In The Shadows' เงาหลอน ซ่อนรัก '[YAOI][#47 ปีกสีขาวที่หวนคืน][END](12/8/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: In The Shadows' เงาหลอน ซ่อนรัก '[YAOI][#47 ปีกสีขาวที่หวนคืน][END](12/8/63)  (อ่าน 22325 ครั้ง)

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 22 เพื่อนที่ลาจาก


หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวและลงไปช่วยคุณยายเก็บร้าน ผมมองซินที่ยืนนิ่งๆ ดูผมทำงานเหมือนเดิม

"ไวท์ลูก ช่วงนี้เพื่อนๆ มาหาเราบ่อยนะ" ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

"เพื่อน เหรอครับ" ผมถามคุณยายอีกทีเพื่อความแน่ใจ

"เพื่อนสามคนที่เคยมา ยายเห็นเขามาหาเรา แต่ก็ไม่เข้ามา มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า" ผมครุ่นคิด พวกเต้ยงั้นเหรอ มีอะไรกันนะ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย

"ไม่มีอะไรหรอกครับคุณยาย" ผมพูดและยิ้มให้คุณยาย

"มีเพื่อนเยอะๆ ดีแล้วลูก พ่อหนุ่ม ยายฝากหลานชายด้วยนะ" คุณยายพูดกับผมอย่างใจดี และหันไปหาซินที่ยืนอยู่หน้าร้าน

"มานี่ๆ มาหายายหน่อย" ผมยิ้มและมองซินที่ยังคงยืนนิ่ง ซินมองหน้าผมเป็นเชิงถาม และค่อยๆ เดินเข้ามาหาคุณยาย

ผมมองคุณยายที่จับมือทั้งสองข้างของซินเอาไว้ และจ้องมองใกล้ๆ

"มืดมาก แต่ก็ยังมีแสงสว่าง" ผมขมวดคิ้วมองคุณยายและซิน ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณยายพูด มันหมายความว่ายังไงกันนะ

ซินในตอนนี้นั้นก็กำลังทำหน้าสงสัยเช่นกัน ซินละสายตาจากคุณยายและจ้องมองผม สำหรับผมแล้ว ซินก็ส่องสว่างตลอดเวลานั่นแหละ

หลังจากพวกเราลาคุณยายเพื่อออกมาข้างนอกแล้ว ผมมองเวลาที่ตอนนี้เพิ่งจะหัวค่ำ ยังมีเวลาอีกเยอะก่อนจะไปที่มหา'ลัยเพื่อไปหาอาจารย์นาธัสและเจ

"จะไปไหนกันก่อนดี" ผมพูดและยิ้มให้ซินที่เดินมาข้างๆ และเปิดประตูให้ผมเข้าไปในรถ

"ยายแก่นั่น.." ผมตกใจทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

"คุณยายซิน คุณยาย เรียกแบบนั้นไม่ได้นะ" ผมยื่นมือไปตีซินที่กำลังทำคิ้วขมวดอยู่

"คุณยาย" ซินพูดตามผม และมันทำให้ผมยิ้ม ซินนั้นบางทีก็เหมือนกับเด็กๆ ต้องบอกว่าเด็กนิสัยไม่ดีเลยล่ะ

"คุณยายใช่แล้ว ทำไมเหรอ" ผมถามและขมวดคิ้วมองซิน

"ไม่มีอะไร" ซินพูดและเริ่มขับรถออกไป ผมสงสัยจริงๆ ว่าซินอยากจะพูดอะไรกันแน่นะ

ผมนั่งอยู่ในรถ แอบเหลือบมองซินที่ไม่ได้พูดอะไรและกำลังขับรถนิ่งๆ ผมอยากมีช่วงเวลาแบบนี้นานๆ ซินนั้นชอบหายไปอยู่เรื่อย ผมจะต้องใช้เวลาที่มีซินอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด

แต่ผมที่มัวแต่มองซินนั้น ก็เพิ่งรู้ตัวว่าซินพาผมมาที่ไหน ซินเปิดประตูรถให้ผม และยืนรอให้ผมก้าวลงไป

ผมมองไปรอบๆ ซอยที่เงียบสงัด มองสายน้ำในยามค่ำคืนที่กำลังสะท้อนแสงของเสาไฟใกล้ๆ ที่นี่ก็คือบาร์ที่ซินชอบมานั่นเอง

"ทำไมถึงพามาที่นี่เหรอ" ผมถามซิน แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมอยากคุยกับโอนเนอร์

"มาเถอะ" ซินไม่ตอบผม และเดินนำหน้าผมเข้าไปเหมือนเก่า

"ยินดีต้อนรับ" ผมยิ้มให้โอนเนอร์ทันทีที่ถูกเอ่ยทัก

"ครับ วันนี้ผมช่วยนะ" ผมพูดและทำท่าจะเข้าไปหาโอนเนอร์ แต่ก็ถูกซินดึงแขนเอาไว้

"ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ"

"ไปเถอะ วันนี้ไม่มีอะไรต้องช่วยหรอก" โอนเนอร์พูดอย่างใจดี หนอยซิน ผมเกรงใจนี่นา

พวกเราเดินขึ้นมาด้านบนที่เดิม ที่มีโซฟาหลายชุดตั้งอยู่ เป็นที่เดิมที่ซินชอบนั่ง และแน่นอน แม่สาวสองคนนั้น ก็อยู่ที่นี่ด้วย

ผมเดินตามซินที่เข้าไปนั่งกับสาวๆ พวกนั้น ผมรู้สึกไม่ค่อยดีอีกแล้ว ผมไม่อยากให้ซินอยู่ใกล้ใคร

"ดีใจที่ได้เจอนะไวท์" แม่สาวผมยาวทักผม

ผมและซินนั่งลงตรงข้ามพวกเธอ ผมยิ้มให้พวกเธอ และมองซินที่กำลังรินของเหลวสีอำพันลงในแก้ว ถ้าจะพาผมมาแล้วทำแบบนี้ ผมอยากกลับจริงๆ

"ซิน ไม่ดื่มได้ไหม" ผมพูดบอกซินที่ชะงักมือทันทีและจ้องมองผม

"ไม่เป็นไรหรอกไวท์ วันนี้จะดื่มด้วยกันไหมล่ะ" แม่สาวผมสั้นพูดสนับสนุนซินทันที ผมหน้ามุ่ย พวกเรามีเรื่องที่ต้องไปทำอีกนะ ไม่ได้มาเที่ยวเล่นกันสักหน่อย

"หิวหรือเปล่า" ผมยิ้มทันทีที่ซินวางแก้วลงและไม่ได้ดื่มมันเข้าไป

"ไม่เป็นไร ผมไม่ค่อยหิว"

"ซินเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมาเล่นกับพวกเราเลยนะ" ผมมองสาวผมยาวที่เอื้อมมือมาจับแขนซิน

"มีหลายอย่างที่ต้องทำ" ซินพูดและจ้องมองผม อ๋อเหรอ เพราะแค่นั้นหรือไง

ผมไม่เคยรู้สึกอยากอยู่ตรงนี้นานๆ เลยสักครั้ง ผมว่าผมไปจากตรงนี้ดีกว่า ปล่อยให้ซินสนุกไปเถอะ

"ผมขอตัวลงไปข้างล่างนะ ผมอยากคุยกับโอนเนอร์" ผมพูดและทำท่าจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกซินจับมือเอาไว้

"ไวท์ไม่ชอบใจอีกแล้ว" ผมมองซินที่พูดแบบนั้น

"หึงหวงงั้นเหรอ พวกเธอมีความสัมพันธ์ยังไงกัน" ผมหน้าขึ้นสีนิดๆ สาวผมยาวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างรู้ทัน

"ไม่เคยเห็นซินสนใจ...ใครมากเท่านี้" ผมมองสาวผมสั้นที่จ้องมองผม และตอนแรกนั้นเหมือนจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ก็เปลี่ยนใจ

ผมเหลือบมองซิน ผมอยากรู้ว่าซินจะตอบยังไง

"ไวท์ไม่เหมือนใคร" ซินพูดและดึงผมให้นั่งลงตามเดิม

"ก็ใช่แหละนะ หลุดมือไปคงเสียดายแย่ แล้วทำไมไม่จัดการสักที ตีตราแล้วไม่ใช่หรือไง" ผมขมวดคิ้วและจ้องมองผู้หญิงผมสั้นที่พูดแบบนั้น

"ตีตราอะไรเหรอ" ผมพูดถามและมองซินอย่างสงสัย

"ไม่มีอะไรหรอก" ซินพูดและจ้องมองผู้หญิงทั้งสองคนตรงหน้าเหมือนกำลังส่งสายตาคุยกัน

"อยากคุยกับโอนเนอร์ก็ไปเถอะ แล้วอีกสักพัก พวกเราไปกัน" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ลุกขึ้นอีกครั้งทันที มีความลับกันนักนะ ผมไปก็ได้

"งั้น เดี๋ยวเจอกันนะ" ผมบอกซิน และเดินลงไปที่บันได ผมครุ่นคิดถึงคำพูดของผู้หญิงคนนั้น และมองไปทั่วท่อนแขนของผมทั้งสองข้าง

ไม่มี หรือว่าจะเป็นที่อื่น...

ผมหยุดเดิน และเลิกชายเสื้อขึ้นในความมืด แต่ก็ไม่มี ผมอาบน้ำและส่งกระจกดูแล้ว บนตัวของผมไม่มีร่องรอยอะไร ผู้หญิงคนนั้นพูดเรื่องอะไรกันนะ

"หลงทางหรือไง" ผมสะดุ้งทันทีที่เห็นโอนเนอร์ยืนอยู่ตรงหน้าและถือขวดเหล้าในมือ

"เปล่าครับ" ผมเดินตามโอนเนอร์เข้าไปที่บาร์และนั่งลงที่เก้าอี้กลมใกล้ๆ

"คือ ผมถามเรื่องซินอีกได้ไหมครับ" โอนเนอร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มให้ผมและยังคงทำงานต่อไป

"ซินนั้นไม่เหมือนใคร เหมือนกับเธอนั่นแหละ เอ...ไม่สิ ก็มีอยู่นะ แต่หายากมาก" ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย หายากงั้นเหรอ

"ผมพิเศษตรงไหนเหรอครับ ซินชอบบอกว่าผมพิเศษ" ผมถามโอนเนอร์อย่างไม่เข้าใจ

"แค่เธอเข้ามาที่นี่ได้ นั่นก็พิเศษแล้วล่ะ" ผมเลิกคิ้วขึ้น และมองไปรอบๆ มองผู้คนที่กำลังคุยกันด้วยเสียงกระซิบ ที่นี่ก็พิเศษงั้นเหรอ

"ซิน แตกต่างจากคนอื่น ยังไงเหรอครับ" ผมนั้นสนใจแต่เรื่องซินเท่านั้น

"ถ้าถามแบบนั้น ก็คงพูดได้แต่เพียงว่า ต้นกำเนิดของซินนั้นแตกต่างจากเกือบทุกคนที่อยู่ที่นี่ เป็นเด็กหลงที่ร้ายกาจเชียวล่ะ"

"ผมไม่ได้หลงทางสักหน่อย" ผมหันไปตามเสียงพูดทันที และก็พบว่าซินกำลังยืนทำหน้าไม่พอใจอยู่ด้านหลังผม

"อย่าเล่าอะไรแปลกๆ ให้ไวท์ฟังเลยครับ นั่นมันไม่จริงเลย" ซินพูดและเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ

"เราไปกันเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว" ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตามซินที่กำลังดึงผมออกไป

"ผมไปก่อนนะครับโอนเนอร์" ผมพูดและก้มหัวเป็นเชิงลา

"ทำไมถึงชอบถามเรื่องของซิน" ซินพูดถามผมขณะที่พาผมออกไปที่รถ

"ผมอยากรู้ ผมอยากรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับซิน" ซินที่ได้ยินแบบนั้น ก็หยุดเท้าลงทันที

"เชื่อเถอะ ไวท์ไม่อยากรู้จริงๆ หรอก อย่าถามคนพวกนั้นอีกเลย"

"ไม่ว่ายังไง ผมก็ชอบซิน" ผมพูดบอกซินที่กำลังเริ่มเดินออกไปอีกครั้ง

"ซิน จะไปที่นั่นจริงๆ เหรอ" ผมสะดุ้งอีกครั้งทันทีที่ได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

"ต้องรีบไป" ผมมองพี่ไวลี่ที่กำลังเดินมาอย่างรวดเร็วและดักหน้าพวกเราไว้

"นายไม่ควรยุ่งกับหมอนั่น" พี่ไวลี่พูดเสียงเครียด

"เอ่อ หวัดดีครับ" ผมเอ่ยทักพี่ไวลี่ที่วันนี้ก็ตัวใหญ่เหมือนเดิมจนน่ากลัว

"สวัสดีหนุ่มน้อย เธอกำลังหาเรื่องให้ซินนะ"

"หยุดพูดเถอะ ก็แค่พาเด็กนั่นออกมา" ผมมองซินกับพี่ไวลี่สลับกัน นี่กำลังพูดเรื่องเจอยู่เหรอ

"เขาเป็นเพื่อนผมครับ" ผมพูดบอกพี่ไวลี่

"หมอนั่นไม่รอดแล้ว ปล่อยเถอะ" ผมตกใจทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ผมไม่เข้าใจ อะไรคือไม่รอดกัน

"เดี๋ยวก่อนนะครับ คือเพื่อนผมแค่จะไปหาอาจารย์นาธัสเพื่อรักษาอาการบางอย่างเท่านั้น ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร" ผมว่าทั้งสองคนนี้ต้องรู้อะไรแน่ๆ ทำไมถึงพูดแบบนั้นกัน

"รีบไปกันเถอะ" ซินเปิดประตูรถให้ผมและดันผมให้เข้าไปนั่งด้านหลัง ผมมองซินที่เข้าไปนั่งที่ที่นั่งคนขับอย่างรีบร้อน และพี่ไวลี่ที่เปิดประตูมานั่งข้างๆ

ผมรู้สึกว่ารถขยับไวมาก มันมากกว่าทุกครั้งที่ผมเคยรู้สึก ผมมองทางด้านหน้าไม่ชัด มันเหมือนกับมีอะไรปกคลุมอยู่ไปทั่ว และกระจกด้านข้างก็เหมือนเดิม มันมีแต่ไอน้ำปิดอยู่จนผมมองไม่เห็นอะไรเลย

"หวังว่าจะยังไม่เริ่มนะ" ผมมองพี่ไวลี่พูดเบาๆ เหมือนกำลังพูดกับตัวเอง

และไม่นานนักรถก็จอดลง ผมมองทั้งสองคนแบบงงงวยนี่ถึงแล้วจริงๆ เหรอ ยังไม่ถึงห้านาทีเลยนะ

"ไวท์อยู่บนนี้ ห้ามลงจากรถเด็ดขาด เข้าใจไหม ห้ามเด็ดขาด" ซินหันมาหาผมและสั่งเสียงเข้ม

"ทำไมล่ะ ผมอยากไปด้วย" นี่พวกเรามาทำอะไรกันแน่

"อยู่นี่เถอะ เดี๋ยวพวกเรากลับมา" พี่ไวลี่พูดและลงจากรถทันที

"ไม่ เดี๋ยวก่อน..." แต่ผมที่จะคัดค้าน ก็ไม่ทันซะแล้ว เพราะซินก็ลงจากรถหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ผมนั่งอยู่ในรถ รอคอยตามที่ซินสั่ง ผมรู้สึกไม่ค่อยดี มันเป็นความอึดอัดที่แปลกประหลาด ผมมองกระจกหน้ารถที่ตอนนี้พอเห็นแสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างทาง

ที่นี่นั้นคือมหา'ลัยของผมแน่นอน ผมจำตึกด้านหน้านั้นได้ แล้วทำไมกัน ทำไมถึงห้ามผมลงไป

ผมมองประตูรถ และชั่งใจคิดอยู่สักพัก ผมอยากลงไปจริงๆ ทุกคนดูร้อนลนแปลกๆ จนผมไม่สบายใจ

ผมนึกถึงสิ่งที่อาจารย์นาธัสพูด อาจารย์บอกผมถึงเรื่องวิญญาณ อาจารย์นั้นเป็นพวกที่สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้เช่นกัน หรือจะมีอะไรมากกว่านั้น ทำไมซินถึงดูไม่อยากเข้าใกล้อาจารย์หรือพูดเหมือนอาจารย์อันตรายกันนะ

ความอยากรู้อยากเห็นของผมมันมีมากขึ้น ผมอดใจที่จะไม่เปิดประตูลงไป แต่ก็ได้ไม่นาน ผมตัดสินใจเอื้อมมือออกไป เพื่อเปิดประตูรถ

"คุณไม่ควรทำแบบนั้น" ผมที่ตอนนี้อยู่ในรถเพียงลำพัง ก็สะดุ้งสุดตัวทันที ผมถอยหลังและหนีสิ่งที่ปรากฎอยู่ข้างๆ ผมตกใจจนแทบช็อค และรีบปิดหน้าทันที

"ออกไปนะ!" ผมมือสั่นเทาด้วยความกลัว เงาดำมืดที่อยู่ข้างๆ ผมตอนนี้นั้นมันคือวิญญาณร้าย มันทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว และกลัวจนตัวสั่น

ผมก้มหน้าและหลับตาแน่น มันใกล้มาก มันจะฆ่าผมงั้นเหรอ ผมจะทำยังไงดี ผมขยับตัวถอยหนีและก้มตัวลงให้ต่ำที่สุดชิดหน้าขา แต่เมื่อกี้เหมือนมันจะพูดกับผมนะ ผมไม่เข้าใจ และตอนนี้มันเงียบไปแล้ว

ผมที่ก้มหน้าอยู่นั้น ก็ตัดสินใจค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ และเหลือบมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็พบว่ามันหายไปแล้ว

ผมถอยหลังไปชิดประตูอีกด้าน และมองไปมาทั่วรถ นี่มันอะไรกัน วิญญาณนั่น มันมาจากไหน

ครืดดด

ผมสะดุ้งอีกครั้งและถอยหลังหนีออกห่างจากประตูรถ ผมมองกระจกที่เป็นไอน้ำ ผมมองเห็นเงาอะไรบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก นี่มันอะไรกันอีก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ผมเริ่มนั่งขดตัวอยู่กลางรถ และมองไปรอบๆ กระจกอย่างตื่นกลัว ความหนาวเย็น การคุกคาม ผมรู้ได้ในทันทีว่ารอบๆ รถคันนี้นั้นมีสิ่งชั่วร้ายอยู่มากมาย มันมาจากไหน มันเหมือนกับตั้งใจมาทำร้ายผม แต่ก็ไม่อาจเข้ามาได้ ผมฟังเสียงเล็บที่ขูดขีดกับรถ เสียงทุบ เสียงครวญครางไปมา ผมตัวสั่นเทาและเริ่มคิดว่าผมควรจะออกไป หรือนั่งรอให้พวกมันเข้ามาดี

ใช่แล้ว ผมควรจะหนีไป ผมต้องไปหาซิน เพราะมีพวกมันตัวหนึ่งที่เข้ามาได้ ต่อไปผมต้องถูกพวกมันทำร้ายแน่ๆ

ผมที่คิดแบบนั้นก็ขยับตัวไปที่ประตู และเปิดออกทันที ผมก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็ว และออกวิ่งทันทีไปยังตึกด้านหน้าที่มีแสงไฟส่องอยู่ ผมมองรอบๆ ตัวของผมตอนนี้ ผมไม่เข้าใจเลย ที่นี่เป็นมหา'ลัยที่ผมเรียนอยู่แน่นอน แต่ทำไมกัน รอบๆ ตัวที่น่าจะมีคนอยู่กับไร้ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ผมมองไม่เห็นใครเลย ทุกคนหายไปไหนหมด

ผมวิ่งมาสักพัก และคิดว่าคงหนีพวกมันพ้นแล้ว ผมต้องตามหาซินให้เจอ อยู่ไหนกันนะ แต่ก็คงจะเป็นตึกห้องสมุดนั่น

ผมยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกแย่ๆ อีกแล้ว ผมมองเสาไฟด้านข้างที่กำลังกระพริบน้อยๆ และดับลง

ผมหยุดเท้าทันทีที่เห็นแบบนั้น ผมค่อยๆ ก้าวถอยหลังช้าๆ ผมรู้สึกกลัวไปหมด ที่นี่เหมือนกับมหา'ลัยร้างที่ไม่มีคนอยู่ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ไร้วี่แววผู้คน

"ฆ่าา"

ผมสะดุ้งทันทีและนั่งลงปิดหูตัวเองไว้ มันใกล้มาก แต่ผมมองไม่เห็นมัน มันอยู่ตรงไหนกัน เสียงกระซิบที่น่ากลัวดังอยู่รอบๆ ตัวผม มันทำให้ผมหลับตาแน่นอีกครั้ง ผมได้แต่สวดภาวนาในใจ ขอให้มันไม่กล้าเข้ามาทำร้ายผมด้วยเถอะ

แต่ผมที่นั่งอยู่นั้น ก็รู้สึกถึงสิ่งแปลกๆ ที่กำลังแตะที่เท้าของผมอยู่ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น และมองเท้าของผมตอนนี้ที่ถูกสิ่งที่เหมือนกับเส้นผมกำลังรัดอยู่

"ไม่ อย่า" ผมตกใจลุกขึ้นและพยายามดึงเท้าตัวเองออก แต่ผมที่ทำแบบนั้นก็เสียหลักและล้มลงทันที ผมดิ้นและพยายามดึงเท้าตัวเองออกอีกครั้ง ตอนนี้เส้นผมเหล่านั้นกำลังรัดแน่นที่ข้อเท้าผม และเริ่มลามมายังลำตัวและคอของผม

"อย่า ช่วยด้วย! ซิน!" ผมร้องเรียกซิน ผมไม่รู้ว่าใครกำลังทำร้ายผมอยู่ ผมมองไม่เห็นตัวมันเลยสักนิด มันต้องการอะไรจากผมกันแน่

"ไวท์" ผมที่กำลังจะถูกเส้นผมพวกนี้รัดคอ ก็ต้องโล่งอกทันทีที่เห็นว่าซินกำลังวิ่งมา พร้อมพี่ไวลี่ที่มีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขน

"เจเหรอ เจเป็นอะไรไป!" ผมถามอย่างร้อนรนที่เห็นแบบนั้น และตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมัดผมอีกแล้ว

ผมรีบลุกขึ้นและวิ่งไปหาเพื่อนทันทีด้วยความตกใจ

"ไอ้พวกชั้นต่ำ" ผมได้ยินเสียงซินสบถเบาๆ และพี่ไวลี่ที่ยังคงอุ้มเจไว้

"รีบไปเถอะ" ซินดึงแขนผมและออกวิ่งไปที่รถอีกครั้ง ผมมองพี่ไวลี่ที่วางเจลงที่เบาะหลัง ผมรีบก้าวขึ้นไปด้านหลังด้วยเพื่อดูเพื่อน ซินขึ้นไปขับรถเหมือนเดิม และพี่ไวลี่ที่ขึ้นมาหลังสุด

"เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ อาจารย์ล่ะ" ผมถามอย่างร้อนลนและมองเพื่อนที่ยังคงหลับอยู่

"ไม่ควรทำแบบนี้เลยจริงๆ เด็กนี่เป็นคนของหมอนั่น" ผมไม่เข้าใจพี่ไวลี่ที่กำลังพูดอยู่

"ไม่ใช่อีกแล้ว" ซินพูดเบาๆ ทั้งสองคนเป็นแบบนี้อีกแล้ว ไม่ยอมบอกอะไรผมเลยสักนิด

ผมมองเจที่หน้าซีดเผือด นายไปเจออะไรมากันนะ แล้วอาจารย์ทำสำเร็จหรือเปล่า

ผมเลิกชายเสื้อเจขึ้นและมองตรงจุดที่เคยมีสัญญลักษณ์แปลกๆ แต่ผมที่เพ่งมองไปทั่วนั้น ก็ต้องโล่งใจทันที

หายไปแล้ว สัญญลักษณ์นั่นไม่มีอยู่บนตัวเจแล้ว

"อาจารย์ทำงั้นเหรอ" ผมพูดเบาๆ และสัมผัสตัวเจ

"บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าลงจากรถ" ผมมองซินที่เริ่มดุผมเสียงเข้ม

"พวกมันอยู่รอบๆ รถ ผมก็เลย..."

"ก็ถึงบอกว่าอย่าลงไปไง"

"แต่บนรถก็มี จะให้ทำยังไง" ผมพูดและนึกถึงร่างสีดำที่อยู่ในรถและมันพูดกับผม ใช่ มันพูดกับผม แปลกมาก

"ทำไมเจถึงไม่ฟื้น" ผมพูดและมองดูเจอีกครั้ง

"ฉันจะจัดการเอง" พี่ไวลี่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ไม่นานหลังจากนั้น ผมมองซินที่จอดรถด้วยความสงสัย พวกเราอยู่ไหนกัน แล้วจะทำยังไงต่อดี

"ที่นี่ที่ไหน พวกเราไม่ได้ไปโรงพยาบาลเหรอ" ผมถามซินที่เดินลงจากรถ และมาเปิดประตูให้ผม

"ลงมาซะ ไวลี่จะจัดการต่อเอง" ผมมองซินที่ยื่นมือมาให้ผม

"ไม่ ผมจะอยู่กับเพื่อน" ผมพูดและไม่ยอมลงจากรถ

"ไวท์ ยิ่งช้ายิ่งไม่ทันนะ" ผมมองเจที่ยังคงนอนนิ่ง และตัดสินใจลงจากรถตามที่ซินบอก

ผมมองรถที่แล่นจากไปอย่างรวดเร็ว พี่ไวลี่จะพาเจไปไหนกันนะ แล้วทำไมผมถึงไปด้วยไม่ได้

"ผมควรจะอยู่กับเจ" ซินเอาแต่ยืนนิ่งและจ้องมองผม

"ไวท์ทำอะไรไม่ได้หรอก" ซินพูดและเริ่มจูงมือผมให้เดินตามไป

ผมมองไปรอบๆ ที่นี่อีกครั้ง และก็นึกออกทันทีที่เห็นลิฟต์สีดำ และตึกสูงที่ดูเงียบสงบเหมือนเมื่อครั้งที่ผมเคยมา

"โอนเนอร์อาจช่วยได้" ผมมองซินที่ยังคงเดินและจูงผมไป

"พาไปหาโอนเนอร์เหรอ"

"ใช่ ถ้าทันก็คงไม่เป็นไร" ผมถอนหายใจเล็กน้อย ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงไม่เป็นไรจริงๆ

ผมเดินตามซินเข้ามาถึงห้องของซิน ที่นี่ยังคงเหมือนเก่า มันมืดครึ้ม อึมครึมและดูสงบเย็น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดำสนิท และกว้างขวาง

"ผมไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจสักอย่าง" ผมนั่งลงที่โซฟาตัวหนึ่งในโถงนั่งเล่นอย่างอ่อนแรง

"นั่นน่ะดีแล้ว" ซินพูดและนั่งลงข้างๆ ผม ทิ้งตัวลงและหลับตา

"อาจารย์บอกว่าจะช่วยผมกับเจ แล้วทำไมถึงได้เป็นแบบนี้"

"ห้ามเชื่อหมอนั่น ไม่ว่ามันจะพูดอะไร" ซินลืมตาขึ้นและจ้องมองผม

"ผมไม่รู้หรอก ผมไม่รู้จะเชื่อใครดีแล้ว" ผมพูดอย่างเศร้าสร้อย

"ไม่เชื่อซินงั้นเหรอ" ผมมองซินที่ขยับตัวช้าๆ เข้ามาหาผม และลูบแก้มผมอย่างแผ่วเบา

"ผมเชื่อซิน แต่..."

"นั่นน่ะดีมาก ไม่ต้องมีแต่" ซินพูดอย่างแผ่วเบา และค่อยๆ ประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา

"เลิกคิดหาคำตอบได้แล้ว ปล่อยให้ซินจัดการทุกอย่าง แล้วพวกเรา จะได้อยู่ด้วยกัน ตลอดไป" ผมพยักหน้าน้อยๆ และเคลื่อนตัวเข้าไปกอดซินเอาไว้

พวกเรากอดกันบนโซฟาสีดำตัวใหญ่ ผมรู้สึกอบอุ่นมาก ผมอยากจะเลิกคิดถึงสิ่งที่ผมกังวลใจ เพราะว่าซินนั้นอบอุ่นมาก และมันต้องไม่ใช่อย่างที่ผมคิด

"ซินจะไม่ทิ้งผมไปใช่ไหม" ผมเงยหน้าขึ้น และจ้องมองคนที่ผมอยากอยู่ด้วยตลอดไป

"ไม่มีวัน" ผมยิ้มให้กับคำตอบนั้น

ผมเงยหน้าขึ้นและตอบรับริมฝีปากที่อบอุ่นของคนข้างๆ พวกเราจูบกันอย่างลึกซึ้งเหมือนที่เคยผ่านมา ผมอยากสัมผัสซินให้มากขึ้นอีกสักนิด ผมหวาดหวั่นในหัวใจ ผมรู้สึกราวกับว่า ถ้าหากผมผละออกจากอ้อมกอดนี้ ทุกสิ่ง อาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก

แต่พวกเราที่สัมผัสกันนั้น อยู่ดีๆ ซินก็ผละริมฝีปากออก และทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

"มีอะไรงั้นเหรอ" ผมถามซินแผ่วเบา

"ขออภัยครับท่าน" ผมตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา ผมมองดูผู้ชายคนหนึ่งที่เดินออกมาจากเงามืด และก้มตัวลงอย่างนอบน้อมตรงหน้าซิน

ผมรีบผละออกจากตัวซิน และถอยออกมานั่งห่างๆ ที่นี่มีคนอยู่กี่คนแน่นะ แล้วแบบนี้จะไม่เห็นทุกอย่างหมดแล้วเหรอ

ผมรู้สึกอายเล็กน้อย และมองชายหนุ่มคนนั้นที่กำลังกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับซิน ผมรู้สึกกังวลใจมาก มันจะเป็นเรื่องของเจหรือเปล่านะ

"มีอะไรเหรอ" ผมถามซินที่ยังคงนิ่งเงียบ

"เด็กคนนั้น..." ซินพูดและหยุดพูดไป เด็กงั้นเหรอ หมายถึงเจใช่ไหม

"เขา ตายแล้ว" ผมชะงัก จ้องมองซินอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้

"ไม่" ผมส่ายหน้าไปมา นี่มันอะไรกัน

"ไม่จริง ตรานั่นหายไปแล้ว เจต้องฟื้นสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน!" ผมลุกขึ้น และทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง

"ไวท์" ซินลุกขึ้นเดินตามผม และกอดผมเอาไว้

"ผมจะไปหาอาจารย์ มันต้องมีอะไรเข้าใจผิด อาจารย์ช่วยเจได้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้" ผมพูดและเริ่มร้องไห้ออกมา

"ห้ามไปหามันอีก มันเป็นคนฆ่าเด็กนั่น" ผมส่ายหน้าไปมา ผมไม่เชื่อ อาจารย์คอยช่วยผม ผมรู้จักอาจารย์ดี

"เป็นไปไม่ได้" ผมพูดและมองซินที่กำลังทำสีหน้าไม่พอใจ

"เชื่อมันมากกว่าซินงั้นเหรอ" ผมร้องไห้ ผมไม่รู้ ผมเสียใจมาก ผมควรจะไปกับเพื่อน ผมไม่น่าปล่อยเจไปคนเดียวเลย

"มาเถอะ" ผมยืนนิ่ง และปล่อยให้ซินกอดผมเอาไว้อีกครั้ง ผมร้องไห้ตัวโยน เจเป็นเพื่อนของผม เป็นเพื่อนที่สำคัญของผม

และผมจะไม่มีวัน ได้เจอเจอีกแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:28:46 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อย่าว่าแต่ไวท์ไม่เข้าใจเลย

ตรูเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

555

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 23 ปิศาจที่แสนเลือดเย็น


ผมตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยดวงตาที่แสบและบวมเป่ง เรื่องเมื่อคืนมันคงเป็นแค่ฝันร้ายสินะ ใช่ มันต้องเป็นแค่ฝันแน่ๆ

ผมลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ ตัวของผมที่มีแต่ผนังสีขาวเล็กๆ ล้อมรอบตัวผมไว้

ผมยิ้มน้อยๆ ออกมา ที่นี่คือห้องนอนของผม ผมฝันไปจริงๆ สินะ เจยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม ผมดีใจเหลือเกิน

ผมรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว ผมต้องรีบไปหาเจที่มหา'ลัย ผมต้องได้พบเจแน่ๆ พวกเราจะไปเรียนด้วยกันเหมือนเดิมอย่างที่ผ่านมา

ผมที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ก็รีบร้อนลงบันได ผมต้องช่วยคุณยายก่อน แล้วผมจะรีบไป ผมต้องไปเจอเพื่อน และผมต้องไปหาอาจารย์ คนที่ผมจะปรึกษาได้ มีแค่คนคนนั้น

แต่ผมที่เดินเข้าไปหาคุณยายก็ต้องหยุดชะงัก ผมมองแขกคนหนึ่งที่นั่งอยู่กับคุณยาย เป็นคนที่ผมกำลังนึกถึงพอดี แต่ทำไมกันนะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้

"ไวท์ลูก อาจารย์เขามารอสักพักแล้ว" ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาอาจารย์นาธัส ผมรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ

สิ่งที่ซินพูดเกี่ยวกับอาจารย์นั้น มันทำให้ผมสับสน ผมควรจะเชื่อใครกันแน่ ผมจะทำยังไงดี

"ขอโทษเรื่องเพื่อนของเธอ" ผมชะงักทันทีที่อาจารย์พูดขึ้น เพื่อนงั้นเหรอ

"ฉันจะบอกทุกอย่างที่เธออยากรู้ ตามมาสิ" ผมมองดูอาจารย์ที่กำลังเดินออกไปจากร้าน และขึ้นไปบนรถที่จอดอยู่

ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ผมไม่ควรตามไปหรือเปล่านะ แต่ที่อาจารย์พูดนั่น มันหมายความว่ายังไง ผมอยากรู้ ชีวิตผมมันมืดมนไม่รู้ทิศทางมานานแล้ว ผมควรจะได้รับรู้ทุกอย่างสักที

ผมบอกลาคุณยาย และตัดสินใจเดินตามอาจารย์ไปที่รถ ผมยืนช่างใจอยู่สักพัก ซินจะโกรธผมไหมนะ แต่ซินก็หายไปอีกแล้ว ซินทิ้งผมเอาไว้อีกแล้ว

"เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ" ผมขึ้นมานั่งบนรถข้างๆ อาจารย์และถามสิ่งที่กลัวที่สุดออกไป

"เธอคงฟังอะไรจากปิศาจนั่นมาเยอะเลยสินะ" ผมมองหน้าอาจารย์ ปิศาจงั้นเหรอ

"เกิดอะไรขึ้นกับเจ อาจารย์บอกว่าจะช่วยเขา แล้วทำไมเจถึง..." ผมเงียบชะงัก และเริ่มน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว มันเป็นเรื่องจริงสินะ ผมอยากให้มันเป็นแค่ฝันร้าย

"ฉันพยายามช่วยเขาแล้ว แต่ก็ไม่ทัน พวกมันเอาวิญญาณของเขาไป"

"อาจารย์พูดเรื่องอะไร" ผมถามอาจารย์และกลัวสิ่งที่จะได้ยิน

"เธอเคยสงสัยไหมว่า ซินคืออะไร" ผมเริ่มรู้แล้ว ว่าอาจารย์จะพูดอะไรต่อ

" ซาตาน " ผมพูดเบาๆ ออกมา ผมรู้อยู่แล้ว แต่พยายามหลอกตัวเองว่าไม่ใช่ ซินมีตัวตน และอ้อมกอดของซินนั้นอบอุ่น

"ต..แต่ว่าเมื่อคืน ซินไปช่วย..."

"มันพูดแบบนั้นงั้นเหรอ" ผมไม่เข้าใจเลย ก็เมื่อคืนซินกับพี่ไวลี่ไปช่วยเจ

"มันกำลังล่อลวงเธอ และก็ดูเหมือนจะได้ผลมากซะด้วย"

"ซินไม่มีทางทำแบบนั้น" ผมพูดเบาๆ อย่างไม่เชื่อ

"สิ่งที่เธอคิดเกี่ยวกับตัวมัน หรือความรู้สึกทั้งหมดที่เธอมีให้มัน มันมาจากหมอนั่น มันทำให้เธอคิดว่าเธอรักมัน อย่าให้มันหลอกเธอได้ มันพยายามจะทำให้เธอเป็นของมัน มันจะฆ่าเธออย่างช้าๆ และกลายเป็นทาสชั่วนิรันดร์"

"อยู่ด้วยกันตลอดไปงั้นสินะ" ผมนึกถึงคำพูดของซิน สิ่งที่ซินชอบพูดมาตั้งแต่แรกๆ ที่เราพบกัน ซินอยากฆ่าผมมาตลอด บางทีก็พอดูออก แต่ซินก็ไม่ได้ทำ มันอาจจะมีอะไรผิดพลาดก็ได้

"ผมรักซิน และผมไม่คิดว่าซินบังคับใจผม" ผมมั่นใจ นี่เป็นความรู้สึกของผมเอง

"คนที่เป็นเจ้าของคลับที่เธอเคยทำงาน เธอไม่สงสัยเหรอ ว่าใครฆ่าเขา" ผมหันไปมองอาจารย์อย่างตกใจ ซินน่ะเหรอ จะทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้น

"วิญญาณไม่โกหกเธอหรอก เขาพยายามบอกเธอบ้างหรือเปล่า ว่าใครเป็นคนทำ" ผมนึกถึงวันที่ผมไปงานศพวันนั้น พี่โก้พยายามจะบอกอะไรผม และผมคิดว่ามันเป็นไปได้

"พวกมันผูกมัดคนที่ยังมีชีวิต ทำสัญญลักษณ์จองจำ และเมื่อเธอตาย เธอก็จะเป็นของมัน ไม่ต้องยอมรับหรืออะไรทั้งนั้น ขอแค่เธอเชื่อใจมัน และยอมให้มันช่วยเหลือ เธอก็เป็นของมันแล้ว"

"ทำไมถึงเพิ่งบอกผม ทั้งๆ ที่รู้ทุกอย่าง" ผมพูดถามเบาๆ อย่างเจ็บปวดใจ

"บางทีการไม่รู้ก็อาจเป็นการปกป้องเธอได้ดีที่สุด" ผมน้ำตาไหลออกมาช้าๆ ผมไม่รู้เลยว่าผมควรจะทำยังไงต่อจากนี้ ผมรักซิน แต่นั่นคือการลวงหลอกงั้นเหรอ จริงๆ แล้วผมไม่ได้รักซินสินะ แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดใจขนาดนี้

ผมแยกตัวออกมาจากอาจารย์นาธัส ผมสับสน ผมอ่อนแรงไปหมด ผมในตอนนี้เหมือนคนกำลังหลงทาง ผมเหมือนกับจะสูญเสียทุกสิ่งไป ผมเสียเจไปแล้ว และผมกำลังจะเสียซินไปงั้นเหรอ

"ไวท์" ผมที่เดินอยู่นั้นก็นิ่งชะงักทันที ผมค่อยๆ หันกลับไปมองคนที่กำลังเรียกผม แต่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ผมมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกเสียใจ และผิดหวังเหลือเกิน

"เป็นอะไรไป" ซินพูดถามผม และเดินเข้ามาใกล้ "ไปเจอมันมาสินะ มันบอกอะไรมาล่ะ" ผมมองซินที่ทำหน้าโกรธผม นายเป็นคนทำจริงๆ งั้นเหรอ ซินนายฆ่าทุกคนอย่างนั้นเหรอ

"นายควรไปซะ ที่นี่ ไม่ใช่ที่ของนาย" ผมพูดเบาๆ อย่างอ่อนแรงและเดินเลี่ยงซินออกไป

"เชื่อที่มันพูดงั้นเหรอ" ผมหยุดเท้าและหันกลับไปมองซินที่กำลังทำหน้าโกรธจัด

"ทำไมนายถึงฆ่าพี่โก้" ผมพูดถามซินที่จ้องมองผมเงียบๆ อย่างน่ากลัว

บอกมาสิว่าซินไม่ได้ทำ ได้โปรด มันไม่ใช่นายใช่ไหม ที่เอาชีวิตคนอื่นด้วยความโหดร้ายแบบนั้น

"วิญญาณมันเป็นของฉัน" หัวใจของผมจมดิ่งลงในความผิดหวัง ผมหัวเราะเบาๆ ให้กับสิ่งที่ได้ยิน ผมมันโง่เอง คนที่ผมเชื่อใจที่สุด คนที่บอกผม ปลอบโยนผมวันนั้น ทั้งหมดมันเป็นแค่เรื่องโกหก นายฆ่าเขาอย่างเลือดเย็น และหลอกลวงผมเสมอมา

"นี่สินะ ตัวตนที่แท้จริงของนาย ปิศาจ" ผมพูดและเดินต่อไป พยายามไม่สนใจคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ผมพยายามจะไม่ร้องไห้ออกมา ทำไมต้องเป็นซินด้วย ตอนนี้ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว

แต่ผมที่กำลังเดินหนีซินต่อไปนั้น ด้านหน้าของผม ก็ปรากฎร่างของซินขึ้นอีกครั้งจากเงามืด ผมจ้องมองซิน นายไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นมนุษย์อีกแล้วสินะ นายเป็นปิศาจไปแล้วจริงๆ

ซินจ้องมองผมและเดินดิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราด ผมยืนนิ่งจ้องมองคนตรงหน้า ที่ตอนนี้ยื่นมือเข้ามาและบีบคอผมเอาไว้

"นายก็เป็นของฉันเหมือนกัน" ผมจ้องมองซินที่ดวงตาเริ่มเปลี่ยนไป นี่คือสิ่งที่นายปรารถนามาตลอดใช่ไหม

ผมค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นมาจับแขนซินเอาไว้ด้วยแววตาที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกแล้ว

"เอาสิ ฆ่าผม แล้วพวกเรา จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปไง" ผมพูดและยิ้มน้อยๆ ผมเหมือนกับสิ้นสติไปแล้วที่กำลังท้าทายคนตรงหน้าอยู่

ผมจ้องมองซินที่นิ่งเงียบ ในชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งนั้น ผมเหมือนได้เห็นแววตาที่แสนเศร้าของซิน ก่อนที่ร่างกายของซินจะจางหายไปราวกับสายลม

ผมเช็ดน้ำตาที่เริ่มรินไหลอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผมนับจากนี้ มันมีแต่เพียง ความว่างเปล่าเท่านั้น

ผมกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเก่า อยู่ตัวคนเดียวในโลกที่แสนกว้างใหญ่นี้ ผมไม่สนใจสายตาของผู้คนที่กำลังจ้องมองผม ราวกับผมเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง และมันรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

"คนที่อยู่กับมันวันนั้น ตายแล้วนะ"

"มันเป็นปิศาจของแท้"

"น่ากลัวชิบ ทำไมมันถึงไม่ตายไปด้วยสักที"

ผมเดินเงียบๆ ไปตามทางเดิน ถูกขว้างปาแก้วน้ำ สิ่งของ และก้อนหิน แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก นี่ล่ะชีวิตของผม ความเจ็บปวดเหล่านี้มันด้อยค่ามาก หากเทียบกับสิ่งที่ผมต้องสูญเสียไป

ผมเข้าห้องเรียนและนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมหลังห้อง ที่นั่งด้านข้างของผมตอนนี้ไม่มีใครอีกแล้ว ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว

"ไวท์ ไม่เป็นไรนะ" ผมเหม่อลอยมองคนที่เข้ามานั่งข้างๆ ผม

"ถ้าพวกนายไม่อยากตายไปด้วย ก็อยู่ห่างๆ ผมเถอะ" ผมพูดบอกเต้ยที่กำลังจ้องมองผมใกล้ๆ

"น่ากลัวตายแหละมึง ทำเป็นปากดี" แมนนั่งลงอีกข้างนึงของผม และพูดล้อเลียนผม

"นี่มึงฆ่าไอ้หงิมนั่นจริงเหรอวะ แม่งโหดดีว่ะ" ต้องนั้นก็ร่วมผสมโรงด้วย

"เต้ยไม่เชื่อหรอกว่าไวท์ทำ ใช่ไหม ไวท์ไม่รู้เรื่องหรอกใช่หรือเปล่า" ผมมองเต้ย ยังมีคนเชื่อแบบนั้นอยู่จริงๆ เหรอ

"ผมไม่ได้ทำ" ผมพูดเบาๆ บอกคนข้างๆ ที่ดูเหมือนจะเชื่อผม

"แน่อยู่แล้วแหละ อย่าไปฟังคนพวกนั้นเลย" ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้น

"อยู่กับพวกเรา แล้วเต้ยจะปกป้องไวท์เอง" ผมไม่รู้ว่าผมควรจะตอบว่ายังไง แต่แบบนี้ก็อาจจะดีกว่าที่จะต้องอยู่คนเดียวงั้นสินะ

ช่วงพักกลางวัน ผมเดินมากับทั้งสามคนที่กำลังคุยกันอยู่รอบๆ ตัวผม ผมนั้นไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ผมไม่อยากเดียวดาย ผมคิดถึงซินเหลือเกิน

"กินอะไรกันดี เดี๋ยวเต้ยเลี้ยงนะ" ผมมองเต้ยที่กำลังยื่นหน้ามาหาผมและถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

"ผมไม่ค่อยหิว" ผมพูดบอกเพื่อน

"แหม่ ทีกับเมียมึงเลี้ยงนะ แล้วพวกกูละวะ" ผมรู้สึกแย่เล็กๆ ที่ได้ยินทั้งสามคนนั้นคุยกัน เมียงั้นเหรอ ผมไม่ใช่เมียใครสักหน่อย

ผมมองทั้งสามคนที่แยกย้ายกันออกไปซื้อข้าว ผมนั่งเงียบๆ ก้มลงมองโต๊ะไม้ ผมรู้ว่าทุกคนกำลังจ้องมองผมและสาปแช่งผมอยู่ นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ผมอาจเป็นคนฆ่าเจจริงๆ ก็ได้ เพราะถ้าผมอยู่กับเจละก็ คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้

ผมละสายตาจากพื้น ค่อยๆ เหลือบมองไปรอบๆ โรงอาหารที่มากมายไปด้วยผู้คน และก็เป็นอย่างที่ผมคิด ทุกคนกำลังส่งสายตาอาฆาตมาที่ผมพร้อมซุบซิบกันเสียงดัง ผมอยากจะหายไปซะ ผมไม่น่ามาอยู่ที่นี่เลยจริงๆ

แต่ผมที่กำลังมองไปรอบๆ นั้น ก็ต้องตกใจทันทีที่เห็นว่าใครนั่งอยู่ตรงหน้าผม ในโต๊ะที่ไกลออกไป

ผมมองซินที่นั่งอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางผู้คนที่ไม่มีใครสนใจไม่สิ อาจจะมองไม่เห็นมากกว่า ซินจ้องมองผมด้วยแววตาโกรธเคือง ซินในตอนนี้สวมชุดสีดำทั้งชุด หมอกและควันบางๆ ลอยอยู่รอบๆ ตัวของซิน และดูเหมือนท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มลงด้วย

"นาย เป็นของฉัน" ผมได้ยินเสียงกระซิบที่เหมือนกับลอยผ่านมากับสายผม เสียงกระซิบนั้นยังคงดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัวของผม มันมาจากซินสินะ

"ไวท์ ได้แล้วนะ มากินกัน" ผมสะดุ้งทันทีที่เต้ยวางจานข้าวลงตรงหน้าผม

"คือ...ผมไม่..."

"กินเถอะ ผอมจะแย่อยู่แล้ว หน้าก็ซีดไปหมด" ผมหันหน้าหลบมือของเต้ยที่กำลังแตะแก้มผม

"ข..ขอบใจนะ" ผมพูดและมองไปยังที่ที่ซินเคยนั่งอยู่อีกครั้ง แต่ซินก็หายไปแล้ว

"เย็นนี้ไปนั่งเล่นที่บ้านเต้ยไหม" ผมมองเต้ยที่ยังคงพยายามชวนผมคุย

"คือ ผมต้องอยู่กับคุณยาย" ผมพยายามเลี่ยง ผมยังไว้ใจคนพวกนี้ไม่ได้ และผมไม่อยากไปไหนทั้งนั้น

ผมมองแมนและต้องที่กำลังหัวเราะ และเหมือนกำลังส่งสายตาแบบรู้กัน

"ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าอยากไปก็บอกนะ หรือไม่ก็ พวกเราจะไปหา" ผมรู้สึกไม่ดีเลยสักนิดที่ได้ยินแบบนั้น

"คุณยายบอกว่าพวกนาย มาที่ร้าน" ผมพูดเป็นเชิงถามออกไป

"อ๋อ แค่ผ่านไปน่ะ ไม่มีอะไรหรอก" ผมถอนหายใจน้อยๆ คงไม่มีอะไรสินะ

ผมกินอะไรไม่ลง ผมยังคงรู้สึกอยากร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ผมอยากไปหาเจ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนกันนะ วิญญาณของนาย อยู่กับซินจริงๆ งั้นเหรอ

ผมเหม่อลอย และเขี่ยข้าวในจานไปมา ผมมองดูเต้ยที่นั่งตรงข้ามผมและกำลังกินข้าวอยู่ แมนนั่งข้างๆ ผม และตรงข้ามก็เป็นต้อง และ...

