บทที่ 10
โกหกไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่
ปังๆๆๆๆๆ
“หมอกกกกกกกกก”
ปังๆๆๆๆๆ
“เชี่ยหมอกกกกกกก ตื่นนนนนนนนนนน”
ปังๆๆๆๆๆ
“ตื่น! เดี๋ยว! นี้! ไอ้เหี้ยหมอกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
เสียงที่ร้องตะโกนโหวกเหวกสลับกับเสียงทุบประตูทำให้ผมที่กำลังจมดิ่งอยู่ในความฝันต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่พอจะขยับตัวกลับรู้สึกแน่นที่รอบเอว ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของใครบางคนอยู่ เปลือกตาของหมอกปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ แม้ว่าประตูห้องนอนใกล้จะพังเพราะโดนทุบเต็มที
“จะตื่นดีมั้ยๆ ไม่ตื่นจะพังประตูเข้าไปแล้วนะสาสสสส”
เสียงด้านนอกยังคงดังแทรกเข้ามา ผมที่คิดประมวลผลอยู่ไม่นาน พอรู้ว่าเสียงด้านนอกห้องนอนเป็นเสียงของใครก็ต้องเบิกตากว้าง รีบเขย่าร่างของหมอกที่ยังหลับทันที
“หมอก ตื่นได้แล้ว” ผมว่าและเขย่าร่างของหมอกไม่หยุด คนตรงหน้าถึงค่อยๆลืมตาขึ้น
“หืม?”
“ควันกลับมาแล้ว”
ผมบอก เสียงทุบประตูยังคงดังเป็นจังหวะ ได้ยินเสียงหมอกถอนหายใจแล้วคลายอ้อมกอดออกให้ผมเป็นอิสระ ขยี้ตาแล้วลูบผมที่ไม่เป็นทรงให้มันไม่ยุ่งฟูแล้วก็เดินไปเปิดประตูให้คนด้านนอก ส่วนผมก็รีบหลบอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ไม่รู้กลัวอะไร แต่ไม่อยากให้ควันรู้เลยว่าเมื่อคืนผมค้างที่นี่
“มีอะไร” ผมได้ยินเสียงหมอกถามควัน
“หิว ทำข้าวให้กูกินหน่อย”
“กูไม่ใช่ทาสมึง อยากกินก็ทำกินเองไป๊ คนจะนอน”
“แต่กูไม่อยากกินมาม่า อาหารไร้ประโยชน์แบบนั้นกินไปก็ไม่ได้เสริมสร้างสมองกูเลยสักนิด มึงทำข้าวผัดให้กูหน่อยดิ...ว่าแต่นี่ก็จะเที่ยงล่ะ ทำไมวันนี้มึงตื่นสายจังวะ ทุกทีไม่เคยตื่นเกินแปดโมง”
“เรื่องของกู ถ้าอยากกินก็อย่าถามมาก”
“โอเค งั้นกูไปนอนรอที่ห้อง เสร็จแล้วไปเรียกนะ”
“เออ!”
เสียงประตูห้องปิดลง ผมเลยลองแง้มผ้าห่มออกก็เห็นว่าหมอกยังคงมีใบหน้าที่ยุ่งเหยิง ร่างสูงเดินมาใกล้ผมแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียงกว้าง ผมเลยถดตัวให้หมอกนอนได้สบายมากยิ่งขึ้น
“จะทำข้าวผัดเหรอ” ผมลองถามคนที่ยังนอนอยู่ หมอกพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็เด้งตัวขึ้นมานั่งข้างผม
“มีแต่เราที่ทำอาหารเป็น ส่วนไอ้ควัน...แค่ต้มมาม่าได้ก็บุญหัวมันแล้ว” เหมือนผมถูกด่าไปด้วยเลย แต่ผมยังดีกว่าควันหน่อยตรงที่ยังทอดไข่เป็นล่ะนะ
“มาช่วยทำอาหารหน่อยสิ...เดี๋ยวไปรอข้างนอก อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ตามออกมานะ เสื้อผ้าก็ค้นๆในตู้ในนั้นแหละ อยากใส่อะไรก็ใส่เลย”
พอหมอกพูดเสร็จ ร่างสูงก็ลุกออกจากห้องไปเลย ตั้งแต่รู้จักกันมานี่ชักจะทำตัวเผด็จการขึ้นทุกวัน ผมไม่เคยค้านได้ทัน หมอกก็ชิงหนีไปอย่างนี้ทุกที
แล้วผมเคยปฏิเสธเขาได้ด้วยงั้นเหรอครับ...
หลังจากอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จ ผมก็มองตัวเองในกระจกบานใหญ่ รู้สึกเขินๆยังไงก็ไม่รู้ที่อยู่ในชุดของหมอก พยายามหาเสื้อยืดที่พอจะมีขนาดเท่าตัวผม แต่พอใส่แล้วปลายเสื้อก็ตกเกือบถึงเข่า ผมเลยแก้ปัญหาโดยยัดปลายเสื้อเข้าในกางเกงเลที่มันสามารถใช้เชือกมัดได้ พอมั่นใจว่าทุกอย่างโอเคแล้วก็ลองแง้มประตูห้องดูว่าด้านนอกมีแค่หมอก ผมเลยกล้าเดินออกไป
“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ...มานี่สิ”
หมอกกวักมือเรียกผมที่เค้าน์เตอร์ครัว ผมเลยเดินไปดูว่าหมอกกำลังทำอะไรอยู่ เห็นหมอกกำลังหั่นแครอทเป็นลูกเต๋าชิ้นเล็กๆอยู่ ผมเลยยืนมองอย่างสนใจ
“ให้เราช่วยอะไร”
“เอาต้นหอมพวกนี้ไปล้างสิ”
หมอกชี้ต้นหอมที่อยู่ในถุงพลาสติก ผมพยักหน้าและทำตามที่หมอกสั่งอย่างตั้งใจ พอเรียบร้อยแล้วหมอกก็ไม่ให้ผมทำอะไรอีกเพราะกลัวผมจะเปื้อน สุดท้ายผมก็ได้แต่ยืนมองหมอกเตรียมวัตถุดิบต่างๆ แล้วก็ลงมือผัดข้าวในปริมาณที่มากพอสำหรับผู้ชายสามคนในมื้อนี้
“โอ๊ะ!”
ในขณะที่ผมกำลังยืนดูหมอกทำอาหารอยู่ เสียงทุ้มที่คล้ายกับหมอกจนแทบแยกไม่ออกก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง ผมหันไปมองควันที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนแล้วก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง เลยส่งยิ้มแห้งๆให้กับคนตรงหน้า
“หวัดดี” ผมทักควันก่อน
“ทำไมบลูมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ มาตั้งแต่ตอนไหน” ควันถาม ผมเลยแอบเหล่มองหมอกที่ทำเป็นไม่สนใจในบทสนทนาของผมและควัน ผมเลยหันมายิ้มให้ควันแห้งๆอีกครั้ง
“เออ...คือว่าเราพึ่งมาถึงน่ะ”
ผมปั้นน้ำเป็นตัวสุดชีวิต จะให้ควันรู้ไม่ได้ว่าเมื่อคืนผมมาค้างที่นี่ หมอกก็ไม่ได้พูดอะไรด้วยนะที่ผมโกหกอย่างนั้น เจ้าตัวยังตั้งใจผัดข้าวอยู่หน้าเตาอยู่เลย คงไม่ว่าอะไรที่ผมโกหกหรอกมั้ง
“พึ่งมาแล้วก็ใส่เสื้อหมอกเลยเหรอ...นั้นมันเสื้อตัวโปรดของหมอกเลยนะ”
ควันชี้เสื้อที่ผมใส่อยู่แล้วเดินเข้ามาใกล้ พูดไม่ออกเลยครับ ผมมองเสื้อสีฟ้าที่ใส่อยู่แล้วก็เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ชิบหายแล้วไง
“เออ...บังเอิญจังเลย หมอกก็มีเสื้อแบบนี้เหรอ...แหะๆ”
ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก็หลบตาควันที่ยังไม่หยุดจ้องหน้าผม ได้ยินเสียงหมอกหัวเราะเบาๆแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อด้วย ร่างสูงยังตั้งหน้าตั้งตาผัดข้าวอยู่นั้นแหละ ไม่ช่วยกันเลยโว้ย
“ว่าไงไอ้หมอก มึงมีเสื้อแบบนี้มั้ย” ควันถามช่วย เมื่อหมอกไม่ยอมตอบคำถามผม
“อืม...มีสีขาวแบบนี้อยู่ตัวนึง” พูดพลางตักข้าวผัดใส่จานไปด้วย พอได้ยินอย่างนั้นผมก็เบาใจไปได้หน่อยหนึ่ง และช่วยหมอกยกจานข้าวมาที่โต๊ะทานข้าวด้วย
“เชื่อก็ได้ว่าเสื้อบลู กินข้าวดีกว่า หิว” ควันพูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าโดยไม่สนใจผมและหมอกเลย
“กินเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
หมอกบอกผม ผมพยักหน้ารับคำและมองสองแฝดที่เริ่มกินข้าวกันแล้วจึงหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวผัดสีเหลืองหน้าตาน่าทานขึ้นมาชิมดูบ้าง ควันร้อนๆพร้อมกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก ผมเป่าให้มันเย็นและลองกินคำแรก และเป็นอีกครั้งที่ผมประทับใจในฝีมือการทำอาหารของหมอกมาก อร่อยจนน้ำตาจะไหลเลยล่ะครับ
“ทำไว้เยอะอยู่นะ เดี๋ยวเก็บไว้ให้ในตู้เย็น”
หมอกพูดแล้วก็มองควันที่ยังก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่หยุด ควันเพียงพยักหน้าแล้วก็กินต่อ ผมเห็นความรักความห่วงใยของหมอกที่มีต่อควันแล้วก็อดรู้สึกดีไม่ได้ เห็นแล้วก็คิดถึงพี่พิ้งค์เลย...พี่พิ้งค์เป็นพี่สาวของผม เธอได้ทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษได้เกือบปีแล้ว ทุกวันนี้ผมก็ยังคงติดต่อกับพี่พิ้งค์อยู่เสมอ แต่พวกเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม เลยทำให้ผมอดคิดถึงพี่สาวคนเดียวของผมไม่ได้
“เดี๋ยวเราล้างจานให้นะ”
ผมบอกหลังจากที่ทานข้าวคำสุดท้ายในจานจนหมด ควันก็รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที
“ไม่ได้ๆ จะให้แขกล้างได้ยังไง เดี๋ยวล้างเอง มันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว”
“ไม่ได้หรอก เราก็กินเหมือนกันนะ” ผมแย้ง
“งั้นช่วยกันล้างก็ได้ โอเคมั้ย” ควันยื่นข้อเสนอ ผมพยักหน้าตกลงและช่วยเก็บจานไปที่ซิงค์ ส่วนหมอกนั้นก็ขอตัวไปอาบน้ำ ทิ้งให้ทั้งห้องเหลือแค่ผมและควัน
“นี่...บลู”
ควันทักผม ขณะที่ผมกำลังจะเริ่มล้างจาน ผมมองควันที่ตักข้าวที่เหลือลงในกล่องพลาสติก ดวงตาที่ถอดแบบกันมากับหมอกจ้องผมแล้วก็พูดต่อ
“จะบอกความจริงอะไรให้ฟังอย่างหนึ่ง”
“อะไรเหรอ” ผมถามพลางบีบน้ำยาล้างจานใส่ฟองน้ำไปด้วย
“เสื้อที่ใส่อ่ะ มีตัวเดียวในโลกรู้รึเปล่า”
พอควันพูดแบบนั้น ผมเลยชะงักมือและเงยหน้ามองควันที่ยืนอมยิ้มอยู่ด้านข้าง
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าเสื้อตัวนี้มันมีตัวเดียวไง...ทำไมเราจะไม่รู้ว่ามันเป็นของหมอก ไอ้หมอกมันซื้อเสื้อตัวนี้ที่ญี่ปุ่นตั้งหลายปีแล้ว ความจริงเสื้อตัวนี้มันสีขาวแต่ไอ้หมอกมันเผลอเอาเสื้อตัวนี้ไปซักปนกับกางเกงยีนส์สีเลยตกใส่จนกลายเป็นสีฟ้าแบบนี้”
“...”
