14
เมษานั้น 3
14 เมษายน / 22:45 น.
เวลาล่วงเลยมาพอสมควร บรรดาภรรยาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เหลือเพียงการดื่มกินประสาเพื่อนที่ยังคงดำเนินต่อไป
หลังจากราชวุฒิขอแยกตัวไปนอน ธันธเนศก็นั่งเงียบๆ อยู่ข้างบนนั้นสักพักหนึ่งก่อนจะเดินกลับลงมา
“อ้าว ลงมาแล้วเหรอพ่อหนุ่มนักรัก” อณวุฒิกล่าวรับ
“รักเหี้ยไรล่ะ ไม่ง่วงกันหรอวะ พรุ่งนี้จะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันไม่ใช่หรือไง”
“คงง่วงหรอกนะ กินข้าวเที่ยงเสร็จก็นอนยาวกันคนๆ” อากิระตอบ
“แล้วนี่...” เขามองหา
“ไอ้ธันนะเหรอ มันบอกจะออกไปเดินเล่น” อณวุฒิตอบด้วยเสียงกรึ่มเมา
“เออว่ะ นี่ก็นานแล้วนะ กูลืมไอ้ธันไปเสียสนิทเลย” เจนจพทำท่าตกใจ
“นี่มันสี่ทุ่มจะห้าทุ่มแล้ว มึงไม่ห่วงน้องมันบ้างหรอวะ”
ธันธเนศพูดพลางยกโทรศัพท์มาแนบหู มีเพียงเสียงอัตโนมัติที่บอกว่าปลายสายปิดเครื่องหรือไม่ก็แบตเตอรี่คงหมด
คนสีหน้าเป็นกังวลวางโทรศัพท์ลงอย่างจำใจ
“เป็นไงบ้างวะ” คนที่นั่งรอฟังอย่างจดจ่อถาม
“ปิดเครื่อง”
“เอาไง จะให้พวกกูแยกกันออกตามหาไหม” เจนจพเสนอ
“ไม่ต้องหรอก พวกมึงกินกันต่อเถอะ เดี๋ยวกูเดินดูแถวๆ นี้เอง ไม่น่าจะมีอะไรหรอก ถ้าไม่เจอยังไงเดี๋ยวกูโทรมาบอกอีกที” เขาพูดก่อนจะสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อเขาให้อีกฝ่ายติดสอยห้อยตามมา เกิดอะไรขึ้นมันก็ต้องเป็นเขาที่คอยรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้เพื่อนคนอื่นๆ มาพลอยลำบากไปด้วย
แม้จะเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นเพราะพื้นที่บนเกาะที่เอื้อต่อการเล่นสาดน้ำและปริมาณน้ำจืดมีอยู่อย่างจำกัด บรรดาคนที่เดินทางขึ้นมาท่องเที่ยวบนเกาะนี้จึงไม่ได้เน้นหนักไปที่การเล่นสาดน้ำกันนัก เวลาประมาณนี้ก็แยกย้ายกันไปในที่ของตน อยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมทริปเพื่อสังสรรค์หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกัน บรรยากาศบนถนนเส้นหลักของเกาะเงียบอยู่พอสมควร
ธันธเนศย่ำเท้าไปตามทางเดินแคบๆ ลัดเลาะออกไปตามทางเดินที่เชื่อมออกจากบ้านไปสู่ถนนเส้นเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นหลักของเกาะและพอมีแสงไฟสว่างอยู่บ้าง เขาเดินไปตามถนนพลางสอดส่องสายตาไปทั่ว เผื่อจะได้เจอกับคนที่เขากำลังหา และแล้วก็เจอ
เขาเดินลงไปในสะพานเทียบเรือเล็กๆ ที่ทอดยาวสู่ทะเลตื้นๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างคนที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
“เปลี่ยวอะไร ถึงมานั่งคนเดียวตรงนี้”
“เปล่า แค่อยากสูดอากาศ”
“ทำอย่างกับที่พักอยู่ห่างจากทะเล”
“ผมแค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
“เป็นอะไรเนี่ย อารมณ์แปรปรวนเหมือนคนเป็นเมนส์”
“ใครจะไปดีเหมือนเด็กตี๋นั่น”
เขารู้เหตุผลที่แท้จริงแล้ว
“อ๋อ เดี๋ยวนี้ประชดประชัน”
คนหน้างอไม่พูดต่อ
“กลับ ที่นี่ไม่ใช่ที่คุณจะมานั่งดราม่าเหมือนพระเอกเอ็มวีได้หรอกนะ เราไม่รู้หรอกนะว่ามันอันตรายหรือเปล่า” เขาพูดพลางลุกขึ้นนำ
“ลุก” แล้วออกเสียงสั่งอีกรอบ
อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่ง สายตามองไปเรื่อยเปื่อยยังผืนทะเลที่มืดมน
“ธันวา” น้ำเสียงของคนที่ยืนอยู่เริ่มแข็งขึ้น
“คุณคิดแบบที่คุณพูดจริงๆ เหรอ”
“พูดอะไร”
“ผมได้ยินนะที่คุณพูดกับเด็กนั่น”
ธันธเนศถึงบางอ้อทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากอีกฝ่าย
“เพราะเรื่องนี้นี่เอง” เขานั่งลง “งั้นถามอะไรหน่อย”
“อือ”
“รู้สึกยังไงกับผม”
“ก็...”
“รอฟังอยู่”
“ก็...” นั่นสิ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อธันธเนศคืออะไรงั้นเหรอ จะเรียกว่ารักได้ไหม หรือแค่ชอบ เขาแค่รู้สึกว่าเวลาได้เห็นและได้อยู่ใกล้ธันธเนศเขารู้สึกดี รู้สึกมีความสุข ไม่ชอบเวลาที่อีกฝ่ายมีท่าทีที่พิเศษกับคนอื่น ชีวิตที่โลกส่วนตัวสูงเก็บซ่อนอารมณ์เหมือนกำลังพยายามปิดบังความลับอะไรบางอย่างไว้ มันทำให้เขาอยากเข้าไปค้นหา อยากรู้จักให้มากขึ้น แม้ตอนแรกที่พบเจอกัน มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี จนถึงขึ้นทะเลาะกันรุนแรง แต่เมื่อเขายิ่งได้เห็นหน้าธันธเนศบ่อยขึ้น ได้รู้จักธันธเนศมากขึ้น เขากลับรู้สึกอยากครอบครอง อยากเห็นใบหน้านั้นในทุกๆ วันเสียอย่างนั้น
“เห็นไหม คุณก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับผม” คนรอฟังคำตอบพูดขึ้น
คนที่ผ่านอะไรมาเยอะแยะอย่างเขา ทำไมจะไม่รู้ว่าอาการของธันวา ก็แค่อารมณ์ฉาบฉวย ที่แม้แต่ความรู้สึกของตัวเองก็ยังไม่ชัดเจน
ธันธเนศลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทำท่าจะหันหลังกลับ
แล้วคนที่นั่งอยู่ก็โพล่งขึ้น “ผมรู้สึกบางอย่างกับคุณแบบที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนมาก่อน” เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเดินหนีไปเสียก่อน “ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าผมรู้สึกดีที่ได้คุยกับคุณ ได้อยู่ใกล้คุณ ไม่ชอบเวลาเห็นคุณอยู่กับคนอื่น โดยเฉพาะ... เด็กตี๋นั่น” เสียงแผ่วในประโยคสุดท้ายดังแทรกกลับลมทะเลที่พัดแรง
“ถามหน่อย จนถึงตอนนี้ผมกับคุณเพิ่งจะหันมาคุยกันดีๆ สักกี่ครั้ง จะให้ผมรู้สึกอะไรกับคุณเลยเหรอ ลองถามตัวเองก่อนนะว่ารู้สึกอะไรกับใครไวไปหรือเปล่า”
“แล้วถ้าหลังจากนี้ ในวันที่ความรู้สึกของผมมันชัดเจนขึ้นมาแล้วว่า...”
...
“ว่ารักคุณ คุณจะรักผมตอบหรือเปล่า ขอโทษนะที่พูดตรงๆ” ในความมืดดวงตาที่ทอประกายส่งผ่านความรู้สึกจริงๆ ของผู้พูดออกมาได้อย่างชัดเจน เมื่อหันมาสบกับเขา
ธันธเนศยืนหันไปทางฝั่งที่มืดสลัว หันหลังให้คนที่นั่งอยู่ เสื้อผืนบางต้องลมปลิวแนบเนื้อ
“แล้วถ้ากลับกัน เมื่อถึงวันนั้นกลับเป็นผมที่ชัดเจนอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ”
คนถูกถามอ้ำอึ้ง
ผู้ถามผ่อนลมหายใจ
“ป่ะ กลับกันเถอะ ผมง่วง” เขากล่าวก่อนจะเดินไปตามสะพานเทียบเรือเล็กๆ นั้นมา
“เดี๋ยวผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเอง”
คนที่เดินลับห่างออกไปไม่หยุดฟังเสียงของคนที่ยืนตะโกนอยู่ข้างหลัง
“อ้าว กลับมากันแล้วเหรอเพื่อน ไปพลอดรักที่ไหนกันมาล่ะ”
“เมาแล้วเพ้อเจ้อห่าไร ไอ้กล้วย” ธันธเนศผลักหัวเพื่อน
“บ้าน่า เมาที่ไหนกัน มาๆ มานั่ง มึงทั้งสองคนเลย กูยังไม่เห็นพวกมึงแดกกันเลยเนี่ย”
“เออ พวกมึงอะ ไม่ใจเลย มาๆ นานทีปีหนจะได้ฉลองด้วยกันครั้งหนึ่ง ไม่กินแสดงว่าไม่รักเพื่อนนะ” เจนจพเสริม พลางตบเก้าอี้ว่างข้างตัวเองแปะๆ
คนฟังส่ายหัวอย่างจำใจ
“ขึ้นไปนอนก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวผมอยู่กับพวกแม่งเอง” ธันธเนศหันมาบอกธันวาก่อนจะเดินลงไปนั่งข้างๆ เจนจพ
“เดี๋ยวผมอยู่ด้วย”
“ให้ได้อย่างนี้สิคะผัวขา” อณวุฒิกล่าวพลางเปิดเบียร์ขวดใหม่ส่งให้ทั้งสอง “นี่เลยค่ะของผัวทั้งสอง”
“ไม่เมาห้ามกลับไปนอน” อากิระเอาด้วย
15 เมษายน / 02:05 น. เวลาล่วงเลยมาพอสมควร คนที่เพิ่งมาสมทบก็เริ่มจะไม่เหลือสติของคนดีๆ แล้ว ธันธเนศหน้าแดงก่ำและเริ่มมึนงงเมื่อเบียร์ขวดเล็กหลายขวดถูกเทลงท้องไปอย่างไม่หยุดหย่อน ในขณะที่ธันวายังมีสติเหลือมากกว่าเขา เพราะไม่ค่อยได้กินสักเท่าไหร่ มัวแต่นั่งฟังบรรดาเพื่อนๆ รุ่นพี่ฝอยกันน้ำลายแตกฟอง และอีกสามคนที่กินหนักสุดก็ไม่ต้องพูดถึง พูดจะไม่เป็นภาษาคนอยู่แล้ว
ในที่สุดสองคนที่สติเหลือมากสุดจึงต้องตัดบทให้การล้อมวงจบแต่เพียงเท่านี้ แล้วทยอยขนคนเมาขึ้นไปส่งจนถึงเตียงแต่ละคน
“คุณเมาหรือเปล่า” ธันวาถามขึ้นขณะช่วยกันเก็บกวาด
“มึนๆ น่ะ ผมไม่ค่อยถูกกับเบียร์สักเท่าไหร่”
“แล้ววันนั้นที่หมดสภาพนี่กินอะไร”
“เหล้า”
“หนักกว่าอีก”
“ก็วันนั้นกินไปเยอะ” เก้าอี้ตัวสุดท้ายถูกผลักเข้าใต้โต๊ะ “ป่ะ เท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้พวกมันมาเก็บกวาดอีกรอบ”
“ให้ผมไปส่งที่ห้องไหม”
“ไม่ได้เมา แต่ถึงเมาก็ไม่ได้เป็นง่อย”
15 เมษายน / 02:30 น. ไฟในห้องของธันธเนศดับลง เขาเลือกจะไม่ปิดประตูเพราะต้องการรับลมเย็นจากภายนอกที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่ใช้ชมวิวแทนเครื่องปรับอากาศในห้องที่แคบๆ น่าอึดอัดนี้ จึงมีแค่ผ้าม่านสีขาวบางๆ กั้นไว้ ทำให้ลมทะเลที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างชั้นสองโกรกผ่านเข้ามาในห้องเขาที่อยู่ติดกับพื้นที่นั่งเล่นชมวิวได้อย่างพอดิบพอดี
ผ้าม่านบางปลิวไสว ชายหนุ่มหลับลงด้วยหัวที่หนักอึ้งก่อนที่จะทันได้สังเกตเห็นว่ามีร่างๆ หนึ่งยืนกอดอกพิงกรอบประตูจ้องมองเขาอยู่
ร่างสูงยืนมองคนที่นอนอยู่บนเตียงชั่วขณะหนึ่งเหมือนชั่งใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้ามาในห้อง
สิ่งที่เขาจะพิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็น และนี่จะเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าแท้จริงแล้ว เขากำลังคิดอย่างที่เขารู้สึกหรือเปล่า และมันจะลึกซึ้งได้แค่ไหน
ประตูที่เปิดค้างไว้ถูกดึงให้ปิดลงแล้วล็อก ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ที่ขอบเตียงแคบๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างคนที่นอนหันหลังให้ประตู
ร่างสูงค่อยๆ เอนกายลงนอนเคียงข้างคนที่นอนอยู่ก่อน แขนหนาขยับไปโอบร่างที่บางกว่าไว้ แล้วออกแรงพลิกให้นอนหงาย นิ้วมือยาวไล่ผมออกจากหน้าผากที่เนียนนุ่ม นิ้วโป้งขยับเขี่ยริมฝีปากนุ่มที่แดงระเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใจเขาสั่นระรัวเหมือนกอง เขาอดใจไม่ไหวแล้ว ริมฝีปากบางโน้มต่ำลงไปประกบริมฝีปากอุ่นๆ นั้นทันที
ความรู้สึกที่เคยก่ออยู่ในใจผลิบานออกจนรู้สึกสะท้านไปทั้งทรวง มันแน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่เขารู้สึกมันเป็นไปในทิศทางไหน
ดวงตากลมเบิกโพลงขึ้นเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติ เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าของร่างหนาก็ใช้มือปิดปากอีกฝ่ายไว้พร้อมกับกระโดดขึ้นคร่อมเพื่อใช้แรงของเขาข่มแรงอีกฝ่ายไว้
ธันธเนศปัดมือที่ปิดปากไว้ออก แต่มันก็ออกหลุดออกอย่าง่ายดายจนแบบเหนือความคาดหมาย
เหตุผลก็เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าโดนคุกคามมากจนเกินไป
“จะทำอะไร” คนที่โดนนั่งทับอยู่ถามขึ้นอย่างหวาดระแวง
“ทำให้คุณเห็นว่าความรู้สึกที่ผมมีให้คุณไม่ใช่แบบที่คุณคิดไง” เสียงแผ่วเบากระซิบที่ข้างหูเขา มันฟังดูเยือกเย็นจนน่าขนลุก
“จะบ้าไปแล้วหรือยังไง”
“ผมขอนะ ขอให้คุณเป็นของผมแค่คนเดียว”
“ไม่ ธันว-” เสียงที่ทำท่าจะดังขึ้นถูกสกัดไว้ด้วยปากของคนที่อยู่ด้านบน แม้สมองจะสั่งการให้เขาขัดขืน แต่กลับมีคามรู้สึกบางอย่างมาลบล้างเสียสิ้น ที่เขาเองไม่รู้ว่ามันคืออะไร สองแขนที่ถูกตรึงไว้ในกำมือของอีกคนอ่อนแรงลง ตัวเขาอ่อนปวกเปียกไปหมด อาจจะเป็นเพราะความเมาทำให้เรี่ยวแรงของเขาหายไป หรือเพราะมันคือความฝันที่ไม่อาจขัดขืน
จูบของอีกฝ่ายทำไมมันช่างนุ่มนวลและเหมือนกับว่ามันสามารถส่งผ่านความรู้สึกในใจมาที่เขาได้จนหมดสิ้น
15 เมษายน / 05:10 น. เสียงเรือและเสียงจอแจของคนท้องที่ที่ต้องตื่นเช้ามาทำงานดังลอดเข้ามาในหูของเขา ธันธเนศสะดุ้งตื่น เขาเหลือบมองนาฬิการูปห่วงยางสีขาวที่แขวนอยู่บนผนังห้อง มันช่างเป็นฝันที่พิศวง
แต่เมื่อขยับตัว เขาก็รู้สึกร้าวไปทั้งสะโพก ก่อนจะพบว่าตนเองนั้น เปลือยเปล่า แขนหนาของใครบางคนพาดอยู่บนลำตัวเขา
ชายหนุ่มดีดตัวลุกขึ้นทันที แล้วหันมาจ้องมองคนที่นอนเบียดเขาอย่างสงบอยู่ข้างหลัง
ธันวา!มันไม่ใช่ฝัน มันคือความจริงๆ
ฉิบหายแล้วไหมล่ะ แล้วกูควรทำยังไงต่อไปดีแม้จะนั่งนิ่งเพราะช็อกกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันตรงหน้า แต่ในใจกลับเต้นโครมครามอย่างร้อนรน มันรวดเร็วเหมือนฝัน
“ธัน” เขาตัดสินใจเอื้อมมือไปเขย่าร่างขาวเหมือนหยวกที่ท่อนล่างซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม “ธันวา” เสียงเบาเร่งเร้าเพราะกลัวความแตก
“ตื่นแล้วเหรอ” สายตาที่หรี่ของคนที่นอนอยู่มองมายังเขา แต่กลับไร้ซึ่งท่าทีของความแปลกใจ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เมื่อคืน...” คนที่นั่งอยู่ถามเสียงเบา
ผู้ถูกถามยกผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างตัวเองอยู่ขึ้น ก่อนจะมองเข้าไปในนั้นแล้วห่มมันไว้ดังเดิม
“อืม” เสียงครางในลำคอพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มทำให้ธันธเนศรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เกิดขึ้นจากความตั้งใจของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะส่วนหนึ่งเมาเหมือนเขา
แม้อยากจะกระชากคออีกฝ่ายมาอัดให้น่วมเหมือนนวมที่ยิมคาราเต้สักแค่ไหน แต่คิดดูอีกทีโวยวายก็มีแต่เสียกับเสีย ในเมื่อมันเกิดไปแล้ว ทำได้ก็คือหาวิธีที่ดีที่สุดและให้หลุดพ้นจากช่วงเวลานี้ไปให้ได้ก่อน
“ใส่ผ้าแล้วกลับไปที่ห้องตัวเองก่อน” เขาสั่งเสียงแข็ง อีกฝ่ายยังอิดออด “เร็ว อยากให้เพื่อนๆ ผมมาเห็นเราในสภาพแบบนี้หรือไง”
“ก็แล้วไง เขาจะได้รู้ไปเลยว่าผมกับคุณเป็นอะไรกันแล้ว”
“ธันวา มันไม่ได้ง่ายแบบที่พูดนะ กลับไปก่อน เดี๋ยวเพื่อนผมก็ตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันแล้ว” เขาออกแรงผลักอีกฝ่ายออกจากเตียง “เร็ว ถือว่าผมขอ”
ร่างสูงบิดขี้เกียจก่อนจะลุกขึ้นเดินโทงๆ อย่างไม่อายสายตาไปหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่ข้างเตียงมาสวม
“นึกว่าจะไม่ตื่นแล้วซะอีก” ธันวาชะงักเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนดังมาจากที่นั่งชมวิว
ราชวุฒินั่นเอง คนถามยังคงมีสีหน้านิ่งเฉยจดจ้องเกมในมือถือ
“นี่นั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ต้นเลยป่ะเนี่ย” ร่างสูงถาม
“อือ”
คนที่เพิ่งออกมาจากห้องไม่ต่อบทสนทนา ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องของตัวเอง
“เห็นแก่ตัว”
เขาหยุด เมื่อคำพูดของคนที่อายุน้อยกว่าดังขึ้น
“อือ”
เขาครางในลำคอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องของตัวเอง
มันก็จริงอย่างที่น้องมันพูด สิ่งที่เขาทำมันไม่ต้องมีใครพูดก็รู้ว่า เห็นแก่ตัวมากแค่ไหน แต่ถ้ามันแลกมาได้กับการที่เขาจะได้ธันธเนศมาครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว มันก็คุ้มเกินพอ
15 เมษายน / 06:00 น. บนยอดเขาที่ไม่ได้สูงมากนัก แต่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากทะเลได้อย่างสวยงามอีกจุดหนึ่ง ธันธเนศยืนค้ำราวเหล็กที่กั้นจุดชมวิวมองพระอาทิตย์ขึ้นเงียบๆ แต่ในใจยังคงปลงไม่ตกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีอะไรกับผู้ชาย ครั้งแรกของเขาได้ยอมปลดปล่อยมันให้กับคนๆ หนึ่ง ที่มันยังย้ำเตือนเขาอยู่ตลอดมาว่าสิ่งนั้นคือความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย
แต่ถึงอย่างไร การที่เขาเผลอใจมีอะไรกับธันวาเมื่อคืนนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจยอมรับได้ง่ายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน เพียงแต่เขาต้องคิดหาทางออกที่ดีที่สุดให้ได้ก็เท่านั้น
ธันวาที่ยืนอยู่ข้างกันขยับแขนที่ใช้ค้ำราวเหล็กเข้ามาชนแขนของเขาเชิงถาม
“ขอให้เรื่องที่เกิดขึ้นรู้กันแค่เราสองคนก่อนได้ไหม มันยังเร็วเกินไป” เขากล่าวอย่างเบาที่สุดหลังจากที่เงียบอยู่นาน สายตายังคงจดจ้องกับความงดงามที่กำลังโผล่พ้นขอบทะเล
“อันที่จริงสาม”
“หมายความว่าไง”
“ราชวุฒิรู้ทุกอย่าง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ธันธเนศจึงหันไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังทำทีเหมือนมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และยังคงทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่องราวอะไร แวบหนึ่งเท่านั้นที่เขาเห็นแววตาคู่นั้นบอกเขาว่า มันไม่ใช่แบบนั้น
“คิดยังไงถึงทำแบบนี้” เขาถามขึ้นอีกครั้ง
อีกฝ่ายนิ่งเงียบ
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าทำแบบนี้แล้วผมกับคุณอาจจะมองหน้ากันไม่ติดอีกเลย” ใบหน้าที่ต้องแสงแรกของวันหันมองคนที่กำลังทำหน้าเหมือนสำนึกผิดนั้น
“ไม่คิด แต่ตอนนี้ผมก็เห็นแล้วว่าผมมองหน้าคุณติด” สายตาเจ้าเล่ห์หันมาจ้องมองใบหน้าของคนที่เขาเพิ่งจะเผด็จศึกไปสดๆ ร้อนๆ
ไม่เคยรู้สึกเสียดายที่ตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปเลยจริงๆ ทุกครั้งที่เขามองธันธเนศแบบเต็มๆ ตา ก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความพิศวาสในตัวอีกฝ่ายให้มากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น
“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก” ที่ไม่กล้ากระโตกกระตากก็เพราะสถานการณ์ตอนนี้มันค้ำคออยู่ ทุกอย่างเลยต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่างเงียบที่สุด
“ของแบบนี้มันต้องเสี่ยง ขืนชักช้าโดนคนอื่นคาบไปแดกทำไง” อีกฝ่ายตอบโดยที่ไม่มองหน้าเขา
“ก็เลยใช้วิธีนี้”
“ก็ไม่รู้ดิ คิดวิธีอื่นไม่ออก”
“
หื้อออ เด็กชายธันวา” คำตอบมันทำให้คนฟังต้องถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ธันธเนศยกตัวขึ้นเหยียดตรง อากาศเย็นของช่วงเช้า มันคงจะดีกว่าถ้าสองมือซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง
คนฟังจิ๊ปาก “เลิกพูดเหมือนผมเป็นเด็กสักที ผมกับคุณห่างกันแค่สี่ปีเองนะ แล้วคนที่อายุเยอะกว่าอย่างคุณก็เสร็จคนอายุน้อยกว่าอย่างผมแล้วด้วย”
คนฟังหันขวับ มองคนที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ดวงตามองตรงคู่นั้นของธันวาเป็นประกายเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์สีส้ม ความสว่างทำให้นัยน์ตาสีอ่อนลงจนกลายเป็นสีน้ำตาล รอยยิ้มกรุ้มกริ่มผลิออก
“อย่าเพิ่งได้ใจไปหน่อยเลย อย่าลืมนะว่าผมไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณจะเอาเซ็กส์แค่ครั้งเดียวมาเป็นข้อผูกมัดได้นะ แบบที่เมื่อเสียตัวให้ใครคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบน่ะ”
“จะไม่รักนวลสงวนตัวหน่อยเหรอ”
“ไม่จำเป็น ถือซะว่าผมทำทานให้”
“ไม่เอาแบบนี้ดิ ถึงผมเด็กกว่า แต่ผมก็พร้อมดูแลคุณนะ” ตัวสูงที่ค้ำราวเหล็กอยู่เหยียดยืนตรง
“พอเถอะ ขี้เกียจพูดแล้ว เมื่อยปาก ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์เถอะ แบบนี้มันยังเร็วเกินไป” ธันธเนศตัดบท ก่อนจะเดินออกมา
“ความรักน่ะมันไม่ขึ้นอยู่กับเวลาหรอกนะ จะเร็วจะช้า รักก็คือรักเข้าใจป่ะ” คนอายุน้อยกว่าพูดเสียงดังไล่หลังธันธเนศที่กำลังเดินออกห่างจนคนที่อยู่รายรอบต้องหันมามองเป็นสายตาเดียว ซึ่งนั่นรวมถึงเพื่อนๆ ของธันธเนศเองด้วย ที่ต่างก็ชะงักงันไปตามๆ กัน
ความรู้สึกเดียวที่ธันธเนศมีคอนนี้คืออยากจะกระโดดข้ามรั้วกั้นนี้ลงไปให้พ้นๆ
และแล้วเสียงซุบซิบก็ตามมาพร้อมกับรอยยิ้มประหลาดที่ขัดหูขัดจาคนตกเป็นเป้าอย่างเขาที่สุด ธันธเนศเร่งฝีเท้าลงบันไดไปทันที
15 เมษายน / 13:15 น. อากาศที่ร้อนผ่าวทั้งวัน แต่ทุกคนก็สนุกสนานกับการเล่นน้ำทะเลและหามุมถ่ายรูปกันอย่างไม่หยุดหย่อน ธันวายังคงทำตัวเป็นเงาธันธเนศอยู่ร่ำไป ในขณะที่อีกฝ่ายพยายามทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม้ภายนอกจะดูเมินเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้น ในหัวเขากลับวิ่งวุ่นไปด้วยความสับสนอลหม่าน อดีตกำลังจะกลับมาซ้ำรอยเดิมอย่างนั้นหรือ ทั้งที่เขาพยายามหลีกหนีจากมันมาได้นานมากแล้ว และสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือ กลัวว่ามันจะจบลงเช่นเหตุการณ์ครั้งก่อน เหตุการณ์ที่ยังคงตามหลอกหลอนเขาจนถึงทุกวันนี้
ราชวุฒิกลับดูร่าเริงขึ้นอย่างผิดหูผิดตา บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขาอาจจะกำลังพยายามปิดซ่อนความรู้สึกจริงๆ ที่มีในใจไว้ก็ได้ ตลอดเวลา เขาแทบไม่คุยกับธันธเนศและธันวาเลย
ขณะที่กำลังนั่งมองคนอื่นกำลังแหวกว่ายอยู่ในผืนน้ำสีฟ้าครามสะอาดถัดจากผืนทรายขาวลงไปอย่างสนุกสนานนั้น ธันธเนศที่เหยียดกายอยู่บนเปลตาข่ายใต้ร่มสนก็เริ่มหนังตาหย่อน ลมเย็นพัดกิ่งสนเอนไหว เหมือนขับกล่อมเขาอีกแรง หมวกปีกสานสีขาวถูกเลื่อนลงมาปิดหน้ากันแสงจ้าจากภายนอก ก่อนที่เสียงจอแจจะค่อยๆ แผ่วลงๆ และเงียบไป
“ไปซื้อน้ำกับผมหน่อยดิ”
เสียงเรียกดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้คนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้โคนต้นสนเงยหน้ามอง
ร่างเปียกโชกของราชวุฒิยืนอยู่ตรงหน้า เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“อือ”
ธันวาพับหนังสือก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นเดินตามเด็กหนุ่มรุ่นน้องไป
สองหนุ่มวัยเรียนนั่งเคียงกันอยู่บนบาร์เครื่องดื่มมุงใบจากเล็กๆ ริมชายหาด
น้ำอัดลมถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวแทบหมดกระป๋องเพราะความกระหายโดยคนที่ผิวแดงเป็นปื้นจากการโดนแดดเผา
“ที่ทำแบบนั้นไป เพราะรักพี่เขาหรือแค่ต้องการตัดหน้าผม”
คนข้างๆ ที่กำลังยกขวดน้ำเปล่าขึ้นดื่ม หยุดลง
“แล้วมึงคิดว่าไง” เสียงราบเรียบถามกลับ
“ผมก็ต้องมองพี่เป็นอย่างหลังอยู่แล้ว”
“ไม่รู้ดิ แต่กูจะบอกอะไรให้ก็ได้ ตั้งแต่รู้จักความรักมา กูจำได้ว่ายังไม่เคยใช้ความรู้สึกนั้นกับใครเลย”
“แล้วพี่ยีนส์ล่ะ”
“มึงฟังกูให้จบก่อนดิ”
...
“กับยีนส์น่ะ กูไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขาไปมากกว่าน้องที่คณะคนหนึ่งเลย จนได้มาเจอกับธันธเนศ”
ทั้งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบผู้ชาย แต่เมื่อได้เจออีกฝ่ายเขากลับรู้สึกแปลกไปจากเดิม ทั้งที่การเจอกันครั้งแรกๆ จะไม่ใช่การเจอกันที่ดีนัก แต่ยิ่งได้พบได้เจอกลับมีความรู้สึกโหยหาอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่รู้ว่าธันธเนศเองนั้นจะคิดยังไงกับเขา พอดีบังเอิญมาได้ยินสิ่งที่ธันธเนศคุยกับราชวุฒิ มันทำให้เขาใจแป้วไปเลย จนมาเมื่อคืน ก็ไม่รู้อะไรดลใจเหมือนกัน แต่สิ่งที่เขาทำลงไปมันไม่ใช่แค่อยากเปลี่ยนใจธันธเนศหรือแค่อยากฉวยโอกาส แต่อยากพิสูจน์ใจตัวเองให้แน่ใจด้วยว่าสิ่งที่รู้สึกมันไม่ใช่แค่อยากเอาชนะหรือครอบครองอีกฝ่ายเท่านั้น เพราะถ้าความรู้สึกมันไม่ได้ลึกซึ้งอะไรจริงๆ เขาก็คงใจไม่แข็งพอที่จะทำบ้าๆ แบบนั้นลงไป แต่เขารู้แล้วว่ามันคือรักหรือยัง
“กูรักเขา”
คำพูดมากมายเรียบเรียงอยู่ในหัว แต่นั่นคือสิ่งที่เขาพูดออกมา
เด็กหนุ่มยกน้ำอัดลมในกระป๋องขึ้นกรอกปากจนหมดแล้ววางมันลงบนพื้นไม้บาร์เสียงดัง ก่อนจะบี้กระป๋องแน่นจนมันแตกคามือ ความคมของอลูมิเนียมกรีดมือของเด็กหนุ่มจนเลือดไหลเป็นทาง
“ทำห่าไรวะ” ธันวาปราม ก่อนจะกระชากกระป๋องออกมา
“ที่กระป๋องบาดมือผมเนี่ย ยังเจ็บไม่ถึงครึ่งที่พี่บอกว่ารักพี่ธันเลย”
“พี่ครับ มีผ้าเย็นไหม” ธันวาร้องถามพนักงานชายภายในบาร์ที่ยืนเช็ดแก้วอยู่อีกมุมหนึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบหยิบสิ่งที่ลูกค้าร้องขอมาส่งให้
“อะนี่” เขารับมาก่อนจะโยนต่อให้คนข้างๆ “ถ้ายังชอบทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้ ก็อย่าเพิ่งคิดรักใครเลย”
“ผมยอมให้พี่ก่อนแล้วกัน แต่จำไว้นะ เมื่อไหร่ที่พี่ทำพี่ธันเสียใจ อย่าหวังว่าผมจะยอมให้อีก” เด็กหนุ่มพูดเสียงแข็งก่อนจะเดินออกไป
15 เมษายน / 18:05 น. เรือเที่ยวเย็นเที่ยวสุดท้ายของวันกำลังแล่นออกจากสะพานเทียบท่าที่เกาะล้าน แสงสุดท้ายของวันกำลังจะหมดลงในไม่ช้า
ขณะที่เรือแล่นออกมาจากท่าได้ไม่นาน ด้วยความเหนื่อยล้าหลายคนจึงฟุบหลับไประหว่างนั้น ธันวานั่งมองสองสาวที่มาด้วยกันกำลังหลับอย่างมีความสุขบนไหล่สามีพวกเธอ แล้วแอบอมยิ้มอยู่เงียบๆ
“คนที่มีคนคอยดูแลอยู่ข้างๆ ตลอดนี่ก็ดีเหมือนกัน” เขาพูดขึ้นเบาๆ กับธันธเนศที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ก็มีเพียงความเงียบกับเสียงเครื่องยนต์เรือตอบกลับมา เขาหันไปมองก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มหน้าหลับอยู่
เขากระแอมเบาๆ กวาดสายตามองรอบกาย ราชวุฒิที่อยู่ท้ายเรือก็กำลังสัปหงกอยู่เช่นกัน ร่างสูงจึงขยับเข้าใกล้ธันธเนศอีก วางแขนพาดพนักพิงข้างหลังอีกฝ่าย แล้วค่อยๆ ดึงตัวคนที่หลับไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้ามาหนุนไหล่ตัวเองไว้
ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันที่หากจะนับเป็นชั่วโมงก็ยังได้ ในสถานที่เพียงสถานที่เดียว แต่กลับมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นมากมาย และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นหรือจุดเปลี่ยนของชีวิตใครบางคนนับจากนี้ไปตลอดกาล
... ก่อนเหมันต์ ...
ไรเตอร์ทอล์ค: ก่อนเหมันต์มีเพจแล้วน๊าาาา ฝากกดไลค์กดติดตามหน่อยนาจา หากมีข้อมูลข่าวสารอัพเดตหรือมีความเคลื่อนไหวอะไรเกี่ยวกับนิยายทั้งหมดของก่อนเหมันต์จะแจ้งไว้ให้ในนี้จ้า
จิ้ม
ก่อนเหมันต์ Facebook Page