ผมสะดุ้งตกใจและชะงักค้างทันที ผมมองสิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเต้ย มันคือวิญญาณร้าย นี่มันกลางวันแสกๆ และท่ามกลางผู้คน

"ไวท์ เป็นอะไรไป ทำหน้าเหมือนเห็นผี" เต้ยจ้องมองผมและถามอยากแปลกใจ

"ป.เปล่า" ผมก้มหน้าลงไม่ยอมสบตาสิ่งนั้น ถ้าผมไม่สนใจมัน เดี๋ยวมันก็คงไปเอง

แต่ผมที่คิดแบบนั้น และรอเวลาสักพัก ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง และก็พบว่า มันยังคงยืนอยู่ที่เดิม พลางจ้องมองผมเขม็ง

"คือ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะ ผมจะไปห้องสมุด" ผมว่าผมรีบไปดีกว่า ผมต้องไปหาอาจารย์

"เอางั้นเหรอ แล้วเจอกันนะไวท์" ผมพยักหน้าให้เต้ยและรีบเก็บกระเป๋า เดินหนีผีร้ายตัวนั้น

ผมเร่งฝีเท้า และรีบเดินต่อไป มันยังตามมาไหมนะ วิญญาณผู้ชายคนนั้น แต่เดี๋ยวนะ วิญญาณนั่น ผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน ผมหยุดเท้า และค่อยๆ หันกลับไปมองที่เดิม ที่ผมเดินจากมา

และเมื่อทำอย่างนั้น ผมก็ต้องตกใจก้าวถอยหลังอีกหลายก้าว เพราะตอนนี้ ผีตัวนั่น ก็ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าผม และจ้องมองผมเงียบๆ เหมือนเดิม

"นาย..ต้องการอะไร" ผมพูด และคิดว่าไม่คุยน่าจะดีกว่า เพราะมันคงไม่คุยกับผมหรอก

ผมหันกลับและกึ่งเดินกึ่งวิ่งต่อไป แต่ความรู้สึกของผมตอนนี้นั้นมันบอกผมว่า ผีตัวนี้ยังคงตามผมมา

ผมคิด ขณะที่เดินก้าวเท้า พยายามเดินผ่านฝูงคนเยอะๆ ถึงคนพวกนั้นจะมองผมแบบรังเกียจ แต่ก็ดีกว่าเดินกับผีสองคน

และผมที่เดินอยู่นั้นก็หยุดเท้าลงอีกครั้ง ผมค่อยๆ หันกลับไปมองวิญญาณที่เหมือนกับกลุ่มควันสีดำ ที่ยังคงตามผมอยู่

ผมนึกออกแล้ว วิญญาณนี่คือตัวเดียวกับที่พูดกับผมในรถเมื่อคืน

"ทำไมถึงตามผม ต้องการอะไร" ผมตัดสินใจใส่ความกล้าเข้าไปในหัวใจ และถามสิ่งที่ยังคงตามผมมา

แต่ผมที่พูดออกไปนั้น ก็รู้สึกว่าเสียเวลาจริงๆ อย่างที่คิดเพราะเขานั้นก็ทำแค่จ้องมองผม และไม่ยอมพูดอะไรเลย

"ไวท์" ผมสะดุ้งอีกครั้งที่มีคนจับไหล่ผมเอาไว้จากด้านหลัง และผมก็ต้องถอนหายใจทันทีที่รู้ว่าเป็นใคร

"อาจารย์" ผมเดินเข้าไปหาอาจารย์นาธัสและหลบด้านหลังทันที ผมมองไปยังที่เดิมที่เคยมีผีตัวนั้นอยู่ แต่ตอนนี้มันกลับหายไปแล้ว

"เมื่อกี้มีผีตามผมมา" ผมพูดบอกอาจารย์

"ภูตรับใช้" ผมขมวดคิ้วมองอาจารย์ที่พูดเสียงเบา ทำให้ผมไม่รู้ว่าอาจารย์พูดอะไร

"เธอเป็นยังไงบ้าง ปิศาจนั่นมันมากวนเธออีกไหม" ผมหลบสายตาของอาจารย์ ปิศาจงั้นเหรอ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีที่ได้ยินแบบนั้น และแน่นอนว่าผมเจอซิน ผมควรจะบอกหรือเปล่านะ

"ไม่ครับ" ผมพูดบอกอาจารย์

"ช่วงนี้เธอควรอยู่ใกล้ๆ ฉันไว้" อาจารย์พูดและเดินนำผมไปตามทางเดิน

"ผู้คนอาจคิดทำร้ายเธอ และปิศาจนั่นด้วย"

"ซิน เป็นปิศาจจริงๆ งั้นเหรอครับ" ผมพูดเบาๆ ถามอาจารย์ ผมจะไม่มีวันรักซินได้จริงๆ เหรอ

"มันฆ่าคนยังไงเธอลืมแล้วเหรอ ความโหดเหี้ยมและอมหิตของมันไม่ธรรมดา เป็นพวกชอบฆ่าเพื่อความสะใจ" ผมรู้สึกเศร้า ซินที่เคยอยู่ข้างๆ ผมนั้นถึงจะดูเย็นชา แต่ก็อบอุ่นเสมอ ซินกลายเป็นปิศาจไปแล้ว นั้นเป็นเรื่องที่ผมเสียใจที่สุด

"อาจารย์รู้ตั้งแต่แรกเลยใช่ไหมครับ ว่าซินไม่เหมือนคนทั่วไป" ผมเคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมซินกับอาจารย์ถึงไม่ถูกกัน มันเป็นเพราะแบบนี้เองสินะ

"หมอนั่นเลื่องชื่อในหมู่ซาตานด้วยกัน" ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ซาตานด้วยกัน อย่างนั้นเหรอ

"อาจารย์ รู้จักซาตานตนอื่นเหรอครับ" ผมถามอย่างสงสัย

"แล้วเรื่องสัญญลักษณ์ที่ปรากฎบนตัวเจ นั่นเป็นสัญญลักษณ์ของซินงั้นเหรอครับ สัญญลักษณ์ของซาตาน" ผมถามต่อ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ แต่ผมรู้สึกว่ามันแปลก มันเหมือนกับมีสิ่งที่ผมมองพลาดไป

"เธอมีคำถามมากมาย และฉันจะค่อยๆ บอกให้เธอรู้ ใจเย็นๆ วันนี้เธอเจอมามากแล้ว พักก่อนเถอะ" อาจารย์จับไหล่ผมและส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน นั่นสินะ ผมเหนื่อยเหลือเกิน ผมท้อแท้สิ้นหวัง และว่างเปล่า

"ถ้าเธอกลัว เธอจะมาอยู่กับฉันสักพักก็ได้นะ" ผมยิ้มให้อาจารย์ที่พูดแบบนั้น

"ขอบคุณครับ แต่ไม่ได้หรอกครับ ผมเป็นห่วงคุณยาย" ผมรู้สึกดีที่อาจารย์เป็นห่วงผม แต่ผมก็ไม่สามารถทิ้งคุณยายได้

"ถ้าอย่างนั้น เก็บนี่ไว้ อย่าให้ห่างจากตัว" ผมมองสิ่งของที่อาจารย์ยื่นให้ผม มันเป็นเหมือนเชือกสีดำหนาเส้นหนึ่ง และมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

"มันจะช่วยอะไรเหรอครับ" ผมถามอาจารย์อย่างสงสัย

"ช่วยได้เยอะเลยล่ะ" อาจารย์พูดและยิ้มน้อยๆ ให้ผม

ผมมองเชือกเส้นนั้น มันคือสิ่งที่จะช่วยคุ้มกันผมงั้นเหรอ แต่ทำไมกันนะ ผมที่ไม่เคยได้รับของสิ่งนี้ แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกของมันอย่างน่าประหลาด มันเหมือนกับผมเคยมีมัน และใช้งานมันมาก่อน

และผมรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:29:29 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่อย......

ปริศนามาเรื่อย ๆ เลย

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
เชือกดำปริศนารอลุ้นตอนต่อไป

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ปมเยอะเกิน แต่ชอบอ่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ไม่งงนะ แต่ไม่เข้าใจมากๆค่ะ :ling2: :ling2:  :ling2:

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 24 เงามืดที่อยู่ไม่ห่าง


ผมกลับจากมหา'ลัยด้วยความรู้สึกเปลี่ยวเหงา จ้องมองหน้าจอมือถือที่ว่างเปล่า ผมซื้อมันมาทำไมกันนะ เพราะว่าคนที่ผมอยากโทรหานั้น เขาไม่อยู่ข้างๆ ผมอีกแล้ว พวกเราไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้ นอกจาก...

แต่ผมที่คิดถึงเรื่องร้ายๆ อยู่ในหัวนั้น ก็ส่ายหน้าเบาๆ ผมทำไม่ได้ ผมยังมีคุณยายอยู่ ท่านคงจะเสียใจมาก ถ้าผมคิดอะไรโง่ๆ แบบนั้น ผมยังมีชีวิต ผมยังคงต้องอยู่บนโลกใบนี้ ทำสิ่งที่ตัวเองควรต้องทำ ไม่ใช่หนีปัญหา และสร้างความเสียใจให้คนอื่น ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะมีแค่คนเดียวก็ตาม

ผมเดินต่อไป และคิดถึงเรื่องงานพิเศษ ผมนั้นต้องหางานทำอีกแล้ว ผมไม่สามารถกลับไปช่วยงานโอนเนอร์ได้อีก ในเมื่อซินนั้นจากผมไปแล้ว และผมไม่เคยไปที่นั่นด้วยตัวเอง ผมน่าจะฉุกใจคิดแต่แรกแล้วว่าที่นั่นมันแปลก มันไม่เหมือนที่ที่มนุษย์เขาจะไปกัน

ผมเดินมาบนถนน เดินด้วยเท้า เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายลงอีกนิด มองแสงไฟสีส้มสองข้างทางที่ยังคงส่องสว่าง มีบ้านเรือน มีรถรามากมายอยู่บนท้องถนนเป็นเพื่อน ผมจะเริ่มต้นจากที่ไหนดีนะ ที่ที่จะทำให้ผมลืมทุกๆ อย่าง ทุกอย่างที่ทำให้ผมจมอยู่กับความผิดหวังและเศร้าเสียใจ

"ไอ้หนู ระวัง!"

โครม!!!

แต่ผมที่เดินอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็รู้สึกถึงแรงผลักจากด้านหลัง ผมถูกผลักและล้มลงกับพื้นอย่างแรงท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตกใจจากผู้คนรอบด้าน

ผมนั่งอยู่กับพื้น หันมองด้านหลังของผมที่มีรถคันหนึ่งพุ่งชนเสาไฟฟ้า ผมมองผู้ชายคนขับรถที่นั่งอยู่ในรถที่พังยับ ผู้ชายคนนั้นมีเลือดไหลนองออกจากหัว และแขนที่หักงอผิดมุม

ผมหัวใจสั่นสะท้าน ตัวผมนั้นอยู่ห่างจากตัวรถเพียงนิดเดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีคนผลักผมออกจากตรงนั้นละก็ คนที่ตายอีกคนคงจะเป็นผมที่ถูกชนอัดก็อปปี้ไปด้วย

แต่ว่า ใครกันนะที่ผลักผม...

ผมที่เพิ่งคิดได้ก็รีบหันมองหาบุคคลคนนั้น ช่วงเสี้ยววินาทีแห่งชีวิต คนคนนั้นรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังอยู่ในอันตราย

"น้องเป็นอะไรหรือเปล่า" ผมมองคนหลายคนที่มุงรอบตัวผมและช่วยดึงผมให้ลุกขึ้น

"ผมไม่เป็นไร ขอบคุณครับ..."

"สติดีมากเลยนะไอ้น้อง โดดหลบแบบเส้นยาแดงเลย" ผมขมวดคิ้วน้อยๆ ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น กระโดดหลบเหรอ ไม่ใช่แน่ๆ ผมถูกผลัก และแรงมากด้วย

และผมที่ลุกขึ้นยืนนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่กำลังจ้องมองผม และค่อยๆ เลือนหายไปกับสายลม

ผมจ้องมองตรงที่ที่ร่างสีดำนั้นเลือนหายไป นี่มันเรื่องอะไรกัน วิญญาณนั่น มันน่าจะเป็นตัวเดียวกับที่ผมเจอในรถคืนนั้น และเจอที่โรงอาหารในวันนี้ ผมรู้สึกคุ้นมากว่าผมเคยเห็นมันมาก่อนหน้านั้น มันคือใคร เป็นตัวอะไร และต้องการอะไรกันแน่

ผมที่เริ่มรู้สึกกลัวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ก็เริ่มหนีออกจากฝูงชนและเร่งฝีเท้าเพื่อกลับบ้าน ผมวิ่งสลับเดินไปตามท้องถนน ผมไม่รู้ว่าชีวิตผมกำลังเผชิญกับอะไรอีก ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้กับผมเสมอ ผมจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว

ผมวิ่งช้าๆ ไปตามซอยที่ผมคุ้นเคย ผมก็แค่อยากมีชีวิตปกติ มีเพื่อนมีครอบครัวที่รักผม ทำไมผมถึงเป็นอย่างคนอื่นบ้างไม่ได้ ทำไมผมถึงต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ด้วย

เพล้ง!

เอาอีกแล้ว ผมสะดุดก้อนหินก้อนหนึ่ง ที่อยู่ดีๆ ก็กลิ้งเข้ามาทำให้ผมเหยียบมันเข้าและลื่นล้มลงไปกับพื้นถนน

ผมมองด้านหน้าตัวผมที่มีกระถางต้นไม้ต้นหนึ่งล่วงแตกกระจายอยู่ ถ้าผมไม่ลื่นล้มลงก่อนละก็ กระถางต้นไม้นั่น คงจะล่วงลงมาใส่ผมแทนที่จะเป็นถนนแน่นอน

นี่มันไม่ปกติแล้ว มีใครสักคนกำลังจะฆ่าผม และก็มีคนที่เหมือนกับกำลังช่วยผมด้วยอีกเช่นกัน นั่นคือสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้...

ผมกลับมาถึงบ้านของผม ร้านของคุณยาย ผมนั้นเนื้อตัวมอมแมมไปหมดเพราะล้มลงกับพื้นถึงสองครั้ง ผมนั่งลงที่มุมห้องและกอดตัวเองไว้ในความมืด ผมนั้นไม่ได้กำลังร้องไห้ ผมไม่ได้กำลังหวาดกลัวสิ่งใด ผมทำแค่เพียงหายใจเข้าออกและเหม่อมองความมืดมนตรงหน้า ไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับผมอีกแล้ว ไม่มีอะไรมืดมนไปกว่าชีวิตของผมตอนนี้อีกแล้ว

ผมลืมตาขึ้นช้าๆ ในความมืด นี่ผมเผลอหลับไปงั้นเหรอ ผมรู้สึกเวียนหัวอยากอาเจียน ผมอาจจะไม่สบาย ผมเหนื่อยและคิดมากเกินไป ผมเหนื่อยเหลือเกิน

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งช้าๆ พยายามมองหาสิ่งที่จะบอกเวลาให้กับผมได้ในความมืด ผมควานมือไปรอบๆ ตัวเพื่อหาโทรศัพท์มือถือของผม และในที่สุดผมก็เจอจนได้ ผมเอื้อมมือออกไปและหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องสีดำตรงหน้าขึ้นมาและเปิดไฟหน้าจอขึ้น

แต่ทันทีที่มีแสงส่องสว่างจากหน้าจอนั้น ผมก็ต้องรีบขยับตัวถอยหลังไปชิดผนังอย่างรวดเร็ว ผมตัวสั่นและจ้องมองคนตรงหน้า ที่เข้ามานั่งชิดผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ผมก้มหน้าและเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ในความมืด คนคนนั้น คือคนคนเดิมที่ผมรักและคิดถึงเหลือเกิน แต่ไม่อาจอยู่ใกล้ได้อีกแล้ว

ผมหลบสายตาซินที่นั่งเงียบๆ และจ้องมองมาที่ผม ทำไมกัน ทำไมนายถึงยังมาหาผมอีก นายไม่ได้โกรธหรือเกลียดผมแล้วเหรอ ที่ผมบอกให้นายไป

แต่ผมที่นั่งก้มหน้ากอดเข่าอยู่นั้นก็พลันนึกขึ้นได้ถึงสิ่งต่างๆ ที่ผมพบเจอมาในวันนี้ ผมค่อยๆ เงยหน้ามองคนตรงหน้า แบบนี้เองสินะ นายต้องการให้มันเป็นแบบนี้เสมอมาไม่ใช่เหรอ และนายเกือบทำมันสำเร็จ

"นายจะไม่ได้ตัวผมไปง่ายๆ หรอก" ผมกัดฟันพูดเบาๆ ต่อสู้กับความกลัวตรงหน้า แค่เพียงซินเอื้อมมือออกมาสักนิด และบีบคอผมเอาไว้ ผมก็คงจะตายลงทันทีอย่างที่ซินต้องการ แต่การทำแบบนั้น มันจะสนุกอะไรล่ะใช่ไหม

ซินต้องการทรมานผม ให้ตายลงช้าๆ ด้วยความสะใจ นั่นคือสิ่งที่ซินคงกำลังทำ

ซินนั้นไม่ได้พูดอะไร แต่กำลังจ้องมองผมด้วยสีหน้าที่แปลกออกไป ผมรู้สึกถึงความสับสนและความเศร้าในแววตานั้น อย่านะ อย่าหลงไปกับปิศาจตัวนี้ ซินก็แค่บังคับจิตใจผม ทำให้ผมยอมใจอ่อนลง

"ทิ้งสิ่งที่หมอนั่นให้มาซะ" ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ซินพูด

"นายจะหลอกอะไรผมอีก" ผมพูดเบาๆ และพยายามจะไม่สนใจในสิ่งที่ซินพูด

"ไปซะ ผมไม่อยากเห็นนาย" ผมก้มหน้าลงกับเข่าและกอดตัวเองไว้ ผมไม่อยากเห็นซินอีกแล้ว เพราะมันทำให้ผมลืมไม่ได้ ผมทรมานหัวใจเหลือเกิน

ผมหลับตาปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้าๆ สิ่งที่ทำให้ชีวิตของผมตอนนี้จมดิ่งลงในความมืดนั้น ก็คือการที่ผมต้องสูญเสียซินไป ผมรักซิน ผมอยากให้ซินอยู่ข้างๆ ผม แต่มันก็ไม่มีทางอีกแล้ว นอกจากผมจะต้องตายไปตามความต้องการของซิน และอยู่เป็นทาสซินตลอดไป

ผมร้องไห้เงียบๆ อยู่คนเดียวสักพัก ผมอ่อนแอเหลือเกิน ผมไม่เคยเข้มแข็งได้เลยสักครั้ง ผมเหมือนคนที่ไม่น่าจะมีแรงหรือมีชีวิตอยู่ได้ ผมแทบไม่รู้จักรอยยิ้มหรือความสุขจนกระทั่งได้พบกับซิน และทั้งหมดนั่นก็ได้จากผมไปแล้ว ไปพร้อมๆ กับซิน คนที่ผมให้ใจมากที่สุด คนที่ผมอยากจะรัก และอยู่ด้วยตลอดไป

ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ผมรู้สึกว่าสัมผัสของซินได้หายไปแล้ว ผมมองพื้นที่ที่ซินเคยนั่งอยู่ ตอนนี้มันว่างเปล่าแล้วจริงๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะได้เจอซินอีกไหม แต่แบบนี้คงดีแล้ว พวกเราไม่ควรยุ่งเกี่ยวกันอีก ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม



ในรุ่งเช้านั้น ผมลงมาช่วยคุณยายเปิดร้านเหมือนทุกวัน ผมยิ้มให้คุณยายอย่างเหนื่อยล้า ผมต้องยิ้มให้ได้เพื่อให้คุณยายสบายใจ ถึงในหัวใจของผม มันจะมีแต่ความทุกข์ระทมก็ตาม

"เมื่อคืน เพื่อนเรามาหายายนะ" ผมที่กำลังจะกลับขึ้นไปด้านบนก็หันกลับมาอีกครั้ง

"เพื่อน คนไหนเหรอครับ" ผมเดินกลับมาหาคุณยายและนั่งลงถามคุณยายใกล้ๆ

"พ่อหนุ่มที่แสงจ้านั่น" ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แสง งั้นเหรอ

"คุณยาย หมายถึงคนหล่อๆ หรือเปล่าครับ หล่อแบบมีออร่าอะไรแบบนั้น" ผมพูดและยิ้มน้อยๆ

"ยิ่งเจอยิ่งเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นคนที่ดีนะ" ผมมองคุณยายที่ยิ้มอย่างใจดี คุณยายนั้นชอบพูดจาแปลกๆ แบบนี้ล่ะ แต่แกก็อายุมากแล้ว คงจะหูตาฝ้าฟาง

"คนคนนั้นไม่ดีหรอกครับ ก็แค่หน้าตาดีอย่างเดียว" ผมไม่อยากพูดถึงวีรกรรมการฆ่าอันโหดเหี้ยมของซิน ถ้าพูดไปคุณยายคงหัวใจวาย

"ทุกอย่างมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกลูก ไวท์เป็นคนดี ไวท์ต้องเชื่อมั่นในส่วนที่ดีของเขานะลูก ส่วนสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องห้ามปรามเขา" ผมยิ้มให้คุณยาย ผมจะไปสั่งสอนซาตานได้ยังไงกันละครับ

"ครับคุณยาย แล้วเขามาหาคุณยายทำไมเหรอครับ" ผมถามคุณยาย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมซินถึงมาหาคุณยาย

"เขาบอกว่า ใกล้ถึงเวลาแล้ว" ผมขมวดคิ้วมองคุณยายที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข แต่ผมกลับรู้สึกไม่ดีเลยสักนิด

ผมกลับขึ้นมาบนห้องนอนของผมและอาบน้ำแต่งตัว เตรียมตัวไปมหา'ลัย แต่จริงๆ วันนี้ผมไม่มีเรียนหรอก ผมแค่ไม่มีที่จะไป ผมคิดว่าผมอยากจะไปหาอาจารย์ ไปหาคนคนเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ คนที่ผมพอจะพึ่งพิงได้

และพอคิดถึงอาจารย์นาธัส ผมก็นึกขึ้นได้ถึงเชือกเส้นสีดำเส้นนั้น ผมค่อยๆ นั่งลงเปิดประเป๋าของผมและดึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา เปิดไปที่หน้ากระดาษที่ผมได้สอดเชือกเส้นนั้นไว้

ผมมองดูเชือกสีดำที่อยู่กึ่งกลางหนังสือ และดึงมันออกมามองดูใกล้ๆ ถ้าอาจารย์บอกว่ามันช่วยได้ละก็ ผมควรจะพกมันไว้ ให้ใกล้มากกว่านี้

ผมดึงเชือกเส้นนั้นออกจากหนังสือและผูกลงที่ข้อมือของตัวเอง แบบนี้น่าจะดีกว่า เพราะถ้าเก็บที่อื่น มันคงจะหล่นหายไปเข้าสักวัน

ผมหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายที่ไหล่ และลุกขึ้นเดินเพื่อไปที่ประตู ผมยื่นมือไปจับลูกบิดประตู และเปิดออกด้วยความเคยชิน

แต่ทันทีที่ผมเปิดประตูและกำลังจะก้าวออกไปนั้น ผมก็ต้องชะงักเท้าทันทีและถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว เอาอีกแล้ว มันมาอีกแล้ว นี่มันอะไรกัน

ผมยืนแนบหลังชิดกับผนังห้อง และมองดูเงาสีดำที่กำลังยืนขวางผมอยู่หน้าประตู ผมเจอวิญญาณร้ายตัวนี้บ่อยมาก จนผมเริ่มที่จะรู้สึกชินนิดๆ ซะแล้ว ผมค่อยๆ ขยับตัวออกจากผนัง และจ้องมองเงาดำตรงหน้าที่เป็นรูปร่างผู้ชาย แต่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ชัด ผมมองแววตาสีแดงจางๆ ที่จ้องมองผม มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความคุกคามใดๆ เป็นเหมือนกับควันที่ล่องลอยไป และไม่มีตัวตน

"น..นายเป็นใคร" ผมพูดอย่างสงบ และยืนประจันหน้ากับสิ่งตรงหน้า

ผมกลืนน้ำลายลงคอและข่มอารมณ์ความกลัวของตัวเองไว้ อาจารย์เคยบอกว่า ถ้าผมจิตใจเข้มแข็ง ผมก็อาจจะชนะมันได้

แต่ผมที่ถามออกไปนั้น คำตอบที่ได้ก็มีแต่ความเงียบ แต่ผมจำได้ว่ามันเคยพูดกับผมนะ มันแปลกดี เพราะผมแทบไม่เคยคุยกับวิญญาณมาก่อน

ผมคิดว่าผมคงเสียเวลาเปล่า ผมกำสายกระเป๋าของผมแน่น และก้มหน้าตั้งสมาธิอยู่สักพัก ผมมองปลายเท้าของตัวเอง และตัดสินใจก้าวเดินออกไป

ผมหลับตาลงทันทีที่เดินเข้าไปใกล้วิญญาณตนนั้น ผมกลั้นหายใจเดินอย่างรวดเร็วลงบันได ผมว่าผมน่าจะเดินผ่านวิญญาณตนนั้นไปแล้ว ผมคิดว่าโอเคแล้วล่ะ

แต่ผมที่เดินหลับตานั้นก็รู้สึกว่าตัวผมกำลังจะหล่นลงไป ผมก้าวพลาดตรงขั้นบันไดที่สอง และรู้สึกว่าตัวผมกำลังจะกระแทกลงที่พื้น แต่ผมที่เตรียมใจพร้อมรับความเจ็บปวดนั้นก็รู้สึกว่ามันแปลก ทำไมตอนนี้ตัวผมถึงยังไม่แตะพื้นกันนะ และผมก็ไม่รู้สึกอะไรเลย

ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ และก็ต้องตกใจมาก ผมมองพื้นบันไดและพื้นปูนที่อยู่ด้านล่าง ตัวผมนั้นกำลังลอยอยู่เหนือพื้นและค่อยๆ เคลื่อนลงช้าๆ เท้าค่อยๆ แตะลงกับพื้นอย่างมั่นคง นี่มันเรื่องอะไรกัน

ผมหันกลับไปมองด้านบนของบันได และก็พบว่าวิญญาณตนนั้นยังคงจ้องมองผมอยู่ และค่อยๆ จางหายไปเหมือนกับควัน

ผีนั่นช่วยผมไว้งั้นเหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน เรื่องนี้มัน เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:30:21 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แปลก งง แต่ชอบอ่ะ  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ซิน...มีสองบุคลิก?

หรือมีทั้งฝ่ายดีฝ่ายไม่ดีในตัว  การกระทำแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้นฝ่ายไหนออกมาสำแดงเดช?

ออฟไลน์ Pawana

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
สงสัยอาจารย์เป็นซาตานอะ.     เชือกดำคือความซวย.  เริ่มปล่อยของบ้างแว้ว.  ปล่อยมาเยอะๆนะเร้าตัวละครดี.    รอจร่าาาา

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 25 ค่ำคืนแห่งการนองเลือด


ผมเดินทางมาที่ตึกเก่าห้องสมุดหลังเดิม ทุกย่างก้าวที่ผมเดินเข้ามานั้น มันทำให้ผมหวนนึกถึงคนคนแรกที่พาผมมาที่นี่ ผมเจ็บปวดข้างในหัวใจ เจนั้นเป็นคนดีและไม่ควรจะต้องมีชะตากรรมเลวร้ายแบบนี้เลย ผมอยากเจอเจอีกสักครั้ง มันจะเป็นไปได้ไหมนะ

"ไวท์" ผมสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังกังวาลอยู่ในหัวของผม

ผมหันไปรอบๆ ตัวและมองหาเจ้าของเสียงนั้น ผมหัวใจสั่นไหว เสียงนี้มัน... อยู่ที่นี่งั้นเหรอ ทำไมกัน

"เจ!!" ผมหันรีหันขวางและร้องเรียกเพื่อนเสียงดัง

"เจ นายอยู่ที่ไหน!!" ผมยังคงตะโกนเสียงดัง ออกมาให้เห็นทีเถอะ แล้วบอกผมว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ผมที่หันไปหันมามองหาเพื่อนนั้นก็สะดุ้งอีกครั้งทันทีที่รู้สึกถึงมือที่จับอยู่บนบ่าของผม

ผมหัวใจเต้นรัว ถึงจะเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่ใช่คนอีกแล้วเช่นกัน ผมค่อยๆ หันไปช้าๆ ความกลัวของผมมันมีน้อยกว่าความเป็นห่วงและความสงสัย

แต่ทันทีที่ผมหันไปนั้น ผมก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ ทันทีที่เห็นว่าคนตรงหน้าผมคือใคร

"อาจารย์" ผมรู้สึกทั้งตกใจและก็สงสัยเล็กน้อย เพราะว่าเมื่อกี้นั้น ผมไม่เห็นใครเลยจริงๆ ที่เดินเข้ามา

"เธอกำลังเรียกเพื่อนงั้นเหรอ" อาจารย์ถามผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบปกติ

"ครับ ผมได้ยินเสียงของเจ" ผมบอกอาจารย์ด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมกันนะ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย

"เธออาจจะคิดถึงเพื่อนมากเกินไป" ผมไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้น ผมมั่นใจว่าผมสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของเพื่อน

"เหรอครับ" ผมยังคงมีความสงสัย แต่ถ้าอาจารย์พูดแบบนั้นละก็ มันก็อาจจะเป็นไปได้

"มาหาฉันงั้นเหรอ"

"ครับ ช่วงนี้มีแต่เรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับผม" ผมพูดและรู้สึกแย่จริงๆ กับเรื่องนี้

"ผมรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจะฆ่าผม และก็มีผีตัวนึงคอยช่วยผมอยู่"

"เธอคิดว่าใครอยากจะฆ่าเธอ" อาจารย์ถามขึ้นและนำผมให้เดินตามไปช้าๆ ไปยังตึกห้องสมุดนั้น

"ซิน...ซินพยายามจะฆ่าผม ตั้งแต่แรกแล้ว" ผมพูดและรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา

ในหัวใจของผมนั้นมันกำลังสับสน ผมนั้นยังคงลืมซินไม่ได้ ผมควรจะตายไปเพื่อจะได้อยู่กับซินหรือเปล่านะ แต่อีกฝากหนึ่งของจิตวิญญาณของผมนั้น มันร้องเตือนผมว่า ผมไม่ควรทำแบบนั้น ซินจะใช้ประโยชน์จากผมเหมือนกับดวงวิญญาณดวงอื่นๆ และปิศาจแบบซินนั้น มีแต่ความปลิ้นปล้อนหลอกลวง และไร้ซึ่งความรักในหัวใจ

"เธอคิดถูกแล้ว ทำดีมากที่ไล่มันออกไป" ผมมองอาจารย์ที่หันมายกยิ้มมุมปากและเดินต่อไป

"ลืมมันไปซะ ถ้าเธอยังคงยึดติดกับความรู้สึกรักหลอกๆ นั่น เธอจะไม่มีวันหนีมันพ้น เธอจะเป็นทาสมัน ไม่ว่าจะยังคงตื่น หรือตายไปแล้วก็ตาม" ผมส่ายหน้าช้าๆ อย่างอ่อนแรง

"ผมทำไม่ได้" ผมพูดด้วยเสียงแหบแห้งและเจ็บปวด การจะให้ลืมคนที่รักนั้น มันจะต้องทำยังไงกัน ทุกลมหายใจของผมนั้น มันเฝ้าคิดถึงแต่คนคนนั้น คนที่ทำให้ผมทั้งกลัวและดีใจเหลือเกินที่ได้พบ

"ฉันเคยบอกเธอว่ายังไง เธอไม่ได้รักมัน เธอแค่คิด ว่าเธอรักมัน" อาจารย์พาผมขึ้นมาถึงห้องทำงานของอาจารย์ พวกเรานั่งลงที่โซฟาตัวเดิม ผมมองมือของอาจารย์ที่กุมมือผมเอาไว้ ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมอบอุ่นขึ้นเลย ไม่เหมือนกับซิน ไม่เหมือนเลย

ผมนั่งคุยนั่งปรึกษากับอาจารย์อีกสักพัก และกลับออกมาจากห้องทำงานของอาจารย์ ในตอนนี้นั้น สิ่งต่อไปที่ผมควรจะต้องทำก็คือ หางานทำสักที่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ผมนั้นมีชื่อเสียงแย่ๆ แผ่กระจายเป็นวงกว้างทั่วทั้งมหา'ลัย ผมคงทำงานแถวๆ นี้ไม่ได้ ทุกคนเกลียดผมและมองผมเหมือนเป็นตัวซวยสำหรับพวกเขา ผมควรจะต้องไปให้ไกลจากที่นี่ ถ้าคิดจะทำงานหรืออยู่แบบสงบสุข

"ไวท์" แต่ผมที่กำลังเดินอยู่นั้นก็ถูกเรียกโดยคนที่ผมไม่อยากเจอเท่าไหร่

"มาทำอะไร หรือลงวิชาอื่นไว้เหรอ" ผมมองเต้ยที่รีบเดินมาหาผมและชวนคุยด้วยรอยยิ้ม

"ผมแค่มาหาอาจารย์" ผมพูดและทำท่าจะเดินต่อไป แต่ก็ถูกดึงมือเอาไว้

"คือ ผมมีธุระต้องไปทำ" ผมยื้อมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของคนตรงหน้า ถึงผมจะชอบซินที่เป็นผู้ชาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะชอบผู้ชายทุกคนหรอกนะ แบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกแย่

"เต้ยอยู่คนเดียว เห็นไหม ไอ้สองตัวนั่นไม่ได้อยู่ด้วยสักหน่อย อย่าใจร้ายนักสิ" ผมมองเต้ยที่ทำหน้าเศร้าๆ แต่ที่เต้ยพูดนั้นก็จริง ผมอาจจะใจร้ายเกินไปถ้าพยายามจะหนี

"ผมกำลังหางานทำ" ผมลองพูดบอกเต้ยดู เผื่อเต้ยจะรู้จักที่ที่ผมสามารถทำงานได้

"อยากช่วยงานเต้ยไหม แต่ต้องทำที่หอเต้ยนะ" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็คิดว่า ผมควรจะไปดีกว่า เต้ยนั้นก็ชอบพูดแต่แบบนี้ คิดกับผมแบบไม่ปกติเลยสักนิด

"ผมอยากทำพวกร้านอาหารหรือร้านกาแฟมากกว่า" ผมพูดเลี่ยงๆ และก้มหน้าหลบสายตาของคนตรงหน้า

"รู้นะว่าไวท์คิดอะไร ฮ่ะๆ ไม่ต้องกลัว แค่เขียนงานเฉยๆ น่ะ เต้ยเลือกลงวิชาภาษาจีนด้วย แต่ขี้เกียจเขียนอ่ะ" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจน้อยๆ นึกว่าจะให้ทำอะไรแปลกๆ ซะอีก

"แต่งานนั่นเต้ยควรจะทำเองนะ มันเป็นการฝึกน่ะ" ผมที่อยากได้เงิน แต่ก็รู้สึกว่าแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ควร ก็เกิดการลังเลในใจ

"ไวท์ ไม่เคยลอกการบ้านเพื่อนหรือไง" เต้ยพูดและหัวเราะขำ ผมส่ายหน้าน้อยๆ ให้เต้ย เพราะผมไม่เคยมีเพื่อนให้ลอกต่างหากล่ะ

"เหลือเชื่อจริงๆ นะเนี่ย แต่ก็โอเค ถ้างั้นก็ช่วยพิมพ์งานให้หน่อย เดี๋ยวเอาโน๊ตบุ๊คให้ แล้วไม่ต้องห่วง อันนี้งานของที่บ้านนะ ค่าจ้างงาม" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็คิดว่างานนี้ผมน่าจะทำได้ ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยละกัน

"งั้นไปกัน เต้ยเอาโน๊ตบุ๊คไว้ที่ห้อง" เต้ยพูดและจับยึดมือผมดึงให้เดินตามไป ผมที่เห็นแบบนั้นก็พยายามดึงมือตัวเองออกทันที แต่ก็ไม่เป็นผล นี่ตกลงจะช่วยผมหรือจะแกล้งผมกันแน่ ยิ่งผมดึงเต้ยก็ยิ่งจะตรึงมือผมเอาไว้แน่น ผมอาจจะคิดสั้นไปจริงๆ ที่มากับคนคนนี้

"โอ้ยย อะไรวะ"

แต่ผมที่เดินตามเต้ยนั้น อยู่ดีๆ เต้ยก็ปล่อยมือออกจากผมและกุมจมูกตัวเองไว้

"เป็นอะไรหรือเปล่า" ผมรีบเดินไปจ้องมองใบหน้าของเต้ย ที่ตอนนี้มีเลือดไหลออกจากจมูก เยอะมากและมากขึ้นเรื่อยๆ และดูน่ากลัวมาก

"ผมมีทิชชู่ เต้ยมานั่งนี่ก่อนเถอะ" ผมดึงมือเต้ยให้เดินตามมาและนั่งลงที่โต๊ะใกล้ๆ

"อาจจะเพราะอากาศร้อน เลือดกำเดาก็เลยไหล" ผมพูดและมองเต้ยที่สีหน้าไม่ดีนัก

"ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ไม่เคยเลือดกำเดาไหล" ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

"รู้สึกแย่จัง รู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างกำลังเข้ามา" ผมมองใบหน้าของเต้ยที่กำลังซีดลงเรื่อยๆ และหรี่ตามองภาพตรงหน้าให้ชัดๆ ผมมองอะไรบางอย่างคล้ายๆ กับไอสีดำที่กำลังระเหยเข้าไปสู่จมูกของเพื่อน นั่นมัน อะไรกัน มันมาได้ยังไง

และผมที่มองหาต้นตอของไอดำนั้น ดวงตาของผมก็ค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตกใจ ผมค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง มองดูวิญญาณตนนั้น เงาดำที่คอยติดตามตัวผม มันกำลังยืนอยู่ข้างๆ ตัวเต้ย จ้องมองเต้ยใกล้ๆ และปล่อยไอดำทะมึนเข้าไปในตัวเต้ย ทำให้เต้ยเหมือนจะสำลักและเลือดก็ยังคงไหลออกมา

"อย่านะ" ผมพูดเบาๆ และจ้องมองเงาดำนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เต้ยคงต้องตายแน่ๆ แต่ผมจะทำยังไงดี จะบอกมันให้หยุดได้ยังไง

ผมที่คิดว่ารอช้าไม่ได้แล้ว ก็รวบรวมความกล้า เดินเข้าไปใกล้เพื่อนอีกครั้งและจับมือให้เต้ยลุกขึ้นและเดินหนีออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

"รีบไปกันเถอะ" เต้ยทำสีหน้างงๆ แต่ก็เดินตามผมมา

ผมพาเต้ยรีบเร่งเดินไป และโบกแท็กซี่ที่แล่นผ่านมาพอดี ผมส่งเต้ยเข้าไปในรถ และบอกคนขับว่าให้พาเต้ยไปโรงพยาบาล แต่ผมก็ไม่ได้ขึ้นไปด้วย เพราะถ้าผมขึ้นไปบนรถนั้น บางที เต้ยอาจจะอาการหนักกว่านี้ก็ได้

ผมยืนมองรถแท็กซี่ที่ขับออกไป แบบนี้คงจะดีกว่า ถ้านายอยู่ห่างจากผม นายก็จะปลอดภัย

ผมคิดและเหลือบสายตามองสิ่งที่ยังคงปรากฎอยู่ข้างๆ ผม เงาดำที่แปลกประหลาด วิญญาณที่ผมนึกไม่ออกว่าคือใคร และทำไม นายถึงได้มาอยู่ตรงนี้ นายเป็นตัวอะไร และทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่

ผมกลับมาจากที่มหา'ลัยด้วยท่าทีเหงาๆ งานที่จะได้ทำก็คงไม่ได้ทำแล้ว เงินที่มีอยู่ติดตัวก็เหลืออยู่น้อยนิดเหลือเกิน ผมมองโทรศัพท์มือถือในมือผม ผมควรจะขายมันทิ้งไปซะ เพราะว่ายังไงผมก็คงไม่ได้ใช้มัน ไม่มีใครให้ผมโทรหาอีกแล้ว

Rrrr Rrrr

แต่ผมที่จ้องมองหน้าจอมือถือนั้น อยู่ดีๆ แสงไฟก็ส่องสว่างขึ้นมา ผมหัวใจเต้นอย่างตื่นตกใจ และจ้องมองหมายเลขบนหน้าจอนั้น แต่ก็ไม่มีเลขใดๆ ปรากฎออกมา ผมขมวดคิ้วน้อยๆ และช่างใจว่าจะรับดีไหม แต่จะรับก็คงไม่เป็นไร อาจเป็นใครโทรผิดมาก็ได้

"ฮ.ฮัลโหลครับ" ผมกดรับสายนั้นและกรอกเสียงลงไปเบาๆ เป็นใครกันนะ คนที่โทรหาผมตอนนี้

แต่ผมที่รอให้อีกฝ่ายหนึ่งพูด ก็กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา ผมกดโทรศัพท์แนบหูมากขึ้น และกรอกเสียงลงไปอีก แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีใครพูดตอบกลับมาเลย

ผมกดวางสายด้วยหัวใจที่เปลี่ยวเหงาเช่นเคย แต่ผมก็ไม่ได้รู้เลยว่า คนที่โทรหาผมนั้น ยังคงยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่ในเงามืด ที่ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นนั่นเอง

ผมนอนจ้องมองเพดานในคืนที่เงียบสงัด ผมเฝ้าแต่คิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ผมฝันอยากจะเป็น ผมฝัน ผมอยากจะมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง ล้อมรอบไปด้วยผู้คนที่รักผมและห่วงใยผม โลกที่ผมจะไม่ได้มองเห็นสิ่งน่ากลัว โลกที่มีแต่ความสว่าง ไม่ใช่ความมืดที่ผมได้เห็นในปัจจุบัน

ผมนึกภาพฝัน และคอยเผลอแต่จะคิดถึงคนคนนั้น ผมนึกถึงใบหน้าของซินที่เข้ามาใกล้ และสัมผัสผมด้วยริมฝีปากสีชาดนั่น ผมหลับตาลงคิดถึงสัมผัสของซินที่โอบกอดรอบตัวผม มันช่างเหมือนเมื่อวานนี้เองที่เราสองคนยังไงนอนกอดกัน ผมจะลืมได้ยังไงในเมื่อหัวใจยังโหยหาขนาดนี้ ผมจะต้องทำยังไงดี

"กำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่สินะ" ผมที่ได้ยินเสียงแปลกปลอมนั้นก็รีบลุกขึ้นทันทีด้วยความตกใจ แต่ผมก็พลาดซะแล้ว

ผมชะงักและมองภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า ผมที่กำลังจะร้องตะโกนออกไปก็ทำไม่ได้ในทันที ผมดิ้นรนพยายามแกะมือที่ปิดปากของผมไว้และกำลังโอบรัดตัวผมอย่างแน่นหนา

ผมนั้นก็เป็นผู้ชายเช่นกันและไม่ได้ตัวเล็กเท่าไหร่ ผมศอกเข้าที่คนด้านหลังอย่างจังจนมันร้องเสียงดังและเผลอปล่อยมือออกจากผม

ผมลุกขึ้นและรีบไปที่ประตู มีแค่คนเดียว ผมคงรอดได้ ผมต้องรอด ผมเป็นห่วงคุณยาย ผมต้องลงไปดูคุณยายก่อน

แต่ผมที่กำลังจะออกจากประตูนั้น ผมก็ต้องล้มลงกับพื้นและกุมท้องตัวเองไว้ ผมถูกต่อยเข้าที่ท้องแบบจังๆ จากคนที่เพิ่งเดินเข้ามาทางประตู ผมล้มลงตัวงอและพยายามกระเถิบตัวเองให้ห่างจากเงาคนสามคน ซึ่งตอนนี้ผมไม่ต้องเดาอีกแล้วว่าเป็นใคร

"แม่ง ฤทธิ์เยอะชิบหาย จุกเลยกู" ผมมองคนที่กำลังพูดอยู่ คนคนนี้คือแมน ผมจำเสียงได้ และคนที่ต่อยผมก็คือต้อง ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ผมและจิกหัวผมให้เงยหน้าขึ้น

"พวกมึงนี่จะเบาๆ หน่อยไม่ได้หรือไงวะ เดี๋ยวยายแก่นั่นตื่นขึ้นมาเป็นเรื่องอีก" ผมมองเต้ยที่ยังคงถือทิชชู่ไว้ในมือ ผมไม่น่าช่วยคนคนนี้เลย ไม่น่าเลยจริงๆ

"ตื่นก็ทำให้หลับ คนแก่จะตายวันตายรุ่งอยู่แล้ว" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ตะเกียกตะกายทันที คุณยายเป็นคนเดียวที่ยังเหลืออยู่สำหรับผม เป็นคนเดียวที่ผมต้องปกป้องให้ได้

"อย่า อย่าทำคุณยาย" ผมพูดและคลานเข้าไปหาเต้ย ได้โปรดฟังผมด้วยเถอะ ผมยอมทั้งนั้นถ้าเพื่อให้คุณยายปลอดภัย

เต้ยที่เห็นผมคลานไปจับที่ขานั้นก็ย่อตัวลงจ้องมองผมด้วยรอยยิ้ม เต้ยยื่นมือเข้ามาแตะใบหน้าของผมเบาๆ และจ้องมองด้วยความหลงไหล

"แปลว่าจะยอมใช่ไหม" เต้ยถามผมและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมขยับตัวหนีเล็กน้อย แต่ก็ถูกบีบเข้าที่แก้มไม่ให้ถอยหนีไปได้

"เต้ย อย่าทำแบบนี้เลย" ผมพูดและจับข้อมือเต้ยเอาไว้ ผมมองแววตาของคนตรงหน้า ที่ดูสับสนเล็กน้อยแต่ก็กลับมาทำสีหน้ายิ้มกวนอีก

"กับไอ้ซินนั่น คงไม่พูดแบบนี้ใช่ไหม"

"ซินไปแล้ว ผมไม่ได้เจอซินอีกแล้ว" ผมพูดและจ้องมองเต้ยที่ขมวดคิ้วอย่างลังเล

"มาขนาดนี้เลยนะ มึงจะใจอ่อนถึงไหน" ผมมองดูคนอีกสองคนที่ยืนอยู่และเริ่มพูดอย่างไม่พอใจ

"มึงสองตัวออกไป" เต้ยที่่ไล่เพื่อนทั้งสองคนออกไป และยังคงจ้องมองผมอยู่

ผมจ้องมองที่ใบหน้าของเต้ยในความมืด ตัวของผมนั้นเริ่มสั่นน้อยๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มันน่าสะพรึงกลัว แรงกดดันมหาศาลกำลังใกล้เข้ามา ผมนั้นไม่ได้กลัวคนตรงหน้ามากกว่าสิ่งที่ผมรู้สึก ผมกำลังกลัวสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นต่างหาก

"รีบหนีไปซะ" ผมพูดด้วยเสียงอันสั่นกลัว และจับไหล่เต้ยไว้ "รีบไปก่อน ตอนนี้ยังทัน"

"ทำไม ไอ้ซินเหรอ ให้มันมาสิ แต่มันคงผ่านไอ้สองตัวหน้าห้องไม่ได้หรอก" เต้ยพูดและยิ้มน้อยๆ พลางดันผมให้ค่อยๆ นอนลงบนฝูก

ผมควรจะทำยังไงดี ผมนั้นอยากจะผลักคนคนนี้ออกไป แต่ผมก็รู้ดีว่า ผมคงไปไม่รอด เพราะอีกสองคนที่อยู่หน้าห้องคงไม่ปล่อยให้ผมทำแบบนั้น

ผมหลับตาลงและปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาช้าๆ ชีวิตผมนั้นมันก็แค่นี้แหละ ผมเจอเรื่องเลวร้ายมาเยอะแล้ว ถ้าจะเจออีกครั้ง มันก็ไม่แปลกอะไร

ผมหันหน้าหนีใบหน้าของคนที่ทาบทับตัวผม และรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆ ที่ลำคอ ผมอยากร้องตะโกนและดิ้นรนขัดขืน ผมขยะแขยงสัมผัสที่ร่างกายนี้ ผมเกลียด เกลียดชีวิตของตัวเอง ผมอยากจะเข้มแข็งให้มากกว่านี้ แต่จะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ชีวิตของผมมันไม่มีอะไรเลย ที่ผมอยากสู้เพื่อมัน

ผมมองเต้ยที่ปลดกระดุมเสื้อของผมจนหมด และดันตัวผมให้พลิกตัวคว่ำลง ผมนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น ฝืนกล้ำกลืนฝืนน้ำตาเอาไว้ และพยายามขัดขืนน้อยๆ ทำทุกอย่างให้ตัวเองถูกกลืนกินช้าที่สุด

"รอยสักสวยดีนะ" ผมชะงักน้อยๆ และลืมตาขึ้นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น รอยสักเหรอ หมายถึงอะไรกัน

ผมรู้สึกถึงสัมผัสที่แผ่นหลังตรงช่วงสะบัก เต้ยนั้นกำลังใช้มือลูบช้าๆ และจ้องมองรอยที่ปรากฎขึ้นมาของผม ผมนั้นอยากจะเห็นมาก ว่าสิ่งที่เต้ยพูดนั้นคืออะไร ผมที่อาบน้ำทุกวันแต่ก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น อาจเป็นเพราะมันอยู่ในที่ที่มองเห็นได้ยากก็ได้

"รูปอะไร มันแปลกๆ งู งั้นเหรอ" ผมที่เอี้ยวตัวเหลือบมองเต้ยนั้นก็รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นโอกาส ผมอยากจะลองดูสักครั้ง ผมอาจจะสะบักสะบอม แต่ก็อาจจะหนีไปได้

ผมใช้จังหวะที่เต้ยก้มหัวลงนั้น กระแทกหัวด้านหลังของผมเขากับหน้าของเต้ยอย่างแรง ผมมองเต้ยที่ร้องโอดโอยและกุมจมูกที่มีเลือดไหล และรีบลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตูที่ยังคงปิดสนิท ผมจับลูกบิดประตูหมุนพยายามเปิดล็อคและกระชากออกอย่างแรง แต่ผมที่ทำแบบนั้นก็ไม่อาจทำอะไรต่อไป ประตูถูกดึงล็อคจากด้านนอก ไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว นอกจาก...

"ไม่อยากให้ช้ำเลยนะ ไม่อยากจริงๆ!" ผมที่มัวแต่มองลูกบิดประตูนั้นก็ถูกตีเข้าที่หัวเต็มๆ ผมล้มลงกับพื้นกระพริบตาไล่ของเหลวสีแดงที่กำลังค่อยๆ ไหลออกมา ผมค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นกุมหัวตัวเองไว้และคลานช้าๆ ไปที่หน้าต่างที่เปิดเอาไว้ นี่แหละคือสิ่งที่ผมได้รับ ถ้าผมพยายามจะฝืนชะตาตัวเอง

ตึ้งงง ตึง!

แต่ผมที่คลานอยู่บนพื้นนั้น ก็หยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกประตู เสียงนั้นดังขึ้นไม่กี่ครั้ง และเงียบลงเพียงชั่วเสี้ยววินาที

ผมมองแสงที่ลอดผ่านช่องประตูด้านล่างออกมา แสงนั้นกำลังกระพริบถี่ๆ และดับลง ทำให้ห้องอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง

"อะไรวะ ไอ้แมน ไอ้ต้อง มีอะไร!" เต้ยนั้นนั่งอยู่ข้างๆ ตัวผมและกดที่ลำคอผมเอาไว้ ผมมองใบหน้าของเต้ยที่จมูกมีเลือดไหลและสีหน้ากำลังวิตกกังวล

"มึงเรียกใครมา!" เต้ยหันมาตะโกนใส่ผมและออกแรงที่บีบรอบคอผม

ผมจับมือของเต้ยที่กำรอบคอผมไว้ และพยายามอ้าปากหายใจ ผมเหมือนกำลังจะตาย ดวงตาของผมเริ่มมืดลง ผมตะเกียกตะกายพยายามสูดหาอากาศแต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมกำลังจะไปแล้ว... ซิน จะยังรอผมอยู่หรือเปล่านะ

แอ๊ดดดดด

เสียงประตูค่อยๆ เปิดออกช้าๆ ผมรู้สึกว่าแรงบีบที่คอของผมกำลังอ่อนลง ผมรีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และคลานหนีไปช้าๆ ที่มุมห้อง

ผมนั่งขดตัวอยู่ในมุมมืด และตัวสั่นน้อยๆ อย่างอ่อนแรง มองคนสองคนที่เดินเข้ามาในห้อง ผมคงตายแน่ และตายอย่างทรมานซะด้วย ทั้งสองคนคงเข้ามาช่วยกัน ทำให้ผมไม่อาจต่อต้านอีกต่อไป

ผมคิดและกอดตัวเองไว้ แต่ถึงผมจะต้องตายไป ก็คงไม่มีใครเดือดร้อนอะไร ทุกคนก็แค่ดำเนินชีวิตต่อไปในโลกที่ไม่มีคนน่ารำคาญแบบผมอีกแล้ว

แต่ผมที่จ้องมองไปยังคนสองคนที่เข้ามานั้น ผมรู้สึกว่ามันแปลก ผมมองใบหน้าของทั้งสองคนที่ก้มลงมองพื้นซ่อนอยู่ในเงามืด ทำให้มองไม่เห็นได้ชัด ว่าทั้งสองคนกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่

ผมมองดูเต้ยที่ลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาเพื่อนช้าๆ ใบหน้าของเต้ยเต็มไปด้วยความสงสัย และไม่เข้าใจเช่นกัน

"พวกมึง บอกให้เฝ้าข้างนอกไว้ไง แต่ก็ดี เข้ามาก็ดี ช่วยกูจัดการมันหน่อย" เต้ยพูดและหันหน้ามามองผมด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม ผมขยับตัวถอยหลังมากขึ้นอีกนิดด้วยความกลัว ผมมองคนสองคนที่ขยับเข้ามาอีกนิดจากประตูและ...

ตุบ!

ผมที่มองภาพตรงหน้านั้นก็แทบจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง ผมมองคนสองคนที่กองลงไปกับพื้น พร้อมไฟในห้องที่สว่างจ้าขึ้น ผมตะเกียกตะกายถอยหลังหนีเลือดสีแดงที่ไหลออกมาจากสองคนนั่นอย่างรวดเร็ว ทั้งสองดวงตาเปิดค้างและเลือดไหลออกทั้งตาจมูกและปาก ทั้งสองคนตายแล้ว และตายอย่างน่าอนาถ

"เหมือนมีใครพูดถึง" ผมร้องไห้และมองซินที่เดินเข้ามาเหยียบเท้าข้างหนึ่งลงที่ร่างของสองคนนั่น ซินแต่งกายด้วยชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า และมีดวงตาสีแดงน่ากลัว ใบหน้าของซินเปื้อนยิ้มแต่ก็ดูเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ค่ำคืนนี้คงไม่ได้มีเพียงสองศพเท่านั้น ผมได้แต่ภาวนา และบอกตัวเองว่าผมต้องหยุดซินให้ได้

ผมไม่อยากให้ซิน ทำผิดไปมากกว่านี้อีกแล้ว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:30:56 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอย.......

ลึกลับ  คาดเดาไม่ถูก ว่าตัวละครไหนดี  ตัวละครไหนชั่ว

แต่...วิญญาณที่คอยอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลานั้น ดีแน่นอน

แต่ก็นะ...โลกนี้มันไม่มีขาวสนิทดำสนิทหรอก  มันก็มีแต่สีเทา 

เพียงแค่จะเทาเข้มเทาอ่อนขนาดไหนนั่นแหละ

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 26 ร่างกายที่ถูกครอบงำ


ผมยังคงจ้องมองซินที่ย่างเท้าเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ซินนั้นเหมือนกำลังมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นความโหดร้ายที่ผมเคยเห็นมันมาแล้ว และมันก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง และคนที่ต้องสังเวยชีวิตนั้น ก็เป็นคนที่อยู่รอบๆ ตัวผมอีกแล้ว

"อ.ไอ้แมน อ..ไอ้ต้อง..." เต้ยในตอนนี้นั้นได้อึ้งชะงักและจ้องมองเพื่อนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ผมไม่กล้ามองสองคนนั่นที่ลมหายใจได้หมดลงแล้ว ผมคลื่นไส้กับภาพที่เห็น มันน่ากลัวจนผมได้แต่ตัวสั่นและซ่อนอยู่ในมุมห้อง ในมุมที่หวังจะไม่มีใครสนใจ

"ม.มึงเป็นใครกันแน่" เต้ยพูดด้วยเสียงที่เริ่มสั่นเครือ แววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและหวาดระแวง

"คนตาย พูดได้ด้วยเหรอ" ผมมองซินที่พูดและหัวเราะชอบใจ พลางค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เต้ยมากขึ้น

"ย.หยุดเถอะ พอเถอะซิน" ผมตัดสินใจพูดออกไป ขณะที่ซินยังคงก้าวเข้ามา

ซินที่กำลังจ้องมองเต้ยนั้นก็ละสายตามาจ้องมองผมทันที ผมไม่แน่ใจว่าซินในตอนนี้จะฟังผมไหม หรือแค่อยากจะฆ่าผมไปพร้อมๆ กับทุกคน

"อ่อนแอ โง่เขลา" ซินพูดและจ้องมองผมเขม็ง ก็อย่างที่นายพูดนั่นแหละ ผมก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

"มึงเป็นปิศาจหรือไง" เต้ยที่เงียบฟังนั้นตอนนี้คงรู้สึกไร้สิ้นหนทาง ผมมองเต้ยที่ดูใจกล้าทั้งๆ ที่กลัว และจ้องมองซินด้วยแววตาที่แสนแค้นเคือง

"อย่าเต้ย ทำอะไรไม่ได้หรอก!" ผมพูดและมองเต้ยด้วยความตกใจ เพราะว่าเต้ยนั้น ตอนนี้กำลังเดินเข้าไปหาซิน เหมือนอยากจะลองสู้กับซิน แต่นั่นน่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไร

"กูจะฆ่ามึง อย่าคิดว่ามึงทำได้คน...อั่ก" ผมมองเต้ยที่เดินเข้าไปง้างหมัดใส่ซิน และก็แน่นอน

ผมมองเต้ยที่เท้าค่อยๆ ลอยจากพื้น ซินนั้นกำคอเต้ยแน่นด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนกับกำลังบีบสัตว์เลี้ยงเล็กๆ ให้ตายคามือ

"ไม่! ซิน อย่า!" ผมที่เห็นภาพนั้นก็ลนลานรีบคลานออกมาจากมุมห้อง ผมคลานอย่างเชื่องช้ากุมหัวที่เลือดไหลและท้องที่บาดเจ็บ ผมเจ็บเหลือเกิน แต่ก็ไม่เท่ากับความเจ็บปวดในหัวใจ

"อะไร ปกป้องคนที่ทำร้ายตัวเองเหรอ" ซินพูดและจ้องมองผมด้วยแววตาเกรี้ยวกราด

"ผมขอเถอะ อย่า" ผมพูดและเริ่มร้องไห้ มองเต้ยที่ดิ้นทุรนทุรายเพราะเริ่มขาดอากาศหายใจ

"จะขี้แพ้ อ่อนแอไปถึงเมื่อไหร่" ซินพูดและมองผมด้วยความไม่เข้าใจ

"ผมยอมเป็นคนขี้แพ้ ถ้าจะต้องทำเรื่องเลวๆ เหมือนกับที่นายกำลังทำ" ผมพูดและจ้องมองซิน นายกับผมพวกเราอยู่คนละโลกกัน แม้แต่ความคิดก็ไม่อาจเข้ากันได้ พวกเราไม่มีสิ่งไหนที่จะสามารถ ทำให้อยู่ร่วมกันได้

"ถ้างั้น ก็เตรียมตัวสำหรับความเจ็บปวด"

กร้อบ!

"ไม่!!!" ผมมองเต้ยที่หยุดดิ้นรนและแน่นิ่งไป ผมมองร่างของเต้ยที่หล่นลงกระแทกพื้น นี่สินะ สิ่งที่นายต้องการ ฆ่าคน ทำเรื่องเลวทราม ผมไม่อาจหยุดยั้งปิศาจตัวนี้ได้เลย

"ผมเกลียดนาย" ผมพูดและจ้องมองซินด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา ซินที่อยู่เคียงข้างผมนั้นตอนนี้คงไม่มีอีกแล้ว

ผมนั่งอยู่ที่พื้นจ้องมองซินที่กำลังเดินเข้ามาหาผมด้วยแววตามุ่งร้าย ผมในตอนนี้นั้นมีแต่ความเสียใจและผิดหวัง ผมผิดหวังในตัวเอง และผิดหวังจากคนที่ผมนั้นให้ใจเสมอมา

ผมก้มลงมองพื้นรอเวลาที่ตัวเองจะเป็นรายต่อไป ซินคงจะฆ่าผม ในเมื่อที่ผ่านๆ มาก็พยายามจะฆ่าผมอยู่แล้ว และนั่นก็คงจะดีแล้ว ผมในตอนนี้ ไม่กลัวอีกแล้ว

ผมนั่งอยู่ในความมืดเตรียมตอบรับความตายที่กำลังจะเผชิญ ผมจะไปอยู่ที่ไหนงั้นเหรอ อาจจะที่นั่น ในห้องนอนสีดำที่แสนเย็นยะเยือก ลิน พวกเราจะได้เจอกันแล้วใช่ไหม

ผมเริ่มตัวสั่นน้อยๆ ทันทีที่ซินย่อตัวลงข้างหน้าผม จ้องมองผม และยื่นมือเข้ามาใกล้ ผมค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ความตายคงไม่น่ากลัวเท่าความเดียวดายของผมอีกแล้ว คุณยายครับ ยกโทษให้ผมด้วยนะ ผมกำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว ตลอดกาล

แต่ผมที่หลับตาเตรียมรับความเจ็บปวดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วทันที เพราะแทนที่ผมจะรู้สึกเจ็บปวดหรือทรมาน ผมกลับรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้ม เป็นความอบอุ่นที่ผมคุ้นชิน เหมือนที่ผมเคยได้รับมันมาจากคนตรงหน้า เมื่อครั้งที่พวกเรายังคงอยู่เคียงข้างกันและกัน

ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ จ้องมองซิน แต่ภาพตรงหน้าที่เห็น ก็ทำให้ผมยิ่งแปลกใจ ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมนายถึงได้มองผมด้วยแววตาแบบนั้น ทำไมนาย ถึงได้เศร้าขนาดนั้น

"ซิน" ผมมองซิน และเลื่อนมือขึ้นไปจับมือของซินที่กำลังแตะแก้มของผม

ผมนั้นเป็นคนอ่อนแอ และโง่เขลาอย่างที่ซินบอก และสิ่งที่ทำให้ผมอ่อนแอที่สุดก็คือ คนตรงหน้า

ที่ไม่ว่าจะใจร้ายเพียงใด โหดร้ายแค่ไหน แต่หัวใจของผมมันก็ยังคงคิดถึงแต่คนคนนี้เสมอ ถึงแม้จะพยายามลบเลือนสักเพียงใด ก็ไม่อาจทำได้เลยสักเสี้ยววินาที

ผมจ้องมองซินและยังคงกุมมือนั้นเอาไว้ จะเป็นไปไม่ได้เลยเหรอที่ซินจะหยุดทำเรื่องพวกนี้ สีดำ จะกลายเป็นสีขาวไม่ได้เลยเหรอ เส้นทางของพวกเรา จะไม่มีวันบรรจบกันตลอดไปใช่ไหม

แต่ผมที่กำลังกุมมือของซินนั้นก็ต้องต้องใจทันที ผมมองซินที่จู่ๆ สีหน้าก็ซีดลงอย่างรวดเร็วและที่จมูกนั้นก็มีเลือดค่อยๆ ไหลออกมา

"ซิน!" ผมที่เห็นแบบนั้นก็ยิ่งจับมือซินแน่นขึ้น ผมไม่เข้าใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น

"เอามัน..ออกไปซะ เชือก..." ผมไม่เข้าใจ ผมมองซินที่ดูทรมานแต่ก็พยายามบอกอะไรบางอย่างกับผมต่อไป

"อย่า...ให้มันครอบงำ" ซินยังคงพูดต่อและประคองใบหน้าของผมเอาไว้

ผมมองภาพตรงหน้า ผมมองซินที่เขย่าตัวผมและร้องตะโกนบอกอะไรสักอย่าง แต่ผมกลับ ทำอะไรไม่ได้ ผมมองใบหน้าของซินที่เป็นสีแดง ไม่สิ โลกทั้งโลกกำลังเป็นสีแดง และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมได้เห็น

"ไวท์ลูก ตื่นแล้วเหรอ" ผมค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ ด้วยหัวที่ปวดร้าวไปหมด ผมมองสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยดวงตาที่หรี่ลง แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาทำให้ผมแสบตาและรู้สึกร้อนอยู่ภายใน นี่มันอะไรกัน ผมอยู่ในห้องตัวเองสินะ แล้วมันเกิดเรื่องอะไร...

แต่ผมที่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนได้นั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันที คนตาย มีคนตาย และซิน ซินเป็นอะไรไป ผมเป็นอะไร

"ไวท์ลูก ไม่สบายหรือเปล่า ยายเห็นไม่ลงมาก็เลยขึ้นมาดู" ผมหัวใจเต้นแรงและมองไปรอบๆ อย่างตื่นตกใจ เป็นไปได้ยังไงกัน ทุกอย่างว่างเปล่า หัวของผม ร่างกายผม

ผมคิดและจับลูบตัวและหัวของตัวเองไปมา ไม่มี ไม่มีรอยแผล ไม่มีอะไรผิดปกติ นี่มันเรื่องอะไรกัน

แต่ผมที่มองไปรอบๆ นั้นก็ต้องตกใจอีกครั้งทันที ในห้องของผมตอนนี้ไม่มีศพของทั้งสามคน และร่างกายของผมก็ปกติดี แต่สิ่งที่ผิดปกติก็คือ มีคนคนนึงยืนอยู่ที่มุมห้องด้วยสีหน้าที่นิ่งและน่ากลัว

"ผ.ผม รู้สึกไม่ค่อยดี แต่ไม่เป็นไรครับ นอนพักก็คงหายแล้ว" ผมพูดบอกให้คุณยายสบายใจ และเหลือบมองพี่ไวลี่ที่ยังคงยืนกอดอกอยู่

"ถ้ามีอะไรเรียกยายนะลูก เดี๋ยวกลางวันยายเอาข้าวมาให้" ผมขอบคุณคุณยายและมองคุณยายที่ออกจากห้องของผมไป ผมกุมหัวตัวเองไว้และมองพี่ไวลี่ที่ค่อยๆ เดินเข้ามา

"เธอไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้เลยจริงๆ" พี่ไวลี่พูดขึ้นทันทีและจ้องมองผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ

"เกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนผม..."

"สามคนนั้นแน่นอนตายแล้ว ฉันเอาพวกมันไปไว้ที่อื่นเอง" ผมมองพี่ไวลี่ที่พูดและนั่งลงตรงหน้าผม นั่นสินะ มันเหมือนจริงเกินจะเป็นความฝัน

"ซิน" ผมพูดเบาๆ และมองพี่ไวลี่ที่ทำหน้าเข้มขึ้นทันที

"นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เธอพยายามจะฆ่าซิน" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจทันที ผมน่ะเหรอ เป็นไปไม่ได้

"พี่พูดเรื่องอะไรกัน" ผมพูดและทำสีหน้าตกใจ

"ตัวเธอกับสิ่งของเลวร้ายนั่นมันมีพลังมากรู้ไหม ซินที่ว่าแข็งแกร่งยังแทบเอาตัวไม่รอด" พี่ไวลี่พูดและถอนหายใจยาวเหยียด

"สิ่งของ สิ่งไหน มันคืออะไร" ผมพูดและมองพี่ไวลี่ที่ส่ายหัวไปมา

"มีอะไรในตัวเธอที่หายไป" พี่ไวลี่พูดด้วยสีหน้าเครียดๆ

"นี่ถ้าไม่ติดว่าซินสั่งไว้ ฉันอยากจะพูดจริงๆ ว่าเธอกำลังยุ่งอยู่กับอะไร"

"บอกผมเถอะครับ ผมโง่เกินไปที่จะรู้ว่าผมทำอะไร" ผมพูดและรู้สึกแย่มากกับทุกสิ่ง

"ครั้งแรก รู้สึกจะเป็น หนังสือ และครั้งนี้มันอยู่ที่ข้อมือของเธอ เธอได้มันมาจากไหน เธอนี่ไม่เคยระวังตัวเองเลยนะ ถึงถูกมันควบคุมได้ขนาดนี้" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็มองที่ข้อมือของผมทันที หายไปแล้ว เชือกสีดำเส้นนั้นมันหายไปแล้ว

"ของนี่อาจารย์ให้เพื่อคุ้มครองผม" ผมพูดและคิดถึงสิ่งที่อาจารย์พูด อาจารย์คอยช่วยผมเสมอ

"อาจารย์เหรอ ฮ่าๆๆ เฮ้อออ" ผมมองพี่ไวลี่ที่หัวเราะเสียงดังพลางถอนหายใจยาวเหยียด และอยู่ดีๆ ก็เงียบเสียงไป

"ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจซินเลยสักนิด ทำไมไม่รีบลงมือซะ มีโอกาสตั้งมากมาย จะรอให้มันแย่ง รอให้มันทำลายไปหรือไง" ผมมองพี่ไวลี่ที่เหมือนกำลังพูดอยู่กับตัวเอง และเหลือบมองผมทันทีที่หยุดพูด

"ขอโทษนะ แต่ว่า..." ผมชะงัก จ้องมองพี่ไวลี่ที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าและจ้องมองผมด้วยแววตาน่ากลัว จิตอาฆาตของคนตรงหน้านั้นรุนแรงมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ว่า ผมนั้นก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด ผมยิ้มน้อยๆ ให้พี่ไวลี่ ผมนั้นก็รอที่จะให้ซินทำแบบนี้ แต่ก็ดูเหมือนซินจะกำลังรออะไรบางอย่าง ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

"ถ้าพี่ฆ่าผม...ผมจะได้เจอซินใช่ไหมครับ บอกผมที ว่าวิญญาณของผม เป็นของซิน" ผมพูดและจ้องมองพี่ไวลี่ที่ชะงักมือนิ่งค้างไว้และค่อยๆ ลดมือลง

"ฉันก็คิดแบบนั้น แต่ดูเหมือนซินจะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เพราะไม่อย่างนั้น เธอคงจะตายไปนานแล้ว" ผมขมวดคิ้วมองพี่ไวลี่ด้วยความไม่เข้าใจ

"แต่ว่าที่หลังของผม มีตราสัญลักษณ์ของซิน" ผมพูดบอกพี่ไวลี่

"ตรานั่นหายไปได้ วิญญาณของเธอถูกทำลายได้ ต่อให้เธอจะเป็นของซินก็ตาม" ผมมองพี่ไวลี่ ถูกทำลายวิญาณงั้นเหรอ หมายถึงต่อให้ตายไป จิตวิญญาณก็จะสลายไปใช่หรือเปล่านะ

"ช่วยพาผม ไปหาซินได้ไหม" ผมพูดและหวังจริงๆ ว่าซินจะไม่เป็นอะไร

"สถานที่นั้น มีแค่ซิน ที่จะพาเธอไปได้"

"ไวท์ลูก กินข้าวแล้วกินยาซะนะ" ผมชะงักและจ้องมองคุณยายที่เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารที่วางตรงหน้าผม

"ไม่ต้องลำบากขึ้นมาหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก" ผมพูดและเหลือบมองพี่ไวลี่ที่หายไปแล้ว

"เมื่อคืน คุณยายได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ไหมครับ" ผมหันมาหาคุณยายและถามต่อด้วยความสงสัย เมื่อคืนนั้นมีเสียงดังมาก แต่คุณยายก็ดูจะไม่เอะใจอะไร

"เมื่อคืนยายรู้สึกง่วงมากๆ ก็เลยนอนแต่หัวค่ำเลยลูก" ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินแบบนั้น วางยางั้นเหรอ พวกนั้นทำสินะ

"ผมขอโทษนะครับ" ผมพูดและรู้สึกผิดเหลือเกิน ผมเป็นต้นเหตุของทั้งหมด ทุกๆ อย่าง

"พูดอะไรแบบนั้นละลูก ขอโทษยายทำไม" คุณยายพูดและเข้ามากอดผม ลูบหัวผมอย่างรักใคร่

"คุณยาย จะอยู่กับผมไปนานๆ ใช่ไหมครับ" ผมพูดและกอดคุณยาย ผมนั้นชีวิตไม่มีใครเลย ผมมีแค่คุณยายที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย

"ไม่มีใครไปไหนหรอกลูก ถ้าคนคนนั้นยังอยู่ในหัวใจของเรา เกิดแก่เจ็บตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าให้มันมาบั่นทอนความเข้มแข็งในหัวใจของเราเลย" คุณยายพูดและลูบหัวผมเบาๆ ในความทุกข์อันแสนสาหัสของผม สิ่งที่ยังยึดเหนี่ยวหัวใจของผมให้ยังเต้นต่อไปได้ ก็คือผมรู้ว่ายังมีคนที่รักและหวังดีกับผมอยู่ ผมมีคุณยาย

เป็นผู้มีพระคุณคนสุดท้ายของผม

​​
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:31:33 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ใครดี ใครร้ายกันแน่ ระหว่างซินกับอาจารย์  :hao4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ในมุมมองแต่ฝ่ายตรงข้าม ก็ย่อมบอกว่าอีกฝ่ายตรงข้ามเลวเสมอ

แล้วสรุปว่า เมื่อไรกันจึงจะรู้สักทีว่า  ฝ่ายซินหรือฝ่าย อ.นาธัส  ที่เป็นฝ่ายดีกัน

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 27 สถานที่ที่ไม่อาจเข้าไป


ข่าวการตายของทั้งสามคนนั้นถือเป็นหัวข้อที่กำลังโด่งดังและออกข่าวทุกช่องอยู่ตอนนี้ ทั้งสามถูกพบไกลออกไปจากที่นี่หลายกิโลเมตรในสภาพที่ไม่สามารถบอกได้ถึงสาเหตุของการเสียชีวิต

ผมไปที่มหา'ลัยในวันต่อมา และก็เหมือนเช่นเดิม ผู้คนมากมายต่างซุบซิบและจับจ้องมาที่ผม เพราะทั้งสามคนนั้นเคยมาป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่รอบตัวผม โดยเฉพาะเต้ยที่มีคนเห็นพวกเราทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน

แต่ก็น่าแปลก ไม่มีตำรวจมาที่บ้านเลย ทั้งๆ ที่น่าจะมีคนเห็นสามคนนั่นมาที่บ้านผมเป็นครั้งสุดท้ายและหายไป แต่ผมก็คิดอีกทีว่า ทั้งสามคนอาจจะแอบมาแบบไม่ให้ใครรู้ ทำให้ไม่มีพยานรู้เห็นเลยสักคนนอกจากผม แต่ผมนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ จะพูดจะบอกใครยังไงก็คงไม่มีคนเชื่อ นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้ดีกว่าใคร

ผมมองดูผู้คนในมหา'ลัยตอนนี้ ทุกคนดูหวาดระแวงในตัวผมมากขึ้น บางคนถึงขั้นรีบเดินหนีผมและยังคงมีการขว้างปาสิ่งของใส่ผมบ้าง แต่ผมก็ชินชาแล้วและอยู่ของผมเงียบๆ ตัวคนเดียวเหมือนดั่งทุกวัน ผมไม่ต้องการใครอีกแล้ว ที่จะอยู่เคียงข้างผม เพราะว่าจุดจบนั้นก็คงเหมือนๆ กัน คือการตายจาก ไม่มีใครอยู่ข้างๆ ผมและมีชีวิตรอดต่อไป

"อยากตามก็ตาม อยากทำอะไรก็ทำเถอะ" ผมพูดเบาๆ และเหลือบตามองผีตัวเดิมที่คอยติดตามผม มันมาอีกแล้ว แต่ทำไมกันนะ คืนที่สามคนนั้นมาทำร้ายผม ทำไมมันถึงหายไป

ผมนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ข้างตึกเรียน วิชาต่อไปนั้นจะเริ่มขึ้นในอีกสองชั่วโมง ผมที่ไม่รู้จะไปไหนก็ได้แต่นั่งถอดถอนใจอยู่คนเดียว ผมในตอนนี้เหมือนมีชีวิตอยู่ไปวันๆ หายใจทิ้งไปวันๆ ทำไมทุกอย่างในชีวิตผมมันถึงเป็นแบบนี้กันนะ ผมอยากจะร้องไห้จริงๆ

"ถ้าตายแล้ว จะรู้สึกยังไงกันนะ" ผมพูดและเหลือบตามองผีตัวนั้นอีกครั้ง ผมพยายามเพ่งมองใบหน้าของมัน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะร่างกายนั้นเป็นเหมือนกับหมอกควันสีดำจางๆ และไร้ตัวตน

"ดูสิ มันคุยกับใครก็ไม่รู้ น่ากลัว"

"อย่าไปมอง เดี๋ยวมึงก็เป็นศพต่อไป"

ผมหลบสายตาคนที่กำลังต่อว่านินทาผม พวกเขาไม่รู้ ไม่รู้เลยว่าผมต้องเผชิญกับอะไร ถ้าผมเป็นพวกเขา ผมก็คงจะกลัวตัวผม การกลัวสิ่งที่ไม่รู้และมองไม่เห็น นั่นไม่แปลกอะไร

"ถ้าอยากบอกอะไรผมก็พูดเลยนะ" ผมพูดเบาๆ และไม่ได้จ้องมองสิ่งนั้น แต่ผมก็คิดอีกว่า นี่มันไร้ประโยชน์มาก ผมเหงาถึงขนาดคุยกับผีแล้วเหรอ ผมน่าจะอาการหนักจริงๆ

จ๊อกกก~

ผมที่นั่งอยู่นั้นก็รู้สึกปวดท้องหิวข้าวเหลือเกิน ผมไม่มีเงินเหลืออีกแล้ว นี่เป็นอีกปัญหาของผม จะทำยังไงดีนะ ผมควรจะทำยังไงดี

"ไวท์" ผมมองตามเสียงเรียกที่ดังขึ้นข้างตัว และก็ต้องยิ้มทันที นี่ผมลืมไปได้ยังไงกันนะว่ายังมีคนที่หวังดีกับผมอยู่

"ครับอาจารย์" ผมพูดและลุกขึ้นยืนทักทายอาจารย์นาธัส

"นั่งทำอะไร พอดีฉันจะไปที่โรงอาหาร จะไปด้วยกันไหม" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มทันที แต่ผมไม่มีเงินนี่นา

"ฉันเลี้ยงเอง" อาจารย์มองผมและยิ้มน้อยๆ อย่างรู้ทัน

"คือ..." แต่ถึงผมจะไม่มีเงินนั้น ผมก็ยังเกรงใจอาจารย์อยู่ดี

"มาเถอะ แล้วค่อยไปช่วยงานฉันละกัน" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มและตัดสินใจเดินไปกับอาจารย์ ผมมีเรื่องอยากถามอาจารย์อีก มีหลายเรื่องที่ผมไม่สบายใจ

"ขอโทษนะครับ เคยบอกว่าจะไปช่วยแต่ก็ไม่ค่อยได้ไปเลย" ผมพูดและเดินตามอาจารย์ไปตามทางเดิน อาจารย์เดินนำผมไปที่โรงอาหารของคณะใกล้ๆ และพาผมนั่งลงในที่ที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน

"ไม่เป็นไร เธอกำลังมีเรื่องหนักใจอีกใช่ไหม เล่าให้ฉันฟังสิ" อาจารย์พูดและส่งยิ้มให้ผมอย่างใจดี และนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ผมตามอาจารย์มา

"อาจารย์ รู้เรื่อง 3 คนนั้น ใช่ไหมครับ" ผมพูดและสีหน้าก็หม่นลงทันที

"หมอนั่นเป็นคนฆ่าสินะ" ผมพยักหน้าช้าๆ เมื่อไหร่ที่ผมนึกถึงความโหดร้ายของซิน ผมก็อยากร้องไห้ทุกที

แต่ผมที่กำลังหมองเศร้านั้นก็นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่พี่ไวลี่พูด พี่ไวลี่ก็ไม่ชอบอาจารย์นาธัสงั้นเหรอ ทำไมกันนะ

"เชือกสีดำที่อาจารย์เคยให้ผม" ผมพูดและจ้องมองอาจารย์

"มันได้ผลดีใช่ไหม" อาจารย์พูดและยิ้มแบบพึงพอใจ

"มันคืออะไรเหรอครับ ทำไมผมถึงไม่รู้ตัวเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ซินแตะต้องมัน" ผมถามอาจารย์ด้วยความไม่เข้าใจ

"มันก็แค่เครื่องรางที่มีพลัง และยิ่งอยู่ในมือของเธอที่มีพลัง มันก็เลยได้ผลดีมาก ก็เท่านั้น" อาจารย์พูดเหมือนมันเป็นสิ่งที่ปกติสามัญทั่วไป แต่ผมกลับไม่รู้สึกดีด้วยเลย

"แต่มันทำให้ซิน..." ผมพูดและทำหน้าเศร้ายิ่งกว่าเดิม

"เธอทำสิ่งที่ควรแล้ว หมอนั่นมันชั่วร้ายมากกว่าเธอจะจินตการได้ อย่าใจอ่อน ไม่อย่างนั้นเธอจะถูกมันหลอกได้อีก" อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และจับไหล่ผมเบาๆ

ผมจ้องมองอาจารย์ สิ่งที่ผมทำมันดีแล้วจริงๆ เหรอ ผมทำร้ายซิน ผมทำให้ซินต้องเจ็บปวด และมันทำให้ผมเจ็บปวดไปด้วย

แต่ผมที่กำลังนึกอะไรไปเรื่อยๆ นั้น ก็นึกขึ้นได้ถึงบางสิ่งที่ผมควรจะถามอาจารย์ มันเป็นเรื่องแปลกมาก เหมือนกับไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยจริงๆ

"อาจารย์ จำหนังสือที่ผมเคยเจอมันได้ไหมครับ" ผมจ้องมองอาจารย์และถามด้วยความสงสัย หนังสือนั่น ผมเจอมันที่พื้น และเก็บมันเอาไว้ จนวันนึงที่ผมตื่นขึ้นและมีเลือดเต็มตัวผมไปหมด และผมเพิ่งได้รู้ว่า เลือดนั้นเป็นของใคร มันคือเลือดของซิน ผมทำร้ายซิน โดยที่ไม่รู้ตัวเลย

"หนังสือเล่มไหนกัน บางทีฉันก็หลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง" ผมมองอาจารย์ที่พูดและขมวดคิ้วสงสัย

"ผมเจอหนังสือเล่มหนึ่ง มันมีอำนาจ เหมือนกับเครื่องรางที่อาจารย์ให้ผม" ผมพูดและจ้องมองอาจารย์ที่กำลังเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ

"มันก็แค่เรื่องบังเอิญ มีหลายๆ สิ่งบนโลกนี้ที่มีพลังอำนาจในตัวเอง และเธอก็แค่ ได้รับมันมาก็เท่านั้น" ผมขมวดคิ้วมุ่น จะบอกว่าผมบังเอิญได้รับมันมาเพื่อทำร้ายซินงั้นเหรอ อะไรมันจะเหมาะเจาะปานนั้น

"อาจารย์..."

"หิวไม่ใช่เหรอ ไปสั่งข้าวมาสิ" ผมที่กำลังจะพูดอะไรออกไปนั้น ก็ถูกอาจารย์ขัดเข้าซะก่อน ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ผมก็นึกมันไม่ออก ผมพลาดอะไรไปหรือเปล่านะ

"ครับ ผมสั่งข้าวให้นะ" ผมพูดบอกอาจารย์และลุกขึ้นจากโต๊ะ จริงๆ แล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะถาม แต่ผมก็คิดอีกทีว่าผมไม่ควรจะพูดออกไป เรื่องสัญลักษณ์ของซินที่อยู่บนตัวผม อาจารย์จะพูดว่ายังไงกันนะถ้ารู้ว่ามันอยู่บนตัวผม และผมไม่อยากให้มันจางหายไป

หลังจากที่กินข้าวเสร็จนั้น ผมก็ขอแยกตัวจากอาจารย์เพื่อไปเรียนต่อ และตอนเย็นผมก็รับปากว่าจะไปช่วยงานอาจารย์ที่ห้องทำงาน ผมนั้นคิดว่าผมจะไปหางานทำต่อหลังจากที่ไปช่วยอาจารย์แล้ว แต่ผมจะไปที่ไหนดีนะ มีที่ไหนที่อยากให้ผมทำงานบ้าง

"ขอโทษนะ ตรงนั้นว่างไหม" ผมที่นั่งจดเลคเชอร์อยู่ในคาบเรียนนั้น ก็ชะงักทันทีที่มีคนกำลังคุยกับผม ผมมองไปรอบๆ และมองผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจ้องมองผมอยู่

"ไม่ว่างครับ" ผมพูดออกไปด้วยใจที่หมองหม่น ผู้หญิงคนนี้ผมไม่คุ้นหน้าเลย เธออาจจะเพิ่งย้ายเข้ามาเรียนเลยไม่รู้ว่าไม่ควรเข้าใกล้ผม ซึ่งนั่นถูกต้องแล้ว ผมไม่อยากให้เธอต้องมีจุดจบเหมือนกับคนอื่นๆ เพราะฉะนั้น ผมต้องปล่อยเธอไป

"แต่ข้างๆ นายก็ว่างไม่ใช่เหรอ จะมีไม่ว่างก็แค่..." ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินแบบนั้น อันที่จริงรอบๆ ตัวผมนั้นว่างทั้งหมด ไม่มีใครกล้ามานั่งกับผมที่นั่งอยู่คนเดียวด้านหลังหรอก

ผมขมวดคิ้วและมองตามสายตาของเธอที่มองเลยไปด้านหลังของผมเหมือนกำลังจ้องมองอะไรบางอย่าง นี่อย่าบอกนะว่า...

ผมหันไปมองด้านหลังของผมทันทีด้วยความสงสัย และก็ต้องสะดุ้งตกใจ โธ่ ผีตัวนั้นอีกแล้ว มันยืนอยู่หลังเก้าอี้ของผมตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

"คุณ เห็นด้วยเหรอ" ผมรีบหันกลับไปมองและพูดกับผูหญิงตรงหน้าด้วยความตกใจ และเธอก็พยักหน้าให้ผมน้อยๆ

"จริงๆ เราคิดว่ามีหลายคนที่เห็นนะ แต่ไม่มีใครอยากถูกคิดว่าผิดปกติไปด้วยน่ะ" เธอพูดและนั่งลงข้างๆ ผม

ผมเหลือบสายตาไปมองคนอื่นๆ ในคลาสที่แอบหันมามองพวกเรา ผมก็เคยคิดแบบเธอนั่นแหละ แต่พวกเขาก็ไม่เคยแสดงตัวว่าเห็น หรือช่วยผมเลยสักคน

"พวกเขาทำถูกแล้ว คนบ้าน่ะ มีแค่ผมคนเดียวก็เกินพอ" ผมพูดและยิ้มอย่างเศร้าๆ

"ชื่อฟ่างนะ" ผมมองฟ่างที่พูดและนั่งลงข้างๆ ผม เธอดูเป็นผู้หญิงปกติ น่ารักดีในระดับหนึ่ง และดูมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

"ผม..."

"ไวท์ ชื่อสมกับตัวเลย" ผมที่ไม่ทันได้บอกเธอก็รู้ซะก่อน

"ผมนี่ดังขนาดไหนกันนะ" ผมพูดเล่นๆ และยิ้มให้เธอ

"สมัยประถม ฟ่างก็เป็นเหมือนกับไวท์ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ไม่มีใครเชื่อ ว่าพวกเราเห็นอะไร" ผมมองฟ่างที่หุบยิ้มและเล่าเรื่องราวของตัวเอง

"ฟ่างเพิ่งย้ายเข้ามาที่นี่กลางเทอม คุณพ่อกับคุณแม่ท่านต้องย้ายงานไปเรื่อยๆ น่ะ พอเข้ามาก็ได้ยินคนพวกนั้นคุยกัน ทุกคนคุยกันถึงเรื่องของไวท์ ฟ่างก็เลย มาหาไวท์" ผมที่ได้ฟังแบบนั้นก็ยิ้มทันที

"ขอบคุณนะ แต่ผมคิดว่าฟ่างอยู่ห่างๆ ผมน่าจะดีกว่าจริงๆ สิ่งที่ฟ่างเจอ กับสิ่งที่ผมเจอ มันต่างกัน" ผมพูดบอกเธอ แค่เธอมีน้ำใจให้ผมก็มากเกินพอแล้ว

"มีอะไรมากกว่าที่เห็นงั้นเหรอ" ฟ่างพูดเบาๆ ถามผมด้วยสีหน้าเป็นกังวล

"ฟ่างเห็นข้างหลังผม ชัดแค่ไหน" ผมพูดและทำมือชี้ไปด้านหลัง

"เป็นเงาดำ ที่มีดวงตาสีแดง แต่ไม่มีจิตมุ่งร้ายใดๆ" ผมที่ได้ฟังแบบนั้นก็เลิกคิ้วน้อยๆ ด้วยความแปลกใจ

"ถูกใช่ไหมล่ะ" ฟ่างพูดและยิ้มให้ผม

"ฟ่างไม่กลัวเหรอ" ผมถามเธอที่กำลังส่ายหน้าไปมา

"พวกมันอ่อนแอกว่าพวกเรา" เธอพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

"แต่ก็มีบางสิ่ง ที่เข้มแข็งกว่าเรามาก" ผมพูดและฟ่างก็ดูสนใจมากๆ

"นี่อย่าบอกนะว่า..." ฟ่างดูจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีมากๆ ผมแทบจะไม่ได้พูดอะไรก็ดูเหมือนเธอจะเข้าใจ

"แค่คิดก็ตัวสั่นแล้ว" ผมพยักหน้าให้เธอที่กำลังทำท่าตัวสั่นจริงๆ

"ฟ่างไม่มีพลังพอจะมองเห็นพวกนั้น ไม่มีใครที่อยากจะเห็นพวกมัน และถ้าได้เห็น ก็ไม่มีใครที่จะมีชีวิตรอด"

"ผมถึงบอกว่า ฟ่างควรออกห่างจากผมซะ" ผมพูดและยิ้มอย่างเศร้าๆ

"ไวท์บูชาพวกนั้นเหรอ" ผมส่ายหน้าทันที ผมไม่เคยคิดจะบูชาซินเลย ไม่ใช่แบบนั้น

"ผมแค่บังเอิญ เจอเขา"

"เขาเป็นยังไงงั้นเหรอ" ฟ่างถามผมด้วยความสนใจ

"ถ้าฟ่างได้เห็น ฟ่างจะไม่เชื่อเลยว่ามีคนที่ดูดีขนาดนี้อยู่ด้วย" ผมพูดและนึกถึงซิน ซินนั้นโดดเด่นกว่าใคร เป็นซาตานที่มีรูปลักษณ์ราวเทพบุตร หรือว่านั่นจะเป็นแค่รูปลักษณ์ที่นายเอาไว้หลอกคนอื่นกันนะ

"เขาเคยดีกับผมมาก ผมที่ไม่มีใคร มีแต่ซิน ที่อยู่ข้างๆ ผม" ผมพูดและเริ่มรู้สึกว่า ผมไม่ควรพูดอะไรมากกว่านี้

"เพิ่งรู้นะว่ามีแบบที่ใจดีแบบนี้ด้วย สนิทกันมากเลยเหรอ" ผมมองฟ่างที่กำลังยิ้มและดูสนใจเต็มที่

"คือ ไม่ได้ใจดีอะไรหรอก ขอโทษนะ ผมไม่ค่อยได้คุยกับใคร เลยอาจจะพูดมากไปหน่อย" ผมพูดและคิดว่าผมไม่น่าพูดเรื่องของซินเลย

"ไม่เลย ฟ่างชอบเรื่องพวกนี้ ฟ่างอยากเห็นจัง เขาไม่น่ากลัวใช่ไหม บอกให้เขาปรากฎตัวได้หรือเปล่า" ฟ่างพูดและทำสีหน้าตื่นเต้น

"อย่าดีกว่า ผมไม่อยาก...เจอเขา" ผมพูดด้วยสีหน้าหมองเศร้า เมื่อไหร่ที่คิดถึงซิน ผมก็มักจะเจ็บปวดในหัวใจเสมอ ผมอยากจะลืม ลืมทุกอย่างระหว่างเรา

หลังเรียนเลิกเรียนนั้น ผมบอกฟ่างที่เดินตามผมว่ามีธุระและขอแยกตัวออกมา ผมรู้สึกดีใจจริงๆ ที่ฟ่างเข้ามาคุยกับผม แต่ก็คงเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ผมไม่อยากจะต้องเสียใครไปอีกแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว

ผมเดินไปตามทางเดินในมหา'ลัยไปสู่เส้นทางที่ผมคุ้นชิน ตึกห้องสมุดเก่านั้นตอนนี้ก็ยังดูลึกลับเหลือเกินจนผมคิดว่ามันอาจจะไม่มีอยู่จริง ผมทั้งชอบและกลัวบรรยากาศรอบๆ ตัวของผมตอนนี้ หมู่ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งสูงสองฝั่งทางเดิน กิ่งก้านของมันกำลังปริวพริ้วไหวน้อยๆ ตามแรงลม มันช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนขนลุกซะจริง

ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ผมรับปากอาจารย์ไว้ ว่าผมจะมาช่วยงานอาจารย์ในตอนเย็น ซึ่งป่านนี้ก็น่าจะรอผมอยู่ที่ห้องแล้ว ผมควรเร่งฝีเท้ามากขึ้นอีก

"อย่าเข้าไป"

แต่ผมที่กำลังรีบเร่งเดินนั้นก็ต้องชะงักเท้าทันที ผมหันมองรอบๆ ตัวและเงี่ยหูฟังเสียงอะไรบางอย่าง มันเป็นเสียงที่แผ่วเบาราวเสียงกระซิบที่ลอยมาตามสายลม

"ใครน่ะ" ผมยังคงหันมองรอบๆ ตัวอย่างหวาดหวั่น เอาอีกแล้ว ทำไมถึงมีอะไรแปลกๆ ทุกทีที่ผมมาที่นี่

ผมเดินต่อไป และมองรอบๆ ตัวไปด้วยอย่างตื่นตระหนก ผมเริ่มเดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าผมจะเดินต่อไปไกลแค่ไหน สิ่งต่างๆ รอบตัวของผมมันกลับยังคงเป็นเช่นเดิม เป็นทางเดินที่ทอดยาวและมีต้นไม้ปกคลุมจนมืดครึ้ม ทางเดินที่ผมกำลังเดินอยู่นี้ เหมือนกับมันไร้ที่สิ้นสุดใดๆ

ผมเริ่มหัวใจเต้นรัวด้วยความกลัว ที่นี่มันอะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้น ลมที่พัดโชยอ่อนในตอนแรกนั้น บัดนี้กลับเริ่มแรงขึ้นและท้องฟ้าที่เคยสว่างก็กลับมืดลงฉับพลัน ผมเริ่มใช้มือป้องสายตาบังลมพายุนั้นไว้ และเพ่งมองทางเดินด้วยหัวใจที่สั่นกลัว ทำไมทุกเรื่องที่แสนเลวร้ายต้องเกิดขึ้นกับผม ทำไมถึงต้องเป็นผม ทำไมผมจะต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องพวกนี้ พอสักทีได้ไหม

ผมคิดและเริ่มกัดฟันเดินลุยเข้าไปตามทางเดินต่อไป มันจะต้องมีทางออก ใครก็ได้ ช่วยผมที ช่วยนำทางผมออกไปที

และผมที่หรี่ตาเดินฝ่าแรงลมพายุนั้น ก็เริ่มมองเห็นอะไรบางสิ่งอยู่ข้างหน้า ผมมองเงาดำที่ยืนอยู่ไม่ไกลไม่ไกลจากตัวผม มันกำลังยืนอยู่และจ้องมองมาที่ผมเหมือนที่ชอบทำ

"ทางนี้" ผมมองมันที่กำลังเรียกผม ไอหมอกควันสีดำนั้นกำลังพัดแรงและไร้ทิศทาง แต่ก็ยังคงอยู่ในสภาพเช่นเดิมราวกับฝืนไว้

ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ออกวิ่งไปหาสิ่งนั้นทันที ในตอนนี้ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่นำทางผม และราวกับคอยช่วยผมเสมอมา

ผมคิดและวิ่งออกไปยื่นมือไปหาเงาสีดำนั้น และทุกอย่างก็วูบไหวและดับลงฉับพลัน

"ไวท์ลูก ยืนทำอะไรตรงนั้น" ผมสะดุ้งน้อยๆ ทันทีที่ลืมตาขึ้นและพบว่าภาพตรงหน้าคือภาพที่ผมคุ้นเคย นี่ผมมาที่นี่ได้ยังไงกันนะ เมื่อกี้ผมยัง...

"อ่อ ครับ คือผมเพิ่งกลับมา" ผมพูดและยิ้มให้คุณยายพลางเหลือบตามองเจ้าผีตัวนั้นที่ยังคงยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวผม นายเป็นคนพาผมกลับมาสินะ

แต่ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกัน ผมไม่เข้าใจเลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:32:03 โดย Gloomy Sunday »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อย่าว่าแต่ไวท์เลย   ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจ

เมื่อไรหนอจะเข้าใจ?  สรุปใครดีใครร้าย?

แต่.....เป็นไปได้ว่า  "เทา ๆ"  ทั้งนั้น

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตกลงอะไรที่ดีกับไวท์จริงๆ อาจารย์  ซิน ผีตัวนั้น หรือจะเป็นฟ่าง เพื่อนคนใหม่ เดาไม่ออกเลยแฮะ  :hao4:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 28 เปลวเทียนดวงสุดท้าย


หลังจากที่หายตัวกลับมานั้น ผมพยายามหลายครั้งที่จะสื่อสารกับผีที่คอยติดตามผม แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ เช่นเดิม ผมไม่เข้าใจ นี่เป็นเวทมนต์งั้นเหรอ มันเหลือเชื่อมากที่ผมกลับมาที่นี่ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ ผมยังยืนอยู่ที่มหา'ลัยอยู่เลย

ผมจ้องมองผีตัวนั้น และมันก็เหมือนกับกำลังจ้องมองผมอยู่เช่นกัน จ้องมองดูผม ว่าผมกำลังทำอะไร แต่ก็มีบางช่วงที่ผมไม่เห็นตัวมันเหมือนกัน อย่างเช่นตอนที่ซินปรากฎตัว และตอนที่ผมอยู่กับอาจารย์นาธัส

Rrrr Rrrr

แต่ผมที่กำลังนั่งจ้องตากับผีนั้นก็สะดุ้งทันทีที่มีโทรศัพท์ดังขึ้น ยังมีคนโทรหาผมด้วยเหรอ เบอร์แปลกๆ อีกแล้ว

"ฮัลโหล" ผมรับสายและแนบหูลงรอฟังเสียงด้วยความสงสัย

"วันนี้ไม่ว่างเข้ามาใช่ไหม" ผมขมวดคิ้วน้อยๆ ฟังเสียงทุ้มต่ำนั้นและก็นึกออกทันทีว่าใคร

"อาจารย์ ผมขอโทษครับ พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย" ผมรีบพูดขอโทษอาจารย์ เพราะอยู่ดีๆ ผมก็หายไปอีกแบบนี้เกรงใจอาจารย์จัง

"เดี๋ยวผมจะหาเวลาเข้าไปอีกครับ ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ" ผมรีบพูดต่อ แต่อาจารย์ก็เงียบเสียงไปพักใหญ่ๆ นี่กำลังไม่พอใจผมหรือเปล่านะ

"ไม่เป็นไร พักผ่อนเถอะ" อาจารย์พูดและตัดสายไป ผมถอนหายใจยาวเหยียด ผมรู้สึกแย่อีกแล้ว พรุ่งนี้ผมควรจะเข้าไปหาอาจารย์ดีหรือเปล่านะ แต่ผมก็เริ่มกลัวเหลือเกินที่จะเข้าไป กลัวว่าจะมีอะไรแปลกๆ เหมือนวันนี้อีก

ก็อกๆๆ

ผมที่เพิ่งวางสายจากอาจารย์นั้นก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งทันที ผมมองประตูห้องนอนของผมที่มีเสียงเคาะดังขึ้น อาจจะเป็นคุณยาย หรือเปล่านะ

ผมมองผีที่ยืนอยู่ที่มุมห้อง มันไม่ได้หายไปและกำลังจ้องมองผมอยู่ คงไม่ใช่พวกแปลกๆ หรอกมั้งแบบนี้

ผมคิดและลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้อง ประสบการณ์ชีวิตของผมนั้น ทำให้ผมค่อนข้างระวังตัวและหวาดระแวงทุกๆ อย่างอยู่เสมอ หวังว่าจะไม่มีเรื่องแปลกๆ อีกนะ

ผมคิด และตัดสินใจเปิดประตูออกไป และผมก็ต้องชะงักทันทีที่เห็นคนสองคนยืนอยู่ เป็นคุณตำรวจที่ใส่ชุดเต็มยศตั้งแต่หัวจรดเท้า

"ขอโทษนะครับ ขออนุญาตสอบถามข้อมูลนิดหน่อย" คุณตำรวจหนุ่มคนหนึ่งถอดหมวกออกและถามผมด้วยความสุภาพ

"ค.ครับ" ผมพยายามยิ้มออกมาและทำตัวให้เป็นธรรมชาติ ผมนั้นไม่ได้เป็นคนฆ่าทั้งสามคนนั่นก็จริง แต่ก็พูดไม่ได้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ ผมควรจะพูดอะไรดี

"น้องรู้ข่าวใช่ไหม เรื่องเพื่อนน้อง" ผมพยักหน้าช้าๆ

"มีคนให้การว่าทั้งสามคนสนิทกับเรา พอจะรู้อะไรบ้างไหม"

"พวกเราไม่ได้สนิทกันครับ แต่ก็เคยคุยกันบ้าง" ผมพูดความจริง สามคนนั่นคอยแต่จะแกล้งผม แบบนั้นจะเรียกว่าสนิทได้ยังไง

"ขอเข้าไปได้ไหม" คุณตำรวจอีกคนหนึ่งพูดขึ้น และเดินเข้ามาโดยที่ผมยังไม่ได้บอกอะไร

"อยู่คนเดียวเหรอ" ผมเหลือบตามองผีตัวนั้นที่ยังคงยืนอยู่ แบบนี้จะเรียกคนเดียวได้ไหมนะ

"ครับ คุณยายอยู่ข้างล่าง" ผมพูดและมองดูคุณตำรวจที่สำรวจรอบห้องเล็กๆ ของผม

"มีแฟนหรือยังเรา หล่อนะ" คุณตำรวจที่ดูหนุ่มๆ ถามผมและยิ้มให้ผม

"ไม่มีหรอกครับ ขอบคุณครับ" ผมพูดและยิ้มแหยๆ ผมก็ได้แค่นี้แหละ หล่อเสียของใช่ไหมล่ะ

ผมมองคุณตำรวจที่เดินรอบๆ อีกครั้งและแอบกระซิบคุยกัน ผมว่าตัวผมคงจะไม่ถูกสงสัยใช่ไหม ผมตัวคนเดียวกับผู้ชายตัวใหญ่กว่าผมสามคน ห้องผมก็ไม่มีร่องรอยอะไร ตัวผมก็เช่นกัน ผมคงจะไม่ถูกจับหรอกใช่ไหม หรือผมควรบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นดี

"คดีที่คลับนั่น เด็กนี่ก็อยู่ด้วย"

ผมหัวใจเต้นรัวทันที ผมมองคุณตำรวจที่กำลังคุยกันเบาๆ และเหลือบสายตามองผม มันก็น่าสงสัยจริงๆ ใช่ไหม เป็นผมก็คงสงสัยล่ะนะ

"เดี๋ยวไปคุยกับคุณยายข้างล่างก่อน" ผมมองคุณตำรวจคนหนึ่งเดินออกไปจากห้อง แต่ก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่ยังคงยืนอยู่และจ้องมองผมเงียบๆ แบบแปลกๆ

"เล่นยาหรือเปล่า" ผมสะดุ้งทันทีที่อยู่ดีๆ คุณตำรวจก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป และเดินสาวเท้าเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว

"ผมไม่ได้เล่นครับ" ผมพูดและหลบมือของตำรวจนั้นทันที

"อยู่นิ่งๆ" ผมหยุดนิ่งทันทีและถอยหลังไปชิดผนัง ผมมองคุณตำรวจที่เดินเข้ามาชิดตัวผมและคลำไปทั่วตัวผมแบบแปลกๆ ผมไม่ชอบเลย รู้สึกไม่ดีเลย

แกร่กๆ

เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้มือของคุณตำรวจชะงักไป ผมมองข้ามไหล่ของคนตรงหน้า และแอบส่ายหัวช้าๆ เพื่อส่งสัญญาณไปด้านหลัง ผีตัวนั้นมันเอาอีกแล้ว มันกำลังยืนถือแจกันเล็กๆ ของผมในมือ และจ้องมองมาด้วยสีหน้านิ่งๆ ที่ดูน่ากลัว

อย่า

ผมพยายามส่งสายตาบอกว่าไม่ เพราะถ้าหากมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นละก็ ผมก็จะยิ่งถูกสงสัยหนักขึ้นไปอีก

เพล้ง!

"อะไรวะ" ผมมองคุณตำรวจที่หันไปมองหน้าต่างของผมที่ตอนนี้กระจกแตกเป็นรูโหว่ ผมแอบถอนหายใจเล็กๆ ดีนะที่มันปาแจกันนั้นออกไป ไม่ใช่ปามาที่หัวตำรวจนี่

คุณตำรวจนั่นหันกลับมามองผมด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปมและเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปข้างล่างด้วยความแปลกใจและรีบเดินออกไปจากห้องในเวลาต่อมา

"ขอบใจนะ" ผมพูดกับเงาดำในห้องและนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่เอาแล้วนะอะไรแบบนี้ หัวใจจะวายเอา

หลังจากที่คุณตำรวจกลับไปแล้ว ผมก็ลงมาช่วยคุณยายปิดร้านเหมือนทุกที และถามคุณยายถึงเรื่องตำรวจพวกนั้น คุณยายก็บอกแค่ว่า เขามาถามอะไรทั่วๆ ไป ซึ่งคุณยายก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่ได้รู้จักสามคนนั้นมาก เพียงแค่เคยให้ขนมตอนที่เจอกันไม่กี่ครั้งเท่านั้น

"ขอโทษนะครับคุณยาย" ผมพูดขึ้นหลังจากที่ปิดร้านเสร็จและเดินมานั่งลงข้างๆ คุณยายและกอดแขนท่านเอาไว้

"ชอบพูดแบบนี้อยู่เรื่อย ขอโทษยายบ่อยไปแล้วนะ" คุณยายพูดและหัวเราะเบาๆ ประสาคนแก่

"ผมมีแต่จะทำให้คุณยายเดือดร้อน" ผมพูดและมองคุณยายที่ค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง

"ไวท์ไม่เคยทำแบบนั้นลูก อย่าคิดแบบนั้นเลย" ผมเดินตามคุณยายไปที่หลังบ้านและมองคุณยายที่เปิดหม้อข้าวที่กำลังอุ่นเอาไว้

"กินข้าวเป็นเพื่อนยายหน่อยนะ ไวท์ไม่ได้กินข้าวกับยายนานแล้ว" คุณยายพูดและยื่นจานให้ผม ซึ่งผมก็รีบช่วยยกรับมา

"ขอบคุณครับ ผมคิดถึงกับข้าวฝีมือคุณยายอยู่พอดี" ผมพูดและช่วยคุณยายเตรียมหม้อถ้วยชามอาหาร และพาคุณยายไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆ หน้าบ้าน

"เดี๋ยวถ้าผมได้งานแล้ว ผมจะซื้อของอร่อยมาฝากคุณยายนะครับ" ผมพูดและช่วยตักข้าวให้คุณยาย จริงๆ ที่ผมไม่ค่อยทานข้าวกับคุณยายนั้นเพราะว่าผมเกรงใจท่านต่างหาก ผมไม่อยากให้ท่านมีภาระต้องหาข้าวให้ผมแทนที่จะเก็บไว้กินเองคนเดียวได้หลายๆ มื้อ

"ขยันๆ ไม่อดตายหรอกลูก ถ้าเหนื่อยก็มาหายาย ที่นี่เป็นบ้านของไวท์ ไม่ต้องเกรงใจ" ผมยิ้มให้คุณยาย ตั้งแต่ที่ผมได้พบคุณยาย ชีวิตของผมก็เหมือนกับได้ที่พักพิง พระคุณอันเหลือล้นนี้ ผมไม่รู้ว่าจะตอบแทนทั้งหมดได้ยังไง

"ขอบคุณครับ ถ้าไม่มีคุณยาย ผมก็ไม่รู้ว่าชีวิตของผมจะเป็นยังไง" ผมพูดจากใจจริง ผมนั้นเป็นเด็กกำพร้าที่เหมือนกับไร้ตัวตนมาตั้งแต่เล็กๆ ชีวิตของผมนั้นไม่เคยมีใครเลย ไม่มีคนรักหรืออยากดูแลผม เป็นตัวซวยที่ใครๆ ก็อยากขับไล่ออกไป ครอบครัวนั้นเป็นยังไง เพื่อน ความรัก สิ่งเหล่านั้นเหมือนไม่ได้เกิดมาเพื่อคนอย่างผม คนแปลกประหลาดแบบผม คนที่ถูกสาป ถูกทำให้เหมือน ตายทั้งเป็น

"ถึงไม่มียาย ไวท์ก็จะได้พบที่ของไวท์ เชื่อยายสิ มันแค่ยังไม่ถึงเวลา" ผมมองคุณยายที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ผมจะรอวันนั้นครับ วันที่คงไม่มีวันเป็นจริง

หลังจากทานข้าวและช่วยคุณยายเก็บกวาด ผมก็กลับขึ้นมาที่ห้องและทิ้งตัวลงนอนด้วยรอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้า ชีวิตถึงแสนจะมืดมน แต่เปลวเทียนดวงเล็กๆ ตรงนี้ ก็ยังคงสว่างและไม่มอดดับไป ชีวิตผมยังต้องดำเนินไปอีกไกล แค่มีที่ให้กลับมา แค่นี้ก็ดีเกินพอแล้ว

ในรุ่งเช้าของวันถัดมา ผมก็ยังคงไปที่มหา'ลัยเหมือนทุกๆ วัน แต่วันนี้นั้นโชคดีเหลือเกินที่อาจารย์ยกเลิกคลาสเรียน ผมคิดและลังเลในใจขณะที่ก้าวเดินไปมาอยู่หน้าคณะ ผมควรจะไปหาอาจารย์นาธัส ผมต้องไปบอกขอโทษอาจารย์เรื่องเมื่อวาน แต่ผมในตอนนี้ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกำลังกลัวที่จะเดินไปที่ตึกห้องสมุดนั้น

"จ๊ะเอ๋ ไวท์" แต่ผมที่เดินไปมาอยู่นั้นก็สะดุ้งทันทีที่โดนจี้เข้าที่เอว และจะมีใครอีกที่ทำแบบนี้

"ฟ่าง ตกใจหมดเลย" ผมพูดและจ้องมองฟ่างที่ส่งยิ้มหวาน

"วันนี้ไม่ให้หนีหรอก อยากคุยด้วยอ่ะ" ฟ่างพูดและยืนดักหน้าผม

"ผมขอเถอะ ที่พูดเพราะว่า..."

"ขอบคุณมากเลยยยยย ที่เป็นห่วง" ฟ่างพูดดักผมและไม่ยอมให้ผมเดินหนีไป

"นี่ นายน่ะ เจ้านายใจร้ายจังเลยนะ" ผมขมวดคิ้วน้อยๆ ทันทีที่ฟ่างพูดต่อ ฟ่างนั้นเหมือนไม่ได้พูดกับผม แต่กำลังพูดกับด้านหลังของผม

และทันทีที่ผมหันไปนั้นก็เหมือนเดิม ผีตัวเดิมๆ ที่ผมพยายามคุยด้วยอยู่ทุกวัน

"ไม่ใช่เจ้านาย ไม่รู้จักกัน" ผมพูดและถอนหายใจน้อยๆ

"อ้าว ก็เห็นตามตลอดเลยนะ" ฟ่างพูดและขมวดคิ้วสงสัย

"ไม่รู้เหมือนกัน เพราะมันไม่ยอมพูดกับผม" ผมพูดและนั่งลงที่ที่นั่งใกล้ๆ

"เหรอๆ ถ้างั้น...ขอมือหน่อยสิ" ฟ่างเดินตามมานั่งข้างๆ ผมและยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้

"ทำอะไรเหรอ" ผมถามฟ่างที่กำลังยิ้ม

"เป็นความสามารถเฉพาะตัว หึหึ" ฟ่างพูดและหลับตาลงทันที

ผมมองฟ่าง ฟ่างนั้นดูเป็นผู้หญิงปกติและเป็นมิตรเหลือเกิน ถ้าเราได้เป็นเพื่อนกันก็คงจะดี ผมอยากเป็นเพื่อนกับเธอ แต่ผมทำไม่ได้ ผมไม่อยากเห็นร่างของเธอที่ไร้ลมหายใจ แค่คิด ก็ทำให้ผมเจ็บปวดแล้ว

"ปก...ป้อง...คำสั่ง" ผมที่จ้องมองฟ่างอยู่นั้นก็ต้องสะดุ้งทันที ฟ่างที่หลับตานิ่งในตอนแรก อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่เปลี่ยนไปพลางค่อยๆ ลืมตาขึ้น และเหลือกมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ดวงตาของฟ่างนั้นกลับเป็นสีดำและดูน่ากลัวจนผมได้แต่ชะงักและถอยหลังออกไป

"ฟ.ฟ่าง" ผมเรียกฟ่างที่ยังคงเหลือกตามองไปด้านบน ผมมองฟ่างและมองไอสีขาวที่ค่อยๆ ลอยออกมาจากตัวเธอ และไอนั้นก็รวมเป็นบางสิ่งที่อยู่เหนือหัวของเธอ มันเริ่มเป็นรูปร่างและทำให้ผมแทบหยุดหายใจ

"เฮ้อออ มองไม่เห็นเลยอ่ะ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ" ผมที่กำลังชะงักจ้องมองสิ่งตรงหน้านั้น ฟ่างก็กลับมาเป็นปกติและส่งยิ้มให้ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"ตกใจใช่ไหม ฟ่างไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ฟ่างมองเห็นอะไรบางอย่างเวลาทำแบบนี้น่ะ ดูดวงแม่นมาก" ฟ่างพูดและยิ้มให้ผมแบบอวดๆ

"ฟ่างมี พี่น้องฝาแฝด อะไรแบบนี้หรือเปล่า" ผมพูดเบาๆ ด้วยความไม่แน่ใจ และจ้องมองฟ่างที่ใบหน้าเริ่มหุบยิ้มลงทันที ด้วยแววตาสั่นระริก

"ว่ายังไงนะ" สีหน้าของฟ่างนั้นดูสับสนและร้อนรน หยาดน้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาช้าๆ พลางจับแขนของผมไว้แน่น

"เห็นเหรอ อยู่ไหน อยู่ที่ไหน บอกที" ฟ่างเขย่าตัวผมและเริ่มร้องไห้ออกมา ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งนี้คงทำให้ฟ่างเสียใจมาก

"เธอไม่เคยไปไหนจากฟ่างเลย" ผมพูดและมองฟ่างที่ทำท่าเหมือนกับกำลังหมดแรง

"แต่พี่ไม่เคยมาเลย ไม่ว่าฟ่างจะเรียกหาแค่ไหน" ฟ่างพูดราวกับพูดอยู่กับตัวเองและยังคงน้ำตาไหลออกมา ผมจับไหล่ฟ่างไว้และบีบเบาๆ อย่างปลอบประโลม

"อาจมีเหตุผลอะไรสักอย่าง แต่พี่ของฟ่างเขาดูมีความสุขดีนะ" ผมพูดบอกฟ่าง ผมนั้นได้เห็นวิญญาณฝาแฝดของฟ่าง ตอนที่เธอกำลังใช้พลังของตัวเอง เธอคงไม่รู้ว่าพลังเหล่านั้นมาจากไหน ที่จริงแล้ว เป็นเพราะพี่สาวของฟ่างที่เป็นคนบอกเธอ ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่น่าอิจฉาจริงๆ

"ขอบคุณมากไวท์ ดีใจจริงๆ ที่เจอไวท์" ฟ่างพูดเบาๆ และยิ้มให้ผมทั้งน้ำตา

"พี่ฟางช่วยฟ่างเอาไว้เมื่อ 2 ปีก่อน" ฟ่างเช็ดน้ำตาและเริ่มพูดเล่าเรื่องของตัวเอง

"เป็นเพราะฟ่าง พี่ฟางถึงต้องตาย พี่จมน้ำตายต่อหน้าฟ่าง" ฟ่างพูดและเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

"ฟ่างพยายามเรียกหาพี่ แต่พี่ก็ไม่เคยปรากฎตัวเลย ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งๆ ที่ฟ่างก็มองเห็นวิญญาณได้" ฟ่างพูดอย่างไม่เข้าใจ

"ผมก็ไม่ค่อยรู้หรอก แต่เห็นตอนฟ่างกำลังจับมือผม ผมเห็นเขาออกมาอยู่ข้างๆ ฟ่าง" ผมพูดตามที่เห็นและตอนนี้ผมก็ไม่เห็นพี่สาวของฟ่างแล้ว

"แบบนี้นี่เอง" ฟ่างพูดกับตัวเองและยิ้มน้อยๆ

"ยังไงก็ขอบคุณนะ ถ้าไม่ได้เจอไวท์ ป่านนี้ฟ่างก็คงไม่รู้" ฟ่างพูดและส่งยิ้มให้ผม

"คนที่เป็นแบบไวท์ จะมีสักกี่คนกันนะ เป็นคนที่พิเศษจริงๆ" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกไม่ดีทันที เพราะมีคนเคยบอกผมเอาไว้แบบนั้นเหมือนกัน บอกว่าผมเป็นคนพิเศษ

"ผมไม่ใช่คนพิเศษอะไรหรอก อย่าพูดแบบนั้นเลย" ผมพูดและยิ้มอย่างเศร้าๆ

"อ่อ แล้วก็ คนที่เห็นแบบผมน่ะ ยังมีนะ" ผมบอกฟ่าง ผมนึกถึงอาจารย์นาธัส อาจารย์นั้นมองเห็นทุกสิ่งเหมือนกัน ผมคิดว่าใช่แน่ๆ

"จริงเหรอ ใครกัน" ฟ่างในตอนนี้นั้นกำลังทำสีหน้าอยากรู้เต็มที่ และเลิกร้องไห้แล้ว ผมค่อยรู้สึกสบายใจหน่อย

"อาจารย์..."

แต่ผมที่กำลังจะพูดออกไปนั้นสายตาก็บังเอิญเห็นอาจารย์ที่กำลังเดินมาพอดี ผมรีบลุกขึ้นและเตรียมทักอาจารย์ที่เดินอยู่ไกลๆ

"อะไรเหรอ คนที่บอกเหรอ" ฟ่างที่เห็นผมยืนนั้นก็ลุกขึ้นตามทันที

"ใช่ นั่นไง อาจารย์นาธัส" ผมพูดและยังคงมองอาจารย์ที่เดินใกล้เข้ามา

ฟ่างที่อยู่ข้างๆ ผมนั้นก็หันมองตามผมด้วยความสนใจทันที

"ไหนอ่ะ ไม่เห็นใครเลย" ผมขมวดคิ้วน้อยๆ และมองฟ่างที่กำลังชะเง้อคอมองไปด้านหน้าเหมือนกับไม่เห็นอาจารย์ที่เดินอยู่จริงๆ

"ล้อเล่นใช่ไหม" ผมพูดและมองฟ่างที่ยังคงพยายามมองหาอยู่

"ทำอะไรกันเหรอ" ผมหันไปที่ต้นตอของเสียงทันที อาจารย์นาธัสนั้นเดินมายืนอยู่ตรงหน้าผม และฟ่างด้วยสีหน้าเรียบๆ แบบเก่า ผมเหลือบมองฟ่างที่ตอนนี้กำลังมองอาจารย์อยู่เช่นกัน แต่ก็เป็นสีหน้าที่แสดงออกว่าประหลาดใจเหลือเกิน

"อาจารย์...เดินมาจากทางไหนกัน" ฟ่างพูดและขมวดคิ้วน้อยๆ จ้องมองอาจารย์ด้วยความแปลกใจ

"ก็เดินมาเห็นๆ อยู่" ผมพูดและคิดว่าฟ่างคงจะแกล้งผมแน่ๆ

"เธอคงต้องไปตัดแว่น" อาจารย์พูดและมองฟ่างอย่างพินิจพิจารณา คงเพราะไม่เคยเห็นสินะ

"คือ ฟ่างเขาเพิ่งย้ายมาน่ะครับ อาจารย์คงไม่เคยเห็น" ผมพูดและมองฟ่างเป็นเชิงให้แนะนำตัว

"ชื่อฟ่างค่ะ ไวท์เล่าเรื่องของอาจารย์ให้ฟังอยู่พอดี" ฟ่างพูดและยิ้มแหยๆ ให้อาจารย์

"งั้นเหรอ เรื่องดีๆ ใช่ไหม" อาจารย์พูดและเปลี่ยนมามองผม

"ก็ต้องเรื่องดีๆ สิครับ มีเรื่องที่อาจารย์ไม่ดีที่ไหนกัน" ผมรีบพูดก่อนที่อาจารย์จะเข้าใจผิด

"หล่อเนอะ"

ฟ่างที่อยู่ข้างๆ ผมนั้นไม่ได้เกรงใจอาจารย์เลยสักนิด และกำลังป้องปากกระซิบข้างๆ หูผมอยู่ ให้ตายสิ

"อยากไปกินข้าวกันไหม" อาจารย์พูดถามผมและทำเป็นไม่สนใจฟ่าง

"คือ เมื่อวานอาจารย์ก็เลี้ยงผมแล้ว" ผมพูดแบบเกรงใจ

"วันนี้ไวท์จะอยู่กับหนูค่ะ" ฟ่างพูดและรีบกอดแขนผมอย่างรวดเร็วจนผมได้แต่ยืนงง

"เหรอ แต่เธอคงได้ยินเรื่องไวท์มาแล้วใช่ไหม และไวท์ เธอควรจะเตือนเพื่อนบ้างนะ คงไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนเจใช่ไหม" ผมชะงักจ้องมองอาจารย์ทันที ผมมองอาจารย์ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาและดูอารมณ์เสียหน่อยๆ ผมรู้สึกไม่ดีเลย ทำไมถึงพูดแบบนั้น อาจารย์ดูแปลกไปหรือเปล่านะ

"ครับ ผมเข้าใจดี" ผมพูดและทำหน้าหมองเศร้า

"หนูไม่กลัวหรอกค่ะ พี่ของหนูคอยปกป้องหนูอยู่" ผมมองฟ่างที่อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ และมันทำให้ผมเริ่มยิ้มได้

"งั้นเหรอ ก็ดี" อาจารย์พูดและยิ้มน้อยๆ

"งั้นฉันไปก่อนนะ มีอะไรก็โทรมาละกัน" อาจารย์พูดกับผมพลางจ้องมองฟ่าง และเดินจากไป

"วิญญาณชั้นต่ำ"

ผมมองตามหลังอาจารย์ที่เดินจากไป และได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ชัดนัก ทำไมอาจารย์ถึงดูอารมณ์เสียกันนะ ผมทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า

"ไวท์" ผมมองฟ่างที่กำลังทำสีหน้าแปลกๆ และจ้องมองผม

"อาจารย์นั่น คนแน่เหรอ" ผมตกใจทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

"คนสิฟ่าง อาจารย์ช่วยผมหลายอย่าง แถมหลายๆ คนก็มองเห็นนะ" ผมพูดและเริ่มไม่มั่นใจในความคิดของตัวเอง เพราะว่าซินนั้นก็ไม่ใช่คน แต่ทุกคนก็มองเห็นซินได้เช่นกัน มันยังไงกันแน่นะ

"ในหัวฟ่างตอนมองหน้าอาจารย์นั่น มันเหมือนกับจะระเบิดออกมา ข้างในตัวฟ่าง เหมือนกำลังปั่นป่วน บางทีพี่อาจจะอยากบอกอะไร" ฟ่างพูดและกำเสื้อตัวเองไว้

"แต่เขาคอยช่วยผม..." ผมพูดอย่างไม่แน่ใจ และพยายามนึกถึงสิ่งต่างๆ ระหว่างผมกับอาจารย์

"ก็หวังแบบนั้นนะ แต่ดูน่ากลัวยังไงไม่รู้ ขนลุกไปหมด" ฟ่างพูดและลูบแขนตัวเองไปมา

"แต่เมื่อกี้ฟ่างยังบอกว่าหล่ออยู่เลยนี่" ผมพูดและไม่เข้าใจฟ่างจริงๆ

"ก็หล่อจริงๆ แต่น่ากลัวไง" ฟ่างพูดและยิ้มเจ้าเล่ห์

"แล้วที่ฟ่างบอกว่าพี่ของฟ่างอาจอยากบอกอะไร" ผมนึกขึ้นได้ ผมว่านั่นเป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่การพูดกับวิญญาณนั้น ผมก็ไม่ชินสักที

"ใช่ๆ ลองกันไหม แล้วถามพี่ฟางด้วยว่าเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ถามให้ฟ่างหน่อย" ฟ่างพูดและเขย่าตัวผมไปมา

"จริงๆ ผมกลัวนะ ฟ่างน่ากลัวมากเลยเวลาทำแบบนั้น" ผมนึกถึงฟ่างตอนที่เอ่อ เหมือนกำลังเข้าทรง มันน่ากลัวสุดๆ ไปเลย

"เหรอ ขอโทษนะ แต่ฟ่างอยากรู้จริงๆ อ่า" ฟ่างพูดและดึงผมให้นั่งลง

"ตรงนี้เลยเหรอ ไม่เอาดีกว่าคนเยอะ" ผมพูดและลุกขึ้นทันที

"โธ่ น้าๆ แปบเดียวเอง เดี๋ยวเลี้ยงชาบูชุดใหญ่เลย นะๆ" ฟ่างพูดและพยายามดึงผมให้นั่งลงตามเดิม ผมไม่ได้เห็นแก่กินซะหน่อย จริงๆ นะ

ผมเหลือบมองคนที่เดินผ่านไปมา และนั่งลงอีกครั้ง ผมมองฟ่างที่ยิ้มและจับมือผม เอาล่ะ กล้าๆ ไว้ มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น

ผมมองฟ่างที่ค่อยๆ หลับตาลงด้วยหัวใจที่เต้นรัว ดีจังเลยนะความสามารถแบบนี้ แถมฟ่างยังดูภูมิใจในตัวเองสุดๆ ถ้าผมกล้าพูดกับพี่สาวฟ่าง ต่อไปผมอาจจะกลัวผีน้อยลงก็ได้

แต่ผมที่นั่งรออยู่สักพัก ก็เริ่มรู้สึกว่าทำไมคราวนี้ถึงนานกว่าครั้งก่อน ฟ่างยังคงหลับตานิ่ง ไม่ได้ลืมตา ไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

"ทำไมกันนะ" ผมมองฟ่างที่ขมวดคิ้วและลืมตาขึ้นช้าๆ

"มีอะไรเหรอ"

"อยู่ๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะอะไรกัน" ฟ่างดูงุนงงสับสนและไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

"ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยเหรอ" ผมถามฟ่าง

"ไม่เลย พี่ฟางเป็นอะไรไปนะ"

"ไม่เป็นไร รอเวลาอีกสักพักค่อยลองใหม่ก็ได้" ผมพูดบอกฟ่างให้สบายใจ

"อาจจะเหนื่อยละมั้ง" ฟ่างพูดอย่างไม่แน่ใจ และยังคงขมวดคิ้วอยู่

"เราไปที่อื่นกันดีไหม นี่ก็จะเที่ยงแล้ว" ผมลองชวนฟ่าง

"อื้อ ไปกินข้าวกัน" ฟ่างดูคลายความกังวลมากขึ้น และดึงผมออกเดินไปจากตรงนั้น

แต่พวกเราทั้งสองคนก็ไม่ได้รับรู้เลยว่า ยังมีคนอีกคนที่ยังไม่ได้ไปไหนและกำลังจ้องมองกดดันเหล่าวิญญาณทั้งหลาย

ไม่ให้ได้โผล่ออกมาในระยะเวลานั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:32:38 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

จะเกือบ 30 ตอนแล้ว  ปริศนาก็ยังเป็นปริศนา

อาจารย์นาธัสเป็นอะไรกันแน่?

ซินเป็นอะไกันแน่?

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ไวท์เชื่อคนง่ายไปนะ จนน่ารำคาญอะ อ.นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แค่พูดละก็ให้ของบ้าบอมา ให้มาก็มีแต่เรื่อง ยังจะบอกว่าช่วยอีก ส่วนคนที่ช่วยจริงๆแบบซินนี่ดันมองว่าเค้าร้าย ที่ฆ่าก็เพราะช่วยรึป่าว งงในความคิดมาก แต่ยังไงก็เหอะ ไม่ดีทั้งคู่อะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ดูแล้วไมน่าเชื่อถือเลยสักกะคน  :ling3:

ออฟไลน์ Gloomy Sunday

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-3
    • Fanpage : Gloomy Sunday Tk.
Shadows ที่ 29 เปลวเทียนที่มอดดับลง


ผมกับฟ่างนั้นค่อนข้างคุยกันถูกคอ เพราะพวกเรามีอะไรที่คล้ายๆ กันอยู่ แต่ที่ตรงกันข้ามสุดๆ ก็คงจะเป็น ความช่างพูดของเธอที่มากล้นซะเหลือเกิน มันจะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ ที่ผมจะมีเพื่อน มีคนที่เข้าใจผมแบบนี้

"ไวท์หางานทำอยู่เหรอ" ฟ่างถามผมหลังซัดก๋วยเตี๋ยวไปสามชามได้

"ใช่ ช่วงนี้ค่อนข้างลำบากน่ะ" ผมบอกฟ่างถึงเรื่องที่ผมตกงาน และมักไม่มีใครอยากให้ผมทำงานด้วย

"ไปร้านคนรู้จักฟ่างไหม อยู่ใกล้ๆ นี่เอง" ฟ่างพูดและทำหน้าตื่นเต้น

"แถวมหา'ลัยนี้ไม่มีใครอยากให้ผมทำงานหรอก" ผมทำหน้าหงอยๆ

"เฮ้ย ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไง ไปๆ รีบไป" ฟ่างยกน้ำขึ้นดื่มและวิ่งไปยัดตังให้ป้าเจ้าของร้าน และวิ่งกลับมาลากผมไปอย่างรวดเร็ว เป็นคนแบบนี้จริงๆ นะเนี่ย แต่อยู่ด้วยก็สนุกดี

ผมมองฟ่างที่เดินไปด้วยพูดไปด้วยไม่หยุด แบบนี้เหมือนเลยนะ เหมือนกับเจเลยล่ะ ผมคิดถึงเพื่อน ที่ไม่สามารถเจอกันได้อีกแล้ว มันเป็นอะไรที่น่าเศร้ามาก

ไม่นานนักผมก็มายืนอยู่ที่หน้าร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ว่าเดี๋ยวนะ ที่นี่...ผมเคยมากับเจ

ผมมองดูฟ่างที่วิ่งเข้าไปที่เคาน์เตอร์และพูดคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ตัวสูง หน้าตาดี อายุน่าจะมากกว่าพวกเราไม่เท่าไหร่ และคงจะเป็นเจ้าของร้าน ผมรีบก้มหน้ามองพื้น เขาคงจำผมได้ และไม่อยากให้ผมทำงานด้วยแน่ๆ

"ไวท์ ยืนทำอะไร มานี่สิ" ฟ่างเรียกและวิ่งมาลากผมให้เดินเข้าไป ผมหลบสายตาของลูกค้าที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ มีหลายๆ คนจ้องมองผมและกระซิบกระซาบกัน ก็แบบนี้แหละนะ ผมถึงไม่อยากทำงานแถวๆ นี้

"พ่อรูปหล่อคนดังนี่เอง" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันที และมองเจ้าของร้านที่กำลังส่งยิ้มให้

"ตกลงรับนะพี่ ไวท์ขยันและนิสัยดีมากกก" ผมมองฟ่างที่เขย่าแขนพี่เจ้าของร้านจนหัวสั่นหัวคลอน สนิทกันขนาดไหนนะ

"ถ้าฟ่างพูดแบบนั้นพี่จะทำอะไรได้" ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกดีใจมาก ทำไมถึงง่ายจังนะ ผมคิดว่าจะถูกปฏิเสธซะแล้ว

"พี่ชื่อเบลล์นะ จริงๆ ชื่อยาวกว่านี้ แต่เรียกเบลล์นี่แหละ" ผมมองพี่เจ้าของร้านที่กำลังแนะนำตัวด้วยสีหน้าอมยิ้ม ไม่รู้ทำไม แต่ดูเหมือนพี่เขาจะไม่ได้มีความสงสัยอะไรในตัวของผมเลย เหมือนกับว่า รู้จักผมอยู่แล้ว

"ติดหนี้ฟ่างนะ" ฟ่างเดินเข้ามาพูดกับผมใกล้ๆ ด้วยใบหน้ากวนๆ

"ฟ่าง รู้จักพี่เขาได้ยังไง" ผมถามอย่างอยากรู้ และนั่งลงที่โต๊ะใกล้ๆ ยิ่งมองดูพี่เบลล์แล้ว ผมก็คิดว่าพี่เขามีสายตามองผมที่แปลกอยู่ดี

"นั่นสิ ทำไมกันนะ" คำถามของผมทำให้ฟ่างเริ่มนิ่งเงียบและทำท่าครุ่นคิดอย่างจริง "ทำไมกันนะ ทำไมถึงจำไม่ได้..." ผมที่เห็นเพื่อนเริ่มเครียด ก็คิดว่าน่าจะพอแล้วดีกว่า

"ไม่เป็นไรไม่ต้องคิดแล้ว ขอบคุณจริงๆ นะ" ผมพูดและยิ้มให้ฟ่าง

"มันแปลกๆ แต่ว่า อืมช่างเถอะ เทียบไม่ได้กับเรื่องที่ไวท์บอกฟ่าง ไวท์เป็นคนช่วยฟ่างก่อน" ฟ่างพูดและทำสีหน้าจริงจัง

"ไม่เป็นไร ถึงจะกลัว แต่ก็จะลองคุยให้อีกนะ" ผมพูดถึงเรื่องวิญญาณของพี่สาวฟ่าง ถ้าผมทำอะไรให้เพื่อนได้บ้าง ผมก็จะทำ

"โอเค งั้นตอนนี้...กินก่อน" ฟ่างพูดและลุกขึ้นจากที่นั่งพลางวิ่งไปวนรอบๆ ตู้ขนม และพี่เบลล์ก็หยิบเค้กให้พวกเราหลายชิ้นมาก แถมฟรีอีกต่างหาก วันนี้นี่ถือว่าเป็นวันดีสินะ ถ้าหากว่าทุกๆ วันของผมมีความสุขแบบนี้ อีกไม่นาน ผมก็คงจะลืมซินได้สินะ

แต่ถึงจะคิดแบบนั้น ตอนนี้ผมก็นึกถึงซินอีกแล้ว...

หลังจากที่กินขนมและคุยเล่นกันอยู่หลายชั่วโมง ผมลองเดินดูรอบๆ ร้านและช่วยพี่เบลล์หยิบจับงานเล็กๆ น้อยๆ บ้าง นี่มันเหมือนที่ผมเคยคิดไว้เลย ผมอยากทำงานในร้านกาแฟแบบนี้ กลิ่นขนมปังหอมๆ กลิ่นกาแฟที่ชวนให้ลิ้มลอง นี่ผมไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหมที่จะได้ทำงานที่ผมอยากทำ

"พร้อมเมื่อไหร่ก็มาได้เลยนะ" พี่เบลล์บอกผมหลังจากที่ชงนมอุ่นๆ มาให้ผมดื่มอีกแล้ว

"ขอบคุณมากเลยครับ แต่พี่ก็รู้เรื่องผมดีใช่ไหมครับ ผมกลัวนิดหน่อย ว่าลูกค้าอาจจะไม่ชอบใจที่เห็นผมที่นี่" ผมพูดด้วยใจจริง ผมอยากบอกเรื่องที่ผมกังวลใจ

"แต่เราไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีจริงๆ ใช่ไหมล่ะ เพราะงั้น อย่าคิดมากเลย" ผมยกมือขอบคุณพี่เขาอีกครั้ง ผมดีใจจริงๆ ที่ยังมีคนเชื่อผมอยู่ ในความมืดนั้นก็ยังคงมีแสงสว่างหลงเหลืออยู่บ้าง ซึ่งแค่นี้ก็ดีเหลือเกินแล้วสำหรับคนอย่างผม

หลังจากแยกตัวจากฟ่างที่ร้านกาแฟนั้น ผมหอบหิ้วขนมกล่องใหญ่มาด้วย เพื่อหวังทีิ่จะให้คุณยายได้ลองชิมดู เพราะมันอร่อยมากจริงๆ

ผมนั่งรถกลับและยิ้มแย้มตลอดเวลา พรุ่งนี้ผมจะได้เริ่มต้นใหม่ มีเพื่อนใหม่ นี่เป็นโอกาสที่ผมจะได้ลืมเรื่องร้ายๆ ออกจากหัวใจสักที

แต่ผมที่นั่งอยู่บนรถสองแถวเพื่อกลับบ้านนั้น ก็มองเห็นรถคันใหญ่สีแดงหลายคันวิ่งผ่านไป ผมขมวดคิ้วและมองรถเหล่านั้นที่กำลังมุ่งหน้าแซงไปอย่างไม่ลดละ คงจะมีไฟไหม้แถวๆ นี้ แต่นี่ก็มืดแล้วนะ ผมเป็นห่วงบ้านที่ประสบเหตุนั้นจริงๆ คงจะกำลังลำบากน่าดู

ผมนั่งรถมาอีกสักพัก และกดกริ่งเพื่อลงที่หน้าถนนใหญ่ ผมมองรถสีแดงที่ผ่านหน้าผมไป และมันเลี้ยวเข้าไปในซอยใกล้ๆ กับที่ผมยืนอยู่

ผมมองรถคันนั้นและเริ่มเดินเข้าไปตามทางที่ผมคุ้นชิน ผมมองชาวบ้านหลายคนที่เดินออกมาจากบ้านและมุงคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รถสีแดงคันใหญ่ยังคงวิ่งตามกันเข้ามาและความโกลาหลก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกขณะ

ผมถือกล่องขนมไว้ในมือพลางก้าวเดินต่อไป ผมเดินไป เดินไปด้วยหัวใจที่เริ่มเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ ผมเดินผ่านบ้านเรือนที่ผมคุ้นเคย ผ่านหัวมุมที่ผมรู้ว่าอีกไม่กี่อึดใจผมก็จะถึงบ้านแล้ว บ้านของผม บ้านของคุณยาย...

ราวกับทุกอย่าง กำลังเคลื่อนผ่านไปช้าๆ แววตาของผมในตอนนี้นั้นร้อนระอุราวกับเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ผมมองภาพตรงหน้า มองกองเพลิงขนาดใหญ่ที่กำลังพรากทุกสิ่งในชีวิตผมไป

ในหูของผมไม่ได้ยินสิ่งใด ผมมองดูผู้คนที่วิ่งไปมาและส่งเสียงร้องอย่างโกลาหล เท้าของผมค่อยๆ ขยับ ก้าวเดินไปช้าๆ ที่หน้าบ้านหลังนั้น บ้านที่กำลังลุกไหม้ บ้านของผมที่กำลังลุกเป็นไฟ

"คุณยาย" ผมพูดเบาๆ และปล่อยกล่องขนมให้ร่วงหล่นลงที่พื้น ผมออกแรงวิ่ง วิ่งเข้าไปยังกองเพลิงร้อนแรงที่กำลังลุกไหม้

ไม่จริง ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ทำไมกัน ได้โปรดเถอะ แค่เพียงสิ่งนี้ ขอแค่เรื่องนี้ไม่ได้เหรอ ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว  ไม่มีอีกแล้วจริงๆ อย่าพรากไป อย่า!!!

แต่ผมที่วิ่งเข้าไปนั้นก็ถูกสะกัดเอาไว้อย่างรวดเร็ว ผมเริ่มร้องไห้ และพยายามตะกุยตะกายเข้าไปยังกองเพลิงนั้น ภาพทุกอย่างราวกับช้าลงนับแสนล้านวินาที ผมกับคนอีกหลายคนกำลังยื้อแย่งผลักกันเพื่อล็อกตัวผมเอาไว้ ผมทำได้แค่เพียงยื่นมือเข้าไป ยื่นไปยังที่ที่ผมไม่อาจเอื้อมถึง ไม่ว่าผมจะพูดอะไร ร้องไห้หรือร้องตะโกนแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว

จากไปแล้ว ทุกสิ่ง หายไปแล้ว...



ผมลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ ในที่ที่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าคือที่ไหน สมองของผมมันตื้อตึง ไม่อยากรับรู้สิ่งใด

ผมหมดเรี่ยวแรง ราวกับเบื่อที่จะหายใจ ผมนอนนิ่งเดียวดาย จ้องมองเพดานสีดำมืด แต่กลิ่นอายนี้ สัมผัสนี้ผมรู้สึก คุ้นเคย...

"ลุกขึ้นทานอาหารเถอะครับ" ผมคิ้วกระตุกน้อยๆ นี่ผมกำลังฝันอยู่สินะ เป็นฝันร้าย ฝันที่ร้ายที่สุด ทุกสิ่งไม่ได้เกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดขึ้น

"ลุกเถอะครับ ท่านกำลังคอย" ผมค่อยๆ หันหน้าไปหาคนที่กำลังร้องเรียกผม เด็กนั่น ใครกัน ไม่สิ นี่มัน...

ผมลุกขึ้นทันทีและมองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง ห้องนอนสีดำที่กว้างใหญ่ เตียงที่แสนเย็นยะเยือก โคมไฟ เชิงเทียน ทุกอย่างล้วนเป็นสีดำสลับกับเครื่องเงิน ที่นี่คือที่ของซิน รังของปิศาจ

ผมคิดและค่อยๆ ลุกขึ้น ผมมองลินที่ยังคงเหมือนเดิม ใบหน้าซีดที่ดูตื่นกลัวง่าย ผมมาอยู่ที่นี่จริงๆ ที่ที่ผมเคยฝันถึง ที่ที่พวกเรา เคยจะได้อยู่ด้วยกัน

ผมเดินตามลินไปตามทางเดินมืด เพื่อไปยังห้องที่ผมเคยไปเมื่อครั้งที่เคยมา ความมืดและความเงียบยังคงเดิม แต่สมองของผมตอนนี้นั้นไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลยสักนิด ผมอยากไป อยากพบคนคนนั้น ผมไม่อยากจะทนอีกต่อไปแล้ว

ผมเร่งฝีเท้าแซงหน้าลินและผลักประตูขวามือเข้าไปอย่างแรง ผมมองดูโต๊ะอาหารตัวยาวตัวเดิม และมองคนคนเดิมที่นั่งประสานมือไว้บนตัก คนใจร้ายที่ร้ายยิ่งกว่าปิศาจใดๆ

"นายมัน ปิศาจ" ผมกัดฟันพูดและยืนจ้องมองซินที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองผม "ในกองเพลิงนั่น นายใช่ไหม" ผมพูดและนึกย้อนถึงตอนที่ผมพยายามจะวิ่งเข้าไป

ผมเห็นเขา ผมเห็นคนยืนอยู่ตรงนั้น ในเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ และผมจำได้ดี ว่าคนคนนั้นคือใคร

"ทำไม" ผมพูดและเริ่มน้ำตาไหลออกมาพลางเดินเข้าไปหาซินอย่างไม่เกรงกลัว "ทำไมถึงฆ่าคุณยาย ทำไม" ผมดึงคอเสื้อของซินและเขย่าเบาๆ อย่างอ่อนแรง

"ท่านไม่ได้..."

"ลิน ใครสั่งให้พูด" ซินพูดบอกลินแต่สายตายังคงจ้องมองผมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

"ยินดีต้อนรับ" ซินพูดต่อและยังคงยิ้มอย่างชั่วร้าย

"ยินดีงั้นเหรอ ถึงตาย ผมก็ไม่อยู่ที่นี่หรอก" ผมพูดอย่างท้าทาย ผมยังคงรู้สึกถึงหัวใจของผมที่ยังคงเต้นอยู่ ผมยังไม่ตาย ผมยังมีชีวิต แต่กลับถูกพาตัวมาที่นี่

"นั่งลงสิ" ซินผายมือให้ผมนั่งลงอย่างไม่สนใจสิ่งที่ผมพูด

"พาผมกลับไป" ผมพูดอย่างแน่วแน่ พอกันทีกับคนแบบนี้

"ลิน ยกอาหารมาสิ" ซินนั้นไม่ได้ฟังผมสักนิด แต่กำลังสั่งลินเหมือนที่เคยทำ

"นั่งลง" ผมไม่สนคำสั่งของซิน ผมหันหลังและเดินอย่างรวดเร็วไปที่ประตู ผมจะหาทางออกไปเอง ถึงจะไม่รู้อะไรเลยก็เถอะ

"อั่ก น.ท่าน"

แต่ผมที่กำลังจับลูกบิดประตูนั้นก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากด้านหลัง ผมหันกลับไปมองโต๊ะยาวนั้น มองซินที่กำลัง...

"ไม่นะ อย่า" ผมที่เห็นภาพตรงหน้าก็รีบวิ่งกลับมาทันที ผมมองซินที่ใช้มือกำรอบคอของลินเด็กชายตัวน้อยจนลอยขึ้นจากพื้น ทำไมถึงเป็นคนสกปรกแบบนี้

"นั่ง ลง"  ซินพูดและปล่อยลินลง ผมรีบวิ่งไปจับลินไว้และดึงมาดูด้วยความเป็นห่วง

"ไม่เป็นไรนะ" ผมพูดถามลินที่กำลังหวาดกลัว

"มันตายซ้ำไม่ได้หรอก" ซินยกไวน์ในมือขึ้นจิบ ผมตวัดสายตามองซินด้วยความโกรธ แต่ก็ยอมนั่งลงตามที่ถูกสั่ง ผมกำมือแน่น อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ผมเจ็บปวดเหลือเกิน เกินกว่าจะร้องไห้อีกแล้ว

"กินซะ" ผมนั่งนิ่งด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ผมนึกถึงภาพบ้านของผมที่อยู่ในกองเพลิง นึกถึงคุณยายที่ทุกข์ทรมาน ทำไม ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นด้วย

ผมคิด และเหลือบตามองซินที่ยังคงนั่งนิ่งและจ้องมองผม ถ้านายต้องการทรมานผมละก็ นายก็สมใจแล้วล่ะ ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว หมดสิ้นทุกอย่างแล้ว

ผมทำตามที่ซินสั่ง ผมค่อยๆ กินข้าวจนหมดจานและเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงไปยังห้องนอนเดิม ผมนั้นเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ ไร้ค่า ผมจะทำอะไรได้ ผมมันไร้ค่า ชีวิตของผมมันไม่มีอะไรเลย

"ทำไมถึงไม่ฆ่าผมสักที" ผมพูดเบาๆ พลางมองออกไปยังกระจกใสที่แสนขุ่นมัวตรงหน้า ตอนนี้ผมไม่ได้มองเห็นแค่หมอกไอที่คอยปิดบังอีกแล้ว ผมกำลังมองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอกที่มีพายุก่อตัวอยู่ตลอดเวลา สายฝนและสายฟ้าฟาดที่กำลังสาดซัดลงสู้ตึกรามบ้านช่องด้านล่าง มันเหมือนกับผมกำลังอยู่คนละโลก ไม่มีที่ที่ผมควรอยู่อีกแล้ว

"ทำไมถึงอยากตายขนาดนั้น อยากอยู่ด้วยกันเร็วๆ งั้นเหรอ" ซินยืนอยู่ด้านหลังผมและพูดเหมือนกำลังขบขัน

"ผมอยาก หายไปตลอดกาล ไร้ตัวตน ในที่ใดๆ" ผมพูดและรู้สึกว่าซินนั้นเงียบลงทันที

"ไวท์" ผมไม่ได้หันไปมองซินที่กำลังเรียกผม ผมไม่อยากมองคนที่ทำลายชีวิตผม

"ผมเคยคิดถึงที่นี่ เคยคิด ว่าพวกเรา จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ตอนนี้ ผมไม่อยากทำแบบนั้นอีกแล้ว" ผมหันกลับไปมองซินที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง

"ได้โปรด ปล่อยผมไปเถอะ ช่วยปลดปล่อยผมที" ผมพูดขอร้องซิน ผมมองซินที่ใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด ผมไม่รู้ว่าซินกำลังทำสีหน้าแบบไหน แต่มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

"นายเป็นของฉัน" ผมมองซินที่นิ่งเงียบไปสักพัก และค่อยๆ เดินเข้ามาหาผม

"อย่าร้องขอเรื่องที่ไร้ประโยชน์" ซินพูดและเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผมด้วยแววตาที่ดูหม่นหมอง ผมรู้อยู่แล้วล่ะ ผมนั้นไม่เคยมีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรอยู่แล้ว

หยาดน้ำใสค่อยๆ หลั่งรินออกมาจากดวงตา ผมค่อยๆ หันหลังกลับไปยังกระจกใสนั้น จ้องมองไปยังความมืดและเมฆฝนเบื้องหน้า ชีวิตของผมมันก็มีเท่านี้แหละ ผมไม่เคยทำอะไรได้เลยจริงๆ

แต่ผมที่ยืนอยู่นั้นก็นึกถึงคนอีกคนหนึ่งที่คอยช่วยผม คนคนนั้นจะได้ยินผมหรือเปล่านะ ถ้าผมร้องเรียกออกไป

"อาจารย์ นาธัส" ผมพูดเบาๆ กับกระจกใสบานใหญ่ พูดลอยๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจอะไร

"อาจารย์ นาธัส" ผมพูดอีกครั้งและมองท้องฟ้าด้านนอกที่พายุเหมือนกำลังรุนแรงขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ

"อย่า เรียก  หา มัน" ผมตกใจทันทีที่รู้สึกถึงความเจ็บที่ไหล่ของผม ซินนั้นได้ยินคำพูดของผมและรีบเข้ามาดึงผม กระชากผมให้ล้มลงกับพื้น

ผมเงยหน้ามองซิน ดวงตาที่เคยเป็นสีดำนั้น ตอนนี้กำลังกลายเป็นสีแดงลุกขึ้นราวกับไฟ และผมก็ตั้งชั้นขึ้น ราวกับโดนลมปะทะ

"อาจารย์ช่วยผมด้วย" ผมพูดและไม่สนใจซินที่กำลังโกรธมากขึ้น ซินยื่นมือมาข้างหน้าทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แตะตัวผม แต่ก็ทำให้ตัวของผมลอยขึ้นและติดตรึงอยู่กับกระจก ผมมองซินที่ตอนนี้โกนธจนตัวเริ่มกลายเป็นสีแดงตามดวงตานั้น

"มันจะทำลายนายไวท์ จะโง่ไปถึงไหน ปิศาจที่แท้จริงก็คือมัน หยุดเรียกหามันสักที!" ซินพูดใส่ผมด้วยความโกรธ จนเสียงของซินเปลี่ยนไปราวกับปิศาจ

"ไม่ นายนั่นแหละ..ป.ปิศาจ" ผมนั้นไม่ได้กลัวเลยสักนิด ตอนนี้ไม่มีสิ่งไหนที่ผมจะต้องกลัวอีกแล้วแม้กระทั่งความตาย ผมเจ็บปวดทรมานมามากเกินพอจนไร้ความรู้สึกใดๆ อีกแล้ว นายน่ะ ทำอะไรผมไม่ได้อีกแล้วซิน หลอกผมไม่ได้อีกแล้ว

"อาจารย์นาธัส" ผมพูดต่อด้วยแววตาท้าทาย ไม่สนใจซินที่โกรธจนแทบจะลุกเป็นไฟ

"อย่า" ซินพูดเบาๆ และตัวผมก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปหามือของซินช้าๆ ผมยังคงมีสีหน้าแน่วแน่ และไม่กลัวที่จะต้องตายคามือซิน ผมไม่กล้วหรอก และผมจะพูดอีกครั้ง

"นาธั...อื้อ" แต่ผมที่กำลังจะพูดชื่อของอาจารย์นั้นก็ไม่อาจเปร่งเสียงได้อีกต่อไป

ซินดึงตัวผมและประกบริมฝีปากเข้ามาอย่างรวดเร็วจนผมได้แต่ตกใจ หลังของผมแนบลงกับประจกบานใหญ่ และถูกประกบจูบอยู่อย่างนั้นจนแทบขาดใจ

"ม.ไม่.อื้อ อย่า"

ริมฝีปากของผมร้อนรุนแรงราวกับจะลุกไหม้ ร่างกายถูกรัดตรึงจากปิศาจร้าย ด้วยความแข็งแกร่งจนกระดิกตัวไม่ได้ ผมนั้นทำอะไรไม่ได้เลยสักนิดนอกจากจะปล่อยให้คนตรงหน้าฉกชิงทุกอย่างไป ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่ง ร่างกาย และหัวใจ

คนตรงหน้าโอบรัดร่างกายของผมและตรึงผมช้าๆ เคลื่อนไหวให้ล้มลงที่เตียงขนาดใหญ่ นี่คือสิ่งที่ผมเคยคิด เป็นสิ่งที่ผมเคยอยากจะทำ ผมอยากสัมผัสซิน ซินที่ผมรัก ซินที่ผมเฝ้าคิดถึง แต่ทำไมกันนะ ผมควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ แต่ทำไม น้ำตาถึงรินไหลออกมามากมายขนาดนี้

ผมไม่ได้ขัดขืนอะไร ผมตอบรับรสสัมผัสของคนตรงหน้าที่เริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าของผมและของตัวเองออกช้าๆ พวกเรากอดรัดบดเบียดร่างกายเข้าหากัน แต่ความรู้สึกดีๆ ของผมนั้นมันไม่มีอีกแล้ว มีแต่เพียงร่างกายที่เป็นเหมือนกับเปลือกที่ว่างเปล่า ตอบรับความต้องการของคนตรงหน้า ด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า

ร่างกายของพวกเราเริ่มสอดประสานกันในความมืด ผมบิดเร้าร่างกายและเม้มปากสะกดกลั้นความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ มือจิกทึ้งร่างกายร้อนของคนด้านบนที่กำลังขยับตัวเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ

หัวของผมตื้อตันพลางจ้องมองเพดานกว้าง ร่างกายถูกกอดรัดราวกับจะถูกกลืนกินไปกับความมืด ผมอ้าปากหอบหายใจด้วยน้ำตาที่ไหลริน ความเจ็บปวดผสมปนเปไปกับรสสัมผัสที่ถูกกระตุ้น ผมปลดปล่อยหยาดน้ำออกจากร่างกายด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจสะกัดกลั้นได้ เรี่ยวแรงที่ไม่มีอยู่แล้วก็ยิ่งกลับถดถอยลงไป

ผมปล่อยให้คนด้านบนทำทุกอย่างตามอำเภอใจ ปล่อยให้ร่างกายของคนด้านบนบดเบียดความต้องการเข้ามาและกอดจูบผมเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าทำไมอ้อมกอดที่ดูเหมือนจะรุนแรงนี้ กลับรู้สึกอบอุ่น นายกำลังหลอกผมอีกแล้วใช่ไหม แต่ผมจะไม่หลงกลอีกแล้ว เชิญทำทุกอย่างตามที่นายต้องการ แต่ยังไงผมก็จะไป ไปให้ไกลจากความปวดร้าวนี้

ไปจากนายตลอดกาล...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2020 16:33:20 โดย Gloomy Sunday »

ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนแรกก็เข้าใจไวท์นะ เพราะซินก็ไม่พูดอะไรจริงๆ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคิดว่าต่อให้พูดก็คงไม่เชื่อ
ตอนที่ยังดีๆกันบอกไม่ให้เข้าใกล้ อ. ก็ไม่เชื่อ นี่มีคนเตือนก็ยังไม่เชื่อ
แล้วเรื่องซินนี่คือมีคนพูดบ่อยมาก สะกิดบ่อยมาก ว่าไวท์อะจะทำให้ซินลำบาก
ไวท์ก็ไม่เอะใจอะไรเลยสักนิด ไม่คิดหาคำตอบด้วยซ้ำไป ทีอิ อ. เชื่อมันหมดเลย เรียกหามันด้วย น่าตีจริงๆ
สรุปคือเหมือนไวท์ทำให้ซินซวยไปด้วยจริงๆนั่นแหละ
แล้วไอ้ที่ฆ่าอิเพื่อนเลวสามตัวนั่นจะให้ทำไง คือมันจะทำร้ายแกปะ เขาช่วยไม่ใช่เรอะ
กรี๊สสส อินมากค่ะ รอตอนต่อไปนะ ถ้าไวท์ยังไม่หายเด๋อจะแช่งให้ตายแล้ว โมโหววว

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด