ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)  (อ่าน 81021 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :hao3:


มันควรจะมีทางออกที่ดีกว่านี้รึเปล่า ? แก้ปัญหาไม่ตรงจุดมั้ง ว่าไหม ?

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอ้มายกอด

เปิดเผยปมอดีตออกมานี่ 

ทำไมแฝดพี่สาว ถึงได้สารเลวเยี่ยงนี้  แย่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นของแฝดน้องชาย

ในขณะที่จากความรู้สึกของแฟนเก่าธันธเนศนั้น  ก็ไม่ใช่คนเลวอะไร  หนำซ้ำยังมั่นคงในรักอีกต่างหาก

เพียงแค่เขาพลาด พลาดให้กับผู้หญิงที่รักแต่ตัวเอง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พี่สาวธันร้ายจัง :hao4: นั่นแฟนน้องนะ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
แล้วไงคะคุณพี่เขย???
ทำไมทึ่ผ่านมาถึงรู้สึกถึงการคุกคามต่อธันธเนศล่ะคะ
ขอไม่เชืีออะไรง่ายๆแลัวกัน

ออฟไลน์ ก่อนเหมันต์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
17
หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน





“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะลูก เพื่อนตี๋สินะ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังเชียว”

คำชมตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน ทำเอาลักษินันท์เขินจนแก้มแดงก่ำ

หญิงวัยกลางคนสวมแว่นมาดดุเหมือนคุณครูปกครองสีหน้าเคร่งขรึมตั้งแต่ก้าวขาลงมาจากรถ แต่เมื่อได้กล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงกลับแสดงให้เห็นว่าเธอน่าจะเป็นคนที่จิตใจดีอ่อนโยนคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ความเกร็งในกระเพาะจึงพอลดลงมาบ้าง

 

 

ระยะเวลากว่าสามชั่วโมงที่เขาทั้งคู่ใช้เดินทางจากกรุงเทพฯ มายังตัวเมืองจันทบุรีด้วยรถทัวร์ นี่เป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่ครั้งที่ลักษินันท์ได้เดินทางออกต่างจังหวัดแบบที่ไม่ได้มีครอบครัวมาด้วย เขาตื่นเต้นตลอดเวลาสามชั่วโมงที่อยู่บนรถ เฝ้ามองภาพบรรยากาศสองฝั่งถนนที่รถวิ่งผ่านมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ

 

 

“เห็นตี๋บอกว่าเรียนอยู่ที่เดียวกันเหรอลูก” หญิงที่กำลังขับรถเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ใช่ครับ” เพื่อนของลูกชายตอบ

“ตี๋เป็นไงบ้างที่โรงเรียน เกเรหรือเปล่า”

คนถูกถามอมยิ้ม

“โถ่ แม่อะ เกรงเกเรที่ไหน ผมตั้งใจเรียนจะตาย” คนนั่งข้างกันรีบแก้ตัวปัดป่าย

“ผมก็ไม่รู้หรอกครับ เพราะอยู่คนละห้องกับตี๋”

“อ๋อเหรอ ยังไงก็ช่วยๆ ดูกันบ้างนะลูก เดี๋ยวก็ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว ตั้งใจให้มากๆ”

“คร้าบบบบบ” ผู้เป็นลูกชายที่นั่งอยู่ข้างกันเอ่ยตอบ “เดี๋ยวถ้าไม่รอดยังไงค่อยให้ยอห์นช่วยอีกแรง ยอห์นน่ะเรียนเก่งจะตาย แถมยังอยู่ห้องคิงอีกต่างหาก”

“จริงเหรอลูก” คนเป็นแม่หูผึ่ง เพราะความเป็นครู เมื่อรู้ว่าใครเรียนดีก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา จะว่าไปโรงเรียนที่เธอส่งลูกชายไปเรียนก็ระดับต้นๆ ของประเทศแล้ว นี่เพื่อนลูกชายคนนี้ของเธอยังอยู่ห้องที่เก่งที่สุดของระดับชั้นอีก

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” เด็กหนุ่มผู้เรียบร้อยก็ถ่อมตนตามประสา

“อ้อ ผมลืมบอกอีกอย่าง บ้านยอห์นอยู่ติดกันกับบ้านเราที่กรุงเทพฯ นะแม่”

“อ้าวเหรอ คนไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง ไม่ยักรู้ว่าแม่พุ่มมีลูกชายโตขนาดนี้แล้ว”

เธอพูดพลางนึกถึงสาวออฟฟิศวัยสี่สิบต้นๆ ที่ยังสวยพริ้มราวกับสาววัยแรกสามสิบ จะว่าไปใบหน้าหวานหยดของเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอขณะนี้ก็ถอดแบบผู้เป็นแม่มาเต็มๆ ถึงว่า ได้คลับคล้ายคลับคลานัก

 

รถวิ่งออกมาจากในตัวเมืองได้ไม่ถึงยี่สิบนาที ก็ถึงบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งสร้างขึ้นท่ามกลางสวนของต้นไม้นานาพันธุ์เขียวชอุ่ม แม้ตัวบ้านจะอยู่ท่ามกลางหมู่มวลแมกไม้ที่หนาแน่น แต่กลับดูไม่ทรุดโทรม ตัวบ้านเด่นเป็นสง่ามีเอกลักษณ์ท่ามกลางพื้นที่สีเขียว รอบบ้านมีไม้ดอกไม้ประดับสลับสีสันสวยงาม

 

เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน ลักษินันท์ยิ่งตื่นตะลึงไปใหญ่ในความเป็นเอกลักษณ์ การตกแต่งด้วยข้าวของร่วมสมัยแต่ดูไม่เก่าโทรมเลย ส่วนไหนที่เป็นไม้ก็ยังคงวาววับด้วยแล็กเกอร์เคลือบ สว่างเหมือนเนื้อทองยังไงยังงั้น ไหนจะเครื่องเรือนที่บางชิ้นไม่น่าจะหาไม่ได้ง่ายๆ ในร้านขายเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป

อย่างไรก็ตาม มันดูอบอุ่น อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

 

“เอาข้าวเอาของไปเก็บกันก่อนสิลูก แล้วเดี๋ยวออกมาทานข้าวเย็นกัน แล้วเดี๋ยวพ่อเขากลับมาจากสวนกับข้าวกับปลาก็คงเสร็จพอดี”

 

บริเวณด้านหลังบ้านมีสวนผลไม้ที่ลักษินันท์เองยังไม่เคยเห็น อาจจะเป็นต้นของผลอะไรสักอย่างที่เขาอาจจะเคยกิน แต่แค่ไม่รู้ว่าต้นมันเป็นแบบนี้

เขาสูดกลิ่นอายบ้านนอกเข้าไปจนเต็มปอด แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ที่นี่ช่างสดชื่นเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจยิ่งนัก

 

ห้องของเขาอยู่ติดกับห้องของลูกชายเจ้าของบ้าน ภายในนั้นถูกจัดเตรียมไว้ให้อย่างดิบดี เจ้าของบ้านคงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาจะมา

ลักษินันท์วางกระเป๋าสะพายลงบนเตียง สอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณ ภายในห้องที่ดูสะอาดสะอ้านดี แต่ทิ้งร่องรอยของการไม่ได้ใช้งานมานานไว้อยู่ ที่หัวเตียงเขามีหน้าต่างบานใหญ่คู่หนึ่งที่สามารถเปิดออกไปมองสวนหลังบ้านได้

 

ไม่นานนักก็มีเสียงผู้ชายอีกคนดังขึ้นที่หน้าบ้าน คงเป็นพ่อของราชวุฒิ

แขกผู้มาเยือนจึงเดินออกมา พร้อมกับกล่าวสวัสดีชายในชุดทำสวนที่เหงื่อโทรมกายเมื่อพบหน้า

 

“ไหว้พระลูก ยินดีต้อนรับนะ”

ชายผู้นั้นกล่าวรับด้วยรอยยิ้ม

แม้ภายนอกราชวุฒิจะดูนิ่งๆ พูดน้อยไม่ค่อยแสดงความรู้สึกเมื่ออยู่หน้าเขา แต่กระนั้นก็ไม่เคยแสดงตัวหยาบกระด้างเหมือนเด็กหนุ่มคนอื่นๆ นี่กระมังคงเป็นเหตุผล เขาถูกหล่อหลอมมาโดยคนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าจิตใจโอบอ้อมอารีเพียงใด

ชายในชุดทำงานมอมแมมมีใบหน้าเหมือนราชวุฒิชนิดที่ถึงไม่บอกว่าเป็นพ่อลูกกันก็รับรู้ได้ด้วยสายตา ชายวัยกลางคนที่สวมแว่นสายตาหนาเตอะ แต่ภายใต้แว่นนั้นคือใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวเนียนละเอียดที่อาจจะมีร่องรอยบ้างตามวัย ตัวสูงโปร่งเกือบเท่าลูกชาย ใบหน้านั้นบ่งบอกว่ามีเชื้อสายจีนโดยตรง

 

 

“พ่อก็เคยอยู่กรุงเทพฯ มาก่อน แต่ได้มาบรรจุเป็นครูสอนอยู่ที่นี่ แล้วก็ได้พบกับแม่ของตี๋เขา ที่สอนอยู่ที่เดียวกัน เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวร มาแต่งเมียที่นี่” ชายเจ้าของบ้านกล่าวด้วยท่าทียิ้มแย้มสลับกับหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีขณะรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน

“แต่พอตี๋โตมาหน่อยเห็นว่าการศึกษานั้นสำคัญ เลยส่งเขาไปเรียนกรุงเทพฯ ให้ได้เรียนรู้โลกที่กว้างขึ้น ได้ลองใช้ชีวิตด้วยตนเอง จะได้โตขึ้นแบบที่ไม่ใช่โตแค่ตัว แต่โตไปพร้อมกับประสบการณ์”

“ทุกวันนี้คุณลุงกับคุณป้าก็สอนหนังสือสลับกับการทำสวนผลไม้ไปด้วยใช่ไหมครับ” แขกของบ้านที่รุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายเอ่ยถามด้วยท่าทีนอบน้อม

“ใช่จ๊ะ มีหลายอย่างเลยนะ ทุเรียน ลองกอง เงาะ ว่างเว้นจากสอนก็มาเอาดีกับสวนผลไม้นี่แหละ เห็นว่ามันอยู่ได้ตลอด อนาคตอีกไม่นานพ่อกับแม่ก็คงเกษียณ ส่วนตี๋เองก็คงไปทำอะไรที่เขาอยากทำตามประวาคนรุ่นใหม่ สองตายายก็คงได้สวนนี้แหละทำฆ่าเวลาไป” หญิงเจ้าของบ้านเป็นฝ่ายเอ่ยตอบบ้าง

“ผมชอบชีวิตแบบนี้นะครับ” ไม่หวือหวา ไม่แก่งแย่งและวุ่นวายเหมือนชีวิตในกรุงเทพฯ

นี่คงเป็นอีกเหตุผลที่พ่อของราชวุฒิหนีมาตั้งตัวที่นี่ถาวร

“ทำไมล่ะลูก” เด็กวัยนี้ ที่โตมากับอะไรที่ศิวิไลซ์ ถึงจะชอบ แต่ก็คงผิวเผิน

“ผมใฝ่ฝันที่จะใช้ชีวิตอยู่แบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมชอบต้นไม้ ชอบความเขียวขจี ชอบผลไม้ชอบผัก มันคงจะเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง ถ้าพวกผักหรือผลไม้นั้น เราปลูกมันมาเองกับมือ”

เขายังนึกถึงสมัยเด็กๆ ทีนั่งจ้องรายการทีวีที่ชอบพาเที่ยวและเรียนรู้ไปในวิถีเกษตร การได้ใช้ชีวิตเรียบง่าย สบายๆ ผิดกับเด็กคนอื่นที่เอาแต่จดๆ จ้องๆ กับช่องการ์ตูนหรือไม่ก็เกมโชว์ต่างๆ นาๆ ที่มอบความเพลิดเพลินสมวัยมากกว่า

คนที่นั่งฟังอยู่คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มหน้าตาวัยเพียงเท่านี้จะคิดอะไรแบบนี้ ก็ได้ยกยิ้มอย่างประหลาดใจ

“เอาไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้พาไปสวนทุเรียน เดี๋ยวก็รู้ว่ายังชอบอยู่ไหม” ลูกชายเจ้าของบ้านที่นั่งฟังอยู่นานขณะเดียวกันก็เจริญอาหารฝีมือผู้เป็นแม่ที่ห่างหายไปเสียนานโพล่งขึ้น

 

เมื่อจบสิ้นอาหารมื้อพิเศษที่เหมือนทำขึ้นเพื่อต้อนรับแขกของบ้านรวมถึงลูกชายที่ไม่ได้กลับบ้านมานาน ลักษินันท์ก็ขอตัวไปชำระร่างกาย หลังถูกปฏิเสธไม่ให้ช่วยงานครัว เขาจึงจำใจต้องหลีกทางให้ครอบครัวได้อยู่กันตามประสาพ่อแม่ลูก

 

“เป็นไงบ้าง ได้ยินข่าวว่าอกหัก” ผู้เป็นพ่อถาม ขณะปลอกผลแก้วมังกรยื่นให้

“แม่บอกพ่อหรอ” ผู้เป็นลูกชายหันไปทางแม่ที่ยืนล้างจานอยู่

“เอ๊า ก็ไม่เห็นสั่งว่าห้ามบอกพ่อ แม่เลยบอก”

“แม่อะ”

“ทำไม พ่อจะรู้เรื่องราวชีวิตแกบ้างไม่ได้เหรอ ไม่ต้องห่วงน่า พ่อรู้ว่าแกโตแล้ว มีความรักก็ไม่เห็นจะแปลก ไม่มีสิแปลก พ่อคงคิดว่าแกตายด้านหรือไม่ก็ไม่ชอบผู้หญิง”

คนฟังก้มหน้านิ่ง หลุบตามองต่ำ

“เป็นอะไร” ชายวัยกลางคนจ้องมองสีหน้าคนตรงข้ามที่เปลี่ยนไปกะทันหัน ก็ชักจะใจไม่ดีขึ้นมาดื้อๆ คำพูดก่อนหน้าก็น่ากลัวเสียด้วยสิ

“พ่อ”

นั่นปะไร

น้ำเสียงที่เขาไม่ได้ยินมาเสียนาน พอกลับมาได้ยินอีกครั้ง เหมือนเขากำลังนั่งอยู่ในช่องฟรีซตู้เย็น

“มีอะไร”

“ผมอกหัก” ก็รู้แล้ว “...จากผู้ชาย”

เคล้ง!!!

เสียงช้อนหล่นลงกระแทกกับอ่างล้างจานโลหะ แม่ของเขายังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

ผู้เป็นพ่อผ่อนลมหายใจ

มันยิ่งกว่าความฉิบหาย ลูกคนเดียวแท้ๆ

แต่ก็... “ดี ตรงดี” ตัวที่นั่งค้ำอยู่บนโต๊ะยืดเหยียดตรง “มาพูดกันตรงๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มีอะไรจะได้ไม่ต้องค้างคา แล้วไปทำลับหลังพ่อกับแม่”

“ถึงไหนกันแล้ว” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นมาจากมุมนั้น

“ผมแค่ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบผมหรอก เขาบอกว่าเห็นผมเป็นแค่น้องชาย”

“อยู่ดีๆ ก็มีลูกชายเพิ่มซะงั้น” พ่อเขาปรับอารมณ์ที่กำลังตึงเครียด แม้อันที่จริงแล้ว ลึกๆ จะยังเครียดจนหัวเต้นตุบๆ “เอาน่า ไม่ต้องฟูมฟายไปหรอก คนบนโลกนี้ยังมีอีกเยอะ”

“พ่อ... พ่อรับได้หรอที่ผมเป็นแบบนี้”

“ถ้าบอกว่ารับไม่ได้แล้วแกจะเปลี่ยนมาชอบผู้หญิงเหรอ” ก็คงไม่ ของแบบนี้มันเปลี่ยนกันได้ที่ไหน

“...ก็จริง”

คำตอบของพ่อบ่งบอกแล้วว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับสิ่งที่เขาเป็น แต่ขณะเดียวกันผู้เป็นแม่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อไปเงียบๆ มันทำให้เขาไม่สบายใจ

 

เมื่อลูกชายของบ้าน หนำซ้ำยังเป็นลูกเพียงคนเดียวกลายมาเป็นแบบนี้ ก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนทำใจยอมรับได้ง่ายๆ หรอก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือทำใจยอมรับมันเสีย เธอเป็นครู ทำงานกับเด็กมามากหน้าหลายตาจนนับไม่ถ้วน เป็นเรือจ้างที่ส่งพวกเขาไปถึงฝั่งฝันแล้วไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ย่อมเข้าใจในพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไปของเด็กแต่ละคนดี

การเป็นแบบนี้ไม่ใช่โรคที่จะรักษาให้หายได้ รสนิยมทางเพศมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะอยู่คู่กับคนๆ นั้นไปจนตาย

ระย้าผ่อนลมหายใจเบาๆ อย่างปลงตก มันไม่ใช่เรื่องของบาปบุญหรือเวรกรรม มันคือชีวิตของลูกชายเธอ ความรู้สึกของลูกชายคนเดียวของเธอ ทางออกทางเดียว คือยอมรับมันและรักในสิ่งที่เขาเป็น ปล่อยให้มันเป็นไปในทางของมัน แค่นั้น

 

ลักษินันท์ก้าวกลับเข้าไปในล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างเบาแรง เขาได้ยินทุกอย่างชัดเต็มสองหู ราชวุฒิคิดอย่างไรกับผู้ชายคนนั้น เขารู้อย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้ว แม้ความสัมพันธ์นั้นมันจะจบลงแบบไม่ใช่ความสมหวัง แต่ระหว่างนั้น มันก็อาจจะมีอะไรที่มีความหมายต่อเขาทั้งคู่ ที่เขาไม่มีวันเข้าใจ และความสัมพันธ์นั้นอาจจะหวนกลับมาสานกันใหม่ได้ในอนาคต ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะหยั่งรู้ได้

เพราะฉะนั้นขอแค่เขาได้รัก ได้อยู่ใกล้ๆ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งอย่างนี้ก็มีความสุขแล้ว ปล่อยให้ใจราชวุฒิเป็นคนกำหนดทิศทางมันเองจะดีกว่า

 

เขาเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมาล้มตัวลงนอน

คนตัวขาวจนจะสว่างในความมืด นอนนิ่งมองความมืดสลัวภายในห้องของบ้านกลางสวน เขาไม่อาจข่มตาหลับ

อาจจะแปลกที่แปลกทาง

ที่นี่แม้ในตอนกลางวันจะดูไม่น่ากลัว แต่พอตกกลางคืนที่บรรยากาศมืดมิด รอบบ้านเป็นสวนหนาทึบไร้เสียงแห่งความทันสมัยมารบกวน ผิดจากสถานที่ๆ เขาเคยหลับนอนอยู่เป็นนิจ ความเงียบชอนไชเข้ามาในรูหูของเขา

แต่เสียงที่ได้ยินสลับกับความเงียบคือ เสียงแห่งธรรมชาติ แมลงกลางคืนแข่งกันร้องระงม สลับกับเสียงลมพัดใบไม้สั่นไหวดังอยู่ข้างนอก มันน่าขนลุกพิกลๆ

หัวใจของเขาหล่นวูบลงไปอยู่ที่ปลายเท้า เมื่อมีเสียงของความเคลื่อนไหวประหลาดๆ ดังขึ้นบริเวณนอกหน้าต่างตรงหัวเตียงเขา มันเป็นเสียงของอะไรบางอย่างที่กำลังเดินอยู่ วนเวียนไปมาอยู่แถวนั้น และมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกำลังใกล้เข้ามา

คนนอนอยู่ตัวแข็งทื่อ หลับตาปี๋

 

ก๊อกๆๆ

ร่างสูงที่เพิ่งจะปิดไฟแล้วหมายจะไปล้มตัวลงนอน เป็นอันต้องเดินวกกลับมาที่ประตู เพื่อเปิดให้เจ้าของเสียงเคาะ

ประตูไม้สีเข้มเปิดออกเผยให้เห็นคนที่ยืนอยู่ในความมืดนอกห้องนั่น แม้ภายในบ้านจะมืดมิด แต่ก็มีแสงสว่างจากโคมไฟนอกบ้านส่องรำไรเข้ามา สว่างพอให้เห็นสีหน้าซีดเผือดและดวงตาที่แฝงไปด้วยความหวาดกลัวของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“นึกว่าหลับไปแล้ว” ลูกชายเจ้าของบ้านเอ่ยถาม

“ตี๋ ยอห์นขอนอนด้วยคนได้ไหม”

คนที่อุ้มหมอนอยู่กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ เมื่อราชวุฒิเห็นดังนั้นก็อดจะยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างสงสารไม่ได้

 

ลักษินันท์นอนตัวเหยียดตรงอยู่ริมขอบเตียงฝั่งหนึ่ง ราชวุฒิที่นอนอยู่ข้างๆ สวมเพียงกางเกงขาสั้นที่สั้นจนเห็นขาอ่อน ท่อนบนที่เคยเป็นส่วนที่อยู่ในร่มผ้ายังคงขาวและมีมัดกล้ามจางๆ ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตาไปมอง

“กลัวผีทำไมไม่บอกจะได้ให้มานอนด้วยกันตั้งแต่ทีแรก”

“ทีแรกก็พยายามแล้ว แต่เราไม่ไหวจริงๆ”

“หึ” คนฟังหัวเราะในลำคอ “คงเป็นเสียงของสีทองน่ะ หมาของคนแถวนี้แหละ พอตกกลางคืนเขาชอบออกมาหาหนูแถวๆ นี้ เดี๋ยวก็ได้เจอกัน”

คนที่นอนฟังเสียงทุ้มเบาอธิบายเริ่มเคลิ้มลงเรื่อยๆ มันช่างเป็นเสียงที่ทั้งฟังดูอบอุ่นและนุ่มนวลขับกล่อมเขาได้ดีทีเดียว

แล้วคนหน้าหวานก็หลับไป

 

 

เสียงดุเหว่าดังขึ้นในเช้าตรู่ของวันใหม่สลับกับเสียงไก่ขัน กลิ่นตัวที่ไร้ซึ่งสิ่งปรุงแต่งหอมจางๆ ลอยมาเตะจมูก ลักษินันท์ปรือตาขึ้น ก่อนจะตื่นเต็มตาเมื่อพบว่าเหลืออีกเพียงไม่กี่เซ็นใบหน้าของเขาก็จะประชิดกับหน้าของคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ แล้ว

ราชวุฒิยังคงนอนหงายนิ่งอยู่ท่าเดิมตั้งแต่เมื่อคืน แทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ เป็นเขาเองที่นอนดิ้นอีท่าไหนถึงได้มานอนหมอนใบเดียวกับอีกฝ่าย

ลักษินันท์ดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา ก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวเอา หน้าของเขาร้อนวูบวาบไปหมด หากส่องกระจกก็คงแดงแจ๋เหมือนก้นลิงแน่ๆ

เกือบไปแล้ว ยอห์นเอ๊ย

 

 
มีต่อ

ออฟไลน์ ก่อนเหมันต์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
ต่อจ้า



หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ระย้าก็เตรียมข้าวของให้สองพ่อลูกสำหรับการไปสวนทุเรียน ส่วนตัวเธอเองนั้น แม้จะเป็นช่วงปิดเทอม แต่ก็ต้องไปอยู่เวรที่โรงเรียนตามตารางที่ได้รับมอบหมาย

“อะนี่ แม่เตรียมของกินนิดๆ หน่อยๆ ไว้ให้ เผื่อหิวจะได้กินรองท้อง ก็ไม่น่าจะอยู่กันนานหรอกมั้ง” เธอพูดพลางยื่นตะกร้าใส่ปิ่นโตเถาเล็กกับกระปุกใส่อาหารและขนมนิดหน่อยให้ผู้เป็นสามี

“พ่อก็กะว่าจะอยู่ได้ถึงเที่ยงหรอก เด็กๆ ไปด้วย”

 

“อ้าวแล้วนี่ยอห์นไปไหนซะล่ะลูก” เธอหันมาถามลูกชาย

“อ๋อ เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะแม่ จะใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืดไปสวน เดี๋ยวก็ได้ตัวลายกลับมากันพอดี” ราชวุฒิบอกขณะติดกระดุมเสื้อลายสก็อตของพ่อที่จะใช้ใส่ไปเข้าสวนผลไม้

“นั่นไง ออกมาพอดี” นาวีกล่าวขึ้น ก่อนทุกสายตาจะหันไปยังคนที่เพิ่งจะออกมาจากห้อง “แหมะ ขนาดชุดทำสวนยังกลบรัศมีความเป็นเด็กกรุงเทพฯ ไม่ได้เลยจริงๆ” ก่อนจะกล่าวชมเพื่อนของลูกชายเปาะๆ

“เดี๋ยวก็รู้” ราชวุฒิกล่าวด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

 

รถกระบะยกสูงสำหรับใช้ขับเข้าสวนของคุณครูนาวี พ่อของราชวุฒิวิ่งออกมาจากบ้านได้ไม่นานก็เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางสวนผลไม้เรียงรายหนาทึบ เมื่อเลี้ยวเข้ามาได้ไม่นาน จากถนนลาดยางก็กลายเป็นเพียงถนนดินแห้งๆ ที่ฝุ่นคลุ้ง

 

สองหนุ่มน้อยวัยเรียนเลือกที่จะนั่งอยู่บนกระบะหลังเพื่อสัมผัสบรรยากาศบ้านนอกในยามสายๆ ให้เต็มที่ โดยเฉพาะเจ้าเด็กกรุงเทพฯ โดยกำเนิด

จมูกโด่งรับใบหน้าขาวเชิดขึ้นเพื่อสูดกลิ่นธรรมชาติ ใบหน้าเนียนต้องแสงแดดอ่อนดูนวลผ่อง ราชวุฒิเพลิดเพลินกับการจ้องมองภาพใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างลืมตัวเสียสนิท ว่าก่อนหน้านี้ตนกำลังจ้องมองทิวทัศน์รายรอบอยู่

ลักษินันท์ที่สวมเสื้อลายสก็อตแขนยาวเก่าๆ ของพ่อเขากับกางเกงยีนส์ทำสวนเก่าขาด มีหมวกปีกสานคล้องพักอยู่ที่หลังคอในตอนนี้ มันแตกต่างจากลักษินันท์ที่เขาพบเจอในวันก่อนๆ

เด็กผู้ชายข้างบ้านที่ดูบอบบาง ลูกคุณหนู เด็กเรียนที่ดูเจ้าสำอางค์ วันๆ อยู่แต่กับตำราและการฝึกซ้อมว่ายน้ำ แต่ในตอนนี้เด็กผู้ชายคนนั้นกลับแสดงบางอย่างออกมาแบบที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ลักษินันท์ดูมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แดดที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ กับสภาพแวดล้อมแบบบ้านนอกที่ไม่ได้สะดวกสบาย แต่ลักษินันท์กลับยิ้มรับมันอย่างมีความสุข

หากเป็นคนอื่นๆ เจอฝุ่นคลุ้งกลางแดดร้อนๆ แบบนี้ หน้าก็คงหงิกเป็นเคียวไปแล้ว มันทำให้เขาเริ่มจะเชื่อในสิ่งที่ลักษินันท์พูดบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำที่ผ่านมา

รถเลี้ยวเข้ามาจอดลงตรงลานหน้าบ้านไม้หลังเล็ก ที่ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์หรือพักผลผลิตทางการเกษตรและสำหรับนั่งพักกินข้าวกินปลา

 

สองหนุ่มน้อยกระโดดลงจากรถ

 

“เอาล่ะ ถึงแล้ว วันนี้เราจะมาทำทุเรียนกัน” ครูหนุ่มใหญ่กล่าวแนะ หยิบถุงเครื่องไม้เครื่องมือลงจากรถ แล้วส่งตะกร้าอาหารให้ผู้เป็นลูกชาย

“มาครับ ผมช่วย” ผู้เป็นแขกก็ไม่ลืมจะเสนอตัวช่วยเหลือ

“ไม่ต้องหรอก” แต่ลูกชายเจ้าของบ้านก็ไม่ยอมละทิ้งตำแหน่งเจ้าบ้านที่ดี

 

เมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย นาวีก็เดินนำลูกชายและเพื่อนลูกชายไปในทางเดินที่แทรกไประหว่างต้นไม้ทรงพุ่มใบเรียวสีเขียวอมทอง แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบทิศ มีพวงของผลน้อยใหญ่ห้อยย้อยลงมาจากกิ่งที่แข็งแรง

ผลไม้สีน้ำตาลอ่อนแกมเขียวมีหนามแหลมคมเป็นเปลือก ลักษินันท์พอจะดูออกว่ามันคือ ทุเรียน แม้เขาจะไม่เคยกิน แต่ก็เคยเห็นในตลาด ผลไม้ราคาแพงที่ดูกินยากพิลึก

 

“นี่แหละต้นทุเรียน เคยเห็นไหม” คนเดินนำมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นๆ หนึ่งแล้วเอ่ยถาม มือลูบคลำผลที่มีหนามเกาะกันเป็นพวง

“เคยเห็นแค่ผลที่เขาขายตามตลาดครับ ต้นมันผมก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ แล้วเราจะทำอะไรกับมันครับ”

“เราจะแต่งผลมันออก ทุเรียนเวลามันออกดอกออกผลมันจะออกเป็นช่อ ช่อละหลายๆ ลูก อันที่จริงเราเริ่มแต่งพวงของมันตั้งแต่สมัยมันเป็นดอกให้ไม่แน่นจนเกินไป แต่พอมันแตกผล เป็นผลเล็กๆ แบบนี้ เราก็จะแต่งมันอีกที เราจะเลือกผลที่ดูสวยดูแข็งแรงไว้ในพวงแค่สองสามลูก แล้วตัดผลที่ไม่สมบูรณ์ดูแคระแกร็นออก เพื่อไม่ให้กิ่งมันหนักเกินไปเมื่อมันเริ่มโตขึ้น จนอาจจะฉีกขาดได้ และผลทุเรียนก็จะได้ไม่เบียดไม่แย่งพื้นที่เจริญเติบโตของกันและกัน และไม่แย่งอาหารกัน ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี ขายไม่ได้ราคา”

“โห กว่าจะได้ทุเรียนออกมาแต่ละผล ลายละเอียดก็เยอะเหมือนกันนะครับ ถึงว่า แพงเชียว อย่างนี้ก็รวยแย่สิครับ”

“คนที่รวยน่ะคือพ่อค้าคนกลาง ชาวสวนอย่างเราน่ะ ถ้าไม่เอาออกไปขายเองก็ได้ราคาไม่ได้แพงอะไรนักหรอก พออยู่ได้ ให้มีทุนเอามาทำนุบำรุงสวนได้ในครั้งต่อๆ ไปก็เท่านั้น” ราชวุฒิอธิบายแทนผู้เป็นพ่อ

“อย่างนี้นี่เอง”

“ป่ะ เดี๋ยวพ่อจะเริ่มทำงานแล้ว ให้ตี๋พาเดินชมสวนรอบๆ สิ” คนพูดดึงหมวกผ้าขึ้นมาคลุมหน้าคลุมตา ก่อนจะสวมถึงมือแล้วลงมือควั่นผลทุเรียนอ่อนออกจากพวงที่มันแน่นจนเกินไป

“ผมอยากช่วยครับ”

“จะช่วยจริงๆ เหรอ” ราชวุฒิหันมาถาม

“แต่ถ้าอยากช่วยก็ตรงนั้นมีเข่งอยู่ เอาใส่ทุเรียนที่พ่อตัดออก แล้วเอาไปเทกองรวมกันไว้ตรงนั้นนะ” ครูนาวีกล่าวแนะ

คนที่ดูสนอกสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าลงมือทำอย่างไม่รีรอ ไปลากเข่งพลาสติกเปล่าสีน้ำเงินมาคอยเก็บผลทุเรียนที่ถูกตัดทิ้งเกลื่อนกลาดใส่เข้าไปในเข่งทีละลูกสองลูก โดยมีราชวุฒิคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ

แม้จะเป็นลูกชาวสวน แต่พ่อของเขาก็ไม่ได้พามาที่สวนบ่อยนัก เพราะตอนที่ยังอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่วัยที่จะช่วยงานอะไรได้ พอโตมาหน่อยก็ถูกส่งไปอยู่กรุงเทพฯ เสียแล้ว ราชวุฒิเลยไม่ได้คล่องงานสวนอย่างที่พ่อเขาทำอยู่นัก

เวลาเกือบเที่ยง ที่แดดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ แม้จะมีร่มเงาจากต้นทุเรียนคอยบดบังแสงแดด แต่ก็ไม่อาจบดบังไอร้อนได้ ลักษินันท์ยังคงสนุกสนานกับสิ่งที่ทำ มันเหมือนโอกาสที่เขาจะได้ลองเป็นชาวสวนจริงๆ สักครั้ง

เด็กหนุ่มยังคงก้มหน้าก้มตาเก็บผลทุเรียนอ่อนโดยลืมอาการคันยิบๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นไปเสียสนิท นิ้วเรียวเริ่มถูเริ่มเกาไปตามซอกคอที่ไร้ซึ่งสิ่งปิดบัง

 

“พอ ไปนั่งรอตรงนั้น” เมื่อเห็นดังนั้น ราชวุฒิจึงรีบไปดึงมือที่จับเข่งอยู่ออกทันที

คนถูกสั่งทำตามอย่าง่ายดาย แม้จะรู้สึกคัน แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรเสียหน่อย แต่ก็ดีกว่าการขัดคำสั่งของราชวุฒิ

คนที่เพิ่งหย่อนก้นนั่งลง ปาดเหงื่อออกจากใบหน้า นั่งมองอีกฝ่ายลากเข่งทุเรียนอ่อนไปเทกองรวมกันไว้อีกฟากหนึ่ง ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ

“ยุงกัดแดงหมดแล้ว ไม่รู้ตัวหรอ” คนที่เพิ่งมานั่งลงพูดขึ้นขณะสายตาจับจ้องไปที่คอขาวเนียนที่บัดนี้มีตุ่มแดงผุดขึ้นเป็นปื้น

ยาหม่องตลับสีเขียวที่เตรียมไว้ในกระเป๋าเสื้อของราชวุฒิถูกหยิบออกมา เหมือนเขารู้ดีอยู่แล้วว่าต้องได้ใช้แน่นอน

ก็บอบบางซะขนาดนั้น แล้วในสวน สิ่งที่จะมาระคายเคืองผิวบางๆ มีอยู่รอบทิศ

“เดี๋ยวยอห์นทาเองก็ได้”

“ไม่ต้อง” กระปุกยาหม่องถูกยื้อออกห่าง “นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวทาให้”

ยาหม่องเนื้อสีเขียวถูกแต้มลงไปบนจุดแดงๆ อย่างเบามือโดยคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อาการเย็นวาบทำให้พอหายคันลงไปได้บ้าง แต่บางอย่างมันกลับทำให้ลักษินันท์เริ่มหน้าร้อนไปหมด เขากำลังหน้าแดงอีกแล้วแน่ๆ หมวกปีกสานถูกถอดออกมาพัดวีแก้อาการเขินในทันที

 

“ป่ะ เดี๋ยวเราพาไปดูอะไร”

เมื่อทายาหม่องเสร็จ คนตัวสูงก็ลุกพรวดขึ้น

“ไปไหน” คนที่นั่งอยู่แหงนมองตาโต

“มาเถอะน่า ไม่พาไปปล่อยป่าหรอก”

 

ลักษินันท์เดินลัดเลาะตามลูกชายเจ้าของสวนไปท่ามกลางสวนทุเรียน ไปจนเจอแนวสวนที่ใช้ปลูกพืชพันธุ์อื่นๆ เพื่อแสดงเขตแดนของที่ทาง

ราชวุฒินั่งลงบนขอนไม้ผุที่มีมอสเขียวขึ้นจากความชื้นของลำธารเล็กๆ ใสแจ๋ว ข้างๆ ลำธารมีแนวต้นสับปะรดขึ้นระเกะระกะ เหนือขึ้นไปมีแอ่งน้ำ โขดหินสีดำที่มีกอไผ่ขึ้นปกคลุมจนรกทึบ

ลักษินันท์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความสดชื่นตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปตรงนั้น มันแทบจะเหมือนสวนที่ต้องจ้างนักแต่งสวนมาจัดด้วยราคาแพงหูฉี่ แต่ผิดที่ตรงนี้แต่งเองโดยธรรมชาติ

 

“พาเรามาที่นี่ทำไม”

“นั่งก่อนสิ” คนที่นั่งอยู่ก่อนตบขอนไม้ข้างตัวเบาๆ

ลักษินันท์นั่งลงพลางมองสายน้ำใสและเย็นไหลเอื่อยอยู่ใกล้ปลายเท้า ส่งเสียงสลับกับเสียงนกร้องและลมพัด มันช่างน่าเอาเสื่อมาปูนอนจริงๆ

“เราเรียกที่นี่ว่าลำธารแห่งการระบาย ตอนเด็กๆ ถ้าเรามีเรื่องไม่สบายใจ จะมาที่สวนนี้กับพ่อ แล้วแอบมานั่งระบายความในใจกับลำธารแห่งนี้ เราเชื่อว่าลำธารแห่งนี้มีอะไรบางอย่าง ที่สามารถดูดซับความทุกข์ใจไปจากเราได้ เมื่อเราบอกกล่าวความในใจนั้นให้ฟัง”

“อะไรบางอย่างที่ว่าไม่ใช่ผีใช่ไหม” คนเสียงเบาหวิวขยับเข้าใกล้ราชวุฒิ สายตาลอกแลกกวาดมองอย่างระแวง

“ผีแบบนี้นะเหรอ” ราชวุฒิเอื้อมมือไปขยำไหล่อีกฝั่งหนึ่งของคนที่เบียดเขาอยู่อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงที่ยานคางฟังดูน่าขนหัวลุก จนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง

“ตี๋ก็” หน้าซีดเผือดเพราะความตกใจหงิกงอเมื่อรู้ว่าโดนแกล้ง ขณะที่คนแกล้งหัวเราะร่า

“ไม่มีผีหรอก เราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ยังไม่เคยเห็นผีเลยสักตัว”

 

“คุณลำธารครับ...” อยู่ดีๆ หนุ่มลูกเจ้าของสวนก็ตะโกนดังก้อง “...ผมมีเรื่องอยากระบาย ผมเพิ่งอกหัก คนๆ หนึ่งที่ผมรักสุดหัวใจ ตอนนี้เขากลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว ผมวิ่งตามเขามานาน แต่ยิ่งวิ่งตามเท่าไหร่ก็เหมือนเขาวิ่งยิ่งออกห่างผมไปทุกที ตอนนี้ผมทุกข์ใจมาก คุณลำธารช่วยเอาความทุกข์นี่ไปจากผมทีได้ไหมครับ”

อยู่ดีๆ ก็ดึงมาโหมดเศร้าเสียอย่างนั้น

คนนั่งข้างๆ เหลือบมองคนที่ตะโกนเสียงดังฟังชัดในความเงียบของธรรมชาติรายรอบ โดยไม่เขินอายฟ้าดิน

“ถึงตายอห์นแล้ว มีเรื่องอะไรอยากระบายกับลำธารไหม”

“เราเนี่ยนะ”

“อื้ม เราเชื่อ เชื่อว่ายอห์นต้องมีอะไรอยากระบาย”

คนฟังนิ่งคิด

จะว่าไปก็มี

ลักษินันท์หลับตาลง พร้อมกับทำปากงึมงำ

“ทำไรอะ” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามเมื่อเห็นดังนั้น

“อ้าวก็ทำตามที่ตี๋บอกไง”

“ไม่ใช่แบบนี้ ต้องพูดออกมาเสียงดังๆ ไม่งั้นลำธารเขาจะได้ยินยังไงเล่า”

คนถูกดักคอนิ่งคิด “... ต้องเรียกแทนลำธารว่าอะไรอะ”

“ก็ลำธารไง” คนตอบยิ้ม ในความใสซื่อของเพื่อนหนุ่ม

สีหน้าทำใจนิ่งคิด สายตาลังเล แต่แล้วก็

“คุณลำธารครับ” ลักษินันท์หันมองคนที่นั่งมองอยู่ข้างๆ ใบหน้าหล่อส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ

เอาวะ

“...ผมชอบคนๆ หนึ่งมาตลอด ผมเฝ้ามองเขาอยู่อย่างนั้นนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมมีความสุขทุกครั้งเพียงแค่ได้เห็นใบหน้านั้น กังวลตลอดที่ไม่ได้พบเจอหน้าเขานานๆ เขาอยู่ใกล้ผมแค่เพียงเอื้อมมือเอง...”

“ฟังดูดีนี่ ให้ระบายความทุกข์ใจไม่ใช่เหรอ”

แม้จะมีเสียงแทรก แต่สายตามองตรงยังคงมุ่งมั่น มันมาขนาดนี้แล้ว

“...ผมวิ่งตามหลังเขาอยู่ตลอด เพียงแค่เขาไม่หันกลับมามองผมเลย เพราะมัวแต่วิ่งตามใครอีกคนอยู่---คุณลำธารช่วยเอาความทุกข์นี้ไปจากผมหน่อยได้ไหมครับ”

คนฟังชะงักเงียบ

“อย่างนี้ทุกข์พอไหม”

เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เขาพูดออกมาแบบนี้ บางทีมันอาจจะถึงเวลาของมันแล้วล่ะ


.............


ไรเตอร์ทอล์ค : "ตอนนี้พาสองหนุ่มวัยเอาะๆ มาแสดงตัวก่อนน๊าาาา ส่วนหนุ่มวัยทำงาน เจอกันตอนหน้าจ้าาาา จะว่าไปก็หิวทุเรียน"



... ก่อนเหมันต์ ...

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ตี่&ยอห์น #มนต์รักสวนทุเรียน 555

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวาย ๆ ๆ คนดามอกที่หักมาแล้ว  อิอิ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
น่ารักใสๆ เป็นธรรมชาติ ขอให้รักกันนานๆ นะ เชียร์คู่นี้  :mc4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
หกหักก็ต้องรักษาแผลกันต่อไปค่ะ ^^

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ขอตอนคู่เล็กเพิ่มมมม ยอร์นน่ารัก ตี๋ตกหลุมในไม่ช้านี้แน่ๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ analogue

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มารอทั้งคู่เล็กคู่ใหญ่ คิดถึงน้องยอร์นแล้ว

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
วิ่งตามกันเป็นหนังอินเดียเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ก่อนเหมันต์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
18
รักคือการเสียสละ



แม้จะพยายามข่มความตื่นเต้นทั้งหมดไว้อย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากสายตาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปได้อยู่ดี

ธันวาที่มือกุมพวงมาลัยหันมองคนข้างๆ เป็นระยะ แม้เครื่องปรับอากาศในรถจะเย็นฉ่ำ แต่เม็ดเหงื่อก็ยังคงผุดอย่างต่อเนื่องจากหน้าผากของอีกคน รอบที่ร้อยที่เขาเอามือไปอังช่องแอร์ดูว่ามันเย็นขึ้นตามที่เขาปรับไหม

“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก แม่ผมใจดีจะตาย รายนั้นน่ะลูกชายรักใคร เขาก็รักไปด้วยซะหมดแหละ”

“พูดงี้ก็แสดงว่าพาไปเปิดตัวบ่อยอะดิ”

คนฟังแอบเห็นแววตาเป็นกังวล แม้อีกฝ่ายจะยังคงจ้องตรงไปข้างหน้า

“เคยน่ะเคย แต่แค่เคยมี ไม่เคยพาไปหาแม่”

“แล้วคิดยังไง ถึงจะพาผมไปที่บ้านแม่คุณ”

“ก็แม่ผมอยากรู้จักคุณ”

เป็นธรรมดา เมื่อถึงเวลาคนรักกันก็ต่างฝ่ายต่างต้องพากันและกันไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก เพื่อสานสัมพันธ์อันดีที่จะตามมาในอนาคต แต่! ระหว่างเขากับธันวามันก็แปลกๆ อยู่ เขาไม่ใช่หญิงสาวอ้อนแอ้นอรชร หน้าสวย เสียงใส ที่ผู้ใหญ่ในบ้านของฝ่ายชายจะยอมรับได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ทำลงไป มันเร็วเกินไป” อันที่จริงระหว่างเขากับธันวามันก็ไวไฟไปเสียทุกอย่างแหละ นับตั้งแต่โดนกระทำมิดีมิร้ายอย่างงงๆ ในคืนนั้น จนจู่ๆ อีกฝ่ายก็มาบอกว่ารักบอกว่าชอบ แถมยังพ่วงแหวนมาให้เสียดื้อๆ

“ไม่ ถ้าลองเราได้รู้เป้าหมายในใจของเราจริงๆ แล้ว จะรออะไรอีก”

เหรอ

 “ผมก็แค่อยากทำให้มันถูกต้อง วันนั้นที่ผม... เอ่อ-”  “ล่วงละเมิด”

แหม ก็พูดซะข่าวหนังสือพิมพ์ “-นั่นแหละ ในความรู้สึกผมนะ คุณเสียหาย”

ยังดีที่รู้

 “ผมอยากรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไป ผมอยากให้คุณรู้ว่าที่ผมทำลงไปไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบหรือแค่อยากหาเศษหาเลย อันที่จริง...” คนพูดเว้นจังหวะ ขณะรถติดไปแดง สายตาที่จับจ้องอยู่ข้างหน้าเสริมคำพูด แขนข้างที่ไม่ได้บังคับพวงมาลัยเท้าอยู่กับขอบหน้าต่าง นิ้วชี้เขี่ยริมฝีปากตัวเองเบาๆ “...ผมมั่นใจแล้วว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ พอมาลองคิดดู ผมไม่อยากให้คุณรู้สึกว่าผมก็แค่คบกับคุณไปงั้นๆ มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนและดูไม่จริงจัง”

...

“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ ที่ไม่ทำลายความตั้งใจของผมทิ้ง”

อันที่จริงเขาก็เกือบทำมันไปแล้วล่ะ เขาเกือบจะถอดแหวนออกทันทีที่ธันวาสวมให้ แต่บางอย่างในใจเรียกร้องให้เขาสวมมันไว้ ก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

 

 

“สวัสดีครับ”

เกสรยังคงยกมือรับไหว้ค้างไว้อย่างนั้น สายตาจดจ้องใบหน้าของธันธเนศจนเขารู้สึกเกร็งไปทั้งตัว

ไม่แปลกใจเลยทำไมลูกชายของเธอถึงได้ชอบผู้ชายคนนี้ไปได้ แค่ครั้งแรกที่พบเจอ มันน่าหลงใหล

แม้จะยังไม่ได้รู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังหรือนิสัยใจคอจริงๆ แต่ความประทับใจแรกที่เธอเห็นคือ ทั้งหน้าตาผิวพันธ์ที่ไร้ที่ติ รูปงามกว่าผู้ชายๆ ทั่วๆ ไปเลยก็ว่าได้ งดงามในแบบที่น่าทะนุถนอม ขณะเดียวกันก็ไม่เห็นถึงความอ่อนแอหรืออ้อนแอ้นให้น่ารำคาญตา

 

“แม่ว่า... เราเคยเจอกันมาก่อนนะ”

ใครจะจำวันที่ต้องแทบแทรกแผ่นดินหนีไม่ได้

“ใช่ครับ ผมเคยไปซื้อยาที่ร้านคุณน้า”

“เรียกแม่เถอะจ๊ะ อีกไม่นานก็คงได้มาเป็นครอบครัวเดียวกัน”

 

ส่วนธันวาได้แต่กัดฟันฝืนยิ้มไว้จนกรามแข็ง ไม่ให้ตัวเองแสดงออกมาเมื่อได้ยินผู้เป็นแม่เอ่ยแบบนั้น

 

“เราแวะซื้อของมาทำอาหารเย็นด้วย ธันเขาทำอาหารเก่ง เขาอยากจะลองทำให้แม่ทาน” คนพูดหิ้วของเต็มไม้เต็มมือ

“ชื่อธันเหรอลูก แม่ก็ลืมถามชื่อเสียงเรียงนามไปเลย มัวแต่ตะลึง”

“ผมชื่อธันธเนศครับ” นามสกุลไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะบอก

“ชื่อเดียวกันซะด้วยเวลาเรียกแม่คงสับสนน่าดู มาจ๊ะ เข้าบ้านกันเถอะ เดี๋ยวไปเข้าครัวกัน” หญิงเจ้าของบ้านเชิญชวน

 

 

เกสรกับธันธเนศง่วนอยู่ในครัวเพื่อเตรียมวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร ธันวาเลือกที่จะปล่อยให้สองคนได้อยู่ใกล้กัน และหากจะคุยอะไรกันโดยที่ไม่มีเขา ก็คงเป็นตอนนี้แล้ว ที่เขากล้าปล่อยให้เป็นแบบนั้น เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวแม่ของตนเองดี เขารู้ดีว่าเกสรเป็นคนอย่างไร

 

“ผักนี่แม่ล้างหมดแล้วนะธัน” เกสรกล่าวขึ้นพร้อมกับวางชามที่ใส่ผักที่ล้างแล้วไว้ใกล้ๆ เขา อันที่จริงเธอเองก็มือฉมังในงานครัวคนหนึ่ง เพียงแต่วันนี้อยากจะให้แขก ที่อนาคตอาจจะเป็นมากกว่านั้น ได้โชว์ฝีมือตามที่ลูกชายเธออวดอ้างสรรพคุณนักหนา

“แม่ไม่ทานอะไรบ้างบอกผมได้นะครับ ผมจะได้ไม่ใส่ไป” เขากล่าวถามขณะที่ยังก้มหน้าก้มตาปลอกกระเทียม

“แม่ทานได้ทุกอย่างจ๊ะ ขอแค่ไม่ผงชูรส” เธอพูดก่อนจะเดินเข้ามายืนใกล้ๆ

“ดูคล่องจัง ทำอาหารบ่อยเหรอ”

“ไม่บ่อยหรอกครับ ตั้งแต่ออกมาอยู่คนเดียวผมก็ถนัดซื้อกินมากกว่า มันประหยัดเวลาดี แต่ผมเข้าครัวช่วยแม่ทำอาหารมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ เลยพอมีความรู้ติดมาบ้าง”

“อย่างนี้นี่เอง”

ผู้ชายน้อยคนที่จะสนใจงานครัว โดยเฉพาะตอนยังเป็นเด็กผู้ชาย

 

เกสรเงียบไปสักพักใหญ่ แต่ก็ยังยืนอยู่ข้างๆ อย่างนั้น สายตาจับจ้องมือที่เป็นประวิงแต่สายตาบ่งบอกว่าครุ่นคิด

 “คิดดีแล้วเหรอที่จะตกล่องปล่องชิ้นกับเจ้าธันวามัน ทั้งที่ก็ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ อนาคตก็ไม่รู้จะเป็นไปในทิศทางไหน”

“ผมต่างหากละครับที่ต้องถามคุณแม่ว่า แน่ใจเหรอที่จะให้ลูกชายคนเดียวของแม่มาใช้ชีวิตอยู่กับผม”

คนฟังผ่อนลมหายใจ ก่อนจะเดินกลับไปเตรียมวัตถุดิบอีกอย่าง

“ธันวาเขาก็ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจอะเนาะ พอพ่อเขาเสีย แม่ก็ไม่อยากจะอะไรกับเขามากนัก ปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้ใช้ชีวิตของเขาเอง แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจหรือเกเรทั้งที่ถูกเลี้ยงมาแบบนั้น ไม่ใช่เด็กที่เรียกร้องอะไร เขาไม่เคยทำให้แม่และน้าชายผิดหวัง บอกกล่าวอะไรแค่ครั้งเดียวก็เชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้ จนมาถึงครั้งนี้ เขายืนหยัดเรียกร้องในสิ่งที่เขาอยากได้เองเป็นครั้งแรก แม่จึงพอรู้แล้วว่าสิ่งนั้นจะสำคัญกับเขามากแค่ไหน

คนฟังหยุดหั่นผักที่คาอยู่ในมือ แล้วก็กลับมาทำมันต่ออย่างเงียบๆ

 

 

“โห หอมจังเลย ฝีมือใครเนี่ย” คนร่างสูงเดินอาดๆ เข้ามาในครัว พร้อมกับทำจมูกฟุตฟิต ก่อนจะตรงปรี่ไปยังคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเหยาะเครื่องปรุงในหม้อ สองแขนโอบรัดเอวบางนั้นไว้โดยไม่สนใจสายตาผู้เป็นแม่

“หายไปไหนมายะพ่อหนุ่ม เขาต้มผัดแกงทอดกันจนจะเสร็จขึ้นโต๊ะอยู่แล้ว เพิ่งโผล่หน้ามา” เธอว่า

“ก็แหมแม่ ผมทำอะไรเป็นที่ไหนเล่า”

“กินเป็นอย่างเดียว” ธันธเนศว่า

“ใช่ กินเป็นอย่างเดียว” เกสรช่วยเสริมอีกแรง

“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยขนาดนี้ ผมคงไม่ต้องกังวลอะไรแล้วล่ะม้าง”

คนพูดส่งสายตาหยอกล้อ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อศอกของคนที่เขาโอบไว้กระทุ้งเข้าจังๆ กับชายโครง

ไวเหมือนซามูไร

“ตั้งโต๊ะเลยไหมครับ ผมหิวแล้ว” เด็กโข่งลูบท้องป้อยๆ

“ตั้งเลย แม่โทรชวนน้าเขามาทานข้าวเย็นด้วยนะ ตอนนี้น่าจะเลิกงานแล้ว เดี๋ยวอีกหน่อยก็คงถึง”

 

 

นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้พบหน้าธันธเนศเลย  เมื่อเห็นมันยิ่งทำให้อยากจะเปลี่ยนใจมาเป็นตัวร้ายที่แย่งของหลานเสียจริงๆ แต่ก็คงได้แค่คิด จรัญนั่งกินข้าวไปเงียบๆ พยายามลอบมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ก็ต้องพยายามหลบสายตาไม่ให้อีกฝ่ายรู้เช่นกัน นั่นรวมถึงอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ในตอนนี้ด้วย

“งานที่สำนักพิมพ์เป็นไงบ้างพี่”

“อ๋อ” คนถูกถามอ้ำอึ้ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยถาม “ก็เรื่อยๆ แต่ในส่วนของมึงพี่ยังทำเองอยู่ หาคนมาแทนไม่ได้”

“งี้ก็เหนื่อยแย่เลยดิ”

“ก็นิดนึงแหละ แต่ก็เพื่องาน”

“แม่ชักอยากจะรู้จักธันเขามากขึ้นแล้วสิ ดูมีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวเรามากกว่าที่คิดนะ”

“อ้อ ผมลืมบอกไปเลยครับพี่สร ธันธเนศเขาเคยทำคอลัมน์ให้หนังสือพิมพ์เรามาก่อน” จรัญตอบ

“ครับ เลยทำให้ผมได้รู้จักกับธันธเนศเขาด้วย” ธันวาแทรกขึ้น หลังจากที่เงียบฟังมาตลอด มือก็ตักผัดผักกับไข่เจียวให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้ขาด

“แม่ไม่เห็นว่าลูกจะตักอย่างอื่นให้ธันเขาเลยนอกจากผัดผักกับไข่เจียว ตักอย่างอื่นบ้างก็ได้”

“ธันเขาไม่ทานเนื้อสัตว์น่ะครับ” สองหนุ่มของบ้านตอบแทบจะประสานเสียงกัน แล้วตามมาด้วยการมองหน้ากันเลิ่กลักตามประสาน้าหลาน

“ผมลืมบอกไปครับว่าผมไม่ทานเนื้อสัตว์”

“เป็นมังสวิรัติเหรอลูก”

“ไม่เชิงครับ ผมเพิ่งมาถือเพราะเบญจเพส แต่ก็ไม่ได้เคร่งอะไร”

“ดีๆ แม่ก็อยากทำบ้างนะ แต่ทำไม่ได้ ไม่มีแรง ถ้าทำได้อย่างธันบ้างป่านนี้คงหุ่นดีเป็นสาวแรกรุ่น”

“ไม่ทันแล้วล่ะ” ผู้เป็นน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ กล่าว

“เดี๋ยวเถอะรัญ ฉันพี่แกนะ”

การหยอกล้อเฮฮายังคงสร้างความสุขให้อาหารมื้อเล็กของคนสี่คนที่กำลังจะก้าวเข้ามาในชีวิตเส้นทางเดียวกัน แต่หากมองลึกลงไปในใจของใครบางคน ความสุขที่ว่ามันแค่ฉากหน้า ที่ฉาบความเสียใจไว้ก็แค่นั้น

 

 

“เป็นไงบ้าง ดูมีความสุขดีนี่” จรัญเดินไปตบไหล่หลานชายเบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน

“น้าล่ะ เป็นไงบ้าง”

“ก็เรื่อยๆ”

ธันวาไม่พูดอะไรต่อ เขารับรู้ถึงความทุกข์ที่มีอยู่ในใจคนเป็นน้าได้อย่างดี

ย้อนไปเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ไม่ว่าเด็กชายที่มีศักดิ์เป็นน้าคนนี้มีอะไรดี เขาก็จะคอยนึกถึงหลานอย่างเขาเสมอ ขนมหนึ่งชิ้นที่อยู่ในมือ เขาจะไม่กินมันคนเดียว อย่างน้อยครึ่งชิ้นจะต้องได้ถึงท้องของหลาน

“ผมขอโทษนะ ที่แย่งของๆ น้าอีกแล้ว”

“ไม่เอาน่า กี่ครั้งแล้วที่แกพูดแบบนี้ ของเหล่านั้นมันสำคัญไม่ได้เศษเสี้ยวของธันธเนศด้วยซ้ำ อีกอย่างธันธเนศไม่ใช่ของๆ ใคร แล้วเขายอมแก”  น้าหลานสบตากันในความมืด “ดูแลเขาดีๆ” มือหนาตบไหล่หลานชายเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป

 

 

ธันธเนศยืนล้างจานอยู่ในครัว ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว

ครอบครัวของธันวาช่างดูสมบูรณ์แบบเหลือเกิน มีแม่ มีน้าที่แสนดี หากคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของธันวาเป็นผู้หญิงธันวาคงจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ได้มากกว่านี้ ผู้หญิงสักคนที่จะมาเป็นแม่ของเด็กตัวเล็กๆ เมื่อถึงเวลา มันคงจะทำให้บ้านนี้มีสีสันและมีความสุขมากกว่านี้ มากกว่าเขาที่เป็นเพียงผู้ชายไร้อนาคตคนหนึ่ง

“คิดอะไรอยู่หรือเปล่าลูก” เสียงของเกสรดังขึ้นใกล้ๆ เธอวางจานที่ซ้อนกันลงข้างเขา

“เปล่าครับ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

เธอผงกหัวเชิงเข้าใจ

“ไม่ต้องคิดมากนะ แม่เชื่อว่าเราสองคนแม่ลูก ถ้าได้ติดสินใจอะไรไปแล้ว ก็คือได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”

คำพูดของเธอก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอยอมรับในตัวผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้แล้ว แม้จะเพิ่งได้รู้จัก แต่ก็ช่างเถอะ เธอเชื่อว่าธันวาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล

“ธันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่ไหนเหรอลูก”

เขากะอยู่แล้วว่ายังไงคำถามนี้ก็ต้องมา มีหรือที่จะไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของคนที่นิ้วนางข้างซ้ายสวมแหวนของลูกชายตนเอง

ธันธเนศสงบทำใจอยู่ชั่วครู่ มือยังคงทำความสะอาดจานชามตรงหน้า ความจริงคือสิ่งไม่ตาย ไม่บอกตอนนี้ ก็ต้องมีสักวันที่เธอต้องรู้เอง

“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ นี่แหละครับ คุณแม่คงรู้จักตระกูลอรุโณโรจน์ใช่ไหมครับ พ่อของผมก็คือพลตำรวจเอกเสกสรร อรุโณโรจน์ครับ” เคล้ง!

ทัพพีที่เธอเช็ดอยู่ร่วงลงพื้นจนทำให้การบอกเล่าของเขาชะงักชั่วขณะ เธอหยิบมันขึ้นมาเช็ดต่อ

“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ทุกวันนี้ผมก็เหมือนไร้ตัวตนกับบ้านหลังนั้นอยู่แล้ว”

คำพูดนั้นมันทำให้เธอสนใจยิ่งกว่าการรู้ว่าแท้จริงแล้วธันธเนศคือลูกชายของใครเสียอีก

 

เรื่องราวทุกอย่างถูกถ่ายทอดจากปากของธันธเนศจนหมดสิ้น ชีวิตที่ผ่านมาของเขากับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตที่เขาเรียกมันว่าความล้มเหลว

 

สิ่งที่เธอได้ฟัง มันทำให้เธอรู้ดีว่าลูกชายของเธอเองนั้นกำลังมีปราการด่านช้างขวางอยู่ ที่ความเป็นไปได้ในการข้ามผ่านไปเป็นไปได้น้อยมากหรืออาจไม่ได้เลย

แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็ไม่อาจหยุดยั้งอะไรได้อีกต่อไป ปล่อยให้เป็นความพยายามของคนทั้งสองแล้วกัน

 

“ยังไงคนในครอบครัวก็สำคัญที่สุดนะ แม่เชื่อว่าอย่างนั้น”

หญิงวัยกลางคนเอื้อมมือสองข้างมาจับมือเขาไว้ ธันธเนศหันไปเผชิญหน้ากับเธอตรงๆ มองรอยยิ้มที่พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้เขา

“กลับได้แล้วลูก เดี๋ยวที่เหลือแม่ทำเอง ธันวารออยู่ข้างนอกละ”

“ไม่เป็นไรครับอีกนิดเดียว เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

“กลับเถอะ” เธอลากเสียงยืนยัน “เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงตื่นไปทำงาน” ท่าทีมั่นเหมาะทำให้เขาต้องถอดผ้ากันเปื้อนออกอย่างจำใจ

“งั้นผมกลับแล้วนะครับ” เขายกมือไหว้

“มา ขอแม่กอดที” ความอบอุ่นจากร่างกายของหญิงที่เพิ่งได้เจอหน้าเป็นครั้งแรกส่งผ่านมาที่เขา มันเป็นความอบอุ่นอีกแบบหนึ่งที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนเลย ความอบอุ่นจากสายใยครอบครัว

“ตอนนี้ธันเป็นคนในครอบครัวแม่แล้วนะลูก”

 

 

หลังจากได้รับงานด่วนมาจากหัวหน้างาน ทำให้ธันธเนศมีเวลาแค่หนึ่งคืนในการเตรียมตัว

 

'ธันธเนศ คุณฉุยเขาโดนแมงกะพรุนไฟ ต้องกลับมารักษาที่กรุงเทพฯ คุณช่วยลงไปที่ภูเก็ตแทนเขาหน่อยสิ'

 

เขารู้ดีมันไม่ใช่การขอให้ช่วย แต่มันคือหน้าที่ที่เขาต้องทำตาม

นิตยสารท่องเที่ยวที่เขาทำงานอยู่จะมีการส่งทีมนักเขียนประจำกองบรรณาธิการเพื่อไปสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศด้วยตนเอง เพื่อนำมาสร้างคอนเทนท์แนะนำแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

 

เช้าตรู่ของวันถัดมา ธันธเนศรีบเร่งเพื่อไปให้ทันเที่ยวบินที่บริษัทจองให้ เขามีเพียงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบเดียวสำหรับการดำรงชีวิตที่ภูเก็ตสิบวัน กับกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์แบบพกพาแค่นั้น

“จะไปไหน”

ทีแรกเขาคิดว่าธันวายังไม่ตื่น เลยกะว่าสายๆ ค่อยโทรกลับมาบอกอีกที แต่ใครจะไปคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวเขาชนิดที่ก้าวขาออกจากห้องเป็นต้องรับรู้ในทันทีขนาดนี้

เมื่อล็อกกุญแจห้องเรียบร้อย เขาก็หันกลับไปมองคนที่ยืนจ้องเขาอยู่ตรงประตูห้องฝั่งตรงกันข้าม

“ภูเก็ต”

“ไปทำไม” สีหน้าคนถามเริ่มซีเรียสลงทุกที

“ทำงาน”

“วันนี้วันหยุด”

“งานด่วนน่ะ”

“แล้วจะไปทำไมไม่บอก”

“ก็นึกว่ายังไม่ตื่น”

“ก็นี่ไง พอขอไปนอนด้วยก็ไม่ให้นอน ไม่บอกผม แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะไปไหนมาไหน”

“ก็กะว่าจะโทรมาบอกทีหลัง จะจริงจังไปทำไมเนี่ย ไปนะ รีบ”

ธันธเนศพูดพลางลากกระเป๋าออกไป แต่คนที่ถูกเมินไม่ยอมหยุด ธันวาวิ่งตามมาคว้าแขนของคนที่กำลังจะไปไว้

“เดี๋ยวไปส่ง”

“ไปต้องหรอก เดี๋ยวไปแท็กซี่”

“ไม่ ผมจะไปส่ง” คนเสียงแข็งแย่งกระเป๋าลากใบโตมาไว้ในการควบคุมของตัวเอง ก่อนจะลากกลับเข้าไปในห้อง แล้วลากกลับออกมาพร้อมกับกุญแจรถ

 

 

ธันธเนศยังคงนิ่งเงียบ เขาเองก็ผิดที่ไม่ยอมบอกกล่าวก่อน อย่างน้อยเขากับธันวาก็เป็นอะไรๆ กันมากกว่าที่อีกฝ่ายจะไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาเลย ในเมื่อเขายอมให้ผู้ชายคนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาแล้ว ก็ต้องเดินในทางที่มันควรจะเป็น

แต่ใครจะไปคิดว่าคนอย่างธันวาบังเอิญตื่นมาทันตอนเขากำลังจะออกจากห้องพอดี

 

“ไม่ยักรู้ว่าต้องลงไปทำงานที่นั่นด้วย”

“อือ”

“แล้วอยู่นานเท่าไหร่”

“สิบวัน”

“ผมไม่สำคัญหรอ” เสียงแผ่วกับนัยน์ตาละห้อยหันมาทางเขา ขณะรถติดไฟแดง

“ไม่ต้องรู้ทุกอย่างก็ได้ ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

“ขนาดนี้แล้วยังไม่เรียกเป็นเหรอ ไม่รู้ล่ะ ผมต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ” เสียงแข็งเงียบลง

มือข้างหนึ่งที่กุมพวงมาลัยอยู่เอื้อมมาคว้ามือเขาไปกุมไว้บนขาของตัวเอง “ผมรักคุณไปแล้วนะ รับผิดชอบความรู้สึกผมด้วยสิ”

 

รถที่วิ่งมาถึงหน้าสนามบินเลี้ยวเข้าไปยังอีกทาง ซึ่งไม่ใช่ทางที่มันควรจะเป็น

“อ้าวไปไหน ไม่ไปหน้าเทอมินัลหรอ” คนที่กำลังรีบเอ่ยถามตาตื่น

“ไม่ ผมจะเข้าไปด้วย วนหาที่จอดรถแปบเดียว” คนที่กำลังขะมักเขม้นกับการมองหาที่จอดรถไปด้วยกล่าวตอบ

               

ในสนามบินธันวายังคงตามธันธเนศทุกฝีก้าว โดยมีตัวประกันเป็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ที่เอาไปลากเองจนเหมือนเป็นของตน ก็เพื่อให้แน่ใจว่าธันธเนศจะไม่แอบไปโดยที่ไม่ทันได้ร่ำลาอีก

 

“กินอะไรก่อนไหม ขึ้นเครื่องจะได้ไม่หิว”

“ไม่เป็นไรผมยังไม่หิว”

“งั้นรอนี่เดี๋ยว อย่าไปไหนนะ ผมไปซื้อกาแฟก่อน”           

ธันธเนศนั่งมองคนร่างสูงเดินไปยังร้านกาแฟใกล้ๆ แต่ก็มิวายมองมายังเขาเป็นระยะ เหมือนกลัวเขาจะหนีไป

ไม่นานนักร่างสูงก็เดินฉับๆ กลับมาด้วยความรวดเร็ว

“อะ ผมซื้อกาแฟมาให้” คนที่ถือเครื่องดื่มสองแก้วโตกับถุงกระดาษใส่อะไรบางอย่างหย่อนก้นลงนั่งข้างกัน

                “ผมกินได้ที่ไหนเล่า”

 “ผมสั่งแบบดีแคฟมาให้ ซื้อครัวซองต์มาให้ด้วย ทีแรกว่าจะซื้อแซนวิช แต่มันมีแฮมกับทูน่า อะ เอาไปกินบนเครื่อง เผื่อหิว”

เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเห็นธันวาในมุมนี้ เท่าที่รู้จักกันมา นักศึกษาหนุ่มที่ชีวิตดูไม่สนโลก ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วๆ ไป ไม่ไปเรียนหนังสือก็อยู่กับกลุ่มแก๊งที่สำมะเลเทเมาไปวันๆ ที่เห็นเป็นการเป็นงานหน่อยก็คงเป็นหน้าที่โค้ชที่ทำอยู่ แต่กับเขา ธันวาได้แสดงมุมๆ หนึ่งออกมา ชายหนุ่มคนนี้สามารถเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างดี บางที มันอาจจะไม่ใช่แค่ความรู้สึกชั่ววูบอย่างที่เขาเคยบอกไว้จริงๆ ก็ได้

               

นึกไปก็ขำ ไอ้เสือขาโหดที่หาเรื่องเขาแบบไม่มีเหตุผล ท้าตีท้าต่อย นิสัยอันธพาลป่าเถื่อน ปากก็หมา เผชิญหน้ากันทีไรก็ปานจะกินเลือดกินเนื้อ แต่พอมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ในตอนนี้ มันเหมือนไม่ใช่คนๆ เดียวกัน ธันวาเป็นเพียงลูกแมวตาแป๋วที่กลัวเขาจะหนีไปทิ้งให้อยู่อย่างไร้เจ้าของ สิ้นลายแล้วสินะ

คงต้องขอบคุณตัวเอง ที่ไม่รู้ไม่ทำอีท่าไหนให้เสือตัวนี้ลงเสน่ห์ไปเสียได้ เลยไม่ต้องเสี่ยงปากแตกอีกหลายๆ รอบ

“ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว ผมต้องไปแล้วล่ะ” นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเวลา

               

ธันธเนศหยุดรอคนที่ลากกระเป๋าตามมาต้อยๆ ข้างหลัง สายตาละห้อยบ่งบอกทุกสิ่ง

“ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ ไปแค่สิบวัน ไม่ใช่สิบปี” เขาว่า

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” เสียงอ่อยลากยาว

“ไม่ไปก็ตกงานสิ งอแงเป็นเด็กอนุบาลเลย เดี๋ยวผมก็กลับ”

“คุณไม่อยู่แล้วใครจะด่าผม เหงาหูแย่”

“คืออยากโดนด่า?” ธันธเนศเลิกคิ้วมองคนที่สูงกว่า “ได้ เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรหา” มือเรียวยื่นไปหยิกพุงของคนที่ทำหน้างอ

“จริงนะ” สีหน้าเปลี่ยนเป็นเบิกบานทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “พูดแล้วนะ ถ้าว่างแล้วต้องโทรมานะ” ร่างสูงดึงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากอด

เขารู้อยู่ว่าธันธเนศเป็นยังไง แม้สถานะจะเป็นอะไรกันลึกซึ้งแค่ไหนก็เถอะ ถ้าไม่อยากคุยไม่อยากติดต่อก็คือไม่คุยไม่ติดต่อ สามารถหายไปได้ทั้งวันหรืออาจจะหลายๆ วัน มีแต่เขาที่ต้องตามตื้อตามหาเอง ไม่หวานเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ ทั่วไป

“ธันวา” เสียงที่เกิดจากการหายใจติดขัดเพราะถูกรัดจนแน่นเอ่ยออกมาเบาๆ แล้วพยายามผละออก “คนเยอะแยะ อายบ้างสิ”

“แล้วไง ก็ผมรักของผม” คำพูดที่ท้าทายสายตาคนที่เดินผ่านไปมากันให้ควัก ทำให้ธันธเนศต้องรีบยื่นบัตรผ่านขึ้นเครื่องให้เจ้าหน้าที่ตรวจเพื่อที่จะได้ผ่านเข้าไปในเกท

 

                ธันธเนศหันกลับมามองคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมตรงนั้น สายตาละห้อยหวนกลับมาอีกครั้งบนใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างนอกนั้น มีเพียงการโบกมือลาที่ใช้แทนคำพูดสุดท้ายจริงๆ ก่อนจากกัน ขณะที่เขาเดินไกลออกไปเรื่อยๆ จนลับตา

 

ธันธเนศนั่งรอเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้บริเวณหน้าประตูผ่านขึ้นเครื่อง เพื่อรอให้ผู้โดยสารที่กำลังต่อแถวขึ้นเครื่องบางตาลงก่อน แหวนสีเงินวงเล็กๆ บนนิ้วนางข้างซ้ายมันส่องประกายมากระทบตาเขา

จากเหตุการณ์ในคืนนั้นที่เขาพลาดท่าเสียทีให้ธันวา หากเป็นแค่เพราะอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการความสนุกจากตัวเขา ทุกอย่างมันก็คงไม่เลยเถิดมาถึงขนาดนี้

นับจากวันที่แหวนวงนี้มาอยู่บนนิ้ว เขารู้ดีว่าอิสระในการใช้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาจะมามัวพูดว่าอีกฝ่ายไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จะทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังก็ไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ยังมีอีกคนที่อยู่ในชีวิตเขา

ถามว่าเขารู้สึกยังไงกับธันวาในตอนนี้ บอกได้แค่ว่า ผู้ชายคนนั้นได้ใจเขาไปแล้ว อยู่ที่ว่าจะรักษามันไว้ได้อีกนานสักแค่ไหนก็แค่นั้น เขาก็ได้แค่ภาวนา




... ก่อนเหมันต์ ...

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ธันธเนศปากหนัก รักก็บอกไปสิ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เปลี่ยนจากเสือกลายเป็นแมว

อะไรจะหงอยได้ขนาดนั้น

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
น่ารักจัง อยากมีแบบนี้มั่ง
 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มีแม่ให้กอดแล้วเนอะ ธันธเนศ  :กอด1:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
เค้าลางปัญหาใหญ่เหมือนจะตามมาในไม่ช้านี้ สู้ๆๆไปด้วยกันละกันนะ ส่วนคู่เล็กมนต์รักสวนทุเรียนขอเป็นตอนหน้านะครับ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
หวังว่าการไปภูเก็ตจะไม่มีแผนอะไรแอบแฝงตากครอบครัวนะ,,,

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด