18
รักคือการเสียสละ
แม้จะพยายามข่มความตื่นเต้นทั้งหมดไว้อย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากสายตาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปได้อยู่ดี
ธันวาที่มือกุมพวงมาลัยหันมองคนข้างๆ เป็นระยะ แม้เครื่องปรับอากาศในรถจะเย็นฉ่ำ แต่เม็ดเหงื่อก็ยังคงผุดอย่างต่อเนื่องจากหน้าผากของอีกคน รอบที่ร้อยที่เขาเอามือไปอังช่องแอร์ดูว่ามันเย็นขึ้นตามที่เขาปรับไหม
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก แม่ผมใจดีจะตาย รายนั้นน่ะลูกชายรักใคร เขาก็รักไปด้วยซะหมดแหละ”
“พูดงี้ก็แสดงว่าพาไปเปิดตัวบ่อยอะดิ”
คนฟังแอบเห็นแววตาเป็นกังวล แม้อีกฝ่ายจะยังคงจ้องตรงไปข้างหน้า
“เคยน่ะเคย แต่แค่เคยมี ไม่เคยพาไปหาแม่”
“แล้วคิดยังไง ถึงจะพาผมไปที่บ้านแม่คุณ”
“ก็แม่ผมอยากรู้จักคุณ”
เป็นธรรมดา เมื่อถึงเวลาคนรักกันก็ต่างฝ่ายต่างต้องพากันและกันไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก เพื่อสานสัมพันธ์อันดีที่จะตามมาในอนาคต แต่! ระหว่างเขากับธันวามันก็แปลกๆ อยู่ เขาไม่ใช่หญิงสาวอ้อนแอ้นอรชร หน้าสวย เสียงใส ที่ผู้ใหญ่ในบ้านของฝ่ายชายจะยอมรับได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ทำลงไป มันเร็วเกินไป” อันที่จริงระหว่างเขากับธันวามันก็ไวไฟไปเสียทุกอย่างแหละ นับตั้งแต่โดนกระทำมิดีมิร้ายอย่างงงๆ ในคืนนั้น จนจู่ๆ อีกฝ่ายก็มาบอกว่ารักบอกว่าชอบ แถมยังพ่วงแหวนมาให้เสียดื้อๆ
“ไม่ ถ้าลองเราได้รู้เป้าหมายในใจของเราจริงๆ แล้ว จะรออะไรอีก”
เหรอ “ผมก็แค่อยากทำให้มันถูกต้อง วันนั้นที่ผม... เอ่อ-” “ล่วงละเมิด”
แหม ก็พูดซะข่าวหนังสือพิมพ์ “-นั่นแหละ ในความรู้สึกผมนะ คุณเสียหาย”
ยังดีที่รู้
“ผมอยากรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไป ผมอยากให้คุณรู้ว่าที่ผมทำลงไปไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบหรือแค่อยากหาเศษหาเลย อันที่จริง...” คนพูดเว้นจังหวะ ขณะรถติดไปแดง สายตาที่จับจ้องอยู่ข้างหน้าเสริมคำพูด แขนข้างที่ไม่ได้บังคับพวงมาลัยเท้าอยู่กับขอบหน้าต่าง นิ้วชี้เขี่ยริมฝีปากตัวเองเบาๆ “...ผมมั่นใจแล้วว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ พอมาลองคิดดู ผมไม่อยากให้คุณรู้สึกว่าผมก็แค่คบกับคุณไปงั้นๆ มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนและดูไม่จริงจัง”
...
“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ ที่ไม่ทำลายความตั้งใจของผมทิ้ง”
อันที่จริงเขาก็เกือบทำมันไปแล้วล่ะ เขาเกือบจะถอดแหวนออกทันทีที่ธันวาสวมให้ แต่บางอย่างในใจเรียกร้องให้เขาสวมมันไว้ ก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
“สวัสดีครับ”
เกสรยังคงยกมือรับไหว้ค้างไว้อย่างนั้น สายตาจดจ้องใบหน้าของธันธเนศจนเขารู้สึกเกร็งไปทั้งตัว
ไม่แปลกใจเลยทำไมลูกชายของเธอถึงได้ชอบผู้ชายคนนี้ไปได้ แค่ครั้งแรกที่พบเจอ
มันน่าหลงใหลแม้จะยังไม่ได้รู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังหรือนิสัยใจคอจริงๆ แต่ความประทับใจแรกที่เธอเห็นคือ ทั้งหน้าตาผิวพันธ์ที่ไร้ที่ติ รูปงามกว่าผู้ชายๆ ทั่วๆ ไปเลยก็ว่าได้ งดงามในแบบที่น่าทะนุถนอม ขณะเดียวกันก็ไม่เห็นถึงความอ่อนแอหรืออ้อนแอ้นให้น่ารำคาญตา
“แม่ว่า... เราเคยเจอกันมาก่อนนะ”
ใครจะจำวันที่ต้องแทบแทรกแผ่นดินหนีไม่ได้
“ใช่ครับ ผมเคยไปซื้อยาที่ร้านคุณน้า”
“เรียกแม่เถอะจ๊ะ อีกไม่นานก็คงได้มาเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ส่วนธันวาได้แต่กัดฟันฝืนยิ้มไว้จนกรามแข็ง ไม่ให้ตัวเองแสดงออกมาเมื่อได้ยินผู้เป็นแม่เอ่ยแบบนั้น
“เราแวะซื้อของมาทำอาหารเย็นด้วย ธันเขาทำอาหารเก่ง เขาอยากจะลองทำให้แม่ทาน” คนพูดหิ้วของเต็มไม้เต็มมือ
“ชื่อธันเหรอลูก แม่ก็ลืมถามชื่อเสียงเรียงนามไปเลย มัวแต่ตะลึง”
“ผมชื่อธันธเนศครับ” นามสกุลไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะบอก
“ชื่อเดียวกันซะด้วยเวลาเรียกแม่คงสับสนน่าดู มาจ๊ะ เข้าบ้านกันเถอะ เดี๋ยวไปเข้าครัวกัน” หญิงเจ้าของบ้านเชิญชวน
เกสรกับธันธเนศง่วนอยู่ในครัวเพื่อเตรียมวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร ธันวาเลือกที่จะปล่อยให้สองคนได้อยู่ใกล้กัน และหากจะคุยอะไรกันโดยที่ไม่มีเขา ก็คงเป็นตอนนี้แล้ว ที่เขากล้าปล่อยให้เป็นแบบนั้น เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวแม่ของตนเองดี เขารู้ดีว่าเกสรเป็นคนอย่างไร
“ผักนี่แม่ล้างหมดแล้วนะธัน” เกสรกล่าวขึ้นพร้อมกับวางชามที่ใส่ผักที่ล้างแล้วไว้ใกล้ๆ เขา อันที่จริงเธอเองก็มือฉมังในงานครัวคนหนึ่ง เพียงแต่วันนี้อยากจะให้แขก ที่อนาคตอาจจะเป็นมากกว่านั้น ได้โชว์ฝีมือตามที่ลูกชายเธออวดอ้างสรรพคุณนักหนา
“แม่ไม่ทานอะไรบ้างบอกผมได้นะครับ ผมจะได้ไม่ใส่ไป” เขากล่าวถามขณะที่ยังก้มหน้าก้มตาปลอกกระเทียม
“แม่ทานได้ทุกอย่างจ๊ะ ขอแค่ไม่ผงชูรส” เธอพูดก่อนจะเดินเข้ามายืนใกล้ๆ
“ดูคล่องจัง ทำอาหารบ่อยเหรอ”
“ไม่บ่อยหรอกครับ ตั้งแต่ออกมาอยู่คนเดียวผมก็ถนัดซื้อกินมากกว่า มันประหยัดเวลาดี แต่ผมเข้าครัวช่วยแม่ทำอาหารมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ เลยพอมีความรู้ติดมาบ้าง”
“อย่างนี้นี่เอง”
ผู้ชายน้อยคนที่จะสนใจงานครัว โดยเฉพาะตอนยังเป็นเด็กผู้ชาย
เกสรเงียบไปสักพักใหญ่ แต่ก็ยังยืนอยู่ข้างๆ อย่างนั้น สายตาจับจ้องมือที่เป็นประวิงแต่สายตาบ่งบอกว่าครุ่นคิด
“คิดดีแล้วเหรอที่จะตกล่องปล่องชิ้นกับเจ้าธันวามัน ทั้งที่ก็ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ อนาคตก็ไม่รู้จะเป็นไปในทิศทางไหน”
“ผมต่างหากละครับที่ต้องถามคุณแม่ว่า แน่ใจเหรอที่จะให้ลูกชายคนเดียวของแม่มาใช้ชีวิตอยู่กับผม”
คนฟังผ่อนลมหายใจ ก่อนจะเดินกลับไปเตรียมวัตถุดิบอีกอย่าง
“ธันวาเขาก็ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจอะเนาะ พอพ่อเขาเสีย แม่ก็ไม่อยากจะอะไรกับเขามากนัก ปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้ใช้ชีวิตของเขาเอง แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจหรือเกเรทั้งที่ถูกเลี้ยงมาแบบนั้น ไม่ใช่เด็กที่เรียกร้องอะไร เขาไม่เคยทำให้แม่และน้าชายผิดหวัง บอกกล่าวอะไรแค่ครั้งเดียวก็เชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้
จนมาถึงครั้งนี้ เขายืนหยัดเรียกร้องในสิ่งที่เขาอยากได้เองเป็นครั้งแรก แม่จึงพอรู้แล้วว่าสิ่งนั้นจะสำคัญกับเขามากแค่ไหน”
คนฟังหยุดหั่นผักที่คาอยู่ในมือ แล้วก็กลับมาทำมันต่ออย่างเงียบๆ
“โห หอมจังเลย ฝีมือใครเนี่ย” คนร่างสูงเดินอาดๆ เข้ามาในครัว พร้อมกับทำจมูกฟุตฟิต ก่อนจะตรงปรี่ไปยังคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเหยาะเครื่องปรุงในหม้อ สองแขนโอบรัดเอวบางนั้นไว้โดยไม่สนใจสายตาผู้เป็นแม่
“หายไปไหนมายะพ่อหนุ่ม เขาต้มผัดแกงทอดกันจนจะเสร็จขึ้นโต๊ะอยู่แล้ว เพิ่งโผล่หน้ามา” เธอว่า
“ก็แหมแม่ ผมทำอะไรเป็นที่ไหนเล่า”
“กินเป็นอย่างเดียว” ธันธเนศว่า
“ใช่ กินเป็นอย่างเดียว” เกสรช่วยเสริมอีกแรง
“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยขนาดนี้ ผมคงไม่ต้องกังวลอะไรแล้วล่ะม้าง”
คนพูดส่งสายตาหยอกล้อ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อศอกของคนที่เขาโอบไว้กระทุ้งเข้าจังๆ กับชายโครง
ไวเหมือนซามูไร
“ตั้งโต๊ะเลยไหมครับ ผมหิวแล้ว” เด็กโข่งลูบท้องป้อยๆ
“ตั้งเลย แม่โทรชวนน้าเขามาทานข้าวเย็นด้วยนะ ตอนนี้น่าจะเลิกงานแล้ว เดี๋ยวอีกหน่อยก็คงถึง”
นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้พบหน้าธันธเนศเลย เมื่อเห็นมันยิ่งทำให้อยากจะเปลี่ยนใจมาเป็นตัวร้ายที่แย่งของหลานเสียจริงๆ แต่ก็คงได้แค่คิด จรัญนั่งกินข้าวไปเงียบๆ พยายามลอบมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ก็ต้องพยายามหลบสายตาไม่ให้อีกฝ่ายรู้เช่นกัน นั่นรวมถึงอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ในตอนนี้ด้วย
“งานที่สำนักพิมพ์เป็นไงบ้างพี่”
“อ๋อ” คนถูกถามอ้ำอึ้ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยถาม “ก็เรื่อยๆ แต่ในส่วนของมึงพี่ยังทำเองอยู่ หาคนมาแทนไม่ได้”
“งี้ก็เหนื่อยแย่เลยดิ”
“ก็นิดนึงแหละ แต่ก็เพื่องาน”
“แม่ชักอยากจะรู้จักธันเขามากขึ้นแล้วสิ ดูมีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวเรามากกว่าที่คิดนะ”
“อ้อ ผมลืมบอกไปเลยครับพี่สร ธันธเนศเขาเคยทำคอลัมน์ให้หนังสือพิมพ์เรามาก่อน” จรัญตอบ
“ครับ เลยทำให้ผมได้รู้จักกับธันธเนศเขาด้วย” ธันวาแทรกขึ้น หลังจากที่เงียบฟังมาตลอด มือก็ตักผัดผักกับไข่เจียวให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้ขาด
“แม่ไม่เห็นว่าลูกจะตักอย่างอื่นให้ธันเขาเลยนอกจากผัดผักกับไข่เจียว ตักอย่างอื่นบ้างก็ได้”
“ธันเขาไม่ทานเนื้อสัตว์น่ะครับ” สองหนุ่มของบ้านตอบแทบจะประสานเสียงกัน แล้วตามมาด้วยการมองหน้ากันเลิ่กลักตามประสาน้าหลาน
“ผมลืมบอกไปครับว่าผมไม่ทานเนื้อสัตว์”
“เป็นมังสวิรัติเหรอลูก”
“ไม่เชิงครับ ผมเพิ่งมาถือเพราะเบญจเพส แต่ก็ไม่ได้เคร่งอะไร”
“ดีๆ แม่ก็อยากทำบ้างนะ แต่ทำไม่ได้ ไม่มีแรง ถ้าทำได้อย่างธันบ้างป่านนี้คงหุ่นดีเป็นสาวแรกรุ่น”
“ไม่ทันแล้วล่ะ” ผู้เป็นน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ กล่าว
“เดี๋ยวเถอะรัญ ฉันพี่แกนะ”
การหยอกล้อเฮฮายังคงสร้างความสุขให้อาหารมื้อเล็กของคนสี่คนที่กำลังจะก้าวเข้ามาในชีวิตเส้นทางเดียวกัน แต่หากมองลึกลงไปในใจของใครบางคน ความสุขที่ว่ามันแค่ฉากหน้า ที่ฉาบความเสียใจไว้ก็แค่นั้น
“เป็นไงบ้าง ดูมีความสุขดีนี่” จรัญเดินไปตบไหล่หลานชายเบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน
“น้าล่ะ เป็นไงบ้าง”
“ก็เรื่อยๆ”
ธันวาไม่พูดอะไรต่อ เขารับรู้ถึงความทุกข์ที่มีอยู่ในใจคนเป็นน้าได้อย่างดี
ย้อนไปเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ไม่ว่าเด็กชายที่มีศักดิ์เป็นน้าคนนี้มีอะไรดี เขาก็จะคอยนึกถึงหลานอย่างเขาเสมอ ขนมหนึ่งชิ้นที่อยู่ในมือ เขาจะไม่กินมันคนเดียว อย่างน้อยครึ่งชิ้นจะต้องได้ถึงท้องของหลาน
“ผมขอโทษนะ ที่แย่งของๆ น้าอีกแล้ว”
“ไม่เอาน่า กี่ครั้งแล้วที่แกพูดแบบนี้ ของเหล่านั้นมันสำคัญไม่ได้เศษเสี้ยวของธันธเนศด้วยซ้ำ อีกอย่างธันธเนศไม่ใช่ของๆ ใคร แล้วเขายอมแก” น้าหลานสบตากันในความมืด “ดูแลเขาดีๆ” มือหนาตบไหล่หลานชายเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป
ธันธเนศยืนล้างจานอยู่ในครัว ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว
ครอบครัวของธันวาช่างดูสมบูรณ์แบบเหลือเกิน มีแม่ มีน้าที่แสนดี หากคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของธันวาเป็นผู้หญิงธันวาคงจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ได้มากกว่านี้ ผู้หญิงสักคนที่จะมาเป็นแม่ของเด็กตัวเล็กๆ เมื่อถึงเวลา มันคงจะทำให้บ้านนี้มีสีสันและมีความสุขมากกว่านี้ มากกว่าเขาที่เป็นเพียงผู้ชายไร้อนาคตคนหนึ่ง
“คิดอะไรอยู่หรือเปล่าลูก” เสียงของเกสรดังขึ้นใกล้ๆ เธอวางจานที่ซ้อนกันลงข้างเขา
“เปล่าครับ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
เธอผงกหัวเชิงเข้าใจ
“ไม่ต้องคิดมากนะ แม่เชื่อว่าเราสองคนแม่ลูก ถ้าได้ติดสินใจอะไรไปแล้ว ก็คือได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
คำพูดของเธอก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอยอมรับในตัวผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้แล้ว แม้จะเพิ่งได้รู้จัก แต่ก็ช่างเถอะ เธอเชื่อว่าธันวาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล
“ธันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่ไหนเหรอลูก”
เขากะอยู่แล้วว่ายังไงคำถามนี้ก็ต้องมา มีหรือที่จะไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของคนที่นิ้วนางข้างซ้ายสวมแหวนของลูกชายตนเอง
ธันธเนศสงบทำใจอยู่ชั่วครู่ มือยังคงทำความสะอาดจานชามตรงหน้า ความจริงคือสิ่งไม่ตาย ไม่บอกตอนนี้ ก็ต้องมีสักวันที่เธอต้องรู้เอง
“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ นี่แหละครับ คุณแม่คงรู้จักตระกูลอรุโณโรจน์ใช่ไหมครับ พ่อของผมก็คือพลตำรวจเอกเสกสรร อรุโณโรจน์ครับ”
เคล้ง!ทัพพีที่เธอเช็ดอยู่ร่วงลงพื้นจนทำให้การบอกเล่าของเขาชะงักชั่วขณะ เธอหยิบมันขึ้นมาเช็ดต่อ
“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ทุกวันนี้ผมก็เหมือนไร้ตัวตนกับบ้านหลังนั้นอยู่แล้ว”
คำพูดนั้นมันทำให้เธอสนใจยิ่งกว่าการรู้ว่าแท้จริงแล้วธันธเนศคือลูกชายของใครเสียอีก
เรื่องราวทุกอย่างถูกถ่ายทอดจากปากของธันธเนศจนหมดสิ้น ชีวิตที่ผ่านมาของเขากับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตที่เขาเรียกมันว่าความล้มเหลว
สิ่งที่เธอได้ฟัง มันทำให้เธอรู้ดีว่าลูกชายของเธอเองนั้นกำลังมีปราการด่านช้างขวางอยู่ ที่ความเป็นไปได้ในการข้ามผ่านไปเป็นไปได้น้อยมากหรืออาจไม่ได้เลย
แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็ไม่อาจหยุดยั้งอะไรได้อีกต่อไป ปล่อยให้เป็นความพยายามของคนทั้งสองแล้วกัน
“ยังไงคนในครอบครัวก็สำคัญที่สุดนะ แม่เชื่อว่าอย่างนั้น”
หญิงวัยกลางคนเอื้อมมือสองข้างมาจับมือเขาไว้ ธันธเนศหันไปเผชิญหน้ากับเธอตรงๆ มองรอยยิ้มที่พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้เขา
“กลับได้แล้วลูก เดี๋ยวที่เหลือแม่ทำเอง ธันวารออยู่ข้างนอกละ”
“ไม่เป็นไรครับอีกนิดเดียว เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“กลับเถอะ” เธอลากเสียงยืนยัน “เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงตื่นไปทำงาน” ท่าทีมั่นเหมาะทำให้เขาต้องถอดผ้ากันเปื้อนออกอย่างจำใจ
“งั้นผมกลับแล้วนะครับ” เขายกมือไหว้
“มา ขอแม่กอดที” ความอบอุ่นจากร่างกายของหญิงที่เพิ่งได้เจอหน้าเป็นครั้งแรกส่งผ่านมาที่เขา มันเป็นความอบอุ่นอีกแบบหนึ่งที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนเลย ความอบอุ่นจากสายใยครอบครัว
“ตอนนี้ธันเป็นคนในครอบครัวแม่แล้วนะลูก”
หลังจากได้รับงานด่วนมาจากหัวหน้างาน ทำให้ธันธเนศมีเวลาแค่หนึ่งคืนในการเตรียมตัว
'ธันธเนศ คุณฉุยเขาโดนแมงกะพรุนไฟ ต้องกลับมารักษาที่กรุงเทพฯ คุณช่วยลงไปที่ภูเก็ตแทนเขาหน่อยสิ' เขารู้ดีมันไม่ใช่การขอให้ช่วย แต่มันคือหน้าที่ที่เขาต้องทำตาม
นิตยสารท่องเที่ยวที่เขาทำงานอยู่จะมีการส่งทีมนักเขียนประจำกองบรรณาธิการเพื่อไปสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศด้วยตนเอง เพื่อนำมาสร้างคอนเทนท์แนะนำแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น
เช้าตรู่ของวันถัดมา ธันธเนศรีบเร่งเพื่อไปให้ทันเที่ยวบินที่บริษัทจองให้ เขามีเพียงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบเดียวสำหรับการดำรงชีวิตที่ภูเก็ตสิบวัน กับกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์แบบพกพาแค่นั้น
“จะไปไหน”
ทีแรกเขาคิดว่าธันวายังไม่ตื่น เลยกะว่าสายๆ ค่อยโทรกลับมาบอกอีกที แต่ใครจะไปคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวเขาชนิดที่ก้าวขาออกจากห้องเป็นต้องรับรู้ในทันทีขนาดนี้
เมื่อล็อกกุญแจห้องเรียบร้อย เขาก็หันกลับไปมองคนที่ยืนจ้องเขาอยู่ตรงประตูห้องฝั่งตรงกันข้าม
“ภูเก็ต”
“ไปทำไม” สีหน้าคนถามเริ่มซีเรียสลงทุกที
“ทำงาน”
“วันนี้วันหยุด”
“งานด่วนน่ะ”
“แล้วจะไปทำไมไม่บอก”
“ก็นึกว่ายังไม่ตื่น”
“ก็นี่ไง พอขอไปนอนด้วยก็ไม่ให้นอน ไม่บอกผม แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะไปไหนมาไหน”
“ก็กะว่าจะโทรมาบอกทีหลัง จะจริงจังไปทำไมเนี่ย ไปนะ รีบ”
ธันธเนศพูดพลางลากกระเป๋าออกไป แต่คนที่ถูกเมินไม่ยอมหยุด ธันวาวิ่งตามมาคว้าแขนของคนที่กำลังจะไปไว้
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ไปต้องหรอก เดี๋ยวไปแท็กซี่”
“ไม่ ผมจะไปส่ง” คนเสียงแข็งแย่งกระเป๋าลากใบโตมาไว้ในการควบคุมของตัวเอง ก่อนจะลากกลับเข้าไปในห้อง แล้วลากกลับออกมาพร้อมกับกุญแจรถ
ธันธเนศยังคงนิ่งเงียบ เขาเองก็ผิดที่ไม่ยอมบอกกล่าวก่อน อย่างน้อยเขากับธันวาก็เป็นอะไรๆ กันมากกว่าที่อีกฝ่ายจะไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาเลย ในเมื่อเขายอมให้ผู้ชายคนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาแล้ว ก็ต้องเดินในทางที่มันควรจะเป็น
แต่ใครจะไปคิดว่าคนอย่างธันวาบังเอิญตื่นมาทันตอนเขากำลังจะออกจากห้องพอดี
“ไม่ยักรู้ว่าต้องลงไปทำงานที่นั่นด้วย”
“อือ”
“แล้วอยู่นานเท่าไหร่”
“สิบวัน”
“ผมไม่สำคัญหรอ” เสียงแผ่วกับนัยน์ตาละห้อยหันมาทางเขา ขณะรถติดไฟแดง
“ไม่ต้องรู้ทุกอย่างก็ได้ ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“ขนาดนี้แล้วยังไม่เรียกเป็นเหรอ ไม่รู้ล่ะ ผมต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ” เสียงแข็งเงียบลง
มือข้างหนึ่งที่กุมพวงมาลัยอยู่เอื้อมมาคว้ามือเขาไปกุมไว้บนขาของตัวเอง “ผมรักคุณไปแล้วนะ รับผิดชอบความรู้สึกผมด้วยสิ”
รถที่วิ่งมาถึงหน้าสนามบินเลี้ยวเข้าไปยังอีกทาง ซึ่งไม่ใช่ทางที่มันควรจะเป็น
“อ้าวไปไหน ไม่ไปหน้าเทอมินัลหรอ” คนที่กำลังรีบเอ่ยถามตาตื่น
“ไม่ ผมจะเข้าไปด้วย วนหาที่จอดรถแปบเดียว” คนที่กำลังขะมักเขม้นกับการมองหาที่จอดรถไปด้วยกล่าวตอบ
ในสนามบินธันวายังคงตามธันธเนศทุกฝีก้าว โดยมีตัวประกันเป็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ที่เอาไปลากเองจนเหมือนเป็นของตน ก็เพื่อให้แน่ใจว่าธันธเนศจะไม่แอบไปโดยที่ไม่ทันได้ร่ำลาอีก
“กินอะไรก่อนไหม ขึ้นเครื่องจะได้ไม่หิว”
“ไม่เป็นไรผมยังไม่หิว”
“งั้นรอนี่เดี๋ยว อย่าไปไหนนะ ผมไปซื้อกาแฟก่อน”
ธันธเนศนั่งมองคนร่างสูงเดินไปยังร้านกาแฟใกล้ๆ แต่ก็มิวายมองมายังเขาเป็นระยะ เหมือนกลัวเขาจะหนีไป
ไม่นานนักร่างสูงก็เดินฉับๆ กลับมาด้วยความรวดเร็ว
“อะ ผมซื้อกาแฟมาให้” คนที่ถือเครื่องดื่มสองแก้วโตกับถุงกระดาษใส่อะไรบางอย่างหย่อนก้นลงนั่งข้างกัน
“ผมกินได้ที่ไหนเล่า”
“ผมสั่งแบบดีแคฟมาให้ ซื้อครัวซองต์มาให้ด้วย ทีแรกว่าจะซื้อแซนวิช แต่มันมีแฮมกับทูน่า อะ เอาไปกินบนเครื่อง เผื่อหิว”
เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเห็นธันวาในมุมนี้ เท่าที่รู้จักกันมา นักศึกษาหนุ่มที่ชีวิตดูไม่สนโลก ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วๆ ไป ไม่ไปเรียนหนังสือก็อยู่กับกลุ่มแก๊งที่สำมะเลเทเมาไปวันๆ ที่เห็นเป็นการเป็นงานหน่อยก็คงเป็นหน้าที่โค้ชที่ทำอยู่ แต่กับเขา ธันวาได้แสดงมุมๆ หนึ่งออกมา ชายหนุ่มคนนี้สามารถเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างดี บางที มันอาจจะไม่ใช่แค่ความรู้สึกชั่ววูบอย่างที่เขาเคยบอกไว้จริงๆ ก็ได้
นึกไปก็ขำ ไอ้เสือขาโหดที่หาเรื่องเขาแบบไม่มีเหตุผล ท้าตีท้าต่อย นิสัยอันธพาลป่าเถื่อน ปากก็หมา เผชิญหน้ากันทีไรก็ปานจะกินเลือดกินเนื้อ แต่พอมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ในตอนนี้ มันเหมือนไม่ใช่คนๆ เดียวกัน ธันวาเป็นเพียงลูกแมวตาแป๋วที่กลัวเขาจะหนีไปทิ้งให้อยู่อย่างไร้เจ้าของ สิ้นลายแล้วสินะ
คงต้องขอบคุณตัวเอง ที่ไม่รู้ไม่ทำอีท่าไหนให้เสือตัวนี้ลงเสน่ห์ไปเสียได้ เลยไม่ต้องเสี่ยงปากแตกอีกหลายๆ รอบ
“ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว ผมต้องไปแล้วล่ะ” นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเวลา
ธันธเนศหยุดรอคนที่ลากกระเป๋าตามมาต้อยๆ ข้างหลัง สายตาละห้อยบ่งบอกทุกสิ่ง
“ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ ไปแค่สิบวัน ไม่ใช่สิบปี” เขาว่า
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” เสียงอ่อยลากยาว
“ไม่ไปก็ตกงานสิ งอแงเป็นเด็กอนุบาลเลย เดี๋ยวผมก็กลับ”
“คุณไม่อยู่แล้วใครจะด่าผม เหงาหูแย่”
“คืออยากโดนด่า?” ธันธเนศเลิกคิ้วมองคนที่สูงกว่า “ได้ เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรหา” มือเรียวยื่นไปหยิกพุงของคนที่ทำหน้างอ
“จริงนะ” สีหน้าเปลี่ยนเป็นเบิกบานทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “พูดแล้วนะ ถ้าว่างแล้วต้องโทรมานะ” ร่างสูงดึงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากอด
เขารู้อยู่ว่าธันธเนศเป็นยังไง แม้สถานะจะเป็นอะไรกันลึกซึ้งแค่ไหนก็เถอะ ถ้าไม่อยากคุยไม่อยากติดต่อก็คือไม่คุยไม่ติดต่อ สามารถหายไปได้ทั้งวันหรืออาจจะหลายๆ วัน มีแต่เขาที่ต้องตามตื้อตามหาเอง ไม่หวานเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ ทั่วไป
“ธันวา” เสียงที่เกิดจากการหายใจติดขัดเพราะถูกรัดจนแน่นเอ่ยออกมาเบาๆ แล้วพยายามผละออก “คนเยอะแยะ อายบ้างสิ”
“แล้วไง ก็ผมรักของผม” คำพูดที่ท้าทายสายตาคนที่เดินผ่านไปมากันให้ควัก ทำให้ธันธเนศต้องรีบยื่นบัตรผ่านขึ้นเครื่องให้เจ้าหน้าที่ตรวจเพื่อที่จะได้ผ่านเข้าไปในเกท
ธันธเนศหันกลับมามองคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมตรงนั้น สายตาละห้อยหวนกลับมาอีกครั้งบนใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างนอกนั้น มีเพียงการโบกมือลาที่ใช้แทนคำพูดสุดท้ายจริงๆ ก่อนจากกัน ขณะที่เขาเดินไกลออกไปเรื่อยๆ จนลับตา
ธันธเนศนั่งรอเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้บริเวณหน้าประตูผ่านขึ้นเครื่อง เพื่อรอให้ผู้โดยสารที่กำลังต่อแถวขึ้นเครื่องบางตาลงก่อน แหวนสีเงินวงเล็กๆ บนนิ้วนางข้างซ้ายมันส่องประกายมากระทบตาเขา
จากเหตุการณ์ในคืนนั้นที่เขาพลาดท่าเสียทีให้ธันวา หากเป็นแค่เพราะอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการความสนุกจากตัวเขา ทุกอย่างมันก็คงไม่เลยเถิดมาถึงขนาดนี้
นับจากวันที่แหวนวงนี้มาอยู่บนนิ้ว เขารู้ดีว่าอิสระในการใช้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาจะมามัวพูดว่าอีกฝ่ายไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จะทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังก็ไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ยังมีอีกคนที่อยู่ในชีวิตเขา
ถามว่าเขารู้สึกยังไงกับธันวาในตอนนี้ บอกได้แค่ว่า ผู้ชายคนนั้นได้ใจเขาไปแล้ว อยู่ที่ว่าจะรักษามันไว้ได้อีกนานสักแค่ไหนก็แค่นั้น เขาก็ได้แค่ภาวนา
... ก่อนเหมันต์ ...