หวงแหน
.
.
.
“ซี๊ดด...ไอ้แก้วเบามือหน่อยสิวะ”
“โอ๊ย”
“พอแล้— อ...โอ๊ย! พ่อครู!”
ไอ้กล้าร้องดังลั่นเมื่อโดนฝ่ามือหนักฟาดเข้าที่กลางหลัง มันแอ่นตัวเหยียดตรงเมื่อรู้สึกแสบสันที่บริเวณผิวเนื้อ ครูบุญยืนมือเท้าสะเอวมองไอ้ตัวดีตาเขียวปั๊ดเมื่อมันดีดดิ้นไม่เข้าท่าราวกับเด็กเล็กเด็กน้อย
“หุบปากเอ็งประเดี๋ยวนี้เลยไอ้กล้า” ชายชราชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ “นั่งนิ่งๆ เสีย น้องมันทำแผลให้ลำบากเห็นหรือไม่” น้ำเสียงเข้มงวดที่มีไว้ใช้เฉพาะกับไอ้ตัวดีเอ่ยสำทับไปอีกหน ก่อนจะใช้ผ้าขาวม้าที่พาดคออยู่นั้นโบกพัดให้ศิษย์คนเล็กเมื่อสังเกตเห็นว่าไรผมของมันเริ่มชื้นเหงื่อ
ตั้งแต่เช้ามานี้เป็นเจ้าแก้วคนเดียวที่ต้องวิ่งวุ่นไปเสียทุกอย่างทั้งหุงหาข้าวปลาอาหารสารพัดสิ่งทำเอาเหงื่อซ่กอยู่มิใช่น้อย เพราะเมื่อสองวันก่อนหลังจากที่ไอ้กล้าไปมีเรื่องกับชาวบ้านชาวช่องเขามาระหว่างทางกลับเรือนดันเสือกกะโหลกเดินไม่ดูตาม้าตาเรือยื่นตีนไปให้ไม้เสียบเล่นเสียอย่างนั้น ลำบากท่านวิรุณต้องเปลืองแรงแบกหามร่างถึกทึนของมันกลับมาที่เรือนอีก ถึงกระนั้นไอ้ตัวดีก็ยังไม่สำเหนียกตนกลับโวยวายด่าพาโลพ่อยักษ์ตนนั้นด้วยความหัวเสียจนเขาต้องเคาะกะโหลกมันไปอยู่หลายทีถึงจะเงียบปากลงไปได้
..มันน่านัก
...ไม่โดนหักขาหักแข้งก็บุญหัวของไอ้กล้ามันแล้ว…
“เสร็จแล้วจ้ะ” เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นมาเมื่อผ้าทบสุดท้ายถูกพันพับเก็บไว้หลังข้อเท้าเป็นที่เรียบร้อย “ประเดี๋ยวฉันลงไปเอาลูกประคบก่อนนะ” มันว่าทิ้งท้ายไว้ก่อนจะรีบลุกเดินลงเรือนไปอย่างคล่องแคล่ว
เมื่อเดินกลับขึ้นมาก็ได้พบว่าพ่อครูนั้นกำลังนั่งบ่นพี่ของมันอยู่ดังเดิม ทว่าครานี้ถึงแม้นปากจะดุด่าว่ากล่าวอย่างไรแต่มือนั้นกลับบรรจงแต้มสมุนไพรป้ายไปตามบริเวณแผลฟกช้ำบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือ
“โตไม่รู้จักโตนะเอ็งนี่” ชายชราเอ่ยดุ แต่ทว่านัยน์ตานั้นทอแสงอ่อนลงไปมากเมื่อเห็นแผลฟกช้ำตามใบหน้าของศิษย์คนโต “คราวหน้าคราวหลังก็หัดรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองเสียบ้าง ไม่ใช่ใครเขาเย้าแหย่อะไรก็ขึ้นง่ายไปเสียหมด” เขาเตือนต่อ ก่อนจะกดเสียงให้เข้มขึ้นเมื่อเห็นว่าไอ้ตัวดีมันยังนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ “ที่ข้าพูดนี่เอ็งเข้าใจหรือไม่ หา ไอ้กล้า”
“จ้าๆ จะไม่ทำอีกแล้วจ้า” มันพยักหน้ารับคำ
“เอ็งก็เป็นเช่นนี้ทุกทีล่ะวะ” ครูบุญแต้มยาบริเวณรอยช้ำข้างโหนกแก้มให้พร้อมกับออกแรงกดสุดแรงจนไอ้กล้าร้องโอดโอยออกมาเสียงดัง “เอ้า เจ้าแก้ว มาประคบยาให้พี่เอ็งเสีย ข้าจะลงไปดูเด็กๆ มันเสียหน่อย” ชายชราหันมาสั่งก่อนจะลุกสะบัดเอาผ้าขาวม้าขึ้นพาดคอแล้วเดินลงเรือนไปทิ้งให้สองพี่น้องมันดูแลกันเอาเอง
หลังจากนี้เขาคงต้องกลับมาสอนมวยพวกเด็กๆ แทนไอ้กล้ามันสักระยะหนึ่ง เพราะสภาพเช่นนั้นลำพังช่วยเหลือตนเองยังไม่ค่อยจะคล่อง นับประสาอะไรกับต้องลุกมาสอนเตะแข้งฟันศอกกัน
“ยังปวดอยู่หรือไม่จ๊ะพี่กล้า” เจ้าแก้วถามพร้อมกับห่อลูกประคบไว้กับผ้าอีกชั้นเพื่อกันความร้อนจัด
“ปวดสิวะ” ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนไปด้านหลังพลางเงยหน้าขึ้นเพื่อสามารถที่จะประคบยาได้สะดวก
ความอุ่นร้อนและกลิ่นฉุนเจือจางของสมุนไพรแนบลงข้างกรอบหน้าอย่างเบามือ ไอ้กล้าหลับตาพริ้มเมื่อรู้สึกผ่อนคลาย มันชอบนักล่ะยามที่น้องมาทำแผลให้เช่นนี้เพราะมือเจ้าแก้วนั้นเบาอย่างกับอะไรดี
“ถ้าปวด คราวหลังก็อย่าไปต่อยตีกับเขาไปทั่วสิจ๊ะ” เด็กหนุ่มว่าด้วยท่าทีพาซื่อ เรียวคิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับเรื่องวิวาทของพี่มันเท่าใดนักและถึงแม้นจะไม่ชอบใจเจ้าแก้วก็หาได้ว่ากล่าวสิ่งใดออกไป
แต่กับคนเป็นพี่นั้นกลับรับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าแก้วมันเริ่มไม่ชอบใจเข้าแล้ว…
..เพราะน้ำหนักมือที่กดลงมาบนแผลย้ำๆ นี่อย่างไรเล่า…
“ก็ไอ้ห่ามืดมันกวนส้นตีนข้าก่อน” ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสียเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน “ข้าไม่ผิด”
“พี่กล้าอายุเท่าใดแล้ว” เจ้าแก้วปรายตามองมาเพียงนิด ก่อนจะลดน้ำหนักมือลงเมื่อเห็นว่าพี่ของมันเจ็บ “ปีนี้ยี่สิบสามแล้วนะจ๊ะ”
“…” ทำได้เพียงแค่นั่งเงียบฟังน้องพูดอย่างตั้งอกตั้งใจเสียยิ่งกว่าตอนที่พ่อครูว่ากล่าวตักเตือนเสียอีก
“หาใช่เด็กๆแล้ว เหตุใดจึงไม่หัดระงับโทสะเสียบ้าง” นัยน์ตาสีสวยทอแสงอ่อนลง ในน้ำเสียงนุ่มหาได้แฝงอารมณ์ขุ่นมัวในตัวพี่มันเลยแม้แต่น้อย
“…ก็มันว่าเอ็ง” ชายหนุ่มเหงาหงอยลงไปอย่างเห็นได้ชัด “ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดมาว่าเอ็งเสียๆ หายๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าแก้วก็ทอดถอนใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะระบายยิ้มออกมาพร้อมกับชี้บริเวณดวงตาข้างซ้ายที่ถูกพันปิดไว้ด้วยผ้า
“เสียๆ หายๆ อย่างไรหรือจ๊ะ” มันถามอย่าพาซื่อ “ที่ฉันตาบอดน่ะหรือ?”
“ไอ้แก้ว” ผู้เป็นพี่ขัดขึ้นมาอย่างสุดจะทน เพราะเขาไม่อยากให้มันรู้สึกแย่กับเรื่องพรรค์นี้อีก
“พี่กล้า” เจ้าแก้วเสียงอ่อนลง “ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่จ๊ะ ฉันก็ตาบอดดั่งที่เขาว่ากล่าว แล้วเหตุใดจึงจะต้องโกรธด้วยในเมื่อเขาก็แค่พูดความจริง” แม้นจะพูดเรื่องที่หนักหนาเช่นนี้ แต่เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับพูดมันออกมาราวกับความพิกลพิการของมันนั้นเป็นเพียงเรื่องปรกติทั่วไป เจ้าแก้วยังคงยิ้มอยู่ต่างกับพี่มันที่หน้าบูดบึ้งลงไปทุกที “หรือพี่กล้าอับอายที่ฉันเป็นแบบนี้?” น้ำเสียงนั้นสลดลงจนไอ้กล้านั้นใจเสีย
“พูดบ้าอันใดของเอ็ง!” ชายหนุ่มเผลอตวาดออกมาอย่างลืมตัว แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายจึงรู้ว่าถูกไอ้แก้วมันเย้าแหย่เข้าเสียแล้ว เด็กหนุ่มกลับมายิ้มสดใสดังเดิมหลังจากที่จงใจว่าเสียงเศร้าแกล้งพี่มันไป
..ซ้ำยังไปแหย่ถูกจุดเสียด้วย...
แต่เมื่ออารมณ์มันขึ้นแล้วมีหรือจะดับลงโดยง่าย ไอ้กล้าพูดเสียงหนักแน่นพร้อมกับยกนิ้วดันหน้าผากน้องมันย้ำๆ จนเจ้าแก้วต้องเอี้ยวตัวหลบเป็นพัลวัน
“ข้าไม่เคยอับอายที่เอ็งเป็นเช่นนี้...ไม่เคยแม้แต่จะคิด ถึงเอ็งจะบอดสนิททั้งสองข้างหรือทั้งมือทั้งตีนสั้นกุดข้าก็รักเอ็ง จำใส่กะโหลกไว้เสีย” ครานี้กลับกลายเป็นเจ้าแก้วเสียเองที่ต้องนั่งฟัง “ข้าแค่ไม่ชอบใจที่พวกมันพูดถึงเอ็งแบบสนุกปากเช่นนั้น มันอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับเอ็ง แต่ไม่ใช่กับข้า...ไอ้แก้ว”
ไม่พูดเปล่าร่างสูงใหญ่กลับเอนตัวไปข้างหน้าเพื่อพิงเข้ากับอกของน้องมันราวกับต้องการที่พักพิง
“ข้าขอโทษก็แล้วกัน...ที่ขยันสร้างแต่เรื่องปวดหัวให้พ่อครูกับเอ็งไม่เว้นแต่ละวัน” น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือแววรู้สึกผิดอย่างแท้จริง ก่อนจะเกลือกกลิ้งศีรษะไปมาจนเสื้อน้องยับยู่ไปหมด
..ราวกับเสือโคร่งตัวโตๆ กำลังออดอ้อนอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันหาได้โกรธเคืองอะไรเลย” เจ้าแก้วยกมือขึ้นโอบรอบลำคอพี่มันไว้ ก่อนจะโดนอีกฝ่ายดึงเข้าไปกอดทั้งตัว อ้อมแขนแข็งแรงโอบรัดแน่นราวกับต้องการย้ำว่าเขานั้นรักมันมากเพียงใด “ที่พูดก็เพราะเป็นห่วงพี่กล้าทั้งนั้น…อย่ามีเรื่องกับใครเพราะเรื่องของฉันอีกเลยนะ” เด็กหนุ่มซบใบหน้าเข้ากับอกผู้เป็นพี่อย่างออดอ้อน
“เอ็งมันก็แบบนี้ทุกทีสิวะ” เสียงทุ้มต่ำสบถอย่างไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้
“แบบไหนหรือจ๊ะ”
“อ้อนเป็นเด็กไปได้ ข้าไม่ใจอ่อนหรอกนะบอกไว้เลย”
“ฉันโตแล้วนะจ๊ะพี่กล้า” เจ้าแก้วแย้งกลับ
“สิบเจ็ดปี…โตกับผีเอ็งน่ะสิ” เอาเจ้าเนื้อแก้มเยอะๆ นี่ออกไปให้ได้เสียก่อนค่อยริมาออกปากเถียง
แต่เมื่อนึกดูดีๆ แล้วเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านนั้นเจริญพันธุ์นำหน้ามันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่กับเจ้าแก้วนั้นบรรยากาศรอบกายมันทั้งนุ่มนวลอ่อนโยนหาได้แข็งกระด้างดั่งเช่นเด็กหนุ่มคนอื่นๆ
ถ้าจะเปรียบเทียบกันหากเขาเป็นดั่งเปลวเพลิงที่พร้อมแผดเผาทุกสรรพสิ่ง เจ้าแก้วก็คงเป็นสายน้ำฉ่ำเย็นที่คอยช่วยชโลมจิตใจให้ชุ่มฉ่ำ
..และเพราะมันเป็นเช่นนี้ เขาถึงได้นึกหวงแหนมันนัก...
“ฮื่อ ฉันไม่คุยกับพี่กล้าแล้ว”
ไอ้คนที่พึ่งยืนยันตนว่ามันโตแล้วกลับลุกหนีเดินลงเรือนไปอย่างว่องไว ทิ้งให้พี่มันต้องพยุงตัวลุกขึ้นเดินตามลงไปอย่างยากลำบาก
เมื่อเดินลงมาก็เห็นพ่อครูกำลังยืนคุมเหล่าบรรดาลูกศิษย์เข้าคู่ฝึกซ้อมกันอยู่อย่างแข็งขันและเมื่อพวกมันเห็นเขาก็ตั้งท่าจะพากันวิ่งกรูเข้ามาหาจนโดนครูบุญเอ็ดตะโรเข้าให้นั่นล่ะถึงจะพากันกลับไปตั้งใจซ้อมดังเดิม
“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะพี่กล้า ดีขึ้นบ้างหรือยัง” ไอ้ดินเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจ้าแก้วเอ่ยถามขึ้นในระหว่างที่กำลังยกเป้าล่อให้คู่ฝึกซ้อมของตนเอง
“เอ็งแหกตาดูสิวะ” ชายหนุ่มเดินกะเผลกไปยืนพิงเสาเรือนไว้เพื่อเป็นหลัก ก่อนจะตอบคำถามอีกฝ่ายอย่างใส่อารมณ์นิดหน่อยเมื่อหางตาสังเกตเห็นสองอสุราหนุ่มที่กำลังนั่งคุยกันอยู่บนแคร่อีกตัว
…รกหูรกตาฉิบหาย
เมื่อวันก่อนเขาก็ยังไม่ทันได้หายเคืองเรื่องที่จู่ๆ เจ้าแก้วก็ดันเดินกลับเรือนมาพร้อมกับไอ้ยักษ์ตัวแดงนั่น ซ้ำยังดูท่าจะสนิทสนมกันเกินความจำเป็นเสียด้วย
“เอ๊ะ ไอ้ห่านี่ สันดานพาลไปทั่วนะเอ็ง น้องมันก็ถามดีๆ” ครูบุญยกไม้ตะพดขึ้นชี้หน้าพลางว่ากล่าวตำหนิไอ้คนที่โตแต่ตัว
“จับดีๆ สิวะไอ้ดิน! เหลาะแหละเช่นนี้ก็กลับเรือนไปหาแม่เอ็งนู่น!” ไอ้กล้ายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจในคำพูดของพ่อครู ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องหันไปตวาดเด็กหนุ่มแทนจนมันหันรีหันขวางออกแรงจับแน่นจนเหงื่อหยด
“จ..จ้ะ”
..ก็พี่กล้าน่ะเห็นเป็นเช่นนี้ยามที่สอนมวยพวกมันนั้นโหดเอาเรื่องเลยทีเดียวนา…
“แล้วนี่ไอ้แก้วมันไปไหนเสียล่ะพ่อครู” สาดส่องสายตามองหาไปทั่วก็ไม่พบหน้ามัน
“ข้าก็ไม่รู้มัน” ครูบุญมองหาบ้าง ก่อนจะพยักพเยิดหน้าบอกเมื่อเห็นเจ้าแก้วเดินมาจากทางหลังเรือน “นั่นปะไร เดินมาโน่นแล้ว”
“เอ็งจะไปไหนวะ” ไอ้กล้าถามขึ้นเมื่อเห็นน้องมันถือมีดพร้าด้ามยาวติดตัวมาด้วย
“อ้อ ฉันจะเข้าไปตัดต้นไผ่น่ะจ้ะพี่กล้า” มันพูดพร้อมกับพับถลกชายผ้านุ่งขึ้นเก็บไว้ชิดใกล้กับโคนขาอย่างคล่องแคล่ว “พ่อครูบอกวันนี้จะทำแคร่ตัวใหม่กัน ฉันเลยอาสาจะเข้าไปตัดไม้ไผ่มาให้” เด็กหนุ่มเอาผ้าขาวม้ามัดคาดไว้บนศีรษะเพื่อกันหยาดเหงื่อหยดใส่ตา
หลังจากที่คนพี่ไปก่อเรื่องไว้จนแคร่ที่บ้านยายนิ่มพังเละเทะไม่เป็นท่าพ่อครูก็ได้สั่งให้พวกมันยกแคร่อยู่เรือนไปไว้ให้สามยายหลานไว้ใช้แทน
วันนี้อากาศปลอดโปร่งแดดไม่ร้อนจัดมากเท่าใดนัก ครูบุญเลยพูดลอยลมออกมาว่าอยากจะทำแคร่ตัวใหม่ไว้ใช้สักหน่อย เจ้าแก้วเลยขันอาสาเองเสียเลย คราแรกชายชราก็ไม่ยอมเพราะไม่อยากให้ศิษย์รักลำบาก แต่เมื่อโดนมันตะล่อมเข้าหน่อยว่าอยากออกกำลังเสียบ้างก็ต้องยอมตามใจโดยที่ไม่ลืมสั่งให้พวกลูกศิษย์ตัวโตสองคนตามเข้าไปช่วยมันด้วย
“ข้าไปด้วย อูยยย” เสียงทุ้มร้องโอดโอยเมื่อโดนไม้ตะพดเคาะลงบนหัว
“แหกตาดูสังขารตนเองเสียบ้าง” ครูบุญเอ็ดตะโรใหญ่ “ดันทุรังไปก็เป็นภาระน้องมันเสียเปล่า”
“แค่ไม้เสียบตีน ขาฉันไม่ได้ขาดนะพ่อครู--!”
ยัง…มันยังเถียงไม่หยุดหย่อน ครานี้เห็นที่ไม่ต้องใช้แล้วกระมังไม้ตะพดนี่
ต้องฝ่ามือ…เน้นๆ ..
ผั้วะ!
…ฟาดเข้าอย่างจังที่กลางหัวไอ้คนเถียงคำไม่ตกฟากจนไอ้กล้าหูอื้อตาลายไปชั่วขณะ
..เจ็บตัวน่ะไม่เท่าไร แต่ไอ้พวกศิษย์ทั้งหลายแหล่ที่มันกำลังยืนกลั้นขำกันอย่างสุดความสามารถนี่สิมันน่าเสียหน้าฉิบหาย
พ่อครูนะพ่อครู! ไม่ไว้หน้ากันเลย!
“โอ๊ย..” แต่ไม่ทันไรไอ้ตัวดีก็ทรุดตัวลงนั่งยองก้มหน้ากุมหัวตัวเองนิ่ง
“พี่กล้า” เจ้าแก้วเป็นคนแรกที่ถลาเข้าไปดูอาการพี่มันโดยมีครูบุญยืดกอดอกมองดูอยู่ห่างๆ
“ไอ้แก้ว…ข้าเจ็บ” เสียงทุ้มสั่นพร่าสมจริงเสียจนครูบุญเกือบจะใจเสียว่าลงมือกับมันหนักเกินไป แต่ทันได้เห็นสายตาเย้ยหยันที่ถูกส่งมาลับหลังน้องมันพอดีจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เพียงผู้เดียว
..ตอแหลตลบตะแลงเก่งนักนะมึง!
“พี่กล้าเจ็บตรงไหนหรือจ๊ะ” ไอ้คนน้องที่พาซื่อไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของพี่มันก็ออกอาการเป็นห่วงเสียจนใบหน้าซีดเผือดไปหมด
“นี่เจ้าแก้ว...พี่เอ็งมันโดนไม้เสียบตีน หาได้ถูกฟาดกระบาลแยก” ชายชราอดที่จะแทรกขึ้นมาไม่ได้เพราะยามนี้ทั้งฝ่ามือฝ่าเท้ามันคันคะเยอไปเสียหมดเมื่อเห็นไอ้ตัวดีมันแกล้งโอดโอยเกินเหตุ “เอ็งไปเถอะ ประเดี๋ยวข้าดูมันเอง” เขาเดินเข้าไปลูบหัวมันให้คลายความกังวลลง แต่ก็ยังมิวายหรี่ตามองไอ้ตัวโตไว้อย่างคาดโทษ
...น้องมันไม่อยู่เช่นนี้ก็ถือว่าทางสะดวก
“พร้อมหรือยังวะไอ้แก้ว” ชายหนุ่มอีกสองคนเดินเข้ามาสมทบหลังจากที่โดนครูบุญสั่งให้ตามเข้าไปช่วย “เอ้า ไอ้กล้า เป็นอะไรล่ะนั่น” มั่นเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าสหายตนลงไปนั่งกุมหัวบนพื้น
“โรคสำออยมันกำเริบ” ครูบุญว่าเสียงหน่าย เรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่จากสองชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
“หุบปากไปเลยพวกเอ็ง” ไอ้กล้าจ้องตาเขม็งก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลโดยมีน้องมันคอยช่วยประคองอยู่ไม่ห่าง “แล้วนี่พวกเอ็งจะไปไหนวะ” ชายหนุ่มถามกลับเมื่อเห็นว่าทั้งสองเหน็บมีดพร้าไว้หลังชายผ้านุ่ง
“ครูให้ข้ากับไอ้อินเข้าไปช่วยไอ้แก้วมัน” ชายหนุ่มชี้บอก
“เออๆ ข้าฝากดูมันด้วยก็แล้วกัน” ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นยีหัวคนน้องจนผมเผ้ามันยุ่งเหยิง “ยิ่งชอบเซ่อไม่ดูตาม้าตาเรืออยู่ด้วย”
“ถ้าน้องมันเซ่อ เอ็งก็บอดล่ะวะ มีที่ไหนเอาตีนไปให้ไม้เสียบเล่น” อินแทรกขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ พร้อมกับกระโดดหลบฝ่าเท้าที่พุ่งเข้ามาหาได้อย่างหวุดหวิด
อุบะ! ขนาดมันเจ็บตัวอยู่ยังมือไวตีนไวดีไม่มีตก
“เอ้าๆ เล่นกันเป็นเด็กไปได้ ไปกันได้แล้วพวกเอ็งน่ะ” ครูบุญเข้ามาห้ามทัพได้ทันก่อนที่มะพร้าวจะถูกปาเข้าใส่ไอ้อินที่หัวเราะเสียงดังลั่นวิ่งไปหลบเสานู้นทีเสานี้ทีราวกับเด็กเล็กเด็กน้อย
“เอ้า แก้ว จะไปไหนล่ะนั่น”
เสียงทุ้มต่ำของอสุราหนุ่มอีกตนแทรกขึ้นมาหยุดความโกลาหลที่เกิดขึ้น วิรุณปรายตามองรอบด้านอยู่เพียงครู่จนได้สบเข้ากับไอ้ตัวดีที่ทำหน้าถมึงทึงบอกบุญไม่รับอยู่เมื่อเห็นเขา
“ฉันจะเข้าไปตัดไม้ไผ่มาทำแคร่น่ะจ้ะ” เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับเหน็บมีดพร้าเข้าที่หลังชายผ้านุ่ง
“อ้อ” อสุราหนุ่มพยักหน้ารับ “ไปผู้เดียวหรือ”
“เปล่าจ้ะ มีพี่มั่นกับพี่อินเข้าไปช่วยด้วย”
“อย่างนั้นหรือ…ถ้าเช่นนั้นต้องการแรงงานเพิ่มหรือไม่” ใบหน้าคมคร้ามยกยิ้มขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำหน้าฉงนสงสัย
...นัยน์ตาพาซื่อเปล่งประกายสดใสหยอกล้อแสงอาทิตย์ได้อย่างน่าดูชม
“ท่านหมายถึงจะเข้าไปตัดไผ่น่ะหรือจ๊ะ” เจ้าแก้วยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอกดีนัก
“อืม” อสุราหนุ่มตอบรับอย่างนึกขันในความหัวช้าของมัน
“มิเป็นไรดอกพ่อวิรุณ เหนื่อยกายเสียเปล่า” ชายชรารีบบอกขึ้นมาอย่างเกรงอกเกรงใจ “แค่ไอ้มั่นกับไอ้อินก็แรงมากโขแล้ว ท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่เถิด”
“ใช่จ้ะๆ ฉันกับไอ้มั่นแรงดีไม่มีตกอยู่แล้ว” ชายหนุ่มอีกคนเสริมขึ้น
“ให้ข้าช่วยเถอะ” วิรุณยังคงไม่ยอมล่าถอย “ได้ออกกำลังบ้างก็ดีเหมือนกัน อีกอย่างไปกันเยอะๆ จะได้ไม่เหนื่อยมาก”
“ก็ดี” เสียงทุ้มยียวนดังแทรกขึ้นมาขัด เรียกความสนใจของทุกคนให้หันกลับไปมอง “มาอาศัยเขาอยู่ ก็หัดทำตัวมีประโยชน์เสียบ้าง”
ไอ้กล้ายืนพิงเสาเรือนอย่างเกียจคร้าน จากบริเวณนี้มันอยู่ไกลจากพ่อครูมากโขจึงสามารถปากดีได้อย่างไม่กลัวเกรง
“ไอ้กล้า!” ครูบุญหันไปตวาดลั่นเมื่อศิษย์คนโตนั้นปากเสียอย่างไร้มารยาท แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าไปลงไม้ลงมือตักเตือนก็โดนพ่อวิรุณห้ามปรามไว้เสียก่อน
“ช่างเขาเถิดพ่อเฒ่า” อสุราหนุ่มส่งยิ้มบางเบาไปให้อย่างไม่นึกถือสาหาความ แต่ไอ้ตัวดีกลับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องมองเขม็งมาตาเขียวก่อนมันจะฮึดฮัดเดินหนีไปอีกทาง
“พ่อวิรุณอย่าไปถือสามันเลยนะ ไอ้กล้ามันก็ปากไวเช่นนี้ คิดเสียว่าฟังเสียงหมาเห่าก็แล้วกัน” ครูบุญลำบากใจอย่างหนักเมื่อไอ้ตัวดีมันทำเรื่องงามหน้าทิ้งไว้แล้วหนีเปิดเปิงไปเสียอย่างนั้น
“ช่างเถิดพ่อเฒ่า ข้าหาได้ถือสาสิ่งใด” วิรุณระบายยิ้มออกมาอย่างไม่ติดใจอะไร
...ก็อย่างที่พ่อเฒ่ากล่าวมา คิดเสียว่าหมามันเห่า
...ซ้ำร้ายยังเป็นหมาบ้าตัวใหญ่เสียด้วย...
“เช่นนั้นก็ตามแต่ใจท่านเถิด” ชายชราพยักหน้ารับอย่างจำยอม ก่อนจะหันไปสั่งความกับลูกศิษย์อีกสองคน “พวกเอ็งน่ะอย่าพากันเถลไถลออกนอกทางเชียว เข้าใจหรือไม่”
“จ้ะครู” ทั้งสองขานรับอย่างแข็งขันก่อนจะเดินนำออกไป
“ส่วนเอ็งเจ้าแก้ว ดูแลตนเองให้ดี อย่าให้ข้าต้องเป็นห่วง” ฝ่ามืออุ่นลูบหัวมันไปอีกหน
“จ้ะพ่อครู” เด็กหนุ่มขานรับก่อนจะขอตัวเดินออกมา
เจ้าแก้วเดินนำหน้าวิรุณอยู่เพียงไม่กี่ก้าวแต่ในระหว่างที่กำลังจะเดินผ่านแคร่หน้าเรือนไปกลับต้องหยุดชะงักฝีเท้าไว้เมื่อเสียงทุ้มต่ำของอสุราหนุ่มอีกตนเอ่ยถามขึ้น
“จะไปไหนกัน”
วศินมองมาที่ทั้งสองด้วยสายตาที่เรียบเฉย ก่อนจะสังเกตเห็นปลายด้ามของมีดพร้าที่เหน็บอยู่บนชายผ้านุ่งของเด็กหนุ่มพลันคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“แก้วจะเข้าไปตัดไผ่มาทำแคร่” วิรุณตอบพร้อมกับยกมือขึ้นมาจับบ่าของเจ้าแก้วเอาไว้ “ข้าเลยอาสาไปช่วย…นั่งๆ นอนๆ มาหลายวันมันครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะออกกำลังบ้าง”
ดวงตาคมกล้ามองไปที่มือข้างที่จับอยู่บนบ่าของเด็กหนุ่มพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นขึ้นกว่าเดิม จนใบหน้าคมคายดูดุดันเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
“...ข้าไปด้วย” เสียงเข้มห้วนตอบกลับ ก่อนจะปรายตามองไปที่เด็กหนุ่มอยู่เพียงครู่ส่งผลให้เจ้าแก้วสะดุ้งตื่นเล็กน้อยเมื่อได้สบเข้ากับสายตาดุดันของอีกฝ่าย
“จะดีหรือ” วิรุณเลิกคิ้วมองสหายของตน “แขนเจ้าก็ยังไม่หายดี พักอยู่ที่นี่จะไม่ดีกว่าหรือ”
“ข้าก็อยากออกไปยืดเส้นยืดสายเหมือนกัน” อสุราหนุ่มว่าตัดบทไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะลุกเดินนำออกไป ทิ้งให้คนที่อยู่เบื้องหลังงุนงงอยู่ไม่น้อย
...หน้านิ่วคิ้วขมวดอันใดของมัน ทำอย่างกับไปกินรังแตนมาอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างทางเดินเข้าไปในไพรกว้างเสียงพูดคุยของอสุราหนุ่มและเด็กหนุ่มที่เดินรั้งท้ายสุดดังแว่วขึ้นเป็นระยะ บางครั้งก็เป็นเสียงหัวเราะของเจ้าแก้วที่หลุดขำออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของวิรุณ ทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องสมุนไพรนานาชนิดที่เขามีความสงสัยใคร่รู้เจ้าแก้วก็จะรีบอธิบายให้ฟังเสียยาวเหยียดถามตอบกันอย่างเพลิดเพลินจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบกายไปเสียหมด
“นั่นใช่ต้นแก้วหรือเปล่า” วิรุณชี้ไปทางไม้ยืนต้นขนาดกลางที่คุ้นตา ขนาดลำต้นนั้นดูสูงกว่าที่เคยพบเห็นจากเรือนของครูบุญอยู่เล็กน้อย
“ใช่จ้ะ พี่ยักษ์รู้จักด้วยหรือ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแข็งขันก่อนจะเดินเข้าไปเด็ดใบและดอกของต้นแก้วมาไว้ในมือ “ต้นแก้วเนี่ยมีสรรพคุณเยอะเลยนะจ๊ะ อย่างเช่นใบของมันบางวันพี่กล้าก็ชอบเอาไปเคี้ยวให้ตัวร้อนเพราะขี้เกียจลุกไปทำการทำงาน”
อสุราหนุ่มหลุดขำออกมาอย่างไม่ไว้ท่าเมื่อได้รู้ถึงวีรกรรมของไอ้ตัวดีเพิ่มอีกอย่าง
“แล้วได้ผลหรือไม่”
เจ้าแก้วระบายยิ้มพร้อมส่ายหน้าหวือ “ไม่เลยจ้ะ พ่อครูรู้ทันเสียก่อน”
“แล้วดอกแก้วล่ะ ทำสิ่งใดได้บ้าง”
“เยอะแยะไปหมดเลยจ้ะ แต่ที่ฉันชอบก็คือกลิ่นของดอกแก้ว มันหอมมากๆ” ไม่ว่าเปล่ายังยกดอกสีขาวนวลขึ้นจรดปลายจมูกเหมือนดังที่เคยทำ
“จริงหรือ?” ไม่น่าเชื่อว่าต้นเล็กๆ เช่นนั้นจะเป็นพันธุ์ไม้หอมกับเขาด้วย
“จริงสิจ๊ะ พี่ยักษ์ลองดมดูสิ” เด็กหนุ่มยื่นดอกแก้วไปตรงหน้าอย่างลืมตัว มันพยักพเยิดหน้าให้เมื่อเห็นท่าทีลังเลจากอีกฝ่าย
วิรุณพยักหน้ารับก่อนจะก้มหน้าลงมาหาเพราะด้วยส่วนสูงที่ต่างกัน ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นกอบกุมมือข้างที่จับดอกแก้วไว้มั่น ปลายจมูกโด่งแตะลงที่กลีบขาวบางของผกาดอกน้อยก่อนจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมจรุงอบอวลอยู่รอบๆ
..หอมจริงอย่างที่เจ้าแก้วบอก...
“หอมไหมจ้ะ” ใบหน้าพาซื่อเงยขึ้นมองอย่างเฝ้ารอคำตอบ
“อืม” อสุราหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะปล่อยมือแล้วยืดตัวขึ้นตรงตามเดิม
ปลายนิ้วคลึงเข้าหากันเมื่อความอุ่นของผิวเนื้ออีกฝ่ายยังคงติดตรึงอยู่ซ้ำกลิ่นหอมนั้นก็ยังไม่จางหายไป เห็นทีคงจะไม่ใช่เพียงเพราะกลิ่นของดอกแก้วอย่างเดียวแล้วกระมัง..
ตุบ!
เสียงของหนักกระทบพื้นอยู่บริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลดึงความสนใจของทั้งคู่ให้หันไปมอง
“มีอะไรหรือวศิน” วิรุณเอ่ยถามสหายของตนก่อนจะหันไปมองก้อนหินขนาดพอเหมาะที่อีกฝ่ายปามาทางโพรงไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
“งู” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพร้อมกับชี้ให้ดู เมื่อมองตามก็ทันเห็นเพียงแค่ปลายหางเลื้อยหายเข้าไปไปโพรงไม้เสียแล้ว
“อ้อ” วิรุณพยักหน้ารับอย่างเข้าใจว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการที่จะไล่งูให้ก็เท่านั้น
“ไปกันได้แล้ว” นัยน์ตาคมหันมองไปที่เด็กหนุ่ม “เพื่อนของเจ้าเดินนำไปไกลแล้ว” เมื่อพูดจบก็เดินนำหน้าออกไปโดยไม่แม้นแต่ที่จะหันกลับมามองอีก
“เป็นอะไรของมันล่ะนั่น” อสุราหนุ่มมองตามหลังสหายตนไปด้วยความงุนงง
ตั้งแต่อยู่ที่เรือนแล้วดูมันอารมณ์ไม่ดีอย่างไรชอบกล ทั้งๆ ที่ปรกติก็เป็นคนพูดน้อยยิ้มยากอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว ยิ่งยามนี้หน้านิ่วคิ้วขมวดก็ยิ่งไปกันใหญ่
ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้เจ้าแก้วเผลอมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนลับสายตา เรียวคิ้วได้รูปยู่เข้าหากันเล็กน้อยอย่างคิดไม่ตกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก แต่เมื่อคิดว่าคงเป็นเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวเด็กหนุ่มจึงไม่ได้ติดใจมากนัก
ระหว่างทางเจ้าแก้วก็ยังคงพูดเจื้อยแจ้วเจรจาอยู่ตลอด ครานี้วิรุณเลยถือโอกาสลอบมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายอีกหน ใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นดูอย่างไรก็คงยังไม่เจริญเติบโตเต็มวัยหนุ่มอย่างแน่นอน
...หากให้คาดเดาก็คงประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีกระมัง
“ว่าแต่แก้วเถอะ อายุเท่าใดแล้วเล่า”
“ฉันน่ะหรือจ๊ะ?”
“ใช่”
“อีกไม่กี่เดือนก็สิบเจ็ดเต็มแล้วจ้ะ”
..นั่นปะไร...ห่างกันสิบปีพอดิบพอดี..
____________
อุ...ชื่อตอนนี่หมายถึงพี่กล้าเขาหวงน้องเขานะคะ จริงจริ๊งงง
อย่าไปคิดม๊ากกกก ก็แค่ไล่งูให้จริงจิ๊งง
ขออภัยที่หายหน้าไปนานเลยนะคะ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีปัญหาส่วนตัวรุมเร้านิดหน่อยจึงทำให้ไม่สามารถปิดตอนได้ตามที่หวัง ฮือออ
ตอนนี้สั้นหน่อยนะคะเพราะอีกตอนต่อเนื่องกันพันไมล์เลยตัดจบตรงนี้ก่อน พลังหมดพอดี แงงง
ปล.เฉลยอายุเจ้าแก้วแล้วนะคะ แค่16ย่าง17เอ๊งง สมัยก่อนไม่มีกฏหมายคุ้มครองผู้เยาว์ซะหน่อยเนอะ แค่กๆๆ