✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒  (อ่าน 41267 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เข้ามาอ่าน บอกเลยว่าติด555  ยังคงรออยู่เน้ออ

ออฟไลน์ Spoypopoy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
คิดถึงเด้อจ้า รอนาจา

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
บทที่ ๒๑
พบพา

.




.




.






“หยุดพักที่นี่สักประเดี๋ยว แล้วค่อยออกเดินทางต่อ” อสุราหนุ่มก้าวลงจากหลังม้าหลังจากที่ต้องรอนแรมมาหลายวัน

เบื้องหน้าคือธารน้ำขนาดเล็กท่ามกลางไพรกว้างที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่...ที่แห่งนี้คือดินแดนมนุษย์ที่พวกเขานั้นย่างกรายเข้ามาถึงเมื่อหลายวันก่อน นัยน์ตาสีโกเมนกวาดมองรอบด้านเพื่อสำรวจก่อนจะเอ่ยบอกให้เหล่าทหารที่ติดตามออกไปเดินตรวจตราบริเวณโดยรอบ

“ห่างจากนี่ไปไม่ไกลคงเป็นหมู่บ้านของพวกมนุษย์” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นจากทานด้านหลังพานทำให้บรรยากาศรื่นรมย์นั้นพังทลายลง “หลังพุ่มไม้นั่น มีกับดักที่ทำจากไม้เหลาแหลม เอาไว้ดักพวกสัตว์ใหญ่”

“นั่นมันน่าอัศจรรย์ใจตรงไหนไม่ทราบ” กรรณหันไปมองคู่อริอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินลงไปที่ธารน้ำแล้ววักขึ้นมาล้างใบหน้า

“จากนครคีรีมาก็ตั้งหลายวัน” เวธัสนั่งลงบนโขดหินที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนจะสอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณผืนป่า “เดินทางรอนแรมไปทั่วทุกแดน…แต่ก็ไม่พบร่องรอยของทั้งสองจอมทัพแม้นเพียงกระผีก หากพวกเขาหนีออกมาพร้อมสมบัติมากมายเหมือนอย่างที่เจ้าว่า ก็ต้องมีใครสักคนได้พบเห็นบ้าง” อสุราหนุ่มทอดถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา...นับว่าเป็นเวลาหลายวันที่ออกเดินทางตามหาทั้งสองจอมทัพตามที่ได้รับคำสั่งจากองค์จ้าวเหนือหัว

ยิ่งชักช้ามากเท่าไหร่...การสะสางคดีความก็ยิ่งถูกยืดเยื้อออกไปนานเท่านั้น

และนั่นก็หมายความว่าพวกราชคฤห์จะสามารถใช้จังหวะนี้เข้ามาแทรกแซงจนทำให้นครคีรีสั่นคลอนได้ในที่สุด

“หากเจ้าถอดใจก็กลับไปเสีย...ข้าทำภารกิจนี้คนเดียวได้” กรรณยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะปรายตามองไปยังอีกฝ่าย

“หึ...ปล่อยให้เจ้าที่เป็นพวกเดียวกันกับกบฏออกไปตามหาเพียงลำพังน่ะหรือ” เวธัสกระหยิ่มยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนจ้องหน้ากับอดีตคู่ปรับอย่างไม่ยอมลดละ

เพียงเท่านั้นเขี้ยวยาวของอีกฝ่ายก็งอกเงยขึ้นมาตามแรงโทสะก่อนเรี่ยวแรงมหาศาลจะกระทบเข้ากับเสี้ยวใบหน้าจนรู้สึกชา เวธัสคำรามเสียงกร้าวในลำคอในตอนที่กระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้เพื่อเป็นการเอาคืน อสุราหนุ่มสองตนฟาดฟันกันจนน้ำในลำธารกระเซ็นเปียกไปทั่วทั้งตัว

เสียงกึกก้องยามที่สันหมัดกระทบเข้าผิวเนื้อนั้นฟังดูน่ากลัวจนสัตว์ป่าเล็กใหญ่บริเวณนั้นแตกกระเจิงหนี

“เมื่อก่อนบ้าดีเดือดเช่นไร...ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม” เวธัสอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอถีบเข้าตรงกลางท้องจนมันล้มลงไปในธารน้ำ ก่อนจะตามไปเหยียบซ้ำหากแต่มันกลับพลิกตัวหลบได้เฉียดฉิว “ดีแต่ใช้กำลัง...ไร้หัวคิด”

“หึ” กรรณถ่มเลือดทิ้งก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นมาใช้ขาเตะเข้าที่ข้อพับฝ่ายตรงข้ามจนล้มลงไปในธารน้ำด้วยกัน “ถ้าข้าไร้หัวคิด...เจ้าก็คงไร้น้ำยา” เรื่องราวในอดีตถูกหยิบยกขึ้นมาหมายกระตุ้นเร้าโทสะ...แล้วก็ได้ผล

ได้ผลดีเสียด้วย เมื่อทหารเอกขององค์จ้าวเหนือหัวที่ในยามปรกตินั้นมักจะนิ่งขรึม แต่ครานี้กลับเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่แม้นเพียงกระผีก

“เจ้ากำลังเอาเรื่องส่วนตัวมาข้องเกี่ยว” เวธัสออกแรงถีบลมอย่างแรงเมื่ออีกฝ่ายไหวตัวหลบทัน

“ส่วนเจ้าเองก็ไม่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้” อสุราหนุ่มคว้าเข้าที่ลำคอคู่ต่อสู้ก่อนจะออกแรงบีบเคล้นตามโทสะที่พุ่งขึ้นสูง “บุหลันเป็นเมียข้าแล้ว...นางรักข้า หาใช่เจ้า” ถ้อยคำย้ำเตือนเน้นชัดทิ่มแทงจิตใจคนฟังราวกับหอกแหลมนับพันสาดกระหน่ำลงบนอก เวธัสขบกรามจนขึ้นสันก่อนจะกระโจนเข้าหาอีกฝ่ายจนเสียหลักลมลงไปในลำธารด้วยกันทั้งคู่

ทั้งสองแลกหมัดกันไปสักพักจนได้เลือดก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นแสงวาววับของสิ่งของบางอย่างที่โดนแดดส่องกระทบอยู่ภายใต้ผิวน้ำ

“นั่น...” กรรณผลักอีกฝ่ายออกห่างก่อนจะเดินย่ำน้ำเข้าไปใกล้ พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดคราบเลือดออกไปจากใบหน้า

วัตถุชนิดนั้นตกอยู่บริเวณข้างโขดหินมันถูกตะไคร้น้ำเกาะเป็นบางส่วน...แม้นจะมองจากระยะนี้แต่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าคืนสิ่งใด อสุราหนุ่มถลาลงไปคว้ามันขึ้นมาก่อนความรู้สึกดีใจจะฉายชัดออกมาทางใบหน้า

“...กำไลต้นแขนของท่านวศิน” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยบอก

กำไลที่ถูกหล่อขึ้นมาจากเหล็กกล้าเนื้อดี...หนึ่งในเครื่องแต่งกายของแม่ทัพใหญ่แห่งนครคีรียามที่ต้องออกศึก

“เช่นนั้น...พวกเขาก็คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากลำธารนี่” เวธัสขยับเข้ามาใกล้เพื่อพิศมองหลักฐานที่สองจอมทัพหลงเหลือเอาไว้

“ท่านกรรณขอรับ” หนึ่งในทหารที่ออกไปลาดตระเวนวิ่งหน้าตั้งเข้ามาอย่างรีบร้อน

“มีอะไร”

“จากลำธารนี่ไป ไม่ใกล้ไม่ไกลมีหมู่บ้านมนุษย์อยู่ทางหลังเชิงเขาขอรับ”

“แล้วได้ความว่าอย่างไรบ้าง” เวธัสเอ่ยถาม

“ตอนนี้พลทหารที่เหลือได้เดินทางเข้าไปตรวจตราภายในหมู่บ้านบ้างแล้ว...ข้าจึงรีบกลับมาแจ้งให้พวกท่านได้ทราบขอรับ”

“ดี” กรรณพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับไปที่อาชาศึกประจำกาย “ไปกันได้แล้ว”













ในเวลาบ่ายคล้อยเหล่าชาวบ้านในหมู่บ้านจันทน์ผานั้นก็ต่างดำเนินกิจวัตรส่วนตัวกันอย่างไม่รีบร้อนเฉกเช่นทุกวัน แต่วันนี้นั้นแปลกไปเมื่อมีผู้มาเยือนย่างกรายเข้ามาในอณาเขต เสียงฮือฮาของเหล่าชาวบ้านดังเซ็งแซ่อย่างตื่นตกใจเมื่อเห็นว่ามีเหล่ายักษาวัยฉกรรจ์หลายตนปรากฏตัวขึ้น

“พวกยักษ์นี่” เด็กสาวชาวบ้านที่ใบหน้าเปื้อนคราบเขม่าควันจากเตานึ่งขนมยืดคอมองอย่างสงสัยใคร่รู้

เฟื่องเช็ดมือเข้ากับผ้านุ่งก่อนจะเดินเข้าไปหายายกับพี่สาวที่นั่งกับดอกบัวอยู่บนตั่งไม้ใต้ถุนเรือน

“ยักษ์พวกนั้นเข้ามาทำอันใดที่หมู่บ้านของเรา” เด็กสาวยืนจ้องไม่วางตา

“บางที...อาจจะเป็นพวกเดียวกันกับยักษ์สองตนที่อยู่บ้านตาบุญกระมัง” บัวคลี่ชะเง้อมองตามน้องสาวก่อนจะยกมือขึ้นมาจับข้างขมับเมื่อความรู้สึกวิงเวียนกลับมาเล่นงานอีกหน

“ยังปวดหัวอยู่อีกหรือจ๊ะพี่บัว” เฟื่องเข้ามาประคองเมื่อเห็นว่าพี่สาวตนอาการไม่ค่อยดี

“อืม...ข้ารู้สึกเพลียเล็กน้อย คงเป็นเพราะอากาศวันนี้มันร้อนไปสักหน่อย” บัวคลี่ยิ้มบางเพื่อไม่อยากให้น้องและยายเป็นกังวล “เอ็งไม่ต้องเป็นห่วง...ได้นอนพักก็คงดีขึ้น”

ตั้งแต่เล็กๆ พี่บัวนั้นร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไรนักจึงทำให้ล้มป่วยอยู่บ่อยครั้ง มิหนำซ้ำยังกระหม่อมบางจนทำให้ตากแดดตามฝนนานไม่ได้ นางจึงมีผิวกายที่ขาวซีดเกินกว่าคนทั่วไปเพราะยายนั้นทั้งหวงและห่วงจนไม่ยอมให้พี่บัวทำงานหนัก

แต่ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาร่างกายของนางดูอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหน้ามืดและอาเจียนเกือบจะทุกวัน จนตาบุญต้องแวะเวียนมาหาที่เรือนอยู่บ่อยครั้งเพื่อตรวจดูอาการและต้มยารักษาให้

“ข้าว่าอาการของเอ็งน่ะมันแปลกๆ อยู่นานังบัว” ยายนิ่มหันมามองหลานสาวอย่างเป็นห่วง มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบบนผิวเนื้อเนียนอย่างใช้ความคิด “เหมือนกับ...คนท้อง”

คำทักท้วงกะทันหันทำให้หญิงสาวหน้าซีดเผือดก่อนจะฝืนยิ้มออกมาเพื่อโต้ตอบ “ม...ไม่ใช่หรอกจ้ะยาย”

“พี่บัวจะต้องได้อย่างไรกันล่ะยายก็!” เพื่องค้านขึ้น “ฉันไม่เห็นว่าพี่กล้าจะทำอะไรพี่บัวสักหน่อย”

“แล้วใครเขาจะมาทำให้เอ็งเห็นกันล่ะนังเฟื่อง” ยายนิ่มหยิกเข้าที่ท้องแขนจนฝ่ายนั้นร้องโอดโอยก่อนจะใช้มันไปม้วนคำหมากมาให้เพื่อเป็นการระงับปากระงับคำ...นังหลานคนนี้นี่มันม้าดีดกะโหลกเสียจริง

“ไม่ท้องก็แล้วไป ข้าก็แค่ทักท้วงตามประสาคนแก่ที่ผ่านโลกมาเยอะกว่าพวกเอ็ง” นัยน์ตาฝ้าฟางกลับไปสนใจกลีบดอกบัวที่พับค้างเอาไว้ต่อ

“ถ้าอย่างนั้น...ฉันขอขึ้นไปนอนพักสักประเดี๋ยวนะจ๊ะยาย” บัวคลี่ยิ้มก่อนจะลุกเดินขึ้นไปบนเรือน

คล้อยหลังจากนั้นหลานสาวคนเล็กก็เลียบเคียงเข้ามานั่งที่แคร่ไม้ก่อนจะป้องปากกระซิบกระซาบอย่างมีลับลมคมใน “ยาย...ยายว่าพี่บัวท้องจริงๆ น่ะหรือจ๊ะ”

“อะไรของเอ็ง” ยายนิ่มยังเมินเฉยไม่สนใจในสิ่งที่เฟื่องถาม

“แต่...ฉันก็คิดนะ ว่าพี่บัวน่ะท้อง” เด็กสาวว่าเสียงจริงจังเมื่อความทรงจำบางอย่างฉายชัดขึ้นมา “เมื่อสองเดือนก่อน งานบุญประจำหมู่บ้าน ยายจำไม่ได้หรือว่าคืนนั้นน่ะพี่บัวกลับบ้านเสียดึกดื่น มิหนำซ้ำพี่กล้าก็ยังเดินมาส่งด้วย”

“ปกติไอ้กล้ามันก็เดินมาส่งพี่เอ็งเป็นประจำอยู่แล้วนี่” ยายนิ่มแย้งขึ้น

“แต่ฉันว่ามันแปลก...ก่อนหน้านั้นพี่บัวน่ะไว้ตัวกับพี่กล้ามันจะตาย แค่จับไม้จับมือกันยังไม่ได้เลย” เฟื่องพูดต่ออย่างมั่นใจ “แต่หลังจากนั้นมา ทั้งพี่บัวและพี่กล้าก็ดูจะสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ดูอย่างตอนที่พี่มืดมันมาหาเรื่องที่เรือนเราซี่ พี่บัวแสดงออกชัดมากเลยนะยายว่าเป็นห่วงพี่กล้าน่ะ” ทั้งๆ ที่ปกติแล้วพี่สาวของนางจะไม่แสดงท่าทีว่าเป็นห่วงเป็นใยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเป็นพิเศษ

แต่สายตาที่พี่บัวใช้มองพี่กล้าวันนั้น...มันชัดเจนมากจนทำให้พี่มืดพูดไม่ออก

“อีกอย่างเดือนสองเดือนมานี้พี่บัวก็มีอาการแปลกๆ ด้วย มิหนำซ้ำยังบ่นว่าเหม็นดอกมะลิที่ฉันเอามาลอยน้ำในขันอีกต่างหาก ทั้งที่ปกติพี่บัวก็ชอบแท้ๆ”

“ก็จริงของเอ็ง” หญิงชราวางมือจากดอกบัวพี่พับกลีบเรียบร้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลานคนเล็กเมื่อเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่มันพูดนั้นดูเข้าที

แต่ก่อนที่จะได้นึกคิดสิ่งใดให้มากความเสียงฮือฮาของเหล่าชาวบ้านก็ทำให้สองยายหลานหันไปมองอย่างสนอกสนใจเมื่อเห็นว่ามีอาชาศึกตัวใหญ่ห้อตะบึงเข้ามาภายในหมู่บ้าน ก่อนความโกลาหลเล็กๆ จะเกิดขึ้นทันทีที่ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งร้องไห้จ้ากลับไปหาพ่อกับแม่เพราะตื่นตกใจกับเหล่ายักษ์

กลิ่นอายบางอย่างที่แผ่ออกมานั้นเพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ายักษ์สองตนที่ควบขี่อยู่บนหลังม้านั้นต้องเป็นทหารจากเมืองยักษ์

“น่ากลัว...แต่ก็ไม่เท่ากับตนที่อยู่บ้านตาบุญ” เฟื่องพึมพำกับตนเองก่อนจะร้องโอ๊ยเมื่อถูกยายตีเข้าที่ต้นแขน

“อย่าได้ตื่นตกใจไป...พวกข้ามาดี ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย” อสุราหนุ่มตนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังพอจะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านหันมาสนใจ

“พวกเรามาจากนครคีรี” อสุราหนุ่มอีกตนกล่าวขึ้นอย่างนิ่มนวล “รอนแรมมาหลายวันเพื่อออกตามหาสองจอมทัพใหญ่แห่งนครคีรีที่สูญหาย...พวกข้าตามหาไปทั่วเกือบทุกแว่นแคว้น แต่ในระหว่างที่หยุดพักที่ริมธารกลางป่ากลับพบสิ่งสิ่งนี้ตกอยู่ในน้ำ” กำไลแขนของจอมทัพวศินถูกชูขึ้นสูง “และทหารของข้าแจ้งเข้ามาว่าใกล้กันนี้มีหมู่บ้านของมนุษย์อยู่ จึงได้เร่งรุดเข้ามาหาเพื่อถามไถ่”

“ยายว่าคนที่พวกเขาตามหาจะใช่ยักษ์ทั้งสองตนนั้นหรือเปล่า” เฟื่องเอี้ยวตัวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบกระซาบข้างหู

แต่แล้วเสียงของใครบางคนก็โพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บริเวณบ่อนไก่หยัดยืนขึ้นเต็มความสูงโดยไร้ซึ่งท่าทีเกรงกลัวต่อพวกยักษ์ “เมื่อไม่นานมานี้มียักษ์สองตนพลัดหลงเข้ามาในหมู่บ้าน”

เพียงเท่านั้นความสนใจทั้งหมดก็พุ่งไปหาชายผู้นั้นทันที...กรรณกระโดดลงมาจากหลังม้าก่อนจะเดินเข้าไปหาเป้าหมาย ท่าทีองอาจสมเป็นชายชาตินักรบทำให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเปิดทางให้แต่โดยดี “แล้วพวกเขาอยู่ที่ใด”

มืดผงะถอยไปเล็กน้อยเมื่อช่วงตัวสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ “บ้านครูบุญ...ไอ้แก้วมันเป็นคนไปเจอยักษ์สองตนนั้นได้รับบาดเจ็บอยู่ในป่า จึงพากลับไปรักษาที่เรือน”

“แก้ว?” กรรณทวนชื่อซ้ำอีกครั้ง

“มันเป็นหลานคนเล็กของครูบุญ” มืดพยักพเยิดหน้าไปทางท้ายหมู่บ้าน “เรือนหลังนั้นอยู่ทางท้ายหมู่บ้าน เดินลัดป่าไปทางนี้เพียงไม่นานก็ถึงแล้ว”

“เช่นนั้นหรือ” กรรณมองตามไปที่จุดหมายก่อนจะหันกลับมาหาชายหนุ่มมนุษย์อีกครั้ง “เจ้าช่วยนำทางไปได้หรือเปล่า”

“จริงๆ ข้าก็อยากจะช่วยอยู่หรอกนะ แต่คงไม่สะดวกสักเท่าไร” มืดบอกปัดอย่างไม่ไยดี...เพียงแค่คิดว่าจะต้องก้าวไปเหยียบอณาเขตของไอ้หมาบางตัวมันก็พานม่สบอารมณ์ขึ้นมาเสียแล้ว “จะให้ลูกน้องข้าพาไปก็แล้วกัน” ว่าไว้แค่นั้นก็หันไปสั่งลูกน้องอีกสองคนให้นำทางพวกยักษ์ไปที่บ้านครูบุญทันที โดยที่ไม่ลืมย้ำพวกมันอีกหนว่าห้ามก่อเรื่องกับไอ้กล้าเด็ดขาดเพราะถึงอย่างไรแล้วที่นั่นก็เป็นเรือนของครูบุญ ถึงแม้เข้าจะไม่ชอบขี้หน้ามันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพานเกลียดคนรอบตัวมันไปด้วย

“ขอบใจเจ้ามาก” กรรณพยักหน้ารับก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้เหล่าทหารให้มุ่งตรงไปที่เรือนท้ายหมู่บ้านโดยทันที





(มีต่อด้านล่าง)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2019 23:09:53 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4




“วันนี้ข้าจะไปดูอาการท่านวศินสักหน่อย เอ็งอยู่เฝ้าเรือนเสียด้วยล่ะไอ้กล้า” ครูบุญเอ่ยสั่งหลังจากที่ตระเตรียมข้าวของเสร็จ

“ฉันไปด้วยไม่ได้หรือพ่อครู”

“เอ็งจะตามไปหาพระแสงอันใด” ชายชราย้ำเสียงเข้ม “ข้าจะไปกับท่านวิรุณ เอ็งน่ะไม่ต้องเสนอหน้า อยู่เฝ้าบ้านเสีย” แล้วก็ได้ผลเมื่อไอ้ตัวดีมันยอมเลิกเซ้าซี้ทันควัน เพียงแค่เอ่ยชื่อของพ่อยักษ์ออกไป

กล้ายอมล่าถอยก่อนจะทอดถอนหายใจออกมาเมื่อเก็นว่าอสุราหนุ่มนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกัน

ทุกคืนและทุกวันเขาเฝ้าภาวนาให้มันรีบกลับไปยังบ้านเมืองของมันเสียที ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเพราะรู้สึกไม่ค่อยจำเริญหูจำเริญตาสักเท่าไรนัก

“นั่นลูกน้องไอ้มืดนี่” อินและมั่นที่กำลังแบกฟืนมาจากทางหลังเรือนเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่าสองคนนั้นเดินย่างกรายเข้ามาในเขตเรือนของครูบุญ

“พวกมึงมาทำไม” กล้าเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปหาฝ่ายคู่อริ แต่ดูท่าแล้วหนนี้พวกมันคงจะไม่ได้มาหาเรื่องเพราะไม่ยักจะต่อปากต่อคำเฉกเช่นปกติ

“กูไม่ได้หามามึง” หนึ่งในนั้นว่าก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางด้านหลัง “แค่นำทางมา”

“อะไรของมึงวะ” กล้าจะเง้อมองตามหลังจากนั้นเพียงไม่นานก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่ามียักษ์อีกอีกหลายตนปรากฏตัวขึ้น แต่ก่อนที่มันจะได้เอ่ยปากทักท้วงออกไปร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็ก้าวมาบดบังเบื้องหน้าเอาไว้ แผ่นหลังกว้างแกร่งของอสุราหนุ่มทำให้มันเผลอผงะถอยไปหนึ่งก้าว

“เจ้ากรรณ” เสียงทุ้มที่เอ่ยทักเล่าบรรดายักษาเรียกความแปลกใจจากทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะครูบุญและไอ้กล้าที่ดูจะตื่นตกใจกว่าใครเพื่อน

“พี่วิรุณ!” อสุราหนุ่มกระโดดลงจากหลังอาชาศึกด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื้นตันใจแต่แล้วกลับถูกกีดกันเอาไว้เมื่อคนที่นั่งอยู่บนม้าศึกอีกตัวควบเข้ามาขัดขวางทาง

เวธัสปรายตามองต่ำไปที่อีกฝ่ายก่อนจะตวัดตามองกลับไปยังอสุราหนุ่มอีกตนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นัยน์ตาคมเข้มเพ่งพิศก่อนความคิดบางอย่างจะแล่นปราบเข้ามาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วก็ต้องเก็บกลืนหายไปเมื่อนึกถึงความตั้งใจเดิมที่ได้รับคำสั่งมาจากองค์เจ้าเหนือหัวของตน

“ในนามองครักษ์ส่วนพระองค์ของท้าวภารตากษัตริย์แห่งนครคีรี...ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าจอมทัพวศินและจอมทัพวิรุณนั้นเป็นกบฏต่อบ้านเมือง” อสุราหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่หนักแน่น “โดยความผิดนั้นทั้งสองจอมทัพได้ยักยอกทรัพย์สินส่วนพระองค์ออกมาในระหว่างที่หลบหนี ทั้งยังทิ้งการศึกซึ่งตามกฎแล้วนั้นถือว่าเป็นโทษร้ายแรงอย่างถึงที่สุด องค์จ้าวเหนือหัวจึงมีพระประสงค์ให้จับกุมพวกท่านทั้งสองกลับไปชดใช้ความผิดที่ก่อเสีย...มิเช่นนั้นจะทำการประหารเจ็ดชั่วโคตร!”

“ว่าอย่างไรนะ?” วิรุณนิ่งค้างเมื่อถูกกล่าวหาในสิ่งที่ตนและสหายไม่ได้เป็นคนก่อก่อนจะหันไปมองคนสนิททันที “นี่มันหมายความว่าอย่างไร...เจ้ากรรณ”

“คือ...” ฝ่ายนั้นยังคงพูดไม่ออกเมื่อความรู้สึกผิดอันแน่นอยู่ภายในอก

“กบฏหรือ…” ไอ้กล้าที่ยืนอยู่หน้าเสียก่อนจะกันกลับไปมองพ่อครูของมัน แล้วพลันบันดาลโทสะขึ้นมาเมื่อได้รู้ความเป็นมาของยักษ์ทั้งสองตน “กูว่าแล้วเชียว! ว่าพวกมึงน่ะมันตัวซวย!” ชายหนุ่มตวาดเสียงกร้าวก่อนจะพุ่งเข้าไปผลักอกของวิรุณอย่างแรงจนฝ่ายนั้นผงะถอย

“กล้า” อสุราหนุ่มเบี่ยงตัวหลบหมัดได้ทันเฉียดฉิวก่อนจะรวบมืออีกฝ่ายไว้เมื่อเห็นว่าไอ้หมาบ้ามันเริ่มโวยวายเสียงดัง “ข้าไม่ใช่กบฏ” แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนคนแก้ตัวเพราะแต่ไหนแต่ไรมาอีกฝ่ายก็ไม่เคยมองกันในแง่ดีอยู่แล้ว

“ถุด! คิดว่ากูเชื่อมึงหรือ” ไอ้กล้าถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างหยามเหยียดก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องอีกฝ่ายเขม็ง นัยน์ตาคมเข้มฉายความเจ็บแค้นออกมา “มึงหลอกพ่อครู! หลอกน้องกู! หลอกทุกคน ไอ้ยักษ์ชั่ว!”

“หยุดได้แล้วไอ้กล้า!” เสียงของชายชราเอ่ยตวาดขึ้นเมื่อเหลืออดกับความเลือดร้อนของหลานคนโต

“ไม่ ฉันไม่หยุด” ไอ้กล้ายังคงดื้อดึงซ้ำยังพยายามฉุดกระชากแขนของตนออกจากการเกาะกุม “ฉันเตือนพ่อครูแล้วใช่ไหมว่าไอ้ยักษ์พวกนี้มันไว้ใจไม่ได้!” เวลานี้มันเดือดดาลเสียจนเอาอะไรมาฉุดก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่แล้ว “เป็นอย่างไรล่ะ มันนำความฉิบหายมาให้ถึงเรือนขนาดนี้!”

“กูบอกให้หยุด!” ครูบุญตวาดเสียงดังลั่นกว่าทุกทีจนทำให้บรรยากาศรอบด้านเงียบสนิท “ถอยออกมาเสียไอ้กล้า...เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเอ็ง” ชายชราว่าเสียงเย็น

“...ปล่อยกู” กล้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่คนที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะสะบัดแขนอย่างแรงจนสันมือฟาดเข้าใส่ใบหน้าของวิรุณจนหน้าหัน “กูเกลียดมึง...ไอ้ตัวฉิบหาย” ว่าไว้แค่นั้นก็เดินหันหลังกลับไปทางพ่อครูปล่อยให้ใครอีกคนยกมือเช็ดเลือดที่ซึมขึ้นมาข้างมุมปากออกไปอย่างเงียบเชียบ

“พี่วิรุณ...เรื่องนี้ข้าอธิบายได้” กรรณอาศัยจังหวะที่เวธัสเผลอวิ่งรี่เข้ามาหาก่อนจะหันไปตวาดเหล่าทหารทที่กำลังจะเข้ามาจับกุมตัวอีกฝ่าย “หยุดไว้ตรงนั้น! หากพวกเจ้าแตะต้องตัวเขาแม้นเพียงกระผีกเดียวละก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” นัยน์ตาสีโกเมนประกายกร้าวเขี้ยวงองุ้มออกมาอย่างมีโทสะ

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือกรรณ...อยากจะโดนร่างแหไปด้วยใช่หรือไม่” เวธัสมองต่ำ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่าย

“เวธัส” กรรณหันไปหาอดีตคู่อริก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ “ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับพี่วิรุณ”

“ไม่มีกฎข้อไหนให้เราจะเจรจากับพวกกบฏ” ฝ่ายนั้นว่าเสียงเย็น

“เขาไม่ใช่กบฏ” กรรณพูดรอดไรฟันให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน

“หึ...เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ คนที่ยื่นหลักฐานยืนยันความผิดของทั้งสองจอมทัพก็คือเจ้าเองนี่” เวธัสเหยียดยิ้มแต่ความคิดบางอย่างที่ฉุกขึ้นมาก่อนหน้ากลับทำให้ต่อเติมเรื่องราวในใจได้ทีละนิด

แปลก...นี่มันแปลก...

เรื่องราวครั้งนี้...มันมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว...

“เช่นนั้น...ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” เวธัสกระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะโบกปัดให้เหล่าทหารออกไปลาดตระเวนรอบด้านเพื่อ

“ไม่” กรรณค้านเสียงแข็ง “ข้าจะเจรจากับเขาเพียงแค่สองคน เข้าไม่เกี่ยว”

“เจ้ามีสิทธิ์ต่อรองด้วยหรือ” เวธัสหรี่ตามองอย่างจ้องจับผิดก่อนจะผลักอกอีกฝ่ายออกห่าง “ข้าให้เวลาเพียงแค่ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินเท่านั้น”

กรรณขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างนึกขัดใจแต่สุดท้ายก็ยอมตกปากรับคำไป “ข้าคิดว่าคุยกันที่นี่...มันไม่เหมาะนัก”

“...ตามข้ามา” วิรุณพยักหน้าไปทางป่าแอ่งน้ำที่อยู่ทางหลังเรือนเพราะที่นั่นเป็นบริเวณที่เงียบสงบที่สุด ก่อนจะออกเดินนำหน้าทั้งสองไป













ผั้วะ!

เสียงของสันหมัดที่ปะทะลงบนเสี้ยวหน้าทำให้กรรณเกือบจะล้มเซลงไปกับพื้นก่อนจะถูกกระชากคอเอาไว้เพื่อรองรับหมัดอีกข้างที่ประเคนเข้ามา เสียงคำรามกร้าวดังก้องเมื่อไฟโทสะโหมลุกโชนจนนัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉาน วิรุณเหวี่ยงอีกฝ่ายไปที่โขดหินข้างแอ่งน้ำก่อนจะตามไปเหยียบซ้ำลงบนแผ่นอกจนฝ่ายนั้นขบกรามแน่นเพื่อระงับความเจ็บปวด

“ระยำ” เสียงทุ้มขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธขึ้ง “ลุกขึ้นมา” วิรุณบีบเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายด้วยฝ่ามือที่สั่นเทิ้มเมื่อไม่สามารถควบคุมสติตนเองเอาไว้ได้หลังจากที่ได้ฟังคำสารภาพทุกอย่างจากปากของมัน “เจ้าทำอะไรลงไป รู้ตัวหรือเปล่า...เจ้ากรรณ!” เขาตะคอกใส่อย่างเดือดดาลแต่มันกลับทำเพียงแค่หลบสายตาและนิ่งเฉย

“...ข้าขอโทษ” กรรณพยายามหายใจด้วยเรี่ยวแรงที่หลงเหลือเมื่อถูกบีบเข้าที่ลำคอ

“เก็บถ้อยคำของเจ้าเอาไว้บอกกับวศินมันเสียเถอะ” อสุราหนุ่มเหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายออกไปให้พ้นสายตาก่อนจะหันหลังหนีไปทางอื่นเพื่อต้องการระงับสติที่แตกซ่านให้คงที่

“โง่เง่าสิ้นดี” เวธัสที่เห็นและรับรู้ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้นสบถด่าอยู่ในลำคอเมื่อมองต่ำลงไปที่คู่อริของตน ก่อนความรู้สึกผิดหวังและโกรธแค้นจะโจมตีเข้ามาจนต้องขบกรามแน่น “คิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าบุหลันรู้เรื่องนี้ขึ้นมาแล้วจะรู้สึกอย่างไรที่ผัวที่นางรักนั้นเป็นกบฏเสียเอง!” เวธัสพุ่งเข้าไปกระชากตัวของอีกฝ่ายอย่างเหลืออด แต่ครานี้มันหาได้โต้ตอบอะไรกลับมาทำเพียงแค่นิ่งและปล่อยให้เขาต่อยตี

“จะให้ข้าทำอย่างไร!” กรรณตวาดกร้าวออกมาอย่างไร้หนทาง “รามสูรมันขู่จะฆ่าเมียกับลูกของข้า!”

“แล้วเหตุใดเจ้าไม่บอกความจริงให้ท้าวภารตาได้ทราบ!” เวธัสกระชากเสียงถามอย่าเหลืออดเพราะเหตุผลของมันนั้นช่างฟังไม่ขึ้นทั้งเพ

“มันจับตามองข้าอยู่ตลอด...หนแรกมันเพียงต้องการให้ข้ามายืนยันว่าทั้งสองจอมทัพหลบหนีไประหว่างทำศึก แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะให้ข้าร่วมมือสร้างหลักฐานเพื่อเอาผิดเฉกเช่นนี้” กว่าจะรู้ตัวก็ยากเกินกว่าที่จะถอยกลับเสียแล้ว...เพราะตอนนั้นใจมันแต่พะวงห่วงความปลอดภัยของลูกกับเมียจึงไม่ทันนึกคิดให้รอบคอบดีเสียก่อน

เหตุการณ์ครั้งนี้หากจะหาว่าใครควรรับโทษมากที่สุดนั่นก็คือตัวเขา...หาใช่จอมทัพทั้งสองไม่

“เจ้ามันมุทะลุ ไร้หัวคิดไม่ยอมเปลี่ยน” เวธัสขบกรามแน่นก่อนจะผลักอีกฝ่ายไปให้พ้นทาง “หากเพียงแค่เจ้ามาบอกข้า ทุกอย่างมันก็คงไม่เลยเถิดมาถึงขนาดนี้”

“หึ...เจ้าจะคอยเยาะเย้ยข้าเสียมากกว่า” กรรณยิ้มขันเมื่อรู้สึกสมเพชตัวเองเกินจะทน…แม้แต่คู่อริเก่าก็ยังดูมีหัวคิดมากกว่าเขา

“เจ้ามองข้าผิดไปมากโข” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบเฉยในขณะที่กำลังเดินหันหลังกลับ “ในเมื่อเรื่องนี้เจ้ามีส่วนผิดและรู้เห็นในการกระทำของพวกราชคฤห์ ก็จงรอชดใช้ความผิดที่เจ้าก่อขึ้นมาเสีย”

“เวธัส” วิรุณเอ่ยเรียกแต่ฝ่ายนั้นกลับยกมือขึ้นมาห้ามปรามเอาไว้

“ไม่ต้องห่วง...ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ผู้ใดทราบ เพราะเห็นแก่ท่านและท่านวศิน” เวธัสหยุดนิ่งก่อนจะหันไปมองไอ้คนไม่ได้ความที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่พื้น “เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเจ้าที่ต้องรับผิดชอบและชดใช้ในทุกๆ อย่าง...กรรณ”













คล้อยหลังจากที่ฝ่ายนั้นเดินออกไปวิรุณก็หันไปมองทางฝ่ายที่นั่งก้มหน้าอยู่บนพื้นก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียด “ลุกขึ้นมา” เขาเอื้อมมือไปตรงหน้าแต่พอฝ่ายนั้นจะยกขึ้นจับวิรุณกลับดึงกลับก่อนจะพูดออกมาเสียงแผ่ว “...เจ้าทรยศ...หักหลังพวกข้า”

“พี่วิรุณ…ข้า”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” วิรุณส่ายหน้าพร้อมกับยกมือปราม

“...” กรรณพยุงตัวลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสีโกเมนจับจ้องไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง

...เขาทำพลาดอย่างมหันต์

“วันที่ข้าและวศินออกไปรบกับพวกราชคฤห์และได้ฝากฝังให้เจ้าช่วยดูแลเมืองหน้าด่าน...ก็เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยต่อไปอย่างราบเรียบ “ทหารนับร้อยล้มตายเกลื่อนเพราะองค์รามสูรใช้ศรอาบพิษตัดกำลังกองพล พวกข้าถูกไล่ต้อนขึ้นไปบนหน้าผา…และวศินก็ถูกศรนั้นปักเข้าที่กลางอก”

กรรณเบิกตากว้างในสิ่งที่ไม่เคยได้รู้มาก่อน...ในวันนั้น วันที่รามสูรเล่าเกี่ยวกับจอมทัพทั้งสองก่อนที่จะบังคับเขาร่วมแผนการหาได้เป็นเช่นนี้ไม่...

“แต่สิ่งองค์รามสูรบอกข้าในวันนั้น...คือพวกท่านควบม้าหนีหายไปในระหว่างที่กำลังชุลมุน”

“แล้วเจ้าก็เชื่อ?” วิรุณเลิกคิ้วขึ้นถาม

“ในเวลานั้นข้าได้รับแจ้งมาว่าแม่ทัพนายหน้าทุกนายต่างถูกพวกราชคฤห์ลอบฆ่าจนเกลี้ยง และท่านกับพี่วศินก็หายไป” กรรณนึกทวนความจำ...ในเวลานั้นคงเป็นเพราะหลงเชื่อคำลวงจึงทำให้สตินึกคิดถูกพรากจากไป

“นั่นก็เพราะพวกข้าถูกไล่ต้อนขึ้นไปบนหน้าผา หาได้คิดหนีไม่” อสุราหนุ่มทอดถอนใจออกมาอย่างปลงตก...ในเหตุการณ์เช่นนี้อะไรๆ ก็ช่างดูเป็นใจไปหมดเสียจริง

“เป็นความผิดของข้าเอง ถ้าหากข้าหนักแน่นและนึกไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนอีกสักนิด...พวกท่านก็คงไม่ต้องมาประสบพบเจอกับเรื่องราวเช่นนี้” กรรณก้มหน้ามองพื้นเมื่อรู้สึกละอายใจเหลือแสน

“ช่างเถิด...ถึงเจ้าจะเอ่ยขอโทษอีกสักกี่ครั้ง ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้” วิรุณบอกปัด “เก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ให้วศินเสีย...จงพูดให้มันฟังเหมือนอย่างที่เจ้าพูดกับข้า”

“…” กรรณใบหน้าซีดเผือดก่อนจะรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่เข้ามากอบกุมภายในจิตใจ

“เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าวศินนั้นเป็นเช่นไร” ฝ่ายนั้นย้ำเตือนความจำ “แม้แต่ตัวข้าเอง...ก็คงช่วยอะไรไม่ได้”

“ขอรับ...ข้าทราบดี” กรรณก้มหน้ารับก่อนจะเอ่ยถามถึงใครอีกคนที่ไม่มีแม้แต่วี่แววในบริเวณนี้ “แล้ว...พี่วศิน”

“มันไปรักษาตัวอยู่ในถ้ำท้ายเชิงเขา...อาการย่ำแย่พอสมควร” วิรุณพยักหน้าไปอีกทาง “ก่อนที่เจ้าจะมา ข้ากับพ่อเฒ่ากำลังจะเดินทางไปดูอาการของมันพอดี”

คำบอกเล่าจากปากของอีกฝ่ายทำให้กรรณรู้สึกหนักอึ้งในอกเสียยิ่งกว่าเดิม “ข้าจะไปกับท่านด้วย”

“เช่นนั้นก็คงต้องให้เจ้าเวธัสตามไปด้วย”

เมื่อได้ข้อสรุปทั้งสองอสุราหนุ่มก็เดินกลับเข้ามาบริเวณเขตเรือนที่ยามนี้นั้นเหลือมนุษย์อยู่เพียงแค่สองคน นั่นก็คือครูบุญและไอ้กล้า ลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็คงถูกไล่ให้กลับเรือนไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

“พ่อวิรุณ” ครูบุญเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาหา ชายชรายังคงมีสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาเช่นเดิมไร้ท่าทีโกรธขึ้งหรือฉุนเฉียวออกมาให้ได้เห็น

“ข้า...” อสุราหนุ่มตั้งท่าจะเอ่ยขอโทษในสิ่งที่เขากับสหายได้กระทำเอาไว้จนทำให้เดือดร้อน แต่ฝ่ายนั้นกลับยกมือขึ้นวางบนต้นแขนแล้วบีบเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มมาให้อย่างไม่ถือสา

“ช่างมันเถิด พ่อวิรุณ” เขาไม่นึกติดใจในที่มาที่ไปของอสุราหนุ่มทั้งสองตนเพราะตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันนั้นก็สามารถเป็นตัวยืนยันได้แล้วว่าพ่อยักษ์ทั้งสองนั้นไม่ได้มีนิสัยที่ร้ายกาจ...และถึงแม้ว่าจะมี เขาก็เป็นแค่คนที่คอยช่วยรักษาเท่านั้น หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดไม่ ไม่จำเป็นเลยที่พ่อวิรุณจะต้องมานึกกังวล

ทางด้านกรรณเองก็แยกตัวออกไปเจรจากับเวธัสเรื่องของวศิน และเพียงไม่นานทั้งสองก็เดินกลับเข้ามาหาก่อนคำที่เวธัสเอ่ยบอกนั้นจะสร้างความแปลกใจให้อยู่ไม่น้อย “ข้าจะไม่ตามพวกท่านไป จงใช้ช่วงเวลานี้จัดการเรื่องทุกอย่างเสีย...แล้ววันพรุ่งก่อนรุ่งสาง ไปพบกันที่ธารน้ำตกทางฝั่งโน้น...พวกเราจะได้เดินทางกลับนครคีรีกันเสียที” เอ่ยเอาไว้เพียงเท่านั้นก็หันไปสั่งให้เหล่าพลทหารเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปยังจุดนัดพบ

“ขอบใจเจ้ามาก” กรรณเอ่ยเสียงแผ่วในขณะที่ฝ่ายนั้นเดินผ่าน

“อืม” เวธัสมองตรงไปทางด้านหน้าก่อนจะตวัดตัวขึ้นนั่งคร่อมบนหลังอาชาศึกอย่างสง่าผ่าเผยแล้วควบออกไปจากบริเวณเขตเรือน

วิรุณมองตามเหล่าทหารที่เริ่มทิ้งระยะห่างออกไป ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น “ไปหาเจ้าวศินกันเถอะ”










_________________________________







มาแล้วค่าาาา แงงง ขอโทษนะคะที่มาช้า และยังผิดคำพูดอีกที่ว่าจะกลับมาช่วงเดือนกันยา

แต่เพราะมีเหตุฉุกเฉินและงานที่เยอะมากๆเลยทำให้พันไมล์ไม่สามารถปั่นต้นฉบับได้ตรงตามแผนที่วางเอาไว้

เลยทำให้ล่าช้าเป็นอย่างมาก ขออภัยคนมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ T T

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากๆที่ยังรอคอยนิยายเรื่องนี้อยู่และยังแวะเวียนมาพูดคุยให้กำลังใจกันตลอด

ขอบคุณมากจริงๆค่ะ

ฝากคอมเม้นต์เป็นกำลังใจหรือจะแวะมาพูดคุยกันที่ #ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ใน Twitter ก็ได้คร้าบบ

ป.ล.ตอนนี้ยังไม่ผ่านการเกลาสำนวนและตรวจคำผิดเพราะพันไมล์ไม่มีเวลาแต่อยากรีบอัพให้ทุกคนได้อ่านกัน ไว้เดี๋ยวจะกลับมาแก้ไขอีกครั้งนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2019 23:10:03 โดย Punmile09 »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ในที่สุดก็กลับมาอัพแล้ววว :pig4:

..อีกไม่นานพี่วศินจะจากเจ้าแก้วไปแล้ว  :o12:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ว้าวว ขอบคุณค่ะ ที่กลับมาลงแล้ว

เรื่องยุ่งยากมาแล้วค่ะ แก้วจะไหวไหมนั่น
ถ้าวศินต้องกลับเมืองตัวเอง ไม่รู้อีกนานไหมจะกลับมา

ที่สำคัญ เค้าเป็นของกันแล้วด้วย เอ็นดูเจ้าแก้ว
เผลอๆ วศินกลับมาอีกที อาจจำแก้วไม่ได้ ถ้าแก้วยอมทายาดีๆ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ดีใจมากเลย ที่มิสฯ มาอัพ :mew1:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
กลับมาแล้ว~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4
บทที่๒๒

ลาจาก

.

.

.



นัยน์ตาคมคอยสังเกตภาพเหตุการณ์จากบนยอดผาอยู่เป็นระยะ จากบริเวณนี้นั้นทำให้สามารถมองเห็นหมู่บ้านของชาวมนุษย์ที่ตั้งอยู่ท้ายเชิงเขาเกือบจะทั้งหมด อสุราหนุ่มเดินกลับไปยังอาชาสีนิลคู่ใจก่อนจะก้าวขาขึ้นคร่อมเมื่อเห็นว่าทหารติดตามสองนายควบม้ากลับมาหลังจากที่ออกไปลาดตระเวนโดยรอบตามคำสั่งของเขา

อันที่จริงต้องเรียกว่าคอยสังเกตการณ์กลุ่มเป้าหมายมิให้คลาดสายตาเสียมากกว่า...

“ท่านวาริทขอรับ” หนึ่งในนั้นรีบเอ่ยรายงานผู้เป็นนายทันที “หลังจากที่แวะพักบริเวณริมธาร พวกเจ้ากรรณก็มุ่งตรงเข้าไปในหมู่บ้านของมนุษย์ที่ตั้งอยู่บริเวณท้ายเชิงเขาขอรับ”

“จากที่เฝ้าสังเกตการณ์ ดูเหมือนว่าเจ้ากรรณจะรู้แล้วขอรับว่าทั้งสองจอมทัพนั้นอยู่ที่ใด”

“จริงหรือ” วาริทถามย้ำ

“ขอรับ” หนึ่งในนายทหารยืนยันในสิ่งที่ตนได้พบ “พวกชาวบ้านบอกว่าเมื่อหลายวันก่อน มียักษ์สองตนพลัดหลงมาจากทางธารน้ำและมีคนในหมู่บ้านได้ช่วยเอาไว้ขอรับ”

“คนที่ช่วยเหลือเอาไว้มันชื่อแก้ว เป็นหลานของหมอยาประจำหมู่บ้านขอรับ” อสุราหนุ่มอีกตนช่วยเสริม “เรือนของพวกมันนั้นตั้งอยู่ห่างออกไปจากตัวหมู่บ้านไม่ไกลนัก...พวกข้าทั้งสามจึงไม่ได้ติดตามไปต่อเพราะเกรงว่าเจ้ากรรณจะรู้ตัวน่ะขอรับ”

ตามคำสั่งของท่านวาริทนั้นคือให้ตามติดโดยทิ้งระยะห่างให้ได้มากที่สุด เพราะองครักษ์ของท้าวภารตานามว่าเวธัสนั้นหูไวตาไวเสียยิ่งกว่าสิ่งใด และอีกอย่างหากเจ้ากรรณรู้ว่ามันถูกตามติดอยู่ตลอดเช่นนี้ก็คงมิวายคิดหาทางหนีทีไล่จนพานทำให้แผนการทุกอย่างมันผิดเพี้ยน

วาริทจดจ้องลงไปยังพื้นเบื้องล่าง พลันรอยยิ้มข้างมุมปากก็ปรากฏขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของหนึ่งในสองจอมทัพแห่งนครคีรีกำลังเดินลัดเลาะป่าเพื่อมุ่งตรงไปตามลำธาร

“แล้วมนุษย์พวกนั้นเป็นใคร” เขาเอ่ยถามเพราะเห็นว่านอกจากเจ้ากรรณกับจอมทัพวิรุณแล้วยังมีมนุษย์อีกสองคนที่เดินมาด้วยกัน

“พ่อเฒ่านั่นชื่อบุญขอรับ เป็นหมอยาประจำหมู่บ้านจันทน์ผา...คงเป็นคนที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับทั้งสองจอมทัพน่ะขอรับ”

“แล้วจอมทัพวศินกับเจ้าเวธัส...อยู่ที่ใด” วาริทเอ่ยถามเสียงเบาอย่างใช้ความคิด ในขณะที่ตายังคงจับจ้องอยู่กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มเป้าหมายไปไม่ห่าง แต่แล้วลางสังหรณ์บางอย่างก็เต้นเร่าขึ้นมาในกายเมื่อจับสังเกตได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติ ก่อนจะหันไปสั่งเหล่าผู้ติดตามเสียงเครียด

“จงติดตามพวกมันไปอย่าให้คลาดสายตาแม้นเพียงกระผีกเดียว” วาริทกดเสียงต่ำ พึมพำอยู่กับตนเอง ก่อนรอยยิ้มชั่วร้ายที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นนายจะปรากฏขึ้น “…ความแตกเสียแล้วกระมัง”













“เจ้าแก้ว...ให้หลวงตาดูแผลเอ็งหน่อยซิ”

เสียงอ่อนโยนยังคงมากไปด้วยเมตตาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าหลานคนเล็กนั้นเริ่มจะเคลื่อนขยับตัวจากที่นอนซมเพราะพิษไข้มาตั้งแต่ช่วงรุ่งสาง หลังจากที่เขาวานให้ท่านนคินช่วยนำยามาให้ ก็ได้ความว่าสภาพของมันนั้นย่ำแย่กว่าที่คิดเอาไว้

เพราะนอกจากตัวที่ร้อนจัดแล้ว...ทั่วทั้งร่างกายยังมีร่องรอยบอบช้ำอยู่เต็มไปหมด

คราแรกที่ไม่อยากเข้ามาดูสภาพของมันด้วยตนเองเพราะเกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์โทสะเอาไว้ได้ แต่ภาพที่ได้เห็นทันทีที่เดินย่างกรายเข้ามาบริเวณโถงถ้ำแห่งนี้กลับทำให้ต้องหยุดยืนดู เมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แผ่ออกมา

ภาพที่จอมทัพวศินตระกองกอดเจ้าแก้วเอาไว้แนบอกเมื่อเห็นว่ามันตัวสั่นเพราะพิษไข้ ซ้ำยังก้มลงพรมจูบไปตามผิวเนื้อบอบช้ำอย่างทะนุถนอมราวกับเกรงว่าเรี่ยวแรงของตนจะทำให้มันรู้สึกเจ็บ

..เพียงเท่านี้....ก็ทำให้เขาได้รู้และเข้าใจทุกอย่างในตอนนั้นเอง....

เจ้าแก้วปรือตาขึ้นได้ทีละนิด มันรู้สึกหนักอึ้งในศีรษะจนต้องหลับตาลงไปอีกรอบ

พระอาจารย์ถือโอกาสในตอนที่มันขยับพลิกตัวเอื้อมมือไปเปิดผ้าออก แล้วก็ต้องหยุดชะงักเอาไว้ด้วยความตื่นตกใจ เมื่อสิ่งที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้านั้นคือร่องรอยบอบช้ำและรอยเขี้ยวมากมายที่ประทับลงบนผิวกายของหลานคนเล็ก มือเหี่ยวย่นสั่นเทาเกินกว่าจะควบคุมในตอนที่ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงเนื้อตัวที่ร้อนจัดของมัน

“อือ” เจ้าแก้วขมวดคิ้วแน่น หยาดเหงื่อผุดซึมขึ้นข้างขมับเมื่อรู้สึกปวดร้าวที่ช่วงสะโพก “...ท่าน...วศิน” มันพึมพำเสียงแหบพร่าเรียกชื่อใครอีกคน ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละนิดอย่างอ่อนล้า

“ท่านวศินเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ ก่อนที่เอ็งจะตื่น” พระอาจารย์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะลูบหน้าผากชื้นเหงื่อของมันด้วยความเป็นห่วง พลางไล่สายตาสำรวจรอยฟกช้ำที่อยู่ใต้ร่มผ้าอีกหน “เจ็บมากเลยหรือลูก”

“…” นัยน์ตาสีอ่อนวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ

“เอ็งนี่นะ” พระอาจารย์ส่ายหน้าไปมาอย่างนึกปลงตก “หากพ่อกับพี่ของเอ็งรู้เรื่องนี้เข้าละก็คง...ฉิบหายกัน”

เจ้าแก้วค่อยๆ ประคองตัวลุกขึ้นนั่ง มันขบฟันลงบนริมฝีปากจนขาวซีดเมื่อรู้สึกเจ็บร้าวช่วงล่างจนชา

แต่ถึงแม้ว่ากายจะเจ็บปวด...แต่ทว่าความสุขที่ก่อเกิดขึ้นในจิตใจนั้นกลับล้นปริ่มอยู่เต็มอก

“เจ้าแก้ว บอกความจริงกับหลวงตามาตามตรง” พระอาจารย์ลอบมองท่าทีของมันไม่วางตา “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น...เอ็งถูกท่านวศินบังคับขืนใจหรือไม่” คำถามเถรตรงจากหลวงตา ทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่

“ว่าอย่างไร” แม้นจะรู้คำตอบอยู่เต็มอก แต่เขาก็ต้องการฟังคำยืนยันจากปากของมันเอง

“ป เปล่าจ้ะ” เจ้าแก้วส่ายหน้าปฏิเสธช้า ๆ พร้อมกับก้มหน้ามองพื้น “ท่านวศิน...ไม่ได้ทำเช่นนั้นหรอกจ้ะหลวงตา”

“เช่นนั้นก็แสดงว่าเอ็งสมยอม” ชายชราทบทวนคำตอบของมันอีกครั้ง ก่อนคำถามต่อมาจะทำให้หลานคนเล็กใบหน้าแดงจัดราวกับจับไข้แดด “เอ็งรักท่านวศินหรือ”

“ฉัน...” เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นมาจากพื้น นัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นวูบไหวราวกับเปลวเพลิงที่ต้องลมจนอ่อนแรง ก่อนแรงบีบรัดในอกซ้ายจะเป็นตัวเร่งคำตอบให้ประจักษ์ชัดเจนขึ้นมาแม้นจะไม่ได้เอ่ยปากบอกไป แต่เพียงเท่านั้นก็มากพอแล้วที่หลวงตาจะรับรู้ได้ถึงความในใจของมัน

“เอ็งรู้ใช่หรือไม่...ว่าวันใดวันหนึ่งท่านวศินก็ต้องเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองของตนเอง” พระอาจารย์เอ่ยเตือนเสียงราบเรียบแม้ว่าในแววตาจะไม่สามารถปิดบังความห่วงใยที่มีต่อมันเอาไว้ได้

“จ้ะ” เด็กหนุ่มขานรับเสียงแผ่วเมื่อความจริงที่คิดหลีกหนีมาโดยตลอดกำลังย้อนกลับมาเล่นงานให้มันตื่นจากความหวังลมๆ แล้งๆ

“อีกฝ่ายเป็นยักษ์ ซ้ำยังเป็นแม่ทัพใหญ่…สักวันหนึ่งก็ต้องมีคู่ครอง เพื่อที่จะมีทายาทไว้สืบสกุล” มือเหี่ยวย่นวางลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน “ที่หลวงตาพูด ไม่ได้ต้องการทำให้เอ็งเสียใจ...แต่หลวงตาอยากจะให้เอ็งได้นึกถึงความเป็นจริงอีกด้านด้วย”

“…” เจ้าแก้วนั่งนิ่งและนึกทบทวนในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“เอ็งรักท่านวศินก็จริงอยู่...แต่เอ็งมั่นใจได้อย่างไรว่าฝ่ายนั้นเขาก็รักเอ็งและพร้อมที่จะสละทิ้งทุกอย่าง เพื่อมาอยู่กับเอ็งที่นี่” พระอาจารย์ลูบศีรษะของมันอย่างปลอบประโลมเมื่อเห็นว่าเจ้าแก้วเอาแต่นั่งก้มหน้านิ่ง “เอ็งมีไอ้บุญ มีไอ้กล้า มีหลวงตา ที่ของเอ็งคือที่นี่...ส่วนท่านวศินก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มีบ้านเมืองให้ต้องดูแล”

“…”

“เอ็งเข้าใจที่หลวงตาพูดหรือไม่” เขาถามย้ำ ก่อนจะคลี่ยิ้มเบาบางออกมาเมื่อเห็นว่ามันพยักหน้ารับ แต่แล้วในอกพลันวูบไหวเมื่อเห็นว่านัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นรื้นน้ำได้อย่างน่าสงสาร แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ยอมเผยความอ่อนแอออกมาให้ได้เห็น

สิ่งที่เขาพูดออกไป ก็เพียงแค่อยากให้มันได้นึกตรึกตรองอีกครั้งเพื่อตัวของมันเอง

เรื่องราวครั้งนี้ หากมีใครสักคนจะต้องรู้สึกเสียใจละก็คงไม่พ้นตัวมันเองอย่างแน่นอน เพราะในไม่ช้าหรือเร็วฝ่ายนั้นก็ต้องเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองของตน ภาระหน้าที่ของท่านวศินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่สามารถปล่อยปละละเลยได้

ฉะนั้นแล้ว...หากว่าตอนนี้ยังจะพอที่จะหยุดยั้งเรื่องราวระหว่างทั้งคู่เอาไว้ได้

เขาก็หวังเพียงแค่ว่าอย่าให้มีใครต้องรู้สึกทุกข์ทรมานกับเหตุการณ์ครั้งนี้เลย



(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ Punmile09

  • '...Cause we were just kids when we fell in love...'
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-4



“ถึงกับออกปากบอกให้เจ้าออกมาอยู่ข้างนอกเช่นนี้...ดูท่าแล้ว พระอาจารย์คงโกรธเอามาก” พญานาคหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเห็นว่าใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกายยังคงนิ่งเฉย

“…แขนเจ้า” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้นโดยไม่นึกสนใจบทสนทนาก่อนหน้า “ไปโดนอะไรมา” นัยน์ตาคมเข้มมองไปยังท่อนแขนของพญานาคราชเมื่อเห็นว่ามีผิวเนื้อบางส่วนแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดสีนิล

“นี่น่ะหรือ” ฝ่ายนั้นยกขึ้นมาดูก่อนรอยยิ้มบางเบาจะปรากฏขึ้น “ช่างมันเถิด ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”

“แล้วอาการของเจ้าเล่า เป็นอย่างไรบ้าง” วศินหมายถึงผลกระทบจากพิษอัคคิมุขที่อีกฝ่ายได้รับเมื่อตอนที่ถอนพิษให้เขา เพราะหลังจากนั้นสภาพร่างกายของนคินก็ทรุดลงไปอย่างรวดเร็ว จากผิวกายที่เคยเปล่งปลั่งกลับหมองคล้ำลงไปอย่างเห็นได้ชัด

แม้นอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีออกมาว่ายังคงสุขสบายดี แต่ก็ไม่สามารถปิดบังความทุกข์ระคนที่ฉายชัดอยู่ในแววตาคู่นั้นได้

“ดี ไม่มีอะไรน่าห่วง” นคินยิ้มกว้างก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่ายออกไป “ว่าแต่เจ้าเถอะ”

อสุราหนุ่มปรายตามองมาเพียงนิด ก่อนจะหันกลับไปยังโถงถ้ำเช่นเดิม

แม้ว่าภายนอกจะไม่ได้แสดงอาการออกมา แต่ความห่วงหาที่ปะทุอยู่ในอกนั้นทำให้เขาสูญเสียสมาธิจนจิตใจอยู่ไม่สุข เมื่อความอุ่นจากผิวเนื้อของอีกฝ่ายยังคงกรุ่นอยู่ที่ปลายนิ้ว สร้อยตะกรุดที่ถือวิสาสะยึดครองมาถูกนำมาพันทบไว้บนข้อมือแทนของต่างหน้า

ห่างกันเพียงแค่แผ่นหินกั้น ก็ทำให้รู้สึกคะนึงหาจนแทบจะทนไม่ไหว

“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าน่ะ” นคินขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่นึกสงสัย “จะไม่พาแก้วกลับไปด้วยจริงๆ น่ะหรือ”

“ไม่” อสุราหนุ่มตอบกลับโดยไม่มีท่าทีลังเล

“ทำไม” เมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น

“…”

แต่เพียงไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็กระจ่างชัด จึงทำให้นคินไม่คิดถามหาเหตุผลอื่นใดให้มากความอีก

เพราะคำตอบมันฉายชัดอยู่ในแววตาของท่านแม่ทัพแล้วเป็นที่เรียบร้อย

ทั้งหวงและห่วงเช่นนี้...ดูท่าแล้วเจ้ามนุษย์ตัวน้อยคงได้อยู่เหนือจอมทัพอสุราไปโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว...

“แก้ว” นคินเบิกตากว้างขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นลูกมนุษย์เดินออกมาจากโถงถ้ำโดยมีพระอาจารย์ตามหลังมาไม่ห่าง ท่าทางของเด็กหนุ่มนั้นดีขึ้นกว่าเมื่อตอนรุ่งสางมากนักแม้จะมีความอ่อนล้าออกมาให้ได้เห็นอยู่บ้างก็ตาม

“เจ้าออกมาทำไม” วศินเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงลงน้ำหนักที่เท้าได้ไม่เต็มที่ แต่พอเอื้อมมือไปหาหวังช่วยประคองมันกลับผงะถอยเพียงนิดราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจ เพียงเท่านั้นก็ทำให้ความรู้สึกบางอย่างมันกรุ่นขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น “เหตุใดจึงไม่นอนพัก”

อสุราหนุ่มประคองเสียงของตนไม่ให้ผิดแผกไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาในขณะที่ยอมถอยเว้นระยะห่าง

“ฉัน...” เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาสีอ่อนวูบไหวเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นสร้อยตะกรุดของตนที่อยู่บนข้อมือของอีกฝ่าย “…มีเรื่องอยากจะคุยกับท่านวศินจ้ะ”

อสุราหนุ่มลดสายตามองต่ำเมื่อสัมผัสได้ว่าเสียงแหบพร่านั้นช่างบางเบาราวกับว่าคนพูดกำลังมีเรื่องหนักอกหนักใจให้คิด เขาตั้งท่าจะเอื้อมมือออกไปหาหวังดึงร่างของมันเข้ามากอดแนบชิดเหมือนดังค่ำคืนที่ผ่านมา แต่ทำได้เพียงแค่คิด เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องกำมือข้างนั้นเข้าหากันแทนที่จะยื่นออกไปดังที่ใจปรารถนา

“ว่าอย่างไร” น้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนขึ้นมาก จนทำให้นคินที่ยืนอยู่ใกล้กันนึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ

“คือ...” เจ้าแก้วยังคงมีท่าทีลังเล มันมองไปทางหลวงตาสลับกับอสุราหนุ่มที่ยืนตรงหน้ากันเป็นระยะ ก่อนความรู้สึกและความคิดมากมายจะตีกันให้วุ่นอยู่ในหัวจนต้องเม้มริมฝีปากไว้แน่น

แต่ยังไม่ทันจะได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกไปเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากปากทางเข้าถ้ำกลับดึงความสนใจจากทุกคนให้หันไปมองเป็นตาเดียว

“พ่อครู...พี่กล้า...” เจ้าแก้มพึมพำเสียงแผ่วอย่างตื่นตกใจ นัยน์ตาของมันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนภาพเบื้องหน้าจะถูกบดบังด้วยแผ่นหลังกว้างแกร่งของใครบางคนแทน

“เอาตัวน้องกูคืนมา” ไอ้กล้าเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาหาโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากพระอาจารย์หรือครูบุญ ตอนนี้อารมณ์โทสะของมันกำลังคุกรุ่นได้ที่ แต่ก็ยังมีสติมากพอที่จะไม่อาละวาดตามคำตักเตือนของพ่อครู “ไอ้แก้ว มาหาข้า”

ชายหนุ่มเว้นระยะห่างเอาไว้พอสมควร ก่อนจะเอ่ยย้ำด้วยเสียงที่เข้มขึ้น “ไอ้แก้ว!”

วศินมองไปยังอีกฝ่ายเพียงปราดเดียวราวกับชายหนุ่มผู้นั้นเป็นธาตุอากาศ ก่อนเสียงคำรามในลำคอจะดังแผ่วขึ้นเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะเข้ามาหาคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง

“ไอ้กล้า!” เสียงของพระอาจารย์ตวาดขึ้นเมื่อเห็นว่าหลานคนโตมันช่างหัวรั้นเกินจะทน

อสุราหนุ่มยังคงยืนนิ่งอย่างไม่หวั่นเกรง แต่แล้วกลับต้องชะงักเมื่อมีฝ่ามือวางสัมผัสลงที่กลางหลังอย่างนุ่มนวล

“ท่านวศิน” เจ้าแก้วเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะหยุดอารมณ์คุกรุ่นของอสุราหนุ่มที่กำลังปะทุขึ้นมาได้

วศินขบกรามขึ้นจนเป็นสัน ก่อนจะยอมขยับถอยเปิดทางให้สองพี่น้องได้พบกัน

ไอ้กล้าพุ่งตัวเข้ามาดึงแขนน้องมันอย่างไม่รีรอก่อนจะต้องหยุดชะงัก เมื่อสังเกตเห็นร่องรอยบางอย่างที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อ พลันในอกก็เต้นเร่าเมื่อสัญชาตญาณบางอย่างกำลังเร่งเร้าให้เลือดในกายสูบฉีด ม่านตาขยายกว้างขึ้นอย่างตื่นตกใจเมื่อได้เกี่ยวรั้งคอเสื้อออกกว้างจนเห็นร่องรอยที่มันต้องการจะปกปิดเอาไว้

ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนขึ้นสันพร้อมตวัดมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“พี่กล้า” เจ้าแก้วขยับตัวขวางร่างของอสุราหนุ่มเอาไว้เมื่อเห็นว่าพี่มันกำหมัดแน่นจนตัวสั่นเทิ้ม

“มึง…” เสียงทุ้มพร่าเจือความโกรธอย่างถึงที่สุด “ทำอะไรน้องกู!” สิ้นเสียงตะโกนกึกก้องไอ้กล้าก็กระโจนเข้าไปหาทันที แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปล่อยหมัดใส่ทั้งร่างกลับลอยขึ้นเหนือพื้น มันจึงทำได้แค่เพียงตะโกนด่าทอและถีบอากาศเพื่อระบายอารมณ์

“เลิกบ้าเสียที!” เสียงทุ้มตวาดอย่างเหลืออด วิรุณเพิ่มแรงแขนที่โอบรัดอยู่รอบเอวสอบให้มั่นเมื่อมันออกแรงดิ้นจนเกือบจะหลุด

“ปล่อยกู!” ไอ้กล้าพยายามยื้อกายหนีอย่างสุดความสามารถ คำด่าทอมากมายถูกสาดใส่คนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างน้องมันอย่างถึงพริกถึงขิง แต่ฝ่ายนั้นกลับทำเพียงแค่เมินเฉย

“เอ็งเลิกทำตัวเป็นหมาบ้าแบบนี้เสียทีไอ้กล้า” ครูบุญตวาดมันขึ้นมาอย่างเหลืออดเมื่อเห็นว่าสถานการณ์มันเริ่มแย่ลงทุกขณะ

“พ่อครูยังจะให้ฉันเฉยได้อีกหรือ!” นัยน์ตาสีเข้มลุกโชนไปด้วยแรงโทสะ “ดูสิ ว่ามันทำอะไรลงไปบ้าง!”

“เอ็งหมายความว่าอย่างไร” ชายชราเอ่ยถามอย่างคลาแคลงใจ สลับกับมองไปทางเจ้าแก้วที่ถูกอสุราหนุ่มตนนั้นดึงเข้าไปกอดเอาไว้ในอ้อมแขน

“…รอยบนตัวไอ้แก้ว” ชายหนุ่มขบกรามกรอดอย่างโกรธแค้น “มันเป็นคนทำ!”

“…”

“ไอ้ยักษ์นั่น...มันจับไอ้แก้วทำเมียไปแล้ว!” สิ้นเสียงตวาดก้อง คนที่เหลือต่างเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจ โดยเฉพาะครูบุญและวิรุณที่ตอนนี้มองค้างไปทางร่างสูงใหญ่ที่กำลังโอบประคองเจ้าแก้วแนบอก

“นี่...” ครูบุญพึมพำเสียงแผ่วเบาสลับมองไปทางพระอาจารย์อย่างต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่เคยถูกคิดล่วงหน้ามาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ

และถ้ามันเป็นจริงอย่างที่ไอ้กล้ามันพูดแล้วละก็...

“ถามกับลูกเอ็งเอาเองก็แล้วกัน” พระอาจารย์เอ่ยบอกเสียงราบเรียบก่อนจะหันไปเรียกหลานคนเล็ก “เจ้าแก้ว...มาหาหลวงตา”

เด็กหนุ่มนิ่งค้างไปเมื่อวงแขนแกร่งที่โอบกอดมันอยู่นั้นรัดแน่นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดและเสียงของจังหวะชีพจรที่เต้นรัวกำลังบ่งบอกว่าฝ่ายนั้นเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทีละนิด เมื่อเห็นว่ามันวางมือลงบนท่อนแขนราวกับบอกทางอ้อมว่าให้ปล่อย

“วศิน...ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเจ้า” วิรุณเอ่ยบอกเสียงเครียดเมื่อนึกถึงจุดประสงค์ในการเดินทางมาหาครั้งนี้ ก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางที่ใครอีกคนยืนอยู่

จอมทัพอสุราหันไปมองตาม เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้ากรรณนัยน์ตาก็ฉายแววประหลาดใจขึ้นมาเพียงแค่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับมานิ่งสงบดังเดิม

เพียงเท่านั้นก็เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องรอให้ใครเอ่ยปากบอก เขาคลายวงแขนออกเพื่อปล่อยให้คนในอ้อมกอดเป็นอิสระ ก่อนจะยกมือขึ้นวางนาบลงบนเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์ สร้างความแปลกใจให้กับสองอสุราหนุ่มที่มองมาไม่วางตา

“แล้วข้าจะกลับมาหา” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคนในขณะที่ปลายนิ้วลูบผ่านผิวแก้มอุ่นอย่างอ่อนโยน ก่อนรอยยิ้มจะปรากฏขึ้นข้างมุมปากเพียงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กนั้นเอียงหน้าแนบซบลงมาบนฝ่ามืออย่างออดอ้อน นัยน์ตาสีอ่อนที่ช้อนขึ้นมองกันทำให้เขาต้องระบายลมหายใจออกมา

จู่ ๆ ก็นึกพาลให้กับทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล...

วศินผละห่างออกไป ก่อนจะเดินเข้าไปหาสหายของตนแล้วเดินนำออกไปที่บริเวณนอกถ้ำ ทิ้งให้ใครบางคนนั้นมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนสุดสายตา




“เอ็งนะเอ็ง…ไอ้ตัวดี” หลังจากที่เหล่ายักษาทั้งสามตนเดินออกไปจนพ้นระยะสายตา เสียงพึมพำเคร่งเครียดของครูบุญก็ดังขึ้นเมื่อหันมามองศิษย์คนเล็ก

“พ่อครู” เจ้าแก้วเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเมื่อสัมผัสได้ว่าพ่อครูของมันคงกำลังกรุ่นโกรธได้ที่ พอหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่กล้าฝ่ายนั้นก็เอาแต่หันมองไปทางอื่น ปล่อยให้มันต้องรองรับความกดดันอยู่เพียงคนเดียว

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” ครูบุญยกมือขึ้นปราม “กลับกันได้แล้ว...เอ็งไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก ไปลาหลวงตาซะ”

นัยน์ตาสีอ่อนวูบไหว ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธออกมาเมื่อไม่ยอมทำตามคำสั่งของพ่อครู...ในเมื่อท่านวศินบอกว่าจะกลับมาหา มันก็ควรที่จะรอที่นี่

“ไอ้แก้ว” กล้าเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าน้องมันยังคงดื้อรั้นไม่เข้าเรื่อง...มันรู้ดีว่าพ่อครูในตอนนี้กำลังกรุ่นโกรธได้ที่จึงไม่ควรที่จะทำให้อีกฝ่ายหมดความอดทน “กลับบ้านเรากันได้แล้ว”

“แต่...ท่านวศินบอกให้ฉันรอ...” เจ้าแก้วพึมพำเสียงพร่าในตอนที่เงยหน้ามองพี่มันราวกับต้องการขอความช่วยเหลือสัญชาตญาณบางอย่างในกายมันร้องบอกว่าเวลาที่จะได้อยู่กับอีกฝ่ายนั้นเหลือน้อยลงเต็มทีแล้ว...

“ไอ้กล้า มึงถอยออกมา” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยสั่งไร้ซึ่งอารมณ์อื่นเจือปน แต่นั่นกลับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าพ่อครูของพวกมันนั้นหมดสิ้นแล้วซึ่งความอดทน “ในเมื่อมันดื้อรั้นไม่ฟังความนัก เห็นทีจะพูดกันดีๆ ไม่ได้แล้ว” ไม้ตะพดในมือถูกยกขึ้นสูงหวังจะฟาดลงไปบนตัวของศิษย์คนเล็ก ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยได้แตะต้องให้มันเจ็บช้ำแม้นเพียงกระผีก

ครูบุญควบคุมมือที่สั่นเทาให้มั่นคงเมื่อเห็นว่านัยน์ตาสีอ่อนไม่ได้มีความหวั่นเกรงออกมาให้เห็น แต่เจ้าแก้วกลับหลับตาลงราวกับว่ายอมรับการลงโทษจากเขา

“พ่อครู!” เป็นไอ้กล้าที่ดึงน้องมันเข้าไปกอดแนบอกแล้วเบี่ยงตัวมาบังเอาไว้แทน “ถ้าจะทำมัน ทำฉันแทนเถอะ”

“…” ไม้ตะพดที่อยู่ในมือถูกลดระดับลง ชายชราดึงมือกลับก่อนจะหันหน้าหนีออกไปอีกทาง

“ฉันผิดเองที่ดูแลน้องไม่ดี ฉันรู้ว่ามันทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” ไอ้กล้ากระชับวงแขนแน่นเมื่อสัมผัสได้ว่าคนในอ้อมกอดนั้นตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย “แต่...นี่อาจจะความต้องการของมัน ที่ไม่ว่าฉันหรือพ่อครูก็ทำให้มันไม่ได้”

“...” ครูบุญยืนนิ่งเพื่อรับฟังคำพูดจากศิษย์คนโต

“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันผิดแผก มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิด” ชายหนุ่มว่าต่อด้วยเสียงที่มั่นคง “แต่ถ้าไอ้แก้วมันรักยักษ์ตนนั้นจริงๆ ...”

“ท่านวศินจะต้องกลับเมืองในคืนนี้” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นทันควัน “และจะไม่กลับมาที่นี่อีก...เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ในเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้เสีย” คำพูดตัดบทราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางอกทำให้เจ้าแก้วเบิกตากว้างขึ้นเมื่อยังจับต้นชนปลายไม่ถูก มันกำมือแน่นจนเริ่มสั่น นัยน์ตาสีอ่อนสั่นไหวรุนแรงราวกับเปลวเพลิงที่อ่อนแรงเพราะต้องลม

“ไอ้บุญ” แต่แล้วเสียงของใครอีกคนก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มคุกรุ่น พระอาจารย์เดินเข้ามายืนอยู่ใกล้กับหลานรักทั้งสอง นัยน์ตาฝ้าฟางมองตรงไปยังลูกศิษย์ของตนอย่างแน่วแน่ “…อย่างน้อย ก็ให้เขาได้ร่ำลากัน”

ว่าไว้เพียงเท่านั้นก็เดินกลับเข้าไปในโถงถ้ำอีกฝั่งโดยมีพญานาคราชที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ตามติดไปด้วย

ผ่านไปเพียงครู่ที่บริเวณโดยรอบนั้นก็เงียบสนิท ก่อนเสียงถอนหายใจยาวเหยียดจะดังขึ้นมา ครูบุญมองตรงไปยังสองพี่น้องที่ยืนกอดกันตัวกลม ก่อนจะตัดสินใจเดินหนีออกไปจากบริเวณนั้น

“เกือบไปแล้วไหมเอ็ง” ไอ้กล้าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าในที่สุดพ่อครูก็ยอมใจอ่อน

“พี่กล้า” เสียงพึมพำอู้อี้ที่ดังประชิดกับแผ่นอกทำให้ต้องยกมือขึ้นวางบนศีรษะมันอย่างเอ็นดู

“ไม่ต้องขอบคุณหรือขอโทษข้า...ไอ้แก้ว” ชายหนุ่มว่าเสียงเรียบ “ถึงแม้ว่าข้าจะอยากตีเอ็งฉิบหาย อยากจะฆ่าไอ้ยักษ์นั่นใจจะขาด แต่ถ้ามันทำให้เอ็งต้องรู้สึกเจ็บ...ข้าจะอดทน”

“…”

“ถ้าเอ็งเลือกแล้ว” ไอ้กล้าโอบกอดน้องมันอย่างทะนุถนอม “ต่อให้พ่อครูหรือพระอาจารย์จะไม่เห็นด้วยก็ตาม...ข้าก็จะอยู่ข้างเอ็ง”

“...” เสียงสะอื้นที่ถูกเก็บกลืนอยู่ในลำคอเป็นตัวบ่งบอกว่าน้องมันกำลังห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา

“…ถึงเอ็งจะทำผิด ก็ช่างหัวมัน” ชายหนุ่มซุกซบใบหน้าลงไปบนกลุ่มผมนุ่มอย่างหวงแหน...อ้อมกอดแข็งแรงโอบกระชับแน่น “เรื่องแค่นี้ มันไม่ได้ทำให้ข้ารักเอ็งน้อยลงหรอก...ไม่ต้องกลัว”













“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อ” คำถามแรกเอ่ยขึ้นหลังจากที่บทสนทนานั้นเงียบเชียบกินเวลามานานพอสมควร วิรุณยืนห่างออกไปเพียงแค่ระยะโขดหินกั้น นัยน์ตาสีเข้มทอดมองสายธารเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด

หลังจากที่เจ้ากรรณบอกเล่าเรื่องราวให้วศินรับรู้ทั้งหมด ฝ่ายนั้นกลับนิ่งเฉยเกินคาด มันยืนฟังเรื่องราวทุกอย่างด้วยท่าทีเงียบสงบไร้ซึ่งวี่แววโทสะออกมาให้ได้เห็น ต่างกับเจ้ากรรณที่เล่าไปเสียงสั่นไปเพียงแค่ฝ่ายนั้นปรายตามองมา

“วิรัล...เป็นอย่างไรบ้าง” จอมทัพอสุราเอ่ยถามเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด นัยน์ตาคมเข้มตวัดไปมองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนท่าทีของเจ้ากรรณจะทำให้เขาต้องระงับอารมณ์โทสะที่กำลังจะปะทุขึ้นมา

“ตอนนี้วิรัลอยู่ที่เรือนข้ากับบุหลัน มีเจ้ากรณ์คอยคุ้มกันให้” กรรณเอ่ยบอกได้ไม่เต็มเสียง พลันสันหลังก็ชาวาบเมื่อรู้ว่าไม่ควรที่จะปิดบังเรื่องนั้นเอาไว้...เพราะถ้าหากอีกฝ่ายได้รู้ด้วยตนเองแล้วนั้นผลที่ตามมาจะหนักกว่านี้ร้อยพันเท่า “แต่ก่อนหน้านั้นท้าวภารตามีรับสั่งให้จับตัววิรัลมาสำเร็จโทษแทนท่าน และกักขังไว้ในคุกใต้ดินอยู่นานหลายคืนหลายวัน”

เพียงเท่านั้นก็ราวกับความอดทนทั้งหมดที่มีพังทลายลง วศินคำรามเสียงกร้าวก่อนจะคว้าเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงเข้าไปกระแทกกับต้นไม้จนสัตว์น้อยใหญ่แตกตื่นไปทั่วทั้งป่า เขี้ยวคมงอกยาวขึ้นตามแรงโทสะที่กำลังปะทุเดือดดาล นัยน์ตาสีเข้มพลันเปลี่ยนเป็นแดงฉานราวกับเปลวเพลิงในตอนที่บีบเคล้นแรงลงไปบนลำคอของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดยั้งมือ

“หากวิรัลเป็นอะไรไป” เสียงทุ้มต่ำพูดย้ำ “หน้าไหนข้าก็ไม่เว้น...แม้แต่เจ้าเองก็ด้วย” ว่าไว้เพียงเท่านั้นก็เหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายลงไปกองอยู่ที่พื้น ก่อนจะหันหน้าออกไปทางลำธารเพื่อระงับโทสะของตน

“วศิน” วิรุณเดินเข้าไปใกล้สหายของตน “เราต้องทูลเรื่องนี้ให้ท้าวภารตาได้รับทราบ เรื่องที่องค์รามสูร-” ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจบฝ่ายนั้นก็ยกมือขึ้นปรามรามกับต้องการให้เขาหยุดพูด

“เปล่าประโยชน์” จอมทัพอสุราพูดเสียงเรียบ

“หมายความว่าอย่างไร...เจ้าจะปล่อยให้เราถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏในความผิดที่เราไม่ได้กระทำเช่นนั้นหรือ” วิรุณถามเสียงเครียด

“….”

“วศิน”

“เราจะกลับกัน...คืนนี้” อสุราหนุ่มหันกลับมามองเพียงเสี้ยวเดียว ก่อนเสียงหนักแน่นจะพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบกลางไพรกว้าง “…และคนที่ต้องชดใช้ให้กับเรื่องราวทั้งหมดในครั้งนี้”

“…”

“คือ ‘มัน’ เท่านั้น”

…องค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์...













นัยน์ตาสีอ่อนมองตรงไปยังแผ่นหลังกว้างแกร่งของใครบางคนที่ยืนอยู่ห่างออกไป เจ้าแก้วอาศัยต้นไม้ที่ขึ้นรกครึ้มบริเวณนี้เป็นที่กำบังตัวในการหลบซ่อนหลังจากที่แอบฝืนคำสั่งพ่อครูเดินออกมาจากถ้ำ มันอาศัยช่วงที่หลวงตาเรียกพี่กล้าเข้าไปหาเดินออกมาที่บริเวณลำธารเพื่อจะชำระล้างกาย แต่แล้วกลับต้องรีบหลบเข้ามาในพุ่มไม้เมื่อเห็นว่าอสุราหนุ่มทั้งสามตนกำลังเจรจากันอยู่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

ในระหว่างนั้นเสียงกึกก้องที่ดังทั่วป่าก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องสะดุ้งตกใจ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าท่านวศินนั้นกำลังโมโหร้ายในแบบที่มันไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน พลันความรู้สึกกลัวก็แล่นเข้ามาเกาะกุมหัวใจ จนต้องเบือนสายตาหลบหนีออกไปอีกทาง

เจ้าแก้วตั้งท่าจะเดินออกไปจากบริเวณนี้เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เบื้องหน้านั้นดูเคร่งเครียดเกินกว่าที่มันจะต้องรับรู้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกเดินเสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกกลับทำให้ต้องสะดุ้งอย่างตื่นตกใจเพราะไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะรับรู้ว่ามันแอบหลบซ่อนอยู่บริเวณนี้

“แก้ว” วศินเอ่ยเรียกทั้งที่ยังยืนหันหลังอยู่ ก่อนรอยยิ้มบางเบาจะปรากฏขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กโผล่หัวออกมาจากพุ่มไม้

บอกแล้วอย่างไรว่าประสาทการรับรู้ของยักษ์นั้นดีกว่าพวกมนุษย์อยู่หลายเท่า...เขารู้ว่ามันแอบอยู่ตรงนั้นมานานพอสมควร

และนี่ก็คือเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้เจ้ากรรณรอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด...

ลูกมนุษย์ตัวน้อยเดินเลียบเคียงเข้ามาใกล้อย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเห็นว่ายังมีอสุราหนุ่มอีกสองตนมองมาที่ตนเอง

วิรุณตั้งท่าจะเอ่ยทักเด็กหนุ่ม แต่พอเห็นสายตาของสหายตนที่มองมากลับทำเพียงแค่เก็บกลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงไปแล้วปลีกตัวออกห่างพร้อมกับเจ้ากรรณอย่างรู้สถานการณ์

เมื่อบริเวณนี้เหลือกันเพียงแค่สองคน ร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มก็หันกลับมาหาเจ้าสัตว์ตัวเล็กที่ยังคงมีท่าทีหวาดกลัวฉายชัดออกมาทางแววตา

“มานี่สิ” วศินเอ่ยเรียกด้วยเสียงที่อ่อนลงจากก่อนหน้า พร้อมกับยื่นมือออกไปหา

เจ้าแก้วยังคงมีท่าทีลังเล แต่พอได้สบเข้ากับนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้นมันก็วางมือลงบนฝ่ามือใหญ่ก่อนจะสอดประสานเรียวนิ้วเข้าด้วยกันเมื่อระยะห่างถูกลดลงจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากแผ่นอกกว้าง ทั้งตัวถูกรวบกอดจนผิวเนื้อแนบชิด จังหวะชีพจรและสัมผัสที่คุ้นเคยทำให้ต้องหลับตาลงเมื่อรู้สึกปลอดภัยในอ้อมแขนนี้

รู้ตัวอีกทีทั้งร่างก็ถูกตวัดอุ้มขึ้นจนตัวลอยเหนือพื้น เจ้าแก้วซุกซบใบหน้าลงกับแผ่นอกอุ่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเมื่อฝ่ายนั้นนั่งลงบนโขดหินใต้พุ่มไม้ใหญ่ อสุราหนุ่มกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นในตอนที่คนบนตักขยับตัวนั่งหลังตรงเพื่อให้สายตาสบประสานกันได้พอดี

ฝ่ามือใหญ่เอื้อมออกไปแนบข้างใบหน้าอ่อนเยาว์ พร้อมใช้ปลายนิ้วเกลี่ยนผิวเนื้อเนียนอย่างอ้อยอิ่งราวกับว่าต้องการซึมซับช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด วศินไล่มองรายละเอียดบนใบหน้าของเด็กหนุ่มไปทีละนิด ก่อนรอยยิ้มจะปรากฏเมื่อฝ่ายนั้นยกมือขึ้นมากุมมือเขาเอาไว้แล้วเอียงใบหน้าแนบซบเหมือนอย่างที่ชอบทำ

“คืนนี้…ข้าต้องไปแล้ว” อสุราหนุ่มเอ่ยบอกเสียงเบาในตอนที่เกลี่ยปลายนิ้วเข้ากับริมฝีปากสีอ่อน ร่องรอยคมเขี้ยวของเขาที่ฝังอยู่บนผิวเนื้อทำให้ต้องอดทนต่อความรู้สึกที่กำลังร้องเรียกอย่างโหยหา

เจ้าแก้วนิ่งค้างไปเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับเชื่องช้า คำพูดมากมายถูกเก็บกลืนลงไปเมื่อนึกทบทวนถึงคำพูดจากหลวงตา

‘…เอ็งรักท่านวศินก็จริงอยู่...แต่เอ็งมั่นใจได้อย่างไรว่าฝ่ายนั้นเขาก็รักเอ็งและพร้อมที่จะสละทิ้งทุกอย่าง เพื่อมาอยู่กับเอ็งที่นี่’

หากเป็นเช่นนั้นจริงการกระทำของมันก็ไม่ต่างจากคนเห็นแก่ตัวที่คิดถึงแต่เพียงความสุขของตนเองจนลืมมองความเป็นจริงที่อยู่เบื้องหน้า

‘...ที่ของเอ็งคือที่นี่...ส่วนท่านวศินก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มีบ้านเมืองให้ต้องดูแล’

เจ้าแก้วหลับตาลงเมื่อคำพูดเหล่านั้นตีกันวุ่นอยู่ในหัว ก่อนความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจจะย้ำเตือนให้มันเอ่ยคำคำนี้ออกไป

โอกาสสุดท้ายที่จะขอทำตามหัวใจของตนเอง...

“ท่านวศิน...ไม่ไปไม่ได้หรือจ๊ะ” เด็กหนุ่มช้อนตาขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดด้วยความหวังที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่แล้วสัมผัสอุ่นชื้นที่แนบลงมาบนหน้าผากกลับทำให้กระบอกตาร้อนผ่าว ก่อนน้ำตาหยดแรกจะไหลลงมาเงียบเชียบเมื่อประโยคถัดมาถูกเอื้อนเอ่ย

“เจ้าก็รู้...” เสียงทุ้มพร่าเอ่ยกระซิบแผ่วเบา “…ว่าข้าเลือกเจ้าไม่ได้”

เจ้าแก้วพยักหน้ารับรู้ในคำตอบของอีกฝ่าย นัยน์ตาสีอ่อนคลอไปด้วยหยาดน้ำที่ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย ทุกหยาดหยดถูกกลั่นกรองออกมาจากความเสียใจและผิดหวังอย่างถึงที่สุด แต่มันกลับเลือกที่จะมองข้ามความรู้สึกเหล่านั้นไปและเริ่มต้นความพยายามครั้งใหม่อีกหน

...ความพยายามครั้งสุดท้าย ที่ถูกก่อขึ้นด้วยความหวังก่อนหน้าที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี

“ฉันจะรอท่าน”

“…” อสุราหนุ่มก้มลงมองคนในอ้อมกอดด้วยความแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะฝ่ายนั้นไม่แม้แต่จะเอ่ยห้ามหรือฉุดรั้งให้เขาอยู่ กลับทำเพียงแค่อ้อนวอนขอและยืนยันที่จะรอ

...นี่คือสิ่งที่เขาไม่อยากเอ่ยขอ...เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องรอคอยกันอย่างเลื่อนลอย

หนทางข้างหน้านั้นจะเป็นเช่นไร ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลย…

“ต่อให้นานเพียงไหน...ก็จะรอ” เจ้าแก้วเอ่ยย้ำด้วยเสียงที่หนักแน่นไร้ซึ่งความลังเล แม้ว่าหยดน้ำตาจะเอ่อล้นขึ้นมาบดบังภาพเบื้องหน้าจนพร่ามัวไปหมดก็ตาม

“แม้ว่าข้าอาจจะไม่ได้กลับมาหาเจ้าอีกแล้วน่ะหรือ” อสุราหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับพยายามซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้

..ความรู้สึกที่กระจ่างชัดขึ้นมาท่ามกลางเสียงชีพจรที่เต้นหนักแน่นขึ้น…

เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าสัตว์ตัวเล็กก็โผตัวเข้ามากอดแนบแน่น มันตัวสั่นเล็กน้อยแต่กลับไร้ซึ่งเสียงสะอื้นออกมาให้ได้ยิน มีเพียงแค่สัมผัสอุ่นชื้นจากหยดน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาจนเปียกชุ่มแผ่นอก

วศินยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังของคนในอ้อมกอดอย่างปลอบประโลม ก่อนรอยยิ้มบางเบาจะปรากฏขึ้นเมื่อถูกกอดแน่นจนผิวเนื้อแนบชิดส่งผ่านไออุ่นของกันและกัน

ใบหน้าคมคร้ามก้มลงจรดปลายจมูกลงบนกลุ่มผมสีเข้ม ก่อนจะเคลื่อนลงไปบนผิวแก้มที่ชื้นไปด้วยหยดน้ำตาและเก็บเกี่ยวสัมผัสทั้งหมดเอาไว้ให้ได้มากที่สุดในตอนที่ริมฝีปากของทั้งคู่เคลื่อนเข้าหากัน

...วินาทีนั้นถ้อยคำสัญญาก็ดังก้องอยู่ในอกของอสุราหนุ่ม

ไม่ว่าหนทางข้างหน้านั้นจะอันตรายสักเพียงไหน

...หรือต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตก็ตาม...

เขาจะต้องกลับมาหาเจ้าของสัมผัสนี้ให้ได้...








_________________________










พี่ยักษ์จะต้องไปแล้ววว เจ้าแก้วเข้มแข็งมากเลยลูกก T T /หอมหัว

พี่กล้าช่างเป็นพี่ชายที่แสนดี แม้จะไม่เห็นด้วยแต่พอเห็นน้องร้องไห้ก็ยอมไปหมดแล้ว

เก่งแต่ปากจริงๆเลยยยย




ฝากคอมเม้นต์เป็นกำลัง และฝาก #ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ด้วยนะคะ

ปล.ปีหน้าอาจจะมีข่าวดีค่ะ แอบกระซิบว่าหยอดกระปุกเผื่อเจ้าแก้วเอาไว้ได้เลย อิอิ







แล้วก็ถือโอกาส ขอสวัสดีปีใหม่นักอ่านทุกท่านล่วงหน้าด้วยเลยนะคะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและแรงสนับสนุนที่มีให้กันมาโดยตลอด ขอให้ปีนี้ ปีหน้า และปีต่อๆไปของทุกคนมีความสุขและเป็นปีที่ดีนะคะ หากใครที่ต้องเดินทางก็ขอให้เดินทางปลอดโดยสวัสดิภาพ เที่ยวปีใหม่นี้ให้สนุกนะคะ




สวัสดีปีใหม่ 2563 ค่ะ




รัก

พันไมล์


ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
อัพส่งท้ายปีเลย555

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ท่านวศิน ไม่สัญญาในใจสิ บอกเจ้าแก้วตัวน้อยให้ได้รู้ด้วยยย :hao5:


อิพี่กล้าโว้ยยยย
ถึงจะเสียท่าโดนท่านวิรุณหิ้วกอดเอวตัวลอยดิ้นกะแด่วๆ  :laugh:
แต่อิพี่กล้าทำดีมาก ปกป้องน้อง ถึงจะใจร้อนปากเสียแต่มันรักน้องของมันที่สุด!

สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้มีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง มั่งคั่งร่ำรวย โชคดีตลอดปีและตลอดไปนะคะ :L2:

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ร้องไห้เลยอ่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ GUNPLAPLASTIC

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน อ่านรวดเดียวเลยนะคะ อ่านไปเขินไป แบบ น้องงงงงง
ตอนหน้ารออ่านฉากบู๊ พี่ยักษ์สู้ๆๆ ชอบพี่กล้ามากๆเลยนะ รักน้องตัวเองสุดๆ
รอตอนต่อไปนะคะ คุณคนแต่งเขียนได้ดีมาก ภาษางาม อ่านแล้วสบายจัย :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
สงสารแก้ว เป็นเด็กน้อยเตาะแตะไปเลยตอนอยู่กับพี่
อย่าทิ้งน้องไว้นานนะ เผลอแปบๆ ยิ่งโตยิ่งน่ารักไม่รู้ด้วย
แล้วแก้วให้ตะกรุดพี่ไป จะเป็นอะไรไหมคะ

กล้าทั้งรัก ทั้งหวง และก็เคืองน้องมาก แต่ก็ไม่เสี่ยงให้ใครมาแตะต้อง
อย่างน้อย แก้วก็ยังมีกล้าคอยดูแล

พ่อครูกับพระอาจารย์คือของขึ้นแล้วขึ้นอีกน่ะ

สวัสดีวันเด็กค่ะ ถึงจะโตแล้ว ก็ยังเป็นเด็กได้เสมอน้า  :mew2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ oohsg94

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5: เปียกปอนมาก

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
พี่ยักษ์รีบกลับมาน้าาาา น้องรออยู่ :ling1:

ออฟไลน์ อะไร

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากรู้ความสัมพันธ์กล้าเเละก็วิรุณค่าาา ณ จุดๆนี้ ดูเหมือนคนเขียนจะปูมาให้เเต่ก็ทิ้งให้มโนไปเองง น้ำตาอิเเม่จะไหล สรุปเขามีโมเม้นท์มั้ยคะ555ฝากถามนักเขียนเลยค่าา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด