✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒  (อ่าน 41251 ครั้ง)

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
แผนการชั่ว

.

.

.

   ภายในห้องสรงน้ำกลางตำหนักรับรองอาคันตุกะคนสำคัญ ปรากฏร่างสูงใหญ่ขององค์ยุพราชนั่งเอนกายพิงขอบอ่างหินอ่อนด้วยท่าทีผ่อนคลายไม่น้อย โดยที่มีนางกำนัลสองตนคอยขนาบข้างเคียงกายอยู่คนละฝั่ง ร่างอรชรของเหล่าอิสตรีนั้นล้วนเปลือยเปล่าอวดเนื้อหนังมังสาอย่างไม่คิดเหนียมอาย มือเรียวสวยทั้งสองคู่ต่างลูบไล้ไปตามมัดกล้ามเนื้อหนั่นแน่นอย่างหลงใหล

   กลิ่นอายดิบกร้าวของอสุราหนุ่มวัยฉกรรจ์ตนนี้ทำให้พวกนางมิสามารถที่จะต้านทานเสน่ห์อันร้ายเหลือของอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย

   เพียงแค่ได้รู้ว่าองค์รามสูรนั้นต้องการให้พวกนางเข้ามารับใช้ในห้องบรรทมก็พาลทำให้ใจดวงน้อยเต้นสั่นไหวไปตามกัน กิจกรรมอุ่นเตียงดำเนินไปจนเกือบรุ่งสางแม้นจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างว่าชายชาตินักรบนั้นมีแรงขับเคลื่อนทางอารมณ์ค่อนข้างสูงกว่าบุรุษทั่วไป

   แต่ผู้ใดจักคิดเล่าว่าอสุราหนุ่มผู้นี้จะมีพละกำลังล้นเหลือถึงเพียงนี้เล่นเอาพวกนางทั้งสามหมดเรี่ยวหมดแรงไปตามกัน

..ใช่ นางกำนัลที่องค์รามสูรเรียกให้เข้ามารับใช้นั้นมีถึงสามนางด้วยกัน

   ..ขนาบข้างสอง...แลกำลังโยกขย่มอยู่บนกายของอสุราหนุ่มอีกหนึ่งนั่นปะไร...

เสียงทุ้มต่ำเครือครางในลำคออย่างพออกพอใจเมื่อถูกนางกำนัลที่เคลื่อนกายอย่างช่ำชองปรนเปรอให้จนสุขสม สองมือกร้านบีบเคล้นลงบนช่วงเอวอวบอิ่มจนผิวเนื้อนวลขึ้นรอยแดง อสุราหนุ่มยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสีหน้าของสตรีคนงามเหยเกเพราะฤทธิ์ตัณหา

นัยน์ตาคมปราบเปล่งประกายวาบเมื่อจิตนาการว่านางกำนัลที่โยกกายขย่มอยู่บนตัวคือนางยักษ์จอมอวดดีตนนั้น...

หลังจากวันนั้นดาหลาก็หาได้เข้ามาถวายการรับใช้เขาในห้องบรรทมตามที่ได้สั่งเอาไว้

ด้วยอารมณ์โทสะที่ยังคุกรุ่นครั้นเมื่อโดนวาริทขัดจังหวะจึงทำให้เขาต้องหาทางระบายออก โดยการเรียกนางกำนัลสามตนนี้เข้ามาเป็นตัวรองรับอารมณ์กดดันทั้งหมด

ตลอดชั่วข้ามคืนที่ผ่านมานางทั้งสามโดนเขาเอาเปรียบจนหมดแรงสิ้นท่าไปตามกัน

...และแน่นอนว่าใบหน้าที่อยู่ใต้ร่างเขานั้นหาใช่รูปโฉมของพวกนางไม่..กลับเป็นภาพทับซ้อนของนางกำนัลชั้นต่ำนางนั้นแต่เพียงผู้เดียว

...ในเมื่อคิดที่จะกล้าลองดีกับเขาเช่นนี้ ก็รอดูแล้วกันว่าผลจะเป็นเช่นไร!

“องค์รามสูรเพคะ..” เสียงออดอ้อนเต็มไปด้วยจริตของนางยักษ์ที่ขนาบอยู่ข้างกายดึงความสนใจให้ต้องหันกลับไปมอง

   มือทั้งสองของนางประคองใบหน้าเขาไว้ก่อนจะดึงลงไปประกบจูบอย่างดูดดื่ม ลิ้นแลกลิ้นโรมรันพันตูกันอย่างถึงพริกถึงขิงทั้งๆที่ยังมีอีกนางวุ่นวายอยู่บนกายแกร่ง

   คิ้วเข้มคลายปมลงก่อนจะตอบสนองกลับไปอย่างสาสมจนพลิกมาเป็นฝ่ายกุมบังเหียนแทน อสุราหนุ่มเป็นฝ่ายถอนจุมพิตเร่าร้อนออกก่อนจะเคลื่อนใบหน้าลงมาคลอเคลียกับเนินเนื้อขาวผ่อง ริมฝีปากร้อนผ่าวขบกัดดูดดึงจนผิวขาวขึ้นรอยแดงเป็นจ้ำเรียกเสียงหวีดร้องอย่างพออกพอใจจากนางได้เป็นอย่างดี

   เสียงหยาบโลนของกิจกรรมเร่าร้อนดังสอดประสานกับเสียงของน้ำที่ล้นออกจากขอบสระ

กระทบกับพื้นจนทั่วบริเวณเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำแห่งอารมณ์ เมียบ่าวทั้งสามต่างปรนเปรอรสรักให้อสุราหนุ่มอย่างไม่มีใครยอมใคร นวลเนื้อเปลือยเปล่าเบียดแอบแนบชิดราวกับต้องการให้ความร้อนระอุของเขาหลอมละลายพวกนางให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น

   แต่แล้วความหฤหรรษ์พลันต้องถูกรบกวนเมื่อบานไม้กั้นถูกเปิดออกจนกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องของสตรีนางหนึ่ง

ถึงกระนั้นรามสูรก็หาได้คิดสนใจไม่ ด้วยเพราะเบื้องหน้ามีร่างอรชรของนางกำนัลบดบังอยู่ ส่วนสองนางที่เหลือก็ต่างรุมเร้าจนแทบจะมองไม่เห็นภาพเบื้องหน้า

   ..แม้นจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญบุกเข้ามาในห้องสรงเช่นนี้ พวกนางทั้งสามก็หาได้ตื่นตระหนกไม่ กลับยังคลอเคลียเรือนกายสูงใหญ่อย่างลุ่มหลงมัวเมาจนไม่สนใจสิ่งรอบกายแม้นสักนิด...

“องค์รามสูรพ่ะย่ะค่ะ...กระหม่อมนำตัวนางมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

   เสียงรายงานอย่างนอบน้อมของทหารเอกทำให้อสุราหนุ่มหยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนนั้นได้สั่งการให้วาริทไปนำตัวผู้ใดมา

   ...มาแล้วหรือแม่ตัวดี...

“ออกไป” น้ำเสียงทุ้มต่ำไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ

   นัยน์ตาคมปราบจดจ้องร่างบอบบางที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน ไหล่ของนางไหวสั่นอยู่เพียงนิดเมื่อต้องกลั้นก้อนสะอื้นที่ตีรวนขึ้นมา ผ้าคลุมไหล่ที่หลุดลุ่ยลงมาเผยให้เห็นว่าบริเวณต้นแขนของนางนั้นปรากฏรอยนิ้วมือเจือจางอยู่ นั่นยิ่งส่งผลให้เรียวคิ้วเข้มของอสุราหนุ่มขมวดมุ่นขึ้นกว่าเดิม

“ไม่ได้ยินที่องค์รามสูรบอกหรือ” เสียงจิกกัดของนางกำนัลที่แนบชิดอยู่บนกายใหญ่ตวาดขึ้นอย่างหลงลืมตน เมื่อเห็นว่าหนามเล่มใหญ่ปรากฏกายกลับมาอีกครั้ง

   ...นางดาหลามันเสนอหน้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน!

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” วาริทค้อมกายให้เจ้านายตนอย่างนอบน้อมเมื่อรู้สึกว่าตนนั้นคงทะเล่อทะล่ามาขัดจังหวะเข้าเสียแล้ว ก่อนจะดึงร่างของดาหลาขึ้นมาอย่างแรงจนกายบอบบางเซเข้าปะทะกับแผงอกแกร่ง

   ..เพียงเท่านั้นเส้นความอดทนก็ขาดผึง

รามสูรขบกรามกรอดเมื่อเห็นว่ารอบข้อมือเล็กแดงเถือกด้วยแรงฉุดกระชากของเจ้าวาริท อสุราหนุ่มปรายตากลับมามองนางกำนัลทั้งสามที่ยังคงนั่งลอยหน้าลอยตากันอย่างไม่รู้สำนึก นัยน์ตาคมปราบจดจ้องร่างอรชรที่อยู่บนกายด้วยสายตาที่เยือกเย็น

   แม้นกายเบื้องล่างจะยังสอดประสานกันอยู่อย่างแนบแน่น แต่ราวสันหลังของนางกลับเย็นยะเยือกเมื่อถูกอีกฝ่ายจดจ้องอย่างไม่วางตา แต่ถึงกระนั้นสายตาที่คุกรุ่นไปด้วยไฟโทสะก็หาได้ทำให้นางหวาดกลัวไม่ กลับเร่งให้ริ้วแดงพาดผ่านใบหน้าด้วยความขวยเขินแทน

“เมื่อสักครู่นี้เจ้าเอ่ยปากไล่ผู้ใดหรือ” น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยถามพร้อมกับฝ่ามือกร้านข้างหนึ่งยกขึ้นลูบพวงแก้มขาวอย่างแสร้งทะนุถนอม “หืม” พร้อมกับก้มลงจูบบนผิวแก้มนวล

   การกระทำอ่อนหวานเช่นนี้ทำให้ในอกของนางสั่นไหวอย่างรุนแรงและหลงคิดระเริงไปไกลว่าองค์รามสูรนั้นต้องมีใจให้กับตนเป็นแน่

   …แต่วาริทรู้ดีว่าการกระทำเช่นนั้นของเจ้านายตนเป็นแค่การหลอกล่อให้เหยื่อตายใจ

   ..อยู่ดีไม่ว่าดีแท้ๆ...

“ก็ไล่นางดาหลาน่ะสิเพคะ” เสียงหวานจิกกัดอย่างมีจริตจะก้าน

   รามสูรยกยิ้มมุมปากขึ้นราวกับว่ารู้สึกพออกพอใจในคำตอบเถรตรงของนางกำนัลชั้นต่ำ ก่อนที่จะ..

เพี๊ยะ!

   ..ฟาดฝ่ามือลงไปบนเสี้ยวหน้างามจนนางหน้าหันไปตามแรงกระแทก

   เสียงกรีดร้องของนางกำนัลที่เหลือดังขึ้นอย่างเสียขวัญเมื่อฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นบีบคางเรียวเล็กไว้มั่น นัยน์ตาคมกล้าวาวโรจน์แปรเปลี่ยนเป็นสีเพลิงด้วยอารมณ์โทสะ ไม่แม้แต่ที่จะสนใจว่าได้ทำสตรีเลือดตกยางออก

“อย่าปากพล่อยเช่นนี้อีก” รามสูรจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีสวยที่โดนม่านน้ำตาบดบังจดมิด “เข้าใจรึไม่”

นางพยักหน้ารัวรับอย่างหวาดกลัวทั้งใบหน้าที่อาบน้ำตา บุรุษตรงหน้าที่เคยร่วมสัมพันธ์กันมาชั่วข้ามคืนนั้นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน

“ออกไปให้พ้นหน้าข้า!”

   เสียงทุ้มต่ำตวาดลั่นก่อนจะสะบัดร่างของนางออกไปให้พ้นกายโดยมีนางกำนัลอีกสองตนช่วยโอบประคองกันออกมาจากสระน้ำด้วยความทุลักทุเล ทั้งสามห่อกายด้วยผ้าคลุมผืนบางก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตำหนักจนแทบจะล้มหน้าคะมำกันเลยทีเดียว

   เมื่อความวุ่นวายผ่านพ้นไป มีเพียงเสียงของผิวน้ำในสระเท่านั้นที่กระทบเข้ากับขอบหินอ่อน ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

แต่แล้วบรรยากาศอึมครึมกลับถูกแทรกด้วยเสียงสะอื้นของสตรีเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้

   ดาหลาห่อกายเข้าอย่างหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่พึ่งจะผ่านพ้นไป นางเสียขวัญอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่าองค์ยุพราชลงมือตบตีนางกำนัลอย่างไม่คิดยั้งมือเพียงเพราะว่าอีกฝ่ายพูดจาไม่เข้าหู อีกทั้งความหวาดกลัวต่อบทลงโทษที่นางคิดขัดขืนคำสั่งของเขาอีก

“วาริท” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกทหารคนสนิท

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ปล่อยมือ”

   สิ้นคำตรัสสั่งอสุราหนุ่มก็ปล่อยให้นางกำนัลข้างกายเป็นอิสระทันที ก่อนจะโดนนัยน์ตาคมกล้าของผู้เป็นนายมองกลับมาเป็นเชิงขับไล่ ทำให้เขาเข้าใจในสถานการณ์ต่อจากนี้ได้ทันที

   วาริทโน้มกายรับอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินกลับออกไปจากห้องสรงน้ำ โดยไม่ลืมที่จะงับปิดบานไม้กั้นให้เรียบร้อยเสร็จสรรพทิ้งให้ลูกกวางน้อยต้องเผชิญหน้ากับราชสีห์ตามลำพัง

   เมื่อไร้ซึ่งบุคคลที่สามทั้งห้องก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง ดาหลาเอาแต่ก้มมองพื้นไม่แม้นแต่ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองอสุราหนุ่มอีกตน นางทำเพียงแค่กระชับผ้าคลุมไหล่ผืนบางเข้าแนบกายราวกับว่ามันจะสามารถปกป้องตนให้รอดพ้นจากอีกฝ่ายได้อย่างไรอย่างนั้น

   รามสูรจดจ้องเรือนกายบอบบางไม่วางตา ก่อนจะลุกขึ้นจากสระแล้วเดินเข้าไปหานางโดยไม่ลืมที่จะหยิบผ้านุ่งเข้ามาพันรอบเอวสอบไว้อย่างหมิ่นเหม่

   เสียงฝีเท้าหนักหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างของนางกำนัลจอมหัวดื้อ ก่อนฝ่ามือกร้านจะช้อนให้ใบหน้างามแหงนเงยขึ้นมาสบตากับตน

เนตรงามคลอเคล้าน้ำตาได้อย่างน่าสงสาร นางกลั้นก้อนสะอื้นเมื่อโดนเรี่ยวแรงมหาศาลบีบปลายคางแน่นจนรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวสนิมของหยาดเลือด

“กล้าดีนะ” รามสูรยกยิ้มมุมปาก “กล้าขัดคำสั่งข้า!” นัยน์ตาคมกล้าเปล่งประกายวาวโรจน์ด้วยแรงโทสะ

   ดาหลาขบเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อความเจ็บปวดบริเวณข้างแก้มเพิ่มมากขึ้น นางส่งเสียงสะอื้นอย่างเสียขวัญเมื่อโดนอีกฝ่ายกระชากผ้าคาดอกออกจนอาภรณ์คลุมกายขาดวิ่น อสุราหนุ่มไม่พูดพร่ำให้เสียเวลาเมื่อนวลเนื้อที่คะนึงหามาตลอดทั้งค่ำคืนปรากฏอยู่ตรงหน้า

ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยแรงโทสะและไฟราคะที่คุกรุ่นตวัดอุ้มร่างของนางกำนัลคนงามขึ้นแนบอก ก่อนจะออกตัวเดินกลับเข้าไปในห้องบรรทมอย่างรวดเร็ว

ร่างบอบบางถูกโยนลงไปบนแท่นบรรทมกว้าง แต่ยังไม่ทันที่จะได้พลิกกายหนีกลับโดนร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มทาบทับลงมาเสียก่อน นางหวีดร้องอย่างน่าสงสารเมื่อโดนอีกฝ่ายซุกไซร้จูบตระโบมเรือนร่างอย่างหยาบโลน หยาดน้ำตามากมายเกลือกกลิ้งลงมาไม่ขาดสายเมื่อโดนความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจ

องค์ยุพราชรวบข้อมือทั้งสองของนางไว้เหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนจะไล่ละเลียดผิวเนื้อนวลอย่างลุ่มหลงมัวเมาในอารมณ์

..เพียงได้กลิ่นหอมของนวลเนื้อขาวผ่องตรงหน้า สัญชาตญาณดิบในกายก็ถูกปลุกเร้าขึ้นอย่างรุนแรง

..ความรู้สึกมันรุนแรงเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ...

แรงขัดขืนจากเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดหาได้สร้างความรำคาญไม่ เพราะเพลานี้เขาต้องการเชยชมแม่เนื้อนิ่มจอมพยศตรงหน้าให้สาแก่ใจ!

มือสากกร้านเลื่อนลงไปปลดผ้านุ่งของอีกฝ่ายจนร่างของนางเปลือยเปล่าในท้ายที่สุด

เมื่อนางสิ้นฤทธิ์ที่จะดีดดิ้นขัดขืนรามสูรจึงยืดกายขึ้นมาเพื่อเชยชมร่างอรชร สายตาเร่าร้อนจดจ้องตั้งแต่ผมยาวสีดำคลับที่ทิ้งตัวแผ่กระจายไปทั่วหมอนปักดิ้นทอง ทรวดทรงองเอวทั่วร่างดูอวบอิ่มงดงามอีกทั้งผิวกายขาวนวลเนียนยังตัดกับเบาะสีแดงเลือดนกได้เป็นอย่างดี

   ดาหลานอนนิ่งให้อีกฝ่ายใช้สายตาโลมเลียอย่างจาบจ้วง เพียงเท่านั้นความกระดากอายก็พลันแล่นริ้วจู่โจมเข้ามาอย่างจัง

“องค์รามสูร..” เสียงหวานสั่นเครือได้อย่างน่าสงสาร “ด...ได้โปรด..ปล่อยบ่าวไปเถิดเพคะ” พลันน้ำตาที่แห้งเหือดไปก็กลับมาไหลรินอีกครั้งเมื่อได้เอ่ยปากเว้าวอน

“เจ้ากลัวหรือ” ร่างสูงใหญ่ลงไปทาบทับตัวกับผิวเนื้อนุ่มจนแนบชิดสนิท ก่อนจะก้มพรมจูบตามแนวลาดไหล่ของนางอย่างหลงใหล

   อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้าตอบรับอย่างหมดหนทางสู้ หวังเพียงใช้ไม้อ่อนเพื่อให้อสุราหนุ่มนึกสงสารและปล่อยตนไป

   ทางฝ่ายรามสูรเมื่อเห็นท่าทีที่โอนอ่อนลงของนางกลับนึกพอใจขึ้นมาอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อหวนนึกถึงคำบอกเล่าของวาริทเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมากลับทำให้ไฟโทสะลุกโชนขึ้นมาอีกหน...

‘กระหม่อมได้ยินเหล่านางกำนัลพูดกันว่า นางดาหลานั้นมีใจให้กับจอมทัพวศินอยู่ไม่น้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ’

   …เพราะเหตุนี้สินะถึงได้เล่นตัวกับเขานัก!

“ไม่ต้องกลัว” เสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบต้นแขนเนียนราวกับว่าต้องการปลอบประโลม “ข้าจะช่วยเอ็นดูคนของจอมทัพวศินให้มาก”

   สิ้นประโยคพลันกายของดาหลาก็เย็นเฉียบขึ้นมาทันใด ตามแนวสันหลังชาวาบเมื่อได้ยินชื่อของบุคคลในดวงใจหลุดออกมาจากปากของฝ่ายศัตรู นัยน์ตาสวยเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึงด้วยความคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ความในใจของนาง

“ว่าอย่างไรเล่าดาหลา” ปลายนิ้วเกี่ยวเส้นผมที่ปรกใบหน้านวลไปทัดหูให้อย่างเบามือ “จะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้ากับมันมีความสัมพันธ์กันเยี่ยงไร” แม้นการกระทำจะอ่อนโยนแต่น้ำเสียงกลับแฝงแววคุกคามอย่างเห็นได้ชัด

   สตรีใต้ร่างทำเพียงแค่เสหน้าหลบออกไปอีกทางพร้อมด้วยหยาดน้ำตาที่เกลือกกลิ้งลงมาคลอเคลียที่ข้างแก้มอิ่ม

   ..ละอายใจเหลือเกินที่ถูกล่วงรู้ความรู้สึกที่น่ารังเกียจเช่นนี้

   ..เพราะมีแค่นางเท่านั้นที่เป็นฝ่ายรักท่านวศินอยู่เพียงผู้เดียว...

“..หามิได้เพคะ” ดาหลาข่มกลั้นความอดสูเอาไว้อย่างถึงที่สุด “กับท่านวศิน...หาได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอันใดต่อกันเพคะ”

“หึ...เจ้ายักษ์ทื่อมะลื่อนั้นคงไม่ได้รับรู้อะไรเลยสินะ” น้ำเสียงเย้ยหยันกล่าวอย่างถากถาง “แต่ก็นับว่าดียิ่งนัก..” อสุราหนุ่มเดาะลิ้นเข้ากับกระพุ้งแก้มอย่างสะกดกลั้นอารมณ์เบื้องต่ำที่โหมกระพือเมื่อใช้สายตาโลมเลียร่างนวลเนียนของนางกำนัลคนงาม “…เพราะข้าก็ไม่คิดที่จะรับของเหลือจากสวะพรรคนั้นเป็นแน่”

   สิ้นคำกล่าวร่างสูงใหญ่ก็พลิกกายของดาหลาให้กลับมานอนใต้ร่างตนดังเดิม ก่อนจะปลดผ้านุ่งของตนออก

เนื้อแนบเนื้อไร้ซึ่งอาภรณ์ขวางกั้นอีกต่อไป เสียงสะอึกสะอื้นของดาหลาร่ำร้องจนแหบแห้ง

แม้นกายจะสยบให้กับพละกำลังของอีกฝ่ายแต่ใจนั้นหาได้ปฏิพัทธ์แต่โดยดีไม่..

   ..เป็นเพียงนางกำนัลชั้นต่ำ...มีหรือจะสามารถขัดความต้องการของเจ้านายได้..

   เสียงโลมเลียนวลเนื้ออย่างหยาบโลนดังขึ้นไม่ขาดสาย เมื่อสองร่างรวมเป็นหนึ่งได้สำเร็จอสุราหนุ่มผู้ควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องบนก็หาได้ปราณีไม่ เรี่ยวแรงมหาศาลขับเคลื่อนถาโถมเข้าใส่จนนางไร้ซึ่งแรงกำลังที่จะขัดขืนทำได้เพียงแค่ปล่อยให้อีกฝ่ายตักตวงทุกอย่างจนกว่าจะพอใจ

   ..หยาดเหงื่อมากมายชุ่มฉาบทั่วผิวกายจนล้อเข้ากับแสงของเปลวไฟจากตะเกียง...

   เสาเรือนของแท่นบรรทมหลังงามไหวไปตามจังหวะการเคลื่อนกายที่สอดประสานแนบแน่น ผ้ามุ้งบิดพลิ้วเป็นระลอกคลื่นส่งเงาทาบทับลงบนแผ่นหลังกว้าง

ร่างสูงใหญ่ขับเคลื่อนกายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ราวกับอาชาศึกกำลังห้อตะบึงควบอย่างบ้าคลั่ง

แสงของเปลวเทียนที่อยู่ในตะเกียงวูบไหวไปตามแรงอารมณ์ ไฟราคะโหมกระพือมอดไหม้ทุกสิ่งรอบกายให้แหลกสลายเมื่อได้เชยชมกลิ่นหอมของดอกไม้แรกแย้ม

   ไม่รู้ว่าเวลานั้นผ่านล่วงเลยไปนานเท่าใด รู้ตัวอีกทีดาหลาก็สลบคาอ้อมกอดตนไปเสียแล้ว..

รามสูรคลายฝ่ามือที่กอบกุมกับอีกฝ่ายไว้แน่นก่อนจะพลิกกายให้นางลงไปนอนอยู่เคียงข้างกัน นัยน์ตาคมกล้าทอแสงอ่อนลงเมื่อพิศมองรอยช้ำที่ขึ้นอยู่ทั่วผิวกายเนียน ใบหน้างดงามยังคงปรากฏรอยชื้นของคราบน้ำตาอยู่บริเวณหางตา

   ..เพราะนางนั้นหอมหวานเกินไป...จนตัวเขานั้นเผลอลงแรงด้วยอย่างบ้าคลั่ง...

   นัยน์ตาคมทอดมองร่างบอบบางอย่างพินิจพิจารณาอยู่เพียงครู่ ก่อนจะดึงผ้าแพรขึ้นมาคลุมกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายไว้ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างกายอย่างโหยหาจนเขานั้นยังนึกแปลกใจตนเอง

   กับนางกำนัลตนอื่นเมื่อเสร็จกิจแล้วก็จะถูกไล่ตะเพิดอย่างสาดเสียเทเสียเพราะเขามิอาจที่จะร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางกำนัลชั้นต่ำได้ไม่ว่าจะหน้าไหนก็ตาม

   ..แต่กับดาหลานั้นแตกต่าง...

เมื่อได้สานสัมพันธ์ลึกซึ้งแล้วหาได้มีความรู้สึกที่อยากจะผลักไสนางออกไปให้พ้นกายไม่ อีกทั้งยังไม่ได้รู้สึกรังเกียจเหมือนดั่งที่ผ่านๆมาอีกเสียด้วยซ้ำไป...



   ในช่วงปัจฉิมยามบรรยากาศโดยรอบตำหนักรับรองพระราชอาคันตุกะนั้นเงียบสงัด มีเพียงองครักษ์สองนายที่รามสูรได้มอบหมายให้มาเฝ้าหน้าพระตำหนัก

   อสุราหนุ่มสองตนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่ไม่ทันใดก็พลันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในครรลองจักษุ

นัยน์ตาคมจดจ้องเงาตะคุ่มที่เลียบเคียงอยู่ตามแนวกำแพงพระราชวังอย่างไม่วางตา ทั้งสองจึงส่งสัญญาณให้อย่างเข้าอกเข้าใจกันดี พลางมือก็เลื่อนลงไปจับกระชับศาสตราวุธประจำกายแน่น

   เพียงไม่นานเงาปริศนาก็ทอดเดินเข้ามาตามทางเดิน องครักษ์นายหนึ่งย่างก้าวออกไปรับหน้าคอยกันท่าเมื่อเห็นว่ามีผู้มาเยือน ฝ่ายนั้นสวมเสื้อคลุมสีมืดทึบชายผ้ายาวจนปกปิดใบหน้าทั้งหมดเอาไว้

“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงเข้มขู่กรรโชกทำให้อีกฝ่ายต้องหยุดตามคำสั่ง “มีธุระกงการอันใด”

“ข้าอยากจะขอเข้าเฝ้าองค์รามสูร” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยตอบอย่างสุขุม

“เพลานี้น่ะรึ” องครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเท่าใดนักเมื่อได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย จากนั้นจึงได้ออกปากไล่ “กลับไปเสีย”

“เรื่องสำคัญ” ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น “...ไปแจ้งให้ท่านวาริทรู้เสีย”

   เมื่อสังเกตให้ดีพลันก็จำได้ทันทีว่าเจ้าคนปริศนานี้เป็นผู้ใด...ที่แท้ก็เป็นทหารของนครคีรีตนนั้นนี่เอง

“เช่นนั้นจงรออยู่นี่สักประเดี๋ยว”

   องครักษ์หนุ่มหันกลับไปพยักหน้ากับสหายอีกตนที่ยืนสังเกตท่าทีอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปในพระตำหนักเพื่อแจ้งให้วาริทได้ทราบความ

 

   วาริทนั่งเคร่งขรึมอยู่บนตั่งหน้าห้องบรรทมเพื่อรอเฝ้าถวายการรับใช้เจ้านายตน พลันเห็นองครักษ์เดิมดุ่มๆเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อนก็ลุกขึ้นยืนรอฟังความที่อีกฝ่ายจะนำมาแจ้ง

“มีเหตุอันใด” วาริทลดเสียงให้เบาราวเสียงกระซิบ ทั้งสายตายังคอยมองกลับไปทางห้องบรรทมเพราะเกรงว่าเสียงจะไปรบกวนองค์รามสูรเข้า

“ทหารของนครคีรีตนนั้นจะมาขอเข้าเฝ้าองค์รามสูรขอรับ” อสุราหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นแต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาก็พลันหายสงสัยได้ในทันที “ทั้งยังบอกอีกว่ามีเรื่องสำคัญ ให้มาแจ้งให้ท่านวาริททราบขอรับ”

   …เจ้ากรรณทำงานได้รวดเร็วกว่าที่คิด

   เมื่อได้รับสารครบถ้วนจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว นายทหารเอกทำเพียงพยักหน้ารับความก่อนจะไล่ให้องครักษ์หนุ่มกลับไปเชิญแขกให้เข้ามาในโถงรับรองอีกทั้งยังกำชับไว้มั่นว่าให้รักษาการณ์ให้ดีอย่าให้ผู้ใดเข้ามารบกวนเด็ดขาด

   วาริทค่อยๆเลียบเคียงเข้าไปใกล้บานประตูห้องบรรทมอย่างระมัดระวังทุกฝีก้าว ก่อนจะผลักบานไม้สลักลายงดงามออกจากกันอย่างเบามือ

   อสุราหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หลังฉากกั้นก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นรอถวายความนายของตน

ระหว่างนั้นนัยน์ตาคมพลันสังเกตเห็นผ้าผ่อนที่กระจัดกระจายตกอยู่บนพื้นข้างแท่นบรรทม ผ้ามุ้งที่ผูกติดกับเสาบางผืนนั้นก็หลุดลุ่ยลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นเพียงไม่นานมานี้จะร้อนเร่าเพียงใด

   ..ก็นั่งเฝ้าอยู่ด้านหน้าตลอดมีหรือจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยได้อย่างหน้าตาเฉย…


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
ชั่วยามที่ผ่านมาเขานึกสงสารนางกำนัลตนนั้นอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาคอยรองรับแรงอารมณ์ดิบเถื่อนของเจ้านายตน ขนาดสามนางก่อนหน้าคอยแบ่งรับแบ่งสู้กันยังหมดเรี่ยวหมดแรงจนแทบจะต้องแบกหาม แต่นี่นางกลับรับหน้าที่นั้นอยู่เพียงผู้เดียวจึงอดที่จะหวั่นในอกไม่ได้ว่าสภาพของนางนั้นจะชอกช้ำเพียงใด...

“ว่าอย่างไรวาริท” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามออกมาจากหลังฉากกั้น ฟังก็รู้ว่าตอนนี้นั้นผู้พูดคงไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

“มันมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ถวายทูลความด้วยเสียงที่เบาราวกับจะหายไปกับสายลม

   จะไม่ให้ลดเสียงได้อย่างไร เมื่อพอแอบลอบมองลอดผ่านช่องลายสลักของฉากกั้นเข้าไปนั้นก็ได้พบว่านายของตนกำลังตระกองกอดร่างของนางกำนัลตนนั้นอยู่...

   อยู่เฝ้ารับใช้องค์รามสูรมาก็ตั้งหลายปีดีดัก เหตุการณ์เช่นนี้เคยพานพบเสียเมื่อไร

หากพวกนางที่ผ่านมาไม่ลงมานอนที่พื้นก็จะโดนตะเพิดเปิดเปิงให้ออกไปหลังจากเสร็จกิจ หาได้มีช่วงเวลาที่นายของตนจะมาคอยพะเน้าพะนอตระกองกอดเช่นนี้ไม่

“อืม” รามสูรเพียงพยักหน้ารับก่อนจะดึงผ้าแพรผืนบางขึ้นมาคลุมไหล่เปล่าเปลือยของนางในอ้อมกอดไว้เมื่อสังเกตเห็นว่าเจ้าวาริทมันลอบมองเข้ามาอย่างสนใจใคร่รู้ “..เจ้าออกไปก่อน”

   วาริทขานรับคำสั่งอย่างนอบน้อมก่อนจะถอยออกมาจากห้องบรรทมอย่างเงียบเชียบโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูบานไม้ให้พร้อมเสร็จสรรพ

   คล้อยหลังทหารคนสนิทรามสูรก็ได้หันกลับมาสนใจคนที่นอนหลับใหลไม่รู้เรื่องราวอยู่ในอ้อมกอดของตนอีกครั้ง

   แสงนวลของเปลวไฟในตะเกียงฉาบไล้เข้ากับใบหน้างาม กลิ่นของกำยานหอมอบอวลชวนให้ผ่อนคลายเมื่อได้เพ่งพิศมองผิวเนื้อขาวผ่องตรงหน้า ปลายนิ้วยกขึ้นมาลูบไล้ผิวแก้มนวลก่อนจะเกลี่ยเส้นผมที่ระอยู่ไปทัดไว้ข้างใบหูให้อย่างเบามือ

   ..นางช่างเย้ายวนแม้นในยามที่หลับใหล

   กลิ่นหอมรัญจวนใจที่ถูกตนกอดนั้นตลบอบอวลอยู่ทั่วบริเวณจนมิสามารถที่จะข่มตาหลับได้ อยากที่จะละเลียดลิ้มรสไปเสียทุกส่วนจนยากที่จะห้ามปรามตนไว้ได้

สุดท้ายก็ปล่อยให้ตนเอาเปรียบนางไม่หยุดหย่อนเช่นนี้

   ..ดาหลาดอกนี้ถูกหลอมด้วยไฟปรารถนาจากเขาช่างเย้ายวนชวนให้ลุ่มหลงอย่างร้ายเหลือ...

   ลมหายใจร้อนระอุที่รินรดอยู่ข้างซอกคอและอ้อมกอดที่โอบรัดอยู่รอบกายนั้นทำให้ผู้ที่กำลังติดอยู่ในห้วงนิทรายื้อกายหนีเมื่อรู้สึกว่าไม่สบายตัว

แต่ถึงกระนั้นผู้ที่กระทำก็หาได้สนใจไม่ กลับตรึงร่างของนางให้เข้ามาแนบชิดกายยิ่งกว่าเก่าพร้อมกับเชยคางมนให้แหงนเงยขึ้นมาป้อนจุมพิตแนบแน่น

จนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมของวาริทที่ยืนคอยท่าอยู่หลังบานประตูไม้ดังขึ้นแผ่วเบาเป็นเชิงเตือนว่าให้เร่งรีบออกมาเสียที ทุกสิ่งทุกอย่างจึงจำเป็นต้องหยุดลงไว้เพียงเท่านี้ก่อนที่มันจะเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้วทำให้เสียการเสียงานเอาได้

   อสุราหนุ่มประคองร่างของนางให้ลงนอนอย่างเบามือก่อนจะตวัดผ้าแพรขึ้นมาคลุมกายเปลือยเปล่าไว้จนมิด

ทั่วผิวกายขาวผ่องปรากฏรอยแดงช้ำเป็นจ้ำอยู่หลายแห่ง ไม่เว้นแม้กระทั่งปลีน่อง แสดงให้เห็นว่าค่ำคืนที่ผ่านมานั้นทั้งสองได้แนบชิดลึกซึ้งกันมากเพียงใด..

    รามสูรผละออกมาจากกายอุ่นลงมาจากแท่นบรรทม พร้อมก้มลงหยิบผ้านุ่งผืนเดิมที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาพันไว้รอบเอวสอบก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้องเพื่อไปสะสางกิจให้แล้วเสร็จ

   วาริทค้อมกายอย่างนอบน้อมเมื่อเห็นว่านายของตนก้าวออกมาจากห้อง

“มันอยู่ที่ใด” รามสูรเอ่ยถาม

“โถงรับรองพ่ะย่ะค่ะ”

   องค์ยุพราชออกเดินนำไปยังที่หมายโดยมีทหารเอกตามหลังมาไม่ห่าง และนั่นจึงทำให้วาริททันสังเกตเห็นรอยเล็บข่วนยาวเต็มแผ่นหลังกว้าง

   ที่ทำให้เขาต้องแปลกใจก็คือโดยปกติแล้วยามที่องค์รามสูรร่วมเสพสังวาสกับผู้ใดก็ตามฝ่ายนั้นจะไม่มีทางได้ฝากร่องรอยทิ้งไว้เช่นนี้เป็นแน่

แต่นี่นายของต้นถึงกับยอมเลือดตกยางออก เห็นทีนางกำนัลตนนั้นจะได้รับความนิยมชมชอบอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

   ..พูดง่ายๆก็คือองค์รามสูรหลงเมียบ่าวตนนั้นเข้าให้แล้ว...

   เมื่อเดินมาถึงโถงรับรองก็ได้พบร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มตนเดิมที่ยังคงท่าทีกระด้างกระเดื่องไม่เปลี่ยน

   เห็นดังนั้นวาริทจึงตั้งท่าที่จะเข้าไปจัดการอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจเท่าใดนัก แต่กลับโดนผู้เป็นนายยกมือห้ามปรามไว้เสียก่อน

“อย่าทำให้เสียการเสียงานวาริท” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอกอย่างนุ่มนวลพร้อมกับนั่งลงบนตั่ง ก่อนจะชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับเอนกายอิงหมอนอย่างเกียจคร้าน

   กรรณจดจ้องอีกฝ่ายอยู่เพียงครู่ก่อนยื่นส่งม้วนกระดาษให้กับวาริทที่เดินมารับไปถวายแก่องค์รามสูร

   ผู้มีอำนาจสูงสุดภายในตำหนักคลี่ม้วนกระดาษออกด้วยท่าทีไม่รีบร้อน นัยน์ตาคมกวาดไล่อ่านเพียงผิวเผิน เมื่อได้ตรวจเนื้อหาทั้งหมดจนเป็นที่น่าพอใจแล้วก็ยื่นส่งให้วาริทนำไปมอบคืนให้อีกฝ่าย

“ทำได้ดีนี่” เสียงเย้ยหยันเอ่ยชมอย่างจริงใจ รอยยิ้มมุมปากจุดประกายขึ้นอย่างผู้มีอำนาจเหนือกว่า แต่พลันชั่วครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นการขมขู่ “หวังว่าเจ้าคงจะไม่ลืมแผนการที่เราตกลงร่วมกันไว้..” นัยน์ตาสีเพลิงประกายกร้าว “รู้ใช่หรือไม่...ถ้าหากคิดเล่นไม่ซื่อแม้นเพียงสักนิดล่ะก็” ลดเสียงให้เบาลงแต่กลับดังชัดในความรู้สึกของกรรณยิ่งนัก “…เมียและลูกของเจ้าจักเป็นเช่นไร”

   รามสูรว่าทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะลุกเดินกลับห้องบรรทมไปโดยไม่แม้นแต่จะหันกลับไปมองอีก

   ..อีกเพียงไม่กี่ชั่วยามหลังจากนี้ ทางเจ้าเมืองนครคีรีจะมีการเรียกไต่สวนชำระความเรื่องของสองจอมทัพ

   เขาก็เพียงแค่ยืมมือของเจ้ากรรณสร้างหลักฐานเท็จร่วมประกอบการด้วยเล็กน้อย...ก็เท่านั้น

   ..บอกเล่าปากเปล่าไป..ใครเขาจะเชื่อ..



   ร่างสูงใหญ่หยุดยืนอยู่หน้าประตูเพียงครู่ เมื่อผลักบานไม้ออกจากกันมองพาดผ่านฉากกันไปก็ได้พบเงาร่างสลัวกำลังประคองกายลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล

ดาหลานั่งคู้กายกอดเข่าเข้าหากัน ร่างบอบบางมีเพียงผ้าแพรคลุมปิดช่วงสะโพกเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่เท่านั้น เรียวไหล่สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อก้อนสะอื้นตีรวนขึ้นมาอยู่กลางอก นางพยายามกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้อย่างสุดความสามารถเมื่อได้เห็นร่องรอยที่อสุราหนุ่มตนนั้นตีตราเอาไว้ทั่วผิวกาย

..นึกรังเกียจเดียดฉันท์ตนขึ้นมาทันใด

ร่องรอยบอบช้ำที่ปรากฏขึ้นตามกายหาได้เจ็บปวดเท่าแผลในใจที่ถูกฉีกกระชากอย่างไม่มีชิ้นดี

..แต่ที่นึกรังเกียจมากไปกว่านั้นก็คือความรู้สึกของตนที่พลั้งเผลอไปกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายคอยปรนเปรอให้...

ยิ่งหวนนึกถึงก็รู้สึกราวกับมีมือปริศนาเข้ามาบีบเคล้นในอุราจนปวดร้าว

..นางยอมให้เขาได้เชยชมโดยไร้ซึ่งหนทางโต้แย้ง

..ไม่สามารถที่จะต้านทานพละกำลังของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ได้เลย...

เรียวปากอิ่มบวมช้ำเพราะพิษของจุมพิตร้อนแรงที่อีกฝ่ายบังคับให้ตนรับไว้ตลอดค่ำคืนที่มา

นางเผลอขบเม้มมันจนโลหิตไหลซึมออกมาตามกลีบเนื้อแห้งผาก แต่ก่อนที่จะยกมือขึ้นเช็ดมันออกกลับมีมือปริศนาของใครอีกคนประคองช้อนปลายคางมนให้แหงนเงยขึ้น ก่อนที่สัมผัสอุ่นชื้นจะแนบลงมาข้างมุมปากอย่างนุ่มนวล

…องค์รามสูร

ดาหลาตัวแข็งทื่อเมื่อบุคคลที่ตนไม่อยากพบเจอมากที่สุดในเวลานี้กลับปรากฏกายขึ้นตรงหน้า

ฝ่ามือใหญ่ประคองสองข้างแก้มนวลไว้จนนางมิสามารถที่จะเบี่ยงหน้าหลบหนีได้ ข้อนิ้วแข็งไล้ลูบบริเวณพวงแก้มอิ่มแผ่วเบา เรียวลิ้นร้อนจัดการตวัดเลียหยาดโลหิตที่ผุดซึมขึ้นมาอย่างไม่นึกรังเกียจแต่อย่างใด ก่อนจะต้องจำใจผละออกมาอย่างอ้อยอิ่งเมื่อรับรู้ว่านางกำนัลคนโปรดเริ่มหายใจไม่ทัน

   นัยน์ตาคมกล้าสบประสานเข้ากับลูกแก้วที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ไม่พูดพร่ำทำเพลงร่างสูงใหญ่ก็จัดการตวัดกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายขึ้นอุ้มแนบชิดแผงอกแกร่ง ก่อนจะพาเดินเข้าไปในห้องสรงน้ำ

รามสูรปล่อยให้นางยืนลงบนพื้นข้างสระ พร้อมด้วยหันมาปลดผ้านุ่งของตนออกจากเรือนกายจนเนื้อตัวเปล่าเปลือยเสมอกันทั้งคู่

ร่างสูงใหญ่เดินก้าวข้ามลงไปในสระสรงก่อนจะนั่งลงบนแท่นหินจนระดับน้ำเสมอแผ่นอก นัยน์ตาคมกล้าปรายกลับมามองร่างของคนงามที่ยืนก้มหน้าหลบตาอยู่ข้างสระอย่างไม่สบอารมณ์

“ดาหลา” แต่เสียงที่ใช้เรียกกลับนุ่มนวลกว่าที่คิดจนตนเองยังนึกแปลกใจ “มานี่สิ”

   คราแรกนางอยากที่จะปฏิเสธ แต่เมื่อโดนสายตาข่มขู่มองกลับมาจึงจำใจที่จะต้องเดินลงไปในสระตามที่อีกฝ่ายต้องการ

   กายขาวนวลโดนสายน้ำฉ่ำเย็นโอบล้อมรอบจึงทำให้เนื้อตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งหลักดีกลับโดนวงแขนแกร่งตวัดกอดรัดให้เข้าไปแนบชิดเสียก่อน

   ผิวเนื้อร้อนระอุของบุรุษวัยฉกรรจ์แนบประชิดกับนวลเนื้อขาวผ่อง จากตำแหน่งนี้รามสูรที่นั่งอยู่บนแท่นหินนั้นเป็นฝ่ายที่อยู่ต่ำกว่า ใบหน้าคมคร้ามจึงจัดอยู่บริเวณช่วงเนินอกของอีกฝ่ายพอดิบพอดี มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อยเมื่อช้อนตาขึ้นมองคนงามตรงหน้า

   ดาหลายืนนิ่ง หายใจไม่ทั่วท้องเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแนบเรียวปากร้อนจัดไปตามผิวกาย ใบหน้างดงามเห่อร้อนอย่างอับอายเมื่อความอุ่นชื้นดูดกลืนเนินเนื้อของนางอย่างเอาแต่ใจ

   ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งโอบประคองช่วงหลังสะโพกไว้กันไม่ให้นางหนี ส่วนอีกข้างก็ทำหน้าที่ได้ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ปลายนิ้วซุกซนลูบไล้ไปทั่วนวลเนื้อจนได้ยินเสียงหวานคราเครืออยู่ข้างใบหู

..เรียวปากร้อนละเลียดลงมาต่ำป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณหน้าท้องแบนราบนานเป็นพิเศษ...

   ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดอยู่ใกล้แอ่งสะดือทำให้ดาหลาเผลอยกแขนขึ้นโอบรอบต้นคอแกร่งไว้เมื่อรู้สึกว่าเรี่ยวแรงขาของตนเริ่มหดหาย

เรียวลิ้นร้อนดูดกลืนผิวเนื้ออ่อนจนได้ยินเสียงหยาบโลนให้ระคายหู เมื่อถึงจุดสิ้นสุดแห่งอารมณ์ร่างบอบบางก็หวีดร้องอยู่ในลำคออย่างอดกลั้น นางหมดเรี่ยวแรงจนอสุราหนุ่มต้องโอบกอดขึ้นมานั่งแนบไว้บนตัก

   เสียงผิวน้ำกระเพื่อมล้นสระเมื่อจังหวะสอดประสานกายขับเคลื่อนจนเกิดระลอกคลื่น

สายน้ำเย็นฉ่ำก็มิสามารถที่จะดับไฟราคะที่กำลังคุโชนอยู่ได้แม้นเพียงกระผีก รามสูรมัวเมาในนวลเนื้อของนางโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องบางที่มีรอยคมเขี้ยวของเขาประทับลงไป ผิวขาวผ่องที่ถูกเขาตีตราไปทั่วทุกตารางนิ้วนั้นช่างน่าหลุมหลงจนยากที่จะถอนตัว...

   ...ดูท่าแล้วเมียบ่าวนางนี้จะมีอิทธิพลกับเขามากทีเดียว...



   คล้อยหลังที่ก้าวพ้นออกมาจากพระตำหนัก กรรณรู้สึกคล้ายกับว่าฝ่าเท้าทั้งสองข้างนั้นถูกตรวนเส้นใหญ่ล่ามติดเอาไว้อย่างหนาแน่น

   ..มันหนักอึ้ง..

..อับจนไร้หนทางราวกับดวงตาทั้งสองข้างนั้นมืดบอด

   หากจะถอยกลับตอนนี้ก็คงจะสายเกินไปเสียแล้ว ทำได้เพียงแค่เดินหน้าต่อไปเท่านั้น

   ทุกช่วงย่างก้าวสามารถรับรู้ได้ว่ามีสายตาของฝ่ายศัตรูคอยจ้องมองอยู่ ทางนั้นส่งคนของมันมาเฝ้าจับตามองเขาเพื่อกันมิให้แผนการชั่วของมันได้หลุดออกไปให้ผู้อื่นได้รับรู้..

   …ถึงครานี้จักจงเกลียดจงชังพวกราชคฤห์มากเท่าใด

...ในใจนั้นก็รู้สึกเกลียดชังตนเองไม่ต่างกัน...


______________________

ฉับ!! สวิงอารมณ์กันอย่างรวดเร็ว

เผื่อทุกคนจะคิดถึงผู้ชายวรั้ยวร้ายยย 5555



มาช้าอีกตามเคยเลยค่ะ ขออภัยโด้ยย :z10:
...พอแล้วไปนอนดีกว่า ฝันดีคับพ้ม <3  :กอด1:

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เป็นตอนที่รู้สึกเศร้าอ่ะ ไม่ได้รู้สึกร้อนแรงหรืออะไรเลยจริงๆ มันวูบโหว่งในอกมาก คุณพันไมล์เขียนตอนนี้อาจจะอยากให้รู้สึกถึงความร้อนแรงขององค์รามสูร แต่เราไม่รู้สึกเลยอ่ะ มีแต่ความวูบโหว่งในอก เพราะสงสารดาหลาอ่ะ เป็นผญ.เหมือนกันเลยเข้าใจว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนกับการโดนกระทำแบบนี้ แม้รามสูรจะชอบจะหลง แต่ดาหลาไม่ได้เต็มใจอ่ะ มันเลยวูบๆ ถึงจะไม่ชอบดาหลาก็ตามแต่ก็ไม่คิดอยากให้โดนเป็นแบบนี้อ่ะ ขอโทษตรงนี้ด้วยนะคะ อาจไม่รู้สึกเหมือนคนอื่น แต่เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราไม่ได้ว่าคุณพันไมล์น้าา ที่เขียนตอนนี้แบบนี้เราเข้าใจแต่แค่สงสารดาหลาเฉยๆ อินมากไปหน่อย55555 แล้วยิ่งมีฉากกรรณเข้ามาอีกก็ยิ่งสงสารอ่ะ เลยเกลียดรามสูรจริงๆ ทำร้ายคนมากมาย หวังแต่ว่าดาหลาจะช่วยให้รามสูรคิดและปรับปรุงตัว แต่พอคิดว่าถ้ารามสูรเป็นคนดีใครจะเป็นตัวร้ายล่ะ เออ เพราะงั้นอย่าใส่ใจกับเราเลย5555555 คิดได้อ่ะ งั้นเอาใหม่ ไหนๆ รามสูรร้ายแล้วก็ร้ายให้สุดๆ ไปเลยยย รามสูรนี่ร้ายกับคนทั้งโลกยกเว้นดาหลาสินะ กรุ้มกริ่มๆ 555555555 เอ้ย ไม่ดิ มันขืนใจดาหลามันไม่ใช่คนดี!! เดี๋ยวก่อนๆ จะเอาไม้ไล่ฟาดให้

สงสารพี่กรรณอ่ะ สงสารมาก หนูเป็นพี่คงผูกคอตายไปแล้ว ฮือออ เข้มแข็งนะพี่กรรณ สู้ตาย แม้พี่หรือใครจะเกลียดพี่ แต่หนูรักพี่นะ เข้มแข็งไว้ ไฟท์ติ้งงงง

ปล.หาคำผิดไม่เจอนะคะ เก่งมากเลย เรารู้สึกเรื่องมันจะเอื่อยๆ อ่ะ อยากให้มันกระชับกว่านี้หน่อย แหะๆ เรื่องเรียนก็สู้ๆ นะคะ สู้ไปพร้อมพี่กรรณนี่แหละ5555555 เอาใจช่วยน้าาา รักนะคะ เทคแคร์

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
แอบคล้อยตามนิดๆๆ อิอิ ช่างร้อนแรงอะไรเยี่ยงนี้อยากให้ดาหลาคู่กับรามสูรน่ะ เห็นใจดาหลาอ่ะ แต่ท่าจะยาก หรือไม่ยาก ลุ้นต่อ


ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
ตามล่าสองจอมทัพ

.

.

.


ม้วนกระดาษถูกขยำจนยับย่น พระหัตถ์ของกษัตริย์นครคีรีสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อได้ทอดพระเนตรหลักฐานจากกรมคลัง

หลังจากวันที่เกิดเรื่อง พระองค์ได้เรียกตัวเจ้ากรรณมาเข้าเฝ้าพร้อมกับมอบราชกิจให้เข้าไปตรวจตราที่กองคลังเมืองหน้าด่าน เพื่อรวบรวมหลักฐานมาร่วมประกอบการไต่สวนคดีความในครั้งนี้

ท้ายที่สุดข้อความที่ประจักษ์แก่สายตานั้นทำให้พระองค์มิสามารถที่จะระงับโทสะเอาไว้ได้อีกต่อไป

...ส่วยอาการและเครื่องราชบรรณาการบางส่วนนั้นได้หายออกไปจากท้องพระคลังพร้อมกับการหายตัวไปของทั้งสองจอมทัพ อีกทั้งพวกมันยังหลบหนีไปในระหว่างที่กำลังนำทัพปล่อยปละละเลยหน้าที่ซึ่งถือว่าเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุดของกฎการศึก

...หลักฐานยืนยันทำให้ต้องจำใจยอมรับว่าสองจอมทัพใหญ่ที่พระองค์ไว้เนื้อเชื่อใจมาโดยตลอดนั้นกลับก่อกบฏและเนรคุณแผ่นดินได้อย่างเลือดเย็น

แม้นจะทรงนึกเอ็นดูอสุราหนุ่มทั้งสองตนอยู่มาก แต่เห็นทีคงจะไม่สามารถปล่อยปละละเลยความผิดในครั้งนี้ไปได้

“ทรงพระทัยเย็นก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เหล่าเสนาอำมาตย์ต่างนึกกังวลขึ้นมาเมื่อเห็นพระพักตร์ไม่สู้ดีขององค์จ้าวเหนือหัว

“จะให้ข้าเย็นอย่างไรไหว..” น้ำเสียงกระชากอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าดูสิ่งที่พวกมันสองคนกระทำต่อข้า!”

ทั้งท้องพระโรงต่างตกอยู่ในความเงียบงันเมื่อกระบอกส่งสารถูกปาลงพื้นอย่างแรง

เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อกัน ทำให้พระองค์ไม่นึกเฉลียวใจเลยว่าต่อให้ตนนั้นจะมีบุญคุณกับอสุราหนุ่มทั้งสองมากเพียงไหน สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีผู้ใดที่จะปราศจากจากความโลภโดยแท้จริง ต่อให้ยึดมั่นในศีลธรรมและปฏิบัติตัวอยู่ในทำนองคลองธรรมแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วเมื่อมีโอกาสได้กอบกุมอำนาจไว้ในมือก็ต่างหลงระเริงไปตามกันจนหมดสิ้น

ทำให้พระองค์หวนนึกถึงบทสนทนาระหว่างพระองค์กับโอรสคนโตเมื่อครั้นที่ยังไม่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้น

‘ภาวัต’ พระโอรสที่ครองตำแหน่งยุพราชแห่งนครคีรีนั้นเป็นพวกไม่ได้ความเท่าใดนัก แต่เพราะมีอำนาจของฝ่ายมารดาที่ดำรงตำแหน่งพระมเหสีคอยช่วยหนุนหลังอยู่จึงทำให้ท้าวภารตามิสามารถที่จะว่ากระทำการตามใจชอบได้เท่าใดนัก

แต่ไหนแต่ไรมาองค์ยุพราชนั้นนึกเกลียดชังสองจอมทัพใหญ่อยู่ไม่น้อยเพราะเห็นว่าพระบิดาดูรักและเชื่อใจพวกนั้นมากกว่าตัวเองที่เป็นลูกในไส้ เลยมักจะหาเรื่องใส่ความมาตลอดเมื่อมีโอกาส ถึงขั้นมีปากเสียงจนถึงขั้นเลือดตกยางออกไปเลยก็มี

และครั้งล่าสุดที่ทำให้องค์ยุพราชบันดาลโทสะมากที่สุดก็เมื่อได้รู้ว่าท่านพ่อมีรับสั่งให้ทั้งสองจอมทัพออกไปประจำการอยู่ที่เมืองหน้าด่านเพื่อต้านรับศึกจากกรุงราชคฤห์แทนที่จะเป็นตนเอง...หน้าที่นั้นมันควรเป็นของเชื้อพระวงศ์ หาใช่พวกทหารไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นพวกมัน!

เกิดปากเสียงใหญ่โตเพราะครานี้ทางฝ่ายพระมเหสีเองก็ไม่ยอมเมื่อสิ่งที่องค์เจ้าเหนือหัวทำนั้นมันเกินกว่าที่นางจะรับได้

‘พระองค์ทรงไว้ใจผู้อื่นมากกว่าลูกแท้ๆ อีกหรือเพคะ’ น้ำเสียงที่ขมขื่นถูกเค้นออกมาอย่างเจ็บแค้นเมื่อมิสามารถที่จะอดทนได้อีกต่อไป

...ที่ผ่านมาก็ทำเป็นมองข้ามมาโดยตลอด แต่ครานี้เห็นทีคงยอมให้ไม่ได้

‘ท่านพ่อเตรียมใจเอาไว้ได้เลย หากวันใดที่พวกมันคิดคดหักหลังขึ้นมาล่ะก็ มันก็เป็นเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจของพระองค์เอง!’

รู้ตัวอีกทีก็เผลอตวัดตบใบหน้าคมคายของเจ้าภาวัตจนหน้าหัน

เสียงกรีดร้องของพระมเหสีดังขึ้นอย่างตกใจ นางร้องไห้ออกมาพร้อมกับจดจ้องมาอย่างโกรธแค้นก่อนจะพาตัวลูกออกไปจากท้องพระโรงโดยทันที พอรุ่งสางหมายที่จะเข้าไปหาในตำหนักเพื่อปรับความเข้าใจก็ได้ความว่าทั้งสองนั้นออกเดินทางไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของพระมเหสีเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงปัจฉิมยามที่ผ่านมา

ท้าวภารตาพยายามประคองโทสะของตนไว้อย่างสุดความสามารถ พระเนตรทรงอำนาจทอดมองเหล่าข้าราชบริพารก่อนจะหยุดลงที่ทหารหนุ่มตนหนึ่ง

“เจ้ากรรณ” เสียงทุ้มกังวานก้องทั่วท้องพระโรง

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าจักมอบหน้าที่ให้เจ้าจัดการเรื่องนี้”

อสุราหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ขานรับด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนจะต้องตัวชาเมื่อได้ฟังคำสั่งต่อมาจากองค์จ้าวเหนือหัว

“จงไปออกตามหาแม่ทัพวศินและแม่ทัพวิรุณเสีย แล้วจับตัวพวกมันกลับมารับโทษให้จงได้!”

ราวกับโดนอสุนิบาตผ่าฟาดลงกลางอก

กรรณเนื้อตัวเย็นเฉียบ มือทั้งสองข้างถูกกำจนแน่นเมื่อโดนรับสั่งให้ออกไปตามหาตัวสองจอมทัพ ทั่วท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่ออสุราหนุ่มไม่มีท่าทีตอบสนองต่อคำสั่ง

“เจ้ากรรณ” ท้าวภารตาเรียกซ้ำอีกหนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นั่งอ้ำอึ้ง

“พ..พ่ะย่ะค่ะ”

“จงไปเตรียมตัวให้พร้อมเสีย...กิจครานี้ข้าจักให้เวธัสไปช่วยเจ้าอีกแรง”

ทันทีที่ได้ยินกรรณก็หันไปมององครักษ์หนุ่มประจำพระองค์ที่ยืนหน้าตาถมึงทึงอยู่ข้างๆ บัลลังก์ทันที

...ความฉิบหายซ้ำสอง..

อสุราหนุ่มสองตนมองจ้องกันอย่างฟาดฟัน ก่อนที่กรรณจะต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีกลับมาก่อนด้วยเพราะรู้สึกไม่จำเริญหูจำเริญตาเท่าใดนัก

..เวธัสนั้นเป็นคู่อริกับเขามาตั้งแต่เมื่อครั้นที่ยังเป็นเพียงพลทหารฝึกหัดด้วยกันทั้งคู่ ที่มีเรื่องบาดหมางกันก็เพราะดันไปต้องตาต้องใจนางยักษ์ตนเดียวกันเข้าเลยทำให้ต้องมีปากมีเสียงกันไปตามประสาวัยหนุ่มเลือดร้อน

แต่สุดท้ายคนที่ได้ใจบุหลันมาครองก็คือเขา แม้นเรื่องมันจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่ทุกวันนี้ก็ยังอดที่จะเขม่นกันไม่ได้อยู่ดี

“อย่าให้เสียการเสียงาน” พระองค์เอ่ยเตือนอย่างรู้เท่าทัน “เข้าใจหรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อสุราหนุ่มค้อมกายรับคำสั่งอย่างนอบน้อมแม้นจะรู้สึกไม่ชอบใจเท่าใดนักที่จะต้องปฏิบัติภารกิจร่วมกับอดีตศัตรูหัวใจ

...แต่ถึงอย่างไรเสียก็ควรแยกแยะให้ออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว โตๆ กันทั้งคู่แล้วหาใช่เป็นอสุราหนุ่มเลือดร้อนเหมือนดั่งเมื่อก่อนไม่

“ดี เช่นนั้นก็ออกไปได้แล้ว ข้ามีเรื่องจะแจ้งให้เจ้าทราบเพียงเท่านี้”

กรรณยังคงท่าทางอึกอักไม่ยอมลุกออกไปเสียทีจนท้าวภารตาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามออกมาอีกหน

“คือ...กระหม่อมมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะทูลขอจากพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องอันใดเล่า เจ้ากรรณ”

“กระหม่อมอยากจะขอให้พระองค์ปล่อยตัวเจ้าวิรัลออกมาจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ภายในท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบอีกหนเมื่อน้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยเว้าวอนต่อองค์จ้าวเหนือหัว

พระองค์มิได้โต้ตอบกลับมา ทำเอาอสุราหนุ่มใจเสียด้วยความหวาดหวั่น

“ได้โปรดทรงเมตตาเถิดพ่ะย่ะค่ะ...เจ้าวิรัลเองก็หาได้รับรู้เรื่องนี้ด้วย” พยายามประคองน้ำเสียงสั่นเครือให้นิ่งสงบ แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกินเมื่อหวนนึกถึงสภาพของน้องในวันนั้น

...โทษทัณฑ์อันแสนสาหัสเช่นนั้น

...มันสมควรเป็นเขาที่ได้รับมัน..

“...หากพระองค์ต้องการที่จะลงโทษ...ก็ขอให้กระหม่อมรับโทษนั้นแทนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นคำกล่าวร่างสูงใหญ่ก็ก้มลงหมอบกราบแนบพื้นอย่างไม่คิดลังเลแม้นสักนิด

ขอเพียงแค่นำตัววิรัลออกจากคุกใต้ดินได้ ต่อให้พระองค์จะสั่งให้โบยจนเนื้อแตกเขาก็ยินดี

“เอาล่ะ” ท้าวภารตาทอดถอนหายใจออกมาในที่สุด “ลุกขึ้นเถิดเจ้ากรรณ”

อสุราหนุ่มหยัดกายขึ้นตามคำสั่งแต่ถึงกระนั้นก็ยังมิได้เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่อยู่เบื้องบนแต่อย่างใด

“เห็นแก่คุณงามความดีครั้งนี้ของเจ้า...” พระองค์ปรายตาปรามเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีที่จะแย้งขึ้นมา “ข้าจะปล่อยตัวเจ้าวิรัลให้ตามที่เจ้าขอก็แล้วกัน”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

เพียงเท่านั้นก็ไม่สามารถที่จะเก็บกลั้นความยินดีเอาไว้ได้อีกต่อไป เรือนกายสูงใหญ่หมอบกราบลงบนพื้นอีกหนด้วยความตื้นตันในอก

...เพราะอย่างน้อยเขาก็สามารถช่วยน้องให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้แล้ว

...ตอนนี้ก็คงจะเหลือแค่เขาแต่เพียงผู้เดียว

...ที่ถลำลึกลงไปในห้วงแห่งความมืดมน จนยากที่จะถอนตัว...

 

ภายในห้องขังมืดสลัวมีเพียงเสียงของประกายไฟจากคบเพลิงบริเวณหน้าลูกกรงเท่านั้นที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

ร่างร่างหนึ่งคู้กายอยู่ตรงมุมอับของห้องคับแคบ อากาศที่เย็นลงทำให้เนื้อตัวสั่นขึ้นมาอย่างยากที่จะควบคุม วิรัลเหม่อมองลงไปที่พื้นดินอยู่นานสองนาน จนสุดท้ายสัมผัสอุ่นร้อนจากหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาก็ทำให้ต้องยกมือขึ้นปาดออกจนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นเปื้อนมอมแมมเต็มไปด้วยคราบเขม่าดิน

พลันเสียงโซ่ตรวนที่ดังขึ้นจากบริเวณหน้าประตูก็เรียกความสนใจจากอสุราตัวน้อยให้หันไปมอง เงาร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างมั่นคง ประกายแสงสลัวของคบเพลิงทอดทับแผ่นหลังกว้างจนเงาตกกระทบทอดยาวลงมาบนพื้นดิน

เจ้าตัวน้อยคู้กายเข้าหากันยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากหวั่นเกรงท่าทีคุกคามของคนตรงหน้า แต่แล้วเมื่อฝ่ายนั้นเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นกายที่คุ้นเคยก็ทำให้ความวิตกกังวลทั้งหลายทั้งมวลถูกปัดเป่าให้หายทิ้งไปจนหมดสิ้น

“เจ้าตัวน้อย” น้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนเอ่ยเรียกพร้อมกับยอบกายลงตรงหน้า

“...กรรณ”

“ข้ามารับเจ้าแล้ว” รอยยิ้มอบอุ่นกลับดูสว่างไสวเสียยิ่งกว่าเปลวไฟในคบเพลิง “...กลับบ้านกันนะวิรัล”

ยังไม่สิ้นประโยคดีเจ้าตัวน้อยก็โถมกายกอดจนล้มกลิ้งไปกับพื้นดินด้วยกันทั้งคู่พลันปล่อยเสียงสะอื้นออกมายกใหญ่เมื่อโดนอ้อมแขนอุ่นโอบรัดเอาไว้แนบอก มิวายให้อสุราหนุ่มต้องคอยปลอบคอยโอ๋กันยกใหญ่

...จะมีแค่พี่วศินกับเขาเท่านั้น ที่น้องมักจะร้องไห้กระจองอแงใส่ราวกับเด็กๆ เช่นนี้

“เด็กดี” พอกดจูบข้างขมับชื้นเหงื่อก็ได้เห็นว่าใบหน้าของเจ้าวิรัลนั้นมอมแมมยิ่งนัก...เห็นทีกลับเรือนไปคงต้องให้บุหลันขัดเนื้อขัดตัวให้เสียหน่อยแล้ว “ลุกขึ้นเร็ว”

“อื้อ”

ถึงจะพยักหน้าแต่น้องก็ยังคงกอดคอเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เป็นอันเข้าใจได้เลยว่าเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดต้องการให้เขาอุ้มกลับเรือนเป็นแน่

“เกาะดีๆล่ะเจ้าลูกลิง”

กรรณอุ้มร่างเบาหวิวขึ้นไว้ได้อย่างง่ายดาย ก่อนเดินก้าวออกจากห้องขังมืดมิด ทิ้งไว้เพียงแค่ความทรงจำอันเลวร้ายไว้เบื้องหลังพร้อมกับตั้งปณิธานไว้กับตนมั่นว่าต่อจากนี้จะไม่ให้น้องต้องได้รับอันตรายอื่นใดอีกแล้ว

...จะปกป้องดูแล ไม่ให้ขาดตกบกพร่องเหมือนอย่างที่แล้วมา...



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2018 01:56:35 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
ยามบ่ายคล้อยนั้นแม้นจะร้อนจัดแต่ก็หาได้ทำให้ย่านใจกลางนครคีรีเงียบสงบไม่ เหล่าพ่อค้าแม่ขายต่างทำหน้าที่กันอย่างขยันขันแข็ง บรรยากาศภายในเมืองนั้นครึกครื้นไปด้วยการละเล่นและจำอวดหลากหลายชนิด ส่วนลูกเด็กเล็กแดงก็วิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน

บริเวณท้ายตลาดปรากฏร่างของบุคคลหนึ่งทรงอยู่บนหลังอาชาสีขาวปลอดได้อย่างสง่าผ่าเผย นัยน์ตาคมกล้าสีมรกตที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าโพกหัวกำลังจดจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มตนหนึ่งอย่างสนอกสนใจ

“นั่นเจ้ากรรณนี่” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียกความสนใจจากคนที่กำลังจูงม้าได้เป็นอย่างดี “แล้วมันอุ้มผู้ใดอยู่ล่ะนั่น ท่าทีรีบร้อนเชียว”

ร่างบอบบางที่ขดกายอยู่ในอ้อมแขนแกร่งนั้นทำให้เขามองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเท่าใดนัก แต่เรือนผมยาวสลวยที่คลอเคลียอยู่ข้างแผ่นอกกว้างก็ทำให้เข้าใจได้ในทันทีว่าเป็นร่างของสตรีอย่างแน่แท้ไม่มีผิดเพี้ยน

“จะให้กระหม่อมไปเรียกตัวมาไหมพ่ะย่ะ..” ยังไม่ทันได้เอ่ยถามจบประโยคดีก็โดนเท้ากระทุ้งเข้าที่เอวจนสะดุ้ง ก่อนสายตาคมดุจะจ้องปรามมา

“ข้าบอกว่าอย่างไร”

“บ่าวผิดไปแล้วขอรับ” ทาสหนุ่มค้อมศีรษะลงอย่างสำนึกผิดเมื่อเผลอตนหลุดพูดในสิ่งที่เคยชินออกไป

“อย่าได้พลาดอีก มิเช่นนั้นข้าจักโบยเจ้าให้หลังลาย”

ท่าทีขึงขังปั้นปึ่งขึ้นอย่างสมจริงสมจังเมื่อมีบุคคลที่สามเดินผ่านมา

“ขอรับท่านเรวัต” ทาสหนุ่มค้อมกายรับอีกหน แต่เมื่อบริเวณนั้นปลอดผู้คนก็ได้เงยหน้าขึ้นถามนายของตน “ว่าแต่..พระองค์..”

“เจ้าธรรศ!” ...พึ่งบอกไปเมื่อครู่นี้เองแท้ๆ! ไอ้ยักษ์ไม่ได้ความนี่!

“ปุโธ่! องค์เรวัต มิมีผู้ใดอยู่แถวนี้เสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” อสุราหนุ่มว่าด้วยหน้าที่บอกบุญไม่รับทันที “จู่ๆ พระองค์ก็คิดเล่นพิเรนทร์ปลอมกายเป็นสามัญชนเช่นนี้ กระหม่อมก็ปรับตัวไม่ทันสิพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่าบ่นมากน่า” องค์ยุพราชแย้งราชองครักษ์ประจำกายกลับอย่างหัวเสีย

...อุตส่าห์ปลอมตัวเข้าเมืองมาเสียแนบเนียน จะมาแผนแตกก็เพราะความปากมากของมันนี่ล่ะ!

“ก็ดูองค์เรวัตทำสิพ่ะย่ะค่ะ มีอย่างที่ไหนให้โพกหน้าพันหัวจนมิด ลักลอบเข้าเมืองผู้อื่นเขาราวกับโจรป่า-โอ๊ย!” ร้องเสียงหลงทันทีเมื่อสีข้างถูกกระทุ้งด้วยฝีเท้าของผู้เป็นนาย

“ไอ้ธรรศ!”

หลุดปากด่าออกไปอย่างคุ้นเคย นี่ถ้าเป็นบ่าวตนอื่นมันปีกกล้าขาแข็งมาเถียงฉอดๆ เช่นนี้มีหวังหัวคงหลุดออกจากบ่าไปนานแล้ว

แต่เพราะอสุราหนุ่มอีกตนแม้นจะมีศักดิ์เป็นเพียงราชองครักษ์และทหารเอกคู่กายแล้ว ลับหลังทั้งคู่ก็สนิทสนมกันไม่ต่างกับสหายอื่นทั่วไป ก็เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เมื่อครั้นยังตีนเท่าฝาหอย เพราะเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่าอีกฝ่ายมันถึงได้ปากกล้ากับเขานัก

“กระหม่อมพูดจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ เหตุไฉนพระองค์จะต้องปลอมตัวมาด้วย เสด็จมาในนามขององค์ยุพราชก็สะดวกสบายกว่าแท้ๆ”

“ก็ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาสะสางราชกิจแทนท่านพ่อเสียหน่อย” อสุราหนุ่มว่าด้วยเสียงจริงจังแต่ก็ยังมิวายส่งสายตาให้นางยักษ์รูปงามที่เดินผ่านไปผ่านมา “แค่ออกมาเที่ยวเล่นผ่อนคลายก็เท่านั้น”

“หากองค์เจ้าเหนือหัวรู้เข้าล่ะก็มีหวังกระหม่อมโดยโบยหลังลายแน่พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าธรรศถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก

“ข้ารับผิดชอบเองน่า” องค์เรวัตปลอบอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับกระทุ้งเข้าที่ท้องม้าให้ออกเดิน “เอ้า ไปกันได้แล้ว ตระเวนรอบเมืองกันอีกสักหน่อย แล้วค่อยเข้าไปเยี่ยมเยือนเจ้ากรรณที่เรือน”

บุหลันใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดไปตามเนื้อตัวมอมแมมของวิรัลด้วยความนุ่มนวล โดยมีสองอสุราตัวน้อยนั่งจุมปุ๊กมองตาใสแจ๋วอยู่ไม่ห่าง เจ้ามารุตช่วยแม่บุหลันดูแลลูกพี่วิรัลอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่องชนิดที่ว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว เมื่อได้รู้ว่าหลังจากนี้ลูกพี่ของมันจะมาอาศัยอยู่ด้วยแม้จะเพียงชั่วคราวก็ตามที

“ข้าถักผมให้นะ ยาวเช่นนี้คงร้อนน่าดู” น้ำเสียงเอ็นดูบอกอย่างนุ่มนวลเมื่อทอดมองกายขาวผ่องที่ปราศจากคราบเขม่าดิน

เรือนผมยาวที่ถูกชำระล้างจนสะอาดถูกปล่อยละไปจนเกือบถึงช่วงเอว ความนุ่มดุจแพรไหมทำให้นางอยากที่จะตกแต่งให้มันสวยงาม เพราะมีแต่บุตรชายเลยไม่ได้มีโอกาสที่จะกระทำการเช่นนี้เท่าใดนัก ที่เจ้าตัวน้อยตรงหน้ายอมไว้ผมยาวก็เพราะนางเป็นฝ่ายออดอ้อนขอเอาไว้ด้วยเพราะวิรัลนั้นดูน่ารักน่าชังเหลือแสนยามที่อยู่ในทรงผมถักเช่นนี้

เจ้าตัวหันหลังให้อย่างว่าง่ายปล่อยให้บุหลันได้ทำตามใจชอบ ผ่านไปสักพักอสุราน้อยตัวกลมก็ค่อยๆ กระเถิบกายขึ้นมานอนเกยบนตักนุ่มอย่างแนบเนียน เห็นดังนั้นวิรัลเลยรวบกอดเจ้ามารุตให้เต็มรักอย่างนึกมันเขี้ยวจนมันดิ้นพล่านๆ อยู่ในอ้อมกอดเป็นการใหญ่

“อ๋า พี่วิรัลตัวห๊อมหอม” ไม่ว่าเปล่ายังซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกขาวพร้อมกับดมฟุดฟิดราวกับลูกหมาตัวเล็กๆ

“เจ้าก็ตัวนุ่ม” คมเขี้ยวขบเม้มไปตามท้องแขนกลมๆ อย่างเพลิดเพลิน กลิ่นกายบริสุทธิ์ของเด็กเล็กช่วยเยียวยาจิตใจที่หมองเศร้าได้เป็นอย่างดี

สองพี่น้องแกล้งกันไปมาจนโดนแม่บุหลันปรามไปหลายหนเพราะเกรงว่าผมจะเสียทรงเอาได้ เพียงไม่นานก็แล้วเสร็จ ใบหน้าจิ้มลิ้มถูกล้อมกรอบไว้ด้วยมวยผมที่ถูกถักอย่างสวยงาม พอดีกับที่ร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มอีกตนเดินขึ้นมาบนเรือน

กรณ์นิ่งค้างไปเพียงครู่เมื่อเห็นว่าวิรัลหันมามองตน ก่อนจะแสร้งหลบออกไปอีกทางทำทีว่าไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเท่าใดนัก ทั้งๆ ที่ในอกนั้นมันสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อได้สบเข้ากับนัยน์ตาคู่งาม

พอได้รู้ข่าวว่ากรรณสามารถทูลขอให้ท้าวภารตาทรงพระราชทานอภัยโทษให้เจ้าวิรัลได้สำเร็จ เขาก็ดีใจจนเก็บอาการไว้แทบไม่อยู่

“เจ้าว่างมากนักหรืออย่างไร เจ้ากรณ์”

กรรณอุ้มบุตรคนเล็กออกมาจากห้องพร้อมกับส่งสายตาปรามดุน้องชายตน ที่ชักจะเสเพลมากขึ้นทุกวัน

มีอย่างที่ไหนเป็นทหารกลับหนีหน้าที่ตนออกมาตามใจชอบเช่นนี้

แต่นอกจากมันจะทำหูทวนลมแล้วยังแสร้งเมินราวกับว่าคำพูดของเขานั้นเป็นเพียงธาตุอากาศ

“ข้าผลัดเวรแล้ว” กรณ์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ บุหลันพร้อมกับกวักมือเรียกให้เจ้ามารุตเข้ามาหา

อสุราตัวน้อยกลิ้งหลุนๆ เปลี่ยนที่พำนักพักพิงโดยฉับพลัน มันโถมตัวเข้าใส่ผู้เป็นอาจนฝ่ายนั้นเกือบเสียหลักล้มไปด้านหลัง

สองอาหลานกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนเสียงหวีดแหลมของเด็กเล็กดังลั่นเรือน จนกระทั่งมีเสียงร้องเรียกดังขึ้นมาจึงได้หยุดความวุ่นวายขนาดย่อมเอาไว้

“ผู้ใดมาหรือ” บุหลันเข้าไปอุ้มเจ้ามินตรามาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสามีของตน

“ข้าลงไปดูเอง”

กรรณเป็นฝ่ายอาสาทั้งที่ในอกยังนึกกังวลอยู่ไม่น้อย

ตอนนี้เขาห่วงหน้าพะวงหลังไปเสียหมดเพราะรู้ดีว่าทางฝ่ายขององค์รามสูรนั้นจับตามองตนอยู่ตลอดเวลาเลยต้องพึงระวังเอาไว้เสมอ

แต่แล้วบุคคลที่มาเยือนกลับทำให้ความกังวลใจมลายหายไปจนหมดสิ้น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มทั้งสองตนยืนอยู่บริเวณใต้ถุนเรือน

“องค์เรวัต!”

“เจ้ากรรณ” ฝ่ายนั้นเดินเข้ามาหาก่อนจะรีบห้ามปรามทันทีเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติ “อย่าได้มากพิธีเลย”

“เหตุไฉนองค์ยุพราชถึงเสด็จมาถึงนี่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ขี่ม้ามา” ท่าทีสนิทสนมอย่างไม่ถือตัวทำให้อสุราหนุ่มคลายความกังวลไปได้มากโข

…ซ้ำนิสัยขี้เล่นที่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมเสียด้วย

“องค์เรวัตพ่ะย่ะค่ะ”

ทหารเอกข้างกายทอดถอนใจอย่างนึกเบื่อหน่ายกับความไม่เป็นการเป็นงานของเจ้านายตน

“อ้อ...ข้าตั้งใจมาเยี่ยมเยือนเจ้าต่างหาก”

เมื่อได้ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายกรรณจำต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่คิดจะเชื่อเท่าใดนัก

“คงหนีเที่ยวอีกตามเคยสินะพ่ะย่ะค่ะ”

แล้วก็ได้รับการพยักหน้ารับจากคนติดตามเป็นการยืนยันคำตอบว่าสิ่งที่เขาพูดมาน่ะเข้าใจถูกแล้ว

“ไม่ปฏิเสธก็แล้วกัน” อสุราหนุ่มยิ้มหน้าระรื่น ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับผู้ที่พึ่งมาใหม่แทน “นั่นบุหลันรึ เหตุไฉนถึงงดงามขึ้นถึงเพียงนี้เล่า” น้ำเสียงเอ่ยแซวอย่างสนิทสนม แต่ก็ยังสงวนท่าทีไว้เมื่อเห็นว่าฝ่ายสามีของนางนั้นเริ่มมองตาขวางเล็กน้อย

…นี่ถ้าไม่ติดว่าเขามีศักดิ์เหนือกว่าล่ะก็ป่านนี้มิโดนซัดจนหมอบแล้วหรืออย่างไร

“องค์เรวัต!” นางมิสามารถที่จะเก็บความปิติยินดีเอาไว้ได้ กลับเป็นฝ่ายโถมตัวเข้ากอดองค์ยุพราชเสียจนอีกฝ่ายเกือบที่จะตั้งรับไว้ไม่ทัน

การกระทำเช่นนี้หากบุคคลภายนอกมองมาก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่สำหรับพวกเขาแล้วเรื่องแค่นี้นับว่าเป็นเรื่องปรกติ

เพราะถ้าหากไม่สนิทชิดเชื้อกันมากพอ มีหรือจะกล้า

“เจ้ากรรณดูแลดีใช่หรือไม่” องค์เรวัตลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความเอื้อเอ็นดู “ถ้าไม่ดีล่ะก็บอกข้ามาได้เลย ประเดี๋ยวจะจัดการเสียให้เข็ด”

“เพคะ ถึงแม้นบางคราจะเกกมะเหรกเกเรไปบ้างก็เถอะ” อสุราหนุ่มถึงกับอยู่ไม่สุขเมื่อโดนภรรยากล่าวหา

องค์เรวัตหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่าไอ้ยักษ์ที่ปกติแล้วมีนิสัยดุร้ายนั้นท่าทีเซื่องซึมลง

…เพราะกลัวเมีย

แต่แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อช่วงบ่ายนั้นตนพบเห็นเจ้ากรรณอุ้มนางยักษ์อีกตนผ่านไปทางท้ายตลาด ไอ้คล้อยจะปล่อยเลยตามเลยก็เห็นทีจะไม่ดีนักเลยถือโอกาสถามมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็แล้วกัน

“ว่าแต่เมื่อตอนบ่ายนั้นเจ้าไปอุ้มนางยักษ์ตนไหนมาล่ะเจ้ากรรณ ข้าเห็นนะ”

นัยน์ตาคมปลาบหรี่มองอย่างต้องการที่จะจับผิด

หากมันคิดจะนอกกายนอกใจบุหลันล่ะก็…ตายสถานเดียว!

“กระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ส่วนเจ้าตัวเองก็ยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่เหงื่อกาฬกลับผุดซึมขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าบุหลันเขี้ยวเริ่มงอกแล้ว..

…ฉิบหาย

“เจ้าไปอุ้มใคร” นางจ้องตาเขม็งก่อนจะหยิกเข้าที่เนื้อท้องจนต้องร้องเสียงหลง “กรรณ!”

“เมียจ๋า เบาๆ พี่เจ็บ โอ๊ย!” อสุราหนุ่มคู้กายอย่างไร้หนทางสู้ มือก็พยายามรวบตัวเมียรักเข้ามากอดแต่ก็ไร้ประโยชน์เมื่อนางปัดมันออกอย่างไม่ไยดี

...พับผ่าสิ! องค์เรวัตหาเรื่องให้เขาแล้ว

“บอกมานะ!” บุหลันออกแรงบิดอย่างไม่คิดเบามือ

“พี่ไม่ได้ทำจริงๆ”

“ไม่ได้ทำแล้วองค์เรวัตจะเห็นได้อย่างไร!”

“สารภาพไปเถอะเจ้ากรรณ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา” นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังจะมายืนหัวร่อกันอีก

เบากับผีน่ะสิ! หากเป็นเช่นนั้นจริงบุหลันไม่ปล่อยให้เขาลอยนวลเป็นแน่!

“ที่องค์เรวัตเห็นก็คงเป็นเจ้าวิรัลนั่นล่ะ หาใช่นางยักษ์ตนไหน” ในที่สุดก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายน่ะเข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ดันคิดไปเองว่าเจ้าวิรัลเป็นนางยักษ์ไปเสียอย่างนั้น ความซวยมันเลยตกมาอยู่ที่เขานี่

“วิรัลหรือ?”

เมื่อได้ความดังนั้น คราแรกองค์เรวัตก็มีท่าทีไม่ค่อยไว้วางใจ แต่พอโดนชักชวนให้ขึ้นไปหาเจ้าตัวบนเรือนเลยต้องเออออตามไปเพราะเขาเองก็คิดถึงเจ้ายักษ์น้อยขี้อ้อนตนนั้นอยู่ไม่ต่างกัน

“ครั้งนี้ถือว่ารอดตัวไป” บุหลันมองสามีตัวดีไว้อย่างคาดโทษ

เสียงโอดครวญของผู้ถูกพาดพิงทำให้ทั้งวงสนทนานั้นครึกครื้นไปด้วยเสียงหัวเราะและอบอวลไปด้วยความคิดถึงที่ทุกคนต่างมีให้แก่กัน

..ทำให้หวนนึกถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งยังเยาว์วัย

แต่เดิมทีกรุงไกรมาศและนครคีรีนั้นเป็นเมืองมหามิตรกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ โดยมักจะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันเสมอมา เหล่าขัตติยวงศ์ของทั้งสองแว่นแคว้นนั้นต่างรักใคร่กลมเกลียวกันราวกับสายเลือดเดียวกันก็มิปาน

เมื่อครั้นที่องค์เรวัตยังเป็นเพียงแค่พระโอรสตัวน้อยก็มักจะแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนที่นครคีรีอยู่เสมอ

แต่แอบเลวร้ายหน่อยก็ตรงที่ว่ามักจะโดนพระโอรสองค์ใหญ่อย่างองค์ภาวัตและเหล่าลูกพี่ลูกน้องรุมกลั่นแกล้งจนได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง ในเวลานั้นเหล่าข้าราชบริพารต่างก็ไม่กล้าเข้ามาห้ามปรามเพราะกลัวว่าจะโดนร่างแหเข้าไปด้วย

‘ไอ้ยักษ์ตาเขียว ตัวเตี้ยม่อต้อ! ออกไปจากเมืองของข้าเสีย!’

โอรสคนโตออกปากขับไล่อย่างสนุกสนานซ้ำยังก้มลงหยิบก้อนหินมาเขวี้ยงใส่เสียจนอสุราตัวน้อยล้มก้นจ้ำเบ้า ในเวลานั้นแม้นเรวัตจะมีอายุได้สิบขวบปีแล้วแต่ก็ยังมีร่างกายที่เล็กกว่ารุ่นราวคราวเดียวกันอยู่มากโข จึงทำได้เพียงแค่นั่งร้องไห้จ้าไปอย่างไร้หนทางสู้

ฝ่ายนั้นดูตกใจจนตาเหลือกเพราะกลัวว่าเหล่าพระบิดาที่นั่งเสวนากันอยู่ที่บริเวณศาลากลางน้ำจะได้ยินเข้าจึงปรี่เข้ามาตะครุบปากเล็กนั่นไว้โดยพลัน

‘เงียบนะ!’ องค์ภาวัตดูหัวเสียอยู่ไม่น้อย ซ้ำยังบันดาลโทสะออกแรงมากเสียจนฝ่ายนั้นดิ้นเร่าๆ เพราะเริ่มขาดอากาศหายใจ

แต่ในระหว่างที่กำลังจะหมดลมเฮือกสุดท้ายกลับมีใครคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาเสียก่อน อสุราน้อยที่ดูตัวโตเทียบเท่ากับพระโอรสจอมเกกมะเหรกเกเรยืนค้ำศีรษะของทั้งคู่เอาไว้ ใบหน้าที่เรียบเฉยมองต่ำลงมาหาก่อนจะยอบกายนั่งลงข้างๆ กัน เขาค้อมศีรษะให้กับพระโอรสเล็กน้อย ซ้ำน้ำเสียงแน่วแน่ยังพูดออกมาอย่างไม่หวั่นเกรง

‘รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า…หาใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำพ่ะย่ะค่ะ’

เพียงเท่านั้นทั่วทั้งบริเวณก็พลันเงียบสนิท เหล่าข้าราชบริพารต่างอ้าปากค้างไปตามกันเมื่อไม่คิดว่าจะมีผู้ใดกล้าว่ากล่าวตักเตือนพระโอรสคนโต

หาได้มีผู้ใดกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนั้นเป็นแน่

ถ้าหากมิใช่ ‘วศิน’ แล้วล่ะก็

‘อย่ามาแส่ มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า’ เขี้ยวน้อยๆ งอกเงยขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นหน้าของบุคคลที่ตนนึกชังมาโดยตลอด

ถึงแม้นมันจะมีศักดิ์ที่ต่ำต้อยกว่า แต่เพราะเป็นคนโปรดของพระบิดา มีหรือที่จะกล้ากระทำการอุกอาจด้วยได้

‘จำเป็นต้องแส่ เพราะกระหม่อมได้รับหน้าที่ให้มาคอยเฝ้าดูแลองค์ยุพราชพ่ะย่ะค่ะ’

เพียงเท่านั้นก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับพระโอรสจอมเกเรได้อยู่ไม่น้อย ก่อนจะต้องรีบปล่อยมือออกจากไอ้เจ้าตัวแคระแกร็นราวกับเนื้อตัวมันเป็นของร้อน

…หากท่านพ่อรู้ว่าเขากลั่นแกล้งองค์ยุพราชล่ะก็มีหวังคงถูกลงโทษเป็นแน่

‘ชิ!’

สุดท้ายฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำก็ยอมล่าถอย องค์ภาวัตหมุนกายเดินออกไปจากบริเวณนั้นทันทีโดยไม่รอเหล่าลูกสมุนและนางกำนัลที่วิ่งตามไปจนขาแทบขวิด

หลังจากที่ทั่วทั้งบริเวณปราศจากใครอื่น โอรสตัวน้อยก็หาได้กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่มาช่วยเหลือตนไว้เพราะเกรงว่าจะโดนฝ่ายนั้นกลั่นแกล้งอีก แต่แล้วฝ่ามือข้างหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้า คราแรกก็นึกว่าจะถูกตีเลยจำต้องขดตัวเข้าหากันโดยสัญชาตญาณ

‘ลุกขึ้นไหวหรือไม่’

ไม่ว่าเปล่าฝ่ายนั้นยังก้มลงมาประคองตนให้ลุกขึ้นอย่างนุ่มนวลอีก

…ขัดกับท่าทีภายนอกที่ดูขึงขังเป็นอย่างมาก

‘ข…ข้าเจ็บ ฮึก ขา’ น้องน้อยเริ่มส่งเสียงสะอื้นเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่บริเวณข้อเท้า

‘คงจะเคล็ด’ ฝ่ายนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเบี่ยงแผ่นหลังกว้างมาตรงหน้า ‘ขึ้นหลังข้าสิ’

คราแรกก็นึกลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมกระเถิบกายไปเกาะเกี่ยวแผ่นหลังมั่นคงนั่นไว้อย่างรวดเร็ว

ในระหว่างทางสังเกตได้ว่าสถานที่ที่อีกฝ่ายพามานั้นเป็นที่อยู่อาศัยของพวกทหาร กระโจมหลายหลังตั้งติดกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อสุราตัวน้อยคู้กายหลบอยู่หลังพี่ชายใจดีแน่นเมื่อเห็นว่ามีสายตานับสิบคู่จ้องมองมาที่ตน

‘พี่ย้ากหยั่ย!’ เสียงแหลมเล็กหวีดขึ้นอย่างดีอกดีใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้าไปหา

อสุราตัวน้อยเดินเตาะแตะเข้ามาหาผู้เป็นพี่อย่างทุลักทุเลก่อนจะโถมตัวกอดรัดพันแข้งขาราวกับลูกงูก็มิปาน

‘วิรัล’ น้ำเสียงที่ดูอ่อนโยนลงมากทำให้คนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังต้องโผล่หน้าออกมาดูด้วยความสงสัย

…เป็นเสียงที่แตกต่างกันลิบลับเมื่อเทียบกับตอนที่ใช้กับพระโอรสเมื่อครู่

‘อู้มมม’ เข้าตัวกะเปี๊ยกชูแขนป้อมๆ ขึ้นอย่างโหยหา ‘พี่จ๋า อู้มมมม’

น้องเริ่มกระจองอแงเมื่อเห็นว่าพี่ของตนนั้นยังมีท่าทีนิ่งเฉย

‘เอ่อ…ปล่อยข้าล..ลง ก่อนเถอะ’ เพราะเริ่มรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายแย่งอ้อมแขนนั้นมา เลยต้องรีบสละกายออกก่อนที่จะมีใครร้องไห้ฟูมฟาย

เรวัตถูกแบกร่างเข้าไปวางไว้ในกระโจมหลังเก่า แต่กลับดูสะอาดตาราวกับว่ามันได้รับการทำความสะอาดและรักษาเป็นอย่างดี

ฝ่ายนั้นทิ้งเขาไว้ให้อยู่คนเดียวก่อนจะอุ้มเจ้าตัวเล็กนั่นเดินออกไปข้างนอก เพียงไม่นานก็กลับเข้ามา แต่ครานี้กลับมีผู้ติดตามกลับมาอีกเป็นโขยง นางยักษ์น้อยหน้าแชล่มสองตนเดินเข้ามามุงดูเขาอย่างสนอกสนใจ ตามมาด้วยอีกสองหนุ่มน้อยที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

‘ข้าชื่อบุหลัน นี่ดาหลาน้องสาวข้า ส่วนนั่นกรรณ กรณ์ และนั่นพี่วิรุณ’ นางยักษ์ตัวน้อยชี้ไม้ชี้มือแนะนำตนและพวกพ้องอย่างกระตือรือร้น ‘นี่เจ้าวิรัลน้องชายของพี่วศิน’

‘ข..ข้าชื่อเรวัต’ อสุราตัวน้อยมีท่าทีเก้กังขึ้นมาเมื่อรู้สึกเก้อเขิน

แต่พอทุกคนในที่นี้รู้ว่าเขาเป็นองค์ยุพราชก็หาได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือทำให้รู้สึกว่าตนนั้นแปลกแยกสักนิด กลับชักชวนพูดคุยอย่างสนุกสนานซ้ำยังช่วยกันหาสมุนไพรมาประคบและพันผ้าบริเวณข้อเท้าที่เคล็ดให้อีก

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ยามที่มาเยือนนครคีรีทีไร สถานที่แรกที่องค์ยุพราชตัวน้อยจะปรี่เข้าไปก็คือกระโจมหลังเก่าในรั้วค่ายทหาร สายสัมพันธ์เส้นบางที่ทุกคนมีให้ต่อกันถูกถักทอขึ้นมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นความผูกพันอันแน่นแฟ้นในที่สุด

‘วศิน ถ้าข้าได้ขึ้นครองราชย์เมื่อใด เจ้าต้องมาเป็นแม่ทัพใหญ่ของข้านะ’ องค์เรวัตในวัยสิบห้าขวบปีพูดอย่างมาดมั่น

‘จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ’ อสุราหนุ่มยิ้มให้กับคำชักชวนอันใสซื่อ

‘อื้อ! หากได้เจ้ามาร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าแล้วล่ะก็ พวกข้าศึกจะต้องแพ้ราบคาบอย่างแน่นอน!’

‘เอาไว้องค์เรวัตวิ่งชนะเจ้าวิรัลได้เมื่อไหร่ กระหม่อมจะลองคิดดูอีกครั้งนะพ่ะย่ะค่ะ’

ว่าทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะลุกออกไปทิ้งให้อสุราตัวน้อยนั่งดีใจกับคำตอบอยู่เพียงครู่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังตามหลังมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย

‘วศิน! หนอยย เจ้าว่าข้าเชื่องช้ารึ!’

ความอลหม่านเล็กน้อยเกิดขึ้นเมื่อทหารหนุ่มโดนก้อนพลังงานบางอย่างโถมตัวใส่จนล้มกลิ้งไปกับพื้นด้วยกันทั้งคู่ สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ที่พบเห็นได้อย่างไม่ขาดสาย


เรื่องราวในอดีตถูกกลบทับเมื่อเพลานี้ไร้ซึ่งวี่แววของสหายรักอีกสองตน องค์เรวัตที่พึ่งจะรับรู้เรื่องการก่อกบฏของทั้งสองจอมทัพนั้นนิ่งเฉยกว่าที่คิด เขาไม่มีท่าทีตกใจหรือโกรธขึ้งแต่อย่างใด ทำเพียงแค่นั่งกอดและปลอบเจ้าวิรัลที่ร้องไห้อยู่อย่างอ่อนโยน

..ในที่นี้องค์เรวัตคือคนที่รักและเทิดทูนท่านวศินมากที่สุด

นัยน์ตาสีมรกตที่เคยทอแววประกายกล้ากลับหม่นแสงลงราวกับห้วงเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุด

แต่ถึงกระนั้นก็หาได้ว่ากล่าวอะไรออกมาให้ได้ยินแม้นสักคำ...ยากที่จะหยั่งรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดโดยสิ้นเชิง..

หลังจากที่มื้ออาหารค่ำจบลงทุกคนบนเรือนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยองค์เรวัตเสนอตัวจะไปนอนกับเจ้าวิรัลด้วยตนเอง คราแรกกรณ์นั้นค้านหัวชนฝา แต่เมื่อเห็นท่าทางดีใจของน้องแล้วเขาก็ไม่สามารถที่จะหาข้ออ้างอะไรได้อีก

ตอนนี้บริเวณชานเรือนจึงเหลือเพียงแค่สองอสุราหนุ่มพี่น้องเท่านั้น

“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด” กรณ์เอ่ยถามด้วยเสียงนิ่งเรียบ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเจ้ากรรณจะต้องออกไปตามหาตัวสองจอมทัพตามที่องค์เจ้าเหนือหัวสั่ง

ท้าวภารตาคงสั่งปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นอย่างดีเพราะถือว่าเป็นความเสื่อมเสียแก่บ้านเมืองอย่างถึงที่สุด แม้นแต่ทางกรุงไกรมาศที่นับว่าเป็นเมืองมหามิตรกันก็ยังถูกละเว้นไม่ให้รับรู้

“คืนวันพรุ่ง”

“เจ้าไม่คิดจะบอกวิรัลกับบุหลันเลยหรือ”

“ข้าตั้งใจจะบอกก่อนไป”

กรณ์มองแผ่นหลังกว้างของผู้เป็นพี่ด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามา บ่าทั้งสองข้างนั้นกว้างแกร่งดั่งหินผาพร้อมจะเป็นที่พักพิงให้กับทุกคนได้เสมอ แต่ครั้งนี้มันกลับดูบอบบางราวกับว่ากำลังแบกรับเรื่องราวหลายอย่างเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

“กรรณ…เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว” ฝ่ามือข้างหนึ่งถูกวางลงบนบ่าราวกับต้องการช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของอีกฝ่าย “…เจ้ามีข้า”

“...” …แสงของเปลวไฟที่สะท้อนภายในแววตาคนเป็นพี่วูบไหวอยู่เพียงครู่หนึ่งแต่แล้วก็กลับมานิ่งสงบได้ดังเดิม

...ไม่ได้...เขาจะให้เจ้ากรณ์เข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด

“ข้าจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น” อสุราหนุ่มว่าด้วยเสียงแน่วแน่ “ข้าเชื่อในตัวเจ้า”

“...”

“และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามข้าจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”

“...”

“ไปทำตามหน้าที่เถอะ...ไม่ต้องห่วงทางนี้” รอยยิ้มถูกส่งมอบไปให้ “ข้าจะดูแลข้างหลังให้เจ้าเอง”

เพียงเท่านั้นความอดทนทั้งหมดก็พังทลายลงมาอย่างไม่เป็นท่า มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้นที่เป็นตัวปลอบประโลมและเยียวยาจิตใจ กรณ์ยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังที่สั่นเทิ้มเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็นับว่ามากแล้วสำหรับเจ้ากรรณ

แม้นจะไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำมันถูกหรือผิด แต่นั่นก็หาใช่เหตุผลที่เขาจะต้องนึกสน

...แผ่นหลังนี้ที่คอยปกป้องดูแลเขามาตลอด..คราวนี้กลับโดนปลอบประโลมเสียเอง

มันยากที่จะสามารถเชื่อใจใครสักคนได้

..แต่กับพี่ชายคนนี้ ถึงแม้นจะต้องแสร้งโง่งม

เขาก็ยินดี..

ปลายนิ้วที่คลึงอยู่กับจอกเหล้าอย่างพินิจพิจารณาอยู่นานสองนาน หลังจากที่ได้รับสารบางอย่างมาจากอุปนิกขิตของตนที่แอบแฝงอยู่ในนครคีรี

ร่างสูงใหญ่ขององค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์เอนกายอย่างเกียจคร้านเข้ากับหมอนอิง ข้างกายมีนางกำนัลรูปงามอีกสองตนคอยบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจ หลังจากค่ำคืนวันนั้น ดาหลาก็พยายามหลบหน้าเขาทุกวิถีทางจึงจำต้องยอมให้คนอื่นมาคอยรับใช้ แต่มีหรือที่จะนึกสน

แม้นกลางวันจะไม่ได้มาคอยปรนนิบัติ..แต่ทุกค่ำคืน...เขาจะกกกอดนางไว้ไม่ห่างกาย

..เจ้านกน้อยมีอิสระเท่าที่เขาอยากให้มี...

เพียงแค่รอเวลาที่จะเด็ดปีกสวยและกักขังไว้ให้อยู่ใต้พันธนาการอ้อมกอดนี้

..ตลอดกาล

ฝ่ามือใหญ่โบกไล่ให้นางกำนัลทั้งสองออกไปจากบริเวณนี้ทันทีเมื่อเห็นทหารคนสนิทเดินเข้ามา วาริทถวายความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติก่อนจะคุกเข่าลงข้างๆ เพื่อรอรับคำสั่งจากนายเหนือหัว

“ได้ความมาว่าอย่างไรบ้าง”

“เจ้ากรรณจะออกเดินทางคืนวันพรุ่งพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงถูกลดแผ่วลงอย่างระมัดระวัง “แต่ครั้งนี้ท้าวภารตามีรับสั่งให้มีคนร่วมเดินทางไปด้วย”

“มันเป็นใคร”

“เวธัส...องครักษ์ประจำกายพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”

คิ้วเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อยเมื่อต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากใจ

“วาริท”

“เจ้าจงออกติดตามเจ้ากรรณไปด้วยอย่าให้คลาดสายตา” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอก “อย่าให้มันรู้ตัว และถ้าหากมันคิดจะบิดพลิ้วแม้นเพียงนิดล่ะก็...จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสีย”

นัยน์ตาคมกล้าประกายเพลิงวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างแน่วแน่ ก่อนจะลุกกลับเข้าไปในห้องบรรทมทิ้งไว้เพียงแค่ทหารเอกผู้จงรักภักดี

“..พ่ะย่ะค่ะ องค์รามสูร”


__________________

ต่อนยอนต๊ะต่อนยอนตามเคยยย 555555 :hao7:
แต่หลังจากนี้จะเป็นพาร์ทของพี่ยักษ์และเจ้าแก้วแบบเต็มตัวแล้วค่ะ จิได้พัฒนาความสัมพันธ์แล้วว :hao5:
ฮูเล่ รอมาเกือบปี 5555555 /ปาดเหงื่อ


มีเรื่องมาแจ้งนิดหน่อยค่ะ


ปล.ปลายปีนี้มีข่าวดีจะมาแจ้งให้ทราบแต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้นสามารถติดตามได้ที่ทางเพจหรือในทวิตเตอร์นะค้าบบ

ปล2.ปีใหม่นี้ พันไมล์จะทำสคส.แจก เดี๋ยวถ้าทำเสร็จจะเอาตัวอย่างมาลงให้ดูนะคะ ถ้าใครสนใจสามารถติดตามข่าวได้ทางเพจ Punmile หรือทวิตเตอร์  pppunmile คับพ้มม
 :กอด1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
รักษากาย

.

.

.



         “แผลหายสนิทดีแล้วนาท่านวศิน”

               ครูบุญคลำตรวจไปบนแผ่นอกกว้างที่เคยปรากฏบาดแผลฉกรรจ์ ก่อนจะวกกลับไปสำรวจบริเวณท่อนแขนแกร่ง

               นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เลยก็ว่าได้ที่ร่างกายอีกฝ่ายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เพราะโดยปรกติ

หากว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆแล้วล่ะก็ คงใช้เวลารักษากันอยู่นานโข ดีไม่ดีล่ะโดนคร่าชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

               “แต่พิษนั้นยังคงไหลเวียนอยู่ในกายท่านอยู่ ข้าเกรงว่าหากไม่รีบรักษาล่ะก็คงแย่เป็นแน่แท้” ชายชราว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง

               ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาก็หาได้นิ่งนอนใจไม่

แต่ทุกตำรับตำราเวชศาสตร์ที่เคยร่ำเรียนก็หาได้ปรากฏบอกอาการของพิษร้ายชนิดนี้ แม้นรอยพุพองจะเลือนหายไป แต่ก็ยังคงเหลือแผลเป็นขนาดใหญ่และเนื้อกายที่ยังคงเป็นสีชาดอยู่

               เป็นหลักฐานที่แสดงว่าอสูรร้ายยังคงนอนหลับใหลอยู่ในกาย...รอเพียงเวลาที่อีกฝ่ายร่างกายทรุดโทรม

               …มันก็พร้อมที่จะแผดเผาอย่างไม่คิดปรานี

               “แล้วท่านพอที่จะรู้หนทางรักษาหรือไม่” วศินเอ่ยถามเสียงเครียด เพราะถ้าหากเป็นเช่นนี้เขาก็คงไม่สามารถที่จะเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองของตนได้

               …ยิ่งนับวัน เรี่ยวแรงของเขามันก็ยิ่งถดถอยลง

               เพียงแค่ยังไม่มีผู้ใดได้รับรู้

               ยาต้มที่เคยดื่มต้านกลับไร้ผล จากที่เคยสามารถระงับพิษร้อนในกระแสโลหิตได้กลับมีค่าไม่ต่างหยดน้ำที่พยายามมอดดับกองเพลิง

               มันเริ่มย่ำแย่ลงทุกที

               “ทางรักษาน่ะมันพอมี” ชายชราทอดถอนใจอย่างหนักอก “แต่ข้าไม่สามารถรับปากได้ว่ามันจะหายขาด”

               “แม้นเพียงทุเลาลงก็ยังดี” ถ้าหากว่าจนถึงที่สุดแล้วมันยังคงอยู่ เขาก็คงทำได้แค่เพียงรอรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น

               “คราแรกที่ข้าคุยกับท่านวิรุณไว้นั้น คือรอให้อาการบาดเจ็บของท่านหายดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยพาไปพบพระอาจารย์ ให้ท่านช่วยดูอาการให้ เพราะหนทางนั้นค่อนข้างจะเดินทางลำบากสักหน่อย ข้าเกรงว่าหากพาท่านไปอาการจะทรุดเอาได้”

               “พระอาจารย์หรือ?”

               “ใช่…พระอาจารย์คง...ท่านเป็นปรมาจารย์ทางด้านศาสตร์หลากหลายแขนง อีกทั้งยังมีวิชาอาคมที่แก่กล้า ความรู้ที่ข้ามีทั้งหมดยังเทียบชั้นครูเช่นนั้นไม่ได้” ครูบุญว่าด้วยท่าทีที่เลื่อมใสศรัทธา “หากท่านไม่ขัดเคืองอันใดล่ะก็ ข้าจะพาไปพบ”

               แม้นจะมีจิตใจที่พร้อมช่วยเหลืออสุราหนุ่มเต็มที่ แต่เขาก็ยังคงตระหนักอยู่เสมอว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงศักดิ์กว่าตน เพราะฉะนั้นแล้วถ้าหากท่านวศินยินยอมที่จะรับการรักษาตามที่ได้ชี้แนะ เขาก็จะไม่ลังเลเลยที่จะลงแรงกายแรงใจช่วย

               แม้นจะอยู่ร่วมกันมาได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่เขากลับรู้สึกผูกพันกับพ่อยักษ์ทั้งสองตนได้อย่างน่าประหลาด

               ทั้งๆที่เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าของกันและกัน แต่กลับไม่เคยรู้สึกเลยว่า การมาเยือนของสองอสุราหนุ่มนั้นนำพาซึ่งความเดือดร้อนมาให้

               “เอาอย่างท่านว่าก็แล้วกัน” วศินยักษาพยักหน้าตอบ “เห็นทีครานี้คงต้องรบกวนท่านอีกหน—อึก!”

ทันใดนั้นคำพูดก็ถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เมื่ออาการคลื่นเหียนของสาบสนิมตีรวนขึ้นมาอย่างรุนแรง หยาดโลหิตผุดซึมออกมาข้างมุมปากทั้งที่เจ้าตัวพยายามอดกลั้นมันเอาไว้

แต่ก็ไร้ผล

               …มันแสดงอาการมาร่วมอาทิตย์กว่าแล้ว และมีแต่จะยิ่งหนักขึ้นไปทุกที

               “พ่อวศิน!” ครูบุญตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ผ้าขาวม้าที่พาดไว้บนบ่าถูกนำมาซับเลือดที่เริ่มไหลทะลักออกมาให้อย่างรีบร้อนพร้อมกับรับเรือนกายสูงใหญ่ที่เริ่มเซทรุดลง “เจ้าแก้ว! ไปต้มยามา!”

               เสียงตะโกนดังลั่นทำให้ลูกศิษย์น้อยใหญ่ต้องเข้ามามุงด้วยความตื่นตระหนกไม่แพ้กัน

ส่วนเจ้าแก้วที่กำลังนั่งคัดสมุนไพรอยู่ใต้ถุนเรือนก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าอสุราหนุ่มตนนั้นทรุดลงไปบนพื้นพร้อมกับพ่อครู มันรีบทิ้งงานทุกอย่างลงก่อนจะวิ่งไปหยิบสมุนไพรในห่อมาลงหม้อต้มทันควัน

               “วศิน!”

               วิรุณวิ่งมาพร้อมกับอินและมั่น ทั้งสามหนุ่มช่วยกันพยุงร่างสูงใหญ่ให้ขึ้นไปนอนพักบนแคร่อย่างทุลักทุเล

               ครูบุญที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดไร้ซึ่งท่าทีหวั่นเกรง ฝ่ามือเหี่ยวย่นจัดการไล่ตรวจชีพจรตามจุดต่างๆ ก่อนหัวคิ้วจะขมวดมุ่นอย่างหนักใจเมื่อตรวจพบว่า ชีพจรของท่านวศินนั้นอ่อนแรงลงไปมาก

               …เห็นที คงรอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว

               “ไอ้กล้า!” ชายชราหันไปหาศิษย์รักคนโตที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ไม่ห่าง

               “จ้ะ พ่อครู”

               “เอ็งไปบอกแม่นิ่มกับนังบัวด้วยว่าวันพรุ่งข้าจะพาท่านวศินไปพบพระอาจารย์ คงไม่ได้เข้าไปหา” น้ำเสียงเครียดขมึงเอ่ยสั่ง

               “แต่พ่อครู..”

“ไป!!”

               สิ้นคำสั่งไอ้ตัวดีก็เดินฟึดฟัดออกไปจากเรือนทันที แม้นจะรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆก็ตาม แต่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้หากยังคงตั้งท่าต่อต้านอยู่มีหวังคงได้กินตีนพ่อครูแทนมื้อเย็นเป็นแน่แท้

               “พ่อครูจ๊ะ!ยาจ้ะ!”

               เจ้าแก้วยกหม้อยาเข้ามาหาด้วยความว่องไว

แม้นจะร้อนจนลวกมือพองแดงมันก็หาได้นึกใส่ใจ

               “เอ็งมาช่วยข้าประคองศีรษะท่านวศินขึ้น” ครูบุญสั่ง “ส่วนพวกเอ็งน่ะกลับเรือนไปได้แล้ว” ก่อนจะออกปากไล่เหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายเพราะเห็นว่าเพลานี้มันก็เย็นย่ำเต็มที

               เจ้าแก้วพยักหน้ารับอย่างแข็งขันก่อนจะเบียดตัวขึ้นมานั่งบนแคร่กับฝ่ายที่นอนไม่ได้สติอยู่

               “ขอโทษนะจ๊ะ”

               มันประคองศีรษะของอสุราหนุ่มขึ้นอย่างระมัดระวังพร้อมกับสอดตักเข้าไปรองไว้ด้านใต้แทนหมอนหนุน ก่อนจะเอื้อมมือไปรับผ้าสะอาดและอ่างน้ำที่มั่นจัดหามาให้

               นัยน์ตาสีน้ำผึ้งฉายแววร้อนรนอย่างเห็นได้ชัดเมื่อก้มลงมองใบหน้าคมคร้ามที่ดูซีดเซียวลงไปถนัดตา

เหงื่อกาฬที่ผุดซึมขึ้นข้างขมับจนเปียกชื้นถูกผ้าชุบน้ำซับออกให้อย่างเบามือ หยาดเลือดจำนวนมากที่ไหลเปรอะเปื้อนตามเรือนกายใหญ่ถูกเช็ดทำความสะอาดจนเกลี้ยงเกลา

               หลังจากนั้นชายชราก็ได้สั่งให้เจ้าแก้วประคองศีรษะอีกฝ่ายขึ้นสูง แล้วจึงค่อยๆป้อนยาลงไปทีละนิดจนกระทั่งหมดหม้อ เขาตรวจดูชีพจรอีกครั้งก็พบว่ามันกลับมาเต้นปกติแล้ว แม้นจะแผ่วเบาไปบ้างก็ยังถือว่าไม่อันตรายเหมือนดั่งเมื่อครู่นี้

               เวลาผ่านไปสักพักเมื่อได้รับยาช่วยบรรเทาฤทธิ์ร้อน อสุราหนุ่มก็มีสีหน้าที่ดีขึ้น แต่สติที่เลือนหายไปยังคงไม่กลับมา

               คงต้องให้เวลาพักฟื้นอีกสักหน่อย

               “เกิดอะไรขึ้นหรือจ๊ะพ่อครู”

               เจ้าแก้วดูวิตกอย่างเห็นได้ชัดเพราะสีหน้ามันดูสลดลงไปมาก คงตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย

               “เป็นผลจากพิษนั่นล่ะ อาการแย่กว่าที่ข้าคิด คงเป็นมาสักพักแล้วแต่ท่านวศินไม่ยอมแสดงออกมาให้เห็น” ครูบุญตอบก่อนจะหันกลับไปหาวิรุณที่ยืนมองสหายรักด้วยความห่วงใยเหลือแสน “วันพรุ่งข้าจะพาท่านวศินไปพบพระอาจารย์ คงต้องลำบากให้ท่านวิรุณออกแรงช่วยเสียแล้วล่ะ” น้ำเสียงมากไปด้วยเมตตาเอ่ยปนนึกขัน

               เพราะลำพังเขากับพวกลูกศิษย์คงไม่มีปัญญาที่จะช่วยกันเคลื่อนย้ายอสุราหนุ่มตนนี้ได้เป็นแน่

                “วางใจเถิดพ่อเฒ่า” วิรุณยิ้มรับอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันกลับไปมองสหายตนที่นอนหลับพริ้มอยู่บนตักของเด็กหนุ่ม

               “แก้วหนักหรือไม่ ให้พี่ทำแทนไหม” เพราะดูจากขนาดตัวแล้วหากปล่อยให้มันนอนหนุนตักเจ้าแก้วเช่นนี้ไปอีกสักพักแล้วล่ะก็

มีหวังคงขาชา

               “ไม่เป็นไรจ้ะพี่ยักษ์ ฉันสบายมาก” รอยยิ้มแสนซื่อถูกส่งตอบกลับมาก่อนจะหันไปปัดไล่ยุงและเหล่าแมลงออกเพื่อไม่ให้มารบกวนคนที่กำลังพักผ่อน

               “เอาเช่นนั้นหรือ”

               “จ้ะ หายห่วงได้เลย” เจ้าแก้วรับปากอย่างมั่นเหมาะก่อนจะก้มลงไปมองฝ่ายที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่บนตักของตนแทน เมื่อเห็นว่าเรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นราวกับกำลังรู้สึกไม่สบายตนในห้วงนิทรา

ผ้าชุบน้ำถูกซับไปตามเนื้อตัวอีกครั้งเมื่อเจ้าแก้วรู้สึกว่ากายใหญ่เริ่มร้อนระอุจนเหงื่อกาฬเริ่มผุดซึมขึ้นมาอีกหน ซ้ำยังคอยพัดวีให้ไม่หยุดมือราวกับว่าต้องการให้ฝ่ายที่หลับใหลอยู่นั้นรู้สึกสบายเนื้อตัวมากที่สุด

แม้นจะเป็นเพียงการดูแลเพราะหน้าที่

แต่อสุราหนุ่มอีกตนที่อยู่ร่วมในสถานการณ์เดียวกันนั้นกลับรู้สึกแต่งต่าง...

รอยยิ้มที่มีกลับรางเลือนหายเมื่ออีกฝ่ายหันหลังให้

ทุกการกระทำของเด็กหนุ่มตกอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่ม

ท่าทีร้อนรนของแก้วที่มีต่อสหายของเขานั้น…เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

นัยน์ตาที่เคยทอประกายสดใสกลับหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นอาการที่ย่ำแย่ของเจ้าวศิน รวมไปถึงการดูแลและเอาใจใส่อย่างดีนั่นอีก

ใช่ว่าที่ผ่านมาจะไม่รู้สึกระแคะระคายอะไร แต่เขาเพียงแค่ทำทีเป็นเมินเฉยมันไปเท่านั้น

คราแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ช่วงหลังๆท่าทีที่เปลี่ยนไปของวศินทำให้ความเชื่อมั่นของเขานั้นสั่นคลอนได้อย่างไม่ยากเย็น

เหตุใดเล่าจะดูไม่ออก...เพราะตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มันไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้มาก่อนเสียด้วยซ้ำไป

เพียงแค่ตอนนี้ตามนิสัยของเจ้าตัวแล้วคงยังไม่อยากที่จะยอมรับมันก็เท่านั้น

...เพราะความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางแววตา

มันไม่เคยโกหก..

“เช่นนั้นพี่ก็ฝากมันด้วย” ..ทั้งตอนนี้และหลังจากนี้ไป

รอยยิ้มที่เคยมอบให้อีกฝ่ายก็ยังคงไว้ซึ่งความจริงใจอยู่เสมอไม่มีวันเปลี่ยน

เรือนกายสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มปลีกตัวออกมาจากเขตเรือนโดยให้เหตุผลไว้ว่าจะขอไปชำระล้างร่างกายที่ท่าน้ำสักหน่อย

ลับหลังแผ่นหลังกว้างที่เลือนหายเข้าไปในความมืด เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ชนวนความรู้สึกที่จำใจต้องดับมอดลง เมื่อรับรู้ว่าหนทางข้างหน้าคงไม่มีทางเลยที่มันจะถูกบรรจบเข้าด้วยกัน

หาใช่ไม่เคยคิดที่จะลองฝืน

…แต่เพราะว่าชนวนของอีกฝ่ายนั้นถูกใครอีกคนช่วงชิงไปไว้ในกำมือเป็นที่เรียบร้อยแล้วต่างหาก

ดันทุรังไปก็สูญเปล่า

ปล่อยให้โชคชะตาได้ทำหน้าที่ของมันเถิด..

 

               กองไฟที่ถูกติดไว้เพื่อให้แสงสว่างและกันเหล่าสัตว์ร้ายประกายโรจน์ท่ามกลางความมืดมิด

               เวลาที่พ้นเลยผ่านไปราวๆสองชั่วยามนั้นอสุราหนุ่มที่นอนแน่นิ่งอยู่บนตักก็หาได้มีท่าทีว่าจะรู้สึกตัวตื่นเลยสักนิด เจ้าแก้วเลยอาศัยจังหวะนี้ขยับเขยื้อนกายนิดหน่อยเมื่อเริ่มรู้สึกล้าที่ช่วงขา

เมื่อเห็นว่าในบริเวณนี้เหลือเพียงแค่มันและอสุราหนุ่มอยู่เพียงสอง จึงถือโอกาสนี้ลอบสังเกตใบหน้าคมคร้ามที่หลับพริ้มอย่างถือวิสาสะ

               แผ่นอกกว้างขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่เรียบนิ่ง แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นหลับลึกเพียงใด

               คงจะอ่อนเพลียอยู่ไม่น้อย

               เส้นผมสีเข้มบางส่วนที่ปรกลงมาตรงหน้าทำให้เจ้าแก้วต้องยกมือขึ้นมาปัดออกให้อย่างลืมตัว เพียงเพราะเกรงว่ามันจะไปรบกวนอีกฝ่ายเอาได้

               ทันใดนั้นก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแผลเป็นที่บริเวณหัวคิ้วซ้าย

               มันรวบรวมความกล้าอยู่เพียงครู่ก่อนจะแตะปลายนิ้วลงไปบนรอยบากเล็กๆอย่างเบามือ

               แสงจากดวงจันทร์ที่ตกกระทบลงบนเสี้ยวหน้าคมเข้มขับเน้นให้อีกฝ่ายนั้นดูมีเสน่ห์ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว คล้ายกับโดนมนต์ขลังครอบงำ ฝ่ามือนั้นกลับเลื่อนไปตามโครงหน้าได้รูปอย่างเผลอไผล

               เพราะถ้าหากเป็นเวลาปรกติ...มีหรือมันจะกล้าถึงเพียงนี้..

               จู่ๆเสียงอึกทึกที่ดังขึ้นในอกนั้นกลับทำให้เจ้าตัวหูอื้อไปชั่วขณะเมื่อปลายนิ้วเผลอปัดผ่านบริเวณริมฝีปากและคมเขี้ยวของอีกฝ่าย

               ความรู้สึกหวามไหวแล่นผ่านปลายนิ้วขึ้นมาฉับพลันจนตั้งรับแทบไม่ทัน

               ..ราวกับมันจะละลายหายไปเสียให้ได้

               แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่กำลังจะดึงมือออกมา กลับถูกพันธนาการแข็งแกร่งกอบกุมเอาไว้จนมิด

เจ้าแก้วสะดุ้งอย่างตื่นตกใจเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นมาจับตามสัญชาตญาณทั้งที่เจ้าตัวยังคงหลับตาอยู่

อีกทั้งน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยทักออกมานั้นกลับทำให้เจ้าสัตว์ตัวเล็กตัวแข็งทื่อเย็นเฉียบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

               ...รู้สึกตัวตื่นตั้งแต่เมื่อใดกัน

               “..ซุกซนนักนะ” ว่าเพียงเท่านั้นสายตาทรงอำนาจก็จ้องมองกลับไป ส่งผลให้อีกฝ่ายทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่

               “อ..คือ” ใบหน้าอ่อนเยาว์ถูกไอร้อนจู่โจมเมื่อโดนจับได้ว่าตนนั้นแอบลักลอบจับต้องใบหน้าผู้อื่นอย่างถือวิสาสะ “..ขอโทษจ้ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” น้ำเสียงสลดลงไปอย่างรู้สึกผิด เพราะลึกๆแล้วความหวาดกลัวที่มีต่ออสุราหนุ่มตนนี้ก็ยังคงมีอยู่ “เอ่อ..เพราะพิษในกายกำเริบจึงทำให้ท่านนั้นสลบไป พ่อครูเลยสั่งให้ฉันมาช่วยดูแล แล้ว...แล้วฉันกลัวว่าท่านจะตื่นจึงไม่กล้าลุกออกไปไหน”

               เหตุไฉนกลับเปลี่ยนเรื่องเสียนี่

               ท่าทีร้อนรนตั้งแต่แรกเริ่มตกอยู่ในสายตาของอสุราหนุ่มทั้งหมด มันพูดเจื้อยแจ้วแก้ตัวต่างๆนานาคงเพราะกลัวว่าเขาจะดุด่ากระมัง

               มือของมนุษย์ที่ตกอยู่ในพันธนาการแน่นหนาออกแรงยื้อยุดอย่างต้องการอิสระ แต่ก็ไร้ผลเมื่อถูกกอบกุมแน่นขึ้นเสียยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาสีสวยที่ทอประกายหยอกล้อกับเปลวเพลิงสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อไม่สามารถต่อกรกับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าได้

               “หวาดกลัวอะไรนัก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามทั้งที่สายตาทั้งคู่ยังคงสอดประสานกันอยู่ “ข้ายังไม่ทันได้ว่ากล่าวสิ่งใดออกไปสักคำ”

               “ฉัน..ฉันเปล่ากลัวนะจ๊ะ”

               “เจ้าเคยบอกข้าแล้วสองหน” อสุราหนุ่มย้ำเตือนความจำ “ไม่กลัว...แต่ก็ชอบหลบตาอยู่เรื่อย”

               เจ้าแก้วตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอยู่ไม่น้อยเมื่อโดนดึงตัวให้ลงไปใกล้

ราวกับโดนพันธนาการที่มองไม่เห็นกักขังเอาไว้จนไร้หนทางหลบหนี

ราวกับถูกนัยน์ตาคมกล้าทรงอำนาจคู่นั้นตรอกตรึงเอาไว้กับที่

               ..โดยไม่สามารถขัดขืนได้เลยสักนิด...

               แต่แล้วบรรยากาศที่อบอวลอยู่รอบข้างมีอันต้องพลันสลายเมื่อน้ำเสียงดุของชายชราอีกคนปรามขึ้นมา

               “เอ็งไปกวนอะไรท่านวศินอีก หา เจ้าแก้ว”

               ครูบุญเดินถือท่อนฟืนเข้ามาเติมกองไฟก่อนจะยืนค้ำเอวมองศิษย์รักคนเล็กอย่างจ้องจับผิด

               เพราะมันชอบทโมนไม่เข้าท่า...เผลอเป็นไม่ได้เลยเชียว

               “ว่าแต่พ่อวศินเถอะ รู้สึกดีขึ้นหรือไม่” ชายชราถามอย่างนึกห่วง

โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าอีกทางด้านหนึ่งฝ่ามือของทั้งสองนั้นได้ปล่อยผละออกจากกันเป็นที่เรียบร้อย

               “ขอรับ...ดีขึ้นมากแล้ว” กายสูงใหญ่ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นโดยมีเด็กหนุ่มคอยช่วยประคองอยู่ไม่ห่าง “ขอบพระคุณท่านมาก”

               “ตัวยานั่นข้าเพิ่มสมุนไพรอีกชนิดเข้าไปด้วย ฤทธิ์ของมันจะไปกล่อมประสาทให้รู้สึกง่วง ซ้ำผลข้างเคียงยังทำให้อ่อนเพลียอีกด้วย ถ้ายังไงคืนนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่เสียเถิด” รอยยิ้มใจดีที่มักมีให้เสมอประดับขึ้นบนใบหน้า “แล้ววันพรุ่งข้าจะพาท่านไปหาพระอาจารย์ที่ถ้ำท้ายเชิงเขาฝั่งนู้น” ปลายนิ้วชี้บอกทิศทางไว้ล่วงหน้า

               อสุราหนุ่มทำเพียงพยักหน้ารับอย่างไร้ข้อโต้แย้งก่อนจะปรายตามองหาไปทั่วเขตเรือนเมื่อพบว่าสหายตนนั้นไม่ได้อยู่รอบบริเวณนี้เหมือนอย่างทุกที

               “ท่านวิรุณขึ้นไปบนเรือนแล้ว” ครูบุญอ่านท่าทางนั้นออก

               “แล้วพี่กล้าล่ะจ๊ะพ่อครู” เจ้าแก้วเป็นฝ่ายมองหาบ้างเมื่อไม่เห็นว่าพี่มันจะกลับออกมาจากหมู่บ้านเสียที

               “ก็คงนอนอยู่เรือนไอ้มิ่งนั่นล่ะ เอ็งไม่ต้องไปห่วงมันหรอก” เขาส่ายหัวอย่างนึกเอือมระอากับพฤติกรรมของไอ้ตัวดี “อีกประเดี๋ยวก็ดับกองไฟเสีย แล้วขึ้นเรือนไปนอน วันพรุ่งเอ็งก็ต้องไปกับข้าด้วย”

               “ไปหาหลวงตาหรือจ๊ะ”

               “เออ ข้าจะให้พี่เอ็งมันเฝ้าเรือนอยู่ที่นี่แทน ขืนพาไปด้วยล่ะปวดหัวตายห่า”

               ผ้าขาวม้าถูกยกขึ้นมาพาดไหล่ก่อนชายชราจะหมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนเรือน ซ้ำก่อนไปยังไม่ลืมที่จะหันมากำชับกับเจ้าแก้วให้ดับกองฟืนอีกหน

               “เอ่อ” เด็กหนุ่มมีท่าทีอึกอักเมื่อได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองอีกครั้ง “ท่านขึ้นไปพักผ่อนก่อนเถิดจ๊ะ ประเดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”

               “ไม่เป็นไร”

               “แต่..” เจ้าแก้วมีท่าทีอยู่ไม่สุขอย่างเห็นได้ชัดจนอสุราหนุ่มจับความผิดปกตินั้นได้

               …ดูก็รู้ว่าหน้าขาคงชาหนักเอาการจนมันลุกไม่ขึ้น

               ก็ดันเสียสละไม่เข้าท่าให้เขายืมตักหนุนนอนมาตั้งนานสองนาน

ตัวก็เท่านี้ใยไม่รู้จักเจียมสังขารเสียบ้าง

               “ขาเจ้า” ใบหน้าคมเข้มพยักพเยิดให้ดู “ลุกไม่ไหวใช่หรือไม่”

               …ขนาดนี้แล้วยังดื้อด้านไม่ยอมบอกอยู่อีก

               “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น-!”

               ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคดีทั้งร่างก็ถูกอุ้มขึ้นออกมาจากแคร่แบบกะทันหัน

รู้สึกตัวอีกทีก็ตกอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่ายเสียแล้ว เจ้าแก้วเบิกตาโพลงอย่างตื่นตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายนั้นพึ่งจะฟื้นตัวได้ไม่นานร่างกายคงยังไม่แข็งแรงเท่าใดนัก มันจึงกลัวว่าอาการของอสุราหนุ่มจะทรุดเอาได้ แต่พอจะอ้าปากตักเตือนกลับโดนสายตาปรามดุลงมาจนต้องจำใจเม้มปากเงียบ

แม้นภายนอกจะดูเชื่อฟังแต่แววตาดื้อรั้นที่ฉายแววออกมาทำให้วศินต้องเลิกคิ้วมองอย่างนึกสงสัย

“มีอะไร”

“ท่านป่วยอยู่นะจ๊ะ ปล่อยฉันลงเถอะ ประเดี๋ยวอาการจะทรุดเอา” ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าคนพูดรู้สึกเป็นกังวลมากเพียงใด

แต่ดูท่าอีกฝ่ายไม่ได้ใส่ใจฟังมากนัก กลับเดินไปดับกองไฟอย่างเพิกเฉยต่อความปรารถนาดีที่คนในอ้อมกอดมอบให้

“ท่านวศิน..” 

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเข้มขึ้นเล็กน้อย...แต่เพราะเป็นเจ้าแก้วพูดมันจึงดูนุ่มนวลอยู่มาก ไม่ได้แข็งกระด้างเลยสักนิด

แต่เท่านี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อสุราหนุ่มหยุดชะงักทุกการกระทำเพียงเพราะว่าได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อตน

...เป็นหนแรก

จอมทัพอสุราจดจ้องไปที่เจ้าสัตว์ตัวเล็กในอ้อมกอดพลันในอกก็สะท้านไหววูบใหญ่เมื่อได้สบเข้ากับลูกแก้วสีสวย

ทันใดนั้นกำแพงที่คอยขวางกั้นมาตลอดกลับพังทลายลงอย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันนั้นไม่เคยแข็งแกร่งมาตั้งแต่แรกเริ่ม

..เพียงเสี้ยววินาทีก็ได้รับรู้ว่า..

               “ท่านวศิ-”

               “เงียบซะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำปรามขึ้น “ตัวเจ้าเพียงเท่านี้ มันไม่ลำบากข้านักหรอก”

ตลอดเวลาที่ผ่านมามนุษย์ตรงหน้านั้น...

มีอิทธิพลกับตนมากเพียงใด..


 
(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
 

   เสียงน้ำหยดจากร่องหินตกกระทบลงบนแอ่งน้ำเกิดเสียงก้องดังไปทั่วโถงถ้ำกว้าง แสงบางส่วนที่สามารถทะลุช่องเปิดสาดส่องลงมายังร่างของผู้ทรงศีลที่กำลังนั่งเจริญภาวนาอยู่บนโขดหิน

               เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งจิตที่ตั้งสมาธิไว้มั่นกลับต้องมีอันชะงักลงเมื่อรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของใครบางคน

               คงเดินทางมาถึงกันแล้ว

               ...คราแรกที่ไอ้บุญบอกกล่าวมา ว่าอีกฝ่ายเป็นทหารมาจากเมืองยักษ์

               แต่กลิ่นอายน่าเกรงขามเช่นนี้

คงหาใช่พวกทหารปลายแถวธรรมดาๆเสียแล้วกระมัง...

               เปลือกตาที่เหี่ยวย่นไปตามวัยค่อยๆเปิดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของกลุ่มผู้มาเยือนบริเวณปากทางเข้าถ้ำ

ไม้เท้าหัวงูจงอางที่ถูกแกะสลักมาจากไม้มะเกลือถูกคว้ามาถือพยุงร่างไว้เพื่อพาตนก้าวเดินไปตามทางน้ำแหวก

ฟ่ออ

เมื่อมาถึงบริเวณหน้าโถงทางเข้า งูจงอางเผือกขนาดใหญ่สองตัวที่นอนขดอารักขาอยู่กลับชูคอขึ้นสูงจนเลยหัวพระชราไปหลายศอกเพื่อเตรียมการคุ้มกันภัย

“มิใช่โจรป่าผู้ร้ายที่ไหนดอก” เสียงที่มากไปด้วยเมตตาบารมีเอ่ยบอก “พวกเขามากันแล้ว...ท่านทั้งสองกลับไปก่อนเถิด”

หลังจากได้รับคำสั่งสองพญาอสรพิษก็เลื้อยตรงไปยังบริเวณแอ่งน้ำใกล้แท่นเจริญภาวนา ก่อนลำตัวใหญ่จะหายลับดำดิ่งลงไปใต้ความมืดของกระแสน้ำนิ่ง

เมื่อเดินมาถึงบริเวณโถงหลักของถ้ำก็ปรากฏร่างของบุคคลกลุ่มหนึ่งยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว เจ้าแก้วเป็นคนแรกที่รีบวิ่งเข้ามาหาก่อนจะคุกเข่าก้มลงกราบแทบเท้าของผู้ทรงศีล

“หายหน้าไปนานเลยนะเอ็ง ลืมข้าไปแล้วหรืออย่างไร หา เจ้าแก้ว” ปลายไม้เท้าถูกเคาะเบาๆลงไปบนกระหม่อมที่อยู่เบื้องล่าง ก่อนรอยยิ้มเอื้อเอ็นดูที่นานๆทีจะปรากฏให้เห็นก็ถูกส่งมอบไปให้เด็กหนุ่มตรงหน้า

 “ไม่ได้ลืมนะจ๊ะ ฉันเพียงแค่หาโอกาสมาเฝ้าหลวงตาไม่ได้สักที” น้ำเสียงออดอ้อนของมันทำให้ผู้ฟังต้องใจอ่อนยวบ

“เอ็งเอาแต่เข้าไปเล่นในป่าน่ะสิไม่ว่า” พ่อครูเดินเข้ามาสมทบไม่ห่างก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้าของพระอาจารย์อีกคน

“มันก็เล่นไปตามประสาเด็กนั่นล่ะ” ผู้ทรงศีลยิ้มขันอย่างอารมณ์ดี

เพียงเท่านี้ก็รู้ได้แล้วว่าไอ้ตัวทโมนนี่มันมีพระอาจารย์คอยถือหางอยู่ ขนาดเขาที่เป็นลูกศิษย์ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาหลายปียังไม่เคยได้รับความเอ็นดูเท่านี้มาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำไป

ยิ่งกับไอ้กล้า...ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

กับพระอาจารย์นี่ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไร

ตลอดทางเดินไปยังลานหินเจ้าแก้วก็คอยประคองร่างของหลวงตาอยู่ไม่ห่างกาย ก่อนมันจะเป็นฝ่ายลงไปนั่งบริเวณชั้นที่เตี้ยกว่าผู้อื่น

ชั้นสูงขึ้นมาอีกขั้นเป็นที่นั่งของพ่อครูและอสุราหนุ่มทั้งสองตน ส่วนหลวงตาก็นั่งอยู่บนโขดหินอีกขั้นหนึ่ง

“พระอาจารย์ขอรับ...นี่ท่านวศิน พ่อยักษ์อีกตนที่ข้าเคยกล่าวให้ท่านฟังเมื่อครานั้น”

นัยน์ตาฝ้าฟางหันไปมองร่างสูงใหญ่ของอมนุษย์ทั้งสองตนด้วยแววตาที่เรียบเฉยก่อนจะพยักหน้าอย่างรับรู้

“เจ้าแก้ว” หลวงตาหันไปมองเจ้าคนที่กำลังนั่งจับจ้องมาทางนี้ด้วยท่าทีตั้งอกตั้งใจฟัง “มานั่งข้างหลวงตานี่ เอ็งไปนั่งทำไมเสียตั้งไกล”

“แต่…” มันมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย เพราะคงไม่ดีนักที่จะไปนั่งเทียบเสมอกับผู้ใหญ่

“อย่าโอ้เอ้”

เพียงเท่านั้นร่างปราดเปรียวก็เปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งของตนตามคำสั่งทันที

กลับกลายเป็นว่าตอนนี้มันต้องนั่งเผชิญหน้ากับอสุราหนุ่มตนนั้นแทน

..อดประหม่าไม่ได้จริงๆ เมื่อได้สบเข้ากับนัยน์ตาสีเข้มทรงอำนาจ

“เอาล่ะ” คำหมากถูกเคี้ยวอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาฝ้าฟางจดจ้องไปยังสองอสุราหนุ่มก่อนจะเอ่ยถามเพื่อเข้าเรื่อง “ท่านพอจะจำได้หรือไม่ว่าอาการตอนที่ถูกพิษนั่นคราแรกมันเป็นเช่นไร”

“ทันทีที่ลูกศรดอกนั้นปักลงมา มันก็กัดกร่อนผิวเนื้อและลามไปอย่างรวดเร็วคล้ายกับถูกไฟคลอกขอรับ” วิรุณเป็นฝ่ายอาสาตอบแทน เพราะครานั้นสหายตนคงไม่มีสติรับรู้มากเท่าใดนัก “พอหลังจากนั้นเพียงไม่นานเนื้อตัวของเจ้าวศินก็เริ่มขึ้นสีแดงชาดอย่างที่ท่านเห็น”

ผู้ทรงศีลที่นั่งอยู่ในระดับสูงกว่าทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ ก่อนนัยน์ตาฝ้าฟางจะฉายแววหนักอกหนักใจขึ้นมาอยู่บ้างเล็กน้อย

เพราะถ้าหากเป็นพิษชนิดนั้นตามที่คิดเอาไว้จริงๆแล้วล่ะก็ แม้นแต่เขาที่ถือว่าเป็นปรมาจารย์ชั้นครูก็คงไร้หนทางที่จะถอนพิษให้ได้

หากแต่จะให้เมินเฉยและไม่ช่วยเหลือก็เห็นทีคงจะไม่ได้

“…ข้าพอจะเดาได้ว่าเป็นพิษชนิดใด” เพียงเท่านั้นทุกคนก็ต่างมีสีหน้าที่โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก แต่ประโยคถัดมากลับถูกดับความหวังลงทันควัน “เพียงแค่ยังไม่มั่นใจก็เท่านั้นว่าใช่หรือไม่ ไอ้ครั้นจะให้รักษาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าก็เห็นทีจะไม่ได้”

ครูบุญเริ่มมีสีหน้าวิตกตามไปด้วยเพราะกลัวว่าจะไม่สามารถช่วยรักษาชีวิตของอสุราหนุ่มเอาไว้ได้

ส่วนเจ้าแก้วเองที่นั่งทับเข่าอยู่ข้างแท่นหิน  ก็ทอดมองไปยังฝ่ายนั้นอย่างนึกเป็นห่วงอยู่ไม่แพ้กัน

และเพราะท่าทางเซื่องซึมที่ผิดปรกติของมันทำให้พระอาจารย์ต้องก้มลงมามอง ก่อนจะทันสังเกตเห็นว่าพ่อยักษ์ตนนั้นก็มองตอบกลับมาเช่นเดียวกัน

สายตาทั้งสองคู่ที่สบประสานกันเพียงเสี้ยววินาทีนั้นกลับทำให้ผู้ทรงศีลต้องแอบลอบถอนหายใจกับตนเงียบๆ

…ต่างเผ่าพันธุ์กันนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว

นี่ยังเป็นบุรุษด้วยกันทั้งคู่

…ดูท่า คงมีเรื่องให้ต้องหนักใจเพิ่มมาอีกเรื่องแล้วกระมัง..

 “เอาล่ะ”

ไม้เท้าถูกตั้งลงบนพื้นก่อนพระอาจารย์คงจะมองตรงไปยังร่างสูงใหญ่กายสีชาด

“ให้ท่านวศินอยู่รักษากายกับข้าที่นี่เสียก่อน แล้วหลังจากนี้ข้าจะช่วยหาหนทางถอนพิษให้” ก่อนจะหันไปบอกกับอสุราหนุ่มอีกหนึ่งตนที่นั่งอยู่ข้างกัน “ส่วนท่านวิรุณ ข้าจะให้ไอ้บุญมันจัดหาว่านไปให้แช่ที่เรือนก็แล้วกัน เพราะที่นี่มีบ่อว่านเพียงบ่อเดียว เกรงว่าจะไม่สะดวกกับพวกท่านทั้งสอง” ทางฝ่ายนั้นไร้ข้อโต้แย้ง อสุราหนุ่มเพียงพยักหน้ารับคำอย่างเข้าอกเข้าใจ

“เอาเช่นนั้นหรือขอรับ” ครูบุญท้วงขึ้นอย่างไม่มั่นใจ เพราะพระอาจารย์เองก็ชราภาพมากแล้วคงจะไม่สะดวกที่จะเดินเหินเท่าใดนัก “ให้ข้าบอกไอ้กล้ามันมาอยู่ช่วยท่านอีกแรงดีหรือไม่”

“อย่าเลย หาเรื่องปวดกบาลให้ข้าเสียเปล่า” หลวงตาส่ายหัวปฏิเสธอย่างขบขัน ก่อนจะก้มลงมองเด็กหนุ่มที่นั่งบีบแข้งบีบขาให้อยู่บนพื้นข้างกาย “ให้เจ้าแก้วมันอยู่ช่วยข้าก็แล้วกัน” ฝ่ามือเหี่ยวย่นลูบลงบนศีรษะทุยอย่างเอื้อเอ็นดู

“จะดีหรือพระอาจารย์” พ่อครูแย้งขึ้น “ทโมนปานลูกลิงลูกค่างเช่นนี้มีแต่จะทำให้เสียเรื่องเสียเปล่าๆ” เพราะรู้ดีว่ายามที่อาจารย์ของตนเป็นการเป็นงานนั้นจริงจังมากเพียงใด

“เออ เอ็งไม่ต้องห่วง” พระอาจารย์คงเอ่ยยืนยันเสียงหนักแน่น “เอาตามที่ข้าว่านี่ล่ะ ให้เจ้าแก้วมันมาคอยออกไปเก็บสมุนไพรกับเตรียมของให้ข้าก็พอ หาใช่งานหนักหนาอะไรมันทำได้สบายอยู่แล้ว”

สิ้นเสียงตัดสินใจของผู้ทรงศีลก็ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด

“เช่นนั้นก็เอาตามที่อาจารย์ว่า อีกราวๆสามสี่วันข้าจะมาหาใหม่” ครูบุญพยักหน้ารับ แต่ก็ยังมิวายหันไปหาศิษย์คนเล็กที่นั่งอยู่ “เอ็งอย่าออกไปทโมนข้างนอกจนได้เรื่องอีกล่ะ อยู่ช่วยงานหลวงตาให้ดีด้วย เข้าใจหรือไม่เจ้าแก้ว”

“จ้ะ พ่อครู” มันพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

 

ลับหลังครูบุญและวิรุณยักษาที่พึ่งเดินออกไปจากถ้ำ พระอาจารย์คงก็หันกลับมาสั่งให้เจ้าแก้วออกไปหาสมุนไพรตามที่จำเป็นต้องใช้ในการรักษาคืนนี้ พร้อมไม่ลืมกำชับให้มันรีบกลับมาก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน

ภายในโถงถ้ำกว้างตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่หนึ่งผู้ทรงศีลกับอีกหนึ่งอสุราหนุ่มเท่านั้น

“ท่านวศินเป็นทหารหรอกรึ” ดวงตาฝ้าฟางเพ่งพินิจพิจารณารูปพรรณของอีกฝ่ายตามไปด้วย

..รูปงามซ้ำยังมีท่าทีองอาจผึ่งผายเช่นนี้คงเดาได้ไม่ยากว่าจะมีตำแหน่งอะไรในกองทัพ

“ขอรับ”

“..เป็นจอมทัพใหญ่เสียด้วย”

สิ้นเสียงคำถามของชายชราทั่วทั้งบริเวณก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

ทางอสุราหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าหาได้มีท่าทีตื่นตกใจที่เขาล่วงรู้ความจริงเกี่ยวกับตนแม้นกระผีก

ฝ่ายนั้นเพียงแค่ยิ้มตอบบางเบาก่อนจะก้มหัวลงนิดหน่อยเป็นเชิงยอมรับว่าสิ่งที่เขาเข้าใจนั้น

..มันถูกต้องทั้งหมด



______________________________________________



เปิดตัวละครตัวใหม่อีกหลายตัวเลยค่ะ ฮาาาา

เรื่องนี้ตัวละครเยอะจริงๆ ถ้ายังไงวันไหนว่างๆพันไมล์จะทำแผนผังตัวละครมาให้ประกอบการอ่านนะคะ555



ขอสวัสดีปีใหม่นักอ่านทุกคนล่วงหน้านี้เลยแล้วกันนะคะ เพราะหลังจากนี้พันไมล์จะลาไปเที่ยวยาวจนถึงสิ้นเดือนเลย

คงเจอกันอีกทีปีหน้า (ดูนานจังแต่อีกไม่กี่วันเอง55555)

ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันหยุดปีใหม่นี้นะคะ เที่ยวและพักผ่อนกันให้เต็มที่เน้อ ส่วนใครที่ติดงานพันไมล์เป็นกำลังใจให้ค่าา <3 :กอด1:


สุดท้ายนี้ฝากเม้นเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาา กำลังจะเฉาแย้ววว อยากอ่านเม้นคนอ่านที่น่ารักมั่กๆๆ /อ้อนนน
:hao5: :hao5:



ปล1.สคส.เลื่อนไปส่งให้ได้หลังปีใหม่นะคะ เพราะตอนนี้ยังไม่เสร็จเลยค่ะคงส่งไม่ทัน สามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ทางทวิตเตอร์เลยครับผม (แจกแค่20ใบเท่านั้นน้าาา พลาดแล้วจะเสียใจนะเอออ เจ้าแก้วกับพี่ยักษ์น่ารักมากๆๆ)


รัก


พันไมล์

 :กอด1: :L2: :L1: :pig4:





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-12-2018 01:36:31 โดย Punmile09 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
อัคคิมุข

.

.

.
 

         “ในบ่อประกอบไปด้วยว่านเจ็ดชนิดและสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาพิษเบื้องต้น…ในหนึ่งวันท่านจะต้องมาแช่รักษากายสามเวลา…ครั้งละสองชั่วยาม” พระอาจารย์คงเอ่ยเสียงหนักแน่น “และที่สำคัญ...หากเวลายังไม่ครบรอบ ห้ามลุกออกมาจากบ่อเป็นอันขาด”

               ผู้ทรงศีลที่ยืนอยู่ข้างๆบ่ออธิบายขั้นตอนการรักษาเบื้องต้นให้โดยละเอียด...แม้นว่าตอนนี้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าพิษที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของอสุราหนุ่มนั้นเป็นพิษชนิดใดก็ตาม

               “ระหว่างการรักษาให้ท่านมาใช้บ่อว่านที่โถงแห่งนี้” ไม้ตะพดถูกยกชี้บอก “ทางฝั่งทิศเหนือเป็นบริเวณบำเพ็ญเพียรของอาตมา...หากไม่มีความจำเป็นขอความกรุณาท่านอย่าได้ย่างกรายเข้าไปหากไม่ได้รับอนุญาต” แม้นจะรู้ว่าคำเตือนซึ่งๆหน้าเช่นนี้จะดูเสียมารยาทอยู่ไม่น้อย แต่เอ่ยเตือนเอาไว้ก่อนจะดีเสียกว่า

               “ส่วนบริเวณโถงทางทิศใต้เป็นที่พำนักอาศัยของท่าน...และหากต้องการชำระล้างร่างกายละก็เดินออกไปจากถ้ำเพียงไม่ไกลนี้มีลำธารอยู่สายหนึ่ง ไว้อาตมาจะให้เจ้าแก้วมันพาท่านไปก็แล้วกัน”

               “ขอรับ” วศินขานรับพลันสายตาก็เลื่อนไปมองยังเด็กหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลโดยที่ฝ่ายนั้นก็มองตอบกลับมาเช่นกัน

               “ส่วนเอ็งนะเจ้าแก้วนอนที่โถงกลางที่เคยนอนนั่นล่ะ...แล้วอย่านึกทโมนย่างกรายไปรบกวนท่านวศินเชียว เข้าใจหรือเปล่า” น้ำเสียงเอื้อเอ็นดูที่แฝงความหมายโดยนัยถูกเอื้อนเอ่ยออกมา

...นี่จะถือว่าเป็นคำเตือนหนแรก

               “จ้ะ” มันพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

               “แต่การแช่ว่านในช่วงสามวันแรกของท่านวศินหลวงตาจำเป็นที่จะต้องให้เอ็งเฝ้าเอาไว้ตลอดเวลา เพื่อสังเกตอาการ” แม้นจะนึกขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อยแต่การรักษาต้องมาก่อนเหตุผลอื่นเสมอ

               “จ้ะหลวงตา”

               “ดีเช่นนั้นก็อย่าลืมทำตามที่ข้าบอกเสียล่ะ พอครบสองชั่วยามเอ็งก็ไปต้มยามาให้ท่านวศินดื่มด้วยก็แล้วกัน”

               เอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นผู้ทรงศีลก็ขอตัวกลับไปบำเพ็ญเพียรต่อที่โถงทางทิศเหนือ ปล่อยทิ้งไว้เพียงแค่สองชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ที่ต้องอยู่ร่วมกันไปตลอดระยะเวลาสองชั่วยามหลังจากนี้

               “ท่าน...พร้อมหรือยังจ๊ะ” เจ้าแก้วเลียบเคียงเดินเข้ามาหาพร้อมกับวางตะเกียงไว้บนโขดหินข้างบ่อ มันเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่ม

               ยิ่งได้ชิดใกล้เช่นนี้...ยิ่งทำให้ได้รู้ว่ามันนั้นเป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวกระจ้อย

            แม้นขนาดเงาที่ฉาบทับลงไปบนพื้นก็มิอาจที่จะเทียบเคียงอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย..

               “อืม” อสุราหนุ่มพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง”

               “เพียงแค่ลงไปนอนแช่ในบ่อว่านให้ครบสองชั่วยามเท่านั้นจ้ะ”

               “แล้ว...ต้องถอดออกหรือไม่” เอ่ยถามพร้อมกับชี้ลงไปยังผ้านุ่งที่ตนสวมใส่

               เพียงเท่านั้นก็เรียกรอยริ้วแดงขึ้นมาพาดผ่านบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มได้อย่างไม่ยากเย็น...เจ้าแก้วทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนจะค่อยๆพยักหน้าขึ้นลงแทนคำตอบ

               “ถ...ถอดจ้ะ” แม้นจะเคยเห็นร่างเปล่าเปลือยของบุรุษด้วยกันมาก็มากโข แต่กับอสุราหนุ่มตรงหน้ามันกลับตกประหม่าเสียทุกครั้งไป...สุดท้ายจึงตัดสินใจยืนหันหลังเพื่อให้อีกฝ่ายได้จัดการตนเองให้เรียบร้อย

               เสียงเสียดสีของเนื้อผ้าดังแผ่วเบาขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน

ในโถงถ้ำมืดมิดมีเพียงแสงสว่างจากกองไฟขนาดย่อมเท่านั้นที่สาดส่องเจิดจ้า แสงนวลตาที่กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณปรากฏให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่ที่ทาบทับลงไปบนผนังถ้ำ...ฝ่ายนั้นค่อยๆจัดการปลดผ้านุ่งออกจากกายจนผืนผ้าทิ้งตัวลงไปกองอยู่บนพื้นเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะย่างก้าวลงไปในบ่อว่าน

               เมื่อมีเสียงแหวกของผิวน้ำเป็นตัวยืนยันว่าอสุราหนุ่มได้ลงไปแช่ในบ่อแล้วเป็นที่เรียบร้อย เจ้าแก้วจึงได้หันกลับมาตามเดิม มันนั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเพื่อเฝ้าสังเกตอาการของอสุราหนุ่มตามที่หลวงตาได้ฝากฝังเอาไว้

 นัยน์ตาสีน้ำผึ้งกระทบกับแสงไฟทอประกายวูบไหวยามที่จับจ้องไปยังร่างกำยำองอาจของยักษา

               กายช่วงล่างหายลับลงไปในผืนน้ำโผล่พ้นมาให้เห็นเพียงแค่แผ่นหลังกว้างที่มีกล้ามเนื้อตึงเครียดขมึงไปทุกส่วนสัด แสงนวลจากเปลวไฟส่องสะท้อนรอยแผลเป็นบริเวณช่วงบ่าลามมาจนถึงเอวสอบ ร่องรอยบาดแผลจากการกรำศึกสนามรบปรากฏไปทั่วทุกพื้นที่บนผิวกายสีชาด

               …ตำหนิที่มากมี ก็หาได้สยบอสุราหนุ่มตนนี้ให้มัวหมองแต่มันกลับเสริมให้อีกฝ่ายดูกร้าวแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก

               เมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปราวๆหนึ่งชั่วยาม จากท่าทีที่ดูนิ่งสงบเริ่มถูกฤทธิ์ของพิษร้ายในกายเล่นงาน

ตามเนื้อตัวของวศินยักษาเริ่มมีเหงื่อกาฬผุดซึมขึ้นมาจนข้างขมับชื้น จังหวะการหายใจที่เคยสม่ำเสมอกลับติดขัดทำให้เจ้าแก้วต้องลุกเดินเข้าไปหาด้วยกระวนกระวาย

               “ท่านวศิน” เมื่อเห็นว่าช่วงตัวสูงใหญ่ที่นั่งพิงอยู่ขอบบ่อเริ่มออกอาการไม่สู้ดี เด็กหนุ่มจึงเอื้อมมือไปจับบ่าแกร่งด้วยความวิตกกังวล แต่แล้วก็ต้องตื่นตกใจเมื่อสัมผัสได้ว่าผิวกายของอีกฝ่ายนั้นร้อนจัดราวกับนั่งอยู่ในกองเพลิงก็มิปาน

               เรียวคิ้วเข้มขมวดแน่นตามมาด้วยเสียงคำรามทุ้มต่ำในลำคอราวกับว่าเจ้าตัวกำลังอดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดทรมานอย่างสุดแสน อสุราหนุ่มแหงนเงยหน้าขึ้นเพื่อกอบโกยอากาศเมื่อความร้อนรุ่มตีรวนขึ้นมากระจุกอยู่ช่วงอกจนไม่สามารถหายใจได้อย่างปกติ

               “..ร้อน” เสียงแหบพร่าโอดครวญผะแผ่ว...แต่กลับดังชัดในความรู้สึกของคนที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างกาย

               “ท่านวศิน...อดทนไว้นะจ๊ะ..” เจ้าแก้วสอดกายเข้ามาประคองศีรษะของอีกฝ่ายเอาไว้เพราะเกรงว่าจะกระแทกเข้ากับคมหินข้างบ่อเอาได้...แต่แล้วในอกกลับพลันสั่นวูบไหวเมื่ออสุราหนุ่มทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงที่ตักของมันจนหน้าขาสัมผัสได้ถึงความชื้นจากเหงื่อกาฬที่ไหลท่วม

               ใบหน้าคมคร้ามบิดเกร็งจนเส้นเลือดข้างขมับปูดเด่นชัดทำให้เจ้าแก้วต้องใช้สองมือโอบประคองเอาไว้มั่น

นัยน์ตาสีอ่อนส่องสะท้อนภาพความเจ็บปวดอย่างสุดแสน หัวใจคล้ายถูกมือปริศนาบีบเคล้นจนช้ำเลือดเมื่ออีกฝ่ายเริ่มส่งเสียงคำรามกร้าวราวกับสัตว์ใหญ่ถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส

               กล้ามเนื้อเครียดขมึงสั่นเทาเมื่อพิษร้ายเริ่มออกฤทธิ์แผ่กำจายไปในสายโลหิต...อสุราหนุ่มเริ่มขยับเคลื่อนกายเมื่อรู้สึกราวกับถูกเข็มลนไฟนับพันเล่มทิ่มแทงลงมาในทุกอณูผิว สันหมัดทั้งสองข้างถูกกำเข้าหากันจนคมเล็บจิกผิวเนื้อจนเลือดผุดซึม หยดน้ำที่ไหลออกมาจากปลายหางตาแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดมากเพียงไหน

               ผู้ที่เคยแข็งแกร่งดั่งหินผากลับน้ำตาหลั่งรินอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส

               เพียงเท่านั้นเจ้าแก้วก็ไม่สามารถอดรนทนดูได้อีกต่อไป มันโน้มตัวลงใกล้ก่อนจะใช้อ้อมแขนโอบกอดกายช่วงบนของอสุราหนุ่มเอาไว้มั่น ส่วนมืออีกข้างก็เอื้อมไปสอดประสานเข้ากับฝ่ามือใหญ่เพียงเพราะไม่อยากให้ฝ่ายนั้นถูกคมเล็บของตนจิกเข้าผิวเนื้อจนเป็นแผลฉกรรจ์

ไม่อยากให้เจ็บตัวไปมากกว่าที่เป็นอยู่...อาจจะเป็นการกระทำที่โง่เขลาเบาปัญญา

               แต่ถ้ามันสามารถช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดอันแสนทุกข์ทรมานจากท่านวศินได้มันก็ยินดีที่จะทำ..

               ฝ่ามือใหญ่ข้างที่ถูกสอดประสานออกแรงกำมือของมนุษย์ตัวน้อยเอาไว้มั่นราวกับว่ามันเป็นที่พึ่งสุดท้ายในวังวนอันมืดมิด ส่วนแขนอีกข้างของเด็กหนุ่มที่โอบกอดช่วงบ่ากว้างก็ถูกยึดเอาไว้มั่นไม่ต่างกัน

               เล็บคมจิกผ่านผิวเนื้อบอบบางของมนุษย์จนโลหิตข้นคลั่กแผ่กระจายกลิ่นสาบสนิมออกมา ยิ่งฤทธิ์ร้อนแผดเผา แรงที่ยึดก็ยิ่งแน่นขึ้นเพื่อระบายความเจ็บปวดอย่างสุดแสน

               “ฮึก..” เจ้าแก้วขบเม้มริมฝีปากจนขาวซีดพร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงเผาะลงมาอย่างมิอาจห้ามไหว

               เจ็บทั้งกายและใจเมื่อทอดมองเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความระคนทุกข์ของอสุราหนุ่ม

ถึงแม้นอีกฝ่ายจะมีสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงสมบูรณ์...แต่ไม่ว่าอย่างไรเมื่อเทียบกันแล้ว เรี่ยวแรงของยักษ์และมนุษย์นั้นก็ไม่สามารถที่จะเทียบชั้นกันได้อย่างสิ้นเชิง

…เพียงฝ่ามือเดียวของท่านวศินก็สามารถกอบกุมต้นขามันไว้ได้โดยรอบ

...แล้วนับประสาอะไรกับเรียวแขนที่บอบบางราวกับเด็กเล็กเมื่อเทียบกับช่วงแขนกำยำของอสุราหนุ่ม

               ลูกแก้วสีสวยสั่นไหวระริกซ้ำยังอาบคลอไปด้วยหยดน้ำเมื่อรู้สึกเจ็บที่บริเวณแขนและอุ้งมือจนแทบสลบ

เจ็บจนชาไปถึงราวกระดูกสันหลังเมื่อถูกเรี่ยวแรงของอสุราหนุ่มกอบกุมจนผิวเนื้อเริ่มขึ้นรอยช้ำเลือดอย่างน่าหวาดหวั่น ทั้งฝ่ามือและแขนปวดร้าวราวกับมันจะแตกสลายเป็นผุยผง

               ...เป็นรสชาติความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้พานพบมาก่อนในชีวิตนี้

            หยาดน้ำตาตกกระทบลงบนเสี้ยวหน้าคมคร้ามหยดแล้วหยดเล่า

หากแต่แรงโอบรัดรอบกายใหญ่กลับแน่นขึ้นเพื่อต้องการแบ่งเบาความทุกข์ทรมานกายจากอีกฝ่ายอย่างไม่ย่อท้อ

               หนึ่งอสุราหนึ่งมนุษย์ประสานฝ่ามือเข้าหากันแน่นราวกับว่าถ้าหากปล่อยไปคนใดคนหนึ่งจะสลายหายสาบสูญ เสียงสะอื้นในลำคอดังขึ้นแผ่วเบาเมื่อกำลังอดกลั้นกับความเจ็บปวดแสนสาหัสควบคู่ไปกับเสียงคำรามทุ้มต่ำ

               เวลาเวียนบรรจบจวบจนครบสองชั่วยามแรงที่ประสานอยู่นั้นก็เริ่มคลายออก ร่างของอสุราหนุ่มที่ทิ้งน้ำหนักกายลงมานั้นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายได้สูญเสียเรี่ยวแรงไปมากเพียงใด เปลือกตาที่หนักอึ้งเริ่มต้านทานความอ่อนล้าไม่ไหว วศินฝืนลืมตาขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นที่ตกกระทบลงบนผิวแก้ม

               นัยน์ตาสีน้ำผึ้งที่อยู่เบื้องบนบัดนี้ถูกบดบังไปด้วยม่านน้ำตาได้อย่างน่าสงสาร...ก่อนจะสังเกตเห็นว่าอ้อมแขนของมนุษย์ที่โอบรอบตนเองอยู่นั้นสั่นเทาอยู่ไม่น้อย

               “เจ้า...” น้ำเสียงแหบพร่าเค้นผ่านลำคอที่แห้งผาก เมื่อพบว่าเรียวแขนทั้งสองข้างนั้นขึ้นจ้ำช้ำเลือดเป็นรอยนิ้วมือ อีกทั้งยังมีเลือดไหลออกมาจากผิวเนื้อที่ถูกคมเล็บจิกเปิดจนหยาดโลหิตแดงฉานอาบลามไปถึงข้อศอก...ทั้งหมดนั้นมันเกิดจากเขาทั้งหมด “...เจ็บมากหรือไม่” วศินฝืนแรงยกแขนขึ้นมากอบกุมเรียวแขนของมนุษย์ตัวน้อยด้วยความสั่นเทาก่อนปลายนิ้วจะเกลี่ยไล้คราบเลือดออกให้อย่างเบามือ

               “ม...ไม่เป็นไรจ้ะ...ฉันไม่เป็นไร” เจ้าแก้วส่ายหน้ารัวก่อนยกไหล่เช็ดหยดน้ำแห่งความอ่อนแอออกไปจนหมดสิ้น มันมองเมินเรียวแขนบอบช้ำทั้งสองข้างอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจก่อนจะก้มลงมองใบหน้าอ่อนล้าที่อยู่บนตักด้วยความห่วงหา “ท่านวศิน...ยังเจ็บอยู่หรือไม่จ๊ะ”

               มีเพียงการพยักหน้าตอบรับเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนอสุราหนุ่มจะหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย

               “...แก้ว” น้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนระโหย

               “…” เพียงเท่านั้นก็รู้สึกราวกับถูกฉุดรั้งขึ้นที่สูงเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเรียกชื่อของมัน...เป็นหนแรก

               “…ข้าขอโทษ” เสียงแหบพร่าเอ่ยบางเบาจนต้องก้มหน้าลงไปฟังใกล้ๆ ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นมากอบกุมมือบอบช้ำของสัตว์ตัวน้อยเอาไว้ราวกับต้องการแสดงความรับผิดชอบ “ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเจ็บ...” น้ำเสียงสุดท้ายอ่อนแรงเสียจนถูกกลืนหายไปกับสายลม แต่ทว่าทั้งหมดนั้นกลับดังชัดในความรู้สึกของคนที่เฝ้ามองอย่างห่วงหาอาทร

               ...ไม่เป็นไรสักนิด...แม้นจะต้องเจ็บกายมากกว่านี้มันก็ไม่นึกถือโทษโกรธเคือง

               ...ความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาทั้งบีบคั้นและเร่งเร้าให้ในอกวูบไหวจนรู้สึกเจ็บปวด...แต่ภายใต้ความทรมานนั้นกลับเร่งจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อในอกซ้ายให้แปรเปลี่ยนไปทีละนิดเมื่อได้ใกล้ชิดกับอสุราหนุ่ม

...ขอเพียงแค่ได้อยู่ใกล้...มันก็ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดมากไปกว่านี้..

             
(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
  “ถอยออกไปเสียเจ้าแก้ว” น้ำเสียงเข้มขมึงของผู้มาใหม่เอ่ยก้องไปทั่วโถง ก่อนร่างของพระอาจารย์จะเดินเข้ามาใกล้ สายตานิ่งเรียบทอประกายโรจน์เมื่อเห็นว่าเรียวแขนของเด็กหนุ่มนั้นมีสภาพบอบช้ำมากเพียงใด “…หาเรื่องใส่ตัวนักนะเอ็ง”

               พระอาจารย์ส่งสายตาเชิงดุก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้เจ้าแก้วมันลุกออกไปจากพ่อยักษ์ตนนั้นเสียที...แต่เมื่อสังเกตเห็นฝ่ามือของทั้งสองที่กอบกุมกันเอาไว้แน่นก็ต้องลอบถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก

               ...หากมีเพียงท่านวศินที่คิดล่วงเกินก็ยังพอจะขวางได้

...แต่ในเมื่อมองเห็นความห่วงหาอาทรที่สะท้อนออกมาจากสายตาของเจ้าแก้วแล้วนั้นก็ต้องยอมที่จะปล่อยเลยตามเลยมองเมินข้ามไป

               ...เอาไว้ค่อยไปตามชำระความกับไอ้บุญทีหลังก็แล้วกัน...ว่าเหตุใดมึงจึงไม่ดับไฟตั้งแต่ต้นลม!

            “เจ้าแก้วถอยออกมาก่อนลูก...หลวงตาจะได้ดูอาการของท่านวศินได้” แม้นจะยังคงเหลือความขุ่นเคืองอยู่แต่ความรักและเอ็นดูที่มีต่อเจ้าลูกหมาตัวนั้นก็มีมากกว่า...เพียงแค่ได้เห็นสายตาเจ็บปวดและเนื้อตัวที่บอบช้ำของมันกำแพงในใจก็ถูกพังทลายทิ้งจนแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี

               เจ้าแก้วก้มลงกระซิบถ้อยคำที่ข้างใบหน้าคมคร้ามเพียงครู่เดียว อสุราหนุ่มตนนั้นก็คลายแรงที่กำลังกอบกุมฝ่ามือออก มันค่อยๆประคองศีรษะอีกฝ่ายให้เอนซบลงบนโขดหินที่ได้ระดับก่อนจะผละกายลุกออกมาหาหลวงตาแล้วก้มลงกราบที่แทบเท้า

               “ไปนั่งรออยู่ตรงนั้นเสีย...ประเดี๋ยวหลวงตาจะทำแผลให้เอ็งเอง” มือเหี่ยวย่นลูบลงไปบนศีรษะได้รูป เส้นผมชื้นเหงื่อที่ตกระใบหน้าอ่อนเยาว์ถูกปัดออกให้พ้นทางก่อนปลายนิ้วจะเกลี่ยลงผ่านผ้าเนื้อหยาบที่พันดวงตาข้างซ้ายของมันอย่างอ่อนโยน “ผ้าพันตาเอ็งน่ะถ้ามันร้อนก็ถอดออกเถิด อยู่ในนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเห็นหรอก”

               เพียงเท่านั้นอาการดื้อรั้นที่น้อยคนนักจะได้เห็นก็ฉายชัดออกมา มันส่ายหัวปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องรอให้คิด...เจ้าแก้วก็เป็นเช่นนี้ เรื่องอื่นน่ะว่านอนสอนง่ายนักเชียว จะมีก็เพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่มันจะดื้อดึงต่อต้านไม่ยอมทำตาม

            ...เพราะมันไม่อยากเผยรอยบากที่ใบหน้าให้ใครต่อใครได้เห็น

               เจ้าแก้วหลบออกไปนั่งคอยอยู่ที่มุมหนึ่งตามที่หลวงตาบอก โดยที่ดวงตาเศร้าสร้อยก็จดจ้องมองร่างของอสุราหนุ่มที่นอนไม่ได้สติไม่วางตา

               แต่แล้วเสียงเคลื่อนตัวของบางสิ่งบางอย่างที่ดังขึ้นบริเวณทางเข้าโถงกลับดึงความสนใจให้หันไปมอง เพียงเท่านั้นก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตกใจเมื่อได้เห็นงูจงอางเผือกขนาดใหญ่สองตัวเลื้อยเข้ามาก่อนร่างของบุรุษคนหนึ่งจะปรากฏกายขึ้น

               ช่วงตัวสูงใหญ่ที่สวมใส่ไว้เพียงผ้านุ่งสีเขียวมรกต  กายช่วงบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผ่นอกกว้างกำยำ บริเวณต้นแขนแกร่งทั้งสองข้างมีเพียงกำไลทองรูปพญานาคพันรอบ ท่าทีองอาจย่างก้าวตามหลังงูยักษ์ทั้งสองตนอย่างมั่นคงก่อนจะตวัดสายตามองมายังบริเวณมุมที่เจ้าแก้วนั่งอยู่

               เด็กหนุ่มคู้กายเข้าหากันอย่างหวาดหวั่นเมื่อถูกดวงตาสีเขียวจดจ้องมองมาอย่างไม่ลดละ...เพียงแค่ได้สบตาก็คล้ายกับถูกน้ำเย็นเฉียบสาดซัดเข้าใส่จนตัวชา

               “ท่านนคิน..นั่นเจ้าแก้ว” พระอาจารย์คงเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มบางเบา “หลานชายคนเล็กของอาตมาเอง”

               ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับรู้เพียงนิดก่อนจะเบือนสายตากลับไปหาพระอาจารย์ราวกับว่าในพื้นที่นี้ไม่มีเด็กหนุ่มผู้นั้นอาศัยร่วมอยู่ด้วย “ภุชงค์...โภคิน...นำยักษ์ตนนั้นขึ้นมาจากบ่อเสีย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยสั่ง ทันใดนั้นพญาอสรพิษทั้งสองก็เลื้อยควบคู่กันไปทางบ่อว่านก่อนจะใช้ลำตัวเกี่ยวพันรอบกายของอสุราหนุ่มไว้มั่นเพื่อประคองร่างไร้สติขึ้นมาบนฝั่ง

               แต่แล้วงูยักษ์ตัวหนึ่งกลับออกแรงพันรัดแน่นจนได้ยินเสียงบีบรัดผิวเนื้ออย่างรุนแรง ก่อนดวงตาของอสรพิษจะทอประกายวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว

เจ้าแก้วถึงกับกายเย็นเฉียบเมื่อเห็นว่าร่างของอสุราหนุ่มถูกรัดแน่นจนใบหน้าซีดเซียว แต่พอตั้งท่าจะลุกมาหากลับโดนหลวงตาใช้ไม้ตะพดชี้เป็นเชิงเตือนว่าให้อยู่ห่างเอาไว้ห้ามเข้ามาใกล้

               “ภุชงค์! ปล่อย!” พญานคินนาคราชตวาดเสียงดังก้อง “ปล่อยตัวเขาลงประเดี๋ยวนี้!”

               สิ้นเสียงคำสั่งร่างของอสุราหนุ่มก็ถูกปล่อยให้ร่วงลงมานอนที่พื้น ก่อนงูยักษ์อีกตัวจะจับพลิกให้นอนหงายขึ้นพร้อมดึงเอาผ้านุ่งที่ถูกปลดวางไว้ข้างๆขึ้นมาคลุมทับท่อนล่างที่เปลือยเปล่าเอาไว้ให้

               พญานาคราชย่างก้าวเข้าไปหาก่อนจะทรุดกายลงนั่งข้างๆร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น นัยน์ตาคมกล้าจดจ้องลงไปยังแผลเป็นที่ปรากฏอยู่บนแผ่นอกกว้าง เนื้อกายสีชาดที่อาบชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬสะท้อนต้องแสงกับเปลวไฟจนวาววับ

               แต่ที่ทำให้ต้องสะดุดตาก็คือสีของเหงื่อนั้นมีลักษณะแดงเข้มคล้ายกับหยาดโลหิต

นคินเอื้อมมือลงไปปาดไล้เก็บหยาดเหงื่อขึ้นมาก่อนจะคลึงปลายนิ้วอย่างพินิจพิจารณา

               พลันเรียวคิ้วก็ขมวดปมแน่น นัยน์ตาสีเขียวมรกตแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานเมื่อได้กลิ่นของพิษที่ถูกขับออกมาจากร่างอสุราหนุ่ม

ทางงูยักษ์ทั้งสองตัวก็เลื้อยเข้ามาใกล้เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของนายตน พลันสิ้นสองแฉกก็แลบตวัดเลียหยดพิษที่ปลายนิ้วก่อนเหล่าอสรพิษจะเลื้อยแนบเข้าข้างลำตัวของพญานาคราชราวกับต้องการช่วยปลอบประโลมอีกฝ่าย

               “...พิษเจ้านารา” สุ้มเสียงอ่อนระโหยเอ่ยบอก...หยาดน้ำที่คลอขึ้นมาจากหน่วยตาสะท้อนความเจ็บปวดรวดร้าวออกมาอย่างสุดแสน

               “ท่านนคิน” ผู้ทรงศีลเอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่านาคราชหนุ่มเนื้อตัวสั่นเทา

               “พระอาจารย์…พิษนี้เป็นพิษของเจ้านารา...สหายรักของข้าขอรับ” นคินเอ่ยเสียงหนักแน่นก่อนความเศร้าโศกจะจางหายไปเมื่อมือเหี่ยวย่นวางลงบนบ่าแกร่งอย่างปลอบประโลม

               “ท่านนคินหมายความว่า...”

               “ขอรับ...พิษที่อยู่ในกายของยักษ์ตนนี้คือพิษนาค” นัยน์ตาคมกล้าประกายวาบไหว “พิษอัคคิมุข”

               ทันใดนั้นภายในโถงถ้ำกว้างก็เงียบสงัดลงถนัดตา เจ้าแก้วพลันใจกระตุกวูบเมื่อเห็นแววตาวิตกกังวลของหลวงตาที่มองมาทางมัน

               “แล้ว...มีหนทางรักษาหรือไม่”

               “พิษนาคย่อมมีเพียงนาคเท่านั้นที่จะถอดถอนออกได้...”พญานาคราชจ้องมองไปยังร่างของอสุราหนุ่มอย่างใช้ความคิดก่อนจะพยักหน้ารับแทนคำตอบ “แต่ในหมู่นาคทั้งหมดทั้งมวล...พิษอัคคิมุขของเจ้านารานั้นมีฤทธิ์รุนแรงมากกว่านาคตนอื่นอยู่หลายเท่าตัวนัก” นาคหนุ่มเริ่มวิตกกังวลไม่แพ้กัน “ตัวข้าเองก็ไม่กล้ารับปากว่าจะสามารถถอนพิษออกให้ได้หมด”

               “ขอเพียงทุเลาลงก็ยังดี” พระอาจารย์คงเอ่ยเสียงอ่อน “ท่านนคิน...หนนี้ถือเสียว่าอาตมาขอความกรุณาด้วยเถิด...ช่วยชีวิตท่านวศินด้วย”

               เมื่อถูกวอนขอจากผู้ที่ตนเคารพนับถือพลันแววตาแข็งกระด้างก็อ่อนแสงลง “...พระอาจารย์เอ่ยปากขอกันเช่นนี้...หากนคินปฏิเสธก็คงจะใจไม้ไส้ระกำเกินทน” นาคหนุ่มทอยิ้มบางเบาก่อนนัยน์ตาสีเขียวมรกตจะกลับคืน

               “แต่ก่อนอื่นคงต้องเคลื่อนย้ายเขาออกไปจากที่นี่เสียก่อน” เพราะภายในโถงถ้ำแห่งนี้อากาศไม่ค่อยจะถ่ายเทสักเท่าใดนัก นคินเอ่ยปากสั่งให้สองอสรพิษเคลื่อนย้ายร่างของอสุราหนุ่มออกไปยังโถงกลางเพราะบริเวณนั้นมีช่องปล่องเปิดกว้างซ้ำยังมีแสงมากพอที่จะสามารถมองเห็นได้อย่างสะดวก

               ส่วนทางด้านเจ้าแก้วก็ถูกหลวงตาเรียกไปทำแผลมิหนำซ้ำยังถูกดุจนมันเซื่องซึม เมื่อหลวงตาเห็นรอยเล็บที่กรีดแทงทะลุผิวเนื้อจนเปิดเป็นแผลฉกรรจ์ ไหนจะรอยช้ำเลือดเป็นจ้ำทั่วทั้งแขนนี่อีก

               …ทำตัวบ้าบิ่นไม่เข้าเรื่องนัก

               “ถ้าพ่อกับพี่เอ็งมันมาเห็นละก็รับรองได้เลยว่าป่าแตก” พระอาจารย์ส่ายหัวอย่างปลงตก

ก็ไอ้บุญกับไอ้กล้าน่ะรักและถนอมเจ้าดอกแก้วดอกนี้มากเพียงใดใครจักไม่รู้ ลองถ้ามันมาเห็นความบอบช้ำนี่สิ มิวายอาละวาดปั้นปึ่งสติสตังแตกยับเยินเป็นแน่

               ผ้าสะอาดถูกพันรอบแขนทั้งสองข้างจนบดบังผิวเนื้อบอบช้ำจนมิด เจ้าแก้วก้มลงกราบแนบตักของหลวงตาก่อนจะผละออกไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อสุราหนุ่มตามที่นาคตนนั้นได้เอ่ยปากขอความร่วมมือเอาไว้

               ...เพราะทั้งภุชงค์และโภคินก็ต่างถูกสะบัดออกเมื่อฝ่ายนั้นเริ่มรู้สึกตัวตื่นซ้ำยังไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่าที่ควร

               ...ไอ้ยักษ์ดื้อด้าน..ปล่อยให้มันตายไปเสียเลยดีไหม!

            “..ท่านวศิน” เจ้าแก้วเดินเลียบเคียงเข้าไปหาคนที่กำลังพยุงกายกระเถิบขึ้นพิงเข้ากับโขดหินอย่างทุลักทุเล “เช็ดเนื้อเช็ดตัวก่อนเถิดจ้ะ” เด็กหนุ่มยอบกายนั่งลงข้างๆช่วงตัวสูงใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือออกไปจับต้นแขนกำยำไว้อย่างอ่อนโยน

               ทางฝ่ายนั้นก้มลงมองมนุษย์ตัวน้อยเพียงครู่ ก่อนปฏิกิริยาตอบรับอย่างว่าง่ายจะเรียกเสียงทอดถอนหายใจออกมาจากเหล่าสัตว์เลื้อยคลานทั้งสองตัวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

               ...อะไรมันจะสั่งได้ง่ายดายปานนี้

...เพียงแค่มนุษย์ตาบอดตัวกระจ้อยเอ่ยปากขอเจ้ายักษ์ตนนั้นก็ยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซ้ำยังนั่งนิ่งให้หลานของพระอาจารย์เช็ดเนื้อเช็ดตัวโดยไม่มีท่าทางขัดเคืองใจออกมาให้ได้เห็นเลยแม้นเพียงกระผีก

“พระอาจารย์.. ” นคินที่นั่งอยู่ข้างๆกำลังจะเอ่ยปากถามทั้งที่ตายังไม่ผละออกมาจากการดูแลของเด็กหนุ่มตรงหน้า

“อาตมาก็พึ่งจะเห็นพร้อมกับท่านนคินนี่แล..” มือเหี่ยวย่นหยิบหมากขึ้นมาเคี้ยวเพื่อต้องการดับความขุ่นเคืองใจ “เจ้าแก้ว...เสร็จแล้วก็ถอยออกมาเสีย” น้ำเสียงเข้มเอ่ยสั่งเมื่อสังเกตเห็นว่าพ่อยักษ์ตนนั้นจดจ้องหลานคนเล็กของตนอย่างไม่ละสายตาโดยที่เจ้าตัวน้อยนั่นก็ไม่ทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป

...นัยน์ตาสีนิลกาฬคู่นั้นมิสามารถปิดบังบางสิ่งบางอย่างที่ฉายชัดออกมาได้เลยสักเพียงนิด..

เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จเด็กหนุ่มก็ผละกายลุกออกห่างตามคำสั่งก่อนจะย้ายตัวไปนั่งข้างๆหลวงตาโดยที่ไม่รอให้โดนดุเป็นหนที่สอง

“วศิน..” นคินเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย “พิษที่ไหลเวียนอยู่ในกายเจ้าคือพิษนาคอัคคิมุข” นาคหนุ่มจดจ้องโต้ตอบกับอสุราตนนั้นอย่างไม่ลดละ “เป็นพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงที่สุดในพิษทั้งสี่ ...หากปล่อยทิ้งไว้นานกว่านี้ลมหายใจของเจ้าคงมิแคล้วจักต้องถูกพรากไป” รอยยิ้มเย็นเยือกถูกจุดขึ้นข้างมุมปากเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นยังไม่มีท่าทีหวาดหวั่น “ข้าสามารถถอนพิษออกให้เจ้าได้...แต่นั่นเป็นเพราะพระอาจารย์เอ่ยปากขอ หาใช่เพราะข้ามีเมตตาต่อพวกยักษ์อย่างเจ้าไม่...” น้ำเสียงทุ้มถูกกดต่ำ “แต่ก่อนอื่นเจ้าจะต้องบอกข้ามาเสียก่อนว่าได้รับพิษนี้มาได้อย่างไร...”

“…”                                                                                                                                     

“...เจ้าได้รับพิษนี้มาจากพวกยักษ์แห่งกรุงราชคฤห์ใช่หรือไม่”

ไร้เสียงตอบรับจากอีกฝ่าย มีเพียงแค่การพยักหน้าเท่านั้นเพื่อยืนยันคำตอบ

“เจ้าเป็นใครกัน...” หากเป็นเพียงพวกทหารปลายแถวมีหรือจะถูกเพ่งเล็งจากองค์ยุพราชเลวชาตินั่น..

“…ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่...ผู้ควบคุมกองกำลังทหารยักษ์แห่งนครคีรี”

“จอมทัพอสุราเช่นนั้นหรือ..” นาคหนุ่มทวนคำอย่างเหลือชื่อ

วศินพยักหน้ายืนยันอีกหนก่อนจะเบือนสายตากลับไปหามนุษย์หน้าซื่อที่กำลังมองมาที่ตนด้วยแววตาตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อได้รับรู้ความจริงอีกอย่างเกี่ยวกับตัวเขา

...ที่ผ่านมาไม่เคยคิดจะปิดบัง...แต่เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องบอก...ก็เท่านั้น

เพียงเท่านั้นนัยน์ตาสีเขียวมรกตก็สลดวูบลงเพียงครู่ก่อนนคินจะเอ่ยปากเล่าย้อนเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดขึ้นมา “เจ้านาราเป็นสหายรักของข้า”

“…”

“ปกติแล้วพวกเราจักต้องคายพิษออกมาเมื่อครบเวลาสิบห้าวัน...ซึ่งช่วงที่เกิดเหตุก็ยังไม่ครบรอบที่เจ้านาราจะคายพิษ...ในคืนนั้นสหายข้าขึ้นไปยังโลกด้านบนแต่กลับโชคไม่ดีถูกพวกยักษ์เลวชาติจับตัวไป”

น้ำเสียงขมขื่นถูกเค้นออกมาอย่างยากลำบาก

“…พวกยักษ์จากกรุงราชคฤห์...มันทำร้ายเจ้านาราจนได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส...เพียงเพราะพวกมันต้องการพิษอัคคิมุข...เมื่อนาราไม่สามารถคายพิษออกมาให้พวกมันได้ข้างลำตัวจึงถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะเพื่อรีดเอาพิษออกมา”

“..แล้วตอนนี้...เขาเป็นอย่างไรบ้าง” วศินเองเมื่อได้ฟังก็รู้สึกเจ็บแค้นขึ้นมาในอกไม่ต่าง...พวกราชคฤห์กระทำการชาติชั่วกับเขายังไม่พอ แต่กลับระรานผู้อื่นไปทั่วเช่นนี้มันช่างน่าสมเพชยิ่งนัก

“..ตายแล้ว” นาคหนุ่มฝืนยิ้มออกมาทั้งที่ภายในอุรานั้นแตกสลายไม่มีชิ้นดี “หลังจากวันนั้นเจ้านาราก็หอบลากสังขารกลับลงมายังเมืองบาดาล...ลมหายใจสุดท้ายที่กระซิบเอื้อนเอ่ยกับข้าคือ ‘องค์ยุพราชแห่งราชคฤห์’ เป็นผู้บงการทุกสิ่งทุกอย่าง...ด้วยพระองค์เอง” ภาพลำตัวของสหายรักที่ถูกกรีดจนเนื้อเปิดยังคงฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำ เกล็ดสีนิลถูกถอดถอนจนตกสะเก็ดเลือด ทั่วลำคอขาวปรากฏรอยนิ้วมือขนาดใหญ่กอบกุมอยู่รอบจนม่วงคล้ำ

...มันโหดร้ายทารุณเกินกว่าที่เขาจะสามารถทนมองร่างนั้นค่อยๆถูกความเจ็บปวดพรากลมหายใจไปจากกันได้

“ว่าแต่เจ้าเถอะ...เหตุไฉนจึงถูกเพ่งเล็งจากเจ้ารามสูรเสียได้” ท่าทีที่ผ่อนคลายลงไปมากของพญานาคราชทำให้ความขมุกขมัวที่อยู่รอบกายพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น อีกทั้งยังเป็นฝ่ายชักชวนอสุราหนุ่มพูดคุยอย่างไม่มีท่าทีขัดเคืองเหมือนอย่างเช่นเมื่อแรกพบ

“...เมื่อตอนที่ออกศึกกับพวกราชคฤห์ ข้าและสหายถูกพวกมันเล่นไม่ซื่อกระทำการนอกเหนือกฎการศึก” นัยน์ตาสีนิลกาฬเปล่งประกายวาวโรจน์ดั่งเพลิงเผาเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา “รามสูรใช้ศรอาบพิษยิงใส่ข้าเพื่อหวังจะตัดกำลังและอาศัยช่วงที่ข้าเพลี่ยงพล้ำเข้ามาเล่นงาน”

“สันดานชั่วโดยเนื้อแท้..” นคินเผลอสบถหยาบจนถูกพระอาจารย์ปรายตามองมาเชิงตักเตือน

“แต่สหายข้ากลับพาโดดหนีลงมาจากหน้าผาเพียงเพราะต้องการจะปลิดชีพให้สิ้นเสียยังดีกว่าจักต้องตายด้วยน้ำมือของพวกราชคฤห์”

“...สุดท้ายพวกเจ้าก็รอดใช่หรือไม่” …ถึกทนสมกับเป็นจอมทัพใหญ่เสียจริง

“อืม” นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยที่รอดมาได้

“หึ...และให้ข้าคาดเดา...ก็คงเป็นเจ้าที่ไปพบยักษ์ทั้งสองตนเข้า...ใช่หรือไม่เจ้าแก้ว” นคินแย้มยิ้มมุมปากไปให้สัตว์ตัวเล็กที่นั่งอิงแอบอยู่ข้างกายพระอาจารย์...มันเหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนจะพยักหน้ารับแทนคำตอบ “โชคดีของพวกเจ้า...ที่ถูกคนจิตใจงามช่วยเหลือเอาไว้” รอยยิ้มวาววับเผยให้เห็นเมื่อยามที่ตาสีเขียวมรกตทอดมองใบหน้าใสซื่อของเด็กหนุ่มมนุษย์

...พอได้มองแบบชัดๆเช่นนี้แล้ว กลับทำให้นาคหนุ่มรู้สึกว่าแม้นสัตว์ตัวน้อยจะพิกลพิการ...แต่กลับน่าเอ็นดูอย่างประหลาด

               ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพระอาจารย์ถึงรักหลานคนเล็กนัก

               “ท่านนคิน” เสียงนุ่มของพระอาจารย์เอ่ยตักเตือนเมื่อเห็นว่าหลานรักที่นั่งอยู่ข้างกายเริ่มออกอาการตกประหม่า…เพราะมันกำปลายจีวรเขาไว้จนยับย่น

               ...คงกลัวท่านนคินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว..

               แท้จริงแล้วนาคหนุ่มตนนั้นมีนิสัยขี้เล่นเอาการ...แต่คงเพราะพึ่งจะได้พบเจอคนแปลกหน้าเลยอาจจะแผ่กลิ่นอายไม่เป็นมิตรออกมาบ้างจนทำให้จำแก้วรู้สึกหวาดกลัวได้อย่างไม่อยากเย็น

               “เท่าที่ข้าดูจากอาการของวศินแล้ว...คงยังไม่สามารถถอนพิษออกให้เขาได้หมดในครั้งเดียวขอรับอาจารย์” นาคหนุ่มบอกทั้งสีหน้าวิตก “เพราะตอนนี้ร่างกายของวศินนั้นอ่อนแอมาก...ข้าเกรงว่าหากทำการถอนพิษออกไปในคราเดียวเขาจะไม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้” …น้ำเสียงจริงจังไร้ท่าทีขี้เล่นเหมือนทุกทีเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น

               “แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง”

               “..ต้องค่อยๆถอนพิษออกทีละนิดพร้อมกับแช่ว่านขับพิษของพระอาจารย์ควบคู่กันไปด้วย...ราวๆเจ็ดวันก็น่าจะทุเลาลง” เพราะถ้าหากขืนดันทุรังรีบร้อนละก็โอกาสที่ฝ่ายนั้นจะเจ็บปวดจนสิ้นใจนั้นมีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

               “อืม...ว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน แค่ท่านนคินรับปากว่าจะช่วยท่านวศินอาตมาก็ถือว่าเป็นบุญคุณแล้ว” ผู้ทรงศีลเผยยิ้มอย่างโล่งอกพร้อมกับก้มลงลูบหัวหลานรักอย่างปลอบประโลมเมื่อเห็นว่าเจ้าแก้วมีสีหน้าที่คลายทุกข์ลงไปมาก

               “นคินเต็มใจที่จะช่วยขอรับ” พญานาคราชเอ่ยเสียงหนักแน่น “คิดเสียว่าทำเพื่อลบรอยบาปให้เจ้านาราก็แล้วกัน”

แม้นกายจะมลายหายสิ้น...

มีเพียงพิษร้ายที่ยังคงไหลเวียนอยู่ในสายโลหิตของอสุราหนุ่มเท่านั้นที่แทนการมีชีวิตอยู่ของสหายรัก

...หลับให้สบายเถิดหนานารา..

ความทุกข์ระทมที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง...ข้าจักเป็นคนสะสางมันให้เจ้าเอง..



__________________________________________________________



ต้องขออภัยที่ทิ้งช่วงไปนานเลยนะคะ ถ้าเป็นไปได้จะพยายามอัพให้เร็วกว่านี้ค่ะ /ปาดน้ำตา :hao5:

ขอบคุณทุกคนที่ยังรอกัน...อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรคอมเม้นบอกพันไมล์ได้นะคะ ต้องการกำลังใจมาก ฮึกๆๆ

1เม้น เท่ากับ 1กำลังใจที่ต่อชีวิตอันแห้งเหี่ยวของพันไมล์เลยค่ะ



แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ <3  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2019 23:18:26 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ดีใจที่ได้อ่านต่อ

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
ถอนพิษ

.

.

.
               ย่างเข้าสู่วันที่สามของพิธีถอนพิษอัคคิมุข

ร่างสูงใหญ่ของอมนุษย์ทั้งสองเผ่าพันธุ์นั่งขัดสมาธิเผชิญหน้ากันอยู่บริเวณกลางโถงถ้ำกว้าง...แสงสว่างที่สาดส่องผ่านช่องเปิดลงมาเป็นตัวบ่งบอกว่าความมืดมิดของรัตติกาลได้ลาลับกลับแทนที่ด้วยแสงแรกของสุริยันวันใหม่

ละอองแดดส่องกระทบเข้ากับผิวกายคร้ามแดดชื้นเหงื่อจนวาววับ...กล้ามเนื้อตึงแน่นเครียดขมึงไปทุกส่วนสัดยามที่เจ้าตัวขยับเขยื้อนกาย อสุราหนุ่มผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะหนักแน่นเมื่อเริ่มรู้สึกไม่สบายเนื้อตัว หยาดเหงื่อที่ผุดซึมอยู่ข้างขมับชื้นหยดลงบนหน้าตักหยดแล้วหยดเล่าตามกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่าน

“อดทนไว้...วศิน” เสียงทุ้มต่ำที่อยู่ตรงข้ามเอ่ยเตือนเมื่อเห็นใบหน้าคมคร้ามขมวดคิ้วแน่น

นาคหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นมองด้วยท่าทีสงบนิ่งพลางบริกรรมคาถาถอดถอนพิษไปด้วยอย่างขะมักเขม้น

เพลานี้ก็ล่วงเลยมาร่วมสามชั่วยามแล้วที่เขากับอสุราหนุ่มเข้าพิธีถอนพิษอัคคิมุข

เขตอาคมศักดิ์สิทธิ์ถูกแบ่งกั้นไว้โดยสองพญาอสรพิษที่แปลงกายขยายใหญ่ขึ้นจนสามารถสร้างเขตแดนขนาดย่อมเอาไว้เพื่อไม่ต้องการให้ผู้ใดเข้ามารบกวนการประกอบพิธี อีกประการคือในระหว่างที่พิษอัคคิมุขคายออกมานั้นจะแผ่ละอองกระจายออกมาทั่วทั้งบริเวณ ด้วยเหตุนี้พญานคินนาคราชจึงได้สั่งให้ทั้งภุชงค์และโภคินคอยดูดซับพิษร้ายเอาไว้เพื่อไม่ให้พระอาจารย์และเจ้าแก้วที่อยู่ร่วมในถ้ำได้รับอันตรายไปด้วย

การถอนพิษล่วงเลยเข้าสู่วันที่สาม บัดนี้พิษได้ไหลเวียนออกมาจากร่างของอสุราหนุ่มแล้วเกินกว่าครึ่ง จึงส่งผลให้เนื้อตัวสีชาดนั้นจางหายไปเผยผิวกายคร้ามแดดออกมาให้ได้เห็น

นับว่าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีเกินคาด เพราะนอกจากฝ่ายนั้นจะมีความอดทนอดกลั้นชั้นยอดแล้วร่างกายยังเริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้นมากกว่าเก่าอีกเป็นเท่าตัว ดูจากมัดกล้ามเนื้อตึงแน่นและเส้นเลือดที่ขยายสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายจนทำให้จอมทัพวศินดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

นี่แค่ถอดถอนเพียงครึ่งเท่านั้น...หากพิษอัคคิมุขได้จางหายออกไปจนหมดแล้วล่ะก็ กำลังวังชาของอีกฝ่ายคงกลับมาเต็มเปี่ยมเป็นแน่แท้

เพียงพิศด้วยตาเปล่าก็รับรู้ได้ว่ารูปโฉมของจอมทัพอสุราตนนี้มากเสน่ห์เหลือล้น...แต่เพราะท่าทางทื่อมะลื่อดั่งหินผาจึงทำให้ดูดุดันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แม้นแต่ตัวเขาเองที่เป็นถึงพญานาคราชก็ยังแอบหวั่นเกรงลึกๆอยู่ในอก...แค่ความน่าเกรงขามและกลิ่นอายของชายชาตินักรบก็กินขาดไปมากโขแล้ว

               จนกระทั่งคาถาบทสุดท้ายสิ้นสุดลง...อสุราหนุ่มทั้งไอทั้งสำลักจนหน้าแดงก่ำเมื่อความคลื่นเหียนคับคั่งในโพรงปาก ก้อนโลหิตข้นคลั่กที่ตีรวนขึ้นมาถูกปล่อยทิ้งลงไปในหม้อดินเผาใบใหญ่ ลิ่มเลือดสีแดงสดทับถมกันจนดำคล้ำส่งกลิ่นคาวสนิมคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

               “โภคิน” พญานาคราชเอ่ยเพียงเท่านั้นงูจงอางที่นอนขดกายเฝ้าอยู่ก็เข้ามาคาบหม้อดินเผาเอาไว้ก่อนจะเลื้อยออกไปเพื่อนำหม้อพิษกลับลงไปยังเมืองบาดาล...แม้นจะอยู่ในรูปของเสียแต่อนุภาคของพิษอัคคิมุขนั้นก็ร้ายแรงเกินกว่าที่จะสามารถปล่อยทิ้งเอาไว้บนโลกมนุษย์ได้

               “รู้สึกดีขึ้นหรือไม่” นัยน์ตาสีเขียวมรกตจดจ้องสังเกตอาการของอสุราหนุ่มพร้อมส่งสมุนไพรให้เคี้ยวดับคาวเลือด...ส่วนใบหน้าที่ชื้นเหงื่อก็กดรับแทนคำตอบก่อนจะยกหลังมือปาดเลือดที่มุมปากออก

               “ดี” รอยยิ้มโล่งอกจุดประกายขึ้นบางเบา “ร่างกายของเจ้าฟื้นเร็วเกินคาด...เห็นเช่นนี้แล้วข้าก็หมดกังวล” นคินลุกขึ้นยืนเพื่อคลายความเมื่อยขบก่อนจะยื่นส่งมือไปตรงหน้าอสุราหนุ่มเพื่อให้อีกฝ่ายได้จับประคองกายขึ้น

               “ขอบใจเจ้ามาก” นาคหนุ่มเพียงยักไหล่ตอบรับอย่างผ่อนคลายก่อนจะตบลงบนบ่าแกร่งเบาๆแทน

               “ช่างเถิด...เอาไว้ถ้าเจ้าอยากจะตอบแทนข้าจริงๆละก็...ขอเป็นนางยักษ์รูปงามสักตนก็พอ” แววตาเปล่งประกายฉายชัดออกมาอย่างไม่คิดปิดบังเมื่อเริ่มสนิทชิดเชื้อกัน

               ได้ยินดังนั้นวศินก็พรูลมหายใจออกมาอย่างขบขันให้กับความเจ้าชู้ประตูดินของพญานาคราช ก่อนจะส่ายศีรษะบอกเป็นเชิงนัยว่าตัวเขาไม่ค่อยจะสันทัดในสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยขอสักเท่าใดนัก

...เรื่องแบบนั้นคงต้องเป็นเจ้าวิรุณเสียมากกว่าที่ช่ำชอง

               “เหตุใดจึงทำท่าทางเช่นนั้น” แต่แล้วลางสังหรณ์บางอย่างก็สะกิดใจเข้าอย่างจัง...อย่าบอกนะว่า.. “วศิน...นี่อย่าบอกนะว่าเจ้ายังถือครองพรหมจรรย์อยู่!”

               “…” หาได้ถือครองอย่างที่อีกฝ่ายว่า…แค่เท่าที่ผ่านมายังไม่อยากจะสานสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับผู้ใดก็เท่านั้น..

               “เจ้ายักษ์ทื่อมะลื่อ! อย่างเจ้าน่ะหานางยักษ์รูปงามมานอนกกกอดได้เป็นสิบไม่ใช่หรืออย่างไรกัน!” ยิ่งพูดข้างขมับก็ยิ่งเต้นตุบ...เติบใหญ่จนเป็นยักษาวัยฉกรรจ์แล้วเหตุใดยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใยอยู่เล่า!         

                    เสียเชิงชายฉิบหาย!

               “แล้วเหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น” สตรีหาใช่ของเล่นระบายความใคร่...หากว่าจักต้องมีก็ขอมีเพียงหนึ่งเดียวก็เกินพอ

วศินทอดถอนใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

...นี่ไม่ใช่หนแรกที่ถูกปรามาสเช่นนี้ แม้นแต่กับเจ้าวิรุณเองก็ยังเคยก่นด่าเขาอยู่หลายหน ยามที่มีนางยักษ์รูปงามหลายตนเข้ามาหาเชิงชู้สาวแต่เขาก็ปฏิเสธพวกนางอยู่ร่ำไป

“แม้นแต่จูบ...เจ้าก็ไม่เคย?” ฝ่ายนั้นพยักหน้ายืนยันเป็นหนที่สอง

“นี่วศิน...ข้าถามจริงๆเถอะ เจ้า...ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ” นาคหนุ่มเอ่ยถามด้วยความกระดากปากแต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า

“รู้สึกเช่นไร?”

“ก็อย่างเช่นเวลา...งุ่นง่านๆ”

“เจ้าหมายถึงอารมณ์ความใคร่น่ะหรือ” …ขวานผ่าซากจริงนะท่านแม่ทัพ..

“อืม” นคินยกมือขึ้นเกาจมูกเมื่อเริ่มรู้สึกกระดากอายขึ้นมาเสียเอง...ทั้งๆที่ฝ่ายถูกถามกลับยืนตอบหน้าตายอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ราวกับเรื่องที่พูดคุยกันนั้นเป็นเพียงแค่การไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป

“ข้าเป็นบุรุษ...มันก็ต้องมีบ้างเป็นเรื่องปกติ” ก็ไม่เห็นจะผิดแปลกตรงไหน

“แล้ว...เจ้าทำเช่นไร” เริ่มอยากจะกัดลิ้นตนเองอยู่ไม่น้อย ไม่รู้จะซักถามไปหาสวรรค์วิมานอะไรนักหนา

“มือก็มี...มิใช่หรือ” คำตอบแบบเถรตรงทำให้นาคหนุ่มสำลักน้ำลายจนไอโขลกๆ ลำบากเจ้าภุชงค์ต้องกระหวัดหางขึ้นมาลูบหลังช่วยบรรเทาให้

...แม้นเขาจะเคยผ่านสตรีนารีมาบ้าง แต่ก็หาได้ช่ำชองเท่าใดนัก ที่เอ่ยถามเพียงเพราะอยากจะลองเชิงอสุราหนุ่มเสียมากกว่า..

แต่ใครจักคิดเล่าว่านอกจากจอมทัพตนนี้จะไม่รู้สึกระแคะระคายอะไรแล้วยังตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอันใด...กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ต้องหน้าม้าน

ตุบ!

แต่แล้วเสียงตกกระทบของสิ่งของบางอย่างที่ดังขึ้นอยู่หน้าโถงกลับดึงความสนใจทั้งหมดให้หันไปมอง

ก่อนจะพบว่าเป็นสัตว์ตัวเล็กที่ยืนถือหม้อยาเอาไว้มั่น เจ้าแก้วมองมาทางพวกเขาอย่างลุแก่โทษที่จู่ๆมันก็เข้ามากะทันหัน...เห็นดังนั้นอสรพิษยักษ์ก็แปลงกายลดขนาดตัวลงเมื่อเห็นท่าทางตกใจของเด็กหนุ่มมนุษย์ เพราะพระอาจารย์เคยเปรยๆไว้บ้างแล้วว่ามันน่ะกลัวพวกสัตว์เลื้อยคลานจับใจ

ตลับยาที่หล่นร่วงกลิ้งมาหยุดที่ปลายหางของเจ้างูเผือก ภุชงค์ชูคอส่งเสียงฟ่อ ตาแดงก่ำจดจ้องไปที่มนุษย์ตัวน้อยก่อนจะก้มลงคาบสิ่งของชิ้นนั้นขึ้นมาไว้แล้วเลื้อยเข้าไปใกล้ พญาอสรพิษที่มีนิสัยดุร้ายชูคอขึ้นเหนือร่างของเด็กหนุ่มราวกับต้องการจะข่มขู่ ทำให้เจ้าแก้วต้องก้มหน้าหลับตาแน่นเมื่อเรียวลิ้นสองแฉกแลบเลียลงมาใกล้

ฟ่ออ

แต่แล้วสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้นเมื่อภุชงค์เลื้อยพันตัวมันเอาไว้ก่อนจะใช้หัวที่แผ่แม่เบี้ยดุนดันเข้าที่ข้างใบหน้าราวกับต้องการจะหยอกเอิน...เกล็ดแข็งๆของสัตว์เลื้อยคลานที่ครูดไปกับผิวเนื้อทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นเป็นรอยแดง เจ้าแก้วลมหายใจสะดุดเมื่อถูกเรียวลิ้นแลบเลียเข้าที่ใบหน้าจนเปียกชื้น

พญานาคราชมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่ตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่าจู่ๆเจ้างูที่มีนิสัยดุร้ายตัวนั้นเข้าไปพะเน้าพะนอมนุษย์ราวกับมันเป็นของรักของหวง

“แปลก...ตั้งแต่ฟักออกมาจากไข่ นอกจากข้ากับเจ้านาราแล้ว ภุชงค์ก็ไม่เป็นมิตรกับผู้ใดเลย” นคินหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ

ดูอย่างคราวของจอมทัพวศินนั่นปะไร...พึ่งจะเจอกันหนแรกเจ้าภุชงค์แผลงฤทธิ์ออกแรงรัดกะเอาให้ตายเสียด้วยซ้ำไป... “ดูท่าแล้วภุชงค์จะชอบเจ้านะ”

เจ้าแก้วยืนเก้กังทำตัวไม่ถูกเมื่อปลายหางซุกซนกระหวัดไปมาที่โคนขาอ่อน ส่วนข้างแก้มก็โดนดุนดันจนหน้ายู่

พญาอสรพิษก้มลงคายตลับยาไว้ให้ในมือก่อนจะไถหัวไปตามฝ่ามือเชิงบังคับให้เด็กหนุ่มลูบอย่างออดอ้อน

...ผีห่าตนไหนเข้าสิงมันล่ะนั่น จู่ๆก็ทำตัวราวกับเป็นลูกหมาแสนเชื่องเสียอย่างนั้น..

“ข..ขอบใจนะจ๊ะ” เจ้าแก้วขยับมือลูบอย่างกล้าๆกลัวๆกับสัมผัสมันเลื่อมของเกล็ดสีขาวนวล ก่อนจะต้องตื่นตกใจจนตาเบิกกว้างเมื่อเรียวลิ้นของอสรพิษแลบเลียเข้ามาที่ริมฝีปากอิ่ม

...มันชักจะไปกันใหญ่

“ภุชงค์...อย่าลามปามให้มันมากนัก” เสียงกระแอมไอของนคินดังขึ้นขัดจังหวะเพื่อเอ่ยเตือน

...เพราะตั้งแต่เมื่อครู่ตอนที่ปลายหางของเจ้าภุชงค์ป้วนเปี้ยนอยู่ที่โคนขาของมนุษย์ตัวจ้อยน่ะ ข้างกายเขาเกิดเสียงบดกรามดังกรอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ พอหันไปมองก็เห็นว่าจอมทัพวศินจดจ้องไปทางนั้นเขม็ง

ซ้ำประกายเพลิงยังวาวโรจน์จนตาแดงก่ำ...เหลือเพียงนิดเขี้ยวก็คงจะงอกในไม่ช้า..

...อาการออกชัดถึงเพียงนี้...คงไม่ธรรมดาเสียแล้ว..

“เอ่อ...แก้วเอายามาให้ท่านวศินมิใช่รึ...เข้ามาสิ” นาคหนุ่มเบี่ยงเบนความสนใจออกไปเรื่องอื่นเมื่อรู้สึกถึงไอขมุกขมัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นบางเบาระหว่างที่สายตาของอสุราหนุ่มและจงอางเผือกจดจ้องกันอย่างไม่ลดละ

...ภุชงค์เอ๋ย...อย่าหาเรื่องให้ข้าต้องปวดหัวนักเลย..

ส่วนเจ้ายักษ์ตนนี้ก็พอกัน...หึงหวงแม้นกระทั่งกับงู

“ท่านแม่ทัพเก็บอาการหน่อยเถิด...” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ลดระดับลงให้ได้ยินกันเพียงสองคนเอ่ยอย่างล้อเลียน “ประเดี๋ยวสัตว์ตัวน้อยตกใจวิ่งหายกลับเข้าไปในโพรงแล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน”

“พูดเรื่องอะไรของเจ้า” เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นก่อนจะจ้องนาคหนุ่มกลับ

“นอกจากจะทื่อมะลื่อเป็นศิลาตายด้านแล้วยังปากหนักอีกหรือ” นคินส่ายหัวอย่างเอือมระอา “มองขึ้นมาจากเมืองบาดาลยังรู้เลยว่าเจ้าน่ะคิดอย่างไรกับเด็กมนุษย์นั่น” ไม่ว่าเปล่ายังยักคิ้วอย่างท้าทายให้อีกฝ่ายได้แสบระคายใจยิบๆ

“…” ประกายวูบไหวเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะถูกกลบด้วยความนิ่งเฉยเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้

“ท่ามากนัก...ระวังเถิดจะไม่ทันการ” นคินกระซิบทิ้งท้ายเอาไว้อย่างอารมณ์ดี “เจ้าภุชงค์มันแปลงกายเป็นมนุษย์ได้นะเผื่อเจ้าไม่รู้...ซ้ำยังหล่อเหลาเอาการ” …โกหกคำโตออกไปเพื่อหวังว่ามันจะไปเร่งเชื้อเพลิงข้างในกายของเจ้าศิลายักษ์นี่ได้บ้าง...แม้นเพียงกระผีกเดียวก็ยังดี

พญานาคราชจากไปแล้วพร้อมกับสมุนอสรพิษ...เหลือทิ้งไว้เพียงแค่สองชีวิตที่ยืนประจันหน้ากันอยู่

เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นลอบมองเสี้ยวหน้าคมคร้ามที่กำลังยกหม้อยาขึ้นดื่ม ประกายแดดอ่อนๆที่ฉาบไล้ลงมากระทบเข้ากับแนวสันกรามขับเน้นให้กลิ่นอายของบุรุษวัยฉกรรจ์แผ่กำจายอยู่รอบตัวของอีกฝ่าย

นัยน์ตาสีนิลส่องกระทบแสงอย่างมีชีวิตชีวาสะกดสายตาให้ตราตรึง

บัดนี้อสุราหนุ่มตรงหน้าหาได้มีกายสีชาดเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมาแล้ว เนื่องด้วยพิษร้ายในร่างถูกถอดถอนออกไป จึงปรากฏให้เห็นผิวกายคร้ามแดดเข้ามาแทนที่ อีกทั้งท่าทางองอาจยังแลดูมีพลังและกำลังวังชาขึ้นกว่าเก่าอยู่มาก

กลิ่นอายบางอย่างที่แผ่กำจายออกมารอบตัวอสุราหนุ่มนั้นดูกร้าวแกร่งดุดันสมกับเป็นจอมทัพอสุราผู้ยิ่งใหญ่

แม้นแค่เพียงปรายตาลงมามอง ผู้ต้อยต่ำก็พร้อมที่จะสยบลงแทบเท้า...มิอาจหาญกล้าตีตนขึ้นเทียบเคียง

และเจ้าแก้วเองก็รู้สึกเช่นนั้น...

สัตว์ตัวเล็กที่ชูคอเชิดแหงนมองดูผู้สูงศักดิ์ช่างต่ำต้อยไม่เจียมตนยิ่งนัก..

“เจ้าจะออกไปไหน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยทักดึงสติที่หลุดลอยให้กลับมาเมื่อวศินสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นสะพายย่ามเอาไว้ข้างกาย

“พอดีว่าตัวยาที่ต้มให้ท่านดื่มนั้นใกล้หมด..” มันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้สบเข้ากับนัยน์ตาคมเข้มที่มองลงมา “หลวงตาก็เลยสั่งให้ฉันเข้าไปเก็บสมุนไพรมาเพิ่มจ้ะ”

อสุราหนุ่มพยักหน้ารับรู้ “เช่นนั้น...ข้าออกไปด้วยจะได้หรือไม่”

“จะดีหรือจ๊ะ” เจ้าแก้วมองอย่างนึกเป็นห่วงเพราะอีกฝ่ายนั้นพึ่งผ่านพ้นพิธีถอนพิษมาคงจะรู้สึกเพลียอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว “ท่านนอนพักอยู่ที่นี่จะไม่ดีกว่าหรือ”

ทว่าสีหน้าท่าทางแบ่งรับแบ่งสู้ของเจ้ามนุษย์หน้าซื่อกลับเร่งให้ตะกอนที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นขุ่นมัวขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“ข้าอยู่ในถ้ำมาหลายวันแล้ว...เพียงแค่อยากออกไปผ่อนคลายบ้างก็เท่านั้น” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบเชียบแต่ทว่ากลับทำให้คนฟังต้องเงยหน้าขึ้นมองเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เริ่มแปรเปลี่ยนไป “หากมันทำให้เจ้าต้องลำบากใจ...ก็ไม่เป็นไร” จอมทัพอสุรากล่าวไว้เพียงเท่านั้นก็หมุนตัวหมายจะเดินกลับที่โถงถ้ำของตน

แต่แล้วสัมผัสแผ่วเบาที่แตะเข้าที่แขนกลับทำให้ต้องหยุดชะงักไว้เพียงเท่านั้น...วศินทำเพียงแค่ยืนนิ่งไม่ได้หันกลับไปหาอีกฝ่ายแม้นสักนิด

ฝ่ามือเล็กของมนุษย์ทั้งสองข้างยกขึ้นกอบกุมท่อนแขนแกร่งเอาไว้ราวกับต้องการฉุดรั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งท่าจะเดินหนี...เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังกว้างเบื้องหน้าด้วยความวิตก

สัตว์ตัวเล็กคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เรียวปากถูกขบเม้มเข้าหากันอย่างขาดความมั่นใจ

“..เปล่านะจ๊ะ” เสียงทุ้มนุ่มของเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์เอ่ยแผ่วเบาขัดแย้งกับแรงมือที่เริ่มกระชับแน่นลงบนท่อนแขนของยักษาวัยฉกรรจ์ “ฉัน...ฉันไม่ได้รู้สึกลำบากใจเลยสักนิด” หากตอนนี้จะหันกลับมามองเพียงสักนิดก็คงได้เห็นว่าเจ้ากระรอกตัวน้อยนั้นหางลู่หูตกราวกับเด็กถูกว่ากล่าวตำหนิติเตียน

“…”

“ฉันแค่เกรงว่าท่านวศินจะรู้สึกอ่อนเพลียจากการถอนพิษ...จึงอยากให้นอนพักผ่อนมากกว่า”

ลูกแก้วสีอ่อนไหวสั่นเมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมามอง...ด้วยความจนปัญญาจะหาข้อแก้ตัว

มนุษย์หน้าซื่อจึงยอมเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตนออกมาเพื่อหวังเพียงแค่อีกฝ่ายจะรับรู้ได้ถึงความในใจ

“ขอโทษด้วยนะจ๊ะ” เรียวนิ้วเผลอสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุของผิวกายคร้ามแดด “…ฉันก็แค่เป็นห่วงท่าน”

               เพียงเท่านั้นภายในโถงถ้ำกว้างก็เหลือเพียงแค่เสียงของหยดน้ำที่ไหลตกกระทบลงบนพื้นหิน ละอองแดดอ่อนบางเบาเริ่มเข้มขึ้นเมื่อแสงอาทิตย์เปล่งแสงเจิดจ้า

               เรียวนิ้วของมนุษย์ชื้นเหงื่อขึ้นมาเมื่อจู่ๆก็ถูกความอบอุ่นเข้ากอบกุมสอดประสานจนเกิดเสียงดังอึกทึกขึ้นมาในอกซ้าย...นัยน์เนตรสีอ่อนแม้นจะสามารถทอแสงล้อสุริยันได้เพียงข้างเดียวกลับสะท้อนภาพของผู้สูงศักดิ์กว่าตนอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

ยอมสยบลงอย่างง่ายดายเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มบางเบากดลึกอยู่บนใบหน้าคมคร้ามที่หันกลับมามองกัน

               เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบราวกับถูกกระแสไฟลามแล่นไปทั่วทั้งกายเมื่อปลายนิ้วถูกคลึงอย่างอ่อนโยนผ่านผ้าพันแผล

               “เข้าใจแล้ว” เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจทว่ากลับอ่อนโยนมากกว่าที่เคยทำให้สัตว์ตัวเล็กสูญเสียการควบคุมตนเองได้อย่างไม่ยากเย็น มันขบเม้มเรียวปากจนขาวซีดเพื่อระงับความรู้สึกแปลกประหลาดที่ตีมวนอยู่ในช่วงท้องจนร้อนวูบไปทั่วสรรพางค์กาย

               ยิ่งนัยน์ตาคมกล้าคู่นั้นจดจ้องมองลงมาที่กลีบเนื้อนุ่มอย่างไม่วางตา ก็ยิ่งไม่สามารถระงับความประหม่าเอาไว้ได้อีกต่อไป มันขยับมือเพื่อหวังจะหลุดออกจากการกอบกุม แต่ก็ต้องสิ้นหวังเมื่อจอมทัพอสุราไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร มิหนำซ้ำยังเพิ่มแรงบีบกระชับสอดประสานให้แนบแน่นเสียยิ่งกว่าเดิม

               ...เกินจะต้านทานไหว..

               “ท่านวศิน” เจ้าแก้วรู้สึกอื้ออึงที่ข้างใบหูเกินกว่าจะรับรู้ มันเอาแต่ก้มมองพื้นราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้าย “ป...ปล่อยมือฉันก่อนได้ไหมจ๊ะ”

               “เจ้าจะออกไปข้างนอกมิใช่หรือ” นอกจากจะไม่ทำตามแล้วยังแสร้งเฉไฉราวกับคำเว้าวอนก่อนหน้าเป็นเพียงธาตุอากาศ “รีบไปสิ ประเดี๋ยวสายกว่านี้จะร้อนเอา”

                    “แต่...” มือที่ยังกอบกุมกันไว้ต่างหากที่ทำให้มันร้อนรุ่มจนเหงื่อกาฬผุดซึม...เกรงว่าหากยังจับไว้เช่นนี้จะไม่มีสมาธิเอานี่สิ

               “จะไปไม่ไป” น้ำเสียงทุ้มแสร้งดุเพื่อสยบความลังเล...แล้วก็ได้ผลเมื่อเจ้าสัตว์ตัวเล็กรีบพยักหน้ารับรัวเร็วก่อนจะเริ่มเดินนำออกไป

               ...เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง..


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
 

เจ้าแก้วรวบรวมสมุนไพรทั้งหมดลงใส่ไว้ในย่ามเมื่อเก็บจนครบ...เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นซับหยดเหงื่อที่ไหลลงมาข้างขมับจนไรผมเปียกชื้น

               แสงอาทิตย์แรงกล้าที่ส่องผ่านกลุ่มพุ่มไม้ลงมายังผืนพนากว้างทำให้แผ่นหลังเปียกชุ่มอยู่ไม่น้อย เจ้าแก้วเดินเลียบเคียงไปตามลำธารเรื่อยเปื่อยเพื่อฟังเสียงสายน้ำที่ไหลกระทบกับโขดหินอย่างเพลิดเพลิน

แต่แล้วหางตาก็พลันสังเกตเห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่ยืนอยู่บริเวณใกล้ธารน้ำตก

               แม้นน้ำบริเวณนั้นจะลึกเพียงอกแต่เมื่ออสุราหนุ่มลงไปยืนแล้วกลับสูงเพียงเอวของอีกฝ่ายเท่านั้น

               เจ้าแก้วห้อยย่ามสะพายไว้ตรงกิ่งไม้ก่อนจะอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายวักน้ำล้างใบหน้าปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ข้างลำธารด้วยความคุ้นชิน มันเดินไปตามทางของกิ่งไม้ใหญ่ที่ยื่นโน้มลงไปใกล้ผิวน้ำริมธารก่อนจะนั่งหย่อนขาลงไปปล่อยให้สายน้ำเย็นเฉียบพัดพาความร้อนระอุในกายให้มลายหาย

               นัยน์ตาสีอ่อนลอบมองแผ่นหลังกว้างที่มีหยดน้ำเกาะพราวส่องสะท้อนล้อแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบลงบนผิวกายคร้ามแดด...มัดกล้ามเนื้อตึงเครียดขมึงไปทุกส่วนสัดขับเน้นให้เห็นถึงเสน่ห์ของบุรุษวัยฉกรรจ์อย่างเต็มตัว เส้นผมที่เปียกลู่แนบกับใบหน้าถูกเสยเปิดขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มเมื่อยามฝ่ายนั้นหมุนตัวกลับมา

               ในอกพลันสั่นไหวเมื่อได้สบประสานเข้ากับนัยน์ตาทรงอำนาจอีกครั้ง

...เพราะมัวแต่เผอเรอ รู้ตัวอีกทีฝ่ายนั้นก็เดินฝ่ากระแสน้ำเข้ามาหากันเสียแล้ว..

               อสุราหนุ่มยืนประจันหน้าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเงยขึ้นมองสัตว์ตัวเล็กที่กำลังตื่นตระหนก

มันทำท่าจะลุกหนีหากแต่วงแขนแกร่งทั้งสองข้างกลับยกขึ้นปิดกั้นทางออกเอาไว้อย่างรู้ทัน...สุดท้ายมนุษย์ตัวน้อยจึงต้องนั่งอยู่ในพันธนาการกักขังด้วยความจำยอม

               “เก็บสมุนไพรเสร็จแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม ใบหน้าที่ปกติมักนิ่งเฉยดุดันกลับดูผ่อนคลายขึ้นมาก

               “จ...จ้ะ” ลูกแก้วสีสวยสั่นไหวเมื่อถูกแววตาคมช้อนขึ้นมอง อสุราหนุ่มขยับกายเข้าไปแนบชิดมากยิ่งขึ้นจนเรียวขาเนียนเกลี้ยงเปียกชื้นจากหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ทั่วแผ่นอกกำยำ

               “เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” ...รอยยิ้มกดลึกปรากฏขึ้นเมื่อเห็นว่าใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นขึ้นสีระเรื่อลามไปทั่วถึงใบหู

                    “เปล่านี่จ๊ะ...ฉันสบายดี” มันส่ายหน้าปฏิเสธ

               “แล้วเหตุใดจึงหน้าแดงนัก” ...แม้นจะรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร แต่ก็อดที่จะเย้าแหย่ไม่ได้

               ...นี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้จอมทัพอสุรารู้สึกอภิรมย์ยิ่งนัก

               “คือ..” เสียงกระท่อนกระแท่นเอ่ยอย่างขัดเขินเมื่อถูกจับทางได้ “วันนี้อากาศมันค่อนข้างร้อนน่ะจ้ะ”

                    เสียงสบถขำในลำคอดังขึ้นเมื่อมองเห็นแต่เพียงความดื้อด้านที่ฉายชัดออกมาปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง อสุราหนุ่มจึงทำเพียงพยักหน้ารับอย่างตามใจ ไม่คิดจะคาดคั้นให้ต้องอับอายมากไปกว่านี้ ก่อนจะหันไปสนใจเรียวแขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มแทน

ผ้าพันแผลที่ถูกพันเอาไว้ตั้งแต่อุ้งมือยาวไปจนเกือบถึงศอก รอยช้ำที่โผล่ออกมาให้เห็นนั้นทำให้อดที่จะเลื่อนมือไปกอบกุมเอาไว้ไม่ได้

               ...บาดแผลทั้งหมด...มันเกิดขึ้นเพราะเขาทั้งสิ้น..

               “ยังเจ็บอยู่รึไม่” ฝ่ามือเล็กของมนุษย์ทั้งสองข้างถูกอุ้งมือใหญ่ช้อนถือไว้อย่างเบามือ

...แม้นมีถึงสองก็มิอาจเทียบเคียงได้เลยสักนิด เจ้าแก้วก้มลงมองเรียวนิ้วที่กำลังลูบผ่านเนื้อผ้าด้วยความอ่อนโยน ริมฝีปากอิ่มเผลอขบเม้มเข้าหากันเมื่อความรู้สึกบางอย่างแล่นปลาบเข้ามาตรงกลางอก

               ...พอเทียบกันแล้วมือของมันนั้นเล็กราวกับเด็กตัวน้อยก็มิปาน..

               “ไม่...ไม่เจ็บแล้วจ้ะ” แต่แล้วก็ต้องหน้าเบ้ลงเล็กน้อยเมื่อจู่ๆปลายนิ้วแข็งก็ออกแรงกดลงมาบนรอยช้ำ

                    “โกหก”

                    “ฮื่อ” แม้นท่าทีแบบนั้นจะดูดื้อดึง แต่มันกลับเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าคมคร้ามให้กว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิม

               “เจ็บขนาดนั้นเชียวหรือ...ข้าแค่กดเบาๆเอง”

                    “ก็...ท่านวศินแรงเยอะนี่จ๊ะ” แน่อยู่แล้ว...แรงของมนุษย์กับยักษ์น่ะมันเทียบกันได้เสียที่ไหนกัน

               จอมทัพอสุรามองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

ไม่บ่อยนักหรอกที่เจ้าแก้วจะแสดงสีหน้าท่าทางแบบนี้ออกมาให้ได้เห็น ส่วนใหญ่มันมักจะตีหน้าซื่อไม่ก็ยิ้มแย้มสว่างไสวให้ใครต่อใครเขาไปทั่ว เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เขานึกชอบใจอยู่ไม่น้อยยามที่ได้เย้าแหย่ให้สัตว์ตัวเล็กแสดงอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านออกมา

               ท่าทางราวกับกระรอกป่ากำลังพองขนขู่ใส่ผู้ล่าอย่างไร้ทางสู้

                    …น่าเอ็นดูน้อยเสียที่ไหน..

               ใบหน้าคมคร้ามลอบยิ้มอย่างพออกพอใจเมื่อเห็นว่าแก้มทั้งสองข้างนั้นกำลังแดงปลั่งได้ที่ สายตาคมกล้าทอแสงอ่อนลงยามที่ได้สบประสานกับฝ่ายตรงข้าม ก่อนคำพูดสุดท้ายที่พญานาคราชทิ้งทวนเอาไว้จะฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง

               ‘ท่ามากนัก...ระวังเถิดจะไม่ทันการ’

ทันใดนั้นฝ่ามือทั้งสองข้างของมนุษย์ตัวน้อยก็ถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากโดยที่เจ้าของยังไม่ทันได้เตรียมตัว

อสุราหนุ่มก้มลงจรดจูบแผ่วเบาแนบไปกับผ้าพันแผลราวกับต้องการแฝงคำขอโทษผ่านการกระทำแสนอ่อนโยน

สัมผัสอุ่นแนบแน่นที่แทรกซึมผ่านเนื้อผ้าทำให้เจ้าแก้วตัวแข็งทื่อ

นัยน์ตาสีอ่อนวูบไหวอย่างรุนแรงเมื่อจู่ๆฝ่ายนั้นก็กระทำการที่เหนือความคาดหมายไปมากโข...มันขบเรียวปากล่างจนขาวซีดเมื่อถูกสายตาทรงอำนาจช้อนขึ้นมองทั้งๆที่ฝ่ามือยังคงตกอยู่ใต้พันธนาการอุ่นร้อน

สองสายตาประสานกันเนิ่นนานราวกับห้วงเวลารอบตัวนั้นหยุดหมุนไปเพียงครู่หนึ่ง...เสียงอึกทึกที่ดังกึกก้องอยู่ในอกเริ่มรุนแรงขึ้นราวกับต้องการออกมาโลดแล่นภายนอก

เจ้าแก้วลมหายใจสะดุดโดยพลันเมื่อเห็นว่าคมเขี้ยวของอสุราหนุ่มขบลงบริเวณข้อนิ้วของมัน

หากแต่ความวาบหวามกลับแล่นทะยานเล่นงานเสียจนหูอื้อตาลายไปหมด สัตว์ตัวเล็กถูกสายตาทรงอำนาจสะกดตรึงเอาไว้ราวกับโดนโซ่ตรวนล่องหนล่ามพันธนาการอย่างแน่นหนา

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะรวบรวมความกล้าเอื้อมมือออกไปประคองใบหน้าคมคร้ามเอาไว้ ฝ่ามือสั่นเทาเล็กน้อยเมื่ออสุราหนุ่มเอียงหน้าแนบเข้ามาทั้งที่สายตายังคงไม่ยอมละห่างไปไหน

…ราวกับเสือโคร่งตัวโตที่กำลังเชื่องอย่างไรอย่างนั้น..

เรียวนิ้วของมนุษย์ตัวน้อยถือวิสาสะไล้สัมผัสไปตามสันกรามราวกับเด็กเล็กขี้สงสัย

เจ้าแก้วนึกชอบลวดลายอ่อนช้อยที่ปรากฏอยู่รอบริมฝีปากได้รูปอยู่ไม่น้อย มันเลื่อนผ่านปลายเขี้ยวอย่างกล้าๆกลัวๆแต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมให้จับโดยไม่แม้นที่จะปัดป้องออกก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่

สัตว์ตัวเล็กนึกเพลิดเพลินเสียจนไม่ทันได้สังเกตเห็นท่อนแขนที่โอบอ้อมเข้ามาทางด้านหลัง วศินกระตุกยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะออกแรงดึงรั้งตัวของมันลงน้ำด้วยความรวดเร็วโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสที่จะได้ร้องออกมาเสียด้วยซ้ำ

ตูม!!

ผิวน้ำแตกกระเซ็นไปคนละทิศเมื่อร่างของมนุษย์หล่นร่วงลงไป แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตะกายหนีเอาตัวรอดก็ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลฉุดรั้งขึ้นมาเหนือผิวน้ำเสียก่อน อสุราหนุ่มสอดแขนเข้าไปโอบรัดรอบตัวของอีกฝ่ายไว้มั่นก่อนจะอุ้มขึ้นจนเจ้าแก้วตัวลอยเหนือผิวน้ำ

เรียวขาเล็กโอบรัดรอบกายใหญ่อย่างหาที่พึ่งตามสัญชาตญาณส่วนสองแขนก็ถูกดึงไปคล้องรอบคอเอาไว้ให้เสร็จสรรพ

เพราะเมื่อครู่นี้ถูกกลั่นแกล้งโดยไม่ทันได้ตั้งตัวจึงทำให้มันสำลักน้ำเข้าไปอึกใหญ่ เจ้าแก้วไอโขลกจนใบหน้าแดงก่ำน้ำหูน้ำตารื้นได้อย่างน่าสงสาร

เส้นผมสีเข้มที่เปียกลู่ล้อมกรอบใบหน้าอ่อนเยาว์ไว้ถูกเสยขึ้นจนเผยให้เห็นความมีชีวิตชีวาของมนุษย์วัยเจริญพันธุ์

วศินโอบกระชับแขนแน่นขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายได้ขยับปรับท่าทางอย่างสบายตัว...แล้วรอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อเด็กน้อยในอ้อมกอดซุกซบใบหน้าลงมาบนลาดไหล่เมื่อรู้สึกไอจนเหนื่อย แก้มข้างหนึ่งที่พาดอยู่นั้นขึ้นสีแดงระเรื่อได้อย่างน่าดูชม

“รู้สึกเย็นขึ้นหรือไม่” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี เพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็ยืดกายกลับมามองหน้ากันอีกครั้ง นัยน์ตาสีสวยทอประกายตัดพ้อก่อนจะถูกทับด้วยความดื้อดึงที่ฉายชัด จอมทัพอสุราหลุดขบขันออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อถูกเรี่ยวแรงอันน้อยนิดข่วนเข้าที่แผ่นหลังราวกับว่าต้องการที่จะเอาคืน “...เห็นเจ้าบอกว่าร้อน มิใช่หรือ”

อันที่จริงนั่นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น

แท้จริงแล้วเป็นเพราะบางสิ่งบางอย่างที่แผ่กำจายอยู่รอบตัวเจ้ามนุษย์หน้าซื่อผู้นี้ต่างหากที่ทำให้เขานึกไม่ชอบใจอยู่ลึกๆ

...กลิ่นสาบของงูจงอางคละคลุ้งรอบผิวกายไปหมด

เพราะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้นจึงไม่แปลกใจอะไรที่เจ้าตัวจะไม่ได้กลิ่น แต่กับอสุราหนุ่มที่ประสาทสัมผัสดีกว่ามาก จึงทำให้รับรู้และสัมผัสกลิ่นเจือจางที่สมุนของเจ้านคินปล่อยทิ้งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

“ไม่ร้อนแล้วจ้ะ” เจ้าแก้วส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับดันแผ่นอกกว้างออกห่าง มันตั้งท่าจะทิ้งตัวลงแต่กลับถูกอ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับแน่นเสียจนไร้หนทางสู้ “ท่านวศิน...”

“ว่าอย่างไร”

“ป...ปล่อยฉันลงเถิดจ้ะ” เจ้าแก้วเว้าวอนแต่ก็ต้องยื้อกายออกห่างเมื่อใบหน้าคมคร้ามเคลื่อนเข้ามาใกล้

นอกจากอสุราหนุ่มจะไม่ทำตามคำขอของมันแล้วยังเอื้อมมือขึ้นมาลูบที่ข้างแก้มอีกต่างหาก

ปลายนิ้วเกลี่ยไล้ผิวนวลเนียนอย่างเพลิดเพลิน นัยน์ตาคมกล้าจดจ้องลูกแก้วสีสวยอย่างไม่วางตาก่อนจะเคลื่อนไปมองที่ผ้าพันตาข้างซ้ายอย่างสนอกสนใจ

วศินลูบปลายนิ้วพาดผ่านเนื้อผ้าแผ่วเบา...แต่ก่อนที่จะถือวิสาสะปลดผ้าพันแผลออกฝ่ามือก็ถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน

“อย่า..” เสียงห้ามปรามดังขึ้นแผ่วเบาก่อนแววตาสั่นไหวจะฉายชัดออกมาอย่างเว้าวอน

“ทำไม” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างนึกขัดใจ

“ป...เปล่าจ้ะ...แต่อย่าถอดเลย มัน...” เรียวปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันจนซีดเซียวพร้อมกับปลายนิ้วที่เริ่มเย็นเฉียบ “...มันน่าเกลียด”

เจ้าแก้วก้มหน้าลงต่ำราวกับคนขาดความมั่นใจ...ตั้งแต่เล็กจนโตมันถูกคนรอบข้างล้อเลียนเรื่องรอยบากบนใบหน้าเสียจนชาชิน แต่กับอสุราหนุ่มผู้นี้กลับไม่กล้าแม้นแต่จะเปิดเผยให้เห็น

...มันเพียงแค่รู้สึกอับอายจนเกินจะทนไหว หากต้องให้อีกฝ่ายเห็นร่องรอยน่าเกลียดนี้..

มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่...เจ้าแก้วเอาแต่ก้มหน้ามองสายน้ำที่ไหลผ่านลำตัวสูงใหญ่อย่างไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่าย

แต่แล้วจู่ๆปลายคางกลับถูกเชยขึ้นจนได้สบเข้ากับนัยน์ตาทรงอำนาจอีกครั้ง...ดวงตาคู่นี้ที่มันไม่กล้าลุกขึ้นต่อกรด้วยได้ไม่ว่าจะทางไหน

ลูกแก้วสีสวยสั่นไหวจนน้ำในตาเอ่อคลอเมื่ออสุราหนุ่มโน้มตัวลงมาใกล้ พลันเนื้อตัวก็เย็นเฉียบเมื่อฝ่ายนั้นจรดริมฝีปากลงมาบนดวงตาข้างที่มืดบอด

มันตั้งใจจะผลักดันกายสูงใหญ่ให้ออกห่างแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อๆเลยกลับกลายเป็นว่าต้องเกาะช่วงบ่าแข็งแรงเอาไว้แทน

สัตว์เล็กตัวสั่นงันนกเมื่อถูกผู้ล่าจู่โจมเข้าหา ความอุ่นร้อนที่แทรกซึมผ่านผ้าปิดตาอย่างอ่อนโยนทำให้ความวิตกกังวลทั้งหลายถูกปัดเป่าทิ้งไปโดยพลัน มันออกแรงขยุ้มลาดไหล่แข็งแรงอย่างตกประหม่าเมื่อลมหายใจอุ่นรินรดอยู่บริเวณผิวแก้ม

ใบหน้าคมคร้ามผละถอยออกเพียงนิดแต่ทว่านัยน์ตาสีนิลกลับมีประกายเพลิงบางอย่างก่อตัวขึ้นเมื่อได้มองตามหยดน้ำหนึ่งหยดกำลังเกลือกกลิ้งลงมาจากปลายผมก่อนจะเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากสีอ่อนเนิ่นนาน...ทุกการขยับเขยื้อนอยู่ในสายตาของอสุราหนุ่มทั้งหมด

…หยดน้ำใสถูกแปรเปลี่ยนให้ฉาบไล้จนชุ่มชื้นเมื่อเจ้าตัวเม้มปากเข้าหากัน

“..ท่านวศิน” เสียงเรียกแผ่วเบากลับไร้ผล...ราวกับเสียงหวีดหวิวของสายลม

ถ้อยคำที่ตั้งใจจะเอื้อนเอ่ยถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อฝ่ายนั้นจรดเรียวปากมาทาบทับเอาไว้ก่อนกลีบเนื้อนุ่มจะถูกขบเม้มแผ่วเบาย้ำไปย้ำมา

เจ้าแก้วเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตกใจยิ่งกว่าครั้งไหน...มันตัวแข็งทื่อเมื่อรับรู้ได้ถึงความอุ่นชื่นที่ไล้เล็มอยู่รอบๆเด็กหนุ่มเม้มปากแน่นเมื่อผู้บุกรุกตั้งท่าจะแทรกแซงเข้ามา

แต่แล้วก็ต้องเพลี่ยงพล้ำเมื่อถูกปลายนิ้วใหญ่ลงน้ำหนักมือไล้ไปตามร่องกระดูกสันหลังส่วนมืออีกข้างที่บีบเคล้นอยู่บริเวณเหนือสะโพกก็ทำให้ความวาบหวามจู่โจมเข้าจนเสียการควบคุม

“อื้อ”

เมื่อได้โอกาสเรียวลิ้นร้อนก็อาศัยจังหวะนี้แทรกตัวเข้าไปในโพรงปากอุ่น...เสียงอู้อี้ในลำคอลดแผ่วลงเมื่อถูกกวาดต้อนจนมุม มนุษย์ตัวน้อยไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหันเมื่อถูกดูดกลืนริมฝีปากแนบแน่น ไม่มีแม้นแต่ช่วงจังหวะที่จะได้พักหายใจ

ฝ่ามือทั้งสองข้างถูกดึงให้กลับไปโอบรอบลำคอแกร่งเอาไว้อีกครั้งเพื่อเป็นหลักยึด

               ทั้งสองปรับเปลี่ยนองศาหน้าเข้าหากันอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนทุกอย่างจะดำเนินไปตามสัญชาตญาณดิบที่ถูกเก็บไว้ใต้เบื้องลึกของจิตใจ ความอุ่นนุ่มโรมรันพันตูจนแทบกลืนรวมกันเป็นเนื้อเดียว เสียงเฉอะแฉะที่ดังแว่วอยู่ใกล้ใบกลับไร้ผลเมื่อไม่มีผู้ใดคิดจะสนใจมัน

หยาดน้ำบางส่วนไหลย้อนออกมาข้างมุมปากตามแรงอารมณ์ที่โหมกระพือขึ้น

               เจ้าแก้วส่งเสียงคราเครืออยู่ในลำคอเป็นระยะเมื่อรู้สึกเจ็บบริเวณเรียวปากยามที่คมเขี้ยวของอสุราหนุ่มขบกัดลงมา แต่ความรู้สึกบางอย่างที่ตีรวนขึ้นมากลับทำให้อ้อมแขนโอบกอดร่างสูงใหญ่เอาไว้แนบแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม

                    ...แผ่นอกที่แนบประชิดกันนั้นทำให้รับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

               เนิบนาบ...หากแต่หนักแน่นและมั่นคง

               ไม่หวือหวาน่าตื่นเต้น...แต่กลับนุ่มนวลอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป

               ในที่สุดอสุราหนุ่มก็เป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกอบกุมที่ท้ายทอย สายใยที่เชื่อมระหว่างกันสะท้อนล้อกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาก่อนจะถูกตัดขาดเมื่อปลายนิ้วใหญ่ลูบไล้ลงบนกลีบปากนุ่มที่บัดนี้ขึ้นสีแดงจัด

               นัยน์ตาสีอ่อนที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำแห่งห้วงอารมณ์ยังคงไหวระริกเมื่อจดจ้องตามเรียวปากอุ่นร้อนที่คอยป้อนจุมพิตลึกซึ้งให้แก่กัน

               วศินอาศัยช่วงที่คนในอ้อมกอดเผลอเอื้อมมือไปปลดผ้าพันตาของอีกฝ่ายออก ก่อนที่ร่องรอยแผลฉกรรจ์จะเผยออกมาให้ได้เห็น รอยบากลากพาดผ่านดวงตาข้างซ้ายที่ปิดสนิทสะกดสายตาตรึงแน่นจนไม่สามารถละออกไปไหนได้ ความทรงจำในคืนที่แสงจันทร์ส่องกระทบฉาบไล้ลูกแก้วอับแสงกลับฉายชัดเข้ามาอีกหน

               ปลายนิ้วลูบไล้ผ่านความอัปลักษณ์ในสายตาใครต่อใครด้วยความอ่อนโยน...ทะนุถนอมราวกับมันเป็นสิ่งล้ำค่า

               “สำหรับข้า...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบแผ่วเบา “...มันไม่ได้น่าเกลียด”

พลันริมฝีปากอุ่นก็จรดแนบลงไปบนรอยแผลฉกรรจ์อย่างนุ่มนวล โดยที่อีกฝ่ายทำได้แค่เพียงสอดปลายนิ้วเข้ากับท้ายทอยอย่างต้องการที่พึ่งเมื่อเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีถูกสูบหายไปกับเหตุการณ์ก่อนหน้า

               วศินอุ้มคนในอ้อมกอดขึ้นให้ระดับหน้าอยู่เหนือกว่าตน ก่อนจะแหงนเงยขึ้นสบประสานสายตากับลูกแก้วสีสวยที่เริ่มสั่นไหว เจ้าแก้วเลื่อนมือข้างหนึ่งมาไล้กรอบหน้าคมคร้ามเมื่อความรู้สึกบางอย่างตีรวนขึ้นมาจนเต็มตื้น

               ...นอกจากพ่อครูกับหลวงตาและพี่กล้า...ก็ไม่มีผู้ใดเคยบอกว่าไม่นึกรังเกียจความพิกลพิการนี้

               น้ำตาหยดหนึ่งตกกระทบลงบนผิวแก้มของอสุราหนุ่ม

ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นอื่นใด...มีเพียงแค่หยาดน้ำอุ่นที่ร่วงหล่นลงมาเท่านั้น รอยยิ้มบางเบาที่สะท้อนผ่านสายตาของกันและกันส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ภายในอกนั้นอุ่นวาบขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด

               ...ต้นกล้าต้นน้อยที่นอนหลับใหลอยู่ภายใต้จิตใจของทั้งคู่ถูกบ่มเพาะจนเริ่มเจริญเติบโตขึ้นมาทีละนิด

...อีกเพียงไม่นานคงเติบใหญ่ฝังรากลึกเกี่ยวพันใจทั้งสองดวงให้สมานเป็นหนึ่งเดียว..

               เพราะสัตว์ตัวเล็กเอาแต่จดจ้องลงมาไม่วางตา อสุราหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามอย่างนึกเป็นห่วงเพราะเกรงว่ามันจะตื่นตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่จนพานทำให้ขวัญเสีย

               “รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า” น้ำเสียงทุ้มนุ่มถามอย่างนึกเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าตาคู่สวยนั้นยังคงมองตามริมฝีปากของตนไม่วางตา

               แต่แล้วก็รู้สึกโล่งอกเมื่อฝ่ายนั้นส่ายหน้าปฏิเสธตอบกลับมา

               อสุราหนุ่มตั้งท่าจะอุ้มอีกฝ่ายกลับเข้าฝั่งเพราะเกรงว่าหากแช่น้ำนานกว่านี้มันจะจับไข้เอา

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆใบหน้าก็ถูกสองมือคู่นั้นประคองให้แหงนเงยขึ้น ก่อนริมฝีปากจะถูกทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว

               วศินชะงักนิ่งค้างรู้สึกเย็นเยียบที่ฝ่ามือกะทันหันเมื่อกลายเป็นฝ่ายถูกจู่โจมขึ้นมาเสียเอง

               ริมฝีปากเล็กที่ขบเม้มอยู่รอบๆอย่างไม่ประสาเรียกรอยยิ้มให้ฉายขึ้นมาอย่างเอื้อเอ็นดู จอมทัพใหญ่จึงทำเพียงแค่ยื่นนิ่งอยู่กับที่เพราะอยากจะรู้นักว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กมันจะทำเช่นไรต่อไป

               แต่จนแล้วจนรอดก็มีเพียงแค่ความอุ่นนุ่มที่คอยขบงับอยู่รอบๆไร้ท่าทีคุกคามอย่างที่ตนเคยทำเมื่อก่อนหน้าพร้อมกับเสียงคราเครืออื้ออึงในลำคอราวกับกำลังประท้วงอะไรบางสิ่ง ร่างสูงใหญ่จึงลองหยั่งเชิงโดยการถอยหน้าหนีแต่แล้วเจ้ามนุษย์หน้าซื่อกลับยื้อกายเข้าหาอย่างดื้อดึงก่อนจะพยายามแนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง

               เพียงเท่านั้นแรงอารมณ์ที่ยังคั่งค้างอยู่ก็ถูกพัดให้โหมกระพือขึ้นมาอีกครั้ง โดยที่เจ้าตัวต้นเหตุยังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองนั้นกำลังกระทำการยั่วเย้าอารมณ์เบื้องต่ำของใครเขา

               ...การกระทำมุทะลุอย่างเป็นธรรมชาติ...ใสซื่อไร้เดียงสาแต่ทว่ากลับเย้ายวนเสียจนในอกของจอมทัพใหญ่นั้นสั่นไหวยอมสยบโดยดุษณี

               “เจ้าชอบหรือ” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าถามขึ้น ก่อนจะรู้สึกร้อนวูบไปทั่วทั้งกายเมื่อเห็นว่าปลายนิ้วของตนที่กำลังลูบไล้อยู่ข้างมุมปากนั้นถูกขบเม้มอย่างเอาแต่ใจ

                    …ร้ายกาจไม่เบา..

มนุษย์ตัวน้อยพยักหน้ารับอย่างไม่คิดที่จะปิดบังความต้องการอย่างซื่อตรง...ถึงอย่างไรเด็กน้อยในอ้อมกอดก็อายุเพียงแค่สิบเจ็ดเท่านั้น คงไม่แปลกอะไรถ้าจะแสดงท่าทีเว้าวอนอย่างเปิดเผยเช่นนี้

               “..เด็กดี” สิ้นคำเรียวปากทั้งสองก็กลับมาแนบชิดกันอีกครั้ง

               โดยที่ครั้งนี้กลับได้รับความร่วมมือที่ดีเกินคาดเมื่อคนที่อยู่เหนือกว่าเอียงใบหน้าเข้าหาพร้อมกับเปิดรับเรียวลิ้นเข้าไปในโพรงปากอย่างรู้งานโดยไม่ต้องรอให้โดนคมเขี้ยวของเขาขบเม้ม

               ฝ่ามือทั้งสองข้างโอบประคองใบหน้าของอสุราหนุ่มเอาไว้มั่นก่อนจะใจกล้าบ้าบิ่นพลิกขึ้นมาเป็นฝ่ายไล่ต้อนเสียเอง การกระทำเถรตรงเรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำให้ดังขึ้นในลำคอก่อนจะยอมล่าถอยเพื่อให้อีกฝ่ายได้กระทำตามใจ

               ปลายนิ้วร้อนอาศัยจังหวะที่เจ้าแก้วเผลอสอดเข้าไปใต้เสื้อเพื่อลูบไล้ผิวกายเนียน ก่อนจะออกแรงลากนิ้วไปตามร่องหลังจนในที่สุดร่างในอ้อมกอดก็ตัวอ่อนระทวยลงอย่างเห็นได้ชัด

ทันใดนั้นอสุราหนุ่มก็กดยิ้มลึกที่ข้างมุมปากเมื่อเด็กน้อยซุกซบใบหน้าลงกับแผ่นอกแนบแน่น โผล่มาให้เห็นแค่ใบหูที่ขึ้นสีแดงจด

               ...นี่คงเป็นอีกหนึ่งจุดอ่อนของเจ้าแก้ว..

            ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดอยู่กับผิวเนื้อเปลือยเปล่าทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบศีรษะเพื่อปลอบประโลม

               “ใจเย็นๆ...ไม่ต้องรีบร้อน” ริมฝีปากอุ่นกดจูบลงข้างขมับชื้นเหงื่ออย่างเอื้อเอ็นดู “กลับกันเถิด...ป่านนี้พระอาจารย์คงเป็นห่วงเจ้าแย่แล้ว”

ความอ่อนโยนที่โอบกอดอยู่รอบกายทำให้คล้อยตามได้อย่างไม่ยากเย็น

อสุราหนุ่มอุ้มอีกฝ่ายกลับขึ้นไปบนฝั่งก่อนจะเอ่ยสั่งให้มันถอดเสื้อที่เปียกชุ่มออกมาบิดให้หมาดเพราะเกรงว่าจะจับไข้เอาได้ โดยที่ฝ่ายนั้นก็ทำตามโดยไม่หือไม่อือทั้งๆที่สองข้างแก้มนั้นแดงปลั่งจนลามไปทั่วทั้งใบหูและลำคอ

               ...สงสัยมันคงจะพึ่งรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่นี้ตนเองได้กระทำการอุกอาจอะไรไปบ้าง

               ...เห็นหน้าซื่อๆเช่นนั้นแท้จริงแล้วซุกซนไม่น้อยเลยทีเดียว..



_______________________________



เจ้าแก้ว!ทำอะไรลู๊ก!!! /เตรียมก้านมะยม  :fire:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-02-2019 18:36:22 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1

เจ้าแก้วน่ารักเกินไปแล้วลู๊กกก

 :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

เขาจูบกันเเล้วววว    :impress3:



แหม ๆ เจ้าแก้ว ไม่เบาเหมือนกันนะเราอะ    :haun5:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ q.tr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เจ้าแก้ววว  :hao7:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ติดตามเรื่องนี้ด้วยจ้า~

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Lyralyn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หนูแก้ววววไม่หวงตัวเลยลูกกก /// รอติดตามค่าา

ออฟไลน์ oohsg94

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แก๊ววววววว หนูรู้กกกก พี่กล้าจ้ะไปเอาก้านมะยมมา!!! โง๊ยยย ถ้าพี่กล้ารู้นี่ป่าแตกจริงๆแน่  :-[

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เรื่องนี้ต้องถึงพี่กล้า !!

ออฟไลน์ cinpetals

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
แก้วววว!!!!!!! :ling1:

ออฟไลน์ pan19891990

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เรื่องกำลังเข้มข้นเลย แอบมีคนหึงหนึ่งอัตรานะคะ  :katai2-1:
รอตอนต่อไปค่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด