2
วางมวย
“ผมเอาข้าวผัดกล่องหนึ่งครับ”
“ใส่แค่ผัก ไม่เนื้อเหมือนเดิมนะครับ” ชายเจ้าของร้านกล่าวขึ้นด้วยท่าทีเป็นกันเอง
“ครับ”
ธันธเนศสั่งข้าวในร้านอาหารตามสั่งร้านประจำภายในคอนโด แล้วเดินมานั่งรอที่โต๊ะเล็กๆ ที่ว่างอยู่ โดยไม่ได้สนใจมองคนอื่นภายในร้าน จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเขี่ยโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย เหมือนที่เคยทำเป็นปกติของมนุษย์ผู้ไม่สนโลก
“ข้าวผัดได้แล้วครับ” เสียงเจ้าของร้านเอ่ยขึ้นไม่นานหลังจากนั้น เขาจึงกดปิดหน้าจอแล้วลุกขึ้นไปจ่ายเงิน
จังหวะนั้นเองสายตาเขาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างๆ หนึ่งที่นั่งกินข้าวเงียบๆ คนเดียวอยู่ตรงข้ามโต๊ะที่เขานั่งรออยู่เมื่อกี้ และที่สำคัญ ธันธเนศไม่รู้เลยว่าเขานั่งประชันหน้ากับอีกฝ่ายมานานเท่าไหร่แล้ว แต่น่าจะนานอยู่พอสมควร เพราะข้าวในจานนั้นถูกกินจนเกลี้ยงแล้ว
ปกติเขาไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายคนนี้มาก่อนเลยกับเวลาร่วมห้าปีที่เข้ายายเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่พอเจอกันครั้งแรกเมื่อวาน ครั้งที่สองก็ตามมาในวันถัดมาขนาดนี้ นี่สินะ ที่เขาบอกว่ายิ่งเกลียดยิ่งต้องได้เจอ
สายตาที่หลบลงมองต่ำทันทีที่ธันธเนศหันไปเห็น นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นเขาเช่นกัน แต่คงอายที่โวยวายไปเมื่อวานเลยไม่กล้าสู้หน้าเขา
“นี่ครับเงิน ” ธันธเนศรีบจ่ายเงินแล้วคว้าถุงข้าวเดินออกมาทันที โดยที่หลังจากแว๊บนั้น เขาก็ไม่มองไปยังตรงนั้นอีกเลย
เขาเบะปากหลังจากเดินพ้นประตูร้านออกมา
เมื่อลิฟต์เปิดออก ธันธเนศก็ก้าวออกมา ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องของตัวเองทันที พร้อมกับเสียงลิฟต์อีกตัวเปิดตามมาติดๆ แล้วตามด้วยฝีเท้าคู่หนึ่งเดินออกมา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจหันไปมองแต่อย่างใด
ประตูห้องของเขาปิดลง ชายหนุ่มหันหลังพิงประตู ก่อนจะผ่อนลมหายใจเบาๆ
ขออย่าให้ได้พบได้เจอกับแม่งอีกเลย ยิ่งเห็นยิ่งเหม็นขี้หน้ายิ่งกว่าขี้หมาติดรองเท้า คนห่าไรจะด่าว่าควายยังสงสารควายเลยนั่นคือสิ่งที่เขาก่นด่าอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็มีเสียงปิดประตูดังมาจากห้องตรงข้ามเขา ธัญธเนศผละออกมาจากประตูห้องด้วยความรวดเร็ว
เช้าตรู่ของวันใหม่ ชายหนุ่มนักหนังสือพิมพ์ตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย หลังจากที่นาฬิกาปลุกดังขึ้นพร้อมกันสามที่ จากโทรศัพท์เครื่องเก่าที่หลังตู้เย็น จากนาฬิกาตั้งโต๊ะดิจิตอลข้างหัวเตียง และจากโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ข้างหมอน
ความขี้เซาไม่เข้าใครออกใคร จนแอบกลัวว่าวันหนึ่งจะโดนข้างห้องมาด่าเรื่องเสียงนาฬิกาปลุกดังทะลุไปห้องเขาสักวัน
“โอยยย” ชายหนุ่มโอดครวญ ก่อนจะขยี้หัวเพื่อปลุกให้ตัวเองตื่นอีกรอบแล้วลุกเดินไปปิดนาฬิกาปลุกทีละอันอย่างใจเย็น
เมื่อคืนเหมือนฝันว่ามีคนมาเคาะห้องด้วยนี่หว่าความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวขณะกำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่ระหว่างที่เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูห้องน้ำที่อยู่เยื้องกับประตูเข้าห้องนั้น หางตาเขาก็ไปสะดุดกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่สอดอยู่ใต้ประตู
‘กลัวกูหรอ ถึงไม่กล้าเปิด’ข้อความสั้นๆ ที่ยืนยันว่าเสียงเคาะประตูที่ได้ยินนั้นไม่ใช่ในฝันแต่อย่างใด
กระดาษแผ่นเล็กถูกขยำด้วยหมัดที่กำแน่น ก่อนจะถูกโยนลงชักโครกแล้วกด
คนสันดานไม่ดี จะมาขอโทษทั้งทีก็ยังมิวายปากหมา “วันนี้หน้าตาดูไม่สดใสเลยนะไอ้น้อง” บรรณาธิการหนุ่มใหญ่เดินมาหยุดที่ข้างโต๊ะเขาพร้อมกับถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ในมือเช่นเดิม
“อือ”
“เป็นไงบ้าง ได้ไอเดียอะไรใหม่หรือยัง”
“ยังพี่”
“โห่ ไรแว้ ช้าแบบนี้จะทันกินไหม”
“ใจเย็นดิพี่ เพิ่งคุยกันเมื่อวานเองไม่ใช่หรอ”
“อ่ะๆ กูให้เวลามึงอาทิตย์หนึ่ง”
“เออๆ แล้วไม่มีงานมีการทำเหรอพี่ นี่มันก็ถึงเวลางานแล้วนะ”
คำพูดไร้ซึ่งความขามเกรงในบุคคลที่อยู่สูงกว่าของธันธเนศทำเอาหนุ่มใหญ่ถึงกับสะอึก แต่ก็มิอาจโต้เถียงเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็ไม่ผิด และเขาก็ชินเสียแล้วในนิสัยแบบนี้ของผู้เป็นพนักงานรุ่นน้อง ความเถรตรง และไม่สนโลก
“อารมณ์ไม่ดีนะมึงเนี่ย กูรู้” หนุ่มใหญ่ทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป
เวลาผ่านมาจนบ่ายแล้ว ในหัวของธันธเนศยังคงวนเวียนอยู่กับไอเดียใหม่ที่จะเอามาเขียน แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก
“นอกจากข่าวกีฬารายวันแล้วมันยังจะเขียนห่าไรได้อีกว่ะ” เขาจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์
“เด็กน้อยจากสลัมที่มีความสามารถพิเศษทางด้านกีฬาจนได้เป็นทีมชาติงี้เหรอ เชยฉิบหาย” เขาพึมพำ “ประเด็นคือ แล้วกูจะไปหาคนพวกนี้ได้ที่ไหนวะเนี่ย”
“แม่งโว้ยยยย” เขาระเบิดเสียงตะโกนออกมาทำลายความเงียบจนเพื่อนร่วมงานในห้องนั้นต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ
จรัญส่ายหัวโงนๆ อย่างเหนื่อยใจ
“เอานี่”
“อะไรอีกพี่”
“กูเห็นสภาพมึงแล้ว ไม่น่าจะรอด กูเลยลองหามาให้ดูเป็นตัวอย่างก่อนงานหนึ่ง”
ธันธเนศหยิบกระดาษตรงหน้าขึ้นมาอ่าน
“ธันวา ชาติพยัคฆ์ ชื่อเล่นชื่อ ธัน อายุ 21 ปี เรียนอยู่ชั้นปีที่ 5 สาขาวิชาพลศึกษา มหาวิทยาลัยดังในกรุงเทพฯ สูง 189 หนัก 85 ปัจจุบันเป็นโค้ชกีฬาเทควันโดควบคู่ไปกับการเรียนปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย บลาๆๆ”
เขาวางกระดาษลง ก่อนจะเงยหน้ามองผู้ที่ยืนค้ำโต๊ะอยู่
“คือไรพี่”
“คนนี้แหละที่พี่จะให้มึงไปสัมภาษณ์มาลงคอลัมน์ หลานพี่เอง น่าจะเป็นแรงบันดาลให้ใครหลายๆ คนได้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่” มือหนาเอื้อมมาตบหลังเขาป้อยๆ
“เท่าที่อ่านประวัติดู ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนะพี่”
“เอาน๊า คนแรกลองดูก่อน ยังไม่ต้องพิเศษอะไรมาก แต่มันเก่งนะ เป็นโค้ชกีฬาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แถมยังติดทีมชาติด้วย”
“เหอะ โคตรรสปอยล์ญาติตัวเองเลยว่ะ” เขาปัดมือบนไหล่ แหงนมองหน้าคนที่นั่งค้ำหัวอยู่บนโต๊ะทำงาน “ว่าแต่จะให้ไปสัมภาษณ์เมื่อไหร่”
“เอาน่า ดีกว่ามึงหาใครไม่ได้เลยไหมล่ะ พี่ขอไวที่สุด ให้ไม่เกินอาทิตย์หนึ่งอ่ะ ระหว่างนี้มึงก็เขียนข่าวกีฬารายวันไปก่อน”
“เดี๋ยวพี่ แล้วไอ้เด็กคนที่ว่านี่มันอยู่ที่ไหน อะไรยังไง ผมจะติดต่อได้ยังไง”
“ข้างล่างมีเบอร์กับอีเมล์ติดต่อ แหกตาดู”
“อ่อ โทษ”
หลังเลิกงานกว่าธันธเนศจะหลุดพ้นจากรถติดมาถึงได้ก็ปาไปมืดค่ำ เขาเดินหอบร่างที่ไม่ต่างกับซอมบี้ลากขาตัวเองไปตามทางเดินแคบๆ
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของเขาที่ปิดเสียงไว้สั่นครืดๆ เขาหยุดเดินก่อนจะ
ปึ๊ก!ร่างของใครบางคนชนเขาเข้าอย่างจังจากทางด้านหลัง ธันธเนศสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันขวับ
“มึงคิดว่าถนนนี้มีมึงเดินอยู่คนเดียวหรือไง”
เอาแล้วอริเจ้าเก่าเจ้าเดิม
“ใครจะไปตรัสรู้ว่ามีคนเดินตามมา กูไม่ได้มีตาหลัง มึงมีตาหน้าทำไมไม่แหกดู” เรื่องโน้ตกวนตีนที่เขาเห็นเมื่อเช้ากลับมาจุดประกายเพิ่มความโกรธอีกครั้ง หลังจากที่เขาพยายามลืมมันไปแล้ว
“ทำไม หรือมึงจะเอา”
“เออ ทำไม มึงจะทำอะไรกู”
“ไอ้เหี้ยนี่วอนแล้วมึง” ร่างสูงกระชากคอเสื้อธันธเนศมากำไว้ พร้อมกับกัดฟันกรอด มือหนึ่งกำหมัดแน่น
“เอาเดะ มึงต่อยกูดิ” เขาพยักพเยิดหน้าท้าทาย
แม้จะตัวเล็กกว่า แต่ก็หาได้มีท่าทียำเกรงในตัวของอีกฝ่าย ทำให้หนุ่มร่างสูงกว่าเลือดพุ่งกระฉูดขึ้นหน้าด้วยความโกรธ ตามมาด้วยเสียงขบกรามดังกรอด
ตุบ!หมัดหนักซัดเข้าที่ข้างแก้มธันธเนศอย่างจัง เขาถึงกับหน้าหัน
ผู้ถูกกระทำก่อนควันออกหัว เมื่อตั้งหลักได้ เขาก็กระโดดขาคู่เอาบาทาคู่ใจถีบเข้าที่หน้าอกอีกฝ่ายจนถลาล้มไปไม่เป็นท่าเหมือนกัน
“เห้ยหยุด!”
“ไอ้ธันหยุด!” สองหนุ่มผู้บังเอิญมาเห็นเหตุการณ์พอดิบพอดีวิ่งหน้าตั้งมาดึงผู้ก่อเหตุทั้งสองออกห่างกันทันที
“พอไอ้น้องพอ” อณวุฒิยื้อหนุ่มหนุ่มร่างสูงไว้สุดชีวิต ด้วยแรงที่สูสี
“ไอ้ธัน พอๆ” เจนจพดึงแขนธันธเนศไว้
“มึงเป็นเหี้ยอะไรมากป่ะ เดินชนกูเองแล้วเสือกหัวร้อน” เขาตะโกนว่าอย่างโมโห ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ซึมออกมาจากขอบปาก ดวงตาแข็งกร้าว
ร่างสูงเบือนหน้าหนี ก่อนจะสะบัดตัวออกจากการเกาะเกี่ยวของอณวุฒิ แล้วข่มอารมณ์เดินออกไป
“มันเรื่องอะไรกันวะไอ้ธัน ถึงขึ้นต้องลงไม้ลงมือกันเลยเหรอ” เจนจพถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“โอ๊ย เบาๆ”
อณวุฒิยกสำลีเช็ดแผลออกห่างหลังจากที่อีกฝ่ายร้องขึ้น
“ไม่รู้แม่ง แค่เดินชนกันแค่นั้นเอง”
“แค่เนี้ย?” หนุ่มอวบย่นคิ้ว
“กูว่ามันต้องมีไรมากกว่านั้น ไม่งั้นมันไม่ต่อยมึงจนเลือดกลบปากขนาดนี้หรอก”
“อันที่จริงก็เพิ่งมีปัญหากันไป มันหาว่ากูไปอ่อยมัน”
“มึงทำจริงหรือเปล่าล่ะ”
“เดี๋ยวมึงจะโดนอีกคนไอ้กล้วย”
“เค้าหยอก”
“ยามพามันไปดูกล้องแล้ว คงเจ็บใจแล้วก็เสียหน้าน่ะแหละที่รู้ว่ากูไม่ใช่คนทำ เลยไม่ชอบหน้ากูไปเลย”
“คนสมัยนี้มันเป็นอะไรกันไหมด เอะอะใช้กำลัง”
“มีแค่มันแหละที่สันดานแบบนี้ ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ ที่บ้านแม่งเลี้ยงมาด้วยลำแข้งหรือเปล่าไม่รู้”
“มันคงเห็นมึงตัวเล็กกว่าด้วยมั้งกูว่า เลยกร่างใหญ่” เจนจพออกความเห็น
“หึ เป็นไงล่ะ เจอส้นตีนกูไป ขอให้แม่งช้ำในตาย” ธันธเนศแช่ง
“รู้จักยมราชตีนควายอย่างเพื่อนกูน้อยไป” อณวุฒิเสริม
“ควายเตี่ยมึงสิ เดี๋ยวปั้ด” เขาพูดพลางออกท่า
อีกฝ่ายเอียงตัวหลบ
“ว่าแต่พวกมึงสองตัวมาหากูทำไมเนี่ย ไอ้แจ้โทรมาหนิ แต่กูยังไม่ได้รับดันมีเรื่องซะก่อน”
“ว่าจะชวนมึงไปแดกข้าว มันมีร้านเนื้อย่างมาเปิดใหม่ มีบุฟเฟ่ต์เบียร์สดด้วยนะมึง” เจนจพพูดสีหน้าเชิญชวน
“มึงก็รู้ว่าช่วงนี้กูงดเนื้อรับเบญจเพส”
“มึงก็ไปแดกผักแดกเต้าหู้ไง อย่างอื่นที่ไม่ใช่เนื้อเยอะแยะ แดกเบียร์ด้วยก็ได้ มึงไม่ได้งดแอลกอฮอล์หนิ แค่มึงไปเป็นเพื่อนพวกกูก็พอ”
“พวกมึงไปกันสองคนไม่ได้หรอ”
“ถ้าพวกกูจะไปกันสองคนกูจะมาหามึงไหมไอ้ธัน ไปเหอะน๊า กูอุตส่าห์มาชวนถึงที่”
ผู้ถูกชวนนิ่งคิด ก่อนจะถอนหายใจอย่างจำใจ
“เออๆ ไปก็ไว้วะ”
ในร้านเนื้อย่างสไตล์เกาหลีที่กว้างขวางและเพิ่งจะเปิดให้บริการได้ไม่ถึงสัปดาห์ แต่กระนั้นผู้คนก็แน่นขนัดร้าน มีเหลือว่างอยู่เพียงไม่กี่โต๊ะ
ในเตาที่ควันจากการย่างเนื้อฟุ้งกระจาย เจนจพกับอณวุฒิเจ้าเนื้อกำลังกินเนื้อย่างสลับกับยกเบียร์สดขึ้นดื่มอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ธันธเนศนั่งเขี่ยผักต้มในถ้วยของเขา สายตาบ่งบอกถึงใจที่ลอยไปถึงไหนต่อไหน
“แล้วมึงจะหยุดกินเนื้อถึงเมื่อไหร่วะไอ้ธัน” เจนจพถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทีเบื่อหน่ายโลกของผู้เป็นเพื่อน
“ก็จนพ้น 25 อ่ะ หรืออาจจะตลอดชีวิต”
“เออมึงนี่ก็พิลึกคนเข้าทุกวัน”
“เฮ้ยธัน! ไม่คิดว่าจะเจอมึงที่นี่ มาชนแก้วหน่อย” เสียงปริศนาดังขึ้นข้างๆ เขา ดึงสายตาทั้งสามคู่ให้เงยขึ้นไปมอง
“อ้าวพี่รัญ”
จรัญหัวหน้างานเขานั่นเอง
“กูเห็นมึงนั่งอยู่นานแล้ว เลยเดินมาทักทายซะหน่อย”
เพราะคนเยอะเลยทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นอีกฝ่าย
“มาพี่ ชนๆ – อ้อนี่ เพื่อนผมเอง แจ้กับกล้วย”
“หวัดดีคร้าบบ” สองหนุ่มกล่าวทักทายพลางยกมือขึ้นไหว้เหนือหัวป้อยๆ แล้วยกแก้วขึ้นชนกับอีกฝ่ายที่ยืนอยู่
“เออๆ หวัดดี”
“แล้วนี่พี่มากับใคร”
“อ๋อ มากับหลาน คนที่พี่จะให้มึงไปสัมภาษณ์ลงคอลัมน์ไง โน้นนั่งอยู่ตรงโน้น”
ทั้งสามมองตามนิ้วชี้ของหนุ่มใหญ่ไปยังโต๊ะที่อยู่ไกลออกไป คนๆ หนึ่งนั่งหันหลังอยู่
“เดี๋ยวพี่ไปเรียกมันมาทักทายหน่อย รู้จักกันไว้ เดี๋ยวทำงานด้วยกันจะได้ง่ายขึ้น”
จรัญพูดจบก็เดินออกไป
“หัวหน้างานมึงหรอ” เจนจพถาม หลังจากที่แผ่นหลังหนาลับตาไปในฝูงชน
“อือ”
“ยังดูหนุ่มอยู่เลย”
“หนุ่มห่าไร มึงดูผมบนหัวเขาดิ ขาวจนจะหมดอยู่แล้ว”
อณวุฒิที่กำลังเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยแทบสำลัก
“เฮ้ย สีผมไม่ใช่ตัววัดอายุเสมอไป กูหมายถึงหน้าตาเขายังเด็กอยู่เลย อายุเท่าไหร่แล้ววะ”
“มึงจะสนใจพี่เขาทำไมวะ”
“เออไอ้แจ้ มึงจะสนใจพี่เขาทำไมหนักหนา” อณวุฒิเสริม
“เอ๊า กูก็แค่อยากรู้”
“สามสิบต้นๆ ยังโสดนะ เผื่อมึงสนใจ”
“พ่อมึงสิ” เจนจพหน้าแดงก่ำ “กูแค่ถาม”
“นี่หลานพี่ ชื่อธัน” ไม่นานก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสามเงยขึ้นมองผู้มาใหม่ตามเสียงกล่าวแนะนำ
ฉิบหาย!ธันธเนศรู้สึกว่าอยากได้ผ้าคลุมล่องหนมากที่สุดก็คงจะเป็นตอนนี้
“เชี้ยแล้วววว...” อณวุฒิเผลออุทานออกมาเบาๆ เนื้อย่างที่คีบไว้ในมือร่วงลงบนพื้นโต๊ะ เจนจพต้องหันไปกระทุ้งเอวเพื่อนเบาๆ เพื่อเตือนถึงสิ่งที่เพื่อนหลุดปากออกมา
ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างจรัญไม่แม้แต่จะมองมาที่เขาทั้งสาม ธันธเนศมองใบหน้าหยิ่งผยองที่เชิดสูงพร้อมกับอาการคันบาทาขึ้นมาในบัดดล
“กูเพิ่งสังเกตเห็น ปากมึงไปโดนไรมาว่ะธัน” บรรณาธิการหนุ่มเอ่ยถาม
“อ๋อ โดนหมาแถวคอนโดกัดมาน่ะ”
คนไว้ท่าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงขั้นสำลักน้ำลายตัวเอง
“เออๆ ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว - เออธัน นี่คือธันธเนศ คนที่น้าบอกไว้ว่าจะมาสัมภาษณ์เราน่ะ แล้วนี่เพื่อนๆ พี่ธันเขา ไหว้พี่เขาหน่อย” จรัญแนะ
ชายหนุ่มยกมือไหว้ใบหน้าซังกะตายเหมือนกำลังโดนปืนจี้บังคับ ก่อนจะเดินกลับไปแบบไม่แม้แต่จะสนใจร่ำลา
“มันเป็นไรของมันว่ะไอ้นี่” จรัญทำหน้างง “เออ งั้นพี่ไปล่ะ เจอกันพรุ่งนี้เว้ยธัน” ก่อนจะกล่าวลา
“เออพี่ เจอกัน”
ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาหันมามองหน้าด้วยสีหน้าเห็นใจ
“ชื่อเหมือนกันด้วยสัด” อณวุฒิพูดขึ้น
“แล้วกูเห็นหัวหน้ามึงบอกว่าอะไร มึงต้องทำงานกับไอ้นั่นเหรอ”
“เออดิสัด”
“หล่อนะ หล่อมาก แต่ถ่อยฉิบหาย ยิ่งเห็นท่าทางมันเมื่อกี้นะ แม่งโคตรอ้อนตีน”
“แล้วมึงเอาไง จะเข้าหน้ากันติดเหรอ” เจนจพถามขึ้น
“กูไม่ทำ ยังไงกูก็ไม่ทำ ให้คนอื่นทำไป”
“เออ อย่าไปยุ่งกับมันเลย คนเหี้ยไร หน้าตาไม่น่าคบหา” อณวุฒิเข้าข้างเพื่อน
“แล้วมันมีอะไรดีทำไมต้องไปสัมภาษณ์มันมาลงคอลัมน์” เจนจพถามขึ้นอีกครั้ง
“มันเป็นโค้ชเทควันโด แต่อายุแค่ 21 ยังเรียนอยู่ด้วย”
“ห๊า!!” สองเพื่อนหนุ่มอุทานขึ้นพร้อมกัน “21?!”
“เออ”
“งั้นมันก็ปีนเกลียวมึงอ่ะดิ มึงแก่กว่ามันตั้งหลายปี”
“เรื่องปีนเกลียวกูไม่สนหรอก ที่กูสนคือ ทำไมต้องเอาคนนิสัยทรามแบบนั้นมาลงคอลัมน์ในส่วนของกูด้วย กูไม่เข้าใจพี่รัญแม่งเลยจริงๆ”
“เดี๋ยวๆๆ” อณวุฒิทำท่าทางเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ชื่อธันเหมือนกัน เป็นนักกีฬาต่อสู้มือฉกาจด้วยกันทั้งคู่ กูรู้แล้วไอ้เด็กธันนี่แหละคือเคราะห์ใหญ่ของเบญจเพสมึงเลยธัญธเนศเอ้ย”
“ถ้ายังอยากแดกต่อก็แดกไปเงียบๆ ไอ้กล้วย” เขาปราม
แล้วเสียงโทรศัพท์ของเจนจพก็ดังขึ้นขัดจังหวะพอดี
“เออๆ เข้ามาเลย เพิ่งเริ่มกิน นั่งอยู่โต๊ะหลังป้ายร้านใหญ่ๆ เนี่ย - เออๆ” เขากดวาง
“ใครว่ะแจ้”
“ไอ้ตี๋ เด็กที่มึงให้มันกินยำตีนไปวันนั้นแหละ มันอยากมาเจอมึง”
“เจอกู?”
“เออ”
เด็กหนุ่มวัยมัธยม ที่ยังคงสวมกางเกงนักเรียนขาสั้นสีดำกับเสื้อยืดสีขาวเดินเข้ามา
“หวัดดีครับพี่” สายตากรุ้มกริ่มส่งให้ธันธเนศทันทีที่มาถึงก่อนจะนั่งลงที่ว่างข้างๆ เขา
ราชวุฒิเป็นเด็กวัยมัธยมที่ตัวสูงมาก สูงกว่าเขาเป็นไหนๆ ผิวขาวเกลี้ยงเกลาตามแบบฉบับเด็กหนุ่มเชื้อสายจีน อีกทั้งเป็นเพราะเล่นกีฬาเลยทำให้รูปร่างเขาเริ่มมีมัดกล้ามที่ชัดเจนในทุกสัดส่วน บวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาไม่เบาจึงทำให้สาวๆ โต๊ะข้างๆ มองตามกันตาเป็นมัน
“เอ้าๆ อย่ามัวแต่จ้องพี่เขา กินๆ” อณวุฒิบอก
ธันธเนศรีบหันไปมองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มหลบตาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ อย่างเขินๆ
เชี้ยไรของมึง เขาคิดพร้อมกับค่อยๆ ขยับตัวออกห่างพอจะไม่ให้เป็นที่สังเกต
“พี่ตี๋!!!”ทั้งสี่คนหันไปยังเสียงใสของเด็กสาวในชุดนักเรียนสองคนที่ยืนม้วนอยู่ใกล้ๆ กับโทรศัพท์มือถือที่มีเคสฟูฟ่องประหนึ่งขนมสายไหมในมือคนหนึ่ง
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบแบบงงๆ
“หนูเป็นรุ่นน้องพี่ที่โรงเรียนนะ ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอพี่ที่นี่ ขอถ่ายรูปคู่หน่อยได้ไหมคะ”
“เอ่อ...” ราชวุฒิทำหน้าลังเล ก่อนจะหันมาหาธันธเนศที่นั่งอยู่ข้างๆ “พี่ธันอนุญาตไหมครับ”
“เกี่ยวเหี้ยไรกับพี่ละครับน้อง มึงจะถ่ายก็ถ่ายไปดิ เอ้อไอ้นี่” สายตาเฉยเมยกล่าวขึ้น ก่อนที่หนุ่มน้อยหน้าใสจะหันกลับไปกล่าวตกลงกับสาวสวยรุ่นน้องที่ยืนหน้าสลอนรออยู่อย่างจดจ่อ
“พี่ธันไม่กินเนื้อเหรอครับ” เด็กหนุ่มหันมามองจานตรงหน้าธันธเนศที่เขียวเหมือนชามอาหารกระต่าย
“อือ”
“มา งั้นเดี๋ยวผมต้มผักให้พี่เอง”
“กูไม่ได้เป็นง่อย ย่างกินเองมึงไป” เขาขัด
แม้จะโดนหนุ่มรุ่นพี่ปราม แต่เด็กหนุ่มหน้าตี๋ก็มิวายตักผักตักสิ่งที่ธันธเนศพอจะกินได้ใส่จานให้เขาอยู่เป็นระยะๆ จนธันธเนศขี้เกียจจะขัด เลยปล่อยเลยตามเลย
“เอาไหนมึงบอกกูว่ามีเรื่องจะคุยกับไอ้ธันมัน ไหนเล่ามาสิ” อณวุฒิถามขึ้นหลังทุกคนอิ่มและนั่งรอให้ท้องที่ตึงจากทั้งเบียร์และเนื้อย่างมันยุบลงสักหน่อยก่อน
ธันธเนศหันไปมองเด็กหนุ่มผู้ใสซื่อข้างๆ
“ผมชอบไลน์การเล่นของพี่ธันมากเลยอ่ะครับ ช่วยโค้ชส่วนตัวให้ผมหน่อยได้ไหม ผมอยากเก่งแบบพี่บ้าง”
“ที่ยิมก็มีพี่เอกสอนอยู่ไง จะมีใครเก่งเท่าพี่เอกอีก เขาเป็นถึงอดีตทีมชาติ พ่อเขาก็เป็นคาราเต้ต้นตำรับมาจากญี่ปุ่น”
“แต่ผมชอบเทคนิคการเล่นของพี่ธันด้วย รู้สึกว่ามันมีอะไร อนาคตผมอยากจะลองคัดตัวทีมชาติ อยากจะให้พี่สอนเพิ่มเติมจากครูเอกแบบตัวต่อตัวได้ไหมครับ”
“โอย กูไม่มีเวลาหรอก”
“เอาวันที่พี่ว่างก็ได้ วันที่พี่ไปยิมอะ นะครับ นะๆๆ”
“ไอ้นี่แม่งตื้อว่ะ”
“เอาน่าไอ้ธัน น้องมันอุตส่าห์ขอขนาดนี้แล้ว มึงก็ช่วยๆ น้องมันหน่อย ใครใช้ให้มึงเก่งเกินคน” เจนจพเสริม
“นะครับ นะๆๆ”
ชายหนุ่มหน้าตาเบื่อโลกถอนหายใจอย่างรำคาญ
“เออ ดูก่อน”
“ขอบคุณครับ พี่ธันน่ารักที่สุดเลย” ท่าทางดีใจกับแววตาที่มีความทะเล้นแฝงอยู่ทำเอาธันธเนศเริ่มเกร็ง
“น้อยๆ หน่อย เดี๋ยวกูจัดให้สมใจอยาก”
“อ้าวพี่ จะกลับแล้วเหรอครับ” เจนจพกล่าวขึ้นเมื่อจรัญกับผู้เป็นหลานชายเดินมาหยุดที่ข้างโต๊ะ
“ใช่ๆ ไว้ว่างๆ นัดดริ้งกันหน่อยดีกว่า เห็นหน่วยก้านพวกมึงแล้วดูน่าร่วมวงดี”
ทั้งสี่คนยกมือไหว้อำลา หนุ่มใหญ่ยิ้มให้ก่อนเดินออกไป
“แดกเด็กระวังคุกนะเว้ย...”ขณะเดียวกันธันธเนศจะไปสะดุดกับประโยคกระแทกกระทั้นเบาๆ จากใครบางคนลอยมาเข้าหู ขณะที่คนๆ นั้นเดินผ่านไป
“เสือก” เขาพูดขึ้นอย่างห้ามปากไม่อยู่
“มึงด่าใคร” อณวุฒิที่นั่งอยู่ตรงข้ามร้อนตัว
“เปล่า ด่าควายแถวนี้น่ะ”
“ผมไม่โง่นะพี่” เด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ แก้
“ร้อนตัวก็รับไป”
... ก่อนเหมันต์ ...