✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒  (อ่าน 41335 ครั้ง)

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
สำนวนและเนื้อเรื่องดีงามมากๆเลยค่ะ
กลัวก้อแต่อาจจะมีดราม่าหนักๆตามมานี่สิ
...แต่จะติดตามนะคะ!...

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
พี่ยักษ์ก็อย่าทำเข้มมากนักสิ สงสารน้องๆ อุตส่าห์ดูแล

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
อุบายธรรม

.

.

.
เมื่อครูบุญและสองบุรุษหนุ่มต่างเผ่าพันธุ์ได้ไปกราบไหว้พระอาจารย์ที่ถ้ำบริเวณเชิงเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็ได้มุ่งหน้าเดินทางกลับเรือนโดยทันที

บรรยากาศท่ามกลางพงไพรนั้นอุดมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เหล่าสกุณาต่างส่งเสียงร้องคลอไปกับเสียงน้ำตกที่ไหลลงสู่ริมธารกลางป่า เสียงบำบัดของธรรมชาติเหล่านั้นช่วยขจัดความเหนื่อยล้าทั้งกายใจได้เป็นอย่างดี ดวงตาคมกล้าของอสุราหนุ่มทอดมองไปรอบกายอย่างเพลิดเพลินอุรา

นานแล้ว...ที่มิได้มีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายเช่นนี้

นับตั้งแต่ที่เขาและวศินได้เข้ารับตำแหน่งจอมทัพแห่งนครคีรีก็ได้ฝึกวิชาการศึกสงครามไม่เว้นแต่ละวัน อีกทั้งยังต้องคอยกวดขันระเบียบวินัยให้แก่เหล่าทหารใต้ปกครองอยู่เสมอ จึงทำให้สองอสุราหนุ่มไม่มีแม้นแต่เวลาว่างเพื่อที่จะพักผ่อนหย่อนใจ

ยามจะนอนก็หาได้หลับใหลอย่างสบายอกสบายใจเช่นใครเขา ต้องคอยระแวดระวังอันตรายจากทุกทิศทางที่จะเข้ามาหาตนไม่เว้นแต่ละวินาทีเดียว เพราะกว่าที่จะมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจเช่นนี้ได้ก็ต้องผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย จึงมิแคล้วที่จะมีศัตรูคอยวนเวียนอยู่รอบกาย ไว้เว้นแม้แต่พวกเดียวกันเอง และด้วยเหตุนี้ตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ในนครคีรีทั้งเขาและวศินจึงไม่สามารถที่จะกระทำการใดตามใจตนได้มากนัก

วิรุณจึงถือโอกาสนี้พักผ่อนและปล่อยวางความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดที่สะสมมาเนิ่นนาน ถึงแม้นว่าจะมิใช่เวลาที่จะมามัวเอ้อระเหย หากแต่กลางป่าลึกของแดนมนุษย์นั้นช่างเงียบสงบและร่มรื่นเสียจนเขาลืมทุกสิ่งและทิ้งทุกปัญหาที่หนักอกหนักใจไว้เพียงด้านหลัง

หากแต่สิ่งเดียวที่ดูจะทำลายบรรยากาศอันน่าอภิรมย์เช่นนี้ ก็เห็นทีจะเป็นชายหนุ่มมนุษย์ที่เดินนำหน้าเขาอยู่นั่นแล...

หน้าบูดบึ้งเสียจนพาลทำเอาธรรมชาติรอบข้างเหี่ยวเฉาไปหมด

“หน้าบอกบุญไม่รับเชียวนะเอ็ง”

เพราะท่าทางที่เหมือนจะตายวันตายพรุ่งของมันทำให้ครูบุญอดที่จะหันมาค่อนแคะไอ้ศิษย์ตัวดีไม่ได้

“เหอะ”

“ประเดี๋ยวข้าถีบเข้าให้ มากเรื่องดีนัก… แค่นี้ก็จะลงแดงตายแล้วรึ”

“ปุโธ่ พ่อครูก็” มันโอดครวญ

“เอ็งอย่ามาตอแหล เป็นชายอกสามศอกแท้ๆ เรื่องแค่นี้ถ้าทนไม่ได้ก็ไปหาผ้าถุงมานุ่งซะ”

คำพูดเสียดสีจากครูเฒ่าทำเอาไอ้กล้าต้องสงบปากสงบคำลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมิได้หายขุ่นเคือง…จะอะไรเสียอีกเล่า ก็หลังจากที่พาเจ้ายักษ์ตนนั้นไปกราบหลวงตาแล้ว พ่อเฒ่าผู้นี้ก็จัดแจงบอกหลวงตาให้เสร็จสรรพว่ามันน่ะระริกระรี้อยากจะสักยันต์ลงอาคมกับหลวงตาเป็นหนักหนา ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับเซ้าซี้อยากจะมาเสียให้ได้ ทั้งที่จริงแล้วตัวมันไม่เคยนึกอยากจะลงเข็มอาคมเลยสักเพียงนิด ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ไอ้ตัวดีก็ดูจะหัวเสียขึ้นมาอีกหน

‘หากเอ็งมีปณิธานที่แน่วแน่ ไม่ไขว้เขว สามารถถือศีลได้ครบสามเดือนเมื่อไหร่ เมื่อนั้นข้าถึงจะลงยันต์อาคมให้’ หลวงตากล่าว

‘สามเดือนเลยหรือจ๊ะหลวงตา’ ไอ้กล้าเริ่มหน้าถอดสี

ถือศีลสามเดือนเชียวนะ…ห้ามแตะสุราเมรัยทุกชนิดตั้งสามเดือนเชียว!

‘เออสิวะ หรือเอ็งจะไม่ทำตามก็ได้ ตามแต่ใจเอ็ง ข้าก็ไม่อยากจะรับนักหรอกศิษย์ที่ไม่ได้ความ ไม่เคร่งปฏิบัติ หวังเพียงแต่จะสักเพื่อไปคุยโวโอ้อวดคนอื่นเขา พุทธคุณจะเสื่อมเสียเปล่าๆ ถ้าไปอยู่กับคนที่มันไม่ได้นึกเคารพจริงๆ’

เพราะคำพูดของหลวงตาไปสะกิดโดนต่อมของมันเข้าให้ ไอ้กล้าเลยฮึกเหิมตกปากรับคำจนแทบจะไม่ต้องคิดเลยทีเดียว…ทำเอาครูบุญแอบยิ้มกริ่มอยู่เพียงลำพัง มันก็เป็นเช่นนี้ ยุยงอะไรหน่อยเป็นไม่ได้เลือดพ่อมันแรงนัก ยอมหักไม่ยอมงอ ยอมลงแดงตายดีกว่าที่จะโดนตราหน้าว่าใจเสาะ!

หลังจากรับพรและรับปากกับพระอาจารย์มาแล้ว ก่อนจะขอตัวลากลับก็โดนเรียกไว้อีกหน

‘รับตะกรุดสองอันนี้ไปเสีย…อันคาดเอวน่ะของเอ็ง ส่วนสร้อยคอข้าฝากไปให้เจ้าแก้วมัน’

ชายหนุ่มขานรับพร้อมเอื้อมมือไปประนมรับของจากหลวงตา

‘เอ็งรู้ใช่หรือไม่ ว่าข้อห้ามเมื่อเอ็งสวมใส่ตะกรุดคืออันใด’

‘จ้ะ หลวงตา’ ชายหนุ่มขานรับ ก่อนจะก้มลงกราบผู้อาวุโสอีกหน

‘ดี จะกระทำการดีชั่วประการใด ตัวของเอ็งนั้นย่อมรู้ดีอยู่ใจ...เข้าใจที่ข้าพูดรึไม่’

‘จ้ะ’

ก็เล่นดักทางไว้เสียอย่างนี้ จะให้มันไม่ตกปากรับคำได้อย่างไร ถึงขั้นที่หลวงตามอบของศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนั้นแสนจะหวงนักหวงหนาให้ซะขนาดนี้ หากยังทำตัวสำมะเลเทเมาเฉกเช่นเดิม ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็เห็นทีจะต้องไปหาผ้าถุงมานุ่งอย่างที่พ่อครูว่า

คิดได้ดังนั้น ไอ้กล้าก็ถอนหายใจอย่างนึกปลงตก

เอาวะ เป็นไงเป็นกัน อดเหล้าเพียงแค่สามเดือน ถ้าจะถึงขั้นลงแดงตายก็ให้มันรู้กันไป...

เมื่อย่างเข้าสู่เขตเรือนทั้งสามก็เห็นเด็กหนุ่มกำลังเดินลงมาจากชานเรือนพร้อมกับถือหม้อต้มยาและสารพัดของจนล้นมือ แต่เจ้าแก้วนั้นมันดูเหม่อลอยคล้ายสติจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าใดนัก เมื่อเห็นดังนั้นไอ้คนพี่จึงอยากจะแกล้งน้องมันให้หัวเสียเล่นเหมือนดั่งที่เคยหยอกล้อกันอยู่เสมอ

ไอ้กล้าแอบเดินย่องไปอยู่ใต้ถุนเรือนโดยที่น้องมันและพ่อครูที่ยืนพูดคุยอยู่กับยักษ์ตนนั้นไม่ทันได้สังเกตเห็นสักนิด ถึงแม้นว่าตัวจะใหญ่บึกบึนแต่เรื่องความว่องไวและฝีเท้าที่เบาอย่างหาตัวจับได้ยากนั้นต้องยกให้มันเลยเดียว

ชายหนุ่มเฝ้ารอจังหวะก่อนที่จะสอดมือเข้าไปใต้ลูกบันไดรอน้องมันก้าวลงมาเหยียบ เมื่อได้โอกาสก็จับข้อเท้าของเจ้าแก้วไว้มั่นจนเจ้าตัวเผลอร้องขึ้นมาอย่างตกใจ

ด้วยความที่เสียจังหวะการก้าวเท้าทำให้เด็กหนุ่มเกือบที่จะล้มคว่ำคะมำหงายหน้าฟาดลงผืนธรณี หากแต่ชั่วขณะที่ตัวกำลังจะตกลงมาจากลูกกระไดกลับโดนแรงมหาศาลกระชากกลับไปทางด้านหลังได้อย่างทันท่วงที

“ไอ้กล้า!!”

เสียงเอ็ดตะโรดังขึ้นอย่างโมโหจากชายชราทำเอาไอ้กล้าหน้าถอดสี…ครูบุญโกรธจริงเสียแล้ว

ส่วนไอ้ตัวดีก็ใจเสียไปไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะโดยปรกติแล้วการหยอกล้อกลั่นแกล้งน้องของมันเช่นนี้ไอ้กล้าก็ทำเป็นประจำก็ไม่เห็นว่าเจ้าแก้วมันจะตกอกตกใจอันใดแต่ครานี้กลับต่างออกไป ขั้นบันไดนั้นถึงแม้นอยู่ไม่สูงมากนักแต่ถ้าหากตกลงไปก็น่าจะได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

วิรุณมองไปที่เกิดเหตุอย่างนึกไม่ชอบใจในการละเล่นแผลงๆ ของชายหนุ่มเท่าใดนัก เพราะในขณะที่เขากำลังคุยกับชายชราอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงร้องของเจ้าแก้ว พอหันไปตามต้นเสียงก็ทำเอาใจหล่นไปกองอยู่แทบเท้าหมายจะพุ่งตัวเข้าไปรับร่างของเด็กหนุ่มตามสัญชาตญาณ หากแต่ก็ช้ากว่าอสุราหนุ่มอีกตนที่ถึงตัวเจ้าแก้วก่อนใคร

“วศิน”

วิรุณเอ่ยเรียกชื่อบุคคลที่ยืนซ้อนแผ่นหลังของเจ้าแก้วอยู่ทำเอาเด็กหนุ่มเกร็งตัวขึ้นมาทันที สัมผัสของแผ่นอกกว้างดั่งหินผาไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดกั้นแผ่ไอร้อนระอุออกมารอบกาย ลมหายใจอุ่นที่อยู่เหนือศีรษะทำเอาเจ้าแก้วนั้นหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้นมาเสียดื้อๆ

‘เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์นั้นประสาทสัมผัสดีกว่ามนุษย์อยู่มาก’

‘แล้วในระหว่างที่หลับ...คิดว่าข้าจะจำอะไรไม่ได้เช่นนั้นหรือ’

เพียงจบประโยคนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกคล้ายโดนพญาช้างสารวิ่งชนเข้าอย่างจัง ดวงตาพลันพร่าเลือนไปเสียหมด ต้องตั้งสติอยู่นานโขกว่าจะผละตัวออกมาได้…แต่ก็ยังมิวายถูกอสุราหนุ่มวานให้ช่วยหาผ้าผ่อนมาให้นุ่ง เพราะแขนข้างหนึ่งของวศินยังไม่สามารถที่จะใช้การได้ดีนักเจ้าแก้วเลยต้องอาสาพันทบผ้าให้ทุกอย่างเสร็จสรรพ

ด้วยเรือนกายที่สูงใหญ่เกินมนุษย์นั้นทำให้ผ้าโจงสีน้ำตาลแก่กระถดเลยเข่าขึ้นมาอยู่มากโขเผยให้เห็นกล้ามเนื้อขาที่ดูแข็งแรงหนั่นแน่นไปเสียทุกส่วน เด็กหนุ่มไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย ทำเพียงแค่ผละตัวออกมาแล้วหันไปเก็บข้าวของลงบันไดเรือนไป

เมื่อเห็นดังนั้นจอมทัพอสุราจึงหมายที่จะเดินลงเรือนตามไปด้วยเพราะว่าอยากจะลงไปสูดอากาศที่บริสุทธิ์ให้คลายความเมื่อยล้าจากห้วงนิทราที่ยาวนาน แต่ลมหายใจก็พลันสะดุดเมื่อเสียงร้องของบุคคลที่เดินนำหน้าตนอยู่ดังขึ้นพร้อมกับกายที่กำลังจะถลาตกเรือนไป เร็วกว่าใจนึกวศินเข้าไปประชิดร่างของเจ้าแก้วได้ทันก่อนที่จะดึงเด็กหนุ่มให้กลับมาทางตนได้อย่างทันท่วงที

เกือบไปแล้ว...

“หัดระมัดระวังเสียบ้าง”

เสียงทุ้มติดจะหงุดหงิดไม่น้อยเอ่ยขึ้นอยู่เหนือศีรษะ

เจ้าแก้วกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาพร้อมกับดึงแขนตัวเองออกจากอุ้งมือใหญ่อย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะยกมือขึ้นไหว้ด้วยความนอบน้อมเหมือนดั่งที่เคยถูกพร่ำสอนมา

เมื่อลงมาถึงพื้นเด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปหาชายชราที่บัดนี้กำลังบันดาลโทสะอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ นัยน์ตาสีน้ำผึ้งก้มลงมองพี่ชายของตนนั่งทับส้นอยู่บนพื้นดิน ใบหน้าคมเข้มนั้นก้มต่ำฟังคำดุด่าของพ่อครูอย่างสงบปากสงบคำ

“เล่นอันใดไม่รู้จักโต! ถ้าน้องมันหัวร้างข้างแตกขึ้นมาจะทำอย่างไร!”

ชายชราขึ้นเสียงดังด้วยแรงโทสะเสียจนลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองด้วยความสนใจ

“ขอโทษจ้ะ”

ไอ้ตัวดีที่ปกติมักจะยียวนอ้อนบาทเบื้องล่างอยู่เสมอ บัดนี้กลับสลดลงคล้ายจะสำนึกผิดกับการกระทำของตนอย่างสุดซึ้ง

“อย่าให้ข้าเห็นว่าเอ็งแกล้งน้องแบบไม่รู้ภาษาเช่นนี้อีก”

ชายหนุ่มขานรับเสียงแผ่วก่อนดวงตาสีสนิมจะเลื่อนไปมองหน้าน้องมันที่ส่งยิ้มอย่างขบขันมาให้

โดนกลั่นแกล้งถึงเพียงนี้เจ้าแก้วมันก็ไม่แม้แต่จะขุ่นเคืองในตัวพี่ชายมันแม้แต่น้อย เห็นดังนั้นก็นึกละอายต่อใจยิ่งนักที่ไปหยอกล้อมันรุนแรงเกินสมควร ศิษย์มวยคนเก่งของครูบุญจึงค่อยๆ กระเถิบกายเข้าไปหาน้องของมันที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ข้างๆ ชายชราอย่างลุแก่โทษ ใบหน้าคมเข้มของคนพี่แนบซบลงไปบนตักน้องอย่างออดอ้อนทำเอาเจ้าแก้วนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

ดูๆ ไปแล้วก็คล้ายเสือโคร่งตัวโตที่แสนเชื่องยิ่งนัก

เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่หยุด นัยน์ตาสีน้ำผึ้งทอแสงอ่อนลงเมื่อทอดมองไปยังพี่ชายของมันคล้ายจะเอ็นดูเสียเต็มประดา…หาดูยากนักเชียวมุมเด็กเล็กของไอ้พี่กล้าน่ะ

“ว่าแต่เอ็งเถอะเจ้าแก้ว เหตุใดใบหน้าถึงขึ้นสีเยี่ยงนี้ ไม่สบายรึ”

คำถามของชายชราดึงความสนใจของเจ้าแก้วกลับมา ฝ่ามืออบอุ่นของครูบุญแนบลงไปกับหน้าผากของมันอย่างนึกเป็นห่วง…เห็นเจ้าแก้วแข็งแรงเช่นนี้แต่ยามป่วยไข้ขึ้นมาก็ล้มหมอนนอนเสื่อไปเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว

“เปล่าจ้ะพ่อครู ฉันสบายดี” เจ้าแก้วยืนยันให้ชายชราคลายความกังวล

“แน่รึ?”

“จ้ะ”

ครูเฒ่าเพียงแค่พยักหน้ารับคำก่อนจะหันไปมองยังอสุราสองตนที่เดินคู่กันเข้ามาทางพวกเขา

“ฟื้นแล้วรึท่าน” ครูบุญเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเชื้อเชิญอสุราหนุ่มทั้งสองให้มานั่งบนแคร่ข้างตน เจ้าแก้วจึงรีบกุลีจอลงมานั่งข้างๆ พี่ชายของตนแทน

วิรุณลอบมองใบหน้าวัยเยาว์ก่อนจะเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย วันนี้อากาศก็ไม่ได้ร้อนเท่าใดนัก แต่เหตุใดใบหน้าของอีกฝ่ายถึงขึ้นสีระเรื่อเช่นนั้น

“เหตุใดใบหน้าเจ้าถึงได้แดงนัก ไม่สบายหรือ”

คำถามเดิมซ้ำสองทำให้เด็กหนุ่มเริ่มที่จะอยู่ไม่สุข เพราะมันรู้ดีว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร...

เจ้าแก้วน่ะผิวกายของมันไม่ได้ขาวเสียทีเดียวแต่ก็ไม่ได้ผิวคร้ามแดดมากนัก จึงสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าใบหน้าของมันขึ้นสีระเรื่อลามไปทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งใบหู

“สงสัยอากาศร้อนกระมังจ๊ะ”

ใช่เสียที่ไหนกัน

ใบหน้าอ่อนเยาว์หันมาตอบก่อนจะส่งยิ้มซื่อๆ มาให้…ทันใดนั้นวิรุณก็คล้ายจะโดนมนต์สะกดให้หลุดเข้าไปในห้วงของนัยน์ตาสวยหวานปานน้ำผึ้งป่านั่น

ในอกของรองทัพอสุราเต้นระรัวเร็วเสียยิ่งกว่าตอนจะไปรบทัพจับศึกกับศัตรูแดนไหน

ไร้ซึ่งเสียงโต้ตอบกลับของยักษา ดวงตาคมกล้าทำได้เพียงมองไปยังมนุษย์ผู้น้อยคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์

ทันใดนั้นเสียงกระแอมของบุคคลที่สามก็ดังขึ้นดึงความสนใจให้วิรุณถอนสายตาออกไปจากเด็กหนุ่ม ไอ้ตัวต้นเหตุขยับกายเข้ามานั่งแนบชิดน้องมันก่อนจะส่งสายตาปานจะกินเลือดเนื้อไปยังคนที่ลอบมองน้องของมันอย่างไม่วางตา

เจ้าแก้วก็กระไร ถูกจดจ้องถึงเพียงนี้แต่มันก็หาได้รู้ตัว นั่งมองนกมองไม้ไปตามประสาเดือดร้อนพี่มันต้องมาคอยหวงเป็นหมาบ้าอยู่เช่นนี้

วิรุณลอบถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจกับพฤติกรรมของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่เจอกันชายหนุ่มผู้นั้นก็ไม่เคยเจรจาพาทีกับเขาอย่างปรกติเสียเมื่อไหร่ คอยแต่จะตั้งแง่และหาเรื่องกันอยู่ตลอดเวลาเลยเชียว

เจ้ามนุษย์ดื้อด้าน..

“ไอ้กล้า”

เสียงเอ่ยปรามของผู้อาวุโสดังขึ้นเพราะเห็นว่าลูกศิษย์ของตนเริ่มแสดงกิริยามารยาทที่มิควรออกมา มีอย่างที่ไหนไปขมึงตาใส่ยักษ์อย่างอวดดีเช่นนั้น ไอ้นี่มันชักจะกล้าสมชื่อขึ้นทุกวันจนไม่กลัวเจ็บกลัวตายแล้วกระมัง

เมื่อโดนหมายหัว ไอ้ตัวดีก็ดูจะสงบปากสงบคำและเจียมตัวลงไปอยู่มากโข จนเปิดโอกาสให้ชายชราได้เอ่ยปากซักถามอสุราหนุ่มอีกตนที่นั่งเงียบไม่มีปากเสียงมาเนิ่นนาน

“ท่านวศิน” เสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาเอ่ยขึ้น “อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ยังคงรู้สึกร้อนรุ่มในกายอยู่หรือไม่”

“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบพระคุณท่านมากที่เมตตา”

เสียงทุ้มต่ำยังคงติดแหบพร่าเอ่ยตอบกลับไป เมื่อครู่ก่อนที่จะเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาสหายของเขาได้เล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ฟังมาบ้างแล้วว่าเหตุใดทั้งคู่ถึงได้มาอยู่ที่เรือนของมนุษย์ รวมถึงเรื่องที่เจ้าเด็กมนุษย์หน้าซื่อผู้นั้นคอยปรนนิบัติดูแลเขามาตลอดระยะเวลาที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่ด้วย

“เอาเถิด หลังจากนี้ท่านทั้งสองก็พักผ่อนกายใจให้หายเหน็ดเหนื่อยกันเสียก่อน รอให้อาการของท่านวศินหายดีแล้วค่อยเดินทางกลับไปนครยักษ์ดีหรือไม่” ครูบุญเอ่ยถามอย่างนึกห่วง

เพราะดูจากสภาพของทั้งสองอสุราแล้วหากจะดื้อดึงกลับไปในเพลานี้ก็คงจะลำบากอยู่ไม่น้อย สู้อยู่รักษาตัวให้หายดีเสียก่อนแล้วค่อยเดินทางกลับก็ย่อมได้

อสุราหนุ่มทั้งสองตนพยักหน้ารับอย่างหามิได้ เพราะในยามนี้หากที่จะดึงดันกลับไปก็รังแต่จะสร้างความลำบากเอาเสียเปล่า และอีกอย่างวิรุณก็ถูกพระอาจารย์ที่ถ้ำเชิงเขาวานให้เขาพาตัววศินไปพบเสียด้วย จึงตกปากรับคำชายชราไปอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

แต่เห็นจะมีก็เพียงแต่ใครบางคนที่ดูไม่พอใจนักเมื่อเขาตกปากรับคำว่าจะอยู่ต่อ

นั่นอย่างไร...นั่งหน้าบึ้งตึงตาเขียวปั้ดเชียว

เพราะใบหน้าบูดบึ้งและกิริยาฟึดฟัดอย่างขัดใจทำให้วิรุณหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ จนเจ้าตัวหันมาถลึงตาใส่อย่างคาดโทษ

“เอ็งมีปัญหาอะไรรึไม่ไอ้กล้า”

แต่ก่อนที่ไอ้ตัวดีจะได้เอ่ยวาจาที่ไม่น่าอภิรมย์ออกมาให้ระคายเคืองหู ชายชราก็หันพูดดักคอมันเสียก่อน จนไอ้กล้าแทบจะเก็บหมาเข้าไปในปากไม่ทันกันเลยทีเดียว

ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ยักษ์เวร!




ต่อที่ คห.40
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2018 11:31:02 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
พี่ยักษ์กับแก้วมาแล้ว ดีใจๆๆ อ่านจบแล้วก็อยากอ่านตอนต่อไปอีก 555

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
รีบมาต่อไวไวน่ะ ออเจ้า อิอิ
เหตุการณ์พาให้ถึงเนื้อถึงตัวจริงๆๆๆ น้องแก้วตัวแดงหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
กล้านี่สงสัยจะเสร็จท่านรองแม่ทัพซะล่ะมั้ง


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ท่านรองแม่ทัพนี่คู่กับพี่กล้าแน่นอน ไม้เบื่อไม้เมาเนี่ย ส่วนวศินเป็นยักษ์ซึน ข้ารู้ ข้าเห็น  :hao7:

ออฟไลน์ W2P5

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ชอบความซื่อของน้อง :hao3:

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
“ไม่มีจ้า...ผู้ใดจะกล้ามี” ต้นประโยคตอบรับด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น แต่แผ่วท้ายเพราะกลัวว่าพ่อเฒ่าที่หูดีเกินวัยจะได้ยินเข้า

เมื่อเห็นว่าไอ้ศิษย์ตัวดีเริ่มจะสงบปากสงบคำลงบ้างแล้ว ครูบุญก็หันไปบอกกล่าวกับสองอสุราหนุ่มอีกหน

“นี่ก็เย็นย่ำเต็มที พ่อทั้งสองไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวเสียเถิด อีกสักประเดี๋ยวข้าจะให้เจ้าแก้วมันนำยาต้มไปให้”

สองยักษาพยักหน้ารับคำก่อนจะขอตัวออกมาจากวงสนทนาแล้วมุ่งตรงไปสู่ท่าน้ำหลังเรือน เมื่อร่างสูงใหญ่ทั้งสองพ้นสายตาไป ไอ้กล้าก็นึกขึ้นได้ว่าหลวงตาได้ฝากของมาให้น้องมัน จึงเอี้ยวตัวไปหยิบสร้อยที่เหน็บอยู่บริเวณชายผ้าด้านหลังแล้วยื่นส่งให้

“ตะกรุดนี่ หลวงตาฝากมาให้เอ็ง”

เจ้าแก้วรับมาไว้ มันประนมมือขึ้นไหว้เหนือศีรษะก่อนจะสวมสร้อยที่ถักด้วยเชือกสีดำลงบนคอ

“แล้วของพี่กล้าล่ะจ๊ะ” เด็กหนุ่มย้อนถามอย่างสงสัย

“ของข้าอยู่ที่เอวนี่”

ไอ้กล้าบอกแค่นั้นก่อนจะถกชายเสื้อขึ้นเผยให้เห็นเชือกถักสีเดียวกันกับของน้องมันคาดอยู่รอบช่วงเอวสอบหนา หากแต่ตัวเรือนตะกรุดนั้นมีขนาดใหญ่กว่าของเจ้าแก้วเกือบเท่าตัว เมื่อเห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้

...เหตุเพราะตะกรุดคาดเอวนั้นมีข้อห้ามในการบูชาอย่างเคร่งครัด

หนึ่งในข้อห้ามนั้นคือผู้ที่สวมใส่ตะกรุดชนิดนี้ ห้ามดื่มน้ำเมาโดยเด็ดขาด

แล้วเหตุใดพี่มันถึงเลือกที่จะถือปฏิบัติตาม เห็นวันๆ เอาแต่กินเหล้าเคล้าน้ำเมาจนพ่อครูนึกเอือมระอา

“ใส่ตะกรุดคาดเอวเช่นนี้ พี่กล้าก็กินเหล้าไม่ได้น่ะสิจ๊ะ”

“ก็เออสิวะ และถึงจะไม่ใส่ ข้าก็กินไม่ได้อยู่ดี”

“ทำไมล่ะจ๊ะ”

อยากจะรู้นักว่าอะไรดลใจให้พี่ของมันที่เป็นสิงห์สุรานั้นยอมอดน้ำเมาได้

“ก็พ่อเฒ่าผู้นี้บังคับให้ข้าไปรับศีลกับหลวงตา.. โอ้ย!”

ยังพูดไม่ทันจบดีเรือนกายสูงใหญ่ของศิษย์มวยคนเก่งก็โดนฝ่าเท้าของครูบุญประเคนใส่กลางอกจนหงายหลังลงไปนอนแผ่บนพื้นก่อนเสียแล้ว

“พูดให้มันดีๆ นะเอ็ง ข้าไปบังคับเอ็งตั้งแต่เมื่อใดกัน”

“อูย..มือถึงตีนถึงเสียจริงพ่อครูเนี่ย” ไอ้กล้าพยุงตัวลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เสื้อที่เก่าอยู่แล้วยิ่งดูซอมซ่อเข้าไปอีกเมื่อเจ้าของมันโดนถีบจนตัวคลุกไปกับพื้นดิน

ใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มแสร้งแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าพร้อมแกล้งเอ่ยวาจาค่อนขอดจนชายสูงวัยนึกหมั่นไส้มันขึ้นมาอีกหน จึงยกฝ่าเท้าอีกข้างขึ้นหมายจะประทับลงไปกลางอกไอ้ตัวดีให้มันล้มลงไปจับกบให้สาแก่ใจ แต่ครานี้ศิษย์ตัวดีดันไวทายาด ดึงน้องของมันมาเป็นปราการกั้นไว้เสียก่อนนั่นล่ะ ครูบุญจึงยอมลดเท้าลงไป

“งั้นเอ็งจะเอาศอกเข่าเพิ่มรึไม่ หา ไอ้กล้า”

“พอแล้วจ้ะ”

พี่มันเสียงสลดลงจนเจ้าแก้วอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้…ทั้งพ่อครูกับพี่กล้ามักหยอกล้อกันรุนแรงเช่นนี้เสมอ แต่ถึงแม้นพ่อครูจะชอบลงไม้ลงมือกับพี่มันเพียงใดแต่ทั้งคู่ก็รู้ดีว่าชายชรานั้นทั้งรักและห่วงพวกเขาสองพี่น้องเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

“หลังจากนี้ท่านทั้งสองจะพักอยู่ที่นี่จนกว่าร่างกายจะฟื้นตัวดีขึ้น พวกเอ็งก็คอยดูแลให้สมกับเป็นเจ้าบ้านเสียด้วย”

ครูบุญเอ่ยขึ้นมาเพื่อตั้งใจจะย้ำให้ไอ้ตัวดีมันเข้าใจ คนน้องน่ะเขาไม่นึกห่วงเพราะมันยังรู้จักเจียมเนื้อเจียมตนและมีกาลเทศะอยู่มาก แต่ไอ้ตัวพี่นี่สิที่ทำให้ชายชราเหนื่อยใจอยู่ไม่น้อย

“แต่พ่อครู...ฉันยังไม่ไว้ใจยักษ์สองตนนั้นเท่าใดนัก” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เปลี่ยนเป็นจริงจังไม่มีท่าทีล้อเล่น ทำให้ผู้อาวุโสหยุดฟัง ก่อนที่มันจะพูดต่อ “หากไม่มีเหตุใดเกิดขึ้นก็ดีไป แต่หากวันใดที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาแล้วเราจะทำอย่างไรกันจ๊ะ”

“แล้วเรื่องไม่ดีที่เอ็งว่าน่ะ มันคือเรื่องใด” ครูบุญถาม

“ฉันก็ไม่รู้...แต่เท่าที่สังเกตพวกมันต้องไม่ใช่ยักษ์ธรรมดาเป็นแน่”

ชายชรานิ่งฟังอย่างไม่โต้แย้งสิ่งใด...ที่มันพูดมาก็ถูกต้องทั้งหมด ทั้งสองตนนั้นต้องมีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดาแน่นอนอยู่แล้ว เหตุใดเขาจะดูไม่ออก แต่จะตัดสินกันเพียงเพราะเหตุการณ์ฉาบฉวยเช่นนี้และอีกฝ่ายยังคงมีสภาพไม่สู้ดีอยู่ ก็ดูจะไม่เป็นธรรมเท่าใดนัก

อีกอย่าง...สัญชาตญาณบางอย่างในตัวของเขานั้นสัมผัสได้ว่าพ่อยักษ์ทั้งสองตนมิได้เป็นภัยอันตรายอย่างแน่นอน...

“เอาเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะไอ้กล้า คิดไปก็ปวดกบาลเสียเปล่า” ชายชราถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายอารมณ์

“ตามแต่พ่อครูจะตัดสินใจเถิด...แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งพ่อครูกับไอ้แก้วได้รับอันตรายเพราะยักษ์สองตนนั้นเป็นเหตุ ฉันไม่ปล่อยพวกมันเอาไว้แน่”

นัยน์ตาสีสนิมสะท้อนแววดุดันออกมาอย่างน้อยครั้งที่มันจะเป็น ชายชราจึงพยักหน้ารับคำของศิษย์อย่างหมดหนทางจะโต้เถียง ก็เป็นเพราะไอ้กล้าห่วงในความปลอดภัยพวกเขาทั้งสองคนนั่นล่ะ มันถึงได้คอยเซ้าซี้อยู่เช่นนี้

“กับยักษ์นี่ก็เก่งไม่หยุดหย่อนนะเอ็งนี่ ไม่กลัวหรืออย่างไร” เอ่ยทีเล่นทีจริงออกไปหวังจะให้ความขุ่นมัวของมันจางหาย

“แล้วอย่างไรเล่าพ่อครู ต่อให้เป็นพญายักษ์ฉันก็ไม่กลัว”

ย้ำน้ำเสียงเข้มอีกหนจนคนฟังพยักหน้ารับอย่างนึกระอาใจ...เพราะเขารู้ดี ว่ายามใดที่อีกฝ่ายเอาจริงเอาจังแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นพญายักษ์อย่างที่มันว่า ก็คงจะฉุดแรงบ้าดีเดือดของมันไม่อยู่

…เลือดพ่อมันแรงนักล่ะ

“ไปๆ พวกเอ็งสองคนไปอาบน้ำอาบท่าเสีย โดยเฉพาะไอ้ตัวพี่ เหม็นกลิ่นเหล้าจะตายชัก”

พูดจบก็เอาเท้าดุนเอวไอ้กล้าไปอีกหน มันเลยแสร้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างไม่พอใจก่อนจะลุกขึ้นจูงแขนน้องมันไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เหลือเพียงโสร่งผืนเดียวพันท่อนล่างเอาไว้

เห็นทีวันนี้คงจะต้องไปอาบน้ำอีกท่า เพราะท่าที่อยู่หลังเรือนนั้นโดนยึดครองจากยักษ์สองตนไปแล้ว ถ้าจะไปอาบร่วมกันก็เกรงว่าจะพาลอารมณ์เสียขึ้นไปอีก

เดิมทีแค่เห็นหน้าเจ้ายักษ์ที่ชื่อวิรุณตนนั้นมันก็พาลหัวเสียอยู่ไม่น้อย ถ้ายังจะต้องไปเห็นร่างเปล่าเปลือยของยักษาตัวใหญ่ขนาดนั้นอีก มีหวังเหล้าและกับแกล้มที่กินมาค่อนคืนจะย้อนกลับออกมาเสียฉิบ

เพียงแค่คิดก็รู้สึกไม่เจริญอาหารขึ้นมาเสียแล้ว

...เกลียดขี้หน้ามันนัก

“เอ็งหายเจ็บแผลหรือยังวะไอ้แก้ว”

ระหว่างทางเดินไปท่าน้ำอีกฝั่งนัยน์ตาคมก็มองสังเกตบริเวณบ่าของเจ้าแก้วที่ในยามนี้มีรอยเล็บขนาดใหญ่ฝากฝังไว้อยู่บนผิวกาย หลังจากตกสะเก็ดไปคงเป็นแผลเป็นที่เห็นชัดเจนน่าดู

ก่อนจะกวาดไล่สายตามองไปทั่วผิวกายที่โผล่พ้นโสร่ง

ทั้งแผลเก่าแผลใหม่เต็มตัวมันไปหมด...

โชคดีเสียก็แต่ร่องรอยส่วนมากไม่ได้เด่นชัดเท่าใดนักหากไม่มองในระยะประชิด จะมีก็เพียงแต่รอยแผลเป็นที่พาดยาวจากหลังไหล่ขวายาวมาถึงบริเวณกลางหลังนี่แหละ ที่ขึ้นร่องรอยเด่นชัดกว่ารอยใด

…เหลียวมองยามใดก็พาลให้หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อในอดีต

“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วจ้ะ” เจ้าตัวทำเพียงยิ้มรับบางเบากับคำถามของผู้เป็นพี่

จนถึงทุกวันนี้ทั้งพ่อครูและพี่กล้าก็ยังไม่สามารถที่จะปล่อยวางและลืมเลือนเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้เลยสักเพียงนิด ทุกครั้งที่ทั้งสองเห็นรอยแผลบนตัวมัน ก็มักจะมีสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดเสมอ ทั้งๆ ที่ตัวมันเองนั้นหาได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้มากเท่าใดนัก

...อดีตก็เป็นเพียงแค่อดีต

ร่องรอยบางอย่างก็มีไว้เพื่อคอยย้ำเตือนให้เราเพียรระลึกถึงเท่านั้น

มันไม่สามารถที่จะกลับมาสร้างความเจ็บปวดให้เราได้อีก

หากตัวเรานั้นเข้มแข็งและหนักแน่นมากพอ...

เห็นดังนั้นไอ้กล้าจึงทำเพียงพยักหน้ารับคำน้องมันก่อนบทสนทนาจะสิ้นสุดลง

เมื่อมาถึงท่าน้ำสองพี่น้องก็จัดการชำระล้างร่างกายในส่วนของใครของมันจนเสร็จเรียบร้อยดี ก่อนที่จะพากันเดินกลับไปที่เรือน เมื่อไปถึงไอ้กล้าก็รับอาสาเป็นคนหุงหาอาหารในส่วนของวันนี้

สำรับอาหารของชาวบ้านชาวเขาตามป่าดงพงไพรไม่ได้เลิศหรูอันใด มีเพียงปลาย่างที่ไปจับมาจากริมธาร น้ำพริก และผักสดที่เก็บเอาตามชายรั้วเท่านั้น เพราะวันนี้เหล่าลูกศิษย์คนอื่นๆ ของครูบุญจะไปตั้งวงเหล้ากันที่บ้านไอ้มิ่ง เลยไม่ต้องลำบากหากับข้าวกับปลากันให้วุ่นวาย

“เอ็งไม่ไปด้วยกันจริงหรือวะไอ้กล้า” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

นึกแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียวว่าสิงห์น้ำเมาอย่างไอ้กล้าจะปฏิเสธคำชวน ปกติก็มีแต่มันนี่แหละเป็นตัวตั้งตัวตีชวนเพื่อนฝูงเมามายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“ไม่ล่ะ ช่วงนี้ข้างด”

เสียงร้องโห่แซวแซงแซ่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ว่าเสือมันทิ้งลายเสียแล้ว ด้วยความรำคาญไอ้กล้าเลยลุกขึ้นไล่เตะพวกมันเรียงตัวจนไอ้พวกปากมากทั้งหลายวิ่งหลบกันเป็นพัลวัน เสียงเอะอะโวยวายของเหล่าหนุ่มวัยฉกรรจ์ดังขึ้นไปถึงบนเรือน จนครูบุญที่นั่งคัดแยกสมุนไพรในกระจาดกับเจ้าแก้วอยู่บริเวณชานเรือนต้องส่งเสียงดุด่าลงมา

“โตกันจนจะตายห่าแล้วเล่นเป็นเด็กไปได้นะพวกเอ็ง ไปๆ รีบกลับบ้ากลับช่องเสีย”

พอได้ยินเสียงของผู้มีอำนาจสูงสุดลูกศิษย์ทั้งหลายก็ขานรับคำอย่างแข็งขันก่อนจะพากันกล่าวลาครูของตน

หลังจากที่เหล่าชายหนุ่มแยกย้ายกันกลับบ้านกลับเรือนไปแล้ว เขตเรือนของครูบุญก็กลับเข้าสู่ความสงบเฉกเช่นเดิม เจ้าแก้วที่นั่งคัดสมุนไพรตามคำสั่งของชายชราอยู่จึงหาเรื่องมาคุยตามประสาเพื่อให้บรรยากาศรอบกายไม่เงียบเสียจนเกินไป

“พ่อครูจ๊ะ” ปากเรียก แต่มือก็ยังคงคัดแยกสมุนไพรอยู่อย่างแข็งขัน

“ว่าอย่างไร”

“เหตุใดพ่อครูถึงได้ให้พี่กล้าไปรับปากว่าจะถือศีลกับหลวงตาล่ะจ๊ะ”

