ลิขิตรัก...เพลิงเทวา
Author : Tan-Yung 0209
File : 16
ยามจันทราลาลับ รัศมีสีทองจับประดับท้องฟ้า อันเป็นสัญญาณบอกห้วงช่วงเวลาว่าวันใหม่ได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง เทพสุริยาประทานแสงต้องพิภพปลุกมนุษย์ สรรพสัตว์ ตลอดจนพืชพรรณ พร้อมดำรงชีวิตเติบโตขึ้นไปอีกวันและใช้ชีวิตตามที่ควรจะเป็นไป
หากทุกสิ่งอย่างล้วนมีเวลาของมัน แม้แต่ทิพากาลเองก็จบลงพร้อมกับการเสร็จสิ้นภารกิจขององค์สุริยเทพที่คอยขับเคลื่อนราชรถ นำพาดาราฤกษ์ร้อนระอุเต็มไปด้วยเปลวเพลิง เคลื่อนตัวไปมอบคุณประโยชน์หลายประการแด่พื้นโลก
เว้นแต่…ราตรีนี้พระสุริยะหาได้พักผ่อนดั่งที่ควรจะเป็นไปตามกิจวัตร เทพผู้ยิ่งใหญ่ในนพเคราะห์มีหน้าที่ต้องทำ
…‘หน้าที่อันมิใช่หน้าที่ของสุริยเทพ หากเป็นหน้าที่ของผู้เป็นพ่อ’…
“ท่านพ่อ ข้าต้องขออภัยที่รบกวนท่าน” รพีพงศ์พนมมือขึ้นมาอัญชลีแล้วกล่าวขอโทษต่อบิดาจากใจจริง
“มิเป็นไรดอกรพีพงศ์ เรื่องของเจ้าในครานี้หาใช่เรื่องใหญ่ที่กวนใจพ่อไม่ พ่อกลับยินดีที่เสียด้วยซ้ำที่ตัวพ่อจักได้ทำหน้าที่นี้เสียที เจ้าอย่าได้นึกคิดเป็นเรื่องใหญ่เลย พ่อว่าสิ่งที่ควรทำในเพลานี้คือเราสองเร่งเดินทางไปยังวิมานพระเสาร์เถิด พ่อเกรงว่าชักช้าอีกฝ่ายจักไม่ชอบใจเป็นแน่แท้” สุริยเทพกล่าวกับบุตรให้คลายกังวลเรื่องของตน เพราะจากสังเกตท่าทางของรพีพงศ์แล้วไซร้ยังคงมีหลากหลายเรื่องให้รพีพงศ์กังวลใจพอควร ก่อนจะชักชวนให้ขึ้นราชรถเหาะเหินบนนภากาศไปยังวิมานของศนิเทพ
ทางด้านวิมานทิพย์หงสบาท พระเสาร์ผู้ครอบครองกำลังให้เทวดาข้ารับใช้ ดูแลความเรียบร้อยทั้งภายนอกและภายในวิมานเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน ไหนจะก่อนหน้านี้ได้ให้นางอัปสรเร่งแต่งองค์ทรงอาภรณ์ตลอดเครื่องประดับงดงามแก่ชายาและนาคินทร์ซึ่งหารู้ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
“ท่านพ่อ…ลูกอยากจะรู้เหลือเกินว่าเกิดอันใดขึ้น เหตุใดถึง…”
“เจ้าอย่าเพิ่งถามสิ่งใดเลย หากใคร่อยากรู้ก็จงรอ พ่อขอให้สัญญากับเจ้าว่าอีกไม่ช้านานทั้งเจ้ารวมทั้งแม่ของเจ้าจะพบกับผู้ที่จักให้คำตอบ คลายข้อสงสัยในใจพวกเราให้หมดสิ้น” พระเสาร์เอ่ยขัดขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ทันฟังคำพูดของนาคินทร์จบประโยค หากตนพอจะคาดเดาได้ว่าบุตราอยากจะเอ่ยสิ่งใด
ฝ่ายนาคินทร์ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยอันใดออกมาเพราะรู้ว่าคงไม่สามารถได้รับคำตอบได้ทันทีแต่อย่างน้อยนาคินทร์ได้รับรู้ว่าจะมีผู้มาเยือนวิมานแห่งนี้และน่าจะมีความสำคัญพอสมควร บิดาของตนถึงได้ให้เข้ามาเยือนในยามวิกาล
“พระเสาร์ขอรับ!! บัดนี้องค์สุริยเทพและรัชทายาทรพีพงศ์ได้มาถึงหน้าวิมานแล้ว” นายทวารผู้เฝ้าประตูเข้ามาแจ้งนายเหนือหัว นาคินทร์ถึงได้ทราบโดยทันทีว่าใครที่ตนสงสัยคือใคร
“พ่อจักออกไปต้อนรับพาเทพสองพ่อลูกเข้ามา เจ้ากับแม่นั้นรอพ่ออยู่ ณ ห้องโถงนี้อย่าได้ไปไหน” พระเสาร์สั่งความกับบุตราและหญิงคนรักก่อนจะออกไป นาคินทร์ได้สดับฟัง พลันดวงใจเต้นตึกตักสั่นระรัว ทั้งดีใจที่ได้เจอรพีพงศ์ด้วยสามวันมานี้มิได้พูดคุยหรือพบหน้า ทั้งเหนือสิ่งอื่นใดนาคินทร์กลับมีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นของการมาเยือนของสุริยเทพ
“นาคินทร์…สงบจิตสงบใจก่อนเถิด” มุตตาอดเอ็นดูบุตรของตนมิได้ที่หาได้รู้ประสีประสา ผิดกับนางที่พอจะเดาออกว่าภายภาคหน้าจักเกิดสิ่งใดขึ้น
ฝ่ายพระเสาร์ได้ออกมาต้อนรับพาสุริยเทพและรพีพงศ์เข้ามาเยื้องย่างผ่านลานปูด้วยหินขนาบด้วยสระบัวทั้งสองข้างเพื่อเข้าสู่ภายในวิมานสถาน ระหว่างการก้าวเดินหาได้มีผู้ใดเปล่งวาจาออกมา ด้วยใจหมายมั่นว่าเมื่อใดที่พ้นธรณีประตู เมื่อนั้นสิ่งใดที่อยากเอ่ย สิ่งใดที่อยากฟังจักออกมาให้รู้แจ้ง
อีกฟากฝั่งรอคอยจนบานประตูเปิดออกมา ผู้เข้ามาคนแรกคือบิดา ตามติดกันมาคือเทวัญวรกายสูงใหญ่ สวมภูษาประดับด้วยรัตนาช่วยเสริมให้สง่างามรบกับรัศมีแดงอัคคีที่เปล่งประกาย หากก็มิสามารถทำให้นาคินทร์ตรึงตาตรึงใจได้เท่ากับคนสุดท้าย…คนที่นาคินทร์เฝ้าคอย
“ท่านพี่รพีพงศ์…” นาคินทร์เอ่ยนามเสียงแผ่วเบาราวกับว่าเจ้าของชื่อจักได้ยิน ในวันนี้ท่านพี่ของนาคินทร์รูปงามกว่าวันไหน นาคินทร์ส่ายหน้าเล็กน้อยไล่ความคิดนี้ก่อนจะตำหนิตนเองว่าคงคิดถึงรพีพงศ์จนเป็นบ้าเสียแล้วกระมัง
“ก่อนที่เราทั้งสี่จะพูดคุยกันนั้น ข้าจักขอแนะนำมุตตาชายาแห่งข้าและนาคินทร์ผู้เป็นบุตรเพียงคนเดียวให้ท่านได้รู้จัก…พระอาทิตย์” พระเสาร์เอ่ยแนะนำหลังเชื้อเชิญให้พระสุริยะกับรพีพงศ์ประทับนั่งบนตั่งนิลกาฬ โดยมิลืมเน้นเสียงหนักลงประโยคสุดท้ายหมายจักสื่อให้สองพ่อลูกได้เข้าใจว่านาคินทร์มิต่างอะไรจากแก้วตาดวงใจของตน
มุตตาและนาคินทร์ เมื่อถูกกล่าวถึงได้พนมมือยกไว้กลางอุราแล้วค้อมศีรษะลงทำความเคารพผู้มีศักดิ์สูงกว่า แม้จักไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์หรือเทวาชั้นสูงผู้ที่เคยร่ำเรียนมารยาทมาก่อน ทว่าจริยวัตรงดงามอ่อนหวานทำให้พระอาทิตย์ประทับใจไม่น้อย
“ข้ายินดีที่ได้รู้จักทั้งชายาและบุตรของท่าน อันความจริงแล้วข้าพอจักได้ยินนาม ได้เห็นพักตรมาบ้างแล้วแต่มิเคยได้เสวนาและพอจะได้เสวนากันกลับเป็นยามค่ำคืน เหตุนี้ข้าต้องขออภัยด้วย คงจักลำบากแลรบกวนเวลาพักผ่อน” พระอาทิตย์เอ่ย
“มิเป็นไรดอก หากข้าแลเห็นว่ารบกวนคงจักตอบสาน์สปฏิเสธไปแล้ว แต่เพราะข้าเข้าใจท่านว่าท่านเองก็เหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อยอันกลางวันต้องนำพาลูกไฟส่องสว่างมนุษย์ภพ เวลาที่จันทราเทพทำหน้าที่จึงเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่ท่านจักมาเยือนวิมานข้าเพื่อบุตรชายของท่าน”
“ใช่…เพื่อรพีพงศ์และเพื่อพวกเราเอง ฉะนั้นข้าจักไม่วกวนขอเข้าเรื่องที่ข้านั้นมาพบเจอกับท่าน…”
“ช้าก่อนสุริยเทพ…ข้าต้องขออภัยที่เสียมารยาทพูดขัดท่าน แต่ข้าต้องการให้รพีพงศ์ได้เอื้อนเอ่ยเอง” พระเสาร์เอ่ย
“ถ้าเป็นความประสงค์ของท่าน ข้านี้ก็มิขัด…” องค์ภาสกรแย้มยิ้มเพียงเล็กน้อย ด้วยตนเองอยากใคร่ดูว่ารพีพงศ์จักสามารถเอาชนะใจพระเสาร์ในด่านสุดท้ายนี้ได้หรือไม่
“ว่ามาสิรพีพงศ์ เจ้ากับพ่อของเจ้ามาหาข้าและลูกเมียเพราะเหตุใด” พระเสาร์เปิดโอกาสให้รพีพงศ์ได้พูดกล่าว ผู้ถูกถามผันหน้าลอบมองคนงามฝั่งตรงข้ามเล็กน้อยพอเอาแรงใจก่อนจะหันกลับมาตอบพระเสาร์
“การที่ข้าและท่านได้มาหาท่าน ท่านน้ามุตตาและนาคินทร์ในวันนี้ มิใช่มาเยี่ยมเยือนดั่งเช่นทุกครา แน่นอนว่าย่อมมีเรื่องสำคัญ ประการแรกข้าจักมาชะล้างความแคลงใจของท่านให้หมดสิ้น…พระเสาร์”
…‘หาใช่เรื่องนี้ไม่…สิ่งที่ข้าแคลงใจนั้นคือบุตรของข้าจักอยู่ในฐานะใด’…
ย้อนเวลากลับไป พระเสาร์ได้มอบคำถามอันส่งผลต่ออนาคตของรพีพงศ์กับนาคินทร์ คำถามที่ต้องการคำตอบเชิงประจักษ์ หนักแน่นและเป็นไปได้จริง หาใช่สวยหรูแต่ลอยลมจับต้องมิได้ พระเสาร์ตระหนักดีว่าแม้นนาคินทร์กับรพีพงศ์รักกันมากเพียงใด ทั้งยังเสมอด้วยยศฐา ทว่านาคินทร์เป็นชายมิได้เป็นหญิง
“ท่านเคยถามว่านาคินทร์จักอยู่ในฐานะใด ข้าจึงขอตอบให้ท่านได้รู้ว่านาคินทร์จักอยู่ในฐานะชายาเพียงคนเดียวของข้า” รพีพงศ์ตอบน้ำเสียงชัดเจนแต่ใครคนหนึ่งกำลังคิดว่าตนหูแว่วได้ยินผิดเพี้ยน
“ท่านพี่เอ่ยอันใดออกมา…ท่านพี่รู้ตัวหรือไม่” จะเรียกว่าไม่ชัดคงจะไม่ใช่ แต่นาคินทร์ไม่คิดว่ารพีพงศ์จะกล้าพูดต่อหน้าพระเสาร์และพระอาทิตย์
“พี่รู้ว่าพี่กำลังทำสิ่งใดและนี่คือสาเหตุที่พี่ต้องพาท่านพ่อมา ณ ที่แห่งนี้” รพีพงศ์ตอบแล้วเกริ่นเล็กน้อยให้พระอาทิตย์ได้กล่าวต่อไป
“เป็นไปตามรพีพงศ์ว่าไว้…บุตรชายข้าต้องการนาคินทร์มาเป็นชายา ข้าผู้เป็นพ่อจึงใคร่มาเจรจาสู่ขอนาคินทร์กับท่านทั้งสอง…พระเสาร์ แม่นางมุตตา” สุริยเทพช่วยยืนยัน ก่อนเปิดฉากเข้าสู่ขอบุตรของเทพสวมหน้ากากกับนางนาคี
“ท่านไม่คิดว่าแปลกหรือไรที่บุตรของท่านรักบุตรของข้าซึ่งเป็นชายเช่นกัน หนำซ้ำยังคิดรับไว้เป็นชายา”
“ความรักหาได้จำกัดหรือกะเกณฑ์ว่าจักเกิดขึ้นเฉพาะเจาะกับผู้ใด ทุกคนล้วนสามารถมีความรัก มอบความรักให้กันและกันโดยไม่จำกัดเพศ วัย ยศฐาบรรดาศักดิ์ตลอดจนชาติพันธุ์ ดังนั้นการที่รพีพงศ์รักนาคินทร์จึงมิใช่เรื่องแปลกสำหรับข้า ว่าแต่ท่านเถิดพระเสาร์…ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร ท่านจะยกนาคินทร์ให้เป็นชายาของรพีพงศ์ได้หรือไม่เล่า” สุรเสียงหนักแน่นถ่ายทอดคำตอบออกมาอย่างฉะฉาน ก่อนจะย้อนถามพระเสาร์กลับไป
“หากข้าไม่ยอมรับ บุตรของท่านคงไม่ได้เข้าออกวิมานข้าเสมือนบ้านของตนเองดอก ถึงแม้ว่าในคราแรกข้ามิชอบใจแต่กาลเวลาแลรพีพงศ์ได้พิสูจน์ให้ข้าเห็นถึงความรักที่มีต่อนาคินทร์ว่ารักจริงหาใช่ลวงหลอก” คำตอบของพระเสาร์สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่กำลังรอฟังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะรพีพงศ์สุดแสนจะยินดีจนแทบจะสำรวมกิริยาเอาไว้ไม่อยู่ อยากจะโผเข้าสวมกอดนาคินทร์เสียเหลือเกินให้สมกับต้องฝ่าอุปสรรคความรักที่ผ่านมา หนึ่งในอุปสรรคที่ว่าคือเอาชนะใจพระเสาร์
“แล้วแม่นางมุตตาเล่ายอมรับในบุตรข้าหรือไม่” เจ้าแห่งแสงระวีถามความเห็น
“แม้นข้าจะรู้จักรพีพงศ์ได้ไม่นานนักแต่ข้านี้ยอมรับเพราะรพีพงศ์พิสูจน์ให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ ทั้งแสดงให้ข้าได้มั่นใจว่าสามารถดูแลนาคินทร์ได้” มุตตาเอ่ยพร้อมมองรพีพงศ์ด้วยสายตาที่เป็นมิตร
“พระเสาร์ ท่านน้ามุตตา ข้าขอบน้ำใจท่านทั้งสองมากที่เห็นในความรักของข้าที่มีต่อบุตรของท่านนาคินทร์และยอมยกนาคินทร์ให้กับข้า” รพีพงศ์กล่าวกับพระเสาร์และมุตตาน้ำเสียงนั้นเจือความยินดีจนผู้ฟังสัมผัสได้
“ใช่..ข้ายอมรับแต่ข้ามิได้บอกว่าจะยกนาคินทร์ให้กับเจ้า” พระเสาร์บอก น้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็งกัดกินรอยยิ้มของรพีพงศ์จนสิ้น อย่าว่าแต่รพีพงศ์แม้แต่นาคินทร์ มุตตาหรือแม้แต่สุริยเทพยังหน้าเสีย
“ข้าจักยกให้ในวันที่เจ้าเข้าวิวาหะกับนาคินทร์ หลังจากนั้นแล้วอย่าคิดจะคืนนาคินทร์กลับมาก็แล้วกัน” พระเสาร์กล่าวต่อ คราวนี้ผู้ได้ฟังต่างเผยรอยยิ้มออกมา
“ข้าไม่คิดจะคืน ข้าคิดเพียงเราสองอยู่เคียงข้างกัน” รพีพงศ์เอ่ยคำมั่นอันกลั่นออกมาจากความคิดและจิตใจ
“เมื่อบุตรข้ายืนยันและท่านจะยอมรับในตัวรพีพงศ์ ข้าจะส่งเทวบริวารขอให้พระพฤหัสบดีดูฤกษ์ยามอันสมควร เพื่อจัดพิธีเสกสมรสอย่างสมเกียรติไม่แพ้ใคร พระเสาร์ท่านตกลงหรือไม่”
“ข้าหาใช่ผู้เข้าเสกสมรส ต้องถามนาคินทร์ว่าคิดเห็นเป็นเช่นไร” พระเสาร์เอ่ย
“นั่นสิ…ต่อให้ท่านยินยอมแต่นาคินทร์ปฏิเสธ งานมงคลนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ นาคินทร์เจ้าว่าอย่างไร จักยินดีมาอยู่กับรพีพงศ์หรือไม่”
“ข้ายินดี” แน่นอนว่าคำตอบคงมีเพียงหนึ่งเดียว นาคินทร์ตอบกลับไปก่อนก้มหน้าลงอำพลางความเขินอายที่ได้ทิ้งร่อยรอยเป็นสีกุหลาบบนใบหน้างาม ฝ่ายรพีพงศ์เองก็ยิ้มกว้าง เทพหนุ่มไม่อาจปิดซ่อนความรู้สึกปิติที่ล้นเหลือนี้ได้
หลังจากนั้นทั้งสองวงศาได้ปรึกษาหารือกันในการจัดพิธีมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเสร็จสิ้นพระอาทิตย์กับรพีพงศ์ได้กล่าวลาและกลับวิมานสีชาด ทว่าก่อนรพีพงศ์จะย่างขึ้นราชรถ เทพหนุ่มได้ถอดกำไลเนื้อเหมประดับรายล้อมด้วยโกเมนแดงก่ำสลับกับปัทมราชสีชมพู
“นาคินทร์…กำไลนี้พี่ขอมอบให้กับเจ้า ถือเสียว่าเป็นของหมั้นหมายว่าเจ้าเป็นคนของพี่” รพีพงศ์กล่าว หัตถาใหญ่คว้าข้อมือเล็กขึ้นมาแล้วจึงสวมใส่ให้
“แม้นไม่มีกำไลมาหมั้นหมาย…ข้าก็เป็นของท่านพี่อยู่แล้วมิใช่หรือ”
*****
การจัดพิธีวิวาห์ระหว่างรพีพงศ์กับนาคินทร์เป็นที่เล่าลือต่อเหล่าเทพาและอัปสรนารี ตลอดจนคนธรรพ์ สัตว์เทวะทั้งหลาย ผินหน้า ชะเงี่ยหูไปทิศทางใดย่อมได้ยิน ไม่ว่าความงามเหนือนารีของนาคินทร์ คำยกยอสรรเสริญรพีพงศ์ที่ฝ่าฟันอุปสรรคชุบชีวิตนาคินทร์ขึ้นมาได้ ไหนจะฝ่าด่านชนะใจพระเสาร์ผู้ได้ชื่อว่าใจแข็งเป็นหนึ่ง นอกจากนี้ยังคาดการณ์ถึงอำนาจของสองวงศาซึ่งได้มาเกี่ยวดองกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันว่าจะยิ่งใหญ่เกินคณานับ
ยิ่งใหญ่เพียงใดนั้นหรือ...ประเมินด้วยตาจากมหาวิหารนวดาราตั้งแต่ปากทางเข้า มีคบเพลิงประดับตลอดทางเปลวไฟนั้นมีสีชมพูดูแล้วสบายตา พอเดินเข้าไปภายในจะเห็นโถงใหญ่โอ่อ่าประดับด้วยผืนผ้าและผืนธงสีชาดสลับกับสีเม็ดมะปราง สุดสายตาจะแลเห็นบัลลังก์ทองของพระผู้สร้างไล่ลงมาจะเป็นแท่นมณีสองฝั่งเข้าหากันของสุริยเทพและพระเสาร์ นอกจากนี้ยังมีผกางามหลากพันธุ์ถูกนำมาจัดรวมเป็นช่อ บ้างนำมาร้อยเป็นมาลัยประดับประดา พื้นรัตนาขัดเงาส่องประกายปูพรมสีเข้าเป็นลาดทางเดินให้เยื้องย่างระหว่างแท่นมณีซึ่งถูกจัดไว้ตามลำดับยศฐาให้ผู้ถูกเชื้อเชิญได้นั่ง
วิหารศักดิ์สิทธิ์ประจำเทพนพเคราะห์ มักใช้ประกอบพิธีสำคัญอันเกี่ยวข้องกับเทวัญทั้ง ๙ เฉกเช่นยามนี้ อันเป็นเวลาสมควรตามที่ปรากฏในกระดานชนวนของพระพฤหัสบดี งานวิวาห์ที่เคยเป็นเพียงคำวาจาได้กลายเป็นจริง
“ชลันธรดูสิ ท่านรพีพงศ์คอยมองหานาคินทร์ตลอดเลย” บุษยะซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างของพระสมุทรได้เอ่ยขึ้นหลังจากสังเกตพฤติกรรมของรพีพงศ์อยู่พักใหญ่
“เราว่ารพีพงศ์คงจะตื่นเต้นเป็นแน่” ชลันธรออกความเห็น
“ท่านนภนต์เล่า ท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร คราท่านกับชลันธร ข้าจำได้ว่านั่งแทบไม่ติดแท่นแก้ว หาได้ต่างจากท่านรพีพงศ์” นั่งฟังบทนทนาของสองสหายอยู่ดีๆ คำถามวกเข้าตัวมาจนได้ นภนต์คิด
“จริงหรือท่านพี่ ท่านพี่มีท่าทีเช่นเดียวกับรพีพงศ์หรือ” ชลันธรถาม น้ำเสียงดูกระตือรือล้นใคร่รู้ เนื่องจากตนมิเคยล่วงรู้และคาดไม่ถึงว่านภนต์ผู้สง่าจะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้
“ใช่ พี่นั่งแทบไม่ติด ทั้งตื่นเต้น ทั้งอยากเห็นใบหน้างามของเจ้า” นภนต์เอ่ยออกมาน้ำเสียงหวานชวนให้พระสมุทรเขินอาย
“แล้วเจ้าล่ะ…ชลันธร เจ้ารู้สึกเช่นไร”
“น้องน่ะหรือ…น้องรู้สึก…” ชลันธรก้มใบหน้าซ่อนแก้มแดงก่อนจะให้คำตอบกับนภนต์…
“ตื่นเต้นเหลือเกิน…ใจข้านี้จะหลุดออกมาจากอกแล้ว” นาคินทร์พึมพำขณะนั่งให้นางอัปสรรวบเกศาไว้ครึ่งศีรษะแล้วเกล้าขึ้นทำมวยสูง จากนั้นติดประดับปิ่นพลอยม่วงลายบัวผันเป็นอันเสร็จสิ้น
“งดงามเหลือเกินท่านนาคินทร์” นางอัปสรกล่าวชม
“กล่าวเกินไปแล้ว” นาคินทร์ถ่อมตน
“ไม่มีส่วนไหนที่เกินจากความจริงเลย ท่านนาคินทร์” นางอัปสรอีกคนเยินยอแล้วมองนาคินทร์ผ่านบานกระจกใหญ่
“พวกเจ้าแต่งกายให้ท่านนาคินทร์เรียบร้อยดีแล้วหรือไม่ ถึงเพลาที่ท่านนาคินทร์จะต้องไปยังภายในวิหารแล้ว” นางสวรรค์อีกองค์ถาม ขณะเดินเข้ามาในห้อง รัศมีของนางเฉิดฉายกว่านางฟ้าองค์ไหนๆ ‘วิภาดา’ ผู้ช่วยของเทพี’ดารกานต์’ เทวนารีแห่งความรัก
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วเว้นเพียงตัวข้า…” นาคินทร์ลุกขึ้นยืนพร้อมให้คำตอบ มือเรียวยกขึ้นมากุมอกข้างซ้ายไว้
“เป็นอันใดไปท่านนาคินทร์ โปรดบอกพวกข้ามาเถิด”
“ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน ประเดี๋ยวต้องเดินเข้าไปเพียงลำพังไร้คนเคียงข้าง พวกเจ้าเองแม้ตามมาก็เดินห่างจากเราอยู่มากโข” นาคินทร์บอกความรู้สึก หากมีชลันธรและบุษยะคงจะดีกว่านี้ อย่างน้อยๆสหายทั้งสองยังชวนคุยให้คลายความตื่นเต้นระคนกังวลนี้ได้
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี ใครตกอยู่ในสถานะเดียวกับมักจะเป็นเช่นนี้ ไม่เว้นแต่พระสมุทรชลันธรสหายของท่าน ทว่าท่านจักมัวตื่นเต้นแล้วไม่ยอมออกไป ท่านรพีพงศ์คงคอยแล้วคอยเล่า ดีไม่ดีอาจจักบุกเข้ามาชิงตัวพาท่านออกไปก็เป็นได้” ดารกานต์เอ่ย นาคินทร์ฟังจึงได้คิดไตร่ตรอง ทั้งตนและรพีพงศ์หาได้เห็นพักตร์สบตาเป็นเวลาร่วม ๗ วัน ตามธรรมเนียมของชาวสวรรค์ กลับกลายเป็นว่าความคิดถึงได้ค่อยๆก่อเกิดขึ้นแทรกแซงแทนความตื่นเต้นจนสิ้น
“พวกเราออกไปกันเถิด…ข้าพร้อมแล้ว” คำพูดของนาคินทร์ทำให้ผู้ฟังต่างยินดี พากันตั้งขบวนเดินตามเทวากึ่งนาคามุ่งหน้าเข้าสู่พิธีสำคัญ
เมื่อเดินเหยียบย่างถึงขั้นบันได บานประตูสีงาช้างสลักลวดลายสัญลักษณ์แห่งดาวนพเคราะห์ค่อยๆแง้มเปิดออกทีละนิด ดวงเนตรสีม่วงเข้มมองไปข้างหน้า ภาพภายในมหาวิหารค่อยๆชัดขึ้นตามบานประตูที่เปิดออกและสิ้นสุดลงทันใดเมื่อนาคินทร์ได้หยุดยืนรอข้ามธรณีประตู
เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงท่วงทำนองเพลงหวาน กลีบมาลาหลากสีร่วงหล่นลงมา ทุกสายตาล้วนมองไปยังนาคินทร์ซึ่งกำลังเยื้องย่างเข้ามา
‘งาม..มิอาจหาใครเสมอเหมือน’ ประโยคนี้รพีพงศ์ขอมอบให้แก่นาคินทร์ที่งามเกินกว่าวันไหนๆ ยิ่งได้ใส่เสื้อทรงสีขาวสะอาดตาตัดกับภูษานุ่งสีลูกหว้า ทั้งยังคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีขาวปักเลื่อมสีดอกอัญชันสลับกับพลอยสีดอกตะแบก ไล่สีเข้มจากชายผ้าด้านล่างขึ้นไป
นาคินทร์เองแม้จะตกเป็นเป้าสายตาทว่าคนงามกลับสนใจเพียงรพีพงศ์ ผู้ทรงสง่าด้วยเครื่องพัสตราภรณ์คล้ายตนผิดกันเพียงสีเท่านั้น อันใดที่เป็นสีม่วงของรพีพงศ์จะเป็นสีแดง
ไม่นานเท้าของนาคินทร์ก็ไม่อาจจะก้าวต่อไป นางอัปสรด้านหลังก้าวมาด้านข้างของนาคินทร์ก่อนจะส่งพานทองอันมีธูปเทียนแพ ด้านบนมีกรวยทำจากใบตองวางไว้ เมื่อรับมาแล้วนาคินทร์ยอบกายลงคลานเข่าเข้าไปหยุดตรงหน้ารพีพงศ์ มือเรียววางพานไว้ข้างกายแล้วก้มลงกราบรพีพงศ์ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาเปลี่ยนอิริยาบถจากหมอบเป็นนั่งเช่นเดิมและหยิบพานธูปเทียนแพส่งให้รพีพงศ์
เทพหนุ่มรับไว้ด้วยใจปิติ ก่อนจะย่อตัวลงมาคุกเข่าข้างกายนาคินทร์ ดวงตาของทั้งคู่สบกันอีกครั้ง ผู้หนึ่งรีบหลบเอียงอาย ผู้หนึ่งจับจ้องราวกลัวอีกฝ่ายจะหายไป
“อะ แฮ่ม” พระเสาร์ทำทีกระแอมออกมาไม่ดังมากนัก เพื่อให้คู่สมรสรู้ว่าในมหาวิหารไม่ได้มีเพียงสองคน อีกทั้งยังอยู่ในพิธี รพีพงศ์และนาคินทร์จึงพากันคลานเข่าเข้าหาก้มลงกราบพระผู้สร้างผู้มาเป็นประธานในพิธีศักสิทธิ์ในครั้งนี้
รพีพงศ์ยกพานขึ้นสูงเหนือเศียรยื่นตรงต่อหน้าพระพักตร์ของมหาเทพ พระพริษฐ์เปิดกรวยใบตองออกภายในมีดอกไม้กลีบขาวและใบสีเขียวสดอย่าง ‘พุดซ้อน’ สัญลักษณ์แห่งงานวิวาห์สื่อถึงความรักที่บริสุทธิ์ พระองค์หยิบดอกพุดซ้อนมอบให้กับรพีพงศ์ เมื่อสุริยบุตรได้มาแล้วนั้นจึงนำมาทัดหูให้กับนาคินทร์ ส่วนใบนั้นพระผู้สร้างมอบให้กับนาคินทร์นำไปทัดหูให้กับรพีพงศ์
พานธูปเทียนแพได้มอบให้กับนางกำนัลซึ่งคอยรอรับนำไปเก็บ จากนั้นทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์ต่างพนมมือไว้กลางอุรา พระพริษฐ์เสกก้านทับทิมทองคำเป็นประจักษ์ในฝ่ามือแล้วสะบัดกิ่งทับทิมนี้เพียงเล็กน้อยทำให้เกิดวารีศักดิ์สิทธิ์พรมทั่วสองกายาตรงหน้า
“ข้าขอให้ท่านทั้งสองครองคู่กันอย่างมีความสุขยาวนานตลอดไป” พระพริษฐ์อวยพร
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพะยะค่ะ” รพีพงศ์และนาคินทร์เอ่ยออกมาพร้อมกัน
เมื่อได้รับพรจากพระผู้สร้างเสร็จสิ้น ทั้งสองกราบลาแล้วคลานเข่าไปยังแท่นประทับของพระเสาร์และมุตตา รพีพงศ์ นาคินทร์ต่างพนมมือไหว้ พระเสาร์เสกก้านทับทิมเงินขึ้นแล้วพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
“ความรักของเจ้าทั้งสองยิ่งใหญ่เป็นที่แจ้งใจให้ตัวข้าตลอดจนเหล่าเทพได้รับรู้ หากความรักมันไม่พอสำหรับการครองคู่ยังต้องดูแลและเชื่อใจกัน จงจำคำของข้าไว้”
“ส่วนแม่มิมีข้อคิดใดนอกจากจะให้ทั้งสองดูแลกันและกันให้ดี…ท่านรพีพงศ์ ข้าขอฝากนาคินทร์ไว้กับท่านด้วย” มุตตาเอ่ยเสียงสั่นเครือน้ำตารื้นคลอเบ้าพร้อมลูบผมของลูกยาไปด้วย
“ท่านน้าอย่าได้นึกห่วง ข้าจะดูแลนาคินทร์เป็นอย่างดี” รพีพงศ์พอจะเข้าใจความรู้สึกของมุตตาดีเพราะนับจากราตรีนี้ไปนาคินทร์จักต้องอยู่วิมานของตน
หลังจากรับพรจากบิดา-มารดาฝ่ายนาคินทร์แล้ว ทั้งสองคลานเข่าไปหาพระอาทิตย์ซึ่งประทับเพียงองค์ด้วย เนื่องด้วยมารดาของรพีพงศ์ได้สิ้นชีวาเมื่อนานมาแล้ว
“พ่อนี้ขอให้ลูกทั้งสองใช้เวลาไปกับความสุข ให้เกียรติและมอบสิ่งดีงามให้กันและกัน…นาคินทร์เจ้าอย่าได้กังวลเมื่อย้ายถิ่นฐานมาอาศัย ณ วิมานเพลิง เมื่อเจ้าตบแต่งเข้ามาก็เท่ากับว่าเป็นบุตรของข้าคนหนึ่ง มิต้องกลัวสิ่งใด” พระอาทิตย์เอ่ยน้ำเสียงล้วนแสดงถึงความเมตตาทำให้ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นใจ
พิธีพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นอันสิ้นสุด ทว่าหาได้เป็นพิธีสุดท้ายเพราะยังมีอีกหนึ่งพิธีที่ยังรออยู่นั่นคือพิธีปฏิญาณตน รพีพงศ์และนาคินทร์ยืนขึ้นก่อนจะเดินออกมาฝั่งทางเดินเล็กน้อย โดยมีดารกานต์เทวีคอยท่าอยู่ก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วเริ่มเอ่ยคำถามอันเป็นการดำเนินพิธี
“ท่านรพีพงศ์ ท่านตั้งใจจะรับท่านนาคินทร์บุตราแห่งพระเสาร์เป็นชายา ทะนุถนอมด้วยใจแห่งสเน่หามอบความรัก ความเมตตาต่อท่านนาคินทร์สืบต่อไปหรือไม่”
“ข้าตั้งใจเช่นนั้น” รพีพงศ์ตอบ น้ำคำหนักแน่นไม่หวั่นไหว
“ท่านนาคินทร์ ท่านตั้งใจจะมอบกายถวายใจของท่านเป็นชายาแห่งรพีพงศ์ผู้สืบสันติวงศ์สุริยะ ด้วยใจรักจะปฏิบัตตนเป็นชายาที่ดีสืบต่อไปหรือไม่”
“ข้าตั้งใจเช่นนั้น” นาคินทร์ตอบ น้ำเสียงหนักแน่นไม่ต่างจากรพีพงศ์
“ต่อไปขอให้ท่านทั้งสองมอบแหวนและคำสัญญา”
รพีพงศ์และนาคินทร์ขยับกายหันหน้าเข้าหากัน นาคินทร์ยื่นมือซ้ายให้ รพีพงศ์จับมือเรียวนี้ไว้อย่างเบามือก่อนจะเสกแหวนให้ปรากฎในฝ่ามือของตนแล้วค่อยๆสวมแหวนไปยังนิ้วนางข้างซ้ายของนาคินทร์
“พี่สัญญาว่าจะรักและซื่อสัตย์กับเจ้าตลอดไป ดั่งวงแหวนนี้ที่หาจุดสิ้นสุดมิได้ เฉกเช่นความรักของพี่ที่มีให้เจ้ามันจะหมุนวนไม่ไปไหน” รพีพงศ์เอ่ย หยาดน้ำตาแห่งความสุขของนาคินทร์ได้ไหลอาบแก้ม ดวงตานั้นมองธำมรงค์ประดับพชรล้อมทับทิมแดงแวววาวผ่านม่านน้ำตา
“ข้าขอสัญญากับท่านพี่ว่าจะรักและจะใช่ชีวิตนร่วมกับท่านไม่ว่าจะยามสุข ยามทุกข์ ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไปและไม่มีสิ่งใดจะพรากเราได้” นาคินทร์เอ่ยพลางสวมแหวนเพชรล้อมพลอยสีพวงอังกาบ รพีพงศ์ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วใช้อีกมือที่กำลังว่างเกลี่ยน้ำตาให้กับผู้อันเป็นที่รัก
“บัดนี้เสร็จสิ้นพิธีแล้ว ข้าดารกานต์เทพีแห่งความรักขอประกาศนับแต่นี้เป็นต้นไปว่ารพีพงศ์และนาคินทร์เป็นหนึ่งเดียวกัน”
“เฮ้!!!! รพีพงศ์ นาคินทร์ รพีพงศ์ นาคินทร์” สิ้นเสียงของเทวีแห่งรัก ทวยเทพต่างโห่ร้องเรียกขานสองนามด้วยใจยินดี ดังก้องมหาวิหาร พร้อมกันนั้นเสียงเครื่องดนตรีดังขึ้นและกลีบมาลาได้โปรยลงมาอีกครั้งเป็นการเปิดพิธีเลี้ยงฉลอง…ฉลองให้กับความรักของคนทั้งคู่ที่ยืนจับมือสอดประสานนิ้วเอาไว้แนบแน่น ทั้งในดวงตาสะท้อนเงาของอีกฝ่าย
“พี่รักเจ้า/ข้ารักท่านพี่” ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะป้องปากปิดรอยยิ้มแก้เขินอาย
“พี่ว่าจะชิงบอกรักเจ้าก่อนเพราะตั้งใจว่าใครเอ่ยก่อนผู้นั้นมีอำนาจสั่งอีกฝ่ายในค่ำคืนนี้” รพีพงศ์กระซิบกระซาบข้างหูนาคินทร์ จึงถูกนาคน้อยมอบรอยประทับเบาๆจากฝ่ามือลงต้นแขน
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอเป็นผู้เอ่ยก่อนได้หรือไม่ ท่านพี่จักยอมหรือไม่” นาคินทร์กระซิบถามกลับ
“ได้สิ หากเจ้าขอพี่ยอมทุกอย่าง”
.....................
ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก มันเรียบๆง่ายๆ กลัวคนอ่านจะเบื่อจัง T T แต่ท่านยุ่งกลับชอบนะ อยากให้เขามีแต่งงานประกาศให้โลกรู้กันไป หลังจากสู้กับอุปสรรคมาตลอด ตั้งใจเขียนด้วยแต่ไม่รู้ว่าออกมาดีงามถูกใจกันไหม ส่วนนี้แนะนำติชมกันได้นะคะ
ป.ล. พี่รพีเราแต่งงานไม่ถึงวันก็กลายเป็นพ่อบ้านใจกล้าโดยสมบูรณ์แล้ว 5555
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น มาเป็นกำลังใจนะคะ