หลังจากที่นคินเดินออกไป อสุราหนุ่มก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม ท่าทีถมึงทึงทำให้เจ้าแก้วเผลอขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อกายสูงใหญ่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แต่ทว่าสายตากลับมองเลยไปทางด้านหลังของมันแทน
พญาอสรพิษเชิดชูคอขู่ฟ่อ แววตาแดงก่ำจดจ้องมองกลับมาอย่างไม่ลดละ ภุชงค์ใช้ปลายหางโอบรัดรอบเอวของเด็กหนุ่มก่อนจะเคลื่อนกายมาบดบังเอาไว้อย่างหวงแหน
“ถอยไป” เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจเอ่ยเตือน นัยน์ตาสีนิลแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉานเมื่อไฟโทสะเริ่มปะทุ
ฟ่ออ!
ฝ่ามือใหญ่เอื้อมออกไปหมายจะคว้าตัวจ้าแก้วให้เข้ามาหา แต่ยังไม่ทันที่จะเข้าถึงตัวกลับถูกคมเขี้ยวคมของอสรพิษฉกลงมาที่ท่อนแขนอย่างแรงจนจมเขี้ยว หยดเลือดที่ไหลซึมออกมาทำให้เจ้าแก้วเบิกตาขึ้นอย่างตื่นตกใจก่อนจะออกปากร้องห้ามด้วยความร้อนรน
แต่อสุราหนุ่มกลับทำเพียงแค่ยืนนิ่งเฉยราวกับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดที่ถูกทำร้ายร่างกาย ก่อนฝ่ามืออีกข้างจะตะปบเข้าบริเวณปากของเจ้างูยักษ์พร้อมออกแรงบีบง้างขากรรไกรให้อ้ากว้างจนแทบฉีกขาด
เขี้ยวยาวที่งอกเงยออกมาแสดงให้เห็นว่าอสุราหนุ่มนั้นเริ่มมีโทสะอยู่ไม่น้อย เรี่ยวแรงมหาศาลถูกส่งผ่านไปยังอุ้งมือที่กำลังกำรอบคอของพญาอสรพิษ เสียงคำรามทุ้มต่ำในลำคอดังประสานกับเสียงขู่ฟ่อ
“ท่านวศิน” เจ้าแก้วเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆเมื่อเห็นว่าภุชงค์เริ่มมีท่าทีอ่อนลงคงเพราะไม่สามารถต้านเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายเอาไว้ได้
...มันไม่เคยได้เห็นอีกฝ่ายในมุมนี้มาก่อน
ตาสีแดงฉานและมีเขี้ยวยาวงอกเงยออกมายิ่งตอกย้ำความน่าหวั่นเกรงให้มากขึ้นไปอีก
“ปล่อยภุชงค์เถอะนะจ๊ะ...ฉันขอ” น้ำเสียงเว้าวอนแผ่วเบาของเด็กหนุ่มกลับส่งไปถึงใครอีกคนได้อย่างไม่ยากเย็น
แรงบีบรอบลำคออสรพิษยักษ์ถูกคลายออกโดยทันทีก่อนร่างของภุชงค์จะร่วงลงไปที่พื้น เจ้าแก้วจึงก้มตัวลงไปลูบหัวให้อย่างปลอบประโลมก่อนจะเอ่ยบอกให้อีกฝ่ายติดตามท่านนคินไป แม้นจะไม่อยากทำตามนักแต่มันก็ไม่คิดที่จะดื้อดึงต่อเด็กหนุ่ม ภุชงค์ยืดกายขึ้นจดจ้องคู่อริอีกครั้งก่อนจะเลื้อยออกไปจากโถงถ้ำตามคำขอของเจ้าแก้ว
“ท่านวศิน เจ็บมากไหมจ๊ะ” มนุษย์ตัวน้อยเดินเข้าไปหาก่อนจะเอื้อมมือออกไปแตะบริเวณท่อนแขนกำยำแผ่วเบา แต่ท่าทีที่ยังคุกรุ่นของอีกฝ่ายกลับทำให้มันยังไม่กล้าที่จะเขยิบเข้าไปใกล้มากนัก
อสุราหนุ่มเบือนหน้าออกไปอีกทางเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง
ปรกติแล้วนั้นเขาหาใช่คนที่วู่วามและบันดาลโทสะโดยใช่เหตุ แต่เพราะตะกอนขุ่นมัวที่อยู่ใต้เบื้องลึกของจิตใจกลับก่อกวนเสียจนสมาธิแตกกระเจิง
...ตลอดชีวิต ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
ความรู้สึกคล้ายกับการหวงแหนจนตนเองยังนึกแปลกใจ...
แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเพียงเท่านี้ กลับทำให้จิตใจที่สงบนิ่งกระวนกระวายจนน่าหวาดหวั่น
และนับวันความรู้สึกนี้มันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปทุกที..
เจ้าแก้วมีสีหน้าไม่สู้ดีนักก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อฝ่ายนั้นเบือนหน้ากลับมามอง นัยน์ตาสีแดงเพลิงจดจ้องมองลูกมนุษย์ตรงหน้าด้วยแววตานิ่งเฉยก่อนจะสังเกตเห็นว่ามือเล็กๆที่แตะท่อนแขนของตนนั้นสั่นเทาเล็กน้อยคล้ายกับสัตว์ตัวเล็กที่กำลังหวาดกลัวต่อผู้ล่า
“เจ้ากลัวข้าหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม ก่อนฝ่ามือใหญ่จะยกขึ้นมากอบกุมมือข้างนั้นอย่างอ่อนโยนขัดกับท่าทีแข็งกร้าวที่แสดงออก
ร้อยวันพันปีไม่เคยนึกสนใจหากผู้ใดจะรู้สึกหวาดกลัวตน...แต่กลับเด็กหนุ่มตรงหน้าแม้นเพียงนิดก็ไม่อยากจะทำให้ได้ระคายเคือง
กับเจ้าวิรัลเองยังกล้าออกปากดุน้องอยู่บ้าง...แต่กับเจ้าสัตว์ตัวเล็กนี่ ไม่เคยคิดแม้แต่จะอยากทำให้เสียขวัญ
เจ้าแก้วช้อนตาขึ้นมองก่อนจะค่อยๆพยักหน้ารับอย่างกล้าๆกลัวๆ เพียงเท่านั้นก็เรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอจากอสุราหนุ่มได้เป็นอย่างดี
...เจ้ากระรอกตัวน้อยตอนที่หวาดกลัวจนตัวสั่นเช่นนี้กลับน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ร่างสูงใหญ่ก้มต่ำลงมาจนใบหน้าของทั้งคู่เสมอกันก่อนฝ่ามือที่กอบกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้จะยกขึ้นมาแนบเข้าข้างใบหน้าของตน ปลายนิ้วเล็กเคลื่อนสัมผัสผ่านคมเขี้ยวของยักษ์ไปตามแรงที่ควบคุม ก่อนจะต้องลมหายใจสะดุดเมื่อลากผ่านเรียวปากอุ่นร้อนของอีกฝ่าย
สองสายตาสอดประสานกันไม่ห่าง รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้าคมคร้ามอีกครั้งเมื่อได้จ้องมองคนตรงหน้า นัยน์ตาสีแดงเพลิงประกายอ่อนแสงลงกลับไปเป็นสีเดิม แต่เขี้ยวยาวที่งอกเงยนั้นยังคงอยู่
วศินปล่อยมืออกจากพันธนาการที่กอบกุมก่อนจะเคลื่อนต่ำลงไปโอบประคองบนช่วงเอวได้รูป พร้อมกับออกแรงดันร่างของอีกฝ่ายเข้ามาแนบประชิดกันมากยิ่งขึ้นจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่กระจายออกมาจากแผ่นอกกว้างเปลือยเปล่า
หยดน้ำบางส่วนที่เกาะพราวอยู่ส่องกระทบกับแสงอาทิตย์อย่างมีชีวิตชีวา
ลมหายใจอุ่นที่รินรดอยู่บริเวณผิวแก้มทำให้เจ้าแก้วรู้สึกราวกับถูกหลอมละลาย มันผละมือออกจากใบหน้าคมเข้มก่อนจะเคลื่อนไปวางไว้บริเวณท่อนแขนของอีกฝ่ายแทน สัตว์ตัวเล็กยืนมองริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่ายไม่วางตาพลันเสียงกึกก้องในอกก็เต้นรัวจนหูอื้อเมื่อความรู้สึกกระหายอยากตีรวนขึ้นมาอย่างยากที่จะหักห้ามใจ
ริมฝีปากอิ่มถูกเม้มเข้าหากันเพื่อระงับความปรารถนา แต่ทว่าใบหน้าคมคร้ามที่เคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมปรับองศาเข้าหากันนั้นกลับเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่เร่งให้เสียงเต้นของก้อนเนื้อในอกซ้ายดังกึกก้อง
แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเคลื่อนประชิดฝ่ามือเล็กกลับยกขึ้นมาขวางกั้นตรงกลางเอาไว้เสียก่อน ส่งผลให้เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันโดยทันที วศินนึกขัดใจอยู่ไม่น้อยที่ถูกขัดขวาง ซ้ำเจ้าสัตว์ตัวน้อยมันยังเอามือปิดปากตัวเองไว้อีกต่างหาก
“ทำอะไรของเจ้า” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์นักเพราะเรียวลิ้นในปากมันอยู่ไม่สุขเมื่อจินตนาการไปถึงความอุ่นชื้นที่เคยได้ลุกล้ำเข้าไปเก็บเกี่ยวกลืนกิน “เอามือออก” มองเผินๆคล้ายกับจะข่มขู่ แต่รอยยิ้มที่ควบคู่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ากำลังโดนคุกคามอยู่เลยสักนิด
เจ้าแก้วส่ายหน้าปฏิเสธอย่างใจกล้า...เพราะความรู้สึกที่ถูกคมเขี้ยวของอีกฝ่ายบาดเข้าที่ผิวเนื้อยังคงฉายชัดอยู่ในความรู้สึก
“ปิดทำไม” คราวนี้น้ำเสียงทุ้มต่ำกลับเข้มขึ้นเล็กน้อย ฝ่ามือใหญ่ที่โอบประคองอยู่แถวบั้นเอวออกแรงเคล้นคลึงเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายคล้อยตาม
“ก็...” เจ้าแก้วพูดเสียงแผ่วเบา “เขี้ยวท่านวศิน...ทำฉันเจ็บนี่จ๊ะ”
เพียงได้ฟังเหตุผลอสุราหนุ่มก็กดยิ้มลึกมากขึ้นกว่าเดิม
..เด็กน้อย...
“หากไม่มี...ก็หมดปัญหาใช่หรือไม่” ข้อเสนอถูกหยิบยื่นไปให้ ก่อนเขี้ยวคมยาวโค้งจะมลายหายไป
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยตอบจู่ๆสัมผัสอุ่นร้อนก็แนบลงมาที่หลังฝ่ามือทั้งยังกดแช่นิ่งค้างไว้อยู่อย่างนั้น
ระยะที่ชิดใกล้มีเพียงแค่ฝ่ามือเท่านั้นที่ขวางกั้นระหว่างริมฝีปากของทั้งคู่ อสุราหนุ่มจดจ้องเจ้าสัตว์ตัวเล็กไม่วางตา ยิ่งเห็นว่ามันเริ่มออกอาการกระวนกระวายทำตัวไม่ถูกก็ยิ่งได้ใจ
ท่อนแขนแข็งแรงเปลี่ยนเป็นโอบรัดรอบเอวของมนุษย์จนลำตัวแนบชิดกันหยดน้ำบางส่วนที่ยังหลงเหลือบนแผ่นอกกว้างทำให้เสื้อที่เจ้าแก้วสวมใส่อยู่เปียกชื้นเล็กน้อย มันพยายามยื้อกายออกห่างแต่ก็ไร้ผลเมื่อถูกพันธนาการแน่นหนาโอบรัดเอาไว้จนแทบจมหายเข้าไปในอ้อมกอด
ยิ่งได้ใกล้ชิดเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ตระหนักได้ว่าความแตกต่างระหว่างขนาดตัวของพวกเขานั้นมีมากเพียงใด...
“อื้อ” เจ้าแก้วส่งเสียงประท้วงในลำคอเมื่อไร้หนทางสู้ ฝ่ามือเล็กยกขึ้นวางแนบไปบนแผ่นอกกำยำพร้อมทั้งออกแรงดันอย่างสุดความสามารถแต่กลับไร้ผล
ปกติแล้วมันก็หาได้บอบบางอ้อนแอ้นแต่อย่างใด แต่ในยามที่ถูกอสุราหนุ่มโอบกอดเอาไว้เช่นนี้แล้วความมั่นใจที่เคยมีกลับถูกพังทลายไม่เป็นท่า..
เมื่อได้กลั่นแกล้งจนพอใจอสุราหนุ่มก็ผละใบหน้าออกห่างก่อนจะยืดกายขึ้นเต็มความสูง แต่วงแขนที่โอบกอดอีกฝ่ายอยู่นั้นหาได้คลายออกตามแต่อย่างใด
“ท...ท่านวศิน ปล่อยฉันเถอะนะจ๊ะ” มันยื้อกายออกห่างเมื่อเริ่มรู้สึกแปลกประหลาดยามที่ร่างกายได้สัมผัสผิวเนื้อร้อนระอุของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนอสุราหนุ่มจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าใดนักเพราะนอกจากแรงที่กอดจะไม่ลดลงแล้ว ฝ่ามือใหญ่ที่โอบประคองแผ่นหลังอยู่ก็เริ่มลูบไปตามร่องกระดูกสันหลังทำให้เจ้าแก้วตัวอ่อนราวกับขี้ผึ้งลนไฟ มันจึงต้องเอื้อมมือไปจับท่อนแขนกำยำเอาไว้เป็นหลักยึด
“บอกให้ข้าปล่อยมิใช่หรือ แล้วเหตุใดเจ้าจึงจับแน่นเช่นนี้เล่า” รอยยิ้มร้ายกดลึกข้างมุมปาก
ก็พึ่งจะได้รู้ตอนนี้ว่าตนเองนั้นมีมุมที่ชอบกลั่นแกล้งอยู่ไม่น้อย
แต่มุมนี้คงถูกใช้กับเจ้าสัตว์ตัวเล็กในอ้อมกอดเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ก็ท่านแกล้งฉันนี่จ๊ะ” มันเงยหน้าขึ้นเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
วศินมองเด็กน้อยในอ้อมกอดอย่างพออกพอใจก่อนจะยอมคลายวงแขนออกเพื่อให้มันได้เป็นอิสระ
ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงไปกอบกุมกับอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับดึงให้เดินตามออกไปจากโถงถ้ำ โดยที่เจ้าแก้วก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ทันทีที่ทั้งสองเดินมาถึงบริเวณโถงกลาง พันธนาการที่กอบกุมกันไว้ก่อนหน้าก็ถูกผละออกห่างเมื่อไม่ได้อยู่กันเพียงแค่สองต่อสอง พระอาจารย์ที่กำลังพูดคุยกับองค์นคินอยู่นั้นหันหน้ามามองพร้อมกับกวักมือเรียกหลานรักให้เข้ามานั่งใกล้ๆ
ส่วนอสุราหนุ่มที่เดินตามหลังมาก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับพญานาคราช แต่สายตาก็ยังคงลอบมองไปทางเจ้าแก้วอยู่เป็นระยะ
“แขนเจ้าไปโดนอะไรมาละนั่น” นคินเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าท่อนแขนของอสุราหนุ่มนั้นมีรอยแผล...แต่เมื่อเพ่งมองดีๆแล้วถึงกับคิ้วกระตุกก่อนจะหันไปมองสมุนตัวเขื่องที่นอนขดอยู่ข้างกายอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ภุชงค์...” เสียงทุ้มต่ำเล็ดลอดไรฟันอย่างพยายามสงบสติอารมณ์
ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...
นี่ดีหน่อยที่เจ้าภุชงค์มันแค่กัดแต่ไม่ได้ปล่อยพิษออกมา มิเช่นนั้นล่ะเป็นเรื่องอีกแน่
“พวกเจ้าทั้งสองนี่ยังไง ทะเลาะกันราวกับเด็กเล็ก” พญานาคหนุ่มส่ายหัวอย่างนึกเอือมระอา
อีกฝ่ายก็หวงจนหน้ามืดตามัว...อีกตัวก็ชอบยั่วยุ
มันก็พอๆกันทั้งคู่...นิสัยดุร้ายพอกันก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ
“เห็นท่านนคินบอกว่าท่านหายดีแล้วซ้ำยังแข็งแรงขึ้นมาก” น้ำเสียงที่มากไปด้วยเมตตาของพระอาจารย์เอ่ยทัก
“ขอรับ” อสุราหนุ่มโค้งศีรษะตอบอย่างนอบน้อม
“อืม...แล้วหลังจากนี้จะเอาอย่างไร” แม้นจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่ก็อยากจะถามอีกสักครั้งเพื่อความมั่นใจ “จะเดินทางกลับไปยังเมืองของท่านหรือจะอยู่ที่นี่ต่อ”
สายตาของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมองสับระหว่างจอมทัพอสุรากับหลานคนเล็กที่นั่งอยู่ข้างกาย
...ไม่ใช่ไม่รู้ว่าระหว่างทั้งคู่นั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไป
แต่ก็อยากจะให้ได้เผื่อใจเอาไว้สักนิดว่าในบางครั้งก็ไม่สามารถที่จะกระทำตามความต้องการของตนเองไปได้เสียทุกอย่าง
“คงจะอยู่ต่อไม่ได้แล้วขอรับ” วศินเอ่ยตอบเสียงหนักแน่น แม้นว่าในใจจะรู้สึกวูบโหวง
ถึงจะไม่อยากจาก...แต่ก็ไม่สามารถที่จะละทิ้งต่อหน้าที่ได้
“อืม...อาตมาทราบดี” ชายชรายิ้มบางเบา “ท่านวศินมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เป็นถึงจอมทัพใหญ่คงลำบากอยู่ไม่น้อยเลยสินะ”
เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นไปเผชิญกับอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งเมื่อความจริงที่พยายามหลีกหนีมาตลอดได้ปรากฏตรงหน้า
..ราวกับวันเวลาที่ล่วงเลยผ่านมาเป็นเพียงแค่ความฝัน...
ทุกอย่างยิ่งตอกย้ำว่าตัวมันกับอสุราหนุ่มนั้นต่างกันมากเพียงใด
ท่านวศินเป็นถึงจอมทัพใหญ่ มีเกียรติที่สูงส่ง
แต่ตัวมันนั้นเป็นเพียงแค่มนุษย์ต้อยต่ำซ้ำยังพิกลพิการ
เพียงแค่คิดเทียบเคียงก็น่าละอายยิ่งนัก…
...ช่างห่างไกลจากคำว่าเหมาะสมไปมากโข
สายตาสองคู่สอดประสานมองกันท่ามกลางความรู้สึกที่ยากที่จะอธิบาย อสุราหนุ่มยังคงมีท่าทีนิ่งขรึมตามเดิมแต่ทว่าในอกกลับวูบไหวยามที่เห็นว่านัยน์ตาสีอ่อนดูเศร้าหมองลง
ถึงตอนนี้ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจก็ยิ่งฉายชัดเพื่อย้ำเตือนว่าตนเองนั้นได้มีใจปฏิพัทธ์ให้แก่เด็กหนุ่มมนุษย์ผู้นี้ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งที่เคยคิดมาตลอดว่ามันอาจเป็นเพียงแค่ความไหวหวั่นเพียงผิวเผิน..แต่นานวันเข้ากลับทำให้ความมั่นใจนั้นสั่นคลอนได้อย่างไม่อยากเย็น
...หากทว่าตอนนี้สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่หาได้เอื้ออำนวยให้สามารถสานต่อความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นได้...เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าถ้าหากได้เปิดรับความรู้สึกให้เป็นไปตามที่ใจต้องการแล้วในอนาคตจะเกิดสิ่งใดขึ้น
ออกทัพจับศึกมาเป็นร้อยพันหาได้เคยหวาดหวั่นหากลมหายใจจะต้องถูกพรากไป
แต่ครั้งนี้เป็นหนแรกที่สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวที่เกาะกุมภายในจิตใจ
..ถ้าหากครั้งนี้กลับไปแล้วไม่สามารถกลับมาพบกันได้อีก...
หรือแม้นแต่คำล่ำลาก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้เอื้อนเอ่ย...
..เพียงแค่คิดก็ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้…
“อย่าห่วงไปเลยท่านวศิน” เสียงที่มากไปด้วยเมตตาของพระอาจารย์เอ่ยบอกแฝงความนัย “สิ่งใดจะเกิดก็ต้องเกิด...เพียงแค่มีสติรับรู้ตัวตน ไม่ประมาทก็เป็นพอ”
“…”
“อย่าได้นึกกังวลอันใดให้จิตใจไม่เป็นสุขเลย...ทางนี้ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง ขอให้ท่านกลับไปทำหน้าที่ได้อย่างสบายใจเถิด”
นัยน์ตาฝ้าฟางทอแสงอ่อนลงเพื่อยืนยันในความหมายที่ตนต้องการจะสื่อ
..เพราะรู้ดีว่าหนทางข้างหน้านั้นหาได้ง่ายดายเท่าใดนัก จึงไม่ได้คิดที่จะขัดขวางให้เรื่องมันยุ่งยากยิ่งขึ้นไปอีก
หากทั้งสองมีใจปฏิพัทธ์ให้แก่กันจริงละก็
...รอคอยให้ถึงวันนั้นก็ยังไม่สาย
หากเป็นคู่กันแล้ว...ก็คงไม่แคล้วกัน
____________________________
ขอบพระคุณคุณ dekying kukkig ที่ช่วยทำสารบัญให้นะคะ