“ก็ก่อนที่จะลงยันต์อาคม มันก็ต้องถือศีลให้ได้ก่อน เพื่อแสดงปณิธานที่แน่วแน่ว่าจะสามารถปฏิบัติตนให้ควรคู่กับพระพุทธคุณที่คุ้มครองมัน”

มือเหี่ยวย่นคัดแยกสมุนไพรอีกกระจาดไปพร้อมกับหันมาอธิบายในสิ่งที่ศิษย์รักของตนสงสัย

“พี่กล้าจะสักยันต์หรือจ๊ะ”

เด็กหนุ่มนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะที่ผ่านมาพี่ของมันนั้นโดนพวกเหล่าเพื่อนฝูงชวนไปสักอยู่หลายครั้งหลายครา แต่มันก็ปฏิเสธทุกครั้งไป เหตุไฉนรอบนี้ถึงยอมเสียง่ายๆ กัน

“มันก็เป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่หรือไร พี่เอ็งมันจะได้ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียบ้าง ทุกวันนี้เมาหัวราน้ำแทบจะทุกวัน ข้าล่ะเหนื่อยใจกับมันนัก” ครูบุญถอนหายใจออกมาอยากเหนื่อยอ่อนก่อนจะปัดผ้าขาวม้าเพื่อไล่ยุงป่าและเหล่าแมลงตัวเล็กตัวน้อย

หากเพียงนานๆ ครั้งไอ้ตัวดีมันจะเมาทีเขาก็มิได้ถือสาหาความอันใด เพราะเข้าใจว่าวัยหนุ่มกับน้ำเมามันเป็นของคู่กัน หากแต่ศิษย์รักของเขานั้นมันเมาเสียจนเกินพอดีพองาม

บางวันกลับมาจากบ้านไอ้มิ่งก็นอนสลบไสลเป็นวันกว่าจะฟื้นตัว ทั้งดุด่าก็แล้วลงไม้ลงมือก็แล้วมันก็ไม่หลาบไม่จำ จึงต้องใช้ไม้แข็งเข้าดัดสันดาน หากจะใช้การบังคับจิตใจมันก็คงปฏิบัติได้ไม่นานประเดี๋ยวก็ลงแดงตบะแตกกลับไปกินเช่นเดิม

สู้ใช้อุบายธรรมในการค่อยๆ แก้นิสัยมันไปไม่ดีกว่าหรือ

ชายอกสามศอกหากได้รับปากอะไรไปแล้วก็ต้องดำรงมั่นในสัจวาจาตน การที่มันรับปากกับพระอาจารย์เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะถือศีลนั้นก็ต้องทำให้ได้ตามที่รับปากไว้ มิเช่นนั้นก็จะดูเป็นพวกกลับกลอก ไม่รักษาคำพูด ใครเขาจะดูถูกเหยียดหยามเอาได้ ซึ่งคนอย่างไอ้กล้านั้นไม่มีทางยอม...เขารู้จักมันดี

“แต่ฉันก็ยังเห็นชาวบ้านบางคนที่สักยันต์อาคม เขายังดื่มสุราได้ปกติเลยนี่จ๊ะครู”

“นี่เจ้าแก้ว” ชายชราวางมือจากกระจาดสมุนไพรก่อนจะหันไปหา

ดวงตาฝ้าฟางทอดมองมาที่ศิษย์รักอย่างเอื้อเอ็นดู

นี่มันนึกห่วงใยสุขภาพร่างกายพี่มันหรือเกรงว่าพี่มันจะลงแดงตายเพราะขาดเหล้ากันแน่

“จุดประสงค์ที่ข้าให้พี่เอ็งมันทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวมันเอง”

เด็กหนุ่มวางมือจากงานตรงหน้าก่อนจะหันมามองอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเท่าใดนัก จึงต้องอธิบายต่อ

“ไม่ดีหรืออย่างไรที่สุขภาพไอ้กล้ามันแข็งแรงจะได้อยู่กับเอ็งไปนานๆน่ะ หือ เจ้าแก้ว...ชีวิตข้านั้นจะอยู่ค้ำฟ้าคอยเฝ้าดูแลพวกเอ็งไปตลอดเสียที่ไหน หากวันหนึ่งที่ข้าตายจากไปจะได้ไม่มีห่วง อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าไอ้กล้ามันจะสามารถเป็นที่พึ่งของเอ็งได้” มือเหี่ยวย่นตามวัยเอื้อมไปลูบหัวมันแผ่วเบา

ไอ้คนพี่นั้นเขาไม่ห่วงเท่าใดนัก จะห่วงก็แต่เจ้าแก้วมัน

ถ้าหากวันใดไม่มีเขาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องมั่นใจได้ว่าพี่ของมันจะสามารถเป็นหลักยึดให้น้องมันได้ ถึงแม้นเจ้าแก้วนั้นหาใช่เด็กชายตัวน้อยเฉกเช่นเมื่อก่อน แต่หัวอกของคนที่เลี้ยงดูและคอยฟูมฟักดูแลมานั้นก็เป็นธรรมดาที่จะนึกห่วงหาอาทร

“พ่อครูอย่าพูดเช่นนี้สิจ๊ะ”

เจ้าแก้วเข้าไปกอดรอบเอวของชาวชราไว้มั่น ใบหน้าคมคายของมันซุกซบลงกับตักอย่างหาที่พึ่ง

...มันไม่ชอบเอาเสียเลยยามเมื่อคนที่มันรักพูดถึงเรื่องของการจากลา

ชีวิตนี้..สูญเสียทั้งพ่อทั้งแม่ไปก็ทุกข์ทรมานจนเกินใจจะรับไหวแล้ว...

หากแต่ยังมีครูบุญและพี่ชายของตนที่เป็นหลักยึดทางใจ เป็นเสมือนต้นไม้ต้นใหญ่ที่คอยแผ่กิ่งปกป้องมันเสมอมา

ถ้าจะต้องพานพบกับการสูญเสียบุคคลสำคัญอีกครั้งในชีวิต...มันก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร

แม้นภายนอกจะดูเข้มแข็ง...แต่ในภายจิตใจลึกๆ นั้นอ่อนแอเสียจนนึกหวาดหวั่นกับทุกสิ่งอย่าง

“แก้วเอ๊ย…เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องพบเจอ สักวันข้าก็ต้องตายไปตามสังขารที่โรยรา” ชายชราพูดต่อ พร้อมกับระบายยิ้มอ่อนโยนออกมาเมื่อไอ้ตัวคิดมากมันกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม “...และถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ด้วยแล้วเอ็งก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”

“ฉันตามพ่อครูไปไม่ได้หรือ”

...ลูกเต้าเหล่าใคร ช่างงอแงเสียจริง

เสียงอู้อี้ที่ลอดผ่านออกมาทำให้ชายชราสัมผัสได้ว่าเจ้าแก้วกำลังกลั้นลูกสะอื้น

สัมผัสเปียกชื้นแถวชายเสื้อทำให้ต้องปลอบมันเป็นการใหญ่

แล้วกันไอ้เจ้านี่...คุยเรื่องเลิกเหล้าของพี่มันอยู่ดีๆ ดันดึงเข้าบทโศกเสียได้

“ลองตามมาดูสิ...ข้าจะถีบส่งเอ็งให้กลับมาเกิดใหม่แทบไม่ทันเลยเชียว”

คำพูดติดตลกของพ่อครูทำให้เจ้าแก้วอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เด็กหนุ่มกอดร่างของชายชราที่มันแสนรักไว้แน่น ไม่ยอมถอนใบหน้าออกมาเสียทีจนครูบุญระอาใจที่ดึงออก ทำได้เพียงลูบหัวปลอบประโลมมันไปเรื่อยๆ พร้อมกับเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้มันฟังเสียจนเพลิน

กลิ่นหอมเย็นรอบกายของครูบุญและมืออบอุ่นที่คอยลูบหัวอยู่แผ่วเบาทำให้เจ้าแก้วเคลิ้มไปกับสัมผัสจนเปลือกตาเริ่มที่จะหนักอึ้งขึ้นมา

ชายชราก้มลงมองร่างของศิษย์รักที่ยามนี้มันเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัว ตั้งแต่เล็กจนใหญ่เจ้าแก้วมักโหยหาไออุ่นจากเขาและพี่ของมันเสมอ ดูจากที่คอยออดอ้อนออเซาะพวกเขาอย่างเคยตัวจนใครต่อใครมองมันเป็นลูกแหง่ไปเสียหมด

“เอ้า หลับง่ายเสียจริง”

รู้ตัวอีกทีเสียงเจื้อยแจ้วที่คอยพูดจ้อไม่หยุดก็เงียบสงบลง ใบหน้ายามหลับนั้นดูมีความสุขในห้วงนิทราเสียจนคนมองไม่อยากจะปลุก ครูบุญจึงนำผ้าขาวม้าที่พาดอยู่บนบ่ามาคอยปัดไล่ยุงและแมลงป่าไม่ให้มารบกวนการนอนของศิษย์รัก ชายชราพิศดูใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ตอนนี้ปลายจมูกรั้นของมันขึ้นสีระเรื่อจากการร้องไห้เมื่อครู่

มือเหี่ยวย่นเอื้อมใบเช็ดคราบน้ำตาที่เกาะอยู่บริเวณขนตายาวออกให้อย่างเบามือ

… ก็เป็นเสียอย่างนี้ ใครกันที่จะไม่นึกเอ็นดูในตัวมัน


______________________


เพิ่มเติม

-เรื่องการสักยันต์อาคมต่างๆ เท่าที่หาข้อมูลมาคือผู้สักจะต้องถือศีลก่อน ส่วนระยะเวลานั้นแล้วแต่จะกำหนดหรือแล้วแต่อาจารย์ท่านนะคะ แต่บางคนก็ไม่ต้องถือศีลก็ได้แล้วแต่กรณีๆไปค่ะ
-เรื่องตะกรุด จะแบ่งเป็นหลายประเภท แต่ที่คนนิยมบูชาติดตัวกันนั้นมีอยู่สองประเภทคือเป็นสร้อยและสวมใส่ที่เอว
โดยในการบูชาเนี่ยบางความเชื่อจะต้องมีการถือศีลเพื่อบูชาพระพุทธคุณ ยกตัวอย่าง ของพี่กล้าเนี่ยสวมตะกรุดที่เอว ข้อห้ามอย่างนึงก็คือในขณะที่สวมใส่อยู่ผู้สวมจะต้องห้ามดื่มสุราเลยโดยเด็ดขาด แต่ในกรณีนี้ก็แล้วแต่คนไป เพราะในสมัยนี้เขาก็ไม่ได้เคร่งเรื่องแบบนี้นี้กันเท่าไหร่แล้วค่ะ
________________

เห็นฟีดแบ็คที่ทุกคนพูดถึงพี่กล้าแล้วขำมาก5555 แต่มันก็แสบจริงๆนั่นแล น่าจับฟาดสักที!
เขาหวงน้องเขามากเลยเนอะ กล้าก็รักของกล้าา  :กอด1:

พันไมล์ได้รับโปรเจคอีกแล้ว พอใกล้ปิดเทอมโปรเจคทุกวิชาก็รุมเร้า เอื้อออ
แต่จะพยายามอัพเท่าที่จะอัพได้เน้ออ :z10:
เจอกันตอนหน้าจ้าา :กอด1: :L2:

ร่วมพูดคุยกันได้ที่twitter #ดอกแก้วกุมภัณฑ์
ขอบคุณคอมเม้นจากทุกๆคนนะคะ
อ่านเม้นท์แล้วยิ่งกว่าโดปกระทิงแดงเป็นโหลเลยย <3

twitter: pppunmile
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2018 11:31:31 โดย Punmile09 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
อ้อนเก่งขนาดนี้ถึงคราวพี่ยักษ์ดูแลจะอ้อนขนาดไหนน่ะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อยากรู้อดีตของแก้วพอๆกับอยากรู้ว่าถ้าแก้วได้อ้อนพี่ยักษ์บ้างจะเป็นยังไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
แบบนี้พี่ยักษ์จะเอ็นดูน้องไหม  :hao5:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
พี่ยักษ์เราค่าตัวแพงมากเลย บทนิดเดียว 555

ออฟไลน์ W2P5

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ทำไมชีวิตน้องดราม่าแบบนี้  :hao5:

ออฟไลน์ Fallinlove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
สนุกมากกกก ภาษาสวยมาก ๆ เลยค่ะ อ่านเพลินเลย
น้องแก้วน่าเอ็นดู แล้วก็น่าสงสาร T^T
เราชอบพี่กล้ามาก ๆ อ่ะ ดูเป็นพี่ชายที่ปกป้องน้องได้
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ เก่งมากเลย

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
พวกพี่ยักษ์ยังไม่ค่อยแสดงอาการกันเลยน๊าาาาา ><
รอลุ้นต่อไปว่าจะหลงเสน่ห์น้องแก้ว และพี่กล้ารึเปล่า 55555555

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
ฝันร้าย

.

.

.
ทางฝั่งของสองอสุราหนุ่มหลังจากที่ทั้งคู่แยกตัวออกมาก็จัดการทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อยดีแล้ว ก็ได้ถือโอกาสนี้พูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อย

เรือนกายสูงใหญ่ของจอมทัพอสุรานั่งเท้าแขนข้างหนึ่งไว้กับเข่าที่ชันขึ้น นัยน์ตาสีนิลกาลทอดมองดูท้องนภาที่เริ่มเปลี่ยนสีเมื่อยามอาทิตย์อัสดง เสียงหรีดหริ่งเรไรดังขึ้นไม่ขาดสายช่วยให้บรรยากาศโดยรอบนั้นผ่อนคลาย แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถช่วยทำให้จิตวิตกกังวลของสองอสุราหนุ่มคลายลงได้แม้นสักนิด

“แล้วเรื่องศึกกับกรุงราชคฤห์ พวกเราจะทำอย่างไรดี”

คำถามของวิรุณทำให้ก่อเกิดความเงียบรอบกายอีกหน สองอสุราหนุ่มล้วนต่างตกอยู่ในห้วงนึกคิดของตนเอง จนเส้นประสาททุกส่วนสัดล้วนเครียดขมึง

สามวันมาแล้วที่ได้อาศัยอยู่ในเมืองมนุษย์...

ในจิตใจของทั้งคู่นั้นนึกห่วงและกังวลถึงแต่ชาติบ้านเมืองเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่ายามนี้ทางฝั่งนั้นจะเป็นเช่นไรบ้าง

“เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม”

“…”

“พรุ่งนี้ก่อนรุ่งสาง พวกเราจะเดินทางกลับไปยังนครคีรี”

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบทำลายบรรยากาศเงียบรอบตัว หากแต่บรรยากาศรอบตัวกลับคุโชนไปด้วยไฟโทสะ

“แต่อาการของเจ้า...”

วิรุณอดที่จะแย้งขึ้นมาไม่ได้ เพราะอาการของอีกฝ่ายนั้นเพียงแค่ทุเลาลงเท่านั้น หากแต่พิษร้ายจากลูกศรยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างแทรกซึมอยู่ในทุกหยาดโลหิต

แล้วจะให้เขานั้นวางใจได้อย่างไร ?

วศินนั้นเป็นยักษาที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำกว่ายักษ์ปกติทั่วไป อีกทั้งยังหมั่นบำเพ็ญตบะจนแกร่งกล้า แต่พิษจากลูกศรขององค์รามสูรเพียงไม่กี่หยดทำให้ตัวมันต้องพักฟื้นไปสามวันสามคืน มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพิษชนิดนั้นต้องไม่ใช่พิษธรรมดาเป็นแน่

...เพราะสามารถล้มจอมทัพอสุราตนนี้ได้ ก็นับว่ามีอนุภาคร้ายแรงอยู่พอสมควร

“แผลเพียงเล็กน้อยแค่นี้...ไม่จำเป็นต้องเสียเวลารักษา”

เสียงทุ้มต่ำราบเรียบเฉพาะตัวที่นางยักษ์หลายตนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าช่างนุ่มนวลชวนให้ใจสั่นหวั่นไหว บัดนี้มันช่างสร้างความเดือดดาลให้เขาอยู่ไม่น้อย

อวดดีนัก ไอ้ยักษ์ไม่เจียมสังขาร!

“จริงอย่างเจ้าว่าสหายข้า...ไม่จำเป็นต้องเสียเวลารักษา เพราะอีกไม่นานเจ้าก็คงจะตายโหงตายห่าภายในเวลาอันไม่ช้านี้”

น้ำเสียงยียวนพร้อมกับถ้อยคำหยาบคายที่น้อยคนนักจะได้ยินออกมาจากท่านรองแม่ทัพเพราะโดยปกติแล้วในสายตาของคนภายนอกที่มองมา วิรุณนั้นนับว่าเป็นบุรุษที่สมบุรุษ ทั้งสุภาพและอ่อนโยนอย่างหาที่ติไม่ได้ จะมีก็แต่สองยักษาที่อยู่กลางพงไพรนี้เท่านั้นที่รู้เช่นเห็นชาติกันดีกว่าอีกฝ่ายนิสัยใจคอเป็นเช่นไร

ก็เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เขี้ยวยังไม่งอก..

“เจ้าพูดอะไร”

จอมทัพอสุราขมวดคิ้วจนยุ่ง หัวเสียอยู่ไม่น้อย

“รู้ตัวหรือไม่ว่าอาการของเจ้ามันย่ำแย่เพียงไหน? นี่ถ้าไม่ได้พ่อเฒ่าผู้นั้นช่วยบรรเทาอาการขับพิษออกให้ป่านนี้เจ้าไปเยี่ยมแดนปรโลกแล้ว และตอนนี้ก็ใช่ว่าจะหายดีเสียเมื่อ แล้วยังจะอยากอวดดีไม่เข้าท่าอีกรึ?”

วิรุณเอ่ยสำทับไปอีกหน หวังให้อีกฝ่ายได้ตระหนักเสียทีว่าร่างกายของตนนั้นอ่อนแอลงไปมากเพียงใด

ที่เขากล้ากล่าววาจาตักเตือนวศินก็เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นสหายคนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน อีกทั้งเขายังมีอายุอานามที่มากกว่าจึงมองวศินเป็นเสมือนน้องชายแท้ๆ ที่คลานตามกันออกมา

“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร! นอนรอรักษาตัวให้หาย แล้วปล่อยปละละเลยทิ้งบ้านเมืองให้ตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นหรือ!”

เสียงทุ้มตวาดกร้าวด้วยแรงอารมณ์เพราะทนแรงกดดันมากมายที่รับอยู่ไม่ไหวอีกต่อไป นับตั้งแต่ที่ย่างท้าวออกมาจากเมืองจิตใจเขาก็มุ่งมั่นเพียงแต่จะนำชัยชนะกลับมาก็เท่านั้น เพียงแค่อย่างสะสางกิจที่หนักอึ้งนี่ให้มันลุล่วง แต่กลับโดนอีกฝ่ายใช้วิธีสกปรกคิดคดเล่นไม่ซื่อ ทำให้เขาต้องมามีสภาพเช่นนี้

ต้องนอนพักฟื้นอย่างน่าเวทนา ให้พวกมนุษย์คอยดูแลรักษา

วศินนั้นไม่ได้ลืมบุญคุณที่พ่อเฒ่าได้ช่วยตนไว้ แต่เขาไม่เห็นความจำเป็นเลยที่จะต้องเอ้อระเหยลอยลมอยู่ในเมืองมนุษย์นี้ต่อ

เท่านี้มันก็เกินพอแล้ว ไว้กลับไปยังนครคีรีแล้วให้พวกหมอหลวงช่วยกันรักษาก็ย่อมได้

ควรรีบกลับไปจัดการปัญหานี้ให้มันจบลงเสียที!

“เหตุใดเจ้าจึงเข้าใจอะไรยากนัก? ร่างกายของเจ้ามันหาได้แข็งแรงเฉกเช่นเมื่อก่อนแล้ว หัดเจียมตนเสียบ้าง!”

เพราะความหัวรั้นของอีกฝ่ายทำให้วิรุณไม่สามารถควบคุมโทสะไว้ได้อีกต่อไป

“ช่างมันปะไร--!”

ผลั่ก!!

แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคดี หมัดหนักๆ ก็พุ่งเข้าใส่เสี้ยวหน้าจนวศินที่ยังไม่แม้นแต่จะไหวตัวเกิดทันเสียหลักล้มโครมลงไปบนพื้นดิน หากในยามปกติแล้วพลังหมัดเพียงเท่านี้ไม่อาจสามารถทำให้เขาระคายผิวเลยด้วยซ้ำ แต่ในยามนี้ดูก็รู้ว่าวิรุณยังออมแรงไว้อยู่มาก เขายังไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านกลับไปเลยด้วยซ้ำ

...ช่างน่าสมเพชตัวเองนัก

“สติกลับคืนมาหรือยัง?”

เมื่อได้ปลดปล่อยอารมณ์โมโหออกไปด้วยการซัดหมัดใส่อีกฝ่ายหวังเพื่อเรียกสตินึกคิดกลับมา วิรุณก็หอบหายใจหนักไม่ต่างกัน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ กับสหายของตนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดิน ใบหน้าคมคร้ามน่าเกรงขามปรากฏรอยแตกที่มุมริมฝีปากจนเลือดซิบ กระนั้นก็มิได้ทำให้เขาเห็นใจมันหรือรู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ

นี่ยังน้อยไป...ปกติเวลาทะเลาะกันทีไรถึงขั้นกระดูกแตกหักยังนับว่าเป็นเรื่องปกติ

“…”

วศินไม่ได้พูดอะไรออกมา นัยน์ตาคมกล้าจ้องมองไปบนท้องนภาที่ยามนี้เข้าสู่ยามรัตติกาล แสงสว่างจากสุริยันต์ถูกฉาบทับด้วยความมืดมิดจนอับแสง

เมื่อได้นึกตรึกตรองกับตัวเองอยู่เพียงครู่ สติที่กระเจิงออกไปด้วยไฟโทสะก็เริ่มกลับมา

“วศิน...ฟังข้า”

วิรุณกล่าวขึ้นมาทั้งๆ ที่สายตายังทอดมองออกไปยังป่ากว้าง แต่กลับฉายแววจริงจังออกมาทางน้ำเสียง พอเห็นว่าอีกฝ่ายก็เงียบคล้ายจะรอฟังเขาอยู่ก็ได้พูดต่อ

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการที่จะรีบกลับไปสะสางปัญหานี้ ข้าเองก็หาได้นิ่งนอนใจ อีกทั้งยังห่วงบ้านเมืองไม่ต่างจากเจ้า”

“…”

“แต่ร่างกายเจ้า เจ้าย่อมรู้ดี พิษจากศรขององค์รามสูรนั้นหาได้ใช่พิษธรรมดาไม่ เพียงแค่ไม่กี่หยด กลับล้มเจ้าได้จนถึงขั้นต้องนอนพักฟื้นไปหลายวัน”

“…”

“ในระหว่างที่เจ้าหลับ พ่อเฒ่าที่มาสามารถรักษาพิษให้เจ้าได้เพราะเขาไม่เคยพบพิษชนิดนี้มาก่อน จึงได้ตัดสินใจพาข้าไปพบหลวงตาที่ถ้ำเชิงเขา เพราะหวังว่าท่านจะสามารถช่วยเจ้าได้”

“…”

“แต่อาการของเจ้านั้นมันไม่ปกติเกรงว่าพิษมันอาจจะออกฤทธิ์ขึ้นมาอีก ท่านบอกเพียงแค่ว่าหากเจ้าฟื้นให้พาเจ้าไปพบท่านอีกทีเพื่อที่จะได้ตรวจดูอย่างละเอียด”

“อืม”

จอมทัพอสุราเพียงแค่ขานรับเสียงต่ำอย่างจนปัญญา ก็จริงอย่างที่วิรุณได้กล่าวมา ตอนนี้ร่างกายเขามันอ่อนแรงเสียจนตัวเขาเองยังหวั่นใจ ด้วยพลังในกายไม่เคยลดถดถอยเช่นนี้มาก่อน ถ้ายังจะดึงดันกลับไปตอนนี้ก็เกรงว่าตนจะเป็นภาระของวิรุณเสียเปล่าๆ

“ส่วนทางฝั่งนครคีรีนั้นไม่ต้องห่วงไปหรอก ยังไงเจ้ากรรณก็ยังอยู่รักษาการแทนพวกเราได้ อีกอย่าง...ตราบใดที่องค์รามสูรนำหัวเจ้าไปเป็นหลักประกันชัยชนะไม่ได้ ผลการศึกครั้งนี้ย่อมยังไม่ถูกตัดสิน...หายห่วงเสียแล้วรีบพักฟื้นร่างกายของเจ้าให้หายดีก็พอ”

เมื่อเห็นว่าท่าทีของอีกฝ่ายดูอ่อนลงไปมากและดูจะคล้อยตามกับตน วิรุณจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

น้อยคนนักที่จะรู้และได้เห็นมุมนี้ของจอมทัพอสุราผู้ยิ่งใหญ่...แม้นภายนอกวศินจะดูดุดันน่าเกรงขามก็จริง แต่เรื่องความหัวรั้นนั้นไม่เป็นสองรองใคร จนในบางครั้งเขากับวิรัลก็เหนื่อยใจจนเกินที่จะต้านทาน

“เอ้า กลับเรือนกันเถอะ แล้วล้มไปเองก็ลุกเองนะ ข้าไม่ช่วย”

วิรุณกล่าวเยาะไปอีกหน ก่อนจะลุกขึ้นบิดร่างคลายความเหนื่อยล้าแล้วยืนกอดอกมองดู ไร้ซึ่งการให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายดังที่กล่าว

ดูสภาพเข้า...ตัวสีชาดเพราะฤทธิ์ของพิษ นอนหมดสภาพมุมปากปริแตกเลือดไหลซิบ

เป็นภาพที่มองแล้วอยากจะหัวร่อให้หงายกลิ้ง

วศินสบถออกมาอย่างหัวเสียนิดหน่อยที่โดนเยาะเย้ยก่อนจะดันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลไม่น้อย ก่อนทั้งคู่จะเดินกลับเข้าไปในเขตเรือน

เมื่อสองยักษาเดินขึ้นมาบนเรือนก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้

พ่อเฒ่าผู้นั้นที่ควรจะไปพักผ่อนกลับยังนั่งอ่านตำรับตำราอยู่บริเวณชานเรือน มีเพียงแสงนวลจากตะเกียงน้ำมันเท่านั้นที่ให้แสงสว่างกับบริเวณโดยรอบ โดยที่มีอีกร่างหนึ่งนอนหนุนอยู่บนตัก

และดูท่าจะหลับลึกเลยทีเดียว

วศินเผลอจ้องมองเสี้ยวหน้าของเด็กหนุ่มที่โดนแสงสีนวลของเปลวไฟฉาบไล้อยู่ข้างแก้มอิ่ม ใบหน้ายามหลับของเจ้าแก้วที่ดูสุขเสียเต็มประดาในห้วงนิทราลึกให้ความรู้สึกที่ทำให้อยากจะมองไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้เบื่อ

หากได้นอนมองทุกคืน…คงจะรู้สึกสบายใจน่าดู

พลันคิดได้ดังนั้นคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันอยากรำคาญใจในความคิดพิสดารของตน

…อยากจะนอนมองหน้าเด็กหนุ่มมนุษย์ผู้นี้หรอกหรือ…เห็นทีเขาคงจะยังไม่ฟื้นจากพิษไข้ดีเลยทำให้จิตฟุ้งซ่านเฉกเช่นนี้

“กลับมากันแล้วรึพวกท่าน” เสียงของชายชราเอ่ยทักหลังจากที่ถอนสายตาออกมาจากคัมภีร์ใบลานตรงหน้า

หลังจากนั้นก็กวักมือเรียกให้วศินมารับยาต้มไปดื่มเอง เพราะเจ้าตัวภาระที่หนุนอยู่บนตักเขานอนหลับอุตุอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จนต้องขอโทษขอโพยพ่อยักษ์ไปอย่างเสียไม่ได้ที่เสียมารยาทเช่นนี้ แต่อสุราหนุ่มผู้นั้นก็ดูท่าว่าจะไม่ถือสาอะไรให้มากความเพียงกล่าวขอบคุณเขาแล้วก็รับยาไปดื่ม ครูบุญสังเกตเห็นรอยช้ำที่อยู่ข้างมุมปากของพ่อยักษ์ตนนั้น แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปให้มากความเพราะเกรงจะเป็นการเสียมารยาท

“ท่านยังไม่เข้านอนหรือ” วิรุณเอ่ยถาม

นี่ก็ดึกมากแล้ว อากาศในพงไพรก็เย็นเสียจนน้ำค้างเริ่มเกาะ เหตุใดครูเฒ่าถึงยังไม่กลับเข้าเรือน

“นั่งอ่านตำรับตำราเพลินไปสักหน่อย อีกอย่างเจ้าลูกหมานี่มันก็ดูท่าจะหลับลึกทีเดียว ข้าเลยไม่อยากจะปลุกมัน”

ชายชราพูดไปพลางกลั้วหัวเราะไปพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวมันแผ่วเบา จนเสียงนุ่มของเด็กหนุ่มหลุดคราเครือออกมาให้ได้ยิน

“น้ำค้างเริ่มลงหนักแล้ว ข้าว่าท่านเข้าเรือนเถอะ”

วิรุณแนะเพราะยิ่งดึกอากาศโดยรอบก็เริ่มเย็นลงทุกขณะ เกรงว่าทั้งสองนั้นจะจับไข้ไม่สบายเอาได้

ครูบุญพยักหน้ารับคำของอสุราหนุ่มก่อนจะเอื้อมมือไปเขย่าตัวเจ้าแก้วที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวหมายที่จะปลุกมันให้ตื่น

หากแต่เขย่าตัวก็แล้ว เรียกก็แล้ว

มันก็ยังคงหลับสนิท จนเขาระอาใจที่จะปลุก…แล้วกันไอ้เจ้านี่

“แก้ว...แก้วเอ๊ย ตื่นไปนอนในเรือนดีๆ ลูก”

เสียงนุ่มนวลของชายชราเรียกให้ตื่นอีกหน แต่ดูอย่างไรเด็กหนุ่มก็ไม่มีวี่แววตอบสนอง ซ้ำยังซุกเข้ากับหน้าท้องของเขาแน่นเพื่อหาไออุ่น

“ข้าช่วย”

ดูท่าแล้วเด็กหนุ่มคงไม่ตื่นแน่ วิรุณจึงขันอาสาที่จะช่วย ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ก็เดินนวยนาดเข้าไปช้อนตัวของเจ้าแก้วขึ้นมาไว้แนบอก

“ลำบากท่านแล้ว ท่านวิรุณ”

ครูเฒ่าเอ่ยขึ้นอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่วิรุณเพียงยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ถือสาหาความ พร้อมบอกอีกว่าขืนปล่อยให้เขาเป็นคนอุ้มเข้าแก้วกลับเข้าไป มีหวังกระดูกกระเดี้ยวได้พังไม่เป็นท่า ได้ยินดังนั้นครูบุญจึงจำใจต้องอาศัยเรี่ยวแรงของยักษาอุ้มศิษย์รักเข้าไปนอนในเรือน

เจ้าแก้วของเขานั้นหาใช่เด็กชายตัวเล็กตัวน้อยดังในอดีตอีกแล้ว แขนขายาวดูผึ่งผายสมกับวัยหนุ่ม

แต่เมื่อไปอยู่ในอ้อมแขนของอสุราหนุ่มตนนั้น กลับดูตัวเล็กลงไปจนแทบจมหายเข้าไปในอกกว้าง

คราแรกที่อาสาวิรุณไม่ได้คิดเป็นอื่นเพียงแค่อยากจะช่วยเท่านั้น แต่เมื่อได้โอกาสใกล้ชิดกับเด็กหนุ่มมนุษย์ที่อยู่ในอ้อมแขน ทำให้เผลอก้มลงมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวในวงแขนเขา ผิวเนื้ออุ่นและกลิ่นกายหอมที่อบร่ำอยู่รอบเรือนกายของมนุษย์ในอ้อมแขนทำให้วิรุณเผลอกระชับวงแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม

แม้นเพียงเล็กน้อยก็ไม่อยากให้ระคายห้วงนิทราของคนตรงหน้า

"จะเข้าไปได้หรือยัง"

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขัดขึ้นมา ในน้ำเสียงห้วนติดจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

วิรุณไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่อุ้มร่างของเจ้าแก้วเดินเข้าไปในเรือนตามหลังครูบุญ คล้อยแผ่นหลังกว้างของรองทัพแห่งนครคีรี ดวงตาคมกล้าของอสุราหนุ่มก็ฉายแววหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน...อาการงุ่นง่านนี่คอยรบกวนจิตใจเขาตลอดทั้งวันตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมาเจอเจ้ามนุษย์หน้าซื่อผู้นั้น

...น่ารำคาญนัก
 
 
(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2018 11:54:07 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
เสียงหรีดหริ่งเรไรดังแว่วไหวกลางไพรพนายามค่ำคืน ทุกชีวิตบนเรือนนั้นได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงแต่จอมทัพอสุราที่ยังคงนั่งชันเข่าพิงอยู่ข้างฝ่าผนัง

ค่ำคืนนี้ไม่อาจข่มตานอนได้เลย...วศินปล่อยความรู้สึกนึกคิดให้ล่องลอยไปอย่างฟุ้งซ่านเสมือนกลุ่มหมอกควัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...

“แม่..”

น้ำเสียงของใครบางคนที่ดังขึ้นแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้อสุราหนุ่มต้องเบือนสายตาไปมองอย่างสงสัย เพราะน้ำเสียงคราเครือนั้นดูเศร้าโศกเสียจนดึงความสนใจของเขาไปได้มากทีเดียว

เพียงไม่นานเสียงสะอื้นไห้ก็เริ่มตามมา

แม้นจะเป็นเพียงเสียงที่เบาบางแต่กลับดังชัดเจนในความรู้สึกของวศิน

ใบหน้าคมคร้ามจ้องมองร่างของเด็กหนุ่มที่นอนหนุนขดผ้าอยู่ใกล้ๆ กับพี่ชายตัวเอง แสงนวลของดวงจันทราที่ลอดเข้ามาทางบานหน้าต่างฉาบไล้เสี้ยวหน้าได้รูป แสงสีเงินเกิดกระทบสะท้อนกับความระยิบระยับบนแพขนตายาวที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ

“…แม่จ๋า”

คิ้วเข้มขมวดขึงอีกครา

เหตุไฉนน้ำตาและเสียงสะอื้นของมนุษย์ตรงหน้าถึงได้มาก่อกวนความรู้สึกของตนให้ยุ่งเหยิงได้เช่นนี้

คิดได้ดังนั้นอสุราหนุ่มก็เอนกายลงนอนพร้อมตะแคงตัวหันหลังให้มนุษย์ที่เขานึกรำคาญ…

เปล่าเลย...หาได้รำคาญดังที่ใจคิด เพียงแต่ความกระวนกระวายเล็กๆ ที่เห็นน้ำใสๆ ฉาบบนแพขนตาหนานั่นมันชวนให้อึดอัดได้อย่างน่าประหลาด

แม้แต่ยามหลับ เจ้าก็ยังทำให้หงุดหงิดใจได้ถึงเพียงนี้

เมื่อเห็นว่าสติตนเริ่มฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ วศินจึงล้มตัวลงนอนหวังให้ห้วงนิทราช่วยขจัดอาการที่ว่านั้นให้หายไป

“แม่…แม่มะลิ”

เสียงแหบพร่าแปร่งปร่าออกมาอย่างยากลำบากเพราะลูกสะอื้นที่ถูกกดไว้ในลำคอ กายของเจ้าแก้วเริ่มจะสั่นเทาคล้ายลูกนกต้องฝน แขนทั้งสองข้างยกขึ้นมาปัดป่ายไปทั่วราวกับต้องการจะไขว่คว้าเอาความว่างเปล่าเบื้องหน้าเข้ามากอดเป็นหลักยึด

เสียงสะอื้นเริ่มดังชัดเจนขึ้นทุกขณะ ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าโศกเสียจนน่าสงสาร

และเพราะทนฟังเสียงที่เข้ามาบีบเคล้นในอกไม่ไหววศินจึงหมายที่จะหันตัวไปปลุกให้เด็กหนุ่มผู้นั้นหลุดออกมาจากห้วงความฝัน

หากแต่ใครอีกคนก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ทำให้จอมทัพอสุราหยุดการกระทำไว้ได้ทัน

“แก้ว…ไอ้แก้ว”

เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกอย่างเป็นห่วง

ไอ้กล้าพลิกตัวหันมาหาน้องมันทันทีรับรู้ได้ถึงเสียงสะอื้นอยู่ข้างกายไม่หยุด ก่อนจะทำการปลุกโดยที่จับแขนเขย่าเบาๆ ให้รู้สึกตัวหากแต่เจ้าแก้วก็ยังคงไม่หลุดพ้นออกมาจากห้วงฝันร้าย คนเป็นพี่จึงต้องเพิ่มแรงขึ้นอีกนิดเพราะกลัวเสียงร้องไห้ของมันจะไปปลุกใครคนอื่นเข้า

“ไอ้แก้ว”

เพราะความตื่นยากของมัน ไอ้กล้าจึงเผลอออกแรงกำต้นแขนมันเสียจนแดงห้อเลือด แต่ก็ถือว่าได้ผลดีทีเดียว ไอ้ขี้เซามันเริ่มจะปรือตาขึ้นมามองแล้ว

“จ๋า..”

“ข้าเห็นเอ็งร้องไห้เลยปลุก…เอ็งฝันถึงแม่อีกแล้วรึ”

เจ้าแก้วทำเพียงพยักหน้าตอบพี่มัน นัยน์ตาสีน้ำผึ้งคู่สวยยังคงทอประกายไปด้วยหยาดน้ำตา ฝ่ามือสากของคนเป็นพี่จึงต้องเอื้อมไปลูบหัวปลอบประโลมให้อย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่ดวงตาคมจะทอดมองน้องมันด้วยความห่วงใยเหลือแสน

พวกเขาทั้งสองคน ถึงแม้นจะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ หากแต่ทั้งหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกก็หาได้เหมือนกันสักเพียงนิด เขานั้นได้ใบหน้าคมเข้มปกติของบุรุษและดวงตาสีสนิมมาจากพ่อ ในขณะที่เจ้าแก้วแทบจะถอดแบบแม่มาเสียหมด

นัยน์ตาที่ไม่แข็งกระด้างเหมือนดั่งบุรุษทั่วไปทำให้ตามันหวานล้ำเสียยิ่งกว่าอะไร อีกทั้งสีของแววตาก็เป็นสีน้ำผึ้งเสมือนของแม่ ใบหน้าคมคายที่ติดจะหวานนั่นดูอย่างไรก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก จะรูปหล่อก็ไม่ใช่จะสวยก็ไม่เชิง

แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดเสียจนน่าหวั่น ขนาดหน้ามีรอยบากถึงเพียงนี้ สาวเล็กสาวใหญ่ในหมู่บ้านยังตามพะเน้าพะนอมันเสียยิ่งกว่าอะไร เจ้าแก้วติดพูดจ๊ะจ๋ามาแต่เล็กแต่น้อยเพราะมันนั้นตัวติดแม่เป็นลูกลิง จึงพลอยได้นิสัยและการพูดจาของแม่มาเต็มๆ พอรวมกับใบหน้าซื่อๆ และคำพูดคำจาหวานหูของมันก็ทำเอาใครต่อใครก็เอ็นดูมันไปเสียหมด

“นอนเสีย”

พอเอ่ยปลอบมันไปอีกหน ก็ยังมิวายโดนสายตาของลูกหมามองกลับมา ทำให้คนพี่อดที่จะเอ็นดูมันไม่ได้

นิสัยของไอ้แก้วอีกอย่างก็คือออดอ้อนเก่งเสียยิ่งกว่าอะไรนี่ล่ะ นี่ถ้าหากมันเป็นผู้หญิง ก็เกรงว่าทั้งเขาและพ่อครูจะได้ขุดบ่อเลี้ยงจระเข้ไว้หน้าบ้านให้เสียฉิบ เพราะหนุ่มๆ ในหมู่บ้านคงวิ่งรี่มาก้อร่อก้อติกไม่เว้นแต่ละวัน

“มองอันใด เอ็งอยากถูกข้าเตะตัดแทนต้นกล้วยอย่างที่พ่อครูขู่รึ” ขู่ไปก็ขำไป ใครจะทำมันได้ลงคอ

“…” ก็ยังคงมองมาไม่หยุดหย่อน

“โตเป็นหนุ่มแล้วนะเอ็งน่ะ”

ทำเป็นบ่นไปเรื่อยเปื่อยแต่ก็ดึงร่างของน้องมันมานอนกอดแนบอกดังที่เคยทำเสมอมา ตั้งแต่เล็กจนโตยามใดที่ฝันร้ายจนร้องไห้มันจะเข้ามากอดเขาไว้ จนครูบุญนึกระอาใจกับมันนักที่โตเป็นหนุ่มถึงเพียงนี้ก็ยังกระจองอแงเป็นเด็กเล็กๆ

รู้ถึงไหนอายถึงนั้น

ใบหน้าคมคายแนบซบไปกับแผ่นอกของผู้เป็นพี่ ฝ่ามืออุ่นนั่นคอยลูบปลอบมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสติการรับรู้ค่อยๆ เจือจางลงไป

“นอนแต่หัวค่ำแล้วตื่นมาร้องไห้ยามดึกดื่น เอ็งเป็นเด็กแบเบาะหรือวะ” บ่นออกไปอย่างไม่จริงจังนัก

เมื่อมั่นใจว่าน้องมันหลับสนิทดีแล้วไอ้กล้าจึงคลายอ้อมแขนที่กอดอยู่ออก

ตัวมันก็ใช่ว่าจะเล็กเสมือนตอนเป็นเด็ก ขืนนอนกอดกันไปจนกระทั่งรุ่งสางคงมิวายโดนเหน็บกินเป็นแน่แท้

ผ่านไปเพียงไม่นานเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอของมนุษย์ทั้งคู่ก็ดังคลอกันแผ่วเบา และเมื่อมั่นใจได้ว่าทั้งสองได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว เรือนกายสูงใหญ่ของจอมทัพอสุราจึงค่อยๆ พลิกตนกลับมาอีกฝั่ง

ดวงตาคมกล้าทอดมองร่างของเด็กหนุ่มมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาสีสวยที่เคยทอแววประกายสดใสบัดนี้ถูกซ่อนอยู่ใต้เปลือกตาเพื่อพักผ่อน ใบหน้าได้รูปเอียงแนบซบไปกับต้นแขนของตนต่างหมอนที่สละให้เขาและเจ้าวิรุณได้นอนหนุน

ปลายจมูกที่แดงก่ำเพราะการสะอื้นนั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวดูคล้ายเด็กเล็กยิ่งนัก

ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูอย่างไรแล้วอายุก็ยังคงไม่น่าจะยี่สิบปีดีนัก

ร่างกายที่ไม่ได้บอบบางอ้อนแอ้นอรชร แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตล่ำสันเหมือนดั่งคนพี่

กล้ามเนื้อเรียงตัวสวยขนาดพอเหมาะกับตัวนั้นดูแข็งแรงสมเป็นบุรุษอยู่ไม่น้อย หากแต่ยามที่ต้นแขนนั่นอยู่ในอุ้งมือเขา ช่างดูเล็กและเปราะบางเสียจนเพียงแค่มือเดียวก็เกรงว่าจะทำให้แหลกสลายได้ภายในพริบตา

ผิวกายสีเหลืองนวลกรำแดดเล็กหน่อยอย่างคนสุขภาพดี

เส้นผมสีดำสนิทล้อมกรอบใบหน้าคมคายให้ดูน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อต้องแสงสีนวลของดวงเดือน

“อือ…”

เสียงเครือครางดังขึ้นผะแผ่วทำให้อสุราหนุ่มชะงักสายตาไว้เพียงเท่านั้น เจ้าแก้วเริ่มที่ขยับตัวไปมาเล็กน้อย คงเพราะไม่สบายตัวหรือไม่ก็เมื่อยแขนเกินจะทน

เมื่อเห็นดังนั้นวศินจึงรอสังเกตอีกสักครู่หนึ่งให้มั่นใจว่ามนุษย์ตรงหน้ายังคงจมลึกอยู่ในห้วงนิทรา

ฝ่ามือใหญ่จึงเอื้อมไปดึงหมอนรองใต้ศีรษะตนออกมา ก่อนจะค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้ร่างที่นอนหลับสนิท ตั้งใจเพียงแค่จะนำหมอนไปรองคอให้เท่านั้น

เพราะท่าทางหลับคอพับคออ่อนอย่างไร้สตินั่น เกรงว่าจะทำให้คอเคล็ดเอาได้

เมื่อเจ้าแก้วสัมผัสได้ถึงไออุ่นอยู่ใกล้ตัวมือของมันก็เริ่มไขว่คว้าอากาศอีกหน

หากเพียงครั้งนี้มันไม่ได้คว้าความว่างเปล่ากลับมาไว้ในอ้อมแขนเหมือนดังเช่นเคย แต่กลับเป็นท่อนแขนล่ำสันของอสุราหนุ่มที่ตัวมันนั้นเกรงกลัวหนักหนาในยามปกติ แต่ในยามที่นอนไม่รู้สติเฉกเช่นนี้กลับใจกล้าบ้าบิ่นคว้าแขนเขามากอดเสียแน่นยิ่งกว่าลูกลิงลูกค่าง

การกระทำที่เหนือความคาดหมายทำให้วศินพยายามที่จะดึงแขนตนออก แต่ก็กลับโดนวงแขนเล็กนั่นกอดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ประกอบกับเสี้ยวหน้าได้รูปนั่นได้แนบซบไปบนท่อนแขนของเขาเป็นที่เรียบร้อย

เหตุการณ์ที่เหนือการควบคุมสร้างความหงุดหงิดงุ่นง่านให้เขาอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความจนปัญญาที่จะยื้อดึงแขนตนกลับจากแรงเกาะที่เหนียวแน่นนี้ อสุราหนุ่มจึงทำเพียงแค่จัดท่านั่งใหม่ให้ตนไม่เมื่อยจนเกินไป โดยที่แขนข้างซ้ายของเขาโดนเจ้ามนุษย์หน้าซื่อเอาไปกอดไว้แนบกาย

จอมทัพแห่งนครยักษาเพียงแค่พรูลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด

เขานึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ยอมสละแขนตนให้เด็กมนุษย์ผู้นี้เอาไปกอดก่ายได้ตามอำเภอใจ เพราะโดยนิสัยปกติเขามิใช่คนที่จะยอมให้ใครเข้ามาชิดใกล้ได้ง่ายนัก

และหากจะว่าเขานั้นถือตัวก็คงจะไม่เกินจริง

หากแต่เด็กหนุ่มผู้นี้ตั้งแต่วันแรกที่พบกันก็มาทำลายขอบเขตที่เขาได้วางไว้เสียจนน่าหงุดหงิด

สายตาคู่นี้ที่ไม่เคยจะหยุดมองหรือสนใจสิ่งรอบกายกลับโดนนัยน์ตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นดึงดูดเสียจนตกอยู่ในภวังค์ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยจะเป็นเช่นนี้มาก่อน เพราะตั้งแต่เกิดมาวศินไม่เคยจะสนใจหรือใคร่มองนางยักษ์ตนไหน

และถึงแม้นจะเคยโดนทอดสะพานมาหลายครั้งหลายหนก็เมินเฉยเสียจนคนเขาไปครหานินทากันให้วุ่นไปหมดว่าจอมทัพผู้นี้ตายด้านเรื่องความรักความใคร่

ตายด้านเช่นนั้นหรือ? ใช่เสียที่ไหน

เขาคิดเพียงแค่ว่าว่าการที่จะต้องมีใจปฏิพัทธ์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระไร้แก่นสารเสียยิ่งกว่าอะไร

การเอาตัวตนและหัวใจของตนไปผูกไว้กับผู้อื่น

ก็มีแต่จะทำให้อ่อนแอลง

เพราะสัตว์โลกใบนี้นั้นเมื่อความรักได้ก่อเกิดขึ้นมาในจิตใจ*…แม้นเพียงเสี้ยวเดียว*

ถึงจะแข็งแกร่งดังหินผา ก็พร้อมที่แตกสลายทำลายตนเมื่อรู้สึก...รัก

แม้นจะฉลาดปราดเปรื่องสักเพียงไหน เมื่อมีรักแล้ว ก็โง่เขลาเบาปัญญาไม่ต่างกัน

แล้วเหตุใดเขาจะต้องยอมให้ความรู้สึกเฉกเช่นนั้นครอบครองตน…

วศินก้มลงมองเด็กหนุ่มมนุษย์ที่อยู่ข้างกาย เขานึกแปลกใจในตนเองไม่น้อยที่ยอมเพิกเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ ครั้นจะดึงแขนออกมาให้มันนอนคอตกไปยันรุ่งสางก็ย่อมได้

แต่เพราะใบหน้ายามหลับพริ้มของเด็กหนุ่มที่ดูจะมีความสุขเสียเต็มประดานั่นทำให้ไม่อยากจะไปรบกวนห้วงนิทราแสนหวานนั่นให้ระแคะระคายแม้นสักเพียงนิด

แต่เท่านี้ก็นับว่าเกินพอแล้ว...

ยอมอดทน ในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องอดทน

ยอมให้ผู้อื่นชิดใกล้ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นเพียงมนุษย์ที่มีฐานันดรต่ำกว่า

เพียงเท่านี้ก็มากเกินพอแล้วในข้อจำกัดของเขา...

แต่...ลมหายใจอุ่นที่รินรดอยู่บนท่อนแขนและกลิ่นหอมละมุนที่อยู่รอบกายของมนุษย์ผู้นี้…

กลับทำให้จิตใจที่แสนว้าวุ่นของเขาสงบลงได้อย่างน่าประหลาดคล้ายแอ่งน้ำเย็นเยียบที่ไม่มีแม้นแต่ตะกอนฝุ่นผงให้รำคาญใจ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่คิ้วเข้มขมวดขึงได้คลายตัวออกจากกัน

จิตที่วิตกและพะว้าพะวังในเรื่องต่างๆ ได้มลายหายไปหมดสิ้น

เป็นความสบายใจสบายกายอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมาก่อนในชีวิต

เพราะอากาศที่เย็นลงทำให้เจ้าแก้วเริ่มที่จะขยับตัวหาไออุ่นอีกครา เมื่อรับรู้ได้ถึงกายอุ่นของใครสักคนที่อยู่ชิดใกล้มันจึงไม่ลังเลเลยที่จะซุกตัวเข้าหา โดยที่ไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร

วงแขนของมนุษย์หน้าซื่อจึงปล่อยมือจากท่อนแขนแกร่งแล้วเปลี่ยนไปโอบกอดช่วงเอวสอบของอสุราหนุ่มไว้แทน

ชักจะเหิมเกริมไปกันใหญ่

เห็นดังนั้นจอมทัพอสุราจึงหมายจะดึงตัวของมนุษย์ผู้น้อยให้ออกห่าง แต่เมื่อได้มองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แนบซบอยู่ช่วงสะโพกแล้วก็เพียงแค่ได้ชะงักไว้แค่นั้น ก่อนฝ่ามือใหญ่จะเปลี่ยนไปวางบนศีรษะของเด็กหนุ่มแทน

เอาเถอะ*…ถือเสียว่าตอบแทนที่ช่วยดูแลเขายามล้มป่วยก็แล้วกัน*

จะยอมสละไออุ่นให้คลายหนาวในค่ำคืนนี้...แค่คืนนี้เท่านั้น

ไว้รุ่งสางค่อยลุกออกไปก็ยังไม่สาย

คิดได้ดังนั้นอสุราหนุ่มก็ทอดถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน

เมื่อเวลาผ่านไปได้อีกหลายชั่วยามความมืดมิดในไพรกว้างเริ่มที่จะถูกแทนที่ด้วยแสงของสุริยัน

เหล่าสกุณาเริ่มส่งเรียกร้องออกหากินต้อนรับวันใหม่ ท้องนภายังไม่สว่างดีแสดงให้เห็นว่ายามรุ่งสางได้ย่างกรายเข้ามาเยือน ภายในเรือนของครูบุญยังไม่มีผู้ใดตื่นจากห้วงนิทราทุกชีวิตยังคงหลับสนิทอยู่เฉกเช่นเดิม

จะมีก็เพียงแต่เรือนกายสูงใหญ่ของยักษาตนหนึ่งอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายคลายวงแขนดึงตนออกมาจากการโอบกอดที่แน่นหนาของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะลุกเดินออกไปนอกเรือน

ทิ้งไว้เพียงแต่ไออุ่นที่เจือจางและหมอนที่นำไปรองไว้ให้

แทนตักของเขาที่เจ้าแก้วได้อาศัยหนุนนอนมาตลอดทั้งค่ำคืน



__________

พบยักษ์ขี้เก๊กหนึ่งอัตราจ้าาาาา  :o8:

ไหนๆ ใครบอกพี่วศินค่าตัวแพงไม่ค่อยมีบท นี่ไงมีแล้วนะ

บทเยอะด้วย หมั่นส้ายยย 5555



กลับมาแล้วจ้าา ขอโทษที่หายหน้าไปนานนะคะ

เพราะงานที่รัดตัวจนแทบไม่มีเวลาหายจัยย  :sad4:

ขอบคุณที่ยังติดตามกันน้าา ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจจ้า :กอด1: :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2018 11:54:42 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
วิรัลจะเป็นยังไงบ้าง
น่าสงสาร ต้องมาโดนลงโทษ ทั้งที่ไม่มีความผิด

 :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
แหมมมมมม ยักษ์ซึนนิเจ้าคะ
ทำมาเหตุผลงั้นงี้ สุดท้ายก้อนอนกอดกันทั้งคืน -.,-

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ยอมเป็นหมอนจ้างด้วย อิอิ
ตอนต่อไปจงมาๆๆๆ

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กรี๊ดดดดดด ขอกระโดดกอดคุณนักเขียนพร้อมจุ๊บอีก3ที ฮืออออ เราชอบเรื่องนี้มากแม้จะพึ่งลงแค่5ตอน เราจะติดตาม เราชอบแนวยักษ์ๆ อะไรแบบนี้ด้วย พี่ยักษ์ซึนน่ารักมาก แต่ๆๆ น้องแก้วน่ารักกว่า (ฮ่าาาา) ติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :mew1:

ปล. บางจุดอ่านแล้วยังรู้สึกงงๆ นะคะ แบบเหมือนพิมพ์คำตกไป คำผิดก็มีบ้างเล็กน้อย ปรับแก้ได้ พยายามเข้านะคะ สู้ๆ  :mc4:  :L2:  :กอด1:

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
กรี๊ดดดดดด ขอกระโดดกอดคุณนักเขียนพร้อมจุ๊บอีก3ที ฮืออออ เราชอบเรื่องนี้มากแม้จะพึ่งลงแค่5ตอน เราจะติดตาม เราชอบแนวยักษ์ๆ อะไรแบบนี้ด้วย พี่ยักษ์ซึนน่ารักมาก แต่ๆๆ น้องแก้วน่ารักกว่า (ฮ่าาาา) ติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :mew1:

ปล. บางจุดอ่านแล้วยังรู้สึกงงๆ นะคะ แบบเหมือนพิมพ์คำตกไป คำผิดก็มีบ้างเล็กน้อย ปรับแก้ได้ พยายามเข้านะคะ สู้ๆ  :mc4:  :L2:  :กอด1:

ได้เลยค้าบบ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากๆนะคะ  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
แหมมมม ทำมาเปงงงง ถ้าชอบน้องเขาแล้วยังขี้เก๊กแบบนี้จะเชียร์คนอื่นให้ค่ะ  :hao7:

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
เจ้ากระรอก

.

.

.


“เอ้าๆ เดี๋ยวก็ตกลงมาคอหักตายหรอกเอ็งนี่!”

ครูบุญที่นั่งคัดสมุนไพรอยู่บนแคร่อดที่จะดุเสียงเข้มขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเห็นศิษย์รักคนเล็กของตนกระโจนขึ้นไปบนต้นมะพร้าวด้วยความว่องไวราวกับลูกลิงป่า เจ้าแก้วหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับค่อยๆ ปีนไต่ลำต้นขึ้นไปบนยอดสูง

ก็เมื่อสักครู่นี้มันได้ยินพ่อครูพูดว่าอยากกินน้ำมะพร้าว ดังนั้นมันจึงไม่รอช้ารีบจัดการสลัดเสื้อออกจากตัวพร้อมกับถลกผ้านุ่งขึ้นสูง ก่อนจะกระโจนขึ้นต้นมะพร้าวไปโดยที่ไม่สนใจฟังเสียงท้วงติงของชายชราเลยสักนิด

ทโมนเสียยิ่งกว่าลูกลิงลูกค่าง!

“เอาทั้งทะลายเลยไหมจ๊ะพ่อครู”

เสียงสดใสของเด็กหนุ่มตะโกนลงมาหาคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง

ขาและแขนก็ของมันก็ต่างเกาะเกี่ยวลำต้นไว้แน่นเพื่อเป็นหลักยึด เจ้าแก้วหัวเราะจนตาปิดเมื่อเห็นสีหน้าของครูบุญเขียวคล้ำลง ดูท่าแล้วคงอยากจะถือหวายมาหวดหลังมันเสียเต็มแก่

ยามเรียบร้อยก็สงบนิ่งดั่งผ้าพับไว้ในหีบ

แต่ยามที่มันเลือดบ้าขึ้นนี่ช่างทโมนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

ครูบุญคิดในใจอย่างนึกปลงตก ก่อนจะวางกระจาดยาลงบนแคร่พร้อมกับลุกเดินเข้ามายืนอยู่ใต้ต้นมะพร้าวเจ้าปัญหา

“เอ็งรีบลงมาเสียเจ้าแก้ว”

ชายชราเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายพร้อมกับยกนิ้วชี้หน้ามันไว้อย่างคาดโทษ

“แหะๆ ก็ฉันเห็นว่าพ่อครูอยากกินน้ำมะพร้าวนี่จ๊ะ”

“แล้วข้าใช้เอ็งปีนขึ้นไปเก็บเสียที่ไหนกัน” เขากัดฟันเถียงมันกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ศิษย์รักคนเล็กคนนี้ยามจะดื้อรั้นขึ้นมาก็ทำเอาเขาปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ไม่หยอก

“ลงมาเมื่อใดล่ะข้าจะฟาดเอ็งให้เนื้อเขียวเลยเชียว”

“จะกล้าเร้ออ”

เสียงยียวนของบุคคลที่สามดังแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลัง

ร่างสูงใหญ่เดินนวยนาดเข้ามาหาครูเฒ่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไอ้ลูกลิงที่กำลังเกาะต้นมะพร้าวอยู่อย่างแนบแน่น เมื่อสักครู่มันเดินเข้ามาทันได้ยินเสียงบ่นขรมของพ่อเฒ่าพลันให้นึกเย้ยเยาะอยู่ในใจเงียบๆ

จะฟาดไอ้แก้วให้เนื้อเขียวเช่นนั้นหรือ?

เอาหัวเป็นประกันเลยว่าอย่างมากพ่อครูก็ทำเพียงแค่ดุด่ามันเหมือนอย่างที่ผ่านมาเท่านั้นล่ะ

ก็โอ๋กันเสียขนาดนั้น ตั้งแต่เล็กจนโตรสชาติของก้านไม้หวายมีหรือไอ้แก้วมันจะเคยลิ้มรส มีแต่เขานี่แหละที่โดนหวดจนหลังลายพร้อยไปเสียหมด!

หนักสุดโดนเตะตกเรือนก็เคยผ่านมาแล้ว บนโลกนี้มีแต่เจ้าแก้วนั่นล่ะที่พ่อครูจะใจดีด้วย

ไอ้เรื่องเฆี่ยนตีหวังสั่งสอนเนี่ยลืมไปเสียเถอะ เพียงเห็นน้องมันซึมเซื่องลงเพียงนิดพ่อครูก็มือไม้อ่อนแล้ว

ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง!

“ปากมากนะเอ็ง” ครูบุญเปลี่ยนหันมาเหวใส่ไอ้คนพี่แทน

หมั่นไส้กับท่าทางลอยหน้าลอยตาของมันเสียจนอยากจะประเคนบาทาประทับลงบนอก

“หล่อเหลามากด้วยเช่นกันจ้ะ” ชายหนุ่มยักคิ้วพร้อมกับยิ้มตอบผู้มีพระคุณอย่างอารมณ์ดี แต่กลับได้รับเพียงใบหน้าเหม็นเบื่อตอบกลับมาจากชายชราแทนเสียเนี่ย

“ข้าล่ะคลื่นไส้นัก” สายตาฝ้าฟางปรายมามองไอ้ตัวดีข้างกายพร้อมกับเอ่ยสั่ง “มาช่วยน้องเอ็งเก็บมะพร้าวด้วย”

“จ้าๆ”

ชายชราบ่นทิ้งท้ายไว้อีกนิดหน่อยก่อนจะเดินปัดผ้าขาวม้ากลับไปนั่งแยกสมุนไพรอยู่บนแคร่ต่อ โดยไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นมองสองพี่น้องอยู่เป็นระยะๆ เพราะนึกเป็นห่วงศิษย์รักคนเล็ก

เจ้าแก้วนั้นถึงจะแข็งแรงดีก็จริงอยู่แต่ดวงตาที่มองเห็นได้เพียงข้างเดียวนั้นเกรงว่าจะทำให้มันได้รับอันตรายจากความมุทะลุตามวัย ที่ผ่านมาก็ตกต้นไม้น้อยใหญ่จนนับครั้งไม่ถ้วนจนเขากับพี่มันเอือมที่จะดุด่า แต่ดีหน่อยที่ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้มันดูจะว่านอนสอนง่ายขึ้นมาบ้าง ไม่โลดโผนโจนทะยานเหมือนตอนเด็กๆ ให้เขาได้ปวดหัว

..แค่ทุกวันนี้ปะทะฝีปากกับไอ้กล้าคนเดียวก็ชักจะอายุสั้นลงทุกทีแล้ว

“พี่กล้าจ๊ะ รับนะ!”

ไอ้ตัวทโมนตะโกนลงมาบอกพี่มันที่ยืนคอยอยู่ตรงโคนต้น

“เออ ข้ารู้แล้ว”

สองพี่น้องช่วยกันเก็บมะพร้าวอย่างสนุกสนาน มีบางครั้งที่คนน้องอยากจะเอาคืนพี่มันที่ชอบแกล้ง จึงใช้เท้าช่วยยันให้ลูกมะพร้าวร่วงลงมาติดต่อกันโดยที่ไม่ปล่อยจังหวะว่างให้ไอ้กล้าได้วางของเก่าลง ผลที่ได้คือพี่มันเกือบจะหัวร้างข้างแตกแต่ดีที่ไวทายาดสามารถหลบได้ทันการณ์

“ไอ้แก้ว! เล่นอะไรแผลงๆ นะมึง!”

ไอ้กล้าเหวใส่น้องมันไปอย่างหัวเสีย แต่ก็ยังมิวายโดนครูเฒ่าที่นั่งอยู่ไกลตอกกลับมาจนหน้าม้าน

“ไปว่าน้องมัน เอ็งน่ะจัญรี้จัญไรกว่ามันเยอะ ไอ้กล้า!”

ถือหางกันเสียจริง พ่อเฒ่านี่!

ไอ้กล้าฮึดฮัดขัดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชี้หน้าน้องมันไว้อย่างคาดโทษโดยเมื่อได้เสียงหัวเราะอย่างปนสะใจคล้ายกับจะเยาะเย้ยเขา

“เอ็งลงมาได้แล้วไอ้แก้ว”

เสียงทุ้มตะโกนขึ้นไปบอกน้องมันเมื่อเห็นว่ามะพร้าวที่เก็บลงมามันเยอะพอสมควรแล้ว

“จ้ะ เดี๋ยวฉันลงไป”

เจ้าแก้วพักเหนื่อยจากการออกแรงก่อนจะหันไปมองภูมิทัศน์โดยรอบ

ทันใดนั้นสายตาก็หยุดลงอยู่กับร่างสูงใหญ่ของยักษาสองตนที่เดินคู่กันมาจากทางฝั่งท่าน้ำบริเวณหลังเรือน นัยน์ตาสีน้ำผึ้งป่ากลับเผลอจดจ้องไปที่ร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มสีชาอย่างลืมตัว พลันเสียงอึกทึกในอกก็รัวกระหน่ำเสียจนเจ้าตัวนั้นหูอื้ออึง

หวนให้นึกถึงเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา...ไออุ่นที่โอบรอบกายของมันนั้นช่างอุ่นสบายเสียจนต้องเผลอไผลขดกายเข้าหา

แล้วก่อนที่มันจะทันได้รู้สึกตัวตื่นความอบอุ่นนั้นก็สลายหายไปราวกับสายลม..จนต้องแอบนึกเสียดายอยู่ลึกๆ ข้างในอก

แต่แล้วเมื่อลืมตาตื่นขึ้นกลับได้พบเรื่องที่ทำให้แปลกใจอยู่ไม่น้อย...

..เหตุใดหมอนใบเก่าที่มันเคยสละให้กับอสุราหนุ่มได้หนุนนอนนั้น เหตุใดถึงกลับมารองอยู่ใต้ศีรษะมันเสียได้...

เมื่อร่างสูงใหญ่ของสองยักษาเดินเข้ามาถึงเขตเรือน ไอ้กล้าที่คราแรกอารมณ์กำลังเบิกบานก็กลับนึกหัวเสียขึ้นมาทันทีทันใด มันรีบเดินฟึดฟัดออกไปจากเรือนโดยไม่แม้นแต่ที่หันจะกลับไปฟังเสียงเรียกของครูเฒ่าสักเพียงนิด ระหว่างที่เดินผ่านเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ตนนึกชัง ชายหนุ่มได้ปรายตาขึ้นไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นมิตรก่อนจะจ้ำเท้าเดินออกไปจนฝุ่นตลบตาม

...เกลียดขี้หน้าพวกมันทั้งสองอย่างกับอะไรดี

โดยเฉพาะไอ้ยักษ์ที่ชอบมีรอยยิ้มสุภาพน่าสะอิดสะเอียนตนนั้น!

“ผีห่าตนไหนเข้าสิงมันล่ะนั่น”

ครูบุญบ่นคล้อยหลังตามมันไปอย่างเหนื่อยหน่ายใจกับพฤติกรรมของศิษย์รักคนโต

เขารู้ว่าไอ้ตัวดีมันกำลังหลบหน้าพ่อยักษ์ทั้งสอง โดยเฉพาะกับพ่อวิรุณ...เห็นใช้สายตามองอีกฝ่ายทีไรก็เขียวปั้ดอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน

“เอ้าแก้ว”

วิรุณลอบถอนหายใจให้กับบุรุษหนุ่มหัวรั้นเมื่อครู่ก่อนจะสังเกตเห็นเงาตะคุ่มบนต้นมะพร้าวต้นสูง พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเจ้าแก้วกำลังมองลงมาด้านล่างเช่นกัน วิรุณกำลังจะเอ่ยถามเด็กหนุ่มแต่พอเห็นมะพร้าวกองโตที่กองอยู่บริเวณโคนต้นก็เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดได้ในทันที

วศินที่มองขึ้นไปตามสายตาของสหายตนก็ได้สบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำผึ้งป่าเข้า พออีกฝ่ายรู้ตัวจึงรีบหันหน้าหนีออกไปอีกทางแสร้งทำเป็นเมินมองนกบนยอดไม้ที่อยู่รอบกายแทน

“ระวังร่วงนะ” วิรุณส่งยิ้มเบาบางพร้อมส่งความห่วงใยไปให้คนบนยอดไม้สูง

“สบายใจได้จ้ะพี่ยักษ์”

เสียงสดใสที่ตอบกลับมาทำให้วิรุณเผลอจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มอีกครา..

เด็กหนุ่มในพงไพรมีที่รอยยิ้มสุกใสเสียจนดวงสุริยันบนท้องฟ้ายังต้องหม่นหมองอับแสงลง

...ช่างอบอุ่น เจิดจ้า เสียจนพาตาพร่าเลือน

มีชีวิตชีวาราวกับน้ำค้างที่พลิ้วไหวอยู่บนยอดหญ้า

คล้ายกับน้ำฝนฉ่ำเย็นที่ตกลงมาชโลมจิตใจของผู้ที่ได้พบเห็น..

“พ่อวิรุณไม่ต้องไปห่วงมันให้เปลืองน้ำลาย ไอ้ลิงลมตัวนี้กล่าวเตือนไปมันเคยฟังเสียที่ไหน” ครูบุญเอ่ยสวนขึ้นมาดักคอศิษย์รัก ก่อนจะหันไปพูดกับสองอสุราหนุ่มพร้อมกับตบแคร่ข้างกาย “พวกท่านมานั่งนี่เถอะ ข้าให้เจ้าแก้วมันต้มยาไว้ให้แล้ว”

สองยักษาพยักหน้ารับคำชายชราอย่างว่าง่าย ถึงแม้นพ่อเฒ่าผู้นี้จะเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าแต่ทั้งสองจอมทัพกลับนึกเคารพและนับถือชายชราผู้มากไปด้วยความเมตตาอยู่มาก

ในระหว่างที่วิรุณได้ออกตัวเดินเข้าไปหาชายชรานั้นเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของเจ้าแก้วดังขึ้นอยู่ด้านหลังจึงรีบหันตัวกลับไปดู ภาพที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้านั้นส่งผลให้ภายในอกที่แข็งแกร่งดั่งหินผาวูบไหวอย่างรุนแรง

“เจ้าแก้ว!! ”

ร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากต้นมะพร้าวทำให้ทั่วทั้งตัวเย็นเฉียบแต่เม็ดเหงื่อกลับซึมออกมาจนเปียกชุ่ม ลำคอแห้งผากแม้แต่เสียงที่จะเอ่ยเรียกยังแทบจะถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ สองขาคล้ายกับโดนตอกตรึงอยู่กับพื้นไม่สามารถขยับก้าวออกไปได้อยากใจนึก เสียงร้องระคนตกใจของครูบุญที่ตะโกนกร้าวขึ้นกลับดึงสติของวิรุณให้กลับมาได้ทัน

แต่ยังไม่แม้แต่ที่จะได้ยกเท้าออกวิ่งร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มอีกตนกลับพุ่งตัวนำตนไปถึงต้นมะพร้าวต้นนั้นก่อนใคร

ตุ้บ!

วศินเอื้อมมือคว้าร่างของเด็กหนุ่มเข้ามาไว้ในอ้อมแขนได้อย่างทันท่วงทีแต่เพราะร่างกายที่ไม่ได้มีพละกำลังมหาศาลเหมือนดังแต่ก่อน เมื่อต้องรองรับน้ำหนักของเด็กหนุ่มไว้ทั้งร่างจึงทำให้ทั้งเขาและเจ้าแก้วล้มกลิ้งลงไปบนพื้นดิน สัญชาตญาณสั่งให้เขากอดเด็กหนุ่มเอาไว้แนบอกเมื่อสังเกตเห็นว่าบริเวณใกล้ๆ นั้นมีเศษหินคมกระจัดกระจายอยู่ทั่ว

ร่างสูงใหญ่เผลอลืมตนทิ้งน้ำหนักลงที่แขนด้านขวาจนได้ยินเสียงลั่นของกระดูก ความเจ็บปวดคล้ายกับโดนเข็มลนไฟนับพันเล่มทิ่มแทงลงมาบนแขนจนชาวาบ อสุราหนุ่มขบกรามลงแน่นจนเหงื่อผุดซึมขึ้นมาทั่วร่าง เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลงวศินจึงพลิกตัวขึ้นนอนหงายเพื่อลดการกดทับน้ำหนักไปบนแขน

โดยยังมีมนุษย์ตัวน้อยนอนตัวแข็งขดกายเกยอยู่บนร่างของเขา

เจ้าแก้วกะพริบตาถี่รัวเมื่อเริ่มตั้งสติได้ เมื่อครู่นี้ตอนที่มันกำลังจะปีนลงมาจากต้นมะพร้าวจู่ๆ ก็มีงูเขียวตัวหนึ่งชูคอออกมาจากทะลายมะพร้าวที่อยู่ใกล้ๆ อารามตกใจจึงทำให้มันเผลอปล่อยมือออกจากลำต้นส่งผลให้ร่างทั้งร่างร่วงตกลงมาสู่พื้นด้วยความรวดเร็ว วินาทีมันนึกแต่เพียงว่าอย่างไรเสียตกลงไปรอบนี้สภาพคงดูไม่จืดเป็นแน่

แต่กลับไม่เป็นดังคาดเมื่อโดนแรงมหาศาลโถมตัวมารับร่างของมันไว้ก่อนภาพทุกอย่างจะหมุนเคว้งอยู่เพียงครู่หนึ่งแล้วจึงหยุดลง

แผ่นอกกว้างกำยำขึ้นสีชาดที่อยู่เบื้องหน้านี้ทำให้มันรู้ได้ทันทีว่าคนที่พุ่งตัวมารับมันเอาไว้ก็คือ..

...ท่านวศิน

จู่ๆ บรรยากาศรอบด้านก็แผ่กลิ่นอายน่าประหลาดออกมาเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีนิลทรงอำนาจ สายตาคมกล้าทำให้เจ้าแก้วอ้ำอึ้งคล้ายคนใบ้ คำพูดทุกอย่างถูกกลืนเก็บเข้าไปลำคอพลันเสียงเต้นระรัวในอกของเด็กหนุ่มก็เพิ่มจังหวะเร็วรัวขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าผิวเนื้อเปล่าเปลือยของทั้งคู่นั้นกำลังแนบชิดกันอยู่ ไอร้อนจากเรือนกายสูงใหญ่ที่โอบล้อมอยู่รอบกายทำให้หวนนึกถึงความอบอุ่นเมื่อช่วงรุ่งสางที่ผ่านมา

...ช่างคล้ายกันเหลือเกิน

วศินเป็นฝ่ายที่รวบรวมสติกลับคืนมาได้ก่อนหลังจากที่โดนลูกแก้วสีอ่อนดึงดูดจนไม่สามารถผละสายตาหนีออกไปได้ คิ้วเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถามคำถามคนที่อยู่ในอ้อมแขน

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” น้ำเสียงทุ้มน่าเกรงขามถามขึ้นทำให้จ้าแก้วสะดุ้งตกใจถอนสายตาออกมาจากอีกฝ่าย

“ฉัน...ไม่เป็นไรจ้ะ”

ใบหน้าคมคร้ามพยักหน้าตอบรับเพียงเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อความเจ็บที่แขนขวาแล่นเข้าโจมตีจนท่อนแขนเริ่มล้า แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมคล้ายอ้อมกอดที่โอบรัดรอบกายเด็กหนุ่มออกแต่กลับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นไปอีกเมื่อได้สัมผัสกับผิวเนื้ออุ่นของมนุษย์ที่นอนเกยอยู่บนช่วงตัวเขา

ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งลดลงมาจับประคองตรงช่วงเอวคอดอย่างลืมตัว ผิวเนียนละเอียดของเด็กหนุ่มในอ้อมแขนส่งผลให้อสุราหนุ่มเผลอลงแรงจนอีกฝ่ายสะดุ้ง

..มนุษย์นั้นผิวเนียนลื่นมือขนาดนี้เชียวหรือ...

อีกทั้งช่วงเอวยังเล็กเสียจนใช้มือเพียงข้างเดียวยังสามารถโอบได้ไว้เกือบครึ่งเสียด้วยซ้ำไป..

การกระทำอันอุกอาจนี้ส่งผลให้เจ้าแก้วหน้าแดงเห่อร้อนเสียยิ่งกว่าตอนจับไข้เมื่อฝ่ามือใหญ่ที่กระชับอยู่บริเวณสีข้างไล้ปลายนิ้ววนกับผิวเนื้อบั้นเอวจนขนอ่อนทั่วร่างลุกชูชัน ความรู้สึกร้อนรุ่มประเดประดังโถมเข้าใส่จนหูอื้อตาลายคล้ายจะเป็นลมแดด ริมฝีปากสีสดที่ถูกสายตาคมจดจ้องขบกัดเข้าหากันจนซีดขาว

“แก้ว”

เสียงเรียกอย่างร้อนใจของบุคคลที่สามดังขึ้นทำลายบรรยากาศแปลกๆ ที่โอบล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ วิรุณเดินเข้ามาหาก่อนจะช่วยประคองร่างของเด็กหนุ่มขึ้นยืนบนพื้นข้างๆ เขาสังเกตเห็นว่าเจ้าแก้วนั้นหน้าแดงจัดตั้งแต่ใบหูจนไปถึงลำคอเลยคิดไปว่าอีกฝ่ายคงโดนไอแดดแผดเผา ตาคมมองสำรวจร่างเด็กหนุ่มไปทั่วว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ แต่ก็เบาใจไปเมื่อพบว่าอีกฝ่ายนั้นปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน

วิรุณทอดมองร่างที่เล็กกว่าอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนจะต้องรีบเบือนหน้าหนีออกไปอีกทางเมื่อรู้สึกว่าตนเองนั้นได้ใช้สายตาล่วงเกินมองร่างเปลือยท่อนบนของเด็กหนุ่มมนุษย์จนดูเสียมารยาท ก่อนจะรีบรุดเข้าไปช่วยประคองสหายของตัวเองขึ้นมาแทนเพราะดูท่าว่าอีกฝ่ายนั้นจะได้รับบาดเจ็บอยู่พอสมควร

เห็นดังนั้นเจ้าแก้วจึงกระวนกระวายรี่เข้าไปหวังจะช่วยประคองร่างของคนที่มาช่วยมันเอาไว้ทำให้สองจอมทัพอสุราหันมองไปที่เด็กหนุ่มพร้อมกัน ก่อนจะต้องชะงักนิ่งงันเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

ผิวกายเนียนละเอียดขึ้นสีระเรื่อทั่วตัวเมื่อโดนแสงอาทิตย์ฉาบไล้ไปทั่วผิวเนื้อ ลำคอเรียวรับกับช่วงกระดูกไหปลาร้าที่ขึ้นรูปชัดเจน แผ่นอกชุ่มชื้นด้วยหยาดเหงื่อทอประกายหยอกเย้ากับแสงอาทิตย์ ยอดอกเล็กสีน้ำตาลอ่อนตัดกับสีผิวเนื้อนวลได้อย่างดี

นัยน์ตาคมทั้งสองคู่ไล่เรื่อยลงมาถึงเอวได้รูปรับกับช่วงสะโพกที่โดนผ้านุ่งปิดคลุมทับไว้ ผ้าสีเข้มนั้นถูกรั้งขึ้นจนเห็นผิวเนื้ออ่อนที่โคนขาด้านใน

สองอสุราหนุ่มเผลอตัวจดจ้องอย่างยากที่จะถอนสายตาออกมาได้

..ร่างกายของเด็กหนุ่มตรงหน้าพวกเขา หาได้อรชรอ้อนแอ้นดังเช่นเหล่าสตรี

แต่เหตุใดกลับมีเสน่ห์เสียจนน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้...

...น่ามองไปหมดทุกสัดส่วน..

“ท่าน...ท่านเจ็บมากหรือไม่จ๊ะ”

เจ้าแก้วเอ่ยถามขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเห็นสองยักษามองมาที่มันนิ่งงันไม่พูดไม่จาจนพานทำให้มันใจเสีย ทันใดนั้นสติที่หลุดลอยไปของทั้งสองก็กลับเข้าที่ วิรุณกระแอมไอในลำคอแก้เก้อขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนนั้นเผอเรอไปกับรูปโฉมของเด็กหนุ่มตรงหน้า เช่นเดียวกันกับวศินที่หันเหความสนใจของตนเองไปอยู่ที่ต้นไม่ต้นหญ้าแถวนั้นแทน

...พอรู้สึกตัวความกระดากอายก็ถาโถมเข้าใส่จนพวกเขานั้นรู้สึกผิดขึ้นมาจับจิต

หาใช่รู้สึกผิดเพราะเจ้าแก้วนั้นเป็นบุรุษเฉกเช่นเดียวกัน

..แต่สิ่งที่ทำให้สองจอมทัพนึกผิดบาปอย่างมหันต์อยู่ในใจก็เป็นเพราะอีกฝ่ายนั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กที่ยังไม่เจริญเติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัวเสียด้วยซ้ำไป...

..ให้ความรู้สึกราวกับเป็นโจรป่าโฉดชั่วที่กำลังคิดมิดีมิร้ายกับเด็กน้อยแสนซื่ออย่างไรอย่างนั้น...

“ข้าบอกเอ็งแล้วใช่หรือไม่ หา! เจ้าแก้ว!”

แต่ก่อนที่บรรยากาศรอบกายทั้งสามจะกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้เสียงตวาดกร้าวด้วยแรงโทสะของครูบุญก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน ชายชราเดินถือไม้หวายเส้นยาวเข้ามาหาหวังจะตีสั่งสอนศิษย์รักให้หลาบจำสักครั้ง แค่เห็นมันร่วงตกลงมาก็ทำให้เขานั้นใจหายจนเกือบลืมหายใจชั่วขณะหนึ่งนึกเป็นห่วงมันจนในอกบีบรัดอย่างทรมาน พลันโล่งอกไปเมื่อเห็นได้ว่าเจ้าแก้วปลอดภัยดี แต่เมื่อหันไปมองผู้มีพระคุณของมันแล้วมือเหี่ยวย่นก็กำไม้หวายจนสั่นเทา

ยิ่งสายตาของครูเฒ่าสังเกตเห็นแผลฟกช้ำตามเนื้อตัวของท่าวศินและอาการบาดเจ็บจากแขนขวาที่ดูจะแย่ลงกว่าเดิม ยิ่งทำให้ครูบุญโกรธจนควันแทบออกหูหน้ามืดเกือบจะลงแรงหวดไปบนแผ่นหลังของศิษย์รัก

เพราะความทโมนของมันต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย

ใช้ได้เสียที่ไหนกัน!

“ขอโทษจ้ะ..”

เจ้าแก้วก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด เสียงที่เคยสดใสยามนี้ช่างหม่นหมองเสียจนครูบุญยังแอบสะเทือนอยู่ลึกๆ ในอก

หาใช่ว่าเขาอยากจะเฆี่ยนตีมันให้ต้องเจ็บกายเสียที่ไหน ตีมันไปก็เป็นเขามิใช่หรือที่เจ็บยิ่งกว่า ตั้งแต่เล็กจนโตแทบนับครั้งได้ที่เขาคิดจะลงไม่ลงมือกับเจ้าแก้วของเขา

“ช่างเถอะพ่อเฒ่า เขาปลอดภัยก็ดีแล้ว” วศินพูดขึ้นมาอย่างไม่นึกถือสาหาความ เขาไม่ต้องการให้ชายชราลงไม้ลงมือกับเด็กหนุ่มผู้นี้สักเพียงนิด

“ปล่อยไปได้เสียที่ไหนกันท่านวศิน ทโมนไม่รู้ความจนทำผู้อื่นเขาเดือดร้อนไปด้วย” ครูบุญฮึดฮัดอย่างไม่พอใจนัก หวังจะลงหวายให้มันหลาบจำสักครั้ง จะได้ไม่ซนไปทั่วเช่นนี้อีก

“เรื่องแค่นี้ เป็นปกติของเด็กวัยกำลังซน ข้าหาได้ถือสาอันใด” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอกอีกครั้ง โดยครานี้เน้นย้ำจุดประสงค์กับพ่อเฒ่าอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ติดใจเอาความ และหากจะลงไม้ลงมือกับเจ้าแก้วเขาก็คงจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น

“พ่อยักษ์พูดมาขนาดนี้แล้ว ถ้าฆ่าลงไม้ลงมือไปก็คงไม่พ้นกลายเป็นไอ้แก่ใจร้ายไม่ได้ความ” ชายชราถอนหายใจอย่างนึกปลงตก ก่อนจะหันไปเรียกไอ้ลูกลิงที่กำลังซึมเซื่องได้ที่ “เจ้าแก้ว”

“จ๊ะ” มันรีบเงยหน้าขึ้นมาขานรับอย่างว่องไว เรียกรอยยิ้มเอ็นดูไปจากพ่อครูได้อยู่มากโข

“ทำแผลให้ท่านวศินเสียด้วย”

“จ้ะพ่อครู”

เจ้าแก้วพยักหน้ารับอย่างแข็งขันเมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองไม่โดนคาดโทษแล้ว มันเลียบๆ เคียงเข้าไปปะเหลาะเอาใจชายชราอย่างออดอ้อนจนฝ่ายนั้นโอนอ่อนไปในที่สุด



(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2018 12:09:20 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
ร่างสูงใหญ่ของจอมทัพอสุรานั่งผึ่งผายอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนเรือน ตาคมทอดมองบรรยากาศรอบด้านไปเรื่อยพร้อมกับหันกลับมามองร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังสาละวนอยู่หน้ากองฟืนอยู่เป็นระยะ

เจ้าแก้วบอกให้เขานั่งรอสักครู่ก่อนจะเร่งรีบหาสมุนไพรชนิดต่างๆ มาต้มเป็นยาให้เขาดื่มกันช้ำใน

สีหน้าตั้งอกตั้งใจยามจ้องไปที่หม้อดินเผาบนกองฟืนดึงดูดสายตาของวศินให้หันไปมองได้อย่างไม่ยากเย็น ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เคยขึ้นสีระเรื่อบนแก้มอย่างคนสุขภาพดียามนี้กลับเปื้อนเขม่าควันขมุกขมัวเล็กน้อย แต่เจ้าหัวก็หาได้ใส่ใจกลับตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เขาจดจ้องท่าทางที่เต็มไปด้วยความเป็นธรรมชาติจนลืมสนใจทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย

รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็มายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับอ่างน้ำหนึ่งใบเสียแล้ว

“เช็ดแผลก่อนนะจ๊ะ”

เด็กหนุ่มวางอ่างดินเผาไว้บนแคร่ข้างกายสูงใหญ่ก่อนจะเอ่ยขออนุญาตเจ้าตัวเพื่อทำความสะอาดแผลให้ วศินเพียงพยักหน้ารับพร้อมกับให้ความร่วมมือโดยการยกแขนทั้งสองข้างขึ้นอย่างทุลักทุเลเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายสามารถปลดผ้าพันแผลผืนเก่าออกได้อย่างสะดวก

เมื่อได้รับอนุญาตเจ้าแก้วก็เขยิบตัวเข้าไปยืนตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของคนที่นั่งอยู่ ฝ่ามือที่เล็กกว่าของยักษาอยู่มากค่อยๆ ดึงผ้าสีหม่นออกอย่างเบามือ เมื่อเนื้อผ้าที่ปกปิดหายไปก็ปรากฏรอยแผลชอกช้ำน่ากลัวมีเลือดซึมออกมา เด็กหนุ่มหน้าเสียลงไปไม่น้อยอย่างนึกรู้สึกผิดอยู่ในอกก่อนจะนำผ้าสะอาดอีกผืนชุบน้ำพร้อมบิดให้หมาดแล้วบรรจงซับลงไปบริเวณรอบปากแผลอย่างระมัดระวัง

เมื่อเห็นว่ารอยแผลที่ควรจะสมานกันกลับปริแตกมีเลือดซึมออกมายิ่งส่งผลให้ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นอย่างฉับไวเนื่องจากตระหนักได้ว่าตนเองนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมาเจ็บตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“คือ..” เสียงซึมเซื่องเอ่ยขึ้นอย่างกล้าๆ กลัว

“...”

“ขอโทษนะจ๊ะที่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนไปด้วย” นัยน์ตาสีอำพันหลุบต่ำลงเมื่อโดนสายตาคมกล้าตวัดมองมา

“...” วศินไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป เพียงแค่นั่งนิ่งๆ คอยฟังอีกฝ่ายพูดต่อเท่านั้น

“แล้วก็...ขอบคุณมากจ้ะ ที่มาช่วยฉันเอาไว้”

เจ้าแก้วพูดอ้อมแอ้มได้อย่างไม่เต็มเสียงเท่าใดนัก พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่นั่งหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์อื่นใด นั่นยิ่งทำให้เจ้าแก้วเผลอขบกัดริมฝีปากตนเองอย่างนึกประหม่าขึ้นไปอีก ใบหน้าอ่อนเยาว์พลันขึ้นสีระเรื่อเพราะแรงกดดันจากอีกฝ่ายที่ส่งตรงมาจากนัยน์ตาสีนิลคล้ายกับมีประกายไฟคุโชนอยู่ข้างในนั้น

..มันช่างแผดเผา...และทำให้ร้อนรุ่ม..

ทุกกิริยาของเด็กหนุ่มล้วนตกอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่ม หากแต่สิ่งที่ดูจะดึงดูดสายตาของจอมทัพอสุรามากที่สุดในเวลานี้ก็เห็นจะเป็นกลีบปากอิ่มสีสดที่โดนเจ้าของมันขบกัดไว้จนขึ้นสีซีด เขาพิศดูเพียงครู่หนึ่งก่อนจะดึงความสนใจทั้งหมดไปไว้ที่สิ่งของรอบกายแทน

เพราะหากจ้องมองนานกว่านี้..

ก็เกรงว่าจะทำให้ตัวเขานั้นสูญเสียการควบคุมไปด้วย

“ช่างเถอะ เรื่องแค่นี้ข้าหาได้ใส่ใจ”

เพราะต้องการปกปิดบิดเบือนความรู้สึกน่ารำคาญที่กำลังเกาะกุมก่อกวนจิตใจจึงเผลอหลุดคำพูดที่ขัดแย้งกับตนออกไปคล้ายกับจะไม่ไยดีกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เท่าใดนัก

จอมทัพอสุราแสร้งมองรอบด้านไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองอีกฝ่ายที่ตอนนี้ดูเซื่องซึมลงไป แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเมื่อรู้สึกตัวว่าเขากำลังมองมันอยู่ เด็กหนุ่มก็ส่งรอยยิ้มเบาบางส่งมาให้ก่อนจะทำทีเป็นชวนคุยเรื่องสุขภาพร่างกายของเขาแทนพร้อมกับทำแผลไปพลาง

ในเวลานี้เองที่วศินรู้สึกคล้ายกับโดนมดกองทัพหนึ่งรุมกัดเข้าที่กลางอกเมื่อทันเห็นสายตาที่แสดงถึงความตัดพ้อกัน แม้นจะเพียงแค่แวบเดียวก็เล่นเอาเขานั้นรู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายดูท่าทีจะไม่ติดใจอะไรเขาจึงทำได้แค่เพียงปล่อยเลยตามเลยนั่งเป็นผู้ฟังที่ดีต่อไป

วศินมองปากเล็กๆ ที่ขยับเจื้อยแจ้วไปเรื่อยอย่างไม่รู้เหนื่อย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปเห็นคราบเขม่าเจือจางแต้มอยู่ข้างแก้มอิ่ม

..ช่างขัดตาเสียจริง...

ทันใดนั้นฝ่ามือข้างหนึ่งก็ยกเอื้อมขึ้นมาเช็ดคราบสกปรกออกไปจากผิวเนื้อนุ่ม ส่งผลให้เจ้าแก้วนิ่งงันตัวแข็งทื่อเมื่อโดนจู่โจมด้วยการกระทำที่เหนือความคาดหมายจนเผลอตัวหลับตาลงด้วยความตกใจ

หากแต่ฝ่ามือใหญ่ที่สามารถกุมหัวของมันไว้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวนั้นกลับบรรจงเช็ดคราบเขม่าออกให้อย่างเบามือ มือข้างนี้ที่เคยจับแต่ศาสตราวุธมาตลอดชีวิตไม่รู้ว่าควรกะแรงอย่างไรเมื่อต้องสัมผัสกับพวงแก้มอุ่น เกรงว่าหากลงแรงมากไปจะทำให้ผิวเนียนขึ้นรอยช้ำเอาได้ง่ายๆ

ความอุ่นร้อนจากข้อนิ้วที่ลากผ่านข้างแก้มแผ่ซ่านไปทั่วกายจนทำให้ศิษย์รักของครูบุญหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์แก้วตาสีอำพันสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อสบเข้ากับสายตาทรงอำนาจ โดยปกติแล้วเจ้าแก้วนั้นเป็นมนุษย์ประเภทที่ชอบออดอ้อนอยู่แล้ว เมื่อโดนการกระทำที่อ่อนโยนเช่นนี้เข้าไปจึงเผลอตัวเอียงหน้าเข้าหาฝ่าใหญ่อย่างนึกเคยตัว พฤติกรรมเช่นนี้ถูกครูบุญกับพี่กล้าด่าว่ามันเสียนิสัยคล้ายเด็กไม่รู้จักโต

แต่แท้จริงแล้วเจ้าแก้วก็ต้องการเพียงแค่ไออุ่นที่มันเคยขาดมาตั้งแต่เด็กเท่านั้น มันจึงชอบที่จะออดอ้อนพ่อครูกับพี่ตัวเองประจำเมื่อมีโอกาสและตัวเจ้าแก้วเองนั้นกลับมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องไม่ดีด้วย

“คราบเขม่า” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอก พร้อมกับลอบสังเกตอาการของอีกฝ่ายไปด้วย “มันเปื้อนหน้าเจ้า”

เจ้าแก้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะลงมือทำแผลต่อ แต่คราวนี้กลับปิดปากเงียบสนิทไม่พูดไม่จา ทำเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับการทายาสมุนไพรลงบนบาดแผลเท่านั้น

การกระทำเมื่อครู่ทำเอาวศินนั้นนึกแปลกใจตนเองอยู่ไม่น้อยที่มือมันไปไวเสียยิ่งกว่าความคิด ช่วงเวลาที่ข้อนิ้วสัมผัสกับผิวเนื้อนุ่มหยุ่น ยามที่อีกฝ่ายเผลอเอียงแก้มลงมาหานั้นมันให้ความรู้สึกคล้ายกับว่ากำลังหยอกเอินกับพวกสัตว์ป่าตัวเล็กๆ อย่างเช่น...

..กระรอก..

หน้าซื่อๆ ...ตากลมใส..

ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เริ่มมองเห็นสันกรามได้ชัดเจนขึ้นดูท่าแล้วในอนาคตคงจะเนื้อหอมอยู่ไม่น้อย แต่เนื้อส่วนแก้มนั้นกลับยังคงมีอยู่พอสมควรแก้มกลมๆ ไม่ตอบลงดังเช่นคนวัยหนุ่มทั่วไป

มันทั้งเนียนและนุ่มมือจนเขาต้องเผลอไล้ข้อนิ้วไปด้วยความเพลิดเพลิน

อีกทั้งนัยน์ตาสีสวยนั่นยังเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึงเมื่อเขาถือวิสาสะถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่าย อสุราหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกชอบใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ขนาดกับวิรัลที่เป็นน้องชายแท้ๆ เขายังไม่เคยปฏิบัติด้วยความอ่อนโยนเช่นนี้เลยด้วยซ้ำไป

“พันแผลจ้ะ”

เจ้าแก้วเอ่ยบอกโดยที่มีจอมทัพแห่งยักษาตัวโตปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายราวกับเด็กว่านอนสอนง่าย อ้อมแขนของมนุษย์ตัวน้อยสอดผ้าพันช่วงอกแกร่งไว้อย่างเชี่ยวชำนาญ แต่อสุราหนุ่มที่นั่งนิ่งตามคำบอกของมันนั้นทำให้เกิดความลำบากอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ดวงตาคมปลาบที่ก้มลงมามองอย่างไม่ละสายตาทำให้ศิษย์รักของครูบุญมือไม้สั่นเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดอยู่ใกล้ๆ ทำให้มันไม่กล้าแม้แต่ที่เปรยตาขึ้นมองเลยแม้แต่น้อย

เมื่อวศินรู้สึกตัวได้ว่าการจดจ้องอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลาแบบนี้คงทำให้เด็กหนุ่มเกิดความกดดันเขาจึงเลื่อนสายตาออกไปมองทิวทัศน์รอบกายแทนเพื่อให้เจ้าแก้วไม่รู้สึกเกร็งและประหม่าไปมากกว่านี้

“ท่านจะไม่ดามแขนไว้จริงหรือจ๊ะ”

มันช้อนตาขึ้นมองอสุราหนุ่มตรงหน้าอย่างนึกสงสัยอีกครา เมื่อครู่นี้เจ้าแก้วได้บอกกับอีกฝ่ายไปว่าหลังจากทำความสะอาดแผลแล้วพ่อครูได้สั่งให้มันดามแขนขวาของท่านผู้นี้ไว้ด้วยเพราะแรงกระทบกระทั่งเมื่อครู่อาจจะทำให้กระดูกแขนร้าวหรือแตกหักได้ แต่อสุราหนุ่มกลับปฏิเสธอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก บอกเพียงแต่ว่าบาดแผลเพียงแค่นี้ไม่นานก็หาย

“อืม” วศินพยักหน้ายืนยันคำตอบอีกหน

เพียงแค่กระดูกร้าวนิดหน่อยประเดี๋ยวมันก็หาย ไม่จำเป็นต้องดามให้รำคาญกายรำคาญใจ ร่างกายของยักษามันดีกว่ามนุษย์ก็ตรงนี้นั่นล่ะ

“เช่นนั้นฉันเอาของไปเก็บก่อนนะจ๊ะ”

เด็กหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับเก็บข้าวของทุกอย่างขึ้นมาถือไว้ก่อนจะลุกเดินเอาไปเก็บให้เข้าที่

ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มอีกตนก็เดินแบกกองฟืนเข้ามาทางใต้ถุนเรือนพอดี วิรุณเพียงหันมายักคิ้วให้กับสหายของตนเล็กน้อยก่อนจะหันไปทักทายเด็กหนุ่มมนุษย์หน้าซื่อแทน เมื่อครู่นี้เขาได้อาสาไปช่วยครูบุญขนย้ายกองฟืนจากบริเวณหลังบ้านมาไว้ใต้ถุนเรือนเพราะเห็นว่าคนสูงวัยกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บท่อนไม้อยู่อย่างทุลักทุเล

“จะไปไหนหรือแก้ว” อสุราหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินไปหยิบย่ามใบเก่าที่คุ้นตาขึ้นมาสะพายไว้ข้างกาย

“ฉันจะเข้าไปเก็บสมุนไพรให้พ่อครูจ้ะพี่ยักษ์” น้ำเสียงสดใสพร้อมกับรอยยิ้มกว้างถูกส่งกลับไปให้คู่สนทนา

นี่ก็สายมากแล้ว ต้องรีบเข้าป่าเพื่อไปหาสมุนไพรมาให้ครูบุญอีกหลายชนิด เพราะเมื่อวันก่อนเด็กๆ ในหมู่บ้านนั้นจู่ๆ ก็จับไข้ขึ้นสูงจนเหล่าพ่อแม่ของพวกมันต้องวิ่งโร่มาขอความช่วยเหลือจากชายชรากันเสียให้วุ่นครูบุญจึงตกปากรับคำไว้ก่อนจะขอเวลาให้เตรียมยาและทุกอย่างให้พร้อมเสียก่อนถึงจะเข้าไปรักษาให้ในหมู่บ้าน

“ไม่กลัวถูกเสือจับกินอีกรึ” เสียงหยอกเย้าด้วยอารมณ์ขันของวิรุณทำให้เจ้าแก้วหน้ายู่ขึ้นมาบ้างเมื่อนึกถึงวีรกรรมเสี่ยงตายของตัวเอง

“คราวนี้ไม่พลาดแล้วจ้ะ” มันตอบกลับอย่างมุ่งมั่นพร้อมกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อโดนอีกฝ่ายขยี้หัวเสียจนเส้นผมยุ่งเหยิง

ท่าทาง น้ำเสียง และรอยยิ้มที่ไม่คุ้นเคยจากมนุษย์หน้าซื่อทำให้คิ้วเข้มบนใบหน้าคมคร้ามของจอมทัพอสุราขมวดเข้าหากันจนยุ่ง ตะกอนขุ่นมัวในอกถูกกวนขึ้นมาจนคละคลุ้งเมื่อเห็นบุคคลทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนม นัยน์ตาสีอ่อนที่ทอประกายสดใสยามตอบคำถามของวิรุณนั้นทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีออกไปมองทิวทัศน์รอบด้านเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจออกจากภาพน่ารำคาญใจ

ทีกับเขา...สายตาที่อีกฝ่ายใช้มองกันนั้นราวกับเป็นคนละคน

ทั้งประหม่าและหวาดกลัว

..เหมือนพวกสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กลัวว่าตนนั้นจะถูกนักล่าจับกิน

ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลให้อารมณ์ขุ่นมัว วศินหยัดกายขึ้นหวังจะเดินออกไปให้พ้นจากบริเวณใต้ถุนเรือน หากแต่เสียงตะโกนโหวกเหวกอย่างร้อนรนของเด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังวิ่งโร่เข้ามาในเขตเรือนอย่างหน้าตาตื่นนั้นดึงความสนใจของพวกเขาทั้งสามให้หันกลับไปมองเป็นตาเดียว

“ครูบุญจ๊ะ! เกิดเรื่องแล้วจ้ะ!!”

เด็กหนุ่มคนนั้นหยุดยืนหอบหายใจจนตัวโยน กายสีคล้ำแดดชโลมไปด้วยหยาดเหงื่อจนเสื้อผ้าเปียกชื้น ทำให้เจ้าแก้วต้องเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยท่าทีตื่นตกใจอยู่ไม่น้อยโดยมีสองยักษาเดินตามไปอยู่ไม่ห่าง ทำให้เด็กหนุ่มในหมู่บ้านตื่นตกใจเสียยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ทั้งสองยืนค้ำหัวมันอยู่

นี่มันยักษ์มิใช่หรือ! เหตุใดยักษ์จึงมาอยู่ที่บ้านครูบุญได้!

“มีเรื่องอะไรงั้นหรือจ้อย”

‘ไอ้จ้อย’ เด็กหนุ่มในหมู่บ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเลิกสนใจยักษ์แปลกหน้าทั้งสองก่อนจะรีบคว้ามือเจ้าแก้วขึ้นมาจับไว้พร้อมกับรีบพูดอย่างร้อนรนจนอีกฝ่ายฟังไม่ได้ความ

“พี่แก้วเกิดเรื่องแล้วจ้ะ!” ไอ้จ้อยยังคงไม่หายหอบจึงทำให้คนอายุมากกว่าต้องลูบหลังแล้วบอกให้มันใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่า

“ใจเย็นเสียก่อนจ้อย ค่อยๆ พูด” น้ำเสียงนุ่มคล้ายปลอบประโลมอยู่ในท่วงทีทำให้ไอ้จ้อยเริ่มเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด มันสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มบอกจุดประสงค์ที่ทำให้มันต้องวิ่งลัดป่าลัดดงเข้ามาหา

“ก็พี่กล้าน่ะสิจ๊ะ! อุบ!”

พอชื่อพี่ชายของตนหลุดออกมาจากปากไอ้จ้อย เจ้าแก้วก็รีบตะครุบปากมันไว้ก่อนจะส่งสายตาเตือนเชิงว่าอย่าพูดเสียงดังไปประเดี๋ยวครูบุญจะได้ยิน

ไอ้จ้อยเห็นดังนั้นก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจในทันที จะอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่ว่าพี่แก้วจะกลัวครูบุญรู้เรื่องเข้า ยิ่งท่าทีที่ร้อนรนของมันแล้วไม่ต้องคาดเดาให้ยากเลยว่าศิษย์คนโตของครูบุญนั้นต้องไปก่อเรื่องในหมู่บ้านอีกแล้วเป็นแน่

คราแรกเจ้าแก้วก็ตั้งใจว่าจะเป็นคนเข้าไปหาพี่ชายมันโดยที่พ่อครูไม่ทันที่จะได้รู้เรื่อง มิเช่นนั้นละก็รับรองเลยว่าพี่กล้าต้องโดนดีไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ราวกับชะตาจะไม่เข้าข้างเสียแล้ว เมื่อเสียงอาวุโสทรงอำนาจเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวายดึงสายตาทั้งสี่คู่ให้หันไปมองชายชราที่เดินนวยนาดลงมาจากบนเรือน

“ไอ้ตัวดีมันไปก่อเรื่องอันใดไว้ล่ะ”

น้ำเสียงนิ่งเรียบไม่แสดงถึงโทสะเอ่ยถามอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนใจคล้ายกับเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติอย่างเช่นฝนตกฟ้าร้องไปแล้วสำหรับเขา แต่หารู้ไม่ว่าท่าทีแบบนี้ของพ่อเฒ่านี่แหละที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการบันดาลโทสะออกมาโต้งๆ

เจ้าแก้วหันไปมองพ่อครูของมันก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนกลับไปให้เมื่อโดนสายตาคาดโทษมองมาอย่างรู้ทันว่ามันนั้นตั้งใจที่จะปกปิดความผิดช่วยพี่ของมัน

ถึงจะเริ่มชราแต่หูและตานั้นก็ยังใช้การได้ดีอยู่ เขาสังเกตเห็นตั้งแต่ไอ้จ้อยมันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในเขตเรือนแล้ว เพียงเท่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความ ครูบุญเดินไปหยิบผ้าขาวขึ้นมาพาดไว้บนคอด้วยท่าทีสบายๆ พร้อมกับเปิดหีบไม้ตรงมุมห้องขึ้น หยิบไม้ตะพดที่ทำมาจากไผ่เปร็งมาถือไว้ในมือด้วยท่าทีไม่รีบร้อนก่อนจะเดินลงมาเจอกับศิษย์รักคนเล็กที่กำลังพยายามช่วยปกปิดเรื่องของพี่มัน

ชายชรามองคาดโทษมันไปหนหนึ่ง ก่อนจะหันไปถามต้นสายปลายเหตุจากเด็กหนุ่มอีกคนแทน

“ว่าอย่างไร หา ไอ้จ้อย”

น้ำเสียงดุดันที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกถึงอารมณ์เดือดดาลจากชายชราได้เป็นอย่างดี ไอ้จ้อยอึกอักอยู่ในคราแรก แต่เมื่อโดนตวัดสายตามามองจนสะดุ้งทำให้ต้องจำใจสารภาพออกมา

“คือ...พี่กล้ามีปากเสียงกันกับพี่มืดอีกแล้วจ้ะ”

ข้าว่าแล้วเชียว! ไอ้ตัวดี!

วันนี้เอ็งไม่ตายดีแน่ไอ้กล้า!

ชายชราขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมายมั่น เส้นประสาทข้างขมับเต้นตุบเมื่อได้ฟังคำบอกกล่าวจากปากของเด็กหนุ่มในหมู่บ้าน

‘ไอ้มืด’ เป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับไอ้กล้า พวกมันสองคนเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน เหตุเพียงเพราะไอ้ตัวดีมันดันไปถูกอกถูกใจนางบัวคลี่สาวสวยประจำหมู่บ้านเข้า ส่วนทางฝั่งไอ้มืดนั้นก็ดูท่าจะมีใจให้กับฝ่ายหญิงอยู่แล้วเหมือนกัน พวกมันสองคนถึงขั้นแข่งกันแลกหมัดแลกแข้งในงานบุญหมู่บ้านเมื่อสามปีที่แล้วจนต่างฝ่ายต่างสภาพดูไม่ได้กันทั้งคู่

เขาจะไม่หนักอกหนักใจเท่านี้เลยถ้า’ ไอ้มืด’ ที่ว่ามานั้นมิใช่ลูกชายคนเดียวของ’ เสือขาว’ ขุนโจรที่มีชื่อเลื่องลือในหมู่บ้านรวมถึงละแวกใกล้เคียง ผู้ใดก็รู้ว่าเสือขาวนั้นเลี้ยงทั้งโจรป่าโจรบ้านไว้อยู่หลายร้อยชีวิตอีกทั้งยังมีอำนาจมากมายแม้แต่ทางการก็ยังไม่กล้าเข้ามายุ่ง

มึงนะมึง

เก่งกล้าสมชื่อจริงๆ

ทำแต่เรื่องฉิบหายไม่เว้นแต่ละวันเลยนะไอ้เวรตะไล!




(ต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2018 12:10:06 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
“พ่อครูจ๊ะ...ให้ฉันไป-”

เจ้าแก้วเห็นท่าไม่ดีจึงเดินเลียบๆ เคียงๆ เข้ามาลูบแขนชายสูงวัยหวังให้บรรเทาโทสะลง เพราะครูบุญนั้นก็อายุมากแล้วขืนปล่อยให้เครียดขมึงบ่อยๆ เช่นนี้เกรงว่าร่างกายจะทรุดโทรมเร็วเสียกว่าเดิม

“เอ็งไม่ต้องมายุ่ง ไปทำหน้าที่ของเอ็งตามที่ข้าสั่งไป” เสียงเฉียบขาดออกคำสั่ง

เด็กหนุ่มจึงต้องยอมถอยออกมาโดยไร้ข้อโต้แย้งพร้อมกับสำทับไปอีกหนว่าอย่าบันดาลโทสะจนเกินควร น้ำเสียงและสายตาที่ห่วงใยถูกส่งไปให้กับผู้มีพระคุณ มือเหี่ยวย่นจึงวางทับไปบนฝ่ามือของเด็กหนุ่มพร้อมกับตบเบาๆ เพื่อให้มันได้คลายกังวลลง

“เช่นนั้นข้าจะไปกับท่านด้วย”

วิรุณเสนอตัวติดตามไปด้วยเพราะนึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยหากครูเฒ่าผู้นี้จะต้องเดินทางไปผู้เดียว เพราะถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างน้อยเขานั้นจะได้ช่วยเหลือไว้ได้ทันเพราะลำพังชายสูงวัยเพียงคนเดียวคงไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่มันเกินจะรับมือไว้ได้

นึกถึง’ ไอ้ตัวดี’ ของครูเฒ่าผู้นี้ขึ้นมาแล้วก็อดที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้ แววตาแข็งกร้าวและวาจาพล่อยๆ ที่อีกฝ่ายมักจะมอบให้นั้นมันติดตรึงอยู่ในอกจนอสุราหนุ่มนึกระอาอยู่ไม่น้อย น้องก็ออกจะน่าเอ็นดูแล้วเหตุใดตัวพี่มันถึงได้น่าตีถึงเพียงนี้...

“ลำบากพ่อวิรุณแล้ว”

ครูบุญทอดถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก เขาไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากพ่อยักษ์ด้วยเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดี มีท่านวิรุณไปด้วยก็คงช่วยได้มาก

“ฝากด้วยนะจ๊ะพี่ยักษ์” เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ ไปให้อย่างรู้สึกละอายที่พี่ชายของตัวเองนั้นขยันก่อแต่เรื่อง

“เจ้าวางใจเถอะ”

ร่างสูงใหญ่เพียงแค่ยิ้มบางๆ ตอบรับเด็กหนุ่มพร้อมกับวางมือลงบนกลุ่มผมสีเข้มเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลลง ก่อนจะหมุนตัวเดินตามหลังชายชราและเด็กหนุ่มอีกคนเข้าไปทางหมู่บ้าน

เมื่อยืนมองส่งจนสุดสายตา เจ้าแก้วก็พรูลมหายใจออกมาอีกครั้งเพื่อผ่อนคลายจิตใจของตัวเอง ก่อนจะหันหลังกลับอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ระวังว่ามีใครยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“อะ--!”

หน้าของมันปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างอย่างแรงจนเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นในหัว แต่ฝ่ายที่โดนมันชนเข้าเต็มแรงนั้นกลับยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านสักเพียงนิด เป็นมันเสียเองที่เกือบจะเสียหลักหงายล้มไปด้านหลังถ้าฝ่ามือใหญ่ไม่เอื้อมมาคว้าตัวมันไว้ก่อน เจ้าแก้วลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้าคือแผงอกกำยำที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าดิบสีขาวสะอาด

พอได้ยืนใกล้กับอีกฝ่ายด้วยระยะชิดถึงเพียงนี้ ทำให้เจ้าแก้วตระหนักได้ว่าตนนั้นตัวหดเล็กลงไปมากโข หัวของมันยังไม่เลยช่วงอกของอสุราหนุ่มเสียเลยด้วยซ้ำไป อีกทั้งฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นที่กอบกุมต้นแขนของมันจนรอบเสมือนกำข้อแขนเด็กเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าจะเข้าไปในป่าหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอยู่เหนือศีรษะพร้อมกับค่อยๆ คลายฝ่ามือออกจากต้นแขนเรียวเล็กของเด็กหนุ่ม ถึงแม้นจะมีกล้ามเนื้อที่สมส่วนไม่ได้ดูบอบบางอะไร แต่ถ้าเทียบกับเขาแล้วต้นแขนของเด็กหนุ่มมนุษย์นั้นเล็กราวกับพวกยักษ์เด็กวัยกำลังซนเสียด้วยซ้ำไป

..เพียงมือข้างเดียวก็สามารถกอบกุมไว้ได้โดยง่าย...

“ช..ใช่จ้ะ ฉัน...ฉันต้องไปเก็บสมุนไพรให้พ่อครู”

เสียงกระท่อนกระแท่นเอ่ยตอบพร้อมกับเผลอยกมือขึ้นมาลูบต้นแขนข้างที่โดนกุมไว้ ร่องรอยความอบอุ่นที่ฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นทิ้งไว้ยังคงเจือจางอยู่บนผิวเนื้อ ความร้อนแล่นริ้วผ่านร่างวูบหนึ่งจนเจ้าแก้วรู้สึกได้ว่าตนนั้นมีอาการคล้ายกับคนจับไข้ขึ้นมาอีกหน เนื้อตัววูบวาบเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อนเมื่อโดนอสุราหนุ่มแตะเนื้อต้องตัว...

วศินก้มลงมองอีกฝ่าย แม้แต่หน้าเขาเจ้าเด็กนี่ก็ยังไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วท่าทางที่ดูหวาดกลัวจนตัวสั่นนั่นล่ะที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเสียดื้อๆ

หากฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นวิรุณ...อีกฝ่ายจะเลิกกลัวหรือไม่?

..จะกล้าเงยหน้าขึ้นมามองกันหรือเปล่า?

“หึ”

เสียงทุ้มต่ำหัวเราะเย้ยหยันในลำคอให้กับความคิดประหลาดของตนก่อนจะพรูลมหายใจออกมาเพื่อระงับอารมณ์ฟุ้งซ่าน เป็นเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน

“ข้าจะไปด้วย” วศินบอกจุดประสงค์ของตนเอง ก่อนจะมองอีกฝ่ายกลับอย่างไม่คิดจะหลบเหมือนครั้งที่ผ่านมา

นัยน์ตากวางเบิกกว้างขึ้นอย่างแปลกใจกับคำพูดของเขา ตากลมโตหวานล้ำ ลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนประกายไหวระริกอย่างระคนตกใจ ภาพตรงหน้านั้นยิ่งทำให้วศินมองเจ้าแก้วเป็นสัตว์ป่าตัวเล็กขี้ตกใจ

ตื่นกลัวง่ายเสียจริง..เจ้ากระรอกตัวนี้...

“จะดีหรือจ๊ะ” เด็กหนุ่มถามกลับอย่างไม่มั่นใจเท่าใดนัก

“อืม”

“แต่ว่า...ท่านบาดเจ็บอยู่นะจ๊ะ พักผ่อนอยู่ที่นี่จะไม่ดีกว่าหรือ”

มันอดที่จะเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้เพราะแผลเก่านั้นก็ยังไม่หายดี ซ้ำยังได้แผลใหม่เพิ่มมาอีก เจ้าแก้วจึงคิดว่าให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนอยู่นี่เสียยังจะดีกว่า

“นอนอุดอู้มาหลายวันแล้ว ข้าอยากออกไปเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง” เขายืนยันอีกหน

ที่กล่าวมาข้างต้นก็ถูกเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากได้ออกไปเดินชมนกชมไม้คงช่วยทำให้จิตวิตกเรื่องการศึกนั้นสงบลงไปได้บ้าง แต่แท้จริงแล้วเหตุผลหนึ่งที่เขาตัดสินใจจะตามอีกฝ่ายเข้าไปในป่าด้วยก็เพราะนึกถึงคำบอกเล่าของวิรุณเมื่อวันก่อนขึ้นมา

‘ระหว่างที่เจ้าหมดสติไป ข้าถือโอกาสออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆ แต่กลับเจอแก้วเข้าพอดี เด็กคนนั้นกำลังจะโดนเสือกินไปแล้วถ้าข้าไม่เข้าไปช่วยไว้’

เห็นหรือไม่...

..แม้แต่เสือมันยังอยากจะขย้ำเจ้ากระรอกหน้าซื่อตัวนี้...

เป็นเช่นนี้แล้วจะวางใจปล่อยเข้าป่าไปคนเดียวได้อย่างไร?

“อ้อ เช่นนั้นเชิญทางนี้เลยจ้ะ”

เจ้าแก้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในเหตุผลของวศินเพราะนอนอุดอู้มาสามวันติดคงทำให้กล้ามเนื้อล้าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ท่าทางที่ผ่อนคลายลงมากของอสุราหนุ่มทำให้มันไม่รู้สึกประหม่าเหมือนก่อนหน้านี้ มันหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับออกเดินนำทางโดยมีร่างสูงใหญ่ของจอมทัพอสุราเดินทิ้งระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ด้านหลัง ดวงตาสีนิลทอดมองแผ่นหลังได้รูปของเด็กหนุ่มสลับกับมองแมกไม้นานาพันธุ์ที่รายล้อมอยู่รอบกาย ยิ่งเดินเข้าไปลึกก็ยิ่งได้พบพันธุ์ไม้ที่ไม่เคยได้รู้จักมาก่อน และในบางครั้งเจ้าแก้วที่สังเกตเห็นว่าเขาดูท่าจะสนใจก็จะพูดเจื้อยแจ้วขึ้นมาไม่หยุดเกี่ยวกับชื่อและสรรพคุณของมัน

วศินไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับเขาทำเพียงแค่เดินตามและเป็นผู้ฟังที่ดีไปตลอดทาง

เสียงนุ่มๆ ที่พูดพร่ำอยู่ข้างกายนั้นน่าฟังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

แสงแดดบางส่วนที่ส่องลอดเข้ามาในพงไพรตกกระทบกับนัยน์ตาสีอำพันจนขึ้นแววทอประกายยามที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามองประกอบการสาธยายสรรพคุณของสมุนไพรที่เขานั้นไม่ได้ใคร่จะสนใจฟังเท่าใดนัก…

..มันไม่น่าสนใจเท่ากับคนข้างกายที่พูดจ้อไม่หยุดเลยสักนิด...

อาจเป็นเพราะปกติแล้วเจ้าแก้วไม่ค่อยมีเพื่อนในวัยเดียวกันให้เที่ยวเล่นเหมือนอย่างคนอื่นๆ ทุกๆ วันเด็กหนุ่มจะมัวตามติดแต่เพียงครูบุญและพี่ชายของตนเองเท่านั้น ไม่ได้สนใจที่จะออกเที่ยวเตร่ไปทั่วกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน

อีกทั้งในบางครั้งบางคราวพ่อครูกับพี่กล้าก็ยุ่งจนไม่มีเวลาที่จะมาสนใจมันมากนัก วันๆ หนึ่งถ้าไม่ออกไปเดินเล่นในป่าก็คุยกับนกกับไม้ไปทั่วให้พอคลายเหงาได้บ้าง

ในเมื่อพอมีคนมารับฟังในสิ่งที่มันพูด เจ้าแก้วจึงถือโอกาสนี้พูดจ้อไม่หยุด

..สิ่งที่ใครต่อใครก็ต่างมองว่าน่าเบื่อ แต่อสุราหนุ่มตนนี้กลับตั้งใจฟังโดยไม่แสดงท่าทางเบื่อหน่ายให้มันเห็นเลยแม้แต่น้อย..

เห็นเช่นนั้นในใจเด็กหนุ่มก็ลิงโลดจนเผลอลืมตัวไปว่าตนนั้นเคยหวาดกลัวอีกฝ่ายมากเพียงใด

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ทั้งสองเริ่มที่จะเลิกทิ้งระยะห่างของกันและกัน ในตอนนี้เลยกลับกลายเป็นว่าข้างกายอสุราหนุ่มมีเจ้าแก้วเดินประกบติดแจ มีบางครั้งบางคราที่มันจะผละตัวออกไปเก็บสมุนไพรบางชนิดลงย่ามแต่สุดท้ายก็จะเดินกลับมาเดินอยู่ข้างๆ กายเขาเช่นเดิม




________



มาแล้วจ้าา แหะๆ ยังมีคนรออยู่ไหมคะะ ฮือออ อย่าเทเค้าน้าาา  :sad4:

เนื่องจากชีวิตช่วงนี้ยุ่งขิงจริงๆค่ะ แอบสารภาพด้วยว่าอู้ไปอ่านนิยายมาด้วย แค่กๆ :z10:

มาต่อแล้วน้าา ยาวๆไปนิดอ่านให้สนุกนะคะอย่าลืมติชมให้พันไมล์ด้วยน้าา อยากอ่านความเห็นของทุกคนเลยค่ะ



ปล1.พี่กล้าเปรี้ยวเข็ดฟันมากกกก วีรกรมมของมันยังมีอีกเยอะหลังจากนี้ เห็นทีจะต้องมีคนปราบ-- แค่ก

ปล2.เจ้าแก้วเป็นเด็กประเภทติดการสกินชิพค่ะ ติดแบบว่ามากจริงๆอ้อนเก่งมากกกกก เขียนเองก็อยากบีบเอง



เจอกันตอนหน้าจ้า ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจนะคะ เลิิ้บ :L2: :กอด1:



#ดอกแก้วกุมภัณฑ์

             

             
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2018 12:10:27 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ Zenith

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนเห็นว่าอัพตอนใหม่แล้วนี่แทบจะร้องไห้ ลูกแก้วของแม่~ คิดถึงจังเลยลูกกก

ตอนนี้ระยะห่างระหว่างลูกกับพี่ยักษ์เริ่มลดน้อยลงแล้ว อีกไม่นานก็คงได้เห็นพี่ยักษ์เริ่มรักลูกบ้างแล้ว ฮือออ อิแม่ปลื้มปริ่มเหลือเกินลูก

พี่กล้านี้ก็แสบใช่ย่อยจริงๆ คงต้องให้วิรุณช่วยปรา-- แค่ก //โดนพี่กล้าเตะ// มันน่าจริงๆ เลยยยย

ปล.คำผิดเริ่มน้อยลงแล้วแต่ยังมีบ้างเล็กน้อย คำตกก็ไม่มีแล้ว สู้ๆ นะคะ ยังรอเรื่องนี้เสมอ อย่าเท อย่าท้อ  อย่าหมดกำลังใจ เราจะส่งใจช่วยคุณนักเขียนนะคะ รักมากๆ  :กอด1:  :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด