In The Shadows' เงาหลอน ซ่อนรัก '[YAOI][#47 ปีกสีขาวที่หวนคืน][END](12/8/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: In The Shadows' เงาหลอน ซ่อนรัก '[YAOI][#47 ปีกสีขาวที่หวนคืน][END](12/8/63)  (อ่าน 22470 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 36 คำลวงของซาตาน


ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเย็นนั้น ยังคงทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด มันเหมือนกับมีอะไรบางสิ่ง บางสิ่งที่เลวร้ายก่อตัวอยู่ใกล้ๆ ความอึดอัด กลิ่นอายที่ทำให้กระวนกระวายใจ ผมจะทำยังไงดีนะ ผมไม่มีใครให้พึ่งอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว

"พี่ชายฮับ" ผมสะดุ้งน้อยๆ ทันทีที่รู้สึกถึงแรงดึงเบาๆ ที่กางเกงนอน และก็พบว่าเจ้าเครปตัวน้อยกำลังเกาะขาของผมอยู่

"ว่าไง ทำไมยังไม่นอน ไม่ง่วงเหรอครับ" ผมอุ้มน้องขึ้นมาและจับนั่งลงที่ตัก หอมหัวทุยๆ น้อยๆ นั้นอย่างรักใคร่

"น้อนเครปอยากฟังนิทาน" เจ้าตัวน้อยหันคอเล็กๆ มองผมด้วยแววตาออดอ้อน แล้วแบบนี้ผมจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ

"งั้น เรื่องเดียวน้า ฟังจบแล้วต้องนอนนะครับ" ผมพูดและมองน้องชายที่พยักหน้าหงึกหงักอยากกระตือรือร้น

น้องเครปรีบคลานต้วมเตี้ยมลงจากเตียงและวิ่งดุ๊กดิ๊กไปที่ตู้หนังสือที่มีหนังสือวางเรียงราย ผมจัดตู้เล็กๆ ตู้หนึ่งให้เต็มไปด้วยนิทานของโปรดเจ้าตัวเล็ก ซึ่งผมนั้นก็อ่านให้น้องฟังเป็นประจำ แถมยังมีถุงมือที่เป็นตัวสัตว์น่ารักๆ ประกอบฉากอีกด้วย ผมนี่ก็ลงทุนเหมือนกันนะ

ผมเลื่อนตัวจากเตียงเปิดตู้ลิ้นชักข้างๆ ที่ผมชอบเก็บอุปกรณ์เล่านิทานไว้ ดึงถุงมือตุ๊กตาน่ารักๆ หลายตัวออกมาเตรียมพร้อม ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแค่รอเจ้าตัวเล็กเลือกหนังสือนิทานเสร็จเท่านั้น

"เอาล่ะ พี่พร้อมแล้วน้า น้องเครปเลือก..." ผมสวมถุงมือไว้ในมือด้วยรอยยิ้ม และหันไปมองน้องเครปที่กำลัง...

ผมหัวใจสั่นไหว มองน้องชายด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย น้องเครปยืนอยู่ตรงนั้น ข้างตู้หนังสือ และกำลังเงยหน้ามองอะไรบางสิ่งที่อยู่มุมห้อง น้องเครปกอดหนังสือนิทานเล่มใหญ่ไว้ และยังคงจ้องมองค้างอยู่อย่างนั้น

"เครป" ผมตัดสินใจข่มความกลัวเอาไว้ และลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว ผมลงไป คุกเข่าจับแขนน้องไว้ และหันใบหน้าของน้องให้มามองหน้าผม

"ม.มีอะไรเหรอ" ผมถามน้อง ด้วยน้ำเสียงที่สะกดความหวาดหวั่น พลางเหลือบตามองในมุมที่ว่างเปล่า ความกลัวและหวาดระแวงของผมนั้นไม่ธรรมดา ผมที่เคยเจอเรื่องแบบนี้มานับไม่ถ้วน ผมไม่อยากให้น้องต้องเป็นอันตราย หรือเดินตามรอยเท้าของผม

น้องเครปไม่ได้ตอบผม แต่จ้องมองผมด้วยแววตาใสๆ ไร้เดียงสาเหมือนเช่นเคย

"น้อนเครปอยากฟังเรื่องนี้ฮะ" ผมมองน้องที่ยื่นหนังสือในมือให้ผมด้วยรอยยิ้มหวาน ผมคงคิดมากเกินไปสินะ คงคิดมากเกินไปจริงๆ



ในค่ำคืนที่ชวนให้หลับไหล เปลือกตาของผมสั่นเบาๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัด ราวกับถูกกดให้ดำดิ่งลงสู่สายน้ำเย็นที่ไหลเชี่ยว ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ เพดานที่มืดสลัว ค่อยๆ แจ่มชัดในสายตา

เสียงหวีดหวิวที่ดังขึ้นเบาๆ ราวเสียงกระซิบ ทำเอาขนทั้งร่างของผมตั้งชัน ผมค่อยๆ ยันกายขึ้นช้าๆ หันมองผ้าม่านสีขาวที่กำลังเคลื่อนไหวตามแรงลม

พายุ งั้นเหรอ...

ผมขมวดคิ้วน้อยๆ นึกถึงเรื่องราวในช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ก่อนที่ผมจะนอนหลับไป ผมกำลังเล่านิทานให้เครป น้องชายของผมฟัง...

และทันทีที่นึกขึ้นได้ ผมรีบมองไปที่ข้างลำตัวของผม มองหาน้องชายตัวเล็กที่หลับไปก่อนที่ผมจะเล่านิทานจบ  แต่ว่าตอนนี้สายตาของผมนั้นมองเห็นแต่เพียงความว่างเปล่า น้องคงจะเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองแล้ว หรือคุณแม่มาพากลับไปแน่ๆ

ผมคิด ก่อนจะทำท่าเอนตัวเตรียมพร้อมที่จะนอนหลับตาอีกครั้ง

ครืนนนนน เปรี้ยง!

เสียงที่ดังแทรกผ่านลมหวีดหวิว ทำเอาผมสะดุ้งตัวน้อยๆ ด้วยความตกใจ สายตามองดูบานหน้าต่างและผ้าม่านที่กำลังส่ายไหวไปมา

เปรี้ยง!

และก็อีกครั้ง เสียงที่ดังก้องสะท้อนไปทั้งผืนฟ้า ม่านสีขาวเริ่มชุ่มเปียกไปด้วยหยดน้ำพร่างพราว ผมลุกขึ้นจากที่นอน สองเท้าก้าวเดินไปยังหน้าต่าง ยื่นมือออกไป หวังไขว่คว้าบานหน้าต่างที่กำลังกระพือไหวนั้นให้ปิดลง สะกัดกั้นลมฝนที่กำลังบ้าคลั่ง

เปรี้ยง!

และก็อีกครั้ง แสงสีขาวที่กระพริบไหว ตามมาด้วยเสียงที่ดั่งสนั่น ผมหันหน้าเอียงหลบแสงสีขาวนั่น สองมือมั่นจับไว้ที่หน้าต่าง เพียงออกแรงดึง ทุกอย่างก็คงจะค่อยๆ สงบลง

แสงสว่างจากฝากฟ้าที่กระพริบอยู่ด้านนอกนั้นอีกครั้ง สาดส่องเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะมืดดับลง ผมเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง ใบหน้าของผมค่อยๆ มองต่ำลง มองไปยังพื้นห้อง พื้นที่เปียกปอนไปด้วยละอองหยาดฝน

หัวใจที่เคยสงบนิ่งอยู่ในอกนั้น ตอนนี้กลับค่อยๆ เคลื่อนไหวราวกับจะบ้าคลั่ง แสงสว่างจากฟากฟ้ายังคงกระพริบถี่ สาดส่องให้เห็นถึงพื้นไม้สีอ่อนที่ถูกย้อมไปด้วยสีของของเหลวที่หยดลง และถูกทำให้ขาดช่วงเป็นทางยาว

ผมยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยหัวใจที่ถูกยึดตรึงอยู่ในห้วงแห่งความหวาดกลัว ผมเริ่มขยับเท้าที่แสนหนักอึ้ง เดินช้าๆ ไปตามรอยที่ถูกทิ้งไว้ ตัวของผมสั่นเทา ขบฟันแน่น ภาวนาขอให้สิ่งที่ผมกำลังคิด ขอให้มันไม่ได้เกิดขึ้น

รอยเลือดที่ยังคงทอดยาวอยู่เบื้องหน้า ทำให้น้ำตาของผมเริ่มปริ่มไหลออกมา ไม่ว่าอะไร หรือใครที่ถูกทำให้เลือดไหลออกมามากมายขนาดนี้ คงจะต้องเจ็บปวดมาก คงจะต้อง ทุกข์ทรมาน ทรมานจนแทบขาดใจ

แต่ผมที่เดินตามรอยเลือดนี้ ก็เริ่มหยุดชะงักลงที่หน้าประตูห้องนอน ผมค่อยๆ คุกเข่าลง มองดูรอยเลือดตรงหน้าที่ลักษณะของมัน ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป

นี่ไม่ใช่รอยเลือดที่คนเจ็บพยายามเดินไปตามทางอีกแล้ว มันคือรอยลาก มีใครบางคน ลากคนที่กำลังเจ็บไปบนพื้น ใครกัน ใครที่จะทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้น

"ค.คุณพ่อ ต้องบอกคุณพ่อ" ผมหลบเลี่ยงรอยเลือดบนพื้น วิ่งสุดกำลังไปตามระเบียงทางเดินที่ทอดยาว หักเลี้ยวที่มุมขวา ห้องทำงานที่คุณพ่อชอบนั่งอยู่ดึกดื่นค่อนคืน

ผมยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม้สีเข้ม เบี่ยงสายตาหลบหลีกความเป็นจริงที่บอกว่า รอยเลือดบนพื้นนั้นลากยาวมาจนถึงที่นี่ และสิ้นสุดที่ห้องนี้

ผมกัดริมฝีปากไว้ด้วยน้ำตาที่เริ่มอาบนองทั้งใบหน้า ยื่นมือช้าๆ ผลักบานประตูใหญ่ที่ค่อยๆ เปิดออกทันที

ภายในห้องทำงานที่มืดสลัว ผมไม่ได้สนใจชั้นหนังสือสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ทั่วทุกด้านของผนัง สายตาของผมจ้องมองอย่างสั่นไหว ไปยังโต๊ะทำงานตรงกลาง เป็นโต๊ะทำงานไม้โอ๊กขัดมัน เป็นโต๊ะทำงานที่ทำให้ทั้งห้องดูอบอุ่นเมื่อต้องแสงของตะวัน

ผมค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปช้าๆ ด้วยหัวใจที่เต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก เงามืดจากชั้นหนังสือ ทำให้ดวงตาของผมต้องเพ่งมองไปยังโต๊ะทำงานตรงกลางห้องมากขึ้น และแน่นอน คนที่ผมกำลังตามหา ท่านกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น บนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ เก้าอี้ที่ท่านรัก

"ค.คุณพ่อครับ" ผมมองไปยังเงาของคนที่นั่งอยู่ พลางร้องเรียกออกไปด้วยเสียงที่สั่นเครือ

ผมกลั้นใจ เดินต่อไปข้างหน้าด้วยขาที่สั่นและอ่อนแรง ผมเริ่มร้องไห้มากขึ้น เมื่อก้าวเดินมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างเก้าอี้ ข้างๆ คุณพ่อที่นั่งอยู่แต่กลับก้มหน้าลงต่ำ ราวกับว่าไม่รู้สึกถึงการมาของผม

อาจจะหลับ คุณพ่อคงจะกำลังหลับ ผมเฝ้าแต่คิดและบอกตัวเองแบบนั้น บอกตัวเองให้มีความกล้ามากขึ้นเพื่อที่จะแตะตัวของคุณพ่อ เขย่าแขนของคุณพ่อ ด้วยความหวังว่าคนตรงหน้าจะลืมตาขึ้น มองผม และส่งยิ้มให้ผมเหมือนเช่นเคย

แต่ความคิดของผมนั้น มันก็แค่การหลอกตัวเอง

แรงขยับเพียงนิดที่ผมส่งถึงร่างกายคนตรงหน้า ทำให้ร่างทั้งร่างที่นั่งอยู่อย่างไม่มั่นคง ไถลล้ม ลื่นหล่นลงจากเก้าอี้

ร่างทั้งร่างของผมสั่นเทา ดวงตาเบิกกว้าง ถอยหลังออกไปสามก้าวด้วยความรู้สึกที่ตกใจสุดขีด

"คุณพ่อ!!!" ผมร้องตะโกนออกไปสุดเสียงและตั้งสติวิ่งเข้าไปหาคุณพ่ออีกครั้ง

น้ำตาที่หลั่งรินทำให้ดวงตาของผมแสบบวมปวดร้าว ผมร้องเรียกคุณพ่อพลางเขย่าท่านหลายครั้ง แต่ดวงตาของท่านก็ยังคงปิดสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงของลมหายใจ

มือทั้งสองข้างของผมชุ่มโชกไปด้วยของเหลวสีแดง หยาดเลือดยังคงรินไหลออกจากร่างของท่าน และต้นตอที่ทำให้ผมเสียบุคคลที่ผมรักไปอีกครั้งก็คือ มีดเล่มหนึ่งที่ยังคงฝังลึกอยู่ที่ด้านหลังของท่าน

ใครกัน ใครที่ทำเรื่องแบบนี้!

"เพราะตัวเธอเองนั่นแหละ" เสียงกระซิบที่ข้างหูทำเอาผมสะดุ้งสุดตัว พลางกระเสือกกระสนลุกขึ้นเพื่อจะหนีสุดชีวิต ผมออกวิ่ง วิ่งออกจากห้องทำงานของคุณพ่อ สองมือปิดหูที่ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสะใจดังออกมาจากห้องนั้น

ไม่! ทำไมถึงอยู่ที่นี่ เสียงนั่น! เสียงของอาจารย์นาธัส

ผมวิ่งอย่างร้อนรนมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของคนอีกคนที่ผมเคารพรัก ผมต้องพาพวกเขาไป ต้องหนีไปจากที่นี่ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ตึง!

"คุณแม่! คุณพ่อเขา..." เสียงบานประตูที่ถูกผลักออกยังคงส่งเสียงดังสะท้อน ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่อาจเปร่งถ้อยคำใดๆ ออกจากปากมากกว่านี้

ดวงตาโตเต็มล้นไปด้วยหยาดน้ำตา ผมสำลัก ลำสักหยาดน้ำตาและสะอื้นร่ำไห้อย่างอ่อนระโหย แขนขาอ่อนแรง แทบทรุดลงที่หน้าประตู

ร่างของผู้หญิงที่แสนใจดีแกว่งไกวไปตามสายลมแรง เชือกที่ผูกรั้งลำคอระหง ดวงตาของเธอเบิกค้างไว้ฉายแววตื่นตระหนกสุดชีวิตก่อนที่จะขาดสิ้นลมหายใจ

ทุกอย่าง...เป็นเพราะผม เพราะผมเข้ามาในชีวิตของพวกเขา ชีวิตที่แสนจะสงบสุข ผมเป็นคนทำลายทุกสิ่ง ผมมันใฝ่สูงเกินตัว ที่อยากจะมีชีวิต มีครอบครัว ได้รับความรักเหมือนคนอื่นเขา แต่สิ่งสุดท้ายที่ผมตอบแทน ตอบแทนความรักของพวกเขาก็คือ...ความตาย

ผมหมดสิ้นเรี่ยวแรง คุกเข่าลงต่อหน้าคนอีกคนที่ผมเคารพรัก หมดสิ้นแล้วทุกอย่าง ครอบครัวที่คอยเจือจุน บ้าน...ที่ผมสามารถกลับไป

กรี๊ดดดด!!

เสียงกรีดร้องที่แทรกผ่านลมฝนนั้น ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์แห่งความเศร้าโศกเสียใจ

เสียงนั่น ใช่แล้ว ผมในตอนนี้ยังไม่ได้สูญเสียทุกคนไป ผมยังคงมีน้องๆ ของผม และผมต้องปกป้องพวกเขาไว้ให้ได้

ไวกว่าความคิด ผมลุกขึ้นจากพื้นและออกวิ่งไปยังต้นตอของเสียงกรีดร้อง ผมสามารถทำทุกสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อช่วยให้เด็กๆ ทั้งสองปลอดภัย ขอให้ทันเถอะ ขอให้ผมช่วยพวกเขาไว้ได้

ผมวิ่งและผลักประตูทุกบานเพื่อหาน้องๆ ที่อาจจะหลบซ่อนตัวอยู่ แต่ไม่รู้ทำไม ทางเดินบนระเบียงในวันนี้มันดูเหมือนจะยาวไกลมากกว่าปกติ ผมวิ่งและวิ่งไปมาทั่วทั้งบริเวณ หอบหายใจและเหงื่อไหลโทรมกาย สิ่งต่างๆ รอบตัว ดูมืดมนสับสน ทางเดินที่เต็มไปด้วยรอยเลือด บานประตูที่ถูกมีดกรีดเป็นทางยาว ผ้าม่านที่ขาดรุ่ยร่วงหล่น ทุกสิ่งเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ราวกับอยู่ในมิติที่อยู่ตรงข้ามกับความเป็นจริง

"พี่ไวท์ กรี๊ดดดด!!" เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ผมออกวิ่งสุดแรง และผลักบานประตูห้องนอนของเค้กออกไป

ผมเข้ามาในห้อง มองดูภาพอันน่าหวาดหวั่นที่ปรากฎขึ้นมาในสายตา ผมส่ายหัวไปมาแรงๆ และยื่นมือออกไป หวังจะห้ามคนที่อยู่ตรงหน้า ให้หยุดยั้งสิ่งที่กำลังจะทำ

"อย่า!! ผมขอร้อง ได้โปรด" ผมพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งสะอื้น มองดูแววตาที่หวาดกลัวของน้องสาว เธอกำลังลอยคว้างอยู่ในอากาศข้างหน้าต่าง เตรียมพร้อมที่จะถูกโยนออกไปสู่พื้นดินด้านล่าง พลังอำนาจของซาตานร้ายตรงหน้า กำลังบีบคอเธอให้ดิ้นพล่าน หมุนวนอย่างไร้ทางสู้

ผมคุกเข่าลงอีกครั้ง ร้องไห้อ้อนวอนบุคคลที่ผมคุ้นเคยดี อาจารย์นาธัสที่ปกติจะชอบทำหน้านิ่งเฉย ตอนนี้กำลังยิ้มมุมปากเหมือนสิ่งต่างๆ ตรงหน้าทำให้เปรมปรีเหลือเกิน

"ไวท์เอ๋ย ไวท์ ได้เจอกันสักที" ผมเม้มปากแน่น มองดูปิศาจตรงหน้าที่กำลังเดินไปมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

"คุณทำแบบนี้ทำไม" ผมพูดพลางปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม ทั้งกลัว ทั้งเกลียด สับสนชิงชัง ผมอยากจะฆ่ามัน ฆ่ามันให้ทรมานเหมือนกับที่มันทำกับคุณพ่อคุณแม่

"สีหน้าดีมาก เริ่มคิดอยากฆ่าคนขึ้นมาแล้วใช่ไหม"

"ไม่ใช่คน!" ผมพูดและมองดูปิศาจตรงหน้า กัดฟันกำหมัดแน่น แต่สายตาที่เหลือบมองเห็นน้องสาวที่ยังคงลอยคว้างอยู่ก็ทำให้ผมเริ่มอ่อนแอลง ผมก้มหัวลงช้าๆ แนบหน้าผากลงกับพื้น

"ผมขอเถอะ! ถ้าคุณแค้นผม ก็ฆ่าผมเถอะ แค่ผมคนเดียว!" ผมพูดด้วยความสัตย์จริง ผมไม่กลัวเลยที่จะต้องตายแทนเด็กๆ พวกนี้ เด็กๆ ที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลย

"เธอนี่ ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะ" ผมยังคงก้มหน้าลงกับพื้น เงียบฟังสิ่งที่ปิศาจตรงหน้ากำลังพูด

"เธอคิด ว่าที่ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ เพราะฉันแค้นเธองั้นเหรอ"

"คุณยังต้องการอะไรอีก ผมไม่มีอะไรอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว" ผมพูดและหวังอย่างยิ่งว่าคนตรงหน้าจะเข้าใจ ผมไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ผมเป็นแค่เพียงเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ที่อยากมีชีวิตปกติเหมือนคนอื่นเขา

แต่ผมที่คิดมาถึงตอนนี้ ก็เริ่มตระหนักถึงบางสิ่ง...

ซินทำให้ผมเป็นคนธรรมดา ใช่ ทำให้ผมมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ ที่น่ากลัว

แต่ว่า...แล้วทำไมกัน ตรงหน้าผมคืออาจารย์นาธัส ซาตานที่แสนชั่วร้าย จอมหลอกลวง...

"คิดออกแล้วหรือยัง" ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ จ้องมองคนที่อยู่ยืนอยู่ตรงหน้า

"เหตุผล ว่าทำไม ฉันถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าเธอ" คำพูดของอาจารย์นาธัสนั้น ทำให้ผมส่ายหัวน้อยๆ ผมไม่เข้าใจ หมายความว่ายังไง ทำไมผมถึงมองเห็นปิศาจร้ายนี่ได้

แต่ความคิดและความสงสัยของผม ทำให้อาจารย์ยกยิ้มมุมปากมากขึ้นอีกนิด

"เพราะหมอนั่น ทอดทิ้งเธอแล้ว" อาจารย์นาธัสก้มตัวลงน้อยๆ ยิ้มอย่างพอใจกับใบหน้าสับสนของผม

ไม่จริง ซินปกป้องผม ปกป้องผมเสมอมา...

"คุณโกหก" ผมพูดและเหลือบสายตาที่แน่วแน่จ้องมองปิศาจร้ายตรงหน้า ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร มันก็ไม่มีผลอะไรอีกแล้ว ผมเชื่อซิน แม้จะต้องตาย ผมก็ยังเชื่อใจเขา ผมเคยผิดพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว และผมจะไม่พลาดอีกต่อไป

"งั้นเหรอ งั้นมาลองดูกันไหม ลองดูว่ามันจะปกป้อง มนุษย์ที่มันแสนรักได้ไหม"

"กรี๊ดดดดด!! พี่ไวท์!!"

สิ้นสุดคำพูดนั้น ร่างบางของเด็กสาวที่ลอยออกไปด้านนอกหน้าต่างก็ถูกปล่อยให้ร่วงหล่นลง ผมดีดตัว ก้าวขาลุกขึ้นอย่างสุดแรง เพียงหวังว่าสักนิด แค่เพียงสักนิด ผมอาจจะยังสามารถคว้ามือของเธอไว้ได้

ราวกับโลกค่อยๆ หมุนวนช้าลง ผมทันได้เห็นสีหน้าที่หวาดกลัวของเธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของเธอนั้น จะกระแทกลงกับพื้น ดวงตาเปิดค้าง และเลือดที่สาดกระเด็นไปทั่ว

ม่ายยยยยยยย!!!



"ไวท์! ไวท์ลูก เป็นอะไรไป!" ผมลืมตาตื่นขึ้นด้วยตัวที่สั่นเทา ลำตัวของผมถูกคุณพ่อล็อกกอดเอาไว้ และคุณแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

"พี่ฮะ" ผมตัวสั่นเทา ดิ้นหนีจากอ้อมแขนนั้น ส่ายสายตามองน้องชายที่กำลังร้องไห้ตกใจ และน้องสาวที่มีสภาพไม่ต่างกัน

"ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไรนะ แค่ฝันร้ายเท่านั้น" ร่างกายของผมแข็งเกร็ง น้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตานั้น

มันไม่ใช่...ความฝัน

ทุกสิ่ง...กำลังจะเกิดขึ้น

ผมรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น และทุกคนที่ผมรัก...จะต้องตาย

"ผ.ผมขอ.โทษ" ผมพูดด้วยเสียงสั่นเทาพลางหมุนตัววิ่งห่างออกจากครอบครัวของผม วิ่งออกจากห้องทั้งๆ ที่ไม่ได้ใส่รองเท้า วิ่งออกจากบ้าน วิ่งหนีห่างจากผู้คนที่ผมรัก เพียงเพื่อหวังจะปกป้อง ปกป้อง ให้พวกเขา ได้มีลมหายใจต่อไป

ให้พวกเขา...ทิ้งผมไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:42:18 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กลับมาแล้ว หายไปนานเลยนิ  :hao3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

welcome back

กลับมาพร้อมกับปมปริศนาอีกแล้ว

ปมเก่า ๆ ก็ยังไม่เข้าใจเลย  มีปมใหม่มาอีกแล้ว

สรุปว่า...นี่คือฝัน  แล้วฝันนี้จะเป็นจริงดังที่ไวท์เข้าใจไปเองหรือไม่?


ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 37 คำขอครั้งสุดท้าย


ผมวิ่งออกห่างจากผู้คนที่ผมรัก ด้วยหัวใจที่แสนเจ็บปวด จุดหมายปลายทางข้างหน้านั้นช่างว่างเปล่าและมืดมนสับสน ผมไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว

ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาเช่าตรู่ แต่ท้องฟ้าในยามนี้กลับดูมืดมนเหมือนดั่งภายในหัวใจของผม สองเท้าเปลือยเปล่าเริ่มเจ็บแปลบ ดวงตาที่เอ่อพร่าไปด้วยหยาดน้ำตา สายลมเย็นปะทะที่ใบหน้า หยาดฝนเริ่มโรยรินลงมา ทำให้ร่างทั้งร่างเริ่มเปียกปอน

เสียงผู้คนรอบด้านไม่ได้ทำให้ผมหยุดฝีเท้าลง หูที่อื้ออึงไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาจะสื่อได้ ในหัวใจของผมในตอนนี้ ต้องการเพียงจากไปให้ไกล ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ปรี๊นนนน!!

ไฟหน้าที่ส่องแสงกระทบกับหยาดฝนฉ่ำ ผมเพียงแค่มองเห็นมันชั่วพริบตาเท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่าง จะมืดดับลง

ในความเวิ้งว้างอันดูว่างเปล่า บนยอดตึกสูงที่ท้องฟ้ามีแต่เมฆที่ดูมืดดำ แสงวาบจากสายฟ้าที่พาดผ่านก้อนเมฆนั้น ทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบ ที่นี่คือที่ไหนกันนะ มันดูเปลี่ยวเหงาอ้างว้าง

"ไวท์" ในอกของผมกระตุกวูบราวกับถูกสายฟ้าฟาด ผมรีบหันหลัง ดวงตาจ้องมองคนที่เอ่ยเรียกผม น้ำตาเริ่มเอ่อรินไหล

"ซิน" ผมเปร่งเสียงร้องเรียกคนที่คิดถึงสุดหัวใจ บนใบหน้าที่เคยมีแต่ความเจ้าเล่ห์เย็นชา บัดนี้ มีเพียงรอยยิ้มจางๆ เหมือนดั่งคนที่เหนื่อยล้า อ่อนแรงราวกับจะสลายหายไป

"ซิน!" ผมเร่งฝีเท้า โผไปข้างหน้า สัมผัสความอบอุ่น กลิ่นอายที่ผมไม่มีวันลืม

"ผมดีใจเหลือเกิน" ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว เปร่งออกมาจากหัวใจที่แสนเจ็บปวด ไม่มีสิ่งไหนที่ผมปรารถนาไปมากกว่านี้อีกแล้ว ต่อให้ผมต้องตาย ถ้าได้อยู่ตรงนี้ ในอ้อมกอดนี้ มันก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว

"ซินหายไปไหน ผมคิดถึงซิน" ผมละล่ำละลักน้ำตาริน

"ขอโทษ ที่ยังคงทำให้เจ็บปวด" เสียงนั้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้น จ้องมองดวงหน้าที่ผมเฝ้าแต่หลับตาฝันถึงทุกคืน

"ไม่" ผมส่ายหน้าไปมา ดวงตาที่แสนเศร้าของซิน ทำให้ผมเจ็บปวดเหลือเกิน

"โลกที่ไม่มีซินอยู่ต่างหาก ที่ทำให้ผมเจ็บปวด"

ก่อนหน้านี้ ผมยอมแลกทุกสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อจบความหวาดกลัว พร้อมที่จะตาย เพื่อละทิ้งชีวิตที่คิดว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

แต่มาถึงตอนนี้ ผมก็เพิ่งได้รู้ว่า นับจากวันที่ผมต้องเสียซินไป ผมมันอ่อนแอ เห็นแก่ตัว นี่คือความผิดพลาด เป็นความสิ้นหวังและปวดร้าวที่สุดในชีวิตของผม

ผมจ้องมองรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากนั้น ซินละสายตาจากผม มองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องบน หยาดฝนเย็นฉ่ำเริ่มโปรยปรายลงมา

"อีกไม่นาน ความสุขที่แท้จริง จะมาถึง" ผมไม่เข้าใจ ซินพูดพึมพำกับท้องฟ้า เหมือนกำลังอ้อนวอนอธิษฐาน ซินพูดถึงอะไรกัน ผมจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง

"พระบิดา ได้โปรด ฟังคำขอสุดท้ายนี้ของข้า..." เสียงกระซิบจากคนที่รัก เริ่มแผ่วเบา และผมไม่อาจเข้าใจความหมายนั้นได้ ท้องฟ้าเบื้องบนแปรปรวนราวกับกำลังบ้าคลั่ง สายฝนที่สาดเทลงมา ทำให้ดวงตาของผมเริ่มฝ้ามัว

"ซิน" ผมเอื้อมมือไขว่คว้าคนตรงหน้า ความรู้สึกบางอย่างกำลังบอกผมว่า ผมกำลังจะเสียซินไปอีกครั้ง ความสุขอะไรนั่น มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีซินอยู่!

"ซ.ซิน" ผมลำล่ำละลัก กอดคนตรงหน้าไว้แน่น

"ผมรักซิน" ผมพูดทั้งน้ำตา เหมือนกับว่า ผมจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว

"รัก ที่มากกว่า..." เสียงของซินดังกังวาน พร้อมๆ กับความอ่อนโยนที่ประทับลงบนริมฝีปากของผม เป็นความรู้สึกที่ผมจะจดจำไว้ตลอดกาล



"ไวท์! ไวท์ลูก!!"

ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยหัวใจที่เหมือนถูกกระชากออกจากอก ดวงตาของผมเบิกโพรง มองดูผู้คนที่รายล้อม และผมในตอนนี้ อยู่ในอ้อมกอดของคนคนหนึ่ง อ้อมกอดที่ผมไม่คุ้นเคย

"ไวท์ ลูกไม่เป็นไรแล้วนะ" ผมมึนงง หันมองไปรอบๆ อย่างลูกแมวที่ตื่นกลัว

"คุณเป็นใคร" คำพูดแรกที่ผมเปร่งออกมาทำเอาทุกๆ คนที่ได้ยิน หน้าซีดเผือดอย่างตื่นตกใจ

"ไวท์ลูก จำพ่อแม่ไม่ได้เหรอ" ผมมองดูชายวัยกลางคนที่กำมือผมไว้แน่น และมองดูเด็กๆ ทั้งสองและคุณแม่

"เปล่าครับ ผมจำได้" ผมขมวดคิ้วและมองเครปกับเค้ก น้องๆ ของผมทั้งสองที่ดวงตาแดงก่ำ และคุณแม่ที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก

"ที่ผมสงสัยก็คือ คุณ..." ผมมองผู้ชายที่นั่งอยู่ใกล้ชิดผมมากที่สุด คนที่เมื่อกี้ กอดผมเอาไว้

"เราน่ะเป็นคนดึงฉันไปกอดนะ" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็นึกออกทันที ผมกอดคนคนนี้ไว้ คงเพราะคิดว่าเป็นซิน...

ผมมองพิจารณาคนตรงหน้าอีกครั้ง เขาเป็นผู้ชายใส่สูท ใบหน้าของเขา ผมรู้สึกเหมือนเคยพบเห็นมาก่อน

"คุณ ที่ผมเจอที่ร้านกาแฟ..."

"ฟังแบบนี้ผมก็เบาใจแล้วครับอาจารย์ ต้องกราบขอโทษจริงๆ ผมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง"

"ขอบใจมาก แต่ไม่ต้องหรอก เห็นไวท์ไม่เป็นอะไรมากก็ดีที่สุดแล้ว" คุณพ่อพูดกับผู้ชายคนนั้น

"นี่คุณตะวัน เป็นศิษย์เก่าของพ่อเอง เป็นคนพาไวท์มาส่งที่โรงพยาบาล"

"ขอโทษด้วยนะครับ" ผมพูดและก้มหัวขอโทษจากใจจริง เพราะความจริงเป็นความผิดผมเอง ที่วิ่งออกไปแบบนั้น

"ไม่เป็นไร แล้วทำไมถึงได้พรวดพราดออกมาแบบนั้น กำลังจะรีบไปไหนเหรอ" คำถามนี้ทำให้ผมนึกถึงความฝันที่แสนน่ากลัว ความจริงแล้วผมไม่ควรอยู่ที่นี่เลย ถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นอะไรขึ้นมา มันก็คือความผิดของผม จะทำยังไงดีนะ ผมจะหนีไปอีกดีไหม

"เอาล่ะ อย่าเพิ่งถามอะไรมากนักเลย ให้ไวท์พักผ่อนเถอะ เขาต้องนอนพักให้มากๆ" ผมยิ้มน้อยๆ ขอบคุณคุณพ่อ ท่านช่างใจดีเหลือเกินที่ไม่คาดคั้นขอคำตอบ แต่แบบนี้ผมจะหนีไปจากท่านอีกได้ยังไง ถึงผมจะไม่อยากให้ทุกคนเป็นอันตราย แต่ก็ไม่อยากให้พวกเขาเสียใจเช่นกัน

"พี่ชายฮะ เจ็บไหมฮะ"  เครปจับมือผม จ้องมองผมด้วยดวงตากลมใสที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

"พี่ไวท์ อย่าหนีพวกเราไปไหนอีกนะคะ"

"ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ" ผมลูบหัวน้องๆ ทั้งสอง ผมหวังเหลือเกินว่าจะไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา



ในเช้าวันต่อมา ผมยังคงนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการ ผมถูกรถชน แต่บาดแผลก็มีเพียงรอยถลอกฟกช้ำเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมาก ซึ่งพรุ่งนี้ ผมก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว

"ไวท์!" เสียงเรียกของคนคนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามา ทำให้ผมต้องผุดรอยยิ้มเล็กๆ เธอเป็นเพื่อนของผมเอง เพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียว

"เป็นอะไรมากหรือเปล่า!" สีหน้าที่ดูวิตกกังวลของฟ่าง ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นจริงๆ

"ผมไม่เป็นไรฟ่าง ใจเย็นๆ"

"แฟนน่ารักดีนะ" เสียงที่ดังแทรกขึ้น ทำให้ฟ่างสะดุ้งตกใจและหันไปมองบุคคลที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมห้อง ตอนนี้คุณพ่อออกไปทำงาน คุณแม่ก็กลับไปจัดเตรียมเสื้อผ้าให้ผม น้องๆ ก็ไปเรียน ผมก็เลยมีแค่คนคนนั้น คนที่ขับรถชนผมอยู่เป็นเพื่อน

"ใครอ่ะไวท์" ฟ่างย่นคิ้วและมองชายหนุ่มคนนั้นอย่างงงๆ

"คนรู้จักของคุณพ่อน่ะ"

"หวัดดีค่ะ ชื่อฟ่าง เป็นเพื่อนไวท์ค่ะ" ฟ่างพูดแนะนำตัว แต่ก็ยังคงทำหน้างงอยู่

"ฉันขับรถชนแฟนเธอน่ะสาวน้อย" เหมือนกับรู้ว่าฟ่างกำลังสงสัย ผู้ชายคนนั้นก็พูดโพล่งออกมาทันที

"อ๋อ ที่แท้คุณนั่นเองที่ทำให้เพื่อนหนูต้องเจ็บตัว!" สีหน้าของฟ่างเปลี่ยนไป และทำท่าจะเดินสาวเท้าเข้าไปหาคนคนนั้น ซึ่งดีว่าผมคว้ามือเธอไว้ได้ทัน

"ฟ่างเดี๋ยว นี่ความผิดผมเอง ผมเดินไม่ระวังเอง อย่าโทษพี่เขาเลย" ผมรีบอธิบายทันทีให้เพื่อนเข้าใจ

"ชิ ก็ได้ แต่ไวท์นะไวท์ นอนโรงพยาบาลถี่ไปแล้วนะ" ฟ่างเปลี่ยนเป้าหมายมาดึงแก้มผมแทนแล้ว

"ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วงอีกแล้ว"

"แล้วคราวนี้มีอะไรอีกหรือเปล่า ทำไมถึงเดินให้รถชนได้" ฟ่างนั่งลงที่ข้างๆ และถามผมด้วยสีหน้าเป็นห่วงจริงๆ

"ผม..." สิ่งที่ฟ่างพูดนั้นทำให้ผมใช้ความคิด ผมจะบอกฟ่างดีไหมนะ จะทำให้ฟ่างต้องเดือดร้อนไปด้วยหรือเปล่า

"แต่ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ฟ่างมีขนมมาด้วย กินกันเหอะ" ผมพยักหน้าตอบรับ และมองดูเพื่อนที่กำลังแกะกล่องที่ใส่ขนมมา

"ไวท์นะไวท์ พอได้ยินข่าวฟ่างนี่ใจหายเลย" ฟ่างยังคงบ่นเบาๆ พลางเริ่มกินเค้กที่น่าอร่อย ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อมีฟ่างอยู่ใกล้ๆ

"กินสิ" ฟ่างพูดต่อพลางตักหลายคำเข้าปาก นั่นทำให้ผมยิ้มทันที แต่เมื่อมองฟ่างดีๆ แล้ว ผมก็คิดว่า มีอะไรแปลกๆ ไปนะ บนใบหน้าของเธอ

"ฟ่างไม่ค่อยสบายหรือเปล่า" ผมพูดถามเพื่อนที่กำลังดูดนิ้วที่เปื้อนเค้ก

"อะไรเหรอ" ฟ่างเลิกคิ้วถาม

"ขอบตาฟ่างดูคล้ำๆ เหมือนคนอดนอนน่ะ"

"ต.ตายแล้ว จริงเหรอ!" พอผมบอกแบบนั้น ฟ่างก็หากระจกและส่องดูทันที

"เหมือนหมีแพนด้า" คำพูดนั้นทำให้ฟ่างชะงักจากกระจกและหันควับมาที่ผมทันที

"เดี๋ยวเถอะ!" ฟ่างดุผมและทำหน้างอนๆ ทำเอาผมงงไปเลย ผมรีบส่ายหน้าไปมา ผมน่ะไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ผมยกมือขึ้นและชี้ช้าๆ ไปยังคงที่ทำท่าอ่านหนังสืออยู่

"เอาล่ะ ไม่อยู่เป็นก้างดีกว่า" และเหมือนจะรู้สึกถึงรังสีอาฆาต ผู้ชายคนนั้นรีบลุกขึ้น ส่งยิ้มกวนๆ และเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

"ตาลุงนั่น หน้าตาดีซะเปล่า ปากเสียชะมัด" ฟ่างดูฟึดฟัดแต่ก็นั่งลงจิ้มเค้กเข้าปากอย่างรวดเร็ว

"ผมว่าเขาอายุไม่มากเท่าไหร่หรอก เรียกลุงก็เกินไป" ผมยิ้มให้ฟ่างและตักขนมเข้าปากบ้าง

"เหอะ ไม่สนหรอก แต่ว่าหน้าคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเจอที่ไหน" ฟ่างพูดและทำท่านึกอยู่ในใจ

"ที่ร้านพี่เบลล์ไง" พอผมพูดแบบนั้น ฟ่างก็ทำหน้านึกอยู่สักพักเลยทีเดียว

"อ๋อ คนนั้นเองที่ปิ๊งไวท์"

"บ้าน่ะฟ่าง ไม่ใช่แล้ว เขาแค่รับผิดชอบที่ชนผม และผมก็ไม่ได้ชอบเขานะ" ผมพูดอย่างงอนๆ ที่ฟ่างแซวผมไม่เข้าเรื่อง

"อื้อ เข้าใจแล้ว หัวใจของไวท์...ยังไงก็เป็นซินสินะ" คำพูดของฟ่างทำให้ผมหุบยิ้มลง

"ขอโทษนะไวท์" ฟ่างเหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา เธอรีบกุมมือผมเอาไว้อย่างปลอบโยน

"เมื่อวาน...ผมฝันถึงซินด้วยนะ" ผมพูดและยิ้มให้เพื่อน เพื่อบอกว่าผมไม่เป็นไร

"ผมได้เจอเขาอีกครั้ง นานเหลือเกินที่พวกเราไม่ได้เจอกัน" ผมพูดต่อไป ผมตัดสินใจจะระบายมันออกมา

"แล้วซิน บอกอะไรไวท์บ้างไหม" คำพูดของฟ่างทำให้ผมนึกย้อนไป

"ซินบอกผมว่า ผมจะได้พบความสุขที่แท้จริง" เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หยาดน้ำตาของผมก็เริ่มไหลออกมา "แต่ว่า เรื่องนั้นน่ะมันไม่จริงหรอก" ผมพูดต่อและจ้องมองนัยน์ตาของเพื่อน

"โลกที่ไม่มีซินอีกแล้ว ผมจะมีวันที่มีความสุขได้ยังไง"

ผมพูดออกไปด้วยหัวใจที่แสนปวดร้าว ไม่สามารถนึกถึงความสุข ในโลกที่ไม่มีซินอยู่ข้างๆ อีกแล้ว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:43:11 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

จนถึงตอนนี้  ข้าพเจ้าก็ยังวิเคราะห์ไม่ถูกว่าซินคือใครอ่ะ  แย่จัง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คงได้เจอกับซินตอนฝันเท่านั้น หรือป่าวนะ  :hao4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เย้ๆ .... มาต่อแล้ว   :katai2-1:
ตะวัน ยังไงๆ   :really2:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ขอให้ไวท์มีความสุขกับครอบครัว อย่างแท้จริง เพี้ยงๆ

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 38 หัวใจที่อ้างว้าง


จากที่คิดว่าจะได้กลับในตอนเช้า ตอนนี้เวลาก็เลยผ่านมาได้สามวันแล้ว ผมพยายามบอกทุกคนว่าผมไม่ได้เป็นอะไร และอยากจะกลับบ้าน แต่ทุกคนก็ดูจะเป็นห่วงผมมากเกินไป และยืนยันให้ผมพักผ่อนอยู่ที่นี่ให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้

 ผมยังคงคิดถึงฝันร้ายในคืนนั้น และไม่อาจคิดได้เลยว่าผมจะต้องทำยังไงต่อไป ผมไม่มีที่พึ่งที่จะให้คำปรึกษาในเรื่องแบบนี้ได้เลย จะบอกฟ่าง ผมก็กลัวว่าฟ่างจะเดือดร้อนไปด้วย

 "เราน่ะ เหม่อแบบนี้ทุกวัน แล้วจะพูดว่าปกติได้เหรอ" เสียงที่พูดขึ้นทำให้ผมหลุดจากความวิตกกังวล ผมมองพี่ตะวันที่นั่งลงที่ข้างหน้าต่าง แกะอมยิ้มในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 "พี่ไม่ต้องมาเฝ้าผมทุกวันก็ได้นะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ" ผมค่อนข้างที่จะชินกับคนตรงหน้าแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ห้ามไม่ให้พี่เขามาเยี่ยมผมไม่ได้

 "รู้ไหมว่า ฉันน่ะอ่านใจคนเก่งมากเลยนะ"

 "เหรอครับ" ผมส่งยิ้มจางๆ

 "ไม่อยากให้ฉันเดาเหรอ" ผมส่ายหัวไปมา ผมไม่อยากให้พี่เขาคิดว่าผมเป็นบ้าไปมากกว่านี้ต่างหาก

 "มีคนกำลังจ้องทำร้ายไวท์ใช่ไหม" ผมที่มองเอื่อยๆ ไปที่หน้าต่างก็หันกลับไปมองคนพูดทันที ถ้าจะซ่อนอะไรไป ตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เพราะว่าสีหน้าของผมมันบ่งบอกว่าเป็นแบบนั้น

 "ฉันช่วยได้นะ ถ้าต้องการ" ผมส่ายหน้าอีกครั้ง

 "มัน ไม่ใช่อะไรที่เข้าใจง่ายแบบนั้นหรอกครับ" ผมก้มหน้าลงด้วยความหม่นหมอง เวลาที่เดินไปทุกๆ วินาทีทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่น ท้อแท้และสิ้นหวัง

 "งั้นเหรอ"

ผมคิดว่าพี่ตะวันจะถามอะไรผมมากกว่านี้ แต่ว่าความจริงกลับไม่ใช่ พี่เขาเพียงแค่มองผมและนั่งลงอยู่ที่เดิมของเขา แต่ไม่รู้ทำไม แค่นี้ผมก็รู้สึกอุ่นใจแล้ว

 "ดูสิ ฝนตกแล้วนะ" ผมมองคนในชุดสูทที่ยื่นแขนออกไปรับน้ำฝนเย็นฉ่ำโดยที่ไม่ห่วงว่าแขนเสื้อของตัวเองจะเปียกเลยสักนิด ผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นและมองคนที่โตแต่ตัวเล่นน้ำฝนต่อไป



 ในรุ่งเช้าของวันถัดไป ผมตื่นนอนด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของน้องๆ ที่มารับผมออกจากโรงพยาบาล ผมส่งยิ้มให้ครอบครัว ในที่สุดผมก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านแล้ว ผมพยายามทำตัวให้ดูสดใสแข็งแรงมากที่สุด แต่หัวใจลึกๆ ก็ยังคงกลัว ผมกลัวที่จะต้องสูญเสียพวกเขาไป

 "กลับบ้านเราเถอะนะ" ผมมองคุณพ่อกับคุณแม่ที่ยื่นมือมาแตะผมเบาๆ ผมพยักหน้าและส่งยิ้มให้พวกท่าน จะมีอะไรที่จะดีไปกว่าการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน

 "แหม ดีนะที่ผมมาทัน" ผมละสายตาจากคุณพ่อและคุณแม่ มองไปยังผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ ซึ่งไม่มีใคร นอกจากพี่ตะวันที่มาแทบจะทุกวัน

 "อ้าว มาก็ดีแล้ว วันนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับไวท์ออกจากโรงพยาบาล มา ไปกินด้วยกัน" คุณพ่อชวนพี่ตะวันด้วยรอยยิ้ม แต่เดี๋ยวนะงานเลี้ยงงั้นเหรอ

 "ไม่ต้องจัดอะไรแบบนั้นหรอกครับ" ผมรู้สึกอึ้งน้อยๆ มันไม่ได้จำเป็นอะไรเลย ผมเกรงใจมาก

 "งานเลี้ยงงงง น้อนเครปอยากกิงไก่ทอดเย้อๆ" ผมมองเจ้าตัวน้อยที่ดูตื่นเต้นเกินเหตุ แบบนี้จะห้ามก็คงไม่ได้ผลแล้วล่ะ

 และเมื่อพวกเรามาถึงด้านหน้าโรงพยาบาล พี่ตะวันก็ต้อนผมให้ขึ้นรถเขาซะอย่างนั้น ซึ่งคุณพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะยังไงก็ไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน

 เมื่อพวกเราขึ้นรถเรียบร้อย ก็เดินทางขับตามกันไป ซึ่งผมรู้สึกดีใจที่เด็กๆ ร้องงอแงจะตามผมมาที่รถคันนี้ ทำให้ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่เบาะหน้า โดยมีเด็กๆ ร้องเพลงอยู่ที่เบาะหลัง ทำให้บรรยากาศครื้นเครงเลยทีเดียว

 "พี่ไวท์ ห้ามป่วยอีกนะคะ เค้กเหงาจะตาย" น้องสาวของผมชะโงกหน้ามาบ่นด้วยรอยยิ้ม เข้าคู่กับเจ้าเครปตัวแสบ

 "ช่ายๆ น้อนเครปเหงา น้อนอยากฟังนิทานก่อนนอน" เจ้าเด็กน้อยยื่นแก้มป่องๆ ลอดผ่านที่นั่งมา ทำเอาผมต้องบีบแก้มยุ้ยๆ นั้น

 "ขอโทษครับ เดี๋ยวคืนนี้พี่เล่าให้ฟังนะ" ผมพูดและหันไปจับน้องให้นั่งดีๆ ถ้ารถเบรกกะทันหันอาจจะ...

 เอี๊ยดดด!

 และเมื่อคิดแบบนั้น เหตุการณ์ที่คาดคิดก็เกิดขึ้นทันที แรงกระชากจากเบรกที่ถูกเหยียบลงกะทันหันทำให้ตัวผมถูกเหวี่ยงเล็กน้อยและกระแทกเข้ากับเบาะพนักที่ผมพิงอยู่ ผมนั้นไม่เป็นไรเพราะคาดเข็มขัดนิรภัย แต่ก็รีบหันไปมองเด็กๆ ที่ล้มกลิ้งไม่เป็นท่าอยู่ที่เบาะหลัง

 "เป็นอะไรไหม ไม่เป็นไรนะ!" ผมรีบจับน้องๆ ให้กลับมานั่งปกติ แต่ใบหน้าของผมก็ถูกอีกคนจับไว้และถามด้วยคำถามเดียวกัน

 ผมชะงักเล็กน้อยที่เห็นใบหน้าพี่ตะวันเข้ามาใกล้ สีหน้าดูเป็นห่วงและไม่สบายใจ แต่ทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

 "เอ่อ ผมไม่เป็นไรครับ" ผมจับมือของคนข้างๆ ออกจากใบหน้าและกลับมานั่งปกติตามเดิม

 "แบบนี้อีกแล้ว" ผมมองพี่ตะวันที่ถอนหายใจยาวเหยียดและลงจากรถไป และสักครู่หนึ่งก็ขึ้นมาใหม่

"มีอะไรไม่รู้ตัดหน้าน่ะ ช่วงนี้เจอแต่แบบนี้ประสาทจะกิน" ผมที่ได้ฟังคำบ่นก็รู้สึกผิดขึ้นมา เพราะผมก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ตัดหน้าพี่เขา

 "ขอโทษครับ" และคำพูดผมก็ทำเอาพี่ตะวันเปลี่ยนสีหน้า พี่เขาหันมาทำคิ้วขมวดใส่ผม และสักพักก็หัวเราะใส่

 "ยกเว้นเราไว้คนนึง" พี่ตะวันพูดและยังคงหัวเราะชอบใจ แต่ผมไม่เข้าใจความหมายของพี่เขาเลย

 "ฝนฝน น้อนเครปชอบฝน" รถได้เคลื่อนต่อไปช้าๆ พร้อมๆ กับหยาดฝนที่เย็นชุ่มฉ่ำตกกระทบ

 ผมเอื้อมมือออกไปยังกระจกที่เริ่มขุ่นฝ้ามัว ไอละอองความเย็น บรรยากาศที่ราวกับเงียบสงัดลง ทุกๆ สิ่งทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ช่วงเวลาที่ผมจดจำไม่มีวันลืม

 ผมค่อยๆ หันหน้าไปช้าๆ จ้องมองคนที่กำลังขับรถอยู่ตอนนี้ ภาพจากในอดีต ภาพจากหัวใจที่ไม่เคยลืมกำลังสะท้อนภาพชายหนุ่มในชุดดำที่มีแววตาที่แสนเย็นชา แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็หลงรักแววตาคู่นั้น รอยยิ้มจากริมฝีปากนั้น...

 "ไวท์" ผมสะดุ้งตัวน้อยๆ เมื่อถูกปลุกให้หลุดจากภวังค์ ใบหน้าที่ผมแสนคิดถึง แปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าของพี่ตะวันที่เข้ามาใกล้

 "ขอโทษนะที่หล่อเกินไป" ผมถอนหายใจเล็กน้อยและเหลือบมองเด็กๆ ที่กำลังหัวเราะคิกคักกับคำพูดของผู้ใหญ่หลงตัวเอง ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้พวกเรามาถึงที่บ้านแล้ว ช่วงเวลาที่ผมคิดถึงซิน มันช่างยาวนาน นานจนเหมือนชั่วนิรันดร์

 งานเลี้ยงเล็กๆ และเรียบง่ายถูกจัดขึ้นที่สวนหลังบ้านของพวกเรา ความอบอุ่นที่ทุกคนมีให้ ทำให้หัวใจที่บอบช้ำของผมเสมือนกลับได้รับการเยียวยา ชีวิตของผมที่สามารถเดินมาในจุดนี้ได้ ก็ดีเกินพอแล้ว

 เวลาเดินหมุนเวียนผ่านไป ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องพักผ่อน ผมมองดูพี่ตะวันที่ยังคงคุยกับคุณพ่ออย่างออกรสในฐานะศิษย์อาจารย์ที่ไม่ได้คุยกันมานาน แต่ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ ถ้าพี่เขาต้องขับรถกลับในเวลาแบบนี้

 "ไหนๆ ก็ไหนๆ คืนนี้ก็ค้างที่นี่แล้วกัน" ผมที่ได้ยินคุณพ่อพูดแบบนั้นก็แอบโล่งใจ แต่ไม่รู้ทำไมพี่เขาต้องหันมามองผมด้วยนะ

 "เราไปนอนกันดีกว่า" ผมจับมือเจ้าเครปตัวน้อยทำไม่สนใจสายตาแปลกๆ ที่ถูกพี่ตะวันมองมา แต่ผมนั้นไม่ได้รู้สึกว่าถูกคุกคามหรอกนะ เพราะหลายวันที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้ว่า ความจริงแล้วพี่เขาเป็นคนดีคนหนึ่งเลยล่ะ

 หลังจากอ่านนิทานก่อนนอนให้เจ้าตัวน้อยฟัง ไม่นานเครปก็หลับปุ๋ย ผมค่อยๆ อุ้มน้องจากที่นอนของผม พาไปยังห้องนอนที่ไม่ไกลออกไป ผมค่อยๆ วางเครปลงบนที่นอนอุ่นข้างๆ เค้กที่นอนหลับอยู่ หอมแก้มยุ้ยๆ หอมๆ ของเจ้าเด็กน้อย และหันหลังเพื่อจะกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง

 "ไวท์" ขณะที่เท้าของผมจะก้าวออกจากห้อง เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นเรียกผมเอาไว้ ผมชะงักเท้าและต้องขมวดคิ้วอย่างฉงนทันที เพราะว่าเสียงนี้เป็นเสียงของเด็กผู้หญิง เป็นเสียงของเค้ก

 ผมค่อยๆ หันไปตามเสียงเรียก การมาของผมบางทีอาจทำให้น้องเผลอตื่นขึ้นมา...

 แต่ผมที่คิดแบบนั้นและหันกลับไปมองก็แทบจะทรุดลงไปทันที ภาพตรงหน้าทำให้ขาของผมเริ่มชาและหัวใจเต้นรัวไม่เป็นส่ำ เค้กที่ผมยาวสยายอยู่ในชุดกระโปรงสีขาว ขาของน้องลอยอยู่เหนือเตียงนอน ใบหน้าของเธอยังคงหลับไหล แต่แขนกลับกางออกราวกับถูกแขวนไว้ในอากาศ

 หัวใจของผมทั้งตื่นกลัวแต่ก็เป็นห่วงน้องเหลือเกิน ผมยั้งตัวเองไม่ให้ถอยหนี และค่อยๆ ขยับเดินเข้าไปหาเธอ ผมทิ้งน้องเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ ผมทำไม่ได้

 "ค.ใคร ต้องการอะไร" ผมถามด้วยความหวาดหวั่น ผมกลัวเหลือเกินว่าจะเป็นนาธัส ปิศาจร้ายตนนั้น

 "มีความสุขดีสินะ" เสียงที่เคยเป็นของเค้กบัดนี้กลายเป็นเสียงของปิศาจ การพูดที่ราวกับคำรามเสียงต่ำ ทำให้ผมยิ่งตกใจกลัว

 "ไม่ใช่นะ" ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ผมในสภาพแบบนี้เหรอที่จะมีความสุขได้

 "ทำไมกันซิน ทำไมถึงต้องทำเพื่อเด็กนี่ขนาดนี้" แต่คำพูดของปิศาจหลังจากนั้นก็ทำให้ผมต้องชะงัก จากความกลัวที่ไหลแล่นทั่วร่าง ตอนนี้กลับหายไปราวกับปลิดทิ้ง ผมก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนแทบจะกระโจนใส่ร่างของน้องสาว จับขาของเธอราวกับเป็นลูกโป่งที่กำลังจะหลุดลอยไป

"พี่...ไวลี่ ใช่ไหม" ผมพูดออกมาอย่างตื่นเต้นและเริ่มเขย่าตัวน้องเบาๆ ด้วยความดีใจ ผมสงสัย ผมอยากรู้ และคนที่อยู่ในร่างน้องตอนนี้ก็คือคนที่อยู่ข้างกายซินมากที่สุด

 "ซ.ซิน ซินละครับ" ผมพยายามกลั้นน้ำตาไว้ มือสั่นเทาด้วยความดีใจ "พี่รู้ไหมเขาอยู่ที่ไหน ผมจะเจอเขาได้ที่ไหน" ตอนนี้ร่างของเค้กลอยต่ำและนั่งลงที่เตียง ทำให้ผมคุยกับพี่ไวลี่ในร่างน้องได้ถนัดขึ้น

 "ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ฉันสัมผัสพลังของเขาไม่ได้" เสียงของพี่ไวลี่น่ากลัวและกดต่ำ ราวกับกำลังโกรธเคืองผมอยู่

 "งั้นเหรอ" หัวใจของผมราวกับหมดเรี่ยวแรงอ่อนล้า แม้แต่พี่ไวลี่ ก็ยังไม่รู้งั้นเหรอ...

 "ฉันรู้แค่ว่า ตอนนี้เขาอ่อนแอมาก และทุกอย่างเป็นเพราะเธอ" ผมที่ได้ฟังถ้อยคำนั้น หัวใจก็ยิ่งจมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง

 "ใช่ ผมรู้" ผมพูดอย่างอ่อนแรง ทุกๆ คน ต่างพูดว่าเป็นเพราะผม และนั่นมันก็เป็นเรื่องจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะผมมีตัวตน และถึงผมจะพยายามหายไป ผมก็ยังคงทำให้หลายคนเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก

 ทำไมผมถึงเกิดมากันนะ ผมมันคือหายนะที่มีชีวิต เป็นคนที่ทำให้คนอื่นเจ็บปวดอยู่เรื่อยไป

 "นั่นมันไม่จริงหรอก" ผมสะดุ้งน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่บนหลังมือ เสียงกระซิบจากส่วนที่ลึกที่สุด ดังสะท้อนไปมาในหูของผม ราวกับมีคนบอกมันใกล้ๆ

 น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ พร้อมกับร่างของน้องสาวที่เอนอิงซบผมอย่างอ่อนแรง

 พี่ไวลี่จากไปแล้ว ผมก็เป็นคนทำให้พี่ต้องเสียเพื่อนไปใช่ไหม เป็นผมอีกแล้ว เป็นผมทุกครั้งที่ทำให้ทุกคนต้องเจ็บปวด

 "ไวท์" ผมยังคงกอดน้องสาวเอาไว้และต้องตกใจเล็กน้อยที่มีมือมาแตะที่ไหล่

 "เป็นอะไรหรือเปล่า"

 "ผม ผมไม่เป็นไร" ผมเช็ดน้ำตาลวกๆ และวางน้องลงที่เตียง ห่มผ้าให้พวกเขา และเดินนำพี่ตะวันออกไป

 ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ทางเดินต่างๆ ในบ้านก็มีเพียงดวงไฟไม่กี่ดวงที่เปิดเอาไว้ พี่ตะวันยังคงเดินตามผม แต่พี่เขากลับเงียบมากกว่าปกติ ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว้าวุ่นในใจ แต่ก็ต้องพยายามทำตัวให้ปกติตามเดิม

 "ผมอ่านนิทานให้พวกเด็กๆ ฟัง ก็แบบว่า ปกติน่ะครับ" ผมที่ไม่รู้จะพูดอะไรก็พูดออกมาส่งๆ และส่งยิ้มให้คนที่เดินตามหลัง พี่ตะวันตอนนี้ปล่อยปอยผมลงมา และใส่ชุดนอน ทำให้พี่เขาดูเด็กมาก เป็นภาพแปลกตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

 "งั้นเหรอ" คนเดินตามดูจะไม่ได้ถามมากอย่างที่คิด พอเป็นแบบนี้ ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา

 พวกเราไม่ได้เดินตรงไปที่ห้องนอน แต่แวะไปที่ระเบียงด้านหลังของบ้าน เป็นระเบียงกว้างที่มีเก้าอี้ มีกระถางต้นไม้ เป็นมุมที่บรรยากาศดี เหมาะที่จะพักผ่อนหัวใจ

 "พี่ว่าที่นี่เป็นยังไงบ้าง พี่ชอบไหม" ผมพูดและยังคงยิ้ม แต่มันคงเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่ได้เอาซะเลย เพราะพี่ตะวันไม่ได้ยิ้มตามผม สีหน้าของพี่เขาดูจริงจังและนิ่งเงียบ เหมือนกับกำลังจ้องมองผม มองลึกไปถึงข้างในหัวใจ

 "ผมเพิ่งมาอยู่บ้านนี้ได้ไม่นาน แต่ว่าทุกคนก็ดีกับผมมากๆ ผมชอบบ้านหลังนี้ ผมรักทุกคนที่อยู่ที่นี่ ผม..."

 "ที่พยายามอยู่ เหนื่อยมากไหม" คำพูดที่ได้ยินก็เป็นเพียงคำถามที่แสนธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อผมได้ยินมัน ตัวผมในตอนนี้กลับเริ่มสั่นเบาๆ ไปทั้งร่าง น้ำตาที่ผมอดทนไว้ค่อยๆ ไหลออกมา ราวกลับมีคนปลดสวิตส์มัน

 ผมพูดไม่ออก มันเป็นความอ้างว้างเดียวดายที่อยู่ในหัวใจของผม ไม่เคยมีใครเลยที่จะเข้าใจความเจ็บปวดที่ผมต้องเก็บมันไว้ในใจ ความหวาดกลัว ความสิ้นหวังยังคงเกาะกินอยู่ภายใน ทุกนาที ทุกเสี้ยวความรู้สึก

 ผมอยากตายๆ ไปซะ เผื่อว่าทุกสิ่งเลวร้ายจะจบลงตรงนี้ แต่ว่าถ้าทำแบบนั้น แล้วซินที่เสียสละเพื่อผมล่ะ แล้วทุกคนที่พยายามให้ผมอยู่กับพวกเขาล่ะ พวกเขาไม่ควรจะต้องมาเสียใจ เพราะผมอีกแล้ว

 หยาดน้ำตาของผม ถูกปลอบโยนจากคนที่ไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ คนตรงหน้าดึงผมเข้าไปในอ้อมแขนที่แสนอบอุ่น ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อน ถึงแม้พี่จะไม่ได้เข้าใจ หรือรู้เรื่องใดๆ เลย แต่ว่าความใจดีของพี่ ก็มีค่ามาก สำหรับคนที่ทุกข์ทรมานจากความหวาดกลัวอย่างผม ขอบคุณจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:43:46 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back and  :pig4: for information

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ถ้าหลานคนแต่งจะแต่งนิยายให้อ่านแบบงง ๆ เราก็จะตามอ่านแบบงง ๆ เหมือนเดิม  o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 39 ความมืดและแสงสว่าง


หัวใจที่อ่อนล้าเหมือนกำลังได้หยุดพัก ถึงแม้จะผ่านมาอีกหลายวันแล้ว แต่คนที่คอยอยู่เคียงข้างผมก็ยังคงไม่ไปไหน

 วันนี้ ผมได้กลับมาเรียนแล้ว และคนที่มารับผมกับฟ่างกลับก็คือคนที่ดีกับผมเหลือเกินคนนั้น

 "ฝนตกไม่หยุดเลยเนอะ หลายวันแล้วนะ" ฟ่างที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังกับผมก็เริ่มบ่นด้วยเสียงงึมงำ

 "นั่นสิ แต่ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นดีนะ"

 "มองโลกในแง่บวกเกินไปอีกแล้วไวท์" ฟ่างดูไม่เห็นด้วยกับผม สีหน้าของเธอดูหมองลง และเหนื่อยล้ากว่าที่เคย

 "ฟ่าง ยังไม่สบายอยู่เหรอ" ผมจ้องมองเธอชัดๆ และถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถามเธอ แต่ทุกครั้ง เธอก็ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

 "ม.ไม่นะ ฟ่างก็ปกติดี จริงนะๆ" เธอดูอึกอักไปชั่วขณะ ผมสังเกตว่าเธอดูแปลกไปจริงๆ

 "หาหมอไหม เดี๋ยวไปส่งก็ได้นะ" คนที่กำลังขับรถหันมาถามพวกเรา พี่ตะวัน มักจะใจดีกับพวกเราและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม มันก็รู้สึกดีนะ แต่ก็รู้สึกเกรงใจมากด้วย ผมไม่มีอะไรเลยที่จะตอบแทนความแสนดีนี้

 "ไม่ต้องหรอกค่ะ ฟ่างอยากกินขนมร้านพี่เบลล์มากกว่า"

 "ฟ่าง ขนมน่ะกินเมื่อไหร่ก็ได้ อย่าดื้อเลยนะ"

 "ก็ฟ่างไม่เป็นไรจริงๆ นี่นา"

 "ตรวจเสร็จแล้วค่อยไปกินก็ยังไม่สายนะ" ผมยิ้มให้พี่ตะวันที่ช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง

 "นะฟ่าง ไม่นานหรอก"

 "งืมมม ก็ได้" ผมยิ้มให้คำตอบของเพื่อน ยิ้มให้พี่ตะวันที่เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลใกล้มหา'ลัย

 สายฝนยังคงตกกระทบหน้าต่างอยู่ด้านนอก และไม่นานรถก็จอดลงที่ลานจอด พวกเราค่อยๆ ลงจากรถ กางร่ม และเดินฉิวไปที่ตัวอาคารสีขาวขนาดใหญ่

 ฟ่างบอกให้ผมและพี่ตะวันรออยู่ที่โถงด้านหน้า มีมุมเล็กๆ มีเก้าอี้โซฟาสบายๆ ให้พวกเราได้นั่งรอกัน

 "ดีจังเลยนะ ที่ฟ่างมีเพื่อนที่คอยเป็นห่วงแบบไวท์" ผมที่นั่งอยู่กับพี่ตะวันก็ถูกพูดชมเข้า ซึ่งผมก็รีบส่ายหน้าน้อยๆ ปฏิเสธทันที

 "ไม่ใช่ครับ กลับกันเลย ผมต่างหากที่โชคดี" ความทรงจำเกี่ยวกับฟ่างทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ในชีวิตของผม มีไม่กี่ครั้งที่จะมีคนอยากเป็นเพื่อนด้วย และที่สำคัญที่สุดคือความจริงใจของฟ่างที่มีให้ผม เธอเป็นคนไม่กี่คน ที่เชื่อในตัวผม เข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น

 สายลมที่ด้านนอกพัดโชย ทำให้ต้นไม้พลิ้วไหวตามแรง สายฝนที่เริ่มตกลงมานั้น มองดูเย็นชุ่มฉ่ำไม่ขาดสาย ผมเดินเข้าไปช้าๆ ยื่นมือแตะกระจกใส ดูสายน้ำเย็นที่ค่อยๆ ไหลผ่านลงสู่เบื้องล่าง

 "วันนี้ ผนก็ตกอีกแล้ว" ไม่รู้ทำไม ถึงแม้ว่าความเย็นชุ่มฉ่ำนี้จะเป็นสิ่งที่ผมชอบ แต่ในหัวใจกลับหม่นหมอง หงอยเหงา เศร้าสร้อย

 "ว่ากันว่า เทวดาร้องไห้เป็นสายฝนนะ"

 คำพูดของคนด้านหลังนั้นทำให้มือของผมหยุดชะงัก ภาพของคนคนหนึ่งผุดขึ้นอย่างเด่นชัดในความทรงจำ

 ปีกสีขาวของคนที่ผมแสนคิดถึง ใบหน้าของซิน ที่หยาดน้ำตาค่อยๆ หลั่งรินไหลออกมา

 "ไวท์ เป็นอะไรหรือเปล่า" คนด้านหลังที่เห็นสีไม่ดีของผม ก็รีบเดินเข้ามา จับตัวผมพยุงไว้

 "พี่ตะวัน" ผมที่เพิ่งได้รับรู้ถึงเหตุผลของสายฝนนั้น ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะพูดเรื่องสำคัญออกไป ให้กับคนที่กำลังตั้งใจฟัง

 "ขอบคุณนะครับที่คอยช่วยผม อยู่ข้างๆ ผม"

 "พูดเรื่องอะไรน่ะ ทำไมอยู่ๆ ก็..."

 "พี่ชอบผมใช่ไหม" คำพูดของผมทำให้พี่ตะวันหยุดชะงัก คนที่ดีแบบนี้ คนที่ผมไม่อยากทำให้เสียใจ แต่ว่ามันก็เป็นไปไม่ได้

 "ใช่" ผมยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับคำพูดนั้น ถ้าหากว่าผมได้พบพี่ ก่อนหน้านี้ ก่อนที่เรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดจะผ่านเข้ามา ก่อนที่หัวใจของผมจะเป็นของซิน บางที บางทีคนที่ผมอยากฝากหัวใจ คงอาจจะเป็นพี่ก็ได้

 "ขอโทษนะครับ"

 "พี่รู้อยู่แล้วล่ะ เขาคนนั้น คงเป็นคนที่สำคัญมาก" ผมยิ้มน้อยๆ กับคำพูดนั้น "แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าเวลาไหนที่เราต้องการ จะมีพี่อยู่ตรงนี้เสมอ"

 "ขอบคุณครับ แล้วก็...ขอโทษจริงๆ" ผมบอกพี่ตะวันด้วยใบหน้าหมองเศร้า แต่พี่เขาก็ทำเพียงแค่ยิ้ม พลางลูบหัวผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน

 "อย่ามัวแต่ขอโทษเลย ดูนั่นสิ สายรุ้ง ขึ้นแล้วนะ"

 ผมมองตามมือของคนข้างๆ ที่ชี้ออกไปด้านนอก ท้องฟ้าที่เคยดูมืดครึ้ม บัดนี้ทอแสงสีส้มสว่างตา สายรุ้งเจ็ดสี ปรากฎชัดบนฟากฟ้า มันช่างเป็นภาพ ที่งดงามจริงๆ



 หลังจากที่ฟ่างตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อย พี่ตะวันผู้แสนใจดีก็พาพวกเรามาส่งที่ร้านกาแฟของพี่เบลล์

 ผมถามฟ่างถึงเรื่องผลของการตรวจร่างกาย และฟ่างก็บอกว่าทุกอย่างโอเค ไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่เธอพักผ่อนน้อยเท่านั้น ซึ่งเมื่อได้ยินแบบนี้ ผมก็รู้สึกโล่งใจมาก

 เมื่อกินขนมและดื่มเครื่องดื่มที่พี่เบลล์ยกมาให้หมดแล้ว ผมก็เริ่มที่จะหยิบจับทำงานช่วยพี่เบลล์ ผมมองดูฟ่างและพี่ตะวันที่นั่งคุยเล่นกันสักพัก และพี่ตะวันก็ต้องขอกลับก่อนด้วยเรื่องของงาน

"ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปส่งที่บ้าน" พี่ตะวันบอกผมด้วยรอยยิ้ม และไม่ลืมที่จะยื่นมือมาขยี้หัวผม

 "ไม่เป็นไรครับ แล้วก็..."

 "คำว่าขอโทษน่ะ ไม่อยากฟังแล้ว" พี่ตะวันดีดหน้าปากผมเบาๆ และเดินไปด้วยรอยยิ้มสว่างไสว "พรุ่งนี้จะไปรับนะ ในฐานะ...พี่ชาย" คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มได้ ผมรู้สึกดีขึ้น ที่ผมไม่ได้สูญเสียคนดีๆ แบบนี้ไป รอบๆ ตัวของผมตอนนี้ มีแต่คนที่ดีกับผมจริงๆ

 "อะแฮ่ม ตัดเงินเดือนดีไหมเนี่ย" ผมตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงจากด้านหลัง พี่เบลล์ยืนกอดอกยิ้มให้ผมแบบมีเลศนัยมองมา

 "ทำไมถึงจะตัดละครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย"

 "ก็...หมั่นไส้ส่วนตัว" พี่เบลล์ยักไหล่พลางเดินหนีเข้าไปในร้าน ผมไม่ค่อยเข้าใจเลยแฮะ

 "ห้ามแกล้งไวท์นะคะ" เหมือนฟ่างที่นั่งอยู่จะได้ยิน เธอส่งเสียงใสและเดินเข้ามากอดคอผมทันทีเพื่อปกป้อง

 "จ้าๆ ไม่แกล้ง แต่ว่าตอนนี้ ไปช่วยพี่ยกของที่หลังร้านก่อน" พี่เบลล์ไม่พูดเปล่าแต่เดินเข้ามาและดึงแขนผม แกล้งแหย่ฟ่างเหมือนกำลังยื้อแย่งตัวผม

 "ไม่ได้ค่ะ ห้ามแย่งไวท์ไปน้า" ผมเริ่มหัวเราะและมองทั้งสองคนที่ทำตัวเหมือนเด็ก

 "ฟ่าง พอเถอะ ผมต้องไปทำงานต่อนะ" ผมบอกฟ่างและหมุนตัวหลบมือของเธอ

 "ต้องแบบนี้ ถึงจะคุ้มค่าจ้าง..." พี่เบลล์ได้ทีก็คว้าตัวผมไว้ แต่ว่าไม่รู้ทำไม เมื่อมือของพี่เบลล์และฟ่างแตะต้องโดนกัน พี่เบลล์ในตอนนี้หยุดชะงัก และทำสีหน้าน่ากลัวแปลกๆ

 "พี่เบลล์" ผมเรียกพี่เบลล์ที่ยังคงจ้องมองฟ่าง ผมไม่เคยเห็นพี่เขามีสีหน้าแบบนี้เลย

 "อ๋อ โทษที สงสัยไฟฟ้าสถิตย์ละมั้ง" พี่เบลล์ลูบมือตัวเองไปมา แต่ก็ยังคงจ้องมองฟ่าง

 "วันนี้ได้ข่าวว่าไปตรวจร่างกายมาเหรอ แล้วเป็นไง" ฟ่างดูมึนๆ งงๆ กับปฏิกิริยาของพี่เบลล์เช่นกัน ผมจึงคิดว่าผมควรจะตอบแทนเธอ

 "ใช่ครับ ปกติดี แค่พักผ่อนน้อย"

 "เหรอ เธอนอนไม่หลับมากี่วันแล้ว" พี่เบลล์ยังคงทำสีหน้าจริงจัง

 "เธอหลงๆ ลืมๆ ไม่รู้ว่าตัวกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหนหรือเปล่า" ผมมองเพื่อนที่เริ่มดูตื่นตกใจกับคำถาม เธอถอยหลังหนีจากพี่เบลล์ด้วยสีหน้าที่ดูซีดลง

 "ฟ่าง" ผมเรียกเพื่อนและดึงมือเธอเอาไว้ แต่เธอก็ดูตื่นกลัวมากขึ้น

 "พี่เบลล์ เดี๋ยวก่อนครับ นี่มันเรื่องอะไรกัน" ผมตัดสินใจปกป้องเพื่อนจากเจ้านายของผม ดึงเพื่อนให้มาหลบข้างหลัง

 "ทำไมเธอถึงไม่บอกเรื่องนี้กับไวท์ล่ะ เธอก็น่าจะรู้ว่าเธอกำลังเผชิญกับอะไร" พี่เบลล์เหมือนไม่ได้พูดกับผม แต่กำลังพูดกับฟ่างที่อยู่ด้านหลัง

 "ฟ่าง"

 "ไม่นะ ฟ่างควบคุมมันได้" ผมหันไปมองเพื่อน ฟ่างหลับตาแน่นดูไม่เป็นตัวของตัวเอง

 "เธอคุมมันไม่ได้หรอก มันมีอำนาจเหนือเธอ"

 "ไม่" ฟ่างเริ่มพูดเบาๆ กับตัวเองพลางถอยหลังออกไปไกล ผมมองเธอสลับกับพี่เบลล์ที่เริ่มบอกขอโทษลูกค้าและเชิญให้ทุกคนออกจากร้าน

 ความรู้สึกเก่าๆ ความกลัว ทำให้หัวใจเริ่มเต้นรัว อย่าบอกนะว่า ในตัวของฟ่างนั้น

 "กล้ามากที่เข้ามาในเขตแดนนี้" พี่เบลล์ปิดประตูร้านและหันกลับมาพูดด้วยเสียงแข็งกร้าว แต่ด้วยสัญชาติญาณของผมที่ต้องการปกป้องเพื่อน มันทำให้ผมก้าวเข้าไปบดบังตัวเพื่อนอีกครั้ง

 "เดี๋ยวก่อนครับ นี่อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้"

 "จริงๆ นายก็สงสัยอยู่ไม่ใช่เหรอ ไวท์ นายรู้จักมันดีกว่าใคร" พี่เบลล์ยังคงมีท่าทีสบายๆ ยืนอยู่ตรงหน้า

 "รู้จักดี...พี่พูดถึงใคร"

 "ถอยไป"

 "ไม่ เดี๋ยวก่อน ถ้าพี่คิดผิดล่ะ" ผมยังคงลังเล ผมเป็นห่วงฟ่าง ผมไม่รู้ว่าพี่เขาคิดจะทำอะไร

 "อย่างที่ซินบอก นายนี่มัน..." ชื่อของคนที่ไม่คิดว่าจะได้ยินกลับออกมาจากคนที่ใกล้ชิด ผมที่ยืนแน่วแน่อยู่ตรงหน้าเพื่อนนั้น สองขาค่อยๆ ก้าวออกไป และจับลงที่เสื้อของคนตรงหน้า

 "พี่เป็นใคร รู้จักซินได้ยังไง"

 "นายคิดว่าบนโลกนี้มีแต่ซาตานเหรอ"

 หลังคำพูดของพี่เบลล์ มีดในครัวหลายเล่มก็ลอยฉิวขึ้นจากเคาน์เตอร์และพุ่งตรงมายังร่างกายของผม แต่ว่าการกระทำนั้นก็ไร้ผล เพราะว่าเพียงพี่เขาสบัดมือเล็กน้อย อาวุธเหล่านั้นก็ร่วงกราวลงบนพื้น

 ผมตกใจรีบหันกลับไปมองต้นตอของรังสีอาฆาตนั้น และก็ต้องพบว่า ตอนนี้ฟ่าง ไม่ใช่ฟ่างอีกแล้ว

 "อีกนิดเดียว แค่นิดเดียว"

 "ฟ่าง" ผมเรียกเพื่อนเสียงสั่น ภาพตรงหน้าทำให้ผมทั้งกลัวและเสียใจ ตอนนี้ใบหน้าของฟ่างเป็นเงาดำริ้วๆ ดวงตาสีแดง และปากที่มีแต่เขี้ยว เป็นปิศาจที่น่ากลัวยิ่งกว่าที่เคยพบเห็นมา

 "มันอาจจะไม่ได้นิดเดียวแบบที่แกคิดก็ได้ หลงตัวเองเกินไปไหม" พี่เบลล์ดูไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อย แต่กำลังเหมือนโกรธมากกว่า

"เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแก ไวท์เป็นของฉัน" เสียงคำรามต่ำที่ฟังยากจากร่างของฟ่าง ทำให้รู้ว่านั่นไม่ใช่เพื่อนของผมอีกแล้ว ผมเหนื่อยเหลือเกิน ทำไมถึงไม่ยอมแพ้ไปสักที

 "ผมไม่ใช่ของคุณ ไม่เคยเป็น" ผมพูดอย่างหนักแน่น ทั้งโกรธทั้งกลัว ทั้งเป็นห่วงเพื่อน แต่ก็รู้สึกเบาใจลงเมื่ออยู่กับพี่เบลล์

 "ได้ยินไหม ยังจะหน้าด้านไปไหน ทำไมต้องยึดติดเด็กคนนี้ขนาดนั้น"

 "ไวท์ มากับฉันเถอะ หมอนั่นช่วยเธอไม่ได้หรอก" ปิศาจตรงหน้าเมินคำถามของพี่เบลล์และจ้องมองผม แววตาและใบหน้ากลับสู่ปกติเช่นเดิม เป็นฟ่างที่ผมรู้จักดี

 "ไวท์ พี่รู้ว่าเราไม่ได้โง่ ปิดหูปิดตาไว้ อย่าให้มันหลอกได้"  พี่เบลล์อยู่ข้างๆ และคอยบอกผม

 "ไวท์ ฉันจะเตือนอีกครั้ง หมอนั่นช่วยเธอไม่ได้ ไม่มีใครช่วยเธอได้ อยากให้เพื่อน อยากให้ครอบครัวต้องเจ็บปวด อยากให้พวกเขาตายงั้นเหรอ" คำพูดที่ทำให้หัวใจของผมสั่นไหว ดังมาจากปิศาจร้ายที่สิงอยู่ในร่างเพื่อนที่แสนสำคัญของผม

 งั้นเหรอ มันคงเป็นแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม ถ้าหากผม ยอมแพ้ตอนนี้ ทุกคนก็จะอยู่กันได้อย่างมีความสุข

 "ไวท์!" พี่เบลล์เริ่มเสียงดังขึ้นเมื่อขาของผมเริ่มก้าวเดินไปตรงหน้า

 ผมไม่รู้ ตัวผมนั้นมีอะไรถึงทำให้ปิศาจตนนี้ต้องการผมนัก ดวงตาของผมราวกับเริ่มมองไม่เห็นสิ่งใด ขาของผมค่อยๆ ก้าวเดินไปตรงหน้า ผมควบคุมตัวเองไม่ได้...

 "อย่างนั้นแหละไวท์ เด็กดี เธอเป็นคนที่ฉันต้องการมากกว่าใคร" รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าสวยของฟ่าง ผมยิ้มให้เธอ เดินเข้าไปหาเธอ เพื่อนของผม เพื่อนรัก...

 "ตั้งสติซะ! คิดว่าซิน ต้องการแบบนี้งั้นเหรอ" คำพูดหนึ่งจากพี่เบลล์ทำให้ขาของผมหยุดชะงัก ชื่อนี้มีความหมาย มีอิทธิพลต่อผมมากมายนัก "นายกำลังดูถูกซิน สิ่งที่ซิน ตั้งใจทำเพื่อนาย"

 ไม่ ไม่มีทาง ผมไม่มีทางทำแบบนั้น

 "หึ ซินงั้นเหรอ ไอ้ซาตานจอมปลอมนั่นมันทำอะไรให้เธองั้นเหรอ ไหนล่ะ ถ้ามันรักและปกป้องเธอนักหนา แล้วไหนล่ะ มันอยู่ที่ไหน" คำพูดของปิศาจตรงหน้าทำให้น้ำตาของผมไหลรินออกมา นั่นสินะ ทำไมล่ะ ทำไมซินถึงจากผมไป ทำไมถึงไม่อยู่เคียงข้างผม

 "ไวท์ นายไม่เชื่อในตัวซินงั้นเหรอ" พี่เบลล์ถามผมเสียงเรียบ ใบหน้าของฟ่างที่ดูนิ่งสงบ เริ่มกลับมาเป็นปิศาจร้ายอีกครั้ง

 "อย่าโง่ไปหน่อยเลย ไอ้ปิศาจนั่นมันไม่มีทางทำอะไรได้ ตัวตนของมันสวรรค์ชังนรกก็ไม่เหลียวแล" เสียงคำรามด้วยความโกรธของปิศาจร้ายทำให้ข้าวของในร้านสั่นสะเทือน ท้องฟ้าด้านนอกแปรปรวนราวกับมีพายุ ถึงแม้จะได้ยินคำพูดบาดใจนั่น แต่ก็ไม่ทำให้ผม หวั่นไหวอีกแล้ว

 "ที่แกพูดน่ะผิดแล้ว ซินมีค่ามากกว่านั้น ซินปกป้องผม จากปิศาจชั้นต่ำอย่างแกได้" คำพูดของผมทำให้ปิศาจนาธัสแทบคลั่ง ผมเจ็บปวดที่ต้องเห็นร่างของเพื่อนถูกครอบงำ แต่ว่า ผมจะยอมแพ้ไม่ได้ เพื่อซิน เพื่อคนคนเดียวที่ผมเชื่อหมดใจ

 "ถ้าอย่างนั้นไวท์ ความโง่ของเธอ ทำให้ทุกคนต้องตาย!" เสียงและแรงอาฆาตทำให้กระจกทุกบานในร้านแตกกระจาย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ยังยืนหยัดอย่างมั่นคง

ผมจะไม่กลัว เพราะผมเชื่อว่าซิน จะต้องปกป้องผมได้แน่ เหมือนที่เป็นมาเสมอ

*****************************************************

หลังจากที่ห่างหายไปนานกว่า 7 เดือนตอนนี้นักเขียนกลับมาอัพเรื่องนี้แล้วนะคะ ใครลืมเนื้อเรื่องก็อ่านทวนใหม่ตั้งแต่ต้นได้ค่ะ

ต้องกราบขออภัยที่ให้รอนานนะคะ ส่วนใครที่รอเรื่องนี้ในแบบรูปเล่ม ก็ขอให้รอฟังข่าวต่อไปน้า มีแน่นอนค่ะ!!

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หนูฟางคนเดิมไปไหนแล้วล่ะ หรือหนูฟางไม่เคยมีอยู่จริง  :hao4:

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
รอซินกลับมาหาไวท์นะ

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 40 คนที่ไม่อาจแตะต้อง


ตลอดชีวิตของผม ทุกเวลา ทุกนาที มีแต่ความหวาดกลัว และสิ้นหวัง ผมโดดเดี่ยวอ้างว้าง เจ็บปวดกับผู้คนรอบข้าง ผมได้แต่ใช้ชีวิต เดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ ได้แต่คิด ทำไม ผมถึงต้องเป็นคนที่โชคร้ายขนาดนี้ ทำไมผมจะต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้

 แต่แล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้พบกับคนคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะดูเย็นชา และโหดร้ายแค่ไหน แต่ว่าเขาก็อยู่เคียงข้างผมเสมอ เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยว หัวใจที่เคยแห้งแล้ง กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

 ผมหลับตาลง ให้หัวใจอยู่ในห้วงคำนึงถึง คนคนนั้น ซิน คนที่ผมคิดถึงสุดหัวใจ และผมจะไม่กลัว อะไรอีกต่อไป

 เสียงดังสนั่นที่ก้องกังวานรอบตัวนั้น ไม่ได้ทำให้หัวใจของผมหวาดกลัวแม้แต่น้อย ความรู้สึกของลมที่พัดไหว เคลื่อนผ่านไปมาอยู่รอบๆ ตัว

 ผมไม่รู้ ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น รู้แต่เพียงว่าเสียงคำรามด้วยความโกรธของปิศาจนาธัสยังคงดังอยู่รอบๆ ตัวผม และเสียงหัวเราะเย้ยหยันของพี่เบลล์ก็ทำเอาผมประหลาดใจ

 "ไวท์ เจ้าโง่ไวท์ พูดออกมาสิว่ายอมแพ้" เสียงของปิศาจยังคงดังไปมากังวานในหู เหมือนกำลังกล่อมผมให้คล้อยตาม "อยากให้ทุกคนตายจริงๆ เหรอ แกมันตัวอับโชค เป็นเพราะแกทุกคนถึงต้องตาย รวมทั้งซิน!"

 "เหอะ คนที่โง่น่าจะเป็นแกมากกว่ามั้ง" เสียงของพี่เบลล์ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เหมือนกำลังยั่วโมโหปิศาจเต็มที่ จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าพี่เขาคือใครกันแน่

 "เอาสิ อยากทำอะไรเด็กคนนั้นก็เชิญสิ เห็นไหมล่ะ ว่าไม่ทำอะไร แค่ยืนดูเฉยๆ"

 "หึ ที่แกทำนั่นถูกแล้ว พวกทูตสวรรค์ขี้ขลาดมีให้เห็นถมไป" ทูตสวรรค์...งั้นเหรอ

 ในที่สุดผมก็รู้ว่าพี่เบลล์คือใคร ที่พี่พูดว่าไม่ได้มีแค่ซาตานอยู่บนโลก เพราะแบบนี้เองสินะ

 คำพูดถากถางของปิศาจทำเพียงเรียกเสียงหัวเราะในลำคอให้พี่เบลล์เท่านั้น ผมไม่เข้าใจ ทำไมพี่เขาถึงยังคงดูนิ่งเฉยกับการกระทำที่เหิมเกริมของปิศาจนาธัสขนาดนั้น

 "แกกำลังขำอะไร" ความไม่พอใจชัดเจนในน้ำเสียงคำรามของปิศาจ ผมยังคงหลับตายืนนิ่งๆ แต่ก็รอฟังทุกสิ่งที่ทั้งสองกำลังพูด

 "ขำความมั่นใจโง่ๆ ของปิศาจอย่างแกไง"

 "หึ งั้นเหรอ งั้นก็ได้ ไวท์ หมดเวลาของแกแล้ว" สิ้นเสียงคำรามนั้นลมวูบหนึ่งก็พัดไหวอย่างรุนแรงทำเอาตัวผมแทบจะลอยขึ้นจากพื้น เสียงที่ดังก้องราวกับเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นจนทำให้หูของผมเจ็บแปลบ แต่ว่า...

 หลังจากสิ้นเสียงนั้น หลังจากลมพัดแผ่วลง ความเงียบก็เข้าครอบงำ

 มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ หรือว่าผมได้ตายไปแล้ว ความรู้สึกที่ได้ตายไปแล้ว ทำไมถึงกลายเป็นความว่างเปล่า ผมไม่รู้สึก ไม่มีความเจ็บปวดอะไรทั้งนั้น

 "ไม่จริง..."

 น้ำเสียงที่ดูผิดหวังของปิศาจตรงหน้า ทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ

 กรงเล็บที่แผ่ยาวน่ากลัวทรงพลังยื่นอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าของผมมากนัก แต่ทว่า ไม่สามารถยื่นเข้ามาได้มากกว่านี้

 "ไม่! ม้ายยยย!!"

 ไม่ว่ากรงเล็บหรือพลังอำนาจมากมายแค่ไหน เมื่ออยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ ก็ราวกับเลยผ่านออกไป ไม่สามารถส่งผลใดๆ ได้

 "นี่มัน เรื่องอะไรกัน" แม้แต่ผมก็ต้องประหลาดใจอย่างที่สุด ผมมองปิศาจตรงหน้าที่เริ่มบ้าคลั่งทำลายข้าวของและมองพี่เบลล์ที่สีหน้าดูพึงพอใจยิ่งนัก

 "คิดว่าสิ่งที่ซินทำ มีแค่เพียงลบล้างพลังของนายเหรอ" พี่เบลล์พูดและค่อยๆ เดินเข้ามาหาผม ทุกถ้อยคำที่พี่เบลล์กำลังพูด ทำให้หัวใจของผม สั่นสะท้านมากขึ้นทุกที

 "ไม่ใช่เลย นายกำลังดูถูกซินมากเกินไป ซินที่หันหลังให้ความสว่างและจมอยู่ในความมืดมานานนับร้อยปี สละพลังทุกอย่างเพื่อกดพลังของนายเอาไว้ ไม่ให้นายต้องเจ็บปวด"

 "ไม่จริง มันก็ทำได้นั้น แต่มันไม่มีทางห้ามไม่ให้ฉันแตะต้องไวท์ได้" เสียงสั่นเครือของปิศาจ แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่ง เขายังคงจ้องมองมาที่ผม และเอื้อมมือไขว่คว้าได้แต่เพียงความว่างเปล่า

 "ใช่ ซินห้ามแกไม่ให้แตะต้องไวท์ไม่ได้หรอก แต่..." พี่เบลล์หยุดพูดและชี้มือไปที่ท้องฟ้า

 "มีเพียงผู้เดียวที่ทำได้ และซิน ขอร้องเขาผู้นั้น..."

 "ไม่!!" ผมตกใจที่ปิศาจนาธัสส่งเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดจนพื้นห้องสั่นสะเทือน ความสิ้นหวังแผ่ซ่านอยู่ในน้ำเสียงของเขา ราวกับหมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง

 "ท่านทอดทิ้งมันแล้ว ไม่มีทีที่ท่านจะช่วยมัน!"

 "แกเข้าใจผิดแล้วซาตาน การหวนคืนสู่แสงสว่างของซิน เป็นเรื่องที่ท่านยินดียิ่งกว่าใคร" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็เข้าไปจับแขนพี่เบลล์ไว้ ผมเริ่มยิ้มอย่างดีใจ

 "ซิน ซินตอนนี้อยู่ที่บนฟ้างั้นเหรอครับ แปลว่าผมยังพบซินได้ใช่ไหม พี่ช่วย พาซินมา..."

"ทำไม่ได้หรอก" รอยยิ้มที่เคยมีเริ่มจางหาย ผมไม่เข้าใจ ในหัวใจรู้สึกวูบไหว ความหวัง ถูกดับไปอีกครั้ง

 "เขาใกล้จะจากไปโดยสมบูรณ์แล้ว ทุกสิ่งที่เขาทำเพื่อนาย มีราคาที่ต้องจ่าย"

 หูของผมราวกับไม่อยากรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ผมไม่อยากรับรู้ ไม่อยากได้ยินว่าผมจะไม่มีวันได้พบซินอีกแล้ว

 "ฉันก็แค่ อยากให้เธออยู่เคียงข้าง" เสียงแผ่วเบาที่ดังอยู่ตรงหน้าทำให้ผมเงยหน้าขึ้น ความเจ็บปวดในหัวใจทำให้น้ำตาของผมไหลออกมาช้าๆ อย่างทุกข์ระทม

 ตรงหน้าผมนั้น ตอนนี้ไม่ได้มีปิศาจร้ายอีกแล้ว ผมมองเห็นอาจารย์นาธัส คนที่เคยดูสง่างามและน่าเชื่อถืออยู่เสมอ เป็นคนที่ผมเคยเชื่อและพึ่งพาได้

 ตอนนี้ คนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านี้ ดูไม่เหมือนที่ผ่านมา เป็นแค่เพียงผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่ดูหมดสิ้นทุกอย่างในชีวิต

 "ไวท์ ถ้าเธออยู่กับฉัน เธอก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีกเหมือนกัน ฉันทำทุกอย่าง เพื่อปกป้องเธอได้เช่นกัน"

 ผมมองคนตรงหน้าที่พูดจาสวยหรูนั่น แต่ว่าผมไม่เคยลืม ไม่เคยลืมสิ่งที่ผมได้เผชิญ ความเจ็บปวดทุกสิ่ง มันเริ่มมาจากปิศาจตนนี้

 "คืนเจมาให้ผมสิ" ผมยิ้มเยาะคำลวงนั่น คุณไม่มีวันหลอกผมได้อีกแล้ว

 "อยู่เคียงข้างคุณงั้นเหรอ ทุกสิ่งที่คุณทำกับผม เพียงเพื่อให้ผมอยู่กับคุณงั้นเหรอ" ผมพูดและหัวเราะอย่างเศร้าสร้อย "ตลอดชีวิต ผมไม่เคยทำร้ายใครเลย ไม่เลย ผมกลัวที่จะทำให้คนอื่นต้องเป็นทุกข์หรือเสียใจเพราะผม แต่ว่า...ช่วยหายไปจากชีวิตผมเถอะ ผมไม่ต้องการคุณ ผมไม่ต้องการเห็นคุณอีก"

 ไม่มีคำพูดใดๆ อีกจากคนตรงหน้า ผมพูดอย่างแน่วแน่ด้วยหัวใจที่ปวดร้าว จ้องมองสีหน้าแววตาของคนที่กำลังยื่นมือมาหา ผมเคยตอบรับมือนั้นที่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา แต่ว่า ไม่มีอีกแล้ว คุณเป็นสิ่งที่ผมจะลบเลือนหายไปจากความทรงจำตลอดกาล

 มือนั้นได้เลือนผ่านไป ไม่สามารถแตะต้องผมได้ แสงวูบหนึ่งทำให้ตาของผมพร่าเลือน และต่อมาผมก็พบว่าร่างของฟ่าง เพื่อนของผมนอนหลับตาอยู่ตรงนั้น

 "ฟ่าง" ผมรีบเข้าไปหาเพื่อน สีหน้าของเธอดูซีดเซียวแต่ก็ยังคงมีลมหายใจ ผมรู้สึกโล่งใจเล็กๆ เมื่อพยุงเธอขึ้น และเมื่อเงยหน้ามองพี่เบลล์ที่อยู่ด้านหลัง สิ่งต่างๆ รอบตัวก็ทำให้ผมแปลกใจอีกครั้ง

 ทุกสิ่ง ข้าวของ กระจกที่แตกกระจายอยู่ที่พื้น บัดนี้กลับกลายเป็นปกติเหมือนดังเดิม ผมมองผู้คนที่เดินผ่านหน้าร้านเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น นี่มันเป็นเรื่องอัศจรรย์จริงๆ

 "พาไปนอนพักข้างบนก่อนเถอะ เธอแค่อ่อนแรง" พี่เบลล์แย่งตัวฟ่างไปจากผม อุ้มเธอขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดาย และนำเธอไปยังห้องพักชั้นสอง เป็นที่ที่ผมคิดว่าเป็นที่พักของพี่เบลล์

 "เขา ไปแล้วใช่ไหมครับ" ผมยืนอยู่ที่ประตู มองดูมือของพี่เบลล์ที่แตะต้องตัวฟ่าง และสีหน้าของเธอก็เริ่มกลับมาดีขึ้น

 "การเป็นที่รักในหมู่ซาตานนี่มันฝันร้ายชัดๆ เลยใช่ไหม" พี่เบลล์หันมาหรี่ตามองผมและยิ้มให้ผมเหมือนกับเป็นเรื่องล้อเล่น ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกสนุกด้วยเลยสักนิด

 "ผม ไม่ได้ต้องการให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้"

 "แน่ล่ะ ใครจะต้องการ แม้แต่ความตายก็ยังไม่น่ากลัวเท่าการเอาตัวไปผูกติดกับโลกของปิศาจ"

 "ผมไม่กลัวหรอก ถ้าเป็นโลกของซิน" ผมพูดเบาๆ ไม่ได้หวังให้พี่เบลล์ได้ยิน แต่ก็ผิดถนัด

 "ไวท์ นายรู้ไหมว่า ความจริงแล้วฉันคือใคร" พี่เบลล์ปล่อยมือจากฟ่างและลุกขึ้นมองผมนิ่งๆ

 "คุณคือทูตสวรรค์" คำตอบของผมทำให้พี่เบลล์ยิ้มมุมปาก ปีกที่ขาวสะอาดของเขากางออกและกระพือไหวเพียงครั้งเดียว ทำให้เท้าของผมแทบลอยจากพื้นอีกครั้ง

 "ถูกต้อง ถ้าซาตานคือสีดำ ฉันก็คือสีขาว" ผมรู้สิ่งที่พี่เบลล์พูดดี เทวดากับซาตาน เป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่ว่า...

 "กำลังสงสัยเรื่องของซินใช่ไหม" ราวกับถูกอ่านใจ ผมพยักหน้าน้อยๆ ให้พี่เบลล์ ตอนนี้ผมรู้สึกเกรงๆ พี่เขาเล็กน้อย เหมือนกับว่าผมเคยรู้จักพี่เขา แต่ความจริงแล้วกลับไม่รู้อะไรเลย

 "ครับ มีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ ผมรู้ว่าซินเป็นซาตาน แต่ว่า ปีกนั้น ปีกของซิน เป็นสีขาว..."

 "ซิน เป็นสิ่งที่คาบเกี่ยวระหว่างความมืดและความสว่าง เพราะว่าเมื่อนานมาแล้ว เขาก็เคยเป็นพวกเรา เป็นทูตที่ถึงจะไม่มีไมตรีมากนัก แต่ก็อ่อนโยนยิ่งกว่าใคร" พี่เบลล์เริ่มเล่าเรื่องและนั่งลงบนเตียง

 "จนวันนึง เขาทำให้พระบิดาต้องผิดหวัง จากความหัวรั้นและไม่เชื่อฟัง ซินถูกขับไล่ลงมาจากบนนั้น ฤทธิ์อำนาจทุกอย่างก็ยังคงเป็นของเขา แต่ก็ถูกสาป ให้หลงลืมความรู้สึกดั้งเดิมของเขา ทำให้เขาลืมความอ่อนโยน และความรัก" พอเล่ามาถึงตรงนี้ พี่เบลล์ก็เรียกให้ผมให้เข้าไปใกล้ จ้องมองใบหน้าของผมอย่างพินิจพิจารณา

"ไวท์ นายเป็นคนดึงเขากลับมา ทำให้เขาที่ละทิ้งหนทางสว่าง กลับคืนสู่ที่ที่เขาควรอยู่อีกครั้ง"

 "ผมอยากเจอเขา" ผมพูดออกไปด้วยเสียงที่แห้งเหือด น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้คอยแต่จะเอ่อล้นออกมาด้วยความหวัง "ขอแค่อีกสักครั้ง ให้ผมทำอะไรก็ได้"

 สีหน้าแววตาของพี่เบลล์ในตอนนี้นั้นเริ่มที่จะหม่นลงอีกครั้ง มันไม่มีทางเลยงั้นเหรอที่ผมจะได้พบซิน

 "ไวท์" แรงบีบที่มือเหมือนกำลังปลอบโยน ผมมองพี่เบลล์ที่ทำสีหน้าเจ็บปวด ผมไม่เคยเห็นพี่เขาเป็นแบบนี้มาก่อน

 "ไวท์ ฟังให้ดีๆ นะ...ซิน ไม่เคยออกห่างจากไวท์..."

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ซินไม่เคยออกห่างจากไวท์

แสดงว่า.....ซินอยู่ในร่างไวท์?

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อยู่ไม่ห่าง แต่ก็ไม่ใกล้ และไม่ไกล  :really2:

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 41 รัก จนเกินกว่าจะรัก


ถ้อยคำที่ผมได้ฟังนั้น ถ้อยคำที่บอกว่าซินไม่เคยไปไหน ทำให้หัวใจของผม ทั้งยินดีและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน

 ผมปล่อยมือจากพี่เบลล์ มองไปรอบๆ ห้องนอนสีอ่อนที่มีลมพัดโชยเข้ามา หยาดน้ำตาสายหนึ่งไหลรินออกมาจากดวงตาใส ผมกำอกเสื้อด้านซ้ายด้วยแข้งขาที่อ่อนแรง ความเจ็บปวดทำให้ผมกระอักสำลักสะอื้นไห้

 ไม่มี ไม่เห็น ผมมองไม่เห็นซินเลย

 แต่ความเจ็บปวดของผมนี้ คงเทียบไม่ได้เลยกับซิน ที่ต้องจ้องมองคนที่รักที่เสียใจร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่ไม่อาจซับน้ำตาให้ได้ ทำได้เพียงจ้องมองอยู่ในมุมมุมหนึ่ง ไม่อาจสัมผัส ไม่อาจมอบไออุ่นใดๆ ทำได้เพียงเฝ้ามอง และบอกรักผ่านสายลมแผ่วเบา

 "ซิน" ผมร้องไห้ และเอื้อมมือไขว่คว้ากลางอากาศที่ว่างเปล่าตรงหน้า เพียงแค่หวังว่า ไออุ่นตรงหน้านี้ จะเป็นของคนที่ผมคิดถึงเหลือเกิน



 ในความมืดที่เงียบสงัด ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงมาอยู่ตรงนี้ สิ่งที่สุดท้ายที่ผมเห็น ที่ผมอยู่ ก็คือร้านของพี่เบลล์

ผมมองรอบๆ ตัวของผมที่ยังคงมืดสนิท ความมืดนี้ไม่ใช่ความมืดที่ธรรมดาทั่วไป ผมยกมือตัวเองขึ้นช้าๆ และจ้องมองมัน แต่ว่า มันก็มืดเกินกว่าจะมองเห็นได้

 ราวกับ...ตาของผม มันไม่เห็นอะไรอีกแล้ว

 พรึ่บ...

 แต่ทันทีที่ผมคิดแบบนั้น แสงเทียน แท่งหนึ่ง ก็จุดติดขึ้น ท่ามกลางความมืด

 แสงสีนวลที่ส่องประกายเล็กๆ นั้น ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมาในสายตา ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนถือมันเข้ามานั้น ผมก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง

 "โอนเนอร์" ผมที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ทรงสูงก็ลุกขึ้นทันที ใบหน้าของผู้ชายวัยกลางคนเด่นชัดจากแสงเทียน รอยยิ้มของโอนเนอร์ค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างใจดีเหมือนเก่า

 "คิดว่าเราจะไม่ได้พบกันอีกแล้วซะอีก" โอนเนอร์พูดกับผมและวางเทียนลงตรงหน้า ผมยังคงมึนงง มองโอนเนอร์และมองไปรอบๆ แต่ก็ยังไม่สามารถมองอะไรได้อยู่ดี

 "ทำไม ผมถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมผมถึงเห็นโอนเนอร์" ผมรีบถามในสิ่งที่สงสัย ไม่ใช่ว่าผม มองไม่เห็นโลกทางนั้นแล้วหรอกเหรอ

 "แน่นอนว่าเธอมองเห็นฉัน เพราะว่าฉัน ก็เหมือนกับเธอไงล่ะ" ผมขมวดคิ้วน้อยๆ ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

 "คุณ เป็นคนงั้นเหรอ" คำถามของผมเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากชายตรงหน้า

 "เธอคิดว่าฉันเป็นอะไรล่ะ"

 "ผม...ไม่รู้ครับ" ผมตอบอย่างซื่อๆ มองดูแก้วใบหนึ่งในมือของโอนเนอร์ ที่ถูกรินของเหลวสีแดงลงภายใน

 "แล้วเธออยากรู้ไหม ว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้" ผมพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้ที่สุด

 "เพราะว่าเธอปรารถนามัน เพราะว่าเธอแสวงหามัน" ผมไม่เข้าใจ ผมปรารถนาที่จะมาที่นี่งั้นเหรอ

 "ความช่วยเหลือเล็กๆ จากทูตสวรรค์นั่น ทำเอาเขาสูญพลังไปมาก ที่นี่ ไม่ใช่ที่ที่คนบนฟ้าจะเข้ามาได้ เขาทำแค่เพียง มาส่งเท่านั้น"

 "พี่เบลล์ งั้นเหรอครับ" ผมถามโอนเนอร์ ที่กำลังส่งยิ้มอย่างใจดี

 "เธอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ละคนที่อยู่ข้างๆ เธอ ล้วนแต่เป็นคนที่สุดยอด" คำพูดของโอนเนอร์ทำให้ผมหม่นเศร้า จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคนที่สุดยอดพวกนั้น ไม่ใช่ซิน คนที่ผมอยากให้อยู่เคียงข้างยิ่งกว่าใคร

 "จะมีประโยชน์อะไรที่ผมมาที่นี่ ในเมื่อ ผมไม่สามารถ พบซินได้อีกแล้ว แม้แต่จะมองสิ่งต่างๆ รอบตัวผม ก็ยังทำไม่ได้เลย"

 "เธอคิดว่าเธอ สูญเสียอะไรไปงั้นเหรอ"

 "ผมสูญเสียทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข"

 "เธอคงยึดติดกับเขามากเกินไปแล้ว สิ่งที่เขาทำเพื่อเธอ เธอจำมันไม่ได้เหรอ ว่าเพราะอะไร" คำพูดของโอนเนอร์ทำให้ผมนึกย้อนกลับไป

 ผมเองที่ร้องขอชีวิตที่ปกติทั่วไป เป็นผมเอง ที่บอก ที่ขอร้องให้ซินต้องจากไป...

 น้ำตาหยาดหนึ่งไหลลงมาจากดวงตา ผมร้องไห้ ร้องไห้ และยังคงร้องไห้ ติดอยู่กับความโศกเศร้าผิดหวัง ความสุขที่แท้จริงที่ซินพูดนั้น ผมจะได้สัมผัสมัน ได้ยังไงกัน

 "ดื่มนี่สิ" ผมมองแก้วที่มีของเหลวใสสีแดง แสงของมันนวลละมุนเมื่อต้องกับแสงเทียน ในหัวของผมว่างเปล่า ผมค่อยๆ ยื่นมือออกไป และหยิบมันขึ้นมา จ่อขอบแก้วนั้นจรดริมฝีปาก และค่อยๆ ดื่มมันเข้าไป

 ผมไม่ได้รับรู้รสชาติของมัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันขมขื่นสิ้นหวัง ผมหลับตา ปล่อยให้ของเหลวนั่นค่อยๆ ไหลผ่านลำคอเข้าไป กล้ำกลืน ฝืนน้ำตาเอาไว้

 "หึ เด็กนั่น ยังไม่ตายอีกเหรอ"

 "นาธัส ก็ไม่แน่เท่าไหร่"

 อยู่ๆ หูของผมก็เหมือนกับถูกเปิดสวิตซ์ สิ่งต่างๆ รอบตัว เสียงพูดคุย เสียงซุบซิบ ดังขึ้นรอบๆ ตัวอย่างน่าประหลาด

ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ มือที่ถือแก้วเปล่านั้นกลับกำแน่นด้วยความรู้สึกที่หลั่งไหลเข้ามาดั่งสายฝน

 ผมเบิกตากว้าง มองรอบๆ ตัวผมที่บัดนี้ ไม่ได้มีแต่เพียงความมืดอีกแล้ว ผนังที่มีเชิงเทียน โต๊ะไม้และเก้าอี้ที่เข้าชุด ผู้คน... ไม่ใช่ พวกนี้ ไม่ใช่คน...

 ผมตกใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือที่ถือแก้วนั้น เผลอปล่อยมันร่วงหล่นสู่พื้นจนแตกกระจาย

 "ผ..ผม..." ผมตกใจแทบจะล้มลง แต่มือของโอนเนอร์ก็จับผมเอาไว้ได้ทัน

 "เป็นไปได้ยังไง" ผมมองโอนเนอร์ที่กำลังยิ้ม เหล่าซาตานรอบๆ ตัวผม ต่างจ้องมองมาอย่างอยากรู้

 "หรือว่า..." ผมมองแก้วไวน์ที่แตกกระจายอยู่ที่พื้น ความทรงจำเก่า ผุดแล่นริ้วราวกับภาพฉาย

 ผมเคยดื่มน้ำนี้มาแล้ว และตอนนั้น มันทำให้ดวงตาของผม ไม่ต้องสวมแว่นอีกต่อไป ใช่ น้ำนี้ ทำให้ผม...

 "เธอทำมันไม่ได้ ถ้าไม่มีความเชื่อมากพอ และฤทธิ์ของมันก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น" โอนเนอร์พูดบอกผมด้วยรอยยิ้ม

 "ขอบคุณครับ ขอบคุณ..."

 "แทบไม่เหลือเวลาอีกแล้ว รีบไปซะ"

 คำพูดนั้นเหมือนเป็นสัญญาณบางสิ่ง ผมมองโอนเนอร์ และมองไปที่ด้านบน มองคนคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองผม ทำให้หัวใจเต้นโลดด้วยความดีใจ

 "พี่ไวลี่" ผมเรียกพี่ไวลี่อย่างตื่นเต้นและวิ่งไปที่ด้านบนของบาร์อย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนใจเสียงขู่เบาๆ ของบรรดาปิศาจในร่างคน

 ผมวิ่งและวิ่งข้ามบันไดทีละสามขั้น ไม่นานนัก ผมก็ขึ้นมายังชั้นสอง ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม มีโซฟาที่นั่งสบาย มีผู้หญิงสองคนที่ยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่ทว่า...

 "โง่หรือไง คิดว่าซินอยู่ที่นี่งั้นเหรอ" คำพูดของพี่ไวลี่ทำให้เท้าของผมหยุดชะงัก รอยยิ้มที่เคยมี เหือดหายไปจากใบหน้า ไม่มี ที่นี่ไม่มีซินอยู่

 ทำไมล่ะ ถึงแม้ว่าผมจะมองเห็น แต่ว่า ผมก็ยังไม่พบซิน

 "ยืนบื้อทำอะไร ซินในตอนนี้ไม่ใช่พวกเราอีกแล้ว ก็รู้ไม่ใช่เหรอ" คำพูดที่แฝงไปด้วยความผิดหวังของพี่ไวลี่ ราวกับตบปลุกผมให้ฟื้นคืนสติ

 ทำไมพี่เบลล์ถึงไม่เข้ามาที่นี่ เพราะว่ามันไม่ใช่สถานที่สำหรับเขา และซิน...

 ขาของผมเริ่มก้าวอีกครั้ง ผมวิ่งกลับหลัง วิ่งลงบันไดกระโจนจนเกือบล้มลง แต่ว่า ไม่มีอะไรหยุดผมได้ ไม่มี...

 ความมืดจากด้านนอก ไม่สามารถทำอะไรกับแสงสว่างรอบๆ ตัวของคนคนนั้นได้

 ทุกฝีก้าวที่ผมวิ่งออกไป เรือนร่างที่ดูคุ้นตา ปรากฏขึ้นช้าๆ และค่อยๆ เด่นชัด

 ชุดสีดำ ที่ดำสนิท ใบหน้าที่ขาวซีด และเคยเย็นชา แต่ทว่า ตอนนี้ ใบหน้านั้น กำลังยิ้มจางๆ

 มันเป็นภาพ ที่ผมเฝ้าคิดถึง เป็นเหมือนดั่งความฝันที่สวยงามที่สุด

 ผมวิ่งอย่างสุดแรง และโถมเข้าหาร่างกายนั้น กอดแน่น และฝังใบหน้าลงที่อกที่แสนอบอุ่นที่สุด

 "ซิน" ผมกอดซินแน่นอย่างโหยหา กอดแน่นราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะระเหิดหายไป ผมเรียกซินซ้ำไปซ้ำมา สูดกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ จดจำช่วงเวลาที่ผมเฝ้ารอ

 "ผมคิดถึงซิน ซิน ซิน"

 "อื้ม อยู่นี่แล้ว อยู่ข้างๆ เสมอ" เสียงของซินแผ่วเบา ยังคงเรียบง่าย แต่ทว่า ทำให้ผมน้ำตาไหลออกมาอย่างสุดจะกลั้น

 "ผมขอโทษ" ผมร้องไห้ คำคำนี้ผมก็อยากจะพูดอีกแสนล้านครั้ง ทุกสิ่งที่ซินทำเพื่อผม มันทำให้ซินต้องสูญเสียทุกอย่าง

 "ไม่อยากได้ยินคำนี้" ผมเงยหน้ามองซิน ใบหน้าที่ดูอ่อนล้านั้นกำลังยิ้ม เป็นยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ผมเคยได้เห็น

 "ไปตรงนั้นกันเถอะ" ซินจับมือผมให้เดินตาม ผมมองแผ่นหลังกว้างของซิน มือของพวกเราผสานกันอย่างลึกซึ้ง ผมยกมือนั้นขึ้นแนบใบหน้าของผม ให้ผมได้สัมผัสซินมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

 ที่ด้านหน้าไม่ไกลจากบาร์นั้น ท่าเรือที่ดูเงียบสงบ ผืนน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สะพานไม้ที่ทอดยาวออกไป ท้องฟ้าที่เป็นสีหม่น ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ที่นี่

 มีแต่เพียงพวกเรา นั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวยาว พิงอิงแอบกัน ผมกอดซินเอาไว้ ราวกับจะไม่พรากจาก ไม่มีคำพูดอะไรมากมายจากซิน เหมือนกับว่า ซินกำลังเก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้เช่นกัน

 "ตอนนั้น ในความฝัน เป็นซินจริงๆ ใช่ไหม" ผมเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา ผมรู้สึกถึงมือของซินที่กระชับกุมมือผมแน่นขึ้น

 "เพราะว่าทำได้แค่นั้น"

 "ผมดีใจ ผมคิดถึงซิน ไม่ว่าจะทำอะไร ผมก็ไม่เคยลืมซินได้เลย"

 "นั่น ไม่ทำให้ไวท์เจ็บปวดหรอกเหรอ"

 "ถึงจะเจ็บปวด แต่ผมก็ยังอยาก จะคิดถึงซินต่อไป"

 "ไวท์ มีความสุขไหม"

คำถามของซิน ทำให้ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของซินยังคงดูดีเหมือนเช่นเดิม แต่ปากที่เป็นสีชาดตอนนี้กลับซูบซีดลง ผมค่อยๆ ใช้มือข้างที่ว่าง เลื่อนมือแตะช้าๆ ลงบนริมฝีปากนั้น มองดูซินที่หลับตาลงและจับมือของผมเอาไว้ ผมอยากแตะต้องซิน มากเท่าที่จะสามารถทำได้

"ผมมีความสุข ถ้ามีซินอยู่ข้างๆ ต่อจากนี้ อย่าไปไหนเลยนะ ทำเพื่อผม อีกสักครั้งได้ไหม" คำขอที่เอาแต่ใจนี้ ตามมาด้วยหยาดน้ำตาที่ิรินไหล

 "อยู่ด้วยกันเถอะนะ ถึงผมจะต้องกลับมาเห็นสิ่งน่ากลัว ผมก็จะไม่กลัวอีกแล้ว" ถ้อยคำขอร้องอ้อนวอนส่งผ่านเสียงที่สั่นเครือ ผมฝังหน้าลงกับคอของซิน ปล่อยให้ซินกอดไหล่ที่สั่นเทาของผมเอาไว้

 "พวกเขา บอกว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก บอกว่าซินจะจากไป นั่นไม่จริงใช่ไหม ซินจะไม่ไปไหนใช่ไหม ซินอยู่กับผมตลอดเวลา ซินจะไม่มีวันห่างจากผมใช่ไหม"

 "แต่โลกใบนี้ มีแต่จะทำให้ไวท์เจ็บปวด"

 "ไม่ ไม่อีกแล้ว ผมยอมแล้ว ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร ผมจะไม่กลัว ผมจะอดทน ผมจะเข้มแข็ง เพราะงั้น ซิน อยู่ด้วยกันเถอะนะ"

 "ขอบคุณนะ..." ซินพูด และประทับจุมพิตที่แสนอ่อนโยนลงที่หน้าผากของผม หัวใจของผมพองโตด้วยความดีใจ

 "แต่ว่า เส้นทางของไวท์ ถูกกำหนดไว้แล้ว" ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ มองซินที่กำลังยิ้มแบบเศร้าๆ

 "ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ให้คุ้มค่าที่สุด ต่อจากนี้ ไวท์จะได้มีความสุข อย่างที่ไวท์ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มีชีวิต อย่างคนทั่วไป เหมือนที่ฝันไว้"

 "ซิน..." ผมน้ำตาไหล จ้องมองซิน "ผมจะมีซินใช่ไหม"

 "แน่นอน ถึงไม่อยู่ในความทรงจำ แต่ก็คง จะอยู่สักแห่งในหัวใจ"

 "ไม่...ผมไม่เข้าใจ"

 "ไวท์ ขอบคุณนะ ที่ทำให้จำความรู้สึกนี้ได้"

 "..."

 "รัก รักจนเกินกว่าจะรัก"

 จุมพิตที่แสนอ่อนโยนประทับที่ริมฝีปาก ผมหลับตาลง ถึงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ซินบอก แต่ว่าคำว่ารักนั้น ได้สลักลึกลงในหัวใจของผม สลักลึก ฝังไว้ จะไม่มีวันลืม ว่าผมนั้น ก็รัก รักซินมากที่สุด รักจนไม่อาจรักใครได้อีก

 "ผมรักซิน รัก ผมรักซิน ผมรักซิน...ซิน รักซิน...ผมรัก...รัก...ใครกันนะ"

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

สรุปแล้ว  ไวท์เป็นอะไร  ที่บอกว่าเป็นประเภทเดียวกับโอนเนอร์?

เป็นมนุษย์ที่มีสัมผัสพิเศษมองเห็นภูติผีปิศาจงั้นสินะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด