่เก็บไว้ในถุงมาวางที่เค้าน์เตอร์ครัว ผมเปิดดูหม้อหุงข้าวที่ยังเสียบปลั๊กไว้อยู่ ก็เห็นว่ามีข้าวอยู่พอที่จะกินได้สองคนพอดี

“กินหมูทอดกระเทียมมั้ย” หมอกเสนอขึ้นมา ผมไม่ได้เรื่องมากอยู่แล้วเรื่องของกิน เลยพยักหน้าตกลง

“ให้ช่วยรึเปล่า เราแกะกระเทียมได้นะ”

“ไปนั่งเฉยๆไปหรือจะไปอาบน้ำรอก็ได้”

พอหมอกไล่อย่างนั้น ผมเลยคิดว่าไปอาบน้ำดีกว่า อาบเสร็จแล้วกินข้าว หลังจากนั้นจะได้อ่านหนังสือยาวๆไปเลย ผมหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องนอนของหมอก เข้ามาในห้องนอนหมอกแล้วทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม เหมือนวันแรกที่หมอกหลอกให้ผมค้างที่นี่นั้นแหละ

ผมรีบอาบน้ำและแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกมาพร้อมกินข้าวมื้อดึกที่วางอยู่บนโต๊ะให้พร้อมแล้วและตรงหน้าหมอกก็มีหมูทอดกระเทียมอีกจานวางไว้เช่นกัน

“หมอกก็กินเหมือนกันเหรอ”

“อืม มากินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นก่อน”

ผมนั่งลงตรงข้ามหมอกแล้วเริ่มกินข้าวฝีมือหมอกอีกครั้ง อดแปลกใจไม่ได้จริงๆ มีอะไรที่หมอกทำไม่ได้บ้างมั้ยเนี่ย ทำไมถึงได้เก่งรอบด้านขนาดนี้กันนะ

“อร่อยรึเปล่า เค็มไปมั้ย” หมอกถามเมื่อผมเริ่มกินไปได้สักพัก ผมเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวแล้วส่ายหน้าพรืด

“อร่อยมากๆ ไม่เห็นจะเค็มเลย”

“อร่อยก็ดีล่ะ คราวหน้าอยากกินอะไรก็บอก เดี๋ยวซื้อของมาติดตู้เย็นไว้”

พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกันเงียบๆ ผมกินข้าวจนหมดจานแล้วก็อาสาเก็บจานของหมอกไปล้างด้วย พอล้างจานเสร็จเรียบร้อยผมก็เตรียมตัวอ่านหนังสืออีกรอบ ส่วนหมอกก็ขอไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวจะตามออกมาอ่านหนังสือด้วยกัน ผมเลือกนั่งที่พรมหน้าโทรทัศน์จอใหญ่ หยิบชีทไบโอหนาๆออกมาจากกระเป๋าพร้อมปากกาสีที่ใช้ไฮไลท์เนื้อหาสำคัญและสมุดโน้ตที่ใช้จดสรุปด้วย

ผมนั่งอ่านหนังสือไปราวๆครึ่งชั่วโมง ก็รู้สึกว่าโซฟาที่กำลังพิงอยู่ยวบลง ไอร้อนจากอีกคนกระทบผิว พอหันไปมองก็เห็นหมอกที่มีผ้าขนหนูผืนเล็กแปะอยู่บนหัวกำลังมองมาที่ผมอย่างสนใจเช่นกัน

“เช็ดผมให้มั้ย”

พอผมเสนอ หมอก็รีบสนองทันที ร่างสูงใหญ่รีบนั่งลงบนพื้นแล้วยื่นผ้าขนหนูให้ผม แต่เพราะว่าผมเตี้ยกว่าหมอกทำให้เช็ดได้ไม่สะดวกเลยเปลี่ยนไปนั่งบนโซฟาแทน ในขณะที่ผมเช็ดผมให้ หมอกก็ไม่อยู่นิ่งๆ ร่างสูงหยิบชีทของผมมาเปิดดูผ่านๆแล้วก็ปิดลง จากนั้นก็หยิบปากกาสีของผมมาไฮไลท์เนื้อหาในหนังสือของตัวเองไปด้วย ซนจริงๆ

“ถามอะไรหน่อยสิหมอก” ผมมองคนที่ยังเขียนยุกยิกลงในหนังสือตัวเองแล้วค่อยหันหน้ามาหาผม

“ว่า?”

“ทำไมวันนี้ถึงไปหาถึงที่หอสมุดทุกทีไม่เคยเห็นว่าจะไป”

“ก็อยากลองไปเปิดหูเปิดตาบ้าง อยู่แต่ในห้องแล้วมันอุดอู้ อ่านหนังสือแล้วไม่เข้าหัว”

“เหรอ...เอาความจริง ไม่โกหก” คิดว่าผมจะเชื่องั้นเหรอ ผมไปอ่านหนังสือกับเพื่อนมาได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว ไม่เห็นหมอกจะว่าอะไรแต่วันนี้กลับไปหาถึงหอสมุด ไปหาไม่พอยังเร่งให้ผมกลับด้วยอีก

“ก็...” หมอกอ้ำอึ้ง ผมแอบเห็นนะว่าดวงตาเรียวนั้นกำลังหาทางหนีทีไล่อยู่

“ก็อะไร บอกมาเลยนะ”

“ก็หึง”

คำตอบของหมอกทำผมที่กำลังเช็ดผมอยู่ชะงักมือทันที ก็พอจะเดาได้แหละว่าหมอกกำลังคิดอะไร แต่ก็ไม่คิดว่าจะพูดตรงขนาดนี้ไงครับ

“หึงอะไร ก็เพื่อนกันทั้งนั้น”

“เพื่อนกันต้องมองตากันหวานหยดย้อยขนาดนั้นมั้ยล่ะ ถ้ารู้แต่แรกว่าไอ้นั้นมันจะคิดจะทำอะไร นี่จะไม่ปล่อยให้ไปอ่านหนังสือด้วยหรอกนะ จะให้อ่านด้วยกันที่นี่แหละ ให้ห่างสายตาไม่ได้เลยจริงๆ มีแต่คนจ้องจะงาบ...” หมอกพูดประโยคยาวรัวไม่ยอมหยุดพัก ไม่ยอมให้ผมได้อธิบายด้วย ผมเลยต้องรีบเบรกหมอกไว้ก่อน

“เดี๋ยวนะหมอก...งาบอะไร? ใครจะงาบ แล้วใครไปมองตากัน โอ๊ย!” ผมร้องเสียงหลงเพราะโดนหมอกดีดหน้าผากไปที เอ้า! ก็ผมสงสัย พูดอะไรก็ไม่รู้ แล้วกลายเป็นว่าผมผิดอีก

“ยังไม่รู้เรื่องอีก ก็ไอ้ตี๋นั้นไง”

“อ่อ แอลน่ะเหรอ...แล้วไปมองตากันที่ไหน ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ก็เพื่อนผมทั้งนั้น ทำไมหมอกถึงรู้ว่าแอลกำลังคิดะทำอะไร ขนาดผมที่เป็นเพื่อนแอลยังไม่รู้เลย

“ดูนี่สิ เผื่อจะได้กระจ่าง”

หมอกเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเข้าไปที่แชททางเฟสบุ๊ค ผมหรี่ตามองข้อความพร้อมกับภาพที่ได้เห็นแล้วก็ต้องกุมขมับกับความเข้าใจผิดของทุกๆคน


Minnie Apiwatthanapat : น้องหมอกจ๊ะ พี่เจอน้องบลูที่หอสมุดนั่งกับใครก็ไม่รู้ มองตากันหวานเยิ้มเลยน้องหมอก มีจับไม้จับมืออีก พี่มองอยู่ตรงนี้แล้วของขึ้นแทนน้องหมอกเลย 

 
ผมมองรูปของผมกับแอลตอนที่แอลจับมือผมไปดูเล็บที่ผมกัดจนบิ่น มันมองตากันเยิ้มตรงไหนวะ มองกี่ทีผมก็ไม่เห็นว่ามันจะหวานหยดย้อยอย่างที่หมอกว่าเลย

“คิดมากไปแล้ว แอลก็แค่ดูว่าเรากัดเล็บตัวเองเฉยๆ นี่ไง รอยยังอยู่อยู่เลย” ผมโชว์มือด้านซ้ายให้หมอกดูว่านิ้วชี้ของผมยังมีรอยฟันอยู่จริงๆไม่ได้โกหก

“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ไว้ใจใครได้ซะที่ไหน”

“ไม่ไว้ใจเราเหรอ?”

“เปล่า...ไม่ไว้ใจคนอื่นต่างหาก น่ารักอย่างนี้ไม่ควรอยู่ไกลหูไกลตาจริงๆ”

เสียงหมอกเบาลงจนผมจับใจความไม่ได้ แล้วร่างสูงก็หันไปอ่านหนังสือต่อ ส่วนผมก็เปลี่ยนจากนั่งโซฟามานั่งที่พรมข้างๆหมอกเพื่ออ่านหนังสือบ้าง แต่ก่อนจะอ่านหนังสือผมก็ตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้หมอกสบายใจขึ้นมาบ้าง

“อย่าคิดมากเรื่องของเราเลย ยังไงเราก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจจากหมอกไปง่ายๆหรอก”

“...”

“ก็รักไปมากขนาดนั้นแล้วนี่นา...”

ประโยคสุดท้ายของผมงึมงำอยู่ในลำคอ ไม่กล้าสบตาหมอกที่นั่งอยู่ข้างๆ เลยไม่รู้ว่าหมอกหันมามองผมรึเปล่า แต่สัมผัสที่พุ่งเข้ามากระทบแก้มของผมอย่างรวดเร็วก่อนจะผละออกไปอ่านหนังสือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำเอาผมอ้าปากค้าง

เมื่อกี้หมอกพึ่งหอมแก้มผม...


“หมอก...เมื่อกี้...”

“อ่านหนังสือเร็ว ถ้าไม่อ่านก็ไปนอนกัน อยากนอนกอดจะแย่แล้วเนี่ย”


โอย...หัวใจผม จะหัวใจวายตายวันละหลายๆรอบก็เพราะหมอกเนี่ย ให้ตายเถอะ!



tbc.
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันนะคะ

หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง - หน้า 4 --19/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 19-03-2018 18:57:42
ก็แฟนน่ารักซะขนาดนี้ ถ้าเราเป็นหมอกนี่มัดไว้กับตัวเลยนะ55555
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง - หน้า 4 --19/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-03-2018 19:26:20
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง - หน้า 4 --19/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-03-2018 19:43:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง - หน้า 4 --19/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: wwll ที่ 19-03-2018 20:38:20
สงสารแอล ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ไรกับเค้า
โดนมองแรงไปอี๊กก
ไอ้เราก็งงด้วย ว่าเค้าไปมีโมเม้นอะไรกันตอนไหน555

ว่าแต่ Minnie Apiwatthanapat นี่ก็เสี้ยมเว่อ
แต่ไม่เป็นไร ตอนเด็กๆแม่ให้กินปลากัปตันไม่ได้โง่จร้า
บอกเลยกัปตันกับภรรยารักกันขนาดนี้ ชิปเปอร์โยนไม้พายทิ้งหมด  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง - หน้า 4 --19/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 19-03-2018 21:01:26
สมแล้ว คู่รักแห่งปี  หวานละมุนละไม  :-[
แอบสงสารแอล โถ ๆ อุตส่าห์หวังดีแท้ ๆ 555
มีแฟนขี้หึง แต่หึงก็บอกว่าหึงอย่างนี้ดีนะน้องบลู
ดีกว่าหึงแล้วไม่ยอมพูดอะไร ปล่อยให้เราคิดเองก็จะยิ่งไปกันใหญ่
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง - หน้า 4 --19/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 19-03-2018 21:50:24
minie ขี้เสี้ยม  o18

ดีว่าหมอกกะบลูได้เปิดใจคุยกันนะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง - หน้า 4 --19/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 19-03-2018 23:42:00
อย่าเสี้ยมสิคะะะะะะะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง - หน้า 4 --19/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 20-03-2018 07:32:23
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 15 : นายแบบจำเป็น - หน้า 4 --22/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 22-03-2018 19:52:35


บทที่ 15
นายแบบจำเป็น




ในที่สุดฤดูกาลของมิดเทอมก็กำลังจะผ่านไปแล้ว วิชาสุดท้ายสำหรับการสอบคือวิชาแลปไบโอ ผมรีบทำข้อสอบด้วยความรวดเร็ว เพราะข้อสอบวิชาแลปถือว่าง่ายที่สุดในบรรดาวิชาต่างๆที่สอบผ่านมา และทุกๆคนก็คงคิดเหมือนกันกับผม นักศึกษาทุกคนจึงทยอยออกจากห้องสอบหลังจากที่เข้าไปทำข้อสอบไปเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น

“สอบเสร็จแล้วไปร้องคาราโอเกะกันมั้ยบลู”

ว่านที่ยืนรอผมอยู่หน้าห้องสอบรีบชวนทันทีเมื่อผมเปิดประตูออกมาจากห้อง ผมที่มีความคิดว่าอยากจะนอนพักให้หายเหนื่อยสักทีก็นิ่งคิดลังเลนิดนึง...หรือจะไปผ่อนคลายสักหน่อยก่อนดี

“ไปร้องคาราโอเกะตอนนี้เลยเหรอ” ผมถามว่านเพื่ออย่างสนใจ

“อืม...กินข้าวเสร็จแล้วก็ไปร้องคาราโอเกะสักชั่วโมง คลายเครียดๆ”

“ไปเถอะนะทีเชอร์บลู” ผมมองโต๋ที่ยืนเป็นลูกคู่กับว่าน หลังจากสอบวิชาแคลคูลัสเสร็จ โต๋ก็แต่งตั้งตำแหน่งคุณครูส่วนตัวของมันให้ผมทันที

“บอกให้แฟนมึงรู้ด้วยล่ะ เดี๋ยวมาหาเรื่องกู กูสู้ตายจริงๆด้วย” แอลที่ยืนเงียบอยู่นานก็พูดขึ้นทำเอาผมหลุดยิ้มขำ จากวันนั้นที่หอสมุด แอลก็ไม่ยอมไปไหนมาไหนกับผมสองต่อสองเลยครับ

“เออๆ ไปก็ไป แล้วก็ไม่ต้องกลัวด้วยว่าหมอกจะบุกไปถึงคาราโอเกะ”

ผมตอบรับคำชวนของทุกคน ว่านและโต๋ร้องเย้แล้วลากแขนผมคนละข้างไปที่รถของแอล ผมส่งข้อความไปบอกหมอกแล้วว่าจะไปคาราโอเกะกับเพื่อน หมอกจะสอบวิชาสุดท้ายเสร็จบ่ายนี้ครับ พวกผมร้องคาราโอเกะกันเสร็จ หมอกก็คงสอบเสร็จพอดี

ตลอดทั้งบ่ายผมใช้เวลาไปกับเพื่อนๆจนเพลิน จากตอนแรกที่ตกลงกันแค่ว่าจะร้องคาราโอเกะ ตอนนี้พวกเราก็เดินเล่นทั่วห้าง เลือกซื้อหนังสือการ์ตูนเพื่อเอาไปเก็บให้ครบเซ็ตที่ผมสะสมไว้ และปิดท้ายด้วยการดูหนังสักเรื่องก่อนแยกย้ายกัน

ดูหนังเสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงห้าโมงเย็น หลังจากออกจากโรงหนัง ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปิดโหมดเครื่องบินและก็พบว่าหมอกส่งข้อความเข้ามานับไม่ถ้วน ผมกดเข้าไปดูข้อความที่ส่งมาทั้งเฟสบุ๊คและไลน์แล้วก็ยิ้มออกมา จินตนาการถึงหน้าหมอกเวลาที่หงุดหงิดติดต่อผมไม่ได้มันจะเป็นยังไงกันนะ


Kavee Worakul : ร้องคาราโอเกะเสร็จ?

Kavee Worakul
: นี่สอบเสร็จแล้วนะ กลับถึงห้องยัง

Kavee Worakul : ตอบเร็วบลู ไม่ตอบจะไปพังห้องแล้วนะ


พอเปลี่ยนไปดูข้อความทางแอพลิเคชั่นไลน์ เนื้อหาที่ส่งมาก็ไม่ต่างจากแชททางเฟสบุ๊ค


Foggy : บลู ทำไมไม่ตอบ

Foggy : ตอนนี้อยู่ไหน

Foggy : อยู่ที่คณะก็เงียบ ไม่มีคนแล้ว ที่ห้องก็ไม่มี ตอนนี้อยู่ที่ไหน

Foggy : บลูครับ ตอบหน่อย

Foggy : ทำไมไม่อ่านไลน์เลย

Foggy : จะไม่ตอบจริงๆใช่มั้ย

BLUEBLUR : ตอบแล้วๆ พึ่งดูหนังเสร็จอ่ะ

ผมรีบตอบหมอกกลับไปก่อนที่หมอกจะอกแตกตายเสียก่อน พอตอบเสร็จก็ขึ้นคำว่า ‘อ่านแล้ว’ ทันที นี่นั่งเฝ้าโทรศัพท์หรือยังไงกันนะ

Foggy : ไหนบอกว่าแค่ไปร้องคาราโอเกะไง

BLUEBLUR : ก็มันติดลม เพื่อนพามาดูหนังต่อ เดี๋ยวกินบิงซูเสร็จก็จะกลับกันแล้ว

Foggy : กลับกับใคร

BLUEBLUR : แอล

พอผมตอบไปอย่างนั้นหมอกก็เงียบไปเลย ผมนึกว่าหมอกจะไม่ได้ว่าอะไร แต่เสียงโทรศัพท์ของผมที่แผดเสียงร้องกลางวงก็ทำให้ทุกๆคนสนใจได้ไม่ยาก เพื่อนๆที่กำลังนั่งกินบิงซูมองมาที่ผมเป็นจุดเดียว ผมเลยโบกมือบอกให้พวกมันไม่ต้องสนใจผม แล้วก็กดรับสายหมอก

“ว่าไง”

[อยู่ที่ไหน กินบิงซูใกล้เสร็จยัง]

หมอกเข้าประเด็นทันที ผมอมยิ้มเล็กน้อย แค่แกล้งบอกว่าจะกลับพร้อมแอล นี่ต้องโทรตามขนาดนี้เหรอ

“อยู่สยาม เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

[ถ้ากลับกับไอ้ตี๋นั้นก็ไม่ต้องกลับ เดี๋ยวไปรับเอง รออยู่ที่นั้นแหละ]

“ไม่ได้กลับกันแค่สองคนสักหน่อย ว่านกับโต๋ก็อยู่ด้วย” ผมยอมบอกความจริง ไม่รู้ว่าคนอีกฝั่งสายกำลังหงุดหงิดขนาดไหนกัน แต่พอได้แกล้งหมอกอย่างนี้แล้วสนุกชะมัด

[แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก]

“ก็บอกไม่หมด หมอกก็โทรมาเลย”

[เดี๋ยวเถอะ กลับมาแล้วจะคิดบัญชี แค่นี้แหละ ไม่กวนแล้ว]

“ครับ”

ผมวางสายลง พวกเพื่อนๆที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็พร้อมจะสนใจในบทสนทนาของผมกับหมอกทันที ขนาดแอลที่นั่งอยู่เงียบๆยังถึงกับวางช้อนลงเตรียมพร้อมจะฟังเลย

“หมอกโทรมาเหรอมึง”

“อื้อ” ผมว่าแล้วก็ตักบิงซูเข้าปาก ยังเล่นตัวไม่ยอมเล่าให้ทั้งสามคนฟัง ว่านเลยถามจี้อีกรอบ

“แล้วว่ายังไง ทำไมมีชื่อกูกับไอ้โต๋เข้าไปเอี่ยวด้วย”

“กูว่ามีชื่อกูด้วย แต่มันไม่ได้พูดออกมาเฉยๆ” แอลเสริมทัพ

ผมมองเพื่อนทั้งสามคนแล้วก็ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แอลมันกระตุกคิ้วเล็กๆยามที่ผมแอบเอาชื่อมันไปอ้างด้วย เล่าให้ฟังจนจบ ว่านมันก็เบะปากมองผมด้วยสายตาที่เออ...น่าจะเรียกว่าหมั่นไส้ก็ได้มั้ง

“พอได้เค้าเป็นแฟนก็เล่นตัวใหญ่เลยนะมึง กูถามจริงๆนะ...”

ว่านหรี่เสียงลง และยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม ทุกคนเลยเผลอยื่นหน้าเข้ามาฟังประโยคที่ว่านกำลังจะพูดโดยอัตโนมัติ ว่านยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะถามคำถามที่ทำให้ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“พวกมึงได้กันยังวะ”

“จะบ้าเหรอมึง!”



.

..

...




ผมกลับมาถึงที่คอนโดก็พระอาทิตย์ตกดินแล้ว โบกมือลาว่าน โต๋ และแอลก่อนที่พวกนั้นจะขับออกไปจากคอนโดของผม พอเดินเข้าไปในคอนโดก็เห็นร่างสูงคุ้นตานั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่ที่หน้าล็อบบี้ ผมค่อยๆยิองเดินเข้าไปแล้วสะกิดแผ่นหลังกว้างเบาๆ

“มานานแล้วเหรอ”

“ไม่หรอก พึ่งมา”

หมอกว่าแล้วเดินตามผมขึ้นมาที่ห้อง ผมเปิดประตูแล้ววางกระเป๋าลงบนโซฟา ก่อนจะเดินไปหาน้ำกินแก้กระหาย พอหันมากลับมาก็เห็นหมอกเปิดทีวี เปิดแอร์เรียบร้อย นี่สรุปว่าคอนโดนี้เป็นของผมหรือของหมอกกันแน่ครับ?

“พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันมั้ย”

“หืม? เที่ยวที่ไหน วันนี้เราก็เที่ยวทั้งวันแล้วนะ” ผมท้วง ส่วนคนที่เสนอความคิดว่าจะไปเที่ยวนั้นก็หน้าบึ้งลงทันทีที่ผมไม่คล้อยตามไปกับคำชวนของเขา

“ไปเที่ยวกับเพื่อนได้ แล้วไปเที่ยวกับแฟนไม่ได้เหรอ” แล้วก็ทำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ ผมมองร่างเด็กโข่ง(?) นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาแล้วก็อยากจะให้คนที่ชอบหมอกมาเห็นภาพนี้จริงๆ แอบถ่ายแล้วเอาไปลงเพจ Foggy & Smoky ดีมั้ยนะ

“แล้วจะไปไหนล่ะ ถ้าไม่ไกลก็ไปด้วยก็ได้ ถือว่าผ่อนคลายหลังสอบเสร็จ”

“ไปไม่ไกลหรอก ขับรถไม่เกินสองชั่วโมงก็ถึง พรุ่งนี้แต่งตัวหล่อๆเลยนะ เตรียมชุดไว้ไปนอนคืนนึงด้วย”



หมอกกลับไปนานแล้ว ส่วนผมก็ยังเดินวนไปวนมาในห้องเหมือนหนูติดจั่น พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับหมอกเป็นครั้งแรก แถมยังค้างคืนด้วยหนึ่งคืน ผมหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนออกมาจากตู้ พอลองเอามาทาบดูในกระจกแล้วเหมือนเด็กกะโปโลเป็นบ้า ส่ายหัวให้ตัวเองแล้วก็หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาลองดู

“น่าจะดูดีอยู่หรอกมั้ง”

ผมพึมพำกับตัวเองแล้วคิดไปถึงหมอกที่เพียงใส่เสื้อผ้าเรียบๆอย่างเชิ้ตสีขาวก็ออกมาดูดีเหมือนหลุดออกมาจากรันเวย์แล้ว ตัดภาพมาที่ผมซึ่งพยายามหาเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวเองแล้วก็ปลงตก จะยังไงก็เถอะ แค่ได้ไปเที่ยวกับหมอกก็ดีแค่ไหนแล้ว จะไปห่วงเรื่องการแต่งตัวทำไม คิดได้ดังนั้นผมก็เก็บเสื้อผ้าเข้าตู้แล้วกระโดดขึ้นเตียงนอนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไม่ทันแล้วหมอกไม่พาไปแล้วก็จบเห่พอดีสิ

.
.

ผมแต่งตัวและเก็บของเสร็จก่อนเวลานัดเกือบชั่วโมง นั่งๆนอนๆอยู่บนเตียงจนเข็มสั้นชี้ที่เลขแปด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทันที ผมรีบสไลด์โทรศัพท์รับสายของหมอกที่มารอรับอยู่ด้านล่างคอนโดแล้ว รีบปิดห้องและหอบกระเป๋าเป้ที่มีชุดนอนและชุดสำหรับวันพรุ่งนี้อีกหนึ่งชุดลงมาถึงลานจอดรถที่มีรถเบนซ์คันหรูจอดรออยู่

และก็ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้หมอกแต่งตัวได้ดีมากอีกเช่นเคย ร่างสูงอยู่ในเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวดูสบายตัว สวมแว่นกันแดดสีดำอันใหญ่เข้ากับเส้นผมสีดำที่ปราศจากเจลเซ็ตผม แต่กระนั้นหมอกก็ยังดูดีมากๆแม้ว่าแทบจะไม่ได้แต่งอะไรเลย

“ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า จะได้เดินทางยาวๆเลย”

“แล้วสรุปเราจะไปไหนอ่ะหมอก” จนตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเราคือที่ไหน

“บางแสน”

พอได้รู้ว่าที่ที่กำลังจะไปคือทะเลผมก็เบิกตากว้าง ไปเที่ยวทะเล! ผมไม่ได้ไปเที่ยวทะเลนานมากแล้ว ตั้งแต่ขึ้นม.4 มาทุกซัมเมอร์ก็ต้องเสียเวลาทั้งหมดไปกับการเรียนพิเศษเลยทำให้ผมไม่ได้ไปเที่ยวเลย แค่คิดถึงกลิ่นไอทะเล คิดถึงลมเย็นๆที่มีกลิ่นของเกลือก็ทำให้ผมตื่นเต้นแล้ว ยังไม่นับอาหารทะเลทั้งหลายแหล่ที่จะได้ไปกินถึงถิ่น แค่คิดก็น้ำลายสอจนอยากให้ถึงบางแสนเร็วๆแล้วครับ

ก่อนจะออกเดินทางหมอกก็พาผมแวะกินอาหารเช้าง่ายๆอย่างต้มเลือดหมูกับข้าวสวยร้อนๆก่อน จากนั้นพวกเราก็เริ่มเดินทางกัน อากาศในวันนี้ก็ไม่ร้อนจนเกินไป ผมมองสองข้างทางตลอดทาง ฟังเพลงในรถเพลินๆรู้ตัวอีกทีเราก็เข้าสู่เขตจังหวัดชลบุรีแล้ว

“เปิดดู GPS หน่อยเร็ว แล้วบอกทางด้วยนะ”

หมอกยื่นโทรศัพท์มาให้ผม พร้อมกับบอกพิกัดที่เราจะไปนั้นก็คือชายหาดบางแสนให้ผมหาในแผนที่ เมื่อเจอแล้วผมก็ค่อยๆบอกทางตามที่ GPS บอกเราอีกที หลงทางกันอยู่สองรอบ ต้องไปยูเทิร์นกันอีก แต่หมอกก็ไม่ได้บ่นอะไรผมเลย ท้ายที่สุดเราก็มาถึงหาดบางแสนในเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่งพอดี ตอนนี้น้ำย่อยกำลังหลั่งเลยแหละครับ

“กินข้าวกันก่อนมั้ย แล้วค่อยไปเที่ยวต่อ”

“ได้ กำลังหิวพอดี” ผมว่าแล้วเดินนำหน้าหมอกไปที่เตียงผ้าใบที่ละลานตาอยู่ตรงหน้า แม่ค้ารีบมาต้อนรับเราสองคนและยื่นเมนูอาหารให้

“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย”

“กินปู กุ้ง ไข่แมงดา ปลากะพง ต้มยำทะเล เอามาให้หมดเลย” ผมรัวเมนูจนหมอกพยักหน้าตามไม่ทัน ก่อนจะหันไปสั่งกับแม่ค้าที่ยืนรอรับออเดอร์อยู่ พอสั่งเสร็จแล้วเธอก็เดินจากไป

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วถ่ายบรรยากาศตอนนี้ลงสตอรี่ไอจีสักหน่อย วิวตอนนี้สวยมากๆเลยครับ ได้ยินเสียงคลื่นที่กระทบฝั่งแล้วสดชื่นมากจริงๆ

“ถ่ายแต่วิว ไม่ถ่ายคนพามาด้วยเหรอ” เสียงทุ้มจากฝั่งตรงข้ามทำให้ผมต้องหันไปมอง เห็นหมอกหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วผมก็รีบวางโทรศัพท์ลงแล้วมองของในมือหมอกด้วยความสนใจ

“หมอกเล่นกล้องด้วยเหรอ”

ผมมองกล้องมิลเลอร์เลสในมือของหมอก แอบแปลกใจที่ผมไม่รู้ว่าหมอกเล่นกล้องมาก่อน คนตรงหน้าไม่ตอบ แล้วกดชัตเตอร์ถ่ายภาพผมไปทีหนึ่ง ผมหน้าบึ้งแล้วเอื้อมมือจะไปแย่งกล้องมาจากมือหมอกแต่หมอกก็หลบอย่างรวดเร็ว ถ่ายอะไรทำไมไม่บอกกันก่อน หน้าผมต้องตลกมากแน่ๆเลย หื้ยยยย

“ลบเลยนะ มันต้องตลกแน่ๆอ่ะ”

“ไม่ตลกหรอก พึ่งซื้อกล้องมา กำลังหัดถ่ายอยู่ เดี๋ยววันนี้เป็นนายแบบให้หน่อยนะ” นั้นไง มัดมือชกผมอีกแล้ว ทริปคราวนี้เลยได้กลายเป็นนายแบบให้ตากล้องฝึกหัดแบบงงๆ หมอกไม่ยอมหยุดถ่ายรูปผมเลยจนผมเหนื่อยจะปั้นยิ้มใส่กล้อง เลยนอนแผ่บนเตียงผ้าใบแล้วเอาเสื้อคลุมมาปิดหน้าซะเลย

แชะ!

“รูปนี้สวย เดี๋ยวอัพรูปแรกในไอจีดีกว่า”

ผมขมวดคิ้วภายใต้เสื้อคลุมแล้วรีบเด้งตัวขึ้นมองหมอกที่ยังหัวเราะขำกับภาพในกล้องอยู่ ผมไม่เชื่อหรอกว่ามันสวย ไวเท่าความคิดผมก็กระโดดจากที่นั่งตัวเองไปนั่งข้างร่างสูงเพื่อจะผลงานของหมอกสักหน่อย

“สวยตรงไหนเนี่ย ลบเลย ไม่เอาๆๆ” ผมว่าแล้วจะกดลบภาพ แต่หมอกก็ยื่นกล้องหนีผมอีกแล้ว ให้มันได้อย่างนี้สิ ในกล้องนั้นต้องมีแต่รูปตลกของผมแน่ๆเลย

“สวยสุดๆแล้ว ไม่ให้ลบ”

“หมอกกกกกกกกกกกกกกกก”

ผมลากเสียงยาว ทำตาอ้อนก็แล้ว ทำน้ำเสียงอ้อนก็แล้ว หมอกก็ไม่ยอมลบรูปผมสักที เป็นจังหวะเดียวกับที่อาหารที่เราสั่งมาเสิร์ฟพอดีหมอกเลยเก็บกล้อง ส่วนผมที่ทำหน้าบึ้งจะกลับไปที่นั่งตัวเองก็ถูกหมอกดึงแขนเอาไว้

“นั่งตรงนี้แหละ ไปนั่งฝั่งนั้นมันอยู่ไกล”

หมอกยังไม่ยอมปล่อยมือผม ฝ่ามืออุ่นๆนั้นกุมมือผมไว้หลวมๆจนกระทั่งอาหารทั้งหมดมาเสิร์ฟจนหมดแล้ว ผมก็เลิกสนใจสัมผัสที่ยังหยอกล้ออยู่ที่มือไม่หยุดแล้วหยิบปูกล้ามโตมามองให้เต็มๆตา ไม่ได้กินปูเนื้อแน่นๆ สดๆจากทะเลแบบนี้มานานแล้ว ผมสูดน้ำลายแล้วแกะกล้ามปูกินทันที พอเนื้อปูเข้าปากเท่านั้นแหละครับ น้ำตาจะไหลกับความหวานของเนื้อปู

แอบเห็นหมอกมองผมแล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้วครับ ความหิวมันบังตาแล้วก็เลิกเขินหมอกไปนานแล้วด้วย ผมตักข้าวผัดปูเข้าปาก ตามด้วยน้ำต้มยำทะเลร้อนๆ

“เดี๋ยวแกะกุ้งให้ เอามั้ย”

หมอกถามผม แต่มือใหญ่นั้นก็เริ่มแกะกุ้งแล้ว ผมพยักหน้าให้แทนคำตอบเพราะในปากเต็มไปด้วยอาหาร แล้วหมอกก็วางกุ้งที่แกะเรียบร้อยให้บนจานของผม ผมจึงแกะปูและตักเนื้อปลากะพงให้หมอกเป็นการตอบแทน

เรานั่งกินข้าวตรงหน้าจนอาหารที่วางเต็มโต๊ะหายลงท้องไปจนหมด พออิ่มแล้วก็นอนแผ่บนเตียงผ้าใบด้วยกันทั้งคู่ พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน ยิ่งลมทะเลเย็นๆตีหน้าอย่างนี้ผมยิ่งเคลิ้มเอาได้ง่ายๆ

แชะ!

“หมอก! ถ่ายอีกแล้ว เหนียงออกมั้ยเนี่ย”

ผมหันไปดุคนที่แอบหยิบกล้องมาถ่ายรูปผมจนได้ หมอกยิ้มกว้างแล้วส่ายหน้าให้ผม ก่อนจะยื่นผลงานของหมอกมาให้ผมดู ภาพของผมที่หลับตาลงเพราะเริ่มง่วงนอนแล้ว ฉากด้านหลังเป็นทะเลและท้องฟ้าที่ตัดกับเสื้อสีเหลืองมัสตาร์ดที่ผมกำลังใส่อยู่ แก้มของผมที่ปกติมันจะขาวจนซีดแต่ในภาพนั้นมันระเรื่อสีแดงดูคล้ายคนสุขภาพดี คงจะเพราะอากาศที่นี่นั้นแหละเลยทำให้ผมแก้มแดงอย่างนี้...ไม่ใช่เพราะคนข้างๆเลยจริงๆ

“น่ารักจะตาย”

แต่ตอนนี้ผมเริ่มลังเลแล้วว่าที่ผมกำลังหน้าแดงอยู่เพราะอากาศมันร้อน หรือเพราะคนด้านข้างกันแน่...


.

..




หลังจากนอนอยู่ริมทะเลจนเย็น จากตอนแรกที่คุยกันไว้ว่าจะไปเที่ยวต่อ พวกเราก็เหนื่อยเกินกว่าจะไปเที่ยวไหนแล้ว สุดท้ายหมอกก็พาผมไปที่โรงแรมซึ่งจองผ่านเน็ตเอาไว้ ผมไม่แปลกใจเท่าไรว่าหมอกจะเปิดแค่ห้องเดียว คิดปลอบใจตัวเองว่าหมอกคงจะเลือกเตียงคู่แต่ผมก็ต้องผิดหวังเมื่อเข้ามาในห้องแล้วเห็นเตียงเดี่ยวคิงไซส์ตั้งอยู่กลางห้อง

“ไม่ได้จองเตียงคู่ไว้เหรอ”

“จะจองทำไม เตียงแบบนี้แหละนอนสบายจะตาย” พูดไม่พอยังกระโดดขึ้นไปนอนโชว์ผมอีก

“มานอนด้วยกันสิ”

“ไม่เอา นอนที่ชายหาดยังไม่พออีกเหรอ”

“มันไม่เหมือนกันนี่ อันนั้นเตียงผ้าใบ ส่วนอันนี้เตียงสปริงเด้งดึ๋งสุดๆ ขย่มกี่รอบยังไงก็ไม่พัง” แล้วทำไมต้องเน้นคำว่าขย่มด้วย ผมมองคนตัวสูงอย่างไม่ไว้ใจ พูดสองแง่สองง่ามแล้วมาทำตาวิบวับใส่ผมอีก มันน่ากระทืบคาไอ้เตียงเด้งดึ๋งนี่จริงๆ

“หยุดคิดเรื่องลามกเดี๋ยวนี้เลยไอ้บ้ากาม!”

ผมปาหมอนใส่คนเจ้าเล่ห์ที่เตรียมจะรวบผมเข้าไปในอ้อมกอด ตั้งแต่เปลี่ยนสถานะมาได้เกือบเดือนก็หวังจะแอ้มผมตลอดเวลา นี่พามาถึงบางแสนยังคิดเรื่องใต้สะดือตลอดเวลาที่อยู่ในห้องสองต่อสอง คิดว่าผมจะยอมง่ายๆงั้นเหรอ รู้จักบลูน้อยไปซะแล้ว ไม่มีทางหรอกโว้ยยยยยยยยยย

“โอ๊ยยยยย เจ็บๆๆๆ”

หมอกร้องโอดโอยที่โดนผมใช้หมอนตีไม่หยุด แต่ร่างสูงก็ไม่ละความพยายามที่จะดึงผมให้นอนลงที่เตียงให้ได้ พอโดนตีอีกทีก็รีบชักมือกลับไปนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเหมือนเดิม ผมเลยยอมหยุดแล้วก็นั่งลงที่เตียงด้วยความเหนื่อย

“ไม่แกล้งแล้ว...มาดูรูปกันดีกว่า ถ้าไม่สวยก็ลบเลย”

หมอกหยิบกล้องที่วางอยู่หัวเตียงและล้มตัวนอนข้างผม พอภาพแรกที่เปิดขึ้นมาก็เป็นภาพน่าเกลียดๆของผม ไหนบอกว่ามีแต่รูปสวยๆไง นี่มีแต่รูปผมตอนที่น่าเกลียดๆทั้งนั้น

“ลบตอนนี้เลยนะ”

“คร๊าบบบบ” พูดแล้วก็กดปุ่มลบให้ผมเห็น พอเปิดไปอีกกี่รูปๆก็เจอแต่รูปทุเรศๆ เปิดดูไปก็ขำออกมาลั่นห้อง สนุกมากเลยสินะที่แกล้งผมขนาดนี้เนี่ย

“รูปนี้สวยๆ ไม่ลบนะ” มันเป็นรูปที่หมอกถ่ายตอนผมกำลังจะคล้อยหลับนั้นแหละ ผมพยักหน้าอนุญาตหมอกแล้วหมอกก็เลื่อนรูปต่อไปเรื่อยๆ มีทั้งรูปที่ใช้ได้ แต่ตลกปะปนกันไป แต่ทุกรูปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นรูปผมทั้งหมด

“เรายังไม่มีรูปคู่ด้วยกันเลยนะ”

“แล้ว?”

“ถ่ายกันๆ”

หมอกพูดด้วยเสียงตื่นเต้น แล้วสลับกล้องด้านหน้ามา หัวทุยๆของหมอกซบลงที่ไหล่ผม ผมไม่ได้ว่าอะไรและก็ฉีกยิ้มให้กล้องด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดแล้ว พอได้ยินเสียงแชะแล้วหมอกก็เปิดรูปที่เราพึ่งถ่ายให้ผมได้ดูด้วย

“เอาลงไอจีดีกว่า ภาพคู่แรกของเรา” หมอกบอกแล้วส่งรูปเข้าโทรศัพท์ ผมมองหมอกที่เอารูปไปแต่งด้วยแอพลิเคชั่นแต่งภาพต่ออีกนิดหน่อย แล้วเจ้าตัวก็เปิดอินสตราแกรมขึ้นมา

“พึ่งสมัครงั้นเหรอ” ผมถามเพราะเห็นว่าไอจีของหมอกยังไม่มีแม้แต่รูปเดียว ยอดคนฟอลก็มีไม่ถึงสิบ

“อืม พึ่งสมัครตอนที่นั่งอยู่ริมชายหาดนั้นแหละ...ขอไอจีหน่อยดิ” ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมพิมพ์ชื่อแอคเค้าท์ของผม พอผมพิมพ์ให้แล้วก็กดฟอลทันที ก่อนจะกลับเข้าไปอัพรูปที่พึ่งแต่งเสร็จเมื่อกี้

F_ogggy : รูปแรกกับแฟนคนแรก

ครับ...

แคปชั่นต้องตรงขนาดนั้นมั้ย ไม่เคยสงสารหัวใจผมเลยสินะหมอก



tbc.

เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเรื่องนี้คาดว่าจะมีประมาณ 22 ตอน
แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ
เป็นกำลังใจให้หมอกเขากันต่อไปนะคะ55555

หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 15 : นายแบบจำเป็น - หน้า 5 --22/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 22-03-2018 20:06:17
หมอกเด็กน้อยย น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 15 : นายแบบจำเป็น - หน้า 5 --22/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-03-2018 20:37:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 15 : นายแบบจำเป็น - หน้า 5 --22/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 22-03-2018 22:21:38
หมอกโคตรมุ้งมิ้งง น่ารักก
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 15 : นายแบบจำเป็น - หน้า 5 --22/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 22-03-2018 23:18:46
น่ารักจริงๆเชียว
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 15 : นายแบบจำเป็น - หน้า 5 --22/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-03-2018 00:14:56
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 15 : นายแบบจำเป็น - หน้า 5 --22/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 23-03-2018 08:16:00
หมอกไม่เห่อแฟนเท่าไหร่  :pigha2:
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 26-03-2018 17:51:17



บทที่ 16
เซอร์ไพร์สในเซอร์ไพร์ส



หลังจากกลับมาจากทริปเร่งด่วนที่บางแสน ผมและหมอกก็ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ตื่นเช้า ไปเรียน กินข้าวเที่ยง เรียนเสร็จช่วงบ่ายตอนเย็นก็ออกไปเที่ยวบ้างประปราย ไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น

แต่ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันกลับอบอุ่นใจเสมอ

ยกเว้นอาทิตย์นี้ที่ผมกลับไม่อุ่นใจอย่างที่เคยเป็น...หลังจากที่หมอกส่งผมที่หน้าคอนโดเหมือนทุกวันแล้ว ผมก็จะรีบวิ่งกลับห้องไปเพื่อทำอะไรบางอย่าง...แล้วก็เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องคนเดียวอย่างใช้ความคิดมาราวๆห้าวันแล้ว

“ทำ...ไม่ทำ...”

เดินวนไปวนมาในห้องแล้วก็พึมพำกับตัวเองอยู่อย่างนั้น จนท้ายที่สุดผมก็มองตัวเองในกระจกแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอาวะ!

“ทำก็ทำโว้ย!!”

พูดให้กำลังใจตัวเองแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ทั้งห้องมืดสนิทแต่ผมยังคงลืมตาโพลงในความมืด คิดวางแผนไปต่างๆนานา จนผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย

.

..

...


วันนี้ผมมีเรียนแค่ถึงตอนเที่ยงเท่านั้น ส่วนหมอกมีเรียนถึงเย็นเลย ซึ่งทำให้ทางของผมสะดวกมากขึ้น ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในคณะแพทยศาสตร์หลังจากลังเลอยู่นานว่าควรจะเข้าไปดีมั้ย มือก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนจะทักหาใครบางคน

Punnawit thanawatchai : เรามาถึงที่คณะแล้วนะ

พอทักปุ๊บ ฝ่ายนั้นก็อ่านข้อความของผมทันที ก่อนจุด 3 จุดจะเด้งขึ้นมาให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ตอบ

I-tim wattanawutsakul : อยู่ที่ป้ายหน้าคณะเลยเหรอ เดี๋ยวลงไปรับ

Punnawit thanawatchai : ใช่ๆ อยู่ข้างหน้าเลย


อีกฝ่ายไม่ได้ตอบผม ยืนรออยู่หน้าคณะแพทยศาสตร์ได้ไม่ถึงห้านาที ร่างของเดือนคณะแพทยศาสตร์ที่ตัวเล็กกว่าผมประมาณ 2-3 ซม.ก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า

“มานานรึยัง” ไอติมถามผมก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในคณะ

“ไม่นานหรอก พึ่งมาถึงน่ะ”

“แดดแรงเนอะ ดูสิหน้าแดงหมดแล้ว”

ไอติมว่า ผมไม่รู้เลยว่าผมหน้าแดงขนาดไหน เพราะอากาศข้างนอกมันร้อนเอามากๆ ผมที่เดินจากคณะวิทยาศาสตร์มาที่คณะของไอติมถึงกับเหงื่อโชกไปทั้งร่าง พอเดินเข้ามาในตึกของคณะแพทยศาสตร์ที่เปิดแอร์เย็นช่ำเลยรู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง

เราเดินมาถึงที่ห้องสมุดคณะแพทย์ฯ ไอติมสแกนบัตรนักศึกษาเข้าไป แล้วผมก็เดินตามไปเงียบๆเพราะในนี้มีนักศึกษาแพทย์หลายคนกำลังอ่านหนังสือกันอย่างตั้งใจ ไม่อยากรบกวนสมาธิว่าที่คุณหมอทั้งหลายน่ะครับ จนเมื่อมาถึงโต๊ะมุมที่ติดหน้าต่างที่ไม่ค่อยมีใครนั่งอยู่แถวนั้น มีเพียงผู้ชายที่หน้าตาคล้ายกับหมอกยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมามองผม ก็คลี่ยิ้มเล็กๆให้

“ว่าไงบลู ไม่ได้เจอกันนานเลย ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่กัน” ควันถาม แล้วมองหน้าผมสลับกับไอติมที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ไอติมเลยเดินไปนั่งที่ตัวเองซึ่งอยู่ตรงข้ามควัน แล้วกวักมือให้ผมนั่งด้านข้าง

“บลูบอกว่าวันศุกร์นี้เป็นวันเกิดหมอก”

“วันศุกร์นี้เหรอ...อ้อ! ใช่ๆ เกือบลืมไปเลยว่าจะถึงวันเกิดแล้วนี่หว่า” ควันเกาหัวแล้วยิ้มแห้งๆเหมือนคนมีความผิด ผมแอบเห็นไอติมที่มองคนตรงข้ามแล้วส่ายหน้าอย่างระอา

“เหอะ วันเกิดตัวเองยังลืม คุยกันเองแล้วกันว่าจะทำอะไร” ไอติมว่าอย่างนั้นแล้วก็เปิดหนังสือที่คั่นเอาไว้ขึ้นมาอ่านต่อ ผมที่เกรงใจว่าจะคุยกับควันแล้วรบกวนไอติมที่อ่านหนังสืออยู่ แต่ควันก็โบกมือทำนองว่าไม่เป็นไร

“คุยในนี้แหละ ไอติมมันไม่รำคาญหรอก ว่ามาสิ จะทำอะไรงั้นเหรอ”

“คือเราอยาก...” ผมอธิบายสิ่งที่ผมคิดเอาไว้มาหลายคืนแล้ว ควันพยักหน้ารับฟังเป็นระยะๆ ไอติมที่อ่านหนังสือก็เลิกอ่านแล้วเท้าคางนั่งฟังผมพูดตาใส เมื่อผมอธิบายสิ่งที่ผมคิดจบแล้ว ควันก็ยิ้มออกมา

“ดีเลย ทำเลยนะไม่ต้องห่วง วันศุกร์คงไม่กลับห้องหรอก เพราะว่าสอบเสร็จคงจะไปฉลองกันต่ออยู่ดี เดี๋ยวเอาคีย์การ์ดเราไปใช้ก็ได้นะ”

“ขอบคุณมากนะควัน” ผมยิ้มกว้างอย่างโล่งใจเมื่อควันเห็นดีเห็นงามกับความคิดผม

“จริงๆทั้งเราแล้วก็ไอ้หมอกน่ะไม่ได้ใส่ใจกับวันเกิดตัวเองมานานแล้ว ถ้ามันรู้ว่าบลูทำอะไรให้ มันต้องดีใจมากแน่ๆ”



.

..





เช้าวันศุกร์มาถึง ผมยืนรอหมอกมารับที่คอนโดเพื่อไปเรียนตอนเช้าด้วยกันเหมือนทุกวัน ปกติแล้วทุกวันศุกร์ผมและหมอกจะเลิกเรียนเวลาเดียวกัน และหมอกจะมารับผมไปนอนเล่นที่ห้องของหมอกจนค่ำถึงมาส่งที่คอนโด ไม่ก็พาผมไปเดินเล่นในห้างแก้เบื่อบ้าง แต่วันนี้หมอกกลับทำหน้าเซ็งเล็กๆยามที่ผมกำลังจะออกจากรถเมื่อถึงที่คณะ

“วันนี้คงไม่ได้มารับนะ” หมอกบอก ผมเลยแสร้งทำเป็นตกใจก่อนจะหันไปหาอีกคนด้วยแววตาสงสัย

“ทำไมล่ะ มีเรียนชดเชยเหรอ”

“เปล่า วันนี้ต้องกลับบ้านน่ะ ไม่รู้ไอ้ควันมันผีเข้าหรืออะไรถึงได้บังคับให้กลับบ้านขนาดนี้”

“งั้นก็กลับบ้านเถอะ เรากลับเองก็ได้ ไม่ต้องห่วงนะ”

“งั้นเดี๋ยวดึกๆไปหาที่คอนโดดีมั้ย” หมอกหันกลับมามองผม ผมเลยส่ายหน้าหวือทันที

“ไม่เอาอ่ะ อยู่บ้านนั้นแหละ พรุ่งนี้ค่อยมาหาเราก็ได้”

“แต่...”

“ไปเรียนแล้วนะหมอก เจอกันพรุ่งนี้เลยแล้วกัน บาย~” ผมตัดบทแล้วรีบลงจากรถทันที หมอกยังอ้ำอึ้งอยู่ที่เดิม ผมแอบยิ้มขำแล้วก็โบกมือไล่เพราะรถคันข้างหลังก็รอขับเข้ามาจอดแทนที่อยู่ หมอกจึงจำเป็นต้องขับรถออกไปจากหน้าคณะของผม

ผมหันหลังเดินเข้าอาคารเรียนแล้วแอบพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ขอให้แผนในวันนี้มันเป็นไปตามที่ผมวางไว้ด้วยเถอะ




.

..

...


ผมเรียนเสร็จแล้วก็มานั่งรอเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการเตรียมเซอร์ไพร์สครั้งนี้ที่หน้าคณะแพทยศาสตร์เช่นเดิม นั่งอยู่ที่ม้านั่งเงียบๆมาได้หนึ่งชั่วโมงเต็ม เสียงนักศึกษาที่ดังขึ้นก็เรียกความสนใจของผมให้หันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 กำลังเดินออกมาจากตึกเรียน ผมก็ยืมรอจนเห็นไอติมและควัน ควันยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะแยกไปอีกทาง ทิ้งไอติมที่ยืนอยู่ที่เดิมกับผม

“ไปกันเลยมั้ย”

“อืม” ผมพยักหน้าและเดินตามไอติมไปที่ลานจอดรถ

แอบตื่นเต้นเหมือนกันที่ได้คุย ได้ใกล้ชิดกับไอติมขนาดนี้ เพราะถึงผมกับไอติมจะผ่านการประกวดดาว-เดือนมาด้วยกัน แต่เพราะไอติมเป็นคนเงียบๆไม่เข้าหาใครก่อน ประกอบกับหน้าตาที่ถ้าไม่ยิ้มแล้วทุกคนก็ไม่กล้าเข้าหา เลยกลายเป็นทำให้เจ้าตัวดูเข้าถึงยาก แต่พอผมได้ลองทำความรู้จักแล้วก็พบว่าไอติมไม่ใช่คนที่เข้าหายากเลยสักนิด เพียงแต่เพราะไอติมไม่ค่อยยิ้มเหมือนมีเรื่องราวอะไรบางอย่างอยู่ในใจตลอดเวลาจนลิดรอนรอยยิ้มสว่างไสวไปจนหมด ผมก็ได้แต่หวังว่าสักวันไอติมจะหาคนที่ทำให้เจ้าตัวยิ้มได้กว้างๆสักที

“บลูจะแวะไปซื้อของก่อนมั้ย”

เสียงของไอติมทำให้ผมสะดุ้งออกจากภวังค์ หันมามองคนขับรถตาปริบๆพอประมวลผลได้ว่าไอติมถามว่าอะไร ผมก็รีบบอก

“ไม่ต้องๆ ซื้อมาหมดแล้ว อยู่ในกระเป๋านี่แหละ ไปที่ห้องของควันเลย”

เมื่อมาถึงที่ห้องของหมอก ไอติมก็ใช้คีย์การ์ดที่ควันฝากมาสแกนบัตรแล้วก็เปิดประตูเข้าไป ผมมองห้องที่เงียบสนิทและเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็รีบลงมือจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆโดยที่มีไอติมคอยช่วยอย่างขยันขันแข็ง ไม่มีเสียงร้องบ่นจากคนตัวเล็กเลย พวกเราใช้เวลาเตรียมทุกอย่างอยู่ชั่วโมงนิดๆ ผมกับไอติมก็ไปหาซื้อเค้กกันต่อ ก่อนที่ไอติมจะพาผมกลับคอนโดเพื่อไปอาบน้ำ เปลี่ยนชุดใหม่ เพราะชุดเดิมนั้นเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคลหมดแล้ว

“รอนานรึเปล่า”

ผมถามไอติมที่นั่งเล่นโทรศัพท์รอผมอยู่อย่างเกรงใจ ไอติมหันกลับมาและส่ายหน้าเร็วๆ

“ไม่นานหรอก...รีบไปกันเถอะ ควันบอกว่ากำลังจะออกจากที่บ้าน”

“อ้อ...ไปสิ”

ผมว่าและรีบปิดห้องให้เรียบร้อย ไอติมบึ่งรถพาผมมาถึงคอนโดของหมอกอย่างรวดเร็ว และพาผมมาส่งถึงห้องก่อนจะปิดห้องให้สนิทแล้วไอติมก็จากไป แต่ไอติมก็ยังส่งข้อความที่ได้จากควันมาอีกทีรายงานสถานการณ์ผมเป็นระยะๆ ผมเดินไปเดินมาในห้องของหมอกว่าควรจะไปหลบอยู่ที่ไหนดี จนเมื่อเสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง

I-tim wattanawutsakul : หมอกมาถึงแล้วนะ ตอนนี้กำลังจะขึ้นห้อง

พอผมเห็นข้อความนั้นผมก็รีบปิดไฟในห้องโถงทันที แล้วเดินฝ่าความมืดไปหลบในห้องนอนหมอกอีกที นั่งลงเงียบๆหลังผ้าม่านเพื่อว่าหมอกจะได้ไม่เห็นตอนเดินเข้ามา ผมนั่งอยู่อย่างนั้นราวๆห้านาทีก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกห้อง พอเห็นแสงไฟที่ลอดเข้ามาจากช่องใต้ประตูก็รู้แล้วว่าหมอกคงมาถึงแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่ให้หมอกเห็นว่าผมเตรียมอะไรไว้ให้


พรึ่บ!


ไฟในห้องสว่างวาบ ผมแอบมองคนตัวสูงผ่านผ้าม่าน เห็นหมอกยืนนิ่งค้างอยู่หน้าประตูอย่างนั้น ดวงตาเรียวนั้นเบิกขึ้นเล็กน้อย ผมแอบอมยิ้มที่ทำให้หมอกตกใจได้ขนาดนี้

ผมมองลูกโป่งสีฟ้าสลับกับสีขาวที่ลอยเต็มห้องนอน ลูกโป่งตัวอักษร H B D แปะอยู่ที่ผนังห้อง พร้อมกับกล่องของขวัญสีฟ้าที่ผมทำเองกับมือวางอยู่บนที่นอนของหมอก ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้กล่องของขวัญของผม แต่ก่อนที่หมอกจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องของขวัญ ร่างสูงก็เบนปลายเท้ามาทางที่ผมนั่งหลบอยู่แทน รู้งั้นเหรอว่าผมแอบอยู่ที่นี่!

“มาทำเซอร์ไพร์สให้ทั้งที มานั่งแอบอะไรอยู่ในนี้หืม?”

“รู้ได้ไงว่าเราอยู่ตรงนี้” ผมมุ่นคิ้ว นี่คิดว่านั่งนิ่งๆแล้วนะทำไมถึงถูกจับได้เร็วขนาดนี้ล่ะ

“ก็เห็นเงาในกระจกนั่นไง ออกมาได้แล้ว” ผมมองตามกระจกที่หมอกว่าแล้วก็ตบหน้าผากตัวเองเบาๆอย่างจนใจ ตอนเข้ามาแอบในนี้ผมก็ลืมนึกไปเลยว่ากระจกมันจะสะท้อนเงาของผมทำมุมกับที่หมอกยืนอย่างนี้

ผมลุกขึ้นตามแรงดึงของหมอก ใบหน้าหล่อยังมีรอยยิ้มเจืออยู่บนใบหน้านั้นก็ทำให้ผมดีใจแล้ว หมอกนั่งลงบนเตียงแล้วก็ดึงแขนให้ผมนั่งด้วยกัน

“ข้างในเป็นอะไร” หมอกยกกล่องของขวัญขึ้นมาแล้วลองเขย่าเบาๆดูอย่างตื่นเต้น

“ลองแกะดูสิ” ผมว่าและนั่งมองหมอกที่แกะของขวัญอย่างประณีตราวกับเด็กที่ตื่นเต้นยามที่ได้ของขวัญวันเกิด

พอเปิดกล่องของขวัญแล้ว หมอกก็หยิบขวดแก้วใสขึ้นมาดู ผมมองคนที่ทำตาพราวระยับ มองดูสวนด้านในที่ผมลงมือจัดแต่งเอง และด้านบนสวนผมก็หาตุ๊กตาเซรามิครูปผู้ชายสองคนนั่งอยู่ด้วยกันมาวางเอาไว้เป็นตัวแทนของผมและหมอก

“เอาตั้งไว้เวลาอ่านหนังสือเหนื่อยๆ มองอะไรที่เป็นสีเขียวๆจะได้สบายตาขึ้น” ผมบอกจุดประสงค์ที่ผมเลือกทำสวนเล็กๆให้หมอก เพราะว่าเราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในคอนโดที่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัด และวิชาที่หมอกเรียนต้องอ่านหนังสือหนักมาก ผมเลยอยากหาอะไรที่ทำให้หมอกผ่อนคลายเวลาอ่านหนังสือได้บ้าง และสวนในขวดแก้วก็ตอบโจทย์ผมมากที่สุด

“จะตั้งเอาไว้ในห้องเลย” หมอกยังไม่ยอมหุบยิ้ม เจ้าตัวเดินถือขวดแก้วไปวางที่โต๊ะหนังสือ พอหามุมที่ตัวเองพอใจแล้วก็เดินกลับมาหาผมที่ยังนั่งอยู่ที่ปลายเตียงแล้วหยิบกล่องของขวัญขึ้นมาดูอีกรอบ ถึงเห็นของขวัญอีกชิ้นที่ผมตั้งใจทำให้

หมอกเปิดการ์ดสีฟ้าอ่อนซึ่งตกแต่งง่ายๆแล้วอ่านออกเสียงให้ผมได้ยินด้วย

“สุขสันต์วันเกิดนะหมอก...ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดี สุขภาพแข็งแรง มีความสุขมากๆนะ-บลู”

คำอวยพรสั้นๆที่ผมนั่งคิดทั้งคืน ไม่รู้จะเขียนอะไรนอกจากคำอวยพรทั่วๆไปที่คนอื่นก็พูดแบบนี้ แต่ผมคิดว่าความเรียบง่ายมันดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องร้อยเรียงคำพูดให้เข้าใจยาก ขอแค่หมอกเข้าใจในสิ่งที่ผมบอก ผมก็พอใจแล้ว

“ขอบคุณนะที่ทำให้ขนาดนี้ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับวันเกิดตัวเองมานานมากแล้วล่ะ”

“ยังไม่ได้เป่าเค้กเลยนะ” ผมว่าแล้วรีบลุกขึ้นจากเตียง หมอกทำท่าจะเดินตามผมออกไปด้วย แต่ผมก็รีบเบรกเจ้าของห้องไว้ก่อน “รออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวเรียก”

หมอกยอมทำตามที่ผมขอแต่โดยดี แววตานั้นยังคงพราวระยับไปด้วยความตื่นเต้น ผมออกมาจากห้องนอนของหมอกก็รีบหยิบเค้กที่ซื้อมาแกะกล่องออก ปักเทียนตามเลขอายุของหมอก จากนั้นก็หยิบสายไฟสีส้มที่เตรียมมาวางเป็นทางเดินจากห้องของหมอกอย่างรวดเร็ว พอเสียบปลั๊กไฟแล้ว ไฟสีส้มดวงเล็กๆก็สว่างเป็นทางไปจนถึงเค้กที่ผมวางไว้ที่โต๊ะ จุดเทียนเสร็จเรียบร้อยก็ปิดไฟในห้องนั่งเล่น แล้วเดินไปเคาะประตูห้องนอนหมอก

“ออกมาเร็วหมอก”

ประตูห้องเปิดออกมา ผมก็ร้องเพลงคลอให้เจ้าของวันเกิดเบาๆ หมอกยังยืนอึ้งกับภาพตรงหน้าที่ผมจัดแสงไฟยาวไปจนถึงโต๊ะที่ตั้งเค้กอยู่ ผมเลยจับมือใหญ่ด้านข้างแล้วจูงมือคนตัวโตให้เดินตามผมมา

“Happy birthday to you~ Happy birthday to you~”

จนมาถึงโต๊ะที่มีเค้กวางเอาไว้ ผมก็ยกเค้กขึ้นมาตรงหน้าหมอก เมื่อร้องเพลงจบแล้วผมก็ยิ้มให้กับคนตรงหน้า

“อธิษฐานแล้วเป่าเทียนนะ”

หมอกทำตามผมอย่างว่าง่าย ดวงตาเรียวหลับตาลงพร้อมประสานมือในท่าอธิษฐานขอพร ก่อนจะลืมตาขึ้นมาและเป่าเทียนตรงหน้าผมให้ดับ

“หมดแล้วเหรอเซอร์ไพร์สสำหรับวันนี้” หมอกถามเมื่อผมเดินไปเปิดไฟให้สว่างทั่วทั้งห้อง ผมเผลอขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพยักหน้ายอมรับว่าที่เตรียมเอาไว้หมดแล้ว

“แค่นี้ไม่พอเหรอ” ผมถามอย่างเสียเซลฟ์ ที่ทำไปทั้งหมดหมอกยังไม่พอใจอีกเหรอ

“เปล่า แค่นี้ก็พอมากแล้ว แต่ไม่มีอะไรอีกสักนิดสักหน่อยเหรอ” หมอกยังไม่หยุดถาม ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ จนผมต้องเงยหน้ามองหมอกที่ยังพูดอะไรวกไปวนมา

“หมอกจะสื่อว่าอะไร เราไม่เข้าใจว่าหมอกต้องการอะไร”

“ก็ต้องการแบบนี้ไง”

“!!!”

ผมเบิกตากว้างเมื่อสัมผัสอุกอาจโฉบลงมาที่ริมฝีปากของผม ถึงนี้จะไม่ใช่จูบแรกระหว่างเรา แต่ผมแทบเข่าทรุดเมื่อริมฝีปากร้ายบดคลึงริมฝีปากของผมพร้อมกับแทรกเรียวลิ้นร้อนเข้ามา ผมตาพร่าเบลอไปหมดจนต้องยอมแพ้กับสัมผัสที่หมอกมอบให้และหลับตาลง ปล่อยให้หมอกเป็นคนนำทางคนที่ไม่ประสาในเรื่องนี้อย่างผม

ริมฝีปากร้อนค่อยๆไล่เล็มทีละนิดอย่างไม่รีบร้อน ต่างจากใจผมที่เต้นรัวแรงจนเกือบหายใจผิดจังหวะ หมอกยังไม่ยอมละริมฝีปากออกจากผม ยิ่งเมื่อสัมผัสได้ว่าเรียวลิ้นร้อนนั้นกวาดต้อนทั่วโพลงปากก่อนจะปล่อยให้ผมได้พักหายใจหายคอก็ไม่วายกัดริมฝีปากล่างผมเบาๆ

“หมอก...”

ผมพูดได้เพียงแค่นั้น แล้วผมก็ถูกปิดปากอีกครั้งด้วยสัมผัสเดิมจากร่างสูงที่ยังกอดรัดผมไว้แนบกาย ผมรับสัมผัสที่หมอกปรนเปรอให้อย่างเต็มใจ และขยับริมฝีปากจูบตอบเจ้าของวันเกิดอย่างกล้าๆกลัวๆ ได้ยินเสียงคำรามอยู่ในลำคอของหมอกแล้วผมก็แอบสะดุ้ง ครั้นจะผละตัวออก มือหนาก็จับท้ายทอยผมไว้แล้วล็อกให้ใบหน้าของเราอยู่ในองศาที่พอเหมาะสำหรับจูบในครั้งนี้

“อื้ออออออ...ปล่อย”

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ไม่รู้ แต่อากาศที่เริ่มจะหมดลงทำให้ผมละล่ำละลักบอกร่างสูง มือดันอกหนาที่ห่างกันเพียงแค่อากาศกั้นให้ห่างออกจากร่างกาย เมื่อเห็นว่าผมเริ่มต่อต้านหมอกก็ยอมคลายจูบออกช้าๆ ผมสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พอหมอกจะเข้ามาจูบอีกครั้งผมก็รีบปิดริมฝีปากของคนตรงหน้าทันที

“พะ...พอได้แล้ว...ไม่เอาแล้ว”

“อยากชิมของหวานอีก ยังไม่อิ่มเลย”

“ขะ...ของหวานอะไรล่ะ! กินเค้กสิ” ผมลนลานไปหมด หยิบเค้กที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะด้วยมือสั่นๆไปที่เค้าน์เตอร์ครัวเพื่อที่จะตัดเป็นชิ้นเล็กๆให้หมอกได้ทาน แต่พอวางเค้กลงแล้วหันไปหยิบมีดด้านหลังก็มีร่างสูงใหญ่ยืนกั้นอยู่ตรงหน้า

“ถอยไปหมอก เดี๋ยวจะตัดเค้กให้”

“เรื่องเค้กนั้นปล่อยมันไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกินก็ได้ แต่วันนี้อยากกินอย่างอื่นแล้ว”

“กะ...กินอะไร...เออ...หิวเหรอ งั้นไปหาอะไรกินป่ะ” ผมถามเสียงสั่น หัวใจยังไม่หยุดเต้นรัว ยิ่งเผลอมองริมฝีปากคนตรงหน้าผมยิ่งรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาดื้อๆ ดวงตาเรียวที่ยากจะคาดเดาความคิดนั้นจ้องมองจนผมวูบวาบไปทั่วช่องท้อง

หมอกไม่ตอบผมแล้วยกตัวผมขึ้นลอยหวือแปะลงที่เค้าน์เตอร์ ร่างสูงแทรกเข้าที่หว่างขาของผม เมื่อสายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน หมอกก็ดึงดูดผมเข้าไปใกล้ด้วยดวงตาเรียวคู่นั้น

“จะไปหาไกลทำไม ก็ของที่อยากกินอยู่ตรงหน้าแล้ว”

“...”

ผมพูดไม่ออก เมื่อเสียงทุ้มต่ำกระซิบที่ข้างหูสื่อความนัยว่าผมคือของที่อยากกินของหมอก ใบหน้าหล่อได้รูปขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง และก่อนที่อะไรจะเลยเถิด ผมก็รีบพูดเร็วๆทันที

“วันนี้ให้แค่จูบเข้าใจมั้ย”

หมอกชะงักเพียงนิด ผมได้ยินเสียงขานรับเบาๆก่อนที่หมอกจะแตะสัมผัสลงมาที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง ร่างกายผมถูกดึงเข้าไปแนบกับแผ่นอกแกร่ง ผมหลับตาลงแล้วใช้สองแขนโอบลำคอของคนตรงหน้าเอาไว้

จูบในครั้งนี้มันยิ่งร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม ริมฝีปากร้อนผ่าวดูดดึงกลีบปากของผมจนมันเกิดเสียงน่าเกลียด ก่อนที่ผมจะหมดลมหายใจหมอกก็ผละออกแล้วลากไล้ริมฝีปากประทับจูบไปทั่วใบหน้าของผม ทั้งหน้าผาก...แก้มทั้งสองข้าง...จมูก...ปลายคาง...และสัมผัสนั้นก็ลากเลื้อยไปถึงต้นคอ

ยามที่ผมกำลังหลงมัวเมาอยู่กับรสจูบที่หมอกเป็นคนมอบให้ สัมผัสร้อนชื้นที่ประทับลงที่ต้นคอราวกับเหล็กร้อนก็ขบเม้มเบาๆจนผมสะดุ้ง นาทีนั้นเมื่อรู้ว่าหมอกกำลังทำอะไรผมก็ผลักอกหนาออกอย่างคนไร้เรี่ยวแรง

“นี่...ทำอะไร บอกว่าแค่จูบไง”

ผมจับลำคอตัวเองที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไง แต่เห็นรอยยิ้มของหมอกที่มองมันอย่างภูมิใจแล้วผมยิ่งรู้สึกว่าหน้าตัวเองมันต้องแดงเอามากๆแน่

“ก็แค่จูบไง...คิสมาร์กก็จูบเหมือนกันนะที่รัก : )”


tbc.

ก็บอกแล้วว่าหมอกมันร้ายยยยยย
เซอร์ไพร์สมา เซอร์ไพร์สกลับไม่โกง อิ___อิ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 15 : นายแบบจำเป็น - หน้า 5 --22/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 26-03-2018 18:04:28
หมอกนี่เจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ผิดรูปลักษณ์ภายนอกเลย 5555555
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 26-03-2018 18:40:41
อูยยย หมอกอดหนมหวานนะก๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 26-03-2018 19:35:32
บลูเป็นลูกแกะเลย จะโดนหมอกขย้ำนะลูก
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-03-2018 22:06:05
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 27-03-2018 01:43:45
น้องบลูต้องระวังลูกกกก หมอกนางเจ้าเล่ห์ น้องบลูตามไม่ทันเค้าหรอก ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-03-2018 02:32:41
จูบให้หมดทั้งตัว
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 27-03-2018 04:02:50
สุขสันต์วันเกิดหมอกด้วยนะะะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 27-03-2018 07:26:43
ดีแล้วน้องบลู อย่าเพิ่งไปยอมง่าย ๆ นะคะ
ยิ่งหมอกเจ้าเล่ห์อย่างนี้ ยิ่งต้องระวังเยอะ ๆ ร้ายจริงจริ๊ง  :-[
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 27-03-2018 10:25:05
หมอกนี่เจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวัน :z1: :impress2:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 28-03-2018 01:34:10
หมอกน่ารักเนอะ พอชัดเจนปุ๊บ ลุยปั๊บ
ชอบอะ

ป.ล. มีคำใช้ผิดในตอนที่ 15 นะคะ
แล้วหยิบปูกล้ามโตมามองให้เต็มๆตา ไม่ได้กินปูเนื้อแน่นๆ สดๆจากทะเลแบบนี้มานานแล้ว ผมสูดน้ำลายแล้วแกะกล้ามปูกินทันที พอเนื้อปูเข้าปากเท่านั้นแหละครับ น้ำตาจะไหลกับความหวานของเนื้อปู

ก้ามปู ใช้ ก้าม นะคะ
ถ้า กล้าม มี ล ลิง คือ กล้ามเนื้อ ค่ะ

หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 28-03-2018 08:38:51
น่ารักสุดๆเลย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 28-03-2018 08:54:07
 :hao6: หมอกนี่ตัวร้ายใช่เล่น  o13
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 16 - หน้า 5 --26/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-03-2018 11:45:52
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 17 ความลับไม่มีในโลก -- หน้า 5 --31/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 31-03-2018 22:50:52



บทที่ 17
ความลับไม่มีในโลก





หลังจากเซอร์ไพร์สวันเกิดหมอกแล้วโดนหมอกเซอร์ไพร์สกับด้วยรอยคิสมาร์กแล้ว ความซวยก็มาเยือนทันทีเมื่อเปิดกรุ๊ปไลน์ของชั้นปีแล้วพบว่าอาจารย์สมศรีขอเลื่อนการสอนชดเชยจากวันอาทิตย์มาเป็นวันเสาร์เนื่องจากว่าอาจารย์ต้องไปทำธุระกับครอบครัว แล้วความซวยซ้ำซ้อนก็คือไอ้รอยแดงๆที่คอผมมันยิ่งแดงขึ้นอีกเพราะเผลอเอามือไปเกาอย่างลืมตัว

“แดงขนาดนี้พลาสเตอร์ก็ปิดไม่อยู่แน่ๆ”

ผมมองรอยแดงผ่านกระจกแล้วมองสลับกับพลาสเตอร์แผ่นเล็กที่อยู่ในมือ นึกย้อนกลับไปถึงเมื่อคืนแล้วก็หน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ ผมไม่เคยจูบกับหมอกนานขนาดนี้มาก่อนเลย ครั้งแรกก็แค่ปากแตะกันเท่านั้น แต่พอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้ว...

ไม่พูดดีกว่า ./////.

สุดท้ายผมก็เอาผ้าพันคอที่พับเก็บไว้ในตู้มาใช้แทนพลาสเตอร์เพื่อปกปิดร่องรอยที่ต้นคอ พอเดินเข้ามาในห้องเรียนทุกคนก็ขมวดคิ้วมองผมเป็นตาเดียว ก็อากาศประเทศไทยตอนนี้มันสูงกว่า 35 องศา ทุกคนใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์มากันหมด ต่างจากผมที่ใส่เสื้อแขนยาวแล้วพันผ้าพันคอมาอีกชั้น

“มึงแต่งชุดมาผิดฤดูรึเปล่าครับเพื่อน แต่งชุดมาจนกูนึกว่าข้างนอกหิมะตก”

ว่านมันแซวผมแล้วแสร้งทำเป็นมองดูวิวด้านนอกที่พระอาทิตย์กำลังสาดส่องจนเห็นไอร้อนอยู่จางๆ

“กู...กูรู้สึกเหมือนจะป่วยๆอ่ะมึง หนาวด้วยเลยแต่งมาแบบนี้” ความจริงคือเหงื่อออกเต็มหลังแล้วครับ แต่ต้องโกหกเดี๋ยวมันไม่เชื่อแล้วความจะแตกเอา

“ป่วยเหรอ ไปหาหมอยัง ได้กินยามารึเปล่า”

ว่านมันถามอย่างเป็นห่วงจนผมรู้สึกผิดเลยที่ไปโกหกมันแบบนั้น ผมพยักหน้าไปส่งๆแล้วก็นั่งลงด้านข้างว่านก่อนที่แอลและโต๋จะตามมานั่งด้วยทีหลัง พอว่านบอกพวกมันว่าผมป่วย เครื่องหมายคำถามที่แปะอยู่บนใบหน้าพวกมันเมื่อเห็นชุดที่ผมใส่ก็สลายไปทันที

ผมตั้งใจเรียนวิชาของอาจารย์สมศรีอย่างสุดความสามารถ แต่ดันโชคร้ายที่ห้องที่ใช้สอนในวันนี้แอร์เสียไปหนึ่งตัวแถมยังเสียตรงที่ผมนั่งอีก ไอ้ว่านมันเรียนไปก็สะบัดเสื้อคลายร้อนไป ไอ้แอลก็ฟุบหลับตั้งแต่อาจารย์สอนได้สิบนาทีแรก ส่วนไอ้โต๋ก็แอบเล่นเกมโดยที่เอาหนังสือเรียนบังไว้อีกที ส่วนผมก็นั่งเหงื่อตกอยู่ภายใต้เสื้อแขนยาว เหงื่อไหลลงตามกรอบหน้าได้แต่ปาดเหงื่อลวกๆอยู่อย่างนั้น

“บลู...มึงหนาวมากมั้ย กูยืมผ้าพันคอมึงมาเป็นหมอนหน่อยดิ”

แอลสะกิดแขนผมและกระซิบบอก ผมที่กำลังร้อนๆอยู่เลยถอดผ้าพันคอให้มันไปโดยลืมไปเลยว่าที่ผมใส่ผ้าพันคอมาเพื่ออำพรางอะไร ผมยังคงจดโน้ตลงในชีทตามที่อาจารย์สอนจนเมื่อเวลาหมดลงและทุกคนเริ่มเก็บกระเป๋า แอลถึงคืนผ้าพันคอให้ผม และตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าผมพลาดอะไรไป

“มึงไปโดนหมอกดูดคอมาเหรอ”

ผมชะงักมือที่กำลังเก็บชีทลงกระเป๋าทันที พอแอลพูดอย่างนั้นทั้งว่านและโต๋ก็หันมามองผมเป็นตาเดียว พอจะเอาผ้าพันคอมาปิดรอยตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

“เออ...” ผมอ้ำอึ้งเพราะหาข้อแก้ตัวไม่ทัน ยิ่งเห็นสายตาของว่านที่มองมาแล้วก็ต้องเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“มึงอย่าบอกว่ายุงกัดนะ ไม่งั้นกูจะกระโดดถีบมึงจริงๆด้วย”


ชิบหาย งั้นบอกว่ามดกัดทันมั้ยวะ T_____T


กว่าจะรอดพ้นจากพวกมันทั้งสามคนที่ไล่บี้ถามหาความจริงจากปากผมว่ารอยที่คอนั่นคืออะไร แต่ผมก็ไม่ยอมปริปากบอก จนพวกมันเหนื่อยที่จะถามแล้วมโนกันไปต่างๆนานา ซึ่งที่พวกมันคิดก็ถูกนั้นแหละ แค่ผมไม่ได้พูดยืนยันความคิดของมันเท่านั้น

ผมกลับมาถึงที่ห้องก็เปลี่ยนเป็นใส่เสื้อยืดแขนสั้น เปิดแอร์แล้วก็นอนแผ่บนเตียงด้วยความเหนื่อย วิชาอาจารย์สมศรีนี่ดูดพลังมากจริงๆ พอจะหลับตาลงกะว่าจะงีบสักหน่อย เสียงโทรศัพท์ก็ร้องขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นพี่ปูเป้ที่โทรมาหาผมก็เผลอชมวดคิ้ว พี่ปูเป้โทรมาอย่างนี้คงไม่พ้นเรื่องดาว-เดือนแน่ๆ

“สวัสดีครับ”

[น้องบลูจ๊ะ วันนี้ตอนเย็นว่างรึเปล่า]

“ว่างครับ มีอะไรเหรอครับ”

[ที่องค์กรนักศึกษาเขาเรียกดาว-เดือนที่ได้ตำแหน่งไปประชุมน่ะ สี่โมงเย็นมาที่อาคาร A ได้ใช่มั้ย]

“ได้ครับพี่ปูเป้”

[โอเคจ้า งั้นตอนเย็นเจอกันนะจ๊ะ]

“ครับ”

ผมวางสายลงแล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ด้วย เผื่อนอนเลยเวลาแล้วจะซวยเอา ประชุมอะไรก็ไม่รู้ คงจะใช้งานพวกผมให้ไปถ่ายแบบอะไรอีกนั้นแหละ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ขอนอนก่อนแล้วกัน


.

..

...



ผมมาถึงอาคาร A พร้อมกับเพลิง พวกเราเข้ามาถึงห้องประชุมก็พบว่ามีหลายคนนั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ดาว-เดือนปีนี้ที่นั่งกันอยู่ในห้อง แต่รวมไปถึงดาว-เดือนปีก่อนๆด้วย สงสัยงานนี้มันต้องใหญ่มากแน่ๆ

“ปีหนึ่งครบแล้วเนอะ เดี๋ยวรอพวกเดือนรุ่นคุณลุงก่อนนะ ช้ากันจริงๆ”

พี่เจตน์บ่นเบาๆแล้วหลังจากนั้นไม่นานรุ่นพี่เดือนปีก่อนๆก็ทยอยกันเข้ามา ผมยกมือไหว้ไม่ได้พักเลย นี่มันรวมดาว-เดือนทุกปีเลยรึเปล่าเนี่ย แต่ละคนทั้งสวยทั้งหล่อสมกับตำแหน่งจริงๆครับ

“มากันครบแล้ว เริ่มประชุมเลยแล้วกันนะ เผื่อนังกรมันจะรีบไปเต๊าะสาวที่ไหน” พี่เจตน์พูดพร้อมกับชายตามองพี่กร...เดือนมหา’ลัยเมื่อสองปีก่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม พี่เขาหล่อมากจริงๆครับ ผมยอมรับเลย ใบหน้าคมเข้มฉบับคนไทยแท้ ผิวกร้านแดด แววตาที่มีเสน่ห์เหลือล้นที่เป็นที่กล่าวขานมานาน พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองใกล้แบบนี้แล้วผมยอมรับเลย แถมยังมีรอยยิ้มที่สามารถมัดใจสาวๆได้อยู่หมัดอีกด้วย หันกลับมามองไอ้เพลิงที่เป็นเดือนมหา’ลัยปีนี้นี่เทียบไม่ติดเลยจริงๆ

“ก็พูดไปไอ้เจตน์ กูจะไปอ่านหนังสือต่อโว้ย”

“เอ๊ะ! ชั้นบอกให้เรียกว่าเจสสิก้าไงย่ะ!”

“ไม่ภูมิใจชื่อที่พ่อมึงตั้งให้เหรอ”

“อ่าว ไอ้นี่...”

“พวกมึงหยุดตีกันก่อนเถอะครับ วันนี้จะได้ประชุมมั้ยวะ” พี่ณัฐที่เป็นรองเดือนปีเดียวกับพี่กรห้ามทัพไว้ได้ทัน พี่เจตน์พ่นลมหายใจอย่างแรงก่อนจะสะบัดบ๊อบแล้วเปลี่ยนมาเป็นยิ้มร่าเริงให้กับทุกคนในห้องประชุมแทน

“เข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ คือตอนนี้เจ้ได้รับจดหมายจากทางมหา’ลัยมาว่าอยากให้ทำคลิปรณรงค์เรื่องรักษาสิ่งแวดล้อมตัวใหม่ เพราะตัวเก่ามันทำไว้ตั้งแต่ปีมะโว้ แถมตอนนี้ดาว-เดือนก็มีแต่แซ่บๆนัวๆ เลยอยากได้โฆษณาตัวใหม่ออกมาโปรโมต ทีนี้เจ้ได้ฟังที่เขาบรีฟมาว่าสถานที่ถ่ายทำจะอยู่ที่กรุงเทพและที่หัวหิน ที่กรุงเทพก็จะถ่ายแถวสวนสาธารณะกับในมอเรา ส่วนทะเลก็ถ่ายที่ชายหาดแล้วก็ถ่ายใต้น้ำ...ซึ่งส่วนใต้น้ำนี้ยังไม่คอนเฟิร์มว่าจะได้ไปถ่ายรึเปล่า ที่เรียกมาวันนี้ก็เพราะจะแบ่งกรุ๊ปถ่ายกันนี่แหละจ้า”

พอฟังคำอธิบายยาวเหยียดของพี่เจตน์ ผมก็ปักธงไว้ในใจเลยว่าผมจะขอถ่ายอยู่ที่กรุงเทพ เพราะว่าผมพึ่งไปเที่ยวทะเลกับหมอกมาเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนเอง ขี้เกียจเดินทางอีกต่างหาก แล้วผมก็คิดว่าน่าจะมีหลายคนที่อยากไปถ่ายที่หัวหินด้วย

“เจ้ให้โควตาปีหนึ่งไปที่หัวหินชาย 3 คน หญิง 3 คนนะ ตกลงกันได้แล้วก็บอกเจ้นะ”

พอพี่เจตน์บอกอย่างนั้น พวกเราในชั้นปี 1 ก็หันมาสุมหัวรวมกันทันที ผมนั่งเงียบกริบเมื่อน้ำหวานถามว่ามีใครเสนอตัวเองไปหัวหินมั้ย ฝั่งดาวตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าใครจะไปบ้าง ส่วนเดือนอย่างพวกผมนั่งมองตากันปริบๆ ไม่มีใครเสนอตัวกันสักคน

“มึงไม่อยากไปเหรอวะไอ้บลู” เพลิงถามผม ผมรีบส่ายหน้าทันที

“กูพึ่งไปบางแสนมาเองมึง จะให้กูไปหัวหินอีกเหรอ”

“เออว่ะ กูลืมไปว่ามึงพึ่งไปเที่ยวมา...แต่ถ้าไม่มีใครอยากไปหัวหินจริงๆ กูว่ากูจะไป”

“ก็แล้วแต่มึงดิ”

“มึงจะไม่ไปเป็นเพื่อนกูเหรอ” เพลิงมันทำตาวิ้งค์ๆวับๆใส่ผมเหมือนลูกหมากำลังอ้อนเจ้าของ เห็นแล้วจะอ้วก คิดว่าทำอย่างนั้นแล้วมันน่ารักเหรอวะ



“อะไรวะ! กูไม่ไปหัวหินเว้ย ขี้เกียจนั่งรถ”

“มึงต้องไป กูบังคับมึงไอ้กร!”

“ไม่เอา กูไม่ไป”

“ต้องไป มึงไม่มีสิทธิ์เรียก กูเขียนชื่อมึงไปคนแรกเลย อธิการบดีรู้แล้วด้วยว่ามึงจะไป”


เสียงโหวกเหวกโวยวายจากกลุ่มปีสามที่มีพี่เจตน์ยืนค้ำหัวพร้อมเถียงกับพี่กรอยู่สองคนแต่ดังลั่นทั้งห้องประชุม เห็นพี่กรทำหน้าเซ็งและพี่เจตน์ที่ยิ้มอย่างชั่วร้าย เลยเดาได้ไม่ยากว่าพี่กรคงได้ไปหัวหินแน่ๆ

“ถ้าไม่มีใครไปหัวหิน งั้นเราไปเองก็ได้” เสียงไอติมดังขึ้นทำให้ผมหันกลับมาในวงของตัวเอง พอไอติมเสนอตัวแล้วก็ขาดอีกสองคน เพลิงก็เลยเสนอตัวด้วยอีกคน เหลือโควตาอีกหนึ่งคนและเพลิงมันก็คะยั้นคะยอผมให้ไปเป็นเพื่อนมันในที่สุด

“เออ ไปก็ไป”

พอผมตอบตกลงแล้วส่งรายชื่อดาว-เดือนปีหนึ่งไปให้พี่เจตน์แล้วเราก็แยกกลุ่มที่อยู่กรุงเทพกับที่จะไปหัวหินเพื่อฟังรายละเอียดต่างๆอีกครั้ง

“ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว เจอกันอีกทีวันเดินทางเลยนะคะ อย่าลืมมาตรงเวลาด้วยนะ บ่ายโมงล้อหมุนค่า!”



.

..

...



และแล้ววันเดินทางก็มาถึง ผมแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับหัวยุ่งๆ อาบน้ำเรียบร้อยก็ใส่แว่นแล้วลากกระเป๋าออกมาหาหมอกที่รอไปส่งที่มหา’ลัย ตอนแรกหมอกบอกว่าจะไปส่งถึงที่หัวหินเลยก็ได้ แต่ผมก็ไม่ยอมไปด้วย ผมไปทำงานนะไม่ได้ไปเที่ยวสักหน่อย

“ทำไมใส่แว่นออกมาอย่างนี้ ไม่ห่วงหล่อแล้วเหรอ” หมอกทักเมื่อเห็นผมครั้งแรก ผมส่ายหัวแล้วหาวออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

“ไม่ล่ะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว เดี๋ยวขึ้นรถไปก็หลับต่อแล้วล่ะ”

“กลับวันจันทร์ใช่มั้ย”

“อืม”

วันจันทร์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์พอดี การไปถ่ายงานครั้งนี้เลยกินเวลาไปถึง 3 วัน แทนที่ผมจะได้กลับบ้านเหมือนเพื่อนๆแต่เพราะตำแหน่งเดือนค้ำคออยู่เลยไปไหนไม่ได้สักที...ถึงจะบ่นที่ต้องทำกิจกรรมเยอะกว่าคนอื่น แต่ก็เพราะการประกวดดาว-เดือนนี่แหละที่ทำให้ได้อยู่ข้างหมอกแบบนี้...

ต้องขอบคุณตำแหน่งเดือนคณะวิทยาศาสตร์สินะ


ผมมาถึงหัวหินก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว เราเข้าเช็คอินที่โรงแรมก่อน ผมนอนห้องเดียวกับเพลิง ส่วนไอติมที่เป็นเศษของปีหนึ่ง ไม่รู้ไปทำยังไงถึงได้นอนห้องเดียวกับพี่กรเสียได้

พอเก็บของเสร็จเรียบร้อย พี่ๆก็เรียกให้พวกเราไปรวมตัวกันและเดินดูโลเกชั่นที่จะใช้ถ่ายทำ ซึ่งจะเริ่มถ่ายวันพรุ่งนี้เพราะวันนี้แสงหมดแล้ว นั้นแหละครับกิจกรรมวันนี้ของผมก็เสร็จลงอย่างงงๆ หลายคนก็ออกไปเที่ยวกันแล้ว ส่วนผมนั้นอยากกลับไปนอนโง่ๆที่ห้องพักมากถึงมากที่สุด แม้ไอ้เพลิงมันจะลากผมไปที่สระว่ายน้ำของโรงแรมยังไงผมก็ปฏิเสธท่าเดียว

“โอ๊ะ! มึงดูดิ นั้นใครวะ กูว่ามันคุ้นๆ”

เพลิงกระตุกมือผมไว้ก่อนที่ผมจะเดินขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องพัก พอหันไปมองตามที่เพลิงบอกผมก็หรี่ตามองผ่านกรอบแว่นอีกครั้ง ท่าทางของคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่ล็อบบี้นั้นมันคุ้นมาก แล้วพอเห็นว่าผู้ชายตัวสูงๆอีกคนเดินเข้ามาพร้อมกับคีย์การ์ดห้องพักผมก็ต้องเบิกตากว้าง

หมอกกับควันมาทำอะไรที่นี่!

“คิดถึงแฟนขนาดนั้นเลยเหรอครับเพื่อน” เพลิงยิ้มล้อเลียนหมอกที่เดินลากกระเป๋ามาทางเราพร้อมกับควัน ส่วนผมยังยืนอึ้งอยู่เลย ไม่คิดว่าหมอกจะมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างนี้

“เออ คิดถึง”

“กูล่ะเบื่อพวกมึงสองคนจริง คืนนี้กูคงไม่มีเมทแล้วสินะ ควันมานอนด้วยกันมั้ย” เพลิงหันไปทางควันที่ยืนอยู่ข้างหมอก รายนั้นแค่ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“เปิดคนละห้องน่ะ นอนคนเดียวไปเหอะมึง”

“เออ นอนคนเดียวก็ได้ ไอ้บลูมึงไปขนของมึงไปเลยนะ”

ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร ทั้งเพลิงทั้งหมอกก็ลากผมไปเก็บของในห้องแล้วตอนนี้ผมก็มานั่งจุมปุ๊กที่ห้องของหมอกอย่างงงๆ เรื่องทุกอย่างมันเกิดเร็วมากจนผมตั้งตัวไม่ทันเลยครับ

“ว่างแล้วใช่มั้ย งั้นไปเดินเล่นริมชายหาดกันเถอะ”

หมอกหันมาถามผมหลังจากที่ง่วนกับการรื้อของออกมาจากกระเป๋า เจ้าตัวหยิบกล้องคู่ใจที่ยังไม่เลิกเห่อขึ้นมาคล้องคอแล้วเดินมานั่งข้างผม

“ทำไมไม่บอกก่อนล่ะว่าจะมาที่หัวหินด้วย” ผมมุ่นคิ้ว ไม่ได้ตอบคำถามหมอก คนตรงหน้ายิ้มบางๆก่อนตอบคำถามผม

“ตอนแรกยังลังเลอยู่ว่าจะมาดีมั้ย แต่พอคุยกับควันแล้วมันบอกจะมา ก็เลยขับรถมากันเลย”

“แล้วทำไมควันถึงอยากมาล่ะ” ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“ถ้าอยากรู้ก็ถามมันเอาเองสิ...แต่ตอนนี้ไปเที่ยวกันก่อนป่ะ มาถึงหัวหินทั้งที กล้องก็มี ไปถ่ายรูปกัน” พูดจบก็ดึงมือผมให้ลุกจากเตียงแล้วลากผมออกมาถึงชายหาดซึ่งอยู่หน้าโรงแรมทันที

เดินออกมาแล้วก็เห็นเพื่อนๆและรุ่นพี่หลายคนที่เดินกันขวักไขว่ ยิ่งพวกเขามองมาที่ผมกับหมอกแล้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่เห็นหมอกที่นี่ อีกทั้งมือของหมอกที่กุมมือผมไว้หลวมๆ ครั้นผมจะดึงมือออกมาแต่หมอกก็ยึดมือผมเอาไว้ก่อนจะซุกเข้ากระเป๋าเสื้อตัวเองซะงั้น

“เดินจับมือแค่นี้แล้วอายเหรอ”

หมอกกระซิบถามเสียงเบาเมื่อเราเดินผ่านกลุ่มพี่เจตน์ที่เกือบเป็นลมกลางชายหาดเมื่อได้เห็นหมอกใกล้ๆ

“ไม่ได้อาย แค่...” ผมอ้ำอึ้ง ยิ่งเห็นสายตาเรียวที่มองมาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ผมยิ่งไม่กล้าพูด

“แค่อะไร”

“เขิน”

“ห๊ะ?”

“ก็เขินไง เข้าใจอะไรยากจริง”

ผมดันแผ่นอกหนาที่เข้ามาใกล้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ออกเบาๆ แล้วเดินหนีคนตัวสูงทันที ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าของผมมันแดงขนาดไหน อยู่ใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้วครับ กลัวหัวใจผมจะวายเอาก่อนจะได้ถ่ายงานพรุ่งนี้จริงๆ

หลังจากเดินเล่นที่ริมชายหาดแล้ว ผมกับหมอกก็กลับมานั่งที่ล็อบบี้อีกครั้ง เพราะรอเพลิงที่พึ่งว่ายน้ำเสร็จไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่แล้วพวกเราจะไปเดินเล่นที่เพลินวานกัน หมอกยังคงนั่งเช็ครูปในกล้องที่บังคับขู่เข็ญให้ผมไปเป็นนายแบบให้อีกครั้ง ระหว่างนั้นผมก็สั่นขาเบาๆ ดวงตามองสลับระหว่างลิฟต์ที่ไม่มีวี่แววว่าเพลิงจะออกมากับนาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลาไปด้วย

“เป็นอะไร นั่งสั่นขาอยู่นั่น” หมอกทักขึ้น เพราะเห็นผมนั่งสั่นขาอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว

“เพลิงใกล้มายังอ่ะ ถ้ายังเดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“มันยังไม่มาง่ายๆหรอก ไปเข้าห้องน้ำเถอะ”

พอหมอกโบกมือไล่เท่านั้นแหละ ผมก็รีบวิ่งไปที่ห้องน้ำทันที จัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมา แต่พอจะเดินมาล้างมือที่หน้ากระจกขาผมก็ชะงักแล้วหยุดยืนเงี่ยหูฟังเสียงเบาๆที่ดังมาจากห้องน้ำเล็กๆตรงหน้าผมเงียบๆ


“แล้วมึงมายุ่งอะไรกับกู กูจะทำอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับมึงอยู่แล้ว”

“มึงเป็นของกูเข้าใจมั้ย กูไม่มีทางปล่อยมึงให้ใครแน่ไอติม”



ชื่อที่หลุดออกมาทำให้ผมเบิกตากว้าง รีบตะครุบปากตัวเองไว้ก่อนจะอุทานออกมาแล้วสองคนที่อยู่ในห้องน้ำจะรู้ว่าผมแอบฟังอยู่


“มึงลืมไปแล้วเหรอว่าสถานะของมึงกับกูมันก็แค่เพื่อนกัน มึงไม่ได้เป็นอะไรกับกูเลยควัน หยุดทำตัวเป็นเจ้าของกูสักที!”

“กูไม่หยุด! แล้วถ้าลืมไปว่ากูเป็นผัวมึง งั้นกูจะทบทวนให้มึงเข้าใจอีกสักครั้งดีมั้ย”

“อื้ออออ!! ปล่อยกู! ปล่อยนะควัน!”



ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสติที่แทบไม่เหลืออยู่กับตัว ก่อนออกมาก็หยิบป้ายบอกว่ากำลังทำความสะอาดแขวนเอาไว้หน้าประตูด้วย เผื่อใครเข้าไปในห้องน้ำจะได้ไม่เจอช็อตเด็ดอย่างที่ผมเจอ ไม่รู้ว่าต่อจากนั้นในห้องน้ำแคบๆนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมไม่อยากจินตนาการเลยจริงๆ พอได้รู้ความลับของควันกับไอติมแล้วผมยังช็อคไม่หาย พอเดินกลับมาที่โซฟาตัวเดิมก็พบว่าเพลิงมาถึงแล้ว

“ไปเข้าห้องน้ำนานจังวะมึง กูนึกว่ามึงตกส้วมตายไปแล้ว” เพลิงทักแล้วยืนขึ้นเตรียมพร้อมไปเที่ยว ส่วนหมอกก็เดินมาหาผมที่ยังมีใบหน้ายุ่งเหยิงอยู่

“คิ้วพันกันหมดแล้ว เป็นอะไรหื้ม” พูดไม่พอ ยังเอามือมากดที่หัวคิ้วผมอีก ผมตีแขนหมอกเบาๆเจ้าตัวก็หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี

“แล้วนี่ควันไม่ไปเที่ยวด้วยกันเหรอ” ผมลองถามถึงฝาแฝดของหมอก แต่หมอกกลับส่ายหน้าเบาๆแทนคำตอบ

“คงไม่ไปหรอกมั้ง พอมาถึงที่นี่มันก็หายหัวไปเลย สงสัยคงแอบไปหาเมียที่ซุกไว้แถวนี้แหละมั้ง ปล่อยมันไปเถอะ”

พอหมอกพูดอย่างนั้นผมก็คิดถึงหน้าควันกับไอติมขึ้นมาทันที

เห้ออออ ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคนเถอะ ผมจะถือว่าเมื่อกี้ผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรแล้วกัน




tbc.
พาร์ทนี้เปิดตัวพี่กรมาอีกคนแล้วค่ะ แต่เรื่องนี้มาแค่รับเชิญเฉยๆจ้า
เหมือนตอนนี้จะสปอยเรื่องของควันไปแหลกลาญมาก5555
อดใจรอกันหน่อย เรื่องของควันมาเร็วๆนี้แหละค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 17 ความลับไม่มีในโลก -- หน้า 5 --31/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 31-03-2018 23:47:29
ควันลูกก ต้องใจเย็นๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 17 ความลับไม่มีในโลก -- หน้า 5 --31/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-03-2018 23:55:03
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 17 ความลับไม่มีในโลก -- หน้า 5 --31/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 01-04-2018 08:23:57
ควันเป็นแนวตบจูบหรอลูกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 17 ความลับไม่มีในโลก -- หน้า 5 --31/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 01-04-2018 11:05:53
โธ่  ควัน  อ่อนโยนกับคนรักเหมือนหมอกหน่อยสิจ้ะ
อย่าทำรุนแรง สงสารไอติม  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 17 ความลับไม่มีในโลก -- หน้า 5 --31/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-04-2018 11:14:17
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 17 ความลับไม่มีในโลก -- หน้า 5 --31/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 01-04-2018 12:44:29
จัด กรเพลิงไปเลยจ้าาา
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 17 ความลับไม่มีในโลก -- หน้า 5 --31/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-04-2018 20:12:10
โอะโอ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 17 ความลับไม่มีในโลก -- หน้า 5 --31/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 01-04-2018 22:52:16
เรื่องของไอติมกับควันคงไม่ได้หวานชื่นเหมือนเรื่องน้องบลูล่ะสิ ขอฟินกับหมอกกับบลูดีกว่าาาา
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 18 พ่อบ้านใจกล้า -- หน้า 6 --05/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 05-04-2018 21:00:27

บทที่ 18
พ่อบ้านใจกล้า



ผม หมอก และเพลิงเดินทางมาถึงที่เพลินวานในเวลาต่อมา เรื่องของควันกับไอติมก็หายไปจากสมองทันทีเมื่อได้เจอเมืองย้อนยุคตรงหน้าซึ่งทำให้หวนคิดถึงช่วงเวลาเด็กๆที่เลือนหายไปตามกาลเวลา ผมเผลอจูงมือหมอกนำไปยังร้านที่ขายไอติมหลอด พวกเราสั่งไอติมคนละไม่ต่ำกว่าห้าแท่ง เดินกินไอติมไปแล้วก็ลากทั้งหมอกและเพลิงไปยิงปืน ปาเป้า ปาห่วงอีก เล่นกันเพลินจนไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว รู้แค่ว่าพระอาทิตย์ตกดินเรียบร้อย

“ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กันมั้ย”

ผมเสนอความคิดเห็น ตาวาวระยับเมื่อมองชิงช้าสวรรค์ตรงหน้า นานมากแล้วที่ผมไม่ได้นั่งถ้าได้นั่งกับหมอกและเพลิงสักครั้งก็คงดี

“กูก็อยากนั่งอยู่นะ แต่ว่ากูต้องไปแล้วว่ะ” เพลิงบอกด้วยสีหน้าเสียดาย

“ไปไหนของมึง” หมอกถามแทนความสงสัยในใจผม ส่วนผมก็จ้องรอฟังคำตอบของเพลิงด้วย

“แฟนกูมาหาน่ะ จอดรถรออยู่ด้านหน้าแล้วด้วย”

“แล้วมึงจะเทพวกกูเหรอ” ผมถามกลับ นี่พวกเรายังเที่ยวไม่ครบเลย ไอ้คนอยากมาที่สุดมันกลับจะเทพวกผมอย่างนั้นเหรอ

“ก็ไม่ได้เทมั้ยวะ กูก็มากับพวกมึงอยู่นี่ไง แค่กลับก่อนเท่านั้นเอง ดีซะอีก พวกมึงจะได้มีเวลาสวีทกัน กูไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ ดีจะตายเนอะไอ้หมอก” เพลิงพูดรัวเร็วก่อนจะพยายามหาพรรคพวก แต่หมอกกลับยืนนิ่งเงียบไม่ต่างจากผม ดูแล้วก็คงโกรธเพลิงไม่น้อยจากผมหรอกที่มันเทเราทั้งสองคนอย่างนี้

“จะไปไหนก็ไปเลยมึง ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดให้เมื่อยปากอย่างนี้”

“ฮือออออ ขอบคุณครับคุณหมอกที่เข้าใจ เดี๋ยวกลับกรุงเทพกูจะเลี้ยงเหล้ามึงเลย ไปแล้วน๊า”

พูดจบก็รีบเดินฝ่าฝูงคนออกไปทันที ผมกับหมอกยืนมองจนเพลิงหายไปจากกรอบสายตาก็หันมามองหน้ากันเมื่อไม่รู้จะไปไหนกันต่อดี เพราะคนวางแผนทริปในครั้งนี้เทพวกเราไปแล้วเรียบร้อย

“ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กันเถอะ หลังจากนั้นค่อยคิดต่อว่าจะไปไหนดี”

หมอกว่าก่อนจะจูงมือผมนำไปยังชิงช้าสวรรค์ เมื่อเข้าไปนั่งในกระเช้าและเริ่มลอยขึ้นบนฟ้า หมอกก็หยิบกล้องมาถ่ายวิวด้านล่างไปพลางๆ ส่วนผมก็ใช้ดวงตาเก็บภาพความทรงจำทั้งหมดไว้ในใจ ได้เห็นเมืองจำลองที่ทำให้รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งแล้วทำให้ผมรู้สึกดีจริงๆ

แชะ!

ผมสะดุ้งเพราะเสียงชัตเตอร์ หันกลับมามองหมอกที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอีกครั้ง

“แอบถ่ายอีกแล้วนะ” ผมพูดไปงั้นแหละ ความจริงนั้นผมชินแล้วที่หมอกชอบแอบถ่ายตอนผมเผลออย่างนี้ ไม่รู้ว่าที่ถ่ายไปผมหน้าตาเป็นยังไง ก็หวังว่าถ้าหมอกรักกันจริงคงจะลบรูปขี้เหร่ๆของผมออกไปจากกล้องแล้วกัน

“ดูดีจะตายไป ดูสิ” พูดไม่พอ ยังโชว์ผลงานของตัวเองให้ผมดูอีก

ยอมรับเลยว่าหมอกพัฒนาฝีมือในการถ่ายภาพได้รวดเร็วมากๆ ตั้งแต่ที่หมอกลากผมไปซื้อเลนส์ตัวใหม่มาถ่ายภาพแนวพอร์ตเทรตและเริ่มหัดถ่ายโบเก้ วันๆผมก็เห็นหมอกนั่งแต่งรูปท้องฟ้า ต้นไม้ ใบหญ้าที่ไปถ่ายเล่นแล้วก็อัพลงไอจีเก็บเป็นผลงานตัวเอง ผมนับถือความพยายามของหมอกที่ไม่ยอมหยุดพัฒนาตัวเองจริงๆ

“เดี๋ยวเอาไปดึงแสง แล้วปรับสีอีกนิดหน่อยก็อัพลงไอจีได้ล่ะ จะเอารูปมั้ย เดี๋ยวส่งให้”

“เอาสิ ไม่งั้นคิดค่าเป็นนายแบบให้นะ” ผมแกล้งพูดไปอย่างนั้น หมอกก็หัวเราะร่วน ดวงตาเรียวจ้องมองผมก่อนจะเปล่งประโยคที่มีอานุภาพทำลายล้างผมอีกครั้ง

“คิดเลยสิ จะให้จ่ายเท่าไรก็ว่ามา ให้จ่ายทั้งชีวิตเลยก็ได้”




.

..

...



วันนี้ผมเริ่มถ่ายงานตั้งแต่เช้า พี่ๆก็เตรียมกล้องบ้าง จัดสถานที่กันบ้าง แพลนตอนแรกที่บอกว่าจะมีถ่ายใต้น้ำก็ยกเลิกไปแล้วเพราะสถานที่ไม่พร้อม พวกเราจึงถ่ายกันที่ริมชายหาดเท่านั้น

ผมสูดอากาศสดชื่นยามเช้าที่ไม่ค่อยได้รู้สึกอย่างนี้มากนักในกรุงเทพ มองเพลิงที่กำลังวิ่งมาจากโรงแรมด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบ...เมื่อวานมันคงจะมีความสุขมากกับแฟนมันมากสินะ ทำเอาผมอยากเห็นเลยว่าพี่สายธารนั้นหน้าตาเป็นยังไง ส่วนไอติมที่ผมบังเอิญได้รู้ความลับอะไรบางอย่างเมื่อวาน ตอนนี้ก็กำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าประโคมใบหน้าที่ซีดโทรมของเจ้าตัวให้ดูดีขึ้นอยู่ ตอนแรกที่ผมเห็นไอติมเดินเข้ามาในกองถ่ายผมก็รู้สึกสงสารเจ้าตัวไม่น้อย แววตากลมใสนั้นมันหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางการเดินก็เหมือนคนที่จะล้มเอาเมื่อไรก็ได้ ผมไม่อยากนึกเลยว่าเมื่อวานควันทำอะไรกับคนที่น่ารักขนาดนี้ไปมากแค่ไหนกัน

“น้องบลูมาแต่งหน้าได้แล้วจ๊ะ”

เสียงของพี่ทรายเรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ผมสะดุ้งเบาๆก่อนจะขานรับเธอ เมื่อเดินเข้าไปนั่งข้างไอติมที่ยังคงนั่งหลับตาอยู่ที่เดิม ผมก็หันไปมองพี่ทรายเป็นเชิงถามว่าไอติมเป็นอะไร

“ไอติมรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ พี่เลยให้นั่งพักอยู่ที่นี่แหละ”

“อ๋อ” ผมมองด้วยความเป็นห่วง ไอติมก็ยังนั่งหลับตาอยู่อย่างนั้น และสุดท้ายผมก็ถูกพี่ๆดึงความสนใจจากไอติมเพื่อแต่งหน้าให้ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาขึ้นมาบ้าง

การถ่ายในช่วงเช้าเป็นการถ่ายเฉพาะกลุ่มของปีหนึ่ง พวกผมเลยไม่เกร็งกันมากเพราะก็สนิทกันมาตั้งแต่ช่วงประกวดอยู่แล้ว ผมหยิบขยะที่ใช้เป็นพร็อพขึ้นมาแล้วพูดแต่ประโยคเดิมๆจนกว่าพี่หมูซึ่งเป็นผู้กำกับจะพอใจ ถ่ายกันทั้งแบบโคลสอัพและแบบมุมกว้าง จนพระอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะ พี่หมูถึงได้สั่งพักกอง คิวของพวกผมก็หมดลงเพราะตอนบ่ายจะถ่ายกลุ่มของรุ่นพี่ และตอนเย็นเราถึงจะกลับมารวมกลุ่มกันถ่ายทั้งหมดอีกรอบ

“กูไปนอนก่อนนะ ถ้าใกล้เวลาแล้วโทรหากูหน่อยนะเผื่อกูไม่ตื่น”

เพลิงบอกอย่างนั้นก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ส่วนผมก็ชะลอเท้าเอาไว้ รอจนไอติมเดินมาใกล้ ผมก็ทักคนตัวเล็กที่กำลังจะกลับห้องพักเช่นกัน

“ไอติม”

“หืม?”

“ไม่สบายเหรอ เห็นวันนี้หน้าซีดๆ” ผมชวนคุยขณะที่พวกเรากำลังรอลิฟต์ด้วยกัน

“อืม ปวดเนื้อปวดตัวนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก...ไปชั้นไหน” ไอติมตอบผมก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อเราเข้ามาอยู่ในลิฟต์แล้วและไอติมก็กดที่ชั้นห้าซึ่งเป็นชั้นที่หมอกอยู่พอดี

“ชั้นห้านี่แหละ”

ผมตอบแค่นั้น ไม่ได้พูดในสิ่งที่สงสัยอะไรอีก รอจนลิฟต์จอดที่ชั้นห้า ผมก็เดินนำไอติมออกมา แอบมองไอติมที่เดินไปอีกทางแล้วหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง เคาะประตูสามครั้งประตูห้องก็เปิดออกและไอติมก็เดินเข้าไป ผมเลยเดินตามไปหยุดดูหมายเลขห้อง 506 แล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น

เท่าที่ผมทราบมา พี่ๆทีมงานเปิดห้องพักสำหรับพวกเราไว้อยู่ชั้นหกกันทุกคนเพราะจะได้ดูแลกันได้สะดวก ส่วนผมที่ย้ายมานอนกับหมอกก็แจ้งพี่ดาวเรียบร้อยแล้ว แล้วไอติมที่น่าจะนอนชั้นหกกับพี่กรทำไมถึงเข้าไปในห้อง 506 ได้

พอนึกถึงหน้าใครบางคนที่จะสามารถทำให้ผมกระจ่างได้ผมก็รีบกลับไปที่ห้องของหมอก ไขกุญแจเข้าไปแล้วก็เดินไปกระตุกแขนหมอกที่กำลังนั่งแต่งรูปอยู่ในแมคบุ๊คทันที

“หมอก ถามอะไรหน่อยสิ”

“มีอะไร...นี่กำลังแต่งรูปเมื่อวานอยู่เลย สีสวยมั้ย” หมอกโชว์รูปที่ถ่ายผมอยู่บนชิงช้าสวรรค์ด้วยความภูมิใจ แต่ผมยังไม่มีอารมณ์จะชมภาพในตอนนี้ เพราะความสงสัยที่ติดค้างในใจมันมีมากกว่า

“ควันพักอยู่ห้องไหนเหรอ”

“ถามถึงมันทำไม” หมอกขมวดคิ้ว ปล่อยเม้าส์ทันทีแล้วหันกลับมามองหน้าผมตรงๆ

“ตอบมาก่อนสิ”

“ห้อง 506”

พอได้รู้คำตอบจากหมอกแล้วก็เหมือนผมได้ปลดล็อคในสิ่งที่สงสัย ที่แท้ไอติมก็ย้ายมานอนกับควันอย่างนั้นเหรอ หลังจากที่ได้รู้ความลับของควันและไอติม พอเห็นสภาพของไอติมวันนี้แล้วผมก็อดสงสารไม่ได้

แป๊ะ!

“โอ๊ย!” กำลังสงสารไอติมอยู่ดีๆก็สงสารตัวเองแทบไม่ทัน ผมลูบหน้าผากตัวเองเบาๆแล้วมองตัวการที่ทำให้ผมเจ็บแปล๊บที่หน้าผากอย่างนี้

“ดีดหน้าผากเราทำไมเนี่ย ตอนเย็นต้องไปถ่ายต่อนะ ถ้าเป็นรอยขึ้นมาจะทำไง”

“ไม่เป็นหรอก ดีดเบาๆเองเถอะ...แล้วนี่จะตอบได้ยังว่าถามถึงไอ้ควันทำไม”

“ก็เปล่า ไม่มีอะไรหรอก...ง่วงแล้ว ของีบก่อนดีกว่า” ผมเฉไฉแล้วเปลี่ยนเรื่องไม่ยอมตอบคำถามหมอก เดินไปล้มตัวนอนบนเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งนาฬิกาปลุกด้วยเดี๋ยวไม่ตื่นแล้วจะซวยเอา

“กินข้าวเที่ยงมารึยังถึงได้จะนอนแบบนี้เนี่ย” หมอกตามมานั่งลงด้านข้าง มือใหญ่ลูบผมของผมเบาๆเหมือนกำลังกล่อมเด็กให้หลับ ผมเหลือบตามองใบหน้าหล่อที่อยู่ด้านบนก่อนจะได้รับสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แตะลงที่ริมฝีปากเร็วๆ

“ฉวยโอกาสอีกแล้วนะ”

ผมตีแขนแกร่งเบาๆแก้เขินไปที ตั้งแต่วันเกิดของหมอกที่ผมโดนจูบแบบคอมโบไป หลังจากวันนั้นผมก็โดนเก็บเล็กเก็บน้อยมาตลอดจนการจูบเป็นเรื่องปกติสำหรับเราไปเสียแล้ว แล้วดูหมอกเหมือนจะชอบมากๆด้วยที่แกล้งจูบผมทีเผลออย่างนี้

“ก็มาทำหน้าตาน่ารักทำไม อดใจไม่ไหวน่ะสิ”

“หยุดพูดเลย จะนอนแล้ว”

ผมดึงผ้าห่มมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้เพราะรู้สึกว่าหน้ากำลังร้อนเอามากๆ ตอนนี้หน้าผมคงแดงลามไปถึงใบหูแล้วมั้งครับ ได้ยินเสียงหมอกหัวเราะเบาๆก่อนที่ผมจะได้รับสัมผัสหนักๆบริเวณหน้าผาก...หมอกจูบหน้าผากผมผ่านผ้าห่มผืนหนาก่อนจะผละออกไป

“นอนเถอะ เดี๋ยวถึงเวลาแล้วจะปลุกเอง”

แล้วหมอกก็ลุกออกไปจากเตียง ผมลดผ้าห่มลงมาถึงระดับสายตา เห็นหมอกกลับไปนั่งแต่งรูปที่โต๊ะตามเดิมแล้วผมก็อมยิ้มอยู่เพียงคนเดียว

หมอก...คนที่ผมแอบมองเขามานานหลายปี คนที่มีภาพลักษณ์นิ่งๆเงียบๆในวันที่ผมได้แต่มองจากที่ไกลๆ มาจนถึงตอนนี้ที่ผมเดินเข้ามาอยู่ในโลกของหมอกอย่างเต็มตัวก็ได้รู้ว่าภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบนั้นซ่อนความอบอุ่นเอาไว้มากมายแค่ไหน คนที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงทุกครั้งยามที่เข้ามาใกล้ คนที่ทำให้ผมมีความสุขกับการกระทำเล็กๆน้อยๆที่ใส่ใจผมโดยเสมอ

แล้วอย่างนี้ผมจะไปไหนรอดล่ะครับ...




.

..

...



การถ่ายงานในช่วงเย็นเป็นไปด้วยดี นอกจากดาว-เดือนที่มาถ่ายกันในวันนี้แล้วยังมีแขกไม่ได้รับเชิญอีกสองคนที่เดินไปรอบๆกองถ่าย ซึ่งทำให้พี่เจตน์มีความสุขมากจนหุบยิ้มไม่ได้

ผมมองหมอกที่ถือกล้องคู่ใจแล้วเดินถ่ายวิว ถ่ายทะเลไปตามเรื่องตามราว ส่วนควันที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งข้างๆกองถ่าย...ผมรู้สึกว่าควันในวันนี้ดูขรึมลงไปจนสัมผัสได้ ใบหน้าหล่อสวมแว่นดำปิดไปเกือบครึ่งหน้า ถึงจะไม่เห็นแววตาของควัน แต่ผมก็เดาได้ไม่ยากว่าควันคงกำลังจ้องมองไปที่คนที่กำลังยืนอยู่ข้างผมในตอนนี้...

“วู้วววว ภาพสวยมากเลยจ้า กร...แกขยับเข้ามาใกล้ๆน้องไอติมหน่อยซิ” พี่เจตน์ที่ยืนอยู่หลังกล้องชี้บอกพี่กรให้ขยับเข้าใกล้ไอติมมากยิ่งขึ้น ผมมองดูท่าทางของพี่กรก็ไม่ได้มีอะไรน่าสงสัย ส่วนไอติมก็ยังยืนนิ่งเงียบ ทำตัวลีบอยู่ข้างๆผม

“โอเค ดีมากเลย อยู่กันนิ่งๆนะจ๊ะ”

พี่เจตน์บอกอีกครั้ง แล้วพี่หมูก็ถือกล้องเดินถ่ายพวกเราทีละคน จนในที่สุดก็ถ่ายเสร็จในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าพอดี

“ขอบคุณทุกคนมากๆนะจ๊ะ เดี๋ยวมีข้าวเลี้ยงที่โรงแรม ไปกินกันได้เต็มที่เลย ส่วนใครจะไปเที่ยวที่ไหนก็ไปได้ตามอัธยาศัยเลย แต่แวะมาบอกพี่กันนิดนึงเนอะ...อ้อ! น้องหมอก น้องควันมาทานข้าวกับพวกเราก็ได้นะจ๊ะ” พี่เจตน์หันไปบอกสองฝาแฝดที่กำลังจะเดินออกไป พอพี่เจตน์ชวนก็เพียงแค่ยิ้มให้แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลงว่าจะทานด้วยกันรึเปล่า

ผมและเพลิงเดินกลับโรงแรมด้วยกันก็เห็นว่าหมอกยืนรออยู่ก่อนแล้ว พวกเราไม่ได้ไปร่วมโต๊ะกับเหล่าดาว-เดือนทั้งหลาย แต่เลือกที่จะไปทานข้าวเย็นด้วยกันที่ seenspace แทน

Seenspace เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ติดทะเลที่หมอกอยากจะมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ต้องพาเพลิงไปเที่ยวเพลินวานเสียก่อน วันนี้เลยเป็นคิวของหมอกบ้าง ผมมองหมอกที่ยังไม่หยุดถ่ายรูปตัวอาคารและบรรยากาศโดยรอบ ส่วนเพลินก็เดินไปหาของกินเรียบร้อย หลังจากเพลิงกลับมาพร้อมอาหารทะเล หมอกก็เก็บกล้องลงและเราก็เริ่มทานกัน

“พรุ่งนี้จะกลับกันกี่โมง” หมอกถามขึ้นมากลางวง ก่อนจะยื่นกุ้งที่พึ่งแกะเสร็จมาไว้ในจานผม

“ออกจากที่นี่บ่ายโมงอ่ะ ทำไมเหรอมึง” เพลิงว่าพลางจิบเบียร์ไปด้วย

“พรุ่งนี้กูคงได้กลับด้วย ไอ้ควันมันจะเอารถกลับไปก่อน”

“มาเลยๆ ที่เหลือตั้งเยอะ มึงมาเพื่อนบลูมันจะได้ไม่เหงาด้วย ตอนมานะ หน้ามันเศร้ายิ่งกว่าอะไรที่ได้แยกจะมึง”

“กูทำหน้าเศร้าตรงไหน อย่าใส่ร้ายกู” ผมทำท่าจะโยนกระดองปูใส่เพลิงที่หัวเราะร่วน ยิ่งหมอกหัวเราะผสมโรงด้วย ผมก็หันไปมองคนข้างกายผมแล้วหมอกก็หุบปากฉับทำเหมือนไม่ตัวเองไม่ได้หัวเราะผสมโรงไปกับเพลิงอย่างนั้นแหละ

“งั้นฝากมึงไปบอกพี่ๆเขาหน่อยแล้วกันว่าพรุ่งนี้กูจะขอติดรถไปด้วย”

“โอเค เดี๋ยวพี่เพลิงจัดการให้จ้า”



หลังจากเรานั่งชิวกันอยู่ที่ seenspace ได้ราวๆสองชั่วโมงพวกเราก็กลับมาถึงโรงแรม เพลิงแยกออกไปคุยกับพี่ดาวเรื่องที่พรุ่งนี้หมอกจะขอติดรถกลับด้วย ส่วนผมและหมอกก็เดินมาถึงที่หน้าห้อง 506 เพื่อเอากุญแจรถให้ควันที่จะกลับกรุงเทพก่อนพวกเรา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

หมอกเคาะประตูสามครั้งและรอให้ควันมาเปิดรับกุญแจ แต่เมื่อประตูเปิดออก คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากับไม่ใช่ควันซะอย่างนั้น

“ควันอยู่รึเปล่า” หมอกถามคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง

“อาบน้ำอยู่น่ะ มีอะไรเหรอ” ไอติมบอกและชี้ไปที่ประตูห้องน้ำให้ดู ได้ยินเสียงน้ำไหลดังออกมาเป็นหลักฐาน หมอกก็พยักหน้าเบาๆ

“เอากุญแจรถมาให้มันน่ะ ฝากไว้หน่อยก็แล้วกัน”

“อืม” ไอติมรับกุญแจรถไปแล้วทำท่าจะปิดประตูลง แต่ผมก็รีบทักขึ้นเพื่อนคลายความสงสัยในใจเสียก่อน

“ไอติมก็จะกลับพร้อมควันเหรอ”

“อะ...อืม” ไอติมตอบไม่เต็มเสียง ใบหน้าน่ารักนั้นก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาผม ผมเลยไม่ได้พูดอะไรต่ออีก...ประตูห้องปิดลงแล้ว ผมจึงหันไปทางหมอกที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“พวกเรียนหมอก็งี้แหละ คงจะกลับไปอ่านหนังสือแหละมั้ง เรากลับไปนอนกันเถอะ วันนี้เหนื่อยจะแย่แล้ว”

พอมาถึงห้องผมก็เริ่มเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ ส่วนหมอกก็เปิดแมคบุ๊คแล้วนั่งโหลดรูปที่ถ่ายมาวันนี้ลงแล็ปท็อป ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ระหว่างเราในตอนนี้มีเพียงความเงียบที่อยู่รอบตัว แต่กลับเป็นความเงียบที่ผมรู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วกลับสบายใจ

เก็บของและอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงที่หมอกนอนแผ่อยู่บนเตียงก่อนแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้วที่ได้นอนข้างหมอกอย่างนี้...ก็หมอกน่ะหาเรื่องนอนกับผมบ่อยเสียขนาดนั้น ผม(พยายาม)ทำใจให้ชินได้แล้วล่ะครับ

“วางโทรศัพท์ได้แล้วบลู จ้องแต่จอโทรศัพท์ เดี๋ยวก็สายตาสั้นกว่าเดิมหรอก” หมอกหยิบโทรศัพท์ที่ผมกำลังดูคลิปทำอาหารออกไปแล้วล็อคโทรศัพท์ผมให้เสร็จสรรพก่อนจะวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง

“เรายังดูคลิปไม่จบเลยนะ”

“ไม่ต้องดูแล้ว ดูแล้วเดี๋ยวก็หิว พอกินแล้วก็จะอ้วน”

“อ้วนที่ไหนกัน ไม่อ้วนซะหน่อย”

ผมหน้ามุ่ยแล้วตีแขนคนที่กำลังเอาแขนยาวๆมาพาดตัวผมไว้ หมอกไม่ได้สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังรวบตัวผมไปกอดเอาไว้จนจมอก ครั้นจะดันออกก็ต้องยอมแพ้คนตัวโตกว่าที่ไม่ยอมปล่อยให้ผมหลุดออกจากอ้อมกอดไปง่ายๆ

“หอมจัง ใช้ครีมอาบน้ำของอะไรเหรอ”

ถามเสียงแผ่วแล้วเอาจมูกโด่งๆกดที่แก้มผม วันนี้ผมโดนฉวยโอกาสไปกี่ครั้งแล้ว ยิ่งดวงตาเรียวที่มองลึกเข้ามาราวกับจะสูบวิญญาณผมเอาให้ได้

“ก็ใช้สบู่เหลวขวดเดิมมาตลอด ทำไมมาทักตอนนี้เนี่ย”

“ก็หอม มันหอม จนอยากจะดมอย่างนี้ทั้งคืน”

“เว่อร์ล่ะ...นอนเถอะ พรุ่งนี้เราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นดีมั้ย” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะตอนนี้สายตาของหมอกที่มองมายังผมนั้นมันรุนแรงต่อหัวใจมากเกินไป ดวงตาเรียวที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์นั้นกำลังค่อยๆกลืนกินผมทีละนิดแล้ว

“ตามใจบลู...แต่จะตื่นทันรึเปล่าล่ะ”

“ทำไมจะไม่ทัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราปลุกเอง”

ผมว่าแล้วจะผละตัวออกจากอ้อมกอดของหมอกเพื่อหยิบโทรศัพท์มาตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ แต่เพราะท่อนแขนหนาที่รัดร่างผมไว้ไม่ยอมปล่อยผมให้ผมเป็นอิสระได้ เลยทำให้ผมยังคงนอนประสานสายตากับหมอกอยู่อย่างนี้

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ปลุกเอง บลูน่ะขี้เซากว่าเราอีก ถ้าพรุ่งนี้ไม่ตื่นจะทำโทษ”

“ทำโทษยังไง” ผมขมดคิ้วสงสัย ตื่นไม่ทันไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ผมก็จะโดนทำโทษด้วยเหรอ

“ก็แบบนี้ไง”

ริมฝีปากร้ายกาจค่อยๆประทับลงมาแผ่วเบาจากนั้นก็ขบเม้มริมฝีปากผมช้าๆอย่างอ้อยอิ่ง ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่เพราะคุ้นชินกับสัมผัสนี้แล้วผมก็หลับตาลงช้าๆก่อนที่จะโดนรวบตัวเข้าไปกอดแน่นขึ้น เรียวลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากกวาดต้อนจนผมจนมุม ผมหายใจกระชั้นขึ้นและตอบรับจูบร้ายกาจอย่างไม่ยอมแพ้ ริมฝีปากของเราทั้งคู่ยังคงผสานกัน และแรงจากร่างสูงใหญ่ก็ดันให้ผมนอนหงายก่อนที่เขาจะตามมาคร่อมร่างของผมเอาไว้

ผมถูกมัวเมาด้วยจูบอยู่นานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่เพราะสัมผัสที่ช่วงเอวแล้วลูบไล้ร่างกายผมภายใต้ชุดนอนมันทำให้ผมหยุดชะงัก ผมผละริมฝีปากออกมาและพยายามร้องห้ามปรามหมอกที่เคลื่อนจากใบหน้าไปที่ลำคอของผมแล้ว

“หมอก...พะ...พอ...พอได้แล้ว”
 
หมอกหยุดชะงัก ดวงตาเรียวมองผมที่ยังนอนสั่นอยู่ด้านล่าง ก่อนจะพูดปลอบผมเสียงแผ่ว

“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ไม่เอาแล้ว...ปล่อย นอนเถอะนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไม่ทันไปดูพระอาทิตย์ทำไง”

ผมว่าและมองมือทั้งสองข้างของตัวเองที่ถูกหมอกตรึงไว้กับเตียง แต่ร่างสูงกับไม่ทำตามที่ผมบอก ใบหน้าหล่อโน้มเข้ามาใกล้อีกครั้ง จนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆที่รดอยู่บนแก้มของผม

“ก็ช่างพระอาทิตย์มันเถอะ เดี๋ยวพามาดูใหม่ก็ได้...กลัวอะไรหืม?”


ก็กลัวหมอกนั้นแหละ


อยากตอบไปแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป ผมพยายามมองหาทางหนีทีไล่ในตอนนี้เท่าที่จะทำได้ ทำไมสถานการณ์ในตอนนี้มันล่อแหลมขนาดนี้เนี่ย คืนนี้ผมจะรอดมั้ยครับ T___T

“ตอนนี้เรายังไม่พร้อม...ไม่แกล้งแล้วได้มั้ย ไม่เอาแล้วหมอก นอนเถอะ อื้อ!”

ผมพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม แต่หมอกก็ยังไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ ร่างสูงใหญ่ที่ยังทับร่างของผมไว้ก็ประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้งดูดกลืนเสียงผมให้หายไป ผมไม่ได้ต่อต้านจูบของหมอกที่กำลังมัวเมาผมอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ามือใหญ่ปล่อยผมให้เป็นอิสระแล้ว แต่หมอกก็ยังไม่หยุดพยายามที่จะสอดมือเข้ามาในเสื้อนอนของผมให้ได้ ผมจึงใช้แรงทั้งหมดดันอกแกร่งออกจากร่างกายทันที

“ถ้ายังไม่หยุดเราจะย้ายไปนอนกับเพลิงแล้วจริงๆนะหมอก”

ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมยังตัวสั่นไม่หายจากสัมผัสเมื่อครู่ รีบดึงเสื้อตัวเองที่ร่นขึ้นมาจนถึงหน้าอกให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม เมื่อเห็นว่าหมอกนิ่งไปเหมือนพึ่งได้สติ ผมก็รีบขยับออกห่างจากร่างสูงจนติดเตียงอีกฝั่ง

“โอเคๆ ยอมแล้ว...นอนต่อเถอะนะ” หมอกดึงแขนผมแล้วรั้งร่างผมเข้าไปกอดไว้หลวมๆก่อนจะจูบที่ขมับผมเบาๆ

“ขอโทษนะครับ...ไม่ทำแล้วจริงๆ พรุ่งนี้เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันนะ”

แววตาที่เหมือนเสือร้ายพยายามจะงับเหยื่อให้ได้ในตอนแรกนั้นกลับมาเป็นหมอกคนเดิมของผมแล้ว ผมพยักหน้าช้าๆแล้วพูดเสียงแผ่ว บอกหมอกที่ยังกอดผมไว้แล้วโยกกายช้าๆเหมือนกำลังกล่อมเด็กเล็กอย่างผม

 “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ...เรากลัวจริงๆ”

“ครับ ไม่ทำแล้ว นอนเถอะดึกแล้วนะ”

หมอกดันผมให้นอนลงแล้วก็ห่มผ้าให้อย่างดี ผมมองหมอกที่ยังนั่งยิ้มจางๆอยู่ข้างเตียง มือใหญ่เกลี่ยปลายผมที่ปรกอยู่หน้าผมออกแล้วก็ประทับจูบลงหน้าผากของผมอีกครั้ง

“ขอโทษนะ แล้วก็...ฝันดี”

หมอกยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วลุกไปเข้าห้องน้ำทันที ผมไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ว่าทำไมหมอกถึงต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปแบบนั้น เพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจริงๆ ผมยอมรับว่ากลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะลองศึกษามาบ้างแต่พอถึงเวลาจริงๆผมก็รู้ว่าตัวผมเองยังกลัวและไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ของเราที่จะก้าวไปอีกขั้น ผมมองไปที่ประตูห้องน้ำและพึมพำออกมาเบาๆ ไม่ได้หวังว่าหมอกจะได้ยิน แต่ผมหวังว่าหมอกคงจะเข้าใจ

“รอเราอีกสักนิดนะหมอก...ขอโทษนะ”



tbc.

ให้เวลาบลูกันหน่อยนะหมอกเอ้ยยยยยย
ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ท่องเอาไว้ๆๆ5555
ปล.เราอัพรายละเอียดเรื่องการรวมเล่มนิยายรวมถึงหน้าปกนิยายด้วย
แวะไปดูกันได้ที่เพจนะคะ แปะรูปในเล้ามันยากเหลือเกิน T__T





หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 18 พ่อบ้านใจกล้า -- หน้า 6 --05/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 05-04-2018 21:27:14
รอบลูหน่อยเนาะหมอกเนาะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 18 พ่อบ้านใจกล้า -- หน้า 6 --05/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 05-04-2018 23:30:47
งู้ยยยยย หมอกได้กำไรเต็มๆ แต่อยากได้มากกว่านี้ต้องรอน้องบลูพร้อมน้าาาาา
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 18 พ่อบ้านใจกล้า -- หน้า 6 --05/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-04-2018 00:01:03
 :o8: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 18 พ่อบ้านใจกล้า -- หน้า 6 --05/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 06-04-2018 18:41:48
 :-[ :-[รออีกนิดนะหมอก555
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 18 พ่อบ้านใจกล้า -- หน้า 6 --05/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 07-04-2018 20:58:05
เพิ่งได้มาอ่าน และอ่านรวดเดียวเลยค่ะ
ชอบหมอกจัง เป็นพระเอกที่เรียลดี

แต่แบบคุณพ่อบ้านยังไม่โปรนะคะ
น้องควันก้าวนำไปกี่ก้าวแล้วนั่นนนน

ปล. อยากรู้จักพี่สายธารจังค่ะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 19 ม่านหมอกกลางใจ -- หน้า 6 --09/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 09-04-2018 19:12:51
บทที่ 19
ม่านหมอกกลางใจ




F o g g y ‘ s  T a l k




ผมเดินออกจากโรงแรมมายังริมชายหาดพร้อมกับบลูที่ยังไม่ตื่นเต็มตา ตอนนี้ท้องฟ้ายังคงมืดแต่ก็พอเห็นทางรำไร ผมดึงมือบลูให้นั่งลงที่ริมหาดข้างกัน หัวทุยๆก็ซบไหล่ผมแล้วหลับตาลง

“ง่วงจัง”

“แล้วใครบอกอยากมาดูพระอาทิตย์ขึ้นล่ะหืม?”

“ไม่รู้สิ...แต่ตอนนี้ง่วงมากเลย”

ผมยิ้มให้กับคำตอบของคนขี้เซา เกลี่ยปอยผมที่ปรกใบหน้าของบลูออกแล้วทัดที่ใบหู ลมทะเลยามเช้ามืดพัดผ่านหน้าให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย ผมมองท้องทะเลสีดำตรงหน้าแล้วก็ปล่อยใจให้คิดถึงเรื่องราวที่อยู่ในหัวตลอดทั้งคืนอีกครั้ง

ความจริงแล้วผมยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ ผมนอนลืมตาอยู่ในความมืดอย่างนั้นทั้งคืน ความทรงจำในวันแรกที่ได้เจอกับบลูค่อยๆไหลย้อนกลับเข้ามาให้ผมได้พิจารณาอีกครั้งว่าผมรักบลูไม่มากพอเหรอ...ผมแสดงออกน้อยไปหรือยังไง...


ทำไมบลูถึงไม่เชื่อใจผม


นั้นคือสิ่งที่ติดค้างในใจมาตลอดทั้งคืน จนถึงตีห้านาฬิกาปลุกก็ร้องดังขึ้น ผมสะดุ้งเบาๆแล้วปิดเสียงโทรศัพท์ ปลุกคนที่นอนขดในผ้าห่มให้มาดูพระอาทิตย์ขึ้นตามที่ขอ และสุดท้ายบลูก็มานั่งซบไหล่ผมแล้วหลับทั้งอย่างนั้น

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคุยกับใครเหมือนไอ้ควันที่แทบจะได้ผู้หญิงทั้งโรงเรียนเป็นแฟน ยอมรับว่ามีคนเข้ามาทัก เข้ามาคุยเรื่อยๆ แต่เพราะผมไม่ได้สนใจในเรื่องอย่างนี้สักเท่าไร สุดท้ายพวกผู้หญิงที่ทักมาก็ห่างออกไปเอง...ดังนั้นชีวิตของผมในช่วงมัธยมนั้นจึงมีแต่หนังสือ บาสเกตบอล และโรงเรียนกวดวิชาเท่านั้น

และเมื่อผมรู้สึกอยากจริงจังกับใครสักคนขึ้นมา และใครคนนั้นก็คือคนที่ผมประทับใจตั้งแต่ม.5 นั้นจึงทำให้ผมไม่ลังเลที่จะเข้าหา เข้าไปจีบก่อนโดยที่บลูก็ตั้งตัวไม่ทัน ผมคิดว่าบลูก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมเช่นกัน ความสัมพันธ์ของเราค่อยๆพัฒนาขึ้นและในที่สุดเราก็เลื่อนสถานะเป็นแฟนกันในเวลาต่อมา

บลูคือแฟนคนแรกของผม...ผมไม่รู้เลยว่าควรจะต้องทำยังไง ผมจึงพยายามเทคแคร์ เอาใจใส่...ผมให้ใจเขาไปเต็มร้อย ให้ใจเขามากที่สุดเพื่อให้บลูมั่นใจว่าผมรักเขาจริง แต่ผมกลับไม่รู้ว่าเลยว่าบลูให้ใจผมมากเท่าที่ผมให้เขารึเปล่า...

เราคบกันอย่างนี้มานานแล้ว มีบ้างที่ผมรู้สึกขุ่นข้องใจ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรและปล่อยผ่าน

จนถึงเมื่อคืนที่มันชัดเจนแล้วว่า...บางทีบลูอาจจะไม่ได้รักผมมากขนาดนั้น...








ผมกลับมาถึงที่กรุงเทพฯในช่วงเย็น ติดรถไอ้เพลิงให้มาส่งที่คอนโดก่อนที่มันจะกลับไปพร้อมกับบลูเนื่องจากว่าอยู่คอนโดเดียวกัน พอขึ้นมาถึงห้องก็อดแปลกใจไม่ได้ที่วันนี้เห็นไอ้ควันที่ห้อง ช่วงหลังๆมานี้ผมไม่ค่อยเห็นหน้ามันเลยครับ จนวันก่อนที่มันเดินดุ่มๆเข้ามาถามว่า ‘กูจะไปหัวหิน มึงจะไปด้วยมั้ย’ นั้นแหละครับ ผมพึ่งเห็นหน้าฝาแฝดตัวเองในรอบหนึ่งอาทิตย์ แล้วพอตอบตกลงจะไปด้วย มันก็ชิ่งหนีกลับก่อนอีก ผมเลยต้องติดรถของมหา’ลัยกลับมาอย่างนี้ไง

“วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ อะไรดลใจให้มึงอยู่ห้องวะ”

ผมถามแล้วเดินเอากระเป๋าไปเก็บด้วยก่อนจะมานั่งข้างมันที่โซฟาหน้าทีวี ใบหน้าที่เหมือนผมแทบทุกส่วนยังคงจ้องอยู่หน้าทีวีเช่นเดิมก่อนจะเปล่งเสียงขึ้น

“กูโดนไล่กลับห้องล่ะ ไปอยู่ห้องเขานานเกิน”

“สรุปว่าคนนี้จริงจังใช่มั้ยวะ...เป็นแฟนกันยังล่ะ”

ผมลองถาม ถึงช่วงนี้เราจะไม่ค่อยเจอกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้เรื่องของควันเลย ก็พอรู้มาบ้างว่าช่วงนี้มันกำลังติดเพื่อนสนิทคนนั้นของมัน ยิ่งพอได้เห็นอาการนิ่งๆขรึมๆของมันเมื่อวานตอนที่จ้องไอติมผมก็รู้แล้วว่ากับคนนี้มันคงจริงจังมาก ไม่งั้นมันคงไม่ตามไปเฝ้าถึงที่หัวหินจนต้องลากผมไปด้วยหรอก

“ยังหรอก จะได้เป็นมั้ยก็ไม่รู้...ว่าแต่มึงเถอะ เป็นไงบ้างแฟนคนแรกน่ะ”

ควันหันมาถามบ้าง พอได้ยินคำถามของควันก็ทำผมชะงัก เพราะเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในใจทำให้ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของมันยังไงดี

“ทะเลาะกันเหรอ”

ควันถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมเงียบ ผมหันมองหน้ามันแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆแทนคำตอบ

“เปล่าหรอก เราไม่ได้ทะเลาะกัน...แต่กูแค่รู้สึกสับสนว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของกูกับบลูมันคืออะไรกันแน่ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่กูคิดว่าเรารักกันจริงๆรึเปล่า”

“ทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้น กูก็เห็นว่ามึงกับบลูรักกันดีนี่”

“ใครๆก็คิดก็เหมือนมึงสินะ...ตอนแรกกูก็คิดอย่างนั้น แต่บางครั้งกูก็รู้สึกเหมือนกับว่าบลูยังไม่เปิดใจรับกูขนาดนั้น มันเหมือนมีกำแพงบางๆที่คั่นกูไว้ไม่ให้เข้าไปในใจบลูได้จริงๆ...มึงน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่ากู...มึงว่ากูควรทำไงดีวะ”

ผมขอความเห็นจากควัน เพราะผมรู้ว่ามันโชกโชนเรื่องอย่างนี้มากกว่าผมเสียอีก บางทีถ้าขอคำปรึกษาจากมันผมคงจะหาทางออกจากเรื่องนี้ได้ เผื่อว่าความขุ่นข้องในใจของผมจะได้จางหายไปเสียที

“แล้วทำไมพวกมึงไม่เปิดใจคุยกันล่ะ มึงจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจคนเดียวไปทำไม ถึงตอนนี้มึงจะปล่อยมันผ่านไป แต่ถ้าถึงจุดหนึ่งที่มึงรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้วเลิกกันไป กูว่าถึงตอนนั้นคนที่จะเสียใจมันไม่ได้มีแค่มึงคนเดียว...”

“...”


“มึงลองคิดดูว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามึงติดเขามากเกินไปรึเปล่า มึงใช้เวลากับบลูมากเกินไปจนบลูไม่ได้ให้ความสำคัญกับมึงเท่าที่ควรรึเปล่า...มึงลองถอยออกมาสักก้าวดูสิ ถ้าเขาใส่ใจมึง เขาจะรู้ว่ามึงเปลี่ยนไป และตอนนั้นพวกมึงก็เปิดใจคุยกันดีๆ มีอะไรก็ทำความเข้าใจกันซะ มึงไม่ชอบอะไรก็บอก ไม่ใช่เก็บไว้ในใจคนเดียวอย่างนี้”

“...”

“กูไม่รู้หรอกนะว่าพวกมึงคบกันยังไง...แน่นอนว่านิสัยแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอก แต่ในเมื่อพวกมึงรักกัน คบกันแล้วอยากให้ความสัมพันธ์มันยั่งยืน มันก็ต้องยอมกันบ้าง อย่าเอาแต่ตัวเองมากเกินไป คิดถึงใจอีกคนด้วย...กูพูดรวมๆนะ มึงก็คิดเอาแล้วกันว่าจะทำยังไงต่อไป ถ้ามีอะไรให้กูช่วยก็บอกแล้วกัน”








.

..

...




ตั้งแต่กลับมาจากหัวหินคราวนั้น ผมก็รู้สึกว่าระหว่างผมกับหมอกมันมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเพราะผมคิดมากไปเองรึเปล่า...อาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้เจอหมอกน้อยลงอย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะใกล้ถึงเวลาแข่งกีฬาระหว่างคณะทำให้หมอกต้องซ้อมบาสเกตบอลทุกเย็น ทำให้เวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันก็น้อยลงตามไปด้วย แต่นั้นมันไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ผมคิดไม่ตกจนถึงตอนนี้

สิ่งที่ทำให้ผมเครียดก็คือแววตาของหมอกที่เปลี่ยนไปมากกว่า ผมสัมผัสได้ว่าเวลาที่ผมมองดวงตาเรียวคู่นั้น มันเต็มไปด้วยความอึดอัดที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร ความเงียบและความอึมครึมระหว่างเราที่มันค่อยๆก่อตัวขึ้นมันทำให้ผมเริ่มอยู่ไม่สุข อยากจะถามว่าหมอกเป็นอะไรแต่ผมก็ไม่มีความกล้าพอสักที

“มึงเป็นอะไรวะบลู กูเห็นมึงถอนหายใจทิ้งหลายรอบแล้วนะ”

ว่านที่นั่งกินขนมไปพลางอ่านการ์ตูนในมือไปเงยหน้าขึ้นมาถามผม ตอนนี้ผมมานั่งอยู่ในห้องของว่านเพราะอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกฟุ้งซ่าน แต่สุดท้ายพอมานั่งเล่นที่ห้องว่านผมก็ยังไม่สามารถเลิกคิดเรื่องของหมอกได้เลย

“กูมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยอ่ะ มึงอย่าสนใจกูเลย”

ว่าแล้วผมก็ซุกหน้าลงกับหมอนที่กอดเอาไว้ นอนกอดหมอนด้วยหัวตื้อๆเพราะยังคิดไม่ตกเรื่องของหมอก จนได้ยินเสียงว่านปิดหนังสือการ์ตูนแล้วมืออุ่นๆก็ลูบเส้นผมของผมเบาๆ

“เล่าให้กูฟังสิ เผื่อกูพอจะแนะนำอะไรมึงได้บ้าง อย่างน้อยถ้ากูช่วยอะไรมึงไม่ได้ มึงก็ยังได้ระบายความอึดอัดในใจของมึงนะ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองว่านที่ยังคงมองผมด้วยความเป็นห่วง มันทำให้ผมที่กำลังรู้สึกอ่อนไหวในเวลานี้รู้สึกร้อนที่ขอบตาจนอยากจะร้องไห้ ผมไม่เคยเครียดขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกว่าการรักใครสักคนมันยากขนาดนี้มาก่อน

“กู...กูไม่รู้ว่าหมอกเป็นอะไร หลังกลับมาจากหัวหินกูสัมผัสได้ว่าหมอกเปลี่ยนไป หมอกเงียบลงจนผิดสังเกต แชทก็ไม่ค่อยจะตอบ ช่วงนี้ก็ซ้อมบาสทุกเย็นเราเลยไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนเดิม แต่กูก็ไม่กล้าถามว่าหมอกเป็นอะไร”

“แล้วทำไมมึงไม่ถามล่ะ เก็บไว้ในใจคนเดียวแล้วมึงมานั่งร้องไห้กับกูนี่น่ะเหรอ”

ว่านถามผมกลับ พอนึกถึงหน้าของหมอกที่มักจะมีรอยยิ้มจางๆอยู่ตลอด แต่ในตอนนี้กลับเรียบเฉยนั้นก็ทำให้ผมไม่กล้าเอ่ยปากถามแล้ว

“ก็...กูไม่กล้าถามอ่ะ” ผมเอ่ยเสียงอ่อย แล้วก้มหน้าลงมองดูมือตัวเองที่บีบกันจนขาวซีดอย่างเครียดๆ

“ถ้ามึงยังไม่อยากถาม มึงก็ลองคิดดูก่อนสิว่าอะไรทำให้หมอกของมึงเปลี่ยนไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าไอ้หมอกมันมีชู้ มันก็เหลือเหตุผลเดียวก็คือตัวมึงเอง...มึงลองนึกดูว่าที่ผ่านมามึงทำอะไรไปบ้าง มึงเต็มที่กับความรักครั้งนี้ของมึงรึเปล่า กูแนะนำอะไรมึงมากไม่ได้หรอกบลูเพราะกูไม่ใช่มึง”

“...”

“แต่ถ้าไอ้หมอกมันมีชู้แล้วมันเทมึง มาบอกกู เดี๋ยวกูช่วยมึงจัดการเอง”




หลังจากได้คำแนะนำจากว่าน ผมก็กลับมานั่งคิดนอนคิดอีกครั้งว่าผมพลาดอะไร...เพราะผมรู้ว่าหมอกไม่ใช่คนที่จะไปมีชู้อย่างที่ว่านพูด ผมจึงกลับมานั่งมองตัวเองอีกครั้ง พิจารณาว่าผมผิดพลาดตรงไหน ผมทำอะไรผิดไปถึงทำให้เรื่องทุกอย่างมาถึงจุดนี้

นั่งคิดอย่างนั้นจนค่ำผมก็ยังคิดไม่ออก จึงตัดสินใจเดินออกจากห้องแล้วไปที่คอนโดของหมอกเสียเลย เป็นไงเป็นกัน ผมไม่อยากให้เราเป็นอย่างนี้อีกแล้ว ผมไม่ชอบความอึดอัดที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่อยากให้ระหว่างเราห่างกันไปมากกว่านี้อีกแล้ว...



มาถึงที่คอนโดของหมอกผมก็ยืนนิ่งที่หน้าห้องสักพัก สูดลมหายใจเข้าแล้วก็เคาะประตูห้องสามที ยืนรออยู่อึดใจประตูก็เปิดออกมา แต่คนตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่อยู่ในหัวของผมมาตลอดทั้งวัน

“มาหาหมอกเหรอ”

“อืม...หมอกอยู่ห้องรึเปล่าควัน”

“มันไปซ้อมบาสยังไม่กลับมาเลย...เข้ามาก่อนสิ”

ควันเปิดประตูให้ผม แต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ตอนนี้ผมไม่อยากรอแล้ว ผมเลยยิ้มให้ควันก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวเราไปหาหมอกที่มอเลยดีกว่า”

ผมว่าก่อนจะรีบเรียกแทกซี่ให้ไปส่งที่มหา’ลัย เมื่อแทกซี่จอดลงที่หน้าโรงยิมแล้วผมก็เดินไปหน้าประตูทางเข้า แอบส่องเข้าไปก็เห็นว่านักกีฬาหลายคนยังคงเล่นบาสอยู่แม้ว่าตอนนี้จะดึกมากแล้ว

ผมมองหาหมอกไม่นานก็เห็นร่างสูงที่วิ่งเลี้ยงลูกบาสอยู่กลางสนาม ยืนมองอยู่อย่างนั้นเพราะไม่กล้าเดินเข้าไปในสนามจนกระทั่งมีแรงสะกิดจากด้านหลังจึงทำให้ผมสะดุ้งแล้วหันไปมองอย่างตกใจ

“อ่าว เพลิงเองเหรอ”

ผมมองเพลิงที่อยู่ในชุดกีฬาเช่นเดียวกับทุกคนในโรงยิม ใบหน้าหล่อนั้นมีรอยยิ้มกว้างก่อนจะถามผม

“มาหาหมอกเหรอ...ทำไมไม่เข้าไปอ่ะ”

“ไม่เป็นไร รออยู่ตรงนี้ดีกว่า...แล้วอีกนานมั้ยกว่าจะเลิกซ้อม”

“ไม่นานหรอก นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว เดี๋ยวก็เลิกแล้วเนี่ย เข้าไปนั่งรอด้านในดีกว่า ยืนอยู่มืดๆอย่างนี้ยุงกัดขาลายหมด” เพลิงว่าแล้วก็จับแขนผมลากให้เข้าไปในโรงยิมด้วยกัน และในตอนนั้นเสียงนกหวีดก็เป่าหมดเวลาพอดี นักกีฬาในสนามจึงเดินออกมา และหมอกก็เห็นแล้วว่าผมกำลังเดินเข้ามาในโรงยิมพร้อมกับเพลิง

“วันนี้มีคนมาให้กำลังใจเหรอครับเพื่อนหมอก”

เสียงเพื่อนๆคนอื่นแซวหมอก แต่ใบหน้าหล่อนั้นกลับเพียงแค่ยิ้มบางๆและไม่ได้พูดอะไร ผมมองหมอกที่ยกน้ำขึ้นกระดกจนหมดขวดแล้วก็เข้าไปฟังโค้ชพูดเกี่ยวกับการซ้อมที่ผ่านมา ผมจึงนั่งรอเงียบๆอยู่ประมาณสิบนาทีโค้ชจึงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ ผมรอจนหมอกเก็บของหมดแล้วก็เดินเข้าไปหาคนที่ยังคงเงียบอยู่

“หมอก...”

“กลับกันเถอะ”

หมอกพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินนำผมออกจากโรงยิม ผมเดินตามหมอกไปจนถึงที่ลานจอดรถเงียบๆ ความอึดอัดมันค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัวจนผมเริ่มหายใจไม่ออก ผมมองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยที่เคลื่อนรถออกจากโรงยิม ในความมืดผมมองไม่เห็นหรอกว่าสีหน้าของหมอกในตอนนี้มันเป็นยังไง และผมก็คิดว่าผมเริ่มจะทนไม่ไหวกับความอึดอัดเหล่านี้แล้ว

“มาหาถึงโรงยิมมีอะไรเหรอ”

หมอกถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมเผลอกัดปากตัวเองแล้วเลียรอบริมฝีปากอย่างเครียดๆ ก่อนจะหันมาหมอกอีกครั้ง

“หมอก...เออ...หิวรึยัง กินอะไรก่อนดีมั้ย ซ้อมมาเหนื่อยๆไม่ใช่เหรอ”

สุดท้ายผมก็ยังไม่กล้าที่จะถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไป เลยได้แต่ถามอะไรโง่ๆออกไปแบบนั้น

“อืม ก็หิวอยู่ ว่าจะกลับไปต้มมาม่ากินที่ห้องแล้วก็จะเข้านอนเลย”

“งั้นไปกินที่ห้องเราดีมั้ย...เราต้มมาม่าอร่อยนะ”

ผมรีบถือโอกาสนี้แล้วชวนหมอกทันที ไม่รู้ว่าคำตอบของหมอกจะเป็นยังไงเพราะหมอกยังคงเงียบ นั่งตัวเกร็งอยู่อย่างนั้นจนมาถึงที่คอนโดของผม แล้วผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อหมอกเลี้ยวเข้าที่ลานจอดรถและดับเครื่องยนต์ลง

“คืนนี้ฝากท้องด้วยแล้วกันนะ”


.
.
.


ผมต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจนเสร็จก็ตักเส้นบะหมี่ลงถ้วย เทน้ำซุปลงแล้วตามด้วยไข่ต้มยางมะตูม แล้วยกถ้วยมาวางบนโต๊ะที่หมอกนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว

“มาม่าต้มยำกุ้งได้แล้ว ในตู้เย็นมีแค่ไข่อ่ะ พอกินได้เนอะ”

“อืม กินได้อยู่แล้ว”

ผมนั่งมองหมอกที่หยิบตะเกียบแล้วคีบเส้นบะหมี่เข้าปากแล้วตามด้วยน้ำซุปร้อนๆ ผ่านไปไม่ถึงสองนาทีถ้วยบะหมี่ก็เหลือเพียงถ้วยเปล่าเท่านั้น

“อิ่มมั้ย มีแอปเปิ้ลอยู่ในตู้เย็นด้วยนะเผื่ออยากกิน” ผมถามคนที่นั่งลูบท้องอยู่ตรงข้ามกัน แล้วเดินไปเปิดเอากล่องแอปเปิ้ลที่ปอกไว้มาวางบนโต๊ะ หมอกหยิบกินเพียงสามชิ้นก็ปิดกล่องแอปเปิ้ลคืนให้ผม

“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะ เดี๋ยวก็คงกลับแล้วล่ะ ดึกแล้วเราไม่อยากรบกวนบลูไปมากกว่านี้”

ผมมองหมอกที่ลุกจากเก้าอี้แล้วเตรียมจะเก็บของกลับ ผมเลยเผลอลุกตามแล้วยืนมองแผ่นหลังกว้างที่อยู่ตรงหน้าแต่มันดูเหมือนจะห่างไกลผมออกไปทุกที ผมจึงขยับเข้าไปใกล้หมอกก่อนจะดึงปลายเสื้อบาสตรงหน้าเบาๆ

“ไม่กลับไม่ได้เหรอ...”

“...”

“คืนนี้ค้างที่นี่ได้มั้ย”





.

..

...




ผมเดินไปหาคนที่นั่งอยู่ที่หน้าทีวีหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ไม่เหมือนทุกครั้งที่หมอกจะกระโดดขึ้นบนเตียงของผมแล้วทำตัวเหมือนเจ้าของเตียงเสียเอง คุณบราวน์ที่หมอกมักจะหยิบไปกอดก็ยังนอนแอ้งแม้งอยู่ที่เตียงของผมเช่นเดิม

“ทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องล่ะหมอก”

ผมถามคนที่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ เมื่อหมอกได้ยินคำถามของผมก็ชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหาผมที่ยืนมองอยู่

“ไม่ดีกว่า นอนตรงนี้แหละเราไม่อยากให้บลูอึดอัดใจ”

“อึดอัดอะไรเหรอหมอก คนที่ควรจะอึดอัดควรเป็นเรามากกว่ามั้ย”

คำว่าอึดอัดใจของหมอกราวกับสลักปลดล็อคความรู้สึกในใจของผมทั้งหมด จากที่กลัวและไม่กล้าที่จะถามหมอกในคราแรก ผมก็โพล่งขึ้นกลางความเงียบทันที ผมมองดวงตาเรียวที่เคยมีแต่ความอบอุ่น แต่ตอนนี้มันกลับเรียบนิ่งและเย็นชาจนผมเริ่มหนาวสั่น ผมจึงพูดขึ้นอีกครั้ง

“หมอก...อย่าเงียบได้มั้ย เราทำอะไรผิดหรือทำให้หมอกไม่พอใจงั้นเหรอ มีอะไรก็พูดกันตรงๆได้มั้ย”

“...”

“เราอึดอัดจะตายอยู่แล้วนะหมอก คุยกันดีๆเถอะนะได้โปรด”

ผมถามออกไปแล้วสิ่งที่ผมเก็บไว้ในใจมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมองคนที่ลุกขึ้นเต็มความสูงตรงหน้า รอคอยว่าหมอกจะพูดอย่างไร แต่แล้วร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปกอดจนแน่น ผมที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับสัมผัสนี้ได้แต่ยืนอึ้งในอ้อมกอดของหมอกอยู่อย่างนั้น

“อยากรู้ใช่มั้ยว่าทำถึงเป็นอย่างนี้”

เสียงทุ้มถามคืน ผมรีบพยักหน้าแล้วกอดเอวหมอกไว้จนแน่น รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ จนผมต้องซุกหน้ากับไหล่ของหมอกเอาไว้เพราะไม่อยากร้องไห้ตอนนี้

“งั้นเราขอถามอะไรบลูสักอย่างได้มั้ย”

“ถามอะไรเหรอ”

“บลูรักเราบ้างรึเปล่า”

คำถามของหมอกเหมือนค้อนปอนด์หนักๆทุบหัวของผมจนตาพร่าเบลอไปหมด ผมผละตัวออกมาจากอ้อมกอดแล้วมองใบหน้าหล่อตรงหน้าให้ชัดๆแม้ว่าตอนนี้จะมีม่านน้ำตาจนแทบมองอะไรไม่เห็นแล้ว

“หมอก...ทำไมถึงพูดอย่างนั้น...ทำไมเราจะไม่รัก...”

“ถามใจตัวเองดูดีๆก่อนจะตอบเถอะบลู เรารอได้”

หมอกพูดสวนกลับมาก่อนที่ผมจะพูดจบ ผมมองหมอกอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมหมอกถึงคิดอย่างนั้น ถึงจะให้เวลาผมคิดนานแค่ไหน คำตอบในใจของผมก็ยังคงตอบคำเดิมว่าผมรักหมอก ทำไมหมอกถึงคิดแบบนั้นหรือว่าผมแสดงออกไม่มากพองั้นเหรอ...

“ไม่ว่าจะให้เวลาคิดนานแค่ไหน...คำตอบของเรามันก็ชัดเจนเสมอว่าความรู้สึกที่มีต่อหมอกมันคือความรัก”

“ถ้ารักกันทำไมไม่เชื่อใจกันล่ะบลู”

“...”

“หลายครั้งที่เรารู้สึกว่ามีเพียงแค่เราที่พยายามเข้าหาบลู หลายครั้งที่เรารู้สึกว่ามีเพียงแค่เรารึเปล่าที่ทุ่มเต็มร้อยให้กับความรักครั้งนี้...จนบางทีเราก็คิดว่าบลูอาจจะไม่ได้รักเรามากขนาดนั้น ถ้าลองห่างออกมาสักนิดเผื่อจะได้รู้ว่าที่จริงแล้วความรู้สึกของบลูจริงๆแล้วมันคืออะไร”

คำพูดของหมอกทำให้ผมได้แต่เงียบ เพราะยังอึ้งกับสิ่งที่หมอกบอก พอได้รู้ว่าหมอกคิดอะไร เรื่องราวต่างๆระหว่างผมและหมอกก็ค่อยๆไหลเข้ามาให้ผมได้นึกย้อนกลับไปอีกครั้งว่าสิ่งที่หมอกพูดมันจริงหรือไม่ แม้จะไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่เคยทำลงไปนั้นทำให้หมอกเก็บมาคิดจนทำให้ความสัมพันธ์ของเรามาถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะให้หมอกเข้าใจอย่างนั้นอีกแล้ว

“เราชอบบลูมานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงมัธยมในวันที่ฝนตก วันนั้นที่บลูให้ยืมร่มมันคือความประทับใจแรกของเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราแอบมองบลูมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ปล่อยเวลาเสียไปเปล่าๆถึงสองปีโดยไม่ทำอะไร พอมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเราเลยไม่ยอมอยู่เฉยๆเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว...”

“...”

“เราดีใจนะที่ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนมาถึงจุดนี้ จากความชอบมันถลำลึกจนเป็นคำว่ารักไปแล้ว เราคิดว่าบลูก็คงจะคิดเหมือนกับเรา แต่ในหลายๆครั้งเราก็สงสัยว่าบลูรักเราจริงรึเปล่า ลองถามใจตัวเองดูดีๆนะบลู…ถ้ามันไม่ใช่ความรักแต่มันเป็นแค่ความหลง เราก็พร้อมที่จะหยุด...ถึงแม้เราจะเจ็บแค่ไหนก็ตาม”

ผมนิ่งอึ้งกับเรื่องที่ได้รู้ ทั้งอึ้งที่หมอกจำได้ว่าผมคือคนที่ให้ร่มในวันที่ฝนตก อึ้งที่รู้ว่าหมอกก็ชอบผมมาตั้งแต่สมัยมัธยม และอึ้งกับประโยคสุดท้ายของหมอกที่บอกว่าจะยอมเลิกกับผมถ้าความรู้สึกจริงๆของผมมันไม่ใช่ความรัก...

“ทำไมเราจะไม่รักหมอกล่ะ...เรายอมทิ้งมหา’ลัยที่เราอยากเข้าแต่แรกเพื่อมาอยู่ที่นี่ก็เพราะหมอก ที่เราลงประกวดดาว-เดือนก็เพราะหมอก เราพยายามทำตัวเองให้ดูดีก็เพราะหมอก ฮึก...จนมาถึงวันนี้มีเรามีหมอกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว สำหรับเรามันเลยคำว่าหลงไปนานแล้วนะหมอก”

ผมพูดทั้งน้ำตาก่อนจะพุ่งเข้ากอดร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง กอดแน่นๆเพราะกลัวคนตรงหน้าจะทิ้งกันไป ก่อนที่หมอกจะกอดตอบผมกลับมา ผมซบหน้าลงกับไหล่หนาแล้วร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น เพราะไม่รู้จะระบายความเครียดที่ก่อตัวขึ้นมาทางไหน สุดท้ายจึงต้องเผยความอ่อนแอออกมาอย่างนี้

“หมอก...ฮึก...ขอโทษนะ...ขอโทษที่ทำตัวอย่างนั้น ขอโทษที่ทำให้หมอกต้องคิดมาก ขอโทษที่ไม่เชื่อใจ...แต่อย่าโกรธกันได้มั้ย ฮึก”

ผมยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น เสื้อของหมอกเลอะเป็นดวงเพราะน้ำตาของผมแต่ผมก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด ยิ่งมือหนาลูบแผ่นหลังผมเบาๆราวกับปลอบใจยิ่งทำให้ผมเสียใจ

“ไม่ต้องขอโทษหรอก บลูไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย”

“ฮึก...กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย...ไม่เอาแล้วแบบนี้ ไม่ชอบเลย”

ผมผละออกมามองหน้าหมอกแล้วขอร้องร่างสูงตรงหน้า ได้เห็นรอยยิ้มจางๆของหมอกที่เริ่มกลับมาแล้ว มือหนาเกลี่ยน้ำตาผมออกจากดวงตาทำให้ผมมองเห็นหมอกชัดขึ้น แววตาอบอุ่นที่เคยเป็นของผมมันกลับมาแล้ว...

“อืม...กลับมาเป็นเหมือนเดิมดีกว่า ไม่ชอบเลยที่เห็นบลูร้องไห้อย่างนี้”

“สัญญาว่าต่อไปนี้จะเป็นบลูคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม จะไม่ทำให้หมอกเสียใจอีกแล้วนะ”

ผมยิ้มทั้งน้ำตา แล้วชูนิ้วก้อยขึ้นเกี่ยวก้อยกับคนตัวสูงแล้วหมอกก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผมอีกครั้ง สิ่งเล็กๆน้อยๆที่หมอกทำให้มันทำให้ผมอุ่นใจจนรู้ตัวอีกทีก็พบว่าผมเสพติดหมอกไปเสียแล้ว แค่คิดว่าถ้าผมยังปล่อยให้เรามึนตึงใส่กัน ไม่ยอมเดินเข้ามาหมอกเสียก่อน ไม่ยอมปรับความเข้าใจกันเสียที ผมคงจะไม่ได้รับความอ่อนโยนอย่างนี้อีกแล้ว แค่คิดอย่างนั้นผมก็รู้สึกใจหายขึ้นมาเสียดื้อๆ และชั่ววินาทีนั้นความคิดบ้าๆก็พุ่งเข้ามาในหัวของผม

“หมอก...”

“หืม?”

ผมตัดสินใจเขย่งเท้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าหล่อ ริมฝีปากของผมแตะลงเบาๆที่กลีบปากของคนตรงหน้า หมอกยังคงยืนนิ่งจนผมใจเสีย ผมจึงผละริมฝีปากออกช้าๆแต่ห่างเพียงไม่ถึงคืบผมก็ถูกรวบกอดแน่นก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะทาบทับลงมาอีกครั้ง ผมเงยหน้ารับจูบหวานที่ไม่ได้สัมผัสมานาน หลับตาลงซึมซับสัมผัสหอมหวานและค่อยๆผละออกเมื่อลมหายใจใกล้หมด

หลังจากผละออกจากจูบหวานๆ และในตอนนั้นผมก็ได้รู้ว่าหมอกก็คิดถึงผมไม่แพ้กัน และมันยิ่งทำให้ความกล้าของผมเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณ

ผมมองดวงตาเรียวที่สะท้อนเพียงแค่เงาของผมอีกครั้ง ก่อนจะพูดเสียงแผ่วประชิดริมฝีปากหนาเบาๆ

“เราเชื่อใจหมอกนะ”

“...”

“มาทำให้คืนนี้เป็นความทรงจำที่ดีของเรากันเถอะ”




tbc.
ดราม่าในตอน จบในตอน
ตอนต่อไปเตรียมตัวขึ้นเรือสำเภาเจ้าค่ะ
พี่หมอกของเราไม่นกแล้ว
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 19 ม่านหมอกกลางใจ -- หน้า 6 --09/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 09-04-2018 20:39:10
 :hao7: รอค่ะ ...  :hao6:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 19 ม่านหมอกกลางใจ -- หน้า 6 --09/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 09-04-2018 20:47:52
พอบอกขึ้นเรือสำเภา ก็นึกภาพโล้สำเภาเลย :laugh:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 19 ม่านหมอกกลางใจ -- หน้า 6 --09/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 09-04-2018 22:10:20
ดราม่าจบไปอย่างรวดเร็ว.....ซึ่งเราชอบบบ รักกันชอบกันก็มาหวานกันเถอะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 19 ม่านหมอกกลางใจ -- หน้า 6 --09/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-04-2018 23:07:18
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 19 ม่านหมอกกลางใจ -- หน้า 6 --09/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 10-04-2018 03:52:46
ชอบเลยแบบนี้
กรุ่นข้องกันเอง เคลียร์กันเอง แบบตรง ๆ
เปิดใจคุย และ ... เหนืออื่นใด

ดราม่าปุ๊บ ... จบในตอน
แบบนี้ ดราม่าตอนเว้นตอน ยังยอมเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 19 ม่านหมอกกลางใจ -- หน้า 6 --09/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 10-04-2018 17:58:09
หืม นี่มันแผนลวงบลูมาปล้ำรึเปล่าเนี่ยยยยยยย
555555555
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 19 ม่านหมอกกลางใจ -- หน้า 6 --09/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-04-2018 02:16:59
นุ้งหมอกน่าเอ็นดู มีความยอมถอยถึงแม้จะเจ็บงี้ หล่อไปอีกพระเอกเรา
แต่น้องบลูน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 20 -- หน้า 6 --12/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 12-04-2018 19:59:54
บทที่ 20
แมวเชื่องกับเจ้าของสุดหล่อ





“มาทำให้คืนนี้เป็นความทรงจำที่ดีของเรากันเถอะ”

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าตัวเองกำลังแดงขนาดไหน เหมือนหมอกจะยังคงอึ้งที่ได้ยินประโยคนั้นออกจากปากของผม แต่แล้วร่างของผมก็ถูกช้อนตัวขึ้นในทันที ผมซุกหน้าลงกับอกของหมอกด้วยความเขิน จนเมื่อร่างของผมถูกวางลงบนเตียงเบาๆ ผมก็เงยหน้ารับจูบหวานๆนั้นอีกครั้ง

ผมหลับตาลงและพยายามปล่อยตัวปล่อยใจให้สบาย ยกมือขึ้นคล้องคอหมอกก่อนจะเผยอปากเล็กน้อยเพื่อให้เรียวลิ้นร้อนแทรกเข้ามา ยามที่หมอกกวาดต้อนไปทั่วโพรงปากนั้นราวกับมีผีเสื้อบินวนอยู่รอบท้อง มันทั้งหอม ทั้งหวาน และค่อยๆหลอมละลายผมช้าๆ ผมครางฮือยามที่หมอกผละริมฝีปากออกก่อนจะค่อยๆลากกลีบปากนุ่มไปทั่วใบหน้าของผม ลมหายใจร้อนรดบนแก้มของผมก่อนจะตามด้วยสัมผัสนุ่มหยุ่น จากนั้นก็ลากลงมาถึงปลายคาง และลำคอ...

ผมกำผ้าปูเตียงแน่นยามที่หมอกประทับจูบแผ่วเบาลงบนต้นคอ ใบหน้าหล่อนั้นเคลื่อนลงต่ำจนถึงหน้าอกของผมที่ยังหอบหายใจแรงไม่หยุด

“ถอดเสื้อนะ”

“อะ...อืม”

หมอกขออนุญาตผมเสียงแผ่วเบา เมื่อผมพยักหน้าและอนุญาต หมอกก็ค่อยๆดึงรั้งเสื้อยืดสีขาวตัวเก่าของผมขึ้นเหนือหัว...

ผมเหงื่อตกยามที่ต้องเผยร่างกายต่อตาเรียวคมคู่นั้น แต่อายได้ไม่นานหมอกก็เข้ามาประทับจูบอีกครั้ง มือใหญ่ประสานมือกับผมที่ยังกำผ้าปูเตียงไว้แน่นและบีบเบาๆให้ผมคลายกังวล ผมหลับตาลงและปล่อยตัวปล่อยใจอีกครั้ง หมอกผละจูบออกแล้วเคลื่อนไปจูบที่ขมับผมเบาๆ จากนั้นก็ลากไล้สัมผัสหวาบหวิวนั้นลงมาถึงกลางอกของผม

สัมผัสแผ่วเบาที่กลางอกของผมนั้นทำให้ผมขนลุกชัน บิดกายเบาๆยามที่มือใหญ่นั้นลูบไล้ที่ช่วงเอวก่อนจะค่อยๆสอดมือผ่านกางเกงผ้านิ่มที่ผมใส่อยู่

ผมสะดุ้งลืมตาขึ้นมา และเผลอกัดปากตัวเองยามที่หมอกค่อยๆดึงกางเกงผมลงจนถึงเข่า ตอนนี้ผมแทบจะเปลือยต่อหน้าหมอกอยู่แล้วถ้าไม่นับบ็อกเซอร์ที่ยังคงติดตัวอยู่ ผมอายจนหยิบหมอนมาปิดหน้าไว้ แต่สุดท้ายก็ถูกหมอกดึงออกเบาๆ พอลืมตาขึ้นมองก็เห็นว่าหมอกก็ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดแล้วเช่นกัน

ผมมองร่างกายแกร่งตรงหน้าแล้วใจกระตุกอีกครั้ง ผิวขาวจัดของหมอกยามต้องแสงไฟนั้นมันงดงามไร้ที่ติจนเกินไป หน้าท้องที่ไม่ถึงกับมีซิคแพค แต่มันก็ขึ้นลอนกล้ามสวยนั้นทำผมอิจฉา ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังหน้าแดงมากแค่ไหน รู้แต่ว่าตอนนี้หน้าผมกำลังร้อนมาก ร้อนจนเหงื่อแตกหมดแล้ว ทั้งๆที่ห้องของผมเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำถึง 18 องศา แต่ทำไมผมถึงร้อนอย่างนี้

“ไม่ต้องกลัวนะ...ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”

หมอกปลอบผมเมื่อร่างกายใหญ่ทาบทับลงมาอีกครั้ง มือใหญ่เกลี่ยปอยผมของผมแล้วจูบซับเหงื่อที่มันขึ้นรอบกรอบหน้าอย่างอ้อยอิ่ง ส่วนกลางตัวของเขาที่ยังมีบ็อกเซอร์คั่นไว้นั้นเริ่มเสียดสีกันกับผมจนผมขนลุกชัน นี่แค่เราจูบกันอย่างนี้ผมยังสัมผัสได้แล้วว่าหมอกพร้อมออกรบเต็มที่ ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากก่อนจะดันหมอกออกช้าๆ

หมอกทำหน้างุนงงยามที่ผมดันแผ่นอกหนาเบาๆ แล้วลุกขึ้นนั่ง ผมมองใบหน้าที่เริ่มจะเสียเซลฟ์ของหมอกแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปจูบหมอกเองอย่างเขินๆเพื่อให้หมอกมั่นใจในตัวผมว่าจะไม่ล่มกลางทางแน่นอน

“แค่เอาตัวช่วยนิดหน่อยน่ะ”

ผมบอกเสียงเบาๆ ตอนนี้เขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้ว ผมเปิดลิ้นชักข้างหัวเตียงแล้วหยิบเจลหล่อลื่นและถุงยางอนามัยออกมา หมอกเหมือนจะอึ้งอีกรอบที่เห็นของที่ผมเตรียมไว้...เออ ก็ไม่ได้เตรียมหรอก แต่ก็เคยศึกษามาบ้าง เลยซื้อมาเก็บไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเหมือนวันนี้ไง

“ชอบรสสตรอว์เบอร์รี่เหรอ”

หมอกถามยิ้มๆ ส่วนผมนั้นหน้าร้อนจนแก้มจะระเบิดอยู่แล้ว ชกแขนแกร่งเบาๆแก้เขินแล้วไม่ยอมตอบ สุดท้ายก็โดนดึงเข้าไปกอดจนจมอกแล้วหมอกก็หอมแก้มผมแรงๆไปสองที...

“ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้นะบลู แล้วจะไปไหนรอดกันฮึ”

“งั้นก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว อยู่กับบลูนะ”

ผมช้อนตามองหมอกแล้วเผลอแทนตัวเองด้วยชื่อเหมือนยามที่อ้อนพี่สาวหรืออ้อนพ่อแม่ หมอกชะงักไปนิดนึงแล้วก็โน้มหน้าเข้ามาจูบผมอีกครั้ง ผมถูกดันร่างลงกับเตียงอีกรอบ หมอกยังคงมัวเมาผมด้วยรสจูบที่ค่อยเพิ่มระดับความร้อนแรงจนผมแทบจะทนไม่ไหว บ็อกเซอร์ที่เหลือติดร่างเพียงแค่ตัวเดียวนั้นถูกมือใหญ่รั้งลงจากสะโพกแล้วดึงออกอย่างรวดเร็ว

ผมตัวสั่นเบาๆยามที่บนร่างกายไม่เหลืออะไรแล้ว แม้จะอายแค่ไหนแต่ก็ข่มความอายเอาไว้และเลือกที่จะหลับตาจะได้ไม่รับรู้อะไร

“ลืมตาสิ”

“ฮือออออ”

ผมร้องเบาๆแล้วส่ายหน้า แต่มือทั้งสองข้างยังคงกอดคอหมอกเอาไว้แน่น หมอกจูบผมหนักๆสองทีแล้วกระซิบที่ใบหูผมเบาๆ

หมอกบอกให้ลืมตาขึ้นมาครับ หลับตาอย่างนั้นหมอกก็ไม่เห็นบลูสิ”

คำแทนตัวเองของหมอกที่เปลี่ยนไปก็ทำให้ผมชะงักเช่นเดียวกัน ความละมุนของมันทำให้ผมยอมลืมตาขึ้นมาเพื่อสบตากับดวงตาเรียวที่ยังเต็มไปด้วยความสุข และนั้นทำให้ผมใจชื้นขึ้นว่าผมคิดถูกแล้วที่ใจกล้าบ้าบิ่นที่เป็นคนเชิญชวนหมอกเองอย่างนี้

“ขอบคุณที่เชื่อใจกันนะ วันนี้บลูจะมีความสุข...หมอกสัญญา”

คำสัญญาของหมอกทำให้ผมอุ่นวาบในหัวใจ ผมอมยิ้มน้อยๆยามที่ผละจูบออกมา ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะผละออกจากร่างผมแล้วฉีกซองสีเงินที่ผมเตรียมไว้อย่างรวดเร็ว ผมคว้าหมอนมาปิดหน้าไว้ยามที่หมอกกำลังจัดการกับตัวเองอยู่ หัวใจผมเต้นโครมครามยามที่ผิวเนื้อของผมถูกแตะเบาๆก่อนที่เจลเย็นๆจะสัมผัสลงมาที่ช่องทางด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน

ผมหอบหายใจอย่างตื่นเต้นเมื่อหมอกค่อยๆสอดปลายนิ้วเข้ามาในร่างกาย สัมผัสแปลกใหม่ที่ผมไม่เคยคุ้นชินทำให้ผมหน้าบิดเบี้ยว แต่ความเจ็บแปล๊บนั้นยังพอทนไหว ผมกำผ้าปูเตียงจนมันยับยู่เมื่อหมอกส่งนิ้วที่สองและที่สามตามเข้ามา

“ไม่ต้องกลัวนะ หมอกอยู่ตรงนี้”

ริมฝีปากได้รูปนั้นจูบปลอบประโลมผมไม่หยุด จนเมื่อผมเริ่มคุ้นชินและผ่อนคลายมากขึ้น หมอกก็ถอนนิ้วทั้งหมดออกจากร่างกายผม ผมกระตุกเฮือกราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง แล้วก็ต้องหลับตาลงเมื่อเสียงทุ้มกระซิบข้างใบหูผมอีกครั้ง

“ครั้งนี้ของจริง อดทนหน่อยนะบลู”

“อะ...อืม”

ผมหยักหน้าทั้งที่ยังหลับตา และเมื่อท่อนเนื้อที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่านิ้วทั้งสามนั้นแทรกเข้ามาในร่างกายผม ผมก็ต้องกัดฟันด้วยความเจ็บ ร่างกายผมราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผมน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวแต่เพราะจูบของหมอกที่คอยซับน้ำตาผมถึงทำให้ผมรู้ตัว

“ไม่เป็นไรนะ...เดี๋ยวมันจะดีขึ้น ถ้าทนไม่ไหวก็ร้องออกมา อย่าเก็บมันไว้คนเดียว”

“อื้อ...เจ็บ...”

ผมพูดได้เพียงแค่นั้น แล้วเสียงก็ถูกกลืนหายลงไปในคอเมื่อหมอกไม่ยอมให้ผมได้พูดอีก ผมถูกมอมเมาด้วยจูบจนพร่าเบลอ จนลืมความเจ็บที่ช่วงกลางตัวและสะโพกสอบนั้นก็เริ่มขยับและดันท่อนเนื้อเข้ามาลึกขึ้นอีก

“อึก...”

ผมร้องด้วยความจุก หมอนยังคงแช่ท่อนเนื้อเอาไว้ในกายผม จนเมื่อผมเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น หมอกก็ผละใบหน้าออกมา ผมจึงได้เห็นใบหน้าหล่อชัดๆที่อดกลั้นและเหงื่อเกาะพราวไปทั่วหน้าไม่ต่างจากผม

“ไม่ต้องเกร็งนะบลู...รักนะครับ”

“อ๊า!”

หมอกพูดจบร่างสูงก็ถอนกายแกร่งก่อนจะดันกลับเข้ามาอีกครั้ง ผมร้องออกมาด้วยความเสียวซ่าน ยิ่งเมื่อหมอกเริ่มเคลื่อนกายเข้าออกช้าๆผมยิ่งห้ามเสียงสั่นๆของผมเอาไว้ไม่อยู่ ความเจ็บในคราแรกมันหายไปจนหมด ตอนนี้ผมเสียวจนต้องร้องระบายออกมา ยิ่งหมอกไม่ห้าม ผมยิ่งครางแผ่วตามจังหวะที่หมอกไสกายเข้าออกไม่หยุด

“อา...อา...หมอก...ไม่ไหวแล้ว...เร็วกว่านี้อีกได้มั้ย”

ผมส่ายหน้าไปมาเมื่อช่องท้องปั่นป่วนไปหมด ยิ่งหมอกเขยื้อนกายแรงเท่าไหร่ ความต้องการของผมมันยิ่งพุ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมเผลอเร่งหมอกและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนในที่สุดผมก็ถึงฝั่งฝัน

น้ำขาวขุ่นถูกฉีดเลอะจนทั่วหน้าท้องเป็นลอนของหมอก ผมหน้าแดงแล้วหอบด้วยความเหนื่อย ส่วนหมอกที่ยังอยู่ในกายของผมก็ไสกายอีกเพียงไม่กี่ครั้งก็ปลดปล่อยในกระเปาะเช่นเดียวกัน

ร่างของผมยวบลงกับเตียงแล้วตามด้วยหมอกที่ถอนท่อนเนื้อออกจากร่างของผม ผมถูกรวบกอดเอาไว้แล้วหมอกก็พรมจูบที่หัวไหล่ของผมเบาๆ ผมเลยซุกหน้าลงกับอกหนาเสียเลย

“ขอบคุณนะ...คืนนี้จะเป็นความทรงจำที่ดีของหมอกเลย”

เสียงทุ้มกระซิบข้างหู ผมไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากอกของหมอกเพราะยังเขินไม่หาย แต่ก็พยักหน้ารับเบาๆเป็นเชิงว่ารับรู้แล้ว หมอกดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างเราทั้งสองคนเอาไว้แล้วก็ตระกรองกอดผมอยู่อย่างนั้น ส่วนผมก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลงช้าอย่างเหนื่อยล้า และผมก็พึมพำตอบหมอกกลับไปก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว

“คืนนี้จะเป็นความทรงจำที่ดีของเราเหมือนกัน”





.

..

...



ผมตื่นลืมตาขึ้นมาเมื่อนอนจนเต็มอิ่มแล้ว บิดร่างกายเบาๆภายใต้ผ้าห่มอย่างเหนื่อยล้า เหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังก็พบว่าตอนนี้บ่ายสามแล้ว ผมไม่เห็นหมอกอยู่ในห้อง ครั้นจะลุกก็ลุกไม่ขึ้น ผมมึนหัวไปหมดจนต้องนอนกระพริบตาปริบๆอยู่บนเตียงราวๆสองนาที

“ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง”

หมอกที่เดินเข้ามาในห้องนั่งลงบนเตียงแล้วใช้มืออังหน้าผากผมแล้วก็เอามือไปแตะที่หน้าผากตัวเอง ผมมองท่าทางนั้นอย่างงงๆ ก่อนหมอกจะช่วยไขข้อสงสัยให้ผม

“เมื่อเช้าบลูตัวร้อนมาก เลยจับเช็ดตัวแล้วใส่เสื้อผ้าให้ เดี๋ยวลุกมากินโจ๊กสักหน่อยแล้วทานยานะ เดี๋ยวไปอุ่นมาให้”

หมอกพูดแล้วก็หายออกไปจากห้องอีกครั้ง ผมยังคงนอนทำตาปริบๆอยู่เช่นเดิมเพราะยังเบลออยู่ ลองยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากตัวเองก็พบว่ามันอุ่นๆอย่างที่หมอกบอกไว้ ผมเลยนอนแผ่บนเตียงและทำใจยอมรับชะตากรรมในตอนนี้แต่โดยดี

“ลุกมากินโจ๊กก่อนนะ แล้วค่อยนอนต่อ”

กลิ่นโจ๊กหอมฉุยลอยแตะจมูก ผมหันมองถ้วยโจ๊กที่หมอกวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงแล้วประคองผมให้ลุกขึ้นนั่ง ผมเบ้ปากด้วยความเจ็บแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อสามารถนั่งได้โดยไม่เจ็บแล้ว ส่วนหมอกก็ยังคงยุ่งอยู่กับถ้วยโจ๊กในมือ แล้วช้อนที่มีโจ๊กอยู่เต็มคำก็ถูกเป่าเบาๆก่อนจะยื่นมาตรงหน้าผม

“อ้าปากเร็ว เดี๋ยวป้อน”

“กินเองก็ได้ เราไม่ได้ป่วยขนาดนั้นสักหน่อย” ผมว่าและทำท่าจะแย่งถ้วยโจ๊กมาจากมือหมอก แต่หมอกก็ยกหนีผมแล้วส่ายหน้าเร็วๆ

“เดี๋ยวป้อนเอง ถ้วยมันร้อนจะตาย อ้าปากเร็ว”

ผมยอมทำตามที่หมอกสั่ง อ้าปากรอรับโจ๊กที่หมอกเป่าให้มันเย็นแล้วก็ค่อยๆป้อนผม ผมกินไปได้พอประมาณก็เริ่มอิ่ม หมอกไม่ได้คะยั้นคะยอผมให้กินอีก แล้วก็เอายาสองเม็ดมาให้ผมกิน ผมโยนเข้าปากโดยไม่คิดอะไรจากนั้นก็ตามด้วยน้ำ แล้วหมอกก็ประคองผมลงนอนราบบนเตียงอีกครั้ง

“กินยาแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น พักผ่อนนะ เดี๋ยวไปเก็บถ้วยก่อน”

ผมมองตามหมอกที่เดินออกไปจากห้องแล้วก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า แค่ขยับตัวผมยังเจ็บจนแทบน้ำตาไหลเลย ได้แต่ยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคอแล้วหลับตาอย่างนั้น จนเสียงเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ และที่นอนด้านซ้ายผมก็อ่อนยวบลง สัมผัสอ่อนโยนที่ลูบเส้นผมของผมช้าๆทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองคนที่ยังมองผมด้วยสายตาห่วงใยอยู่ในตอนนี้

“ตัวยังอุ่นๆอยู่เลย พรุ่งนี้จะไปเรียนไหวมั้ยเนี่ย”

“ต้องไหวสิ...พรุ่งนี้เรามีพรีเซนต์งานนะ”

ผมจะขาดวิชาเคมีซึ่งเป็นวิชาเอกของผมไม่ได้เลย แล้วยิ่งงานพรีเซนต์พรุ่งนี้ผมเป็นคนพรีเซนต์ด้วย เป็นตายร้ายดียังไงผมก็ต้องไปพรีเซนต์งานให้ได้

“ถ้างั้นก็นอนพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้หายทันพรีเซนต์งาน”

“แต่เราไม่ง่วงแล้วอ่ะหมอก...นอนมาทั้งวันทั้งคืนแล้วนะ”

“กินยาเข้าไปแล้วเดี๋ยวก็ง่วงเองนั้นแหละ อย่างอแงสิบลูเดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่หายไข้ทำไง”

หมอกเอ็ดผมไม่ได้จริงจังนัก แต่ผมไม่ง่วงจริงๆนี่นา แค่รู้สึกเพลีย รู้สึกเหนื่อยเท่านั้น แต่ตอนนี้ผมตาสว่างมาก บังคับให้หลับยังไงก็หลับไม่ลงแล้ว

“หมอก...หยิบแมคบุ๊คกับชีทบนโต๊ะมาให้หน่อย เราจะท่องเนื้อหาที่จะพรีเซนต์พรุ่งนี้”

ผมวานหมอกที่เดินเหินคล่องกว่าผมมากให้หยิบของบนโต๊ะมาให้ผมที่ยังนอนแผ่ที่เตียง หมอกเดินไปหยิบอุปกรณ์การเรียนของผมทั้งหมดมาให้แล้วพยุงผมให้นั่งพิงหัวเตียง แล้วเอาโต๊ะญี่ปุ่นมากางให้ไว้บนเตียง ผมจึงเริ่มเปิดสไลด์และเขียนสคริปต์ที่จะพูดพรุ่งนี้ลงไป ส่วนหมอกที่โดดขึ้นมานั่งบนเตียงก็หยิบคุณบราวน์ของผมไปนอนกอดเล่นเสียแล้ว

“มาอยู่ใกล้ๆอย่างนี้ไม่กลัวติดไข้เหรอ”

ผมก้มหน้าถามคนที่เข้ามานอนตักผม ส่วนหมอกก็ยังยิ้มแล้วส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ

“ไม่กลัว ร่างกายแข็งแรงจะตาย”

“ครับ พ่อคนแข็งแรง”

ผมว่าและเริ่มเขียนสคริปต์ต่อ ส่วนหมอกก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมไปพลางๆ ผมไม่ได้สนใจหมอกอีกเพราะสมาธิจดจ่ออยู่แต่กับเนื้อหาและงานตรงหน้า จนเวลาผ่านไปได้เกือบชั่วโมงผมก็เริ่มล้าและเริ่มหนักตาขึ้นเรื่อยๆจนต้องวางปากกาลง

“ง่วงแล้วเหรอ”

หมอกถามและลุกขึ้นนั่ง ผมพยักหน้าตอบแล้วดันโต๊ะออกจากตัว หมอกเลยยกโต๊ะญี่ปุ่นออกแล้วประคองผมให้นอนลงอีกครั้ง

“หลับได้แล้ว เดี๋ยวตอนเย็นทำข้าวต้มไว้ให้”

“อืม ขอบคุณนะ”

ผมพึมพำแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ความทรงจำสุดท้ายของผมคือหมอกห่มผ้าห่มให้แล้วก็ล้มตัวนอนลงข้างผมนั่นเอง




หมอกหันมองบลูที่หายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ใบหน้าเนียนใสนั้นยังคงซีดเซียวเพราะพิษไข้ มือหนาแตะหน้าผากเนียนเพื่อวัดไข้แล้วลองทาบกับหน้าผากตัวเองอีกหน เมื่อเห็นว่าอาการของบลูดีขึ้นตามลำดับเขาก็ยิ้มออกมาเพียงคนเดียวก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

หมอกกดเข้าไปในเฟสบุ๊คของตัวเองที่มีคนติดตามอยู่หลายหมื่นคน แต่เขากลับไม่สนใจใครทั้งนั้น กดเลือกรูปคนป่วยที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วอัพลงบนเฟสบุ๊คที่นานๆทีจะอัพเดตบ้าง


Kavee Worakul
Just now

แมวป่วยต้องคอยดูแลไม่ให้คลาดสายตา


ก็รูปนี้บลูน่ะน่ารักจะตาย เหมือนแมวเชื่องๆตัวหนึ่งที่นอนหลับข้างเขาอย่างนั้นแหละ หมอกอมยิ้มเมื่อเห็นข้อความแซวจากเพื่อนไม่ขาดสาย เขาเลือกตอบแต่เฉพาะคนที่รู้จักก่อนจะปิดโทรศัพท์ลงเมื่อแมวขนฟูเริ่มกระดุกกระดิกอีกแล้ว

“อืออออ หนาว”

พึมพำแล้วก็ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มนั้นแหละ หมอกยิ้มขำแล้วก็เพิ่มอุณหภูมิแอร์ให้มันอุ่นขึ้น แล้วหาผ้าห่มอีกผืนมาห่มให้บลู พอเห็นว่าบลูนิ่งไปอีกครั้งหมอกจึงหยิบคุณบราวน์ของบลูขึ้นมาเล่นอีกหน...ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้เขาถูกชะตากับเจ้าตุ๊กตาตัวนี้มาก เห็นครั้งแรกหมอกก็ชอบเลย จนบางทีเขายังแอบเอาคุณบราวน์กลับไปที่ห้องตัวเองด้วยซ้ำ


Rrrrrrrrrrrrr


ขณะที่เล่นตุ๊กตาอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของบลูก็ดังขึ้น หมอกละความสนใจจากตุ๊กตาตรงหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นมาดูว่าเป็นใครที่โทรมา พอเห็นรูปที่โชว์หราอยู่หน้าจอเขาก็ต้องชะงัก

P’Pink

พี่พิ้งค์...พี่สาวของบลูโทรมา...ไม่โทรมาธรรมดานะ วีดิโอคอลมาด้วย แล้วบลูหลับอย่างสนิทอย่างนี้...

ไอ้หมอกคนนี้จะกล้ารับสายพี่สาวบลูงั้นเหรอครับ



tbc.
พี่พิ้งค์กำลังจะมาแล้ววววว
ปล. เปิดรวมเล่มวันที่16นี้นะคะ
ใครสนใจแวะไปดูรายละเอียดได้ที่เพจนะคะ

หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 20 -- หน้า 6 --12/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 12-04-2018 20:20:47
จะไม่มีม่าใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 20 -- หน้า 6 --12/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 12-04-2018 22:20:16
จะเจอพี่พิงค์แล้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 20 -- หน้า 6 --12/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-04-2018 22:20:45
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 20 -- หน้า 6 --12/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-04-2018 23:26:43
เสร็จแน่หมอก 5555
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 21 ของขวัญในความทรงจำ -- หน้า 6 --17/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 17-04-2018 20:12:26


บทที่ 21
ของขวัญในความทรงจำ




ผมตื่นขึ้นมาในช่วงหัวค่ำ แม้จะยังตัวอุ่นๆอยู่เช่นเดิมแต่ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ผมประคองตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วหันมองคนเฝ้าไข้ที่นั่งหลับเอาหน้าทับกับหนังสืออยู่ข้างๆ

เพราะไม่อยากรบกวนเวลานอนของหมอก แต่เห็นหมอกหลับในท่านั้นแล้วผมก็ปวดตัวแทน ผมเลยสะกิดไหล่เบาๆให้หมอกรู้สึกตัว หมอกจึงลืมตาขึ้นช้าๆแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม

“ตื่นแล้วเหรอ...แล้วเราหลับไปตอนไหนเนี่ย” หันมาพูดกับผม แล้วก็พึมพำกับตัวเองไปเบาๆอย่างงุนงง

“ดีขึ้นรึยัง ขอวัดไข้หน่อย”

หมอกเขยิบขึ้นมานั่งบนเตียง ผมเลยนั่งนิ่งๆให้หมอกวัดไข้เหมือนที่ผ่านมา แต่คราวนี้วิธีวัดไข้ของหมอกกลับทำผมเหมือนไข้จะจับอีกรอบ เมื่อใบหน้าหล่อเคลื่อนเข้ามาชิดใกล้ ก่อนจะใช้หน้าผากของหมอกชนกับหน้าผากของผมเบาๆเพื่อวัดไข้ ผมที่ไม่ได้เตรียมใจกับสัมผัสจู่โจมแบบนี้ได้แต่นั่งหัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก กลัวหมอกจะได้ยินเสียงหัวใจของผมจนต้องผลักอกหนาออกเบาๆ

“ดีขึ้นแล้ว...ไปหาอะไรกินกันเถอะ”

“อืม ทำกับข้าวไว้ให้แล้วล่ะ...อ้อ! ลืมบอกไปว่าพี่สาวโทรมาหาน่ะ...แต่ว่าบอกไปแล้วว่าบลูหลับอยู่ เดี๋ยวให้โทรไปหาใหม่”

หืม? พี่พิ้งค์น่ะเหรอ พอหมอกบอกอย่างนั้นผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าพี่พิ้งค์โทรมาจริงๆงั้นเหรอ 

“เดี๋ยวไปอุ่นข้าวรอนะ”

“อืม เดี๋ยวโทรหาพี่พิ้งค์เสร็จแล้วจะออกไป”

“ครับ”

หมอกออกไปจากห้องแล้ว ผมเลยเช็คเวลาที่ไทยกับอังกฤษในตอนนี้ก่อนจะวีดิโอคอลกลับไปหาพี่พิ้งค์ รอสัญญาณไม่นานปลายสายก็รับ

[ตื่นแล้วเหรอจ๊ะบลู ปล่อยให้พี่รอตั้งนาน ถ้าเพื่อนบลูไม่บอกว่าบลูกำลังหลับอยู่พี่งอนแล้วจริงๆด้วย]

คำทักทายแรกของพี่สาวคนสวยของผมก็เริ่มงอนผมเสียแล้ว แต่พอได้คำว่า ‘เพื่อนของบลู’ ก็ทำผมชะงักนิดนึง...คงจะหมายถึงหมอกสินะ ผมไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดของพี่พิ้งค์และรีบฉีกยิ้มกว้างแล้วบอกอย่างอ้อนๆ เดี๋ยวพี่จะงอนผมเพิ่มอีก

“ก็บลูพึ่งตื่น วันนี้ไม่ค่อยสบายเท่าไร เลยกินยาแล้วนอนทั้งวันเลย”

[ไม่สบายเหรอ แล้วไปหาหมอรึยังบลู] สีหน้าของพี่สาวผมนั้นเปลี่ยนไปทันที เธอมองผมด้วยความห่วงใย แต่ผมก็ยังยิ้มแล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ไม่ล่ะครับ เริ่มดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงจะหายแล้ว...แล้วพี่พิ้งค์โทรมาหามีอะไรเหรอ ปกติก็แชทมาตลอดนี่นา”

[ก็อยากเห็นหน้าน้องชายหนิ คอลมาไม่ได้เลยรึไง]

“ได้สิครับ โถ่...พี่พิ้งค์อ่ะ อย่างอนผมสิ ผมก็แค่สงสัยเฉยๆเอง”

[งอนแล้ว ถ้าบลูจะง้อพี่ก็ต้องมารับพี่ที่สนามบินนะเข้าใจมั้ย]

“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปรับเองเลย นั่งนับวันรอพี่พิ้งค์กลับไทยแล้วเนี่ย เอาขนมมาฝากผมด้วยนะ”

[ได้จ้า เดี๋ยวซื้อไปฝาก...แค่นี้ก่อนนะบลู เดี๋ยวพี่ต้องเข้าไปหาอาจารย์แล้ว]

“ครับ แล้วผมจะคอลไปหาใหม่นะ”

ผมโบกมือให้พี่พิ้งค์ผ่านกล้องโทรศัพท์ก่อนที่สัญญาณจะตัดไป พอวางสายจากพี่พิ้งค์ผมก็หันไปมองปฏิทินเพื่อดูวันที่พี่พิ้งค์จะกลับมาไทย...อีกสองอาทิตย์กว่าจะถึงวันนั้น ผมอดใจรอจะเจอพี่สาวในรอบหกเดือนแทบจะไม่ไหวแล้ว


ผมวางโทรศัพท์ลงบนเตียงแล้วเดินออกมาจากห้องนอนก็ได้กลิ่นหอมของอาหารทันที พอผมเดินออกมาจากห้องหมอกก็รีบเดินมาประคองผมให้ไปที่โต๊ะอาหาร ผมมองอาหารบนโต๊ะที่มีอยู่สองจาน หมอกไม่ได้ทำข้าวต้มเหมือนที่พูดไว้เมื่อช่วงบ่ายแต่กลับเป็นเมนูง่ายๆอย่างผัดคะน้าน้ำมันหอย และแกงจืดแทน

“คิดว่ากินอะไรอย่างนี้คงอิ่มกว่าข้าวต้ม อีกอย่างบลูก็เริ่มดีขึ้นแล้วด้วยกินเมนูพวกนี้คงเจริญอาหารมากกว่าข้าวต้ม”

“เรากินอะไรก็ได้ ฝีมือหมอกอร่อยทุกอย่างนั้นแหละ...กินเลยนะ”

ผมว่าแล้วจับช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมจิ้มเนื้อหมูตรงหน้า พอหมอกอนุญาตผมก็ยิ้มกว้างแล้วเริ่มตักข้าวเข้าปากทันที ฝีมือหมอกอร่อยอย่าบอกใครเชียวล่ะ ผมเจริญอาหารทุกทีเวลาได้กินข้าวที่หมอกเป็นคนทำ ถ้าผมจะอ้วนขึ้นก็ต้องโทษหมอกคนเดียวเลย

“พี่พิ้งค์คือพี่สาวบลูใช่มั้ย” หมอกถามขึ้นขณะที่ผมกำลังตักน้ำแกงขึ้นซด ผมพยักหน้าแล้วเคี้ยวหมูสับในปากให้หมดก่อนจะตอบหมอก

“ใช่ พี่พิ้งค์เป็นพี่สาวแท้ๆ ห่างกับเราสีปี่ ตอนนี้พี่พิ้งค์อยู่อังกฤษน่ะ”

“อืม...วันนี้เห็นโทรมาตอนที่บลูกำลังหลับอยู่ แต่ไม่อยากปลุกบลู ก็เลยบอกไปว่าบลูหลับอยู่...ครอบครัวบลูยังไม่มีใครรู้ใช่มั้ยว่าเราคบกัน”

พอหมอกถามอย่างนี้ผมก็ชะงักมือที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากทันที ใช่ ครอบครัวผมยังไม่มีใครรู้ ถึงแม้ในโซเชี่ยลของผมจะขึ้นสถานะว่าคบกับหมอก แต่พี่พิ้งค์ก็ไม่ได้เล่นโซเชี่ยล เลยยังไม่มีใครรู้ว่าผมมีแฟนแล้ว

“ยังไม่รู้ เรากำลังจะหาเวลาบอกพวกท่านอยู่...กะว่าจะให้ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้วค่อยบอกทีเดียว อีกสองอาทิตย์พี่พิ้งค์ก็จะกลับไทยแล้ว เราตั้งใจจะบอกความจริงตอนนั้นแหละ”

ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดว่าผมจะบอกครอบครัวผมเรื่องความสัมพันธ์ของผมและหมอก ผมคิดว่าพูดต่อหน้าดีกว่าที่จะบอกผ่านทางโทรศัพท์จึงไม่มีเวลาได้บอกเสียที รอให้ครอบครัวของผมพร้อมหน้าพร้อมตาค่อยบอกอีกทีคงทัน

“งั้น...ก่อนจะถึงวันนั้น วันเสาร์หน้าไปที่บ้านเราก่อนได้มั้ย ไปทานมื้อเที่ยงกับพ่อแม่เราที่บ้าน”

หมอกถามผมด้วยแววตาแน่วแน่ มาถึงตอนนี้ที่พวกเราทั้งสองคนเริ่มคิดที่จะบอกครอบครัวให้รู้แล้วว่าพวกเรารักกัน ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเราจะยอมรับในความสัมพันธ์ของเรารึเปล่า และเแม้ว่าอาจจะมีอุปสรรคต่างๆเข้ามาในภายภาคหน้า ผมก็พร้อมจะสู้ไปพร้อมกับหมอกแล้ว

“ได้สิ เราพร้อมเสมอ”




.

..

...



เช้าวันเสาร์ที่แสนสดใส ผมตื่นตั้งแต่เช้าทั้งๆที่วันนี้เป็นวันหยุด อาบน้ำและเลือกเสื้อผ้าที่สุภาพที่สุดขึ้นมาใส่ นั่งรอไม่นานหมอกก็โทรมาบอกว่ามาถึงที่คอนโดแล้ว ผมจึงปิดห้องและรีบเดินมาหาหมอกที่นั่งรออยู่ในรถ หลังจากนั้นหมอกก็พาผมขับออกมาจากคอนโดอย่างไม่รีบร้อน และแวะกินข้าวเช้ากันก่อนจะเดินทางไปที่บ้านหมอกในเวลาต่อมา

ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้ไปบ้านของหมอก ผมได้เจอกับคุณแม่ของหมอกเพียงแค่ครั้งเดียวเมื่อครั้งนั้นหมอกพาไปทานข้าวที่ดาดฟ้าของโรงแรมสุดหรูใจกลางเมืองโดยไม่ทันตั้งตัว  พอคิดว่าวันนี้จะได้เจอทั้งพ่อและแม่ของหมอก เมื่อคืนผมนอนแทบไม่หลับ

นั่งคิดอยู่คนเดียวไปเรื่อยเปื่อย จนตอนนี้รถเบนซ์สีขาวก็มาจอดอยู่ตรงบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรรแล้ว ผมมองตัวบ้านที่ดูร่มรื่น มีต้นลีลาวดีต้นใหญ่ที่ส่งกลิ่นหอมของดอกไม้อยู่หน้าบ้าน ได้ยินเสียงกระดิ่งดังอยู่ไกลๆ ก่อนที่ลูกหมาคอร์กี้ขนสีน้ำตาลสวยจะวิ่งเข้ามาหาผม

“โฮ่ง โฮ่ง”

“อย่าเห่าพี่บลูสิไอ้เปี๊ยก"

หมอกอุ้มลูกหมาที่ยังขู่ฟ่อผมไม่หยุดขึ้นมาแล้วลูบหัวมันสองที ไอ้เปี๊ยกก็ร้องหงิงๆแล้วหันไปคลอเคลียหมอกอย่างอ้อนๆแทนซะงั้น

“ชื่อเปี๊ยกเหรอ” ผมถามอย่างสนใจ

“อืม ตอนซื้อมาคิดชื่อไม่ออก ตัวมันเล็กนิดเดียวเลยตั้งชื่อว่าเปี๊ยกซะเลย แล้วดูตอนนี้ดิ อ้วนอย่างกับหมู”

ผมมองลูกหมาที่เชื่องสนิทยามอยู่กับเจ้าของ แล้วเดินตามหมอกเข้าบ้านมาถึงห้องโถงที่ไร้ผู้คน แต่กลับเปิดทีวีทิ้งเอาไว้ หมอก
วางเจ้าเปี๊ยกลงแล้วบอกให้ผมนั่งรอก่อนที่หมอกจะเดินหายเข้าไปอีกห้องหนึ่งในบ้านหลังใหญ่ ผมเลยได้ทีลูบขนเจ้าเปี๊ยกเล่น มันมุดหน้าลงกับตักของผมแล้วยอมให้ผมอุ้มได้ ดูเหมือนมันจะเริ่มชอบผมแล้วล่ะ


“มาแล้วเหรอ...แม่กำลังทำอาหารเลย”

“มีแต่อาหารน่าทานทั้งนั้นเลย...บลูอยู่ข้างนอกกับไอ้เปี๊ยกครับ”

“งั้นเหรอจ๊ะ”


ผมได้ยินเสียงบทสนทนาของหมอกและคุณแม่ดังอยู่ไกลๆ แล้วจากนั้นผมก็เห็นคุณแม่และหมอกที่เดินออกมาด้วยกัน คุณแม่ยังใส่ผ้ากันเปื้อนและมีสีหน้ายิ้มแย้มยามที่เจอผม ผมจึงรีบยกมือไหว้ท่านอย่างนอบน้อม

“ไหว้พระเถอะลูก...แล้วกินอะไรกันมารึยัง แม่กำลังทำมื้อเที่ยงไว้รอเลยจ๊ะ”

“พวกเราทานข้าวเช้ามาแล้วล่ะครับ...งั้นให้ผมเป็นลูกมือช่วยดีมั้ยครับ” ผมเสนอตัวช่วยคุณแม่ แต่เธอก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ ในครัวมีคนช่วยเยอะแล้ว...หมอกพาน้องบลูไปสวัสดีพ่อที่สวนหลังบ้านก่อนเถอะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ทำอาหารเสร็จแล้วจะเรียกนะ”

“ได้ครับ”

หมอกรับคำแม่ แล้วกวักมือเรียกผมให้เดินตามหมอกไป ผมยิ้มให้คุณแม่อีกครั้งแล้วเดินตามหมอกไปที่ประตูด้านหลังบ้าน เมื่อเดินออกมาก็เห็นสนามหญ้าสีเขียวขจี ได้ยินเสียงเพลงดังอยู่ไกลๆ หมอกก็พาผมเดินไปใกล้จนเห็นแปลงดอกกล้วยไม้ แล้วก็เห็นชายวัยกลางคน ผมสีดอกเลา แผ่นหลังกว้างใหญ่ดูภูมิฐาน กำลังยืนตัดแต่งกิ่งก้านกล้วยไม้อย่างสบายอารมณ์

“โอ๊ะ! มากันไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง”

คุณพ่อหันหน้ากลับมาหาพวกเราแล้วยกมือขึ้นกุมอกด้วยความตกใจ ทั้งหมอกและผมรีบยกมือไหว้แล้วคุณพ่อก็วางกรรไกรตัดแต่งกิ่งลงในกล่องก่อนจะเดินนำเราไปที่โต๊ะไม้ที่มีวิทยุเปิดเพลงดังอยู่

“มากันตั้งแต่ตอนไหน แม่เราน่าจะยังทำอาหารไม่เสร็จเลยมั้ง”

“พึ่งมาถึงเองครับ ไปสวัสดีแม่มาแล้ว เลยแวะมาสวัสดีพ่อต่อ” หมอกสนทนากับผู้เป็นพ่อ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งสงบเสงี่ยมเงียบๆ โดยมีไอ้เปี๊ยกที่ยังคงวิ่งอยู่รอบๆตัวผมแล้วตะกุยขาผมให้ผมอุ้มมันให้ได้

“ดูเหมือนไอ้เปี๊ยกมันจะชอบหนูนะ” คุณพ่อบอกยิ้มๆ ผมเลยอุ้มไอ้เปี๊ยกขึ้นมานั่งบนตักในที่สุด คุณพ่อมองมันที่นั่งลิ้นห้อยอยู่บนตักผมก่อนจะหันมาคุยกับผมแทน “แล้วชื่ออะไรล่ะเรา”

“ชื่อบลูครับ”

“อยู่คณะวิทย์ฯใช่มั้ย ถ้าพ่อจำไม่ผิด”

“ครับ วิทย์เคมีครับ”

“อ้อ! จำได้ล่ะ...หมอกเคยพูดให้พ่อกับแม่ฟังอยู่บ่อยๆ พอวันนี้บอกว่าจะพามาทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แม่เลยตื่นเต้นมากจนลงมือเข้าครัวเองเลย”

“ครับ” ผมยิ้มจางๆเมื่อได้รู้อย่างนั้น แล้วคุณพ่อก็หันไปคุยกับหมอกอีกครั้ง

“พาบลูเข้าไปนั่งเล่นข้างในก่อนเถอะ อยู่ตรงนี้มันร้อน เดี๋ยวพ่อรดน้ำกล้วยไม้อีกสักหน่อยแล้วจะตามเข้าไป พาไอ้เปี๊ยกมันไปด้วยนะ”

“ครับ”

หมอกรับคำ แล้วพวกเราก็เดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ผมอุ้มไอ้เปี๊ยกเดินดูรูปภาพตามผนังและที่วางเรียงรายอยู่อย่างสนใจ ได้เห็นรูปตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่แต่งงาน จนเห็นรูปของหมอกและควันตั้งแต่ยังเล็กจนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผมมองจนถึงภาพสุดท้ายที่เป็นรูปของหมอกและควันในชุดนักศึกษาก็อมยิ้มน้อยๆ หน้าตาดีตั้งแต่เด็กเลย โตมาแล้วยิ่งหล่อกว่าเดิม

“ไปห้องนอนเราเถอะ อีกเกือบชั่วโมงเลยกว่าจะได้ทานข้าวเที่ยง มีของอะไรจะให้ดูด้วย”

หมอกว่าแล้วก็จูงมือผมไปยังชั้นสองของบ้าน ผมเดินตามไปจนถึงห้องที่มีป้ายชื่อสลักคำว่า ‘Foggy’ แปะเอาไว้หน้าประตู พอเปิดเข้าไปในห้องก็ไม่ต่างจากห้องนอนของหมอกที่คอนโดเท่าไรนัก ห้องนี้ตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงินเข้มตัดขาวคล้ายๆกัน ผมเดินตามหมอกเข้ามาถึงในห้องแล้วหมอกก็หยิบร่มสีฟ้าน้ำทะเลที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วให้ผมดู

“จำได้มั้ย”

หมอกถามแล้วยื่นมันให้ผม ผมมองร่มที่ยังถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพดีแล้วลองกางออกดูก็พบว่ายังมีรอยหมึกจางๆที่เขียนคำว่า ‘BLUE’ ด้วยลายมือของผมหลงเหลืออยู่

“ตอนแรกเอาไปเก็บไว้ที่คอนโด แต่กลัวมันหายเพราะบางทีควันมันก็เอาเพื่อนมาเล่นที่ห้องบ่อยๆ เลยเอากลับมาเก็บไว้ที่บ้านแทน”

“ไม่คิดว่าหมอกจะจำได้เลยจริงๆ”

ผมบอกเสียงแผ่วเบา ร่มคันนี้ผมไม่ได้คิดว่าจะให้หมอกยืมด้วยซ้ำ วันนั้นมันเป็นวันที่ฝนตกหนัก ผมที่ดูพยากรณ์อากาศในตอนเช้าก่อนมาโรงเรียนเลยพกร่มและเสื้อกันฝนติดตัวมาด้วย จนตอนเกือบเลิกเรียนที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก ผมที่กำลังจะเดินกลับบ้านก็เห็นร่างของคนที่แอบมองอยู่บ่อยๆ ทำหน้าสิ้นหวังอยู่ไม่ไกล ผมเลยแบ่งร่มของตัวเองให้เพราะยังไงผมก็มีเสื้อกันฝนอยู่แล้ว

และก็ไม่คิดว่าเพราะวันนั้น ถึงทำให้ผมอยู่ในสายตาของหมอกตั้งแต่นั้นมา...

“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ถ้าไม่ได้ร่มของบลูก็คงจะไปเรียนพิเศษไม่ทัน หลังจากนั้นก็คอยมองหาเจ้าของร่มตลอด”

พอได้รู้อย่างนี้ผมก็ยิ้มออกมา เข้าใจแล้วว่าทำไมช่วงแรกที่ได้รู้จักกัน กลับกลายเป็นหมอกที่รุกผมจนแทบตั้งตัวไม่ทัน ความรู้สึกที่เราชอบเขา แล้วเขาก็ชอบเราตอบมันดีอย่างนี้นี่เอง

“เราไม่เอาร่มคืนหรอก เก็บไว้กับหมอกนี่แหละ ไหนๆก็อยู่กับหมอกมานานขนาดนี้แล้ว”

ผมว่าแล้วคืนร่มให้หมอกเอาไปเก็บไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินไปนั่งที่ปลายเตียง แต่แล้วสายตาของผมก็ดันไปสะดุดกับสิ่งหนึ่งเข้า ผมเปลี่ยนปลายเท้าแล้วเดินไปที่หัวเตียงทันที จ้องมองสิ่งที่วางอยู่บนหัวเตียงให้ชัดๆเพราะกลัวว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตาฝาดอยู่

“มีอะไรเหรอบลู”

“มะ...หมอก...กรอบรูปอันนี้...”

“อ๋อ...กรอบรูปนี้ได้ตอนวันวาเลนไทน์น่ะ ตอนนั้นน่าจะม.4 มั้ง ถ้าจำไม่ผิด ไม่รู้มีใครเอามาวางไว้ที่โต๊ะนักเรียนแล้วคงเผลอหยิบติดกระเป๋ากลับมาบ้าน เห็นว่าสวยดีเลยเอามาตั้งโชว์ไว้”

ผมหยิบกรอบรูปขึ้นมาดูอีกครั้ง...ไม่ผิดแน่ รูปภาพที่ผมตั้งใจทำขึ้นมาเองเพื่อเป็นของขวัญให้หมอก ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะตั้งอยู่ในห้องนอนของหมอกมาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว พอผมพลิกกลับไปดูด้านหลังก็ยังเห็นข้อความที่ผมบรรจงเขียนกับมือยังอยู่ที่เดิม

‘ Happy Valentine’s Day for you
Foggy ’

“หมอก...ความจริงแล้วกรอบรูปอันนี้มันเป็นของเรา”

“หืม? ว่าไงนะ” หมอกเหมือนจะตกใจเมื่อผมพูดอย่างนั้น ผมก็ยังตกใจเหมือนกันที่ได้รู้ว่าหมอกเก็บมันเอาไว้

“ของขวัญวันวาเลนไทน์ชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่ทำให้หมอก...ตอนนั้นเราตั้งใจทำแล้วห่อด้วยกระดาษสีฟ้าไปวางที่โต๊ะของหมอก พอตอนเย็นก่อนกลับบ้านก็เห็นว่าดอกกุหลาบที่มีคนเอามาให้หมอกถูกวางทิ้งไว้หลังห้องเรียน เราเลยคิดว่าของขวัญของเราคงโดนทิ้งแล้วด้วย พอปีต่อๆมาเราเลยไม่กล้าทำของขวัญให้หมอกอีก...ไม่คิดเลยว่าหมอกจะเก็บเอาไว้อย่างนี้”

“อ๋อ...ผู้ชายคนที่ทำท่าทางลับๆล่อๆคนนั้นคือบลูเองเหรอ”

“อะไรนะ?”

ผมหันมามองหมอกที่เหมือนจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่ผมยังไม่เข้าใจนี่น่ะสิ หมอกยิ้มออกมาแล้วดึงมือผมให้นั่งบนเตียงด้วยกันก่อนจะคลายข้อสงสัยให้ผมได้รู้

“ก็ตอนนั้นเราลืมกระเป๋าเงินไว้ในห้องเรียน เลยรีบวิ่งจากโรงอาหารมาที่ห้องเรียน พอเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงโต๊ะของเรา เลยแอบดูเผื่อว่าจะมาขโมยของ แล้วผู้ชายคนนั้นก็ออกจากห้องไป พอเราเดินไปที่โต๊ะก็เห็นกล่องของขวัญสีฟ้าวางไว้อยู่ เลยไม่ได้คิดอะไรแล้วเอาของขวัญใส่กระเป๋าแล้วก็เดินออกมา”

“...”

“รู้ตัวอีกทีก็มาถึงบ้านแล้ว เลยได้เห็นของขวัญที่ติดกระเป๋ามาด้วย พอแกะดูเห็นว่าเป็นรูปของเราก็เลยเอามาตั้งไว้อย่างนี้ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก แต่พอรู้ว่าเจ้าของของขวัญชิ้นนั้นคือบลูก็อดรู้สึกดีไม่ได้”

“ขอบคุณนะที่เก็บมันเอาไว้”

ผมยิ้มแล้วก็ตั้งกรอบรูปวางไว้ที่เดิม และไม่คิดไม่ฝันเมื่อหันกลับมาจะได้รับจูบอุ่นๆจากหมอกอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมหลับตาลงแล้วจูบตอบหมอกช้าๆอย่างอ้อยอิ่ง สัมผัสนุ่มหยุ่นคลอเคลียผมไม่หยุดแล้วก็ดันตัวผมลงนอนบนเตียงทั้งที่เรายังคงจูบกันอย่างนั้น

“อืม...มะ...หมอก...เดี๋ยวต้องลงไปข้างล่างแล้วนะ”

“นิดหน่อยเอง”

พูดเท่านั้นก็ประทับจูบลงมาอีกครั้ง ผมยอมแพ้แล้วโอบรอบคอหมอกไว้หลวมๆ เผยอปากรับจูบและเรียวลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามา ทั้งห้องนั้นเงียบลงถนัดตา จะได้ยินก็เพียงเสียงครางแผ่วเบาและเสียงลมหายใจของเราของคนในระยะประชิดเท่านั้น

“ไม่อยากกินข้าวแล้ว...อยากกินบลู”

เสียงพึมพำนั้นทำเอาผมหน้าเห่อร้อน ไม่ทันให้ผมได้ต่อต้านได้ หมอกก็ผละจูบออกแล้วเริ่มจูบไปรอบกรอบหน้าของผม และก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูดังๆก็ทำให้พวกเราทั้งสองคนหยุดชะงัก

“หมอกจ๊ะ!! กับข้าวเสร็จแล้วลูก พาน้องบลูลงมาทานข้าวเร็ว”

เสียงของคุณแม่ที่ดังอยู่ด้านหลังประตูช่วยชีวิตผมไว้ ผมถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ส่วนหมอกที่สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเสยผมลวกๆก็ได้แต่ขานตอบแม่ไปแล้วดึงผมให้ลุกขึ้นนั่ง

“เกือบโดนจับกินในห้องนี้แล้วมั้ยล่ะ” หมอกพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ผมไม่ได้ยิ้มด้วยเพราะตอนนี้กำลังหน้าแดงสุดๆ ทำไมชอบแกล้งกันอย่างนี้อยู่ทุกทีก็ไม่รู้

“หยุดพูดเลย ลงไปกันได้แล้ว ให้ผู้ใหญ่รอมันไม่ดีนะ”

“ครับเมีย...โอ๊ย! เจ็บ” หมอกแกล้งโอดโอยแล้วจับแขนข้างที่ผมพึ่งตีเมื่อกี้ ตีเบาๆเอง ทำเป็นเจ็บจนเหมือนผมจะทำแขนเขาหักงั้นแหละ

“เมียเมออะไร แฟนก็พอ”

ผมพูดแล้วเอามือสางผมให้เรียบร้อย ดึงเสื้อที่มันยับยู่ให้เรียบเช่นเดิม ไม่กล้าสบตาหมอกที่ยังมองผมด้วยสายตาที่จ้องนานๆอาจจะละลายลงตรงนี้ได้

“แฟนกับเมียก็เหมือนกันนั้นแหละ...เป็นแฟนโดยนิตินัย...แล้วก็เป็นเมียโดยพฤตินัยไงครับเมีย”




tbc.
ตอนแรกวางแพลนไว้ว่าจบ22ตอน
แต่เขียนไปเขียนมาจบที่23ตอนซะงั้น
อีก2ตอนจะจบแล้ว ตอนนี้เปิดจองหนังสือแล้วด้วยนะคะ~
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 21 ของขวัญในความทรงจำ -- หน้า 6 --17/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-04-2018 22:55:08
ตัลล๊าคคคคคคคค
ชอบเวลาหมอกกับบลูอยู่ด้วยกัน
มันอุ่นในใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 21 ของขวัญในความทรงจำ -- หน้า 6 --17/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 17-04-2018 23:22:23
น่ารักกก อ่านแล้วยิ้มๆ ดี
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 22 พี่สาวขี้หวง -- หน้า 6 --23/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 23-04-2018 20:39:23
บทที่ 22
พี่สาวขี้หวง


ผมเดินมาที่ห้องอาหารพร้อมกับหมอก ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต่างนั่งรอกันพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่ก่อนแล้ว ผมนั่งลงข้างหมอกแล้วมองอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอย่างตื่นตาตื่นใจ แล้วเสียงของคุณพ่อก็ดังขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมา

“หิวกันแล้วใช่มั้ย ทานได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”

“ได้ครับ” ผมยิ้มกว้าง และเมื่อทุกคนเริ่มทานข้าวแล้วผมก็ลงมือทานบ้าง ฝีมือของคุณแม่ไม่ต่างจากหมอกเลยสักนิด ผมรู้เลยว่าหมอกได้ฝีมือการทำอาหารมาจากใคร

“กินข้าวแล้วไปตีกอล์ฟกันดีมั้ย บลูตีกอล์ฟเป็นรึเปล่า” คุณพ่อถามขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า ผมเลยรีบตอบท่านอย่างสุภาพ

“ผมเล่นไม่เป็นครับ”

“งั้นก็ไปลองเดินเล่นที่สนามดีมั้ย หมอกเขาตีกอล์ฟเก่งนะ”

“เก่งที่ไหนกันพ่อ ผมก็พอเล่นถูๆไถๆได้แค่นั้นแหละ”

“ไอ้หมอกมันก็พูดไปงั้นแหละ บลูต้องลองไปดูของจริง”

ผมมองคุณพ่อที่แกล้งหยอกหมอกแล้วก็ยิ้มบางๆ เราทานข้าวด้วยกันจนเสร็จ ผมที่อาสาจะเก็บจานไปล้างให้ก็ต้องนั่งนิ่งๆเพราะมีแม่บ้านมาเก็บจานเอาไปที่ห้องครัวเรียบร้อย หลังจากนั้นผมก็เดินมานั่งที่โซฟาหน้าทีวีอย่างสงบเสงี่ยมโดยมีเปี๊ยกวิ่งตามผมแล้วกระโดดขึ้นมานั่งข้างผมซะงั้น ผมเลยต้องอุ้มมันไว้บนตักอย่างเสียไม่ได้

“สงสัยมันจะชอบบลูแล้วจริงๆ”

“ผมก็คิดว่างั้นแหละครับ” ผมตอบคุณแม่ที่ตามมานั่งข้างๆ ส่วนหมอกนั้นหายไปกับคุณพ่อแล้ว สงสัยจะเตรียมตัวกันไปออกรอบแล้วสินะ

“หมอกเป็นไงบ้างจ๊ะ น่ารักกับหนูรึเปล่า”

“ครับ?” ผมถามอย่างสงสัยว่าคุณแม่กำลังพูดอะไร แต่เธอก็ยิ้มแล้วอธิบายให้ผมฟังใหม่อีกรอบ

“หมอกบอกครอบครัวเรานานแล้วว่ามีแฟน แล้วแฟนคนนั้นก็คือหนู แม่เลยอยากรู้ว่าเวลาหมอกเค้ามีแฟน หมอกเป็นยังไง”

ผมอดทึ่งกับสิ่งที่รู้ไม่ได้ ตอนแรกผมคิดว่าที่ผมมาบ้านของหมอกในวันนี้เพราะจะมาบอกสถานะของเราให้ครอบครัวของหมอกได้ทราบ ผมเตรียมใจมาส่วนหนึ่งแล้วว่าอาจจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หวังไว้ แต่พอได้รู้ความจริงว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว และทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจผมอย่างนี้ผมก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้

“คุณแม่ไม่โกรธเหรอครับ...เออ...ที่หมอกคบกับผม”

“โกรธทำไมล่ะจ๊ะ ลูกชายแม่มีความรักทั้งทีทำไมแม่ต้องโกรธด้วย”

“...”

“ยิ่งน้องบลูน่ารักขนาดนี้ พ่อกับแม่จะโกรธทำไมล่ะ...ความรักมันเป็นสิ่งสวยงาม แม่เข้าใจว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป ความรักมันไม่แบ่งเพศ ไม่แบ่งภาษาเหมือนสมัยพ่อกับแม่อีกแล้ว ถ้าลูกแม่รักใคร แม่ก็จะรักด้วย”

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจพวกผม” ผมบอกด้วยความซาบซึ้ง ยิ่งเมื่อคุณแม่ดึงผมเข้าไปกอดอย่างเอ็นดูแล้วผมก็กอดตอบท่านทันทีด้วยความรู้สึกขอบคุณ

“ทีหลังก็มาหาพ่อกับแม่บ่อยๆนะ คนแก่อยู่ด้วยกันสองคนมันเหงา อยากเห็นหน้าลูกๆบ่อยๆ”

“ได้ครับ ผมสัญญาว่าผมจะมาบ่อยๆ”

ผมคุยกับคุณแม่อีกไม่นาน หมอกและคุณพ่อก็เดินเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ตีกอล์ฟ พวกเราทั้งสี่คนออกจากบ้านและไปถึงสนามกอล์ฟที่ห่างไปอีกไม่กี่กิโล ตลอดช่วงบ่ายนั้นผมใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของหมอกและเริ่มสนิทสนมจนผมสามารถเรียกคุณพ่อคุณแม่ของหมอกได้เต็มปาก และหมอกก็โชว์วงสวิงที่เก่งไม่ต่างจากที่คุณพ่อโม้เอาไว้เลยสักนิด เล่นกอล์ฟกันจนเพลินก็ได้เวลากลับกัน ผมจึงลาคุณพ่อคุณแม่แล้วนั่งรถกลับมาพร้อมกับหมอกที่มาส่งถึงที่คอนโด ระหว่างทางนั้นใบหน้าของพวกเราก็ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เกิดจากความสุขที่ได้รับในวันนี้

“หมอก”

“หืม?” หมอกขานรับแล้วก็ตบไฟเลี้ยว และขับชิดเลนขวาก่อนจะหยุดรอสัญญาณไฟจราจร

“หมอกบอกกับพ่อแม่ตั้งแต่ตอนไหนว่าคบกันเราอยู่”

“ก็นานแล้ว...ช่วงคบกันแรกๆเลยมั้ง ทำไมเหรอ”

“เราเข้าใจว่าหมอกยังไม่บอก ก่อนไปที่บ้านหมอกเรากลัวมากเลยนะ”

ผมนึกถึงตอนเช้าที่ผมตื่นเต้นอยู่เพียงลำพัง ในหัวคิดไปสารพัด กลัวว่าพ่อแม่ของหมอกจะยอมรับไม่ได้บ้าง กลัวว่าเราจะได้เลิกกันบ้าง แต่พอรู้ความจริงจากปากคุณแม่ว่าพวกท่านรู้เรื่องของเรานานแล้ว ผมก็แทบจะยกภูเขาออกจากอก

“พ่อแม่เราใจดีจะตาย พ่อยังบอกอีกว่าให้พาบลูไปหาบ่อยๆ”

“อืม...ไปได้อยู่แล้ว...เออ หมอก อาทิตย์หน้าคงถึงคิวเราแล้ว พาเราไปที่ที่หนึ่งได้มั้ย”

ถึงผมจะผ่านด่านครอบครัวของหมอกอย่างฉลุย แต่ก็เหลืออีกด่านก็คือครอบครัวของผมนี่แหละ ยิ่งพี่พิ้งค์ที่หวงผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรผมจึงต้องวางแผนอย่างดีเลย

“ไปไหนเหรอ”

“ไปสนามบินสุวรรณภูมิ...จะไปรับพี่พิ้งค์น่ะ”

“ได้สิ ต่อไปคงถึงคิวเราพิชิตใจครอบครัวบลูแล้วสินะ”

“ก็คงประมาณนั้น...พ่อแม่น่ะคงไม่เท่าไรหรอกเพราะท่านก็ใจดีไม่ต่างจากพ่อแม่ของหมอกหรอก...แต่พี่พิ้งค์น่ะสิ...”

“พี่พิ้งค์ทำไมเหรอ”

“เดี๋ยวหมอกเจอก็คงรู้”





.

..

...




ผมและหมอกมาถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิก่อนเครื่องแลนด์ดิ้งประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นเราก็นั่งรอกันที่สตาร์บัคจนเมื่อได้ยินเสียงประกาศว่าเครื่องบินไฟล์ทของพี่พิ้งค์มาถึงแล้ว ผมและหมอกจึงมายืนรอรับพี่พิ้งค์ที่หน้าเกท รอไม่นานก็เห็นพี่สาวผมที่เดินออกมาพร้อมผู้โดยสารคนอื่น ผมยิ้มกว้างแล้วรีบเดินไปหาพี่พิ้งค์โดยที่หมอกเดินตามมาด้านหลัง

“คิดถึงพี่พิ้งค์จังเลย”

“คิดถึงบลูเหมือนกันจ๊ะ...แล้วนี่...” พี่พิ้งค์ผละกอดออกจากผมแล้วมองหน้าหมอกด้วยความงุนงง และก่อนที่ผมจะได้แนะนำหมอกให้พี่พิ้งค์รู้จัก พี่พิ้งค์ก็โพล่งขึ้นมาก่อน

“เพื่อนบลูใช่มั้ยจ๊ะ...พอดีเลย พี่ฝากถือกระเป๋าหน่อยได้มั้ย”

“ได้ครับ”

หมอกรับคำพี่พิ้งค์ แล้วลากกระเป๋าใบใหญ่ของพี่พิ้งค์มาถือแทน ส่วนพี่พิ้งค์ก็เดินนำหน้าพวกเราแต่มืออีกข้างก็ลากแขนผมไปด้วย ผมเลยได้แต่หันกลับไปมองหมอกที่ยังเดินตามหลังพวกเราอย่างขอโทษ


พี่สาวของผมกำลังจะแผลงฤทธิ์แล้วสินะ


“ทำไมบลูต้องรบกวนเพื่อนให้มารับพี่ด้วยล่ะ พี่นึกว่าบลูจะมารับพี่พร้อมกับพ่อแม่ซะอีก”

พี่พิ้งค์กระซิบกระซาบกับผมขณะที่นั่งอยู่ในรถของหมอก ตอนแรกผมจะนั่งข้างหมอกเหมือนทุกที แต่พี่พิ้งค์ก็ให้ผมมานั่งเบาะด้านหลังเป็นเพื่อน ตอนแรกผมก็ค้านว่านั่งอย่างนี้แล้วหมอกเหมือนเป็นคนขับรถให้พวกเรามันจะดูไม่ดี แต่หมอกก็ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ผมจึงต้องขอโทษหมอกผ่านทางสายตาอีกครั้งจนได้

“พ่อกับแม่ไปงานแต่งงาน ก็เลยให้ผมมารับคนเดียว ผมเลยให้หมอกพามารับพี่ไง”

“ทีหลังไม่ต้องรบกวนเพื่อนหรอกนะ เกรงใจเขาน่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกครับ ผมเต็มใจ”

หมอกพูดแทรกเข้ามาในบทสนทนาของผมและพี่พิ้งค์ ผมเลยรีบพยักหน้าสนับสนุนหมอกทันที ส่วนพี่พิ้งค์ก็นั่งเงียบเลย จนเมื่อหมอกมาส่งผมและพี่พิ้งค์ถึงที่บ้านของผม ซึ่งผมเป็นคนบอกทางมาตลอดทาง หมอกก็ช่วยยกกระเป๋าของพี่พิ้งค์ลงมาจากรถจนหมด พี่พิ้งค์ก็หอบกระเป๋าใบโตเข้าบ้านไปก่อนส่วนผมก็ยังยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับหมอกที่ยังมีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เช่นเคย

“ขอโทษแทนพี่พิ้งค์ด้วยนะหมอก”

“ขอโทษทำไม เราไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้ว” หมอกพูดแล้วก็ยกมือขึ้นยีหัวผมเบาๆ ใบหน้าหล่อนั้นยังอมยิ้มอยู่ ส่วนผมนั้นยังรู้สึกผิดแทนพี่พิ้งค์อยู่เลย

“แต่ว่า...”

“เอาเถอะหน่าบลู อย่าคิดมากเลย เข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวเราจะกลับแล้ว”

“อืม ขับรถดีๆนะ ถึงที่คอนโดแล้วโทรมาหาด้วยล่ะ”

“ได้ครับ”

ผมยืนรอจนหมอกขับรถออกไปจากหน้าบ้านแล้ว จึงหันหลังเดินกลับเข้ามาในรั้วบ้าน และก็เห็นพี่พิ้งค์ที่ยืนรอผมอยู่ที่หน้าบ้าน ผมจึงยิ้มให้พี่พิ้งค์แล้วเดินเข้าไปกอดเอวอย่างอ้อนๆ

“ไหนครับ ของฝากจากอังกฤษให้น้องชายสุดหล่ออยู่ไหน บลูอยากดูแล้ว”


พอพระอาทิตย์ตกดิน พ่อแม่ของผมก็กลับมาถึงบ้านพอดี พี่พิ้งค์เอาของฝากจากอังกฤษที่ซื้อมาให้พ่อ แม่ และผมมาวางกลางบ้านและเริ่มให้ทีละคน ของพ่อเป็นเสื้อฟุตบอลทีมโปรดของท่าน ส่วนของแม่เป็นผงชาที่ท่านชอบจนฝากพี่พิ้งค์ซื้อมาถุงที่สามแล้ว ส่วนของผมเป็นขวดน้ำหอมโจมาโลน...กลิ่น Iris & White Musk...กลิ่นเดียวกันกับที่ผมเคยเลือกให้หมอกเลย

“พี่ว่าบลูเรียนมหา’ลัยแล้ว หัดฉีดน้ำหอมซะบ้าง โตแล้วนะเรา”

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะลองใช้ดู”

ผมเก็บขวดน้ำหอมลงกล่องเช่นเดิม จากนั้นครอบครัวของเราก็ขับรถออกไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกัน เรามาถึงร้านอาหารไทยขึ้นชื่อและให้พี่พิ้งค์เป็นสั่งทั้งหมดตามที่พี่พิ้งค์อยากทาน ส่วนผมก็นั่งเงียบๆ ในหัวตอนนี้กำลังเรียบเรียงคำพูดดีๆที่จะบอกเรื่องความสัมพันธ์ของผมและหมอกให้ที่บ้านได้รู้ไปด้วย

“วันนี้เงียบจังเลยบลู ไม่หิวเหรอลูก” เสียงของแม่ดึงผมออกมาจากภวังค์ ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ยิ้มแห้งๆตอบ

“หิวสิครับ...ผมแค่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ”

“คิดอะไรบลู พี่สาวทั้งคนกลับมาจะคิดถึงคนอื่นอีกเหรอ”

“ผมก็คิดถึงพี่พิ้งค์ที่สุดอยู่แล้วหน่า ไม่งอนสิครับ” ผมว่าแล้วก็เอนหัวซบพี่สาวคนสวยอย่างอ้อนๆ เห็นพ่อแม่ที่นั่งตรงข้ามยิ้มให้พวกเรา ผมก็รู้สึกอบอุ่นใจที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวขึ้นมา

“ไม่งอนก็ได้”

พี่พิ้งค์ว่าแล้วก็ลูบหัวผมเบาๆ พวกเราคุยกันเรื่องทั่วๆไปจนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ มีตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ปลาราดพริก ผัดหน่อไม้ฝรั่ง และปูผัดผงกระหรี่ พี่พิ้งค์ตักปูตัวใหญ่ใส่จานผม ตักต้มยำกุ้งให้พ่อและแม่ จากนั้นเราก็เริ่มทานข้าวกัน

ผมที่มองสมาชิกบนโต๊ะกำลังเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า แล้วตัดสินใจว่าเวลานี้แหละควรบอกเรื่องของผมและหมอกให้ครอบครัวทราบเสียที ผมจึงลองเกริ่นขึ้นก่อน

“เออ...ทุกคนครับ ผมมีอะไรจะบอก”

“หืม? เรื่องอะไรเหรอลูก” แม่มองผมอย่างสนใจ และทุกคนบนโต๊ะก็จ้องหน้าผมพร้อมกันทันที ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะบอกออกไป

“ผมมีแฟนแล้วนะ”


เคร้ง!


เสียงช้อนตกกระทบกับจานกระเบื้องทำผมสะดุ้ง พี่พิ้งค์ที่เผลอทำช้อนตกรีบรวบช้อนให้เรียบร้อยแล้วหยิบทิชชู่มาเช็ดรอบจานที่มันเลอะช้าๆ

“ไอ้ลูกคนเล็กของเรามีแฟนแล้วงั้นเหรอ...โตเป็นหนุ่มแล้วนี่นา”

คุณพ่อยังคงยิ้มแย้มไม่ต่างจากคุณแม่ ผมเลยพอโล่งใจได้ว่าพ่อและแม่คงไม่ได้ต่อต้านในเรื่องนี้เสียเท่าไร

“เราคบกันมาได้สักพักแล้วครับ...จะเป็นไรมั้ยครับ ถ้าพรุ่งนี้ผมจะพาแฟนผมมาทานข้าวกับครอบครัวของเรา”

“แม่ก็อยากจะเห็นคนที่พิชิตใจบลูได้เหมือนกัน...แต่ว่าอาทิตย์นี้พ่อกับแม่ไม่ว่างน่ะสิ เดี๋ยวก็ต้องบินไปสัมมนาที่เชียงใหม่แล้ว เอาไว้วันอื่นได้รึเปล่าลูก”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวค่อยหาเวลาว่างๆนัดเจอกันก็ได้” ผมยิ้มอย่างดีใจที่พ่อกับแม่ดูจะตื่นเต้นที่ได้รู้ว่าผมมีแฟนและจะพามาหาพวกท่าน แต่พี่พิ้งค์ที่นั่งเงียบอยู่ข้างผมมานานก็พูดขึ้นเนิบๆ

“แต่พรุ่งนี้พี่ว่าง งั้นเดี๋ยวเราไปทานข้าวกับแฟนบลูดีมั้ยจ๊ะ ถ้าผ่านด่านพี่ได้ กับพ่อแม่ก็คงฉลุย”

“เออ...ได้สิครับ” ผมยิ้มเก้อๆให้พี่สาวที่ยังยิ้มหวานอยู่...แต่ดวงตาของพี่พิ้งค์กลับวาววับจนผมอดขนลุกไม่ได้

“พี่พอจะเดาออกแล้วล่ะ ว่าแฟนบลูคือใคร ตื่นเต้นจังอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆแล้ว”







วันนี้ผมออกจากบ้านพร้อมกับพี่พิ้งค์ในช่วงสาย เมื่อคืนหลังจากทานข้าวเสร็จและกลับถึงบ้าน ผมก็รีบทักหาหมอกและบอกว่าพรุ่งนี้พี่พิ้งค์ให้ออกไปทานข้าวด้วยกันโดยที่ผมและพี่สาวจะไปรับ และตอนนี้พี่พิ้งค์ก็ขับรถมาจอดเทียบที่คอนโดของหมอกแล้ว

“หวัดดีหมอก”

ผมยิ้มให้กับคนที่เปิดประตูขึ้นมานั่งด้านหลัง หมอกยิ้มให้ผมก่อนจะทักทายพี่พิ้งค์ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พี่พิ้งค์แค่พยักหน้ารับไหว้แล้วก็ออกเดินทางไปต่อทันที

เป้าหมายในวันนี้คือพารากอน เรามาถึงช่วงเวลาเกือบเที่ยงพอดี โชคยังดีที่ได้ที่จอดรถมาแบบฟลุ๊คๆในเวลาอย่างนี้ พอเดินลงจากรถเข้ามาในห้าง พี่พิ้งค์ก็เดินอยู่ตรงกลางระหว่างผมและหมอก มือด้านซ้ายก็เกี่ยวแขนผมให้เดินชิดไม่ให้ห่าง

“กินอะไรดีบลู” พี่พิ้งค์หันมาถามความเห็นผม ผมเลยหันไปมองหมอกอีกทีราวกับจะโบ้ยให้พี่พิ้งค์ถามหมอกบ้าง เพราะตลอดทางพี่พิ้งค์ก็คุยอยู่กับผมแค่คนเดียวมาโดยตลอด และทำเหมือนหมอกไม่มีตัวตนอย่างนั้นแหละ

“หมอกอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย” ผมถามแทน เพราะพี่พิ้งค์ยังคงเมินหมอกอยู่เช่นเดิม

“กินอะไรก็ได้ ตามใจบลูเลย”

“ก็เห็นตามใจอย่างนี้ทุกที...” ผมพึมพำให้คนที่ชอบสปอยล์ผมทั้งสองคน สุดท้ายผมก็เลือกร้านบุฟเฟต์ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเสียเลย

พวกเราสามคนเดินเข้าไปในร้านและพนักงานก็ต้อนรับเป็นอย่างดี ผมนั่งข้างพี่พิ้งค์ ส่วนหมอกก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เราสั่งทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู และซีฟู๊ดมาจนเต็มโต๊ะ เมนูวันนี้มันน่ากินจนผมน้ำลายสอ แต่ความน่ากินของอาหารตรงหน้ามันกลับลดลงทันทีเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองทั้งพี่พิ้งค์และหมอก

พี่พิ้งค์ยังคงจ้องหมอกด้วยสายตาประเมินคนตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา ส่วนหมอกก็เริ่มหน้าซีดลงเรื่อยๆ แต่กระนั้นหมอกก็ยังใช้ใบหน้านิ่งๆเคลือบความไม่มั่นใจของตนเองเอาไว้ได้อย่างดี

“กินกันเถอะครับ ถ้าไม่กินผมขอกินก่อนเลยนะ”

ผมพูดขึ้นทำลายสงครามเย็นที่พี่พิ้งค์เป็นคนเริ่มก่อน พอผมพูดอย่างนั้นพี่พิ้งค์ก็หันมายิ้มให้ผมแล้วเริ่มคีบเนื้อลงเตาแล้ว ส่วนหมอกก็เริ่มย่างเนื้อบ้างเช่นกัน ผมแอบถอนหายใจออกมาเงียบๆคนเดียวกว่าทั้งสองคนจะยอมเลิกเล่นสงครามประสาทกันได้ ผมได้แต่ภาวนาให้วันนี้มันผ่านไปเร็วๆ ก่อนที่ผมจะอึดอัดตายเสียก่อน

“บลูชอบเนื้อสันคอใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ย่างให้”

พี่พิ้งค์พูดขึ้นแล้วก็คีบเนื้อลงบนเตา ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วคีบเนื้อหมูสามชั้นที่สุกได้ที่ให้หมอกที่ไม่ได้ขอ แล้วในนาทีต่อมา กุ้งตัวใหญ่ที่หมอกพึ่งแกะเสร็จก็ถูกวางลงบนจานผม

“วันนี้บลูฉีดน้ำหอมที่พี่ซื้อมาให้ด้วยใช่มั้ย พี่ได้กลิ่นตั้งแต่อยู่บนรถแล้วแต่ลืมทัก” พี่พิ้งค์หันมาชวนผมคุย ผมเผลอขมวดคิ้วก่อนจะคลายออก แล้วบอกพี่พิ้งค์กลับไป

“ผมยังไม่แกะออกมาใช้เลย คงจะเป็นน้ำหอมของหมอกนะครับ กลิ่นเดียวกับที่พี่พิ้งค์ซื้อมาฝากเลย”

“บลูเป็นคนเลือกให้ผมครับ” หมอกพูดต่อประโยคของผม ทำเอาพี่พิ้งค์ถึงกับไปต่อไม่ถูกเลย

พี่พิ้งค์ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนั้นพวกเราก็กินเนื้อย่างกันต่อจนอิ่ม มื้อนี้พี่พิ้งค์เป็นคนเลี้ยงทั้งหมด จากนั้นพวกเราทั้งสามคนก็มานั่งกันต่อที่ร้านชาชื่อดังซึ่งขยายสาขามาจากประเทศอังกฤษอีกที พี่พิ้งค์สั่ง afternoon special blend มาหนึ่งพ็อต หมอกสั่ง black tea latte ส่วนผมสั่งพุดดิ้งเค้กมาเพราะอยากกินของหวานมากกว่า

“บลู...แม่บอกว่าฝากไปเอาเสื้อที่สั่งไว้ที่ร้าน Q หน่อย พี่วานบลูไปเอาตอนนี้เลยได้มั้ย”

“ทำไมเราไม่ไปพร้อมกันทีเดียวล่ะครับ” ผมถามอยากสงสัย

“ก็บลูกินพุดดิ้งหมดแล้ว พี่กับหมอกยังกินไม่หมดเลย บลูมาถึงแล้วเราจะได้กลับกันเลยไง”

“เอางั้นก็ได้ครับ” ผมรับคำพี่พิ้งค์อย่างว่าง่าย แล้วเดินออกจากร้านเพื่อไปเอาเสื้อของแม่ที่สั่งเอาไว้ รีบไปรีบกลับดีกว่า ขืนปล่อยให้พี่พิ้งค์อยู่กับหมอกสองคนนานๆ ผมว่าคงไม่ดีแน่






คล้อยหลังบลูแล้ว หมอกก็ยืดตัวตรงก่อนที่ดวงตาเรียวจะสบกับดวงตากลมสวยของหญิงสาวตรงหน้าที่นั่งจิบน้ำชาด้วยท่าทางผู้ดี

“พี่พิ้งค์มีอะไรจะคุยกับผมก็เริ่มเลยดีกว่าครับ”

“รู้ตัวเร็วอย่างนี้ก็ดี งั้นก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน”

พิ้งค์วางถ้วยชาลง แล้วนั่งพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ต่างจากหมอกที่ยังนั่งตัวเกร็งและตีสีหน้านิ่งเคลือบความรู้สึกที่ไร้ความมั่นใจของตัวเองไว้อย่างแนบเนียน

“พี่หวงบลู”

“...”

“บลูเป็นคนเดียวที่พี่รัก และห่วงใยเสมอ...บลูเป็นเด็กน่ารัก บลูขี้อ้อนมาก เมื่อก่อนบลูติดพี่สาวคนนี้มาก แต่พอพี่ไปเรียนต่อที่อังกฤษเราก็เหมือนจะห่างกันไป”

“...”

“เมื่อก่อนเคยคิดว่าถ้าบลูมีแฟนจะเป็นยังไง คนๆนั้นก็สามารถดูแลบลู ปกป้องบลูได้เหมือนที่ครอบครัวของเราดูแลบลูรึเปล่า...ตอนแรกก็กะว่าจะขัดขวางมากกว่านี้อยู่หรอก แต่พอเห็นสายตาของบลูที่มองหมอกแล้วก็ทำไม่ลง พอได้เห็นว่าน้องชายพี่ใส่ใจแฟนตัวเองมากแค่ไหน แค่คิดว่าจะขัดขวางแล้วน้องต้องร้องไห้งอแงพี่ก็ทำไม่ลงแล้ว...”

พิ้งค์นึกไปถึงเหตุการณ์ในร้านบุฟเฟต์ที่ผ่านมา การกระทำเล็กๆน้อยๆที่คนทั้งคู่ทำให้กันอย่างเช่นว่าบลูคอยคีบเนื้อหมูของโปรดให้หมอก หรือหมอกที่คอยแกะเปลือกกุ้งให้บลูอยู่ในเรื่อยๆนั้นอยู่ในสายตาของพิ้งค์อยู่เสมอ ยังไม่นับรวมความอ่อนโยนที่เธอสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อวานที่หมอกและบลูยืนคุยกันอยู่ที่หน้าบ้านของเธอแล้ว

ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าทั้งสองคนไม่ใช่แค่เพื่อนกันแน่นอน

“สัญญากับพี่ได้มั้ยหมอก”

“สัญญาอะไรครับ”

หมอกสบตาพี่สาวของบลูที่ยังมีแววตาเคลือบแคลงเจือปนอยู่ ดวงตากลมสวยคู่นั้นจ้องมองเขาที่มีท่าทีมุ่งมั่นก็เริ่มเบาใจลงได้ว่าผู้ชายคนนี้คงจะดูแลน้องชายของเธอได้อย่างที่เธอหวัง

“สัญญาว่าจะดูแลบลูให้ดี อย่าทำให้บลูร้องไห้ สัญญากับพี่ว่าจะรักบลูให้มากเท่ากับที่พี่รักบลู”

หลังจากได้ยินคำสัญญานั้น หมอกก็อมยิ้มออกมาเพียงนิด ไม่จำเป็นต้องสัญญายังไงเขาก็ทำมันมาตลอดอยู่แล้ว ใบหน้าหล่อจ้องตอบพี่สาวบลูด้วยแววตาจริงจัง ดวงตาเรียวเหลือบเห็นร่างของคนรักที่เดินหอบถุงเสื้อผ้ามาไกลๆแล้ว ริมฝีปากได้รูปก็ขยับปากพูดให้คนตรงหน้ามั่นใจในตัวเขาเสียที

“ผมสัญญาว่าผมจะดูแลและปกป้องบลูให้ดีที่สุด วันไหนที่บลูร้องไห้ พี่ก็ตามมาแหกอกผมได้เลยครับ”



tbc.
ตอนหน้าจะจบแล้วนะคะ ใจหายจังT__T
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 22 พี่สาวขี้หวง -- หน้า 6 --23/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-04-2018 21:03:57
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 22 พี่สาวขี้หวง -- หน้า 6 --23/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 23-04-2018 23:18:38
หมอกคุงทำดีมากลูก!
ชอบประโยคสุดท้ายจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 22 พี่สาวขี้หวง -- หน้า 6 --23/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 23-04-2018 23:27:46
ทำดีมากหมอกๆๆ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 22 พี่สาวขี้หวง -- หน้า 6 --23/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 24-04-2018 00:28:22
ฮืออ จะจบแล้วเหรอคะ ใจหายมากๆเลย จะไม่เห็นน้องบลูอีกแล้วเหรออ แงง ต้องคิดถึงมากๆแน่ๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 22 พี่สาวขี้หวง -- หน้า 6 --23/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 24-04-2018 00:33:53
หวงน้องบลู หวงนิดเดียวเอง หมอกชิลเลยย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 22 พี่สาวขี้หวง -- หน้า 6 --23/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 24-04-2018 01:24:54
เอาใจเราไปอีกดวงไหมหมอก // โดนบลูต่อย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 22 พี่สาวขี้หวง -- หน้า 6 --23/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 24-04-2018 16:11:32
อ่านรวดเดียว 22 ตอนเลย น่ารักมากๆ
 :-[
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Dearbliss ที่ 27-04-2018 20:16:21
บทที่ 23
วาเลนไทน์นี้ไม่โสดแล้ว


ตั้งแต่กลับมาจากพารากอน พี่พิ้งค์ก็เหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนละคน พี่พิ้งค์คนที่เคยมึนตึงและเล่นสงครามเย็นกับหมอกมาตั้งแต่เช้านั้นหายไปแล้ว เหลือแต่พี่พิ้งค์ที่น่ารักของผมและน่ารักเผื่อแผ่ความน่ารักไปถึงหมอกด้วย ถึงผมจะสงสัยว่าทั้งสองคนแอบไปคุยกันตอนไหนแต่ผมก็เก็บความสงสัยเหล่านั้นไว้ในใจดีกว่า

หลังจากที่หมอกผ่านด่านพี่พิ้งค์โดยฉลุยแล้ว พี่พิ้งค์ก็บินกลับอังกฤษไปเรียบร้อย ผมจึงพยายามหาเวลาว่างเพื่อจะพาหมอกไปทานข้าวพร้อมครอบครัวของผม ทั้งพ่อและแม่ก็เอ็นดูหมอกด้วยกันทั้งคู่นั้นยิ่งทำให้ผมโล่งใจโดยแท้จริง ทั้งครอบครัวของผมและครอบครัวของหมอกต่างก็รับรู้สถานะของเราแล้ว หลังจากนี้ไปผมก็คิดว่าคงไม่มีอะไรน่ากังวลอีกต่อไปแล้ว

วันเวลานั้นผ่านไปเร็วอย่างน่าตกใจ รู้ตัวอีกทีตอนนี้พวกเราก็เรียนจบไปหนึ่งเทอมแล้ว ช่วงปิดเทอมระยะสั้นๆเพียงแค่สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมก็นอนเล่นอยู่ที่บ้าน แล้วไปขึ้นดอยกับเดอะแกงค์ของผม ส่วนหมอกนั้นไปเที่ยวทริปต่างประเทศกับครอบครัว...เพราะทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของหมอกเกษียณแล้วทั้งคู่ เลยรอเวลาที่ลูกทั้งสองคนปิดเทอมและไปเที่ยวกันยาวๆถึงสองอาทิตย์เลยทีเดียว ผมจึงได้แต่นั่งดูรูปที่หมอกส่งมาให้ดูอยู่เสมอยามที่ไปเที่ยวแต่ละสถานที่เสมือนว่าผมก็ไปกับหมอกด้วย

เปิดเทอมสองมา พวกเราก็ยังใช้ชีวิตเหมือนนักศึกษาทั่วไป กิจกรรมในเทอมนี้เริ่มเบาลงไปบ้างจากเทอมที่แล้ว แต่พอใกล้จะถึงเดือนกุมภาพันธ์ หมอกก็เริ่มยุ่งขึ้นบ้างแล้ว หมอกบอกผมว่าต้องไปซ้อมบาสเพื่อไปแข่งงานกีฬา ผมไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไรมากมาย แค่รู้ว่าหมอกไปซ้อมบาสก็พอแล้ว ช่วงนี้ผมเลยมีเวลาว่างไปเที่ยวกับเพื่อนของผมมากขึ้นกว่าเดิม

“เลิกแลปวันนี้มึงว่างมั้ยบลู พวกกูจะพาไอ้แอลไปซื้อของจีบสาว”

“จีบสาวเหรอ?” ผมถามอย่างสนใจพลางพับเสื้อกาวน์เข้ากระเป๋าไปด้วย

“อืม...มันจะขอสาวเป็นแฟนวันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้”

โต๋พูดเสริม ผมเลยยืนนิ่งคิดสักพักว่าอีกกี่วันจะถึงวันวาเลนไทน์ แล้วก็พึ่งนึกออกว่าวันนี้คือวันที่ 12 กุมภาพันธ์แล้ว เหลืออีกสองวันก็จะวันวาเลนไทน์แล้วนี่หว่า ผมนี่เรียนจนลืมวันลืมคืนไปแล้วจริงๆ

“ไปด้วยก็ได้ เผื่อกูจะหาของขวัญให้หมอกด้วย”

“จ้า พ่อคนมีความรัก”

ว่านพูดไปเบ้ปากหมั่นไส้ผมด้วย เอ้า! แล้วผมพูดอะไรผิดอ่ะ...





หลังจากกลับมาจากการไปเลือกซื้อของและช่วยแอลคิดแผนเซอร์ไพร์ส(ว่าที่)แฟนแล้ว ผมก็เปิดกระเป๋าเป้เพื่อเอาของที่ผมพึ่งซื้อออกมาดูอีกครั้ง ผมไม่ได้ให้ของขวัญหมอกมานานแล้ว ครั้งล่าสุดก็คงจะเป็นตอนวันเกิดของหมอกนั้นแหละ ผมมองกรอบรูปที่ผมอัดรูปผมที่ถ่ายคู่กับหมอกขึ้นมาดู...ครั้งแรกที่ให้ของขวัญวันวาเลนไทน์กับหมอกก็ตอนม.4 ที่ผมลงมือทำงาน D.I.Y เองซึ่งเอารูปเล็กๆของหมอกมาเรียงให้เป็นรูปใหญ่ขึ้น แต่คราวนี้ผมมีรูปคู่กับหมอกหลายรูปแล้ว เลยอัดให้หมอกหนึ่งรูปและผมอีกหนึ่งรูปเสียเลย...

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้ผมต้องวางกรอบรูปทั้งสองอันลงบนที่นอน แล้ววิ่งไปส่องตาแมวดู เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่หลังประตูผมก็รีบเปิดประตูทันที

“ซ้อมบาสเสร็จแล้วเหรอ”

“อืม...เหนื่อยชะมัด แวะมากินมาม่าที่นี่ได้มั้ย”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ นั่งรอเลยเดี๋ยวทำให้กิน”

ผมว่าแล้วก็เดินไปดูในครัวว่ามีบะหมี่กึ่งสำเร็จรสไหนเหลืออยู่บ้าง เดี๋ยวนี้หมอกชอบให้ผมต้มบะหมี่ให้กินประจำ ยิ่งซ้อมบาสเสร็จก็จะมาขลุกตัวอยู่ที่ห้องผมอย่างนี้ตลอด ผมเลยซื้อของสดมาติดตู้เย็นไว้บ้างแล้วถึงจะทำเป็นแค่ต้มบะหมี่ก็เถอะ

เมื่อต้มเสร็จ ผมก็ยกถ้วยบะหมี่มาวางที่โต๊ะเล็กหน้าโซฟาที่หมอกยังคงนอนแผ่อยู่ พอได้กลิ่นอาหารก็รีบเด้งตัวลุกขึ้นทันที ผมมองร่างเด็กโข่งที่คีบเส้นบะหมี่กินด้วยความเร็วแสงแล้วก็ยิ้มขำ คงจะหิวมากจริงๆอย่างที่บอกไว้นั้นแหละ ผมเลยเดินไปหยิบกล่องแคนตาลูปมาวางบนโต๊ะเดียวกับหมอก แล้วนั่งข้างกันพลางหยิบรีโมตเปิดหาช่องหนังดูไปด้วย

“บลู...อีกสองวันจะวันวาเลนไทน์แล้วนี่”

“อืม ทำไมเหรอ”

ผมหันมามองคนที่ถาม พอมองดูถ้วยบะหมี่ก็พบว่าเหลือเพียงแค่ถ้วยเปล่าแล้ว

“ได้ยินว่าวันนั้นมีประกวดโฟล์คซองด้วยใช่มั้ย”

“ได้ยินมาเหมือนกันนะ จัดช่วงเย็นรึเปล่าไม่แน่ใจ”

วันวาเลนไทน์ที่จะถึงนี้ ทางมหา’ลัยก็มีจัดกิจกรรมวันวาเลนไทน์ให้นักศึกษาได้มาออกร้าน มาทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งวันวาเลนไทน์คงเป็นวันที่นักศึกษาหลายคนต่างเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น แต่ความตื่นเต้นของผมและหมอกคงจะน้อยกว่าคนอื่นเมื่อคิดว่าอีกสองอาทิตย์หลังจากนี้ก็จะเข้าสู่ฤดูกาลมิดเทอมอีกแล้ว ช่วงนี้หมอกจึงมักจะมานอนเล่นที่ห้องผมและหอบหนังสือเรียนเล่มใหญ่มาด้วยเสมอ

“เดี๋ยววันนั้นเราไปเดินเล่นที่งานกันสักหน่อยดีกว่าเนอะ”

“ได้สิ แล้วหมอกไม่ต้องซ้อมบาสแล้วเหรอ”

“ไม่ล่ะ วันแห่งความรักก็ขออยู่กับแฟนสักวันสิ”

หมอกอมยิ้มแล้วก็เก็บจานบะหมี่ลุกขึ้นไปล้าง ปล่อยให้ผมนั่งหน้าแดงอยู่คนเดียวอีกแล้วนะหมอก





 


และแล้ววันวาเลนไทน์ก็มาถึง ผมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นมากเท่าแอลที่จะไปขอสาวที่คุยกันมานานเป็นแฟนในวันนี้ หลังจากที่ผมเรียนเสร็จในช่วงบ่ายก็ไปช่วยพี่สาขาที่เปิดร้านขายของเพื่อหาเงินไปสมทบทุนออกค่าย ซุ้มของพวกผมนั้นขายตั้งลูกชิ้นปิ้ง น้ำอัดลม สติกเกอร์รูปหัวใจ ดอกกุหลาบ แถมยังมีบริการส่งดอกกุหลาบให้คนที่แอบชอบอีก ตอนนี้ไอ้โต๋กับไอ้ว่านก็กำลังวิ่งวุ่นส่งดอกกุหลาบให้ลูกค้าจนหัวฟูแล้วด้วย

งานในวันนี้ถูกจัดที่ลานกว้าง บรรยากาศในงานนั้นเต็มไปด้วยสีชมพูจนผมตาพร่าเบลอ ที่หน้าเวทีกำลังที่ซาวน์เช็คเสียงดนตรีเพื่อจะเล่นดนตรีในช่วงถัดไป ผมมองไปรอบๆงานก็เห็นนักศึกษาที่เริ่มเข้ามาในงานแล้ว บ้างก็มาเป็นคู่ บ้างก็มากันเป็นกลุ่มใหญ่กับเพื่อน

“น้องบลูจ๊ะ หยิบดอกกุหลาบให้ลูกค้าหน่อยจ๊ะ” เสียงของพี่ในสาขาเรียกผมที่กำลังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพียงคนเดียวให้หันไปมอง เมื่อเห็นลูกค้าผู้หญิงสองคนยืนยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า ผมเลยเอ่ยปากถาม

“เอากี่ดอกครับ”

“เอาเก้าดอกค่ะ”

“ได้ครับ”

ผมหันไปเลือกดอกกุหลาบที่มีสภาพสมบูรณ์แบบให้กับลูกค้าทั้งสองคน เมื่อเธอจ่ายเงินให้รุ่นพี่ของผมแล้ว เธอก็หยิบดอกกุหลาบหนึ่งดอกมาให้ผมที่นั่งทำหน้างงอยู่

“ให้น้องบลูค่ะ พี่ชอบน้องบลูกับน้องหมอกมานานแล้ว”

“อ๋อ...ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มบางๆแล้วรับดอกกุหลาบมาอย่างช่วยไม่ได้

“พี่ได้ยินมาว่าน้องหมอกจะร้องเพลงตอนเย็นวันนี้ จริงรึเปล่าคะ”

“เอ๋?...ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยนะครับ”

“อ่าว แต่พี่ได้ยินมาอย่างนี้จริงๆนะ น้องบลูลองถามน้องหมอกดูนะคะ พวกพี่ไปแล้ว สุขสันต์วันวาเลนไทน์ค่ะ”

“ขอบคุณนะครับ”

พวกเธอทั้งสองคนเดินออกไปจากซุ้มแล้ว แต่ว่าคำถามเหล่านั้นยังติดอยู่ในหัวของผม ไม่เห็นจะรู้เลยว่าหมอกจะขึ้นร้องเพลงตอนเย็นนี้ หมอกก็ไม่ได้บอกอะไรผมด้วยนะ

“ไอ้บลู ออกไปเดินเล่นกันป่ะ กูอยากไปซุ้มเภสัชว่ะ พรีมมาขายของด้วยมึง พากูไปขอถ่ายรูปหน่อยดิ”

ว่านที่พึ่งโผล่หน้ามาหลังจากที่ไปส่งดอกกุหลาบให้ลูกค้า ก็มาคะยั้นคะยอให้ผมออกจากซุ้มของตัวเองไปที่ซุ้มของเภสัชฯ ซึ่งพรีมที่มันว่าก็ดาวคณะเภสัชฯ นั้นแหละ ผมรู้จักกับเธอผ่านกองประกวด ถึงจะไม่ได้สนิทกันมากแต่ก็พอคุยกันได้แหละนะ

สุดท้ายผมก็โดนว่านพาลากออกมาจากซุ้ม พอมาถึงที่ซุ้มของเภสัชฯ แล้ว ว่านมันก็ทำตัวดี๊ด๊าแล้วยัดโทรศัพท์ของมันให้ผมถือไว้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังดุนหลังผมให้ไปขอพรีมให้ถ่ายรูปกับมันอีก

“เออ...หวัดดีพรีม”

“อ้าวบลู ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ซื้อดอกกุหลาบสักดอกดีมั้ย” เธอยิ้มแย้มให้ผมแถมยังขายของให้ด้วย ผมยิ้มแห้งๆแล้วส่ายหน้าปฏิเสธเพราะโดนบังคับซื้อดอกกุหลาบจากซุ้มของตัวเองไปแล้ว

“เรามีดอกกุหลาบแล้วล่ะ คือว่าเพื่อนเรามันอยากถ่ายรูปกับพรีมน่ะ ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ย”

“ได้สิ”

พรีมยิ้มกว้าง ผมเลยกวักมือเรียกไอ้ว่านที่ยืนรออยู่หน้าซุ้มให้เดินเข้ามา ว่านมันดี๊ด๊าเกินเบอร์มาก และผมก็กลายเป็นตากล้องจำเป็นให้มันอย่างช่วยไม่ได้ ถ่ายเสร็จพวกเราก็ขอตัวออกมา เมื่อเห็นว่าซุ้มของคณะแพทย์นั้นอยู่ติดกับเภสัช ผมก็เลยเดินเข้าซุ้มของคณะแพทยศาสตร์เสียเลย

ผมเห็นควันที่เดินแบกของเข้าออกซุ้มอยู่ด้านหลัง ส่วนไอติมก็ยืนขายของอยู่ด้านหน้าและเหมือนเป็นมาสคอตของซุ้มที่ทุกคนที่มาต้องขอถ่ายรูปด้วยประมาณนั้น พอไอติมเห็นผมก็ยกมือทักทายแต่เพราะคนที่ต่อคิวรอถ่ายรูปกับไอติมนั้นยาวเป็นหางว่าว จึงทำให้ไอติมปลีกตัวมาหาผมไม่ได้ ผมซื้อสติกเกอร์รูปหัวใจจากซุ้มของคณะแพทย์แล้วก็เดินออกมา กำลังคิดว่าจะเดินไปที่ซุ้มของคณะนิติศาสตร์ บ้าง แต่เสียงกรี๊ดจากหน้าเวทีก็ทำให้ผมชะงักปลายเท้าเสียก่อน

“สวัสดีทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้นะคะ ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่งาน ‘วาเลนไทน์นี้ไม่โสดแล้ว’ ใครมีคู่แล้วก็ขอให้รักกันนานๆ ส่วนใครที่โสดอยู่ วันนี้เราจะไม่นกกันอีกต่อไป มางานนี้ขอให้ได้คู่กลับกันไปทุกคนค่ะ...ซึ่งกิจกรรมในวันนี้นะคะ นอกจากจะมีซุ้มจากคณะต่างๆแล้ว เรายังมีการประกวดโฟล์คซองด้วย และคืนนี้พลาดไม่ได้กับคอนเสิร์ตจากวง...”

ผมยืนฟังพิธีกรพูดรายละเอียดต่างๆในงานวันนี้ ที่หน้าเวทีเริ่มมีผู้คนไปจับจองที่สำหรับดูการประกวดโฟล์คซองแล้ว ผมที่ยังไม่อยากไปดูตอนนี้เลยคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ซุ้มของแต่ละคณะกับว่านแล้วกลับไปนั่งเล่นที่ซุ้มของตัวเองดีกว่า แต่โทรศัพท์ของผมก็ร้องขึ้นก่อนจะได้ออกเดิน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็พบว่าเป็นหมอกที่โทรเข้ามา

“ฮัลโหล”

[อยู่ไหน เรียนเสร็จยัง]

“เรียนเสร็จนานแล้ว ตอนนี้เดินเล่นอยู่ในงานกับว่านอ่ะ ตอนนี้หมอกอยู่ไหนเหรอ” ผมถามพลางชะโงกหน้ามองไปรอบๆด้วยเผื่อว่าจะเจอหมอกอยู่แถวนี้

[เดินมาที่หน้าเวทีสิ เราจะรออยู่แถวนั้นนะ]

“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ”

ผมวางสายจากหมอก จากตอนแรกที่ตั้งใจจะเดินไปที่ซุ้มของคณะต่างๆกับว่าน ผมเลยแยกตัวออกมาจากมันและปล่อยให้ว่านมันเดินทัวร์ไปคนเดียว ส่วนผมก็เดินไปที่หน้าเวทีที่เริ่มมีคนมายืนรวมตัวกันมากพอสมควร ตอนนี้วงโฟล์คซองวงแรกกำลังเริ่มร้องเพลงแล้ว ผมยืนมองไปรอบๆเพื่อหาว่าหมอกอยู่ส่วนไหนของงาน ปกติหมอกจะเด่นออกมาจนสะดุดตาผมเสมอ แต่ตอนนี้ผมก็ยังหาหมอกไม่เจอเสียที หรือหมอกยังมาไม่ถึงกันนะ

“...ครับ สำหรับเพลงแรกก็จบลงไปแล้ว ก่อนที่จะไปฟังเพลงต่อไป วงเรามีแขกรับเชิญสุดพิเศษด้วย เป็นใครลองเดาดูสิครับ”

ผมหันไปมองบนเวทีที่นักร้องบอกว่าจะมีแขกรับเชิญขึ้นมา คนดูด้านล่างส่งเสียงฮือฮาเบาๆ ผมที่ยืนดูเงียบๆก็เลยเผลอลุ้นตามไปด้วย ไหนๆหมอกก็ยังไม่มา งั้นผมขอฟังเพลงโฟล์คซองรอเลยแล้วกัน


“เฮ้ยยยย นั้นมันไอ้แฝดหล่อๆในเพจคูลบอยนี่หว่า”

“หมอกหรือควันอ่ะแก”

“หมอกกกกกกก ใช่หมอกแน่ๆ ฉันพึ่งเห็นควันอยู่ที่ซุ้มคณะแพทย์อยู่เลยแก”

“หมอกกกกกกกกก กรี๊ดดดดดดดดด หล่อมากกกก ไม่ไหวแล้วววว”


ผมตกใจไม่แพ้คนอื่นตอนที่เห็นหมอกเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วเสียงกรี๊ดดังกระหึ่มยิ่งกว่านักร้องเสียอีก พอหมอกนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวที่ทีมงานยกมาให้ สายตาเรียวคมที่ผมคุ้นเคยนั้นก็จ้องมาที่ผมยืนอยู่ ผมสบตากับหมอกแล้วก็ได้ยินเสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกระลอก แต่ตอนนี้ผมหูดับไปแล้ว เลยไม่รับรู้ว่าคนอื่นกำลังพูดถึงผมและหมอกว่ายังไง

“สวัสดีครับ ผมชื่อหมอก จากคณะนิติศาสตร์ครับ”

หมอกทักทายผู้คนโดยรอบ ตอนนี้ผู้ชมที่มายืนดูที่หน้าเวทีนั้นเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นว่าหมอกอยู่บนเวที บางคนก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาอัดวีดิโอแล้วด้วย

“วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ใช่มั้ยครับ...ใครที่มีคนกุมมืออยู่ข้างๆแล้วผมก็ขอให้รักกันไปนานๆนะครับ...ส่วนใครที่ยังไร้คนข้างกาย ผมก็ขอให้ทุกคนได้เจอคนที่ใช่ในเร็วๆนี้...หรือถ้าใครมีคนที่แอบชอบอยู่ ก็อย่าไปกลัวที่จะเข้าไปทักเขาก่อน เดินหน้าไปเลยครับ...บางทีคนที่คุณแอบชอบอยู่เขาก็อาจจะคิดแบบเดียวกันกับคุณ แต่เพราะความกลัวเลยทำให้ไม่สมหวังสักที...”

ทุกคนนั้นนิ่งเงียบราวกับต้องมนต์สะกด และนั่งฟังเสียงทุ้มที่พูดไปยิ้มไป ดวงตาเรียวนั้นยังไม่ละสายตาไปจากผม ซึ่งแววตาคู่นั้นก็สามารถตรึงผมอยู่กับที่ได้อย่างชะงักเช่นเดียวกับคนอื่น

“เหมือนผมที่แอบมองคนๆหนึ่งมานานถึงสองปี เสียเวลาทิ้งไปเปล่าๆจนคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว แต่พอได้กลับมาเจอกันอีกครั้งที่นี่ ผมจึงไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปหาคนที่ผมแอบชอบเลย...ถ้าจนถึงตอนนี้ผมยังไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปหาเขา ผมคงจะไม่เป็นหมอกที่มีความสุขเหมือนทุกวันนี้ก็ได้”


กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ไม่ไหวแล้วแก ฉันฟินไม่ไหวแล้ว

อยากเป็นบลูมากว้อย อยากอยู่ในสายตาของหมอกฮือออออออ


หมอกกระตุกยิ้มมุมปากเรียกเสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกครั้ง ผมได้ยินเสียงหวีดร้องของผู้หญิงด้านข้างและรอบๆตัวที่มีทั้งชื่อหมอกและชื่อผมเต็มไปหมด ผมยังคงยืนนิ่งมองดูหมอกที่หยิบไมค์ออกจากที่ตั้งมาถือไว้

“เพลงนี้ผมขอมอบให้กับคนพิเศษของผม ผมตั้งใจฝึกเพลงนี้มาได้เกือบเดือนเพื่อเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ให้กับเขา ผมอยากตอบแทนของขวัญวันวาเลนไทน์เมื่อสามปีก่อนของเขาด้วยเพลงนี้ครับ เพลงของขวัญจาก the musketeers ครับ”

มีเรื่องราวมากมาย ที่ไม่มีใครได้ฟัง
คำพูดนับร้อยพัน ที่ต้องการเอื้อนเอ่ย
ไม่ว่าจะนานสักเท่าไร
ยังยืนยันคำเดิมเสมอ ไม่เคยเปลี่ยน

ผมไม่สามารถละสายตาจากหมอกได้เลยสักนิด ความทรงจำตั้งแต่ช่วงมัธยมที่ผมเคยแอบมองเขามาเพียงคนเดียวนั้นค่อยๆไหลย้อนเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ ตั้งแต่ตอนนั้นที่ผมไม่เคยหวังว่าจะมีวันนี้ มีวันที่หมอกอยู่เคียงข้างอย่างนี้...

เธอทำให้ฉันรู้และเข้าใจคำว่าสองเรา
ไม่ว่าจะร้อนหรือว่าจะหนาวก็ไม่กลัว
มีเธอที่รักข้างในจิตใจ
ให้ฉันก้าวเดินต่อไป ต่อจากนี้

ตั้งแต่ที่เราคบกันมา ถึงจะมีบ้างที่เราไม่เข้าใจกัน แต่ผมและหมอกต่างก็รู้ดีว่าเราทั้งสองคนต่างพยายามปรับตัวและประคองความสัมพันธ์ครั้งนี้ให้มันดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะเป็นยังไง แต่ในวันนี้...แค่ความรู้สึกตอนนี้มันมีแต่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆผมก็มีความสุขมากแล้ว

เธอและฉัน จับมือเคียงกันนับจากนี้
ผ่านความเดียวดายที่สองเรานั้นเคยมี
เมื่อมีเธอคนที่แสนดีอยู่ตรงนี้
มากกว่านั้น ยิ่งมีกันและกันมากแค่ไหน
มีเพียงคำว่ารักที่สองเรานั้นเข้าใจ
รักเพียงเธอและตลอดไป...แค่เธอกับฉัน

ทุกคนเหมือนต้องมนต์สะกดด้วยน้ำเสียงของหมอกไปแล้ว และพอเพลงจบลงเสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง ผมปรบมือให้กับโชว์พิเศษของหมอกที่ยังเรียกเสียงกรี๊ดไม่หยุดจนหมอกเดินลงจากเวทีไปแล้วก็ยังไม่หยุดกรี๊ดกัน ยิ่งพอหมอกเดินมาจากหลังเวทีและเดินมาทางที่ผมยืนอยู่ ความรู้สึกตอนนี้ของผมเหมือนว่าผมกำลังยืนอยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลท์ยังไงก็ไม่รู้

“ไม่บอกเลยนะว่าจะขึ้นไปร้องเพลงอย่างนี้”

“ถ้าบอกจะเรียกว่าเซอร์ไพร์สเหรอ”

ผมทักคนที่พึ่งลงมาจากเวทีก็เดินตรงดิ่งมาหาผม ใบหน้าหล่อนั้นยิ้มน้อยๆแล้วก็ยื่นดอกกุหลาบที่ซ่อนอยู่ด้านหลังมาให้ผม

“สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ”


กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกแล้ว ผมรับดอกกุหลาบจากหมอกมาแล้วก็ต้องก้มหน้างุด ปกติก็เขินหมอกมาอยู่แล้ว ยิ่งมายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากขนาดนี้ ผมก็ยิ่งเขินน่ะสิครับ T////T

“รู้รึเปล่าว่าดอกกุหลาบดอกเดียวมันหมายความว่าอะไร”

หมอกยื่นหน้าเข้ามากระซิบผม ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อที่ยังเคลือบรอยยิ้มจางๆไว้อยู่บนหน้า ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆเพราะผมไม่รู้ความหมายของมัน

“หมายความว่าอะไรเหรอหมอก”

“หมายความว่าความรักทั้งหมดของหมอกมันมีให้กับบลูคนเดียวไงครับ : )”





Foggy & Smoky : สวัสดีค่า ลูกเพจทุกคนนนนน ไม่ได้เจอกันนานคิดถึงแอดกันมั้ยค่า~~~~
ฮือออออออ งานวาเลนไทน์ที่ผ่านมาแอดฟินตัวเกือบแตก ไม่เคยฟินอะไรขนาดนี้มาก่อน
ก็หนุ่มหมอกของชาวเราเล่นเซอร์ไพร์สน้องบลูต่อหน้าประชาชีเป็นร้อย หวานกว่านี้ไม่มีอีกแล้วค่ะแม่คุณเอ๊ย
เห็นรูปในงานแล้วแอดนึกถึงวันประกวดดาว-เดือนเลย คราวนั้นที่หมอกให้ดอกกุหลาบช่อใหญ่กับบลู
ที่พอรู้ความหมายแล้วชิปเปอร์ตายเกลื่อน เก็บศพกันแทบไม่ทัน รู้ตัวอีกทีเค้าก็ประกาศเป็นแฟนกันแล้ว
แต่วาเลนไทน์ที่ผ่านมามีดอกกุหลาบเพียงแค่ดอกเดียวเท่านั้น ถึงจะดูน้อยกว่างานครั้งนั้น
แต่แอดไปแอบส่องความหมายมาแล้ว รอบนี้ก็ไม่ธรรมดานะคะทุกคน...อยากรู้กันแล้วล่ะสิว่าหมายความว่ายังไง
มาค่ะ แอดจะเฉลยให้ฟัง ตั้งใจอ่านกันดีๆนะคะ

ดอกกุหลาบ 1 ดอก ในภาษาของดอกไม้หมายความว่า ‘ความรักทั้งหมดของฉันมันพุ่งตรงไปหาเธอ’

จุดนี้คือตายค่ะ แอดตายไปเรียบร้อย ที่เห็นว่าอัพเพจได้นั้นคือกายหยาบพิมพ์ค่ะ วิญญาณได้จากไปเป็นที่เรียบร้อย
สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปเก็บศพชิปเปอร์บนเรือต่อก่อนแล้ว แล้วเจอกันใหม่โอกาสหน้านะคะ บ๊ายบายยยย



-จบ-


จบแล้วค่ะ สำหรับวายเรื่องแรกของเรา ใจหายจัง
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกคนที่รักตัวละครที่เราสร้างขึ้นมา
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกคำติชม ทุกยอดวิว จำนวนแฟนคลับที่มันค่อยๆเพิ่มจากศูนย์
มันทำให้เรามีกำลังใจในการแต่งนิยายมากๆค่ะ และเราก็ดีใจที่นักอ่านมีความสุขเพราะนิยายเรื่องนี้
สำหรับนิยายเรื่องแรก เรารู้สึกว่ามันเกินความคาดหมายไปเยอะมากๆเลยค่ะ ขอบคุณจริงๆค่ะ
หลังจากนี้ก็จะพยายามพัฒนางานเขียนของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ติดตามกันต่อด้วยนะคะ

สำหรับรูปเล่ม ตอนนี้กำลังเขียนตอนพิเศษอยู่ จะพยายามเร่งเขียนให้เสร็จเร็วๆ
และถ้าเวลาเหลือ จะพยายามปรับแก้เนื้อหาในส่วนตั้งแต่ตอนที่13-19 ให้มันดีขึ้นกว่าเดิม
ในรูปเล่มเนื้อหาอาจจะไม่เหมือนเว็บนะคะ จะพยายามขัดเกลา และเขียนใหม่ให้ดีที่สุดค่ะ

ส่วนแพลนต่อไปคือเรื่องควันหลงในเดือนหนาว
จะยังไม่ขออัพจนกว่าจะแต่งตอนพิเศษม่านหมอกสีฟ้าจบ
อาจจะกลับมาเจอกับควันและไอติมประมาณหลังเดือนมิถุนาเป็นต้นไปนะคะ
รอหนุ่มควันของเรากันหน่อยน๊า~~~

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ
dearbliss
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-04-2018 20:40:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 27-04-2018 20:41:22
จบได้น่ารักมากเลยค่ะ  :-[
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ ดีต่อใจนะคะ
เราจะไม่พลาดเล่มแน่นอนค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-04-2018 21:09:00
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 27-04-2018 21:13:38
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆนะคะ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 27-04-2018 21:14:52
จบดีฟีบกู๊ดค่ะ น่ารักมาก ขอบคุณมากนะคะ :3123:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 28-04-2018 14:49:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-04-2018 23:06:33
ฟินตาม รออ่านเรื่องของควันต่อนะคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 03-05-2018 08:24:49
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 03-05-2018 21:44:43
ชอบเรื่องนี้มาก เพิ่งเข้ามาอ่านสนุกจนวางมือไม่ได้ ชอบหมอกกับบลูน่ารักดีแอบชอบกันไปมา จนถึงจุดที่มีความกล้าพุ่งเข้าชน นิยายเรื่องแรกผู้แต่งเขียนได้ลื่นไหลดีนะคะสำหรับเรา ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ รอเรื่องของควันนะคะ :pig4: o13
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 04-05-2018 06:20:36
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: monkeytwin ที่ 04-05-2018 20:24:41
 :3123:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-05-2018 20:59:55
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 08-05-2018 16:58:17
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 11-05-2018 16:45:39
 :กอด1: :z3: :hao7:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 04-06-2018 09:59:46
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 12-06-2018 15:59:09
 o13
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 12-06-2018 17:56:44
น่ารักดี..รอเรื่องของควันต่อ   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-06-2018 20:56:18
สนุกมากกก เราอ่านรวดเดียวจบเลยยย ชอบความแฟนในนี้ เขินจนจะปามือถือทิ้ง จะติดตามเรื่องต่อไปนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: numin ที่ 16-06-2018 13:42:57
อ่านรวดเดียว 23 ตอนทีเดียวจบ อื้อออ มันละมุนมากกก

เราชอบการวางขั้นตอน ลำดับเนื้อหา ความค่อยเป็นค่อยไปของทั้งสองคน มันทำให้เราอ่านแล้วอบอุ่นหัวใจ

คือยอมใจในความรัก การที่แบบแอบชอบหมอกมาตลอด และพยายามทำทุกอย่างเพื่ออยู่ในสายตาของหมอก

ส่วนหมอกก็แบบ เง้ออ ขอบคุณที่ตัดสินใจเข้ามาในชีวิตของบูล
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: อ่านแล้วสดชื่น ที่ 16-06-2018 17:58:45
ยอมรับว่านิยายน่าสนใจ จนเรายอมอ่านมาได้ถึงตอน ๑๐ โดยไม่เบื่อเลย เสียดายพล็อตมันซ้ำเดิม ถือว่าเอาไว้ลองฝีมือละกัน เรื่องหน้าขอให้พัฒนามากยิ่งๆขึ้นนะครับ โชคดี
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: ktsingto ที่ 16-06-2018 21:41:14
หมอกบลูน่ารักมากข่าาา  :o8: :-[ :impress2:
เป็นกำลังใจให้นักเขียนน้าา  o13 o13
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: ktsingto ที่ 16-06-2018 21:41:42
หมอกบลูน่ารักมากข่าาา  :o8: :-[ :impress2:
เป็นกำลังใจให้นักเขียนน้าา  o13 o13
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 16-06-2018 23:23:53
งืออออออ ตายอย่างสงบศพสีจมปูวววว~
ทำไมเค้าหวานกันได้เบอร์แรงขนาดนี้
นาทีนี้ขออิจฉาได้ไหมอ่ะ ฮืออ

ปล.ขอบคุณนักเขียนนะคะสำหรับเรื่องราวน่ารักๆ แบบนี้ เป็นกำลังใจให้นะคะ จะรอติดตามผลงานต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 17-06-2018 07:42:05
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: gimini ที่ 21-06-2018 06:55:05
สนุกมากเลยยยยยย เรื่องนี้น่ารักมากๆ ทุกตัวละครคือตัลล้ากกกก ไปหมดเลยยย
เป็นกำลังใจให้ไรท์น้า จะติดตามผลงานต่อๆไปจ้า
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 21-06-2018 23:41:28
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนจบเลย  น่ารักมากๆๆๆๆๆค่ะ รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 25-06-2018 20:19:01
ฟินตั้งแต่ต้นจนจบ
ชอบบูลกับหมอกมาก  :-[ :-[
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Legpptk ที่ 27-06-2018 21:30:45
เนื้อเรื่องน่ารักมาก
เขียนออกมาได้ พอดี ไโซเชียลมากไปจนเอามาเป็นปัญหา
ชอบตอนเขียนให้หมอกน้อยใจว่าบลูรักตัวเองจริงๆหรือป่าว
คือมันสมจริงมาก
เพราะคู่ักอะเวลาคบกันถ้าฝ่ายใน ชัดเจนและพยายามให้มากๆ แต่อีกฝ่ายแสดงออกมาให้รู้สึกว่าไม่เท่าที่ให้ไป ก็จะเป็นปัญหาเสมอ
ชอบที่บลูไม่ฐิทิ และเลือกที่จะพูดคุยกันให้เข้าใจ
สุดท้ายที่อยากบอกคือ หมอกคืองานดีมากกก คือผู้ชายในฝันที่เเท้ทรู อบอุ่น โอนโยน ดูแลดี ทำกับข้าวอร่อย ตามรับส่งแฟน เปิดเผยความรักให้ทุกคนรู้ว่าคบกัน ให้เกียรติบลู พาไป้าน และไปบ้านแฟน
ขอบคุณที่แต่งนิยาย น่ารักๆแบบนี้มาให้ฟินนะคะ ช่วยฮีลเราจากความเครียดต่างๆนานาได้เยอะเลย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Luxfern ที่ 19-10-2018 00:27:22
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: iunoreini2ied ที่ 24-10-2018 19:19:08
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะน่ารักมากๆเลยยยค่ะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 26-10-2018 08:26:17
จบแว้วววววว :o12:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 3 P.1 -- 08/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-10-2018 00:11:42
เอ๊ะ หมอกนี่อะไรยังไงนะ  o8
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 4 - #หมอกบลู vs #เพลิงบลู P.1 -- 10/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-10-2018 00:22:26
ไปค่ะ #ทีมหมอกบลู แน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-10-2018 02:38:59
 :hao7: ตายะ ที่แท้ก็แอบๆ เมียงมองกันมาทั้งคู่ ไปค่ะหมอก

เอาให้มันชัดเจนไปเลย จะได้สบายใจทั้งคู่แถมดับมโนชะนีไป

ในตัวค่ะ ฟิน ฮิฮิ  :heaven
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 29-10-2018 07:01:58
น่ารักมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณนิยายน่าอ่านเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 14 : หึงก็บอกว่าหึง - หน้า 4 --19/03/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-10-2018 12:02:38
โอ๊ยยย น่ารักจังโว้ยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 19 ม่านหมอกกลางใจ -- หน้า 6 --09/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-10-2018 13:14:58
ว้าย น้องบลู~  :hao3:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 29-10-2018 13:49:14
 :serius2: จบแล้วอะ หมอกดูอบอุ่นละมุนละไมมากเลย

เขินจนจะละลายแล้วค่ะ ฮือ ขอบคุณผู้แต่งนะคะ สนุกมากค่ะ

ว่าแต่มีเรื่องควันไหมคะ จะม่าไหม สงสารไอติม
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: yorinsc ที่ 29-10-2018 14:28:18
 :mew1:อบอุ่น
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 29-10-2018 18:36:38
สนุกมาก

อ่านรวดเดียวจนจบ

รอตอนพิเศษอยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 30-10-2018 20:51:50
จบแล้ววววว
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่อิ่มเอมหัวใจแบบนี้นะครับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 31-10-2018 03:03:32
Feel good มากกก น่ารักมากกกแงงงงงง
หมอกคือน่ารักมาก ไม่วอกแวก สนใจแต่บลู
ส่วนควันคือแอบแซ่บ มันเป็นยังไงหึ๊
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 31-10-2018 12:20:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Parapoyfaii ที่ 01-11-2018 00:13:05
อ่านรวดเดียวจบเลยยย
ฟิลกู้ดสุด ชอบความแอบไปแอบมาของทั้งคู่
สมหวังแล้วนะ หมอกบลู
ขอบคุณนักเขียนนะคะ ที่แต่งนิยายมาให้อ่าน
รอติดตามเรื่องของควันนะคะะะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: คุณบี๋ ที่ 03-10-2019 11:38:38
ชอบมากเลยค่าาา  :katai2-1:  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 03-10-2019 16:28:50
งื้ออออ ชอบแบบนี้
น้องบลูน้องหมอก!!!  o13 o13 o13 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 04-10-2019 14:14:51
 :mew4: ฟินหนักมากกก รักแรกก็สมหวัง งื้ออ หวานแท้ ขอบคุณค๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: New_atcha ที่ 01-11-2019 19:27:23
แหมมมม หมอกนี้รุกหนักจริงๆเลย อ่านแล้วน่ารักอ่ะ  :mew3: :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 05-11-2019 12:53:04
กลับมาอ่านอีกรอบก็ยังสนุกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความฟินและความสุข :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 19-11-2019 01:48:05
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน ยิ้มตามเลยครับ น่ารักมาก ๆ เลย
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 28-11-2019 23:38:47
กลับมาอ่านอีกรอบ

หมอกรุกซะบลูตั้งตัวไม่ทันเลย
น่ารักมากกกกก น่ารักทั้งสองคนเลย

แฟนคลับ แฟนเพจก็น่ารัก
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: kamol1620 ที่ 29-11-2019 14:59:32
เรื่องนี้ น่ารักมาก และ สนุกมากค่ะ  :o8: o18
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 30-11-2019 16:15:47
น่ารักมากกกก เป็นเรื่องที่ละมุนสุดๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 01-12-2019 11:23:39
น่ารักมากๆเลย อ่านไปยิ้มไป เขินตลอด ชอบที่ไม่ยืดเยื้อด้วย ฟินสุด  :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 26-03-2020 18:34:13
เนื้อเรื่องน่ารักมากค่ะ ไม่มีดราม่าเลยชอบค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะค่า
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 09:05:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 2 P.1 -- 06/02/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 18-11-2020 23:00:39

บทที่ 2
ยินดีที่ได้รู้จัก

ตะมุตะมิน่าอ่านมาก แอบหวังว่าจะมีมาม่าให้กินอิ่มใหญ่ๆนะ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 7 - เพื่อนไม่สนิท คิด(ไม่)ซื่อ P.2 -19/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 18-11-2020 23:57:57
แค่น้ำหวานบอกว่าชอบหมอก แล้วทำไมใจผมถึงได้รู้สึกหวิวๆก็ไม่รู้
ได้ก่นมาม่าชามโตแล้ว
หัวข้อ: Re: 'ม่านหมอกสีฟ้า' update : ตอนที่ 8 - ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน P.3 -23/02/2018-
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 19-11-2020 00:52:00
Kavi Worakul
Just now

I don’t wanna be your friend
But, I wanna be your boyfriend : )
หมอกทำอย่างนี้น้ำหวานก็หน้าแหกสิ แอบสะใจไม่เล็ก
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 18 พ่อบ้านใจกล้า -- หน้า 6 --05/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 19-11-2020 04:24:53
หมอกยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วลุกไปเข้าห้องน้ำทันที ผมไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ว่าทำไมหมอกถึงต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปแบบนั้น เพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจริงๆ ผมยอมรับว่ากลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะลองศึกษามาบ้างแต่พอถึงเวลาจริงๆผมก็รู้ว่าตัวผมเองยังกลัวและไม่พร้อมสำหรับความสัมพันธ์ของเราที่จะก้าวไปอีกขั้น ผมมองไปที่ประตูห้องน้ำและพึมพำออกมาเบาๆ ไม่ได้หวังว่าหมอกจะได้ยิน แต่ผมหวังว่าหมอกคงจะเข้าใจ
ถ้ามันยากมากปัญหามากนัก หมอกไปคบกับน้ำหวานเถอะ เราเองก็เริ่มรำคาญแทนหมอกแล้ว
หัวข้อ: Re: ' ม่านหมอกสีฟ้า ' update : ตอนที่ 23 (จบแล้ว) -- หน้า 7 --27/04/2018--
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 28-11-2020 23:23:51
จบแล้วน่ารักดีค่ะ
แม้จะมีบางช่วงอ่านแล้วรำคาญบลูนิดหน่อย
ยังไงก็ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายน่ารักๆค่ะ