พูดไม่ออกเลย...
“เถียงไม่ออกเลยล่ะสิ บอกได้รึยังว่าทำไมถึงได้ใส่เสื้อไอ้หมอกได้ กางเกงเลที่ใส่มันก็ของคณะแพทย์ นี่ไม่ชอบกางเกงเลเลยเอาให้ไอ้หมอกมันเอาไปใส่นอน ถ้าไม่เชื่อก็ดูที่แถบสกรีนด้านข้างสิ”
ผมลืมสังเกตไปเลยว่ามันเป็นกางเกงเลของอะไร เห็นคำว่า MEDICINE ตัวใหญ่ๆแล้วก็อยากเอาหัวจุ่มลงในซิงค์ล้างจานให้มันรู้แล้วรู้รอด ควันหัวเราะร่วน ส่วนผมนั้นทำหน้าไม่ถูกแล้ว หมอกมาช่วยผมด้วยยยยยย
“ฮ่าฮ่า ทำหน้าอย่างนี้แล้วตลกว่ะ”
“อย่าแกล้งเราดิ” ผมตีแขนควันที่หมายจะเอื้อมมาแกล้งผม เห็นควันหัวเราะจนตาหยีแล้วผมก็ยิ่งเขิน เลยเลือกที่จะล้างจานอย่างเดียว ไม่คุยด้วยแล้ว!
“อ้าว งอนเหรอ”
“...” ผมไม่ตอบ แล้วล้างจานโดยไม่หันหน้าไปมองคนที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ไม่รู้แหละ แกล้งผมอย่างนี้ผมก็จะแกล้งงอนคืนบ้าง
“อย่างอนเลย นี่ไม่ใช่ไอ้หมอกนะจะง้อยังไงเนี่ย”
“ยิ่งพูดยิ่งงอนบอกเลย” ผมพึมพำแล้วก็หยิบกระทะมาล้าง แกล้งไม่สนใจควันที่ยืนอยู่ด้านข้างต่อไป
“ไม่พูดแล้วก็ได้...แต่ขอถามอะไรหน่อยได้ป่ะ”
“ถามอะไร” ผมมองควันอย่างไม่ไว้ใจ เห็นสายตาอยากรู้ของเจ้าตัวแล้วผมก็แอบเสียวสันหลังขึ้นมาแปลกๆ
“สรุปว่ากับหมอกเป็นไรกันอ่ะ เป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย”
คำถามของควันทำเอาผมไปต่อไม่ถูก ผมอึกอักและหันหน้าหนีควันที่กำลังลุ้นรอคำตอบ เป็นจังหวะเดียวกับที่หมอกออกมาจากห้องนอนพอดี ผมเลยรีบเดินไปหยิบกระเป๋าของผมแล้วสับขาเร็วๆไปหาหมอก
“กลับแล้วนะหมอก” ผมยิ้มให้ และรีบผละออกมา แต่ข้อมือของผมก็ถูกรั้งไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวไปส่ง”
“อะ...อืม งั้นก็รีบไปกันเถอะ” ผมพยักหน้าตกลงและรีบดึงมือหมอกให้เดินตามออกมา
“เอ้า! ไม่ตอบคำถามก่อนเหรอ” ควันที่ยังยืนอยู่ที่เค้าน์เตอร์ครัวตะโกนเรียกผมไว้ ผมไม่ตอบควันแล้วพยายามจะลากหมอกออกจากห้องให้ได้ แต่หมอกกลับเบรกเท้าไว้เสียก่อน
“คำถามอะไร”
“กูถามบลูว่ามึงกับบลูเป็นแฟนกันแล้วรึเปล่า แต่บลูไม่ยอมตอบกู”
ผมมองควันที่ฟ้องหมอกและยังคงทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็นในเรื่องของผมต่อไม่หยุด ใบหน้าที่ถอดแบบเดียวกันมากับหมอกส่งยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่ดูน่าหมั่นไส้มากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ผมยังคงเงียบและดึงมือหมอกยิกๆ ไม่ต้องไปตอบอะไร ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น กลับเถอะ ผมไม่อยากอยู่แล้ววว
“บลูไม่ยอมตอบมึงเหรอ”
“เออ...มึงจะตอบแทนมั้ยล่ะ”
ไม่เอา ไม่ต้องตอบนะหมอกกกกกกกกก
“ตอบให้ก็ได้...ฟังดีๆล่ะ”
“...”
“ตอนนี้ยังไม่เป็น แต่ในอนาคตมึงก็รอดูเองแล้วกัน”หลังจากได้ยินประโยคนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนว่าหูดับไปแล้ว จากที่เร่งให้หมอกรีบออกจากห้อง กลายเป็นว่าตอนนี้หมอกต้องลากผมออกมาแทน ไม่ได้สนใจเลยว่าควันจะแซวผมกับหมอกมากแค่ไหน รู้ตัวอีกทีผมก็มาถึงหน้าคอนโดของผมเสียแล้ว
“เออ...ขอบคุณที่มาส่งนะ” ผมยิ้มให้หมอกแล้วเตรียมจะลงจากรถเหมือนทุกครั้ง แต่หมอกก็จับมือผมไว้เสียก่อน
“หิวน้ำ ขอขึ้นไปกินที่ห้องได้รึเปล่า”
“น้ำในรถก็มีนี่นา” ผมชี้ไปที่ขวดน้ำที่วางอยู่เบาะหลัง แต่หมอกก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผม
“อยากกินน้ำเย็นๆ อากาศข้างนอกมันร้อนจะตาย อยากกินอะไรที่มันสดชื่นไม่ได้เหรอ”
“แต่...”
“อยากเข้าห้องน้ำด้วย”
เหตุผลล้านแปดขนาดนี้ ถ้าผมไม่ยอมให้ขึ้นห้องก็คงจะใจร้ายเกินไปใช่มั้ยครับ ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆแล้วค่อยๆดึงมือออกจากการเกาะกุม
“ถ้าอยากขึ้นห้องเราก็บอกตรงๆก็ได้ ไม่ต้องอ้างนู้นอ้างนี้หรอก”
“ครับ อยากขึ้นห้องบลูใจจะขาดแล้ว”บางที...ไม่ต้องตรงขนาดนี้ก็ได้มั้ง สงสารหัวใจผมบ้าง...
พอขึ้นมาถึงห้องแล้ว ผมก็ชำเลืองมองว่าหมอกจะทำอะไร เห็นว่าเจ้าตัวเดินไปเดินมาทั่วห้อง สุดท้ายก็นั่งจุมปุ๊กลงที่โซฟาเงียบๆ ผมเลยเอาน้ำเย็นๆมาเสิร์ฟให้แขกคนสำคัญแล้วนั่งลงที่พื้นที่ว่างที่เหลืออยู่
“น้ำ...เห็นว่าหิว”
“ขอบคุณที่อุตส่าห์เชื่อคำโกหกของเรา” หมอกพูดขำๆและยกแก้วน้ำขึ้นจิบ สายตามองไปรอบๆห้องของผมราวกับกำลังประเมินทางสายตาอยู่
“หมอก...”
“หืม?”
“ที่พูดกับควันที่ห้องนั้นพูดจริงๆเหรอ”
ผมถามสิ่งที่คาในใจอยู่ด้วยเสียงแผ่วเบา ถึงจะแอบดีใจที่หมอกพูดแบบนั้น แต่ผมก็อยากได้ความชัดเจนที่มากกว่านี้อีกสักหน่อย
“ทำไมถึงถามอย่างนั้น คิดว่าเราพูดเล่นๆอย่างนั้นเหรอ”
“...” ผมไม่ได้ตอบหมอกออกไป มีเพียงความเงียบที่โรยตัวอยู่รอบๆตัวเราเท่านั้น ผมมองฝ่ามือตัวเองที่ถูกหมอกดึงไปกุมเอาไว้ ก่อนที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าจะเริ่มพูด
“ที่พูดกับควันน่ะหมายความอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด...ที่ผ่านมายอมรับว่ามันคลุมเครือ มันอาจทำให้บลูไม่มั่นใจว่าระหว่างเรามันคืออะไร แต่หลังจากนี้ไปเราสัญญาว่าจะทำให้บลูเชื่อใจเราให้ได้”
“...”
ผมยังคงเงียบ ที่เงียบเพราะพูดไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้
“เราชอบบลูจริงๆนะ”วันที่หมอกบอกว่าชอบผม...
.
..
…
“ไหน เล่าให้กระผมฟังสิครับว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง”
หลังจากที่หมอกกลับไปแล้ว คนที่มานั่งอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ก็คือเพื่อนรักของผมคนดีคนเดิม ว่านนั่งกอดหมอนข้างอยู่ตรงหน้า ทำหน้าอยากรู้ขั้นสุด
“ก็ไม่มีอะไร” ผมเกาแก้มแก้เขิน รู้สึกทำตัวไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้
“อย่าคิดจะตอแหลกับเพื่อนที่อยู่กับมึงมาเกือบสิบปีไอ้บลู”
“ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ กู...”
“กูเห็นว่ามึงพึ่งมาถึงห้องเมื่อชั่วโมงก่อน กูรู้ด้วยว่าเมื่อคืนมึงไม่ได้อยู่ห้อง” ว่านมันทำหน้าเหนือใส่ผม ผมที่กำลังหาทางเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็โดนต้อนจนมุม
“มึงตามติดชีวิตกูขนาดนี้เลยเหรอ”
“ใช่ กูแปลกใจตั้งแต่เมื่อคืนที่มึงไปอยู่ห้องหมอกล่ะ กูเลยลองกลับมาหามึงอีกรอบตอนเที่ยงคืนก็ไม่เห็นใคร”
ว่านพูดขนาดนี้แล้ว ผมจะแก้ตัวอะไรได้อีก ผมถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้มันฟัง
“เออๆ...เล่าก็ได้...หมอกงอนกูเรื่องที่กู...”
สุดท้ายผมก็ต้องยอมเล่าความจริงให้ว่านฟัง ไอ้เพื่อนตัวดีตั้งอกตั้งใจฟังจนผมเล่าจบ ผมมองคนตรงหน้าที่กำลังคิดวิเคราะห์ในสิ่งที่ผมพึ่งพูดจบแล้วก็โพล่งออกมา
“สรุปว่าตอนนี้หมอกชอบมึง ไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนอย่างที่มึงเข้าใจตั้งแต่แรก”
“อืม” ผมพยักหน้างึกงัก
“แล้วมึงล่ะ...ชอบเขารึเปล่า”
คำถามของว่านทำผมชะงัก ความลับที่ผมเก็บเอาไว้คนเดียวตลอดมาโดยที่ไม่มีใครรู้ แม้แต่คนที่สนิทกับผมที่สุดอย่างว่านยังไม่เคยรู้เลยว่าผมแอบชอบหมอกมานานแค่ไหนแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว มีเหตุผลอะไรอีกที่ผมต้องปิดบังความจริงข้อนี้ไว้ ในเมื่อคนที่ผมแอบชอบมานานเขาก็คิดเช่นเดียวกันกับผม
ผมสบตาว่าน...มองแววตาของเพื่อนสนิทด้วยความจริงจัง อยากให้ว่านสัมผัสได้ว่าคำพูดของผมนั้นมันซื่อสัตย์ต่อหัวใจของผมมากแค่ไหน
“กูเหรอ...”
“...”
“ตอนนี้คงเกินคำว่าชอบไปไกลมากแล้วล่ะ”tbc.
ตอนนี้เราขอทอล์คยาวๆหน่อยนะคะ เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมาเราตื่นเต้นมากจริงๆ
หลังจากที่แต่งนิยายเรื่องนี้มาได้สักพัก คอมเมนต์และยอดวิว จำนวนคนเฟบก็ค่อยๆกระเตื้องขึ้นทีละนิด
จนอาทิตย์ที่ผ่านมายอดวิว ยอดเฟบมันขึ้นเร็วมากจนเราตกใจ จนตอนนี้จำนวนแฟนคลับเกินพันคนแล้วT__T
ดีใจมากจริงๆค่ะ ที่นิยายของเราเริ่มมีคนรู้จักแล้ว ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกยอดวิวเลยนะคะ เรามีกำลังใจมากๆ
แล้วในส่วนของช่วงแรกๆที่มีคำสรรพนามเช่นฉันหรือนาย ตอนนี้เราแก้ไขหมดทุกตอนแล้วนะคะ
น้อมรับทุกคำติชม และจะปรับปรุงแก้ไขทุกอย่างให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
มีคอมเมนต์หนึ่งบอกว่าพล็อตเรื่องมันง่ายไป ไม่มีอะไรแปลกใหม่ อันนี้เราก็ยอมรับค่ะ
ซึ่งจุดประสงค์หลักจริงๆของเราในการแต่งนิยายเรื่องนี้ก็คือแนว feel good อ่านง่าย ย่อยง่ายนี่แหละค่ะ
เราอยากให้ทุกคนที่ผ่านเข้ามาอ่านได้ยิ้ม ได้เขินกับหมอกและบลู ได้มีความสุขทุกครั้งที่อ่านนิยายเรื่องนี้
ถ้าคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ยิ้มกว้างเวลาได้อ่านเรื่องราวที่เราสร้างขึ้นมา เราก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้วแหละค่ะ
ต่อไปนี้จะเป็นเวลาขายของ55555 เรื่องนี้เรากะไว้คร่าวๆว่าคงจะมีประมาณ20กว่าตอน นี่ก็มาถึงตอนที่10แล้ว
เราเลยอยากจะมาสอบถามทุกคนว่าอยากได้รูปเล่มหมอกบลูไปกอดกันมั้ยเอ่ย?
เพราะถ้ารวมเล่ม เราก็คงจะพิมพ์เอง จึงมาถามกันตั้งแต่เนิ่นๆ
เพื่อที่จะวางแผนการพิมพ์ หาคนวาดปก อาร์ตเวิร์คต่างๆ จัดรูปเล่มอีก
ซึ่งเวลาในการวาดปกค่อนข้างนาน เป็นเดือนๆเลย เลยจะสอบถามกันตั้งแต่ตอนนี้เลย และทุกๆคนจะได้เตรียมเงินกันไว้ด้วย
เราคาดว่านิยายเรื่องนี้คงจะมีราวๆประมาณ 350-450 หน้า ตอนพิเศษยังไม่แน่ใจ ต้องรอดูก่อนว่าเนื้อเรื่องหลักจะจบที่กี่หน้า
ตอนพิเศษคงจะบวกเพิ่มอีกประมาณ 50-100 หน้าค่ะ ราคาหนังสือจะราวๆ 400-500 บาท ไม่เกินนี้ค่ะ
และเวลาการเปิดพรีจริงๆก็น่าจะช่วงเมษายน ประมาณช่วงสงกรานต์เลยล่ะค่ะ
เลยมาสอบถามกันก่อนเน้อ เผื่อใครสนใจจะได้เตรียมเงินกันไว้
สำหรับคนที่สนใจและจะซื้อแน่นอน ในตอนที่เปิดพรี เราจะแถมสติกเกอร์ให้1ชื่อที่จองต่อ1แผ่นค่ะ
ซึ่งเราจะส่งอีเมล์ไปให้พร้อมกับรหัสของแต่ละคน เมื่อถึงการเปิดจองจริง
ทุกคนที่กรอกในรอบนี้ ตอนที่พรีแล้วก็กรอกรหัสจองที่เราจะส่งไปทางอีเมล์ก็จะได้สติกเกอร์กันทุกคนค่ะ
ส่วนเวลาในการสำรวจ เราจะเปิดสำรวจจนถึงวันที่ 31 มีนาคม ยาวๆไปเลย
ถ้าประเมินแล้วว่ามีจำนวนคนสนใจประมาณเท่าไร เราจะได้กะถูกว่าควรจะแบ่งงบในส่วนอาร์ตเวิร์คเท่าไรดี
อยากให้กรอกกันหน่อยนะคะ จะได้ประกอบการตัดสินใจของเรา
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่รักหมอกและบลูค่ะ
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfI5uF1yFlUCotfjtWgqZMZwSP7IqfxTjMkumbV0f0OnxU-oQ/viewform