พิมพ์หน้านี้ - ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 24-01-2018 14:55:46

หัวข้อ: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 24-01-2018 14:55:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
   
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17




เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทนำ (24/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 24-01-2018 15:03:06
*** แจ้งข่าว ***

เรื่อง ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง ได้มีการรีไรท์ใหม่ทั้งหมด เพื่อความสมบูรณ์มากขึ้นของเนื้อหา
ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มฉากหรือตอนต่างๆ เข้าไปใหม่ในเนื้อเรื่องด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้อ่านสามารถติดตามฉบับรีไรท์ได้ที่เว็บไซต์ DEK-D แล้วก็ readAwrite

DD: https://is.gd/Xzjh44 (https://is.gd/Xzjh44)
rAw: https://is.gd/V2K12U (https://is.gd/V2K12U)








คำโปรย...

"ผมอยู่ของผมดีๆ ก็โดนผู้ชายห้องตรงข้ามมาหาเรื่องเฉยเลย เจอกันครั้งแรกมันก็ด่าผมตุ๊ดซะแล้ว มันหาว่าผมอ่อยมัน หาว่าผมแอบซื้อโจ๊กไปแขวนไว้หน้าห้องมัน โถๆๆ ลำพังผมจะซื้อกินเองยังคิดแล้วคิดอีก เพราะยุคนี้ประหยัดอะไรได้ก็ต้องประหยัด รัดเข็มขัดไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

สุดท้ายเป็นไงล่ะ เสียหน้าจนได้ไหมล่ะมึง เมื่อรู้ว่าเจ้าของโจ๊กนั้นจริงๆ แล้วเป็นของผู้หญิงอีกห้องหนึ่ง ที่แอบชอบมัน เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ผมเหม็นขี้หน้ามันไปเลย แต่ยิ่งเกลียดก็เหมือนยิ่งได้เจอ เมื่อผมซึ่งเป็นคนเดียวของสำนักพิมพ์ที่ทำคอลัมน์เกี่ยวกับกีฬา เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเจ้านายบังคับให้ผมต้องมาสัมภาษณ์มันอีก ไม่ทำก็ไม่ได้ เพื่องาน เพื่อเงิน

ผมมารู้ทีหลังว่ามันชื่อ ธัน ชื่อเหมือนผมเป๊ะ แต่ผมเรียกมันว่าธันวาปากหมาหลังจากนั้นเป็นต้นมา เป็นโค้ชกีฬาเทควันโดควบคู่ไปกับการเรียนปีสุดท้ายในมหา'ลัย มิน่า ถึงได้กร่างนัก แต่ถามว่าผมกลัวมันไหมที่รู้แบบนั้น ก็เฉยๆ นะ เพราะผมก็นักกีฬาคาราเต้สายดำเหมือนกัน..."



โดย... ก่อนเหมันต์


สารบัญ : บทนำ-บทที่ 3 หน้าแรก, บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3796702#msg3796702), บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3799853#msg3799853), บทที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3807848#msg3807848), บทที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3809904#msg3809904),  บทที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3812579#msg3812579), บทที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3815277#msg3815277), บทที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3817006#msg3817006), บทที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3820646#msg3820646), บทที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3823358#msg3823358), บทที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3825844#msg3825844), บทที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3834372#msg3834372), บทที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3838145#msg3838145), บทที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3841246#msg3841246), บทที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3844468#msg3844468), บทที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3850765#msg3850765), บทที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3852978#msg3852978), บทที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3854786#msg3854786), บทที่ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3863279#msg3863279), บทที่ 22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3865782#msg3865782), บทที่ 23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3872105#msg3872105), บทที่ 24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3874903#msg3874903) And บทที่ 25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3876943#msg3876943), ตอนพิเศษ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65680.msg3886222#msg3886222)





==================================================


บทนำ



ธันธเนศเปิดประตูห้องน้ำพร้อมกับควันโขมงไล่หลังเขาออกมา ประหนึ่งมีใครจุดไฟเผาอะไรข้างในนั้น การได้อาบน้ำอุ่นที่ร้อนจนแทบจะลอกหนังได้หลังจากการทำงานที่เพลียร่างมาทั้งวัน มันช่างผ่อนคลายเสียจริงๆ

หลังแต่งตัวเสร็จ ขณะที่หนุ่มนักหนังสือพิมพ์หน้าใสวัยยี่สิบห้าหมาดๆ กำลังประโคมครีมทาผิวตามแบบฉบับหนุ่มเจ้าสำอางอยู่นั้น เสียงเคาะประตูประหนึ่งจะพังเข้ามาให้ได้ก็ดังขึ้น

               

 “ใครว่ะ” เขาพึมพำก่อนจะปรี่ไปที่ประตู

ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมาเคาะห้องเขาโดยพลการ ถ้าเป็นเพื่อนก็จะบอกกล่าวกันก่อนอยู่แล้ว

 

ธันธเนศกระชากประตูเปิดออกหมายจะว่าเสียให้เข็ดที่เคาะประตูได้ไร้มารยาทแบบนี้ แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นบุคคลที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า

หนุ่มร่างสูงตัวเหม็นเหงื่อ ในเสื้อกีฬาแขนกุดกับกางเกงกีฬาขายาวสีขาวที่เขาพอจะรู้ว่าใส่สำหรับกีฬาอะไร ยืนถมึงทึงหน้าตาเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน จ้องเขาประหนึ่งจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนมือข้างที่ถือถุงใส่บางอย่างจะชูขึ้นจนสิ่งที่อยู่ในถุงเกือบชนหน้าอันหล่อเหลาของเขา

“ของคุณใช่ไหม” เสียงที่บ่งบอกถึงอารมณ์ไม่พอใจถามขึ้น

“หึ ไม่ใช่อ่ะ” เขาส่ายหัว

“จะไม่ใช่ได้ยังไง กูถามยาม เขาบอกว่าเห็นมึงถือโจ๊กเหี้ยนี้ขึ้นมาทุกวันเลย” เสียงของคนตัวสูงเริ่มดังขึ้นด้วยอารมณ์

“อ้าวเฮ้ย พูดดีๆ ดิ”

“ทำไมกูต้องพูดดีกับตุ๊ดอย่างมึงด้วย”

เท่านั้นแหละ คนอารมณ์ร้อนอย่างธันธเนศมีหรือจะยอม

“ตุ๊ดพ่อมึงสิ หลงตัวเองนะไอ้สัด อย่าว่าแต่โจ๊กเลย อ้วกกูก็ไม่ให้มึงแดกให้เสียเวลาหรอก”

“อ้าว ไอ้เหี้ยนี่”

ร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านนอกไม่พูดเปล่า มือหนึ่งกำคอเสื้อของเขาไว้แน่น จนร่างที่เล็กกว่าอย่างเขาต้องเขย่งขึ้นตามแรงยก ถุงโจ๊กถูกทิ้งลง ก่อนมือข้างนั้นจะง้างหมัดหมายฟาดเข้าที่หน้าเขาเสียให้ได้

“หยุด! หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้เลยครับ” เสียงตะโกนห้ามดังมาแต่ไกล รปภ. นายหนึ่งวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตมาที่เขาทั้งคู่ที่กำลังจะวางมวยกัน

“มีเรื่องอะไรกันค่อยๆ พูดค่อยจาดิน้อง” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนทั้งพูดทั้งหอบ

ธันธเนศผลักอกคนที่สูงกว่าออกอย่างแรงจนดังตุบ

 

“พี่พามันไปดูกล้องวงจรปิดดิ” ธันธเนศกล่าวกับเจ้าหน้าที่คนนั้น “จะได้รู้ว่าใครที่ตาบอดเอาโจ๊กมาให้แม่ง มันหาว่าผมเป็นคนทำ”

ร่างสูงยังไม่มีทีท่าจะจะจบเมื่อคำพูดของธันธเนศยังฟังไม่เข้าหูอยู่ เขาปรี่เข้ามาทันที แต่รปภ.ก็ขวางเอาไว้ได้

“เฮ้ยพอๆ ไอ้น้อง ไปดูกล้องกับพี่ ป่ะๆ” เขาเสนอทางเลือก

               
หนุ่มร่างสูงยังคงยืนมองเขาตาขวางอยู่อย่างนั้น ก่อนจะตัดสินใจเดินตามแรงดึงของรปภ. คนนั้นไปในที่สุด

 

“อย่าลืมมาขอโทษกูด้วยแล้วกัน” ธันธเนศตะโกนไล่หลัง

“เออ!”

คนที่ถูกท้าทายหันกลับมาตะคอกกลับ

“มองเหี้ยอะไรกัน” ก่อนจะหันกลับไปตวาดไทยมุงทั้งหลายที่โผล่หน้าออกมาจากห้องตัวเอง เพราะเสียงทะเลาะกันระหว่างคนทั้งสองนั้นดังลั่นชั้น จนคนเหล่านั้นรีบผลุบหายเข้าไปในห้องแทบจะพร้อมๆ กัน

 
คนเหี้ยอะไร อารมณ์ฉุนเฉียวเป็นบ้า

 
ธันธเนศคิด ก่อนจะปิดประตูลงอย่างหัวเสีย



หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite My Room - บทนำ (24/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 24-01-2018 16:11:15
บวกเป็ด  o13

น่ารัก  :hao3:

ตาม ตาม ตาม  :hao6:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite My Room - บทนำ (24/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 24-01-2018 16:52:20
รอตามนะจ้ะ ^^
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite My Room - บทนำ (24/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 24-01-2018 16:59:01
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite My Room - บทนำ (24/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าชายหมูตอน ที่ 24-01-2018 18:31:02
ชอบแนวนี้มาก แบบพระเอกกวนตีน
กับนายเอกใสๆ เถียงกันไปมาพระเอกกับมาหลงนายเอก ชอบๆครับ รีบมาต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite My Room - บทนำ (24/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 24-01-2018 18:34:48
ติดตามค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite My Room - บทนำ (24/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-01-2018 00:11:18
ทะเลาะกันแบบนี้เขาว่าลูกจะดกนะคุณ~
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite My Room - บทนำ (24/1/60)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 25-01-2018 00:53:31
แค่เปิดเรื่องก็ชอบแล้วว  :3123:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 1 (5/2/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 05-02-2018 15:09:10
1
โค้ชปากร้ายกับนายยมราช



หลังจากที่เรียนจบด้านวิทยาศาสตร์การกีฬามา ธันธเนศกลับไม่อยากทำงานในแวดวงกีฬาเสียอย่างนั้น ด้วยความสามารถทางการใช้ภาษาไทยและเป็นคนอารมณ์ศิลปิน เจ้าสำบัดสำนวน และไม่ชอบงานอะไรที่มันใช้แรงมากนัก เขาจึงมาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ให้กับหนังสือพิมพ์เล็กๆ แห่งหนึ่ง โดยเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับกีฬาเป็นหลัก เนื่องจากเรียนจบด้านการกีฬามา และเขาดันเป็นเพียงคนเดียวที่ทำเรื่องนี้ได้ดีที่สุด แม้จะเพิ่งเริ่มงานได้ไม่นาน

เพิ่งผ่านมาไม่ถึงปีสำหรับการทำงานที่นี่ ชีวิตของธันธเนศไม่ได้หวือหวาอะไรมาก เพื่อนสนิทก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน ที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานมีครอบครัวกันหมด จึงทำให้นานๆ ถึงจะกลับมาเจอกันสักครั้ง ตื่นเช้ามาเขาก็ไปทำงาน กว่าจะกลับมาถึงห้องก็มืดค่ำ จึงทำให้เขาไม่มีแรงมาคิดทำอย่างอื่นนอกจาก กิน นอน ไปทำงาน วันหยุดก็นอนอืดอยู่ที่ห้อง มีแค่นี้จริงๆ

 

จนในวันนี้ วันที่เขาใช้ชีวิตปกติเช่นทุกวัน แต่จู่ๆ ก็มีบางอย่างเขามากวนชีวิตเขาให้ขุ่นเล่นๆ เสียอย่างนั้น เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งมาหาว่าเขาไปให้ท่าด้วยการแอบซื้อโจ๊กไปแขนไว้ที่หน้าห้อง ซึ่งหนุ่มคนนั้นก็คือห้องตรงข้ามเขานั่นเอง ผู้ที่เขาไม่เคยพบหน้ามาก่อนด้วยซ้ำ อีกฝ่ายมาด้วยอารมณ์ไม่พอใจอย่างสุดขีด เหมือนเก็บกดมาจากไหน เขาก็เป็นคนความอดทนต่ำ อารมณ์ร้อนมาแต่ไหนแต่ไร การวิวาทจึงเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย

 

หลังเรื่องราวกวนใจจบหลัง เพราะความเหนื่อยล้าทั้งสมองและแรงกาย ทำให้ธันธเนศหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอน โดยไม่ได้เก็บเรื่องบ้าบอที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใส่หัวให้เสียเวลา

 

 

“เฮ้ยธัน”

“ว่าไงพี่”

“ช่วงนี้เราดูดรอปๆ ว่ะ” จรัญ บก. หนุ่มใหญ่สวมแว่นสายตาหนาเตอะเดินถือถ้วยกาแฟมายืนข้างเขา

“ยังไงอะ”

“ก็ช่วงนี้ยอดขายลดลง  กระแสส่วนใหญ่หาว่าข่าวเราส่วนมากก็อปมาจากอินเตอร์เน็ตกับโชเชี่ยลมีเดีย”

“ก็อปกับผีดิพี่ ก็เห็นอยู่ว่าผมนั่งเขียนจนหลังขดหลังแข็งทุกวัน”

“ก็โลกโชเชียลอะมึง ก็รู้อยู่ว่าใครจุดประกายอะไร แม่งก็ตามกันไปเป็นพรวน มึงไปดูในเพจของเราดิ คนด่าเพียบ โดยเฉพาะข่าวกีฬา”

“ช่างแม่ง ผมบริสุทธิ์ใจ” เขาพูดหน้าตาไม่สนโลก ก่อนจะหันกลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ

“เหยยย มึงจะมามัวนั่งพูดว่าช่างแม่งไม่ได้ ข่าวที่มึงลงมันก็ไม่น่าสนใจส่วนหนึ่งเปล่าว่ะ เอางี้ดิ”

“อะไรของพี่อีก”

“เราก็เล่นข่าวที่มันดูมีอะไรสิ ไม่ใช่ข่าวความเป็นไปของกีฬาแบบทั่วๆ ไปอ่ะ”

“ก็ถ้าคนอ่านไม่เสพข่าวความเป็นไปของกีฬารายวันจะมีอะไรอีกวะพี่”

“อืม...” บรรณาธิการหนุ่มที่เริ่มมีผมขาวแซมผมดำขึ้นมาบ้างนิ่งคิด “ลองเขียนเกี่ยวกับชีวิตของนักกีฬาด้วยดีม่ะ แบบใส่ดราม่านิดๆ จากดินสู่ดาว หรือสู้ชีวิตอะไรอย่างนี้ แบบที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไรประมาณเนี่ย”

“เหอะ ไม่พ้นดราม่า” เขาทำเสียงปลงตก ก่อนจะหันหนีอีกครั้ง

“ไม่รู้ล่ะ ถ้ายอดขายไม่ดีขึ้น กูจะโทษมึงคนเดียว เป็นเพราะคอลัมน์กีฬามึงดึงข่าวอื่นดิ่งลงไปด้วย”

“เอ๊าพี่ ไหงงี้ว่ะ”

“ไม่รู้ล่ะ” จรัญลุกออกไปพร้อมกับท่าทางอ้อนบาทา ด้วยคำพูดที่เป็นทำนองเพลงแสดงถึงความเหนือกว่า “หม่าย รู้ ล๊าาา”

ธันธเนศขว้างปากกาลงบนโต๊ะ ก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นขยำหน้าขยำตาตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

“เฮ้ยยยยย ดูสิใครมา”

ชายหนุ่มที่ดูอายุสูงกว่าเขาไม่กี่ปีพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น เมื่อมองเห็นธันธเนศเดินคอตกเข้าในยิมคาราเต้

ก่อนที่อีกสองคนในนั้นจะเดินมาสมทบ

“ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้ล่ะพ่อหนุ่ม”

“ลมตดมั้ง”

“สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะเพื่อน” อีกคนยังไม่วายหยุดใช้น้ำเสียงหยอกเย้า

แต่ธันธเนศผู้มีสีหน้าเบื่อโลกก็หาได้สนใจไม่ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเปลี่ยนชุดตัวเองไป

 

ธัญธเนศคือหนึ่งในคาราเต้รุ่นแรกของยิมนี้ ซึ่งตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนที่ยังคงมาซ้อมอยู่อย่างสม่ำเสมอ หรือนานๆ ทีเหมือนเขา ซึ่งล้วนแล้วแต่ก็เป็นนักกีฬาสายดำกันหมดแล้ว ต่างกันที่ดั้ง ในบรรดารุ่นแรกสี่คนที่เหลืออยู่ ธัญธเนศยังคงมีดั้งน้อยสุด เพราะเขาไม่ค่อยมาซ้อมสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ช่วงปลายของการเรียนมหาวิทยาลัย

“เออนี่ มีน้องใหม่ไฟแรงเพิ่งจะได้เลื่อนสายดำมาหมาดๆ ไหนมึงลองกับน้องเขาหน่อยสิ ไอ้แก่สนิมเกรอะอย่างมึงกับน้องใหม่ใครจะเจ๋งกว่า”

“มาดิ” เขาพูดน้ำเสียงเรียบเฉยขณะวอร์มอัพร่างกาย

“เฮ้ยไอ้ตี๋ เดี๋ยววันนี้มึงช่วยเป็นคู่ซ้อมให้พี่ธันเขาหน่อยนะ แต่มึงอย่ารุนแรงกับพี่เขานักนะ นานๆ มาที กระดูกกระเดี๊ยวก็ไม่ค่อยจะดี”

“รู้ดีนะมึงเชี้ยกล้วย”

การซ้อมดำเนินไปเช่นปกติ หลังจากการวอร์มอัพร่างกาย ก็มีการซ้อมท่าเบสิกเพื่อคงความรู้และความคล่องตัวในท่วงท่าต่างๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไปซ้อมในท่วงท่าจำเพาะของแต่ละลำดับขั้นตามความรู้ความสามารถในสายสีนั้นๆ และจบลงด้วยการจับคู่ซ้อมการต่อสู้ เพื่อให้พร้อมเสมอสำหรับการแข่งขันที่มีมาอยู่เสมอ

และคู่แรกในวันนี้นั้นก็คือธันธเนศและน้องรุ่นหลังเขาที่เขาเรียกกันว่าไอ้ตี๋นั่นเอง

บางคนก็แยกย้ายกันไปจับคู่ซ้อม แต่สายตาส่วนมากรอชมคู่โหดของวันนี้ เป็นที่เลื่องลือในยิมและรุ่นน้องรุ่นหลังๆ ว่า ธันธเนศนั้นคือ ‘ยมราช’ ของยิมดีๆ นี่เอง

เสียงให้สัญญาณการเริ่มต่อสู้ดังขึ้น หลังการทำความเคารพคู่ต่อสู้จบลง ทุกคนจับจ้องไปที่กลางสนาม ทั้งคู่ยังอยู่ระหว่างการตั้งการ์ดเพื่อหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ และหาจังหวะที่จะเข้าไปทำคะแนน ไม่นานหลังจากนั้นเสียงตุบตับก็ตามมาเป็นจังหวะ แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวร่างๆ หนึ่งก็กระเด็นก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นยิมเสียงดังสนั่น

เด็กหนุ่มที่ชื่อตี๋นอนบิดตัวอยู่บนพื้น พร้อมกับเสียงซี้ดปากของคนอื่นๆ ที่ยินอยู่รอบสนาม เพื่อนของธันธเนศคนหนึ่งยกมือขึ้นกำขมับ ธันธเนศที่ตั้งการ์ดรออยู่กวักมือเรียกตี๋ให้ลุกขึ้น เมื่อถูกท้าทาย อีกฝ่ายจึงจำใจลุกขึ้นแม้จะยังจุกอยู่ การต่อสู้เริ่มอีกครั้ง เสียงดังตุบตับยังคงดังขึ้นอยู่เป็นระยะ แต่ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่าคนที่อายุน้อยกว่ากำลังโดนรัวหมัดใส่อยู่ไม่ได้ขาด

“เฮ้ยไอ้ตี๋ สู้หน่อยดิว่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น

แต่ทันทีที่ตี๋เข้าไปใกล้ ท่อนขาเรียวยาวของธันธเนศก็ฟาดเข้าที่อกเขาอย่างจัง

“ไอ้ธัน เบาหน่อย น้องแม่งตับแตกแล้วมั้งน่ะ กระดูกพังขึ้นมามึงรับผิดชอบพ่อแม่เขาไหวเหรอ” เสียงที่พยายามทำลายสมาธิหาได้เข้าหูธันธเนศไม่ ขณะที่ตี๋ตั้งตัวได้จากการโดนเตะเข้าอย่างจัง เขาก็หันกลับมาเพื่อหมายเอาคืน แต่

เปรี้ยง!

นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ก้องอยู่ในหูของตี๋หลังจากบาทาอรหันต์ฟาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง

ร่างที่นอนกองหมดสภาพถูกหามออกมานอกสนาม

 

“มึงจริงจังไปเปล่าว่ะธัน”

“เอ้า ก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าน้องใหม่ไฟแรง”

“แต่มันรุ่นน้องมึงนะ”

“เออๆ กูขอโทษ”

“มึงเป็นอะไรมาหรือเปล่า สีหน้ามึงดูไม่ค่อยสบอารมณ์เลย”

ผู้ถูกถามยกขวดน้ำออกจากปาก

“เปล่า”

เขาตอบหน้าตาเฉยก่อนจะหันเปลี่ยนเสื้อผ้าออก

มือหนาๆ ของคนที่อยู่ข้างๆ ตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะเดินไปดูเด็กหนุ่มที่สะบักสะบอมอยู่อีกมุมหนึ่ง

 

 

“อ้าวเฮ้ย ตั้งใจกันหน่อยเว้ย อีกไม่กี่วันก็ต้องลงแข่งแล้ว มัวอ้อแอ้แบบนี้ระวังโดนหามออกจากสนาม” เสียงดุตะโกนขึ้นดังก้องโรงยิมในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

“ไอ้ต้น มึงทำอะไร ส่ายก้นเป็นผู้หญิงเลย ท่าทางให้มันแมนๆ หน่อย มึงคิดว่ามึงซ้อมบัลเล่ต์อยู่หรือไง” เด็กชายวัยมัธยมต้นผู้เป็นเจ้าของชื่อหันมาค้อน

“มองอะไร หรือมึงจะปั่นจิ้งหรีด ซ้อมไป”

เสียงเด็กหญิงที่อยู่ใกล้กันหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

“เงียบ!” ผู้ถูกว่าตะโกนปรามด้วยเสียงทรงพลัง “ครูธันอ่ะ ว่าแต่ต้น เราทำอะไรก็ผิดไปหมด” ก่อนจะหันไปพึมพำตัดพ้อกับคู่ซ้อม ท่าทีตุ้งติ้งของลูกศิษย์ทำเอาธันวาส่ายหัวอย่างปลงตก

 

“ครูธันๆ ไอ้จอมมันตีกับพี่นิดหน่อยอยู่หลังโรมยิม”

“ห๊ะ!”

เด็กชายวัยประถมวิ่งหน้าตื่นมาที่ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ในชุดเทควันโด สิ่งที่ได้ยินทำเอาธันวาถึงกับอึ้ง

 

“เฮ้ยหยุด มึงหยุดเลยนะไอ้จอม”

เขาตะโกนขึ้นขณะตรงปรี่ไปที่เด็กหญิงกับเด็กชายกำลังวางมวยกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

“กูบอกให้พวกมึงหยุด!” เจ้าของน้ำเสียงเด็ดขาดชี้ไปที่มวยวัยเยาว์ เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าทั้งคู่จะหยุด

 

“ทีนี้ไหนบอกครูสิว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ผู้เป็นครูนั่งกอดอกมองเด็กหญิงกับเด็กชายวัยใกล้เคียงกันยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้า

“คนอื่นมองอะไร! แยกย้ายกันไปซ้อม” พลางตะโกนเสียงแข็ง

“ก็ไอ้จอมมันล้อชื่อแม่หนู”

“มึงก็ล้อชื่อพ่อกูก่อน” เด็กชายที่เหมือนจะอายุน้อยกว่าอยู่หน่อยนึงเถียงคอเป็นเอ็น

“มึงล้อก่อน” ฝ่ายหญิงไม่พูดเปล่า ยื่นมือไปผลักไหล่ของอีกฝ่าย

“เอาล่ะ พอๆ”

เด็กชายที่เพิ่งโดนผลักไหล่ยังมีทีท่าว่าจะไม่ยอมง่ายๆ

“กูบอกให้พอ!”

เสียงดังทำเอาเด็กตัวปัญหาทั้งสองสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันกลับมายืนก้มหน้าสงบเสงี่ยมอีกครั้ง

“จอม ข้อปฏิบัติข้อหนึ่งว่าไง”

“เอ่อ...” เขานิ่งคิด “ให้ความเคารพผู้อาวุโสครับ”

“อืม นิดหน่อย”

“คะ”

“บทบัญญัติเทควันโดข้อสองกับข้อสี่ว่าไง”

“ข้อสอง เคารพพ่อแม่ ครูอาจารย์และผู้มีพระคุณ ส่วนข้อสี่อย่าทำร้ายผู้อื่น โดยไม่จำเป็น”

“อืม ทีนี้ รู้ไหมว่าตัวเองทำอะไรผิด”

ทั้งสองยังคงเงียบ

“รู้ไหม!?”

เสียงที่ดังขึ้นทำเอาเด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหยง

“หนูเอาชื่อพ่อของจอมมาล้อเล่นค่ะ แล้วก็ทำร้ายจอมด้วย”

“ดี”

เขานิ่งฟังอีกคนบ้าง

“เอ่อ... ผมทำร้ายพี่นิดหน่อย แล้วก็ล้อชื่อแม่เขาด้วยครับ”

“ก็รู้นี่ แต่ทำไมถึงทำ”

ทั้งสองยังคงนิ่งเงียบ สีหน้าเริ่มมีแววแห่งการสำนึกผิด

“อยู่ด้วยกันทุกวัน เหมือนพี่น้องกัน ยังจะกัดกันเป็นหมา กฎที่ท่องกันทุกวัน เป็นนกแก้วนกขุนทอง เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา”

เขาตักเตือนเสียงจริงจัง

“เอาล่ะ ผิดก็ว่าไปตามผิด ยังไงครูก็ต้องบอกเรื่องนี้ให้ทั้งพ่อแม่ของจอมแล้วก็นิดหน่อยรู้ สำหรับวันนี้ ยิมก็จะปิดแล้ว ก่อนกลับไปวิ่งรอบสนามสามรอบ พร้อมกับท่องบทบัญญัติเทควันโดและข้อปฏิบัติของนักเรียนไปด้วย ทั้งไทยทั้งอังกฤษ ห้ามหยุด เข้าใจไหม?”

“ถามว่าเข้าใจไหม!

“เข้าใจครับ/ค่ะ”

 

 

“เฮ้ยธัน ไปหาไรแดกกัน” เจนจพเพื่อนหนุ่มของเขาพูดขึ้น

“ไม่อ่ะ กูง่วงแล้ว เพลีย”

“อะไรของมึงว่ะ นานๆ มึงจะโผล่หน้ามาให้พวกกูเห็นที” อณวุฒิเพื่อนร่างหมีของเขาเสริม

“ไว้วันหลัง เดี๋ยวกูจะมาบ่อยๆ”

“กูก็เห็นมึงพูดงี้ตลอดแหละ”

“เอาน่า กูไปล่ะ บาย”

“ไม่บาย มึงอ่ะไม่สบาย ไป เดี๋ยวพวกกูพาไปแดกเหล้าต่อ”

“เหล้าเหี้ยไร พรุ่งนี้กูทำงานเช้า”

“เอออออ ไอ้คนมีการมีงานทำ พวกกูไม่มีเลย”

“พอๆ กูขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับพวกมึงแล้ว สิ้นเปลืองเวลาชีวิต กูกลับละ”

สามหนุ่มยืนมองธันธเนศเดินออกไปจนลับสายตาในความมืด

“กูว่ามันมันกำลังมีปัญหามึงว่าไหมไอ้แจ้ไอ้กล้วย” เจ้าของยิมคาราเต้หนุ่มพูดขึ้น หลังจากที่เดินมาสมทบ

“มันคงคิดว่ามันจะปิดความรู้สึกพวกผมได้อะพี่ คบกันมาตั้งแต่อนุบาล แค่อ้าปากก็เห็นขี้ฟันกัน”

“ขี้ฟันพ่อง” เจนจพตบหัวเพื่อนดังป้าบ “ลิ้นไก่”

“เออ ลิ้นไก่นั่นแหละ”

“เฮ้ยพี่ พี่คนนั้นเขาชื่ออะไรนะ” ทั้งสามหันไปยังเสียงปริศนาที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ชื่อธัน ยังไม่รู้จักยมราชแห่งยิมเราสินะ” อณวุฒิหัวเราะตบท้าย เมื่อเห็นสภาพรุ่นน้องที่เพิ่งย้ายยิมมาใหม่ๆ พ่วงกับการเพิ่งเปลี่ยนขั้นสายจากสีน้ำตาลมาเป็นสีดำสดๆ ร้อนๆ

“พอได้ยินมาบ้าง แต่ไม่คิดว่าพี่เขาจะโหดขนาดนี้ ทำไมพี่เขาไม่ลงแข่งทีมชาติไปเลยล่ะ เก่งขนาดนี้ อนาคตน่าจะสวย”

“มึงไปดูเหรียญห้องมันสิ ใส่ลังเบียร์ลังหนึ่งไม่รู้จะพอเปล่า แต่แค่อารมณ์มันไม่เหมือนชาวบ้านเขา เป็นทีมชาติต้องมีวินัย ไอ้นี่มันผีเข้าผีออก สังกัดทีมชาติไม่ได้หรอก” เจนจพเล่า

 

ราชวุฒิ หรือ ตี๋ เด็กหนุ่มวัยมัธยมยืนฟังพร้อมกับแอบยิ้มน้อยๆ ไปด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นธันธเนศ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาโดนยำเละขนาดนี้เช่นกัน หลังจากที่เปลี่ยนยิมมาเพราะย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ แต่ช่างเป็นการโดนทำร้ายร่างกายที่มีความสุขแบบบอกไม่ถูก


... ก่อนเหมันต์ ...
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite My Room - บทที่ 1 (5/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 05-02-2018 16:19:17
ตามครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite My Room - บทที่ 1 (5/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 05-02-2018 17:17:23
รอติดตาม น่าสนุกนะเรื่องนี้
อ่านแค่บทนำก็สนุกแล้ว
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite My Room - บทที่ 1 (5/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 05-02-2018 20:37:14
Opposite เป็น adj. ไม่แน่ใจว่าชื่อเรื่องเขียนอย่างนี้ไม่น่าถูกหรือเปล่า
ควรเป็น The opposite room ก็พอรึเปล่า หรือถ้าจะใช้ชื่อตามนี้จริงๆ ก็ควรเป็น The room is opposite my room
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 1 (5/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-02-2018 22:53:35
รออยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 1 (5/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-02-2018 23:15:32
ตามมมมมม สนุกกกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ธัน กับ ธันวาปากหมา ยังไงๆ

ธันวาปากหมานี่ด่วนสรุปซะจริง คิดได้ไง
แถมยังมาโวยวายใส่ธัน ห้องตรงกันข้ามว่ามาอ่อยตัวเอง
แสดงว่าปกติมีปู้จายมาอ่อยบ่อยๆสินะ

แต่ตี๋ ที่โดนพายุอารมณ์ความเครียดของธันใส่ซะสลบ
ท่าทางจะชอบธันซะและ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 1 (5/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 05-02-2018 23:56:38
น่าติดตามครับผม,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 07-02-2018 17:56:00
2
วางมวย



“ผมเอาข้าวผัดกล่องหนึ่งครับ”

“ใส่แค่ผัก ไม่เนื้อเหมือนเดิมนะครับ” ชายเจ้าของร้านกล่าวขึ้นด้วยท่าทีเป็นกันเอง

“ครับ”

ธันธเนศสั่งข้าวในร้านอาหารตามสั่งร้านประจำภายในคอนโด แล้วเดินมานั่งรอที่โต๊ะเล็กๆ ที่ว่างอยู่ โดยไม่ได้สนใจมองคนอื่นภายในร้าน จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเขี่ยโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย เหมือนที่เคยทำเป็นปกติของมนุษย์ผู้ไม่สนโลก

 

“ข้าวผัดได้แล้วครับ” เสียงเจ้าของร้านเอ่ยขึ้นไม่นานหลังจากนั้น เขาจึงกดปิดหน้าจอแล้วลุกขึ้นไปจ่ายเงิน

จังหวะนั้นเองสายตาเขาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างๆ หนึ่งที่นั่งกินข้าวเงียบๆ คนเดียวอยู่ตรงข้ามโต๊ะที่เขานั่งรออยู่เมื่อกี้ และที่สำคัญ ธันธเนศไม่รู้เลยว่าเขานั่งประชันหน้ากับอีกฝ่ายมานานเท่าไหร่แล้ว แต่น่าจะนานอยู่พอสมควร เพราะข้าวในจานนั้นถูกกินจนเกลี้ยงแล้ว

ปกติเขาไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายคนนี้มาก่อนเลยกับเวลาร่วมห้าปีที่เข้ายายเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่พอเจอกันครั้งแรกเมื่อวาน ครั้งที่สองก็ตามมาในวันถัดมาขนาดนี้ นี่สินะ ที่เขาบอกว่ายิ่งเกลียดยิ่งต้องได้เจอ

สายตาที่หลบลงมองต่ำทันทีที่ธันธเนศหันไปเห็น นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นเขาเช่นกัน แต่คงอายที่โวยวายไปเมื่อวานเลยไม่กล้าสู้หน้าเขา

“นี่ครับเงิน ” ธันธเนศรีบจ่ายเงินแล้วคว้าถุงข้าวเดินออกมาทันที โดยที่หลังจากแว๊บนั้น เขาก็ไม่มองไปยังตรงนั้นอีกเลย

เขาเบะปากหลังจากเดินพ้นประตูร้านออกมา

 

เมื่อลิฟต์เปิดออก ธันธเนศก็ก้าวออกมา ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องของตัวเองทันที พร้อมกับเสียงลิฟต์อีกตัวเปิดตามมาติดๆ แล้วตามด้วยฝีเท้าคู่หนึ่งเดินออกมา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจหันไปมองแต่อย่างใด

 

ประตูห้องของเขาปิดลง ชายหนุ่มหันหลังพิงประตู ก่อนจะผ่อนลมหายใจเบาๆ

ขออย่าให้ได้พบได้เจอกับแม่งอีกเลย ยิ่งเห็นยิ่งเหม็นขี้หน้ายิ่งกว่าขี้หมาติดรองเท้า คนห่าไรจะด่าว่าควายยังสงสารควายเลย

นั่นคือสิ่งที่เขาก่นด่าอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็มีเสียงปิดประตูดังมาจากห้องตรงข้ามเขา ธัญธเนศผละออกมาจากประตูห้องด้วยความรวดเร็ว

 

 

เช้าตรู่ของวันใหม่ ชายหนุ่มนักหนังสือพิมพ์ตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย หลังจากที่นาฬิกาปลุกดังขึ้นพร้อมกันสามที่ จากโทรศัพท์เครื่องเก่าที่หลังตู้เย็น จากนาฬิกาตั้งโต๊ะดิจิตอลข้างหัวเตียง และจากโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ข้างหมอน

ความขี้เซาไม่เข้าใครออกใคร จนแอบกลัวว่าวันหนึ่งจะโดนข้างห้องมาด่าเรื่องเสียงนาฬิกาปลุกดังทะลุไปห้องเขาสักวัน

“โอยยย” ชายหนุ่มโอดครวญ ก่อนจะขยี้หัวเพื่อปลุกให้ตัวเองตื่นอีกรอบแล้วลุกเดินไปปิดนาฬิกาปลุกทีละอันอย่างใจเย็น

 

เมื่อคืนเหมือนฝันว่ามีคนมาเคาะห้องด้วยนี่หว่า

ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวขณะกำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่ระหว่างที่เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูห้องน้ำที่อยู่เยื้องกับประตูเข้าห้องนั้น หางตาเขาก็ไปสะดุดกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่สอดอยู่ใต้ประตู

‘กลัวกูหรอ ถึงไม่กล้าเปิด’

ข้อความสั้นๆ ที่ยืนยันว่าเสียงเคาะประตูที่ได้ยินนั้นไม่ใช่ในฝันแต่อย่างใด

กระดาษแผ่นเล็กถูกขยำด้วยหมัดที่กำแน่น ก่อนจะถูกโยนลงชักโครกแล้วกด

คนสันดานไม่ดี จะมาขอโทษทั้งทีก็ยังมิวายปากหมา

 

“วันนี้หน้าตาดูไม่สดใสเลยนะไอ้น้อง” บรรณาธิการหนุ่มใหญ่เดินมาหยุดที่ข้างโต๊ะเขาพร้อมกับถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ในมือเช่นเดิม

“อือ”

“เป็นไงบ้าง ได้ไอเดียอะไรใหม่หรือยัง”

“ยังพี่”

“โห่ ไรแว้ ช้าแบบนี้จะทันกินไหม”

“ใจเย็นดิพี่ เพิ่งคุยกันเมื่อวานเองไม่ใช่หรอ”

“อ่ะๆ กูให้เวลามึงอาทิตย์หนึ่ง”

“เออๆ แล้วไม่มีงานมีการทำเหรอพี่ นี่มันก็ถึงเวลางานแล้วนะ”

คำพูดไร้ซึ่งความขามเกรงในบุคคลที่อยู่สูงกว่าของธันธเนศทำเอาหนุ่มใหญ่ถึงกับสะอึก แต่ก็มิอาจโต้เถียงเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็ไม่ผิด และเขาก็ชินเสียแล้วในนิสัยแบบนี้ของผู้เป็นพนักงานรุ่นน้อง ความเถรตรง และไม่สนโลก

“อารมณ์ไม่ดีนะมึงเนี่ย กูรู้” หนุ่มใหญ่ทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป

 

เวลาผ่านมาจนบ่ายแล้ว ในหัวของธันธเนศยังคงวนเวียนอยู่กับไอเดียใหม่ที่จะเอามาเขียน แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก

“นอกจากข่าวกีฬารายวันแล้วมันยังจะเขียนห่าไรได้อีกว่ะ” เขาจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์

“เด็กน้อยจากสลัมที่มีความสามารถพิเศษทางด้านกีฬาจนได้เป็นทีมชาติงี้เหรอ เชยฉิบหาย” เขาพึมพำ “ประเด็นคือ แล้วกูจะไปหาคนพวกนี้ได้ที่ไหนวะเนี่ย”

“แม่งโว้ยยยย” เขาระเบิดเสียงตะโกนออกมาทำลายความเงียบจนเพื่อนร่วมงานในห้องนั้นต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ

จรัญส่ายหัวโงนๆ อย่างเหนื่อยใจ

 

 

“เอานี่”

“อะไรอีกพี่”

“กูเห็นสภาพมึงแล้ว ไม่น่าจะรอด กูเลยลองหามาให้ดูเป็นตัวอย่างก่อนงานหนึ่ง”

ธันธเนศหยิบกระดาษตรงหน้าขึ้นมาอ่าน

“ธันวา ชาติพยัคฆ์ ชื่อเล่นชื่อ ธัน อายุ 21 ปี เรียนอยู่ชั้นปีที่ 5 สาขาวิชาพลศึกษา มหาวิทยาลัยดังในกรุงเทพฯ สูง 189 หนัก 85 ปัจจุบันเป็นโค้ชกีฬาเทควันโดควบคู่ไปกับการเรียนปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย บลาๆๆ”

เขาวางกระดาษลง ก่อนจะเงยหน้ามองผู้ที่ยืนค้ำโต๊ะอยู่

“คือไรพี่”

“คนนี้แหละที่พี่จะให้มึงไปสัมภาษณ์มาลงคอลัมน์ หลานพี่เอง น่าจะเป็นแรงบันดาลให้ใครหลายๆ คนได้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่” มือหนาเอื้อมมาตบหลังเขาป้อยๆ

“เท่าที่อ่านประวัติดู ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนะพี่”

“เอาน๊า คนแรกลองดูก่อน ยังไม่ต้องพิเศษอะไรมาก แต่มันเก่งนะ เป็นโค้ชกีฬาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แถมยังติดทีมชาติด้วย”

“เหอะ โคตรรสปอยล์ญาติตัวเองเลยว่ะ” เขาปัดมือบนไหล่ แหงนมองหน้าคนที่นั่งค้ำหัวอยู่บนโต๊ะทำงาน “ว่าแต่จะให้ไปสัมภาษณ์เมื่อไหร่”

“เอาน่า ดีกว่ามึงหาใครไม่ได้เลยไหมล่ะ พี่ขอไวที่สุด ให้ไม่เกินอาทิตย์หนึ่งอ่ะ ระหว่างนี้มึงก็เขียนข่าวกีฬารายวันไปก่อน”

“เดี๋ยวพี่ แล้วไอ้เด็กคนที่ว่านี่มันอยู่ที่ไหน อะไรยังไง ผมจะติดต่อได้ยังไง”

“ข้างล่างมีเบอร์กับอีเมล์ติดต่อ แหกตาดู”

“อ่อ โทษ”

 

 

หลังเลิกงานกว่าธันธเนศจะหลุดพ้นจากรถติดมาถึงได้ก็ปาไปมืดค่ำ เขาเดินหอบร่างที่ไม่ต่างกับซอมบี้ลากขาตัวเองไปตามทางเดินแคบๆ

โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของเขาที่ปิดเสียงไว้สั่นครืดๆ เขาหยุดเดินก่อนจะ

ปึ๊ก!

ร่างของใครบางคนชนเขาเข้าอย่างจังจากทางด้านหลัง ธันธเนศสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันขวับ

“มึงคิดว่าถนนนี้มีมึงเดินอยู่คนเดียวหรือไง”

เอาแล้ว

อริเจ้าเก่าเจ้าเดิม

“ใครจะไปตรัสรู้ว่ามีคนเดินตามมา กูไม่ได้มีตาหลัง มึงมีตาหน้าทำไมไม่แหกดู” เรื่องโน้ตกวนตีนที่เขาเห็นเมื่อเช้ากลับมาจุดประกายเพิ่มความโกรธอีกครั้ง หลังจากที่เขาพยายามลืมมันไปแล้ว

“ทำไม หรือมึงจะเอา”

“เออ ทำไม มึงจะทำอะไรกู”

“ไอ้เหี้ยนี่วอนแล้วมึง” ร่างสูงกระชากคอเสื้อธันธเนศมากำไว้ พร้อมกับกัดฟันกรอด มือหนึ่งกำหมัดแน่น

“เอาเดะ มึงต่อยกูดิ” เขาพยักพเยิดหน้าท้าทาย

แม้จะตัวเล็กกว่า แต่ก็หาได้มีท่าทียำเกรงในตัวของอีกฝ่าย ทำให้หนุ่มร่างสูงกว่าเลือดพุ่งกระฉูดขึ้นหน้าด้วยความโกรธ ตามมาด้วยเสียงขบกรามดังกรอด

ตุบ!

หมัดหนักซัดเข้าที่ข้างแก้มธันธเนศอย่างจัง เขาถึงกับหน้าหัน

ผู้ถูกกระทำก่อนควันออกหัว เมื่อตั้งหลักได้ เขาก็กระโดดขาคู่เอาบาทาคู่ใจถีบเข้าที่หน้าอกอีกฝ่ายจนถลาล้มไปไม่เป็นท่าเหมือนกัน

“เห้ยหยุด!”

“ไอ้ธันหยุด!”


 

สองหนุ่มผู้บังเอิญมาเห็นเหตุการณ์พอดิบพอดีวิ่งหน้าตั้งมาดึงผู้ก่อเหตุทั้งสองออกห่างกันทันที

“พอไอ้น้องพอ” อณวุฒิยื้อหนุ่มหนุ่มร่างสูงไว้สุดชีวิต ด้วยแรงที่สูสี

“ไอ้ธัน พอๆ” เจนจพดึงแขนธันธเนศไว้

“มึงเป็นเหี้ยอะไรมากป่ะ เดินชนกูเองแล้วเสือกหัวร้อน” เขาตะโกนว่าอย่างโมโห ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ซึมออกมาจากขอบปาก ดวงตาแข็งกร้าว

ร่างสูงเบือนหน้าหนี ก่อนจะสะบัดตัวออกจากการเกาะเกี่ยวของอณวุฒิ แล้วข่มอารมณ์เดินออกไป

 

 

“มันเรื่องอะไรกันวะไอ้ธัน ถึงขึ้นต้องลงไม้ลงมือกันเลยเหรอ” เจนจพถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“โอ๊ย เบาๆ”

อณวุฒิยกสำลีเช็ดแผลออกห่างหลังจากที่อีกฝ่ายร้องขึ้น

“ไม่รู้แม่ง แค่เดินชนกันแค่นั้นเอง”

“แค่เนี้ย?” หนุ่มอวบย่นคิ้ว

“กูว่ามันต้องมีไรมากกว่านั้น ไม่งั้นมันไม่ต่อยมึงจนเลือดกลบปากขนาดนี้หรอก”

“อันที่จริงก็เพิ่งมีปัญหากันไป มันหาว่ากูไปอ่อยมัน”

“มึงทำจริงหรือเปล่าล่ะ”

“เดี๋ยวมึงจะโดนอีกคนไอ้กล้วย”

“เค้าหยอก”

“ยามพามันไปดูกล้องแล้ว คงเจ็บใจแล้วก็เสียหน้าน่ะแหละที่รู้ว่ากูไม่ใช่คนทำ เลยไม่ชอบหน้ากูไปเลย”

“คนสมัยนี้มันเป็นอะไรกันไหมด เอะอะใช้กำลัง”

“มีแค่มันแหละที่สันดานแบบนี้ ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ ที่บ้านแม่งเลี้ยงมาด้วยลำแข้งหรือเปล่าไม่รู้”

“มันคงเห็นมึงตัวเล็กกว่าด้วยมั้งกูว่า เลยกร่างใหญ่” เจนจพออกความเห็น

“หึ เป็นไงล่ะ เจอส้นตีนกูไป ขอให้แม่งช้ำในตาย” ธันธเนศแช่ง

“รู้จักยมราชตีนควายอย่างเพื่อนกูน้อยไป” อณวุฒิเสริม

“ควายเตี่ยมึงสิ เดี๋ยวปั้ด” เขาพูดพลางออกท่า

อีกฝ่ายเอียงตัวหลบ

“ว่าแต่พวกมึงสองตัวมาหากูทำไมเนี่ย ไอ้แจ้โทรมาหนิ แต่กูยังไม่ได้รับดันมีเรื่องซะก่อน”

“ว่าจะชวนมึงไปแดกข้าว มันมีร้านเนื้อย่างมาเปิดใหม่ มีบุฟเฟ่ต์เบียร์สดด้วยนะมึง” เจนจพพูดสีหน้าเชิญชวน

“มึงก็รู้ว่าช่วงนี้กูงดเนื้อรับเบญจเพส”

“มึงก็ไปแดกผักแดกเต้าหู้ไง อย่างอื่นที่ไม่ใช่เนื้อเยอะแยะ แดกเบียร์ด้วยก็ได้ มึงไม่ได้งดแอลกอฮอล์หนิ แค่มึงไปเป็นเพื่อนพวกกูก็พอ”

“พวกมึงไปกันสองคนไม่ได้หรอ”

“ถ้าพวกกูจะไปกันสองคนกูจะมาหามึงไหมไอ้ธัน ไปเหอะน๊า กูอุตส่าห์มาชวนถึงที่”

ผู้ถูกชวนนิ่งคิด ก่อนจะถอนหายใจอย่างจำใจ

“เออๆ ไปก็ไว้วะ”

 

ในร้านเนื้อย่างสไตล์เกาหลีที่กว้างขวางและเพิ่งจะเปิดให้บริการได้ไม่ถึงสัปดาห์ แต่กระนั้นผู้คนก็แน่นขนัดร้าน มีเหลือว่างอยู่เพียงไม่กี่โต๊ะ

ในเตาที่ควันจากการย่างเนื้อฟุ้งกระจาย เจนจพกับอณวุฒิเจ้าเนื้อกำลังกินเนื้อย่างสลับกับยกเบียร์สดขึ้นดื่มอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ธันธเนศนั่งเขี่ยผักต้มในถ้วยของเขา สายตาบ่งบอกถึงใจที่ลอยไปถึงไหนต่อไหน

“แล้วมึงจะหยุดกินเนื้อถึงเมื่อไหร่วะไอ้ธัน” เจนจพถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทีเบื่อหน่ายโลกของผู้เป็นเพื่อน

“ก็จนพ้น 25 อ่ะ หรืออาจจะตลอดชีวิต”

“เออมึงนี่ก็พิลึกคนเข้าทุกวัน”

“เฮ้ยธัน! ไม่คิดว่าจะเจอมึงที่นี่ มาชนแก้วหน่อย” เสียงปริศนาดังขึ้นข้างๆ เขา ดึงสายตาทั้งสามคู่ให้เงยขึ้นไปมอง

“อ้าวพี่รัญ”

จรัญหัวหน้างานเขานั่นเอง

“กูเห็นมึงนั่งอยู่นานแล้ว เลยเดินมาทักทายซะหน่อย”

เพราะคนเยอะเลยทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นอีกฝ่าย

“มาพี่ ชนๆ – อ้อนี่ เพื่อนผมเอง แจ้กับกล้วย”

“หวัดดีคร้าบบ” สองหนุ่มกล่าวทักทายพลางยกมือขึ้นไหว้เหนือหัวป้อยๆ แล้วยกแก้วขึ้นชนกับอีกฝ่ายที่ยืนอยู่

“เออๆ หวัดดี”

“แล้วนี่พี่มากับใคร”

“อ๋อ มากับหลาน คนที่พี่จะให้มึงไปสัมภาษณ์ลงคอลัมน์ไง โน้นนั่งอยู่ตรงโน้น”

ทั้งสามมองตามนิ้วชี้ของหนุ่มใหญ่ไปยังโต๊ะที่อยู่ไกลออกไป คนๆ หนึ่งนั่งหันหลังอยู่

“เดี๋ยวพี่ไปเรียกมันมาทักทายหน่อย รู้จักกันไว้ เดี๋ยวทำงานด้วยกันจะได้ง่ายขึ้น”

จรัญพูดจบก็เดินออกไป

 

“หัวหน้างานมึงหรอ” เจนจพถาม หลังจากที่แผ่นหลังหนาลับตาไปในฝูงชน

“อือ”

“ยังดูหนุ่มอยู่เลย”

“หนุ่มห่าไร มึงดูผมบนหัวเขาดิ ขาวจนจะหมดอยู่แล้ว”

อณวุฒิที่กำลังเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยแทบสำลัก

“เฮ้ย สีผมไม่ใช่ตัววัดอายุเสมอไป กูหมายถึงหน้าตาเขายังเด็กอยู่เลย อายุเท่าไหร่แล้ววะ”

“มึงจะสนใจพี่เขาทำไมวะ”

“เออไอ้แจ้ มึงจะสนใจพี่เขาทำไมหนักหนา” อณวุฒิเสริม

“เอ๊า กูก็แค่อยากรู้”

“สามสิบต้นๆ ยังโสดนะ เผื่อมึงสนใจ”

“พ่อมึงสิ” เจนจพหน้าแดงก่ำ “กูแค่ถาม”

 

“นี่หลานพี่ ชื่อธัน” ไม่นานก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นอีกครั้ง

ทั้งสามเงยขึ้นมองผู้มาใหม่ตามเสียงกล่าวแนะนำ

ฉิบหาย!

ธันธเนศรู้สึกว่าอยากได้ผ้าคลุมล่องหนมากที่สุดก็คงจะเป็นตอนนี้

“เชี้ยแล้วววว...” อณวุฒิเผลออุทานออกมาเบาๆ เนื้อย่างที่คีบไว้ในมือร่วงลงบนพื้นโต๊ะ เจนจพต้องหันไปกระทุ้งเอวเพื่อนเบาๆ เพื่อเตือนถึงสิ่งที่เพื่อนหลุดปากออกมา

ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างจรัญไม่แม้แต่จะมองมาที่เขาทั้งสาม ธันธเนศมองใบหน้าหยิ่งผยองที่เชิดสูงพร้อมกับอาการคันบาทาขึ้นมาในบัดดล

“กูเพิ่งสังเกตเห็น ปากมึงไปโดนไรมาว่ะธัน” บรรณาธิการหนุ่มเอ่ยถาม

“อ๋อ โดนหมาแถวคอนโดกัดมาน่ะ”

คนไว้ท่าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงขั้นสำลักน้ำลายตัวเอง

“เออๆ ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว - เออธัน นี่คือธันธเนศ คนที่น้าบอกไว้ว่าจะมาสัมภาษณ์เราน่ะ แล้วนี่เพื่อนๆ พี่ธันเขา ไหว้พี่เขาหน่อย” จรัญแนะ

ชายหนุ่มยกมือไหว้ใบหน้าซังกะตายเหมือนกำลังโดนปืนจี้บังคับ ก่อนจะเดินกลับไปแบบไม่แม้แต่จะสนใจร่ำลา

“มันเป็นไรของมันว่ะไอ้นี่” จรัญทำหน้างง “เออ งั้นพี่ไปล่ะ เจอกันพรุ่งนี้เว้ยธัน” ก่อนจะกล่าวลา

“เออพี่ เจอกัน”

ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาหันมามองหน้าด้วยสีหน้าเห็นใจ

“ชื่อเหมือนกันด้วยสัด” อณวุฒิพูดขึ้น

“แล้วกูเห็นหัวหน้ามึงบอกว่าอะไร มึงต้องทำงานกับไอ้นั่นเหรอ”

“เออดิสัด”

“หล่อนะ หล่อมาก แต่ถ่อยฉิบหาย ยิ่งเห็นท่าทางมันเมื่อกี้นะ แม่งโคตรอ้อนตีน”

“แล้วมึงเอาไง จะเข้าหน้ากันติดเหรอ” เจนจพถามขึ้น

“กูไม่ทำ ยังไงกูก็ไม่ทำ ให้คนอื่นทำไป”

“เออ อย่าไปยุ่งกับมันเลย คนเหี้ยไร หน้าตาไม่น่าคบหา” อณวุฒิเข้าข้างเพื่อน

“แล้วมันมีอะไรดีทำไมต้องไปสัมภาษณ์มันมาลงคอลัมน์” เจนจพถามขึ้นอีกครั้ง

“มันเป็นโค้ชเทควันโด แต่อายุแค่ 21 ยังเรียนอยู่ด้วย”

“ห๊า!!” สองเพื่อนหนุ่มอุทานขึ้นพร้อมกัน “21?!”

“เออ”

“งั้นมันก็ปีนเกลียวมึงอ่ะดิ มึงแก่กว่ามันตั้งหลายปี”

“เรื่องปีนเกลียวกูไม่สนหรอก ที่กูสนคือ ทำไมต้องเอาคนนิสัยทรามแบบนั้นมาลงคอลัมน์ในส่วนของกูด้วย กูไม่เข้าใจพี่รัญแม่งเลยจริงๆ”

“เดี๋ยวๆๆ” อณวุฒิทำท่าทางเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ชื่อธันเหมือนกัน เป็นนักกีฬาต่อสู้มือฉกาจด้วยกันทั้งคู่ กูรู้แล้วไอ้เด็กธันนี่แหละคือเคราะห์ใหญ่ของเบญจเพสมึงเลยธัญธเนศเอ้ย”

“ถ้ายังอยากแดกต่อก็แดกไปเงียบๆ ไอ้กล้วย” เขาปราม

แล้วเสียงโทรศัพท์ของเจนจพก็ดังขึ้นขัดจังหวะพอดี

“เออๆ เข้ามาเลย เพิ่งเริ่มกิน นั่งอยู่โต๊ะหลังป้ายร้านใหญ่ๆ เนี่ย - เออๆ” เขากดวาง

“ใครว่ะแจ้”

“ไอ้ตี๋ เด็กที่มึงให้มันกินยำตีนไปวันนั้นแหละ มันอยากมาเจอมึง”

“เจอกู?”

“เออ”

 

เด็กหนุ่มวัยมัธยม ที่ยังคงสวมกางเกงนักเรียนขาสั้นสีดำกับเสื้อยืดสีขาวเดินเข้ามา

“หวัดดีครับพี่” สายตากรุ้มกริ่มส่งให้ธันธเนศทันทีที่มาถึงก่อนจะนั่งลงที่ว่างข้างๆ เขา

ราชวุฒิเป็นเด็กวัยมัธยมที่ตัวสูงมาก สูงกว่าเขาเป็นไหนๆ ผิวขาวเกลี้ยงเกลาตามแบบฉบับเด็กหนุ่มเชื้อสายจีน อีกทั้งเป็นเพราะเล่นกีฬาเลยทำให้รูปร่างเขาเริ่มมีมัดกล้ามที่ชัดเจนในทุกสัดส่วน บวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาไม่เบาจึงทำให้สาวๆ โต๊ะข้างๆ มองตามกันตาเป็นมัน

 

“เอ้าๆ อย่ามัวแต่จ้องพี่เขา กินๆ” อณวุฒิบอก

ธันธเนศรีบหันไปมองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มหลบตาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ อย่างเขินๆ

เชี้ยไรของมึง เขาคิดพร้อมกับค่อยๆ ขยับตัวออกห่างพอจะไม่ให้เป็นที่สังเกต

“พี่ตี๋!!!”

ทั้งสี่คนหันไปยังเสียงใสของเด็กสาวในชุดนักเรียนสองคนที่ยืนม้วนอยู่ใกล้ๆ กับโทรศัพท์มือถือที่มีเคสฟูฟ่องประหนึ่งขนมสายไหมในมือคนหนึ่ง

“ครับ” เด็กหนุ่มตอบแบบงงๆ

“หนูเป็นรุ่นน้องพี่ที่โรงเรียนนะ ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอพี่ที่นี่ ขอถ่ายรูปคู่หน่อยได้ไหมคะ”

“เอ่อ...” ราชวุฒิทำหน้าลังเล ก่อนจะหันมาหาธันธเนศที่นั่งอยู่ข้างๆ “พี่ธันอนุญาตไหมครับ”

“เกี่ยวเหี้ยไรกับพี่ละครับน้อง มึงจะถ่ายก็ถ่ายไปดิ เอ้อไอ้นี่” สายตาเฉยเมยกล่าวขึ้น ก่อนที่หนุ่มน้อยหน้าใสจะหันกลับไปกล่าวตกลงกับสาวสวยรุ่นน้องที่ยืนหน้าสลอนรออยู่อย่างจดจ่อ

 

“พี่ธันไม่กินเนื้อเหรอครับ” เด็กหนุ่มหันมามองจานตรงหน้าธันธเนศที่เขียวเหมือนชามอาหารกระต่าย

“อือ”

“มา งั้นเดี๋ยวผมต้มผักให้พี่เอง”

“กูไม่ได้เป็นง่อย ย่างกินเองมึงไป” เขาขัด

แม้จะโดนหนุ่มรุ่นพี่ปราม แต่เด็กหนุ่มหน้าตี๋ก็มิวายตักผักตักสิ่งที่ธันธเนศพอจะกินได้ใส่จานให้เขาอยู่เป็นระยะๆ จนธันธเนศขี้เกียจจะขัด เลยปล่อยเลยตามเลย

 

“เอาไหนมึงบอกกูว่ามีเรื่องจะคุยกับไอ้ธันมัน ไหนเล่ามาสิ” อณวุฒิถามขึ้นหลังทุกคนอิ่มและนั่งรอให้ท้องที่ตึงจากทั้งเบียร์และเนื้อย่างมันยุบลงสักหน่อยก่อน

ธันธเนศหันไปมองเด็กหนุ่มผู้ใสซื่อข้างๆ

“ผมชอบไลน์การเล่นของพี่ธันมากเลยอ่ะครับ ช่วยโค้ชส่วนตัวให้ผมหน่อยได้ไหม ผมอยากเก่งแบบพี่บ้าง”

“ที่ยิมก็มีพี่เอกสอนอยู่ไง จะมีใครเก่งเท่าพี่เอกอีก เขาเป็นถึงอดีตทีมชาติ พ่อเขาก็เป็นคาราเต้ต้นตำรับมาจากญี่ปุ่น”

“แต่ผมชอบเทคนิคการเล่นของพี่ธันด้วย รู้สึกว่ามันมีอะไร อนาคตผมอยากจะลองคัดตัวทีมชาติ อยากจะให้พี่สอนเพิ่มเติมจากครูเอกแบบตัวต่อตัวได้ไหมครับ”

“โอย กูไม่มีเวลาหรอก”

“เอาวันที่พี่ว่างก็ได้ วันที่พี่ไปยิมอะ นะครับ นะๆๆ”

“ไอ้นี่แม่งตื้อว่ะ”

“เอาน่าไอ้ธัน น้องมันอุตส่าห์ขอขนาดนี้แล้ว มึงก็ช่วยๆ น้องมันหน่อย ใครใช้ให้มึงเก่งเกินคน” เจนจพเสริม

“นะครับ นะๆๆ”

ชายหนุ่มหน้าตาเบื่อโลกถอนหายใจอย่างรำคาญ

“เออ ดูก่อน”

“ขอบคุณครับ พี่ธันน่ารักที่สุดเลย” ท่าทางดีใจกับแววตาที่มีความทะเล้นแฝงอยู่ทำเอาธันธเนศเริ่มเกร็ง

“น้อยๆ หน่อย เดี๋ยวกูจัดให้สมใจอยาก”

 

“อ้าวพี่ จะกลับแล้วเหรอครับ”  เจนจพกล่าวขึ้นเมื่อจรัญกับผู้เป็นหลานชายเดินมาหยุดที่ข้างโต๊ะ

“ใช่ๆ ไว้ว่างๆ นัดดริ้งกันหน่อยดีกว่า เห็นหน่วยก้านพวกมึงแล้วดูน่าร่วมวงดี”

ทั้งสี่คนยกมือไหว้อำลา หนุ่มใหญ่ยิ้มให้ก่อนเดินออกไป

 

“แดกเด็กระวังคุกนะเว้ย...”

ขณะเดียวกันธันธเนศจะไปสะดุดกับประโยคกระแทกกระทั้นเบาๆ จากใครบางคนลอยมาเข้าหู ขณะที่คนๆ นั้นเดินผ่านไป

“เสือก” เขาพูดขึ้นอย่างห้ามปากไม่อยู่

“มึงด่าใคร” อณวุฒิที่นั่งอยู่ตรงข้ามร้อนตัว

“เปล่า ด่าควายแถวนี้น่ะ”

“ผมไม่โง่นะพี่” เด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ แก้

“ร้อนตัวก็รับไป”


... ก่อนเหมันต์ ...

หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 07-02-2018 18:27:40
มันส์ แน่นอน ติดตามๆ  :hao3: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-02-2018 23:46:19
เอาละสิ. วานนี้ บันเทิงแน่นอน,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 08-02-2018 01:30:13
มันนนส์  :z1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 08-02-2018 04:37:20
มวยถูกคู่เลยค่าาาา 5555555555 สนุกมากค่ะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-02-2018 06:52:57
เอาแล้วคู่นี้เจอกันทีไรกัดกันเป็นหมาเลย555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-02-2018 09:54:06
งานนี้มีต่อยจูบ ๆ แน่นวล
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 08-02-2018 09:55:33
" หล่อนะ หล่อมาก แต่ถ่อยฉิบหาย ยิ่งเห็นท่าทางมันเมื่อกี้นะ แม่งโคตรอ้อนตีน " บางทีความหล่อก็ไม่จำเป็นกับชีวิตนะ เฮียธันต้องจัดการแบบจัดหนักๆ 5555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-02-2018 23:45:27
 :katai2-1:

 
ชอบๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 10-02-2018 18:44:35
 :mew1:ชอบเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-02-2018 23:27:07
 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 12-02-2018 01:05:18
มารอ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 12-02-2018 01:19:36
นักกีฬาก็น่าสนใจนะเนี่ย ^^
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 2 (7/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 14-02-2018 21:32:05
3
ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ



กว่าจะแยกย้ายกันกลับหลังจากไปเดินเล่นย่อยเนื้อย่างที่ตลาดนัดแถวรัชดาก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน ความเหนื่อยล้าบวกกับเวลาที่เลยเวลาหลับนอนปกติมามากแล้ว ทำให้ธันธเนศลากสังขารกลับมาที่ห้องด้วยอาการอ่อนระโหยโรยแรง

ชายหนุ่มพยายามเสียบลูกกุญแจอยู่นานสองนานกว่าจะเข้าล็อก ประตูของเขาถูกผลักเปิดออกพร้อมๆ กับเสียงประตูห้องที่อยู่ด้านหลังเขาตอนนี้ ธันธเนศไม่สนใจจะหันไปมอง แต่ขณะที่กำลังก้าวขาเข้าไปในห้องของเขานั่นเอง

“จะมาขอสัมภาษณ์ผมเหรอ”

เขาหยุด แต่ก็ทำหูทวนลมคิดเสียว่าเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังไม่เกี่ยวกับเขา ก่อนจะตัดสินใจก้าวต่อ

“กล้าหรือเปล่า...” น้ำเสียงยืดยาวกวนโอ๊ยไม่ยอมหยุดแค่นั้น

เขาหยุดอีกครั้ง หันกลับไปมองคนที่กำลังตอแยอยู่ตอนนี้ ร่างสูงในเสื้อยืดบางๆ กับกางเกงนอนขายาวยืนกอดอกพิงขอบประตูอยู่ สีหน้ายั่วยุกวนเบื้องล่าง

หนังตาที่ใกล้จะปิดเต็มทนทำให้ธันธเนศตัดสินใจไม่ต่อล้อต่อเถียง เขาก้าวต่อเข้ามาในห้อง ทำท่าจะแง้มประตูปิด

“ไม่กล้านี่หมาเลยนะเว้ย” เสียงพูดเยาะเย้ยกวนอารมณ์ยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ

แต่เขาก็หาได้สนใจเสียงนกเสียงกานั่นไม่ ถึงกระนั้นก่อนประตูจะปิดลง เขาก็ได้ยื่นมือออกไปชูนิ้วกลางฝากไว้ให้อีกฝ่ายหนึ่งครั้งเพื่อเป็นการตอบโต้ครั้งสุดท้ายของวันนี้

 

สรรพนาม ‘กู มึง’ ที่เคยได้ยินจากปากของอีกฝ่ายนั้นหายไป อาจจะเป็นเพราะรู้ว่าเขานั้นไม่ใช่รุ่นราวคราวเดียวกับตนเองแล้ว ถึงนิสัยจะนักเลงแค่ไหน แต่การศึกษาในระดับนี้แล้วก็น่าจะหล่อหลอมถึงการให้เกียรติผู้ที่อาวุโสกว่าอยู่บ้าง

 

 

“เอาล่ะ วันนี้ก็พอแค่นี้แล้วกันครับ”

เสียงสุดท้ายของการประชุมในวันนี้เป็นสัญญาณบอกว่าพนักงานทุกคนจะเป็นอิสระจากหน้าที่ในวันนี้แล้ว

ธันธเนศเดินลากเท้าออกมาจากตึกที่ทำงาน พร้อมกับหูสองข้างที่มีเสียงเพลงจากหูฟังดังบดบังเสียงรบกวนต่างๆ จากภายนอก

ในความมืดของช่วงแรกค่ำ ชายหนุ่มเดินก้มหน้าก้มตาออกมา จนมีมือของใครบางคนมาคว้าเข้าที่แขนของเขาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มหันขวับด้วยสัญชาตญาณที่ต้องระแวดระวังตนเองจากสิ่งรอบข้าง หมัดหนักกระทุ้งเข้าที่หน้าอกเจ้าของมือปริศนาอย่างจัง

เจ้าของร่างสูงในชุดนักเรียนมอปลายยืนก้มตัวมือกุมหน้าอกใบหน้าเหยเก

“เฮ้ยขอโทษ” เมื่อเห็นว่าคนๆ นั้นเป็นใคร เขาก็รีบกล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋านักเรียนลีบๆ ที่วางอยู่บนพื้นใกล้ๆ ขึ้นมา

“ผมโง่เองแหละ ที่เข้าทางด้านหลังพี่แบบนี้ ทั้งที่รู้ว่าพี่เป็นยังไง” เสียงติดขัดจากอาการจุกอกค่อยๆ พูดขึ้น

“มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเองนี่หว่า” กระเป๋าถูกส่งคืนเจ้าของ

เมื่อมองจากตัวย่อชื่อโรงเรียนที่ปักอยู่บนอกเสื้อ เขาก็พอจะรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้ถ่อมาไกลแค่ไหน

“ก็พี่ใส่หูฟัง ผมเรียกเท่าไหร่พี่ก็ไม่ได้ยิน”

“เออๆ โทษที มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วมืดขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่กลับบ้านกลับช่อง”

ชุดนักเรียนที่ยังคงเต็มยศ มีเพียงชายเสื้อที่ถูกปล่อยออกมาจากขอบกางเกงเพื่อความคล่องตัวบ่งบอกว่าอีกฝ่ายยังคงเถลไถลอยู่ข้างนอกนี่หลังจากเลิกเรียนมา

“เลิกเรียนแล้วผมก็มารอพี่ที่นี่เลย”

“ห๊า? โรงเรียนมึงเลิกกี่โมง”

“สี่โมงเย็น แต่ผมอยู่ติวกับเพื่อนต่อถึงห้าโมง”

“แต่นี่มันสามทุ่มแล้วนะ อยู่แถวนี้มาตลอดเลยเหรอ”

“อืม ก็พี่ไม่ออกมาสักที” เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ย

“แล้วใครใช้ให้มึงมารอ”

“ก็พี่สัญญากับผมว่าพี่จะช่วยโค้ชคาราเต้ให้ผมนี่หน่า”

“โอย ช่วงนี้กูยุ่ง ไว้ว่างๆ ก่อน มึงรีบหรอ”

“ไม่รีบหรอก”

“เหรอ นึกว่ารีบ”

“ผมแค่อยากเจอหน้าพี่ต่างหาก” เสียงพึมพำเหมือนตัดพ้อเบาๆ แทรกกับเสียงจอแจจากรอบข้าง

“อะไรนะ”

“เปล๊า” เสียงสูงดังขึ้น สายตาหันมองไปทางอื่นเหมือนหลบเลี่ยงบางอย่าง “ผมยังไม่อยากกลับอะ หิวด้วย” เด็กหนุ่มทำท่าลูบท้อง

“หิวก็ไปหาไรกินดิ มีเงินไหม ยืมกูก่อนเปล่า” เขาพูดพลางทำท่าควักเงินจากกระเป๋าก่อนมือหนาของผู้ที่อยู่ข้างๆ จะยื่นมารั้งไว้

“ไหนๆ วันนี้ก็ไม่ไปยิมแล้ว งั้นเราไปหาอะไรกินกันไหม” ใบหน้ามุ่ยร่าเริงขึ้น

“ไม่อ่ะ วันนี้กูเหนื่อย อยากกลับไปพัก มึงก็ควรจะกลับไปนอนนะ พรุ่งนี้ต้องไปเรียนไม่ใช่เหรอ”

“ไม่เอาอะ ผมไม่ชอบกินข้าวคนเดียว ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยนะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”

“ไอ้ตี๋!” เขาหันมองตาขวาง “ทำตัวเหมือนเด็ก น่ารำคาญ”

“ไม่รู้ล่ะ พี่จะด่าว่าอะไรผมก็ได้ แต่ต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อนผม ไม่งั้นผมจะตามพี่ไปที่ห้อง” แววตาเจ้าเล่ห์แวบขึ้นในดวงตาไร้เดียงสา

“เห้ย” ธันธเนศค้อนมองคนสูงกว่า “เดี๋ยวปั้ดถีบ” เขาพูดพลางออกอาวุธ แต่อีกฝ่ายกระโดดหลบอย่างว่องไว พร้อมกับรอยยิ้มท้าทาย

 

ด้วยลูกตื้อของเด็กหนุ่มวัยมัธยม บวกกับที่เขายังไม่มีอาหารเย็นตกถึงท้อง ทำให้ทั้งคู่ไปจบที่ร้านหมี่เกี๊ยวใกล้ๆ คอนโดของธันธเนศในที่สุด เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเด็กหนุ่มก็คงได้เดินตามเขาไปถึงห้องจริงๆ แน่

“พี่ไม่กินเนื้อไม่ใช่เหรอ ผมรู้จักร้านอาหารมังสวิรัติร้านหนึ่ง...”

“ไม่ต้องอ่ะ กูเขี่ยได้ ไม่ได้เคร่งอะไรขนาดนั้น”

“ใจบุญจัง ผมอยากมีแฟนใจบุญแบบพี่บ้างจัง”

“หาดิ ในโรงเรียนมึงไม่มีเลยสักคนเหรอ สาวมังสวิรัติ ถ้ามึงจะหาคงไม่ยากมั้ง เห็นมีคนตามมากรี๊ดทุกหนทุกแห่งขนาดนั้น” ชายหนุ่มพูดพลางเขี่ยโทรศัพท์ในมือ ไม่สนใจสายตาหวานเยิ้มที่จ้องไม่กระพริบตรงหน้า

มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิครับ

 

เมื่อบะหมี่ร้อนๆ ในถ้วยถูกยกมาเสิร์ฟ ด้วยความหิวราชวุฒิจึงรีบคีบมันเข้าปากอย่างมูมมาม พร้อมกับเสียงสูดสาดของเส้นที่เคล้าไปด้วยน้ำซุป ขณะเคี้ยวก็มองหนุ่มนักหนังสือพิมพ์ที่ละเมียดละไมกินแค่เส้นหมี่กับกวางตุ้งในถ้วย

“อ่ะ” เส้นหมี่และผักในถ้วยของเด็กหนุ่มถูกคีบมาใส่ถ้วยของเขา

“เอามาให้กูทำไม มึงก็กินของมึงไปดิ”

“ผมกลัวพี่ไม่อิ่ม”

“มึงนี่มัน” เมื่อเห็นสภาพอีกฝ่ายที่ดูหิวโซแต่ก็มิวายทำตัวใจกว้าง ธันธเนศส่ายหัวก่อนจะคีบเกี๊ยวในถ้วยของเขาเองส่งคืนให้อีกฝ่ายเป็นการแลกเปลี่ยน “เดี๋ยวกูสั่งให้อีกชาม กูจ่ายเอง แล้วก็ไม่ต้องใจดีคีบมาให้กูแล้ว แดกเองมึงไป”

เขาพูดพลางลุกขึ้นเดินไปยังรถเข็นที่มีชายวัยกลางคนกำลังลวกบะหมี่อย่างขะมักเขม้นอยู่

ราชวุฒินั่งมองร่างนั้นไม่ละสายตา

ภายนอกดูแข็งกระด้าง แต่ใจโคตรดี

เขายิ้มออกมาด้วยสายตาอิ่มสุข

 


“แป๊ะ หมี่หยกพิเศษหมูแดงชามหนึ่ง”

“อ้าว อาธัน ทำไมวันนี้มาซะมืดค่ำ” ชายเจ้าของร้านกล่าวทักทายลูกค้ารายใหม่อย่างคุ้นเคย

“เพิ่งซ้อมให้เด็กๆ เสร็จน่ะครับ ยีนส์เอาไรครับ เดี๋ยวพี่สั่งให้” เขาตอบชายวัยกลางคน ก่อนจะหันไปถามหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

“แป๊ะคะ ยีนส์เอาหมี่เกี๊ยวไม่ใส่ผักชามหนึ่งค่ะ”

ชายเจ้าของร้านส่งสายตามองหนุ่มร่างสูงตรงหน้าอย่างมีเลศนัย แทนคำตอบรับ ทำเอาธันวาอ้ำอึ้งไปไม่เป็น

“แป๊ะอย่าลืมนะ ของน้องเขาไม่ใส่ผัก”

“เออน๊า อั๊วไม่ได้หูหนวกสักหน่อย ไปนั่งไปๆ มีโต๊ะว่างอยู่ตรงโน้นน่ะ”

สองคนเดินตามที่ชายเจ้าของร้านแนะไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่เพียงโต๊ะเดียวพอดิบพอดี ถัดจากโต๊ะที่มีเด็กหนุ่มนักเรียนมอปลายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งนั่งอยู่ กับใครบางคน

 

“ตี๋” เสียงปริศนาดังขึ้น

“อ้าวพี่ยีนส์”

ธันธเนศที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่เงยหน้าขึ้นมอง แต่แล้วก็แทบคายทิ้งเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสายตาของคนบางคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองผ่านไหล่ราชวุฒิมายังเขาพอดิบพอดี

จะมีสักวันไหมที่จะได้ไม่ต้องเจอหน้าไอ้หมอนี่

แม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายมองอยู่ แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ ทำเหมือนเจ้าของสายตาคมคู่นั้นเป็นอากาศธาตุไป แล้วมุ่งความสนใจไปยังสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะแทน

“พี่ยีนส์มาทำอะไรแถวนี้อะครับ”

“อ๋อ พี่พักอยู่คอนโดตรงนี้น่ะ แล้วตี๋ล่ะ”

“ผมตั้งใจมาหาไรกินกับพี่เขาน่ะครับ”

หญิงสาวมองมายังเขา “หวัดดีค่ะพี่ชื่อ...”

“อ้อ ผมชื่อธันครับ สวัสดีครับ”

“เป็นไรกับตี๋หรอคะ”

“เป็นรุ่นพี่ที่ชมรมกีฬาน่ะครับ”

“พี่ธันครับ นี่พี่ยีนส์ บ้านเราอยู่ติดกันน่ะ”

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

“ค่ะ” เธอยิ้มรับด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม

“แล้วช่วงนี้พี่ยีนส์ไม่กลับบ้านบ้างเหรอครับ ไม่ค่อยเห็นอยู่บ้านเลย”

“เนี้ย พี่ว่าจะกลับวันนี้แหละ กินนี่เสร็จก็กะจะกลับไปที่บ้านเลย”

ธันธเนศจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง และไม่ผิดแน่กับคนที่เขาเคยเห็นว่าแอบเอาโจ๊กไปแขวนไว้ห้องตรงข้ามเขา จะว่าไปเธอก็เป็นผู้หญิงในอุดมคติของผู้ชายโดยส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ ผิวขาวเนียน ตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย หน้าหวาน ตัวบาง มิน่าธันวาจอมยโสถึงได้ยอมลงเอยกับเธอเอาเสียง่ายๆ

 

“เดี๋ยวกูไม่เอาน้ำ มึงเอาอะไร”

“เดี๋ยวผมไปเอาให้ พี่นั่งนี่แหละ”

“ไม่ต้อง จะเอาไร”

“งั้นผมเอาโค้กแล้วกันครับ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปที่ตู้แช่ภายในร้าน มือเรียวยื่นไปหยิบกระป๋องเครื่องดื่มสีแดงที่อยู่ชั้นบนสุด ก่อนจะชะงัก

“พรากผู้เยาว์”

เขารู้ได้ทันทีว่านั้นเป็นเสียงของใคร ธันธเนศถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับ แต่ก็พบว่าร่างนั้นกำลังทำตัวเป็นกำแพงสูงกั้นทางออกของเขา

“หลีกดิ” เขาพูดเสียงเบาข่มอารมณ์หงุดหงิดที่อาจประทุขึ้น

“ทำไม อายเหรอ ที่ผมรู้ว่าชอบผู้ชาย”

“ไม่อยากมีเรื่องตอนนี้ หลีก”

“ทำไมต้องเป็นเด็กมัธยม” น้ำเสียงกับสีหน้ายั่วยุอารมณ์ทำให้ธันธเนศอยากจะเอากระป๋องน้ำอัดลมยัดปากนั้นเสียให้เข็ด

เขาจิ๊ปากอย่างหมดไม่สบอารมณ์ แต่แล้วก็นึกหนทางที่ดีกว่าการเอาแรงเข้าแลก เขาชะโงกไปมองยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังราชวุฒิ

 “หึ ไม่ต่างกัน” เขาเบ้ปาก “สาวเจ้าของโจ๊ก... ทำเป็นรังเกียจโจ๊กนั่นจะเป็นจะตาย สุดท้าย อะไรน๊ากลืนน้ำลายตัวเอง”

“นี่คุณ!”

“ทำไม พอคนอื่นพูดแทงใจดำบ้าง เปราะบางรับไม่ได้เหรอ เก่งให้เหมือนปากดิ” เอาเลิกคิ้วท้าทาย “ถอยเว้ย จะเดิน” ก่อนจะอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายไขว้เขวแทรกตัวออกมาอย่างแรงจนร่างสูงเซไปไม่เป็นท่า

 

“มีอะไรหรือเปล่าครับ นั่นใช่พี่คนที่เราเจอที่ร้านเนื้อย่างวันนั้นหรือเปล่า”

“สนใจไรมัน คนประสาท”

 

 

หลังร่ำลากับรุ่นน้องหนุ่มเป็นที่เรียบร้อย ธันธเนศก็เดินกลับเข้ามาในคอนโด เขาก้าวเข้าไปในลิฟต์แคบๆก่อนจะหันกลับมากดชั้นที่เขาอยู่ แล้วตามด้วยปุ่มปิดประตู ขณะลิฟต์กำลังจะปิดสนิทแต่แล้วก็มีมือหนึ่งสอดเข้ามา ทำให้ประตูเลื่อนเปิดออกอีกครั้งโดยอัตโนมัติ

ไม่ใช่ใครที่ไหน อริตรงข้ามห้องเขานั่นเอง ธันธเนศรัวกดปุ่มปิดลิฟต์เพื่อที่จะได้รอดพ้นจากการต้องอยู่ร่วมกันกับอีกฝ่ายในลิฟต์แคบๆ นี้ แต่ดูเหมือนผู้ที่มาทีหลังก็ไม่ยอมเหมือนกัน ร่างสูงแทรกตัวผ่านประตูลิฟต์เข้ามาอย่างรวดเร็ว จนกระทบกับประตูลิฟต์ดังโครมคราม

เขารีบขยับหลบไปยืนอีกมุมหนึ่งของลิฟต์ก่อนจะโดนชนเอา

ประตูลิฟต์ปิดลง

 

“แล้งน้ำใจ” เสียงพึมพำตัดพ้อแบบลอยๆ ดังขึ้น ทำให้ธันธเนศหันขวับไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตากลมโตแหงนมองใบหน้านั้น

 “อ๋อไอ้เหี้ยนัดใช่ไหมพี่ มันแล้งน้ำใจแบบนั้นแหละ...” ร่างสูงทำเป็นยืนยิ้มร่ากับโทรศัพท์ข้างหู ทั้งที่ธันธเนศเห็นคาตาว่าโทรศัพท์เพิ่งจะถูกยกขึ้นแนบหูหลังจากที่ประโยคก่อนหน้านี่แว่วมาด้วยซ้ำ

ปากแม่งอ้อนยาแดง

 

เวลาที่ผ่านไปด้วยความเงียบในลิฟต์ที่มีแค่คนสองคนที่ไม่กินเส้นกันนี้ กว่าลิฟต์จะเลื่อนผ่านขึ้นไปแต่ละชั้น ธันธเนศรู้สึกว่ามันช่างเป็นเวลายาวนานแสนนาน 

ขณะที่ตัวเลขดิจิตอลบอกว่าลิฟต์เพิ่งขึ้นถึงชั้นสี่นั้น ไฟสีส้มที่ส่องสว่างภายในลิฟต์ที่กระพริบขึ้นหนึ่งครั้ง เขาแหงนมองพร้อมกับใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ลิฟต์เลื่อนขึ้นสู่ชั้นห้า ชั้นหก และ

ครืด!

มีเสียงปริศนาดังขึ้น พร้อมกับแสงไฟในลิฟต์ที่หรี่ลงจนมองเห็นเพียงลางๆ

“เส็งเคร็งฉิบหาย” หนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเขาสบถขึ้นอย่างหัวเสีย

เมื่อธันธเนศตั้งสติได้จึงเอื้อมมือไปกดปุ่มฉุกเฉินตรงหน้า แล้วรอ เวลาผ่านทุกอย่างยังคงเงียบ เขาเงี่ยหูฟังภายนอก ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ  การกระหน่ำกดปุ่มสัญญาณจึงตามมา

“เหย พอแล้ว”

ธันธเนศไม่ฟังเสียงปรามของคนข้างหลัง รัวกดปุ่มที่ว่าอย่างบ้าคลั่ง

“เดี๋ยวมันก็พังหรอก ได้ติดกันอยู่ที่นี่ทั้งคืนพอดี”

เขาหยุด แต่ด้วยความใจร้อนของเขาจึงหันไปแงะประตูลิฟต์ต่อ

“ทำอะไร”

“เรื่องของผม”

“ในนี้อากาศมันน้อย ยิ่งออกแรงยิ่งต้องใช้ออกซิเจนเยอะ เป็นลมเป็นแล้งไปไม่รู้ด้วยนะ”

“แม่งโว้ย รปภ.หายหัวไปไหนหมดวะ” เขาใช้กำปั้นทุบที่ประตูอย่างไม่สบอารมณ์

 

“มา นั่ง” ร่างสูงพูดพลางตบแปะๆ บนพื้นลิฟต์

“นั่งเพื่อ?”

“เขาบอกอากาศมันจะอยู่ต่ำ”

“รู้ได้ไง”

“ไม่รู้ ได้ยินมา”

คำแนะนำอีกฝ่ายไม่ได้นำพาคนหัวดื้ออย่างธันธเนศสักเท่าไหร่ ยิ่งเป็นคำแนะนำจากคนแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางที่เขาจะทำตามให้เสียศักดิ์ศรี ชายหนุ่มเอนหลังยืนพิงผนังลิฟต์ กอดอกรอความช่วยเหลือจากด้านนอกอย่างใจจดจ่อ

 

“ขอโทษนะเรื่องโจ๊กวันนั้น”

...

“ก็เผื่อวันนี้เป็นวันตายของเรา จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเกิดมาเจอกัน” หนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่พูดขึ้น

“เชิญตายไปคนเดียวเถอะ”

“หึ” คนที่นั่งอยู่หัวเราะในลำคอ “ตีนหนักดีเหมือนกันนะเรา”

...

“เคยเรียนศิลปะต่อสู้มาเหรอ”

“เปล่า แค่สัญชาตญาณ เวลามีหมาจะมากัด จะยืนนิ่งๆ ให้มันกัดป่ะล่ะ”

“เฮ้อ” ร่างสูงถอนหายใจหนักช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้น แล้วย่างสามขุมเข้ามาใกล้ “คำก็หมา สองคำก็หมา” พลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

ในบรรยากาศลับตาคนและอึมครึมแบบนี้ สายตาอีกฝ่ายซ่อนไว้ด้วยความอำมหิตกับรอยยิ้มที่ดูเยือกเย็น ทำเอาธันธเนศเริ่มหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน ในที่แคบๆ แบบนี้ ดูจากขนาดตัว แม้เขาจะเชี่ยวชาญการต่อสู้แค่ไหน ถ้าเกิดอีกฝ่ายมีอาวุธ เขาก็เป็นแค่ที่เสียบมีดหรือเป้าดีๆ นี่เอง

ธันธเนศขยับตัวลีบติดผนังลิฟต์ ขณะที่ร่างสูงก้าวมาหยุดตรงหน้า มือหนาทุบลงบนผนังข้างหัวเขาเสียงดัง มืออีกข้างที่ล้วงอยู่ในกระเป๋าชักออกมาพร้อมกับยาดม

“เอา เห็นหน้าซีดๆ”

...



... ก่อนเหมันต์ ...

หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 14-02-2018 23:17:43
โธ่! ยาดม 555+
ธันขอโทษแล้วววว มีน้ำใจให้ยาดมอีกด้วยนะ หุหุ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-02-2018 23:23:44
ป๊าด อะไรจะมีเล่ห์เหลี่ยมปานนั้น
คู่นี้สูสีกันมากๆ น่าติดตาม
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-02-2018 23:46:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 15-02-2018 00:10:23
ติดอยู่ทั้งคืนป่าวนะ??
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 15-02-2018 00:15:57
ลิ้นกับฟันจริงๆคู่นี้
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-02-2018 00:30:41
แล้วมันก้คือออออ ยาดม 5555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 15-02-2018 07:33:37
กัดกันไปๆมาๆเดี๋ยวก็รักกันเองละเนอะ ^^
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: poonbabor ที่ 15-02-2018 07:40:20
อิ้ พิธันนนน นั่นยาดมมมมไม่ใช่มีดตกใจเหมือนกันนะเนี่ยยย 5555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 15-02-2018 11:33:05
ชอบเด็ก ม.ปลาย  :-[
ส่วนเด็กมหา'ลัย กวนโอ้ยไปหน่อย  :angry2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 15-02-2018 12:15:36
อ่าน๊าา  หรือจะเป็นลมในลิฟต์  แล่วโดนผายปอด 555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 15-02-2018 17:35:32
เกลียดความปากชวนหาเรื่องของอิตาธันวา แต่เอาจริงๆนะ คนเราอยู่ดีๆจะเดินมาเคาะห้องหาเรื่องเขาเลยเหรอทั้งที่ไม่มีพยานอะไรเลยนอกจากลมปาก รปภ. ใจนึงก็แอบคิดว่าธันวาแอบชอบพี่ธันรึเปล่านะ แต่ปากเสียขนาดนี้คงญาติดีกันยากมากอะ รอดูความบันเทิงที่จะเกิดขึ้นเลย ส่วนตี๋นี่ตกหลุมรักพี่ธัญไปซะแล้วละสิ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 16-02-2018 08:43:17
ดีย์ย์ย์ย์ค่าาาาาาา

ชอบเนื้อเรื่อง ภาษา ตัวละคร พล็อตมากเลยยยยยย

อาจจะมีพิมพ์ผิดนิดหน่อย แต่ไม่ได้ทำให้อ่านไม่เข้าใจนะคะ

รอติดตามค่าาาา o13
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 17-02-2018 00:07:45
โอ้ยยย ตลกก 5555555 นุ้งธันก็ อยากให้พี่เขาสนใจใช่มั้ยล่า ถึงประชดว่าทำไมต้องเด็กมัธยม แหม่ๆๆๆๆ คนขี้อิจฉา
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 17-02-2018 01:50:32
แอบคิดว่าธันวาอาจจะชอบธันธเนศอยู่ก่อนแล้วเลยใช้เรื่องโจ๊กเป็นข้ออ้างทำความรู้จัก
แต่ธันวาก็เป็นบุรุษเกรี้ยวกราดปากสุนัขคนนึงเลยทำให้คุยกับธันธเนศดีๆไม่ได้
ตามทฤษฎีที่ว่าชอบใครก็จะแกล้งคนนั้น

มโนล้ำเลิศอ่ะเรา555555555555555555555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-02-2018 00:18:56
 :m23:



จี้
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 18-02-2018 07:51:07
น้องธัน พี่ธัน. คุยกันดีดีละ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 19-02-2018 21:49:01
สนุกมากกกก  แอบสับสนชื่อเหมือนกันนะเนี่ย เวลาใครเรียกธันเฉย ๆ
ชอบพี่ธันมากอ่ะ ชอบนิสัยแบบนี้ แมน ๆ ลุย ๆ แต่ก็ไม่หาเรื่องใครก่อน มีความเป็นผู้ใหญ่ดีจัง
ที่สำคัญ เก่งคาราเต้ขั้นเทพ เท่ห์สุด ๆ อยากให้ธันวาโดนอีกสักป๊าบสองป๊าบ 555
ส่วนธันวา นี่แรก ๆ หมั่นไส้มาก หาเรื่องพี่ธันก่อน ไม่ยอมขอโทษ แล้วยังตามหาเรื่องอีก
แต่หลัง ๆ กลายเป็นรู้สึกว่า ธันวาเหมือนอยากเรียกร้องความสนใจจากพี่ธันมากกว่านะเนี่ย
แล้วก็ยอมขอโทษแล้วด้วย เริ่มพูดดี ๆ กับพี่ธันแล้วด้วย ถึงจะยังปากเสียอยู่ก็เถอะ
รอตอนต่อนะคะ สนุกมากเลย ชอบมาก ๆ 
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 20-02-2018 00:02:24
เจอคนแบบน้องธันคงรำคาญเหมือนพี่ธัน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 3 (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-02-2018 01:54:44
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 คุณบรรณาธิการ (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 26-02-2018 22:03:31
4
คุณบรรณาธิการ



“วันนี้ผมขอลาหนึ่งวันนะพี่”

“อ้าว ทำไม”

“ไม่สบายอะ”

“จริงหรือเปล่า ตื่นไม่ไหวหรือเปล่า” เสียงลงท้ายยืดยาวยียวนอารมณ์

“ตลอดเวลาเกือบปีที่ผมทำงานกับพี่มา ผมเคยลาสักครั้งยังวะครับไอ้พี่รัญ” เขาขึ้นเสียงแหบแห้ง ก่อนจะไอออกมา

“เออๆ หยอกเล่นเฉยๆ ได้ยินเสียงมึงคำแรกกูก็รู้แล้ว แหบเป็นเป็ดเลย อย่าหงุดหงิดสิ เดี๋ยวไข้ขึ้นสูงไม่รู้ด้วยนะ”

“ถือว่าลาแล้วนะ แค่นี้”

“เออๆ อย่าลืมไปหาหมอด-” ตู้ดๆๆ ยังไม่ทันอีกฝ่ายจะพูดจบ เสียงของการตัดสายก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน

ความเครียดสะสมและการโหมงานอย่างหนัก บวกกับการนอนดึกติดต่อกันหลายคืน เมื่อคืนกว่าจะออกจากลิฟต์ได้ก็แทบเป็นลมตายไปในนั้น โรคจึงถามหาเขาจนได้ ธันธเนศนอนซมอยู่ห้อง เมื่อรู้ว่าอาการตัวเองหนักเกินกว่าจะฝืนลุกไปทำงาน

 

 

สายของวันเขาจำใจหอบร่างที่อ่อนแรงไปยังร้านขายยาใกล้ๆ เพราะการกลัวเข็มฉีดยา ทำให้ธันธเนศเป็นคนเกลียดการไปหาหมอเข้าไส้

ในชีวิตนี้ ผู้ชายอย่างธันธเนศมีกลัวอยู่ไม่กี่อย่างหรอก อย่างแรกเลยคือ กาแฟ เพราะเขาแพ้คาเฟอีนอย่างหนัก เคยมีเพื่อนสมัยมหา’ลัยแกล้งให้เขาดูดกาแฟไปพียงอึกเดียว ผลที่ตามมาคือเพื่อนคนนั้นไม่กล้าให้ธันธเนศดื่มกาแฟอีกเลย เพราะเข็ดจากการที่ต้องมานั่งฟังธันธเนศสาธยายปัญหาชีวิตจนหูชา เอาง่ายๆ คือพูดไม่ยอมหยุด พูดเป็นต่อยหอย อย่างที่สองคือเข็มฉีดยา เพราะตอนเด็กๆ เขาเป็นคนขี้โรค ต้องโดนจับฉีดยาอยู่บ่อยๆ แต่หลายคนมักนิยามว่า เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน คำนี้ใช้ไม่ได้กับทุกคน โดยเฉพาะธันธเนศ


“อาการเป็นอย่างไรบ้างคะ” เภสัชกรหญิงวัยกลางคนถามขึ้น

“ตัวรุมๆ ปวดหัว เจ็บคอแล้วก็ไอครับ”

“มีน้ำมูกไหม”

“มีครับ”

“สักครู่นะคะ”

เมื่อรู้อาการ เธอก็หันไปจัดแจงยาตามอาการป่วย ก่อนจะทำท่าเหมือนหาบางอย่างไม่เจอ

“ธันๆ”

“ครับ” ธันธเนศที่กำลังใจลอยคิดโน้นนี่นั่นไปเรื่อยเปื่อยตอบเภสัชกรตรงหน้า

“เปล่าจ๊ะ พอดีเรียกลูกชาย ชื่อธันเหมือนกันหรือคะ”

“อ่อ ใช่ครับ” เขายิ้มเจื่อน

นอกจากจะอายแล้ว ธันธเนศยังลุ้นจนตัวโก่งเมื่อได้ยินชื่อๆ นั้น ได้แต่แอบหวังว่าชื่อเขาจะเป็นเพียงชื่อโหลๆ ชื่อหนึ่งที่ใครๆ เขาก็ตั้งกัน

“ครับแม่” เสียงแว่วขานรับมาจากทางหลังร้าน

และ มัน เป็น เสียง ที่คุ้นมาก

“เอาน้ำเกลือล้างจมูกให้แม่หน่อยสิ ในตู้สต็อกยาข้างตู้กดน้ำน่ะ”

ธันธเนศนั่งจ้องประตูกระจกทางหลังร้านที่เปิดอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ในใจสั่นระรัว และแล้ว

หนุ่มร่างสูงในชุดนักศึกษาก็เดินออกมาจากทางหลังร้านพร้อมกับสิ่งที่ผู้เป็นแม่ร้องขอในมือ สายตาของคนผู้นั้นมองมายังธันธเนศแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองหน้าหญิงหลังตู้โชว์ยาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ธันธเนศหันกลับไปยังชั้นวางยาสูงที่ตั้งชิดอยู่กับผนังด้านหลังอย่างรวดเร็ว แล้วทำเป็นไล่มือหายาบนชั้นวางนั้นอย่างจดจ่อ เผื่ออีกฝ่ายจะจำเขาไม่ได้

“นี่ครับ” ขวดน้ำเกลือถูกยื่นส่งให้คนที่ยืนรออยู่

ใจจริงเขาอยากจะกระโจนออกจากร้านเสียเดียวนั้น ไม่มีวันไหนเลยหรือที่เขาจะไม่เจอคนๆ นี้ จนเริ่มจะอดสงสัยไม่ได้ว่า ประเทศไทยมันแคบขนาดไหนกันเชียว

“เป็นแผลตรงไหนหรือเปล่าคะ” เสียงที่เหมือนก้อนหินลอยมากระทบหน้าเขาจนแตกละเอียด เขาชะงัก เมื่อสังเกตว่าชั้นวางยาที่เขายืนมองอยู่คือยาและอุปกรณ์สำหรับทำแผลล้วนๆ

“อ๋อ เปล่าครับ”

“นี่ค่ะ เรียบร้อยแล้ว”

เขาจำใจหันมา หนุ่มนักศึกษายืนมองเขาด้วยสายตาเฉยชาอยู่ข้างๆ ผู้เป็นแม่ แต่ดูยังไงมันโทนโท่ว่าเยาะเย้ย ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป

กูแพ้อีกละ

 

“นี่จ๊ะ อย่าลืมดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ นะ” ถุงใส่ยาถูกยื่นส่งให้เขา พร้อมกับคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ในตัวยาที่ถูกจัดมาให้

ธันธเนศเดินออกมาจากร้านอย่างเคืองใจ ถ้าไม่ติดว่าจะดูไร้มารยาทจนเกินไป เขาคงเดินออกมาดื้อๆ เพื่อไปหาร้านขายยาร้านอื่นเป็นแน่

 

 

แสงแห่งวันได้หมดลงไปชั่วขณะหนึ่งแล้ว ราชวุฒิยังคงนั่งอยู่ข้างสระน้ำพุหน้าตึกที่ทำงานของธันธเนศอย่างจดจ่อ นั่งมองหนุ่มสาวออฟฟิศเดินออกมาคนแล้วคนเล่า แต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของคนที่รอ

จนสายตาเขาไปสะดุดกับใครคนหนึ่งที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอที่ไหนสักที่ และมั่นใจว่ามีความเกี่ยวข้องกับธันธเนศเป็นแน่ เด็กหนุ่มจึงตรงดิ่งไปยังชายคนนั้นอย่างไม่รีรอ

“พี่สวัสดีครับ” เขากล่าวทักทายพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“ว่าไงครับน้อง”

“พี่รู้จักที่ธันหรือเปล่าครับ”

“ธันไหน”

“พี่ธันธเนศที่ทำงานที่นี่อะครับ”

“อ๋อ ไอ้ธันนะหรอ วันนี้ไม่มาทำงานหรอก เขาไม่สบาย”

 

 

ธันวาเพิ่งกลับจากเรียนวิชาสุดท้ายของวันนี้ ที่กว่าจะเลิกก็ปาไปสองทุ่ม เขาเดินผ่านร้านขายน้ำเต้าหู้ในตลาดเล็กๆ ข้างคอนโด และสังเกตเห็นว่ามีเด็กนักเรียนวัยรุ่นคุ้นหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ จากที่ตั้งใจว่าจะเดินผ่าน เขาจึงเลียบๆ เคียงๆ เดินเข้าไปยืนข้างๆ

 

“ซื้อกินเองเหรอ”

ราชวุฒิหันมองเจ้าของเสียงที่เข้ามายืนอยู่ข้างๆ สายตาไม่ได้มองมายังเขา คำถามประหลาดที่อีกฝ่ายถามขึ้นทำให้คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน

“พี่ถามผมเหรอ”

“อือ ยืนอยู่สองคน จะให้ถามใคร ถามคนขายเหรอ”

“ซื้อฝาก- เอ่อ พี่น่ะครับ” เด็กหนุ่มตอบตามมารยาท แต่ก็มิวายสงสัย “ผมรู้จักพี่หรือเปล่าครับ”

“เปล่า แต่กูรู้จักธันธเนศ ห้องอยู่ตรงข้ามกัน จะฝากไปให้ไหม”

“พี่รู้ได้ไงครับว่าผมจะซื้อไปให้พี่ธันเขา”

“ไม่รู้ กูเดา ก็เห็นรัก เอ้ย สนิทสนมกันดี”

“เอ่อ...” เด็กหน้าหล่อทำท่าคิดหนัก “ไม่ดีกว่าครับ” เขาส่ายหัวโงนๆ “ผมอยากไปหาพี่เขาด้วยตัวเอง”

“เอาน๊า ฝากกูไปก็ได้ คนไม่สบายเขาคงไม่อยากให้ใครไปรบกวนหรอก ระวังโดนโกรธเอาไม่รู้ด้วยนะ”

“ว่าแต่พี่รู้ได้ไงว่าพี่ธันไม่สบาย”

คำถามจากหนุ่มรุ่นน้องเล่นเอาธันวาอมอ่าง

“มึงจะถามทำไมนักหนาวะ” “ก็... เจอที่ร้านขายยา”

“อ้าวเหรอ อืม...” หนุ่มน้อยทำท่านิ่งคิดอีกครั้ง ด้วยความที่พอจะรู้นิสัยของธันธเนศดี เขาจึงหวั่นๆ กับสิ่งที่รุ่นพี่เตือนอยู่บ้าง “งั้น ผมฝากพี่หน่อยแล้วกันครับ ไว้วันหลังผมค่อยมาหาพี่เขาเองก็ได้”

“คิดดีแล้วล่ะ” เขาตบไหล่หนุ่มรุ่นน้องป้อยๆ รอยยิ้มแห่งความสำเร็จผุดขึ้น

“ขอบใจนะพี่”

“เออๆ”

ธันวายืนมองเด็กหนุ่มเดินแยกไปจนลับสายตาก่อนจะฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

 

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ  ธันธเนศตะเกียกตะกายประคองร่างที่นอนซมอยู่ลงจากเตียงช้าๆ ทิชชู่ที่ยัดจมูกอยู่ถูกดึงออกแล้วโยนลงในถังขยะข้างเตียง ดวงตาที่รังแต่จะปิดอยู่ตลอดเวลาเพราะฤทธิ์ยาส่องมองลอดตาแมวออกไป

จะหนีให้พ้นจริงๆ ก็คงต้องย้ายที่อยู่ออกไปไกลแสนไกล สีหน้าซังกระตายคิด ก่อนจะเอื้อมบิดลูกบิดอย่างจำใจ

 

“อ่ะ” ถุงน้ำเต้าหู้ถูกยื่นมาตรงหน้าจากคนที่เขาเกลียดขี้หน้าที่สุดถ้านับตั้งแต่จำความได้จนตอนนี้

“ไม่เอา”

“เอาไป ผมไม่ได้ซื้อให้คุณ อย่าหลงตัวเอง ผัวเด็กคุณซื้อฝากมาให้” ถุงน้ำเต้าหู้ถูกผลักไสมาจนจะโดนหน้าเขาอยู่รอมร่อ

“เลิกพูดถึงเด็กมันแบบนั้นสักทีได้ไหม ไม่อายใครก็อายปากตัวเองบ้าง”

เมื่อได้ยินคำพูดจริงจังในน้ำเสียงขอร้องปรายๆ ก็เล่นเอาโค้ชกีฬาหนุ่มชะงักไปไม่น้อยเหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละ

“ทำไม บอกสิว่าที่ผมพูดมันไม่จริง” ธันวายังไงก็เป็นธันวาอยู่วันยังค่ำ

“ไม่เสือกดิ”

“ไม่แน่จริงนี่หว่า”

ความอ่อนเพลียทำให้คนกำลังไม่สบายไม่อยากต่อล้อต่อเถียงให้เสียเวลาพักผ่อน เขาดึงถุงน้ำเต้าหู้มาแล้ว ประตูบานหนักจึงปิดลงทันทีจนเกือบกระแทกหน้าคนที่อยู่ข้างนอก

 

พรวด!!!

ธันธเนศสำลักน้ำเต้าหู้ที่เค็มปี๋ ความรู้สึกง่วงซึมหายเป็นปลิดทิ้ง เขาถ่างตามองก้นถุงที่ยังมีเม็ดเกลือหลงเหลืออยู่ เหมือนเขาคิดไปเองว่าได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังมาจากที่ไหนสักที่ด้วยในจังหวะนั้น

“แม่งเหี้ยยันเงาจริงๆ”

แบบนี้ไม่ใช่ฝีมือราชวุฒิแน่ๆ

ผู้ถูกกระทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ

 

 

รัญ หรือจรัญ บรรณาธิการหนุ่มใหญ่วัยสามสิบกลางๆ ผู้รับช่วงต่อธุรกิจสำนักพิมพ์มาจากครอบครัว โดยตีพิมพ์นิตยสารและหนังสือพิมพ์เป็นหลัก เขารับหน้าที่ดูแลในส่วนของหนังสือพิมพ์รายวันขนาดเล็กที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักอะไรมาก แต่เป็นหนังสือพิมพ์ที่ทำออกมาตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น

หลังจากที่นักเขียนข่าวเกี่ยวกับกีฬาคนก่อนลาออกไป เพราะได้ที่ใหม่ที่ดีกว่า จรัญก็ได้เด็กจบใหม่อย่างธันธเนศเข้ามาทำในส่วนนี้แทน ซึ่งในหนังสือพิมพ์จะมีคอลัมน์ที่เป็นสกู๊ปข่าวกีฬาอยู่เพียงคอลัมน์เดียวเท่านั้นในแต่ละวัน จึงไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไร มีคนที่ดูแลในส่วนนี้เพียงคนเดียวก็เกินพอ แต่มันก็ไม่ง่ายเสียทีเดียวสำหรับเด็กจบใหม่ที่ไม่ได้จบมาตรงสายงาน และต้องหาข่าวใหม่ๆ มาเขียนอยู่ทุกวันอย่างธันธเนศ ซึ่งตรงนี้จรัญก็เข้าใจดี

นี่เป็นวันที่สองแล้วที่ธันธเนศลาหยุด จรัญจึงต้องเขียนข่าวกีฬาเองแทนพนักงานหนุ่มรุ่นน้องไปก่อน หนุ่มร่างสูงผิวขาวละเอียด ผมดำแซมขาวที่ไม่สนใจจะย้อมปกปิดอะไรนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่ตลอดทั้งวัน จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ หลังจากที่เห็นเด็กหนุ่มที่ทำท่าทำทางเหมือนกำลังตามธันธเนศอยู่ถึงสองครั้งสองคราแล้ว ถ้าเป็นอย่างที่คิดจริงเขาจะมามัวหมกเม็ดเก็บความรู้สึกแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ทุกอย่างอาจจะสายเกินไป หรือถ้าหนุ่มใหญ่อย่างเขาต้องพ่ายแพ้ให้เด็กมัธยมคนหนึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าพอใจนัก

จรัญชั่งใจตัวเองว่าจะกดโทรออกดีไหม แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะกลัวโดนบ่นเข้าให้อีก คนอย่างเขาทำอะไรก็เหมือนจะไม่ถูกจริตลูกน้องคนนี้ไปเสียหมด อำนาจที่มีในมือไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย เพราะธันธเนศมีฝีมือในระดับที่หายากคนหนึ่ง และรุ่นน้องหนุ่มก็ไม่เคยเสียการเสียงานเลย ตอแยมากๆ เข้า ก็กลัวอีกฝ่ายจะชิ่งหนีไปอีก เด็กสมัยนี้ยิ่งยากแท้หยั่งถึงเสียด้วย

 

เมื่อรวบรวมความกล้าได้ เขาก็กดโทรออก มือสั่นริกเหมือนเจ้าเข้า

เสียงรอสายที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ มันยิ่งทำให้ใจเข้าเต้นแรงขึ้นทุกขณะ

“ยังไม่หายดีเลย”

“เปล่า”

“แล้วโทรมาเพื่อ”

“พี่จะโทรมาถามว่าเป็นไงบ้างแล้ว ค่อยยังชั่วยัง”

“อืม โอเคขึ้นบ้างแล้วพี่ พรุ่งนี้คงไปทำงานได้ มั้งนะ”

“เออๆ ก็ดีแล้ว”

“แหม ผมหยุดสองวันแค่เนี้ย รีบโทรมาตามเลยนะ กลัวผมทำงานไม่คุ้มเงินรึไง”

“มึงก็เป็นซะแบบเนี้ย” ไม่เคยนึกถึงใจคนเป็นห่วงบ้างเลย “ถามนิดถามหน่อยทำเป็น ทำไม เจ้านายไม่มีสิทธิ์ถามลูกน้องหรือยังไง”

“ถ้าจะโทรมาเรื่องแค่นี้ไม่ต้องโทรมาก็ได้พี่ เสียเวลานอนว่ะ”

“เดี๋ยวก่อนๆ เย็นนี้พี่ไปหาได้ไหม”

“จะมาทำไมว่ะครับ ว่างขนาดนั้นเลยเหรอชีวิต”

“ลูกน้องไม่สบายทั้งที ก็ไม่อยากนิ่งเฉย”

“แหม ทีพี่จ๋าเป็นมาลาเรียเข้าโรง’บาลเป็นอาทิตย์ไม่เห็นพี่ไปเยี่ยมเขาสักวัน ไม่กลัวเขาน้อยใจเหรอ ไม่ต้องมา”

“พี่จะไป บอกที่อยู่มาก็ได้ เดี๋ยวซื้อของกินเข้าไปให้ด้วย”

“อะไรของพี่วะครับพี่รัญ”

“น๊า พี่อุตส่าห์ตั้งใจเลยนะเนี่ย”

 

หนุ่มใหญ่กดวางสาย จะว่าไป เขากลับกล้ากว่าที่คิดไว้แหะ ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก ถึงเวลาเปลี่ยนแมนให้เป็นเธอ

แค่คิดก็สนุกละเว้ย

บก. หนุ่มยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

 

ธันวาอยู่ในช่วงกำลังเตรียมตัวสอบกลางภาค ซึ่งวิชาแรกจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ วันนี้เขาจึงงดสอนเทควันโด และกลับมาที่ห้องเร็วกว่าปกติ หลังจากที่ใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการอยู่ติวหนังสือกับเพื่อนที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยหลังเลิกเรียน

ชายหนุ่มเดินออกมาจากลิฟต์แล้วเลี้ยวเข้ามาในโถงทางเดินระหว่างห้องที่เรียงรายสองข้าง พลันสายตาเขาก็ไปสะดุดกับใครบางคน ที่ยืนรออยู่หน้าห้องที่ตรงกับห้องของเขา เขาเร่งฝีเท้าเมื่อเห็นบางอย่างไม่ชอบมาพากล

 

“น้ารัญมาทำอะไรที่นี่” เขาถามขึ้น

“อ้าวไอ้ธัน น้ามาหารุ่นน้องที่ทำงาน คนที่จะสัมภาษณ์มึงไง นี่พักอยู่ที่เดียวกันเหรอเนี่ย” เขาทำหน้าตื่นเต้น ขณะเดียวกันประตูตรงหน้าก็เปิดออก พร้อมกับเจ้าของห้องหน้าโทรมยืนรอต้อนรับอยู่

“เข้ามาข้างในก่อนดิพี่ ข้างนอกอากาศไม่ดี” ธันธเนศพูดพลางเดินกลับเข้าไปในห้องและไม่ลืมที่จะเหน็บบุคคลที่สามที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ

หนุ่มใหญ่หันกลับมาพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปที่หลานชาย

“เออๆ เดี๋ยวอีกแปบน้าแวะไปคุยด้วย”


ประตูห้องเขาปิดลงโดยแขกผู้มาเยือน พร้อมกับเสียงปิดประตูดังปังมาจากห้องฝั่งตรงข้ามตามมาติดๆ เช่นกัน

ธันวารู้สึกเสียหน้าไม่น้อยที่ผู้เป็นน้าทำท่าทำทางเหมือนเห็นคนอื่นสำคัญกว่าญาติแท้ๆ ของตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ประเด็นสำคัญที่เขาสังสัยคือ ธันธเนศสำคัญอะไรนักหนาที่น้าของตนเองถึงขั้นต้องตามมาหาถึงที่

 

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ”

“หลายอย่าง ของชอบมึงทั้งนั้นแหละ”

“รู้ได้ไงว่าผมชอบอะไร”

“เอาเป็นว่าพี่รู้แล้วกัน พี่อยู่กับมึงมาเกือบปีแล้วนะ”

“มีทองม้วนสดด้วยอะ พี่แม่งรู้จริง”

“เออๆ กินเลย ซื้อมาให้แล้วน่ะ”

ผู้เป็นเจ้าของห้องดึงเก้าอี้ออกมาจากโต๊ะที่มีของกินวางอยู่เต็มไปหมด ก่อนจะนั่งลงเปิดกล่องขนมกิน

“พี่ไม่กินด้วยกันหรอ”

“ไม่อ่ะ มึงกินเลย ว่าแต่อาการมึงเป็นไงบ้าง”

“ก็ดีขึ้นมากแล้วพี่”

“แล้วพี่นึกครึ้มอะไรขึ้นมา อยู่ดีๆ ถึงได้ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ ปกติค่าก๋วยเตี๋ยวยังให้ผมเลี้ยงเลย”

อีกฝ่ายอ้ำอึ้งเมื่อได้ยินคำถามจากผู้เป็นรุ่นน้อง

“เอ๊า ก็เห็นมึงป่วย สงสาร” เขาแก้ตัว แววตาลอกแลก

“จริงหรือเปล่า พี่แอบคิดอะไรกับผมปะเนี่ย”

“เฮ้ย กูนายมึงนะ พูดอะไรให้เกียรติกันบ้าง”

“หยอกเล่นน่า”

“อะนี่” เจ้านายหนุ่มโยนบางอย่างมาตรงหน้าธันธเนศ

“อะไร”

“วิตามิน กินบำรุงตัวมึงเองบ้าง หักโหมงานหนักไป ก็เลยเป็นซะแบบนี้ไง”

“นี่กลัวไม่มีคนทำงานให้ ถึงกับต้องทำขนาดเลยเหรอ”

“อือ” ผู้แก่กว่าหลบตา

 

จรัญนั่งมองอีกฝ่ายนั่งกินสิ่งที่ตนเองซื้อมาอย่างเจริญอาหาร เมื่อเห็นว่าพิษไข้น่าจะทำอะไรผู้เป็นลูกน้องไม่ได้อีกแล้วก็โล่งใจ

“งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ ว่าจะแวะคุยกับหลานสักหน่อยก่อนกลับ”

“ได้พี่” ธันธเนศลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู ก่อนจะยกมือขึ้นกล่าวลา “ไงก็ขอบใจพี่มากนะ เรื่องขนมกับของพวกนั้น”

“เออๆ พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ กูยังอยากเห็นมึงที่ทำงานพรุ่งนี้”

“เออน่า บ่นเยอะเป็นคนแก่ไปได้”

 

การร่ำราของทั้งสองอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งตลอดเวลา ธันวาแอบมองสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกห้องผ่านทางช่องตาแมวของเขาอย่างเงียบๆ หลังจากได้ยินเสียงเปิดประตู อันที่จริงเขาก็พยายามเอาหูแนบประตูพยายามฟังเสียงสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องตรงข้ามตลอดตั้งแต่ผู้เป็นน้าชายเข้าไป แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรเลย นั่นยิ่งทำให้ความอยากรู้อยากเห็นในหัวเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีกเท่าตัว

ธันธเนศปิดประตูเมื่ออีกฝ่ายเดินไปเคาะห้องตรงข้าม

 

“ว่าไง ไม่เคยเห็นบอกเลยว่าพักอยู่ที่นี่ น้านึกว่าอยู่บ้านมาตลอดเลย”

“มันใกล้มหา’ลัยกับที่สอนมากกว่าอะ ขี้เกียจเผื่อเวลาเยอะๆ”

“แล้วนี่ได้เจอแม่เขาบ้างหรือเปล่า”

“ก็ไปช่วยงานเขาที่ร้านขายยาตลอดแหละ”

ชายหนุ่มตอบพลางมองสายตาของผู้เป็นน้าที่สอดส่องมองไปทั่วห้อง เพื่อพินิจพิเคราะห์ในความเป็นหลาน การตกแต่งห้องช่างสอดคล้องกับนิสัยส่วนตัว

“น้ารัญ”

“อืม มีอะไร”

“ถ้าผมถามอย่างหนึ่งน้าจะตอบผมตรงๆ ได้ไหม”

“ทำไมถามแบบนั้นวะ”

“ตอบผมก่อนสิว่าน้าจะไม่โกหกผม”

เนื่องจากจรัญมีอายุห่างกันกับพี่สาวซึ่งเป็นแม่ของธันวาถึงสิบปี ผู้เป็นพี่สาวจึงต้องคอยช่วยพ่อเลี้ยงน้องชายที่กำพร้าแม่ตั้งแต่วัยหัดเดินมาประหนึ่งเป็นแม่คนหนึ่ง เมื่อถึงคราวที่เธอมีครอบครัวมีลูกชายก็ยังต้องดูแลน้องชายไม่ได้ขาดตกบกพร่อง น้าหลานที่อายุห่างกันไม่เท่าไหร่ ทำให้จรัญกับธันวานั้นมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันประหนึ่งพี่น้องมากกว่าน้าหลาน มีอะไรก็ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง พูดคุยกันทุกเรื่อง ซึ่งบางเรื่องที่เกี่ยวกับธันวาคนเป็นแม่แท้ๆ อาจไม่รู้เท่าจรัญด้วยซ้ำ มีมาช่วงหลังๆ ที่ธันวาต้องมารับหน้าที่เป็นโค้ชสอนเทควันโดเอง จรัญก็ต้องมาดูแลกิจการสำนักพิมพ์ ด้วยภาระหน้าที่ที่มากขึ้น ทำให้ทั้งคู่ห่างๆ กันไปบ้างตามประสา

น้าชายนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตกลง

“เออๆ”

“ผมอยู่กับน้ามาตั้งแต่ผมจำความได้ แต่ผมก็ไม่เคยถามน้าจริงๆ จังๆ สักที น้าเป็นเกย์ใช่ไหม”

“ไอ้ธัน”

เขาผ่อนลมหายใจช้าๆ อย่างคิดหนัก แต่สิ่งที่ตนเองได้ตกปากรับคำไว้ก่อนหน้านี้ทำให้มิอาจปฏิเสธ

ธันวายังคงตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบด้วยท่าทีไม่ลดละ “น้าชอบผู้ชายใช่ไหม”

“อืม” เขาพยักหน้าช้าๆ ก้มมองต่ำเพื่อบดบังแววตา “มึงไม่...”

“ผมไม่แคร์หรอกว่าน้าจะเป็นอะไร ที่ผมแคร์คือน้าเป็นอะไรกับคนชื่อธันธเนศที่อยู่ห้องตรงข้ามผมต่างหาก”

“ถามเยอะไปเปล่า”

“ไม่รู้ล่ะ รับปากผมแล้ว”

“มึงคิดว่าไงก็ว่างั้น”

“โธ่น้า” ชายหนุ่มลากเสียงยาวอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง “เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอ ทำไมต้องเป็นคนนี้”

“ทำไมว่ะ ธันเขาก็น่ารักดีออก”

“น้าไม่รู้ฤทธิ์มันซะแล้ว”

“เรียกเขาดีๆ เขาเป็นพี่เราเยอะเลยนะ”

น้ำเสียงเชิงสอนกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เขาไม่ได้ยินมันมานาน

“โทษ”

ผู้เป็นน้านั่งมองหลานหนุ่มที่นั่งไม่สบอารมณ์อยู่ตรงข้าม

“ไม่พอใจอะไรวะ ก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย เนี่ย ยิ่งเราอยู่ตรงนี้ยิ่งดีซะอีก จะได้ช่วยน้าดูพี่ธันเขาด้วย เผื่อมีใครมาเกาะแกะ”

“ดีกับผีน่ะสิน้า”

“เอ๊า ทำไม”

“ก็... ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่านายธันธเนศอะไรนั่นน่ะ ไม่ได้น่ารักอย่างที่คิดหรอกนะ”

“แต่น้าทำงานกับเขามาเกือบๆ ปี ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเลวร้ายตรงไหนเลยนะ ก็แค่เป็นคนตรงๆ โผงผาง ไม่ยอมคนแค่นั้น ดีซะอีก น้าไม่ชอบคนหมกเม็ด”

“หึ แบบนี้ไม่ใช่แค่ชอบแล้วมั้ง” หลานชายหันมาค้อนผู้เป็นน้า “แล้วแน่ใจเหรอว่าเขาจะเล่นด้วย”

“ก็ไม่รู้ล่ะ ของอย่างนี้มันต้องลอง”

“ผมเห็นเขาสนิทสนมกับเด็กผู้ชายมอปลายคนหนึ่งอะ ไม่รู้เขาคบกันอยู่หรือเปล่า”

“น้ามั่นใจว่าน้ามาก่อน แล้วน้าก็ใช้เวลาอยู่กับธันเขามากกว่าด้วย ของอย่างนี้ใครดีใครได้”

“เขาไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยนะ เอาจริงๆ ออกแนวเถื่อนๆ ด้วยซ้ำ”

“ไหนสงสัยว่าเขาคบกับเด็กมอปลายไง ย้อนแย้งตัวเองนะเรา”

“ก็...” ชายหนุ่มคิดหาข้อแม้

“ก็ถ้ารักน้าก็ต้องเห็นดีเห็นงามกับน้า โอเคไหม”

เมื่อมองไม่เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ ชายหนุ่มจึงต้องจำยอมปล่อยให้สิ่งที่น้าตัวเองคิดว่าใช่ดำเนินต่อไปก่อน

 

ในขณะที่ลึกๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง เขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดปีศาจตนนี้ออกจากเส้นทางชีวิตของผู้เป็นน้าชายให้จงได้ แม้เขาจะรู้อยู่เต็มเปาว่าคนอย่างธันธเนศไม่มีทางยอมตกล่องปล่องชิ้นกับจรัญเป็นแน่แท้ แต่ก็อย่างว่า น้ำหยดลงบนหินทุกวัน หินมันยังกร่อน



... ก่อนเหมันต์ ...

หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-02-2018 22:39:27
โห พี่ธันคนสวยเลือกได้ เสน่ห์แรงจริงๆเลย
 :m20:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 26-02-2018 22:43:16
 :pig4: :mew3: :katai1:รอค่ะๆ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-02-2018 23:04:40
กีดกันไม่ให้น้าชอบ
กลั่นแกล้งเขาอีก เหมือนเด็กๆ
เพราะลึกๆในใจชอบเองหรือเปล่า  :hao3: :hao3: :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-02-2018 23:06:27
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-02-2018 23:09:25
 :pig4: :pig4: :pig4:

คือจะกีดกันน้ารัญเพื่อเก็บพี่ธันไว้กับตัวเองก็บอกมาเถอะ  ทำเป็นชักแม่น้ำทั้งห้า  ชิส์
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-02-2018 00:18:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 27-02-2018 00:43:05
มีแต่คนมารุมจีบ,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-02-2018 08:54:46
กั๊กใว้เองอ่ะดิ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 27-02-2018 09:09:32
ทำเป็นขวางคนอื่น ใจลึกๆจริงๆก็ชอบเขาละว้าาา 55555555555555 ปช สายซึน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nuum ที่ 27-02-2018 14:02:59
แต่งหนุกดีครับ

         :pig2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 27-02-2018 22:56:05
ไม่โอเคตรงที่ธันวาแกล้งคนป่วย คือรำคาญแล้วนะอะไรนักหนาต่างคนต่างอยู่ไปสิมาวอแวแกล้งเขาทำไมทั้งๆที่คนผิดตั้งแต่เริ่มก็คือธันวาแท้ๆ เป็นนักกีฬาจริงๆเหรอ นิสัยไม่แมนเลย ผิดก็ไม่ยอมรับว่าผิด แกล้งเขาทั้งๆที่รู้ว่าป่วย นิสัยแบบนี้คนดีๆเขาไม่ทำกันหรอกนะ มาทำตัวน่ารำคาญมากๆ น่าจะให้พี่ธัญเตะก้านคอซะให้เข็ด
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 28-02-2018 02:54:03
แหม่... เสน่ห์แรงจริงเฟ้ยยยยย
พี่ธันจะเลือกใครค๊าาาาา?
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 28-02-2018 07:55:03
จะเก็บไว้กินเองอ่ะดิ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 4 (26/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 04-03-2018 17:15:03
5
เอาคืน



“พี่คะ”

“ครับ” ธันธเนศหันไปตามเสียงเรียก

“พี่จำหนูได้ไหมคะ” หญิงสาวในชุดนักศึกษาหอบข้าวของพะรุงพะรังถามขึ้น

ใครมันจะจำต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองโดนหาว่าเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วไปเที่ยวอ่อยผู้ชายแปลกหน้าไม่ได้

“อ๋อครับ มีอะไรหรือเปล่าน้อง” เขายิ้มรับพร้อมเก็บความสงสัยไว้

“พี่อยู่ห้องตรงข้ามพี่ธันวาใช่ไหมคะ พอดีหนูจะฝากโจ๊กไปให้พี่เขาหน่อย วันนี้หนูต้องรีบกลับบ้านน่ะค่ะ”

“จะดีเหรอครับน้อง” ชายหนุ่มทำท่าลังเล แต่แล้วบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัว “ได้เลยครับ” เขาตอบรับอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกบางอย่างได้

“ขอบคุณพี่มากเลยนะคะ”

“ไม่เป็นไรๆ”

“งั้นหนูไปก่อนนะคะ แม่รออยู่”

“เอ๊อ เดี๋ยวน้อง รู้ได้ไงว่าพี่อยู่ห้องตรงข้ามแฟนน้อง”

“พี่เขาเคยเล่าให้หนูฟังค่ะ เอ่อ... หนูขอโทษด้วยนะคะเรื่องโจ๊กนั่น”

“อ๋อๆ ไม่เป็นไร พี่ลืมมันไปละ”

 

 

กว่าธันวาจะกลับมาจากยิมเทควันโดก็ปาไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว เพราะฤดูกาลแข่งขันที่ใกล้เข้ามาเต็มที เขาจึงต้องซ้อมให้เด็กๆ ในสังกัดให้หนักขึ้นเท่าตัว

เมื่อเห็นโจ๊กถูกแขวนอยู่หน้าประตู ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขายังไม่ได้โทรกลับหาลักขณาตามที่นัดกันไว้

 

“อืม พี่เพิ่งถึงน่ะ”

“เห็นแล้วครับ ขอบใจยีนส์มากนะ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เอาเข้าอุ่นในไมโครเวฟก็กินได้แล้ว”

“จะนอนแล้วเหรอ”

“ได้ ฝันดีครับ”

“ฮ่าๆ ฝันถึงพี่ก็ได้”

 

ธันธเนศที่ยืนเอาหูแนบอยู่ข้างประตูกรอกตาหลังจากได้ยินเสียงเลี่ยนหูดังอยู่ในโถงทางเดินหน้าห้องเขา จากที่ฟังดูแล้ว แฟนสาวของอีกฝ่ายน่าจะไม่ได้บอกว่าจริงๆ แล้วใครเป็นคนเอาโจ๊กมาแขวนไว้ ไม่อย่างนั้นธันวาอาจจะเปลี่ยนใจไม่กินมัน เพราะคงระแวงในสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้

 

 

กลางดึกสงัดที่ธันธเนศกำลังหลับใหลไร้สติ แต่แล้วก็ต้องรู้สึกตัวตื่นเมื่อได้เสียงเคาะประตูห้องอย่างเบามือที่ไม่รู้ว่าดังมานานเท่าไหร่แล้ว เขาตัดสินใจลุกขึ้นมาส่องดูตาแมวก็ไร้ซึ่งเจ้าของเสียงเคาะ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจเปิดประตูดูให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่คาใจ ก่อนจะหันไปเห็นใครบางคนยืนตัวงอเป็นกุ้งอยู่ข้างๆ ประตู แขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนผนังเพื่อรองหน้าผากที่ซบอยู่บนผนังไว้ ใบหน้าเหยเกซีดเซียว เหงื่อซึมบนหน้าผาก

“เฮ้ย” ธันธเนศทั้งตกใจและแปลกใจ “เป็นอะไร!?”

“ผมท้องเสีย”

หึ     ผู้เป็นเจ้าของห้องแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ

“ท้องเสียก็หาหมอดิ ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกนะ”

“พอดีห้องผมน้ำไม่ไหลเอาดื้อๆ ขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหม”

น้ำเสียงที่แผ่วเบาและฟังดูไร้เรี่ยวแรง ทำให้ธันธเนศเริ่มเห็นถึงระดับความหนักหนา เขาจับจ้องใบหน้านั้นชัดๆ อีกครั้ง สีหน้าไม่สู้ดี ปากซีดแห้งกรังบ่งบอกถึงอาการขาดน้ำ มือหนึ่งกุมท้อง บ่งบอกว่าไม่ใช่เรื่องแต่งมาเพื่อก่อกวนเขาเหมือนครั้งไหนแน่ๆ

“อืมได้ๆ เร็วหน่อยแล้วกัน จะนอน”

 

ธันธเนศนั่งรออีกฝ่ายเข้าห้องน้ำอย่างจดจ่อ ก่อนประตูจะเปิดออกช้าๆ พร้อมกับร่างที่อิดโรยคลานออกมาอย่างหมดสภาพ

“คุณ...” เสียงอ่อนแรงเรียกผู้เป็นเจ้าของห้องอย่างแผ่วเบา

ธันธเนศดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง

“ช่วยผมด้วย ผมไม่ไหวแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลย”

หรือเขาเล่นแรงไป!

ความรู้สึกผิดประดังเข้ามาทันที ความกังวลปรากฏออกมาทางสีหน้า เขารีบพยุงร่างที่นอนแผ่อยู่หน้าห้องน้ำขึ้น ก่อนจะประคองไปนั่งที่โซฟาที่ใกล้ที่สุด

“รอผมเดี๋ยว”

เขาคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับเสื้อยืดบางๆ ก่อนจะคว้ากุญแจรถ แล้วประคองร่างอ่อนแรงนั้นออกไป

แม้จะเป็นการแก้แค้นที่ตนเองเคยถูกอีกฝ่ายกระทำก่อน แต่นี่มันก็แรงเกินไปเมื่อเทียบกัน เขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป

 

 

เวลาตีสามนิดๆ ธันธเนศนั่งมองนาฬิกาจากโทรศัพท์ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างกังวล ไม่ใช่เพราะว่าธันวา ยังไงก็ถึงมือหมอแล้วแค่ท้องเสียแค่นี้คงทำอะไรไอ้เด็กนั่นไม่ได้หรอก แต่เพราะงานที่รออยู่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าต่างหาก

 

“ตอนนี้คนไข้เสียน้ำมาก โชคดีที่มาถึงมือหมอเร็ว ถ้าช้ากว่านี้อีกสักนิดคนไข้อาจช็อกได้ เบื้องต้นผมได้ให้ทานยาและเกลือแร่ไปแล้ว คงต้องให้นอนรอดูอาการก่อนสักพัก ยังไงถ้าพรุ่งนี้ดีขึ้น ก็อาจจะกลับได้ เดี๋ยวผมจะสั่งยาที่จำเป็นให้อีกที”

“ขอบคุณครับหมอ”

 

เขายืนมองอีกฝ่ายที่นอนหมดสภาพอยู่บนเตียงผู้ป่วยของโรงพยาบาลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เตียง พลางนึกกล่าวโทษตัวเองที่ทำอะไรเกินขอบเขตไปเสียได้

 

 

แสงสว่างและเสียงนกดังลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดไว้ ธันวาปรือตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะพบว่าใครบางคนนอนขดตัวอยู่บนโซฟาใกล้ๆ เขาจ้องมองร่างนั้นอยู่สักพัก ก่อนเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นปลุกให้คนที่นอนอยู่สะดุ้งตื่น หนุ่มนักเทควันโดแสร้งหลับตาลงดังเดิม

“ว่า?”

“นี่มันเพิ่งจะกี่โม-” ตาที่มองนาฬิกาข้อมือเบิกกว้าง “ฮึ้ยพี่! ผมขอไปสายวันหนึ่งนะ พอดีมีเหตุนิดหน่อย”

เขาไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวว่าคนเป็นน้าจะห่วงหลานเอา

...

“บ่นเป็นคนแก่ไปได้น๊า อีกชั่วโมงนึงเจอผมที่ออฟฟิศแน่นอน สัญญา”

 

คนที่แกล้งหลับตานอนฟังเสียงของความเคลื่อนไหวเบาๆ อยู่ในห้องสักพักก่อนจะเงียบไปพร้อมกับเสียงปิดประตู

ธันวาลืมตาขึ้น ก่อนจะเงยมองโน๊ตเล็กๆ ที่โต๊ะข้างหัวเตียง

 

‘ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเคลียร์ให้แล้ว
กลับเองได้นะ? โตแล้ว’


รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นโดยที่เจ้าตัวเองไม่มีรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

 

 

“อะ พี่ชงโอวัลตินมาให้”

ธันธเนศละสายตาจากหน้าคอมฯ เหลือบมองเครื่องดื่มสีข้นอุ่นๆ ในแก้ว ก่อนจะค้อนมองผู้เป็นเจ้าของมัน

“ทำตัวแปลกๆ นะช่วงหลังๆ มาเนี่ย กลัวผมหนีไปหางานใหม่เหรอ”

“เอาน๊ะ คนมีน้ำใจทำมาให้ มึงก็อย่าใจดำนักเลย”

เวลาทำงานของเขาสมาธิต่อสิ่งที่กำลังเขียนสำคัญที่สุด เขาหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาจิ้มนิ้วมือทั้งสองข้างบนคีย์บอร์ดต่อ

“แล้วที่จะให้ไปสัมภาษณ์หลานพี่อะ พร้อมยัง เป็นชาติแล้ว”

“เออๆ รอมันหา- มะรืนอะ”

“เมื่อกี้พูดว่าอะไร รอมันอะไร”

“เปล่าๆ หูแว่วไปเองหรือเปล่า อายุเยอะแล้วแล้วก็เงี้ย”

“พูดดีๆ ถึงจะอายุเยอะแต่ก็ฟิตนะเว้ย พร้อมสู้ทุกศึก”

“เออๆ เรื่องของพี่เถอะ นี่มันเวลางา-”

“หยุด” บรรณาธิการหนุ่มดักคอ “มึงจะไล่พี่กลับไปทำงานอีกแล้วใช่ไหม ไปให้ก็ได้ว่ะ” จรัญมองแก้วโอวัลตินที่ยังไงก็คงถูกทิ้งให้เย็นทิ้งไปโดยไร้ซึ่งการแตะต้องแน่ๆ ก่อนจะจำใจเดินคอตกกลับที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

 

 

“ธันวาครับ” เสียงปลายสายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา

“สวัสดีครับ ผมธันธเนศจากเบสต์นิวส์นะครับ จะขอนัดสัมภาษณ์ลงสกู๊ปพิเศษของหนังสือพิมพ์น่ะครับ สะดวกเป็นมะรืนไหม”

ปลายสายแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ทันทีเมื่อรู้ว่าปลายสายคือใคร

“แหม พูดซะเพราะเชียว ไม่ต้องทางการกับผมมากก็ได้”

ธันธเนศกัดฟันกรอด

“สรุปสะดวกไหมครับ ถ้าไม่สะดวก...” “สะดวกสิครับ มีนักหนังสือพิมพ์รูปหล่อ ไฟแรงมาขอสัมภาษณ์ทั้งที ผมจะอิดออดได้ยังไงกัน”

“ดี งั้นก็ตามนี้เลยนะครับ ผมขอนัดเวลาเป็นพรุ่งนี้ ตอนบ่ายโมงที่...” “ที่ห้องผม” ยังไม่ทันจะพูดจบ ปลายสายก็ขัดด้วยประสงค์ของตนเองทันควัน

ธันธเนศผงะเล็กน้อย เนี่ย เขาเรียกอิดออด แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้

“ไม่ดีมั้งครับ ผมอยากให้สถานที่มันดูทางการๆ หน่อย เพราะต้องถ่ายรูปประกอบลงสกู๊ปด้วย”

“ถ้าไม่ใช่ห้องผม ก็จบกันครับ”

เรื่องของมึง

แต่ก็ได้แค่คิด

“เอางั้นก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นมะรืนบ่ายโมง เจอกันที่ห้องคุณแล้วกัน” เขากดวางสายทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดอะไรมาสะกิดให้ความอดทนระเบิดออก

 

 

“เวลาสู้ อย่าคิดเยอะ รอดูว่าอีกฝ่ายเปิดช่องให้มึงตรงไหน ก็เข้าเลย อย่าสบตามัน สายตาเราจะบอกอีกฝ่ายว่าเรากำลังจะเข้าตรงไหน มองแค่ว่ามันเปิดให้เราตรงไหน เมื่อเข้าได้แล้วอย่าหยุด อย่าปราณี เพราะคู่ต่อสู้เขาก็ไม่ปราณีเราเหมือนกัน คิดเสียว่าตรงหน้าคือคนที่มึงเกลียดเข้ากระดูกดำ และที่สำคัญอย่าสติหลุดเมื่อโดน ให้กลับมาตั้งตัวให้เร็วที่สุด โอเค๊ เอาทีนี้ไหนลองอีกที”

เขาพูดพลางถอยออกมาตั้งการ์ดรอ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะออกอาวุธ

ผัวะ!

“กูบอกว่าอย่าท่าเยอะ ตั้งตัวให้มั่นแล้วเข้าเลย รอเหี้ยไร”

เด็กหนุ่มลูบหัวป้อยๆ หลังโดนเป้าล่อเตะฟาดเข้าที่หัว

 

 

“เอาล่ะๆ วันนี้พอแค่นี้ อย่าลืมว่าวันที่ยี่สิบห้านี้คือวันแข่งแล้ว กลับบ้านไปอย่านิ่งดูดาย อะไรที่ซ้อมด้วยตัวเองได้ก็หมั่นซ้อมเยอะๆ รู้ว่ามีจุดอ่อนตรงไหน พยายามหาทางแก้ไขเสีย อย่ารอให้บอกให้สอนอย่างเดียว เข้าใจไหม!”

โค้ชหนุ่มยืนกอดอกออกคำสั่งท่าทีขึงขังต่อหน้าเหล่านักกีฬาหลากวัยที่ยืนอย่างเป็นระเบียบตรงหน้า

เสียงตอบรับอย่างเข้มแข็งดังเซ็งแซ่

 

 

“เป็นไง” หนุ่มร่างอวบเดินมาจับใจเด็กหนุ่มที่กำลังผลัดเสื้อผ้า “โดนแบบนี้ แล้วยังจะให้มันสอนอยู่ไหม”

“คิดว่าผมกลัวเหรอ ซาดิสท์แบบนี้แหละผมชอบ”

แป๊ะ!

สายผ้าสีดำแข็งๆ ปริศนากระทบเข้าที่ท้ายทอยผู้พูดอย่างจัง จนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง เสียงสูดปากดังขึ้นจากผู้เห็นเหตุการณ์ ขณะเจ้าตัวกำลังจะหันไปสวนก็ต้องหยุดทันควันเมื่อรู้ว่าเป็นใคร รอยยิ้มแห้งๆ ปรากฏขึ้น

“ซาดิสท์แบบนี้ใช่ไหม” เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยพูดขึ้นเมื่อเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ

 

ธันธเนศถอดชุดขาวออกทีละชิ้น ราชวุฒิยืนมองตาเยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ผิวขาวละมุน หัวนมชมพูเด่นชัดบนหน้าอกที่กำลังน่าขยำ กล้ามหน้าท้องที่เป็นลอนจางๆ หน้าซบ เรียวแขนมีกล้ามที่อาจน้อยกว่าเขาแต่ก็กำลังดี

นี่มันผู้ชายที่อยู่ในอุดมคติของผู้ชายที่ชอบผู้ชายส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ เผลอๆ ผู้ชายแท้ๆ ก็อาจเคลิ้มได้โดยไม่รู้ตัว คนอะไรน่าฟัดชิบหาย

“เฮ้ย” เสียงที่มาพร้อมกับอาการเจ็บแปลบตรงข้างเอวทำเอาคนที่กำลังเคลิ้มสะดุ้งอีกครั้ง “มองห่าไร ทะลึ่งแล้วไอ้นี่” ตาขวางพูดก่อนจะหันกลับไปสวมเสื้อตัวเองให้เสร็จ

 

“ไปกินข้าวกัน” หนุ่มนักคาราเต้รุ่นน้องพูดขึ้นหลังจากที่วิ่งตามธันธเนศออกมาติดๆ

“ชวนกูกินข้าวทุกวันมึงไม่เบื่อเหรอ เป็นกูๆ เบื่อนะ อยากกินอะไรก็ต้องคอยมาชวนคนนู้นทีคนนี้ที สู้ไปคนเดียวสบายใจ อยากไปไหนก็ไป”

“ไม่อะ กินข้าวกับพี่ให้ชวนกี่ทีผมก็ไม่เบื่อหรอก”

“ถุ้ย กูจะอ้วก เพราะมึงคารมแบบเนี้ย สาวๆ ถึงได้ตามกรี๊ดกัน”

“ผิดมหันต์ ผมพูดแบบนี้กับพี่แค่คนเดียวเท่านั้น”

“โคตรเกย์ อย่ามาพูดเล่นกับกูแบบนี้อีกนะ ขนลุก”

“ไม่ได้พูดเล่น”

เขาหันไปมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ สายตาของอีกฝ่ายแม้จะมองไปยังข้างหน้ามันกลับบอกเขาจริงๆ ว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มราชวุฒิพูดไม่ใช่แค่การล้อเล่น เล่นเอาคนใจกระด้างและเย็นชาอย่างเขาเป๋ไปไม่เป็นท่าเหมือนกัน

สายตาอบอุ่นหันมามองยังคนที่สูงน้อยกว่า

“เขินหรอ”

เขาหลบตา หันกลับไปจ้องมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้าบ้าง “เขินห่าไร”

“เนี่ย เขาเรียกเขิน”

“ถ้ายังอยากเก็บปากไว้กินข้าวก็เงียบ”

“เนี่ย พี่ก็เก่งแต่ใช้กำลัง จนบางครั้งผมก็แอบคิดนะว่าพี่กำลังใช้มันเพื่อปิดซ่อนบางอย่างอยู่หรือเปล่า ถ้าลดลงบ้าง คงไม่ใช่แค่ผมที่-” หมัดที่กำแน่นพุ่งตรงไปที่ท้องของผู้ที่เดินอยู่ข้างๆ ก่อนที่ประโยคนั้นจะจบลง แต่ราชวุฒิขยับหลบได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เขาเริ่มจับทางหนุ่มรุ่นพี่ได้บ้างแล้ว มือหนายื่นมากำหมัดหนักไว้ได้อย่างทันท่วงที

“ปล่อย” เสียงแข็งเอ่ยขึ้น

“ไม่”

“กูเพื่อนเล่นมึงหรอ”

“อยากให้เป็นมากกว่านั้นไหมล่ะ”

สายตาเลศนัยของหนุ่มรุ่นน้องจ้องมายังเขา จนธันธเนศรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งใบหน้า ไม่ใช่เพราะเขินอาย แต่มันคือความรู้สึกบางอย่าง ที่เขาไม่อาจอธิบายได้ เมื่อตั้งสติได้ กระเป๋ากีฬาที่เคยพาดเฉียงอยู่บนบ่าก็เหวี่ยงเข้าที่กลางลำตัวของเด็กหนุ่มทันที

“โอ๊ย จุกนะพี่” คนที่ถูกกระทำตัวงอเป็นกุ้ง

“เล่นกับใครไม่เล่น” ใบหน้าเรียบเฉยเดินนำออกไปอย่างไม่ใยดี

“รอผมด้วย”

 

 

“เป็นไงบ้างพ่อหนุ่ม ชีวิตพนักงานออฟฟิศ”

เสียงที่คุ้นเคยดังแว่วออกมาทางโทรศัพท์ นี่เป็นวันหยุดอีกวันที่แม่ของเขาโทรมาปลุกตั้งแต่เช้า และเรื่องที่เธอกำลังจะพูดต่อไปก็คงเป็นเรื่องเดิมๆ

เขานิ่งฟัง

“อีกกี่เดือนจะครบปี”

“สาม”

“งั้นก็ใกล้ถึงวันให้คำตอบแม่แล้วสิ”

นั่นไง

เขาพลิกตัว พร้อมกับถอนหายใจยาว แสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามากระทบลงบนใบหน้าเขา

“ขอเวลาอีกหน่อยไม่ได้เหรอแม่”

“แม่น่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่พ่อเขาน่ะสิ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”

“แต่ผมเพิ่งจบมาเอง ให้เวลาผมได้พักสมองบ้างได้ไหม เรื่องเรียนต่อ อีกกี่ปีก็ยังไม่สายหรอก”

“ธัน ลูก แต่ธุรกิจของพ่อเขาต้องรีบหาคนมาช่วยดู ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อีกอย่างที่อังกฤษคุณอาเขาก็เตรียมพร้อมที่ทางอะไรไว้หมดแล้ว รอแค่ลูกพร้อมไปอยู่กับเขา”

“ผมบอกแม่ตั้งหลายครั้งแล้วว่า ไอ้เรื่องโรงแรมที่สมุยน่ะ จ้างคนฝีมือดีๆ มาช่วยพ่อดูแลซะก็สิ้นเรื่อง”

“แต่พ่อเขาต้องการให้คนในครอบครัวมาดูแลไงลูก ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ไม่รู้”

“ก็ให้ไอ้มีนมันช่วยดูไปก่อนได้ไหม”

“เอ๊ะแกนี่มันยังไง มีนเขาก็มีธุรกิจของสามีเขา ทุกวันนี้ต้องวิ่งวุ่นหัวหมุน ทั้งช่วยพ่อแก ทั้งช่วยพ่อกล้าเขาดูไร่ที่เชียงใหม่อีก แกอ่ะ ควรทำตัวให้เป็นประโยชน์กว่-” ตู้ดๆๆๆ

เขาคิดอยู่แล้วว่ายังไงการสนทนามันก็ต้องจบลงแบบนี้ ในทุกวันหยุด เขาจะต้องมาคอยรับฟังและตอบคำถามผู้เป็นแม่เช่นนี้เสมอ และทุกครั้งก็ต้องจบลงด้วยการเถียง หรือทะเลาะเช่นนี้เรื่อยไป

ธันธเนศคิดอยู่เสมอว่า เขาอยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเองบ้าง ได้ลองทำในสิ่งที่ใช้ความสามารถของตัวเองจริงๆ ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเรียน ได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันด้วยมือของตัวเองสักครั้ง แต่มันก็ไม่เคยเป็นแบบนั้นตั้งแต่เขาจำความได้ ชีวิตเขาถูกขีดให้อยู่ในกรอบของผู้เป็นปกครอง

และครั้งแรกที่เขาตัดสินใจหนีออกจากรอบนั้นก็คือตอนเข้ามหาวิทยาลัย โดยเขาเลือกที่จะสละสิทธิ์ในสาขาวิชาเกี่ยวกับการบริหารในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ต่างประเทศ ซึ่งทั้งพ่อและแม่ตั้งใจจะให้เขาเรียนให้ได้ แล้วมาเรียนอะไรที่มันไม่หนักสมองจนเกินไป และได้ใช้ชีวิตของเขาเองที่เมืองไทยนี้ หลังจากที่เหนื่อยมามากพอแล้วกับทุกวันในชีวิตมัธยม

แต่กระนั้น หลังเรียนจบ พ่อและแม่ของเขาก็มิวายขีดเส้นให้เขากลับเข้าไปในกรอบเดิมนั้นให้ได้ นั้นคือการที่เขาต้องไปเรียนต่อในหลักสูตรบริหารธุรกิจและการจัดการที่อังกฤษ เพื่อนำความรู้กลับมาช่วยผู้เป็นพ่อดูแลธุรกิจโรงแรมหรูระดับห้าดาวที่เกาะสมุย และอีกหลายแห่งในภาคใต้ของไทย

แม้ที่บ้านเขาจะรวยระดับแถวหน้าของเมืองไทย แต่ธันธเนศกลับใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติ แม้จะมีคอนโดในกรุงเทพฯ ทำเลทองที่เป็นสมบัติของครอบครัว แต่เขาก็เลือกเช่าคอนโดสภาพห้องพออยู่ได้ราคาไม่ได้แพงอะไร กินอยู่ง่ายๆ สบายๆ เหมือนคนวัยแรกทำงานคนอื่นๆ ไม่เคยเปิดสถานะที่แท้จริงให้ใครรู้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเบื่อความเจ้ากี้เจ้าการของที่บ้านเต็มทน เงินทุกบาททุกสตังที่เขาใช้ร่ำเรียนและใช้จ่ายในการดำรงชีวิตก็มาจากเงินเก็บหอมรอมริบของเขาและมาจากการทำงานเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความสามารถของตัวเองมาตั้งแต่เข้าเรียนมัธยมปลาย

ซึ่งผิดกับมีนา ผู้เป็นพี่สาวฝาแฝด ที่ไม่ว่าจะทำอะไรที่บ้านก็เห็นดีเห็นงามไปเสียหมด แม้จะเรียนไม่จบและชิงแต่งงานมีสามีไปก่อน ก็ยังเป็นที่ชื่นชมของพ่อและแม่ ก่อนหน้านั้นไม่ว่าเธอจะเลือกทางเดินแบบไหน และมีความคิดความอ่านอย่างไรก็ไม่เคยถูกขัดขวางเลยสักครั้งเดียว จนเขาอดที่จะคิดไม่ได้ว่า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน

การที่ให้เขาเข้าไปดูธุรกิจ ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตธุรกิจนั้นจะตกเป็นของเขา กลับกัน หน้าที่เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับลูกจ้างคนหนึ่ง เมื่อถึงเวลามันอาจจะตกเป็นของอีกคนไปโดยปริยาย ซึ่งเรื่องนี้เขารู้ดีอยู่แล้ว

 

ใบหน้านิ่งเฉยถอนหายใจอย่างแผ่วเบาหลังพลิกตัวนอนหงาย ดวงตากลมโตจ้องมองเพดานห้องอย่างเลื่อนลอย ความคิดมากล้นวนเวียนอยู่ในหัว



... ก่อนเหมันต์ ...

หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-03-2018 17:41:58
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-03-2018 18:26:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

ธันธเนศ  ไม่ทำมะดาจินๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kkmm ที่ 04-03-2018 19:03:43
ชอบแนวนี้
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-03-2018 19:26:55
โหยย ถึงขั้นวางวาไปเลยหรือ ไม่โหดไปหน่อยหรือธัน
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 04-03-2018 19:46:10
โถ่ๆสงสารธันจังชีวิตครอบครัวดูมืดมน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-03-2018 20:53:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 04-03-2018 22:08:38
ไม่ชอบเด็กตี๋เลย รู้สึกลามปาม เด็กธันวาก็ไม่ชอบ นิสัยไม่ดี สรุปพี่จรัญเป็นพระเอก 5555555555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 04-03-2018 22:36:58
เล่นแรงนะเราอ่ะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 04-03-2018 22:43:19
ทำไมเรารู้สึกว่าเด็กราชวุฒิ แลดูลามปาม???
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 04-03-2018 23:03:45
 :pig4: :katai1: :katai1: :mew2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-03-2018 23:22:30
 :hao4:

ฉีกซอง น้ำร้อนล่ะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 05-03-2018 00:55:04
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 05-03-2018 15:13:52
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 06-03-2018 02:44:59
สรุปว่า ธันวายังเป็นพระเอกอยู่มั้ยคะ 55555555555 ออกน้อยตีๆ เด็กราชวุฒิจะทำคะแนนนำละเด้อ รีบหน่อยพ่อคุณณณ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 06-03-2018 14:38:28
บวกเป็ดให้ครับ

ชอบๆ

เชียร์ทั้งธันทั้งตี๋เลย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 06-03-2018 15:44:07
ตอนที่แล้วว่าธันไว้ว่านิสัยแย่ที่แกล้งคนป่วย มาตอนนี้พี่ธัญก็พอกันเลยแกล้งกลับโดนการใส่ยาถ่ายแรงไปนะพี่นะ กับราชวุฒินี่ก็เหมือนพี่ธัญจะแอบหวั่นไหวเล็กๆแล้วรึเปล่า นี่ยังแอบคิดว่าหรือพี่แกจะตกลงคบกับเด็กกันนะเพราะกับธันตอนนี้ไม่เห็นวี่แววจะญาติดีกันสักนิด
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 06-03-2018 22:09:41
นึกว่าจะเป็นเพียงแค่คนธรรมดา. แต่ที่ไหนได้ ทายาทเจ้าของโรงแรมศะด้วย. แต่คงจะวุ่นวายน่าดู,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 10-03-2018 14:00:54
หว่าย พี่ธันกลายเป็นลูกคนรวยไปซะละ หลงคิดว่าเป็นคนเดินดินธรรมดาเฉยๆตั้งนาน55

เชียร์เด็กอ่ะ ทำไงดี เผลอลงเรือไปแล้ว และเรือมันต้องล่มแน่ๆ (T_T)
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 13-03-2018 00:51:50
แวะมาดูธัน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-03-2018 01:41:54
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: สนุกๆๆๆๆๆ ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 17-03-2018 13:23:57
รอครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: pui_noizๆ ที่ 18-03-2018 00:46:42
แหะๆ เอาจริงคือเรายังไม่ได้อ่านเนื้อเรื่องนะ แต่เราสะดุดกับชื่อเรื่องภาษาอังกฤษน่ะ เราก็ไม่ได้เก่งอิ๊งเราเลยก็งงๆ ว่ามันแปลว่าอะไร เราจะคุ้นว่า opposite มักใช้เป็นตัวขยายนามซะมากกว่า พอเราเจอ room ขึ้นมานำ ก็เลยเอ๊ะ หรือ จะใช้ opposite ในรูปของนาม แล้วก็เป็น นามซ้อนนาม และสุดท้ายจะแปลว่าอะไร หว่าโอ๊ยงงมากมาย คิดไม่ออก จำไม่ได้ คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว 555 :z3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 18-03-2018 01:45:16
น้องตี๋ไม่โอ..ธัญก็ไม่ดี..ม้ามืดอย่างพี่รัญก็น่ารักนะเนี่ย...เชียร์เลย  :ped149:

แล้วนู๋ธัญจะเลือกใคร..เนื้อหอมเชียว..มีให้ขบเคี้ยวทุกช่วงอายุ  :5555:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 18-03-2018 04:03:52
โอ้ยย พึ่งมาเจอดีงามมากกก
ธันจ้ะกินเด็กจะเป็นอมตะนะจ้ะ ถ้าอยากจะอมตะละก็ต้องกินแบบมัธยมด้วยนะจ้ะ
โอ้ยเขินแทนธันเลยน้องตี๋แกดูลามปามก็จริงแต่ความเป็นจริงผู้ชายก็เงี้ยแหละคับสนิทกันไวก็ไม่แปลกซ้อมให้กันตลอด
ถึงจะไม่ได้เขียนออกมาให้อ่าน แต่มันก็รู้ได้ว่าเอ้อซ้อมกันหลายครั้งละ สนิทกันมากพอที่ตี๋มันแน่ใจละว่ารุกพี่เค้าได้ละ
แล้วความรู้สึกธันเองก็มีแอบๆไหวๆอยู่ด้วยไง มันยืนยันถึงความเปิดใจให้เขาจีบอะ แต่ธันมีสตอรี่ที่ต้องดูกันอีกนาน
เห้ออ พิมซะยาวแต่พระเอกดันไม่ใช่คนนี้ไง  :hao5: :seng2ped:
ยังไงก็รีบมาต่อนะคับ เป็นกำลังใจให้ อยากอ่านต่อแล้วว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 21-03-2018 02:33:30
รอเจ้าอยู่เด้ออออ คำแพงงง
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 22-03-2018 20:40:58
เชียร์เฮียรัญได้ไหม? น่ารักอ่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 5 (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 22-03-2018 22:26:06
6
สัมภาษณ์



ธันธเนศถอยหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูห้องๆ หนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องเข้ามากนัก แค่ตรงข้ามกัน หลังจากที่ยืนทำใจอยู่นานสองนาน

ไม่นานหลังจากเสียงเคาะเบามือดังขึ้น ก็มีเสียงของความเคลื่อนไหวภายในห้องนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ประตูบานหนาหนักจะเปิดออก ร่างสูงยืนค้ำขอบบนประตูที่ความสูงไล่เลี่ยกันมองหนุ่มนักหนังสือพิมพ์ยืนห่อไหล่อยู่ด้านนอก ก่อนที่รอยยิ้มที่ดูไม่น่ายินดีนักของเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้น

“หวัดดี” คนในห้องกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มที่ดูยังไงก็ไม่น่ายินดี

“อือ” อีกฝ่ายกล่าวตอบ

...

“จะให้เข้าไปไหมสรุป”

“อ้อ เชิญจ้าคุณนักข่าว” แม้จะกล่าวเชิญชวนแต่ร่างหนาก็ยังคงยืนขวางอยู่อย่างนั้น ธันธเนศจึงเดินแทรกเข้าไปอย่างรำคาญ

มันจะได้จบๆ ไปเสียที

เมื่อผ่านประตูเข้าไป ภาพแรกตรงหน้าคือมุมรับแขกที่มีโซฟาเรียบๆ แต่ดูมีราคากับโต๊ะตัวเตี้ยที่รูปทรงแปลกตาตัวหนึ่ง บนพนักพิงของโซฟามีกางเกงที่น่าจะผ่านการใช้งานมาแล้วสองสามตัวพาดอยู่ ธันธเนศหยุดยืนอยู่ตรงนั้น

ก่อนที่เจ้าของห้องที่เหมือนจะรู้ตัวแล้ว เดินแซงเขาเข้ามาแล้วรวบกางเกงสามตัวนั้นก่อนจะถือมันมาเหวี่ยงลงบนที่นอน

ธันธเนศยืนตัวแข็งทื่อเมื่อบางอย่างลอยละลิ่วออกมาจากเจ้าสามตัวนั้นลงมากองลงตรงหน้าเขาพอดิบพอดี

กางเกงใน!

แม้จะเป็นกางเกงในชาย แต่มันก็ไม่ใช่ของเขา และที่สำคัญ มันต้องผ่านใช้งานมาแล้วแน่ๆ เพราะคราบบนนั้นที่เด่นสะดุดตามันบอกสถานะของตัวมันเอง

“เชิญนั่งเลยครับ ผมเคลียร์ให้ละ”

“แน่ใจ?”

ธันธเนศพูดพลางเหลือบลงมองสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้

“กางเกงใน” เจ้าของห้องผู้ไม่ได้มีสีหน้าทุกร้อนหรือเขินอายกล่าวขึ้น

“อือ เห็นเป็นหมวกเหรอ เก็บดิ”

ร่างสูงก้มลงคว้าเจ้าสิ่งนั้นก่อนจะโยนมันลอยละลิ่วไปในตะกร้าผ้าที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลได้อย่างแม่นยำ ประหนึ่งว่าทำมันอยู่ตลอด

“จะดื่มอะไรไหม เดี๋ยวผมเอาให้”

“ไม่อะ มาเริ่มเลยดีกว่า เสียเวลาทำมาหากิน”

“จะรีบไปไหน วันนี้คุณต้องอยู่กับผมทั้งวัน”

“หมายความว่าไง”

“ก็หมายความตามที่พูดแหละ”

“ผมยังมีงานที่รออยู่อีกนับไม่ถ้วน เวลาของผมกับคุณที่นี่คือสัมภาษณ์จบก็แยกย้าย สองชั่วโมงก็น่าจะเกินพอแล้ว ทั้งวงทั้งวันอะไรไร้สาระ”

ผู้เป็นเจ้าของหาได้สนใจสิ่งที่เขาพูดไม่ แต่กลับก้าวอาดๆ ไปที่ครัว ก่อนจะจับนู่นวางนี่อย่างใจเย็น

ธันธเนศนั่งมองอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ต้องกัดฟันข่มมันไว้อย่างสุดชีวิต เพราะคำว่างานเพียงอย่างเดียว เดี๋ยวมันก็จบ

เสียงช้อนกระทบกับแก้วเซรามิกดังขึ้นหลังจากนั้น ขณะเดียวกันธันธเนศก็กวาดสายตาไปทั่วห้องเพื่อฆ่าเวลารอตัวปัญหาให้พร้อมเสียที

จะว่าไปแม้จะเป็นเพียงห้องพักของนักศึกษาตัวคนเดียวที่เหมือนจะอยู่อย่างง่ายๆ ข้าวของถูกวางไว้ในที่ๆ หยิบจับใช้ง่ายมากกว่าจะจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แต่ภายใต้สิ่งเหล่านั้นมันก็มีบางอย่างที่บ่งบอกตัวตนของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี

สภาพห้องโดยรวมถูกตกแต่งในแบบของผู้ชายลุยๆ ความเรียบง่าย สบายๆ ของใช้ที่มีเพียงสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเท่านั้น

 

เวลานานสองนาน ก่อนที่แก้วใส่เครื่องดื่มร้อนๆ จะถูกนำมาวางลงตรงหน้า เสียงก้นแก้วกระทบกับกระจกดึงความสนใจเขามายังคนที่อยู่ตรงหน้าแทน

ร่างสูงหย่อนก้นลงนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ตรงกันข้าม

“น้ารัญโทรมาบอกผมว่า สัมภาษณ์เสร็จ คุณต้องพาผมไปเลี้ยงข้าวตอบแทน ไม่ต้องกลับเข้าไปที่บริษัทแล้ว”

ลูกน้องคงไม่สำคัญเท่าหลานชายสินะ มีเรื่องอะไรเลยข้ามหน้าข้ามตาเขาไปเสียได้

“ผมชงกาแฟมาให้” ธันวาชี้มาที่แก้วตรงหน้า “สุดฝีมือเลยนะ”

ธันธเนศเหลือบมอง แต่ก็ไม่พูดอะไร เขาจะชี้โพรงให้กระรอก ด้วยการแสดงจุดอ่อนเรื่องแพ้คาเฟอีนให้ศัตรูรู้ไม่ได้เด็ดขาด

นักหนังสือพิมพ์หนุ่มเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์เครื่องอัดเสียง ก่อนจะจับปากกาเตรียมจดลงในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ที่มีคำถามคร่าวๆ จดไว้อยู่ก่อนแล้ว

“แนะนำตัวหน่อยครับ”

“ชื่อจริงชื่อธันวา ชาติพยัคฆ์ ชื่อเล่นชื่อธัน อายุ 21 ตอนนี้เรียนปีห้า สาขาวิชาพลศึกษา ตอนนี้เป็นโค้ชเทควันโด้ให้ยิมแห่งหนึ่งอยู่”

“เริ่มเล่นเทควันโดตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตั้งแต่ห้าขวบ เล่นทุกวันหยุด หลังๆ ก็เล่นทุกวันหลังเลิกเรียนด้วย จากนั้นก็เริ่มลงสนามแข่ง แข่งครั้งแรกตอนแปดขวบ จากนั้นก็ลงสนามมาเรื่อยๆ จนมาติดทีมชาติตอนอายุ 15 แล้วก็ได้เหรียญทองเทควันโดเยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทยเลย อายุ16 ได้เหรียญทองเทควันโดชิงแชมป์ประเทศไทย แล้วก็แข่งมาเรื่อยๆ ทั้งระดับประเทศและนานาชาติ ชนะบ้างแพ้บ้าง”

“ส่วนใหญ่ชนะหรือแพ้”

“คิดว่าไง”

“ผมสัมภาษณ์คุณอยู่นะ”

“ชนะดิ ระดับนี้”

“แล้วระดับนานาชาติได้รางวัลอะไรบ้าง”

“ครั้งแรกตอนอายุ 18 ได้เหรียญทอง เทควันโดชิงแชมป์โลกที่ประเทศเดนมาร์ก จากนั้นก็แข่งมาเรื่อยๆ เคยได้เหรียญเงินแค่ครั้งเดียว ที่เหลือ ทองหมด”

แหวะ ขี้โม้ฉิบหาย

ใบหน้านิ่งสะกดกั้นสิ่งที่อยู่ในใจ

“แล้วเริ่มเป็นโค้ชตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตอนเรียนปีสี่น่ะ อดีตโค้ชผมเขาจะย้ายกลับไปเกาหลี เลยหาคนมาสอนแทน เขาเลยเห็นว่าผมพอที่จะดูแลแทนเขาได้ เขาเลยขอให้ผมมารับหน้าที่นี้”

“ตอนนี้ออกจากทีมชาติเรียบร้อยแล้ว?”

“ประมาณนั้น”

“แรงบันดาลคือไร”

“ไม่มีแรงบันดาลใจอะไรทั้งนั้น พ่อผมเห็นว่าตอนเด็กๆ ผมดูอ่อนแอ ใครแกล้งก็ไม่สู้ ยอมเขาไปเสียหมด เลยบังคับให้ผมเรียนไว้เพื่อป้องกันตัว แต่พอเรียนไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แย่ ยิ่งอยู่กับมันยิ่งผูกพัน จากจำใจเรียนก็กลายเป็นอยากเรียน อยากเล่นทุกวัน”

“ใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงคิดว่าตัวเองมาถึงจุดที่เก่งแล้ว ฝีมือไม่ธรรมดาแล้ว”

“ก็คงเป็นตอนได้เหรียญทองเหรียญแรกตอนแปดขวบ”

“อื้อหื้ม” ผู้สัมภาษณ์เบะปากพยักหน้าโงนๆ เชิงชื่นชมผู้ถูกสัมภาษณ์ เหรียญทองเหรียญแรกที่เขาได้ก็ตอนแปดขวบเช่นกัน

“อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณมีดีกว่าคนอื่นในเรื่องความสามารถของกีฬาเทควันโด”

ผู้ถูกถามถึงขั้นเงยหน้าสบตานักหนังสือพิมพ์หนุ่ม มันเป็นคำถามที่ทำให้จุกอกได้เหมือนกัน ยิ่งถ้าตอบได้ไม่ดี ความสามารถที่เขามีก็ดูไร้ความหมายกับผู้ที่อยู่ตรงหน้าไปโดยปริยาย

“เอ่อ...”

ผู้ที่ดูฝีปากกล้าและมีทีท่าที่ดูมั่นใจในตอนแรก ดูสับสนไปชั่วขณะ

“คงเป็นเพราะผมใช้มันเป็นแรงผลักดันให้ผมก้าวไปข้างหน้า หลังจากที่ผมเริ่มเล่นมันได้ไม่นาน พ่อของผมก็เสีย โดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อเขาบ้างเลย แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมพอจะเชื่อว่า ถ้าผมยืนหยัดทำมันต่อไป และถ้าหากทำมันได้ดี หากพ่อยังอยู่คงจะภูมิใจในตัวผมไม่น้อย นั่นก็คือเทควันโด ผมซ้อมมันอย่างหนัก ใช้เวลาที่มีค่าทุกวินาทีเพื่อทุ่มเทให้กับมัน จนในที่สุดก็มาถึงจุดที่สูงที่สุดคือการได้ติดทีมชาติ ได้เป็นตัวแทนประเทศ หลังจากผ่านพ้นจุดๆ นั้นมา ผมก็ยังไม่ละทิ้งมัน ผมใช้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดส่งต่อให้คนอื่น แม้มันอาจจะไม่ได้มากเท่าคนอื่นๆ แต่ผมก็มอบให้ทั้งหมดที่มี ให้เขาได้มีโอกาสทำตามความสามารถของเขา ให้ได้ไปถึงจุดที่สูงที่สุดเหมือนที่ผมเคยเป็น ซึ่งบางคนก็ไม่ได้มีโอกาสที่ดีเหมือนผม ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องของฐานะทางการเงินของที่บ้าน ผมก็สอนให้เขาฟรี ทุกครั้งที่อยู่กับพวกเขาผมก็เฝ้าบอกเสมอว่า อย่าคิดแค่ว่ามันเป็นกีฬา อย่าคิดแค่ว่าตัวเองเรียนไปก็เพื่อทำตามใจของใครบางคน คิดเสียว่ามันคือหนทางสู่โอกาส ถ้าเราทำได้ คนที่ภูมิใจไม่ใช่แค่เรา บางคนไม่มีโอกาสเหมือนคุณด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นอย่าทำมันเพียงเพราะความจำใจ แต่จงทำมันให้เป็นที่จดจำแก่ใจ” ผู้ถูกสัมภาษณ์มือสองข้างประสานกัน สีหน้ามุ่งมั่นแสดงออกถึงความจริงใจในสิ่งที่พูดออกมา

สิ่งที่ธันธเนศเพิ่งจะได้ยิน ทำให้เขาแทบอยากจะถอนมุมมองที่เคยมีต่อชายหนุ่มคนนี้ทิ้งไปทั้งหมดแล้วเริ่มมองเขาในมุมใหม่ แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่พูดออกมาใครๆ ก็พูดได้ เพื่อให้ตัวเองดูดี การกระทำต่างหากที่ยังต้องดูกันยาวๆ

 “พ่อคุณคงภูมิใจน่าดู เอาล่ะ” หนุ่มผู้สัมภาษณ์ก้มมองตัวหนังสือยึกยือสีน้ำเงินตรงหน้าตัก ก่อนจะถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง “ต่อไปเป็นเรื่องส่วนตัวบ้างนะ” มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดอยากจะถาม แต่งานเขาจะไม่เสร็จสมบูรณ์หากเขาไม่ทำตามใจบรรณาธิการหนุ่มใหญ่

“การเรียนเป็นไงบ้าง”

“ก็ถือว่าดีนะ เรื่อยๆ”

“เกรด?”

“สามกลางๆ ”

“มุมมองความรัก”

“ถามจริง?”

“ผมทำตามหน้าที่ น้าคุณเป็นคนตั้งคำถามพวกนี้”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง นึกว่า...”

“อะไร”

“เปล๊า” สีหน้ามีเลศนัยตอบเสียงสูง เขาผ่อนลมหายใจ สีหน้าจริงจังขึ้น “ผมเชื่อว่ารักเป็นเรื่องของเวลา ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวยหรือเล่นๆ ความรักคือการเอาใจใส่กัน ดูแลกัน อยู่เคียงข้างกันและกันเสมอไม่ทอดทิ้งกันแม้ในยามลำบาก”

แหม่ ไอ้เด็กคนนี้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ โว้ย แม้ภายนอกจะดูไม่จริงจังกับอะไรเลย แถมดูโมโหร้าย ขวานผ่าซาก กระโชกโฮกฮาก แข็งกระด้าง ไม่สนใจใคร แต่ลึกๆ แล้วก็มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่อยู่พอสมควร

“สุดท้ายแล้ว ก่อนถ่ายรูปประกอบ สเปคอะ”

“สเปคผมเหรอ”

“อืม” เขาตอบเสียงในลำคอ

“ผมชอบคนที่อายุมากกว่าแต่ไม่ถึงกับแก่ ดูแลตัวเองได้ ลุยๆ ไม่ง๊องแง๊ง หน้าหวาน ตาโต ตัวเล็กกว่าผม และที่สำคัญรักผมและไม่ทอดทิ้งผมแค่นั้นก็เพียงพอ”

ธันธเนศก้มหน้าจดยิกๆ โดยพยายามไม่มองหน้าคู่สนทนาที่น้ำเสียงแปลกไปจนน่าขนลุก

 

 

หลังจากที่จบสิ้นการสัมภาษณ์โค้ชหนุ่มเพื่อไปลงในหนังสือพิมพ์ แต่ก็ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะถึงมื้อค่ำที่เขาต้องทำตามข้อเสนอของสองน้าหลาน ธันธเนศเลยขอกลับไปเคลียร์งานค้างที่บริษัทก่อน และค่อยกลับมาทานอาหารเย็นตามที่ได้ตกปากรับคำไว้

               

“เฮ้ยธัน”

ธันธเนศที่มัวแต่จดจ้องอยู่กับหน้าจอคอมฯ จนลืมดูเวลาไปเสียสนิทตอบรับอีกฝ่ายโดยไม่มองหน้าด้วยซ้ำ

“มึงต้องไปกินข้าวกับธันวามันไม่ใช่เหรอ”

“รู้แล้วน่าพี่ อีกแปบเดียว”

“แปบเดียวอะไรมึง ไม่ต้องแล้ว นี่มันจะทุ่มหนึ่งแล้ว ไปๆ เดี๋ยวน้องมันรอ”

“โธ่ ถ้าไม่ใช่หลานตัวเอง จะเป็นห่วงเป็นใยเขาขนาดนี้ไหมเนี่ย”

“เอ๊ะมึงนี่มันยังไง พี่แค่อยากให้มึงเป็นคนรักษาคำพูด”

หนุ่มนักหนังสือพิมพ์มิวายเลียนคำอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงยั่วอารมณ์ “เออๆ ไปก็ได้ว่ะ”

เขาลุกขึ้นดันเก้าอี้ที่นั่งอยู่อย่างแรงจนไปกระทุ้งกับคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนจะคว้ากระเป๋าคู่ใจแล้วเดินออกไป

บรรณาธิการหนุ่มใหญ่มองตามอย่างหมดอาลัยตายอยากในนิสัยประจำตัวของผู้เป็นลูกน้อง

               

 

“แหม่ นึกว่าจะเบี้ยวผมแล้วซะอีก”

น้ำเสียงของคนที่รอยังคงสดใสอยู่ พร้อมกับสีหน้ากวนเบื้องล่างเช่นเดิม

มีเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ แทนคำตอบ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แม้แต่จะมองคนที่เพิ่งลุกขึ้นจากขอบบ่อน้ำพุตรงหน้าตึกทำงาน

“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย”

“แค่ไปกินข้าวต้องร่าเริงแค่ไหนกันเชียว”

“นี่ถามจริง ในหัวเคยคิดอยากจะพูดกับผมดีๆ สักคำบ้างไหม”

ย้อนแย้งตัวเองไปดิ เจอกันครั้งแรกใครกันที่ทำท่าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเขาให้ได้

               

“พี่ธัน” เสียงปริศนาดังขึ้นทำให้สองหนุ่มที่กำลังเดินตามกันต้อยๆ ออกไปหันควับมายังเสียงเรียก ธันธเนศนั้นรู้ดีว่านั่นคือเสียงของใคร

เด็กหนุ่มในชุดกางเกงนักเรียนขาสั้นกับเสื้อยืดสะพายกระเป๋ากีฬายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

“อ้าว ว่าไงตี๋”

“พี่จะไปไหน วันนี้พี่บอกว่าจะไปซ้อมให้ผมไม่ใช่เหรอ”

“เออว่ะ กูลืมบอกไป โทษที วันนี้มีธุระน่ะ” เขามองมายังธันวาที่ยืนอยู่ข้างๆ

ใบหน้านิ่งเริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจ ราชวุฒิเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยมัธยม ที่คิดอะไรอยู่ก็แสดงออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่ซับซ้อนเหมือนผู้ใหญ่

“แต่พี่นัดกับผมก่อน”

“เอ๊า ก็...”

“หมายความว่าไง ซ้อมอะไร” หนุ่มนักเทควันโดที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มสงสัยในบางอย่างหลังจากที่เงียบฟังอยู่ตลอดการสนทนา

“พี่ใช่ไหมที่มาแย่งพี่ธันไป ธุระอะไรสำคัญแค่ไหน ยังไงพี่ธันเขาก็นัดกับผมก่อน”

“เห้ยไอ้น้อง พูดงี้ก็สวยดิ”

คนอย่างธันวามีหรือจะพูดเปล่า ร่างสูงผลีผลามตรงมาทางเด็กหนุ่มทันที ธันธเนศเห็นท่าไม่ดีจึงคว้าแขนอีกฝ่ายไว้

“กูขอโทษ ไว้พรุ่งนี้วันเสาร์กูหยุดงาน มึงก็ไม่มีเรียน จะซ้อมให้มึงทั้งวันยังได้”

“นี่คุณเป็นโค้ชกีฬาเหรอ” ธันวาถามด้วยสีหน้าประหลาดใจสุดชีวิต ความเจ็บจากฝ่าเท้ากระทบหน้าอกวันนั้นเจ็บแปลบขึ้นมาในทันตา

“มันไม่สำคัญ มันสำคัญที่พี่ไม่รักษาคำพูด” เด็กหนุ่มพูดเสียงสั่นก่อนจะหันหน้าเดินออกไปทันที

“ตี๋ เดี๋ยวดิ” เขาทำท่าจะเดินตามแต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ คว้าสายกระเป๋าเขาไว้

“ไม่ต้องตามไป”

“เด็กมันโกรธผม คุณเห็นไหม” สีหน้าต่อว่าที่อีกฝ่ายทำให้เขาผิดสัญญา

“เอาน่า เด็กโกรธแปบเดียวมันก็ลืม”

“ความรู้สึกบางความรู้สึกเสียไปแล้วมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอกนะ”

“แล้วความรู้สึกผมล่ะ”

...

แม้อีกฝ่ายจะปล่อยแล้วก็ตาม แต่ธันธเนศก็เดินต่อไม่ไหวเมื่อได้ยินดังนั้น

 

 

ธันวานั่งมองสีหน้าซังกะตายตรงหน้าเป็นระยะ ในร้านข้าวต้มชื่อดังที่ตนเองเป็นคนเสนอ

“ยังไม่บอกผมเลยนะว่าเป็นโค้ชกีฬาหรือเปล่า”

“เปล่า ก็แค่สอนให้เด็กมันน่ะ”

“แล้วเล่นกีฬาอะไร”

“คาราเต้”

“กูว่าแล้ว” ผู้ฟังตบโต๊ะดังปัง “ตีนหนักแถมคล่องขนาดนั้น คนธรรมดาทำไม่ได้หรอก ไหนบอกว่าไม่เคยเรียนต่อสู้”

“แล้วจะอยากรู้ไปเพื่ออะไร”

“ก็แค่ถามดู”

ข้าวต้มปลาร้อนๆ กลิ่นหอมฉุยถูกยกมาเสิร์ฟตัดช่วงการสนทนา

“น้องครับ พี่ขอถ้วยเปล่าหน่อย”

 

ธันวานั่งมองอีกฝ่ายค่อยๆ ใช้ช้อนตักปลาออกทีละชิ้นๆ อย่างบรรจงไว้ในถ้วยแบ่งเล็กๆ ที่ขอมา

“ไม่กินเหรอ”

“อือ”

“งั้นเอามาให้ผม เสียของ”

ชายหนุ่มยกถ้วยที่มีเนื้อปลาเทลงไปในถ้วยตัวเองอย่างไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจหรือคิดเยอะ

“ยังไม่หมด”

“ตักมาใส่ถ้วยผมเลย” เขาพูดพลางผลักถ้วยเล็กๆ ที่ว่างเปล่านั้นออกห่าง ก่อนจะลงมือซดข้ามต้มอย่างไม่กลัวมันจะลวกปากเอา

“ชอบกินข้าวต้มเหรอ”

“อือ ผมว่ามันย่อยง่ายดี ไม่หนักท้อง ไม่ใช่แค่ข้าวต้มนะ โจ๊กก็ชอบ ทีแรกก็เฉยๆ แต่เพราะยีนส์เอามาให้ทุกวันก็กลายเป็นว่าชอบกินซะงั้น”

 

 

“เออ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถามไรหน่อยดิ”

“ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”

“คบกับเจ้าของโจ๊กคนนั้นมานานแค่ไหนแล้ว”

“ใครบอกคุณว่าผมคบกับยีนส์เขา”

“เอา ก็เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”

“แหมะ ทำเป็นไม่สนใจ จริงๆ ก็แอบมองอยู่ตลอดนี่เอง”

“มันเด่นชัดขนาดนี้ต้องแอบมองด้วยเหรอ”

“ใช่เร๊อออออ”

“เออ งั้นกินต่อไปเถอะ ไม่ต้องตอบหรอก”

“ผมไม่ได้ชอบน้องเขาหรอก แค่รู้สึกดีที่เขาคอยเทคแคร์อยู่ตลอด ยีนส์เขาเป็นรุ่นน้องที่มหา’ลัย เขาเป็นดาวคณะ ส่วนผมเป็นรุ่นพี่เดือนคณะ เลยต้องร่วมกิจกรรมด้วยกันตลอด เลยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”

“งี้มันก็เหมือนให้ความหวังเขาหรือเปล่า”

“ผมเคยพูดไปกับยีนส์เขาไปตรงๆ แล้ว ว่าผมยังไม่อยากคบใคร”

“แล้วรู้จักกันขนาดนี้ ทำไมถึงต้องแอบเอาโจ๊กมาให้ด้วยว่ะ ทำไมไม่ให้กันตรงๆ เลย”

“ก็ตอนแรกน้องเขาเขินผมไง”

“คนซวยก็เลยเป็นกู”

“โอ๋ย แค้นฝังหุ่น”

“เออดิ ถ้าโดนต่อยก็คือโดนต่อยฟรีปะวะ”

“เอาน่า ขอโทษษษ”

รอยยิ้มที่ดูจริงใจปรากฏขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน หลังจากที่เมื่อก่อนเจอกันทีไรเป็นต้องแยกเขี้ยวยิงฟันใส่กันทุกที แต่ก็นั่นแหละ นี่อาจเป็นแผนการอย่างใดอย่างหนึ่งของศัตรูเขาจะหลวมตัวเชื่อไม่ได้เด็ดขาด

 

 

“นึกยังไงถึงมาญาติดีกับผม”

“ยังไง”

“ก็ที่ทำอยู่นี่ไง”

“ก็...” สายตาไม่นิ่งบ่งบอกว่าผู้ถูกถามเหมือนอ้ำอึ้งเพราะเขินอายที่จะพูดออกมา “เรื่องที่ผมท้องร่วงเกือบตายวันนั้น”

เมื่อได้ยินดังนั้นธันธเนศก็แทบกลืนช้อนลงไปทั้งคัน ถ้าไม่ใช่เพระความผิดเขา เขาก็คงไม่มีห่วงดูดำดูดีขนาดนั้นหรอก

“ทั้งที่ผมรู้นะว่าเป็นฝีมือคุณ”

เท่านั้นแหละ เสียงสำลักน้ำข้าวต้มก็ดังขึ้นทันที

 

 

นักหนังสือพิมพ์หนุ่มเดินกลับเข้ามาในคอนโดเงียบๆ หลังจากที่ธันวาขอแยกตัวไปช่วยแม่ของเขาปิดร้าน เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่รู้ว่าพรุ่งนี้คือวันหยุด แม้ยังไงเขาก็ต้องทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ แต่อย่างน้อยมันก็คือวันที่ได้พักผ่อนสมอง พักผ่อนจากหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่รบกวนสายตาและจิตใจ ซึ่งเขาหวังว่าอย่างนั้น

ความเงียบถูกทำลายลงด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง

“ธันธเนศครับ”

“พี่คือพี่ธันที่อยู่ยิมเดียวกับราชวุฒิใช่ไหมครับ”

“ใช่ ใครพูดครับ”

“พี่ ผมเป็นเพื่อนของตี๋มันนะครับ ตอนนี้พี่ว่างหรือเปล่า ผมมีเรื่องอยากรบกวนพี่หน่อย”

 

 

ธันธเนศยืนมองเด็กหนุ่มที่เมามายไม่ได้สติท่ามกลางผองเพื่อนวัยรุ่นทั้งหญิงและชายที่มีสีหน้าจนปัญญาจะจัดการกับตัวปัญหาตรงหน้านี้แล้ว

ดวงตาที่หลับพริ้ม กับปากที่พะงาบๆ เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะสติที่แทบไม่มีเหลือ ใบหน้าใสซุกอยู่บนไหล่ของเพื่อนอีกคนที่ยังปกติดี หน้าอกหนาภายใต้เสื้อยืดผืนบางสั่นอยู่เป็นระยะจากอาการสะอึก

 

“อ้าว พี่คือพี่ธันใช่ไหมครับ”

“เออใช่ พี่เอง”

“พี่ช่วยผมหน่อย เพื่อนผมมันเป็นห่าอะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็อยากจะเมา แต่กินไปได้ไม่ถึงสองแก้วก็น็อก แล้วก็โวยวายเรียกหาแต่พี่ บอกว่าจะไม่ยอมกลับถ้าพี่ไม่มารับมัน ผมเลยเอาโทรศัพท์มันมาค้นหาเบอร์พี่จนเจอ”

ชายหนุ่มเท้าสะเอวมองก่อนจะส่ายหัวอย่างระอา เป็นเพียงเด็กมัธยม แต่ริอาจยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ได้สติเมื่อไหร่ เห็นทีต้องเทศน์กันยาวๆ เรื่องนี้คงต้องถึงผู้ปกครองด้วย

“แล้วทำไมไม่พาเพื่อนกลับบ้านละครับน้อง”

“ทีแรกผมก็ว่าจะไปส่งมันที่บ้านแหละครับ แต่มันไม่ยอมลูกเดียว”

“เป็นงั้นไป แล้วบ้านมันอยู่ที่ไหน เดี๋ยวพี่ไปส่งมันเองก็ได้”

 

หลังจากรู้ที่อยู่เสร็จสรรพ ธันธเนศก็พยุงร่างไร้สติออกมาจากร้านเหล้า โดยมีเพื่อนๆ ตัวต้นปัญหาคอยช่วยจนถึงประตูแท็กซี่

 

 

“ฮื้อ มึงนี่มัน” เขาส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเอานิ้วเขี่ยผมที่ปิดหน้าผากออกให้ได้รับลมแอร์เย็นๆ ในรถได้อย่างเต็มที่

“น้องชายเหรอครับ” คนขับแท็กซี่เอ่ยขึ้นด้วยภาษาที่ติดสำเนียงถิ่นอีสาน

“อ้อ เอ่อ...ครับ น้องครับ”

“ทำตัวอย่างนี้พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ”

“พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดน่ะครับ อาจจะไม่ค่อยได้มีเวลามาใส่ใจสักเท่าไหร่”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง คุณก็เป็นพี่ชายที่ประเสริฐเนาะ คอยตามเช็ดตามล้างให้ถึงที่ เอ๊ะ หรือแอบพาน้องออกมาเที่ยวซะเอง”

“เปล่าพี่ ผมไม่ค่อยดื่มหรอก”

 

 

แท็กซี่จอดลงหน้ารั้วบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นทาวน์โฮมสองชั้นทรงโมเดิร์นใหม่เอี่ยม อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนที่ราชวุฒิเรียนสักเท่าไหร่นัก

“ถ้าตามที่อยู่ก็หลังนี้แหละครับ” คนขับแท็กซี่หันกลับมาบอกเขา

“ครับผม” เขาตอบ ก่อนจะควักเงินจ่ายตามตัวเลขดิจิตอลสีแดงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ารถ “นี่ครับ ไม่ต้องทอน”

 

 

พรุ่งนี้เป็นวันแรกของวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เธอไม่มีเรียน ลักขณาจึงกลับมาบ้านหลังจากเรียนคาบสุดท้ายของวันศุกร์เสร็จ หลังทานมื้อค่ำกันอย่างพร้อมหน้ากับพ่อแม่และน้องชาย เธอก็อาบน้ำแล้วออกมานั่งเล่นที่ชิงช้าในสวนหน้าบ้าน ก่อนที่จะมีไฟจากรถคันหนึ่งสาดมาปะทะเข้าที่ตาของเธอ มันจอดลงตรงหน้าบ้านที่อยู่ติดกัน

ตี๋เหรอ?

เธอคิดก่อนจะวิ่งมาหยุดอยู่หน้ารั้วบ้านของตัวเอง หวังทักทายอีกฝ่าย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวออกมาคนแรกไม่ใช่ราชวุฒิ แต่เป็นธันธเนศ

เธอเบี่ยงตัวหลบเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น หนุ่มรุ่นพี่หน้าตาหล่อเหลาก้าวออกมาพร้อมกับดึงกระเป๋ากีฬาใบโตออกมาสะพายไว้ ก่อนจะโน้มตัวลงไปดึงร่างไร้สติที่เธอรู้จักดีออกมาจากรถอย่างทุลักทุเล

เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เด็กหนุ่มตัวคนเดียวที่ห่างบ้านมาเรียนในกรุงเทพฯ ในสภาพที่ไร้สติสตัง กับชายหนุ่มอายุมากกว่าด้วยท่าทีมีลับลมคมใน มันทำให้เธออดไม่ได้ที่จะคิดไปในทางที่ไม่ดี ลักขณายกมือถือขึ้นมากดบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่หน้าประตูรั้วจนทั้งคู่หายเข้าไปในบ้านไว้ พร้อมกับใจที่เต้นตุบๆ ดุจกลองสะบัดชัย

 

 

เมื่อรู้ว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในบ้านเลย ธันธเนศจึงตัดสินใจค้นหากุญแจออกมาเปิดประตู แล้วพยุงเด็กหนุ่มวัยมัธยมที่ตัวโตกว่าเข้าไปในบ้านด้วยความทุลักทุเลพอสมควร ก่อนจะทิ้งร่างที่หนักอึ้งลงบนโซฟาในห้องรับแขกชั้นล่าง

 

“มึงนี่มันภาระจริงๆ เลย” เขานั่งปาดเหงื่ออยู่ข้างๆ มองร่างหลับสนิทที่หายใจแผ่วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกเดินเข้าไปทางหลังบ้านที่คิดว่าน่าจะเป็นครัว

เขาเปิดไฟ เพื่อมองหาสิ่งที่ต้องการ

 

ภาชนะใส่น้ำไว้เกือบเต็มถูกยกมาวางลงข้างๆ ตัวเด็กหนุ่ม เขารื้อหาผ้าขนหนูในกระเป๋ากีฬานั้น ก่อนจะหยิบมันออกมาชุบน้ำแล้วเช็ดตัวให้เด็กขี้เมา เมื่อเช็ดตัวเสร็จเขาก็เดินไปเปิดแอร์ทิ้งไว้ แล้วจัดการกับทุกสิ่งที่เอาออกมาใช้ไว้ในที่ๆ มันควรอยู่ ก่อนจะไล่ปิดไฟจนครบทุกดวง แล้วเปิดประตูเพื่อที่จะกลับ

ก่อนประตูบ้านจะปิดลง นักหนังสือพิมพ์หนุ่มก็ต้องหยุดชะงักงันอยู่อย่างนั้น เมื่อคำพูดบางอย่างที่ดังออกมาจากปากคนที่นอนแผ่หลาไร้สติอยู่ดันมาเข้าหูเขาพอดิบพอดี มันเป็นเสียงเพ้อพกที่บอกเรื่องราวบางอย่างได้อย่างชัดเจน



เวลาผ่านไปชั่วขณะ ธันธเนศพยายามดึงตัวเองออกจากภวังค์นั้น ก่อนจะปิดประตูอย่างเบามือ แล้วเดินหายไปในความมืด


... ก่อนเหมันต์ ...

หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-03-2018 23:02:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-03-2018 23:19:18
 :hao4:

คบเด็กก็จะประมาณนี้
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-03-2018 23:20:06
ตัดฉับขนาดนี้  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-03-2018 23:36:00
คบเด็กก็ประมาณนี้แหละ555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-03-2018 23:45:38
เด็กมักจะน้อยใจเก่งนะ อย่าทำดีเกินไปจนเด็กเกิดเข้าใจผิด
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-03-2018 23:55:04
อ้าววว ค้างเลย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 22-03-2018 23:57:44
คือตัดไปนะ ตั้งรับไม่ทัน 555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 22-03-2018 23:57:47
โหวตเป็ด +1 เป็นกำลังให้คนเขียนครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-03-2018 00:12:13
ธันธเนศ เสน่ห์แรง  :mew1: :mew1: :mew1:
หนุ่มๆมารุมรักแล้ว 
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 23-03-2018 19:55:43
ตี๋น้อย หนูพูดอะไรไปลูก
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 23-03-2018 20:34:00
ตี๋นี่ตกลงคบเป็นแฟนกับพี่ธัญแล้วเหรอเราจำไม่ได้อะ แต่ถ้ายังตี๋ก็ไม่ควรทำตัวแบบนี้นะเอาแต่ใจตัวเองไม่ฟังอะไรเลย คบกันไปก็ไม่รอดหรอกคงทะเลาะกันวันเว้นวันอะ ส่วนธันวาตอนนี้ดีขึ้นมาหน่อยไม่น่าหมั่นไส้เหมือนตอนที่แล้วและดูเหมือนจะหลงพี่ธันอีกคนแล้วมั้งเนี่ย แล้วคนที่ชื่อลักขณานี่ใครอะคนที่แอบชอบตี๋เหรอ ถ่ายคลิปไว้ไม่ใช่เอาไปสร้างความเดือดร้อนให้พี่ธัญอีกนะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 23-03-2018 21:13:35
ค้างคาใจมากเลย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 24-03-2018 01:13:45
โถ่ น้องตี๋ลูก สู้ๆนะพี่เป็นกำลังใจให้ ถึงมันจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะ :hao5:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 6 (22/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 27-03-2018 13:47:35
7
ใครคนนั้น


“ไปไหนมา” เสียงของใครบางคนดังขึ้นขณะที่ธันธเนศกำลังเปิดประตูห้องของตัวเอง

ร่างสูงเดินดุ่มๆ ตรงมาในโถงทางเดิน สีหน้าคลางแคลง

“ธุระนิดหน่อยน่ะ”

“ธุระอะไร”

คนที่ยืนเปิดประตูค้างอยู่จ้องมองอีกฝ่ายที่ยิงคำถามไม่หยุดหย่อนแทนคำตอบให้รู้ว่ากำลังล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวมากเกินไป

“โทษที ก็ดึกแล้วเพิ่งเห็นกลับมา”

“ก็เหมือนกันนี่”

“อ้อ...” สายตาที่เคยสงสัยแปรเปลี่ยนเป็นลอกแลกมีเลศนัย “ผมออกไปเดินเล่นแถวนี้มาน่ะ”

“อือ ดึกแล้ว ไงก็ ฝันดี”

 

ประตูปิดลง ลมหายใจฟอดใหญ่ถูกพ่นออกมาจากปากของนักหนังสือพิมพ์หนุ่มราวกับว่ากำลังปลดปล่อยเรื่องราวที่สุมอยู่ในอกมากมายออกมา แต่เสียงละเมอนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

มือเรียวเอื้อมไปยังสวิตซ์ไฟที่ริมผนังข้างประตู

แกร๊ก

ไฟที่เคยติดขึ้นทันทีเมื่อเปิดสวิทซ์ แต่บัดนี้ห้องยังคงมืดสนิท

แกร๊ก แกร๊ก

“หลอดไฟขาดเหรอ” เจ้าของห้องพึมพำ

เขายืนนิ่งพิงประตูห้องอยู่พักหนึ่งพลางคิดหาหนทาง

นี่ก็ดึกมากแล้ว ร้านสะดวกซื้อในคอนโดคงมีหลอดไฟขายนะ

คิดจบ เขาก็เปิดประตูกลับออกไปอีกครั้ง โดยที่ไม่คาดคิดว่าเสียงเปิดประตูที่สุดแสนจะเบามือจะทำให้คนที่อยู่ห้องตรงข้ามได้ยินด้วย

“ดึกแล้ว จะไปไหนอีกเหรอ”

“ไฟเสียน่ะ จะไปซื้อหลอดมาเปลี่ยนหน่อย”

“เฮ้ย ไม่ต้องๆ ของผมมี เอาของผมไปสิ”

พอบทจะดี ก็ดีจนน่าใจหาย

แต่ก็ดี จะได้ไม่ต้องหอบร่างที่เพลียแรงลงไปถึงข้างล่างอีก

“งั้นขอยืมก่อนแล้ว เดี๋ยวซื้อมาคืน”

พอเขาพูดจบร่างสูงก็ผลุบหายเขาไปในห้องทันที กลับออกมาพร้อมกล่องหลอดไฟในมือ

“เปลี่ยนเป็นไหม มา ผมเปลี่ยนให้”

“ไม่ต้องหรอก เปลี่ยนได้”

“เอาน่า เดี๋ยวผมเปลี่ยนให้”

จะว่าไป เก้าอี้ในห้องเขาที่มีอยู่บวกกับความสูงของตัวเขาแล้ว ก็ฉิวเฉียดเกินไปที่จะเปลี่ยนหลอดไฟบนเพดานห้องได้อย่างคล่องตัว ขณะที่ความสูงของธันวาน่าจะเป็นผลกว่า ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอตัวมาแล้ว ก็สนองน้ำใจหน่อยแล้วกัน

ธันธเนศเปิดไฟฉายจากมือถือส่องสว่างให้ร่างสูงที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเปลี่ยนหลอดไฟอย่างเอาจริงเอาจัง

“ไปหาเด็กมาเหรอ”

“เด็กอะไร”

“ก็เด็กตี๋ของคุณไง”

“อือ มันเมาน่ะ เพื่อนน้องเขาเลยโทรมาบอกให้ช่วยพากลับบ้าน”

“คนอื่นไม่มีแล้วเหรอ”

“ตี๋อยู่ที่นี่ตัวคนเดียวน่ะ พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัด อีกอย่างคงหนัก เพื่อนเลยจนปัญญาจริงๆ”

“งั้นขอถามอะไรหน่อยดิ”

“อืม”

“คุณกับเด็กนั่นเป็นอะไรกัน”

“เฮย เยอะไปเปล่า”

“ทีคุณยังถามถึงความสัมพันธ์ของผมกับยีนส์ได้เลย”

เออ ก็จริง ชายหนุ่มที่อยู่ข้างล่างยกนิ้วขึ้นขยี้จมูก

“ก็เป็นรุ่นพี่คาราเต้มันเฉยๆ”

“จริงเหรอ”

“เออดิ คิดไรเยอะวะ คนไม่ได้เสน่หาอะไรกับผู้ชายสักหน่อย”

“ให้ผมบอกอะไรไหม”

“อะไร”

“ผมว่าเด็กมันไม่ได้คิดกับคุณแบบที่คุณคิดหรอก”

คำพูดของธันวามันสอดคล้องกับอะไรบางอย่างที่เขาเพิ่งได้ยินมา แต่เขาพยายามที่จะไม่เก็บมันมาใส่ใจ ทำเหมือนว่าไม่เคยได้ยินสิ่งเหล่านั้นมาก่อนเลย

“เสร็จแล้ว ลองไปเปิดดู”

 

ไฟสว่างพรึบขึ้น ร่างสูงกระโดดลงมาจากเก้าอี้ ปัดมือแปะๆ

“ผมกลับไปนอนละ”

นักเทควันโดหนุ่มพูดพลางเดินดุ่มๆ ออกไปที่ประตู

“ไงก็...ขอบใจนะ”

ร่างนั้นค้อนกลับมาเหลียวมองเชิงรับรู้ เมื่อเจ้าของห้องกล่าวขอบคุณ ก่อนจะเดินออกไปที่ห้องของตัวเอง

 

เช้าวันหยุดที่เขากะว่าจะนอนตื่นสายๆ สักหน่อยก็ต้องสิ้นสุดลงเมื่อเสียงโทรศัพท์สั่นครืดคราดอยู่ข้างหู

มือเรียวไขว่คว้าหาโทรศัพท์เจ้ากรรมไปทั่วบริเวณ

 

“หวัดดีครับ” เสียงงัวเงียดังขึ้น หนังตาหนาหนักยังคงปิดอยู่

...

“ไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน เมื่อไหร่จะเลิกยุ่งกับผมสักที!” ดวงตาที่ขี้เกียจลืม บัดนี้สว่างโล่เมื่อได้ยินเสียงปลายสาย

สีหน้าไม่สบอารมณ์กดวางสายในทันทีที่รู้ว่าคู่สนทนาคือใคร

เขาเอามือถูหน้าตาพร้อมกับสูดหายใจดังอย่างหัวเสีย ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง คิ้วหนาย่นเข้าหากันดวงตาเหม่อลอยมองเพดาน

แผลที่กำลังจะสมาน และแล้วมันก็ถูกสะกิดออกจนเลือดซิบอีกครั้ง เพดานห้องที่เคยว่างเปล่าบัดนี้มีเรื่องราวบางอย่างปรากฏขึ้นเหมือนภาพฉายวิดิทัศน์

 

‘ “ผมรักคุณนะ ผมจะทำให้ที่บ้านคุณยอมรับความสัมพันธ์ของเราให้ได้”

 

“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับให้หมอนั่น เป็นผู้ชายดีๆ ไม่ชอบ ชอบอะไรแบบนี้เหรอ แล้วฉันกับแม่แกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”


“ทำไม! ทำไมลูกเลวๆ อย่างแกมันต้องหาเรื่องปวดหัวมาให้ฉันได้ตลอด ถ้าไม่มีปัญญาจะคิดเอง ก็ดูพี่สาวแกเป็นตัวอย่างสิ เป็นฝาแฝดกันแต่ทำไมนิสัยมันถึงได้ต่างกันขนาดนี้...”

 

“ธัน พี่ท้อง”

“กับใคร”

“พี่กล้า”

“...” ’


เขาพยายามสลัดเรื่องราวเหล่านั้นออกจากหัว ร่างบางพลิกตัวนอนคว่ำ ดึงหมอนขึ้นมากดทับหัวไว้เพื่อบิดกั้นจากเสียงกวนใจจากอดีตเหล่านั้น

 

 

ราชวุฒิงัวเงียปรือตาตื่นหลังจากแสดงแดดจ้ากำลังโลมเลียไปหน้าใส เขาดีดตัวลุกขึ้น พร้อมกับคำถามในหัวว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ตรงนี้ แล้วสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้คือ เมื่อคืนเขาไปดื่มเหล้ากับเพื่อน

เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้น เด็กหนุ่มเขย่าหัวที่หนักอึ้งเพื่อตั้งตัวก่อนจะลุกขึ้นยืน

 

ใบหน้าสดใสของใครบางคนกำลังส่งยิ้มให้เขาอยู่หน้าประตูรั้วบ้านที่สูงเพียงอก

เด็กหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขา และเขาก็คุ้นหน้าคุ้นตาดี เพราะอีกฝ่ายคือน้องชายของลักขณาพี่สาวข้างบ้านนั่นเอง แถมยังเรียนอยู่ที่เดียวกัน ระดับชั้นเดียวกัน เพียงแค่คนละห้องแค่นั้น

 

“อ้าวยอห์น มีไร มาหาเราแต่เช้า”

“ยอห์นเห็นว่าสายแล้ว แต่ไม่เห็นตี๋ออกมาสักที ปกติวันหยุดจะเห็นตื่นเช้าออกมาวิ่งไม่ใช่เหรอ”

“อ๋อ วันนี้ตื่นสายนะ”

“ไม่สบายหรือเปล่า” ใบหน้าใสแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใย เมื่อมองเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเจ้าของบ้าน ที่มือหนึ่งยังคงกำหัว

“เปล่าๆ แค่นอนเยอะไปหน่อย”

“อะนี่ ยอห์นไปหน้าปากซอยมา เลยซื้อขนมกับน้ำปั่นมาฝาก”

ร่างสูงเดินอาดๆ มาจากประตูบ้านมารับของที่อีกฝ่ายรอยื่นให้อยู่

“ไม่เห็นต้องซื้อมาเลย เปลืองเงินเปล่าๆ ”

“ไม่เปลืองหรอก ยอห์นเต็มใจ”

“ไงก็แต๊งกิ้ว แล้วนี่พี่ยีนส์อยู่บ้านหรือเปล่า”

“พี่ยีนส์เหรอ อืม... เห็นบอกว่านัดเพื่อนที่สยามตั้งแต่เช้าแล้ว”

“อ๋อๆ”

“แล้ววันนี้ตี๋จะไปไหนหรือเปล่า หรือต้องไปซ้อม”

“วันนี้คงไม่ รู้สึกเพลียๆ”

“งั้นยอห์นจะไปซ้อมว่ายน้ำ ไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม”

เด็กหนุ่มข้างในรั้วทำท่านิ่งคิด ก่อนที่ความรู้สึกหนักหน่วงในสมองจะบังคับให้เขาปฏิเสธออกไป

เด็กหนุ่มข้างบ้านได้แต่ก้มหน้ายอมรับความต้องการของอีกฝ่าย แม้ใจอยากให้อีกฝ่ายตกลงแค่ไหนก็ตาม ก่อนจะกลับไปควบจักรยานราคาแพงที่จอดรออยู่กลับเข้าไปในบ้านตนเอง

 

ยอห์น หรือ ลักษินันท์ น้องชายวัยมัธยมปลายของลักขณา หรือยีนส์ ที่รั้วบ้านติดกับราชวุฒิ อีกทั้งยังเรียนโรงเรียนเดียวกันในระดับชั้นเดียวกัน เพียงแค่คนละห้องเรียนก็เท่านั้น ลักษินันท์เจอราชวุฒิครั้งแรกเมื่อราวปีก่อน ที่เด็กหนุ่มย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหม่หลังนี้ หลังจากที่ครอบครับเขาก็เพิ่งย้ายเข้ามาได้ไม่ถึงสัปดาห์เช่นกัน แม้จะเพิ่งเจอกัน แต่ลักษินันท์เองกลับถูกชะตากับราชวุฒิตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

และถึงแม้จะอยู่ใกล้กันแค่นี้ ก็ไม่บ่อยนักที่ทั้งคู่จะได้พบปะหรือสนทนากัน เมื่ออยู่โรงเรียนก็ต่างฝ่ายต่างอยู่กับกลุ่มเพื่อนของตัวเอง นานทีเดินสวนกันก็ทักทายกันตามประสา พอกลับมาบ้าน ราชวุฒิก็ไม่ค่อยอยู่บ้านเพราะต้องออกไปซ้อมคาราเต้อยู่แทบทุกวี่วัน วันหยุดยาวก็มักจะกลับไปหาพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด แต่เด็กหนุ่มข้างบ้านหน้าตาน่ารักน่าชังคนนี้ก็มิวายต้องหาโอกาสเจออีกฝ่ายให้ได้อยู่เสมอ ทุกครั้งที่มีโอกาสตรงกัน ก็จะหาเรื่องชวนราชวุฒิไปนั่นไปนี่ด้วยอยู่เรื่อยไป แม้โดยส่วนใหญ่จะถูกปฏิเสธก็เถอะ

 

หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ยังไม่ทันที่จะได้เช็ดตัวให้แห้ง ราชวุฒิก็ต้องกูลีกูจอออกมายังโทรศัพท์ที่ถูกวางทิ้งไว้ตรงโต๊ะในห้องรับแขกก็ดังขึ้นตั้งแต่เพิ่งจะเริ่มอาบน้ำจนตอนนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน

“เออ ว่าไงห่าบอส”

“เป็นไงบ้าง ฟื้นแล้วเหรอ นึกว่าไหลตายไปแล้วซะอีก”

“เชี่ยบอส ปากอ้อนยาแดงนะมึง เออดิ ที่คุยกับมึงอยู่เนี่ย ผีมั้ง”

“แหมๆๆ ปากดี กูละอยากจะอัดคลิปเมื่อคืนไว้เสียเหลือเกิน เหล้าแก้วสองยังไม่หมดก็สิ้นสติซะแล้ว”

“ก็กูเคยแดกเหล้าที่ไหน ครั้งแรกมันก็ต้องแบบนี้ทุกคนปะวะ”

“จ้า พ่อคออ่อน เออนี่ไอ้ตี๋ กูถามมึงจริงๆ เถอะ มึงเฮิร์ทเหี้ยไรนักหนาวะ ถึงขั้นขอให้พวกกูพาไปแดกเหล้ามืดๆ ค่ำๆ ปกติรักสุขภาพ แอลกอฮอล์ไม่แตะ”

ผู้ถูกถามอ้ำอึ้ง “ก็...”

“ก็อะไร อันแหนะ อย่าบอกนะว่า เพราะไอ้หน้าหวานห้องคิงนั่นน่ะ”

“มึงจะบ้าเหรอไอ้บอส เกี่ยวไรกับเขา กูก็แค่มีอารมณ์อยากลองทำอะไรแบบนั้นดูบ้าง”

“จ้า พ่อติสท์แตก อย่าให้กูรู้นะว่ามึงอกหักรักครุฑตุ๊ดเมิน”

“แป๊ะมึงสิ เออ แล้วเมื่อคืนใครมาส่งกูวะ จำอะไรไม่ได้เลย”

“ให้เดา”

“รักกู ห่วงกู ก็คงมีแค่มึงกับไอ้บาส ใช่ไหมล่ะเพื่อน”

“ผิด!!! ว่ะฮ่าๆๆ คนๆ นั้นก็คือ...” ปลายสายทำเสียงเหมือนรายการเกมส์โชว์ที่กำลังจะถึงตอนเฉลยคำถามชิงเงินล้าน

“เหี้ยอะไรมึงเนี่ย”

“ไม่ตื่นเต้นหน่อยเหรอ”

“ไม่โว้ย”

“พี่ที่ยิมมึงอะ พี่ธันอะไรสักอย่าง กูเห็นพอเมาแล้วแหกปากเรียกหาแต่เขา มึงนี่ทำตัวแปลกเข้าทุกวัน อย่าบอกนะว่าเพื่อนกูกำลังอินเลิฟกับ... ฮึ้ย! เชี่ยตี๋ มึงชอบผู้ชายเหรอ!?!”

คนต้นสายชะงัก

“เหี้ยไรมึงเนี่ย ไร้สาระ แค่นี้ ขี้เกียจคุยแล้ว”

“เอ๊า-”

ตู้ดๆๆๆ
 

ราชวุฒิปล่อยโทรศัพท์ลงบนโซฟา มือไม้อ่อนแรง เมื่อรู้ว่าเมื่อคืนตนเองเผลอทำอะไรลงไปบ้าง สุดท้ายก็มิวายเป็นภาระให้ธันธเนศจนได้ เด็กหนุ่มได้แต่ยกกำปั้นขึ้นเขกหัวตัวเองสองสามทีอย่างรู้สึกผิด

 

 

วันหยุดสุดสัปดาห์มันช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก

“ธันๆๆ”

“ว่าไงพี่”

“ได้ผลว่ะ ในแฟนเพจของหนังสือพิมพ์มีคนพูดถึงสกู๊ปกีฬาเต็มไปหมดเลย”

“เหรอ”

“ก็เออดิ เอานี่ เอาไปดู”

บรรณาธิการหนุ่มยื่นโทรศัพท์ของเขาที่เปิดหน้าจอที่มีความคิดเห็นของคนมากมายในนั้น

นักหนังสือพิมพ์หนุ่มใช้นิ้วโป้งเลื่อนดูด้วยใบหน้านิ่งเฉย

“อือ เอาคืนไป” เขายัดโทรศัพท์กลับคืนใส่มือให้ บก. หนุ่มใหญ่ที่ใบหน้าร่าเริงกำลังหดลง

“ไม่ดีใจเหรอวะ”

“เฉยๆ แต่ละความเห็น พูดถึงแต่หนังหน้าหลานพี่ ว่าหล่ออย่างนั้นหล่ออย่างนี้ ไม่เห็นพูดถึงเนื้อข่าวเนื้อหาที่ผมอุตส่าห์บากหน้าไปสัมภาษณ์แล้วประดิดประดอยคำเขียนออกมาเลย รู้งี้แค่ไปหานักกีฬาหล่อๆ แล้วถ่ายรูปมาลง ไม่ต้องเขียนข่าวอะไรให้เสียเวลา ง่ายกว่าไหมพี่”

“โอ๋ๆ มีคนงอนว่ะ”

“งอนกับผีดิ เสียเวลาผมปะละ กลับไปเขียนข่าวรายวันแบบเดิมยังดูมีคุณค่ากว่าอีก”

“เอาน่า อย่างน้อยเรตติ้งเราก็ดีขึ้น คนก็จะได้รู้จักเรามากขึ้นไง”

แม้จรัญจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาปลอบประโลมยังไง ก็มิอาจดึงอารมณ์ของธันธเนศกลับมาได้ ใบหน้านิ่งจดจ้องอยู่กับงานตรงหน้า โดยไม่สนใจเขาอีกตามเคย

“แล้วพี่จะต้องทำยังไงมึงถึงจะอารมณ์ดี หึ” มืออุ่นสัมผัสเข้าที่ไหล่คนที่นั่งอยู่ สายตาที่อ่อนโยนมองเขาเหมือนพ่อที่กำลังมองลูก

“ไม่ต้องทำอะไร กลับไปทำงานของพี่ ให้ผมทำงานของผม โอเค๊” มือที่แตะอยู่ที่ไหล่แทบจะยกออกจากบ่าแทบไม่ทันเมื่อได้ยินดังนั้น หนุ่มใหญ่ได้แต่เดินก้มหน้างุดๆ กลับไปตามคำขอ

 

 

วันนี้ธันธเนศไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเช่นทุกครั้ง เมื่อได้เวลาเลิกงาน เขาก็เดินดุ่มๆ กลับออกมาพร้อมกับหูฟังคู่ใจเช่นทุกครั้ง แต่แล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าลงในทันที เมื่อมีใครบางคนก้าวออกขวางตรงหน้าเขา

“มาทำไม หาผมเจอได้ไง” เขาพูดกับคนที่ยืนประชันหน้าอยู่ด้วยน้ำเสียงสั่น ดวงตาบ่งบอกถึงความตื่นตกใจ ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหลบ แล้วเดินอ้อมคนที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว

“ธัน ธัน รอพี่ก่อน” ร่างสูงวิ่งเหยาะๆ ตามมาติดๆ เพื่อที่จะดักคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเดินหนีไว้ “พี่แค่อยากจะคุยกับเรา”

“ผมไม่มีอะไรจะคุย” เขาทำท่าจะก้าวขาต่อ แต่มือหนาก็คว้าแขนเขาไว้ในทันที ดวงตากลมโตหันมาจ้องคนที่กำลังถูกเนื้อต้องตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเอาผิด

“พี่ขอคุยด้วยหน่อยนะ แปบเดียว ไปคุยในรถพี่”

“ไม่”

“หรือจะคุยตรงนี้ แต่ถึงยังไงพี่ก็ไม่ปล่อยเราง่ายๆ แน่เอาสิ ถ้าไม่อายคนก็ลองดู”

ธันธเนศกราดตามองสายตาหลายคู่ที่เดินขวักไขว่ไปมาทั่วบริเวณ ซึ่งบัดนี้ดูท่าจะช้าลง และดวงตาหลายคู่กำลังจับจ้องมายังเขาทั้งคู่ที่กำลังจับมือถือแขนกันอย่างสงสัยใคร่รู้

 

รถหรูราคาหลักสิบล้านจอดอยู่ในลานจอดรถของตึกที่ทำงานของเขา ซึ่งในรถคันนั้นมีเพียงเขาและชายปริศนาคนดังกล่าวเพียงสองต่อสอง ธันธเนศไม่อาจหันไปมองใบหน้านั้นได้ ตั้งแต่เจอกันจนตอนนี้

“พี่อยากจะขอโทษ”

“เคยพูดมันไปแล้วนิ”

“แต่ธันไม่เคยรับคำขอโทษจากพี่เลย”

“แล้วไง สำคัญด้วยเหรอ”

“สำคัญสิ ธันสำคัญกับพี่เสมอแหละ”

“ไม่ขยะแขยงตัวเองบ้างเหรอ ที่พูดอะไรแบบนี้ออกมา”

“หื้ออออ” เจ้าของรถผ่อนลมหายใจยาวเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์

“กลับไปหาเมียหาลูกซะเถอะ”

“ธัน” มือหนาที่เคยวางอยู่นิ่งๆ หลังพวงมาลัยบัดนี้ได้เอื้อมมาวางอยู่บนขาของเขา เสียงอ่อนเสียงหวานนั้นมันทำให้เขาแทบอยากจะอาเจียนออกมาให้หมดไส้หมดพุง “ไม่รักพี่แล้วเหรอ”

ธันธเนศไม่รอช้าที่จะปัดมือปลาหมึกนั้นออกห่าง

“ไม่เคารพเมียกับลูก ก็เคารพตัวเองเถอะนะ”

“เขาไม่รู้สักหน่อย”

“กล้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง รู้ไหมว่าพี่ทำตัวน่าสะอิดสะเอียนแค่ไหนตอนนี้” นักหนังสือพิมพ์เสียงแข็งอย่างโกรธจัด “ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่แล้ว” ก่อนจะเปิดประตูออกไปให้พ้นๆ จากที่อโคจรนี้

 

เสียงปิดประตูรถดังก้องในลานจอดรถใต้อาคาร ดึงความสนใจของใครบางคนที่เพิ่งจะดับเครื่องยนต์รถของตนเองได้อย่างพอดิบพอดี หนุ่มนักศึกษาในรถเก๋งสีขาวที่เตรียมตัวจะออกจากรถมองร่างๆ หนึ่งที่กำลังสาวเท้าฉับๆเหมือนกับว่าหนีจากบางสิ่งอยู่

ธันธเนศ!

ขณะเดียวกันรถคันหรูสีกรมท่าก็ออกตัวมาอย่างรวดเร็วแล้วหักเลี้ยวเข้าขวางร่างที่กำลังปรี่ไปอีกทางนั้นไว้ ชายแปลกหน้าเปิดประตูออกมา ก่อนจะตรงไปยืนขวางธันธเนศที่สีหน้ากำลังตื่นกลัวนั้น สองมือหนาคว้าเข้าที่ไหล่บางก่อนกระชากเข้าหาตัว พร้อมกับท่าทีขัดขืนอย่างรุนแรงของผู้ถูกกระทำ

ธันวาไม่รอช้า ดีดตัวออกจากรถปรี่ไปยังคนทั้งสองทันที

เฮ้ย! ทำอะไร” เขาชี้นิ้วไปที่ชายคนนั้น ก่อนที่ตาขวางคู่นั้นจะหันมาประจันหน้านักศึกษาหนุ่ม

“มึงเสือกอะไร” อีกฝ่ายหันมาตะคอกกลับ

เออ นั่นสิ เขาเสือกอะไร แต่คนอย่างเขาไม่มีวันเสียหรอกที่จะปล่อยให้คนรู้จักที่ดูท่าทางเหมือนกำลังตกที่นั่งลำบากเผชิญชะตากรรมอยู่เพียงคนเดียวหรอก

“กูรู้จักธันธเนศ แล้วมึงจะทำอะไรเขา” เขาตอบเสียงดัง สองเท้ายังคงก้าวตรงไปข้างหน้า

“เรื่องของคนสองคน มึงไม่เกี่ยว”

“กูจะเกี่ยว”

“มึงก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง แล้วจะหาว่ากูไม่เตือน”

“เออ นี่ไง กูก้าวอยู่นี่ไง”

“ธันๆ หยุด”

ธันธเนศที่เพิ่งนึกได้ว่าถ้าหากเรื่องแดงขึ้นมา ความลับที่เก็บซ่อนมาแสนนานระหว่างเขากับคนไม่กี่คนจะถูกเปิดเผยให้คนนอกรับรู้ แล้วทีนี้จะไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไปแน่

เขาวิ่งตรงมายังร่างสูงที่ยืนหน้าตาเอาเรื่องอยู่ ก่อนจะดึงแขนออกไป แต่คนที่ถูกหยามหน้ามีหรือจะยืนเปล่า มือหนาคว้าแขนของธันธเนศแล้วกระชากกลับไปอย่างแรง เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ข้างๆ ถูกดึงกลับไป นักเทควันโดหนุ่มก็หมุนตัวกลับไปสาวหมัดใส่คนๆ นั้นทันที

ชายคนนั้นเซไปไม่เป็นท่า คาดไม่ถึงแรงของอีกฝ่าย เมื่อตั้งตัวได้ชายผู้นั้นก็ทำท่าจะสวนกลับ แต่มือที่กำหมัดแน่นของคนที่นำง้างรออยู่แล้ว เขาจึงต้องจำใจหยุด เพราะดูจากท่าทางและแรงแล้วยังไงก็แพ้แน่ สายตาดุเดือดชี้หน้าธันวาอย่างเจ้าคิดเจ้าแค้น ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับไปที่รถของตนเอง

ทั้งสองยืนมองใบหน้าที่มีเลือดซึมอยู่ข้างปากบึ่งรถออกไปอย่างหัวเสีย ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ปกติไม่ใช่แบบนี้นี่” ร่างสูงในชุดนักศึกษาถามขึ้น

ร่างบางปาดเหงื่อก่อนจะหันไปมองใบหน้านั้น

“ถ้าเป็นคนอื่นคงเละคาตีนคุณไปแล้ว ทำไมครั้งนี้ถึงได้ยอมนัก ไอ้หมอนั่นใครกันแน่”

ธันธเนศหลบตา ก้มมองต่ำ

ธันวาไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้เลย แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ธันธเนศมีมุมอีกมุมหนึ่ง ที่ในแววตามีเพียงความอ่อนแอและหวาดกลัว

“ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่แน่ใจนะว่าเขาจะไม่ย้อนกลับมาทำอะไรคุณอีก”

“คงไม่แล้วล่ะ”

“แล้วจะไปไหน กลับเหรอ”

“อือ เพิ่งเลิกงาน”

“กลับกับผมไหม ผมมารับน้ารัญไปทานข้าวกับแม่ที่บ้าน เดี๋ยวผมไปส่งก็ได้”

“ไม่เป็นไร ขอบใจมาก”

“แน่ใจเหรอว่าจะกลับเอง”

“อืมๆ ไม่เป็นไร”

 

“เฮ้ย”

คนที่กำลังเดินห่างออกไปหันกลับมามองแบบไม่เต็มหน้า

“ถ้าคนๆ นั้นกลับมาอีกสัญญากับผมได้ไหมว่าจะสู้เขา”

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ คนที่หยุดฟังก้าวต่อเมื่อเขาพูดจบ


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


ไรเตอร์ทอล์คคคคคค : ตั้งแต่เปิดเรื่องมาก็ยังไม่ได้ทอล์คอะไรเลย อยากจิมากระซิบว่า เนื้อเรื่องก็ดำเนินมาถึงตอนที่เจ็ดแล้วโน๊ะ ตอนนี้มีตัวละครลับโผล่มาด้วย อยากจะบอกว่าตัวละครตัวนี้มีผลต่อการดำเนินชีวิตของพี่ธันธเนศเราในระดับหนึ่งเลย อยากจะรู้ว่าคนๆ นี้จะมาในรูปแบบไหนก็ติดตามกันต่อไปได้เลย

และไรท์จะมาขอบคุณสำหรับทุกความเห็นและกดเป็ด มันเป็นกำลังใจอย่างหนึ่งที่เป็นแรงผลักดันให้ไรท์หน้าใหม่คนนี้อยากจะเขียนต่อไปเรื่อยๆ ไม่เหนื่อย ไม่พัก และอาจจะมีหลายคนที่สงสัยใคร่รู้กับชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ ที่อาจจะเป็นที่กังขาให้ใครหลายๆ คน แต่ไรท์ขอสารภาพตรงนี้ว่าไรท์ศึกษาในพี่กู๋แล้ว สามารถใช้ชื่อนี้ได้ และไม่ผิดความหมายนาจา เพราะมีผลงานเขียนภาษาอังกฤษที่ใช้ชื่อนี้เช่นกัน แต่ไรท์ไม่ได้ลอกเขามาเน้อ แค่บังเอิญเหมือนกันเฉยๆ ผลงานนั้นเป็นนิยายแนวอื่น ยังไงก็ขอบใจสำหรับใครที่แนะนำมาในเรื่องหลักไวยากรณ์

สุดท้าย ไรท์อยากจะไล่ตอบทุกคอมเม้นเลยแหละ แต่ก็ดูท่าจิไม่หวายเจงๆ แต่สาบานว่าอ่านทุกเม้านะแจ๊ะ

รักคนอ่าน จุ๊ฟๆ



... ก่อนเหมันต์ ...

หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-03-2018 14:40:31
เก่งมาจากไหน ก็แพ้หัวใจอย่างเธอ
คนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจ ยังไงก็หวั่นไหว
เข้าใจตรงจุดนี้ของธันนะ ซึ่งอีกคนก็มองออก

ทำไมขายดีอย่างนี้นะใครๆ ก็มาชอบ ลึกๆ เราอิจฉาธันมากกกกก
 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-03-2018 15:48:52
 :pig4: :pig4: :pig4:

แฟนเก่าโผล่มา  เผลอ ๆ แฟนเก่านั้นอาจเป็นสามีของฝาแฝดธันก็ได้ 

เอ...ว่าแต่ฝาแฝดที่กล่าวมาคือฝาแฝดของธันหรือฝาแฝดของตัวละครปริศนาหว่า?
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-03-2018 16:51:53
บุคคลปริศนาคือพี่่กล้า แน่นอน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: GOD_get ที่ 27-03-2018 17:32:00
 :o8:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 27-03-2018 20:56:21
ไอ้ผผู้ชายคนนั้นเป็นใครไม่รู้แต่หน้าดานมากมีลูกมีเมียแล้วนะเว้ย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 27-03-2018 20:58:00
ไอ้ผผู้ชายคนนั้นเป็นใครไม่รู้แต่หน้าดานมากมีลูกมีเมียแล้วนะเว้ย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-03-2018 21:27:01
.............
แฟนเก่าโผล่มา  เผลอ ๆ แฟนเก่านั้นอาจเป็นสามีของฝาแฝดธันก็ได้ 

เอ...ว่าแต่ฝาแฝดที่กล่าวมาคือฝาแฝดของธันหรือฝาแฝดของตัวละครปริศนาหว่า?

สงสัยเหมือนกัน   :hao3:
ว่าแต่แม่ธัน เลืิอกรักลูกด้วยเหรอ  :really2: :really2: :really2:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-03-2018 22:01:02
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 27-03-2018 22:06:38
แฟนเก่านิสัยไม่ดีเลย!!
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-03-2018 22:51:41
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 27-03-2018 23:30:12
แหนะ พ่อแม่รังแกฉันอีกแว้ว เริ่มไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมธันถึงเบื่อที่จะรับสายพ่อแม่...
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 27-03-2018 23:36:26
ตกลงพี่สาวแย่งไปงี้หรอ??
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 27-03-2018 23:40:43
จะธันหรือตี๋ก็เด็กกว่าหมดเลย
 
ยกเว้นน้ารัญ 5555555555555555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-03-2018 00:01:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 28-03-2018 00:08:49
เย้ๆ ตอนนี้มาเร็ว
โหวตเป็ด +1 ให้ครับ
เดี๋ยวโหวตให้ทุกตอน

ตี๋-ยอร์น


แฟนเก่าธัญโผล่มาซ่ะงั้น
ธัญรีบจัดการด่วนๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 28-03-2018 12:11:49

เชียร์ #ตี๋รัญ ได้ปะ?

เฮียรัญไหน ๆ ริจะกินเด็กแล้ว ก็พรากผู้เยาว์โลด (Oops! ช้านพูดอัลไลออกไป    :-[ )
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 30-03-2018 12:39:17
แงงง เมื่อไหร่เขาจะเริ่มมีใจให้กันนะะะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 30-03-2018 23:48:17
 :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 7 (27/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 02-04-2018 19:22:20
8
คืนคนเมา




กี่วันแล้ว ที่ราชวุฒิต้องเดินในโรงเรียนท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาพร้อมกับเสียงซุบซิบนินทากันหนาหู เพราะมีมือดีปล่อยคลิปที่เขาเข้าบ้านไปกับชายแปลกหน้ากลางดึกกลางดื่น

บ้างก็ว่าเขามีคนคอยเลี้ยงบ้างล่ะ บ้างก็ว่าเมื่อดูจากสภาพเขาน่าจะถูกมอมแล้วแบล็คเมล์ บ้างก็ว่าเขารู้เห็นเป็นใจ ซึ่งแท้จริงเรื่องราวเป็นอย่างไรคงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขากับคนอีกคนในคลิปนั้น แต่คนอย่างราชวุฒิมีหรือจะสนใจในสายตาและเสียงนกกาเหล่านั้น ในส่วนของผลกระทบที่มีต่อชื่อเสียงของโรงเรียนนั้น เขาได้อธิบายความจริงทุกอย่างไปหมดแล้วในห้องปกครอง อยู่ที่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเชื่อคำพูดของเด็กผู้ชายอย่างเขาหรือไม่

แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็งและไม่แคร์สิ่งที่มากวนจิตใจเหล่านั้นเลยก็ตาม แต่ภายในใจลึกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะอ่อนไหวไปกับมัน เขาไม่ได้ห่วงชื่อเสียงตัวเอง แต่สิ่งเดียวที่เขากลัวคือ กลัวว่าธันธเนศจะรังเกียจเขาไปตลอดกาล

 

หลังโรงเรียนเลิก เด็กหนุ่มนั่งเงียบๆ อยู่ริมทางเดินภายในโรงเรียน ถอนหายใจแล้วหายใจอีก ในหัวมีเรื่องราววุ่นวายเต็มไปหมด ไม่นานนักมืออุ่นของใครบางคนก็สัมผัสเข้าที่ไหล่เขาเบาๆ

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เป็นถึงคฑากรของโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้ หย่อนกายนั่งลงข้างๆ เขา

“ยอห์นอยู่ข้างตี๋เสมอนะ”

เด็กหนุ่มหน้าตาอมทุกข์หันไปมองคนที่เพิ่งมานั่งลงข้างๆ ใบหน้าหวานที่คุ้นเคย

แม้จะดูอ่อนโยนน่าทะนุถนอม แต่ลักษินันท์ไม่ใช่ผู้ชายตุ้งติ้ง และไม่อ่อนแอ ที่เขาได้มาเป็นคฑากรชายของโรงเรียนก็เพราะโดนบังคับและเขาไม่ใช่คนปฏิเสธใครเป็น และที่สำคัญ ลักษินันท์คือนักกีฬาว่ายน้ำที่เก่งกาจที่สุดของโรงเรียนที่สาวๆ ต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะได้มาครอบครอง

“วันนี้ไม่ซ้อมเหรอ” ใบหน้าเซื่องซึมเอ่ยถาม

“ซ้อมเสร็จแล้ว ว่าแต่ตี๋เถอะ ทำไมยังนั่งอยู่ตรงนี้ โรงเรียนก็เลิกนานแล้วนะ”

“ก็ไม่รู้จะไปไหน”

“คาราเต้ไง”

“เราไม่มีอารมณ์ซ้อมอ่ะ ยังไงเขาก็ไม่มาอยู่ดี”

ลักษินันท์รู้ดีว่าราชวุฒิมีใครอยู่ในใจอยู่แล้วที่ไม่ใช่ เขา คนที่นั่งอยู่ตรงนี้

ลักษินันท์ข่มบางอย่างไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยถามบางอย่างออกมาเสียงเบา “เขาที่ตี๋พูดถึงคือพี่คนที่อยู่ใน...” เด็กหนุ่มหน้าใสพยายามจะไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังทำให้อีกฝ่ายมีปัญหาอยู่ในตอนนี้ “...ช่างมันเถอะ”

“เรื่องคลิปนั่น ยอห์นคิดว่าไง เพื่อนยอห์นพูดว่าอะไรกันบ้าง”

“ยอห์นไม่ได้สนใจหรอกยอห์นหรอก แต่ได้ฟังที่เพื่อนของตี๋พูดกันแล้วด้วย เราเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยพูดกัน”

“อืม แต่ก็แปลกดีนะ ดึกขนาดนั้นไม่น่าจะมีคนเดินผ่านหน้าบ้านเราแล้วด้วยซ้ำ” ราชวุฒิออกความเห็นสีหน้าเรียบเฉย

ผู้ฟังก้มหน้านิ่ง เขารู้ดีว่าคลิปนั่นเป็นฝีมือใคร และเขาก็คิดว่าราชวุฒิน่าจะรู้ดีเช่นกันว่าเป็นฝีมือใคร

“ป่ะ” ร่างสูงลุกขึ้น ยื่นมือมารอคนที่นั่งอยู่

“ตี๋จะไปไหน”

“ไปกินข้าวกัน”

ลักษินันท์เงยมองท่าทีที่ดูอ่อนโยนต่อเขามากขึ้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน จนแทบไม่อยากเชื่อหูเชื่อตาตัวเอง เขายื่นมือมาจับมือหนาที่รออยู่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นตามแรงดึง

 

 

ตั้งแต่คืนนั้น นี่ก็เป็นเวลานับเดือนแล้วที่ราชวุฒิไม่เจอหน้าธันธเนศเลย ติดต่อก็ไม่ได้ ไปรอพบที่หน้าบริษัทหรือที่โรงเรียนคาราเต้ก็ไม่เคยได้เจอ ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามหนีหน้าเขาอยู่

 

“ฮัลโหลธัน วันนี้มึงจะมาซ้อมเปล่าเนี่ย”

“คงไม่ไปอ่ะ เหนื่อยๆ”

“ธัน นี่เป็นเดือนแล้วนะเว้ยที่มึงไม่โผล่หน้ามาเลย ไม่ซ้อมไม่เป็นไร แต่มึงเล่นหายไปเลย”

“โทษที ช่วงนี้กูยุ่งๆ”

“มึงยุ่งจริงเหรอ แน่ใจว่ามึงไม่ได้กำลังหลบหน้าใครอยู่”

“ไร้สาระน่า กูจะหลบหน้าใคร”

“หึ แล้วทำไมมึงไม่รับโทรศัพท์น้องเขา ไปหามึงที่บริษัทก็ไม่เคยเจอ”

“ก็กูบอกแล้วไงว่ากูยุ่งๆ ถ้ามันรอไม่ได้ก็ไม่ต้องรอดิ”

คนต้นสายหันไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งห้อยขาหน้ามุ่ยอยู่บนโต๊ะวางอุปกรณ์ หลับตาปริบๆ สีหน้าเศร้าสร้อย

“ธัน มึงโกรธอะไรน้องเขา” คนต้นสายเสียงแผ่วลง ก่อนจะเดินห่างออกมา “มีอะไรทำไมไม่พูดกันดีๆ ปกติมึงไม่ใช่คนแบบนี้นี่ มีเหตุผลหน่อย สงสารน้องมัน จะไม่ซ้อมให้น้องมันแล้วก็บอกดีๆ”

ปลายสายยังคงนิ่งเงียบ

“ธัน มึงฟังกูอยู่หรือเปล่า”

เจนจพถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหมดหนทาง เขาคบกับธันธเนศมานานพอจะรู้ดีว่าอะไรเป็นยังไง นิสัยเพื่อนคนนี้เป็นอย่างไร เขาจำใจกดวาง พ่ายแพ้ต่อความเย็นชาของอีกฝ่ายในที่สุด

 

 

ธันธเนศนั่งเงียบๆ อยู่หน้าบาร์แห่งหนึ่งในค่ำคืนที่เงียบงัน แสงไฟสีส้มสาดแสงอ่อนๆ ไปทั่วบริเวณ เสียงเพลงเบาคลอเคล้าอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นอยู่ในใจ

ในช่วงแรกค่ำคืนที่คนบางตา ธันธเนศยกเครื่องดื่มสีทองในแก้วขึ้นกระดกครั้งแล้วครั้งเล่า บุหรี่ราคาแพงถูกดึงออกมาจากตลับของมัน หลังจากที่อยู่ในนั้นมานานแสนนาน ซึ่งผู้เป็นเจ้าของจะถามหามันก็ต่อเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจเท่านั้น เช่นเดียวกับเครื่องดื่มย้อมใจเหล่านั้น ที่นานๆ ทีจะได้สัมผัสกับริมฝีปากบางคู่นี้

ไม่นานนักชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขาสามคนก็เดินเข้ามาในร้าน

 

หนุ่มร่างท้วมสะกิดเพื่อนที่เดินตามมาติดๆ ซึ่งมัวแต่สนทนากันอย่างออกรสออกชาติจึงไม่ได้เห็นในสิ่งที่เขาเห็น

การสนทนาหยุดลงในแทบจะทันที

“ไอ้ธัน” หนึ่งในนั้นอุทานขึ้นเบาๆ ขณะที่ตายังคงจดจ้องอยู่ที่ชายหน้าบาร์คนนั้น บางอย่างทำให้เขาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

 

“เห้ย” มือหนาผลักเข้าที่ไหล่ของคนที่นั่งอยู่เบาๆ เขาหันมามองเพื่อนทั้งสามที่ส่งยิ้มให้เฉกเช่นทุกครั้งที่พบหน้ากัน

“มึงเปลี่ยวอะไร มานั่งแดกเหล้าคนเดียว” เจนจพพูดขึ้นขณะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวสูงข้างๆ

บุหรี่ที่กำลังหมดลงถูกจี้ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่ใกล้ๆ

“เปล่า” เขาตอบ

“อย่ามาโกหกพวกกู ธันธเนศที่แสนดี ตอนนี้ทำตัวไม่ต่างกับคนอมทุกข์ที่หันหน้าเข้าหาน้ำเมาเป็นที่พึ่ง” เจนจพประชดประชัน

ใบหน้าเบื่อโลกยังคงไม่มองหน้าเขา

“ไม่เอาน่า พวกกูดีใจนะที่เจอมึงวันนี้ ไม่ได้เที่ยวด้วยกันนานแล้ว ชวนทีไรมึงก็บอกแต่ว่าไม่ว่าง” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เสริม

“เดี๋ยวกูสั่งเหล้า ไปนั่งโต๊ะตรงโน้นกัน กูจองไว้”

“เดี๋ยวกูก็กลับแล้วล่ะ” สีหน้าเรียบเฉยตอบ

“มึงจะทำตัวห่างเหินพวกกูเกินไปแล้วนะ” อณวุฒิเสริมพลางลูบแขนเพื่อนป้อยๆ

“น่านะ สักคืน อยู่ดื่มด้วยกันก่อน มีเรื่องไรไม่สบายใจก็มาระบายให้พวกกูฟังก็ได้นี่หว่า” เจนจพเสริม

สีหน้าซังกะตายผ่อนลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ หลังโดนเพื่อนสนิทคะยั้นคะยอ

 

ในบาร์ที่คนเริ่มหนาตา แสงไฟเริ่มสลัวลงสวนทางกับเสียงเพลงที่ดังและเร้าใจขึ้น

 “หายหน้าหายตาไปเลยนะธัน” อากิระ หรือเอก รุ่นพี่หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น ผู้สืบทอดโรงเรียนสอนคาราเต้ต่อจากผู้เป็นพ่อ และเขายังเป็นเพื่อนกับธันธเนศตั้งแต่วัยเด็กอีกด้วย เช่นเดียวกับเจนจพและอณวุฒิ

“อืม เพิ่งเปลี่ยนงานน่ะ”

“ห๊า!!!”

สามเพื่อนหนุ่มประสานเสียงอุทานขึ้นพร้อมกัน อณวุฒิถึงขั้นสำลักน้ำเมาที่กำลังรินเข้าปาก

“นี่มึงยังอยู่โลกเดียวกับกูปะเนี่ยธัน ทำไมอะไรๆ เกิดขึ้นกับชีวิตมึง พวกกูไม่เคยรับรู้เลย” เจนจพเอ่ยถามสีหน้าเป็นห่วง

“ก็อยากให้มันเป็นไปเงียบๆ น่ะ พอดีมีปัญหานิดหน่อย”

“ปัญหาอะไร บอกพวกกูบ้างก็ได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว เผื่อพวกกูช่วยได้”

ผู้ฟังก้มหน้ามองต่ำ ก่อนจะผ่อนลมหายใจ

“พี่กล้าตามหากูเจอแล้ว”

“ห๊า!!!!!”

การประสานเสียงอุทานดังขึ้นเป็นรอบที่สอง คราวนี้ดังจนโต๊ะข้างๆ ต่างก็หันมามองกันเลิ่กลั่ก

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำลายบรรยากาศ ทั้งสามได้แต่ก้มตัวลงต่ำเข้าหาผู้เล่าเรื่อง เพื่อที่การสนทนาจะได้เบาลง

“ไอ้สารเลวนั่นน่ะนะ” เจนจพถามขึ้น

“มันยังไม่เลิกราวีมึงอีกเหรอวะ” อณวุฒิเสริม

“อือ... เขาไปดักรอกูที่ทำงาน ทำตัวน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมอีก นี่แหละเป็นสาเหตุให้กูต้องเปลี่ยนงานทันที”

“แล้วเมียมันรู้ไหมว่าผัวมันทำตัวแบบนี้”

“ถ้ารู้มันจะเป็นแบบนี้ไหมล่ะ แต่อีกไม่นานคงจะรู้ หูตามันยิ่งกว่าสับปะรด กูเลยต้องรีบเปลี่ยนงานหนี ก่อนจะเลวร้ายไปมากกว่านี้”

“ชีวิตมึงนี่มันจริงๆ เลย เหี้ยสุดๆ” อากิระที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้น ก่อนจะยกเหล้าในแก้วขึ้นดื่ม

“เออจริง แต่คนที่เหี้ยคือไอ้บ้านั่น ใครพวกกูบอกเด็กดักเล่นแม่งดีไหม” อณวุฒิออกความเห็น

“ช่างแม่งเถอะ พวกมึงอย่าเอามือไปเปื้อนเลือดสกปรกของคนอย่างนั้นเลย อีกอย่างกูไม่อยากให้หลานกูกำพร้าพ่อ”

“แล้วตอนนี้มึงทำงานที่ไหน อะไร ยังไง” เจนจพถาม

“กูทำนิตยสารท่องเที่ยวอยู่น่ะ”

“ดูท่ามึงจะชอบทางวารสารฯเหลือเกินนะ ทิ้งไม่ลงเลย”

“อืม อันที่จริงที่ไหนก็ได้ ที่กูจะอยู่ได้โดยไม่ว่างงาน ระหว่างกูหนีจากคนๆ นั้น”

“เห้ออออ ขวัญเอ๊ยขวัญมา เรื่องนี้รู้แล้วเหยียบเลยนะพี่เอก ไอ้กล้วย เพื่อความปลอดภัยของตัวเพื่อนมึง”

“ได้ เดี๋ยวกูเหยียบให้กระจายเลย” หนุ่มร่างท้วมเย้าหยอก

“กระจายพ่อมึงสิ เดี๋ยวกูโบก” เจนจพพูดพลางออกท่า

 

เวลาล่วงเลยเที่ยงคืนมานานแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงฟ้าก็คงสว่าง เมื่อเมาได้ที่ ต่างฝ่ายก็ต่างร่ำลากันเพื่อแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน

“มึงแน่ใจนะธันว่าไม่ให้พวกกูไปส่ง”

“ส่งเหี้ยไร กูไม่ใช่เด็กอนุบาล”

“แต่มึงเมา”

“ไหนใครเมา กูจะเดินตามเส้นขาวนี้ให้ดู” เจ้าของใบหน้าแดงก่ำชี้นิ้วไปยังเส้นขาวบนขอบถนนบริเวณหน้าร้าน

สามหนุ่มยืนมองคนที่มีน้ำเสียงอ้อแอ้บ่งบอกว่าเพื่อนหนุ่มจริงๆ แล้วไม่ได้เก่งเหมือนปาก

“ก็เนี่ย พวกกูเห็นอยู่ว่ามึงเมา”

“ไม่มาววววว”

อากิระส่ายหัว “เดี๋ยวกูไปส่งแม่งเองก็ได้”

“พี่เอกไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมกับไอ้กล้วยไปส่งมันเอง พี่กลับเถอะ กลับไหวใช่ไหม”

“ไหวดิ กูไม่ใช่ไอ้ธันนะ”

“ได้ยินนะว่านินทา ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้เมา”

“เออ มึงไม่เมาก็ไม่เมา” กล้วยเดินตรงไปพยุงร่างที่โงนเงนจะล้มแหลมิล้มแหล่ ขณะเดินเตาะแตะไปตามเส้นขาวบนขอบถนนนั้น

 

“อ้าวพี่ๆ สวัสดีครับ” หนุ่มร่างสูงที่เพิ่งจะเดินออกมาจากผับที่อยู่ข้างกันกับเพื่อนหนุ่มสาวอีกประมาณหนึ่งกล่าวทักทายพวกเขาพร้อมกับยกมือไหว้ป้อยๆ “บังเอิญจังเลยนะครับ”

“เออๆ ไหว้พระไอ้น้อง ว่าแต่เอ็งจำพวกพี่ได้ด้วยเหรอ” เจนจพทักทายตอบ

“จำได้ดิพี่ โดยเฉพาะ...” สายตาคมหรี่มองร่างบางที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอณวุฒิ ผู้เป็นเสาหลักพยุงคนเมาที่อีกไม่นานก็คงเลื้อย “หนักเลย”

“เออ หนัก กูเนี่ยหนัก ไปกันยังวะแจ้” แม้จะตัวหนากว่าธันธเนศเป็นไหนๆ แต่ความไร้กระดูกของเอีกฝ่ายก็ทำให้อณวุฒิเริ่มจะประคับประคองไว้ไม่ไหวเหมือนกัน

“เออๆ ปะๆ” แจ้ทำท่าล้วงหากุญแจรถ

“เดี๋ยวพี่ ให้พี่ธันเขากลับกับผมแล้วกัน ผมเอารถมา แถมห้องอยู่ตรงข้ามกันด้วย จะได้ไม่ลำบากพวกพี่ๆ”

“เห่ย จะดีเหรอ” สามหนุ่มทำท่าลังเล หลังจากที่พอจะรู้ว่าเพื่อนหัวแก้วหัวแหวนของเขาไม่กินเส้นกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก

“เอาน่าพี่ ผมกับพี่เขารู้จักกันดีแล้ว เดี๋ยวนี้คุยกันบ่อย พวกพี่ๆ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“แต่เพื่อนพี่เมาแล้วเรื้อนมากเลยนะ น้องจะรับมือไหวเหรอ” เจนจพยังมิวายบ่ายเบี่ยง

“โอยพี่ ผมเจอมาแล้วทุกรูปแบบ เพื่อนผมเวลาเมาก็ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ดูอย่าง...” ทุกสายตาหันไปมองยังสาวสวยที่กำลังให้ปุ๋ยต้นไม้อยู่ใกล้ๆ พร้อมกับเพื่อนอีกคนที่คอยลูบหลังให้อย่างสุดความสามารถ

สามหนุ่มรุ่นพี่พยักหน้ารับโงนๆ เมื่อเห็นดังนั้น

 

“พวกมึง กูกลับแล้วนะ กลับกันดีๆ” ธันวาหันไปร่ำลาเพื่อนๆ ที่ยืนกระจายตัวอยู่บริเวณหน้าร้าน บ้างดูดบุหรี่ บ้างคุยกับคนถูกใจพี่เพิ่งพบในค่ำคืนแห่งความสนุกนี้ บ้างก็บริจาคอาหารเย็นต่อให้ต้นไม้ ให้สุนัขจรจัดแถวๆ นั้น

 

ร่างของหนุ่มที่อ่อนปวกเปียกเหมือนผักลวกถูกทิ้งลงบนเบาะข้างคนขับโดยสองเพื่อน ก่อนจะประตูจะปิดลง

“ฝากด้วยนะไอ้หนุ่ม ดูเพื่อนพี่ดีๆ นะ ไม่งั้นเรื่องยาว” เพื่อนร่างท้วมของคนเมาสั่ง

“ครับผม”

สายตาเป็นห่วงเป็นใยทั้งสามคู่ยืนมองรถคันดังกล่าวขับออกไปจนลับตา ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าง

 

 

รถจอดลงในลานจอดของคอนโดที่ทั้งสองอาศัยอยู่ ธันวาหันไปมองร่างที่นอนสลบเหมือดอยู่ข้างเขา ก่อนจะส่ายหัวอย่างเอ็นดู

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบหน้าธันธเนศหลังจากที่เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการพาเด็กในสังกัดไปเก็บตัวซ้อมก่อนลงแข่งแมตช์ใหญ่ จนกระทั่งพาทีมไปแข่งเทควันโดที่ต่างจังหวัดอยู่นานหลายวัน

ร่างสูงเปิดประตูฝั่งโดยสารออก ก่อนจะยืนเท้าเอวมองร่างที่แน่นิ่งอยู่ตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหล่าส่ายหัวก่อนจะยิ้มน้อยๆ ออกมา

เมื่อพยุงร่างที่อ่อนปวกเปียกมาถึงหน้าห้อง เขาก็เพิ่งนึกได้ว่าต้องมีกุญแจห้องของอีกฝ่ายถึงจะเข้าได้ ธันวาตัดสินใจล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย ปรากฏว่ามีเพียงโทรศัพท์มือถือ ส่วนข้างขวานั้น ก็ว่างเปล่า จะเหลือก็คงแค่กระเป๋าหลังกางเกงสองข้าง เขากลั้นใจล้วงลงไปข้างแรก กระเป๋าตัง และสุดท้าย...

ว่างเปล่า มันว่างเปล่า!!!

ฉิบหาย!

สิ่งเดียวที่เขาพอจะนึกออกก็คงเป็นบรรดาเพื่อนหนุ่มของธันธเนศเท่านั้น เขาหยิบโทรศัพท์ธันธเนศขึ้นมา

แบตฯหมด แบตฯหมด!!!

โธ่เอ๊ย พ่อคู้ณณณณ ถ้าเกิดไปเป็นอะไรขึ้นมาอยู่ที่ไหนคนเดียว อย่างนี้จะมีใครช่วยอะไรได้ไหมเนี่ย

“เอาวะ ไม่มีทางเลือกแล้ว” เขาพึมพำ

ร่างสูงประคับประคองคนที่สติชัตดาวน์ไปทางฝั่งประตูของตนเองก่อนจะเปิดเข้าไป

ร่างนุ่มนิ่มถูกวางลงบนที่นอนอย่างเบาแรง

“คืนนี้ก็นอนกับผมไปก่อนแล้วกันนะ”

เจ้าของห้องพูดพลางขยับร่างที่นอนแน่นิ่งให้อยู่ในท่าที่สบายตัว ถุงเท้าทั้งสองข้างถูกถอดออกให้ กระดุมเม็ดบนสุดถูกแกะออกเพื่อคลายความร้อนจากฤทธิ์เหล้าในตัวอีกฝ่าย

เมื่อจัดแจงกับคนเมาเสร็จเรียบร้อย ผู้เป็นเจ้าของห้องก็จัดการตัวเองเพื่อเตรียมตัวนอนเช่นกัน

 

เครื่องปรับอากาศในห้องเริ่มทำงานมันได้อย่างเต็มที่หลังจากเปิดมาชั่วขณะหนึ่งแล้ว ร่างสูงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จกับทั้งเนื้อทั้งตัวที่สวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียวด้วยความเคยชิน เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง มองคนที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนนั้น ก่อนจะแอบยิ้มออกมาอีกครั้ง

“เวลาหลับก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ดูไม่มีพิษสงดี” ร่างสูงพึมพำ

ไฟในห้องดับลงพร้อมกับความมืดที่คืบคลานเข้ามาแทนที่



... ก่อนเหมันต์ ...

หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 02-04-2018 19:51:49
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-04-2018 20:01:42
ตื่นมาคงโวยวายน่าดู555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-04-2018 20:08:06
ว๊ากกกก มาต่ออีกหน่อย อีกนิ๊ดเดียวก็ได้ นะ นะ นะ
 :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-04-2018 20:52:02
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-04-2018 22:15:27
 :pig4: :pig4: :pig4:

เผยปมเรื่อง "กล้า" มานิดเดียว

รอความกระจ่างต่อไป
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 02-04-2018 22:16:04
นึกว่าจะเป็นคืนที่เร่าร้อน โถ่วววว

 :hao7:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 02-04-2018 23:09:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-04-2018 23:44:40
จะรอดมั้ยนะ??
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 03-04-2018 00:46:37
 ธัญเปลี่ยนงานแล้วพี่รัญจะเป็นยังไงละเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-04-2018 06:19:08
ชัดและ กล้าแฟนเก่าธันคือพี่เขยตัวเอง
ให้สงสัยพี่สาวธัน รู้ไหมว่า  ผัวตัวเองป็นคนรักน้องชายมาก่อน

ลักขณาสาวข้างบ้าน พี่สาวยอร์น ถ่ายรูปราชวุฒิที่เมา แล้วธันช่วย
แถมปล่อยคลิปอีก ทำทำไม เลววววววนะตัวเอง

ธัน ตื่นมาในห้องธัญ เป็นเรื่องแน่  :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 03-04-2018 06:46:21
น้องธันตัองดูแลพี่ธันดีๆนะ
คงไม่ทะเลาะกันอีกแล้ว ใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 03-04-2018 07:46:20
แหมๆ ตื่นมาคงโวยวายน่าดู
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 03-04-2018 08:53:15
ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 03-04-2018 08:54:22
อยากรู้อดีตของธันอ่ะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 03-04-2018 10:06:42
อยากรู้จังว่าทำไม ต้องกลัวพี่กล้ากันขนาดนั้น
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-04-2018 15:09:29
ตามค่ะ โอ้ยยยดีมากก
กล้านิตัวร้าย
ธันคือผู้ถูกกระทำ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 03-04-2018 20:31:22
 o13 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: day9day ที่ 04-04-2018 09:21:13
ดูวุ่นวายดีแท้
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 8 (2/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 08-04-2018 18:45:17
9
ความรู้สึกมันฝืนไม่ได้





ธันธเนศปรือตาขึ้นในเช้าวันใหม่ แสงสว่างสาดเข้ามาในห้อง ลมเบาๆ พัดผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่เข้ามาปะทะกับผ้าม่านปลิวไสว

ผ้าม่าน!

เขาเปลี่ยนผ้าม่านตั้งแต่เมื่อไหร่ มันไม่ใช่ผ้าม่านห้องเขา

ธันธเนศดีดตัวลุกขึ้นเมื่อได้สติ มองร่างขาวเหมือนหยวกเหยียดยาวอยู่ข้างๆ เสียงกรนเบาดังขึ้นจากจังหวะหายใจ

 

เกิดไรขึ้นเมื่อคืน? ทำไมเขาถึงได้เข้ามานอนในห้องของธันวา

 

เมื่อสำรวจตัวเองพบว่ายังอยู่ครบสามสิบสอง ไม่มีส่วนไหนชำรุดเสียหาย ธันธเนศจึงค่อยๆ ขยับตัวออกจากเตียงอย่างเบาแรงที่สุด แล้วย่องออกจากห้องไป แต่แล้วก็มีเสียงพลิกตัวไล่หลังมาติดๆ พร้อมกับเสียงสูดลมหายใจฟืดฟาด

“จะกลับไม่คิดจะบอกสักคำเลยเหรอ” เสียงงัวเงียพูดขึ้นทั้งที่ยังหลับตา “เข้าห้องไม่ได้หรอก คุณทำกุญแจหาย”

“เอาใส่เมล์บ็อกซ์ไว้ข้างล่าง กุญแจบ็อกซ์ก็ห้อยอยู่ที่คอนี่ไง”

“จริงดิ!” ร่างสูงดีดตัวลุกขึ้น จะว่าไปเขาก็ปลดกระดุมเสื้ออีกฝ่ายลงตั้งหนึ่งเม็ดก็ไม่ยักเห็นว่ามีกุญแจดอกนั้น

“เมื่อคืนพากลับเหรอ”

“ก็เออดิ”

“เข้าห้องไม่ได้ทำไมไม่บอก”

“ถ้าสติเหลือให้ถามก็คงดี”

“อ๋อเหรอ”

“อ๋อเหรอ?” คนบนเตียงทวนคำ “รู้งี้ปล่อยให้นอนกองอยู่หน้าห้องซะก็ดี”

“เออ งั้นไปล่ะ”

ประตูเปิดออก

“เดี๋ยว” ผู้เป็นเจ้าของห้องร้องเรียกไล่หลัง “ตัวนุ่มดีอ่ะ ว่างๆ มานอนให้กอดอีกหน่อยนะ”

ผู้ที่ยืนค้างอยู่ตรงประตูทำได้เพียงชูนิ้วกลางขึ้นแทนคำตอบ ก่อนประตูจะปิดลง

ใบหน้าที่ยิ้มแป้นเมื่อกวนตีนสำเร็จล้มตัวลงนอนต่ออย่างสบายอุรา

 

 

“ฮัลโหลธัน”


“อือ”

“พี่รู้แล้วนะว่าพี่กล้าไปหาแก”

“แล้วไงต่อ”

“เมื่อไหร่แกจะเลิกยุ่งกับเขาสักที เขามีลูกกับพี่แล้วนะธัน”

“ผมไม่ได้อยากจะยุ่งเลย เขาต่างหากที่ไม่ยอมเลิกยุ่งกับธันสักที”

“อ๋อ นี่แกกำลังจะบอกว่ากล้าเขายังรักแกเหรอ แกเองหรือเปล่าที่ยังติดต่อเขาอยู่ ไม่งั้นเขาจะหาแกเจอได้ยังไง”

“มีน ธันเป็นพี่น้องร่วมท้องกับมีนนะ มีนพูดอะไรควรจะให้เกียรติธันบ้างดิ”

“ถามตัวเองดูว่ายังมีเกียรติอยู่หรือเปล่า เลิกยุ่งกับครอบครัวคนอื่นเขาเสียที ก่อนที่เรื่องนี้จะถึงหูพ่อกับแม่”

“อย่างน้อยธันก็มีเกียรติพอที่จะไม่แย่งของคนอื่นมาเป็นของตัวเองหรอกนะ”

“ไอ้ธัน!”

“มีนบังคับให้ธันเป็นแบบนี้เองนะ ในเมื่อเชื่อใจคนนอกมากกว่าพี่น้องในไส้ก็แล้วแต่เลย แต่ขอบอกไว้อย่างหนึ่งนะ ผู้ชายแบบนั้นน่ะ ไม่มีวันซะหรอกที่ธันจะกลับไปเสียเวลาด้วย”

“พูดได้ดีนิ พูดได้ ก็ขอให้ทำให้ได้ด้วยนะ”

การสนทนาได้จบสิ้นลงเพราะเขาไม่อาจทนฟังสิ่งที่พี่สาวกำลังกระแหนะกระแหนเขาได้อีกต่อไปแล้ว

 

ตั้งแต่จำความได้ ธันธเนศก็ไม่แน่ใจแล้วว่าเขากับมีนา ผู้เป็นพี่สาวฝาแฝดพูดกับเขาดีๆ สักกี่ครั้ง หรืออาจจะไม่มีเลยสักครั้งเสียด้วยซ้ำไป

               

           e’bear~Banana
            ‘วันนี้มีนัดซ้อมใหญ่ก่อนเด็กๆ ลงแข่ง @thun_thaneth คนสำคัญของยิมจะมาให้กำลังใจไหมน๊า’

            Bug KaiJae          
            ‘เออ หายนานไปแล้วนะเว้ย’

            Bank คึคึ
            พี่ธัน!!! @thun_thaneth

            Naruemon Konshopkin
            พี่ธันธเนศคนหล่อ @thun_thaneth

            AAA Naja
            พี่ธันคร้าบบบบ@thun_thaneth

            Nong Baimian4g
            พี่ธัน น้องรออ้ายอยู่เด้ออออ @thun_thaneth

 

            ......
            ...

 

 ข้อความจากไลน์กลุ่มเด้งขึ้นแสดงในหน้าจอสมาร์ทโฟนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อนในขณะที่เขากำลังเคร่งเครียดกับงานที่เพิ่งจะเริ่มได้ไม่กี่เดือน จนต้องตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูให้รู้แล้วรู้รอด

“มึงจะเมนชั่นเหี้ยไรกันนักหนา” เขาบ่นอุบ

 

            thun_thaneth
            ‘เดี๋ยวกูไป ใครเมนชั่นกูคนแรก เป็นคู่ซ้อมให้ด้วย [อีโม’กำปั้น]’


 

 

 

หลังจบสิ้นการรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยโค้ชอากิระ และแนะทริคเล็กๆ น้อยๆ พร้อมกับคำอวยพรในฐานะรุ่นอาวุโสสุดของโรงเรียนให้แก่คนที่กำลังจะลงแข่งแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ

ธันธเนศกำลังผลัดผ้าอยู่ในห้องแต่งตัวของโรงยิมเช่นทุกครั้ง ก่อนจะแยกตัวกลับบ้าง ขณะเดียวกันก็มีเสียงของความเคลื่อนไหวดังขึ้นทางด้านหลัง แต่เขาก็หาได้สนใจไม่ เพราะมีศิษย์คาราเต้มากมายเดินออกเดินเข้าอยู่ตลอด เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เขา

“หลบหน้าผมทำไม”

เสียงที่คุ้นหูดึงความสนใจเขาไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้านั้นยังคงมองตรงไปยังกระจกที่อยู่ตรงหน้า

ราชวุฒินั่นเอง

สีหน้านิ่งเฉยของผู้ถูกถามหันกลับมา ก่อนจะก้มลงต่ำ แล้วกวักน้ำที่กำลังไหลออกจากก๊อกขึ้นล้างหน้า “ทำไมถึงคิดแบบนั้น” ดวงตาเฉยชามองตรงในกระจก น้ำหยดใสหยดแหมะลงจากใบหน้าใสสู่อ่างล้างหน้า

“ผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจบอกได้นะ”

สายตาทั้งสองคู่ต่างก็ใช้กระจกบานใหญ่ตรงหน้าเป็นตัวกลางในการสื่อสารแทนที่จะมองคู่สนทนาตรงๆ

“พูดเรื่องอะไรของมึงวะ”

“ก็พี่ไม่ยอมเจอหน้าผมเลย โทรศัพท์ก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่อ่าน ไปรอที่บริษัทก็ไม่เจอ” เจ้าของเสียงน้อยอกน้อยใจหยุด ข่มอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงน่าเห็นใจ “ไม่ซ้อมให้ผมไม่เป็นไรหรอกนะ ขอแค่ให้ผมได้เจอพี่บ้าง”

“กูเพิ่งย้ายงาน ช่วงนี้เลยยุ่งๆ เด็กอย่างมึงจะไปเข้าใจอะไร”

“ใช่ ผมมันเด็ก ใครจะเหมือน...” เขาหยุด สกัดกั้นคำพูดบางอย่างที่อยากพูดออกมาใจจะขาดเอาไว้ ก่อนที่คำพูดแทนความน้อยอกน้อยใจของตัวเองจะไปช่วยสนับสนุนคำสบประมาทจากอีกฝ่าย “ถ้ายุ่งก็แค่บอกผมบ้าง สักคำก็ยังดี วันนี้ก็ด้วย พี่ก็ไม่แม้แต่จะมองหน้าผมด้วยซ้ำ หรือเพราะเรื่องคลิปนั่นใช่ไหม พี่ถึงตีตัวออกห่างผม”

ผู้ถูกถามก้มหน้า มองน้ำในอ่างที่กำลังเหือดแห้งไป

“ไม่ใช่หรอก” เขาตอบเสียงเบา

เขาไม่ได้อยากจะหนีหน้า เขาไม่ใช่คนหนีปัญหา แต่เพราะคำพูดของราชวุฒิในคืนนั้นมันทำให้เขากลัวใจตัวเอง กลัวว่าจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้ง กลัวว่าจะห้ามใจตัวเองไม่ได้เหมือนที่อุตส่าห์ทำมาตลอดหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น กลัวว่าความพยายามที่ผ่านมามันจะสูญเปล่า

“จะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ผมขอโทษ” ใบหน้าก้มต่ำเสียงอ่อย

“ขอโทษอะไรมึง กูไม่ได้โกรธสักหน่อย” เขาปรับอารมณ์ ก่อนที่สถานการณ์มันจะแย่ไปกว่านี้ สิ่งที่รบกวนจิตใจเขามีมากพอแล้วที่จะหาเรื่องใหม่เข้าไปเสริม “ป่ะ เดี๋ยวกูพาไปแดกข้าวก็ได้” ก่อนจะตบไหล่อีกฝ่ายเพื่อให้หลุดจากสถานการณ์อึมครึมนี้

หนุ่มมัธยมหันขวับมายังคนที่อยู่ข้างๆ สีหน้าตื่นเต้นกลบความเศร้าสร้อยที่เคยปรากฏ “จริงนะ พี่ชวนผมกินข้าว จริงๆ นะ” น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้น

“อือ”

“เยสๆๆ”

“มันต้องดีใจขนาดนี้เลย ให้เร็ว อย่าท่าเยอะ เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจ”

 

 

ในมื้ออาหารเย็นที่แม้จะเป็นเพียงบะหมี่ข้างทาง แต่กลับทำให้ราชวุฒิมีความสุขกับอาหารมื้อนี้เป็นที่สุด หลังจากที่ต้องทนกินข้าวขมคอมานานสองนาน เมื่ออิ่มหนำ เด็กหนุ่มร้องขอที่จะเดินมาส่งผู้เป็นรุ่นพี่ให้ถึงที่ให้จงได้

ลึกๆ แล้วก็เพราะมีเป้าหมาย หากธันธเนศหายหน้าไปอีก อย่างน้อยเขาก็พอจะรู้ว่าควรจะไปตามหาอีกฝ่ายได้ที่ไหนอีกบ้าง

 

บนฟุตบาทที่แสงไฟส่องสว่างเป็นระยะๆ สลับกับร่มไม้อึมครึม การสนทนาได้เงียบลงไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ธันธเนศที่เดินตามหลังจะเรียกคนที่เดินเอื่อยเฉื่อยนำอยู่ข้างหน้า

“ตี๋”

“ครับ”

“ไม่ว่ามึงจะรู้สึกยังไงกับกูก็แล้วแต่ กูแค่อยากจะบอกมึงไว้ก่อนว่า...”

“ว่า”

“เป็นพี่น้องแบบนี้น่ะดีแล้ว”

ร่างสูงที่เดินนำอยู่ไม่ได้สนใจหันกลับมามอง ยังคงเดินทอดน่องต่อไป

“ผมโกหกความรู้สึกตัวเองไม่ได้หรอก ฝืนก็ไม่ได้ด้วย มีเพียงการกระทำที่ผมจะทำให้ในสิ่งที่พี่ขอได้” เสียงเรียบเฉยไม่ได้บ่งบอกอารมณ์เศร้าหรือเสียใจใดๆ เขาคงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะข่มมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ

ราชวุฒิคงรู้อยู่แก่ใจแล้วล่ะ ว่าคนอย่างธันธเนศคงไม่โง่พอที่จะไม่รับรู้ถึงความรู้สึกจริงๆ ที่เขามีให้เลย

“พี่ธันครับ”

“หือ”

“ขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหม ปวดท้อง”

“มึงมาปวดอะไรตอนนี้เนี่ย”

“น๊า ผมจะไม่ไหวแล้ว ห้องพี่อยู่อีกไกลไหม”

“ไม่ไกลแล้ว แค่นี้เอง”

 

 

เสียงกดชักโครกดังออกมาจากในห้องน้ำบ่งบอกว่าผู้มาเยือนได้เสร็จกิจแล้ว ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นานประตูห้องน้ำจะเปิดออก

“ขี้แตกหรอ” เจ้าของห้องที่นั่งอยู่จ้องแล็ปท็อปอยู่กล่าวขึ้น

“ไม่ได้เข้าส้วมมาหลายวันแล้ว คงถึงเวลาของมัน”

ร่างสูงเดินสอดส่องสายตาไปทั่วห้องอย่างสนใจ โดยที่ผู้เป็นเจ้าของห้องไม่ได้สนใจแต่อย่างใด

“เออ ห้องพี่นี่ก็น่าอยู่เหมือนกันนะ ดูอบอุ่นดี กลิ่นก็หอมเหมือนห้องผู้หญิงเลย” ผู้พูดออกความเห็นขณะหลับตาพริ้มแหงนจมูกสูงเพื่อสูดกลิ่น

“เคยไปห้องผู้หญิงบ่อยล่ะสิมึง ถึงได้รู้ดีว่ากลิ่นห้องผู้หญิงเป็นยังไง”

“เห็นอย่างนี้ผมก็เคยมีแฟนนะ”

“แล้วเขาไปไหนแล้ววะ”

“เลิก เขาบอกว่าผมสนใจกีฬามากกว่าเขา”

“ก็สมควร”

“แหม แล้วพี่อะ”

“กูอะไร”

“ตอนนี้คบกับใครอยู่หรือเปล่า”

“เปล่า”

“ไม่น่าเชื่อ แล้วเคยมีใครหรือเปล่า”

“ไม่เคย”

“ไม่เชื่อ!”

ตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์คาราเต้ที่ตั้งอยู่บนชั้นวางถูกหยิบมาดูอย่างสนใจ

“ผมว่าจะซื้อของเข้าบ้านอยู่เหมือนกัน แม่บอกว่าบ้านโล่งไป แต่พวกเขาไม่ค่อยมีเวลา เลยอยากให้ผมที่อยู่ตลอดช่วยทยอยซื้อของเข้าบ้าง ถ้าผมไปพี่ช่วยไปเลือกหน่อยนะ ผมไม่รู้จักของพวกนั้นเลย”

“อือ ถ้ากูว่างนะ”

ร่างสูงที่ยืนพูดพลางเดินจับนู่นจับนี้ไปทั่วห้องอยู่หลัดๆ ตอนนี้มาหยุดอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ก่อนที่ตัวหนาหนักจะทิ้งตัวนั่งลงประชิดเขา

“ขนาดนี้แล้วมึงก็นั่งตักกูเลยเลยสิ”

“ได้เหรอพี่” สีหน้าตื่นเต้นพูดขึ้น

“เดี๋ยวกูโบก”

จมูกโด่งยื่นเข้ามาใกล้ “ตัวหอมจัง”

ธันธเนศเอียงตัวออกห่าง ก่อนจะส่งเสียงลอดจมูกห้ามปรามท่าทีกวนใจ

“บ้านหลังนั้นของใคร”

“พ่อผมซื้อไว้น่ะ อันที่จริงพ่อผมเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ย้ายไปสอนที่ต่างจังหวัดตั้งแต่บรรจุ แล้วเขาเจอกับแม่ผมที่นั่น เลยขายบ้านหลังเก่าที่นี่ทิ้ง พอผมย้ายมาเรียนในกรุงเทพฯ เขาเลยคิดอยากจะซื้อบ้านใหม่ทิ้งไว้สักหลังให้ผมได้อยู่ เขาไม่อยากให้อยู่หอพักสักเท่าไหร่”

“แล้วที่บ้านมาเยี่ยมบ้างไหม”

“นานๆ ครั้ง บ่อยสุดก็เดือนละสองครั้ง ส่วนมากถ้าเป็นวันหยุดยาวผมจะเป็นฝ่ายกลับไปหาพวกเขาเองมากกว่า”

“งี้ก็เหงาแย่ดิ”

“ก็เหมือนพี่อะ พี่ก็อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่เหงา ผมก็เหงา”

ใช่ เขาเหงา การอยู่คนเดียวมันเหงามากเลยล่ะ แม้จะดูเข้มแข็งต่อโลกภายนอกในสายตาคนอื่นสักเพียงใด แต่ความจริงแล้วเขาเหมือนคนที่ไร้ซึ้งที่พึ่งใดๆ ครั้นจะหันหน้าไปหาครอบครัวก็เหมือนหันหน้าเข้าสู่ความมืดยังไงยังงั้น ไม่ต่างกัน

 

เมื่อมองนาฬิกาตรงมุมล่างของหน้าจอแล็ปท็อปก็เห็นว่าเวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ธันธเนศละสายตาจากตัวหนังสือเล็กๆ สุดแสนจะลายตา สายตาพร่าปรับให้เข้ากับแสงอ่อนๆ ในห้อง หน้าจอถูกพับเก็บลงพร้อมกับแสงสว่างจ้า เผยให้เห็นบุคคลที่เงียบหายไปนานสองนานนอนขดตัวกอดหมอนอยู่บนโซฟาราบตรงข้ามเขา

เจ้าของห้องผู้ที่เหมือนมีน้องชายมาให้คอยดูแลอย่างงงๆ ส่ายหัวโงนๆ พร้อมกับพึมพำออกมาอย่างละเหี่ยใจ “ถ้าไม่บอกก็คือจะไม่กลับบ้านกลับช่องตัวเองจริงๆ ใช่ไหมมึงเนี่ย”

หลังจากปลุกคนที่ขี้เซาเหมือนเด็กอนุบาลให้งัวเงียตื่นขึ้นได้ เขาจึงบอกแกมบังคับให้รีบกลับ เพราะพรุ่งนี้ต่างฝ่ายต่างก็ต้องตื่นเช้าไปทำหน้าที่ของตน

 

เด็กหนุ่มหาวหวอดๆ เปิดประตูออกไปเป็นจังหวะเดียวกลับใครบางคนที่เดินมาเห็นเข้าพอดิบพอดี

สายตาของคนทั้งคู่สบกัน ธันวาหยุดก้าวเหมือนลืมท่าเดินชั่วขณะ ก่อนจะก้าวต่อมาหยุดอยู่หน้าห้องตัวเอง ก้มหน้าก้มตาควานหากุญแจห้อง

แม้จะทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่าย แต่นักศึกษาหนุ่มห้องตรงข้ามก็มิวายแอบมองแผ่นหลังหนาเดินออกไปในโถงทางเดิน พร้อมกับคำถามที่ครุกรุ่นอยู่ในใจ



TBC...


... ก่อนเหมันต์ ...

หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 08-04-2018 19:55:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-04-2018 20:40:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

ช่างเป็นพี่สาวฝาแฝดที่ ไม่เข้าใจ ไม่ผูกพันกับแฝดน้องตัวเอง  เหมือนแฝดคู่อื่น ๆ เลยนะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-04-2018 21:31:37
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-04-2018 21:35:21
อูยยย ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-04-2018 22:50:33
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 08-04-2018 22:55:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 08-04-2018 23:28:23
เอาแล้วไงๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 08-04-2018 23:41:26
หนุก
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 08-04-2018 23:54:56
เอาละสิ,,, จะเป็นไงต่อนะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 09-04-2018 01:00:38
โอ้ย สนุกเว่อ น้องตี๋ของพี่โดนจำกัดความสัมพันธ์แค่พี่น้องซะแล้ว
ธันก็น่าสงสาร คงเหงาน่าดู
มาต่อไวๆนะคับ  o13 :mew1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 09-04-2018 03:07:56
มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างรึเปล่านะ?
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-04-2018 08:02:55
แฝด เจ้ากรรมนายเวร
อะไรที่เป็นของน้องชายแย่งมาเป็นของตัวเองหมด
แย่งความรักของพ่อแม่ ไม่พอ
ยังแย่งคนรักของน้องชายอีก   :fire: :fire: :fire:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 09-04-2018 10:53:51
แฝดต่างขั้ว อดีตเคยพังของพี่ธัน ขอให้น้องธันช่วยเติมเต็มให้ด้วย น้องตี๋คู่กับยอร์นก็เหมาะสม
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-04-2018 12:36:39
ศึกมาหลายด้านเลยนะธัน เอาใจช่วย คนห้องข้างๆ ว่างๆ ก็มาช่วยด้วยดิ อย่าได้แต่มองอย่างเดียว
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 09-04-2018 13:35:39
อู้ววว ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 09-04-2018 13:54:12
หืมมีพี่แบบนี้ด้วยเหรอ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 10-04-2018 13:06:37
พี่สาวนี่เกินไปจริงๆ เห็นพี่ชายดีกว่าพี่น้องร่วมไส้
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 9 (8/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 12-04-2018 20:22:05
10
แก๊งตัวป่วน



ประตูปิดลง ธันวายังคงยืนพิงบานประตูเงียบๆ ในความมืดนั้น ก่อนจะ

 

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู...”

………

...

 

แสงเล็กๆ สีส้มสว่างขึ้นจากอีกมุมหนึ่งของห้อง ธันวาดีดตัวขึ้นยืนตรงด้วยความประหลาดใจ เสียงร้องเพลงอวยพรวันเกิดดังขึ้นจนจบลงพร้อมแสงเทียนที่มอดลงจากแรงเป่าของเขา ก่อนจะแทนที่ด้วยเสียงปรบมือรัวดังเซ็งแซ่

ไฟในห้องสว่างพรึบขึ้น

 

“ไอ้นนท์!” ธันวาสีหน้าตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่ถือเค้กยิ้มร่าอยู่ตรงหน้าเขา “ไม่นึกว่าพวกมึงจะจำวันเกิดกูได้นะเนี่ย กูอุตส่าห์เงียบ ไม่พูดถึง”

“ได้ไงล่ะพวก วันเกิดมึงทั้งที” อากร หนึ่งในเพื่อนของเขาตอบ

“โห ซึ้งใจสัดอ่ะ”

“เปล่า พวกกูถือโอกาสนี้ให้มึงเลี้ยงเหล้ากูด้วยไง”

“นั่นไง ไอ้เพื่อนเวร”             

เพื่อนกลุ่มเดียวกันที่สนิทสนมกันตั้งแต่เริ่มเรียนปีหนึ่งของธันวาก็คงจะเห็นเป็นสี่คนนี้แหละ ที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้ฝ่าฟันกับความหฤโหดของวิชาเรียนและชีวิตในมหาลัยตลอดสี่ปีกว่ามาด้วยกัน

นนท์ อากร เปรมยศ และมิ่งเมือง รวมตัวเขาเองเป็นห้าหนุ่มขาใหญ่แห่งเอกพละ ที่ไปไหนมาไหนเป็นต้องสร้างเสียงกรี๊ดกร๊าดให้บรรดาสาวแท้สาวเทียมทั่วมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนักหรอก เพราะถ้าไม่ตั้งใจหนีเรียนไปนั่งสุมหัวกันเอ้อระเหยอยู่ที่ไหนสักที่ ก็เมานอนหลับเหมือนซ้อมตายกองกันอยู่ที่ห้องใครสักคน

คนที่เห็นจะเป็นการเป็นงานหน่อยก็คงจะเป็นธันวานี่แหละ ที่ต้องคอยแบกรับภาระที่เพื่อนๆ สร้างให้อยู่เสมอ การบ้านเอย ติวข้อสอบเอย เช็คชื่อแทนเอย หรืองานกลุ่มที่ถ้าเขาไม่ยื่นคำขาดว่าจะไม่ใส่ชื่อลงไปในหน้าปกรายงานก็คงไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วย ที่พอจะพึ่งได้หน่อยก็คงจะเป็นมิ่งเมือง หรือ เอ็ม หนุ่มเหนือสายเรียบร้อย พูดเพราะ มารยาทงาม แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังแล้วคนติ๋มแบบเขาคือหัวหน้าพี่ระเบียบของมหาวิทยาลัยที่น้องๆ ต่างก็เกรงกลัว แต่พี่ว๊ากสุดโหดหรือจะสู้เพื่อนสามหน่อสายชิว คนที่เนื้อแท้หัวอ่อนอย่างเขาก็ต้องยอมโอนอ่อนลู่ลมตามอยู่ร่ำไป

 

“หยอกน๊า นี่ วันนี้ไอ้กรมันถูกหวย” นนท์กล่าว

“มึงเนี่ยนะถูกหวยไอ้กร” เจ้าของห้องมองไปยังอากร หนุ่มมาดเซอร์หัวฟู ที่ดูหน้าก็รู้ว่าชีวิตนี้คงหาสาระด้วยไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่าพอสอบทีไร มันท็อปตลอด ขัดแย้งกันฉิบหายระหว่างบุคลิกแต่ละคนกับความเป็นจริง

“เอ๋า ก็แน่นอนน่ะสิเพื่อน คนดวงดีอย่างกู มีงวดไหนบ้างที่ไม่ถูก”

“ทุกงวดไอ้สัด!!!” สี่คนประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง

“อ้าวๆ พูดงี้เดี๋ยวกูไม่เลี้ยงนะ”

“หยอก” นนท์ หนุ่มรูปหล่อ หนึ่งในคฑากรมหา’ลัยที่หาระเบียบวินัยไม่ได้ จนหวิดโดนถอดมาแล้วหลายครั้งพูดขึ้น

“ดูสินี่อะไรเอ่ย” หนุ่มแว่นหน้าตี๋พูดพลางชูกล่องเหล้าแวววาวราคาแพงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆ ขึ้นโชว์

“โห ถูกเยอะหรอวะไอ้กร ถึงซื้อได้ขนาดนี้” ธันวาถาม

“แน่นอน” อากรหยักไหล่ พลางผายมือไปในพื้นห้องที่เคยว่างเปล่า ซึ่งตอนนี้มีนนท์ยืนบังอยู่ พอเขาขยับออกก็เผยให้เห็น ลังโค้ก โซดา ถังน้ำแข็ง กับแกล้ม และอื่นๆ อีกมากมายที่ขี้เหล้าแท้ๆ เห็นเป็นต้องอาย

“สาดดดดด” ธันวาอุทานอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

“เห็นละเปรี้ยวปากเลยใช่ไหมล่ะ” เปรมยศ หรือหลิว ไอ้เนิร์ดแว่นที่นิสัยไม่ได้ใสเหมือนหน้าตายักคิ้วหลิ่วตา

 

ปกติธันวาคือคนที่ดูจะมีสติสุดในการดื่มกินแต่ละครั้ง เพื่อที่จะได้คอยเก็บเพื่อนที่จะต้องเมาเป็นหมาแบบไม่ต้องเดา แต่ครั้งนี้ ภาพของเด็กมัธยมที่ออกมาจากห้องตรงข้ามเขาเมื่อครู่นี้ มันทำให้เหมือนมีหมามุ่ยโรยอยู่ในใจเขา

เป็นไงเป็นกันวะ!

“คืนนี้ใครอ้วกก่อน แพ้” เจ้าของห้องโยนกระเป๋าลงบนโซฟา ก่อนจะปรี่ลงไปเริ่มตั้งวงเป็นคนแรก จนเพื่อนๆ เป็นต้องงงเป็นไก่ตาแตก ธันวาคนดีเป็นอะไรไป

 

เสียงเพลงแดนซ์ที่เสียงเบสอาจทำให้คนเป็นโรคหัวใจช็อกตายได้ดังขึ้นจากลำโพงขนาดเล็ก แต่กระนั้นมันก็ถือว่าดังมากในคอนโดที่เงียบเชียบเมื่อถึงเวลาพักผ่อนแห่งนี้ การตั้งวงเฉลิมฉลองวันเกิดเล็กๆ ที่เสียงไม่ได้เล็กไปด้วยเริ่มขึ้น

การพูดคุยเอะอะที่ดังไม่หยุดหย่อน สลับกับเสียงเฮและเสียงชนแก้ว คนที่รับกรรมไปเต็มๆ ก็คงจะเป็นห้องข้างล่างและห้องข้างๆ

ธันธเนศกลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับควันโขมงไล่หลังออกมา แม้การอาบน้ำจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว แต่มันกลับไม่เป็นผลต่อหนังตา ที่ถึงเวลาพักผ่อนจากการกระพริบขึ้นลงของมันแล้ว

เสียงดนตรีแว่วมากระทบหูเขา ดังขึ้นและเบาลงเป็นจังหวะอยู่อย่างนั้น แม้มันจะไม่ได้ดังมากมาย แต่มันก็ไม่อาจทำให้เขาข่มตาหลับลงได้แน่หากยังคงเป็นอยู่อย่างนี้

“ห้องไหนอีกวะ” เขาพึมพำ ก่อนจะเดินออกไปแง้มประตูดู

ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งยองๆ เอามือกุมหูหลังพิงผนังอยู่ตรงหน้าห้องของเธอที่อยู่ถัดจากห้องของธันวา อีกฟากหนึ่งเป็นคู่รักวัยทำงานที่ยืนสีหน้าเคร่งเครียดคุยอะไรบางอย่างอยู่กับ รปภ ผู้ดูแลตึก

“คนเมาน่ะครับ พูดให้เข้าใจคงยาก ถ้าเราขอความร่วมมือแล้วเขาไม่ทำตาม ผมก็จนปัญญาจริงๆ เพราะเขาเป็นเจ้าของห้องเองเสียด้วย ยังไงก็ต้องรอแจ้งนิติดูพรุ่งนี้เช้าครับ นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าครับที่เขาทำแบบนี้” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนุ่มใหญ่อธิบาย ก่อนจะตบท้ายด้วยคำถาม เพราะแม้ตนจะอยู่มานานแต่ก็ยังไม่เจอปัญหานี้

“น่าจะครั้งแรกครับ เราเพิ่งเข้ามาเช่าได้ไม่กี่เดือน แต่ก็ไม่เคยเจอปัญหานี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร” ฝ่ายชายพูดขึ้น

รปภถอนหายใจอย่างหนักอก

เมื่อธันธเนศหันกลับไปมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างนอกเมื่อครู่ บัดนี้ได้หอบข้าวของจำเป็นบางส่วนเดินออกไปพร้อมกับกุญแจรถ น่าจะเป็นชุดทำงานของเธอพรุ่งนี้ คงไปนอนที่ไหนสักที่กับใครสักคน เพื่อหลีกหนีจากคืนเฮงซวยนี้

ขณะเดียวกันก็มีเสียงเฮลั่นดังขึ้นในห้องตรงข้ามเขา มันชัดเจนแล้วว่าใครคือตัวปัญหา

หากปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้คืนนี้เขาก็งอยู่ไม่ได้เหมือนกัน ธันธเนศตัดสินใจเดินเข้าไปเคาะ เพื่อขอให้อีกฝ่ายหยุด อย่างน้อยหนึ่งในนั้นต้องเป็นธันวา ผู้เป็นเจ้าของห้อง

ประตูเปิดออก พร้อมกับหนุ่มร่างสูงที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นคนละคนด้วยน้ำเปลี่ยนนิสัยสีทองในแก้วที่ถืออยู่ หน้าแดงก่ำกับตาที่หวานเยิ้ม สภาพชุดนักศึกษาหลุดลุ่ย กลิ่นละมุดส่งกลิ่นหึ่งออกมา เขาส่ายหัว

“อ้าว นึกว่าคราย สุดหล่อห้องตรงข้ามนี่เอง ว่างาย อยากมาร่วมแจมกับผมเหรอ” เสียงอ้อแอ้พูดขึ้น

“เบาเสียงลงหน่อยได้ไหม ห้องอื่นเขาอยู่กันไม่ได้แล้ว”

“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย” ร่างสูงที่ยืนโงนเงนก้มตัวลง เงี่ยหูเข้ามาใกล้ มันน่ากัดให้ขาด “เฮ้ย พวกมึงเบาเสียงเพลงลงหน่อยดิ” ก่อนจะหันกลับไปบอกคนที่อยู่ในห้อง ที่ส่งเสียงสนุกสนาน

“อะไรนะ เพิ่มเสียงเหรอ กูว่ามันดังแล้วนะ” อีกเสียงแว่วกลับมาจากด้านในห้อง แทรกกลับเสียงเพลงที่ดังสนั่น แม้จะพูดไปอย่างนั้น แต่เสียงเพลงกลับดังเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยว่าผู้ตอบทำอะไรกับเครื่องเล่นเพลงนั่น

เมื่อเห็นสภาพแล้ว ธันธเนศรู้ว่า ต่อให้พูดด้วยเหตุผลยาวสักหน้ากระดาษก็คงไม่เป็นผลกับอีกฝ่ายแล้ว

 

 

“ว่าไงธัน มีไรว่ะ โทรมาดึกๆ ดื่นๆ” เสียงปลายสายงัวเงียพูดขึ้นพร้อมกับเสียงเคี้ยวน้ำลายบูดตัวเอง

“กล้วย บ้านมึงเลี้ยงแมลงใช่ไหม”

“ใช่ มีอะไร จะขอซื้อเหรอ”

“ใช่ มีตัวอะไรบ้างวะ”

“ก็มีจิ้งหรีด หนอนไหม แมงมุม แมลงสาบ ด้วง แมงป่อง ตะขาบ งูก็มี ว่าแต่จะซื้อไปทำหอกไรวะ แล้วตอนนี้กี่โมงกี่ยาม มึงรีบเหรอ”

“เออ กูรีบ ตอนนี้มึงว่างใช่ไหม”

“ก็...” หนุ่มหุ่นหมีเหลือบมองไปทางภรรยาร่างบางที่นอนอยู่ข้างๆ “ก็นอนไง มึงมีไร”

“กูมีเรื่องให้มึงช่วยหน่อย”

บ้านของอณวุฒิทำฟาร์มแมลงมาตั้งแต่รุ่นพ่อ เพื่อส่งขายให้บริษัททำอาหารสัตว์และสำหรับแม่ค้าขายแมลงทอด นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่เพาะเลี้ยงสัตว์มีพิษไปจนถึงสัตว์แปลกหายากขนาดเล็ก เพื่อขายให้กับนักสะสมหรือคนชอบเลี้ยงทั้งหลายอีกด้วย

 

 

“แม่งเอ๊ย คืนนี้สุดๆ เลยว่ะ” นนท์ผู้หน้าแดงก่ำ ยิ้มร่าอย่างรื่นเริงขณะพูด

“เออ สุดติ่งกระดิ่งแมวโคตรๆ” เปรมยศเห็นด้วยกับเพื่อน

“เออ ว่าแต่กระดิ่งแมวเกี่ยวไรวะ” มิ่งเมือง หนุ่มหน้าซื่อถามแทรกขึ้น

 ก่อนจะมีเสียงแปะจนหน้าทิ่ม พร้อมกับอาการชาบริเวณท้ายทอยจะตามมาติดๆ

“ถามห่าไรมึง ไร้สาระ” หนุ่มผมฟูเจ้าของฝ่ามืออรหันต์ดับความใสไร้เดียวสาของเพื่อนลง ก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดก

“มาๆ ชนกันหน่อย” เจ้าของห้องชูแก้วขึ้นก่อนจะพูดเสียงดัง ก่อนที่เพื่อนหนุ่มทั้งสี่ที่ล้อมวงอยู่จะชูแก้วของตัวเองขึ้นอย่างไม่รีรอ

“คงสนุกจนเหนื่อยสินะ เอาให้แม่งไม่ได้หลับได้นอนไปเลย แด่คนร่านๆ!” คำพูดประหลาดโพล่งออกมา จนอีกสี่คนที่กำลังชูแก้วขึ้นมาชะงักไปตามๆ กัน แม้จะกรึ่มแค่ไหน แต่คำพูดที่เข้าหูเมื่อสักครู่มันช่างกระดากหูนัก

“อะไรมึงวะไอ้ห่าธัน” นนท์ถาม

“เออ ฟังดูทะแม่งฉิบหาย” เปรมยศเสริม

“ฟังแล้วกูรู้สึกเหมือนจะอ้วก” อากรเอาบ้าง

“ที่มึงจะอ้วกเพราะมึงเมาไอ้ห่ากร” เปรมยศต่อว่า

“คิงเคยบอกฮาบ่ไจ้ก๋า ว่าหมู่เฮาทุกๆ คนเนี่ยจะโสดฮื้อแม่งิงเสียดายเล่นๆ” คำพูดภาษาเหนือประสมกลางบ้างกล่าวขึ้นตบท้าย

ใบหน้าที่กำลังตั้งใจฟัง ตาเบิกโพลง

“ไม่ต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นก็ได้ แค่กูพูดภาษาเหนือ”

“กูไม่ได้ตกใจที่มึงพูดภาษาเหนือ ตัวอะไรกำลังไต่ขึ้นคอมึงน่ะ”

จะว่าไปเขาก็รู้สึกจักจี้เหมือนมีอะไรเป็นขนๆ มาสัมผัสกับคอเขาอยู่เหมือนกัน หนุ่มเหนือไม่รอช้า ยกมือขึ้นปะกบลงบนบริเวณที่รู้สึกทันที เหมือนตบยุง แต่สิ่งที่ติดมืออกมาทำให้เขาหัวใจแทบหยุดเต้น แมงมุมสีดำขนาดย่อมที่มีขนหยาบๆ ทั่วทั้งตัว มิ่งเมืองตาเบิกโพลงก่อนจะสลัดเจ้านั้นออกจากมืออย่างสุดชีวิต

“เฮ้ย ไอ้กร บนหัวมึงก็มีแมลงสาบ” มิ่งเมืองชี้มาที่อากร ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

“กลัวเหี้ยอะไร กะอีแค่แมลงสาบ” เขาพูดพลางเอื้อมมือไปปัดเจ้าตัวกระดุ๊กกระดิ๊กบนผมที่ฟูฟ่องของเขาออกไปอย่างใจเย็น เมื่อดึงแขนกลับมา ปรากฏว่าก็ยังมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนแขนของเขา สายตาที่เบลอจากความเมาเพ่งมองสิ่งนั้น แมลงสาบตัวจิ๋วนับไม่ถ้วนวิ่งวนเวียนอยู่บนแขนของเขา

“อี๋ ไอ้เหี้ย!!!” เขาลุกพรวดขึ้น ก่อนจะสะบัดแขนนั้นแบบไม่คิดชีวิต

“ไหนมึงบอกมึงไม่กลัววะไอ้กร ร้องเป็นตุ๊ดเชียว” นนท์ว่า

แต่คนที่ยืนอยู่หาได้สนใจในคำพูดของอีกฝ่ายไม่ ตาคมเบิกกว้าง ชี้โบ๊ชี้เบ๊มาทางเปรมยศที่นั่งหันหลังให้ประตู

“อะ-ไอ้หลิว ข้างหลังมึง”

“อะไรของมึง”

ทุกสายตาหันไปยังสิ่งที่หนุ่มผมฟูชี้ด้วยท่าทีตื่นกลัว บรรดาแมลงนับสิบนับร้อยกำลังวิ่งสวนสนามกันอย่างสนุกสนานเหมือนกับกำลังตื่นเต้นกับสถานที่ใหม่

ทั้งกิ้งกือ แมลงสาบ แมงมุม แมงป่อง  จริงอยู่ที่บรรดาแมลงน่ารักน่าชังเหล่านี้อาจจะไม่ได้น่ากลัวจนทำให้ผู้ชายอกสามศอกอย่างพวกเขาระคายใจได้ แต่ถ้ามาในปริมาณขนาดนี้ และนานาประเภทแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับฉากหนึ่งในหนังสยองขวัญเลย มีหรือผู้ชายอกสามศอกแต่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออย่างพวกเขาจะต้านทานไหว

“นี่กูไม่ได้เมาจนตาลายใช่ไหม หรือกูหลอนไปเองวะ พวกมึงตบหน้ากูที” นนท์พูดเสียงสั่นเหมือนกับตัวของเขาเอง

เพียะ!

แม้มิ่งเมืองผู้แสนซื่อจะอยู่ในอาการหวาดผวาเช่นกัน แต่ก็มิวายทำตามคำขอของเพื่อน เสียงฝ่ามือกระทบแก้มจนหน้าสั่นดังขึ้น

“กูว่ากูไม่ได้เห็นภาพหลอน”

“ก็ใช่ไงล่ะ” หนุ่มผมฟูตะโกนเสียงดัง สีหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ “ไอ้ธัน ห้องมึงมีตัวเหี้ยอะไรเต็มไปหมดเนี่ย” หนุ่มฮิปปี้พูดพลางกระโจนออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่คนอื่นจะแตกกระเจิงตามไปติดๆ

 

ในอีกฟากหนึ่งของประตูห้องตรงข้าม สองหนุ่มกำลังเอามือกุมปากแน่นก่อนที่เสียงหัวเราะจะหลุดลอดออกมา จนสุดท้ายเมื่อทุกอย่างสงบลง เสียงฝีเท้าตึงตังเหมือนฝูงม้าเงียบหายไปแล้ว เสียงระเบิดหัวเราะที่เหมือนเก็บกดมานานก็ระเบิดออกมา

“มึงทำแบบนี้จะดีเหรอวะไอ้ธัน”

“ก็กูทำไปแล้ว”

“แล้วถ้าพวกแม่งรู้เข้าล่ะ”

“แล้วไง กูไม่แคร์ สั่งสอนให้รู้ซะบ้างว่าที่นี่ใครคุม”

“จ้า กูกลัวเหลือเกิน กลัวว่าความเก่งของเพื่อนกูจะไปสะกิดตีนใครเขาเข้าอีก”

“เออน่า เมื่อถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน ทีนี้มึงไปห้องนั้นเป็นเพื่อนกูหน่อย กูจะไปปิดเพลง”

“เอ๊า ไอ้สัด นึกว่าจะเก่ง”

 

และแล้วคืนแห่งสงครามปราบล้างแก๊งขี้เมาป่วนคอนโดก็ได้จบลงด้วยน้ำมือธันธเนศกับเจ้าของแมลงอันน่าสยดสยองเหล่านั้น อณวุฒินั่นเอง สองฮีโร่แห่งค่ำคืนชวนปวดหัวนี้


... ก่อนเหมันต์ ...


หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-04-2018 20:35:09
 :pig4: :pig4: :pig4:

แสบจริง ๆ เลยพรี้ธัน

ส่วนนุ้งธันนี่ก็ หึง ขุ่นพี่หรา?
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-04-2018 21:19:45
 :L2: :pig4:

นุงธัน คันอะไร  ไปเป็นอะไรกะเขาเมื่อไร
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-04-2018 21:47:42
ทำไปได้นะพี่ธัน ว่าแต่หอพักนี่อยู่ไหนนะ เป็นบ้านไม้หรือจะไม่ไปพัก
แบบว่ามีร่องมีรู ที่สามารถปล่อยสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเข้าไปได้เป็นฝูงได้
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-04-2018 22:07:54
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: viewier ที่ 12-04-2018 23:18:54
ธันวาเริ่มมีอาการแล้วอะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-04-2018 23:36:22
 :m20:


ทำให้เด็กมันดู
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-04-2018 01:46:23
ขาใหญ่คุมคอนโด555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 13-04-2018 01:54:51
โอ้โห วิธีจัดการ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 13-04-2018 06:35:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Poongsuke ที่ 13-04-2018 11:17:51
สนุกมากครับบบ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 13-04-2018 16:35:59
ทำไมรู้สึกตอนนี้มันสั้นๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: day9day ที่ 13-04-2018 21:09:06
โอ้ยยยย
ชอบบบบบบบ

มาต่อไวๆนะครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 13-04-2018 23:55:41
สุดยอดความแสบ,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-04-2018 00:24:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-04-2018 00:55:17
สงสารน้องแมลงจังเลย ถ้าต้องถูกกำจัด แต่เปลี่ยนเป็นพี่ตุ๊ก มันจะแหล่มมาก ๆ เลย  :pigha2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 14-04-2018 11:27:09
 
วิธีแก้เผ็ดสยองมากอะ….   o21
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง The Room Opposite - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 14-04-2018 15:38:12
เข้ามาอ่านรวดเดียวเลย สนุกมาก
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 18-04-2018 09:39:50
ทะมายยยย น้องธันอย่าว่าพี่ธันนนน

อยากให้เค้าดีกันเร็วๆจังงง

 :sad4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 10 (12/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 21-04-2018 15:37:45
11
จูบแรก



หลังจากสร่างเมา ธันวาก็งัวเงียตื่นขึ้นในห้องที่สภาพรกเหมือนรังหนู ซึ่งก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล หอพักของอากรนั่นเอง ธันวานอนเบียดกับนนท์และเปรมยศอยู่บนเตียง อีกมุมหนึ่งของห้อง มิ่งเมืองนอนหมดสภาพอยู่บนโซฟาตัวเก่า ส่วนอากร ผู้เป็นเจ้าของห้องนั้นนอนกองอยู่บนพื้นห้องพร้อมกับเสียงกรนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

นักเทควันโดหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สองมือกำขอบเตียงแน่น รอให้ในหัวที่กำลังหมุนวนกลับเข้าที่ ก่อนจะพยายามประติดประต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ห้องเขาไม่เคยมีแม้แต่มดสักตัวเดียวเข้ามาก้ำกราย แต่เมื่อคืนมันคือฝูงปีศาจที่ไม่ใช่ธรรมชาติรังสรรค์แน่ๆ มันจะต้องเป็นฝีมือของใครสักคน!

ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะหันไปกราดสายตามองดูบรรดาเพื่อนหนุ่มที่แทบสิ้นสภาพความเป็นคนเต็มที แล้วพยุงร่างสูงของตัวเองก้าวข้ามอากรที่นอนกรนครอกๆ เพื่อเดินออกจากห้องไป

 

 

ธันวาเหลียวมองประตูห้องที่อยู่ตรงกันข้าม ก่อนจะเปิดเข้าห้องตัวเองที่ไม่ได้ล็อกไว้ตั้งแต่เมื่อคืน คำถามในหัวถูกเฉลยแล้วเมื่อก่อนหน้านี้ ด้วยภาพจากกล้องวงจรปิดมุมเดิมอีกครั้ง ต้องขอบคุณนิติของคอนโด รอก็แค่เวลาแก้เผ็ดก็เท่านั้น

 

 

ผ่านมาหลายวัน จนธันธเนศลืมเรื่องราวที่เอาแมลงไปปล่อยเข้าห้องธันวาเสียสนิท เพราะความที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้เอะใจอะไร

เช้าวันหยุดที่แสนสดใส เสียงนกร้องจากต้นไม้ในบริเวณพื้นที่คอนโดดังขึ้นมาถึงห้องของเขาที่เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ ลมเย็นในตอนเช้าผัดเอื่อยๆ เข้ามาพาผ้าม่านปลิวไสว ธันธเนศลุกขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกเหมือนเช่นเช้าวันอื่นๆ ก่อนจะเดินบิดขี้เกียจเข้าไปในห้องน้ำ

 

แม้จะยังเช้าอยู่ แต่ท้องเขาก็ลั่นโครกครากด้วยความหิว ธันธเนศยื่นมือไปจับลูกบิดประตูก่อนจะออกแรงบิดให้มันลั่นดาลอย่างง่ายดาย แต่พอจะดึงประตูเข้ามากลับทำไม่ได้เหมือนทุกครั้ง ชายหนุ่มออกแรงดึงมันอยู่หลายครั้งจนหน้าดำหน้าแดง แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงกระทบกันของอะไรบางอย่างที่ด้านนอกเท่านั้น ส่วนประตูยังคงถูกตรึงไว้แน่น

เมื่อเห็นว่าไม่ได้การ เขาจึงรีบตัดสินใจโทรไปหานิติของคอนโดในทันที

 

“คุณธันธเนศคะ ห้องของคุณมีโซ่ล่ามไว้จากข้างนอกค่ะ” เสียงตื่นเต้นดังลอดโทรศัพท์เข้ามา

นั่นไงล่ะ!

แบบนี้ไม่น่าจะใช่ฝีมือใครที่ไหนไกล อริเขามีอยู่คนเดียว

“ล่ามได้ยังไงครับ”

“ล่ามลูกบิดประตูกับตู้ดับเพลิงที่อยู่ข้างห้องคุณเลยค่ะ”

“ฝีมือใครอะครับ”

“อันนี้นีน่าก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ต้องลองไปดูกล้องแล้วล่ะค่ะ คุณธันธเนศเองไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหนหรือเปล่าคะเนี่ย” นิติคอนโดสาวพูดเสียงขำ

“ก็...”

“เดี๋ยวนีน่ารีบไปตามช่างมาช่วยสะเดาะกุญแจให้ดีกว่าค่ะ รอสักครู่”

ปลายสายกดวางในทันที ก่อนที่เสียงฝีเท้าถี่ๆ จะดังห่างออกไป

ธันธเนศกัดฟันกรอด

ไอ้ธันวา!

 

เวลาร่วมชั่วโมงกว่าสถานการณ์ชวนปวดประสาทจะคลี่คลาย ธันธเนศก้าวออกจากห้องพร้อมกับจัดการค่าใช้จ่ายให้ช่างที่มาเสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก่อนหางตาจะไปสะดุดเข้ากับใครบางคนที่ยืนพิงประตูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รออยู่แล้ว

“ขอบคุณมากนะครับทั้งนีน่าแล้วก็พี่ช่าง” เขาหันกลับไปขอบคุณผู้ช่วยเหลือทั้งสองก่อน

“คุณธันธเนศจะลงไปดูกล้องกับนีน่าไหมคะ” สาวน้อยไม่ลืมจะเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ตัวการละ” ธันธเนศกัดฟันยิ้มส่งผู้มาช่วยเหลือทั้งสอง รอทั้งคู่เดินออกไปจนลับตา ก่อนจะหันกลับไปยังคนที่ยังคงยืนรออยู่

“กรรมใดใครก่อ...” ร่างที่กอดออกพิงประตูทำเป็นผิวปากชมนกชมไม้ไปเรื่อย ชวนให้อารมณ์ของอีกฝ่ายมันพุ่งพล่าน เมื่อเห็นว่าธันธเนศเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็ยืนตรงตั้งหลัก

ธเนศปรี่เข้าไปทันที คอเสื้อของคนที่สูงกว่าถูกกระชากมากำไว้ มืออีกข้างชูขึ้นกำหมัดแน่น

 

“เอาเดะ ต่อยเดะ ลองดูเดี๋ยวรู้เลย” คนที่ถูกคุกคามยังคงใจเย็น รอยยิ้มยังปรากฏอย่างชวนให้ประหลาดใจ

หมัดหนักไม่รอช้าเมื่อถูกท้าทาย ธันธเนศเหวี่ยงหมัดตรงไปที่หน้าของอีกฝ่ายขณะที่อีกมือยังกำคอเสื้อไว้ ร่างสูงดึงตัวหลบอย่างรวดเร็ว จนขาที่สั้นกว่าเสียหลักลงอย่างงงๆ แต่เรียวแขนหนาทั้งสองข้างของคนที่ถูกจู่โจมที่ยังเป็นอิสระคว้าไหล่ของคนที่กำลังเสียท่าไว้พร้อมกับดึงเข้าหาตัว ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบเข้าที่ริมฝีปากของเขาอย่างไม่รอช้า ธันธเนศตาเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่มและสั่นระรัวเหมือนคนขาดยา

 

เหี้ยอะไรเนี่ย อย่างน้อยมันก็ควรจะต่อยกูกลับไม่ใช่เหรอ

 

เมื่อตั้งตัวได้จากความเพลี่ยงพล้ำที่มาพร้อมกับความน่าอับอายนั้น ธันธเนศก็ผลักอกอีกฝ่ายออกจากตัวอย่างแรงจนดังปึก

“ทำบ้าอะไรเนี่ย”

ริมฝีปากบางถูกขบจนแดงแจ๋ คนถูกกระทำหน้าเจื่อนทั้งๆ ที่ยังโกรธ

“เอ้า” อีกฝ่ายตอบเสียงขำในคอ “เตือนแล้ว” สีหน้าของคนพูดบ่งบอกถึงชัยชนะ

ธันธเนศน้ำท่วมปาก เจ็บใจจนพูดไม่ออก ความโมโหโกรธามันจุกอยู่ที่ลิ้นปี่ แต่ถ้าขืนยังดึงดันจะมีเรื่องต่อไป เกรงว่าคนอย่างธันวาจะมีลูกไม้อะไรที่น่ากลัวกว่านี้อีก จูบเพศเดียวกันเพื่อเอาชนะยังทำมาแล้ว นับประสากับอย่างอื่นที่อาจจะสิ้นคิดกว่านี้

การประจันหน้ายังเป็นอยู่อย่างนั้นชั่วขณะ ตาขวางจ้องมองตาเจ้าเล่ห์ ธันธเนศตัดสินใจถอยล้นกลับมาที่ห้องของตนเอง ขณะที่ร่างสูงก็ยังจะสาวเท้าตามมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เมื่อได้จังหวะเขาจึงรีบเปิดประตูเขาห้องไปแล้วปิดพร้อมกับล็อกทุกอย่างอย่างแน่นหนา ณ จังหวะนี้เขายอมให้โซ่มาล่ามประตูเขาไว้สักสิบชั้นยังดีเสียกว่าต้องออกไปเจอธันวา

ถือว่าเขาแพ้ยับเยินในครั้งนี้ และรู้ดีว่าที่ธันวาจูบเขาไม่ใช่เพราะพิศวาสอะไรเขาหรอก แต่เป็นเพราะต้องการทำให้เขารู้สึกอาย เหมือนแสดงให้เขาเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วใครคือคนที่อยู่เหนือกว่า 

ธันธเนศพอจะมองออกมานานแล้วว่าคนอย่างธันวาไม่สนหรอกว่าใครจะมองเขาอย่างไรหรือต้องทำอย่างไร ขอแค่ให้เป้าหมายเขาบรรลุ และเหยื่อพ่ายแพ้นั่นก็เพียงพอ แต่เขาไม่น่าเลย ไม่น่าหลงเข้ามาในเกมของไอ้บ้านี้เลย

 

ประตูปิดปังลงซึ่งเหลืออีกแค่นิดเดียวก็ชนเข้ากับปลายจมูกโด่งของเขา ลมจากแรงประตูพัดผมเขาปลิววูบหลังจากได้ยินเสียงลงกลอนและล็อกลูกบิดอย่างเกรี้ยวกราดจากทางด้านใน ธันวาจึงเดินกลับมาที่ห้องของตนเอง เขาดึงประตูปิดอย่างเบามือ ใบหน้าปริ่มสุขยังคงยืนอยู่ตรงนั้น

เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เขาทำกับอีกฝ่ายไปแบบนั้น เขารู้แค่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้มีอารมณ์อยากจะทะเลาะเบาะแว้งกับอีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว การเลือกที่จะจูบธันธเนศในครั้งนี้ มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกชนะหรือเหนือกว่าอีกฝ่ายแต่อย่างใด แต่เขากลับรู้สึกว่าเขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำ สองนิ้วยกขึ้นสัมผัสที่ริมฝีปากตัวเองเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้น

ปากนุ๊มนุ่ม

 

 ไกลออกไปสุดโถงทางเดิน บรรณาธิการหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น หลังจากเห็นเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทุกอย่าง เขารู้สึกเหมือนชาไปทั้งตัวชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับออกไป

 

 

เวลาสองทุ่มนิดๆ ธันธเนศก้าวขึ้นรถเมล์สายประจำที่เขาใช้ในการเดินทางระหว่างคอนโดกับยิมคาราเต้ เขาเป็นอีกคนที่ไม่ค่อยชอบขับรถตัวเองไปไหนมาไหนนัก ถ้าไม่ใช่ที่ไกลๆ หรือถ้าไปโดยรถสาธารณะแล้วลำบากจริงๆ เขาก็เลือกที่จะจ่ายเงินเล็กๆ น้อย เพื่อใช้บริการรถสาธารณะมากกว่า

แม้วันนี้คนบนรถจะบางตา แต่เพราะระยะทางไม่ได้ไกลมากเขาจึงเลือกที่จะยืนเพื่อให้คนที่ต้องการนั่งแล้วขึ้นมาทีหลังได้นั่ง ไม่นานนักรถเมล์ก็มาจอดลงที่ป้ายถัดมา ป้ายนี้มีคนขึ้นหนาตา แต่เขาก็ไม่ได้สังเกตว่าใครเป็นใคร

เพลงๆ หนึ่งดังขึ้นหลังจากเพลงก่อนหน้าจบลง คนที่เสียบหูฟังอยู่ยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาเลื่อนหาเพลงใหม่ เพลงบางเพลงเขาก็ไม่ต้องการจะฟังมันอีกต่อไปแล้ว เพราะเมื่อได้ยินมันทีไรก็รังจะนึกถึงแต่อดีตที่ขื่นขม แต่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่ลบมันออกไปสักที

มือที่เกาะราวเหล็กไว้แน่นถูกมือของใครบางคนเลื่อนเข้ามาชิดจนนิ้วก้อยเกยกัน ธันธเนศขยับมือของเขาออกห่าง แต่ก็ยังมิวายโดนมือนั้นเลื่อนตามมาอีก เขาจึงเงยหน้ามองเจ้าของมือที่ยืนอยู่ตรงหน้า

ธันวา! อีกแล้ว

หนุ่มในชุดออกกำลังกายสบายๆ กับกระเป๋ากีฬาใบโตยักคิ้วให้เขาเชิงทักทาย พร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มชวนยียวนอารมณ์เช่นเดิม

ธันธเนศพยายามจะดึงมือของเขากลับแต่ก็โดนอีกฝ่ายกำไว้แน่นเสียก่อนแล้ว

“ปล่อย” เขาสั่งเสียงเบาเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกตของคนบนรถ

แต่คนฟังยังตีหน้ามึน หาได้สนใจคำขอเขาไม่ ทำเป็นมองลอดหน้าต่างรถออกไปชมนกชมไม้อย่างสบายอุรา

“บอกให้ปล่อย” เขาเสียงแข็ง แต่ยังคงเบาอยู่

“ปล่อยก็ได้ แต่บอกก่อนว่าไปไหนมา”

“เจ๋อ”

“ทำไมไม่มีมารยาทกับคนรู้จักเลยละครับคุณธันธเนศสุดหล่อ” น้ำเสียงเว้าวอนบาทาพูดขึ้น

รถเมล์มาหยุดลงที่ป้ายหนึ่ง ธันธเนศจึงดุ่มลงไปโดยไม่ร่ำลา เมื่ออีกฝ่ายเห็นดังนั้นจึงรุดตามไปอย่างไม่รีรอ

 

ธันธเนศเดินไปตามฟุตบาทสลัวๆ ริมถนนที่รถวิ่งกันขวักไขว่ แต่เสียงก้าวเท้าหนักดูท่าเร่งรีบของใครบางคนที่ก็ตามเขามาติดๆ

“ตามมาทำไม”

อีกฝ่ายหยุด

“ใครตามคุณ” คนแก้ตัวทำหน้าเฉไฉ “อย่าหลงตัวเองดิ”

แถวนี้เป็นตลาดและแหล่งร้านอาหารดีๆ มากมาย ก็อาจจะไม่แปลกหากอีกฝ่ายจะต้องใจมาลงป้ายนี้ตั้งแต่แรก อาจจะจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด อย่าหลงตัวเอง

ธันธเนศจึงเดินดุ่มๆ ออกไปโดยไม่ได้สนใจธันวาอีกเลย เพราะใครบางคนกำลังรอเขาอยู่

และแล้วโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าเขาเลยเวลานัดจริงๆ มานานแล้ว

ปึก!

ขณะที่เขาหยุดเดินกะทันหันเพื่อรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนนนั้น ใครบางคนก็ชนเขาเข้าอย่างจังจากทางด้านหลัง คนโดนชนหันขวับไปยังบุคคลนั้น

ธันวาค่อยๆ ถอยออกห่างจากคนตรงหน้า เพราะมัวแต่ก้มหน้าเดินงุดๆ เร่งฝีเท้ากลัวอีกฝ่ายจะทิ้งห่าง พอคนที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดเอาดื้อๆ จึงทำให้เบรกไม่ทัน

“ไหนบอกไม่ได้ตามมาไง”

จากที่ที่ลงรถเมล์มาจนถึงตรงนี้เป็นระยะทางที่ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เขาจึงมั่นใจแล้วว่าธันวากำลังคิดจะทำอะไรอยู่

“ก็...” คนหน้าเจื่อนยืนเกาหัวแครกๆ

โทรศัพท์ในมือยังสั่นอยู่อย่างนั้น คนที่กำลังรีบไม่สนใจจะอยู่ฟังอะไรให้ยืดยาวแล้ว เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาจึงรีบเดินข้ามถนนไปทันที

 

คนที่ถูกเดินหนีจากไปอย่างไม่ใยดียืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพัก ร่างสูงที่ทำหน้าหงอยเหมือนหมาป่วยจึงเดินคอตกออกไปอีกทางอย่างจำใจ ดูจากอารมณ์ของอีกฝ่ายแล้ว ถ้ายังขืนดึงดันจะตามไปไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

 

“ป้าครับ เอาไส้เค็มสามอันครับ” ธันวาที่เดินเอ้อระเหยไปเรื่อยในที่ๆ มีของกินวางขายกันเต็มสองข้างทาง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่รถเข็นขายขนมโตเกียว

“พี่ธัน”

ผู้เป็นเจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก เป็นเด็กสาวมหาวิทยาลัยรุ่นน้องเขาน่ะเอง

“จะมาไม่เห็นบอกเลยล่ะคะ ยีนส์จะได้มาด้วย” คนพูดไม่พูดเปล่ารีบเดินมาคล้องแขนทรงงามของคนที่สวมเสื้อกล้ามกีฬาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

“อ้อ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาหรอก”

“ตลอดอ่ะ” สาวหน้าหวานตัดพ้อ

“อ้าวมึง เอาไง ยังจะไปกินข้าวกับพวกกูอยู่ไหม เจอผู้แล้วหน้าระรื่นเชียว” เพื่อนสาวร่างอวบที่เดินมาด้วยกันถาม

“พี่ธันเราสามคนกะว่าจะไปกินข้าวกัน ไปด้วยกันไหมคะ”

“เอ่อ...” คนฟังทำหน้าอึกอัก

“ไปนะคะ เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันตั้งนานแล้ว นะคะๆ” พูดไม่พูดเปล่า สาวเจ้าเขย่าแขนชายหนุ่มพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนเหมือนเด็กอยากได้ขนม

 

 

“โทษทีนะพี่ ช้าไปหน่อย เกือบลืมไปเลยว่าวันนี้มีนัดกับพี่”

“เออๆ ไม่เป็นไร มาถึงก็ดีแล้ว สั่งอาหารดีกว่ามา”

แม้จะต้องรอมาร่วมสามชั่วโมง แต่แค่อีกฝ่ายโผล่หน้ามาจริงๆ เขาก็ดีใจแทบแย่ ใบหน้าหล่อของคนอายุสามสิบกว่ายิ้มรับ

 

“ไปออกกำลังกายมาเหรอ”

“ใช่พี่ วันหยุด อยู่ว่างๆ ก็เบื่อ”

“ใช่นี่เนอะ ที่ทำงานใหม่เขาคงไม่ใช้งานหนักเหมือนตอนอยู่กับพี่”

“คงเพราะยังใหม่อยู่น่ะแหละ งานเลยไม่ได้เยอะ อีกอย่างคนของเขาก็เยอะด้วย”

“มีความสุขไหม ถ้าไม่มีความสุขกับมาหาพี่ได้นะ อ้าแขนรอตลอด”

“โห ซาบซึ้งน้ำตาจะไหล” คนพูดก้มมองเมนูที่กางอยู่บนโต๊ะ “แต่ผมคงกลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ”

คนฟังถอนหายใจ มันคือสัจธรรม แม้เขาจะหวังอยู่ลึกๆ ว่าวันหนึ่งหนุ่มรุ่นน้องจะหวนกลับมาหาเขาอีกครั้ง แต่ความจริงก็คือความจริง

“เอาเถอะ มึงสบายใจยังไงกูก็ว่าอย่างนั้นแหละ กูก็จะรู้เท่าที่มึงอยากให้รู้แล้วกัน แม้จะค้างคาใจว่าอยู่ดีๆ มึงออกทำไมก็เถอะ”

“เอาน่า เออ ว่าแต่วันนี้นัดผมมามีอะไร”

“ทำไม เจ้านายเก่าอยากเจอบ้างไม่ได้ไง” คนพูดทำเสียงประชดประชัน “ก็แค่อยากเลี้ยงข้าว มึงออกปุ๊บปั๊บ ยังไม่ทันได้เลี้ยงส่งมึงเลย อีกอย่าง ตั้งแต่ออกมึงก็ไม่โผล่หน้ามาให้พี่เห็นเลย”

 

เวลาล่วงเลยไป ธันวากับอีกสามสาวรุ่นน้องอิ่มหนำสำราญกับอาหารแถวๆ นั้น ก่อนจะเดินย่อยดูของในตลาดแถวนั้นไปเรื่อยเปื่อยตามคำขอของรุ่นน้องสาวสวย ส่วนเพื่อนสาวทั้งสองของเธอขอตัวกลับไปก่อน แม้ตอนนี้เขาเองก็อยากจะทำแบบนั้นบ้างแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก เพราะลักขณาเล่นออกตัวขอเสียขนาดนั้น

 

เมื่อสาวสวยรุ่นน้องพอใจแล้ว ก็ได้เวลากลับเสียที ริมถนนที่ข้างทางที่เรียงรายไปด้วยร้านอาหารหรูหลายร้าน ธันวากับรุ่นน้องสาวเดินผ่านร้านอาหารมังสวิรัติที่หน้าร้านตกแต่งด้วยบานกระจกใสแจ๋วแทนผนัง ไฟสีส้มจากในบริเวณร้านส่องสว่างออกมาข้างนอกกระทบกับไฟข้างถนนจนกลบความสลัวบริเวณหน้าร้านไปเสียสิ้น

บางอย่างในนั้นดึงสายตาเขาให้มองเข้าไปข้างใน ก่อนที่ร่างสูงจะหยุดกึก

น้าชายของเขากับธันธเนศนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติอยู่ที่โต๊ะๆ หนึ่งในร้านนั้น

“ยีนส์กลับไปก่อนนะ พี่มีธุระนิดหน่อยน่ะ”

แม้จะยังงงๆ แต่น้ำเสียงและสีหน้าที่ดูจริงจังทำให้สาวน้อยหน้าใสจำใจตอบตกลงไป ร่างสูงถอยออกจากแท็กซี่ที่ลักขณาเพิ่งขึ้นไปนั่ง รอจนแท็กซี่วิ่งห่างออกไป เขาจึงวกกลับมาหย่อนก้นนั่งลงเงียบๆ ที่มุมๆ หนึ่งที่บริเวณหน้าร้านที่เดินผ่านเมื่อครู่นี้ เป้าหมายยังคงนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติอยู่ในนั้น

เพราะธันวารู้ดีอยู่แล้วว่าจรัญคิดยังไงกับธันธเนศ แต่ที่เขายังไม่รู้คือธันธเนศคิดยังไงกับน้าของเขา เพราะฉะนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่แน่ธันธเนศอาจจะตกลงคบกับจรัญผู้เป็นน้าของเขาไปแล้วก็ได้ใครจะไปรู้ แล้วการนัดพบกันสองต่อสองอย่างนี้มันชวนให้คิดเป็นอื่นไม่ได้จริงๆ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าจากนี้แล้ว ทั้งคู่จะไปจบกันที่ไหน

 

ไม่นานเกินรอสองหนุ่มวัยทำงานก็เดินออกมาจากร้าน คนที่หลบอยู่ในมุมมืดยืนรอดูสถานการณ์อยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น

“แน่ใจนะว่าไม่ไปต่อกับพี่”

“ไม่อะพี่ เพิ่งกลับจากเล่นกีฬาเนี่ย เหนื่อยจะตายห่า จะไหวได้ยังไง”

“เออๆ งั้นเอาที่มึงว่า แน่ใจนะว่าไม่ให้ไปส่ง”

“อือ ที่บ้านมีบ่อน้ำมันเหรอ ไปคนละทางจะอ้อมไปส่งเพื่อ?”

บทสนทนาของคนสองคนแว่วมาเข้าหูคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดแทบจะทุกคำพูด สิ่งที่ได้ยินมันทำให้คนฟังอดที่จะคันยิกๆ ในใจไม่ได้

ที่กะจะไปต่อกันนี่ก็คงหนีไม่พ้นเตียงสินะ หึ คนนิสัยไม่ดี คบผู้ชายไม่เลือกหน้า มีไอ้เด็กนั่นอยู่แล้วไม่พอ ยังจะมาวอแวกับน้ารัญอีก

หนุ่มวัยมหา’ลัยก่นด่าในใจ

 

 

บริเวณทางเข้าคอนโดที่มืดสลัว มีเพียงแสงที่บดบังในพุ่มไม้ครึ้มที่ถูกตัดแต่งสวยงามพอส่องสว่างสองข้างทางและจากป้อมยามที่อยู่ไกลออกไปพอให้สัญจรเข้าออกได้ ธันธเนศเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์เข้าไปหลังจากท้องอิ่ม ช่วงต้นของค่ำคืนที่ไอร้อนเบาบางกำลังระเหยสู่อากาศ ตัวที่มีคราบเหงื่อไคลจากการเล่นคาราเต้อย่างหนักหน่วงเหนียวเหนอะไปหมด

บรรยากาศรอบตัวที่เงียบสงบ ธันธเนศหยุดกึก เมื่อร่างมืดทะมึนของใครบางคนก้าวออกมาขวางหน้าจากมุมหนึ่งของแนวพุ่มไม้ ใจที่เต้นระรัวเพราะความตกใจค่อยๆ สงบลง

“ว่างมากเหรอ ถึงได้โผล่ที่นั่นทีนี่ทีเหมือนผีไม่มีศาล” สีหน้าสุดแสนจะเอือมระอาของคนที่ถูกทำให้ตกใจต่อว่า “ยังๆ ยังไม่หลบอีก”

ร่างสูงยังคงหยุดนิ่งมองเขาอยู่อย่างนั้น เขาจึงเดินเลี่ยงหมายจะอ้อมไป คนที่สูงกว่าก็ขยับมาขวางไว้อยู่อย่างนั้น

“ถอย จะเดิน”

“ไม่”

“คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่ธันวา เลิกตามตอแยผมซะทีเถอะนะ ถือว่าขอร้องเถอะ”

“กับผมนี่จะรังเกียจอะไรนักหนา ทีไปกับคนอื่นนี่หน้าระรื่นเชียว”

“จะทำอะไรมันก็เรื่องของผม”

คนถูกว่าไม่อยากต่อล้อต่อเถียง พูดจบก็เดินต่อทันที ไม่สนใจร่างสูงที่ยืนขวางอยู่

“ไอเราก็นึกว่าจะรีบไปไหน ที่แท้ก็นัดผู้ชาย” น้ำเสียงแดกดันพูดขึ้นไล่หลัง

คนที่เดินอยู่หยุดกึก

“แหม ทีผมทำท่าจะตามไปนิดๆ หน่อยๆ ก็ฟาดงวงฟาดงาใส่ ไม่เห็นเหมือนตอนอยู่กับน้าของผมเลย”

ธันธเนศหันกลับมาช้าๆ มองร่างสูงที่กำลังใช้คำพูดกระแหนะกระแหนตนอยู่

“เขาเป็นเจ้านายเก่าผม คนเป็นอะไรกับผมมิทราบ”

คนฟังถึงกับหงายเงิบไปไม่เป็น รู้สึกจุกอยู่ในอกยิ่งกว่าโดนฝ่าเท้าพิฆาตในครั้งนั้นเสียอีก

คนที่เหมือนจะชนะในสงครามน้ำลายครั้งนี้หันกลับ แต่แล้วร่างสูงก็วิ่งมาขวางหน้าไว้อีกครั้ง สองมือหนาจับไหล่เขาทั้งสองข้างแล้วดึงเข้าหาตัว สองตาแข็งกร้าวจ้องมองตาเขา

“อยากลองเป็นดูหน่อยไหมล่ะ” ร่างสูงที่มีกลิ่นเหงื่อจางๆ พูดพลางโน้มหน้าหล่อเหลาเข้าใกล้

แทนที่จะขัดขืน หรือโวยวาย แต่ธันธเนศยิ้มรับอย่างใจเย็น แต่มันคือรอยยิ้มของเพชฌฆาตที่คนอย่างธันวาไม่อาจรู้ตัว

เพียงเสี้ยววินาที ร่างสูงที่เหมือนจะมาเหนือกว่า ก็ลงไปนั่งกองกับพื้น พร้อมกับสองมือกุมเป้าไว้แน่น ใบหน้าเหยเกบ่งบอกถึงความเจ็บปวด

ธันธเนศเหยียดขาข้างหนึ่งในท่ายืนปกติ หลังจากใช้เข่าอันทรงพลังกระแทกไปที่ของรักของหวงของคนที่สูงกว่าด้วยความเร็วแสง

“คุณนี่มันปีศาจในร่างมนุษย์ชัดๆ” เสียงที่เค้นออกมาจากความจุกพยายามต่อว่าคนที่ทำให้เกือบสูญพันธุ์ “ถ้าผมเป็นหมันไป คุณรับผิดชอบเลยนะ”

“เล่นไรไม่เข้าเรื่องดีนัก” สีหน้าแห่งชัยชนะที่แท้จริงพูดขึ้น ก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่ใยดี คนที่นั่งตัวบิดอยู่พยายามจะลุกตามแต่ก็ไม่อาจทำได้ในตอนนั้น



... ก่อนเหมันต์ ...


หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-04-2018 16:28:49
 :เฮ้อ:

เขาใจไปนู้นนนนนน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 21-04-2018 17:18:44
อยากบอกว่า “สมน้ำหน้า“ ธันวา เราเป็นอะไรกับเขาล่ะ ถึงจะให้เฮียธันเขาทำดีด้วย วีรกรรมใช่จะน้อยๆ เจอครั้งแรกตู่ว่าเขาแอบชอบ ด่าซะสาดเสียเทเสีย โอ้โห... ตอนล่าสุดนี่เมากันสร้างความรำคาญจนคนทั้งตึกหนี แต่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตัวเองผิด แก้แค้นล็อคประตูห้องเขา แถมกวนจูบเขาอีก เรื่องดีๆ ทั้งน้านนนนน เตะเลยเฮียธัน เราต้องเอ็นดูน้องเขาด้วยลำแข้ง เอาให้สำนึก 5555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-04-2018 17:54:19
 :pig4: :pig4: :pig4:

ช่างมโนเหลือหลาย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 21-04-2018 17:59:10
แอบสมน้ำหน้าธันวาหน่อยๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-04-2018 19:57:02
ที่ตามติดเขาต้อยๆ เนี่ยหึงหวงแบบไม่รู้สึกตัวใช่ไหมธันวา
ดีนะที่ไข่ไม่แตก จะได้สมน้ำหน้าให้
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-04-2018 21:49:44
กัดกันบ่อยๆนะจะได้รักกันมากๆ :hao3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 21-04-2018 22:54:03
สมน้ำหน้า ปากอย่างนี้โดนแค่นี้ยังน้อยไป
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 21-04-2018 23:50:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-04-2018 00:06:45
โดนไป1ดอก555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-04-2018 00:10:24
 :z13:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 22-04-2018 10:14:00
ต่อยแล้วจูบ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 22-04-2018 10:52:56
 :L2: :pig4: :L2: :pig4: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 22-04-2018 11:20:01
สม 5555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 22-04-2018 12:44:49
 สมควรโดน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-04-2018 18:16:37
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 22-04-2018 19:39:01
ธันวาเอ้ย กินแห้วอิ่มจัง
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 22-04-2018 23:58:15
แห้วตั้งแต่ยังไม่เรอ่มจีบเลย,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 23-04-2018 00:30:38
ดูท่าจะอีกยาวไกลนะธันวา
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 23-04-2018 03:45:24

#ทีมเฮียธัน

อีน้องธันมรึงทำเกินไปจริง ๆ    :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: day9day ที่ 23-04-2018 05:47:42
เริ่มสนุกแระ
รอตอนต่อๆไปนะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-04-2018 17:05:05
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 11 จูบแรก (21/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 27-04-2018 18:27:48
12
เมษานั้น 1





13 เมษายน / 13:10 น.

 

“เพื่อนธันนนนน”

เสียงคนปลายสายดังขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ผนวกกับเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์บ่งบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังอยู่ในสถานที่บางสถานที่ๆ ถ้าเขาเลือกได้จะไม่ไปเหยียบโดยเด็ดขาด

“อือ”

“เฮ้ยเพื่อนรัก พวกกูอยู่สีลม”

“แล้วไง”

“เอ๊า ไอ้ห่าธัน กูโทรมารายงานมึงเฉยๆ เหรอ ก็ไม่ มึงมาสิมา กูโทรมาชวนเนี่ย” อากรต่อว่าผ่านสายโทรศัพท์ เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่ได้ดูตื่นเต้นอะไรกับพวกเขาเลย

“ไม่เอาว่ะ ร้อนจะตายห่า” ร่างสูงที่นอนเหยียดยาวจ้องหน้าคอมอยู่บนเตียงอิดออด อันที่จริงเขากำลังจะเคลิ้มหลับไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะเสียงโทรศัพท์ทำให้รู้สึกตัวอีกครั้ง

ไหนๆ กูคุยดิ

อีกเสียงหนึ่งลอดออกมา คนต้นสายกดวาง พร้อมกับปิดเครื่องในทันที เพราะรู้ว่าถ้าทำแบบนี้ยังไงเพื่อนสี่หน่อของเขาก็ไม่ยอมจบง่ายๆ แน่

ธันวาเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรแบบนี้นัก สถานที่ๆ คนชุกชุม เบียดเสียด หรือในช่วงเทศกาลแบบนี้ที่การถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นเรื่องปกติ เลี่ยงได้เขาก็จะเลี่ยง

เขายังจำเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนที่หลวมตัวออกไปกับบรรดาเพื่อนตัวแสบของเขาได้ ด้วยหน้าตาและรูปร่างแบบเขา ไม่วายจะตกเป็นเป้าหมายของเพศตรงข้ามหรือแม้แต่เพศเดียวกัน เรียกได้ว่าน่วมกลับมาเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้นในช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ ถ้าไม่ออกไปต่างจังหวัดกับครอบครัว เขาก็จะเลือกที่จะนอนเงียบๆ อยู่ในห้องของตัวเอง

 

ชายหนุ่มเงยมองนาฬิกาที่ผนังข้างหัวเตียง เวลาก็คล้อยบ่ายมาแล้ว ท้องไส้ที่ยังว่างเปล่าก็ลั่นโครกคราก ร่างสูงจึงลุกขึ้นไปหยิบเสื้อยืดผืนบางมาสวมเพื่อลงไปหาอะไรยาไส้

“จะมีร้านไหนเปิดบ้างไหมวะเนี่ย” ร่างสูงพึมพำกับตัวเอง

               

 

“อ้าว สงกรานต์ไม่ออกไปเล่นน้ำเหรอธัน” ป้าแสงจันทร์เจ้าของร้านข้าวแกงข้างคอนโดเอ่ยถามลูกค้าหนุ่ม

“ไม่อะป้า แค่เดินออกมาตรงนี้ยังเกือบไหม้”

“แปลกคน ปกติคนวัยหนูนี่กำลังตื่นเต้นกับเทศกาลอะไรแบบนี้เลยนะ”

“ไม่ใช่สำหรับผมคนนึงล่ะ”

จานข้าวราดแกงสองอย่างที่ธันธเนศเลือกไว้ถูกยกมาเสิร์ฟ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของร้านจะนั่งลงตรงกันข้ามเขา เพื่อเริ่มบทสนทนา ในช่วงเทศกาลแบบนี้ ไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก ภายในร้านจึงเงียบเหงา นานๆ จะมีลูกค้าเข้ามา เธอจึงมีเวลาเหลือที่จะมานั่งพูดคุยตามประสาแม่ค้า

“อยากให้ลูกชายกับลูกสาวป้าคิดแบบนี้บ้างจัง สองตัวนั้นน่ะ นับวันรอตั้งแต่พ้นปีใหม่”

“เขายังเป็นเด็กมัธยมอยู่ไม่ใช่เหรอครับ วัยนั้นน่ะกำลังสนุกเลย ผมอะแต่ก่อนก็แบบนี้แหละ แต่พอเรียนจบมาทำงาน ก็เริ่มไม่ตื่นเต้นกับเทศกาลอะไรแล้ว ทำงานเหนื่อยมาตลอดเดือน พอมีวันหยุดก็อยากพักผ่อน เก็บเงิน แต่ถ้าออกไปพักผ่อนหย่อนใจในที่ไหนสักที่ แบบนั้นพอไหว”

“แหม อายุเพิ่งจะเท่าไหร่เองพ่อคุณ พูดเหมือนคนแก่ไปได้” “อ้าว มาอีกหนึ่งหนุ่มหล่อแล้ว วัยรุ่นสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมด” เธอพูดพลางลุกออกจากโต๊ะที่เขานั่งไป แต่ธันธเนศก็หาได้สนใจสิ่งที่เธอพูดไม่ ก้มหน้าก้มตากินข้าวของเขาต่อไป

 

ไม่ทันไรเสียงลากเก้าอี้ตรงข้ามเขาดังขึ้น

“ป้า---” คนที่กำลังเงยหน้ามองหยุดพูดแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนเดิมกลับมานั่งแต่อย่างใด

“ขออนุญาตรึยัง ก่อนจะนั่ง” ธันธเนศเอ่ยถาม

“ไม่อนุญาตก็จะนั่ง” ผู้พูดยักคิ้วท้าทาย

“ถ้าเป็นลูกหลานนะจะส่งไปอยู่โรงเรียนดัดสันดาน”

“ถ้าผมเป็นลูกเป็นหลานผมก็จะส่งคนบางคนไปอยู่บ้านพักคนชราเหมือนกัน ขี้บ่น”

“ข้าวไข่เจียวร้อนๆ มาแล้ว” เสียงป้าแสงจันทร์ดังขึ้นหลังจากเสียงเคาะกระทะเงียบลง ขัดจังหวะการต่อล้อต่อเถียงของคนสองคน “อ้าวธันสองธัน รู้จักกันด้วยเหรอ”

“ไม่รู้จ--” “รู้จักครับป้า” ขณะที่อีกคนกำลังจะปฏิเสธ คนที่เพิ่งมาถึงก็ขัดไว้เสียก่อน “รู้จักดีเลยล่ะ”

 

“ไม่ออกไปเล่นน้ำเหรอ” คนที่เพิ่งตักข้าวไข่เจียวใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ถาม

“ไม่ ร้อน”

“เหมือนกันเลย เออ! มีหนังใหม่เข้า เห็นเพื่อนรีวิวว่าสนุก”

“แล้วไง”

“ไปดูเป็นเพื่อนหน่อยดิ”

“ยังกล้ามาชวนอีกเหรอ คุณยังมีคดีกับผมอยู่นะ”

“หายกันไง คุณก็ตีเข่าผมซะน้องชายผมช้ำเลยรู้ไหม”

คนฟังแทบสำลักข้าว “ครั้งหน้าอาจจะไม่ใช่แค่ช้ำก็ได้นะ”

 “ก็ถ้ามันชำรุดเสียหาย คุณนั่นแหละที่ต้องเสียใจ” ธันวาพูดเสียงไม่เต็มปาก ก้มหน้าหลบตาคนฟัง

“ไหนพูดใหม่สิ”

“อ่อเปล่า ไม่มีไร” คนถูกถามตีหน้าเฉไฉ “ไปนะ”

“ไปไหน”

“ดูหนังกับผมไง”

“ไม่ไป”

“อ่ะๆ ผมเลี้ยงก็ได้ ถือว่าไถ่โทษที่แกล้งคุณ”

“เราสนิทกันขนาดที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันได้แล้วเหรอ”

“ทำไม ทำไมจะไปไม่ได้” โค้ชกีฬาหนุ่มคอเป็นเอ็น “อย่าหยิ่งนักเลยน่า”

“ไม่ได้หยิ่ง แต่ผมไม่ว่าง จริงๆ แล้วแจ้เขาชวนไปบ้านยายเขาที่ชลบุรีน่ะ”

“อ้าว ก็นึกว่าจะไม่ไปไหนซะอีก ทำไมไม่เห็นบอกเลย กลัวผมรู้เหรอ”

“อือ”

คนตอบหน้าตาเรียบเฉย หาได้สนใจสายตาคมที่มองปราดมาที่เขาเหมือนแมวกำลังได้กลิ่นหนู

“ไปกันยังไง ใครบ้าง”

“ต้องรู้ด้วย?”

“ก็ผมอยากรู้”

คนที่ถูกถามถอนหายใจยาว “ไปรถที่เอกกับรถผมครับคุณธันวา ไปกันเจ็ดคนครับ ซึ่งก็คือพวกเพื่อนๆ ที่ยิมคาราเต้น่ะครับ มีผม เพื่อนของผมซึ่งได้แก่ กล้วยและภรรยา แจ้ พี่เอกและเมียของเขาครับคุณธันวา”

“ประชด?”

“เอ๊า ก็เดี๋ยวตอบไม่ละเอียดก็ไม่จบอีก”

“อือ แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ เจ็ดคนไม่ใช่เหรอ”

นั่นง่ะ

“ก็ตี๋น่ะ”

เมื่อได้ยินชื่อนั้น อีกฝ่ายถึงกับหยุดเคี้ยวทันที มือที่กำลังตักข้าวในจานค้างเติ่ง สายตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมาที่เขาก่อนจะหลุบลง

ช้อนกับส้อมในมือถูกวางลง “ผมไปด้วย”

“คือ?”

“เอ๊า ก็คือผมจะไปด้วย”

“ในฐานะอะไร”

“ไม่สน ทีเด็กตี๋นั่นยังไปได้เลย คุณกับเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เอ๊ะ หรือเป็น”

“ผมอิ่มละ ไปนะ” คนฟังเลื่อนเก้าอี้ออกห่างจากโต๊ะ ก่อนจะยืดกายลุกขึ้น โดยไม่ได้สนใจท่าทีเอาแต่ใจของอีกฝ่ายเลย

ร่างสูงที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังวิ่งตามมาติดๆ “นะคุณ ผมสัญญาว่าจะเป็นคนดี เชื่อฟังคุณทุกอย่างเลย ขอผมไปด้วยนะ”

“พี่รัญบอกผมว่าจะไปเยี่ยมญาติที่เชียงใหม่ แม่คุณกับคุณก็ไปด้วย”

“ก็ผมไม่อยากไปเชียงใหม่ แต่อยากไปกับคุณ” คนเดินนำเหลือบมองคนที่กำลังเดินตามตื้อต้อยๆ

“หื้อออ” เขาถอนหายใจ “คุณนี่มัน...” ก่อนจะหยุดเดิน

“แน่ใจนะว่าอยากไปด้วย คนที่ไปก็พี่ๆ คุณทั้งนั้น อาจจะไม่ถูกใจวัยรุ่นอย่างคุณก็ได้”

“คุณพูดอย่างกะอายุห่างกันเป็นสิบปี ถ้าเด็กมัธยมไปได้ แล้วทำไมเด็กมหา’ลัยอย่างผมจะไปไม่ได้ รถคุณไม่ต้องเอาไป เอารถผมไป เดี๋ยวค่าน้ำมันผมออกเอง”

“นี่จริงจัง?”

“จริงจัง ถ้าคุณไม่ให้ผมไปด้วย ผมจะเผาห้องคุณ เอาสิ”

“เถื่อนได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ คนเรา เออๆ งั้นก็เจอกันบ่ายสามแล้วกัน ชักช้าไม่รอนะ”

 

 

13 เมษายน / 15:45 น.



แม้อณวุฒิกับเจนจพจะยังค้างคาใจเมื่อเห็นคู่อริที่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันต่อหน้าต่อตาพวกเขามาแล้ว แต่วันนี้กลับอยู่ด้วยกันเสียอย่างนั้น แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่แม้จะเคยบาดหมางกันก็กลับกลายมาเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้ จากคืนนั้นที่หนุ่มนักศึกษาอาสาพาเพื่อนหัวแก้วหัวแหวนของเขากลับจากร้านเหล้า ความสัมพันธ์ก็คงพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ หรือเปล่า?

เมื่อรวมตัวกันได้เสร็จสรรพ ทุกคนก็พร้อมออกเดินทางเพื่อไปเปลี่ยนบรรยากาศในช่วงเทศกาลหยุดยาวแบบนี้ รถสองคันมุ่งตรงจากกรุงเทพฯ สู่จุดหมายคือบ้านของคุณยายของเจนจพที่จังหวัดชลบุรี

รถคันแรกที่เป็นของอากิระ มีภรรยาของเขา และอณวุฒิกับภรรยาเป็นผู้โดยสาร ส่วนอีกคันหนึ่งที่เป็นรถธันวาก็ มีเขาเป็นคนขับ ผู้ที่อยู่ในรถคันนั้นคือธันธเนศเจนจพและราชวุฒิ รถที่เปรียบเสมือนแหล่งรวมบรรดาชายโสด

 

ราชวุฒิที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอธันวาเป็นผู้ร่วมทริปในครั้งนี้ หน้าหงิกงอบ่งบอกอารมณ์ ก่อนจะข่มตาหลับตั้งแต่รถเพิ่งจะออกจากคอนโด

“เห้ย ไอ้น้อง คิดยังไงถึงอยากมาด้วยวะ ไอ้ธันชวนเหรอ” เจนจพที่นั่งอยู่หลังคนขับขยับตัวไปเกาะเบาะหน้าตัวเองก่อนจะเอ่ยถามขึ้น สายตาเหล่มองเพื่อนหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างพลขับ

“โหพี่ ผมนี่แทบก้มลงกราบขอร้อง เรื่องชวนน่ะลืมไปได้เลย” คนตอบคำถามเหล่มองคนที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ

“เว่อร์ไป ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำอะไรขนาดนั้น”

“น้อยไปสิมึง” เจนจพสวน

“เบาๆ น้องมันนอนอยู่” ธันธเนศบอก ก่อนสองหนุ่มจะนึกขึ้นได้ว่ามีอีกคนที่กำลังหลับเป็นตายอยู่ด้วย

“เออ แล้วไม่ออกไปโชว์ตัวให้สาวๆ กรี๊ดเล่นแถวข้าวสาร สีลม อาร์ซีเอ ไรแบบนี้กับเพื่อนวะ หน้าตาอย่างเอ็งนี่ตัวท็อปเลยนะเว้ย น่าสนุกกว่ามากับคนแก่ๆ แถวนี้นะ” เจนจพเสนอ

“ไม่อะพี่ ผมชอบอยู่เงียบๆ กับคนแก่ๆ มากกว่า” คนตอบเน้นเสียง

“คิดซะว่ากูไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วกัน” เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะไอ้ห่า ผู้ถูกแซะก่นด่าในใจ “หรือจะให้กูไปนั่งกับตี๋ข้างหลังไหม จะได้คุยกันสะดวก” ก่อนจะเสนอแนะแนวทางประชดคนทั้งสอง

“แหม หยอกเล่นครับคุณเพื่อน”

“ทำไมถึงอยากไปนั่งข้างหลังจังเลย นั่งข้างผมมันอึดอัดเหรอ” คนขับตัดพ้อสีหน้าจริงจัง

“อ้าวๆ อย่าเพิ่งตีกันเด้อ กูยังอยู่ตรงนี้ ยังอยากให้ทริปนี้เป็นทริปที่รื่นเริงอยู่”

แล้วเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นดักการสนทนา

“ฮัลโหล ว่าไงจ๊ะ” เจนจพรับ “ได้ๆ”

“เฮ้ย ไอ้น้อง ธัน เดี๋ยวแวะปั๊มข้างหน้า พวกนั้นจะเข้าห้องน้ำกัน” เจนจพพูดพลางชี้นิ้วไปยังข้างทางข้างหน้าที่มีป้ายบอกสถานที่ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านให้เห็น

 

รถสองคันที่ขับต่อท้ายกันมาเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้นักเดินทางอย่างครบครัน ทั้งห้องน้ำที่สะอาดสะอ้าน ร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหาร

 

“ตี๋ เอ็งจะเข้าห้องน้ำไหม” เมื่อรถจอดลง เจนจพก็ไม่ลืมปลุกผู้ที่หลับเป็นตายอยู่ข้างๆ

“ไม่เข้าก็ลงไปนั่งรอข้างนอกก่อนดีกว่ากูว่า ในรถมันร้อน” ธันธเนศแนะ

ร่างสูงงัวเงียออกจากรถด้วยท่าทีไม่สู้ดีนัก ก่อนจะปิดปากวิ่งไปที่ห้องน้ำ ทุกสิ่งอย่างที่หลงเหลืออยู่ในท้องออกมาจนหมดไส้หมดพุง

ธันธเนศคอยลูบหลังให้อย่างเป็นห่วง

“เป็นไงบ้าง เมารถทำไมไม่บอกวะ”

มือหนายกขึ้นเช็ดปาก ด้วยท่าทีพะอืดพะอม

“ปกติผมไม่เมานะครับ แต่นี่คงเป็นเพราะอากาศร้อนด้วย ผมเลยมึนๆ”

“โอเคยัง”

คนที่สูงกว่าพยักหัว

ธันธเนศกลับออกมาจากร้านสะดวกซื้อหลังพาเด็กหนุ่มไปหาอะไรดื่มให้ร่างกายสดชื่นขึ้น ตรงหน้ารถที่จอดอยู่ ใต้ต้นไม้ที่คอยให้ร่มเงาตรงบริเวณโคนต้นก่อปูนเป็นที่นั่งพัก ชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างกระดิกขามองตรงมายังเขาทั้งคู่ที่เดินเคียงคู่กันมา ภายใต้แว่นกันแดดสีทึบแม้สายตาจะถูกปิดซ่อนอยู่ แต่ธันธเนศก็พอจะเดาออกว่าจุดพักสายตาของอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน รอยยิ้มจางๆ นิ่งๆ ที่ดูเย็นเฉียบบ่งบกถึงอารมณ์ของเขาผู้นั้นได้เป็นอย่างดี

“น้ำไหม” เขายื่นขวดเครื่องดื่มสีเหลืองให้

“ไม่กิน” แม้ปากจะบอกว่าไม่กินสิ่งที่ธันธเนศยื่นให้ แต่มือหนาก็ยื่นมาดึงแก้วที่เขากำลังดูดอยู่ไปต่อหน้าต่อตา แล้วเอาไปดูต่ออย่างหน้าตาเฉยๆ โดยราชวุฒิได้แต่มองตาปริบๆ ในพฤติกรรมของทั้งสอง

“นี่มันโอวัลตินนิ”

“ก็เออไง”

“ไอ้ธันมันแพ้คาเฟอีน กินอย่างอื่นได้ที่ไหน อย่างมันน่ะ ไม่น้ำผลไม้ก็นม หรือไม่ก็โอวัลติน”

อณวุฒิที่เดินเข้ามาใกล้พูดขึ้น

“เนื้อสัตว์ก็ไม่กิน คาเฟอีนก็กินไม่ได้ ฟังดูเลี้ยงยากจัง ยังมีอะไรอีกไหมครับพี่ๆ ผมจะได้จดไว้”

“จดไว้ทำห่าไร” คนที่ยืนอยู่กระชากแก้วน้ำคืน แต่ปฏิกิริยาที่ไวกว่าของคนถือยกออกห่าง

“เผื่อต้องใช้” คนตอบยิ้มปั้นจิ้มปั้นเจ๋อยียวนอารมณ์ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่รถ

“กูว่า...” เจนจพที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นขณะมองตามหลังชายหนุ่มรุ่นน้องไป

“ว่าอะไรมึง” ธันธเนศเหวี่ยงหน้ามาทางผู้ที่กำลังตั้งข้อสันนิษฐาน

“อ๋อเปล่าๆ ปากมันไปเอง” คนที่กลัวโดนลูกหลงตอบพลางดิ่งไปที่รถเช่นกัน

 

ขวดเย็นๆ แตะเข้าที่แขนธันธเนศ “พี่ธันกินกับผมก็ได้ ไม่มีคาเฟอีน” ราชวุฒิยื่นของเขาให้แทน

“ไม่เป็นไร มึงกินไปเถอะ” เขาพูดก่อนจะเดินนำที่รถ

คนที่หยุดนิ่งอยู่ข้างหลังเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ดูเขาหวงพี่นะ”

คนที่ได้ยินหยุดเดินชั่วขณะ ก่อนจะก้าวออกไป

 

 

13 เมษายน / 16:15 น.

 

บ้านชั้นเดียวในพื้นที่กว้างขวางที่ล้อมรอบด้วยรั้วทั้งสี่ด้าน ตั้งตะหว่านอยู่ริมถนนสี่เลน ติดกันเป็นพื้นที่ขายเครื่องจักรและยานพาหนะทางการเกษตรซึ่งเป็นของคุณตาของเจนจพเอง ภายในบริเวณบ้านปกคลุมด้วยต้นไม้ดอกและไม้ประดับ ให้ร่มเงาร่มรื่น

เมื่อทุกคนก้าวลงมาจากรถก็ได้รับการต้อนรับอย่างชื่นมื่นจากเจ้าของบ้านสูงวัยสองคน ที่ยังดูแข็งแรงด้วยกันทั้งคู่

“ไหว้พระเถอะจ๊ะ” หญิงเจ้าของบ้านเอ่ยรับเมื่อบรรดาหลานๆ ยกมือไหว้ทักทาย

“เข้าไปข้างในล้างหน้าล้างตากันก่อนสิลูก ยายเขาเตรียมห้องไว้ให้แล้วสี่ห้อง กว้างขวางอยู่สบาย เอาของไปเก็บกันได้เลย จะอยู่ห้องไหนก็เลือกได้เลยตามใจชอบ คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเอง” คนเป็นตากล่าวแนะด้วยรอยยิ้มอิ่มสุข

นานครั้งที่ลูกหลานจะกลับมาเยี่ยม ครั้งนี้เจนจพต้องมาบ้านตากับยายแทน เพราะพ่อกับแม่ของเขาต้องไปเยี่ยมปู่กับย่าที่ภาคอีสาน บ้านที่เงียบเหงา มีเพียงคนงานไม่กี่คน ที่เมื่อถึงเวลาเลิกงานหรือช่วงเทศกาลอย่างนี้ก็กลับบ้านกันหมด ทิ้งไว้เพียงสองตายายเจ้าของบ้าน ทำให้ทุกครั้งที่เจนจพมาก็จะทำให้บ้านพอมีสีสันขึ้นมาบ้างแม้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และการกลับมาแต่ละครั้ง ด้วยความที่เจนจพยังตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัว เขาจึงมักจะชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวด้วยเสมอ และก็จะได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างนี้จากสองตายายเช่นนี้เสมอมา

 

“เย็นนี้ทำอาหารทะเลกินกัน แล้วพรุ่งนี้ไปเกาะล้าน” เจนจพบอกแก่ทุกคน ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันตั้งแต่วางแผนทริปแล้ว ยกเว้นก็แต่ธันวา ที่ยังไม่รู้ว่าต้องไปเกาะด้วย แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าการตัดสินใจติดสอยห้อยตามมาครั้งนี้ไม่ผิดหวังจริงๆ เขาชอบทะเล

 

 

13 เมษายน / 16:45 น.

 

“ธันๆ พี่สองคนจะไปตลาดซื้ออาหารทะเล ไปช่วยพี่หน่อยได้ไหม” สองสาวภรรยาของอากิระกับอณวุฒิชวนธันธเนศ

“ได้ครับ เดี๋ยวผมขับรถให้” เขาตอบ

“ผมไปด้วย” เมื่อธันวาที่คอยตามธันธเนศต้อยๆ ไม่ได้ห่างได้ยินเข้าก็รีบเสนอตัวทันที “ผมแข็งแรง เดี๋ยวช่วยยกของ” เจ้าตัวเสริม

“จ๊า ดีเลย อยากได้คนไปใช้แรงงานอยู่พอดี งั้นปล่อยพวกแก๊งนั้นให้เขาจัดสถานที่เตรียมอะไรของเขาไป เราไปเที่ยวตลาดกันดีกว่า”

 

อีกฟากหนึ่ง เด็กหนุ่มมัธยมที่ยืนอยู่ไกลๆ มองตามสี่คนที่เดินตรงไปที่รถอย่างสงสัย

“พี่ๆ เขาจะไปไหนกันอ่ะครับ”

“อ๋อ ไปตลาดซื้ออาหารทะเล เอ็งไม่ต้องไปหรอก อยู่นี่กับข้านี่แหละ มาช่วยยกกระถางต้นไม้นี่หน่อยเร็ว ยังหนุ่มยังแน่น” เจนจพหลานชายเจ้าของบ้านกล่าว ขณะกำลังง่วนอยู่กับการจัดบริเวณสวนหน้าบ้านให้เหมาะแก่การสามัคคีชุมนุมในช่วงค่ำที่จะมาถึงนี้

 

ตลาดที่คนจอแจ แม้อากาศช่วงบ่ายแก่ๆ จะร้อนอบอ้าว สองหนุ่มสองสาวก้าวลงมาจากรถที่จอดเลียบข้างทางไว้ ในตลาดที่มีของขายดาษดื่น ทั้งอาหารทะเลสดๆ นานาชนิด มีให้เลือกอย่างหลากหลาย อาหารท้องถิ่น ของฝากที่ขึ้นชื่อ

“เอางี้ดีกว่า อากาศมันร้อนเนอะ เรามาแบ่งหน้าที่กันดีกว่าทุกอย่างจะได้เสร็จไวๆ พี่จดของที่ต้องซื้อไว้หมดแล้ว” เกวลินภรรยาสาวของอากิระหยิบกระดาษโน้ตในกระเป๋าออกมาฉีกแบ่งครึ่ง

“สองหนุ่มไปซื้ออาหารทะเลตามนี้ แล้วเดี๋ยวพวกพี่ไปซื้อพวกเครื่องปรุงแล้วก็ของจุกจิกอื่นๆ โอเคไหม”

“เอ๊ะ แต่น้องธันไม่ทานเนื้อสัตว์นี่ ซื้อได้เหรอ” ภรรยาของอากิระถามขึ้นเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้

“สบายมากครับ” ธันธเนศรับกระดาษมา “ผมแค่ไม่กินเฉยๆ”

“จะเอาเงินที่พี่ไปก่อนไหมหรือไง”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมออกเอง”

 

เมื่อจัดสรรงานกันเสร็จสรรพ สองฝ่ายก็แยกย้ายกันไปหาซื้อของตามที่ต้องการ ธันธเนศเดินไปตามสองทางเดินที่มีอาหารทะเลสดชนิดที่ยังมีชีวิตเรียงรายขนาบข้าง จนละลานตาไปหมด โดยที่มีธันวาเดินปาดเหงื่อตามต้อยๆ

“ร้อนเหรอ” เขาหันไปถามหนุ่มที่เหงื่ออาบตัวจนอกเสื้อยืดบางๆ เปียกแนบเนื้อ

“ขี้ร้อนแล้วยังจะตามมาอีก รออยู่บ้านสบายๆ ไม่ชอบ”

“ไม่เอา อยู่กับคุณผมสบายใจกว่า” คนพูดพ่นลมออกทางปากระบายความร้อน “เออ เดี๋ยวผมมานะ”

“อือๆ ถ้าหากันไม่เจอก็รอตรงศาลาหน้าตลาดนะ”

“แปบเดียว เดี๋ยวผมมา”

 

ธันธเนศส่ายหัวโงนๆ อย่างเอ็นดู จะว่าไปใครจะไปคาดคิด คนที่เจอกันครั้งแรกก็แยกเขี้ยวยิงฟันใส่กัน แถมยังตามราวีกันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่เลิกรา เจอกันที่ไหนเป็นเรื่องไปทุกที แต่ในวันนี้จะมาอยู่ด้วยกันชนิดที่ต้องมาเดินตามกันต้อยๆ เหมือนคนที่สนิทกันมานาน

“ปูพวกนี้ขายยังไงครับ”

“กิโลสองร้อยแปดสิบคะ สองโลห้าร้อย”

“ผมเอาสามโลครับ”

 

คนที่กำลังนั่งเลือกปูอยู่สะดุ้งโหยงจากแก้วเครื่องดื่มเย็นๆ สัมผัสเข้าที่ข้างแก้ม

“อ่ะ”

“อะไร”

“น้ำมะพร้าวปั่น กินได้ ไม่มีคาเฟอีน”

ธันธเนศมองใบหน้าที่ดูร่าเริงขึ้นมาในบัดดลที่ได้เครื่องดื่มเย็นๆ คลายร้อน เหมือนเด็กที่เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น

“ถือไว้ก่อน เลือกปูอยู่”

ปูม้าสดๆ ถุงใหญ่ถูกส่งมาจากมือแม้ค้า คนที่ตัวโตกว่าชิงรับไปถือไว้เองอย่างไม่ต้องบอก

 

เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการครบแล้ว สองหนุ่มก็ออกมานั่งรออีกสองสาวที่ยังอยู่ในตลาดที่ศาลาหน้าตลาด ลมเอื่อยๆ พัดมาปะทะใบหน้าแต่ก็มิวายหอบไอร้อนด้านนอกเข้ามาด้วย

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าเราสองคนจะมาญาติดีกันได้” ธันธเนศเอ่ยขึ้น ขณะที่สายตายังคงมองสิ่งอื่นไปเรื่อยเปื่อย คนที่นั่งเอนตัวอยู่ข้างๆ หันมองเขา

“สถานการณ์มันพาไป”

“ว่าแต่เราเริ่มคุยกันดีๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมยังจำไม่ได้เลย”

“ผมพยายามพูดดีๆ กับคุณตั้งแต่ที่ติดในลิฟต์ครั้งนั้นแล้ว แต่ตอนนั้นคุณคงเกลียดขี้หน้าผมไปแล้ว”

“ก็โดนโจมตีก่อน ใครจะชอบ”

คนฟังหันมองหน้าเขาอีกรอบ

“ขอโทษ” มือหนาเอื้อมมาโอบไหล่เขา ก่อนจะเขย่าเบาๆ คนถูกโอบเหลือบมองมือปลาหมึกนั่น

“เดี๋ยวหักมือ”

“แฮ่ๆ ก็ตอนแรกที่ผมเจอคุณ คุณดูไม่ใช่แบบนี้”

“แบบไหน”

“ก็... คุณดูน่าเอาชนะ หน้าคุณหยิ่ง ดูไม่กลัวใคร ดูน่าหมั่นไส้สำหรับผู้ชายเอาง่ายๆ ถามจริง ไม่เคยมีผู้ชายมาหาเรื่องคุณเลยเหรอ”

“จะมีใครนิสัยเสียได้เท่าคุณอีกเหรอ”

คนถูกว่าได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ยอมรับ ไม่มีข้อโต้เถียงใดๆ

“เออ แล้วตอนนี้ล่ะ” ธันธเนศถามต่อ

“ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้ว่าคุณน่าปกป้องมากกว่า”

“ล่ะ? จะมาปกป้องผม? ถามจริง?”

ผู้ถูกตั้งคำถามได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริง ยังจำได้ดี ที่ไม่ว่าจะปะทะอารมณ์กันกี่ครั้ง คนที่เพรี่ยงพร้ำก็คือตัวเขาเองตลอด แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ เขารู้แค่ว่า เขาคือคนที่ต้องปกป้องอีกฝ่ายมากกว่า



... ก่อนเหมันต์ ...


หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-04-2018 18:57:32
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-04-2018 21:32:54
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นสิ  มาญาติดีกันได้ไง?

ล่าสุดยังมีคดีกันอยู่เลย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-04-2018 04:20:40
ทำไมดีกันง่ายจังเลยนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 28-04-2018 07:40:12

บางทีก็รู้สึกว่าเฮียยอมง่ายไป    :m28:


สงสารน้องตี๋อะ    :sad4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-04-2018 09:35:24
ธันธเนศ ไม่ได้คิดไรกับตี๋ตั้งแต่แรก
แม้ธันธเนศ ยังไม่คิดไรกับธันวา
แต่ธันวา ไม่ห่างธันธเนศเลย
ตี๋ ต้องพยายามตัดใจแลัว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 28-04-2018 10:05:01
ดีกันแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกหมั่นไส้ธันวาอยู่ดี
ขอบคุณคนเขียนค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 28-04-2018 10:28:55
โอ้ยย
อ่านไปเขินไป
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 28-04-2018 13:47:04
 :m20: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-04-2018 22:23:03
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 28-04-2018 23:04:01
นานๆได้นั่งคุยกันเฉยๆไม่ต้องทะเลาะกัน แค่นี้ก็โอแล้วนะ ^^
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-04-2018 00:31:24
จะจีบก็จีบ อย่ามาอ้ำอึ้ง :hao3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 29-04-2018 00:39:30
ดีกันแล้ว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 29-04-2018 10:42:23
ชอบพี่ธันมากมาย น่ารัก เป็นผู้ใหญ่ดีจัง  :o8:
ธันวานี่หึงโหดมากอ่ะ นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกันนะเนี่ย
เป็นแฟนกันเมื่อไหร่ จะยิ่งขี้หึงขี้หวงขนาดไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 29-04-2018 17:20:41
บางทีก็ไทม์สกิปซะจนงงเลย เข้าใจว่าอยากให้เรื่องเดินเร็วแต่บางรายละเอียดก็ควรใส่บ้างก็ดีนะคะ อย่างเรื่องธัญลาออกจากงานเพราะโดนคุกคามหนัก เรื่องความรู้สึกของธันวาที่อยู่ๆนึกจะเปลี่ยนมาตามหึงตามหวงธัญทั้งๆที่ก่อนหน้ายังคลุมเครืออยู่เลย อีกอย่างเรื่องพี่ธัญเรารู้สึกเหมือนหลังๆพี่แกดูอ่อนแอลงนะไม่เหมือนช่วงแรกๆเลยที่ดูเป็นคนแรงๆกว่านี้ อย่างเรื่องตี๋ที่เอาแต่หนีหน้าไม่ยอมเคลียร์กันตรงๆนี่เราว่าก็ไม่ใช่นิสัยพี่ธัญนะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 29-04-2018 23:41:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 30-04-2018 00:19:23
นี่จีบจริงๆใช่มั้ย???
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 30-04-2018 01:34:31
Time Skip เว่อร์ไม่เห็นการพัฒนาความรู้สึกของธันธเนสเลยว่ายอมอ่อนผ่อนปรนให้กับธันวา อยู่ดีๆก็ดีกันเฉย ทั้งๆที่เวลาผ่านไปยังไม่ถึงวันเลย ณ จุดนี้สงสารน้องตี๋มาก ต้องมาเห็นคนอื่นจีบคนที่ชอบ แต่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้เพราะโดนจำกัดความสัมพันธ์ไว้แค่พี่น้อง ถ้าค่อยๆเล่าความคิดของธันธเนสจะสมูทกว่านี้มากเลยครับ ขอบคุณนะครับ :pig4: แต่ยังไงก็ #ทีมน้องตี๋ อิอิ รักเด็ก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: day9day ที่ 30-04-2018 05:54:32
เริ่มดีกันแระ
น่ารักๆ

รอตอนต่อๆไปนะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 12 เมษานั้น 1 (27/4/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 02-05-2018 18:43:29
13
เมษานั้น 2



13 เมษายน / 23:50 น.

 

เมื่อปาร์ตี้อาหารทะเลสิ้นสุดลง ทุกคนก็อิ่มแปล้ไปมื้อที่สุดแสนพิเศษนี้ ยกเว้นก็แต่ธันธเนศ ที่มีความสุขกับการกินข้ามน้ำพริกผักต้มฝีมือคุณยายของเจนจพโดยไม่มีทีท่าสนใจของทะเลย่างหอมฉุยเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย แม้จะเป็นการตั้งวงเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาล แต่ก็ไม่ได้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนักๆ เข้ามาเกี่ยว เพราะเกรงจะเป็นการรบกวนผู้เป็นเจ้าของบ้าน ทุกสิ่งอย่างก็ถูกเก็บเข้าที่ทาง และทำความสะอาดจนแล้วเสร็จ ก่อนที่ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน เพื่อออมแรงสำหรับการเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้

 

“ธันวาเอ็งจะนอนกับใครครับ กับพี่ไหม” หลานชายเจ้าของบ้านถามขึ้นหลังจากที่คนที่เป็นคู่สามีภรรยาแยกย้ายกันไปยังห้องของตัวเองอย่างแยกไม่ได้แล้ว เหลือก็แต่บรรดาชายโสดอย่างเขาๆ

“ธันธเนศล่ะครับ” คนที่เพิ่งเงยหน้าจากโทรศัพท์ถามขึ้น

“อยู่ในเรือนรับแขกหลังนู้นน่ะ ไอ้ธันมันนอนกับตี๋หรือเปล่า เห็นมันหิ้วกระเป๋ากันไปตั้งแต่ล้างจานเสร็จ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น คนที่รู้สึกเหมือนถูกแย่งที่ก็กัดฟันกรอด หนอย เผลอไม่ได้

“ผมนอนกับเขาแล้วกันพี่”

“เอ้ย ห้องนั้นมันมีเตียงกว้างเตียงเดียว นอนได้สองคนกำลังดี เอ็งก็นอนกับข้านี่แหละ จะไปเบียดกันทำไม”

“ไม่เป็นไรพี่ ผมชอบนอนเบียดๆ” คนหัวร้อนหิ้วกระเป๋าตรงไปยังเรือนอีกหลังที่เชื่อมกันโดยระเบียงไม้เล็กๆ ริมสระน้ำอย่างไม่ฟังอีร้าค้าอีรม

 

“อ้าว นึกว่าจะนอนกับแจ้” คนที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่ปลายเตียงเงยมองร่างที่ยืนขวางไฟหน้าห้องอยู่ตรงประตู

“ผมบอกคุณเมื่อไหร่” ร่างสูงพูดพลางเดินมาเหวี่ยงกระเป๋าเป้ลงบนเตียง แล้วทิ้งตัวเหยียดยาวบนเตียงใกล้ๆ ที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ เพื่อแสดงอาณาเขต

“น้องมันนอนตรงนี้”

“อ้าว แล้วผมล่ะ”

“ก็...” “เตียงตั้งกว้าง อย่าบอกนะว่าจะให้ผมนอนพื้น ใจดำไปรึเปล่าคุณน่ะ”

“ถ้าจะนอนนี่ก็ไปนอนอีกฝั่งหนึ่งไป” เขาพูดพลางโยกระเป๋าของอีกฝ่ายไปยังฟากหนึ่งของเตียง “ตี๋อาบน้ำอยู่เดี๋ยวมันก็ออกมา ตรงนี้ที่ของมัน โตแล้วอย่าเอาแต่ใจ”

“ก็ได้ๆ” ร่างสูงพูดพลางขยับตัวไปยังอีกฝั่ง

“แล้วคุณจะนอนตรงไหน ตรงกลางเหรอ”

“เดี๋ยวผมไปนอนกับแจ้”

“ไม่เอา” เสียงแข็งเอ่ยขัดขึ้นในทันที

“นอนสามคนเบียดจะตายห่า ชอบเหรอ”

“อือ”

คนที่นั่งอยู่ปลายเตียงถอนหายใจอย่างหนักอก ก่อนจะก้มลงมองโทรศัพท์ในมือต่อ

ร่างสูงอีกคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของที่ที่แท้จริงเดินสวมผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำ ก่อนคิ้วหน้าจะย่นเข้าหากันอย่างสงสัย เมื่อเจอธันวานอนอยู่บนเตียง

“นอนสามคนได้เปล่าน้อง หรือถ้าไม่ได้ ห้องพี่แจ้ยังว่าง” ธันวารีบเอ่ยปากถาม

อีกคนเบ้ปากแสดงความไม่แยแสต่อความกดดันทางอ้อมนั้น

“สามคนก็ได้ ผมไม่ซีเรียส อบอุ่นดี” แม้อายุจะน้อยกว่า แต่มีหรือจะยอม “แต่ผมไม่นอนข้างพี่นะ กลัวติดพิษบ้า”

“อ้าว ไอ้นี่” คนที่นั่งอยู่บนเตียงทำท่าผลีผลามจะลุกมายังคนที่ยืนอยู่ แต่คนที่ดูมีวุฒิภาวะมากที่สุดในตอนนี้ก็ยกมือปรามไว้เสียก่อน

“หื้ออออ” คนนั่งฟังส่ายหัว “พวกมึงนี่ เอางี้ไหมครับคุณทั้งสอง ถ้ามันลำบากมาก ผมจะไปนอนห้องแจ้ให้ เชิญพวกคุณมึงนอนกันไปสองคนเลย เอาให้เต็มที่”

“ไม่!!” สองเสียงประสานกันอย่างมิได้นัดหมาย

นี่กูคิดผิดหรือคิดผิดที่ยอมให้เด็กสองตัวนี้มาด้วย

 

แม้ขนาดเตียงจะนอนได้พอดีกับคนสองคน แต่หากจะนอนเบียดกันสามคนก็ยังพอได้อยู่ ไม่ถือว่าเบียดมาก ธันธเนศจึงปล่อยเลยตามเลย เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็เช้าแล้ว เขาไม่อยากให้มีปัญหาวุ่นวายกันมากนัก เพราะเขาทั้งสามล้วนแต่เป็นแขกของบ้านทั้งนั้น และเขาก็คือคนที่น่าจะรู้ประสีประสามากที่สุดในตอนนี้ จึงต้องรับผิดชอบต่อมารยาทที่ควรมีต่อเจ้าของบ้าน

 

 

เมื่อเห็นว่าสองคนข้างๆ คนหลับปุ๋ยไปแล้ว จึงได้เวลาที่จะไปสะสางธุระของตัวเองให้เสร็จก่อนจะกลับเข้ามานอน

เมื่อกลับเข้ามา ที่ตรงกลางเตียงยังคงเว้นว่างไว้อยู่อย่างนั้น ทั้งสองริมขอบเตียงมีสองร่างที่หลับไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปนานแล้ว ก่อนไฟในห้องดับลง ธันธเนศค่อยๆ เดินไปหย่อนตัวลงนอนอย่างเบาแรง เสียงหายใจแผ่วเบาของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ดังมากระทบหูทั้งสองข้าง และเขาก็จมลงสู่นิทราตามสองคนข้างๆ ไปติดๆ จนกระทั่ง

ร่างหนาอุ่นๆ ของใครบางคนพลิกตัวมาเกยเขา แขนยาวพาดทับแผ่นอก ธันวารู้สึกตัวทันที สองนิ้วหยิบมืออ่อนปวกเปียกนั้นออกไปอย่างเบามือ แต่แล้วมันก็เด้งกลับมาอีกครั้งในลักษณะเดิม หนำซ้ำท่อนขาที่หนาหนักก็ขยับมาเกยทับบนตัวเขาจนแทบกระดุกกระดิกไม่ได้

โตเป็นควาย นอนดิ้นเหมือนเด็ก

เขาบ่นอุบในใจให้เด็กวัยมหา’ลัยที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนจะตัดสินใจขยับตัวลุกพรวดขึ้น เมื่อความอดทนหมดลง แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ

 

 

“นั่นไง กูว่าแล้วมึงต้องมาหากู” คนในห้องเอ่ยขึ้น

“มึงยังไม่นอนเหรอ”

“อือ รอมึงไง”

“ถุย คิดถึงใครอยู่ก็บอกมา”

คนที่ถูกจับได้ไล่ทันนิ่งเงียบ

“มึงยังไม่เลิกคิดถึงเขาอีกเหรอว่ะ”

“อือ”

“เขามีลูกมีผัวไปแล้วนะเว้ย” คนที่เพิ่งเข้ามาในห้องเดินมายังคนที่นั่งหน้าซึมอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งภายในห้อง “รูปนี้กูขอเถอะ” เขาพูดพลางกระชากรูปนั้นออกมาจากมือของเพื่อนสนิท

“ธัน”

“ถ้ามึงยังเก็บรูปบ้านี้ไว้ มึงก็ลืมเขาไม่ได้สักที ทุกครั้งที่มึงเห็นมันมึงก็คิดถึงคนในรูปตลอด พอที กูจะเอาไปเผาทิ้ง”

คนที่นิ่งฟังไม่อาจเถียง มันก็จริงอย่างที่เพื่อนเขาพูด หน้าหงอยนิ่งคิดทบทวน

“ทีนี้ก็มานอน เร็ว มาให้กูกอดหน่อย ไม่ได้กอดนานคิดถึงเมียจัง” ธันธเนศพูดพลางตบพื้นเตียงแปะๆ

“ได้จ๊ะ ผัวจ๋า” ชายหนุ่มเจ้าบ้านวัยยี่สิบห้ากลบอารมณ์ขุ่นมัวไว้ในใจ เมื่อได้ยินคำหยอกล้อจากเพื่อนรัก ที่นานโขแล้วที่อีกฝ่ายไม่เคยทำแบบนี้กับเขา แล้วรีบรี่ไปที่เตียงทันที

 

 

14 เมษายน / 09:10 น.

 

ณ ท่าเรือแห่งหนึ่งในพัทยา

“เฮ้ยไอ้แจ้ มึงดูดิ คนแม่งจะมองไอ้สามคนนั้นทำไมนักหนาว่ะ” อณวุฒิที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลพูดขึ้น “ดูๆ ชะนีนางนั้นสิ เอียงมองคอแทบหัก”

“กูสังเกตตั้งแต่ก้าวขาออกมาจากที่จอดรถละ พวกมึงก็ดูหน้าตามันสามคนสิ แต่ละคนโดดเด่นซะขนาดนั้น ยิ่งอยู่ด้วยกันสามคนทีไร ความหล่อพวกแม่งแผ่รังสีมองเห็นได้ตั้งแต่เกาะล้าน”

“พี่แจ้ก็เว่อร์ไป” อรอินทร์ แฟนสาวของอณวุฒิกล่าว “แต่หล่อจริง โดยเฉพาะเพื่อนพี่อะ สเป็ค”

“อ้าวๆ อีนี่” หนุ่มร่างอวบหันมาปรามผู้เป็นภรรยาสาวสวย “แต่ก็อย่างว่า ถ้ากูยังไม่มีเมียนะ จะจับแม่งทำผัวให้หมดทั้งสามตัว” หนุ่มร่างอวบพูดพลางทำหน้าหื่น ก่อนจะโดนศรีภรรยาหยิกแขน

“ถ้านี่ยังไม่แต่งงานก็อาจจะเผลอกรี๊ดอยู่เหมือนกัน” เกวลินพูดขึ้น “อยู่ใกล้แล้วใจสั่น”

“จ๊ะแม่คุณ แต่ละคน ผัวยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้นี่ ไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจกันเลย” อากิระว่า

“แหม เขาล้อเล่น เขาก็รักตัวเองคนเดียวแหละ” สองมือเรียวยื่นมาบิดแก้มเนียนของหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น

 

ไม่แปลกที่สามหนุ่มที่นั่งรอเวลาเรือออกอยู่บริเวณขอบสะพานเทียบเรือจะโดนกลุ่มเพื่อนที่ยืนอยู่ไกลๆ นินทาเอา และมันก็จริงอย่างที่พวกเขาเหล่านั้นพูด

ชายหนุ่มวัยกำลังดี รูปร่างสูงเกินมาตรฐานชายไทยส่วนใหญ่ แต่ก็ดูไม่กระโดกกระเดก ผิวขาวเนียนแบบคนที่ไม่ค่อยโดนแดดขับมัดกล้ามกำลังงามที่เป็นผลจากการเป็นนักกีฬาที่ใช้กำลังมาตั้งแต่ยังเด็กให้ดูสมส่วน โดยเฉพาะธันวาที่ขาวสว่างเมื่อต้องแสงแดดยามสาย ใบหน้าหล่อรับกับแว่นกันแดดที่เหมาะกับหน้าของแต่ละคน การแต่งกายที่รับกับบุคลิกของพวกเขา เสื้อยืดสีขาวผืนบางธรรมดาๆ ของราชวุฒิแนบชิดลอนกล้ามธรรมชาติของเด็กหนุ่มวัยใสให้ดูน่าฟัดน่าหยิกขึ้นไปอีกเมื่อต้องลม ส่วนธันวาสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นเนื้อนิ่มที่กระดุมแบบห่างๆ เม็ดบนถูกปลดออกหนึ่งเม็ดเพื่อคลายร้อนโชว์ผืนอกเรียบเนียนของเขาแบบไม่ได้ตั้งใจให้มันวาบหวิวต่อผู้พบเห็น ส่วนหน้าหวานๆ ของธันธเนศก็เด่นชัดรับกับเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าพับแขนสวมทับเสื้อกล้ามเรียบๆ ชูให้สิ่งที่ถูกปกปิดไว้ข้างในเด่นชัดขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงเมื่อมันต้องลมแรง

ใกล้กัน สาวสวยนางหนึ่งก็รี่มาหาเขาพร้อมกับกล้องในมือ

“พี่คะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”

คนที่โดนสะกิดหันไปมองยังเสียงใสนั้น ก่อนราชวุฒิจะหันกลับมามองหน้าอีกสองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

ธันธเนศพยักหน้า

“หนูหมายถึงพี่ทั้งสามอะค่ะ”

“อ๋อ ได้ครับ” ธันวากล่าวรับ

สองสาวเพื่อนสนิทผลัดกันไปกดชัตเตอร์และผลัดกันมาเข้ากล้องจนเป็นที่พอใจ

 

และเหตุการณ์ทั้งหมดก็อยู่ในสายตาทั้งห้าคู่ของคนที่ยืนรออยู่อีกฟากหนึ่งของสะพานตลอด ด้วยความหมั่นไส้

“นั่นๆ เห็นม่ะ พูดยังไม่ทันขาดคำ” เกวลินพูดขึ้น

ขณะเดียวกัน หลังสิ้นเสียงตะโกนแว่วมาจากใกล้ๆ ลำเรือ หนุ่มร่างอวบจึงเดินก้นบิดตูดสะบัดตัดสะพานมาที่พวกเขา

 

“น้องๆ เสร็จกันรึยังคะ เสร็จกันได้แล้วล่ะค่ะ พี่ต้องพาผัวทั้งสามของพี่ข้ามฟากไปเกาะแล้วค่า” อณวุฒิแสร้งออกท่าทีตุ้งติ้ง สวมวิญญาณแม่มาทวงของรักของเธอคืน “มาสิ พวกมึง จะขึ้นไหมเรือ” ก่อนจะหันมาค้อนสามหนุ่มที่ยังคงยืนมองกันเลิ่กลั่กอยู่

 

 

14 เมษายน / 10:00 น.

 

“ทุกคนจ๋า นี่บ้านพักที่แจ้จองไว้ เจ้าของเป็นเพื่อนกับตาเราเอง เลยจองได้มาก่อนใคร เดี๋ยวไปกินข้าวร้านตรงทางขึ้นมาจากท่าเรือกันก่อน แล้วกลับมาพักผ่อนเอาแรง ตอนเย็นจะพาไปคาเฟ่ริมทะเลที่หนึ่ง ที่คนมาที่นี่ต้องไปให้ได้ แล้วกลับมาย่างบาร์บีคิวล้อมวงเบียร์กันที่นี่ โอเคนะ”

เจนจพผู้เป็นเหมือนผู้นำทริปกล่าวแนะนำ บนบ้านปูนสองชั้นริมทะเลที่ตกแต่งสไตล์บีชเฮ้าส์ แบ่งเป็นห้าห้องนอน สองห้องน้ำ มีมุมนอนดูวิวทะเลให้พร้อมที่ชั้นบน และชั้นล่างยกสูงที่จะมีชานหน้าบ้านกว้างขวางหันหน้าสู่ชายทะเล เหมาะแก่การปาร์ตี้หรือเฉลิมฉลองตามประสากลุ่มเพื่อนฝูง

“เออ กูลืมบอกไป ห้องนอนด้านบนอีกสองห้องนอนได้แค่ห้องละคนนะ เป็นเตียงเดี่ยวเพราะห้องมันไม่ได้กว้างมาก” เจนจพกล่าวแนะ

“ส่วนไอ้ตี๋ มึงมานอนกับพี่ นอนคนเดียวกูกลัวผี ให้พี่ๆ เขานอนแยกกันไป” เจนจพไม่ลืมจัดแจง

“ส่วนสองธันมึง คนละห้องเลย จะตามไปปล้ำกันทีหลังก็เรื่องของพวกมึง ตามบาย” เจนจพไม่ลืมหยอดคำล้อ

“กูนี่แหละจะตามไปปล้ำมึง ปากดี” ธันธเนศโต้กลับ

ส่วนอีกฝ่ายที่ถูกล้อทำหูทวนลม ไปล้มตัวลงนอนบนเบาะนุ่มลายทางขาวน้ำเงิน ทอดสายตาผ่านแว่นดำของเขาไปยังผ้าม่านสีขาวบางปลิวไสวเผยให้เห็นทะเลสีครามกว้างเบื้องหน้า

 

 

14 เมษายน / 17:30 น. ณ คาเฟ่ริมทะเลแห่งหนึ่ง

 

“มากันทั้งหมดแปดท่านนะคะ”

พนักงานสาวเดินมาต้อนรับด้วยท่าทียิ้มแย้ม ก่อนจะเดินนำลูกค้าที่มาใหม่ทั้งแปดคนไปยังชานระเบียงร้านที่สร้างขึ้นจากปีกไม้เหนือผืนน้ำทะเลตื้นๆ เสียงคลื่นกระทบกับเสาสิ่งปลูกสร้างและโขดหินดังเป็นจังหวะอยู่ตลอดเวลา ยามเย็นที่แสงอ่อนลง แดดสีเพลิงจากดวงอาทิตย์ที่คล้อยหลังเขาไปและมีตัวอาคารบดบังอยู่แทรกตัวโลมเลียตามจุดต่างๆ ที่ส่องผ่านมาได้ ลมอ่อนๆ หอบกลิ่นทะเลขึ้นมาปะทะใบหน้า เสียงนกทะเลร้องประสานเสียงเมื่อบินผ่านไป ผู้คนในร้านยังบางตา

บนโต๊ะตัวเตี้ยที่ต้องนั่งราบกับพื้นชานระเบียง ธันธเนศนั่งมองเพื่อนๆ ของเขาพร้อมสองภรรยาสาวหามุมถ่ายรูปกับวิวตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มันเป็นภาพที่นานๆ เขาจะได้เห็นมันสักครั้งหนึ่ง ความสุขของช่วงเวลาหนึ่งที่เขาหามันไม่ได้ง่ายนักในชีวิต

“เฮ้ย” เสียงทักขึ้นเบาๆ จากใครบางคนที่มาหย่อนก้นลงข้างๆ เขา “ถ่ายรูปกับผมหน่อยดิ” โดยเขาแทบจะลืมไปเสียสนิทว่าบนโต๊ะนี้ไม่ได้เหลือแค่เขาที่นั่งอยู่ ธันวาน่ะเอง

“ถ่ายทำไม” เขาถาม

“ผู้หญิงโต๊ะตรงนู้นมองคุณนานแล้ว ผมอยากจะมาแสดงให้เธอเห็นว่า คุณไม่ได้ชอบผู้หญิง” เสียงเบากระซิบข้างหู

“เดี๋ยวกูเหนี่ยว” คนฟังออกท่า

 “น๊า หยอกเล่น ผมแค่อยากมีรูปคู่กับคุณเก็บไว้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาทำอะไรแบบนี้ด้วยกัน เผื่อวันหนึ่ง คุณลืมผมไป ผมก็ยังมีรูปนี้เก็บไว้เป็นหลักฐาน

“น้ำเน่าเหมือนละครเย็น” เขาต่อว่า แต่ก็ขี้เกียจจะปราม เพราะรู้ดีว่ายังไงคนดื้ออย่างธันวาก็ไม่ยอมฟังเสียงปฏิเสธ และนั่งสิงเขาอยู่อย่างนั้นไม่ลุกไปไหน รังแต่จะเป็นจุดรวมสายตาของลูกค้าคนอื่นเปล่าๆ

 

ท้องฟ้าระคนแสงสีส้มอ่อนเริ่มเข้มขึ้น แล้วค่อยๆ แทนที่ด้วยสีม่วงที่จรดกับผืนทะเลสีเทาเข้ม แสงไฟจากหลอดไส้ทรงกลมที่โยงเป็นสายๆ สลับกับธงสามเหลี่ยมหลากสีสันเหนือขึ้นไปบนชานระเบียงส่องสว่างขึ้นแทนแสงสุดท้ายของวัน การพูดคุยหยอกล้อกันไปมาระหว่างมื้ออาหารและเครื่องดื่มกับบรรยากาศสุดวิเศษที่หาได้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นี้ยังคงดำเนินไป

จะว่าไปมันก็ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ

 

 

14 เมษายน / 20:05 น.

 

บาร์บีคิวที่ถูกแพ็คมาอย่างดีจากบ้านของเจนจพก็ได้ทยอยถูกนำไปวางบนเตาย่างบนระเบียงนอกบ้านนั้น เครื่องดื่มที่หาได้จากร้านสะดวกซื้อบนเกาะ แม้ราคาจะแพงไปหน่อยแต่ก็พอรับได้ ถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะให้เลือกดื่มกินได้ตามชอบใจ แต่ราชวุฒิเลือกที่จะนั่งจิบน้ำอัดลมเงียบๆ คนเดียวอยู่บนมุมดูวิวชั้นบนของบ้าน เพราะเข็ดจากการเมาเหล้าครั้งนั้น และเขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่แตะต้องมันอีก ถ้าใจยังไม่แข็งพอ

 

“ตี๋ไปไหน” ธันธเนศถามขึ้น

“เห็นมันบอกจะไปนั่งเล่นข้างบนนะ” อณวุฒิตอบขณะรับบาร์บีคิวจากศรีภรรยาผู้อยู่หน้าเตามาเคี้ยวตุ้ยๆ

“เหรอ”

“ธัน ยูขึ้นไปดูน้องมันหน่อยดิ” อากิระพูดขึ้น “ดูมันหงอยๆ ตั้งแต่มาแล้ว”

“อือ” เจนจพครางในลำคอเชิงเห็นด้วยก่อนจะเหลือบไปมองธันวาที่ยืนกำกระป๋องเบียร์เงียบๆ ค้ำขอบระเบียงอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ร่างสูงกำลังทอดมองออกไปในทะเลมืดอย่างใจลอย

เขาโน้มตัวเข้าใกล้เพื่อน

“กูถามจริงนะธัน” เจนจพกระซิบ

“มึงไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

“อะไรวะ”

“รู้สึกว่าที่ไอ้น้องธันมันเริ่มมีความรู้สึกพิเศษกับมึงแล้วอะ แล้วที่มันตามมึงมาที่นี้ ก็เพราะมันรู้ว่าราชวุฒิจะมาด้วย”

“อือ” เขาตอบหน้านิ่ง “กูรู้” เสียงเบาพูดขึ้น

“ธัน พวกกูทุกคนรู้ดีอยู่แล้วถึงตัวตนจริงๆ ของมึง เพราะฉะนั้นกูขอพูดกับมึงตรงๆ นะ มึงต้องชัดเจนแล้ว ก่อนจะมีคนถลำลึกไปมากกว่านี้ พอถึงเวลานั้นมันเจ็บนะเว้ย ถ้าใครบางคนไม่ใช่คนที่มึงเลือก มึงก็เคยสัมผัสกับความเจ็บนั้นมาแล้วนี่”

“มึงจะให้กูทำยังไงวะ กับราชวุฒิกูบอกไปแล้วว่าเป็นพี่น้องกันดีที่สุด ส่วนกับธันวา กูยังไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับมันเลยด้วยซ้ำ พวกมึงก็รู้ดีว่ากูกับมันเพิ่งพ้นคำว่าศัตรูกันมาได้ไม่เท่าไหร่เอง พอถึงตอนนั้นกูอาจจะไม่เลือกใครเลยก็ได้ มึงก็น่าจะรู้ถึงสิ่งที่กูเจอมา ว่ามันยากจะลืมแค่ไหน” เขาอธิบายเสียงเบา

หื๊ออออ

คนที่นั่งฟังต่างถอนหายใจไปตามๆ กัน

“อิทส์คอมพลิเคทเท็ดว่างั้น” เกวลิน แอร์โฮสเตสสาวออกความเห็น สิ่งที่เธอพอจะรับรู้และสิ่งที่ได้เห็น มันพอจะเดาออกว่าสถานะซับซ้อนยากจะอธิบายที่ว่ามันคือ สถานะที่ไม่ชัดเจน เมื่อถึงเวลา ใครคนหนึ่งจะต้องเจ็บเจียนตาย

 

ร่างที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ หย่อนตัวลงข้างเด็กหนุ่มที่นั่งมองแสงไฟจากเรือหาปลาสาดกระทบผืนน้ำที่มืดมนให้สว่าง แล้วกลับมามืดเมื่อเรือแล่นผ่านไป ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกเขาตอนนี้เลย

“เป็นไงบ้างทริปนี้” ธันธเนศเอ่ยถามคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ

“ก็หนุกดี” เสียงราบเรียบตอบเขาขณะที่สายตายังมองตรงไปในทะเล กระป๋องน้ำอัดลมในมือที่ยังเหลืออยู่นิดหน่อยถูกยกขึ้นดื่ม

“ใช่เหรอ น้ำเสียงมึงไม่ได้บอกแบบนั้นนะ”

อีกฝ่ายเงียบ

มืออุ่นจึงยกขึ้นจับไหล่นั้นเบาๆ ไม่ใช่ว่าความรู้สึกทุกสิ่งอย่างเขาได้พูดได้บอกไปหมดแล้วหรือ ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ทำท่าทำทางเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย ทั้งที่ท่าทีที่ตอบกลับเขาวันนั้นมันก็ดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้ดี

“กูนึกว่ามึงเข้าใจที่กูพูดแล้วซะอีก”

คนถูกถามค่อยๆ หันมามอง

“ผมเข้าใจ แต่ผมทำไม่ได้จริงๆ ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับพี่ไม่ได้จริงๆ”

ธันธเนศได้แต่ก้มหน้าถอนหายใจอย่างหนักอก เขารู้ดีว่าความรู้สึกอันแสนบริสุทธิ์จากเด็กอย่างราชวุฒิมอบให้เขา มันบอบบางเกินกว่าที่เขาจะทำลายมันลงได้ แต่เขาก็ทำมันดีที่สุดแล้ว

 

“มึงไม่ต้องห่วงหรอก กูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับธันวาเหมือนกัน”

บุคคลที่สามที่กำลังก้าวขึ้นมาจากจากบันไดขั้นสุดท้ายหยุดชะงัก เมื่อได้ยินสิ่งนั้นเต็มสองหู ก่อนที่จะตัดสินใจถอยหลังหันกลับลงไปอย่างเงียบๆ

 

“อ้าวเฮ้ยธัน จะไปไหนวะ” เจนจพร้องเรียกไล่หลังคนที่เดินดุ่มๆ ไปในความมืด

“เดินเล่นหน่อยพี่” เขาตะโกนตอบทั้งที่ไม่หันกลับมามอง เสียงรองเท้าแตะกระทบพื้นดังห่างออกไป




... ก่อนเหมันต์ ...

หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-05-2018 19:30:50
ตอบแบบตัดปัญหาหรือเปล่าหนอ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-05-2018 19:31:49
อัาวว อีธันวา น้อยใจวิ่งหนีไปซะละ อิอิ จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: day9day ที่ 02-05-2018 19:43:29
ยังงัยต่อ
นายเอกเริ่มอึนๆ ทำให้คนอื่นงงๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-05-2018 21:16:53
นายเอกโลเลโน๊ะ ยังฝังใจกับรักเก่าๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-05-2018 21:32:41
คนกลางทำใจลำบากนะ แต่อย่างว่าแหละ ชีวิตบางทีก็ไม่เป็นอย่างที่เราคิดได้
 :ling3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-05-2018 22:42:55
 :katai2-1:


จะเละๆเทะๆ หน่อยยยย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 02-05-2018 22:57:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 03-05-2018 00:35:11
หนีปัญหารึป่าวนะ??
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-05-2018 01:35:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

ธันธเนศ  ก็พูดถูกแล้วนิ 

ยังเพิ่งหลุดจากคำว่าเหม็นขี้หน้า  จะมารู้สึกชอบพอธันวาในเวลาสั้นจุ๊ดจู๋ได้ไง

อีกอย่าง  กับคนในอดีตนั้นยังตัดเยื่อใยได้ไม่หมดเลย  ทั้ง ๆ ที่เกลียดปานนั้น

แกจะมาทำนอยด์ได้ไงฮะธันวา?
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 03-05-2018 09:26:04
ก็ถูก แต่ธันไม่ควรปล่อยให้ใครมายุ่มย่ามขนาดนี้ถ้าไม่ชอบเลยซักคน

และควรจะเปิดใจบ้าง ไม่งั้นไอ้คนเก่าที่ตามรังควานก็ไม่ยอมเลิกราไปซะที

พี่สาวธันที่ก็เหลือเกิน เกินไปจริงๆ

 :z6:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LAFIA ที่ 03-05-2018 22:14:06
โอ้ยปล่อยมันไปเถอะอีกล้าน่ะ เข้ากันดี ผีเน่ากับโลงผุ
เรื่องนี้ชะนีร้ายสุดดดด ทั้ง2ตัวเลย ต้องเอาน้ำมนต์มาสาดดด
การตอบสุดท้ายธันก็ไม่ผิดนะ เพราะไม่ได้รู้สึกรักทั้งคู่ แต่รักอีผีเน่ากล้าอยู่ไง แต่มันทำให้อีก2คนเจ็บเต็มๆ เห้อออ :z3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 04-05-2018 08:05:21
แต่ละคนก็ต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองกันไปล่ะนะ
อยู่ที่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 12-05-2018 14:43:21
โอ้ยจะชอบกันยังไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 13 เมษานั้น 2 (2/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 21-05-2018 17:29:51
14
เมษานั้น 3





14 เมษายน / 22:45 น.

 

เวลาล่วงเลยมาพอสมควร บรรดาภรรยาก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เหลือเพียงการดื่มกินประสาเพื่อนที่ยังคงดำเนินต่อไป

หลังจากราชวุฒิขอแยกตัวไปนอน ธันธเนศก็นั่งเงียบๆ อยู่ข้างบนนั้นสักพักหนึ่งก่อนจะเดินกลับลงมา

“อ้าว ลงมาแล้วเหรอพ่อหนุ่มนักรัก” อณวุฒิกล่าวรับ

“รักเหี้ยไรล่ะ ไม่ง่วงกันหรอวะ พรุ่งนี้จะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันไม่ใช่หรือไง”

“คงง่วงหรอกนะ กินข้าวเที่ยงเสร็จก็นอนยาวกันคนๆ” อากิระตอบ

“แล้วนี่...” เขามองหา

“ไอ้ธันนะเหรอ มันบอกจะออกไปเดินเล่น” อณวุฒิตอบด้วยเสียงกรึ่มเมา

“เออว่ะ นี่ก็นานแล้วนะ กูลืมไอ้ธันไปเสียสนิทเลย” เจนจพทำท่าตกใจ

“นี่มันสี่ทุ่มจะห้าทุ่มแล้ว มึงไม่ห่วงน้องมันบ้างหรอวะ”

ธันธเนศพูดพลางยกโทรศัพท์มาแนบหู มีเพียงเสียงอัตโนมัติที่บอกว่าปลายสายปิดเครื่องหรือไม่ก็แบตเตอรี่คงหมด

คนสีหน้าเป็นกังวลวางโทรศัพท์ลงอย่างจำใจ

“เป็นไงบ้างวะ” คนที่นั่งรอฟังอย่างจดจ่อถาม

“ปิดเครื่อง”

“เอาไง จะให้พวกกูแยกกันออกตามหาไหม” เจนจพเสนอ

“ไม่ต้องหรอก พวกมึงกินกันต่อเถอะ เดี๋ยวกูเดินดูแถวๆ นี้เอง ไม่น่าจะมีอะไรหรอก ถ้าไม่เจอยังไงเดี๋ยวกูโทรมาบอกอีกที” เขาพูดก่อนจะสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว

ในเมื่อเขาให้อีกฝ่ายติดสอยห้อยตามมา เกิดอะไรขึ้นมันก็ต้องเป็นเขาที่คอยรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้เพื่อนคนอื่นๆ มาพลอยลำบากไปด้วย

 

แม้จะเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นเพราะพื้นที่บนเกาะที่เอื้อต่อการเล่นสาดน้ำและปริมาณน้ำจืดมีอยู่อย่างจำกัด บรรดาคนที่เดินทางขึ้นมาท่องเที่ยวบนเกาะนี้จึงไม่ได้เน้นหนักไปที่การเล่นสาดน้ำกันนัก เวลาประมาณนี้ก็แยกย้ายกันไปในที่ของตน อยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมทริปเพื่อสังสรรค์หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกัน บรรยากาศบนถนนเส้นหลักของเกาะเงียบอยู่พอสมควร

ธันธเนศย่ำเท้าไปตามทางเดินแคบๆ ลัดเลาะออกไปตามทางเดินที่เชื่อมออกจากบ้านไปสู่ถนนเส้นเล็กๆ ซึ่งเป็นเส้นหลักของเกาะและพอมีแสงไฟสว่างอยู่บ้าง เขาเดินไปตามถนนพลางสอดส่องสายตาไปทั่ว เผื่อจะได้เจอกับคนที่เขากำลังหา และแล้วก็เจอ

 

เขาเดินลงไปในสะพานเทียบเรือเล็กๆ ที่ทอดยาวสู่ทะเลตื้นๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างคนที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น

“เปลี่ยวอะไร ถึงมานั่งคนเดียวตรงนี้”

“เปล่า แค่อยากสูดอากาศ”

“ทำอย่างกับที่พักอยู่ห่างจากทะเล”

“ผมแค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”

“เป็นอะไรเนี่ย อารมณ์แปรปรวนเหมือนคนเป็นเมนส์”

“ใครจะไปดีเหมือนเด็กตี๋นั่น”

เขารู้เหตุผลที่แท้จริงแล้ว

“อ๋อ เดี๋ยวนี้ประชดประชัน”

คนหน้างอไม่พูดต่อ

“กลับ ที่นี่ไม่ใช่ที่คุณจะมานั่งดราม่าเหมือนพระเอกเอ็มวีได้หรอกนะ เราไม่รู้หรอกนะว่ามันอันตรายหรือเปล่า” เขาพูดพลางลุกขึ้นนำ

“ลุก” แล้วออกเสียงสั่งอีกรอบ

อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่ง สายตามองไปเรื่อยเปื่อยยังผืนทะเลที่มืดมน

“ธันวา” น้ำเสียงของคนที่ยืนอยู่เริ่มแข็งขึ้น

“คุณคิดแบบที่คุณพูดจริงๆ เหรอ”

“พูดอะไร”

“ผมได้ยินนะที่คุณพูดกับเด็กนั่น”

ธันธเนศถึงบางอ้อทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากอีกฝ่าย

“เพราะเรื่องนี้นี่เอง” เขานั่งลง “งั้นถามอะไรหน่อย”

“อือ”

“รู้สึกยังไงกับผม”

“ก็...”

“รอฟังอยู่”

“ก็...” นั่นสิ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อธันธเนศคืออะไรงั้นเหรอ จะเรียกว่ารักได้ไหม หรือแค่ชอบ เขาแค่รู้สึกว่าเวลาได้เห็นและได้อยู่ใกล้ธันธเนศเขารู้สึกดี รู้สึกมีความสุข ไม่ชอบเวลาที่อีกฝ่ายมีท่าทีที่พิเศษกับคนอื่น ชีวิตที่โลกส่วนตัวสูงเก็บซ่อนอารมณ์เหมือนกำลังพยายามปิดบังความลับอะไรบางอย่างไว้ มันทำให้เขาอยากเข้าไปค้นหา อยากรู้จักให้มากขึ้น แม้ตอนแรกที่พบเจอกัน มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี จนถึงขึ้นทะเลาะกันรุนแรง แต่เมื่อเขายิ่งได้เห็นหน้าธันธเนศบ่อยขึ้น ได้รู้จักธันธเนศมากขึ้น เขากลับรู้สึกอยากครอบครอง อยากเห็นใบหน้านั้นในทุกๆ วันเสียอย่างนั้น

“เห็นไหม คุณก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับผม” คนรอฟังคำตอบพูดขึ้น

คนที่ผ่านอะไรมาเยอะแยะอย่างเขา ทำไมจะไม่รู้ว่าอาการของธันวา ก็แค่อารมณ์ฉาบฉวย ที่แม้แต่ความรู้สึกของตัวเองก็ยังไม่ชัดเจน

ธันธเนศลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทำท่าจะหันหลังกลับ

แล้วคนที่นั่งอยู่ก็โพล่งขึ้น “ผมรู้สึกบางอย่างกับคุณแบบที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนมาก่อน” เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเดินหนีไปเสียก่อน “ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าผมรู้สึกดีที่ได้คุยกับคุณ ได้อยู่ใกล้คุณ ไม่ชอบเวลาเห็นคุณอยู่กับคนอื่น โดยเฉพาะ... เด็กตี๋นั่น” เสียงแผ่วในประโยคสุดท้ายดังแทรกกลับลมทะเลที่พัดแรง

“ถามหน่อย จนถึงตอนนี้ผมกับคุณเพิ่งจะหันมาคุยกันดีๆ สักกี่ครั้ง จะให้ผมรู้สึกอะไรกับคุณเลยเหรอ ลองถามตัวเองก่อนนะว่ารู้สึกอะไรกับใครไวไปหรือเปล่า”

“แล้วถ้าหลังจากนี้ ในวันที่ความรู้สึกของผมมันชัดเจนขึ้นมาแล้วว่า...”

...

 “ว่ารักคุณ คุณจะรักผมตอบหรือเปล่า ขอโทษนะที่พูดตรงๆ” ในความมืดดวงตาที่ทอประกายส่งผ่านความรู้สึกจริงๆ ของผู้พูดออกมาได้อย่างชัดเจน เมื่อหันมาสบกับเขา

 

ธันธเนศยืนหันไปทางฝั่งที่มืดสลัว หันหลังให้คนที่นั่งอยู่ เสื้อผืนบางต้องลมปลิวแนบเนื้อ

“แล้วถ้ากลับกัน เมื่อถึงวันนั้นกลับเป็นผมที่ชัดเจนอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ”

คนถูกถามอ้ำอึ้ง

ผู้ถามผ่อนลมหายใจ

“ป่ะ กลับกันเถอะ ผมง่วง” เขากล่าวก่อนจะเดินไปตามสะพานเทียบเรือเล็กๆ นั้นมา

“เดี๋ยวผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเอง”

คนที่เดินลับห่างออกไปไม่หยุดฟังเสียงของคนที่ยืนตะโกนอยู่ข้างหลัง

 

 

“อ้าว กลับมากันแล้วเหรอเพื่อน ไปพลอดรักที่ไหนกันมาล่ะ”

“เมาแล้วเพ้อเจ้อห่าไร ไอ้กล้วย” ธันธเนศผลักหัวเพื่อน

“บ้าน่า เมาที่ไหนกัน มาๆ มานั่ง มึงทั้งสองคนเลย กูยังไม่เห็นพวกมึงแดกกันเลยเนี่ย”

“เออ พวกมึงอะ ไม่ใจเลย มาๆ นานทีปีหนจะได้ฉลองด้วยกันครั้งหนึ่ง ไม่กินแสดงว่าไม่รักเพื่อนนะ” เจนจพเสริม พลางตบเก้าอี้ว่างข้างตัวเองแปะๆ

คนฟังส่ายหัวอย่างจำใจ

“ขึ้นไปนอนก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวผมอยู่กับพวกแม่งเอง” ธันธเนศหันมาบอกธันวาก่อนจะเดินลงไปนั่งข้างๆ เจนจพ

“เดี๋ยวผมอยู่ด้วย”

“ให้ได้อย่างนี้สิคะผัวขา” อณวุฒิกล่าวพลางเปิดเบียร์ขวดใหม่ส่งให้ทั้งสอง “นี่เลยค่ะของผัวทั้งสอง”

“ไม่เมาห้ามกลับไปนอน” อากิระเอาด้วย

 

 

15 เมษายน / 02:05 น.

 

เวลาล่วงเลยมาพอสมควร คนที่เพิ่งมาสมทบก็เริ่มจะไม่เหลือสติของคนดีๆ แล้ว ธันธเนศหน้าแดงก่ำและเริ่มมึนงงเมื่อเบียร์ขวดเล็กหลายขวดถูกเทลงท้องไปอย่างไม่หยุดหย่อน ในขณะที่ธันวายังมีสติเหลือมากกว่าเขา เพราะไม่ค่อยได้กินสักเท่าไหร่ มัวแต่นั่งฟังบรรดาเพื่อนๆ รุ่นพี่ฝอยกันน้ำลายแตกฟอง และอีกสามคนที่กินหนักสุดก็ไม่ต้องพูดถึง พูดจะไม่เป็นภาษาคนอยู่แล้ว

 

ในที่สุดสองคนที่สติเหลือมากสุดจึงต้องตัดบทให้การล้อมวงจบแต่เพียงเท่านี้ แล้วทยอยขนคนเมาขึ้นไปส่งจนถึงเตียงแต่ละคน

 

 

“คุณเมาหรือเปล่า” ธันวาถามขึ้นขณะช่วยกันเก็บกวาด

“มึนๆ น่ะ ผมไม่ค่อยถูกกับเบียร์สักเท่าไหร่”

“แล้ววันนั้นที่หมดสภาพนี่กินอะไร”

“เหล้า”

“หนักกว่าอีก”

“ก็วันนั้นกินไปเยอะ” เก้าอี้ตัวสุดท้ายถูกผลักเข้าใต้โต๊ะ “ป่ะ เท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้พวกมันมาเก็บกวาดอีกรอบ”

“ให้ผมไปส่งที่ห้องไหม”

“ไม่ได้เมา แต่ถึงเมาก็ไม่ได้เป็นง่อย”

 

 

15 เมษายน / 02:30 น.

 

ไฟในห้องของธันธเนศดับลง เขาเลือกจะไม่ปิดประตูเพราะต้องการรับลมเย็นจากภายนอกที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่ใช้ชมวิวแทนเครื่องปรับอากาศในห้องที่แคบๆ น่าอึดอัดนี้ จึงมีแค่ผ้าม่านสีขาวบางๆ กั้นไว้ ทำให้ลมทะเลที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างชั้นสองโกรกผ่านเข้ามาในห้องเขาที่อยู่ติดกับพื้นที่นั่งเล่นชมวิวได้อย่างพอดิบพอดี

ผ้าม่านบางปลิวไสว ชายหนุ่มหลับลงด้วยหัวที่หนักอึ้งก่อนที่จะทันได้สังเกตเห็นว่ามีร่างๆ หนึ่งยืนกอดอกพิงกรอบประตูจ้องมองเขาอยู่

 

ร่างสูงยืนมองคนที่นอนอยู่บนเตียงชั่วขณะหนึ่งเหมือนชั่งใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้ามาในห้อง

สิ่งที่เขาจะพิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็น และนี่จะเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าแท้จริงแล้ว เขากำลังคิดอย่างที่เขารู้สึกหรือเปล่า และมันจะลึกซึ้งได้แค่ไหน

 

ประตูที่เปิดค้างไว้ถูกดึงให้ปิดลงแล้วล็อก ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ที่ขอบเตียงแคบๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างคนที่นอนหันหลังให้ประตู

ร่างสูงค่อยๆ เอนกายลงนอนเคียงข้างคนที่นอนอยู่ก่อน แขนหนาขยับไปโอบร่างที่บางกว่าไว้ แล้วออกแรงพลิกให้นอนหงาย นิ้วมือยาวไล่ผมออกจากหน้าผากที่เนียนนุ่ม นิ้วโป้งขยับเขี่ยริมฝีปากนุ่มที่แดงระเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใจเขาสั่นระรัวเหมือนกอง เขาอดใจไม่ไหวแล้ว ริมฝีปากบางโน้มต่ำลงไปประกบริมฝีปากอุ่นๆ นั้นทันที

ความรู้สึกที่เคยก่ออยู่ในใจผลิบานออกจนรู้สึกสะท้านไปทั้งทรวง มันแน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่เขารู้สึกมันเป็นไปในทิศทางไหน

ดวงตากลมเบิกโพลงขึ้นเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติ เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าของร่างหนาก็ใช้มือปิดปากอีกฝ่ายไว้พร้อมกับกระโดดขึ้นคร่อมเพื่อใช้แรงของเขาข่มแรงอีกฝ่ายไว้

ธันธเนศปัดมือที่ปิดปากไว้ออก แต่มันก็ออกหลุดออกอย่าง่ายดายจนแบบเหนือความคาดหมาย

เหตุผลก็เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าโดนคุกคามมากจนเกินไป

“จะทำอะไร” คนที่โดนนั่งทับอยู่ถามขึ้นอย่างหวาดระแวง

“ทำให้คุณเห็นว่าความรู้สึกที่ผมมีให้คุณไม่ใช่แบบที่คุณคิดไง” เสียงแผ่วเบากระซิบที่ข้างหูเขา มันฟังดูเยือกเย็นจนน่าขนลุก

“จะบ้าไปแล้วหรือยังไง”

“ผมขอนะ ขอให้คุณเป็นของผมแค่คนเดียว”

“ไม่ ธันว-” เสียงที่ทำท่าจะดังขึ้นถูกสกัดไว้ด้วยปากของคนที่อยู่ด้านบน แม้สมองจะสั่งการให้เขาขัดขืน แต่กลับมีคามรู้สึกบางอย่างมาลบล้างเสียสิ้น ที่เขาเองไม่รู้ว่ามันคืออะไร สองแขนที่ถูกตรึงไว้ในกำมือของอีกคนอ่อนแรงลง ตัวเขาอ่อนปวกเปียกไปหมด อาจจะเป็นเพราะความเมาทำให้เรี่ยวแรงของเขาหายไป หรือเพราะมันคือความฝันที่ไม่อาจขัดขืน

จูบของอีกฝ่ายทำไมมันช่างนุ่มนวลและเหมือนกับว่ามันสามารถส่งผ่านความรู้สึกในใจมาที่เขาได้จนหมดสิ้น

 

 

15 เมษายน / 05:10 น.

 

เสียงเรือและเสียงจอแจของคนท้องที่ที่ต้องตื่นเช้ามาทำงานดังลอดเข้ามาในหูของเขา ธันธเนศสะดุ้งตื่น เขาเหลือบมองนาฬิการูปห่วงยางสีขาวที่แขวนอยู่บนผนังห้อง มันช่างเป็นฝันที่พิศวง

แต่เมื่อขยับตัว เขาก็รู้สึกร้าวไปทั้งสะโพก ก่อนจะพบว่าตนเองนั้น เปลือยเปล่า แขนหนาของใครบางคนพาดอยู่บนลำตัวเขา

ชายหนุ่มดีดตัวลุกขึ้นทันที แล้วหันมาจ้องมองคนที่นอนเบียดเขาอย่างสงบอยู่ข้างหลัง

ธันวา!

มันไม่ใช่ฝัน มันคือความจริงๆ

ฉิบหายแล้วไหมล่ะ แล้วกูควรทำยังไงต่อไปดี

แม้จะนั่งนิ่งเพราะช็อกกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันตรงหน้า แต่ในใจกลับเต้นโครมครามอย่างร้อนรน มันรวดเร็วเหมือนฝัน

“ธัน” เขาตัดสินใจเอื้อมมือไปเขย่าร่างขาวเหมือนหยวกที่ท่อนล่างซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม “ธันวา” เสียงเบาเร่งเร้าเพราะกลัวความแตก

“ตื่นแล้วเหรอ” สายตาที่หรี่ของคนที่นอนอยู่มองมายังเขา แต่กลับไร้ซึ่งท่าทีของความแปลกใจ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เมื่อคืน...” คนที่นั่งอยู่ถามเสียงเบา

ผู้ถูกถามยกผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างตัวเองอยู่ขึ้น ก่อนจะมองเข้าไปในนั้นแล้วห่มมันไว้ดังเดิม

“อืม” เสียงครางในลำคอพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มทำให้ธันธเนศรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เกิดขึ้นจากความตั้งใจของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะส่วนหนึ่งเมาเหมือนเขา

แม้อยากจะกระชากคออีกฝ่ายมาอัดให้น่วมเหมือนนวมที่ยิมคาราเต้สักแค่ไหน แต่คิดดูอีกทีโวยวายก็มีแต่เสียกับเสีย ในเมื่อมันเกิดไปแล้ว ทำได้ก็คือหาวิธีที่ดีที่สุดและให้หลุดพ้นจากช่วงเวลานี้ไปให้ได้ก่อน

“ใส่ผ้าแล้วกลับไปที่ห้องตัวเองก่อน” เขาสั่งเสียงแข็ง อีกฝ่ายยังอิดออด “เร็ว อยากให้เพื่อนๆ ผมมาเห็นเราในสภาพแบบนี้หรือไง”

“ก็แล้วไง เขาจะได้รู้ไปเลยว่าผมกับคุณเป็นอะไรกันแล้ว”

“ธันวา มันไม่ได้ง่ายแบบที่พูดนะ กลับไปก่อน เดี๋ยวเพื่อนผมก็ตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันแล้ว” เขาออกแรงผลักอีกฝ่ายออกจากเตียง “เร็ว ถือว่าผมขอ”

ร่างสูงบิดขี้เกียจก่อนจะลุกขึ้นเดินโทงๆ อย่างไม่อายสายตาไปหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่ข้างเตียงมาสวม

 

 

“นึกว่าจะไม่ตื่นแล้วซะอีก” ธันวาชะงักเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนดังมาจากที่นั่งชมวิว

ราชวุฒินั่นเอง คนถามยังคงมีสีหน้านิ่งเฉยจดจ้องเกมในมือถือ

“นี่นั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ต้นเลยป่ะเนี่ย” ร่างสูงถาม

“อือ”

คนที่เพิ่งออกมาจากห้องไม่ต่อบทสนทนา ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องของตัวเอง

“เห็นแก่ตัว”

เขาหยุด เมื่อคำพูดของคนที่อายุน้อยกว่าดังขึ้น

“อือ”

เขาครางในลำคอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องของตัวเอง

มันก็จริงอย่างที่น้องมันพูด สิ่งที่เขาทำมันไม่ต้องมีใครพูดก็รู้ว่า เห็นแก่ตัวมากแค่ไหน แต่ถ้ามันแลกมาได้กับการที่เขาจะได้ธันธเนศมาครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว มันก็คุ้มเกินพอ

 

 

15 เมษายน / 06:00 น.

 

บนยอดเขาที่ไม่ได้สูงมากนัก แต่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากทะเลได้อย่างสวยงามอีกจุดหนึ่ง ธันธเนศยืนค้ำราวเหล็กที่กั้นจุดชมวิวมองพระอาทิตย์ขึ้นเงียบๆ แต่ในใจยังคงปลงไม่ตกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีอะไรกับผู้ชาย ครั้งแรกของเขาได้ยอมปลดปล่อยมันให้กับคนๆ หนึ่ง ที่มันยังย้ำเตือนเขาอยู่ตลอดมาว่าสิ่งนั้นคือความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย

แต่ถึงอย่างไร การที่เขาเผลอใจมีอะไรกับธันวาเมื่อคืนนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจยอมรับได้ง่ายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน เพียงแต่เขาต้องคิดหาทางออกที่ดีที่สุดให้ได้ก็เท่านั้น

 

ธันวาที่ยืนอยู่ข้างกันขยับแขนที่ใช้ค้ำราวเหล็กเข้ามาชนแขนของเขาเชิงถาม

“ขอให้เรื่องที่เกิดขึ้นรู้กันแค่เราสองคนก่อนได้ไหม มันยังเร็วเกินไป” เขากล่าวอย่างเบาที่สุดหลังจากที่เงียบอยู่นาน สายตายังคงจดจ้องกับความงดงามที่กำลังโผล่พ้นขอบทะเล

“อันที่จริงสาม”

“หมายความว่าไง”

“ราชวุฒิรู้ทุกอย่าง”

เมื่อได้ยินดังนั้น ธันธเนศจึงหันไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังทำทีเหมือนมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และยังคงทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่องราวอะไร แวบหนึ่งเท่านั้นที่เขาเห็นแววตาคู่นั้นบอกเขาว่า มันไม่ใช่แบบนั้น

 

“คิดยังไงถึงทำแบบนี้” เขาถามขึ้นอีกครั้ง

อีกฝ่ายนิ่งเงียบ

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าทำแบบนี้แล้วผมกับคุณอาจจะมองหน้ากันไม่ติดอีกเลย” ใบหน้าที่ต้องแสงแรกของวันหันมองคนที่กำลังทำหน้าเหมือนสำนึกผิดนั้น

“ไม่คิด แต่ตอนนี้ผมก็เห็นแล้วว่าผมมองหน้าคุณติด” สายตาเจ้าเล่ห์หันมาจ้องมองใบหน้าของคนที่เขาเพิ่งจะเผด็จศึกไปสดๆ ร้อนๆ

ไม่เคยรู้สึกเสียดายที่ตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปเลยจริงๆ ทุกครั้งที่เขามองธันธเนศแบบเต็มๆ ตา ก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความพิศวาสในตัวอีกฝ่ายให้มากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น

“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก” ที่ไม่กล้ากระโตกกระตากก็เพราะสถานการณ์ตอนนี้มันค้ำคออยู่ ทุกอย่างเลยต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่างเงียบที่สุด

“ของแบบนี้มันต้องเสี่ยง ขืนชักช้าโดนคนอื่นคาบไปแดกทำไง” อีกฝ่ายตอบโดยที่ไม่มองหน้าเขา

“ก็เลยใช้วิธีนี้”

“ก็ไม่รู้ดิ คิดวิธีอื่นไม่ออก”

หื้อออ เด็กชายธันวา” คำตอบมันทำให้คนฟังต้องถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ธันธเนศยกตัวขึ้นเหยียดตรง อากาศเย็นของช่วงเช้า มันคงจะดีกว่าถ้าสองมือซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง

คนฟังจิ๊ปาก “เลิกพูดเหมือนผมเป็นเด็กสักที ผมกับคุณห่างกันแค่สี่ปีเองนะ แล้วคนที่อายุเยอะกว่าอย่างคุณก็เสร็จคนอายุน้อยกว่าอย่างผมแล้วด้วย”

คนฟังหันขวับ มองคนที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ดวงตามองตรงคู่นั้นของธันวาเป็นประกายเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์สีส้ม ความสว่างทำให้นัยน์ตาสีอ่อนลงจนกลายเป็นสีน้ำตาล รอยยิ้มกรุ้มกริ่มผลิออก

“อย่าเพิ่งได้ใจไปหน่อยเลย อย่าลืมนะว่าผมไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณจะเอาเซ็กส์แค่ครั้งเดียวมาเป็นข้อผูกมัดได้นะ แบบที่เมื่อเสียตัวให้ใครคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบน่ะ”

“จะไม่รักนวลสงวนตัวหน่อยเหรอ”

“ไม่จำเป็น ถือซะว่าผมทำทานให้”

“ไม่เอาแบบนี้ดิ ถึงผมเด็กกว่า แต่ผมก็พร้อมดูแลคุณนะ” ตัวสูงที่ค้ำราวเหล็กอยู่เหยียดยืนตรง

 “พอเถอะ ขี้เกียจพูดแล้ว เมื่อยปาก ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์เถอะ แบบนี้มันยังเร็วเกินไป” ธันธเนศตัดบท ก่อนจะเดินออกมา

“ความรักน่ะมันไม่ขึ้นอยู่กับเวลาหรอกนะ จะเร็วจะช้า รักก็คือรักเข้าใจป่ะ” คนอายุน้อยกว่าพูดเสียงดังไล่หลังธันธเนศที่กำลังเดินออกห่างจนคนที่อยู่รายรอบต้องหันมามองเป็นสายตาเดียว ซึ่งนั่นรวมถึงเพื่อนๆ ของธันธเนศเองด้วย ที่ต่างก็ชะงักงันไปตามๆ กัน

ความรู้สึกเดียวที่ธันธเนศมีคอนนี้คืออยากจะกระโดดข้ามรั้วกั้นนี้ลงไปให้พ้นๆ

และแล้วเสียงซุบซิบก็ตามมาพร้อมกับรอยยิ้มประหลาดที่ขัดหูขัดจาคนตกเป็นเป้าอย่างเขาที่สุด ธันธเนศเร่งฝีเท้าลงบันไดไปทันที

 





 

15 เมษายน / 13:15 น.

 

อากาศที่ร้อนผ่าวทั้งวัน แต่ทุกคนก็สนุกสนานกับการเล่นน้ำทะเลและหามุมถ่ายรูปกันอย่างไม่หยุดหย่อน ธันวายังคงทำตัวเป็นเงาธันธเนศอยู่ร่ำไป ในขณะที่อีกฝ่ายพยายามทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แม้ภายนอกจะดูเมินเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้น ในหัวเขากลับวิ่งวุ่นไปด้วยความสับสนอลหม่าน อดีตกำลังจะกลับมาซ้ำรอยเดิมอย่างนั้นหรือ ทั้งที่เขาพยายามหลีกหนีจากมันมาได้นานมากแล้ว และสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือ กลัวว่ามันจะจบลงเช่นเหตุการณ์ครั้งก่อน เหตุการณ์ที่ยังคงตามหลอกหลอนเขาจนถึงทุกวันนี้

ราชวุฒิกลับดูร่าเริงขึ้นอย่างผิดหูผิดตา บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขาอาจจะกำลังพยายามปิดซ่อนความรู้สึกจริงๆ ที่มีในใจไว้ก็ได้ ตลอดเวลา เขาแทบไม่คุยกับธันธเนศและธันวาเลย

 

ขณะที่กำลังนั่งมองคนอื่นกำลังแหวกว่ายอยู่ในผืนน้ำสีฟ้าครามสะอาดถัดจากผืนทรายขาวลงไปอย่างสนุกสนานนั้น ธันธเนศที่เหยียดกายอยู่บนเปลตาข่ายใต้ร่มสนก็เริ่มหนังตาหย่อน ลมเย็นพัดกิ่งสนเอนไหว เหมือนขับกล่อมเขาอีกแรง หมวกปีกสานสีขาวถูกเลื่อนลงมาปิดหน้ากันแสงจ้าจากภายนอก ก่อนที่เสียงจอแจจะค่อยๆ แผ่วลงๆ และเงียบไป

 

 

“ไปซื้อน้ำกับผมหน่อยดิ”

เสียงเรียกดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้คนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้โคนต้นสนเงยหน้ามอง

ร่างเปียกโชกของราชวุฒิยืนอยู่ตรงหน้า เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“อือ”

ธันวาพับหนังสือก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นเดินตามเด็กหนุ่มรุ่นน้องไป

 

สองหนุ่มวัยเรียนนั่งเคียงกันอยู่บนบาร์เครื่องดื่มมุงใบจากเล็กๆ ริมชายหาด

น้ำอัดลมถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวแทบหมดกระป๋องเพราะความกระหายโดยคนที่ผิวแดงเป็นปื้นจากการโดนแดดเผา

“ที่ทำแบบนั้นไป เพราะรักพี่เขาหรือแค่ต้องการตัดหน้าผม”

คนข้างๆ ที่กำลังยกขวดน้ำเปล่าขึ้นดื่ม หยุดลง

“แล้วมึงคิดว่าไง” เสียงราบเรียบถามกลับ

“ผมก็ต้องมองพี่เป็นอย่างหลังอยู่แล้ว”

“ไม่รู้ดิ แต่กูจะบอกอะไรให้ก็ได้ ตั้งแต่รู้จักความรักมา กูจำได้ว่ายังไม่เคยใช้ความรู้สึกนั้นกับใครเลย”

“แล้วพี่ยีนส์ล่ะ”

“มึงฟังกูให้จบก่อนดิ”

...

“กับยีนส์น่ะ กูไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขาไปมากกว่าน้องที่คณะคนหนึ่งเลย จนได้มาเจอกับธันธเนศ”

ทั้งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบผู้ชาย แต่เมื่อได้เจออีกฝ่ายเขากลับรู้สึกแปลกไปจากเดิม ทั้งที่การเจอกันครั้งแรกๆ จะไม่ใช่การเจอกันที่ดีนัก แต่ยิ่งได้พบได้เจอกลับมีความรู้สึกโหยหาอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่รู้ว่าธันธเนศเองนั้นจะคิดยังไงกับเขา พอดีบังเอิญมาได้ยินสิ่งที่ธันธเนศคุยกับราชวุฒิ มันทำให้เขาใจแป้วไปเลย จนมาเมื่อคืน ก็ไม่รู้อะไรดลใจเหมือนกัน แต่สิ่งที่เขาทำลงไปมันไม่ใช่แค่อยากเปลี่ยนใจธันธเนศหรือแค่อยากฉวยโอกาส แต่อยากพิสูจน์ใจตัวเองให้แน่ใจด้วยว่าสิ่งที่รู้สึกมันไม่ใช่แค่อยากเอาชนะหรือครอบครองอีกฝ่ายเท่านั้น เพราะถ้าความรู้สึกมันไม่ได้ลึกซึ้งอะไรจริงๆ เขาก็คงใจไม่แข็งพอที่จะทำบ้าๆ แบบนั้นลงไป แต่เขารู้แล้วว่ามันคือรักหรือยัง

“กูรักเขา”

คำพูดมากมายเรียบเรียงอยู่ในหัว แต่นั่นคือสิ่งที่เขาพูดออกมา

เด็กหนุ่มยกน้ำอัดลมในกระป๋องขึ้นกรอกปากจนหมดแล้ววางมันลงบนพื้นไม้บาร์เสียงดัง ก่อนจะบี้กระป๋องแน่นจนมันแตกคามือ ความคมของอลูมิเนียมกรีดมือของเด็กหนุ่มจนเลือดไหลเป็นทาง

“ทำห่าไรวะ” ธันวาปราม ก่อนจะกระชากกระป๋องออกมา

“ที่กระป๋องบาดมือผมเนี่ย ยังเจ็บไม่ถึงครึ่งที่พี่บอกว่ารักพี่ธันเลย”

“พี่ครับ มีผ้าเย็นไหม” ธันวาร้องถามพนักงานชายภายในบาร์ที่ยืนเช็ดแก้วอยู่อีกมุมหนึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบหยิบสิ่งที่ลูกค้าร้องขอมาส่งให้

“อะนี่” เขารับมาก่อนจะโยนต่อให้คนข้างๆ “ถ้ายังชอบทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้ ก็อย่าเพิ่งคิดรักใครเลย”

“ผมยอมให้พี่ก่อนแล้วกัน แต่จำไว้นะ เมื่อไหร่ที่พี่ทำพี่ธันเสียใจ อย่าหวังว่าผมจะยอมให้อีก” เด็กหนุ่มพูดเสียงแข็งก่อนจะเดินออกไป

 

 

15 เมษายน / 18:05 น.

 

เรือเที่ยวเย็นเที่ยวสุดท้ายของวันกำลังแล่นออกจากสะพานเทียบท่าที่เกาะล้าน แสงสุดท้ายของวันกำลังจะหมดลงในไม่ช้า

ขณะที่เรือแล่นออกมาจากท่าได้ไม่นาน ด้วยความเหนื่อยล้าหลายคนจึงฟุบหลับไประหว่างนั้น ธันวานั่งมองสองสาวที่มาด้วยกันกำลังหลับอย่างมีความสุขบนไหล่สามีพวกเธอ แล้วแอบอมยิ้มอยู่เงียบๆ

“คนที่มีคนคอยดูแลอยู่ข้างๆ ตลอดนี่ก็ดีเหมือนกัน” เขาพูดขึ้นเบาๆ กับธันธเนศที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ก็มีเพียงความเงียบกับเสียงเครื่องยนต์เรือตอบกลับมา เขาหันไปมองก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มหน้าหลับอยู่

เขากระแอมเบาๆ กวาดสายตามองรอบกาย ราชวุฒิที่อยู่ท้ายเรือก็กำลังสัปหงกอยู่เช่นกัน ร่างสูงจึงขยับเข้าใกล้ธันธเนศอีก วางแขนพาดพนักพิงข้างหลังอีกฝ่าย แล้วค่อยๆ ดึงตัวคนที่หลับไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้ามาหนุนไหล่ตัวเองไว้

 

ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันที่หากจะนับเป็นชั่วโมงก็ยังได้ ในสถานที่เพียงสถานที่เดียว แต่กลับมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นมากมาย และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นหรือจุดเปลี่ยนของชีวิตใครบางคนนับจากนี้ไปตลอดกาล



... ก่อนเหมันต์ ...


ไรเตอร์ทอล์ค: ก่อนเหมันต์มีเพจแล้วน๊าาาา ฝากกดไลค์กดติดตามหน่อยนาจา หากมีข้อมูลข่าวสารอัพเดตหรือมีความเคลื่อนไหวอะไรเกี่ยวกับนิยายทั้งหมดของก่อนเหมันต์จะแจ้งไว้ให้ในนี้จ้า

จิ้ม ก่อนเหมันต์ Facebook Page (https://www.facebook.com/ก่อนเหมันต์-241083279971432/)
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-05-2018 18:12:31
 :z13:


มันดูจะยุ่งๆ วุ่นๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-05-2018 18:19:42
ตรรกะอะไรเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-05-2018 18:36:35
อีธันวา นี้มันไวจริงๆ 5555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-05-2018 19:17:34
ตอนนี้สงสารราชวุฒิเต็มๆ การเฝ้าในสิ่งที่ตัวเองรัก ทำได้แต่เพียงมองเห็นคนอื่นมาพรากจากไป
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-05-2018 19:32:27
ตามต่อ   :mew1: :mew1: :mew1:

ธันวา  ธันธเนศ    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 21-05-2018 20:07:15
ทำไมรู้สึกว่า ธันวาเป็นพระเอกที่ไม่แมนเลย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 21-05-2018 23:20:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 21-05-2018 23:46:41
เจ็บปวดแทนราชวุฒิเลย,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-05-2018 23:49:58
 :pig4: :pig4: :pig4:

ก็นั่นแหละ  ใครจะได้ใครทางร่างกายก็แล้วแต่

จิตใจของธันธเนศต่างหากที่จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

เพราะตอนนี้ กับราชวุฒินั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะสังเกตจากเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วเป็นได้แค่น้องชายของธันธเนศเท่านั้น

แต่กับธันวา  ก็ยังไม่มีเหตุการณ์ที่บ่งบอกว่าธันธเนศมีใจให้  จะบอกว่าเพราะมีใจให้จึงยอมให้กระทำ? แต่เหตุการณ์นั้นมันก้ำกึ่งระหว่างอารมณ์พาไปเพราะแอลกอฮอล์หรือมีใจกันแน่
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-05-2018 00:24:10
แล้วผู้ชายคนนั้ยยังตามอยู่ไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: day9day ที่ 23-05-2018 05:53:05
ยังงัยกันต่ออ่ะ

รอตอนต่อๆไปนะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 14 เมษานั้น 3 (21/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 29-05-2018 13:08:27
15
จอง




รถสีขาววิ่งเข้ามาจอดข้างกับรถพีพีวีสีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่ก่อนแล้วในบ้าน บ่งบอกว่าแม่ของเขาอยู่บ้านตอนนี้ เมื่อรถจอดสนิท เมื่อเครื่องยนต์ที่กำลังทำงานดับลง ชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าของบ้านก็ก้าวลงมา

ธันวาเดินเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้าอมพะนำอะไรไว้มากมายในหัว เสียงน้ำไหลสลับกับจานชามกระทบกันบอกคนที่กำลังเดินเข้ามาให้รู้ว่าผู้เป็นแม่อยู่ส่วนใดของบ้าน ร่างสูงเดินเข้าไปในครัวขณะที่แม่ของเขากำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานครัวของเธออยู่ ก่อนสองแขนหนาจะสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง

เกสรรู้อยู่แล้วว่าลูกชายของเธอกลับมาบ้าน เพราะได้ยินเสียงรถ

“หนีแม่ไปเที่ยวสงกรานต์มาเป็นไงบ้างจ๊ะพ่อยอดขมองอิ่ม หืม”

“ก็...” มันมีเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น “...หนุกดีครับ” เสียงทุ้มราบเรียบดังขึ้นข้างหู ลูกชายเอาหน้าหนุนบ่าผู้เป็นแม่ สายตาเหม่อมองครุ่นคิด

“แล้วนี่คืนนี้จะค้างที่บ้านหรือเปล่า หรือกลับคอนโด”

“ค้างครับ”

“แปลกๆ นะเราน่ะ ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดอยากจะกลับมานอนบ้าน ถ้าแม่ไม่บังคับเสียละก็”

“ก็แค่คิดถึงเตียงนอนที่บ้าน” เขาผละออก ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นที่มันล้นไปด้วยของกิน ข้อดีของการกลับมาบ้าน

น้ำเสียงและท่าทางทำให้เธอรู้ดีว่าผู้เป็นลูกชายไม่ได้เป็นแบบที่กำลังพูด เธอเลี้ยงเขามาคนเดียวเกือบยี่สิบปีนับตั้งแต่สามีจากไป แค่มองปราดเดียวเธอก็รู้ว่าลูกชายมีอะไรอยู่ในใจ

 

สองแม่ลูกนั่งกินข้าวกันเช่นทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ เธอมองลูกชายกำลังเขี่ยข้าวในจานไปมา จ้องมองจานประหนึ่งกำลังนับข้าวทีละเม็ด แกงส้มที่เธอตักใส่ไว้ให้ก็ยังคงชืดอยู่เหมือนเดิมตรงขอบจานนั้น

เธอจึงตัดสินใจถามให้รู้แล้วรู้รอด

“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหยุดเขี่ย แต่ยังคงก้มมองต่ำอยู่อย่างนั้น

“แม่”

“หืม”

น้ำเสียงนั้นทำให้คนเป็นแม่รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เธอพยายามใจแข็งตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้เป็นลูกชายกำลังจะพูด

“ผมอยากหมั้น”

!!!!!

หากตะโกนกรีดร้องออกมาได้ เธอคงทำไปแล้ว สิ่งที่เธอได้ยินทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น แม้ภายนอกจะยังคงนิ่งเฉย แต่ภายในนั้นยังคงมีเสียงกรีดร้องระงม

ที่ผ่านมาอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอบ้าง ทำไมเธอไม่เคยได้รับรู้เลย มารู้ทีเดียวจนเรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้วหรือ

“ไวไปไหมลูก จะหมั้นกับใคร ทำไมแม่ไม่ยักรู้เลยว่าธันมีแฟน หน้าแฟนธันเป็นยังไงแม่ก็ไม่เคยเห็น อีกอย่างเรียนลูกก็ยังเรียนไม่จบ”

“คือผม...” เขาอ้ำอึ้ง “ผมมีอะไรกับเขาแล้ว”

“คุณพระคุณเจ้าช่วย อกอีแป้นจะแตก” เธอวางช้อนที่อยู่ในมือลง ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากที่หิวจนตัวสั่นก็อิ่มเอาเสียดื้อๆ “แล้วไง คือเขาท้องหรอ หรือยังไง”

“คือ...”

“ทำไมไม่รู้จักป้องกันบ้างล่ะลูก”

“เขาเป็นผู้ชายครับ”

หากยืนอยู่เธอคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว นี่สินะธันวาถึงไม่เคยพาตัวแฟนมาเปิดตัวเลย

“ขอยาดมแม่หน่อย” หญิงวัยกลางคนพูดพลางก้มหน้าซบฝ่ามือ สีหน้าซีดเผือด ชายหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่รีรอ รีบหาหยูกหายามาให้ผู้เป็นแม่ตามคำขอ

เกสรนั่งดมยาดมอย่างอ่อนแรง โดยที่มีธันวาคอยมองอยู่ใกล้ๆ อย่างเฝ้ารอ ในใจกล่าวโทษตัวเองที่ทำให้แม่เสียใจ แต่นั่นก็เป็นทางเดียวที่เขาจะคิดออก ทางเดียวที่เขาจะแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฝ่ายนั้นเห็นได้

“ธันชอบผู้ชายเหรอ” เธอถาม สายตาก้มต่ำ ไม่มองหน้าเขา

ตั้งแต่เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก ลูกชายคนนี้ก็ไม่มีทีท่าจะสนใจในเพศเดียวกันเลยสักน้อย ก็ยังคงใช้ชีวิตโลดโผนโจนทะยานเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป ชอบความรุนแรงจนผู้เป็นน้าต้องช้ำเขียวไปทุกคราที่หยอกล้อกัน

“ผมก็ไม่รู้ครับ ที่ผ่านมาผมคิดมาตลอดว่าผมชอบผู้หญิง และไม่เคยรู้สึกชอบผู้ชายคนไหนเลยด้วย จนผมได้เจอคนๆ นี้ ผมไม่รู้ตัวว่าผมชอบเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมเผลอปล้ำเขา”

“โอย ตายๆ” เธอสูดยาดมอีกปื้ดใหญ่ เมื่อได้ยินคำว่าปล้ำ มีอะไรชวนให้ลมจับกว่าการที่ลูกชายของเธอปล้ำผู้ชายด้วยกันทั้งแท่งอีกหรือ “งั้นก็แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรกับลูกน่ะสิ”

“ก็คงงั้น แต่ผมแค่อยากจะแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ผมทำลงไป”

“แต่ก็เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แม่ว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะลูก”

“มันจะไม่ดูเห็นแก่ตัวไปเหรอครับ แม่เองที่ชอบสอนผมตลอดว่า ทำอะไรผิดก็ต้องรับผิดชอบ”

คนฟังถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายยาก อันที่จริงเกสรรักธันวามาก ลูกชายคนเดียวที่เหมือนไข่ในหิน เลี้ยงแบบตามใจมาตลอด ชนิดที่ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไม่ก้าวก่ายชีวิต ปล่อยให้ลูกชายได้เดินในทางที่ตัวเองเลือก ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ

อนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะการเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก เลยทำให้ลึกๆ แล้วธันวาอาจจะโหยหาความรักที่จะมาแทนความรักจากผู้เป็นพ่อที่เคยขาดหายไป

เธอต้องเลือก เกสรถอนหายใจอย่างปลงตก

“แล้วฝ่ายนั้นเขาว่ายังไงบ้างล่ะลูก” น้ำเสียงเริ่มเย็นลง

“เขายังไม่รู้ครับ”

“เวรกรรม” เธอพูดพลางหลุบตานิ่งคิด มือหนึ่งค้ำหน้าผาก “เอาอย่างนี้ดีไหม พาเขามาหาแม่ก่อนดีไหม อย่างน้อยก็ให้แม่ได้เห็นหน้าค่าตาเขาก่อน ให้เขาได้รู้จักกับแม่ จะยังไงต่อไปก็ค่อยว่ากัน”

ธันวารู้ดีว่าแม่ของเขามีความเป็นไปได้ที่จะเห็นพ้องต้องกันกับเขาสูง เนื่องจากเธอเป็นคนที่ตามใจเขามาแต่ไหนแต่ไร

“จริงนะครับ” หน้าตาลิงโลดปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง

เธอพยักหน้าเนิบ

“อันที่จริงแม่อาจจะเคยเจอหน้าเขาแล้ว”

 

...................................

 

“ว่ายังไง จะให้พ่อกับแม่รอคำตอบอีกนานไหม” เสียงของปารณี คุณหญิงเจ้าของบ้านอรุโณโรจน์ผู้ร่ำรวยกล่าวขึ้นในมื้ออาหารค่ำที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า

นับตั้งแต่เมื่อตอนเย็นที่แม่ของเขาส่งคนขับรถไปดักรอที่คอนโด เพื่อให้มาทานอาหารค่ำที่บ้าน เพราะพ่อเขาเพิ่งกลับจากต่างประเทศในรอบหลายเดือน จนตอนนี้ธันธเนศยังคงนับทุกเข็มวินาทีเพื่อให้หลุดพ้นจากที่ตรงนี้เสียที

“ผมยังยืนยันคำเดิมครับ ว่าผมยังไม่พร้อม”

“แล้วเมื่อไหร่แกจะพร้อม รอให้ฉันตายก่อนหรือไง” เสียงดุดันของผู้เป็นพ่อเอ่ยแทรกขึ้นกลางวงสนทนา

เขาได้แต่นิ่งเงียบ ไม่สบตาใครบนโต๊ะนั้น โดยเฉพาะผู้เป็นพี่เขยที่นั่งเยื้องกับเขา ข้างคุณหญิงปารณี

“ธัน แกจะทนใช้ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ของแกไปทำไมกันวะ ทั้งที่ที่บ้านก็มีทุกอย่างไว้ให้อยู่แล้ว โรงแรมที่สมุยนั่นฉันก็ไม่เอาหรอก แกทำแกก็ได้เอง” มีนาออกความเห็นบ้าง

เขาก็คงไม่เถียง ถ้าไม่บังเอิญรู้มาว่าผู้ถือหุ้นครึ่งหนึ่งในโรงแรมนั้นคือมีนาและสามีของเธอ และที่อื่นๆ ก็ถูกโอนเป็นชื่อของเธอหมดแล้วด้วยซ้ำ

“ไม่พร้อมแกก็ต้องไป ฉันเตรียมที่เตรียมทางไว้ให้แล้ว ไปเรียนเอาความรู้มาช่วยงานพ่อ สองปีแค่นั้นเอง ไม่เกินความสารถคนเก่งๆ ฉลาดๆ อย่างแกได้หรอก”

เขารู้ดีว่าคำพูดต่อท้ายไม่ใช่การชม แต่มันคือการประชดประชันถากถางเช่นครั้งก่อนๆ ของผู้เป็นพ่อ สายตาดุดันไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำในครั้งนี้

“ผมอิ่มแล้ว” เขาพูดพร้อมกับลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะอาหาร โดยที่ข้าวยังไม่เข้าปากเลยสักคำเดียว

“ไอ้ธัน” พ่อเขาปรามเสียงดัง ทำให้เขาหยุดขณะกำลังจะหันหลังออกไป แต่ความอึดอัดทำให้เขาไม่อาจจะทนอยู่ต่อไปได้แล้วจริงๆ เขาตัดสินใจก้าวออกไป

“ถ้าแกก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว แกก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกเลยนับแต่นี้ต่อไป ฉันกับแกขาดกัน” เสกสรรชี้หน้ายื่นคำขาดด้วยอาการโมโหสุดขีด

“ไม่เอาน่าพ่อ” เสียงปารณีแม่ของเขาห้ามไม่ให้ผู้เป็นสามีวู่วามดังขึ้นเบาๆ

ธันธเนศรู้สึกชาไปทั้งตัว การที่ได้ยินแบบนี้มันทำให้เขารู้แล้วว่า เขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับคนในบ้านหลังนี้มากนักนอกจากผลประโยชน์ในตัวเขา เพียงเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ก็ทำให้เขาได้ยินสิ่งนี้ออกมาจากปากผู้เป็นพ่อแท้ๆ แล้ว

ชายหนุ่มกำหมัดแน่น แต่แล้วก็คลายมันออก น้ำตาที่ขมอยู่ในอกเขาพยายามสกัดกั้นมันไว้ก่อนจะพ้นจากตรงนี้ ธันธเนศก้าวออกไปในทันทีเมื่อแรงหวนกลับ

“ธัน” กษิษณ์ผู้เป็นพี่เขยเรียกเขา ก่อนจะลุกขึ้นหมายวิ่งตามออกไป แต่มีนาผู้เป็นภรรยาก็รั้งไว้

“ปล่อยมันไปพี่กล้า” เธอพูด

 

 

จรัญรู้สึกร้าวอยู่ในอกเมื่อได้ยินบทสนทนานั้น เขาได้แต่ภาวนาว่าชายคนที่หลานชายเขาพูดถึงจะไม่ใช่ธันธเนศ คนที่เขารัก แต่จากภาพติดตาที่เขาเห็นเมื่อวันก่อน มันมีความเป็นไปได้สูงมาก

แต่ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ในเมื่อเขาก็บอกเรื่องนี้ให้แก่ธันวารู้แล้วถึงประสงค์ของเขา ถึงความรู้สึกจริงๆ ที่เขามีต่อธันธเนศ แล้วธันวาจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร

แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด หากหลานชายคนเดียวของเขาต้องการแบบนั้นจริงๆ เขาก็พร้อมที่จะหลีกทางให้ คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสายใยในครอบครัว

 

“อ้าว มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง” เกสรกล่าวทัก เมื่อเก้าอี้ตัวข้างๆ คนที่นั่งตรงข้ามเธอถูกเลื่อนออกโดยผู้เป็นน้องชาย

“รถเสียน่ะ เลยนั่งแท็กซี่มา” ผู้เป็นน้าพูดพลางเหลือบมองหลานชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ธันวาพยายามหลบสายตา อาการที่แปลกไปของอีกฝ่าย ทำให้เขาพอจะเดาออกแล้วว่าสิ่งที่เขากลัว มันกำลังจะเป็นความจริง

“อ่ะ แวะซื้อผลไม้ที่ตลาดมาให้”

“โห ดูสดน่ากินเชียว เออนี่ รู้ยังว่าหลานชายแกกำลังจะไปขอ- เอ่อ... ” เธออ้ำอึ้งต่อสรรพนามที่จะใช้เรียก

“หึ ได้ยินแล้ว” เขาพูดเสียงราบเรียบ รอยยิ้มจางๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกข้างใน

“แกไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” ผู้เป็นพี่สาวถาม

“ยุคนี้มันไปถึงไหนแล้ว เด็กมันจะรักกัน เราเป็นผู้ใหญ่คงพูดอะไรไม่ได้มากนอกจากคำว่า ยินดี

 

แม้ธันวาจะรู้อยู่แล้วว่าแท้จริงผู้เป็นน้าคิดยังไงธันธเนศ และก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จรัญจะไม่รู้ว่าคนๆ นั้นที่เขาพูดถึงคือใคร แต่เพราะความเป็นน้าชายที่ต้องคอยเสียสละให้หลานเหมือนตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขา ทำให้จรัญไม่อาจจะแสดงข้อโต้แย้งหรือสิ่งอื่นใดได้มากกว่าที่ทำอยู่

ส่วนธันวาเอง แม้ลึกๆ แล้ว เขาอาจจะถูกมองว่าเห็นแก่ตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อเขาเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ต้องยืนหยัดมันต่อไป ในสิ่งที่เขาได้เลือกแล้ว

 

 

ธันวายืนมองจรัญที่ยังคงนั่งคนเดียวเงียบอยู่ในความมืดของศาลาที่สวนหน้าบ้าน ก่อนที่เขาจะเดินออกไปยังที่ตรงนั้น

“ขอนั่งด้วยคนนะ” เขาเอ่ยถามเสียงเบา

สายตาเหม่อลอยของคนที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงหันกลับมาที่เขา ก่อนจะยิ้มรับจางๆ แล้วขยับตัวถอยเชิงอนุญาต

ธันวาเดินไปหย่อนตัวนั่งข้างผู้เป็นน้าชายช้าๆ ต่างฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบภายใต้ความมืดสลัวนั้น ก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดบางอย่างขึ้น

“น้ารู้อยู่แล้วใช่ไหมครับว่าคนๆ นั้นคือใคร”

“เออ นั่นสิ แกยังไม่บอกข้าเลยนะไอ้หลานรัก” เสียงร่าเริงกลบเกลื่อน

“น้าไม่ต้องฝืนความรู้สึกตัวเองหรอก ผมรู้ว่าน้ารู้ว่าคนๆ นั้นคือใคร”

รอยยิ้มที่ดูฝืนๆ ของคนฟังหุบลง

 

ผู้ถูกจับไต๋ได้นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างปลงตก

“รู้แล้วก็จะทำไงได้ ในเมื่อความสัมพันธ์ของเขากับแกมันมาถึงขนาดนี้แล้ว น้าทำได้ดีที่สุดก็แค่หลีกทาง”

ธันวาได้แต่ก้มหน้านิ่งฟังเงียบๆ อย่างรู้สึกผิด ไม่มีสิ่งไหนได้มาง่ายๆ ความรักก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดและความเสียสละเสมอ แต่ครั้งนี้คนที่เจ็บปวดอาจจะไม่ใช่แค่คนๆ เดียว และเขาก็เลือกที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัวเพื่อให้ได้ความรักนั้นมา

“ผมขอโทษนะครับ”

“ไม่เอาน่า แกไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ระหว่างน้ากับธันธเนศน่ะ ก็เหมือนแอบรักเขาอยู่ฝ่ายเดียวก็แค่นั้นแหละ อีกฝ่ายเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้าหรอก อย่างนี้ก็เท่ากับว่าระหว่างเขากับน้าไม่มีอะไรในกอไผ่ เป็นแค่อดีตเจ้านายกับลูกน้อง” เขาพูดปลอบใจธันวา ที่ฟังดูยังไงก็รู้ว่าเป็นการปลอบใจตัวเองเสียมากกว่า

ทั้งคูนิ่งเงียบกันอยู่อย่างนั้น แม้ความคิดมากมายจะโลดแล่นวนเวียนอยู่ในหัวไม่ต่างกัน แต่ภายนอกกลับเงียบงันเหมือนมีน้ำท่วมปาก

 

“น้ากลับล่ะ” จรัญพูดพลางลุกขึ้นปัดก้น เดินตรงออกไปหน้าบ้าน ธันวาเดินตามออกไป

“ไม่ต้องมาส่งหรอก แค่นี้เอง” เขาหันกลับมาบอกผู้เป็นหลาน ในสายตาเขา ธันวาก็ยังคงเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่คอยเดินตามเขาไปไหนมาไหนต้อยๆ ตลอดเวลา

ก่อนขึ้นแท็กซี่ หนุ่มใหญ่ก็ไม่ลืมจะหันมาหาหลานชายที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ

“ธันธเนศไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สัญญากับน้าได้ไหมว่าจะดูแลเขาให้ดีๆ”

“ผมสัญญา”

หนุ่มใหญ่อ้าแขนรอ ก่อนที่ธันวาจะเดินเข้าไปสวมกอดอกอุ่นๆ ของผู้เป็นน้าชาย ความอบอุ่นนั้นมันยังให้ความรู้สึกเหมือนเดิมเสมอมา

 

..................................

 

เขาร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ไม่อาจจำได้ เช่นครั้งนี้ แม้เขาอยากจะร้องออกมาแค่ไหนก็ตาม แต่น้ำตามันกลับแห้งเผือด ความเจ็บปวดและความสับสนวุ่นวายมันยังคงกระอักกระอ่วนสะสมอยู่ในนั้น ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมา

ธันธเนศนั่งนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อคืน จนตอนนี้ที่ฟ้าสว่างโล่ แต่ในใจกลับยังคงมืดมน

ทำไมชีวิตเขามันไม่เคยง่ายเหมือนคนอื่นบ้างนะ บางทีเขาก็อยากหนี หนีไปให้ไกลในที่ๆ ไม่มีใครหาเจอ ไม่มีคนคอยมากวนใจเขาได้อีก

 

เสียงเคาะประตูห้องเบาๆ ดังขึ้นทำลายความเงียบ พร้อมกับความคิดมากมายในหัวได้หยุดลง เจ้าของห้องค่อยๆ ยืดเหยียดกายเดินตรงไปที่ประตูอย่างเชื่องช้า

 

“ขอเข้าไปข้างในได้ไหม” ร่างสูงเจ้าของเสียงเคาะที่ยืนรออยู่ด้านนอกเอ่ยขึ้น คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวทันทีเมื่อเห็นสภาพของคนที่อยู่ตรงหน้า แววตาเศร้าหมองและอ่อนเพลีย

ธันธเนศพยักหน้ารับ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เขาทิ้งประตูให้เปิดไว้อย่างนั้น ก่อนจะเดินกลับมานั่งซึมกะทืออยู่ที่เดิม ในเก้าอี้ข้างโต๊ะทานอาหารที่มุมห้อง ประตูปิดลงก่อนที่ร่างสูงจะเดินมาหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟา

สายตาเป็นห่วงเป็นใยจ้องมองคนที่นั่งอมทุกข์อยู่

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ธันวาถาม

ร่างสูงลุกขึ้นเดินตรงไปที่คนที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง “ไม่สบายหรอ” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยพูดพลางยกมือขึ้นมาหมายจะแนบที่หน้าผาก แต่คนที่นั่งอยู่เอียงหลบ

ธันวาที่เคยกระโชกโหกหากปากไม่ดี ดูแข็งกระด้างเอาแต่ใจ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่ ณ ขณะนี้กลับมีแววตาที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน เป็นห่วงเป็นใย คำพูดที่แผ่วเบามันทำให้เขาน้ำตารื้นขึ้นมาดื้อๆ

“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ผู้ชายคนนั้นกลับมากวนใจคุณอีกแล้วเหรอ” ชายหนุ่มยังคงถามต่อ พยายามสบสายตาของเขา

“เปล่าหรอก”

“ถึงผมจะไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตคุณนัก แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอนะ ขอแค่คุณเอ่ยปาก”

“ถ้าวันหนึ่งคุณรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับตัวผม คุณอาจจะไม่พูดแบบนี้แล้วก็ได้”

“ทำไมคิดอย่างนั้น”

“ชีวิตผมไม่ได้เป็นแบบที่คุณเห็นหรอกนะ”

“ก็บอกผมสิ ให้ผมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ ตอนนี้ผมกับคุณเป็นมากกว่าแค่คนรู้จักแล้วนะ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตคุณก็เหมือนเกิดขึ้นกับชีวิตผมด้วย ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเอง”

ธันธเนศหันไปสบตาคู่นั้น น้ำเสียงที่ได้ยินมันบอกอะไรได้หลายๆ อย่าง ธันวาในตอนนี้กับธันวาคนก่อนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีเพียงชายหนุ่มที่ดูอบอุ่นและจริงใจ ความเป็นผู้ใหญ่ที่เขาไม่เคยมองเห็นในตัวอีกฝ่าย ตอนนี้ฉายแววออกมาอย่างชัดเจน

 

หรือเป็นเพียงเพราะความอ้างว้างเดียวดายในใจเขากำลังต้องการใครสักคนมาเป็นที่พึ่งกันแน่

 

ธันธเนศค่อยๆ เอนตัวลงไปหนุนหน้าท้องอุ่นๆ ของคนตัวสูงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ธันวาโอบไหล่ของคนที่กำลังอ่อนแอไว้แล้วลูบมันเบาๆ เพื่อปลอบปะโลม

“อยากจริงจังกับผมจริงๆ เหรอ” ธันธเนศถามเสียงเบา

“ไม่รู้สิ หลังจากเรื่องคืนนั้น ผมก็รู้แค่ว่าชีวิตนี้ผมไม่ต้องการใครอีกแล้วนอกจากคุณ”

ธันธเนศนิ่งเงียบ สองตากระพริบช้า

“คุณยังจำผู้ชายคนนั้นได้ไหม”

“อืม”

“นั่นแหละคือรักแรกของผม”

คนฟังนิ่งเงียบ

“เขาคือนักเรียนคาราเต้รุ่นเดียวกับผม แต่เขาอายุมากกว่า เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งที่เขาและผมต่างก็เป็นผู้ชายแท้ๆ ด้วยกันทั้งคู่ เขาคือเสือผู้หญิงตัวยงมาแต่ไหนแต่ไร เพราะหน้าตาและฐานะทำให้ผู้หญิงต่างก็จับจ้องเขา ส่วนผมเองก็ไม่เคยรู้สึกว่าชอบผู้ชายคนไหนด้วยซ้ำ แต่ความใกล้ชิดสนิทสนม ทำให้วันหนึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนแปรเปลี่ยนไปมากกว่านั้น จนเราทั้งสองแน่ใจแล้วว่ามันคือรัก รักแรกของผมคือผู้ชาย แล้วรู้ไหมมันจบลงยังไง”

คนฟังยังคงนิ่งเงียบ บ่งบอกว่าต้องการฟังต่อ

“เขาไปมีอะไรกับพี่สาวฝาแฝดของผมโดยที่ผมไม่รู้ ทั้งที่ปากเขายังบอกว่ารักผม จนในทีสุดพี่สาวผมก็ท้อง พอเรื่องทุกอย่างมันแดงขึ้นมา ที่บ้านผมรู้เข้า นอกจากเขาจะรับไม่ได้ที่ผมเป็นแบบนี้ และใครที่ทำผิดก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ จากคนรักก็กลายมาเป็นพี่เขย แต่เขาก็ยังตามราวีผมไม่เลิก จากนั้นความรักได้แปรเปลี่ยนเป็นความรังเกียจ ขยะแขยง แค่มองหน้าเขาผมยังทำไม่ได้เลย เรื่องทุกอย่างมันยังไม่จบ เพราะพ่อกับแม่ผมกลัวว่าผมจะเป็นต้นเหตุไปทำให้ครอบครัวที่สมบูรณ์ของพี่สาวพังลง เขาเลยพยายามจะผลักไสผมไปให้ไกล จะส่งผมไปเรียนต่อเมืองนอก แล้วให้กลับไปดูแลโรงแรมที่สมุย ไม่ให้กลับมาที่กรุงเทพฯ นี้อีก แม้ผมจะพยายามแสดงให้พวกเขาเห็นแล้วว่าไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นอีก ผมแค่ต้องการเดินในเส้นทางที่ผมเลือก แต่พวกเขาก็ไม่เคยเชื่อ ล่าสุดเลยจบไม่สวยนัก”

คนฟังผ่อนลมหายใจเบา ก่อนจะโอบกอดเขาแน่นขึ้น

“ได้ยินแบบนี้แล้วยังอยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเน่าๆ ของผมไหม” เขาแหงนมองใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมองเขาเช่นกัน ดวงตาทั้งสองสองคู่สบกัน

“แล้วทำไมผมถึงต้องไม่ล่ะ”

ธันธเนศผละออก ยืดตัวนั่งตรง

“ผมนี่แหละที่จะมาทำให้คุณเห็นว่าเรื่องร้ายๆ ในชีวิตคุณมันก็แค่เรื่องในอดีต หากพ่อแม่คุณไม่ยอมรับเรื่องของเรา ผมจะพิสูจน์ให้เขาเหล่านั้นเห็นเอง”

 

สิ่งที่อีกฝ่ายพูด แม้จะมั่นเหมาะแค่ไหน แต่มันก็เป็นแค่เรื่องของอนาคต ที่ไม่แน่นอนเลย

“ขอบใจนะที่ แต่เอาเถอะ ผมต้องไปทำงานแล้ว”

ธันธเนศพูดพลางลุกขึ้น แต่คนที่ยืนอยู่ใช้เรียวแขนทรงพลังดึงเอวบางเข้ามาสวมกอดไว้ คางหนาเกยไหล่ของเขาไว้ วัตถุเล็กจิ๋วสีเงินแวววาวในมือของคนที่โอบกอดเอวเขาไว้เผยออกมา ก่อนจะถูกสวมเข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขาในทันที

“ธันวา” ธันธเนศถามเสียงสั่น ด้วยความตกตะลึงต่อสิ่งที่เย็นวาบในนิ้วมือของเขาขณะนี้

“ผมขอจองคุณไว้ก่อน ต่อไปนี้คุณคือคนของผมแล้วนะ”

“จะบ้าเหรอธันวา นี่มันแหวนนะ”

“ใช่ไง คุณเห็นเป็นอะไร”

“มะ-หมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความว่าผมจะแต่งงานกับคุณทันทีที่คุณพร้อม ตอนนี้ผมหมั้นคุณไว้ก่อน”

“ตะ-แต่งงาน มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ อีกอย่าง...”

“ไม่มีข้อแม้อะไรใดๆ ทั้งสิ้น ผมคิดดีแล้ว แม่ผมเขาก็รู้แล้ว และอนุญาตแล้วด้วย เหลือก็แต่ที่บ้านคุณ ฟังดูอาจจะเป็นด่านที่ยากหน่อย แต่ก็คงไม่เกินความสามารถ”

“คุณยังไม่รู้จักพ่อแม่ผมดีพอ”

“ทำไมผมจะไม่รู้จัก ตระกูลอรุโณโรจน์ นักธุรกิจอสังหาฯ ผู้โด่งดัง ผมเก็บข้อมูลมานานแล้ว”

แม้จะรู้ดีว่าเป็นตายร้ายดียังไง พ่อและแม่ของเขาก็ไม่มีวันยอมให้ลูกชายคนเดียวของบ้านแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันแน่ๆ แต่เหตุการณ์เมื่อคืนก็กลับมาย้ำเตือนเขาอีกครั้ง จริงๆ แล้วเขาอาจจะไม่ได้มีความสำคัญกับบ้านนั้นอีกต่อไปแล้วก็ได้ ไม่ว่าชีวิตเขาจะเป็นไปในทิศทางไหนก็คงไม่สำคัญอะไรนักหรอก

“แต่จะยังไงคุณก็ยังไม่ได้รับอนุญาตจากผมเลยนะ คุณจะมามัดมือชกผมแบบนี้ไม่ได้”

“แหวนก็สวมไปแล้ว คุณจะใจร้ายถอดมันออกมาเหรอ” น้ำเสียงอ้อนวอนพูดขึ้น “แต่งงานกับผมนะครับ นะครับ”

“ถ้าผมบอกว่าผมจะถอดมันออกล่ะ”

“ไม่ให้ถอด” เสียงแข็งเปลี่ยนมาเป็นอ้อนวอน “น๊า นะครับ คุณจะไม่ให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเองหน่อยหรอ” สายตาเว้าวอนไม่ได้สนใจข้อแม้ที่ธันธเนศกำลังหยิบยกขึ้นมาแม้แต่น้อย

“นะครับๆ”

เสียงอ้อนเหมือนเด็กพร้อมกับตาแป๋วร้องขอในสิ่งที่อยากได้ สองมือยังคงรัดแน่นอยู่ที่เอวของคนที่เหมือนถูกจองจำไว้

“แต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่นึกอยากจะทำก็ทำได้นะธัน คิดให้ดีๆ นะ”

“ก็ยังไม่ได้แต่งสักหน่อยแค่จองไว้ ผมจะรอจนกว่าคุณจะพร้อม นะ”

ความขี้ตื้อนี้มันทำให้ธันธเนศจนปัญญาจะมองหาข้อต่อรองมาค้านได้อีก มือข้างขวาที่จะเอื้อมมาถอดแหวนครั้งใดก็ถูกมือทรงพลังกว่าของคนที่กอดอยู่ขวางเอาไว้ และก่อนที่วันนี้เขาจะไปทำงานสายเอา

“อายุเท่าไหร่เองเราน่ะ มาขอเขาแต่งงาน แก่แดดว่ะ ปล่อย” คนที่รั้งไว้พยายามยื้อยุด

“ไม่ ตอบตกลงก่อนดิ” แต่แรงของคนที่ตัวโตกว่าก็ยังคงรั้งไว้ได้ต่ออย่างง่ายดาย

ธันธเนศถอนหายใจ “อือๆ” เสียงในลำคอหลุดรอดออกมา

“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย” คนที่กอดไว้อยู่ทำท่าเอียงหูเข้าใกล้ปากเขา

“ก็ อือ”

คนฟังยิ้มกว้าง “เยส! มีเมียแล้วโว้ย”

“เอ๊ย พูดอะไรเกรงใจฟ้าบ้าง เดี๋ยวมันก็ผ่าเปรี้ยงปร้างลงมา” เขาปราม “อีกอย่างแค่ยอมรับแหวนไว้ก่อน ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะแต่งนะ ต้องดูสถานการณ์กับพฤติกรรม”

“โห่ งั้นขอจุ๊บทีนึงก่อน แล้วจะปล่อย” คนพูดทำปากยืดปากยาว

“ทะลึ่งไปกันใหญ่แล้วไอ้เด็กนี่” ธันธเนศใช้ศอกกระทุ้งไปข้างหลัง จนคนข้างหลังตัวงอ

 

สำหรับธันธเนศแล้ว แหวนนั่นไม่ได้เป็นตัวการันตีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน หรือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างที่รอเขากับธันวาอยู่ข้างหน้านี้ ต่างหาก

เพราะความสัมพันธ์ในครั้งแรกที่จบลงอย่างเละเทะ มันทิ้งรอยบาดแผลอย่างดีไว้ให้เขา ให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้น และพึงระลึกอยู่เสมอว่า ไม่มีความแน่นอนอยู่ในความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ความรัก

และตอนนี้ เพราะบางอย่างอาจจะทำให้ธันวารักเขาเข้าแล้วก็จริงอย่างปากว่า แต่สำหรับเขาแล้ว เขาแค่เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างกับธันวาก็แค่นั้น นั่นอาจจะเกิดจากการที่อีกฝ่ายเข้ามาในชีวิตเขา ในช่วงที่เขากำลังอ่อนแอและต้องการที่พึ่งทางใจ แค่นั้นเอง



¨¨¨¨¨¨¨¨¨¨¨¨¨¨


ไรเตอร์ทอล์ค : "มาแล้วจ้าาาา มาแล้ว ตอนใหม่มาแล้ว!!!!!

สำหรับตอนนี้ขอบอกเลยว่าหมั่นไส้อีธันวามากกก เป็นมนุษย์จำเภทที่อะไรก็ไวไฟไปหมด เพิ่งจะตีกันอยู่หลัดๆ มาตอนนี้ก็ขอจองเขาซะงั้น คนอารั้ยย ไรต์ว่าน่าจะเป็นอาการเริ่มต้นของคนเป็นไบโพล่าว่าแม่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

อ่านแล้วช่วยเม้นติชมให้กำลังเค้าหน่อยน่าาาา  รักคนอ่าน ด่าธันวาได้ อนุญาต แรงๆ เลยยิ่งดี"

ปล. ที่เนื้อเรื่องดำเนินเร็ว แม้จะเพิ่งเลยครึ่งเรื่องมานิดเดียวก็เหมือนพระเอกกับนายเอกจะแฮปปี้เอนดิ้งแล้ว นั่นเป็นเพราะว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของความหน่วง เนื้อหากำลังจะหนักขึ้นในตอนท้ายๆ นาจา  และเช่นเดิม รักไรต์ชอบไรต์ กดติดตามเค้าด้วย จุฟๆ  เฟสบุ๊คก่อนเหมันต์ (https://www.facebook.com/%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-241083279971432/)



... ก่อนเหมันต์ ...
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-05-2018 13:36:32
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังรอเสริฟมาม่าอยู่อีกหลายรอบเลยเหรอ?
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-05-2018 14:23:02
เรื่องนี้ขอไม่มาม่าได้ไหม ไม่ชอบอ่ะ ขอไวไวแทน เส้นไม่อืดดี อร่อยด้วย  :hao3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-05-2018 19:20:53
ทุกชีวิต ย่อมมีทางเดินของตัวเองนะ สู้ๆ นะทั้ง 2 ธัน
แต่ตอนนี้ เรารู้สึกสงสารจรัญเป็นที่สุด ที่อุตส่าห์บอกความนัยกับหลานชาย
แต่แล้ว กลับกลายเป็นว่าต้องเสียสิ่งนั้นไป
 :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-05-2018 22:09:12
 :laugh:


เด็กมันจะดีแบบนี้นี่เองงง ความเป็นอมตะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-05-2018 22:30:23
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 29-05-2018 23:22:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 29-05-2018 23:24:18
จองแล้ว. แต่งเลยละกัน. ตัดปัญหาหลายๆอย่าง,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-05-2018 04:18:46
ชอบตอนนี้รู้สึกว่าธันธเนศมีความเป็นคนขึ้นมาแล้ว
ธันวาก็จะไฮเปอร์หน่อยๆ555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-05-2018 06:46:26
พ่อแม่ธันธเนศ รักลูกลำเอียงขนาดนี้เลย
โอนทรัพย์สินให้ลูกสาวกับลูกเขยหมด
แล้วจะให้ลูกชายทำงานให้ ตลกมากกกกก
แบบนี้ใครจะอยากอยู่อยากทำงานให้ 
ใช้อารมณ์ ความรู้สึก สมองคิดก็รู้แล้ว
ถ้าตัวเองถูกปฏิบัติแบบนี้ จะเป็นอย่างไร
เป็นพ่อเป็นแม่คนแล้วนะ คิดไม่เป็นซะเลย
รอวันลูกเขยหักหลังได้เลย   :laugh:

ธันวาน่ารัก ทำตัวจริงจัง ใช้ได้
ธัน  ธัน    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 30-05-2018 14:37:00
เป็นเราถ้าพ่อแม่ลำเอียงขนาดนี้เราขอออกไปสร้างอนาคตกับชีวิตให้ตัวเราเองดีกว่า
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 02-06-2018 11:04:08
ใช่ เรารู้สึกว่าพี่ธันยังไม่ได้ชอบน้องธันเลย
แต่ต่อจากนี้ไปโอกาสอยู่ในมือน้องธันแล้ว
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 02-06-2018 15:29:43
ถ้าดราม่าก็คงจะฝั่งพี่ธันสินะ แต่ธันวาก็ไวไฟไปจริงๆแหละ ยังไม่เคลียร์เรื่องความรู้สึกเลยก็ไปปล้ำเขาซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 03-06-2018 10:11:02
รวดเร็วจริงๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 03-06-2018 17:12:33
ยังเหลืออีกสองคู่...อาของธันวากับคู่เด็กมัธยมปลาย และอุปสรรคที่จะตามมา
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 15 จอง (29/5/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 04-06-2018 16:17:15
16
อดีตของผู้แพ้



               

ราชวุฒิเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านหลังจากกลับมาจากชลบุรี จนน้ำตาหยดแรกของลูกผู้ชายอย่างเขาก็ได้ก็หยดลงเมื่อได้ยินเสียงแม่ผ่านทางโทรศัพท์

               

ตั้งแต่เมื่อวานที่เห็นราชวุฒิกลับมาจากเที่ยวช่วงวันหยุด ลักษินันท์ก็ไม่ได้เห็นหน้าเด็กหนุ่มข้างบ้านอีกเลย เขาจึงคอยด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนั้นตลอดเวลา เผื่ออีกฝ่ายจะโผล่หน้าออกมาจากบ้านให้เขาได้เห็นได้ทักทายบ้าง

               

เช้าวันใหม่ที่แสนสดใสอีกวันในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ลักษินันท์กลับมาจากพาตุ้งติ้งสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลของเขาไปวิ่งเล่นรอบหมู่บ้านมา เด็กหนุ่มหน้าหวานชะลอฝีเท้าลงเมื่อผ่านหน้าบ้านหลังที่อยู่ก่อนถึงบ้านของเขา ลักษินันท์หยุดเดินก่อนจะเดินทอดน่องไปที่รั้วหน้าบ้านหลังนั้น แล้วชะเง้อคอมองหาผู้เป็นเจ้าของบ้าน แต่ภายในบ้านยังคงมืดและเงียบงันเหมือนไม่มีคนอยู่

 

“พาตุ้งติ้งไปวิ่งเล่นมาเหรอ”

แต่แล้วก็มีเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง เล่นเอาคนที่กำลังทำตัวเป็นนักถ้ำมองต้องสะดุ้งสุดตัว ลักษินันท์หันไปยังที่มาของเสียง คนหน้าหล่อในชุดกางเกงขาสั้นสบายๆ สะพายกระเป๋าผ้าหูรูดเดินตรงมาที่เขา

“อืม” คนตอบหลบตาแก้อาการเขิน แล้วหลีกทางให้เจ้าของบ้านได้เดินไปเปิดประตูรั้ว “ตี๋ไปไหนมาแต่เช้าเหรอ”

“อ๋อ เราไปว่ายน้ำมาน่ะ” คนตอบตอบไปพร้อมกับไขกุญแจบ้านไปด้วย ก่อนจมูกเปียกๆ ของตุ้งติ้งจะสัมผัสเข้าที่ขาของเขา ราชวุฒินั่งยองๆ ลงข้างเจ้าตัวลายน้ำตาลดำและขาวที่นั่งรออยู่ข้างๆ

“ไปวิ่งมาเหนื่อยไหมตุ้งติ้ง” ก่อนจะลูบหัวมันเบาๆ เจ้าตัวน้อยส่ายหางอย่างดีอกดีใจ คงไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้าของมันนัก การได้เห็นหน้าคนๆ นี้ คือความสุขอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้

“เราเข้าบ้านก่อนนะ” คนตัวสูงยืนขึ้น ก่อนจะหันหน้าเตรียมเข้าบ้าน

ลักษินันท์ได้แต่ยืนมองตามแผ่นหลังหนาเดินเข้าไปในเขตบ้าน ก่อนจะตัดสินใจรวบรวมความกล้าถามขึ้น

“เย็นนี้ตี๋จะไปซ้อมคาราเต้ไหม”

คนที่กำลังเดินอยู่หยุด

“เราเลิกเล่นคาราเต้แล้วล่ะ วันนี้เราจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด”

คำตอบของราชวุฒิเล่นเอาคนถามหน้าจ๋อยไปเหมือนกัน ตลอดช่วงปิดเทอม เขาได้พบหน้าอีกฝ่ายเพียงไม่กี่ครั้ง เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้เจอกันเลยก้ว่าได้ แล้วนี่ยังจะกลับต่างจังหวัดไปอีก

“ตี๋จะกลับไปนานไหม”

“ไม่นานหรอก เดี๋ยวเปิดเทอมเราก็กลับมาแล้ว”

อีกเพียงไม่ถึงเดือนโรงเรียนก็เปิดเทอม ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยาวนานนัก ทำให้เขาใจชื่นขึ้นมาบ้าง

“โชคดีนะ” รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับการกล่าวลา ก่อนจะหันหลังกลับ

 

“ยอห์น”

เสียงเรียกทำให้คนที่กำลังจะเดินเข้าบ้านหยุดกึก

“อยากไปจันทบุรีกับเราไหม”

คำถามนั้นมันทำให้หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้น มันเป็นการชวนที่เหนือความคาดหมายเอาเสียมากๆ

ลักษินันท์หันควับไปยังผู้ถาม “อยากสิ อยากๆ” ก่อนจะหยักหน้ารับอย่างว่องไว

 

 

“แม่ ยอห์นจะไปเที่ยวบ้านตี๋ที่จันทบุรีนะ” ลูกชายคนเล็กของเจ้าของบ้านดูลุกลี้ลุกลนกับการเตรียมของใส่กระเป๋า

“อ้าว จะไปเมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นบอกแม่ล่วงหน้าก่อน”

“ไปวันนี้แหละ ตี๋เขาชวน”

“จะดีเหรอลูก ไปกี่วัน แล้วทางนู้นเขาว่าไง เขาโอเคเหรอที่ลูกจะไป”

“ตี๋เขาบอกโอเค”

เมื่อดูจากความตั้งใจของลูก ผู้เป็นแม่ก็ไม่อยากขัด เด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายที่อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะก้าวขาเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ลักษินันท์ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางหรือทำให้เธอเสียใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว คงไม่เสียหายอะไรที่เธอจะยอมทำตามใจเขาบ้าง

“ให้แม่ช่วยเตรียมของอะไรหรือเปล่า ดูดีๆ นะลูกว่าลืมอะไรสำคัญๆ ไหม แล้วจะให้ไปส่งไหม”

“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมจะไปกับตี๋เอง”

 “เอางั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัยแล้วกัน ดูแลตัวเองดีๆ มีอะไรโทรหาแม่ได้ทันทีเลยนะลูก”

“คร้าบบบ” เสียงตอบสุดท้ายดังขึ้นพร้อมกับการก้าวผ่านประตูรั้วบ้านออกไป เธอนั่งมองลูกชายเดินหายไปจนลับตากับเด็กหนุ่มวัยเดียวกันที่รั้วบ้านติดกันกับเธอ

มีเพียงรอยยิ้มทักทายครั้งสุดท้ายของราชวุฒิที่ทำให้เธอมั่นใจว่าลูกชายของเธอจะมีความสุขดีที่จันทบุรี

               

     

................................

 

“ช่วยสืบหาคนๆ นี้ให้ผมหน่อยครับ ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ทำงานอะไรอยู่” ชายหนุ่มในแว่นตากันแดดสีดำพรางหน้า ยื่นซองสีน้ำตาลที่ภายในมีรูปๆ หนึ่งให้กับชายแปลกหน้าในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันหยิบซองสีน้ำตาลเล็กๆ นั้นมาแง้มดูรูปในนั้น ที่ไม่ต้องดึงออกมาจนสุด ก็รู้ได้ว่าเป้าหมายคือใคร

“นี่มันลูกชายคนเดียวของอรุโณโรจน์นี่ครับ”

“ใช่ครับ คุณดูไม่ผิดหรอก”

“ลูกคนดังขนาดนี้ไม่น่าจะหาตัวยากนะครับ”

“ผิดถนัดครับ ที่คุณรู้ว่าเขาคือลูกชายตระกูลอรุโณโรจน์นี่ถือว่าคุณเก่งมากแล้วนะครับ เพราะคนๆ นี้ไม่ค่อยออกสื่อ ไม่ค่อยเปิดเผยตัวในที่สาธารณะสักเท่าไหร่นัก และปัจจุบันก็แทบจะหายไปจากสายตาของสื่อแล้ว พูดง่ายๆ คือคนที่ถูกลืม”

แตกต่างจากคนอื่นๆ ของตระกูลอย่างสิ้นเชิง ที่ไม่ว่าจะก้าวขาไปทางไหนหรือหยิบจับทำสิ่งใด เป็นต้องหวือหวาหรือเป็นที่จับตาของสื่อต่างๆ อรุโณโรจน์เป็นที่รู้จักทั้งคนในแวดวงไฮโซ นักธุรกิจดังๆ ของไทย วงการท่องเที่ยว หรือแม้แต่วงการบันเทิง เพราะนอกจากจะเป็นตระกูลที่เก่าแก่ ร่ำรวยมีหน้ามีตาในสังคมแล้ว มีนาเองก็คือหนึ่งในอดีตนักแสดงสาวแถวหน้าของเมืองไทย จนเธอหันหลังให้วงการเมื่อแต่งงานกับกษิษณ์ เศรษฐีหนุ่มเจ้าของไร่จากทางเหนือ

“เอาเป็นว่าผมไม่สนใจว่าคุณอยากสืบหาคนๆ นี้ไปเพื่ออะไร แต่เชื่อมือผมได้เลยครับ ไม่เกินสามวัน ผมมีผลงานให้คุณได้แน่ๆ”

เพราะงานของเขาคือการสืบ ที่ไม่ต้องรู้เหตุผลว่าสืบไปเพื่ออะไร หน้าที่ของเขาคือทำให้บรรลุเป้าหมายของผู้จ้างวานก็แค่นั้น

 

ชายในชุดกางเกงยีนส์เสื้อหนังสีดำมิดชิด สวมหมวกแก๊บและแว่นดำพรางหน้าตาเดินหายออกไปจากร้านกาแฟอย่างรวดเร็วเมื่อรับมอบภารกิจเสร็จสิ้น

 

กษิษณ์ยกแก้วกาแฟที่เกือบจะเย็นชืดขึ้นดื่มอย่างเชื่องช้า แต่ในใจนั้นกลับร้อนรุ่มเหมือนไฟลน

ชายหนุ่มเมินเฉยต่อสายตาสาวใหญ่สาวเล็กที่จับจ้องเขาอยู่เป็นระยะ เพราะหน้าตาที่ถือว่าโดดเด่นมากของคนในวัยนี้ บวกกับที่ดูภูมิฐานสะอาดสะอ้าน มันทำให้เขาเป็นเป้าหมายของเพศตรงข้ามอยู่ในทุกที่ที่เขาไป

เขาเอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้ ก่อนจะนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต ที่ทำให้เขาพลาดท่าเสียทีจนชีวิตต้องมาอยู่ในจุดๆ นี้

 

ลูกชายคนเดียวของพ่อเลี้ยงผู้ร่ำรวยจากเชียงใหม่ ถูกส่งมาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังเล็กกับญาติฝั่งแม่ ให้ร่ำเรียนและใช้ชีวิตในพื้นที่ที่เปิดโลกทัศน์ได้มากกว่าอย่างเมืองหลวง กษิษณ์เติบโตที่นี่

จนเมื่อผู้เป็นพ่อสิ้นใจลง ในวัยที่เขาสามารถดูแลรับผิดชอบอะไรแบบผู้ใหญ่เขาทำกันได้แล้วอย่างพอดิบพอดี แต่เขาก็มีธุรกิจที่ต้องดูแลเองที่นี่อยู่แล้ว เขาจึงต้องไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่ เพื่อดูแลสานต่อไร่มูลค่ามหาศาลที่เป็นสมบัติตกทอดมาอย่างยาวนานที่นั่นเช่นกัน

 

เขาอยู่ที่นี่และได้รู้จักกับเด็กชายรุ่นน้องคนหนึ่ง ที่เป็นศิษย์คาราเต้รุ่นแรกของสถาบันสอนเหมือนเขา ทำให้ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่เติบโตมาด้วยกัน และผูกพันกัน จนวันหนึ่งมันก็แปรเปลี่ยนเป็นความรัก เขาละทิ้งผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต และปฏิเสธคนใหม่ที่จะเข้ามานับจากนั้น

 

และแล้วจุดหักเหที่แสนเศร้าที่มาถึง หลังจากที่เมามายอย่างหนักจนไม่ได้สติในคืนหนึ่ง เขาตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายของอีกวันพร้อมกับร่างเปลือยเปล่าของใครบางคนที่นอนอยู่ข้างๆ

ไม่ใช่คนที่เคยนอนอยู่ข้างๆ เขาตลอดเวลาหลายปีมานี้ ไม่ใช่ธันธเนศ แต่คือ มีนา หญิงสาวที่เขาพบเจอหน้าอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเขามีคนในใจของเขาอยู่แล้ว

ก่อนหน้านี้เขาพบเจอมีนาบ่อยครั้งขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ หลังจากที่พบกันครั้งแรกโดยบังเอิญ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมีนาและไม่สนใจจะรู้ เขารู้แค่ว่าเธอมีหน้าตาเหมือนกับแฟนหนุ่มของเขายังกับแกะ จนแล้วจนรอดถึงมารู้ว่าเธอเป็นพี่สาวฝาแฝดของธันธเนศน่ะเอง และเขาก็เริ่มสังเกตเห็นเธอบ่อยครั้งขึ้นเมื่อเปิดทีวี ทั้งในบทบาทของตัวละครและโฆษณา

แต่ถึงแม้จะเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน และพบเจออยู่ด้วยกันบ่อยๆ แทบทุกครั้งที่เขาเองอยู่กับธันธเนศ แต่ไม่ยักเห็นว่ามีนากับธันธเนศสนิทสนมกันสักเท่าไหร่นัก แทบจะนับคำพูดที่ใช้คุยกันได้

หลังๆ มามีนาเริ่มแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนใจในตัวเขา ถึงขึ้นหลุดปากทุกครั้งที่เธอเมาหรือเสียใจ แต่เขาก็พยายามลืมเรื่องเหล่านั้นไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทั้งแฟนหนุ่มของเขาและของเธอต่างก็ไม่รับรู้ในเรื่องนี้

มีนา สาวคนดังเองนั้นก็มีแฟนหนุ่มอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนไกล ก็ศิษย์ร่วมรุ่นคาราเต้ของเขาและธันธเนศน่ะแหละ และเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของธันธเนศคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เจนจพ ชายหนุ่มผู้น่าสงสาร เพื่อนร่วมรุ่นที่มหาวิทยาลัยของมีนา ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริงที่เกิดขึ้น กับความหลายใจของแฟนสาว

 

หลังจากวันนั้นที่เรื่องราวไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น มีนาเองยอมรับว่ามันเกิดจากความหน้ามืดตามัวของเธอเอง เธอทำทุกอย่างไปก็เพราะรัก และฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายเมามายไม่ได้สติทำเรื่องนี้ขึ้น

แต่มันไม่จบลงง่ายๆ แบบนั้น เมื่อธันธเนศมาหาเขาในวันหนึ่งด้วยน้ำตาที่นองหน้า พร้อมกับบอกเขาว่ารู้เรื่องที่มีนาท้องแล้ว ผู้ชายที่เป็นพ่อของเด็กก็คือเขาเอง และนั่นคือวันที่หัวใจของเขาแตกสลาย

ความฝันที่เขาเคยวาดไว้ การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับธันธเนศที่ไร่ในเชียงใหม่ไปจนวันสุดท้ายของชีวิตได้มลายหายไปจนสิ้นในเสี้ยววินาที

แต่เหตุไฉนมีนาถึงไม่มาบอกเรื่องนี้กับเขาเอง แต่กลับเอาเรื่องนี้ไปบอกแก่ธันธเนศเสียอย่างนั้น

เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่รับผิดชอบ แต่ธันธเนศไม่เกี่ยวอะไร เขาไม่ควรรู้เรื่องที่เขาไม่ได้ก่อเป็นคนแรก

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เขาและธันธเนศต้องเสียใจ แต่เจนจพ ซึ่งเป็นคนรักของมีนาก็พาลเกลียดขี้หน้าเขาไปเลยนับจากรู้ความจริง

 

ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขากับมีนาก็ได้แต่งงานกันอย่างถูกต้อง แม้จะไม่ใช่เพราะความรัก แต่เขาก็ไม่ควรแสดงออกเพื่อทำร้ายจิตใจของมีนา และลูกที่กำลังจะเกิดมาก็ไม่ควรไม่มีพ่อ

จนตอนนี้ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนก็ได้ลืมตามาดูโลก นั่นทำให้ความทุกข์กับชีวิตคู่ที่เขาไม่ได้เลือกสดใสขึ้นมาบ้าง

 

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจเขามาตลอด คือ ธันธเนศ ชายที่เป็นได้เพียงอดีตคนรัก ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ต้องมาเจ็บช้ำปางตายแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะคำว่าพี่น้องร่วมสายเลือด ทำให้ชายหนุ่มผู้น่าสงสารต้องยอมหลีกทางแต่โดยดี

ไม่ว่าเขาจะเอ่ยคำขอโทษสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง ก็ไม่เคยได้รับการให้อภัยเลยแม้สักครั้ง เขาเข้าใจความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสนั้นดี และก็ไม่หวังว่าจะได้รับการให้อภัย แต่ขอแค่ได้เอ่ยมันออกไป การให้อภัยหากได้รับก็ถือว่าเป็นส่วนที่มีค่าที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา

และในทุกวันนับจากวันที่ธันธเนศเดินหายไปจากชีวิตเขา เขาก็ไม่อาจหยุดยั้งใจให้เรียกร้องหาอีกฝ่ายได้เลยสักครั้ง ส่วนหนึ่งลึกๆ ก็เพราะคนๆ นั้นคือคนที่เขารักจริงๆ และได้เลือกแล้ว แต่มันดันจบลงไม่สวยนัก

สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการคือ ขอแค่ได้กลับมาคุยกันดีๆ เหมือนเช่นคนที่เคยรู้จัก ได้คอยดูแลปกป้องอยู่ห่างๆ ได้รู้ถึงความเป็นไปของอีกฝ่ายว่าสุขทุกข์เหงาเศร้าอย่างไรโดยที่อีกฝ่ายเต็มใจเพื่อเป็นการไถ่โทษก็เพียงพอแล้ว




... ก่อนเหมันต์ ...

Facebook ก่อนเหมันต์ (https://www.facebook.com/%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-241083279971432/)
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: day9day ที่ 04-06-2018 16:59:26
รอตอนต่อๆไป
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 04-06-2018 18:26:19
เป็นแฝดสาวที่ร้ายกาจจริงๆ เพราะคนๆ เดียวทำลายความสุขของคน 3 คน เพราะความไม่พอและเห็นแก่ตัวของตัวเอง อยากเห็นผลลัพธ์ ผลลัพธ์ที่ประโลมใจผู้อ่าน ="=
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-06-2018 19:29:02
วันนี้เพิ่งรู้ว่าคนรักเก่าของธันก็ไม่ได้นอกใจ และเขาก็รักธันจริงๆ เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ทำให้ต้องจำยอม
แต่ละคนช่างน่าสงสารนะ ตั้งแต่ธันธเนศ จรัญ ราชวุฒิ เจนจพ กษิษณ์ แม้แต่มีนาเองได้คนที่ตัวเองรัก
แต่ไม่ได้หัวใจมา อ่านแล้วเศร้าจัง
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-06-2018 20:51:50
 :angry2:   มีนา พี่แฝดเลวมากกกกก 
มีคนรักแล้วยังเข้าหา ปลุกปล้ำกษิษณ์คนรักของน้องชาย
ที่ว่าท้อง ลูกใครกันแน่ ได้ตรวจ dna หรือเปล่า
จะมีด้วยหรือที่มีคนเดียวที่มีแต่ได้ๆอย่างเดียว
หาผัวใหม่ ทั้งที่ยังไม่เลิกกับคนรัก  เลวววววววววววว  :fire: :fire: :fire:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-06-2018 21:00:46
ธันมาแค่คนเดียวเองหรอ ไรฟ่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 04-06-2018 21:46:50
มีนาควรได้รับผลกรรมจริงๆ ทำตัวเป็นดอกไม้สีทองจริงๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-06-2018 22:27:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 04-06-2018 23:28:32
เศร้ามาก,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-06-2018 00:00:30
 :hao3:


มันควรจะมีทางออกที่ดีกว่านี้รึเปล่า ? แก้ปัญหาไม่ตรงจุดมั้ง ว่าไหม ?
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-06-2018 00:04:31
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอ้มายกอด

เปิดเผยปมอดีตออกมานี่ 

ทำไมแฝดพี่สาว ถึงได้สารเลวเยี่ยงนี้  แย่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นของแฝดน้องชาย

ในขณะที่จากความรู้สึกของแฟนเก่าธันธเนศนั้น  ก็ไม่ใช่คนเลวอะไร  หนำซ้ำยังมั่นคงในรักอีกต่างหาก

เพียงแค่เขาพลาด พลาดให้กับผู้หญิงที่รักแต่ตัวเอง
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-06-2018 00:34:04
พี่สาวธันร้ายจัง :hao4: นั่นแฟนน้องนะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 05-06-2018 21:56:22
แล้วไงคะคุณพี่เขย???
ทำไมทึ่ผ่านมาถึงรู้สึกถึงการคุกคามต่อธันธเนศล่ะคะ
ขอไม่เชืีออะไรง่ายๆแลัวกัน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 10-06-2018 22:05:43
17
หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน





“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะลูก เพื่อนตี๋สินะ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังเชียว”

คำชมตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน ทำเอาลักษินันท์เขินจนแก้มแดงก่ำ

หญิงวัยกลางคนสวมแว่นมาดดุเหมือนคุณครูปกครองสีหน้าเคร่งขรึมตั้งแต่ก้าวขาลงมาจากรถ แต่เมื่อได้กล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงกลับแสดงให้เห็นว่าเธอน่าจะเป็นคนที่จิตใจดีอ่อนโยนคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ความเกร็งในกระเพาะจึงพอลดลงมาบ้าง

 

 

ระยะเวลากว่าสามชั่วโมงที่เขาทั้งคู่ใช้เดินทางจากกรุงเทพฯ มายังตัวเมืองจันทบุรีด้วยรถทัวร์ นี่เป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่ครั้งที่ลักษินันท์ได้เดินทางออกต่างจังหวัดแบบที่ไม่ได้มีครอบครัวมาด้วย เขาตื่นเต้นตลอดเวลาสามชั่วโมงที่อยู่บนรถ เฝ้ามองภาพบรรยากาศสองฝั่งถนนที่รถวิ่งผ่านมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ

 

 

“เห็นตี๋บอกว่าเรียนอยู่ที่เดียวกันเหรอลูก” หญิงที่กำลังขับรถเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ใช่ครับ” เพื่อนของลูกชายตอบ

“ตี๋เป็นไงบ้างที่โรงเรียน เกเรหรือเปล่า”

คนถูกถามอมยิ้ม

“โถ่ แม่อะ เกรงเกเรที่ไหน ผมตั้งใจเรียนจะตาย” คนนั่งข้างกันรีบแก้ตัวปัดป่าย

“ผมก็ไม่รู้หรอกครับ เพราะอยู่คนละห้องกับตี๋”

“อ๋อเหรอ ยังไงก็ช่วยๆ ดูกันบ้างนะลูก เดี๋ยวก็ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว ตั้งใจให้มากๆ”

“คร้าบบบบบ” ผู้เป็นลูกชายที่นั่งอยู่ข้างกันเอ่ยตอบ “เดี๋ยวถ้าไม่รอดยังไงค่อยให้ยอห์นช่วยอีกแรง ยอห์นน่ะเรียนเก่งจะตาย แถมยังอยู่ห้องคิงอีกต่างหาก”

“จริงเหรอลูก” คนเป็นแม่หูผึ่ง เพราะความเป็นครู เมื่อรู้ว่าใครเรียนดีก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา จะว่าไปโรงเรียนที่เธอส่งลูกชายไปเรียนก็ระดับต้นๆ ของประเทศแล้ว นี่เพื่อนลูกชายคนนี้ของเธอยังอยู่ห้องที่เก่งที่สุดของระดับชั้นอีก

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” เด็กหนุ่มผู้เรียบร้อยก็ถ่อมตนตามประสา

“อ้อ ผมลืมบอกอีกอย่าง บ้านยอห์นอยู่ติดกันกับบ้านเราที่กรุงเทพฯ นะแม่”

“อ้าวเหรอ คนไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง ไม่ยักรู้ว่าแม่พุ่มมีลูกชายโตขนาดนี้แล้ว”

เธอพูดพลางนึกถึงสาวออฟฟิศวัยสี่สิบต้นๆ ที่ยังสวยพริ้มราวกับสาววัยแรกสามสิบ จะว่าไปใบหน้าหวานหยดของเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอขณะนี้ก็ถอดแบบผู้เป็นแม่มาเต็มๆ ถึงว่า ได้คลับคล้ายคลับคลานัก

 

รถวิ่งออกมาจากในตัวเมืองได้ไม่ถึงยี่สิบนาที ก็ถึงบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งสร้างขึ้นท่ามกลางสวนของต้นไม้นานาพันธุ์เขียวชอุ่ม แม้ตัวบ้านจะอยู่ท่ามกลางหมู่มวลแมกไม้ที่หนาแน่น แต่กลับดูไม่ทรุดโทรม ตัวบ้านเด่นเป็นสง่ามีเอกลักษณ์ท่ามกลางพื้นที่สีเขียว รอบบ้านมีไม้ดอกไม้ประดับสลับสีสันสวยงาม

 

เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน ลักษินันท์ยิ่งตื่นตะลึงไปใหญ่ในความเป็นเอกลักษณ์ การตกแต่งด้วยข้าวของร่วมสมัยแต่ดูไม่เก่าโทรมเลย ส่วนไหนที่เป็นไม้ก็ยังคงวาววับด้วยแล็กเกอร์เคลือบ สว่างเหมือนเนื้อทองยังไงยังงั้น ไหนจะเครื่องเรือนที่บางชิ้นไม่น่าจะหาไม่ได้ง่ายๆ ในร้านขายเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป

อย่างไรก็ตาม มันดูอบอุ่น อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

 

“เอาข้าวเอาของไปเก็บกันก่อนสิลูก แล้วเดี๋ยวออกมาทานข้าวเย็นกัน แล้วเดี๋ยวพ่อเขากลับมาจากสวนกับข้าวกับปลาก็คงเสร็จพอดี”

 

บริเวณด้านหลังบ้านมีสวนผลไม้ที่ลักษินันท์เองยังไม่เคยเห็น อาจจะเป็นต้นของผลอะไรสักอย่างที่เขาอาจจะเคยกิน แต่แค่ไม่รู้ว่าต้นมันเป็นแบบนี้

เขาสูดกลิ่นอายบ้านนอกเข้าไปจนเต็มปอด แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ที่นี่ช่างสดชื่นเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจยิ่งนัก

 

ห้องของเขาอยู่ติดกับห้องของลูกชายเจ้าของบ้าน ภายในนั้นถูกจัดเตรียมไว้ให้อย่างดิบดี เจ้าของบ้านคงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาจะมา

ลักษินันท์วางกระเป๋าสะพายลงบนเตียง สอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณ ภายในห้องที่ดูสะอาดสะอ้านดี แต่ทิ้งร่องรอยของการไม่ได้ใช้งานมานานไว้อยู่ ที่หัวเตียงเขามีหน้าต่างบานใหญ่คู่หนึ่งที่สามารถเปิดออกไปมองสวนหลังบ้านได้

 

ไม่นานนักก็มีเสียงผู้ชายอีกคนดังขึ้นที่หน้าบ้าน คงเป็นพ่อของราชวุฒิ

แขกผู้มาเยือนจึงเดินออกมา พร้อมกับกล่าวสวัสดีชายในชุดทำสวนที่เหงื่อโทรมกายเมื่อพบหน้า

 

“ไหว้พระลูก ยินดีต้อนรับนะ”

ชายผู้นั้นกล่าวรับด้วยรอยยิ้ม

แม้ภายนอกราชวุฒิจะดูนิ่งๆ พูดน้อยไม่ค่อยแสดงความรู้สึกเมื่ออยู่หน้าเขา แต่กระนั้นก็ไม่เคยแสดงตัวหยาบกระด้างเหมือนเด็กหนุ่มคนอื่นๆ นี่กระมังคงเป็นเหตุผล เขาถูกหล่อหลอมมาโดยคนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าจิตใจโอบอ้อมอารีเพียงใด

ชายในชุดทำงานมอมแมมมีใบหน้าเหมือนราชวุฒิชนิดที่ถึงไม่บอกว่าเป็นพ่อลูกกันก็รับรู้ได้ด้วยสายตา ชายวัยกลางคนที่สวมแว่นสายตาหนาเตอะ แต่ภายใต้แว่นนั้นคือใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวเนียนละเอียดที่อาจจะมีร่องรอยบ้างตามวัย ตัวสูงโปร่งเกือบเท่าลูกชาย ใบหน้านั้นบ่งบอกว่ามีเชื้อสายจีนโดยตรง

 

 

“พ่อก็เคยอยู่กรุงเทพฯ มาก่อน แต่ได้มาบรรจุเป็นครูสอนอยู่ที่นี่ แล้วก็ได้พบกับแม่ของตี๋เขา ที่สอนอยู่ที่เดียวกัน เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวร มาแต่งเมียที่นี่” ชายเจ้าของบ้านกล่าวด้วยท่าทียิ้มแย้มสลับกับหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีขณะรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน

“แต่พอตี๋โตมาหน่อยเห็นว่าการศึกษานั้นสำคัญ เลยส่งเขาไปเรียนกรุงเทพฯ ให้ได้เรียนรู้โลกที่กว้างขึ้น ได้ลองใช้ชีวิตด้วยตนเอง จะได้โตขึ้นแบบที่ไม่ใช่โตแค่ตัว แต่โตไปพร้อมกับประสบการณ์”

“ทุกวันนี้คุณลุงกับคุณป้าก็สอนหนังสือสลับกับการทำสวนผลไม้ไปด้วยใช่ไหมครับ” แขกของบ้านที่รุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายเอ่ยถามด้วยท่าทีนอบน้อม

“ใช่จ๊ะ มีหลายอย่างเลยนะ ทุเรียน ลองกอง เงาะ ว่างเว้นจากสอนก็มาเอาดีกับสวนผลไม้นี่แหละ เห็นว่ามันอยู่ได้ตลอด อนาคตอีกไม่นานพ่อกับแม่ก็คงเกษียณ ส่วนตี๋เองก็คงไปทำอะไรที่เขาอยากทำตามประวาคนรุ่นใหม่ สองตายายก็คงได้สวนนี้แหละทำฆ่าเวลาไป” หญิงเจ้าของบ้านเป็นฝ่ายเอ่ยตอบบ้าง

“ผมชอบชีวิตแบบนี้นะครับ” ไม่หวือหวา ไม่แก่งแย่งและวุ่นวายเหมือนชีวิตในกรุงเทพฯ

นี่คงเป็นอีกเหตุผลที่พ่อของราชวุฒิหนีมาตั้งตัวที่นี่ถาวร

“ทำไมล่ะลูก” เด็กวัยนี้ ที่โตมากับอะไรที่ศิวิไลซ์ ถึงจะชอบ แต่ก็คงผิวเผิน

“ผมใฝ่ฝันที่จะใช้ชีวิตอยู่แบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมชอบต้นไม้ ชอบความเขียวขจี ชอบผลไม้ชอบผัก มันคงจะเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง ถ้าพวกผักหรือผลไม้นั้น เราปลูกมันมาเองกับมือ”

เขายังนึกถึงสมัยเด็กๆ ทีนั่งจ้องรายการทีวีที่ชอบพาเที่ยวและเรียนรู้ไปในวิถีเกษตร การได้ใช้ชีวิตเรียบง่าย สบายๆ ผิดกับเด็กคนอื่นที่เอาแต่จดๆ จ้องๆ กับช่องการ์ตูนหรือไม่ก็เกมโชว์ต่างๆ นาๆ ที่มอบความเพลิดเพลินสมวัยมากกว่า

คนที่นั่งฟังอยู่คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มหน้าตาวัยเพียงเท่านี้จะคิดอะไรแบบนี้ ก็ได้ยกยิ้มอย่างประหลาดใจ

“เอาไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้พาไปสวนทุเรียน เดี๋ยวก็รู้ว่ายังชอบอยู่ไหม” ลูกชายเจ้าของบ้านที่นั่งฟังอยู่นานขณะเดียวกันก็เจริญอาหารฝีมือผู้เป็นแม่ที่ห่างหายไปเสียนานโพล่งขึ้น

 

เมื่อจบสิ้นอาหารมื้อพิเศษที่เหมือนทำขึ้นเพื่อต้อนรับแขกของบ้านรวมถึงลูกชายที่ไม่ได้กลับบ้านมานาน ลักษินันท์ก็ขอตัวไปชำระร่างกาย หลังถูกปฏิเสธไม่ให้ช่วยงานครัว เขาจึงจำใจต้องหลีกทางให้ครอบครัวได้อยู่กันตามประสาพ่อแม่ลูก

 

“เป็นไงบ้าง ได้ยินข่าวว่าอกหัก” ผู้เป็นพ่อถาม ขณะปลอกผลแก้วมังกรยื่นให้

“แม่บอกพ่อหรอ” ผู้เป็นลูกชายหันไปทางแม่ที่ยืนล้างจานอยู่

“เอ๊า ก็ไม่เห็นสั่งว่าห้ามบอกพ่อ แม่เลยบอก”

“แม่อะ”

“ทำไม พ่อจะรู้เรื่องราวชีวิตแกบ้างไม่ได้เหรอ ไม่ต้องห่วงน่า พ่อรู้ว่าแกโตแล้ว มีความรักก็ไม่เห็นจะแปลก ไม่มีสิแปลก พ่อคงคิดว่าแกตายด้านหรือไม่ก็ไม่ชอบผู้หญิง”

คนฟังก้มหน้านิ่ง หลุบตามองต่ำ

“เป็นอะไร” ชายวัยกลางคนจ้องมองสีหน้าคนตรงข้ามที่เปลี่ยนไปกะทันหัน ก็ชักจะใจไม่ดีขึ้นมาดื้อๆ คำพูดก่อนหน้าก็น่ากลัวเสียด้วยสิ

“พ่อ”

นั่นปะไร

น้ำเสียงที่เขาไม่ได้ยินมาเสียนาน พอกลับมาได้ยินอีกครั้ง เหมือนเขากำลังนั่งอยู่ในช่องฟรีซตู้เย็น

“มีอะไร”

“ผมอกหัก” ก็รู้แล้ว “...จากผู้ชาย”

เคล้ง!!!

เสียงช้อนหล่นลงกระแทกกับอ่างล้างจานโลหะ แม่ของเขายังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

ผู้เป็นพ่อผ่อนลมหายใจ

มันยิ่งกว่าความฉิบหาย ลูกคนเดียวแท้ๆ

แต่ก็... “ดี ตรงดี” ตัวที่นั่งค้ำอยู่บนโต๊ะยืดเหยียดตรง “มาพูดกันตรงๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มีอะไรจะได้ไม่ต้องค้างคา แล้วไปทำลับหลังพ่อกับแม่”

“ถึงไหนกันแล้ว” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นมาจากมุมนั้น

“ผมแค่ชอบเขา แต่เขาไม่ชอบผมหรอก เขาบอกว่าเห็นผมเป็นแค่น้องชาย”

“อยู่ดีๆ ก็มีลูกชายเพิ่มซะงั้น” พ่อเขาปรับอารมณ์ที่กำลังตึงเครียด แม้อันที่จริงแล้ว ลึกๆ จะยังเครียดจนหัวเต้นตุบๆ “เอาน่า ไม่ต้องฟูมฟายไปหรอก คนบนโลกนี้ยังมีอีกเยอะ”

“พ่อ... พ่อรับได้หรอที่ผมเป็นแบบนี้”

“ถ้าบอกว่ารับไม่ได้แล้วแกจะเปลี่ยนมาชอบผู้หญิงเหรอ” ก็คงไม่ ของแบบนี้มันเปลี่ยนกันได้ที่ไหน

“...ก็จริง”

คำตอบของพ่อบ่งบอกแล้วว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับสิ่งที่เขาเป็น แต่ขณะเดียวกันผู้เป็นแม่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อไปเงียบๆ มันทำให้เขาไม่สบายใจ

 

เมื่อลูกชายของบ้าน หนำซ้ำยังเป็นลูกเพียงคนเดียวกลายมาเป็นแบบนี้ ก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนทำใจยอมรับได้ง่ายๆ หรอก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือทำใจยอมรับมันเสีย เธอเป็นครู ทำงานกับเด็กมามากหน้าหลายตาจนนับไม่ถ้วน เป็นเรือจ้างที่ส่งพวกเขาไปถึงฝั่งฝันแล้วไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ย่อมเข้าใจในพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไปของเด็กแต่ละคนดี

การเป็นแบบนี้ไม่ใช่โรคที่จะรักษาให้หายได้ รสนิยมทางเพศมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะอยู่คู่กับคนๆ นั้นไปจนตาย

ระย้าผ่อนลมหายใจเบาๆ อย่างปลงตก มันไม่ใช่เรื่องของบาปบุญหรือเวรกรรม มันคือชีวิตของลูกชายเธอ ความรู้สึกของลูกชายคนเดียวของเธอ ทางออกทางเดียว คือยอมรับมันและรักในสิ่งที่เขาเป็น ปล่อยให้มันเป็นไปในทางของมัน แค่นั้น

 

ลักษินันท์ก้าวกลับเข้าไปในล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างเบาแรง เขาได้ยินทุกอย่างชัดเต็มสองหู ราชวุฒิคิดอย่างไรกับผู้ชายคนนั้น เขารู้อย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้ว แม้ความสัมพันธ์นั้นมันจะจบลงแบบไม่ใช่ความสมหวัง แต่ระหว่างนั้น มันก็อาจจะมีอะไรที่มีความหมายต่อเขาทั้งคู่ ที่เขาไม่มีวันเข้าใจ และความสัมพันธ์นั้นอาจจะหวนกลับมาสานกันใหม่ได้ในอนาคต ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะหยั่งรู้ได้

เพราะฉะนั้นขอแค่เขาได้รัก ได้อยู่ใกล้ๆ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งอย่างนี้ก็มีความสุขแล้ว ปล่อยให้ใจราชวุฒิเป็นคนกำหนดทิศทางมันเองจะดีกว่า

 

เขาเดินไปปิดไฟก่อนจะกลับมาล้มตัวลงนอน

คนตัวขาวจนจะสว่างในความมืด นอนนิ่งมองความมืดสลัวภายในห้องของบ้านกลางสวน เขาไม่อาจข่มตาหลับ

อาจจะแปลกที่แปลกทาง

ที่นี่แม้ในตอนกลางวันจะดูไม่น่ากลัว แต่พอตกกลางคืนที่บรรยากาศมืดมิด รอบบ้านเป็นสวนหนาทึบไร้เสียงแห่งความทันสมัยมารบกวน ผิดจากสถานที่ๆ เขาเคยหลับนอนอยู่เป็นนิจ ความเงียบชอนไชเข้ามาในรูหูของเขา

แต่เสียงที่ได้ยินสลับกับความเงียบคือ เสียงแห่งธรรมชาติ แมลงกลางคืนแข่งกันร้องระงม สลับกับเสียงลมพัดใบไม้สั่นไหวดังอยู่ข้างนอก มันน่าขนลุกพิกลๆ

หัวใจของเขาหล่นวูบลงไปอยู่ที่ปลายเท้า เมื่อมีเสียงของความเคลื่อนไหวประหลาดๆ ดังขึ้นบริเวณนอกหน้าต่างตรงหัวเตียงเขา มันเป็นเสียงของอะไรบางอย่างที่กำลังเดินอยู่ วนเวียนไปมาอยู่แถวนั้น และมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกำลังใกล้เข้ามา

คนนอนอยู่ตัวแข็งทื่อ หลับตาปี๋

 

ก๊อกๆๆ

ร่างสูงที่เพิ่งจะปิดไฟแล้วหมายจะไปล้มตัวลงนอน เป็นอันต้องเดินวกกลับมาที่ประตู เพื่อเปิดให้เจ้าของเสียงเคาะ

ประตูไม้สีเข้มเปิดออกเผยให้เห็นคนที่ยืนอยู่ในความมืดนอกห้องนั่น แม้ภายในบ้านจะมืดมิด แต่ก็มีแสงสว่างจากโคมไฟนอกบ้านส่องรำไรเข้ามา สว่างพอให้เห็นสีหน้าซีดเผือดและดวงตาที่แฝงไปด้วยความหวาดกลัวของคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“นึกว่าหลับไปแล้ว” ลูกชายเจ้าของบ้านเอ่ยถาม

“ตี๋ ยอห์นขอนอนด้วยคนได้ไหม”

คนที่อุ้มหมอนอยู่กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ เมื่อราชวุฒิเห็นดังนั้นก็อดจะยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างสงสารไม่ได้

 

ลักษินันท์นอนตัวเหยียดตรงอยู่ริมขอบเตียงฝั่งหนึ่ง ราชวุฒิที่นอนอยู่ข้างๆ สวมเพียงกางเกงขาสั้นที่สั้นจนเห็นขาอ่อน ท่อนบนที่เคยเป็นส่วนที่อยู่ในร่มผ้ายังคงขาวและมีมัดกล้ามจางๆ ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตาไปมอง

“กลัวผีทำไมไม่บอกจะได้ให้มานอนด้วยกันตั้งแต่ทีแรก”

“ทีแรกก็พยายามแล้ว แต่เราไม่ไหวจริงๆ”

“หึ” คนฟังหัวเราะในลำคอ “คงเป็นเสียงของสีทองน่ะ หมาของคนแถวนี้แหละ พอตกกลางคืนเขาชอบออกมาหาหนูแถวๆ นี้ เดี๋ยวก็ได้เจอกัน”

คนที่นอนฟังเสียงทุ้มเบาอธิบายเริ่มเคลิ้มลงเรื่อยๆ มันช่างเป็นเสียงที่ทั้งฟังดูอบอุ่นและนุ่มนวลขับกล่อมเขาได้ดีทีเดียว

แล้วคนหน้าหวานก็หลับไป

 

 

เสียงดุเหว่าดังขึ้นในเช้าตรู่ของวันใหม่สลับกับเสียงไก่ขัน กลิ่นตัวที่ไร้ซึ่งสิ่งปรุงแต่งหอมจางๆ ลอยมาเตะจมูก ลักษินันท์ปรือตาขึ้น ก่อนจะตื่นเต็มตาเมื่อพบว่าเหลืออีกเพียงไม่กี่เซ็นใบหน้าของเขาก็จะประชิดกับหน้าของคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ แล้ว

ราชวุฒิยังคงนอนหงายนิ่งอยู่ท่าเดิมตั้งแต่เมื่อคืน แทบไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ เป็นเขาเองที่นอนดิ้นอีท่าไหนถึงได้มานอนหมอนใบเดียวกับอีกฝ่าย

ลักษินันท์ดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา ก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวเอา หน้าของเขาร้อนวูบวาบไปหมด หากส่องกระจกก็คงแดงแจ๋เหมือนก้นลิงแน่ๆ

เกือบไปแล้ว ยอห์นเอ๊ย

 

 
มีต่อ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 16 อดีตของผู้แพ้ (4/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 10-06-2018 22:07:56
ต่อจ้า



หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ระย้าก็เตรียมข้าวของให้สองพ่อลูกสำหรับการไปสวนทุเรียน ส่วนตัวเธอเองนั้น แม้จะเป็นช่วงปิดเทอม แต่ก็ต้องไปอยู่เวรที่โรงเรียนตามตารางที่ได้รับมอบหมาย

“อะนี่ แม่เตรียมของกินนิดๆ หน่อยๆ ไว้ให้ เผื่อหิวจะได้กินรองท้อง ก็ไม่น่าจะอยู่กันนานหรอกมั้ง” เธอพูดพลางยื่นตะกร้าใส่ปิ่นโตเถาเล็กกับกระปุกใส่อาหารและขนมนิดหน่อยให้ผู้เป็นสามี

“พ่อก็กะว่าจะอยู่ได้ถึงเที่ยงหรอก เด็กๆ ไปด้วย”

 

“อ้าวแล้วนี่ยอห์นไปไหนซะล่ะลูก” เธอหันมาถามลูกชาย

“อ๋อ เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะแม่ จะใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืดไปสวน เดี๋ยวก็ได้ตัวลายกลับมากันพอดี” ราชวุฒิบอกขณะติดกระดุมเสื้อลายสก็อตของพ่อที่จะใช้ใส่ไปเข้าสวนผลไม้

“นั่นไง ออกมาพอดี” นาวีกล่าวขึ้น ก่อนทุกสายตาจะหันไปยังคนที่เพิ่งจะออกมาจากห้อง “แหมะ ขนาดชุดทำสวนยังกลบรัศมีความเป็นเด็กกรุงเทพฯ ไม่ได้เลยจริงๆ” ก่อนจะกล่าวชมเพื่อนของลูกชายเปาะๆ

“เดี๋ยวก็รู้” ราชวุฒิกล่าวด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

 

รถกระบะยกสูงสำหรับใช้ขับเข้าสวนของคุณครูนาวี พ่อของราชวุฒิวิ่งออกมาจากบ้านได้ไม่นานก็เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางสวนผลไม้เรียงรายหนาทึบ เมื่อเลี้ยวเข้ามาได้ไม่นาน จากถนนลาดยางก็กลายเป็นเพียงถนนดินแห้งๆ ที่ฝุ่นคลุ้ง

 

สองหนุ่มน้อยวัยเรียนเลือกที่จะนั่งอยู่บนกระบะหลังเพื่อสัมผัสบรรยากาศบ้านนอกในยามสายๆ ให้เต็มที่ โดยเฉพาะเจ้าเด็กกรุงเทพฯ โดยกำเนิด

จมูกโด่งรับใบหน้าขาวเชิดขึ้นเพื่อสูดกลิ่นธรรมชาติ ใบหน้าเนียนต้องแสงแดดอ่อนดูนวลผ่อง ราชวุฒิเพลิดเพลินกับการจ้องมองภาพใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างลืมตัวเสียสนิท ว่าก่อนหน้านี้ตนกำลังจ้องมองทิวทัศน์รายรอบอยู่

ลักษินันท์ที่สวมเสื้อลายสก็อตแขนยาวเก่าๆ ของพ่อเขากับกางเกงยีนส์ทำสวนเก่าขาด มีหมวกปีกสานคล้องพักอยู่ที่หลังคอในตอนนี้ มันแตกต่างจากลักษินันท์ที่เขาพบเจอในวันก่อนๆ

เด็กผู้ชายข้างบ้านที่ดูบอบบาง ลูกคุณหนู เด็กเรียนที่ดูเจ้าสำอางค์ วันๆ อยู่แต่กับตำราและการฝึกซ้อมว่ายน้ำ แต่ในตอนนี้เด็กผู้ชายคนนั้นกลับแสดงบางอย่างออกมาแบบที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ลักษินันท์ดูมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แดดที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ กับสภาพแวดล้อมแบบบ้านนอกที่ไม่ได้สะดวกสบาย แต่ลักษินันท์กลับยิ้มรับมันอย่างมีความสุข

หากเป็นคนอื่นๆ เจอฝุ่นคลุ้งกลางแดดร้อนๆ แบบนี้ หน้าก็คงหงิกเป็นเคียวไปแล้ว มันทำให้เขาเริ่มจะเชื่อในสิ่งที่ลักษินันท์พูดบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำที่ผ่านมา

รถเลี้ยวเข้ามาจอดลงตรงลานหน้าบ้านไม้หลังเล็ก ที่ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์หรือพักผลผลิตทางการเกษตรและสำหรับนั่งพักกินข้าวกินปลา

 

สองหนุ่มน้อยกระโดดลงจากรถ

 

“เอาล่ะ ถึงแล้ว วันนี้เราจะมาทำทุเรียนกัน” ครูหนุ่มใหญ่กล่าวแนะ หยิบถุงเครื่องไม้เครื่องมือลงจากรถ แล้วส่งตะกร้าอาหารให้ผู้เป็นลูกชาย

“มาครับ ผมช่วย” ผู้เป็นแขกก็ไม่ลืมจะเสนอตัวช่วยเหลือ

“ไม่ต้องหรอก” แต่ลูกชายเจ้าของบ้านก็ไม่ยอมละทิ้งตำแหน่งเจ้าบ้านที่ดี

 

เมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย นาวีก็เดินนำลูกชายและเพื่อนลูกชายไปในทางเดินที่แทรกไประหว่างต้นไม้ทรงพุ่มใบเรียวสีเขียวอมทอง แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบทิศ มีพวงของผลน้อยใหญ่ห้อยย้อยลงมาจากกิ่งที่แข็งแรง

ผลไม้สีน้ำตาลอ่อนแกมเขียวมีหนามแหลมคมเป็นเปลือก ลักษินันท์พอจะดูออกว่ามันคือ ทุเรียน แม้เขาจะไม่เคยกิน แต่ก็เคยเห็นในตลาด ผลไม้ราคาแพงที่ดูกินยากพิลึก

 

“นี่แหละต้นทุเรียน เคยเห็นไหม” คนเดินนำมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นๆ หนึ่งแล้วเอ่ยถาม มือลูบคลำผลที่มีหนามเกาะกันเป็นพวง

“เคยเห็นแค่ผลที่เขาขายตามตลาดครับ ต้นมันผมก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ แล้วเราจะทำอะไรกับมันครับ”

“เราจะแต่งผลมันออก ทุเรียนเวลามันออกดอกออกผลมันจะออกเป็นช่อ ช่อละหลายๆ ลูก อันที่จริงเราเริ่มแต่งพวงของมันตั้งแต่สมัยมันเป็นดอกให้ไม่แน่นจนเกินไป แต่พอมันแตกผล เป็นผลเล็กๆ แบบนี้ เราก็จะแต่งมันอีกที เราจะเลือกผลที่ดูสวยดูแข็งแรงไว้ในพวงแค่สองสามลูก แล้วตัดผลที่ไม่สมบูรณ์ดูแคระแกร็นออก เพื่อไม่ให้กิ่งมันหนักเกินไปเมื่อมันเริ่มโตขึ้น จนอาจจะฉีกขาดได้ และผลทุเรียนก็จะได้ไม่เบียดไม่แย่งพื้นที่เจริญเติบโตของกันและกัน และไม่แย่งอาหารกัน ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี ขายไม่ได้ราคา”

“โห กว่าจะได้ทุเรียนออกมาแต่ละผล ลายละเอียดก็เยอะเหมือนกันนะครับ ถึงว่า แพงเชียว อย่างนี้ก็รวยแย่สิครับ”

“คนที่รวยน่ะคือพ่อค้าคนกลาง ชาวสวนอย่างเราน่ะ ถ้าไม่เอาออกไปขายเองก็ได้ราคาไม่ได้แพงอะไรนักหรอก พออยู่ได้ ให้มีทุนเอามาทำนุบำรุงสวนได้ในครั้งต่อๆ ไปก็เท่านั้น” ราชวุฒิอธิบายแทนผู้เป็นพ่อ

“อย่างนี้นี่เอง”

“ป่ะ เดี๋ยวพ่อจะเริ่มทำงานแล้ว ให้ตี๋พาเดินชมสวนรอบๆ สิ” คนพูดดึงหมวกผ้าขึ้นมาคลุมหน้าคลุมตา ก่อนจะสวมถึงมือแล้วลงมือควั่นผลทุเรียนอ่อนออกจากพวงที่มันแน่นจนเกินไป

“ผมอยากช่วยครับ”

“จะช่วยจริงๆ เหรอ” ราชวุฒิหันมาถาม

“แต่ถ้าอยากช่วยก็ตรงนั้นมีเข่งอยู่ เอาใส่ทุเรียนที่พ่อตัดออก แล้วเอาไปเทกองรวมกันไว้ตรงนั้นนะ” ครูนาวีกล่าวแนะ

คนที่ดูสนอกสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าลงมือทำอย่างไม่รีรอ ไปลากเข่งพลาสติกเปล่าสีน้ำเงินมาคอยเก็บผลทุเรียนที่ถูกตัดทิ้งเกลื่อนกลาดใส่เข้าไปในเข่งทีละลูกสองลูก โดยมีราชวุฒิคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ

แม้จะเป็นลูกชาวสวน แต่พ่อของเขาก็ไม่ได้พามาที่สวนบ่อยนัก เพราะตอนที่ยังอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่วัยที่จะช่วยงานอะไรได้ พอโตมาหน่อยก็ถูกส่งไปอยู่กรุงเทพฯ เสียแล้ว ราชวุฒิเลยไม่ได้คล่องงานสวนอย่างที่พ่อเขาทำอยู่นัก

เวลาเกือบเที่ยง ที่แดดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ แม้จะมีร่มเงาจากต้นทุเรียนคอยบดบังแสงแดด แต่ก็ไม่อาจบดบังไอร้อนได้ ลักษินันท์ยังคงสนุกสนานกับสิ่งที่ทำ มันเหมือนโอกาสที่เขาจะได้ลองเป็นชาวสวนจริงๆ สักครั้ง

เด็กหนุ่มยังคงก้มหน้าก้มตาเก็บผลทุเรียนอ่อนโดยลืมอาการคันยิบๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นไปเสียสนิท นิ้วเรียวเริ่มถูเริ่มเกาไปตามซอกคอที่ไร้ซึ่งสิ่งปิดบัง

 

“พอ ไปนั่งรอตรงนั้น” เมื่อเห็นดังนั้น ราชวุฒิจึงรีบไปดึงมือที่จับเข่งอยู่ออกทันที

คนถูกสั่งทำตามอย่าง่ายดาย แม้จะรู้สึกคัน แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรเสียหน่อย แต่ก็ดีกว่าการขัดคำสั่งของราชวุฒิ

คนที่เพิ่งหย่อนก้นนั่งลง ปาดเหงื่อออกจากใบหน้า นั่งมองอีกฝ่ายลากเข่งทุเรียนอ่อนไปเทกองรวมกันไว้อีกฟากหนึ่ง ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ

“ยุงกัดแดงหมดแล้ว ไม่รู้ตัวหรอ” คนที่เพิ่งมานั่งลงพูดขึ้นขณะสายตาจับจ้องไปที่คอขาวเนียนที่บัดนี้มีตุ่มแดงผุดขึ้นเป็นปื้น

ยาหม่องตลับสีเขียวที่เตรียมไว้ในกระเป๋าเสื้อของราชวุฒิถูกหยิบออกมา เหมือนเขารู้ดีอยู่แล้วว่าต้องได้ใช้แน่นอน

ก็บอบบางซะขนาดนั้น แล้วในสวน สิ่งที่จะมาระคายเคืองผิวบางๆ มีอยู่รอบทิศ

“เดี๋ยวยอห์นทาเองก็ได้”

“ไม่ต้อง” กระปุกยาหม่องถูกยื้อออกห่าง “นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวทาให้”

ยาหม่องเนื้อสีเขียวถูกแต้มลงไปบนจุดแดงๆ อย่างเบามือโดยคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อาการเย็นวาบทำให้พอหายคันลงไปได้บ้าง แต่บางอย่างมันกลับทำให้ลักษินันท์เริ่มหน้าร้อนไปหมด เขากำลังหน้าแดงอีกแล้วแน่ๆ หมวกปีกสานถูกถอดออกมาพัดวีแก้อาการเขินในทันที

 

“ป่ะ เดี๋ยวเราพาไปดูอะไร”

เมื่อทายาหม่องเสร็จ คนตัวสูงก็ลุกพรวดขึ้น

“ไปไหน” คนที่นั่งอยู่แหงนมองตาโต

“มาเถอะน่า ไม่พาไปปล่อยป่าหรอก”

 

ลักษินันท์เดินลัดเลาะตามลูกชายเจ้าของสวนไปท่ามกลางสวนทุเรียน ไปจนเจอแนวสวนที่ใช้ปลูกพืชพันธุ์อื่นๆ เพื่อแสดงเขตแดนของที่ทาง

ราชวุฒินั่งลงบนขอนไม้ผุที่มีมอสเขียวขึ้นจากความชื้นของลำธารเล็กๆ ใสแจ๋ว ข้างๆ ลำธารมีแนวต้นสับปะรดขึ้นระเกะระกะ เหนือขึ้นไปมีแอ่งน้ำ โขดหินสีดำที่มีกอไผ่ขึ้นปกคลุมจนรกทึบ

ลักษินันท์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความสดชื่นตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปตรงนั้น มันแทบจะเหมือนสวนที่ต้องจ้างนักแต่งสวนมาจัดด้วยราคาแพงหูฉี่ แต่ผิดที่ตรงนี้แต่งเองโดยธรรมชาติ

 

“พาเรามาที่นี่ทำไม”

“นั่งก่อนสิ” คนที่นั่งอยู่ก่อนตบขอนไม้ข้างตัวเบาๆ

ลักษินันท์นั่งลงพลางมองสายน้ำใสและเย็นไหลเอื่อยอยู่ใกล้ปลายเท้า ส่งเสียงสลับกับเสียงนกร้องและลมพัด มันช่างน่าเอาเสื่อมาปูนอนจริงๆ

“เราเรียกที่นี่ว่าลำธารแห่งการระบาย ตอนเด็กๆ ถ้าเรามีเรื่องไม่สบายใจ จะมาที่สวนนี้กับพ่อ แล้วแอบมานั่งระบายความในใจกับลำธารแห่งนี้ เราเชื่อว่าลำธารแห่งนี้มีอะไรบางอย่าง ที่สามารถดูดซับความทุกข์ใจไปจากเราได้ เมื่อเราบอกกล่าวความในใจนั้นให้ฟัง”

“อะไรบางอย่างที่ว่าไม่ใช่ผีใช่ไหม” คนเสียงเบาหวิวขยับเข้าใกล้ราชวุฒิ สายตาลอกแลกกวาดมองอย่างระแวง

“ผีแบบนี้นะเหรอ” ราชวุฒิเอื้อมมือไปขยำไหล่อีกฝั่งหนึ่งของคนที่เบียดเขาอยู่อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงที่ยานคางฟังดูน่าขนหัวลุก จนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง

“ตี๋ก็” หน้าซีดเผือดเพราะความตกใจหงิกงอเมื่อรู้ว่าโดนแกล้ง ขณะที่คนแกล้งหัวเราะร่า

“ไม่มีผีหรอก เราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ยังไม่เคยเห็นผีเลยสักตัว”

 

“คุณลำธารครับ...” อยู่ดีๆ หนุ่มลูกเจ้าของสวนก็ตะโกนดังก้อง “...ผมมีเรื่องอยากระบาย ผมเพิ่งอกหัก คนๆ หนึ่งที่ผมรักสุดหัวใจ ตอนนี้เขากลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว ผมวิ่งตามเขามานาน แต่ยิ่งวิ่งตามเท่าไหร่ก็เหมือนเขาวิ่งยิ่งออกห่างผมไปทุกที ตอนนี้ผมทุกข์ใจมาก คุณลำธารช่วยเอาความทุกข์นี่ไปจากผมทีได้ไหมครับ”

อยู่ดีๆ ก็ดึงมาโหมดเศร้าเสียอย่างนั้น

คนนั่งข้างๆ เหลือบมองคนที่ตะโกนเสียงดังฟังชัดในความเงียบของธรรมชาติรายรอบ โดยไม่เขินอายฟ้าดิน

“ถึงตายอห์นแล้ว มีเรื่องอะไรอยากระบายกับลำธารไหม”

“เราเนี่ยนะ”

“อื้ม เราเชื่อ เชื่อว่ายอห์นต้องมีอะไรอยากระบาย”

คนฟังนิ่งคิด

จะว่าไปก็มี

ลักษินันท์หลับตาลง พร้อมกับทำปากงึมงำ

“ทำไรอะ” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามเมื่อเห็นดังนั้น

“อ้าวก็ทำตามที่ตี๋บอกไง”

“ไม่ใช่แบบนี้ ต้องพูดออกมาเสียงดังๆ ไม่งั้นลำธารเขาจะได้ยินยังไงเล่า”

คนถูกดักคอนิ่งคิด “... ต้องเรียกแทนลำธารว่าอะไรอะ”

“ก็ลำธารไง” คนตอบยิ้ม ในความใสซื่อของเพื่อนหนุ่ม

สีหน้าทำใจนิ่งคิด สายตาลังเล แต่แล้วก็

“คุณลำธารครับ” ลักษินันท์หันมองคนที่นั่งมองอยู่ข้างๆ ใบหน้าหล่อส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ

เอาวะ

“...ผมชอบคนๆ หนึ่งมาตลอด ผมเฝ้ามองเขาอยู่อย่างนั้นนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมมีความสุขทุกครั้งเพียงแค่ได้เห็นใบหน้านั้น กังวลตลอดที่ไม่ได้พบเจอหน้าเขานานๆ เขาอยู่ใกล้ผมแค่เพียงเอื้อมมือเอง...”

“ฟังดูดีนี่ ให้ระบายความทุกข์ใจไม่ใช่เหรอ”

แม้จะมีเสียงแทรก แต่สายตามองตรงยังคงมุ่งมั่น มันมาขนาดนี้แล้ว

“...ผมวิ่งตามหลังเขาอยู่ตลอด เพียงแค่เขาไม่หันกลับมามองผมเลย เพราะมัวแต่วิ่งตามใครอีกคนอยู่---คุณลำธารช่วยเอาความทุกข์นี้ไปจากผมหน่อยได้ไหมครับ”

คนฟังชะงักเงียบ

“อย่างนี้ทุกข์พอไหม”

เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เขาพูดออกมาแบบนี้ บางทีมันอาจจะถึงเวลาของมันแล้วล่ะ


.............


ไรเตอร์ทอล์ค : "ตอนนี้พาสองหนุ่มวัยเอาะๆ มาแสดงตัวก่อนน๊าาาา ส่วนหนุ่มวัยทำงาน เจอกันตอนหน้าจ้าาาา จะว่าไปก็หิวทุเรียน"



... ก่อนเหมันต์ ...
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-06-2018 22:16:00
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-06-2018 22:35:33
อย่างนี้เรียกว่าบอกรักป่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-06-2018 22:43:14
ตี่&ยอห์น #มนต์รักสวนทุเรียน 555
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-06-2018 23:15:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-06-2018 23:47:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวาย ๆ ๆ คนดามอกที่หักมาแล้ว  อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-06-2018 00:12:02
น่ารักใสๆ เป็นธรรมชาติ ขอให้รักกันนานๆ นะ เชียร์คู่นี้  :mc4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-06-2018 00:20:05
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 11-06-2018 23:29:17
ตี๋จะเข้าใจป่ะเนี๊ยะ??
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 12-06-2018 07:17:32
หกหักก็ต้องรักษาแผลกันต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 12-06-2018 07:40:08
ขอตอนคู่เล็กเพิ่มมมม ยอร์นน่ารัก ตี๋ตกหลุมในไม่ช้านี้แน่ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-06-2018 08:20:47
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 12-06-2018 23:46:21
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 19-06-2018 07:04:39
มารอทั้งคู่เล็กคู่ใหญ่ คิดถึงน้องยอร์นแล้ว
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 19-06-2018 23:10:24
วิ่งตามกันเป็นหนังอินเดียเลย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 17 หยุดวิ่งตามใครคนหนึ่งเพื่อรอใครอีกคน (10/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 23-06-2018 22:10:18
18
รักคือการเสียสละ



แม้จะพยายามข่มความตื่นเต้นทั้งหมดไว้อย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากสายตาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปได้อยู่ดี

ธันวาที่มือกุมพวงมาลัยหันมองคนข้างๆ เป็นระยะ แม้เครื่องปรับอากาศในรถจะเย็นฉ่ำ แต่เม็ดเหงื่อก็ยังคงผุดอย่างต่อเนื่องจากหน้าผากของอีกคน รอบที่ร้อยที่เขาเอามือไปอังช่องแอร์ดูว่ามันเย็นขึ้นตามที่เขาปรับไหม

“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก แม่ผมใจดีจะตาย รายนั้นน่ะลูกชายรักใคร เขาก็รักไปด้วยซะหมดแหละ”

“พูดงี้ก็แสดงว่าพาไปเปิดตัวบ่อยอะดิ”

คนฟังแอบเห็นแววตาเป็นกังวล แม้อีกฝ่ายจะยังคงจ้องตรงไปข้างหน้า

“เคยน่ะเคย แต่แค่เคยมี ไม่เคยพาไปหาแม่”

“แล้วคิดยังไง ถึงจะพาผมไปที่บ้านแม่คุณ”

“ก็แม่ผมอยากรู้จักคุณ”

เป็นธรรมดา เมื่อถึงเวลาคนรักกันก็ต่างฝ่ายต่างต้องพากันและกันไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก เพื่อสานสัมพันธ์อันดีที่จะตามมาในอนาคต แต่! ระหว่างเขากับธันวามันก็แปลกๆ อยู่ เขาไม่ใช่หญิงสาวอ้อนแอ้นอรชร หน้าสวย เสียงใส ที่ผู้ใหญ่ในบ้านของฝ่ายชายจะยอมรับได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ทำลงไป มันเร็วเกินไป” อันที่จริงระหว่างเขากับธันวามันก็ไวไฟไปเสียทุกอย่างแหละ นับตั้งแต่โดนกระทำมิดีมิร้ายอย่างงงๆ ในคืนนั้น จนจู่ๆ อีกฝ่ายก็มาบอกว่ารักบอกว่าชอบ แถมยังพ่วงแหวนมาให้เสียดื้อๆ

“ไม่ ถ้าลองเราได้รู้เป้าหมายในใจของเราจริงๆ แล้ว จะรออะไรอีก”

เหรอ

 “ผมก็แค่อยากทำให้มันถูกต้อง วันนั้นที่ผม... เอ่อ-”  “ล่วงละเมิด”

แหม ก็พูดซะข่าวหนังสือพิมพ์ “-นั่นแหละ ในความรู้สึกผมนะ คุณเสียหาย”

ยังดีที่รู้

 “ผมอยากรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไป ผมอยากให้คุณรู้ว่าที่ผมทำลงไปไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบหรือแค่อยากหาเศษหาเลย อันที่จริง...” คนพูดเว้นจังหวะ ขณะรถติดไปแดง สายตาที่จับจ้องอยู่ข้างหน้าเสริมคำพูด แขนข้างที่ไม่ได้บังคับพวงมาลัยเท้าอยู่กับขอบหน้าต่าง นิ้วชี้เขี่ยริมฝีปากตัวเองเบาๆ “...ผมมั่นใจแล้วว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ พอมาลองคิดดู ผมไม่อยากให้คุณรู้สึกว่าผมก็แค่คบกับคุณไปงั้นๆ มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนและดูไม่จริงจัง”

...

“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ ที่ไม่ทำลายความตั้งใจของผมทิ้ง”

อันที่จริงเขาก็เกือบทำมันไปแล้วล่ะ เขาเกือบจะถอดแหวนออกทันทีที่ธันวาสวมให้ แต่บางอย่างในใจเรียกร้องให้เขาสวมมันไว้ ก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

 

 

“สวัสดีครับ”

เกสรยังคงยกมือรับไหว้ค้างไว้อย่างนั้น สายตาจดจ้องใบหน้าของธันธเนศจนเขารู้สึกเกร็งไปทั้งตัว

ไม่แปลกใจเลยทำไมลูกชายของเธอถึงได้ชอบผู้ชายคนนี้ไปได้ แค่ครั้งแรกที่พบเจอ มันน่าหลงใหล

แม้จะยังไม่ได้รู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังหรือนิสัยใจคอจริงๆ แต่ความประทับใจแรกที่เธอเห็นคือ ทั้งหน้าตาผิวพันธ์ที่ไร้ที่ติ รูปงามกว่าผู้ชายๆ ทั่วๆ ไปเลยก็ว่าได้ งดงามในแบบที่น่าทะนุถนอม ขณะเดียวกันก็ไม่เห็นถึงความอ่อนแอหรืออ้อนแอ้นให้น่ารำคาญตา

 

“แม่ว่า... เราเคยเจอกันมาก่อนนะ”

ใครจะจำวันที่ต้องแทบแทรกแผ่นดินหนีไม่ได้

“ใช่ครับ ผมเคยไปซื้อยาที่ร้านคุณน้า”

“เรียกแม่เถอะจ๊ะ อีกไม่นานก็คงได้มาเป็นครอบครัวเดียวกัน”

 

ส่วนธันวาได้แต่กัดฟันฝืนยิ้มไว้จนกรามแข็ง ไม่ให้ตัวเองแสดงออกมาเมื่อได้ยินผู้เป็นแม่เอ่ยแบบนั้น

 

“เราแวะซื้อของมาทำอาหารเย็นด้วย ธันเขาทำอาหารเก่ง เขาอยากจะลองทำให้แม่ทาน” คนพูดหิ้วของเต็มไม้เต็มมือ

“ชื่อธันเหรอลูก แม่ก็ลืมถามชื่อเสียงเรียงนามไปเลย มัวแต่ตะลึง”

“ผมชื่อธันธเนศครับ” นามสกุลไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะบอก

“ชื่อเดียวกันซะด้วยเวลาเรียกแม่คงสับสนน่าดู มาจ๊ะ เข้าบ้านกันเถอะ เดี๋ยวไปเข้าครัวกัน” หญิงเจ้าของบ้านเชิญชวน

 

 

เกสรกับธันธเนศง่วนอยู่ในครัวเพื่อเตรียมวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร ธันวาเลือกที่จะปล่อยให้สองคนได้อยู่ใกล้กัน และหากจะคุยอะไรกันโดยที่ไม่มีเขา ก็คงเป็นตอนนี้แล้ว ที่เขากล้าปล่อยให้เป็นแบบนั้น เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวแม่ของตนเองดี เขารู้ดีว่าเกสรเป็นคนอย่างไร

 

“ผักนี่แม่ล้างหมดแล้วนะธัน” เกสรกล่าวขึ้นพร้อมกับวางชามที่ใส่ผักที่ล้างแล้วไว้ใกล้ๆ เขา อันที่จริงเธอเองก็มือฉมังในงานครัวคนหนึ่ง เพียงแต่วันนี้อยากจะให้แขก ที่อนาคตอาจจะเป็นมากกว่านั้น ได้โชว์ฝีมือตามที่ลูกชายเธออวดอ้างสรรพคุณนักหนา

“แม่ไม่ทานอะไรบ้างบอกผมได้นะครับ ผมจะได้ไม่ใส่ไป” เขากล่าวถามขณะที่ยังก้มหน้าก้มตาปลอกกระเทียม

“แม่ทานได้ทุกอย่างจ๊ะ ขอแค่ไม่ผงชูรส” เธอพูดก่อนจะเดินเข้ามายืนใกล้ๆ

“ดูคล่องจัง ทำอาหารบ่อยเหรอ”

“ไม่บ่อยหรอกครับ ตั้งแต่ออกมาอยู่คนเดียวผมก็ถนัดซื้อกินมากกว่า มันประหยัดเวลาดี แต่ผมเข้าครัวช่วยแม่ทำอาหารมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ เลยพอมีความรู้ติดมาบ้าง”

“อย่างนี้นี่เอง”

ผู้ชายน้อยคนที่จะสนใจงานครัว โดยเฉพาะตอนยังเป็นเด็กผู้ชาย

 

เกสรเงียบไปสักพักใหญ่ แต่ก็ยังยืนอยู่ข้างๆ อย่างนั้น สายตาจับจ้องมือที่เป็นประวิงแต่สายตาบ่งบอกว่าครุ่นคิด

 “คิดดีแล้วเหรอที่จะตกล่องปล่องชิ้นกับเจ้าธันวามัน ทั้งที่ก็ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ อนาคตก็ไม่รู้จะเป็นไปในทิศทางไหน”

“ผมต่างหากละครับที่ต้องถามคุณแม่ว่า แน่ใจเหรอที่จะให้ลูกชายคนเดียวของแม่มาใช้ชีวิตอยู่กับผม”

คนฟังผ่อนลมหายใจ ก่อนจะเดินกลับไปเตรียมวัตถุดิบอีกอย่าง

“ธันวาเขาก็ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจอะเนาะ พอพ่อเขาเสีย แม่ก็ไม่อยากจะอะไรกับเขามากนัก ปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้ใช้ชีวิตของเขาเอง แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจหรือเกเรทั้งที่ถูกเลี้ยงมาแบบนั้น ไม่ใช่เด็กที่เรียกร้องอะไร เขาไม่เคยทำให้แม่และน้าชายผิดหวัง บอกกล่าวอะไรแค่ครั้งเดียวก็เชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้ จนมาถึงครั้งนี้ เขายืนหยัดเรียกร้องในสิ่งที่เขาอยากได้เองเป็นครั้งแรก แม่จึงพอรู้แล้วว่าสิ่งนั้นจะสำคัญกับเขามากแค่ไหน

คนฟังหยุดหั่นผักที่คาอยู่ในมือ แล้วก็กลับมาทำมันต่ออย่างเงียบๆ

 

 

“โห หอมจังเลย ฝีมือใครเนี่ย” คนร่างสูงเดินอาดๆ เข้ามาในครัว พร้อมกับทำจมูกฟุตฟิต ก่อนจะตรงปรี่ไปยังคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเหยาะเครื่องปรุงในหม้อ สองแขนโอบรัดเอวบางนั้นไว้โดยไม่สนใจสายตาผู้เป็นแม่

“หายไปไหนมายะพ่อหนุ่ม เขาต้มผัดแกงทอดกันจนจะเสร็จขึ้นโต๊ะอยู่แล้ว เพิ่งโผล่หน้ามา” เธอว่า

“ก็แหมแม่ ผมทำอะไรเป็นที่ไหนเล่า”

“กินเป็นอย่างเดียว” ธันธเนศว่า

“ใช่ กินเป็นอย่างเดียว” เกสรช่วยเสริมอีกแรง

“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยขนาดนี้ ผมคงไม่ต้องกังวลอะไรแล้วล่ะม้าง”

คนพูดส่งสายตาหยอกล้อ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อศอกของคนที่เขาโอบไว้กระทุ้งเข้าจังๆ กับชายโครง

ไวเหมือนซามูไร

“ตั้งโต๊ะเลยไหมครับ ผมหิวแล้ว” เด็กโข่งลูบท้องป้อยๆ

“ตั้งเลย แม่โทรชวนน้าเขามาทานข้าวเย็นด้วยนะ ตอนนี้น่าจะเลิกงานแล้ว เดี๋ยวอีกหน่อยก็คงถึง”

 

 

นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้พบหน้าธันธเนศเลย  เมื่อเห็นมันยิ่งทำให้อยากจะเปลี่ยนใจมาเป็นตัวร้ายที่แย่งของหลานเสียจริงๆ แต่ก็คงได้แค่คิด จรัญนั่งกินข้าวไปเงียบๆ พยายามลอบมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ก็ต้องพยายามหลบสายตาไม่ให้อีกฝ่ายรู้เช่นกัน นั่นรวมถึงอีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ในตอนนี้ด้วย

“งานที่สำนักพิมพ์เป็นไงบ้างพี่”

“อ๋อ” คนถูกถามอ้ำอึ้ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยถาม “ก็เรื่อยๆ แต่ในส่วนของมึงพี่ยังทำเองอยู่ หาคนมาแทนไม่ได้”

“งี้ก็เหนื่อยแย่เลยดิ”

“ก็นิดนึงแหละ แต่ก็เพื่องาน”

“แม่ชักอยากจะรู้จักธันเขามากขึ้นแล้วสิ ดูมีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวเรามากกว่าที่คิดนะ”

“อ้อ ผมลืมบอกไปเลยครับพี่สร ธันธเนศเขาเคยทำคอลัมน์ให้หนังสือพิมพ์เรามาก่อน” จรัญตอบ

“ครับ เลยทำให้ผมได้รู้จักกับธันธเนศเขาด้วย” ธันวาแทรกขึ้น หลังจากที่เงียบฟังมาตลอด มือก็ตักผัดผักกับไข่เจียวให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้ขาด

“แม่ไม่เห็นว่าลูกจะตักอย่างอื่นให้ธันเขาเลยนอกจากผัดผักกับไข่เจียว ตักอย่างอื่นบ้างก็ได้”

“ธันเขาไม่ทานเนื้อสัตว์น่ะครับ” สองหนุ่มของบ้านตอบแทบจะประสานเสียงกัน แล้วตามมาด้วยการมองหน้ากันเลิ่กลักตามประสาน้าหลาน

“ผมลืมบอกไปครับว่าผมไม่ทานเนื้อสัตว์”

“เป็นมังสวิรัติเหรอลูก”

“ไม่เชิงครับ ผมเพิ่งมาถือเพราะเบญจเพส แต่ก็ไม่ได้เคร่งอะไร”

“ดีๆ แม่ก็อยากทำบ้างนะ แต่ทำไม่ได้ ไม่มีแรง ถ้าทำได้อย่างธันบ้างป่านนี้คงหุ่นดีเป็นสาวแรกรุ่น”

“ไม่ทันแล้วล่ะ” ผู้เป็นน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ กล่าว

“เดี๋ยวเถอะรัญ ฉันพี่แกนะ”

การหยอกล้อเฮฮายังคงสร้างความสุขให้อาหารมื้อเล็กของคนสี่คนที่กำลังจะก้าวเข้ามาในชีวิตเส้นทางเดียวกัน แต่หากมองลึกลงไปในใจของใครบางคน ความสุขที่ว่ามันแค่ฉากหน้า ที่ฉาบความเสียใจไว้ก็แค่นั้น

 

 

“เป็นไงบ้าง ดูมีความสุขดีนี่” จรัญเดินไปตบไหล่หลานชายเบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน

“น้าล่ะ เป็นไงบ้าง”

“ก็เรื่อยๆ”

ธันวาไม่พูดอะไรต่อ เขารับรู้ถึงความทุกข์ที่มีอยู่ในใจคนเป็นน้าได้อย่างดี

ย้อนไปเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ไม่ว่าเด็กชายที่มีศักดิ์เป็นน้าคนนี้มีอะไรดี เขาก็จะคอยนึกถึงหลานอย่างเขาเสมอ ขนมหนึ่งชิ้นที่อยู่ในมือ เขาจะไม่กินมันคนเดียว อย่างน้อยครึ่งชิ้นจะต้องได้ถึงท้องของหลาน

“ผมขอโทษนะ ที่แย่งของๆ น้าอีกแล้ว”

“ไม่เอาน่า กี่ครั้งแล้วที่แกพูดแบบนี้ ของเหล่านั้นมันสำคัญไม่ได้เศษเสี้ยวของธันธเนศด้วยซ้ำ อีกอย่างธันธเนศไม่ใช่ของๆ ใคร แล้วเขายอมแก”  น้าหลานสบตากันในความมืด “ดูแลเขาดีๆ” มือหนาตบไหล่หลานชายเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป

 

 

ธันธเนศยืนล้างจานอยู่ในครัว ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว

ครอบครัวของธันวาช่างดูสมบูรณ์แบบเหลือเกิน มีแม่ มีน้าที่แสนดี หากคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของธันวาเป็นผู้หญิงธันวาคงจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ได้มากกว่านี้ ผู้หญิงสักคนที่จะมาเป็นแม่ของเด็กตัวเล็กๆ เมื่อถึงเวลา มันคงจะทำให้บ้านนี้มีสีสันและมีความสุขมากกว่านี้ มากกว่าเขาที่เป็นเพียงผู้ชายไร้อนาคตคนหนึ่ง

“คิดอะไรอยู่หรือเปล่าลูก” เสียงของเกสรดังขึ้นใกล้ๆ เธอวางจานที่ซ้อนกันลงข้างเขา

“เปล่าครับ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

เธอผงกหัวเชิงเข้าใจ

“ไม่ต้องคิดมากนะ แม่เชื่อว่าเราสองคนแม่ลูก ถ้าได้ติดสินใจอะไรไปแล้ว ก็คือได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”

คำพูดของเธอก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอยอมรับในตัวผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้แล้ว แม้จะเพิ่งได้รู้จัก แต่ก็ช่างเถอะ เธอเชื่อว่าธันวาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล

“ธันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่ไหนเหรอลูก”

เขากะอยู่แล้วว่ายังไงคำถามนี้ก็ต้องมา มีหรือที่จะไม่รู้หัวนอนปลายเท้าของคนที่นิ้วนางข้างซ้ายสวมแหวนของลูกชายตนเอง

ธันธเนศสงบทำใจอยู่ชั่วครู่ มือยังคงทำความสะอาดจานชามตรงหน้า ความจริงคือสิ่งไม่ตาย ไม่บอกตอนนี้ ก็ต้องมีสักวันที่เธอต้องรู้เอง

“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ นี่แหละครับ คุณแม่คงรู้จักตระกูลอรุโณโรจน์ใช่ไหมครับ พ่อของผมก็คือพลตำรวจเอกเสกสรร อรุโณโรจน์ครับ” เคล้ง!

ทัพพีที่เธอเช็ดอยู่ร่วงลงพื้นจนทำให้การบอกเล่าของเขาชะงักชั่วขณะ เธอหยิบมันขึ้นมาเช็ดต่อ

“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ทุกวันนี้ผมก็เหมือนไร้ตัวตนกับบ้านหลังนั้นอยู่แล้ว”

คำพูดนั้นมันทำให้เธอสนใจยิ่งกว่าการรู้ว่าแท้จริงแล้วธันธเนศคือลูกชายของใครเสียอีก

 

เรื่องราวทุกอย่างถูกถ่ายทอดจากปากของธันธเนศจนหมดสิ้น ชีวิตที่ผ่านมาของเขากับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตที่เขาเรียกมันว่าความล้มเหลว

 

สิ่งที่เธอได้ฟัง มันทำให้เธอรู้ดีว่าลูกชายของเธอเองนั้นกำลังมีปราการด่านช้างขวางอยู่ ที่ความเป็นไปได้ในการข้ามผ่านไปเป็นไปได้น้อยมากหรืออาจไม่ได้เลย

แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็ไม่อาจหยุดยั้งอะไรได้อีกต่อไป ปล่อยให้เป็นความพยายามของคนทั้งสองแล้วกัน

 

“ยังไงคนในครอบครัวก็สำคัญที่สุดนะ แม่เชื่อว่าอย่างนั้น”

หญิงวัยกลางคนเอื้อมมือสองข้างมาจับมือเขาไว้ ธันธเนศหันไปเผชิญหน้ากับเธอตรงๆ มองรอยยิ้มที่พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้เขา

“กลับได้แล้วลูก เดี๋ยวที่เหลือแม่ทำเอง ธันวารออยู่ข้างนอกละ”

“ไม่เป็นไรครับอีกนิดเดียว เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

“กลับเถอะ” เธอลากเสียงยืนยัน “เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงตื่นไปทำงาน” ท่าทีมั่นเหมาะทำให้เขาต้องถอดผ้ากันเปื้อนออกอย่างจำใจ

“งั้นผมกลับแล้วนะครับ” เขายกมือไหว้

“มา ขอแม่กอดที” ความอบอุ่นจากร่างกายของหญิงที่เพิ่งได้เจอหน้าเป็นครั้งแรกส่งผ่านมาที่เขา มันเป็นความอบอุ่นอีกแบบหนึ่งที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนเลย ความอบอุ่นจากสายใยครอบครัว

“ตอนนี้ธันเป็นคนในครอบครัวแม่แล้วนะลูก”

 

 

หลังจากได้รับงานด่วนมาจากหัวหน้างาน ทำให้ธันธเนศมีเวลาแค่หนึ่งคืนในการเตรียมตัว

 

'ธันธเนศ คุณฉุยเขาโดนแมงกะพรุนไฟ ต้องกลับมารักษาที่กรุงเทพฯ คุณช่วยลงไปที่ภูเก็ตแทนเขาหน่อยสิ'

 

เขารู้ดีมันไม่ใช่การขอให้ช่วย แต่มันคือหน้าที่ที่เขาต้องทำตาม

นิตยสารท่องเที่ยวที่เขาทำงานอยู่จะมีการส่งทีมนักเขียนประจำกองบรรณาธิการเพื่อไปสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศด้วยตนเอง เพื่อนำมาสร้างคอนเทนท์แนะนำแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

 

เช้าตรู่ของวันถัดมา ธันธเนศรีบเร่งเพื่อไปให้ทันเที่ยวบินที่บริษัทจองให้ เขามีเพียงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบเดียวสำหรับการดำรงชีวิตที่ภูเก็ตสิบวัน กับกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์แบบพกพาแค่นั้น

“จะไปไหน”

ทีแรกเขาคิดว่าธันวายังไม่ตื่น เลยกะว่าสายๆ ค่อยโทรกลับมาบอกอีกที แต่ใครจะไปคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวเขาชนิดที่ก้าวขาออกจากห้องเป็นต้องรับรู้ในทันทีขนาดนี้

เมื่อล็อกกุญแจห้องเรียบร้อย เขาก็หันกลับไปมองคนที่ยืนจ้องเขาอยู่ตรงประตูห้องฝั่งตรงกันข้าม

“ภูเก็ต”

“ไปทำไม” สีหน้าคนถามเริ่มซีเรียสลงทุกที

“ทำงาน”

“วันนี้วันหยุด”

“งานด่วนน่ะ”

“แล้วจะไปทำไมไม่บอก”

“ก็นึกว่ายังไม่ตื่น”

“ก็นี่ไง พอขอไปนอนด้วยก็ไม่ให้นอน ไม่บอกผม แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะไปไหนมาไหน”

“ก็กะว่าจะโทรมาบอกทีหลัง จะจริงจังไปทำไมเนี่ย ไปนะ รีบ”

ธันธเนศพูดพลางลากกระเป๋าออกไป แต่คนที่ถูกเมินไม่ยอมหยุด ธันวาวิ่งตามมาคว้าแขนของคนที่กำลังจะไปไว้

“เดี๋ยวไปส่ง”

“ไปต้องหรอก เดี๋ยวไปแท็กซี่”

“ไม่ ผมจะไปส่ง” คนเสียงแข็งแย่งกระเป๋าลากใบโตมาไว้ในการควบคุมของตัวเอง ก่อนจะลากกลับเข้าไปในห้อง แล้วลากกลับออกมาพร้อมกับกุญแจรถ

 

 

ธันธเนศยังคงนิ่งเงียบ เขาเองก็ผิดที่ไม่ยอมบอกกล่าวก่อน อย่างน้อยเขากับธันวาก็เป็นอะไรๆ กันมากกว่าที่อีกฝ่ายจะไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาเลย ในเมื่อเขายอมให้ผู้ชายคนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาแล้ว ก็ต้องเดินในทางที่มันควรจะเป็น

แต่ใครจะไปคิดว่าคนอย่างธันวาบังเอิญตื่นมาทันตอนเขากำลังจะออกจากห้องพอดี

 

“ไม่ยักรู้ว่าต้องลงไปทำงานที่นั่นด้วย”

“อือ”

“แล้วอยู่นานเท่าไหร่”

“สิบวัน”

“ผมไม่สำคัญหรอ” เสียงแผ่วกับนัยน์ตาละห้อยหันมาทางเขา ขณะรถติดไฟแดง

“ไม่ต้องรู้ทุกอย่างก็ได้ ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

“ขนาดนี้แล้วยังไม่เรียกเป็นเหรอ ไม่รู้ล่ะ ผมต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ” เสียงแข็งเงียบลง

มือข้างหนึ่งที่กุมพวงมาลัยอยู่เอื้อมมาคว้ามือเขาไปกุมไว้บนขาของตัวเอง “ผมรักคุณไปแล้วนะ รับผิดชอบความรู้สึกผมด้วยสิ”

 

รถที่วิ่งมาถึงหน้าสนามบินเลี้ยวเข้าไปยังอีกทาง ซึ่งไม่ใช่ทางที่มันควรจะเป็น

“อ้าวไปไหน ไม่ไปหน้าเทอมินัลหรอ” คนที่กำลังรีบเอ่ยถามตาตื่น

“ไม่ ผมจะเข้าไปด้วย วนหาที่จอดรถแปบเดียว” คนที่กำลังขะมักเขม้นกับการมองหาที่จอดรถไปด้วยกล่าวตอบ

               

ในสนามบินธันวายังคงตามธันธเนศทุกฝีก้าว โดยมีตัวประกันเป็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ที่เอาไปลากเองจนเหมือนเป็นของตน ก็เพื่อให้แน่ใจว่าธันธเนศจะไม่แอบไปโดยที่ไม่ทันได้ร่ำลาอีก

 

“กินอะไรก่อนไหม ขึ้นเครื่องจะได้ไม่หิว”

“ไม่เป็นไรผมยังไม่หิว”

“งั้นรอนี่เดี๋ยว อย่าไปไหนนะ ผมไปซื้อกาแฟก่อน”           

ธันธเนศนั่งมองคนร่างสูงเดินไปยังร้านกาแฟใกล้ๆ แต่ก็มิวายมองมายังเขาเป็นระยะ เหมือนกลัวเขาจะหนีไป

ไม่นานนักร่างสูงก็เดินฉับๆ กลับมาด้วยความรวดเร็ว

“อะ ผมซื้อกาแฟมาให้” คนที่ถือเครื่องดื่มสองแก้วโตกับถุงกระดาษใส่อะไรบางอย่างหย่อนก้นลงนั่งข้างกัน

                “ผมกินได้ที่ไหนเล่า”

 “ผมสั่งแบบดีแคฟมาให้ ซื้อครัวซองต์มาให้ด้วย ทีแรกว่าจะซื้อแซนวิช แต่มันมีแฮมกับทูน่า อะ เอาไปกินบนเครื่อง เผื่อหิว”

เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเห็นธันวาในมุมนี้ เท่าที่รู้จักกันมา นักศึกษาหนุ่มที่ชีวิตดูไม่สนโลก ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วๆ ไป ไม่ไปเรียนหนังสือก็อยู่กับกลุ่มแก๊งที่สำมะเลเทเมาไปวันๆ ที่เห็นเป็นการเป็นงานหน่อยก็คงเป็นหน้าที่โค้ชที่ทำอยู่ แต่กับเขา ธันวาได้แสดงมุมๆ หนึ่งออกมา ชายหนุ่มคนนี้สามารถเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างดี บางที มันอาจจะไม่ใช่แค่ความรู้สึกชั่ววูบอย่างที่เขาเคยบอกไว้จริงๆ ก็ได้

               

นึกไปก็ขำ ไอ้เสือขาโหดที่หาเรื่องเขาแบบไม่มีเหตุผล ท้าตีท้าต่อย นิสัยอันธพาลป่าเถื่อน ปากก็หมา เผชิญหน้ากันทีไรก็ปานจะกินเลือดกินเนื้อ แต่พอมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ในตอนนี้ มันเหมือนไม่ใช่คนๆ เดียวกัน ธันวาเป็นเพียงลูกแมวตาแป๋วที่กลัวเขาจะหนีไปทิ้งให้อยู่อย่างไร้เจ้าของ สิ้นลายแล้วสินะ

คงต้องขอบคุณตัวเอง ที่ไม่รู้ไม่ทำอีท่าไหนให้เสือตัวนี้ลงเสน่ห์ไปเสียได้ เลยไม่ต้องเสี่ยงปากแตกอีกหลายๆ รอบ

“ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว ผมต้องไปแล้วล่ะ” นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเวลา

               

ธันธเนศหยุดรอคนที่ลากกระเป๋าตามมาต้อยๆ ข้างหลัง สายตาละห้อยบ่งบอกทุกสิ่ง

“ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ ไปแค่สิบวัน ไม่ใช่สิบปี” เขาว่า

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” เสียงอ่อยลากยาว

“ไม่ไปก็ตกงานสิ งอแงเป็นเด็กอนุบาลเลย เดี๋ยวผมก็กลับ”

“คุณไม่อยู่แล้วใครจะด่าผม เหงาหูแย่”

“คืออยากโดนด่า?” ธันธเนศเลิกคิ้วมองคนที่สูงกว่า “ได้ เดี๋ยวถ้าว่างจะโทรหา” มือเรียวยื่นไปหยิกพุงของคนที่ทำหน้างอ

“จริงนะ” สีหน้าเปลี่ยนเป็นเบิกบานทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “พูดแล้วนะ ถ้าว่างแล้วต้องโทรมานะ” ร่างสูงดึงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากอด

เขารู้อยู่ว่าธันธเนศเป็นยังไง แม้สถานะจะเป็นอะไรกันลึกซึ้งแค่ไหนก็เถอะ ถ้าไม่อยากคุยไม่อยากติดต่อก็คือไม่คุยไม่ติดต่อ สามารถหายไปได้ทั้งวันหรืออาจจะหลายๆ วัน มีแต่เขาที่ต้องตามตื้อตามหาเอง ไม่หวานเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ ทั่วไป

“ธันวา” เสียงที่เกิดจากการหายใจติดขัดเพราะถูกรัดจนแน่นเอ่ยออกมาเบาๆ แล้วพยายามผละออก “คนเยอะแยะ อายบ้างสิ”

“แล้วไง ก็ผมรักของผม” คำพูดที่ท้าทายสายตาคนที่เดินผ่านไปมากันให้ควัก ทำให้ธันธเนศต้องรีบยื่นบัตรผ่านขึ้นเครื่องให้เจ้าหน้าที่ตรวจเพื่อที่จะได้ผ่านเข้าไปในเกท

 

                ธันธเนศหันกลับมามองคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมตรงนั้น สายตาละห้อยหวนกลับมาอีกครั้งบนใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างนอกนั้น มีเพียงการโบกมือลาที่ใช้แทนคำพูดสุดท้ายจริงๆ ก่อนจากกัน ขณะที่เขาเดินไกลออกไปเรื่อยๆ จนลับตา

 

ธันธเนศนั่งรอเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้บริเวณหน้าประตูผ่านขึ้นเครื่อง เพื่อรอให้ผู้โดยสารที่กำลังต่อแถวขึ้นเครื่องบางตาลงก่อน แหวนสีเงินวงเล็กๆ บนนิ้วนางข้างซ้ายมันส่องประกายมากระทบตาเขา

จากเหตุการณ์ในคืนนั้นที่เขาพลาดท่าเสียทีให้ธันวา หากเป็นแค่เพราะอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการความสนุกจากตัวเขา ทุกอย่างมันก็คงไม่เลยเถิดมาถึงขนาดนี้

นับจากวันที่แหวนวงนี้มาอยู่บนนิ้ว เขารู้ดีว่าอิสระในการใช้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาจะมามัวพูดว่าอีกฝ่ายไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จะทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังก็ไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ยังมีอีกคนที่อยู่ในชีวิตเขา

ถามว่าเขารู้สึกยังไงกับธันวาในตอนนี้ บอกได้แค่ว่า ผู้ชายคนนั้นได้ใจเขาไปแล้ว อยู่ที่ว่าจะรักษามันไว้ได้อีกนานสักแค่ไหนก็แค่นั้น เขาก็ได้แค่ภาวนา




... ก่อนเหมันต์ ...
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-06-2018 22:46:49
ธันธเนศปากหนัก รักก็บอกไปสิ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-06-2018 22:49:09
 :pig4: :pig4: :pig4:

เปลี่ยนจากเสือกลายเป็นแมว

อะไรจะหงอยได้ขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-06-2018 23:21:48
สู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 23-06-2018 23:56:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 23-06-2018 23:57:54
น่ารักจัง อยากมีแบบนี้มั่ง
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-06-2018 01:55:02
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-06-2018 03:01:42
มีแม่ให้กอดแล้วเนอะ ธันธเนศ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 24-06-2018 09:18:29
เค้าลางปัญหาใหญ่เหมือนจะตามมาในไม่ช้านี้ สู้ๆๆไปด้วยกันละกันนะ ส่วนคู่เล็กมนต์รักสวนทุเรียนขอเป็นตอนหน้านะครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 24-06-2018 11:51:14
หวังว่าการไปภูเก็ตจะไม่มีแผนอะไรแอบแฝงตากครอบครัวนะ,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-06-2018 15:41:26
ครอบครัวธันวา อบอุ่น
และให้ความอบอุ่นมาถึงธันธเนศด้วย
เป็นธัน จะเลิกสนใจครอบครัวตัวเองที่เอาแต่ผลประโยชน์จากลูก
ไม่ได้ให้ความรัก ความอบอุ่นแม้สักนิด 
เหมือนคิดว่าตัวเองฉลาดกว่า ธันธเนศคิดไม่เป็น
ต้องอดตายแน่ๆ ทำอะไรไม่ได้ถ้าขาดครอบครัว งงกับครอบครัวนี้จริงๆ   :fire: :fire: :fire:
 
ธันวา  ธันธเนศ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 18 รักคือการเสียสละ (23/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 24-06-2018 21:30:00
น่าจะอยู่ในช่วงปรับตัวของคนเพิ่งคบกัน ^^
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 28-06-2018 19:09:15
กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆคู่เล็กเค้าพัฒนากันแล้ว
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-06-2018 22:05:41
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-06-2018 22:45:51
ได้อ่านคู่ยอห์นกับตี๋
แล้วรู้สึกดี๊ยยยยยยดี

ความรักสวยงาม
น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-06-2018 23:02:38
 :pig4: :pig4: :pig4:

เป็นไปได้ไหมว่า  ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น  เป็นการวางแผนของพี่สาวที่ต้องการจะจับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของน้องชายนั่นเอง
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-06-2018 23:44:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-06-2018 23:52:52
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-06-2018 00:29:23
อะไรอะไร จะเข้าร่องเข้ารอยเสียทีนะ
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-06-2018 00:32:38
ธันวางอนแล้วมั้งเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-06-2018 01:44:53
จบแล้วจบเลยจะตาพี่เขย ไม่ใช่ว่าให้เมียตัวเองมาวีนน้องชายนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 29-06-2018 10:33:21
เหมือนจะดี แต่อิคนอ่านกังวล เหอๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-07-2018 16:25:51
 :mew2: :mew2: :mew2:  เฮ้ออออ สงสาร
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-07-2018 19:30:33
ตอนก่อนหน้า เหมือนจะเข้าร่องเข้ารอย
แต่นี้ดราม่าซะงั้น เฮ้อ สงสารจง
 :mew6:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 02-07-2018 22:58:28
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 03-07-2018 00:01:33
ใครเจอแบบนึ้ ชีวิตโครตน่าสงสาร
ดราม่าซ้ำซ้อน

แต่เรืีองของธันวายังไม่พูดถึงนะ ขอดูยาวๆอีกนิด

ส่วนพี่เขย บอกตรงๆยังไม่ไว้ใจจริงๆ เรามันคนคิดมาก หุหุ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 03-07-2018 00:38:25
พลิกไปกี่ตลบแล้วนะเรื่องนี้ กลับไปกลับมา เหมือนจะดีกลับไปหน่วงจิตอีกแล้ว เหมือนจะดีแล้วก็กลับไปอีก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-07-2018 01:25:04
ปวดหมอง ปวดตับ ปวดต่อม  :hao5:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-07-2018 04:53:56
เรื่องมันผิดที่ใครเนี่ยยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 19 บอก (28/6/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-07-2018 08:22:20
:pig4: :pig4: :pig4:

เป็นไปได้ไหมว่า  ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น  เป็นการวางแผนของพี่สาวที่ต้องการจะจับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของน้องชายนั่นเอง

คิดเหมือน 
เพราะดูแล้วนางเป็นนังร้าย  :angry2:  ชอบแย่งของแฝดน้อง เลยแหละ 
แล้วประจบอ้อนพ่อแม่ พ่อแม่เลยลำเอียงรักแต่ลูกสาว
ขณะที่ธันธเนศ นิสัยแบบผู้ชาย อ้อนไม่เป็น
แล้วยังมาชอบเพศเดียวกัน
เลยทำให้ผิดหวัง  ชังน้ำหน้าเข้าไปอีก
ไม่รู้เลยรึ  ว่าลูกเขยก็คือคนรักลูกชายมาก่อน  ประสาท   :fire: :fire: :fire:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-07-2018 03:50:15
 :hao5:

หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 05-07-2018 00:39:29
โอ๊ะ ดราม่าตลอดเลย,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 05-07-2018 07:25:21
สงสารธันธเนศมากๆๆๆๆๆๆ ส่วนคู่เล็กก็เริ่มมุ้งมิ้งกันแล้วซินะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-07-2018 09:32:55
 :pig4: :pig4: :pig4:

เบื่อไอ่อาการคิดเองเออเอง

เป็นผู้ชายเสียเปล่า  ไม่ยอมเปิดอกคุยกัน

ก็สมน้ำหน้าหล่ะ  สำหรับธันวา

แต่สำหรับธันธเนศนั้น  น่าสงสาร   ถูกกระทำตลอดมา ทั้งจากครอบครัว  พี่สาว  และยังคนในห้องตรงข้ามอีก
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 07-07-2018 22:20:19
บวกเป็ดเป็นกำลังใจให้ธันครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 20-07-2018 15:51:50
มารอเรื่องนี้ มาต่อได้ละครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-07-2018 17:33:03
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 21 คำกล่าวลา (21/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-07-2018 18:57:03
เฮ้ออ ต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิด แต่ไม่ยอมพูดอธิบายเนาะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 21 คำกล่าวลา (21/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 21-07-2018 20:51:55
ทำไมรู้สึกอยากให้จากกันนิรันดร์ นิยายไม่จำเป็นต้องสมหวังทุกเรื่อง เดินเป็นเส้นขนานกันไปเลย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 21 คำกล่าวลา (21/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-07-2018 22:16:11
 :hao4:


อย่าเล่นกับความรู้สึกคน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 21 คำกล่าวลา (21/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-07-2018 22:57:26
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทิฐิมานะ  คือตัวการของความทุกข์
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 21 คำกล่าวลา (21/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 21-07-2018 23:20:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 21 คำกล่าวลา (21/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-07-2018 23:41:17
แต่ละคนอีโก้สูงๆทั้งนั้น เพลีย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 21 คำกล่าวลา (21/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 21-07-2018 23:44:57
ปวดตับ ปวดไต
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 21 คำกล่าวลา (21/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-07-2018 23:46:15
ถ้าเปิดใจคุยกันได้ ต่างคนก็ต่างไม่เจ็บนะ อีกคนก็เสียใจ อีกคนก็น้อยใจ
คิดเอง เออเอง เจ็บเอง ก็เข้าใจนะเราคนนอกมองเห็นปัญหานั้นง่าย
แต่ถ้าเป็นธันวา ก็คงจะเป็นแบบนั้นนะ สลัดไม่ออกจากใจสักที สงสาร
 :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 21 คำกล่าวลา (21/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 22-07-2018 03:02:31
เศร้า,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 21 คำกล่าวลา (21/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-07-2018 03:42:01
อีกตั้งปีกว่าจะได้เจอกัน จะดีกันได้เมื่อไหร่หนอ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 20 ไม่เหลือใคร (2/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-07-2018 04:59:37
ทำไมไม่ฟังอะไรเลยธันวา เอาแต่คิดไปเอง
ความจริงที่ไม่เป็นอย่างที่คิด ที่เห็น
ธันวาไม่หนักแน่นเลย   :angry2:
เหมือนจะโต แต่ที่แท้เด็กน้อยชัดๆ ใจน้อย
แม้กับคนรักที่เป็นคู่หมั้นตัวเองทำไมไม่ฟังซะหน่อยที่ผ่านมา
ที่ตามตื๋อตามติดก่อนได้มาเป็นคู่หมั้น นั่นมันใคร  ตลก น่าเบื่อมาก   :m16:

แต่ไอ้การเลิกแล้วต่อกันด้วยดีของธันธเนศกับแฟนเก่า
โดยการขอกอด เหมือนจะไม่มีอะไร
แต่คนรักจริงที่มาเห็นก็น่าเข้าใจผิดจริง เป็นข้อคิด วิธีที่ไม่น่าทำจริงๆแม้บริสุทธิ์ใจ  :hao3:

รอการตกตะกอน ตกผลึกของคนคู่นี้
จะมีใครไปเบิกตาเปิดใจไอ้เด็กขี้ใจน้อยนะ
คาดว่าน่าจะเป็นกษิษณ์พี่เขยธันธเนศละมั้ง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 26-07-2018 17:34:31
เราต้องปล่อยให้หมาบ้าบ้าต่อไป ปล่อยดิ้นกันไป ดุ๊กดิ๊กๆ   :m16:


อ่านไปอ่านมาก็ อ้าวววว ธันวามันร้ายนี่หว่า ตอนแรกก็ว่ามันร้ายแล้วนะแต่ไม่คิดว่ามันร้ายและเลวด้วยตั้งแต่เด็ก สงสารน้ารัญจังเลย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-07-2018 18:29:22
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 26-07-2018 18:38:17
สงสารธันธเนศอะ ขอให้ธันเจอคนดีๆบ้างเถอะแงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-07-2018 18:43:58
เอาแล้วๆ จะใจอ่อนไหมธัน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 26-07-2018 21:23:20
ไม่อยากให้ธันคู่ธันวาอะ ดูงี่เง่า เด็กนิสัยไม่ดี สงสารรัญจริงๆมีหลานแบบนี้ แล้วไหนจะพี่สาวของธันอีกแย่งแฟนน้องแต่ไม่เห็นจะได้รับกรรมอะไรเลย ไม่รู้สึกผิดด้วย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-07-2018 23:25:27
 :pig4: :pig4: :pig4:

คุณแม่...ช่างแยบยลมากอ่ะ  เลื่อมใส
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-07-2018 23:52:13
 :z3:


งื้อออออออ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-07-2018 00:09:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 27-07-2018 01:36:58
สงสาร,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-07-2018 10:28:02
เอาน่า  ถือว่าเป็นบทเรียนละกัน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 29-07-2018 23:10:52
รอดูธันวา ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 22 (อ)ยากจะลืม (26/7/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nuum ที่ 30-07-2018 00:49:33
เดี๋ยวก็ได้เจอกัน
เชื่อสิ


         :man1: :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 23 เด็กชายณันธเนศ (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-08-2018 18:39:51
ความเจ็บไข้ได้ป่วย บางทีก็มาโดยไม่รู้สึกตัวนะ คนเราเอาแน่นอนไม่ได้
อย่างน้อย ก็ขอให้ 2 ธัน พบกันเร็วๆ นะ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 23 เด็กชายณันธเนศ (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-08-2018 18:56:26
น่าสงสารเด็กน้อย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 23 เด็กชายณันธเนศ (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 09-08-2018 19:55:21
ธันธเนศก็ได้อยู่กับณันธเนศ (เด็กผู้ชายบ้านนี้น่าสงสารจังเลย) ส่วนธันวานั้น... ช่างมันเถอะ ปล่อยให้ธันวาอยู่กับธันวาไปนั่นแหละนะดีแล้ว
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 23 เด็กชายณันธเนศ (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-08-2018 21:18:35
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 23 เด็กชายณันธเนศ (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 09-08-2018 22:49:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 23 เด็กชายณันธเนศ (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-08-2018 23:17:15
 :hao5:
 

สงสารเด็กน้อยจับใจ ลูกเอ้ยย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 23 เด็กชายณันธเนศ (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-08-2018 23:29:03
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ.......น่าสงสารนุ้งตัวตุ่น  ภายในวันเดียวสูญเสียเสาหลักไปถึง 3
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 23 เด็กชายณันธเนศ (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: tomnub ที่ 09-08-2018 23:58:56
 :mew4: :mew6:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 23 เด็กชายณันธเนศ (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 10-08-2018 00:01:24
สงสารเด็กน้อย,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 23 เด็กชายณันธเนศ (9/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-08-2018 00:55:57
โถ~น้องตุ่น
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 24 พี่สาว (16/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-08-2018 16:36:04
 :เฮ้อ:


 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 24 พี่สาว (16/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-08-2018 17:03:49
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 24 พี่สาว (16/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-08-2018 18:15:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอรับลูกเสริฟความเศร้าที่ต้องประสบ  เพื่อพบกับตอนจบในครั้งหน้า
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 24 พี่สาว (16/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-08-2018 19:01:10
พลิกล็อค   :z3: :z3: :z3:
มันไม่ใช่อย่างที่รู้  o22 o22 o22 o22

แต่ดีแล้วที่ธันวา ตามธันธเนศเจอ
แล้วประสบผลสำเร็จ เพราะเนศ รักธันเหมือนเดิม    :impress2:

ธันวา  ธันธเนศ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 24 พี่สาว (16/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-08-2018 19:24:02
จบแบบเศร้าเคล้าน้ำตา แต่ยังดีที่มีอีกคนเป็นหลักให้ยึด
 :เฮ้อ:
สู้ๆ นะ
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 24 พี่สาว (16/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 16-08-2018 23:04:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 24 พี่สาว (16/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-08-2018 23:09:49
อยากให้พี่น้องได้เปิดอกคุยกัน  :hao4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 24 พี่สาว (16/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 17-08-2018 00:07:50
เจอกันแล้ว ทีนี้ก็เหลือเพียงแค่การกลับมาไทย,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 24 พี่สาว (16/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-08-2018 03:37:34
ใกล้จะลงเอยกันแล้ว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-08-2018 19:50:05
มีนา ไปดีนะ หมดห่วงแล้ว  :sad11:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-08-2018 19:54:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

เศร้า.......

แต่......

เหตุการณ์ระหว่างสองธันยังไม่จบนะ   รออยู่  อิอิ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-08-2018 19:56:09
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-08-2018 21:07:27
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-08-2018 21:51:44
รอตอนพิเศษนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 22-08-2018 00:12:04
รอตอนพิเศษนะครับ. สนุกมากครับผม,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 22-08-2018 02:13:55
เราตกหลุมรักตัวตุ่นซะงั้นทั้งที่มาไม่กี่ตอน ฮือออออขอข้ามช็อตไปตอนที่ตัวตุ่นโตแล้วทำน้าๆปวดหัวได้ไหมคะคงจะกรรมตามทันน้าเนศที่แท้จริง 555555555 คงน่ารักมากตัวตุ่นน่ารักกกรอตอนพิเศษค่ะอยากดื่มด่ำความหวานแล้วววว
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 22-08-2018 12:31:18
รอตอนพิเศษจ้า   :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-08-2018 23:24:07
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 24-08-2018 16:27:40
ตอนจบเศร้าจัง

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 25-08-2018 21:29:23
เข้ามารอติดตามตอนพิเศษครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 26-08-2018 01:37:49
ร้องไห้เลย จบได้ใจร้ายมั่กกกกก ดิ้นๆๆๆๆๆๆ ขอตอนพิเศษด่วนๆค่า  ฮีลใจหนูหน่อย  แต่มันก็ทำให้เห็นว่าชีวิตในนิยายไม่ได้สวยหรูเสมอไป คนที่เราเห็นว่าร้ายก็ยังมีมุมที่รู้สึกว่าเค้าน่าสงสาร อย่างพ่อเสกสรร เอาจริงเค้าก็รักลูกนะแต่เผอิญรักไม่เท่ากันแล้วยังมีทิฐิอีก เลยทำให้เรื่องราวมันยุ่งยากดราม่าขนาดนี้  แม่รักลูกจริงแต่ก็ตามใจผัว  มีนาร้ายที่อิจฉาน้อง แต่สิ่งที่ทำลงไปก็เป็นผลพลอยได้จากการไม่ได้รับความรักอย่างเท่าเทียมจากพ่อ แถมพอมีผัว(ที่แย่งมา)ผัวยังมาตั้งชื่อลูกชายให้คล้องกับชื่อน้องอีก มีนก็คงจะฝังใจเจ็บน่าดู กล้าทำเรื่องผิดพลาดลงไปแต่ก็ยังรักธันอย่างไม่เสื่อมคลายจึงต้องทำดีเพื่อชดใช้ความรู้สึกผิดของตัวเอง(เสียดายที่ต้องมาตายกระทันหัน เพราะเค้าก็เป็นคนที่ตอนนี้หวังดีกับธันธเนศจริงๆ)

ดีใจที่ได้เห็นการเติบโตทางด้านวุฒิภาวะทางอารม์และความคิดของธันวา(ถึงจะเกิดขึ้นช้าไปหน่อย) ก็ทำให้เรามั่นใจว่ายังจะมีคนๆนี้คอยอยู่ข้างธันเสมอ

เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ได้เห็นพัฒนาการของตัวละครทุกตัว ถึงจำนวนตอนจะกลางๆไม่สั้นไม่ยาว แต่กลับทำให้รู้สึกผูกพันธ์กับพวกเค้าจริงๆ คงเป็นเพราะได้ร่วมรับรู้เหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดพลิกผันของแต่ละคน ขออวยพรให้ต่อไปธันแข็งแกร่งขึ้นและอยากให้ชีวิตธันมีความสุขมากๆ เพราะเศร้ามาเยอะแล้ว(พิสูจน์ได้จากปริมาณน้ำตาของชั้น!) เลี้ยงหลาน ดูแลธุรกิจครอบครัว แล้วมีคนข้างๆอย่างธันวาคอยใส่ใจ ขอให้น้องเนศเติบโตเป็นเด็กที่ดี จิตใจแจ่มใส

ปล. เราเศร้ามากตอนที่ตี๋ไปนั่งเฝ้าสองธันได้กัน โคตรสะเทือนใจเลย เราทีมตี๋ ฮือออออ
ปล.2 มาต่อเร็วๆนะคะ รอตอนพิเศษฮีลใจอยู่~ ขอบคุณค่าา <3
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-08-2018 20:50:32
 :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: tomnub ที่ 04-09-2018 23:16:26
ขอบคุณครับที่แต่งนิยายดีๆให้อ่าน
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 06-09-2018 21:58:36
ตอนหลังๆ หน่วงมากเลย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - บทที่ 25 ฉากสุดท้าย (21/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 12-09-2018 16:16:32
 :laugh: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 13-09-2018 00:26:36
หวานกำลังดี. ชอบๆๆ ตอนพิเศษมาบ่อยๆนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 13-09-2018 04:33:27
ดีมาตลอด มาพังตั้งแต่ตอนเมษา time skip สุด งงมาก คาแรกเตอร์ตัวละครก็เปลี่ยน เริ่มไม่มีเหตุผลกันละ ขนาดพี่ธันที่ตอนแรกดูเท่เข้มแข็งยังมาพลาดท่าให้ธันวาแบบงงๆ อ่อนแอเฉย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-09-2018 08:26:31
 :z1: :pighaun:  :heaven
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 13-09-2018 14:32:56
ธันธเนศเข้มแข็งดีมาก ส่วนธันวาก็อดทนเก่งมาก ตั้งปีนึงแน่ะ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-09-2018 18:46:00
เข้าใจกันเสียที หลังจากที่อีกฝ่ายคิดเอง เออเองไปคนเดียว
ตอนพิเศษตอนหน้า ขอให้จรัญมีคู่กับเขาด้วยนะ สงสารคนที่เสียสละให้คนที่ตัวเองรักมามากแล้ว
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-09-2018 17:00:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: hardened-boy ที่ 15-09-2018 21:18:11
 o22 o22
ชอบแนวนี้ครับ
จีบกันยากๆ
กวนกันไปกวนกันมา ฟิตดี
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 15-09-2018 23:14:04
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: tomnub ที่ 16-09-2018 10:56:50
อยากมีตอนพิเศษ ตอนโตของตัวตุ่นจัง
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 16-09-2018 16:41:56
 :haun4:  :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-09-2018 01:59:41
จบแบบครอบครัวสุขสันต์
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - อัพตอนพิเศษ!!! (12/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ก่อนเหมันต์ ที่ 04-11-2018 13:20:28
*** แจ้งข่าว ***

เรื่อง ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง ได้มีการรีไรท์ใหม่ทั้งหมด เพื่อความสมบูรณ์มากขึ้นของเนื้อหา
ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มฉากหรือตอนต่างๆ เข้าไปใหม่ในเนื้อเรื่องด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้อ่านสามารถติดตามฉบับรีไรท์ได้ที่เว็บไซต์ DEK-D แล้วก็ readAwrite

DD: https://is.gd/Xzjh44 (https://is.gd/Xzjh44)
rAw: https://is.gd/V2K12U (https://is.gd/V2K12U)



หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 13-11-2018 10:58:20
กว่าจะเข้าเข้าใจกัน ต้องห่างกันตั้ง2 ปีแนะ แต่ก็แฮปปี้น่ารักมาก ธันวาเป็นคนมั่นคงประมานนึ่งเลยน่ะ ถึงจะขี้น้อยใจไปบ้าง แต่วัยรุ่นอ่ะเข้าๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-11-2018 09:37:41
จบลงแบบดีๆ แต่ก็นะระหว่างทางนี่น้ำตามาเลย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: NYpat ที่ 19-11-2018 01:23:26
อ่านจบแล้ว  แต่เหมือนอารมณ์ยังไม่สุดๆ เหตุการณ์ ยังดูขัดๆ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-11-2018 03:42:11
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 25-11-2018 16:02:36
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 29-11-2018 13:07:40
ขอบคุณค่า สนุกมากเลย
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 21-08-2019 23:55:28
ขอบคุณมากนะครับ
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: BankkunG23 ที่ 28-08-2019 16:54:29
อ่านตอนจบ นี่น้ำตาไหลเลยนะ :mew6: ขอบอกกกกก
แต่พอได้อ่านตอนพิเศษ ก็ยิ้มแก้มบานเลยยยยย
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 31-08-2019 08:51:28
ยังไม่จบใช่มัย จะมีมาต่อเรื่อยๆให้อยู่รออ่านต่อไป
ขอบคุณนักเขียน กับเรื่องราวที่มีสาระดีๆ
จะรอคอยและติดตามต่อไปค่ะ
With love
 :mew1: :pig4: :mew1: :pig4: :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 05-09-2019 05:14:58
นายเอกกวนประสาทดีแท้ o22
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 11-09-2019 01:30:25
ตอนจบเศร้าจังค่ะ​ นายเอกเหลือครอบครัวคนเดียวก็คือหลาน​ โชคดีที่มีคนรักอยู่ข้างๆคอยให้กำลังใจกัน :hao5:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 11-09-2019 10:42:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: joborcusier ที่ 25-09-2019 10:48:45
งืมมมอิ่มใจมาก ครบทุกรสทุกอารมณ์ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ มีเรื่องอื่นๆก็จะติดตามต่อไปค่ะ :-[ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: yibsee2009 ที่ 01-10-2019 20:09:15
จบแล้ว  สนุกดีครับ  ถึงแม้ช่วงหลังๆ จะบีบใจสุดๆ 
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 06-12-2019 07:48:03
สนุกมาก ๆ อ่านเพลินเลย เรื่องราวเข้มข้นดี หน่วงหน่อย ๆ แบบนี้ดีถูกจริตนักแล

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห้องตรงข้ามผมมันนักเลง - *** แจ้งข่าวรีไรท์ *** อัพตอนพิเศษ!!! (4/11/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 21:29:35
 :pig4: