ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209  (อ่าน 33432 ครั้ง)

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-06-2021 12:09:04 โดย TanYung0209 »

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา by Tan-Yung 0209
«ตอบ #1 เมื่อ17-01-2018 09:19:40 »

ลิขิตรัก...เพลิงเทวา

 

 

เพราะความรัก...นำพาดวงใจคืนกลับมา

เพราะความแค้น...นำพาดวงใจนั้นจากไป



นิยายเรื่องนี้เป็นภาคต่อจาก

สาปรักทัณฑ์เทวา[/size
]

[url]http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58846.]http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58846.][url]http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58846.0 [/url]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2018 21:15:48 โดย TanYung0209 »

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.00 (17/01/61)
«ตอบ #2 เมื่อ17-01-2018 09:22:49 »



ลิขิตรัก…เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 00













ณ ทางช้างเผือกหนึ่งในดาราจักรแห่งห้วงจักรวาลแสนกว้างใหญ่ ยังคงงดงามพร่างพราวไปด้วยเหล่าดวงดาวที่ส่องแสงสกาวระยิบระยับ แต่เพลานี้กลับมิใช่มีเพียงแสงจากดวงดาราเท่านั้น หากแต่มีแสงจากเพลิงอัคคีที่ลุกโชน แม้จะเห็นเป็นจุดเล็กๆแต่กลับโดดเด่นจนเป็นที่สังเกตได้โดยง่าย

นอกจากไฟของเปลวเพลิงที่ปรากฏขึ้นแล้ว ยังมีคำบอกรักที่ดังก้องกังวานของเทพหนุ่มที่เอ่ยออกมาให้กายบางที่กำลังมอดไหม้วนซ้ำไปมา ไฟที่ตนนั้นเป็นผู้จุดขึ้นมาเผาผลาญร่างคนรักตามคำสั่งเสีย ไม่นานนักไฟร้อนที่ลุกท่วมกายก็ค่อยๆ มอดดับลง กายบางที่ถูกเผาบัดนี้เหลือเพียงเถ้าถ่านที่ล่องลอยหมุนวน รวมกันขึ้นมาก่อตัวเป็นดวงแก้วนาคาส่องประกายแสงแล้วค่อยๆ ตกลงมาสู่ฝ่ามือของสุริยะบุตร แก้วนาคานี้คือสิ่งสุดท้ายของผู้ที่ตนได้มอบหัวใจหลงเหลือไว้นอกเหนือจากความรัก ความทรงจำ ฝ่ามือใหญ่กุมแก้วนาคานั้นวางทาบไว้แนบอกข้างซ้าย…ให้ได้สัมผัสกับหัวใจที่ยังเต้นเพื่อคนรัก ดวงแก้วนั้นแทรกซึมผ่านร่างกายเข้าไปแล้วหยุดอยู่ที่กลางดวงใจของตนเอง

เหตุการณ์ในวันที่สูญเสียคนรักได้ฝักรากลึกในความทรงจำ มันช่างแจ่มชัดเสียเหลือเกินยิ่งได้เห็นยิ่งรู้สึกคล้ายหมุดที่ตอกเข้าดวงใจให้ร้าวราน เทพหนุ่มลืมตาขึ้นมาหลังจากที่เผลอหลับใหล เพลานี้คนรักได้จากตนไปเป็นราตรีที่ ๔ แล้ว

...‘พี่นั้นคิดถึงเจ้า...เวลาในแต่ละวันที่ไม่มีเจ้ามันช่างทรมานใจพี่ยิ่งนัก’… …‘เจ้ารู้หรือไม่…พี่นั้นไม่เคยลืมเจ้าเลย แม้เพียงเสี้ยววินาที’… …‘ทุกลมหายใจของพี่นั้นมีเพียงเจ้า…มิอาจมีใครอื่นได้’…

รพีพงศ์ยกมือขึ้นมาทาบหน้าอกพร้อมรวมจิต มิช้านานแสงสีขาวส่องสว่างออกมาจากอกข้างซ้าย แก้วนาคาปรากฏขึ้นมาในฝ่ามือ ดวงตาคมจ้องมองไปใจนึกถึงใบหน้างดงามที่มีเกศาสีดำยาวสลวยที่เคยสาง ดวงตาสีเขียวมรกตที่ตนจ้องมองไม่รู้เบื่อ ริมฝีปากแดงสดที่ตนอดใจมิให้จุมพิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า

…‘นาคินทร์…เจ้าจักกลับมาหาพี่ได้หรือไม่’...











.............

ท่านยุ่งขอส่งอินโทรมาก่อนนะคะ ตอนอื่นจะรีบปั่นหลังจากรวบรวมเนื้อหาทำเล่มนิยายเรื่องสาปรักทัณฑ์เทวาเสร็จ รอกันหน่อยนะคะ จุ๊บ

ส่วนรพีพงศ์กับนาคินทร์จะได้กลับมาเจอกันไหม เจอในรูปแบบไหน.. ไม่ต้องเดาค่ะ นิยายท่านยุ่งน้ำเน่าเดาไปก็เท่านั้น 555

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2


ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 01











ลึกลงไปใต้แผ่นน้ำรอยต่อระหว่างมหาสมุทรทั้งสอง  มหานทีสีทันดรและโลกสมุทร อันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดที่เกิดมาพิกลพิการ บ้างเกิดจากบิดามารดาต่างพงศ์พันธุ์ จึงทอดทิ้ง แต่มีอยู่ไม่น้อยที่มาหลบซ่อน ไม่ต้องการเผชิญกับผู้ใดด้วยอับอายในความอัปลักษณ์

...‘เพื่อจะหลีกเร้นจากสายตาที่รังเกียจดูแคลน’…

…‘เพื่อที่ใครคนนั้นจักได้ไม่มาพบเห็น…ใบหน้าแสนอัปลักษณ์ของข้า’…

สถานที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยความหดหู่เศร้าหมองแผ่กระจายปกคลุม ดุจความมืดมิดแห่งรัตติกาลที่ฉาบบริเวณนี้ไว้ แสงตะวันจากโลกไม่เคยจะส่องเข้ามาถึงไม่เคยเลย…ไม่เคยเลยแม้สักครั้ง ความมืดมิดจะกลายเป็นอดีต

เมื่อบังเกิดแสงสุรีย์สว่างโชติช่วงใต้ผืนน้ำ เหล่ามัจฉา เต่าพันปี แลสัตว์น้ำน้อยใหญ่ต่างสงสัย โลกนี้กลับตาลปัตรไปแล้วหรือ ถึงได้ปรากฏดวงอาทิตย์ใต้ผืนมหานทีแห่งนี้ แต่เมื่อเพ่งพินิจแล้วกลับไม่ใช่…ดวงแก้วสว่างที่เห็นนั้นคือเทพบุตรรูปงามพร้อมเปลวรัศมีสีเพลิงรอบกายกำลังแหวกว่ายฝ่ากระแสสินธุ์แสนมืดมิด

…‘ไม่ว่าท่านจะหลบซ่อนกายอยู่ที่ใด…ข้านั้นจักตามหาท่านให้เจอ’…

. . .

เวลานั้นเปรียบได้ดั่งสายน้ำที่ไหลผ่านไปไม่ไหลย้อนกลับ…ผ่านมาแล้วผ่านไป เวลาโลกเท่ากัน แต่เวลาของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ในบางช่วงชีวิตเราไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ และหลายครั้งที่เรากลับปล่อยให้มันล่วงเลยไปอย่างไร้ความหมาย

แน่นอนว่าเวลาไม่ได้ช่วยให้ลืมความเจ็บปวด แม้จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือตลอดชีวิต ความทุกข์ทรมานจากการพลัดพรากสูญเสียผู้เป็นที่รัก ทำให้จิตยิ่งจ่อมจมกับความมืดมิดลงไปทุกที

เฉกเช่นเทวารูปงามนาม ‘รพีพงศ์’ ที่อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวระหว่างตนเองกับนาคินทร์เสียเหลือเกิน หากย้อนเวลากลับไปได้ตนจะบอกรักนาคินทร์ให้เร็วกว่านี้ จะปกป้องนาคินทร์ไม่ให้เกิดอันตราย สองแขนนี้จะตระกองกอดให้ความอบอุ่นยามหลับใหลแก่นาคน้อย ถึงแม้ว่าอยากจะย้อนเวลาฝ่ามิติมากมายเท่าใด ก็มิอาจเป็นจริงได้

รพีพงศ์ผู้แสนเข้มแข็งได้เปลี่ยนไปด้วยน้ำเปลี่ยนนิสัยที่ทำให้เมามายแทบไร้สติ ตื่นขึ้นมาก็รินเหล้าลงจอกกรอกเข้าปากจนหลับใหล พอตื่นฟื้นขึ้นมาได้ก็รินเหล้าดั่งเดิมทำเช่นนี้ซ้ำๆ นับตั้งแต่สูญเสียผู้เป็นดวงใจไป

ไฟแห่งชีวิตกำลังมอดลงทุกที

…‘โลกแห่งความจริงมันเจ็บปวดนัก แม้เป็นถึงเทพก็มิอาจดับทุกข์นี้ได้…ข้าขอหลับตาอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่แสนสุข มีพี่และเจ้ายังดีเสียกว่า…นาคินทร์’…

“ท่านพี่รพีพงศ์…ท่านพี่ตื่นขึ้นมาเถิด” อรุณเทพ เทพผู้เป็นน้องชายฝาแฝดกำลังปลุกเทพผู้เป็นพี่ผู้เมามายไม่ได้สติให้ตื่นขึ้นมา

“อืม..ข้าจะนอน อย่ามาปลุกข้า!!!” รพีพงศ์ตวาดลั่นแม้ดวงตานั้นยังถูกเปลือกตาปิดทับอยู่ก็ตามที อรุณเทพหาได้ถือสาหาความไม่ กลับรู้สึกเศร้าใจที่เห็นเทวาผู้งามสง่ากลับกลายเป็นเทวาขี้เมาไร้สติ ใบหน้าซูบเซียว วงตาหมองคล้ำ อรุณเทพมองแล้วได้แต่ทอดถอนใจ

…‘ความรักอันไม่สมหวัง…นั้นมีพิษร้ายแรงเพียงนี้เชียวหรือ’…

“ท่านพี่รพีพงศ์ ท่านจงตื่นขึ้นมาเถิด…พระผู้สร้างทรงเทวโองการให้ท่านพี่เข้าเฝ้า” พระอรุณยังคงไม่ลดละความพยายาม ครั้งนี้ทั้งลาก ทั้งฉุดกายใหญ่ให้ลุกออกจากแท่นบรรจถรณ์

“ออกไป!!! เจ้าจงออกไป!!! ข้าอยากอยู่คนเดียว ข้าไม่อยากจะพบผู้ใดทั้งสิ้น” คำพูดโดยไม่ไตร่ตรอง หลุดออกมาจากปากของรพีพงศ์ด้วยสุรเสียงดัง จนผู้เป็นเจ้าของวิมานนั้นได้ยิน และเยื้องย่างเข้ามา

“รพีพงศ์!!! เจ้ามิสมควรเอ่ยวาจาเช่นนี้…” สุริยเทพก้าวเดินเพียง ๓ ก้าว สาวเท้ามาหาบุตรชายคนโต ก็ถึงตัวบุตรชายคนโต ส่วนอรุณเทพเมื่อเห็นบิดาเดินเข้ามา เขาจึงเดินหลีกออกไปด้านข้าง

“อะไรคือความไม่สมควรกันเล่า ท่านพ่อ ในเมื่อข้านั้นเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยใจจริง ข้ามิอยากพบเจอใคร…เป็นไปได้ข้าอยากตายเสียด้วยซ้ำ” รพีพงศ์ระบายความอัดอั้นภายในใจ หากไม่มีพันธะสัญญาระหว่างตนกับนาคินทร์ เขาคงหาวิธีตายตามกันไปเสียแล้ว

“ความรัก...ทำให้เจ้าอ่อนแอเช่นนี้เชียวหรือ…รพีพงศ์ ไยเจ้าไม่เข้มแข็งให้สมกับมีสายโลหิตของข้า! หมุนเวียนในกายเจ้า...แม้รักครั้งนี้เจ้ามิอาจสมหวัง ใช่ว่าชาตินี้เจ้าจักไม่สามารถรักผู้อื่น อย่ามัวจมปลักกับนาคาเพียงตนเดียวเลย” พระอาทิตย์เอ่ยให้สติรพีพงศ์   “ชาตินี้ หรือไม่ว่าชาติไหน ข้านั้นมิอาจจะปันใจไปรักใครได้อีกแล้วท่านพ่อ...ข้ารักนาคินทร์ นาคาที่ใครต่อใครว่าแสนต้อยต่ำ หากแต่เขายอมสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องข้า” รพีพงศ์เอ่ย  รพีพงศ์ในครานี้เหมือนกองไฟที่กำลังจะดับเหลือไว้เพียงเถ้าถ่าน ในแววตาแสดงถึงความสิ้นหวังหม่นหมอง

“ในเมื่อนาคินทร์! ยอมแลกชีวิตเพื่อให้เจ้าอยู่รอด เหตุใดเจ้าจึงทำตัวเหลวแหลกเช่นนี้เล่า รพีพงศ์ลูกพ่อ…จงยอมรับความจริงเสียเถิด เจ้าเป็นถึงรัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ จงอย่าเป็นมหิงสาที่จมปลักอยู่ในโคลนตมแห่งอดีตที่เจ็บปวด การกระทำเช่นนี้มันช่างน่าอับอายยิ่งนัก” พระอาทิตย์ไม่เคยคิดว่า บุตรชายตนจะลุ่มหลงในรักจนเสียผู้เสียคน คิดว่าไม่นานคงจะดีขึ้น แต่เพลานี้พอได้เห็นสภาพรพีพงศ์ ได้รับรู้ความในใจ จึงได้เข้าใจบุตรชายมากขึ้น

“ใช่แล้วท่านพี่…หากดวงวิญญาณของนาคินทร์รู้ว่าท่านพี่เป็นเช่นนี้ นาคินทร์นั้นคงจักเสียใจเป็นแน่” อรุณเทพพูดเสริม

ดั่งคำที่พระอาทิตย์ได้กล่าวไว้…นาคินทร์ยอมเสียสละตนเองเพื่อให้รพีพงศ์นั้นอยู่รอด สุริยบุตรได้ฟังจึงฉุกคิดถึง เสียงหวานแผ่วเบาที่เอ่ยคำขอในอ้อมกอดตน

…‘ข้อที่สาม…จะหาว่าข้าหลงตัวเอง คิดว่าตนเองสำคัญกับท่านก็ได้ ข้าขอให้ท่านอย่าโทษตัวเองเรื่องข้าเป็นอันขาดและอย่าได้คิดตายตามข้า’…

“ใช่…นาคินทร์ต้องเสียใจเป็นแน่ ข้าจะทำตัวเช่นนี้มิได้” รพีพงศ์เอ่ย ความทรงจำถึงคำสัญญาที่มีให้นาคินทร์ฉายชัดขึ้นมา…ยังมีสัญญาที่ตนยังไม่ได้ทำเพราะมัวจมในห้วงโศกา

“พ่อดีใจที่เจ้าคิดได้ เอาเถิดรพีพงศ์เจ้ารีบไปล้างหน้าล้างตา ชำระร่างกายของเจ้าเสีย เมื่อครู่อรุณเทพเจ้าบอกกับพี่เจ้าใช่หรือไม่ ว่าพระผู้สร้างนั้นทรงมีรับสั่งให้เจ้าเข้าเฝ้า”

“ใช่แล้ว…ท่านพ่อ”

“เช่นนั้นเจ้าจงรีบช่วยพี่ของเจ้าจัดแจงแต่งองค์เสียด้วยเล่า หากพระผู้สร้างมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเช่นนี้จักต้องมีการสำคัญเป็นแน่” แม้จักไม่รู้ชัดว่าเหตุใดองค์มหาเทพจึงอยากพบรพีพงศ์แต่ด้วยสัญชาตญาณของผู้เป็นบิดา…คงมีการสำคัญในภายหน้ารอรพีพงศ์อยู่

. . .

ต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขา มวลบุปผางามเบ่งบานส่งกลิ่นหอมเรียกเหล่าผีเสื้อไม่ต่างจากคนธรรพ์ชื่นชมนารีผล ทั้งยังมีหิ่งห้อยตัวน้อยส่องแสงวิบวับบินไปมา เพื่อชื่นชมความงดงาม  ทว่าวันนี้แตกต่างออกไป เมื่อมหาเทพนั้นได้เสด็จมาเยือนสวนขวัญแห่งนี้ ดังแต่งแต้มให้สวนขวัญดูงามขึ้น และนานเพียงใดแล้วที่พระองค์ไม่ได้เสด็จมา...คงต้องนับตั้งแต่เกิดเรื่องราวระหว่างมหาเทวีกับบุษยะแลถึงชลันธร

“พี่พริษฐ์…น้องว่าเรากลับวิมานกันเถิด ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้แล้วท่านรพีพงศ์นั้นคงไม่มา เหล่าเทวา เทวนารีผู้คอยตามรับใช้จะได้กลับไปพักผ่อน นี่ก็เฝ้ารออยู่เสียครึ่งวันครึ่งคืนเข้าไปแล้ว...” บุษยะเอ่ย

“รออีกประเดี๋ยวรพีพงศ์ก็มา หากน้องง่วงนอนก็นอนหนุนตักพี่เสียเถิด เมื่อรพีพงศ์มาพี่จะปลุกน้องเอง” พระพริษฐ์โอบกายคนงามมาแนบชิดหากบุษยะนั้นกลับขืนกายเล็กน้อย

“น้องคิดว่ามันไม่สมควรหากท่านรพีพงศ์มาเห็นเข้า…น้อง..คือ…”

“บุษยะน้องพี่ นี่น้องอายกระนั้นหรือ เอาเถิดพี่ไม่ฝืนใจน้องดอก หากน้องจะออกไปเดินเล่นเปลี่ยนอิริยาบถเสียบ้างพี่ก็มิว่าอะไร เพียงแต่ห้ามเถลไถลไปไกลจนเกิดเรื่องอีก เข้าใจหรือไม่” พอได้ยินคำพูดเปิดทางให้เที่ยวเล่น รอยยิ้มหวานนั้นประดับที่ใบหน้าจนพระพริษฐ์อดไม่ได้ที่จะโน้มพักตราเข้าหาหมายจะฝากรอยจุมพิตที่ปรางนิ่ม

“พระผู้สร้าง...กระหม่อมรพีพงศ์ขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”

สิ่งที่หมายมั่นตั้งใจมิเป็นดั่งหวัง เมื่อผู้สืบบัลลังก์สุริยาได้มาเยือนถึงสวนขวัญดังคำประสงค์เป็นที่เรียบร้อย พระพริษฐ์จึงแสร้งเป็นกระซิบให้บุษยะนั้นออกไปแทน

“มาแล้วหรือรพีพงศ์ เหตุใดจึงมาช้ากันเล่าหรือว่าอรุณเทพเพิ่งจะบอกเจ้าว่าข้านั้นต้องการให้พบ” พระพริษฐ์เอ่ยถามเมื่อบุษยะออกไป รพีพงศ์ก็เข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้ามหาเทพ

“หามิได้พะยะค่ะ อรุณเทพนั้นบอกกล่าวกระหม่อมก่อนหน้านี้ แต่กระหม่อมนั้นผิดเองที่ชักช้าเป็นเหตุให้พระองค์ต้องรอ กระหม่อมยินดีที่จะรับทัณฑ์เทวาพะยะค่ะ”

“ข้ามิได้เรียกเจ้ามาเพื่อลงโทษดอก หากจะลงโทษคงไม่นัดมาที่สวนขวัญแห่งนี้ แต่ข้านั้นเรียกเจ้ามาตามคำขอของเทพนภนต์”

“เทพนภนต์กระนั้นหรือ…คำขอของเทพนภนต์เกี่ยวข้องอันใดกับกระหม่อมพะยะค่ะ” รพีพงศ์ทูลถามด้วยความสงสัย จะว่าไปตั้งแต่สิ้นเรื่องของชลันธร ตนนั้นก็มัวแต่ขังกายไว้ในวิมานจนมิได้พบเจอเทพนภนต์ตลอดจนชลันธร

“ก่อนที่เทพนภนต์จะรับโทษทัณฑ์เทวานั้นได้ขอให้ข้าช่วยชุบชีวิตนาคินทร์ผู้เป็นที่รักของเจ้าและข้านั้นได้ให้คำสัตย์ไว้” พระพริษฐ์ตอบข้อสงสัย รพีพงศ์ได้ยินดังนั้น ใจเจ้าเอยก็กลับมาเต้นแรงอย่างมีความหวังดั่งเปลวไฟที่ใกล้จะมอดดับกลับมาโพยพุ่งลุกโชนอีกครั้ง

“ข้าจึงเรียกเจ้ามาเพื่อให้เจ้านั้นนำร่างของนาคินทร์มาให้ข้า แล้วข้าจะชุบชีวิตให้” ครั้นเมื่อรพีพงศ์ได้ยินความหวังที่จะได้พบกับคนรักกลับดับลง ดั่งคล้ายไฟในตะเกียงที่ส่องสว่าง กลับจะริบหรี่ดับลงเพราะต้องลม รพีพงศ์ผู้ดีใจอยู่ก่อนหน้านี้กลับสู่ความเศร้าใจอีกครั้ง

“กระหม่อมได้เผาร่างของนาคินทร์ตามความต้องการของเจ้าตัวไปเสียแล้วพะยะค่ะ บัดนี้เหลือเพียงดวงแก้วนาคาเท่านั้นที่กระหม่อมยังคงเก็บไว้ข้างหัวใจของกระหม่อมพะยะค่ะ” รพีพงศ์สะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ล้นออกมา

นี่สินะที่เขาเรียกว่าบุญมีแต่กรรมบัง

“ถ้าเป็นเช่นนั้น มันคงจะเป็นการยากสำหรับเจ้าเสียแล้ว”

“ยาก…อะไรคือสิ่งใดยาก สำหรับกระหม่อมหรือ พระองค์โปรดตรัสให้กระหม่อมนั้นแจ้งใจด้วยเถิด”

“หากเจ้ายังประสงค์ที่จะให้นาคินทร์กลับมามีชีวิตอีกแล้วล่ะก็ เจ้าจงฟัง ...การที่ข้าจะชุบชีวิตใครได้นั้น จักต้องมีร่างของผู้วายปราณ ในเมื่อร่างของนาคินทร์กลับกลายเป็นเถ้าธุลีเสียแล้ว ถ้าเช่นนั้นเจ้าจักต้องสร้างร่างนั้นขึ้นมาใหม่ และนั่นเป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องกระทำ”

“พระองค์ได้โปรดตรัสมาเถิดว่า กระหม่อมต้องทำเช่นไรบ้าง กระหม่อมพร้อมและยินดีที่จะทำทุกอย่าง เพื่อให้นาคินทร์กลับมาพะยะค่ะ” รพีพงศ์ตื่นเต้นเมื่อได้ฟังถึงหนทางที่ยังมีแสงสว่างอยู่ปลายอุโมงค์ ความหวังที่จะเจอนาคินทร์ยังไม่หมดไป

“ไม่ว่าจะเป็นเทพ มนุษย์ หรือสัตว์นั้นจะเกิดขึ้นมาได้ต้องอาศัยบิดามารดาที่ให้สังขาร เลือดเนื้อด้วยกันทั้งนั้น จะเว้นก็เสียแต่พวกที่เกิดมาเองจะไม่สามารถชุบชีวิตได้ด้วยวิธีนี้ เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องนำของสำคัญ หรือของรักของบิดาและมารดาของนาคินทร์ มารวมกับแก้วนาคาที่มีอยู่ในกายเจ้า เพื่อหลอมรวมสร้างกายใหม่ให้นาคินทร์ ณ ใต้ต้นไม้แห่งชีวิตในสวนขวัญแห่งนี้ แล้วข้าจะช่วยชุบชีวิตให้”

“เป็นเทวกรุณาแก่กระหม่อมยิ่งนักพะยะค่ะ” รพีพงศ์ก้มลงกราบมหาเทพผู้เป็นใหญ่

“อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย เวลานั้นมิคอยท่า โดยเฉพาะวิญญาณที่อยู่ในนรกภูมิ เจ้าจงเร่งไปพบบิดามารดาของนาคินทร์เสียโดยไว และข้าขออวยพรให้เจ้านั้นทำการทุกอย่างสำเร็จดั่งใจหวังทุกประการ”

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ”

โชคชะตามิได้กลั่นแกล้งรพีพงศ์ให้ช้ำใจตลอดชีวี เพียงแต่ให้บททดสอบแสนเจ็บปวดก่อนจะลูบหลังปลอบโยนด้วยความหวังแสนหวาน แต่ทว่าการจะตามหาบิดามารดาของนาคินทร์ดูมิใช่เรื่องง่าย

…‘ข้ากับแม่ของข้าอาศัยอยู่ในถ้ำระหว่างรอยต่อใต้มหาสมุทรสองนที’...

เบาะแสเพียงเล็กน้อยจากคำบอกเล่าของนาคินทร์นั้นดังเข้ามาในโสตประสาท ถึงพอรู้ว่าต้องตามหาแม่ของนาคินทร์ ณ แห่งหนใด แต่ล่องลึกใต้มหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ก็มิต่างจากงมหาเข็มสักเล่มในมหาสมุทร ส่วนพ่อของนาคินทร์นั้นเล่า จะตามหาแห่งใดกันไม่รู้เลยด้วยซ้ำ และไม่รู้เลยด้วยว่าท่านเป็นใคร นาคินทร์เองมิเคยพูดถึง บอกเพียงอยู่กับมารดาแค่สองคนเท่านั้น 

“อย่าเพิ่งกังวลรพีพงศ์…ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ เวลานี้เราต้องเดินทางไปยังรอยต่อมหาสมุทรสองนทีเสียก่อน” เขาเอ่ยกับตัวเอง

สองหัตถาพนมขึ้นกลางอก ริมฝีปากขยับท่องคาถาอัคนี บังเกิดเปลวไฟโชติช่วงลุกโชนท่วมกายาของสุริยาบุตรเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ จากนั้นจึงพุ่งลงไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่ และด้วยฤทธาของไข่มุกมรกตของวิเศษที่คนรักมอบให้ ทำให้รพีพงศ์สามารถว่ายน้ำดิ่งลงไปยังรอยต่อมหาสมุทรสองนทีได้อย่างง่ายดาย

ในเรื่องง่ายย่อมมีเรื่องยากเกิดขึ้น แม้จะรู้ว่าแม่ของนาคายอดดวงใจอาศัยอยู่นี่แต่มันก็ยากอยู่ดี เพราะรอยต่อจะดูแคบแต่มันกลับกว้างพอดู พอมองไปทางไหนก็เจอกับสัตว์ประหลาดมากมาย พอจะว่ายน้ำเข้าหาเพื่อถามไถ่ เหล่าตัวประหลาดกลับหลบหนี ซ่อนตัวกันจ้าละหวั่น เช่นนี้แล้วการตามหาแม่ของนาคินทร์นั้นยากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก

แม้อุปสรรคมากมายเพียงใด แต่ใจดวงนี้จะฝ่าฟันไปให้ได้ หากจำเป็นต้องพลิกผืนทรายรพีพงศ์ก็พร้อมที่จะทำ หากมันจะเป็นหนทางเดียวที่จะได้นาคน้อยมาสู่อ้อมกอดอีกครั้ง ตนนั้นยินดีทำทุกวิถีทาง

…‘นาคินทร์เอ๋ย…พี่ขอสัญญาว่าจะพาเจ้ากลับมาอยู่เคียงข้างพี่ให้จงได้’…











.......................

มาแล้วจ้า จุดพลุให้กับการกลับมาของคู่ รพีพงศ์และป๋ากนธี เอ๊ย!!! นาคินทร์จ้า หลังจากที่ท่านยุ่งต้องเก็บงำการตายและการฟื้นของหนูคินทร์มานาน วันนี้ท่านยุ่งได้ปลดปล่อย (กระท่อมไม่โดนเผาแล้วโว๊ย!!!) 55555 หวังว่าผู้อ่านที่ตามจากสาปรักและผู้อ่านหน้าใหม่จะติดตามอ่านกันยาวไปนะคะ

นิยายจะอัพช้าหน่อยเพราะท่านยุ่งเคลียร์ทำเล่มเรื่องสาปรักต้องตรวจคำเยอะเลยค่ะ งานละเอียดนิดนึง เลยทำให้การทำลิขิตรักล่าช้าไว้จัดเสร็จจะดำเนินแต่งตามปกตินะคะ จุ๊บ ติดตามข่าวสารของท่านยุ่งได้ที่เพจนะคะ

ป.ล. มาติด #รพีคินทร์ กันเถอะ หากไม่สะดวกไม่ชอบก็ติด #กนรพี ในทวิตเตอร์กัน 555

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่อ่าน เม้น รอคอย ให้กำลังใจนะคะ ไม่ว่างตอบเม้นเลยไม่ได้ดังแล้วหยิ่งนะเพราะไม่ดังก็หยิ่ง ล้อเล่น ดีใจมากค่ะที่ทุกคนติดตาม...รักนะ ไว้ว่างจะตอบนะคะ

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
รพีพงศ์นาคินทร์มาแล้ว  :mc4: :mc4:  ตามหาแม่นาคินทร์ให้เจอเร็วๆนะ 

ออฟไลน์ sk_bunggi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 399
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
อ้ายยยย นาคน้อยของข้า กลับมาเถิดด จุดพลุรอจ้า อิอิ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
โอ้ววว นาคินทร์ของอิแมมมมมมม่

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
นาคินทร์รีบกลับมาหารพีพงศ์เร็ว ๆ นะ

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 729
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
ขอให้ทำมันให้สำเร็จนะรพีพงศ์ เอาใจช่วย

ออฟไลน์ wetter

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาแล้ววว มารอหนูนาคินทร์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2


ลิขิตรัก…เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 02           













ท่ามกลางความมืดมิดของราตรีไร้แสงดาวส่องนำทาง เรือเล็กล่องลอยอย่างไร้จุดหมายกลางมหาสมุทร ยิ่งแล่นเรือไปยิ่งไร้ขอบเขต หาแผ่นดินคือปลายทางฝั่งฝันไม่เจอ รพีพงศ์ก็เช่นกัน ขณะที่ดำดิ่งลงไปใต้รอยต่อมหาสมุทรสองนทีแหวกว่ายหาถ้ำใต้น้ำนั้น ตลอดการตามหาใช่ว่าจะไม่เจอถ้ำ หากพบกับถ้ำร้างบ้าง สิ่งประหลาดบ้าง จะเอ่ยปากถามใครก็หาทำได้ไม่

เวลาหมุนเดินไปไม่ย้อนกลับ หนำซ้ำไม่หยุดเดินแม้แต่วินาทีเดียว เท่ากับว่าเวลาที่ตนจะช่วยนาคินทร์ยิ่งเหลือน้อยลงทุกขณะ รพีพงศ์รู้ดีว่าวิญญาณที่เดินทางไปสู่ดินแดนปรโลกนั้นจะอาศัยอยู่ที่ดินแดนมรณะนี้เพียง ๔๙ วัน ก่อนจะรับตัดสินกรรมว่าจะได้ไปเกิดในภพภูมิใด เมื่อนับตั้งแต่วันที่นาคินทร์จากรพีพงศ์ไปวันนี้เป็นวันที่ ๔๐ รพีพงศ์มีเวลาเพียง ๙ วันเท่านั้นที่จะทวงคนรักกลับคืนสู่ใจ   …‘หากตามหาเช่นนี้ต่อให้ใช้เวลานับปีเห็นทีพี่นี้คงจะไม่ได้เจ้าคืนมาเป็นแน่…นาคินทร์’...   …‘พี่จักทำเช่นไร…ทำเช่นไรให้พี่ได้พบเจอแม่ของเจ้า’…   รพีพงศ์ตั้งคำถามกับตนเองในใจ  ด้วยอยากพบเสียเหลือเกิน อยากพบมารดาของคนรักเพื่อให้ภารกิจนี้ลุล่วง จะมีสิ่งใดนำทางให้ดวงตาได้เห็นและหัวใจได้สัมผัส ก็จะแหวกว่ายตามทางนั้นไป

‘ตึกตัก...ตึกตัก’

 รพีพงศ์ได้ยินเสียงอกด้านซ้ายเต้นระรัวผิดปกติ หัวใจสูบฉีดโลหิตไปทั่วร่างจนร้อนผ่าว สุริยบุตรชะงักฉุกคิดก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา…‘สายใยแม่ลูกตัดกันไม่ขาด’... มือหนาทาบทับตรงดวงใจตน เปลือกตาปิดลงพร้อมตั้งจิตอธิษฐาน มิช้านานสิ่งที่ปรารถนานั้นได้ปรากฏที่ฝ่ามือ

…‘แก้วนาคาเอ๋ย…เจ้าจงนำทางข้าให้พบมารดาของนาคินทร์ด้วยเถิด’…

รพีพงศ์พินิจแก้วนาคาของผู้เป็นที่รัก สายตาจ้องมองเปี่ยมไปด้วยความหวัง เขาสูดลมหายใจเขาออกช้า ๆ รอยยิ้มพร้อมความหวังเล็ก ๆ ค่อยเกิดขึ้นที่มุมปาก พลันเกิดเหตุอัศจรรย์…

แสงสีตองอ่อนสว่างจากฝ่ามือ แก้วนาคาดวงนั้นค่อย ๆ ลอยพ้นจากกาย มาหยุดห่างตรงหน้าไปราว ๑ วาแล้วเกิดสว่างวาบดังแสงฟ้าแลบพร้อมเปลี่ยนรูปไปกลายเป็นมัจฉาตัวใหญ่สีเงินยวง เกล็ดของมันเป็นประกายระยิบระยับ ปลาใหญ่ว่ายวนรอบกายรพีพงศ์ไปมา ก่อนจะหยุดตรงหน้าสะบัดครีบเป็นสัญญาณ  รพีพงศ์รู้ได้ทันทีว่าตนจะต้องตามมัจฉาตัวนี้ไป

 รพีพงศ์ว่ายตามปลาตัวนั้นไป ยิ่งตามยิ่งลึกยิ่งมืด ไร้เสียง ไร้สรรพสัตว์ใด ๆ  พอว่ายต่อไปเรื่อย ๆ ก็พบผาขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า มัจฉานำทางตรงไปยังผานั้นแล้ววกด่ำดิ่งไปใต้ซอกผา รพีพงศ์จึงได้พบกับซากเรืออับปางนับร้อย เทพหนุ่มคาดว่าเรือเหล่านี้คงหลงทิศหลงทางแล้วมาจมลงเพราะมิอาจต้านพลังของสองโลกไว้ได้

 สถานที่แห่งนี้หรือ? รพีพงศ์หวั่นใจ ไม่เชื่อในดวงแก้ว แม่ของนาคินทร์ไม่ควรมาอยู่ที่นี่ ที่อันเงียบเหงาไร้ชีวิต ดวงใจของเขาแทบร่วงลงไปกองกับพื้น คิดว่าโชคชะตาไม่เข้าข้างตนเสียแล้ว ปลาสีเงินเล่นตลกกลั่นแกล้งเขา ดังนาคินทร์ผู้เคยหยอกล้อแกล้งให้เขาเข้าใจผิดจึงไม่ยอมนำทางอีกต่อไป ทั้งยังกลายเป็นดวงแก้วหายกลับเข้าไปในอก

 แต่เมื่อรพีพงศ์กวาดสายตาไปโดยรอบเขาสังเกตเห็นตรงหน้าเขานั้นมีซากเรืออับปางปิดบังปากถ้ำเล็ก ๆ ไว้อยู่

...‘ไม่ต้องคาดเดาเสียให้ยาก ณ ที่แห่งนี้คือถ้ำที่มารดาของนาคินทร์อาศัยอยู่แน่นอน’…

รพีพงศ์พนมมือขึ้นมาแล้วร่ายมนต์ดับอัคคีที่ลุกโชนนั้นเหลือเพียงรัศมีแห่งเชื้อสายพระอาทิตย์ลาง ๆ ก็พอ เนื่องจากกลัวมารดาของนาคินทร์จะตกใจกลัวจนหนีไปแล้วร่างสูงว่ายน้ำผ่านซากเรือที่ขวางหน้า

‘ครืน…’ ดุจสวรรค์แกล้ง เสากระโดงเรืออับปางขนาดใหญ่สภาพผุกร่อนจากน้ำทะเลกัดเซาะหักตกลงมาฟาดใส่รพีพงศ์อย่างไม่ทันตั้งตัว

ทว่าบุญเก่าของรพีพงศ์ยังคงมีอยู่บ้าง แม้เสาขนาดใหญ่จวนเจียนจะทับกาย...เพียงเสี้ยววินาทีนั้น อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวจริงๆ เอวหนาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เข้ามาโอบรัดแล้วฉุดกระชากร่างกายเทพหนุ่มให้พ้นภัยจากตรงนั้น

เสาหักฟาดห่างจากรพีพงศ์ไปไม่ถึงช่วงตัว เขาหายใจถี่ ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

‘เกล็ดงู…’

ฝ่ามือจับเข้ากับสิ่งที่รัดกาย รพีพงศ์สัมผัสได้ว่าเป็นเกล็ดดังเกล็ดงู ทว่ามีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า จะเป็นอย่างอื่นเสียไม่ได้นอกจาก… ‘นาค’ และคงจะเป็นนางนาคีที่ตนตามหา

ระหว่างที่ตกอยู่ในห้วงความคิดนี้เอง ขดหางที่กระหวัดรัดรพีพงศ์ก็คลายออกและหายกลับเข้าไปในถ้ำอันมืดมิดอย่างรวดเร็ว  รพีพงศ์ไม่รอช้าว่ายน้ำตามเข้าไป

 รัศมีกายสีชาดมิอาจส่องสว่างให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ภายในถ้ำคูหาได้ รพีพงศ์จึงเสกแก้วอัคคีขึ้นมาส่องนำทางตามหานางนาคผู้กำลังหลบซ่อนกาย...

‘เร็วเสียงจริง ทั้งที่ตามหลังมาแท้ ๆ ...’ รพีพงศ์รำพึงในใจ พร้อมหันใบหน้าไปทางซ้าย ขวา มองหานางนาคี

“ท่านน้า!!!...ข้ารพีพงศ์เป็นบุตรของพระอาทิตย์ ข้านั้นมาดีมิได้มาร้าย ได้โปรดให้ข้าได้พบท่านด้วยเถิด” รพีพงศ์เรียกหามารดาของนาคินทร์ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่น้อย

 “ท่านน้า!!! ถ้าท่านได้ยินข้า โปรดออกมาเถิด อย่างน้อยก็ช่วยออกมาตอบคำถามข้าว่า ท่านนั้นใช่แม่ของนาคินทร์ผู้เป็นที่รักแห่งข้าหรือไม่!” รพีพงศ์สืบเท้าไปข้างหน้า ปากก็เรียกหานาคผู้ช่วยชีวิตตนอีกครั้งหนึ่ง

“ท่านน้า โปรดเห็นใจข้าด้วยเถิด หากไม่ใช่เรื่องของนาคินทร์ ข้าคงไม่บุกลงมาถึงใต้มหาสมุทรสองนทีนี้หรอก” นาคสีนิลผู้ซ่อนกายหลังโขดหิน พอได้ยินชื่อสายเลือดในอกก็เลื้อยออกจากที่ซ่อนมาพบรพีพงศ์

 “ใช่แล้ว...สุริยบุตร ข้านั้นมีนามว่า มุตตา เป็นแม่ของนาคินทร์” เสียงใสตอบดังชัด พร้อมเผยร่างนางนาคผู้มีเส้นผมยาวสลวย ต่อหน้าเทพบุตรหนุ่ม

มุตตา สตรีครึ่งนาคาสีกายถูกห่มไว้ด้วยเกล็ดรัตติกาล เลื้อยเข้ามาใกล้ แสงจากแก้วอัคคีสว่างจับใบหน้าที่เศร้าหมอง บูดเบี้ยวผิดรูป ผิวหนังเหี่ยวย่นดังคนชรา

รพีพงศ์ได้เห็นก็รู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าแม่ของนาคินทร์จะดูแก่ชราเพียงนี้ แต่หากนึกถึงคำของนาคินทร์ที่เคยเล่าถึงมารดาว่ามิได้สะสวยโสภา หากได้พบโปรดอย่าได้รังเกียจ

 “ท่านมาหาข้ามีธุระอันใดหรือ ท่านหรือรู้จักกับนาคินทร์?” นางนาคทำเสียงประหลาดใจแล้วกล่าวต่อไปว่า

“เหตุใดท่านจึงกล่าวว่านาคินทร์เป็นที่รักแห่งท่าน...แล้วลูกของข้าตอนนี้อยู่แห่งใด?”

ตั้งแต่ลูกของนางไปอยู่กับกนธีผู้เป็นพระสมุทรในครานั้น นางก็เฝ้าคิดถึงบุตรทุกวันเวลา ทุกนาที ทุกลมหายใจ อยากไปจะไปพบแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่หลบซ่อนตัว ณ ที่แห่งนี้

จนไม่นานมานี้มุตตาออกจากถ้ำไปหาอาหารได้ยินเหล่าฝูงมัจฉาพูดคุยกันว่า ‘จะมีการเปลี่ยนแปลงพระสมุทร’ ก็ยิ่งอดเป็นห่วงลูกผู้เป็นแก้วตาดวงใจไม่ได้ นางกลัวลูกจะเป็นอันตรายหรือประสบเหตุใด ๆ ยิ่งเดือนก่อนนั้นนางฝันว่ามีเงามือคืบคลานเข้ามาในถ้ำ จากนั้นก็ควักเอาดวงตาของนางไป มุตตายิ่งวิตกกังวลกลัวลูกจะพบกับเหตุร้าย ยิ่งได้พบกับเทพหนุ่มผู้มีใบหน้าเศร้ามอง ยิ่งทำให้นางรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“นาคินทร์…” รพีพงศ์พูดเสียงแผ่วเบา เขาหยุดดวงตาเศร้าหมองมองไปยังนางนาคผู้มีแววตาแห่งความหวัง หวังจะได้รับข่าวดี

น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกจากดวงตาทั้งคู่ของสุริยบุตร ‘นาคินทร์’ ชื่อนี้ รพีพงศ์เคยกล่าวได้อย่างง่ายดาย แต่ขณะนี้แม้แต่เสียงในใจ เขายังไม่กล้าที่จะคิดออกมา

“ลูกข้าเป็นอย่างไร ขอท่านจงบอกด้วยเถิด”

รพีพงศ์สูดลมหายใจช้า ๆ น้ำตายังคงไหลไม่ขาดสาย เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แล้วกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า

“นาคินทร์...สิ้นชีพเสียแล้ว” รพีพงศ์ตอบไม่คิดปิดบัง สิ้นเสียงเท่านั้นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ดังกึกก้องในถ้ำ

“กรี๊ด…กรี๊ด...กรี๊ด...” เสียงแหลมดังไม่ขาดสายจนรพีพงศ์ต้องใช้มือมาปิดหูเพราะไม่สามารถทนฟังได้!!!

“กรี๊ด!!!!...ไม่!!!...นาคินทร์!!...นาคินทร์ลูกแม่!!!”  ไม่พร้อม...มุตตาไม่พร้อมที่จะเผชิญความสูญเสีย ทุกข์ระทมที่บ่มในใจนานนับปี กอปรกับข่าวร้ายของแก้วตาดวงใจไม่ต่างจากมรสุมขนาดใหญ่ที่โหมกระหน่ำเข้ามาพร้อมกับคลื่นยักษ์ที่กวาดเอาความสุข และรอยยิ้มไปจากชีวิตของผู้เป็นแม่ มือสองของมุตตาที่เคยอุ้มชู ดวงตาที่เคยมองเห็น ก็จะไม่มีอีกต่อไป

ริมฝีปากเผยชื่อเรียก ‘นาคินทร์’ ด้วยความสุขและความรักนั้นหมดไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่มีที่สิ้นสุด

“ฮึก…นาคินทร์…ลูกแม่…ฮือ…” ใจแม่นั้นแทบขาด อกแม่นั้นแทบฉีกมันเจ็บปวดเสียเหลือเกินกับการต้องรับรู้ว่าลูกรักไร้ลมหายใจ หากแลกกันได้มุตตายอมตายแทนเสียดีกว่า

“ท่านน้ามุตตา…อย่าได้ร้องไห้เสียใจเลย” รพีพงศ์ขยับร่างเดินเข้าหาพลางเอ่ยปลอบใจมุตตา

“มิให้ข้าเสียใจได้เช่นไร…นาคินทร์ตายไปแล้ว…ฮือ…”

“ลูกของข้าตายไปทั้งคน!!! ท่านไม่เข้าใจดอกว่าข้าเสียใจมากมายเพียงใด!!!” มุตตาตวาดปนสะอื้นใส่รพีพงศ์ด้วยเข้าใจว่าเทพตรงหน้าที่หาได้เข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียของตนไม่

“ใครว่าข้านั้นไม่เข้าใจเล่า ในฐานะคนรักที่เสียยอดดวงใจ ในฐานะต้นเหตุที่ทำให้นาคินทร์จากไป ข้านั้นเสียใจไม่น้อยกว่าท่าน” ยิ่งพูดยิ่งคิดถึงทั้งรอยยิ้ม ทั้งรสจูบ ทั้งความหอมหวานของความรักและความเจ็บปวดขื่นขมครั้งที่กอดร่างไร้วิญญาณของนาคินทร์

“รักประสาอะไร!!!!...รักเช่นไรถึงทำให้ลูกข้าตาย!!!”

ความอาฆาตแค้นที่มีต่อวงศาทินกรเป็นทุนเดิมรวมกับได้ยินว่ารพีพงศ์เป็นต้นเหตุ จากความเสียใจจึงกลายเป็นความโกรธ มุตตาผู้มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นนาคนั้น ขณะนี้ดวงตาสีเขียวของแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ท่อนบนของหญิงชราได้กลายเป็นนาคา ขนาดใหญ่สูงกว่ารพีพงศ์หลายเท่า นางนาคแผ่พังพานส่ายศีรษะไปมา แล้วพุ่งตรงเข้าจู่โจมรพีพงศ์

‘ครืน’ เสียงนางนาคเคลื่อนไหวหมายจะฉกกลืนกินรพีพงศ์

“โครม!!!” ร่างมุตตากระทบกับผนังถ้ำ จนหินบนผนังถ้ำหักหล่นลงมา เทพหนุ่มหลบได้ทัน ปล่อยให้มุตตาค่อย ๆ เลื้อยออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อตั้งหลักได้แล้วนางนาคีไม่รอช้า แผ่พังพาน ส่ายศีรษะไปมา พร้อมจะเข้าจู่โจมต่อ รพีพงศ์มิได้หมายจะต่อสู้ด้วยแต่แรกแล้ว เพราะรู้ว่านาคเกล็ดนิลตนนี้รับมือไม่ยากนัก

มุตตาไม่ลดละความพยายาม แม้ครั้งแรกจะพลาด ครั้งที่สองนางไม่ปล่อยให้พลาดแน่นอน...อย่างไรเสียรพีพงศ์ต้องตาย ต้องชดใช้ตกตายไปตามกัน ในฐานะที่เป็นต้นเหตุให้นาคินทร์ต้องจากไป

“ตาย!!!...ตายเสียเถิด!!!!”

มุตตารู้แต่เพียงว่า บุรุษตรงหน้ามีเชื้อสายแห่งภาสกร รู้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้นาคินทร์ตาย นางรู้แต่เพียงเท่านั้น ความโกรธ เกลียด ความทุกข์ที่เป็นทุนเดิม นับตั้งแต่ถูกสาปจนเสียโฉม ถูกราวีตามเอาชีวิต ทั้งที่กำลังมีลูกกับคนรัก จนต้องหนีซอกซอนมาซ่อนตัวในถ้ำอันมืดมิดแห่งนี้ ไม่คิดจะยุ่งกับผู้ใดอีก และหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบ

ครั้นการมาถึงแห่งเทพหนุ่มผู้นี้ ได้ประหารความสุข ทำลายความสงบให้ภินท์พังลงสิ้น ทั้งยังปลิดแก้วตาดวงใจจากผู้เป็นแม่...ชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...อนาคตไม่มี มีแต่อดีตที่เจ็บปวด...ยิ่งคิดยิ่งเกลียดชัง

“ท่านน้า…ฟังข้าก่อน ท่านน้ามุตตา” รพีพงศ์พยายามพูดให้มุตตานั้นฟังตน ทว่าคำพูดที่ส่งไปกลับไม่เข้าโสตประสาทแม้แต่น้อย

มุตตาในร่างนาคายักษ์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเข้ามาจู่โจม คราวนี้รพีพงศ์ไม่หลบหลีก ปล่อยให้นางรัดจนกระดูกแทบแหลก รพีพงศ์พยายามต้านไว้ แต่ไม่ให้มุตตาต้องเป็นอันตราย

“ท่านน้า…ฟังข้าก่อน ท่านน้ามุตตา” รพีพงศ์พูดด้วยเสียงอันดัง

“ข้าไม่ฟังคำแก้ตัวอันใดของเจ้าทั้งนั้น!!!” มุตตาโต้ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดังและเต็มไปด้วยความโมโหโกรธา

นางมองหน้าบุรุษหนุ่มที่ทำให้ลูกรักของนางต้องตาย นางต้องการรัดให้ร่างนี้แหลกเหลวก่อนกลืนกินเข้าไปให้สาแก่ใจ

“ข้าไม่ได้แก้ตัวแต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าข้าจะมาขอให้ท่านน้าช่วยข้าชุบชีวิตนาคินทร์ ตามเทวบัญชาของพระผู้สร้าง” ประโยคสุดท้ายทำให้มุตตาที่กำลังรัดหวังหักกระดูกให้แหลกละเอียดต้องหยุดชะงัก

 “ชุบชีวิตลูกข้า…”

มุตตาคลายขนดออกจากรพีพงศ์ แล้วกลับร่างเป็นปกติ สตรีผู้มีใบหน้าอันชรา เลื้อยเข้ามาหารพีพงศ์อย่างช้า ๆ แววตาสีเขียวส่องเป็นประกายด้วยความหวัง

“ชุบชีวิตลูกข้า…”

“แล้วข้าต้องทำอย่างไร” มุตตารู้ว่าเทพหนุ่มผู้นี้เป็นสาเหตุที่ทำให้นาคินทร์ต้องตายและหากไม่ใช่เรื่องของลูกตน ก็จะไม่มีทางช่วยเหลือเป็นอันขาด

“ท่านน้า…” รพีพงศ์พูดด้วยเสียงนุ่มสุภาพ

“การชุบชีวิตนาคินทร์ได้ ต้องใช้ของมีค่าที่สุดในชีวิตของผู้เป็นบิดาและมารดา ข้าจึงออกมาตามหาท่านน้า”

“นาคินทร์เคยเล่าให้ข้าฟังว่า มารดาได้อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรสองนที ข้าจึงดั้นด้นค้นหามาเรื่อย จนมาพบท่านที่นี่ โดยดวงแก้วของนาคินทร์เป็นผู้นำทางข้ามา” มุตตาพนักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ รพีพงศ์พูดต่อไปว่า

“แล้วอีกอย่างข้าอยากจะมาขอขมาท่าน ดูแลท่านตามคำสั่งเสียที่นาคินทร์ได้เอื้อนเอ่ยไว้กับข้า”   “ก่อนที่ข้าจะมอบของสำคัญ ข้าอยากรู้เรื่องราวของท่านและลูกของข้า”

เรื่องราวความรักของรพีพงศ์และนาคินทร์ ตั้งแต่เริ่มต้นแม้จักไม่สวยงาม หากหลังจากนั้นมันก่อตัวเป็นความรู้สึกดีๆ จนกลายเป็นความรักในที่สุด

ตอนเล่ารพีพงศ์ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้างามของนาคินทร์ยามเขินอาย แต่รอยยิ้มนั้นจางหายเมื่อเล่าถึงวินาทีกนธีขว้างตรีศูลจนปักเข้าที่ร่างของนาคินทร์ มุตตาได้ฟังทั้งโกรธผู้ที่ทำร้ายลูก ทั้งสงสารลูกที่ตายเพราะรัก แต่ก็พยายามตั้งสติฟังรพีพงศ์เล่าต่อไปจนถึงการชุบชีวิตนาคินทร์ให้ฟื้นคืนมา

สายตาของรพีพงศ์มีความหวังฉายชัดออกมา มุตตาสัมผัสได้ว่ารพีพงศ์นั้นรักนาคินทร์และนาคินทร์เองรักรพีพงศ์มากเช่นเดียว นางนาคเข้าใจและเห็นใจรวมถึงลดอคติกับรพีพงศ์ ความรักที่เจ็บปวดคือการจากลาจากผู้เป็นที่รัก ทั้งที่จริงแล้วหัวใจนั้นยังรักอยู่...มุตตาเข้าใจดีจนลึกซึ้ง

นางนาคบิดกายหันหลังให้กับรพีพงศ์ แล้วเลื้อยเข้าไปยังผนังถ้ำที่มีข้าวของเครื่องใช้วางอยู่ รพีพงศ์สังเกตเห็นเกศาสยายยาวดำขลับไม่ต่างจากนาคินทร์ มือเรียวหยิบมีดสั้นที่วางไว้ไม่ไกลขึ้นมา

 “ท่านน้า…ท่านจะทำอันใด” รพีพงศ์ตกใจคิดว่ามุตตาจะคิดสั้นตายตามนาคินทร์จึงรีบพุ่งตัวเข้าห้าม

 ‘ฉับ’ มีดสั้นตัดเส้นเกศาสีปีกกา…ผมที่เคยยาวสวยนั้นสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด มุตตายื่นผมในกำมือส่งให้รพีพงศ์

 “เก็บรักษาไว้ให้ดี นอกจากนาคินทร์แล้วเส้นผมนี้คือสิ่งมีค่าที่สุดของข้า จงนำมันไปช่วยนาคินทร์…เจ้าสัญญาได้หรือไม่ว่าจะนำนาคินทร์กลับมาจากความตาย”

 “ข้าสัญญาท่านน้า” รพีพงศ์ให้คำมั่นพร้อมกับรับเส้นผมมาไว้กับตน

 “ท่านน้าข้ามีเรื่องจักถามท่าน…พ่อของนาคินทร์อยู่แห่งหนใดกัน ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่” รพีพงศ์ถามเพราะตนไม่รู้จักไปตามหาที่ไหน ต่อให้ได้ของมีค่าจากมุตตาแต่หากไร้ของมีค่าจากผู้เป็นพ่อ เส้นผมที่อยู่ในกำมือนี้ก็เสียเปล่า มุตตาได้ยินคำถามก็นั่งนิ่งไปพักใหญ่ ใจหนึ่งไม่อยากจะเอื้อนเอ่ยถึง ใจหนึ่งอยากช่วยลูก

 “จงนำเส้นผมของข้าไปหาพระเสาร์ พระเสาร์จะเป็นผู้ให้คำตอบท่านได้ว่าใครคือพ่อของนาคินทร์” สุดท้ายแม่ย่อมรักลูกจึงได้บอกรพีพงศ์ แม้จะไม่ได้บอกชัดเจนก็ตามที

“ข้ากราบขอบพระคุณท่านน้ามาก…เพื่อไม่ให้เสียเวลาข้าขอลาท่านน้าไปนำของมีค่าเพื่อช่วยนาคินทร์” สุริยบุตรก้มลงกราบมุตตา มุตตาเห็นดังนั้นก็รีบก้มรับไหว้ไว้

“ไปเถิดขอให้ท่านโชคดี ช่วยนาคินทร์มาได้” มุตตาอวยพร ก่อนจะเลื้อยกลับหายไปในคูหาลึก

ท่ามกลางนภากาศไปยังวิมานพระเสาร์ รพีพงศ์นึกสับสนในใจ เขาคิดหนัก คิดถึงหนทางจะเจรจากับพระเสาร์ เพราะใครต่างก็รู้ดีว่าพระอาทิตย์และพระเสาร์นั้นไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้ไม่ได้มีเรื่องราวบาดหมางกันโดยตรงหากตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่มีผลให้ทั้งสองเป็นคู่แข่งกันอยู่ดี…ผู้หนึ่งยิ่งใหญ่สุดในเทพนพเคราะห์…ผู้หนึ่งแข็งแกร่งที่สุดในเทพนพเคราะห์ อย่างไรเสียพระเสาร์และพระอาทิตย์เปรียบดังสายน้ำสองสีที่ไม่มีทางมาบรรจบกัน

รพีพงศ์เองก็รู้ดีแต่จะทำอย่างไรได้เล่า เพื่อชุบชีวิตนาคินทร์แม้จะต้องไปพบพระเสาร์ ผู้คล้ายดังจงเกลียดจงชังเหล่าวงศ์พระอาทิตย์เสียเหลือเกิน แต่รพีพงศ์จำต้องบากหน้ามา…

‘เพียงถามหาบิดาของนาคินทร์ พระเสาร์คงไม่ใจร้ายกับข้ากระมัง’... รพีพงศ์คิดปลอบใจตนเองระหว่างที่เหาะเหินเดินทางมาวิมานของพระเสาร์ 

…‘เงียบเชียบ…วังเวง’… ความรู้สึกแรกที่เหยียบย่างมาถึงหน้าวิมาน เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง แต่ในความเงียบนี้รพีพงศ์กลับรู้สึกถึงความเยือกเย็นคล้ายเกล็ดน้ำแข็งที่บาดผิว ถึงจะเคยได้ยินว่าพระเสาร์จะไม่ชอบสุงสิงกับใคร เทวดานางฟ้าผู้รับใช้มีน้อย ทว่าสิ่งที่รพีพงศ์ได้เห็นคือมีเพียงทหารก้านบัวสองตนยืนเฝ้าประตู

 “พวกเจ้าช่วยเข้าไปแจ้งพระเสาร์ว่าข้ารพีพงศ์บุตรแห่งพระอาทิตย์ใคร่จะขอพบพระเสาร์” รพีพงศ์เอ่ย ไม่ทันที่ทหารจะเข้ารายงานบานประตูวิมานนั้นได้เปิดออก 

“รพีพงศ์รึ!!!...เข้ามาสิ” คำเชื้อเชิญของพระเสาร์ทำให้รพีพงศ์ยิ้มกว้าง ง่ายกว่าที่คิดพระเสาร์มิได้ใจร้ายดั่งที่ตนได้ยินมา

 …‘เป็นไปตามที่เจ้าพุธบอกไว้มิมีผิด รพีพงศ์จะเป็นฝ่ายมาหาข้าเอง ฮึ!! ในที่สุดข้าจะได้จัดการต้นเหตุที่ทำให้ลูกของข้านั้นต้องตาย’…   …หนึ่งใจคิดที่จะช่วยผู้เป็นที่รัก…   …อีกหนึ่งใจคิดที่จะแก้แค้นแทนลูกรัก…   

.
.

 .   ณ ยมโลกคู่ตรงกันข้ามกับสรวงสวรรค์  ยมโลกนี้ตั้งอยู่บริเวณที่สุดขอบโลก…ดินแดนหลังความตายที่วิญญาณทั้งหลายจะเดินทางมาที่แห่งนี้เพื่อตัดสินว่าจะไปเกิดในภพภูมิใดหรือจะต้องชดใช้ความผิดที่เคยก่อไว้ในขุมนรกทั้ง ๗

นาคินทร์เดินทางมาที่นี่เป็นเวลาหลายวัน หากไม่ได้เดินทางผ่านประตูวิญญาณเพื่อรอผลตัดสินกรรมดี-กรรมชั่วเฉกเช่นวิญญาณดวงอื่น นาคน้อยกลับได้มาอยู่ในวิมานของพญายมราชผู้ยิ่งใหญ่และได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจนน่าประหลาดใจ

“นาคินทร์” เสียงทุ้มฟังดูน่าเกรงขามเพียงเอ่ยนามนาคินทร์นั้นรู้ยำเกรงทันที

“ท่านพญายม” นาคินทร์ยืนมองทะเลทรายรอบวิมานคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมพนมมือไหว้ด้วยความเคารพ

“ลุกขึ้นเถิดไม่ต้องมีพิธีรีตองอันใด”

 “ท่านมีอันใดให้ข้ารับใช้หรือ” นาคินทร์ลุกขึ้นยืนก่อนจะถามเจ้าของวิมาน

 “มิมีอันใดดอก ข้าแค่จักถามไถ่เจ้าว่าอยู่ที่นี่สุขสบายดีหรือไม่”

“ข้านั้นสุขสบายดีแต่ข้า…เอ่อ…”

 “มีเรื่องอันใดถึงได้อ้ำอึ้ง”

“ข้าสงสัยว่าเหตุใด ข้าถึงมิได้เดินทางไปรับคำพิพากษาเหมือนวิญญาณดวงอื่น เหตุใดข้าจึงได้มาอยู่วิมานของท่านและยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี” นาคินทร์ถามออกไปตรงๆ หวั่นใจยิ่งนักถ้าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคิดกับตนในทางชู้สาว

 “ถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง…อีกอย่างเจ้าสบายใจได้เถิด ข้านั้นมิได้คิดเลี้ยงดูเจ้าเป็นสนมดอก” พญายมราชสามารถอ่านใจทุกสรรพสิ่งในดินแดนของตนว่าคิดเช่นไร ไม่ว่า ใครที่เห็นแววตาคู่นี้ต่างรู้ดีว่าคิดเช่นไร…ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก นาคินทร์ได้ฟังคำตอบก็โล่งใจขึ้นมาทันที    … ‘ข้านั้นไม่สามารถบอกความจริงเจ้าได้…นาคินทร์เอ๋ย อีกไม่นานเจ้าจะได้คืนสู่อ้อมกอดของคนรักแต่เวลานี้ข้าเองต้องลุ้นมิให้รพีพงศ์หลานข้าถูกพระเสาร์ผู้เป็นสหายของข้าสังหารไปเสียก่อน’…



















...........................

เกิดเป็นรพีพงศ์นั้นแสนจะลำบาก เมียตาย แม่ยายเกลียดจนกระดูกจะหัก ไหนจะพ่อตาที่รอฆ่า เอ๊ย ท่า

ใครนะกำหนดโชคชะตา ขีดเขียนให้รพีพงศ์ลำบากถึงเพียงนี้...ว่าจะไปเผากระท่อมเสียหน่อย 5555

ตอนท้ายหนูคินทร์ออกมาแวบๆให้ทุกคนหายห่วง น้องยังสบายดีค่ะ อยู่สบาย สบายกว่าท่านยุ่งที่ต้องหิ้วโอเลี้ยงให้ป๋ากนธี 5555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น เป็นกำลังใจนะคะ ดีใจมากค่ะที่ทุกคนติดตามแม้ว่าท่านยึ่งจะตอบช้าและไม่ค่อยได้ตอบเม้นคนอ่านเลย

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ลุ้นว่าคุณพ่อตาคงไม่เฉือดลูกเขยหรอกนะคะ  :a5:
สู้ๆนะพีเอาความหล่อและพระเอกชนะใจพ่อตาให้ได้นะ  :z2:

ออฟไลน์ spiral_sai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นกำลังใจให้พระเอก ช่างเป็นที่รักของพ่อตาแม่ยายจริงๆ 55555

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
เอาใจช่วยรพีพงศ์  รีบพูดถึงมุตตาก่อนพูดอธิบายเรื่องนาคินนะ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ถือว่าชดใช้กรรมที่ทำกับนาคินทร์ตอนแรกละกันเนอะ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
พรีออเดอร์สาปรักทัณฑ์เทวา ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2561
รายละเอียดหนังสือ
สาปรักทัณฑ์เทวา ประกอบด้วย
-  หนังสือขนาด A5 1 เล่ม จำนวนประมาณ 450+ หน้า (ตอนพิเศษในเล่ม 3 ตอน)
-  หน้าปกใช้กระดาษอาร์ต 260 แกรม เคลือบด้าน
-  เนื้อภายในเล่มใช้กระดาษถนอมสายตา 70 แกรม
-  ราคา 525 บาท (ส่งฟรี)
-ems+เพิ่ม 20 บาทต่อเล่ม
สั่งสามเล่มขึ้นไปแนะนำว่าส่ง ems เพราะหนังสือหนักนะคะ
ของแถม
-  หนังสือเล่มพิเศษขนาด A5 ปกอาร์ตเคลือบด้าน 3 ตอน (พระพริษฐ์xบุษยะ) 1 เล่ม **เฉพาะการสั่งซื้อรอบนี้เท่านั้น
-  ที่คั่น จำนวน 4 ชิ้น ลายแบบปก 2ชิ้น / ลายแบบเดียวกับโปสการ์ด 2 ชิ้น
-  โปสการ์ดรูปแบบเดียวกับภาพประกอบในเล่มจำนวน 1 ชุด มี่ 4 ใบ (นภนต์xชลันธร / พระพริษฐ์xบุษยะ)
สั่งซื้อได้ที่ https://goo.gl/forms/SX5498MsY3thMMYs2

พรีออเดอร์สำหรับผู้ที่ต้องการสะสมโปสการ์ดการ์ดสาปรักทัณฑ์เทวาเพียงอย่างเดียว
รายละเอียด
โปสการ์ดตัวละครสาปรักทัณฑ์เทวาประกอบด้วย
-  1 ชุดมีจำนวน 4 ใบ
-  พิมพ์ด้านเดียว เคลือบด้าน
-  ราคา 50 บาท
รายละเอียดการจัดส่ง
- ลงทะเบียน 20 บาท
- EMS  35 บาท
สั่งซื้อได้ที่ https://goo.gl/forms/NGwyQqehj8VAOkJB3


ธนาคารกรุงไทย  8220292814  น.ส. มณฑานีย์  นิลละออ

ธนาคารไทยพาณิชย์  4087198878  น.ส. มณฑานีย์  นิลละออ

พร้อมเพย์ (ไทยพานิชย์) 0822737671



เพื่อความสะดวกไม่รับการจองล่วงหน้านะคะ ขอให้ผู้อ่านที่ต้องการซื้อหนังสือโปรดโอนเงินมาในระยะเวลาที่กำหนด
และแจ้งหลักฐานการโอนพร้อมกับกรอกข้อมูลลงไปค่ะ
และสามารถติดตามรายชื่อ
https://docs.google.com/spreadsheets/d/1UrUjIl1o6PS-RIPMxNGAjuJCt1VB__RBx2qkCcZqZL0/edit?usp=sharing

(สำหรับผู้ซื้อเฉพาะโปสการ์ดจะคลุมรายชื่อเป็นสีส้มนะคะ)

ออฟไลน์ InarmSt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รออออออออ สนุกกกกก

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2


ลิขิตรัก เพลิงเทวา Author : Tan-Yung 0209 File : 03

ปลายคมพระขรรค์ยื่นจ่ออยู่ตรงหน้า ใกล้เสียจนมองเห็นเงาสะท้อนของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี รพีพงศ์ยังนั่งหลังพิงเสาใหญ่ ร่างกายถูกทำร้ายจนอ่อนกำลังมิอาจขยับเขยื้อนได้ ปากก็กอบโกยลมหายใจให้มากที่สุดแต่ก็ติดขัดด้วยลำคอยังถูกบีบด้วยฝ่ามือใหญ่จากพระเสาร์

“ฟังให้ดี...ความตายจะลบล้างความผิดของเจ้าได้!!!...รพีพงศ์” สุรเสียงแห่งความพิโรธดังก้อง พระเสาร์มาพร้อมกับการปลิดชีวินสุริยบุตรให้สูญสิ้นลมหายใจ

. . .

‘ปัง!!!’

พอเยื้องย่างเข้ามาพ้นธรณีประตูไปไม่กี่ก้าว เสียงดังลั่นจากบานประตูปิดตามหลังผู้มาเยือน ทำเอาเทวาหนุ่มตกใจไม่น้อย บรรยากาศในวิมานเต็มไปด้วยหมอกจางสีขาวลอยปกคลุมจนทั่วอาณาบริเวณ รพีพงศ์กวาดสายตามองหาเทพผู้ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

“พระเสาร์…ท่านอยู่ที่ใดกัน...ได้โปรดออกมาพบข้าหน่อยเถิด...” รพีพงศ์เรียกหา หากไม่มีแม้แต่เสียงใดๆ ตอบกลับ จนรพีพงศ์นึกแปลกใจทั้งที่เมื่อครู่กล่าวรับให้ตนเข้ามา ไยเล่าถึงไม่ให้พบหน้า

“ข้าอยู่ตรงนี่…ข้างหลังเจ้ายังไงเล่า” น้ำเสียงที่ได้ยินชวนให้รพีพงศ์ขนลุกซู่ กระนั้นรพีพงศ์ก็ยังหันหลังกลับไปแต่ต้องชะงัก เมื่อปลายแหลมของศาสตราวุธจ่ออยู่ตรงหน้า

กลุ่มหมอกจางค่อยๆ เลือนลางแล้วจางหายไป เผยให้เห็นเทพร่างสูงใหญ่ เสี้ยวหนึ่งของใบหน้าดุดันนั้นปกปิดไปด้วยหน้ากากประดับอัญมณีสีเม็ดมะปรางคอยกำบังดวงเนตรสังหาร พระเสาร์ยกยิ้มมุมปากเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเทพหนุ่มตรงหน้าที่ท่าทางคงจะตกอกตกใจมิใช่น้อย

“สุริยะบุตรเจ้ากล้ามากที่มาเหยียบวิมานของข้า” พระเสาร์เอ่ยจบก็เข้าจู่โจมรพีพงศ์ทันที มีหรือที่จะยอมยืนนิ่งให้ผู้อื่นทำร้าย รพีพงศ์เบี่ยงกายหลบอย่างรวดเร็ว ทว่าพระเสาร์เองก็เคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายลมตวัดพระขรรค์เข้าฟาดฟัน

“พระเสาร์…ข้ามาที่นี่ข้ามิได้ต้องการมาเป็นเหยื่ออารมณ์ของท่าน ขอโปรดจงลดพระขรรค์และมาเสวนากันก่อนเถิด” รพีพงศ์พูดไปพลางหลบคมพระขรรค์ไปพลาง แต่ด้วยความว่องไวกว่าของพระเสาร์ เทวาหนุ่มจึงถูกจับกุม มือใหญ่ขึ้นจับตรึงเข้าที่ลำคอ...

“เจ้าไม่ต้องการแต่ข้าต้องการ…รพีพงศ์” ฝ่ามือใหญ่โบกสะบัดเพียงเล็กน้อย บุตรแห่งพระอาทิตย์ลอยไปกระแทกกับเสาใหญ่เข้าอย่างแรงจนเกิดรอยร้าว ร่างของรพีพงศ์ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นก่อนจะโงนเงนเอนหลังยันพิงกับเสา

แม้จะรู้ดีว่าโชคชะตาได้ขีดเขียนให้พระอาทิตย์และพระเสาร์เป็นดั่งเส้นขนานไม่มีทางบรรจบได้ แต่สำหรับรพีพงศ์แล้วมันไม่ใช่เหตุผลที่พระเสาร์นั้นจงใจเข้าทำร้ายตน นอกเสียจากมีเหตุผลอื่นที่ตนไม่ล่วงรู้ จึงได้แจ้งประสงค์ของการเดินทางมาในครั้งนี้

“พระเสาร์…ข้าไม่คิดจะสู้กับท่านแม้แต่น้อย ข้ามาหาท่านเพื่อมาขอความช่วยเหลือจากท่าน..แค่ก…แค่ก” รพีพงศ์เอ่ยก่อนเลือดในกายจะกระอักออกมา

“ช่วยเจ้า..ฮึ!! ถ้าอยากให้ข้าช่วย เจ้าจงลุกขึ้นมาสิ มาต่อสู้กับข้า…เอาชนะข้าให้ได้  แล้วข้าจะช่วยเจ้า...” พระเสาร์ยื่นข้อเสนอที่สุริยบุตรมิสามารถกระทำได้ แต่พระเสาร์กลับเดือดดาลยิ่งกว่าเก่า ด้วยอีกฝ่ายมัวทำตัวเสมือนรูปปั้น พอกระเสือกกระสนยืนได้ กลับนิ่งงันแทนที่จะมาสู้กับตน ช่างเป็นเรื่องยั่วโมโหโดยแท้ หากรพีพงศ์ไม่ยินดีจะต่อสู้ ก็เหมือนว่าพระเสาร์นั้นไม่ต่างจากผู้ใหญ่รังแกเด็ก

“ข้ายืนยันว่าข้านั้นจะไม่สู้กับท่านเป็นอันขาด” รพีพงศ์ยังคงยืนยันตามเจตนาเดิม จุดประสงค์ของตนคือการตามหาบิดาของนาคินทร์ มิใช่มาเสียเวลาสู้รบกับพระเสาร์

“เหตุที่เจ้าไม่สู้กับข้า คงเพราะว่าเจ้าเห็นข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควรใช่หรือไม่... พวกวงศาพระอาทิตย์คงคิดว่าตนยิ่งใหญ่เลยคิดมองข้ามหัวผู้อื่นกระนั้นสิ…ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงตายเสียเถิด จักได้รู้ว่ารัชทายาทสายเลือดแห่งพระอาทิตย์จักต้องสิ้นชีพไปด้วยน้ำมือของข้า!!!” พระเสาร์ไม่รอช้าตวัดพระขรรค์ในมือไปยังรพีพงศ์ที่บาดเจ็บ รพีพงศ์เห็นว่าตนนั้นกำลังจะสิ้นชีพก่อนจะช่วยคนรักจึงรีบร่ายมนตราสร้างเกราะกำบังเอาไว้ไม่ให้พระขรรค์คมของพระเสาร์มาทำร้ายตนได้

…‘พระเสาร์…ข้ามิอาจจะละสังขารในยามนี้ได้ ข้าจักต้องช่วยคนรักเสียก่อน’…

“เจ้าคิดว่าเกราะเวทย์กำบังกายกระจอกๆ ของเจ้าจะปกป้องเจ้าจากข้าได้นานเท่าใดเล่า ฮึ!!...ข้าขอบอกเจ้าไว้ว่าเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลกเท่านั้น…รพีพงศ์เอ๋ย เจ้านั้นจะไม่มีโอกาสกลับไปหาบิดาเจ้าตลอดกาล...” พระเสาร์ยิ้มเยาะ ฝ่ามือควบคุมพระขรรค์ให้ทะลวงเกราะเวทมนต์จนเกิดรอยร้าว

‘เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะ’

รอยร้าวขยายออกเป็นวงกว้างไม่ช้านานก็แตกละเอียดไม่ต่างจากเม็ดทราย เวลานี้พระเสาร์ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว มือใหญ่กุมด้ามพระขรรค์ที่ลอยอยู่นั้นเตรียมสังหารรพีพงศ์

“ไม่...เพลานี้ข้ายังตายไม่ได้!!!” รพีพงศ์เอ่ย ตนกระทำผิดอันใดกันพระเสาร์ถึงได้โกรธ เกลียดตนถึงเพียงนี้

“ฮึ...ตลกสิ้นดี...เจ้าเป็นผู้กำหนดชะตาตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าต่างหากจะเป็นผู้ตัดสินชะตาชีวิตของเจ้า โมโหข้าแล้วใช่หรือไม่...ดี...เข้ามาเลยสุริยบุตร...” พระเสาร์จ่อพระขรรค์ตรงใบหน้าหล่อเหลา มืออีกข้างไม่ได้ปล่อยให้ว่าง พุ่งเข้าบีบคอรพีพงศ์เอาไว้ ใบหน้าเหยเกบ่งบอกความทรมานและเสียงลมหายใจขาดห้วงจากความทรมานทำให้พระเสาร์นั้นสะใจเสียเหลือเกิน

“ความตายจะลบล้างในสิ่งที่เจ้าทำลงไปได้!!!” สุรเสียงแห่งความพิโรธดังก้องของพระเสาร์มาพร้อมกับการปลิดชีวินของรพีพงศ์ให้สูญสิ้นลมหายใจ พระเสาร์ลดพระขรรค์ลงมาแล้วจัดการแทงไปที่กลางอกรพีพงศ์

“ท่านน้ามุตตา!!!” อีกนิดเดียวที่พระขรรค์จะแทงทะลุอกแกร่ง รพีพงศ์เอ่ยนามนางนาคมารดาคนรักขึ้นมา นามสตรีที่ขานกล่าวนั้นฉุดรั้งความโกรธเกรี้ยวไว้ได้ มือใหญ่จึงหยุดชะงัก ปลดพระขรรค์ลง อีกข้างหนึ่งก็คลายมือที่บีบคอเทพหนุ่ม

“มุตตา…” พระเสาร์ถามไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้ในเวลาอีกครั้ง หลังจากมีปากเสียงกับพระราหูเมื่อคราก่อน

“ใช่…มุตตา ท่านคุ้นชื่อนี้หรือไม่ นางบอกให้ข้ามาพบท่านเพื่อให้ท่านบอกข้าว่าใครคือบิดาของนาคินทร์ลูกของนาง” คำตอบแผ่วเบาแต่ชัดเจนในจิตใจของพระเสาร์

“...แล้วเหตุใดเจ้าต้องการพบบิดาของนาคินทร์” พระเสาร์ไม่ตอบในทันทีว่าตนคือพ่อของนาคินทร์ หากถามเพื่ออยากรู้เหตุผลจากปากรพีพงศ์เสียก่อน

“นาคินทร์รักของข้าได้สิ้นชีพไป และข้าได้รับคำสัตย์จากพระผู้สร้างในการชุบชีวิตกลับมาอีกครั้ง โดยที่ข้าต้องใช้ของสำคัญจากบิดาและมารดาของนาคินทร์ ซึ่งท่านน้ามุตตาได้ให้เส้นเกศาของนางกับข้า” รพีพงศ์บริกรรมคาถาปรากฏห่อแพรพรรณบ่นฝ่ามือ เมื่อเปิดออกซึ่งพบว่าภายในห่อแพรนั้นเป็นเส้นผมสีดำขลับ พระเสาร์มองเพียงแวบเดียวก็รู้ทันทีว่านี่คือเส้นผมที่ตนเคยสัมผัสเป็นเครื่องยืนยันว่ารพีพงศ์ได้พบกับมุตตาจริง

“พระเสาร์ได้โปรดช่วยบอกข้าเถิด…ผู้ใดคือบิดาของนาคินทร์ ข้าจักรีบตามหาเขาผู้นั้น เพื่อชุบชีวิตนาคินทร์ให้ได้ภายใน ๙ วันนี้ มิเช่นนั้นนาคินทร์จะไปเกิดใหม่ในภพภูมิอื่น” รพีพงศ์เห็นพระเสาร์เงียบไปจึงขอร้องอีกครั้ง รพีพงศ์กลัวใจพระเสาร์เหลือเกินว่าจักไม่ช่วยเหลือตน

‘เคร้ง!!’ พระเสาร์ปล่อยพระขรรค์ลงกับพื้น แล้วกดมือว่างลงไปที่หน้าท้องของรพีพงศ์ที่ไม่ทันจะตั้งตัว

“อึก…อ้าก!!!” รพีพงศ์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ปลายดัชนีทั้งห้าทะลุผ่านผิวกายเข้าไปในท้องลึกลงไปจนถึงข้อมือ โลหิตสีทองไหลรินออกมาเปรอะเปื้อนไปทั่ว สายตาพร่ามัวก้มมองหน้าท้องของตนที่ดูเหมือนว่าพระเสาร์นั้นกำลังควานหาบางอย่างอยู่

“เจอเสียที” พระเสาร์ไม่สนใจรพีพงศ์เลยสักนิดว่าจะร้องออกมาหรือใบหน้าซีดขาวหรืออย่างไร เมื่อเจอสิ่งที่ต้องการในกายของรพีพงศ์แล้ว พระเสาร์จึงดึงมือออกมาจากกายรพีพงศ์ บาดแผลเหวอะหวะค่อยๆ สมาน ขณะเดียวกันโลหิตก็ไหลย้อนคืนสู่รพีพงศ์ ไม่นานหน้าท้องแกร่งนี้ก็ไร้ซึ่งบาดแผลและอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“ท่านทำอันใดกับข้า”

“ข้าเพียงนำของสำคัญที่เจ้าต้องการไปช่วยนาคินทร์บุตรแห่งข้า” พระเสาร์ลุกขึ้นยืนและเอ่ยกับรพีพงศ์

“หมายความว่าท่านคือ…”

“ใช่…ข้าคือพ่อของนาคินทร์และนี่คือสิ่งสำคัญที่ข้าจะมอบให้เจ้าไว้ใช้ในการชุบชีวิตลูกข้า” รพีพงศ์ยื่นมือรับ ‘สิ่งสำคัญ’ จากพระเสาร์

“ไข่มุกมรกต” รพีพงศ์มองไข่มุกวิเศษในมือสลับกับใบหน้าของพระเสาร์

“ไข่มุกมรกตนี้เป็นของข้า ข้าได้มอบให้กับมุตตาไว้เมื่อนานมาแล้ว”

“เหตุใดท่านจึงรู้ว่าไข่มุกมรกตอยู่ในตัวของข้าเล่า” รพีพงศ์ถามออกไปด้วยความสงสัย

“บางเรื่องเจ้ามิจำเป็นต้องรู้ หลังจากนี้เจ้าจะเดินทางไปนรกใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว ข้าจักต้องนำวิญญาณของนาคินทร์กลับคืนมา แต่ข้ายังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปนรกได้อย่างไร รู้ก็แต่เพียงว่าตั้งอยู่ที่สุดขอบโลกก็เท่านั้น” รพีพงศ์ตอบ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะเก็บไข่มุกมรกตและเกศาของมุตตาไว้ในกายตามเดิม

“การเดินทางไปดินแดนแห่งความตายหาใช่ปัญหาสำคัญ ในเมื่อเจ้านั้นช่วยเหลือลูกข้า ข้าจะช่วยส่งเจ้าไปนรกเช่นเดียวกัน” หากใครได้ยินประโยคสุดท้ายคงตกใจมิใช่น้อย ต้องคิดว่าพระเสาร์โหดร้ายหวังทำร้ายสุริยบุตร ทว่าผู้ที่กำลังจะถูกส่งไปนรกอย่างรพีพงศ์กลับยิ้มกว้าง

…‘พระเกตุเอ๋ย ข้าขอเชิญท่านมาพบข้า ณ ที่แห่งนี้ด้วยเถิด’… เปลือกตาของพระเสาร์ปิดลง ทั้งยืนสงบนิ่งเพื่อส่งกระแสจิตไปยังพระเกตุ ๑ ในเทพนพเคราะห์

‘โครม!!’ พลันดาวหางดวงหนึ่งพุ่งตกลงมาในวิมานของพระเสาร์ ก่อนจะกลายเป็นนาคสีทองที่มีเทวดารูปงามเนื้อเหมยืนอยู่บนลำตัว

“ข้าต้องขออภัยท่านด้วย ข้าเร่งรีบไปเสียหน่อยจึงตกลงมาที่นี่แทนที่จะเป็นหน้าวิมานของท่าน” เทวาพระเกตุเอ่ย แล้วก้าวลงจากนาคาสัตว์เทพพาหนะคู่บารมี

“มิเป็นไรดอก ข้านี้ต้องขออภัยท่านที่เรียกท่านให้มาบุมบ่ามเช่นนี้” พระเสาร์เอ่ย

“ท่านมีเรื่องอันใดจึงอยากพบข้า แล้วนี่...รพีพงศ์บุตรของสุริยเทพมิใช่หรือ ไยเจ้าถึงมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้เล่า...”

“ที่ข้าเรียกท่านมาในยามนี้ ก็จะให้ท่านช่วยส่งเจ้าเทพหนุ่มนี่ไปยังยมโลกด้วยเถิด” คำตอบของพระเสาร์ทำให้พระเกตุตกใจมิใช่น้อย

“นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น โปรดเล่าให้ข้าได้คลายสงสัยเสียก่อนเถิด หากด้วยการเป็นประตูนรกภูมินั้นเป็นเรื่องหาใช่ใหญ่สำหรับข้า หากข้าจะแนะนำวิธีอื่นแทน ด้วยตัวข้ามิใคร่จะร่วมมือกับท่านทำร้ายผู้ใด” พระเกตุเอ่ยกับพระเสาร์เพราะเข้าใจว่าเทวาทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกัน

“ช้าก่อนเทวาพระเกตุ...มันมิใช่สิ่งที่ท่านคิดแม้แต่น้อย การที่พระเสาร์จะให้ท่านส่งข้าไปยังนรกเป็นเพราะว่า……” รพีพงศ์ที่เงียบไปนานเป็นฝ่ายตอบและเล่าเรื่องราวรวมถึงจุดประสงค์ของตนที่ต้องลงไปในนรกภูมิ

“เอาล่ะในเมื่อเจ้ายืนยันว่าเป็นเทวาราชโองการชุบชีวิตของพระผู้สร้างและเจ้าจำเป็นจะต้องไป ข้าก็จักช่วยสงเคราะห์เจ้าให้ แต่ก่อนที่จะส่งเจ้าไปช่วยบุตรของพระเสาร์ ข้าจะต้องดูเสียก่อนว่านาคินทร์อยู่ที่ใดกัน” พระเกตุพูดจบก็เสกดวงแก้วออกมา ลอยปรากฏอยู่บนผ่ามือข้างหนึ่ง

“ดวงแก้วเอ๋ย จงเผยภาพในนรกภูมิมาให้ข้านั้นได้เห็นด้วยเถิด”

ดวงแก้วสีใสกลายเป็นสีมณีโกเมนตามด้วยกลุ่มควันสีขาวฟุ้งกระจายอยู่ภายใน ไม่นานมันก็เลือนหายเผยให้เห็นขุมนรก อันมีอยู่ด้วยกัน ๘ ขุม ไว้สำหรับลงโทษผู้กระทำความผิด ผู้สร้างบาป และทำเรื่องชั่วช้าผิดศีลธรรมเมื่อครั้งมีชีวิต

“อย่าทำข้า!!!! อ้าก!!!!! อย่า!!!!” เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานจากวิญญาณบาปที่วิ่งหนี หอก ดาบ บ้างก็ถูกสัตว์นรกที่ไล่ทำร้าย บนเปลวอัคคีที่โชกโชนทั่วบริเวณที่ปิดล้อมด้วยผนังเหล็กร้อน นรกขุมนี้คือ สัญชีวมหานรก ผู้ที่ทารุณกรรมสัตว์ ฆ่าสัตว์ ทำร้ายผู้อื่นให้ทุกข์ทรมานหรือไม่ยุติธรรม ใช้อำนาจเบียดเบียนคดโกงผู้อื่นจนเกิดทุกข์ เกิดการพลัดพรากสูญเสียไม่ว่าจะลงมือเสียเองหรือจะมอบอาวุธยืมมือใครใช้ทำความผิดก็ดี บุคคลที่กล่าวมาจะมารับกรรมในนรกขุมนี้ รพีพงศ์ได้เห็นเหล่าวิญญาณต้องอาวุธได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตก็ดี หรือวิญญาณบางตนอวัยวะขาดวิ่นไป ร่างกายจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ดังสมญานามว่านรกแห่งการเกิดอีกหน

… ‘นาคินทร์อยู่ในนี้หรือ ไฉนพระผู้สร้างบอกข้าว่ายังเหลือเวลาก่อนที่นาคินทร์จะถูกตัดสินกรรม’…

…‘ลูกพ่อ เจ้าต้องตกนรกหมกไหม้หรือนี่’...

“อย่าตกใจไปเลยท่านทั้งสอง นาคินทร์มิได้อยู่ในนรกขุมนี้ดอก ขอข้าเพ่งจิตสักครู่แล้วดวงแก้วนี้จะปรากฏให้พวกท่านเห็นว่านาคินทร์อยู่ที่ใด” พระเกตุสังเกตสีหน้าเทพทั้งสองก็เดาออกว่ากำลังคิดสิ่งใด จึงรีบชี้แจงให้คลายกังวล

เมื่อพระเกตุเพ่งจิตใส่ดวงแก้ววิเศษภาพของผนังเหล็กร้อนกลายเป็นผาสูงใหญ่ เสียงวิญญาณที่กรีดร้องโหยหวนหายไปแทนที่ด้วยเสียงวารีไหลตกลงมาสู่แม่น้ำใหญ่…น้ำตกเพียงแห่งเดียวในนรกภูมิที่มีสายน้ำเป็นสีแดงชาด...‘น้ำตกสีเลือด’ ณ ริมฝั่งนั้นเองมีนายนิรยบาลมากมายดูเหมือนกำลังเฝ้ายามแต่มีผู้สวมอาภรณ์ผิดแผกไปจากผู้อื่น นั่นคือพระกาฬไชยศรี บริวารของพญายมราชผู้ทำหน้าที่นำวิญญาณกระทำบาปมาสู่ยมโลกและที่ยืนอยู่ถัดไปไม่ไกลมากนักเป็นวิญญาณของชายหนุ่มรูปงามหากไม่พิศมองให้ดีพระเกตุคงคิดว่าเป็นอิสตรีเป็นแน่แท้ ด้วยเส้นผมที่ยาวดำขลับนั่น

“นาคินทร์” ทั้งพระเสาร์และรพีพงศ์เอ่ยนามคนที่ตามหาออกมาพร้อมกัน

“นี่นะหรือนาคินทร์ ความงามนี้คงจักได้มาจากแม่ แต่ดวงตานั้นเหมือนท่านไม่มีผิดเลย…พระเสาร์” พระเกตุเอ่ย

“เหตุใดลูกข้าถึงไปอยู่ยังน้ำตกสีเลือด ทั้งยังอยู่กับพระกาฬไชยศรีอีก” แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูฟูมฟักแต่สายสัมพันธ์พ่อลูกนั้นยังมี พระเสาร์กลายเป็นพ่อหวงลูกดั่งจงอางหวงไข่ไม่มีผิด

“พระเกตุโปรดส่งข้าไปยังนรกโดยเร็ว ข้ามิอยากเสียเวลาแม้เพียงเสี้ยววินาที” รพีพงศ์เร่งเร้าพระเกตุ ความหึงหวงจากภาพนั้นล้นอกจนแทบจะทนไม่ไหว พระเกตุเห็นอากัปกิริยาของพระเสาร์และรพีพงศ์แทบจะเอามือมาปิดปากกลั้นหัวเราะแทบไม่ทัน

“ข้าเองก็มิอาจรู้ได้ว่าเหตุใดนาคินทร์ถึงอยู่กับพระกาฬไชยศรีที่น้ำตกสีเลือด หากสิ่งที่ข้าจักทำได้คือส่งรพีพงศ์ลงไป แต่น้ำตกสีเลือดนั้นมีม่านมิติอยู่ การส่งเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า รพีพงศ์อาจจะถูกดูดกลืนและหายเข้าไปได้”

“พระเกตุแล้วข้าจักทำเช่นไรเล่า” รพีพงศ์ได้ฟังยิ่งร้อนใจ ทั้งอยากช่วยนาคินทร์ให้ทัน ทั้งหวงนาคน้อยที่กำลังยิ้มบางให้กับพระกาฬไชยศรี...‘นาคินทร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้านั้นหวงแม้แต่รอยยิ้มของเจ้า!!’…

“ข้าจะส่งเจ้าไปยังบริเวณที่ใกล้น้ำตกสีเลือดให้มากที่สุด”

“ชักช้าอยู่ไยเล่า รีบส่งรพีพงศ์ไปรับวิญญาณลูกข้าโดยเร็วเถิด” เพลานี้พระเสาร์เองก็ร้อนใจเร่งพระเกตุแทนรพีพงศ์ พระเกตุยิ้มให้กับพ่อตาลูกเขยคู่นี้ที่ไม่น่าจะมาเกี่ยวดองกันได้

มือเรียวหยิบดวงแก้วของตนขึ้นมาแล้วจัดการข้างปาลงสู่พื้น…‘เพล้ง !!’…เสียงเศษแก้วที่กระจายตามพื้น มันค่อยๆ เคลื่อนขยับมารวมตัวกันก่อตัวเป็นประตูรัตนาขนาดใหญ่

“รพีพงศ์จงฟังข้า…เจ้าจงไปยืนที่ประตูแห่งยมโลกตั้งจิตอธิษฐานให้ได้พบกับคนรักแล้วข้าจะส่งเจ้าลงไป” พระเกตุเอ่ย รพีพงศ์ได้ฟังก็รีบเดินไปหยุดตรงหน้าประตู

“ขอบน้ำใจท่านมากพระเกตุที่ช่วยเหลือข้า” รพีพงศ์เอ่ยออกมาจากใจ

“มิเป็นไรดอกข้ายินดีช่วย ว่าแต่เจ้าเถิดเวลานี้เจ้าพร้อมที่จะเดินทางไปยังยมโลกหรือยัง”  พระเกตุที่เห็นแก่ความรักของทั้งคู่ รวมถึงเห็นแก่มิตรภาพระหว่างตนเองและพระเสาร์ที่เคยช่วยเหลือกันครั้นยามออกรบเมื่อนานมาแล้ว

“ข้าพร้อมแล้ว”

“โปรดจงจำไว้ว่า...กายเจ้านั้นเป็นกายเนื้อและเป็นอัตตา เจ้าจะดึงดูดสัตว์นรกและอสูรกายทั้งหลาย อย่าช่วยเหลือผู้ใดในยมโลกนอกจากนาคินทร์ ไม่เช่นนั้นพระยายมราชจะต้องส่งเหล่าเปรตราชมาตามรังควานเจ้าแน่ และเมื่อเจ้าต้องการออกจากนรกพร้อมดวงวิญญาณของนาคินทร์ก็จงระลึกถึงข้า ประตูแห่งยมโลกนี้จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง” ...สิ้นประโยคกำชับสั่งเสียจากพระเกตุ รพีพงศ์ก็พยักใบหน้ารับ เทพหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมหลับตาลง ตั้งจิตมั่นอธิษฐานให้ได้พบกับนาคินทร์

...ด้วยวาสนาชะตาโชคนำพาให้ข้าผ่านพ้นมาถึงจุดนี้ ไม่ว่าจะบุกน้ำหรือลุยไฟในนรกขุมไหน ข้าก็พร้อมจะเผชิญ... ขอให้ได้พบกับนาคินทร์ผู้ที่รักและนำพาดวงวิญญาณนั้นได้หวนคืน...ขอให้ข้าได้กระทำการนี้สำเร็จดั่งใจหมายนำพาข้าไปยังปลายทางที่ข้าต้องการด้วยเทอญ...

“ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งดาวพระเกตุ ข้าขอเปิดประตูแห่งยมโลก...ณ บัดนี้...”  พลันคำกล่าวเปิดประตูสู่ยมโลกจบ บานประตูแก้วเปิดออกพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้าและวายุรุนแรงพัดกระหน่ำทำเข้าข้าวของให้วิมานของพระเสาร์ปลิวกระจัดกระจาย

“เจ้าจงไปยังขุมนรกที่เจ้าต้องการ...รพีพงศ์...”  พระเกตุยื่นดัชนีขวาไปยังบานประตู เกิดคลื่นพลังคลุมกายเทพหนุ่ม หอบเอากายรพีพงศ์เข้าไปภายในแล้วพุ่งทะยานส่งให้ไปยังสถานที่ใจปรารถนา

เมื่อกายรพีพงศ์หายลับสุดสายตาบานประตูรัตนาก็ปิดลง ความเงียบสงบกลับคืนสู่วิมานพระเสาร์อีกครั้ง















......................

มาแล้ว คิดถึงกันไหมคะ ท่านยุ่งคิดถึงทุกคนมากๆ

เข้าเรื่องกันดีกว่าเนอะ พระเสาร์-รพีพงศ์กว่าจะได้คุยกันสะบักสะบอมกันพอดูแถมตอนท้ายเห็นลูกเห็นเมียยืนกับชายอื่นที่มีนามว่าพระกาฬไชยศรี

555555555555



ท่านยถ่งอัพช้าอย่าว่ากันนะคะ ยุ่งจริงๆ งานหลักยุ่งแต่ยุ่งจะไม่หนีหาย #นี่แอบหลบมุมมาอัพกับโทรศัพท์



ขอบคุณทุกคนที่อ่านที่ติดตามกันนะคะ จุ๊บ

ออฟไลน์ vavavivi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตามมาจากทัณฑ์เทวาค่า  ชอบคู่นี้ สงสารรพีพงศ์จัง นาคินทร์กลับมาเร็วนะ

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ขอให้พีรพงศ์ได้เจอนาคินทร์เสียที 

อยากให้นาคินทร์ได้กลับมาเจอพ่อ  อยากเห็นพ่อตาจะหวงลูกมากขนาดไหน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
เค้าจะได้เจอกันแล้ว

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก…เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 04

 

 

 

 

 

จะจากเป็นหรือจะจากตายหาได้ต่างกัน แต่จากตายนั้นจะหาได้พบหน้ากันอีกคงเป็นไปมิได้ แต่ใครเล่าจะหลีกเลี่ยงหรือหนีได้พ้น ไม่มีใครเลยต้องการ เพราะผลลัพธ์จากการจากลา คือ ‘ความเจ็บปวด’ ยิ่งผูกพันมากเท่าใดความเจ็บปวดก็ยิ่งมากเท่านั้น มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ‘การจากลาทั้งยังรักกัน คือสิ่งเจ็บปวดที่สุด’ ยิ่งในวินาทีนั้นหากความรักได้เติบโตเป็นดอกไม้งามที่กำลังเบ่งบานในใจสองแล้ว ความเศร้ามันจะฝังรากหยั่งลึกลงไปยากที่จะถอดถอน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีลมหายใจหรือดวงวิญญาณที่ไร้ซึ่งกายหยาบก็ตาม ต่างตกในบ่วงห้วงคะนึงหาผู้พรากจากด้วยกันทั้งนั้น

 

คำกล่าวนี้แลเป็นจริง…ตั้งแต่วินาทีที่ความเจ็บปวดจากตรีศูล ๑ ใน ๓ มหาศาสตราวุธ แสนยิ่งใหญ่แทงทะลุผ่านร่างกาย จนกระทั่งมิได้ยินเสียงกระซิบใดๆ เข้าโสตประสาท ความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลขาดหาย นาคินทร์ก็ไม่ทรมานอีกต่อไป 

ดวงวิญญาณหลุดออกจากร่าง ค่อยๆ ลอยห่างกายผู้เป็นที่รัก นัยน์ตาโศกสะท้อนเงาสุริยบุตรที่ยังโอบกอดกายตน ใบหน้าหล่อเหลาอาบหยาดอัสสุชลมิขาดสาย ปากร้องตะโกนเรียกชื่อตนมิได้หยุดหย่อน

 

…‘เจ็บเหลือเกิน…เจ็บใจที่ข้าไม่ได้อยู่ข้างกายท่านพี่ดั่งที่วาดฝันไว้’…

 

อยากจะเข้าไปสวมกอดเหลือเกิน กอดให้กายได้แนบชิด กอดเสียจนสองกายผสานหลอมรวมเป็นหนึ่ง นาคินทร์อยากจะทำมันแต่…ทำไม่ได้ 

 

ในเมื่อยามคับขันเช่นนั้นจำต้องเลือก แล้วนาคินทร์ก็เลือก...เลือกที่จะสละชีวิตตนปกป้องรพีพงศ์จากคมตรีศูล 

 

สิ่งที่ดวงวิญญาณนาคาทำได้คือการมองผู้เป็นที่รักอย่างสุดดวงใจให้นานเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะถูกดูดกลืนหายเข้าไปในคนโทของพญายมราช

 

ความมืดได้เข้ามาห้อมล้อมจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด แต่พอได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งนาคินทร์ก็พบว่าตนอยู่ในวิมานแสนวิจิตรแห่งหนึ่ง พอถามความจากนิรยมบาลผู้เดินผ่านหน้าห้องที่ตนนั้นพักอยู่ ก็ได้ความว่าสถานที่แห่งนี้คือวิมานของพญายมราชผู้เป็นใหญ่ในดินแดนนรกภูมิ 

 

นาคินทร์แทบมิอยากจะเชื่อว่าวิมานที่แสนงามพิศดารแห่งนี้จะตั้งอยู่ในนรกภูมิ หากแต่เหล่าดวงวิญญาณมากมายในภพนี้ได้ล่วงรู้เข้า คงจะอิจฉาริษยามิใช่น้อยที่วิญญาณนาคาอย่างตนมิต้องถูกพิพากษาเพื่อตัดสินโทษทัณฑ์ที่เคยกระทำไว้เมื่อครั้งเป็นมีชีวิตในภพก่อน ทว่าสิ่งหนึ่งที่นาคินทร์กลับเหมือนต้องโทษทัณฑ์แทนคือ ...ดวงใจที่ทรมาน... มิมีผู้ใดล่วงรู้เลยว่านาคินทร์ทรมานใจมากเพียงใด 

 

…‘ท่านพี่รพีพงศ์…ข้าคิดถึงท่านพี่เหลือเกิน’…

 

มิใช่เพียงแต่สุริยบุตรเหงาเศร้าคะนึงหานาครักผู้วายชนม์เท่านั้น ดวงวิญญาณที่ล่วงลับก็เช่นกัน นาคินทร์ปล่อยใจให้นึกถึงแต่สุริยบุตรรูปงามที่คอยตระกองกอดกายตนยามหนาว คอยหาเรื่องลงโทษด้วยจุมพิตแสนหวานอยู่บ่อยครั้ง ...ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บเสียเหลือเกิน…เจ็บที่ต้องคอยคิดถึงโดยที่นาคินทร์ไม่สามารถทำอันใดได้ ซ้ำการได้มาอยู่ ณ วิมานแห่งนี้ยังเป็นปริศนาที่นาคินทร์เองยังหาคำตอบไม่ได้

 

“นาคินทร์ ท่านพญายมราชต้องการพบเจ้า” นิรยมบาลนายหนึ่งได้เอ่ยคำสั่งจากผู้เป็นใหญ่และเสียงทุ้มแฝงไปด้วยความดุดันนี้ได้ทำให้นาคินทร์ได้สติเลิกคิดถึงรพีพงศ์ไปชั่วขณะ

 

“ท่านพญายมราชต้องการพบข้าหรือ” นาคินทร์ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

 

“ใช่ เจ้ารีบตามข้ามาเถิด เพลานี้ท่านพญายมราชกำลังคอยเจ้าอยู่หน้าวิมาน” นิรยมบาลเดินนำหน้าพานาคินทร์ไปพบเจ้านรก ระหว่างทางนาคินทร์ได้แต่คิดในใจว่าคงถึงเวลาที่ตนจะได้เดินทางผ่านประตูทั้ง ๙ เพื่อรับคำพิพากษาเป็นแน่ ก็สมควรแก่เวลาแล้วมิใช่หรือในเมื่อตนเองก็สิ้นชีพมาหลายวัน

 

“คารวะ…ท่านพญายมราช ข้านาคินทร์มาพบท่านตามคำสั่งแล้ว” นาคินทร์คุกเข่าลงตรงหน้าพญายมราชผู้เป็นใหญ่ ข้างกายมีบุรุษเทพร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ไม่ห่าง ผู้หนึ่งดูแข็งแกร่งแฉกเช่นนักรบคงเทียบได้กับเทพนภนต์ผู้เป็นที่รักของสหาย อีกผู้หนึ่งนั้นดูคงความรู้มีความน่าเชื่อถือ หรือทั้งสองอาจจะเป็น…พระกาฬไชยศรีกับพระเจตคุปต์ บริวารของพญามัจจุราชผู้นำดวงวิญญาณบาปมานรกและอ่านประวัติผู้ตายเสนอแด่พญายม

 

“เจริญสุขเถิดนาคินทร์...”  เสียงที่ตอบกลับมานั้นไร้ซึ่งความน่ากลัวใดๆ กลับเป็นน้ำเสียงเย็นหากไม่ใช่ยะเยือกจนหนาวชวนขนลุก ทว่าคือความเย็นดุจสายชลชวนให้เกิดความสบายใจแก่ผู้ฟัง ซึ่งผิดแผกจากสุรเสียงที่ใช้ในการตัดสินกรรมดี-กรรมชั่วให้กับเหล่าวิญญาณ

 

“มิทราบว่าท่านมีการอันใดถึงได้เรียกข้ามาพบ...หรือหากว่าท่านต้องประสงค์ให้ข้ารับใช้ ข้านี้ก็ยินดี...” นาคินทร์รีบถามความ หากแต่พญายมราชหวังชุบเลี้ยงตนไว้ใช้งานเฉกเช่นนิรยมบาลในวิมานแห่งนี้ก็ยินดี

 

“ข้าไม่มีเรื่องอันใดให้เจ้าต้องมารับใช้ดอก” พญายมตอบกลับไป นาคินทร์ที่ก้มหน้าในคราแรกจึงเงยหน้าขึ้นมามองไปยังพระกาฬไชยศรีและพระเจตคุปต์ ก่อนจะพูดสิ่งที่ตนนึกคิดขึ้นมา

 

“หรือว่าท่านเรียกข้ามาเพื่อรับคำพิพากษา” นาคินทร์ถามน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แม้จะเตรียมใจในการรับคำตัดสินโทษก็ตามทีแต่พอถึงเวลากลับนาคินทร์กลับรู้สึกกลัวเพราะตนเองใช่ว่าจะดีเลิศมาจากไหน แม้จักกระทำชั่วไม่มาก หากมันคือเรื่องใหญ่ บาปที่เคยก่อไว้กับชลันธรถึงขั้นจะปลิดลมหายใจนั้นเป็นตัวตัดสินได้เป็นอย่างดีว่านาคาน้อยนี้จักต้องตกนรกหมกไหม้

 

“เจ้าเข้าใจผิดแล้วนาคินทร์ แต่ไม่แปลกหรอกถ้าเจ้าจักคิดเช่นนั้น เพราะเห็นพระกาฬไชยศรีกับพระเจตคุปต์ก็อยู่ด้วย” พญายมราชแย้มสรวลออกมา ในใจขบคิดว่านี่หรือคือนาคา ดหตุใดเล่าจึงมิต่างจากกระต่ายตื่นตูม

 

“เอาล่ะเหตุที่ข้าเรียกเจ้ามานั้นเพื่อที่จะให้เจ้าได้ออกจากวิมานของข้าไปท่องเที่ยวในดินแดนนรกนี้เสียบ้าง มาอยู่นรกก็หลายวันแล้ว ข้าก็เกรงเจ้าจะเบื่อหน่ายหากอยู่แต่ในวิมาน” พญายมเอ่ยออกมา นาคินทร์ถึงกับเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ

 

“ท่องเที่ยว...จริงหรือ ข้าจะได้ออกนอกวิมานนี้หรือ” นาคินทร์แม้จะตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าได้รับอนุญาตให้ออกไปท่องเที่ยว...แต่ท่องเที่ยวในดินแดนนรกเยี่ยงนี้จะมีสิ่งใดให้น่าอภิรมย์ นอกจากต้นงิ้วสูงใหญ่ ที่วิญญาณบาปคอยปีนหนีคมหอก ไหนจะน้ำเดือดภายในกระทะทองแดงนั่นอีก…ไม่ได้ชวนอภิรมย์แต่ชวนให้หวั่นกลัวเสียมากกว่ากระมัง…‘เอาเถิด เปิดหูเปิดตาดีกว่านอนอุดอู้อยู่ในวิมานนี้’… นาคินทร์พยายามคิดถึงข้อดีแทน

 

“ข้าจะโป้ปดเจ้าไปด้วยเหตุอันใดเล่า คราก่อนข้าเห็นเจ้าดูเซื่องซึมจึงอยากจะให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตา ถึงแม้นรกของข้าจะไม่สวยงามดั่งสรวงสวรรค์ อีกทั้งยังมากด้วยเหล่าวิญญาณร้าย แต่ยังพอมีสถานที่ให้เจ้าได้ผ่อนคลายได้บ้าง” พญายมราชพอจะเดาออกว่านาคินทร์คิดเช่นไรจึงมิลืมที่จะเอ่ยสร้างความกระจ่างใจให้กับนาคน้อย

 

“เป็นความกรุณายิ่งแล้ว ถึงนรกนี้จะไม่สวยงามเฉกเช่นแดนสวรรค์ แต่ใครเล่าจะได้เที่ยวชมนรกโดยไม่ต้องสนใจหอกแหลมดาบคมจะมาทิ่มแทงกาย หรือวิ่งหนีสัตว์นรกจะวิ่งเข้ามาขย้ำ” นาคินทร์ใจชื้นขึ้นมา อย่างน้อยพอจะมีข้อดีในการเที่ยวชมนรกครั้งนี้

 

“เช่นนั้นข้าจะให้พระกาฬไชยศรีเป็นผู้นำทางเจ้าไป” พญายมราชเอ่ย พระกาฬไชยศรีเดินออกมาหยุดตรงหน้าของนาคินทร์

 

“ลุกขึ้นเสียเถิด...เจ้านาคน้อย..” พระกาฬไชยศรียื่นหัตถาให้นาคินทร์ได้จับ หากนาคินทร์กลับอยู่ในโลกของความคิด…‘นาคน้อย’... คำๆ นี้ทำให้หวนนึกถึงรพีพงศ์ผู้เป็นที่รักเสียไม่ได้

 

...‘ข้าเปล่านะ ใครจะฝันว่าท่านจูบเพื่อปลุกข้า..อ๊ะ!’…

…‘นี่เจ้าเก็บข้าไปฝันเยี่ยงนี้หรือ…เจ้านาคน้อยลามก’… 

 

“เจ้านาคน้อย…เจ้านาคน้อย เจ้าได้ยินหรือไม่” พระกาฬไชยศรีเรียกดวงวิญญาณที่นั่งจมอยู่ในความคิดให้กลับมามีสติอีกครั้ง ก่อนจะเป็นฝ่ายจับแขนเล็กและฉุดให้ยืนขึ้นมาโดยไม่รอให้นาคินทร์อนุญาตหรือตั้งตัว

 

“ขะ…ข้าขออภัยท่านด้วย” นาคินทร์กล่าวคำขอโทษ ใบหน้าก้มลงไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตาพระกาฬไชยศรี

 

“สงสัยนาคินทร์คงตื่นเต้นที่ได้ออกจากวิมานของข้ากระมัง จึงได้เหม่อลอยเช่นนี้” พญายมราชเอ่ยออกมานึกเอ็นดูนาคาตนนี้ แต่มีหรือที่จะมิรู้ความในใจนาคินทร์

 

“แต่ข้ากลับคิดว่านาคินทร์กลัวพระกาฬไชยศรีเสียมากกว่า ไหนจะพักตราแสนดุดัน ไหนจะสวมเกราะ ถืออาวุธเยี่ยงจะไปรบ” พระเจตคุปต์เอ่ยออกมาอย่างขบขันที่สหายไม่ทิ้งมาดนักรบ ด้วยช่วงชีวิตของพระกาฬไชยศรีคงมีเพียงภารกิจหน้าที่เท่านั้น พญายมเองรวมถึงตนอยากให้พระกาฬไชยศรีได้ผ่อนคลายบ้างจึงได้เห็นพ้องให้เป็นผู้นำทางนาคินทร์ไปชมดินแดนมรณะแห่งนี้

 

“อย่าเพิ่งยั่วโมโหพระกาฬไชยศรีเลย ข้าว่าเพลานี้นาคินทร์เองคงอยากออกจากวิมานเต็มทีแล้ว” พญายมราชรีบเอ่ยแทรกก่อนจะเกิดสงครามขนาดย่อมระหว่างยมฑูตทั้งสอง

 

“ข้าขอลาพานาคน้อยตนนี้ไปชื่นชมความงามของนรกภูมิก่อนเถิด” พระกาฬไชยศรีเอ่ยออกมาเสียงห้วนๆ แล้วเดินนำนาคินทร์ออกไป

 

เมื่อขบวนของพระกาฬไชยศรีและนาคินทร์เดินทางฝ่าทะเลทรายที่ล้อมวิมานของพญายมราชไว้ พอเริ่มออกจากอาณาเขตทะเลทราย แสงสว่างเริ่มริบหรี่ท้องนภาเปลี่ยนสีคล้ายยามราตรีไร้แสงพระจันทร์ สร้างความแปลกใจให้กับนาคินทร์เป็นอย่างมากจนเผลอมองขึ้นไปบนฟ้าโดยไม่รู้ตัว

 

“ท้องนภาในนรกนี้แตกต่างจากที่เจ้าเคยเห็นหรือไร เจ้าถึงได้มองไม่ยอมละสายตา หากจะมองหาวิหกสักตัว ก็ไม่มีให้เจ้าได้ยลดอก...” พระกาฬไชยศรีทำลายความเงียบด้วยบทสนทนาที่คล้ายจะเหน็บแนมก็ไม่ใช่จะเป็นคำถามก็ไม่เชิง

 

“เป็นเช่นนั้น แต่มีอีกเรื่องที่ข้าเพียงสงสัยว่าเหตุใดพอพ้นอาณาเขตวิมานแห่งพญายมราชแล้ว ท้องฟ้าที่เคยสว่างจนฉาบเม็ดทรายเป็นสีทองกลับไร้แสงจนแทบสิ้น”

 

“ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยบุญยาบารมีแห่งพญายมราช ยามที่ท่านอยู่แห่งหนใดแสงสว่างจะเยือนอยู่ที่นั่น แผ่รัศมีขจรกระจายนับ ๑๐ โยชน์และเมื่อพ้นออกมาเจ้าจักได้เห็นท้องฟ้าอันแท้จริงของนรกภูมิ ทีนี้...เจ้าหายสงสัยหรือยัง...เจ้านาคน้อย”

 

“ที่แห่งนี้ไร้จันทรา ไร้ทินกรด้วยหรือ พระกาฬไชยศรี” นาคินทร์ซักถามต่อ

 

“ใช่ นรกภูมินี้เป็นสถานที่เดียวอันไร้ซึ่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ผู้ที่อาศัยในนรกไม่ว่าจะเป็นพญายมราช เหล่าเทพผู้รับใช้ ยมทูต ตลอดจนวิญญาณจักไม่เคยได้มองเห็นเลย ขณะเดียวกันพระอาทิตย์และพระจันทร์ก็มิอาจมองเห็นสรรพสิ่งใดในนรกได้เช่นกัน” 

 

…‘บุญของข้าช่างน้อยนิด เพียงแค่อยากจะเห็นดวงอาทิตย์ให้หายคิดถึงท่านพี่ยังเป็นไปไม่ได้’…

 

“ไยเจ้าถึงมีใบหน้าเศร้าสร้อยขึ้นมาเล่า ถึงจะไร้แสงสุริยาหรือจันทราส่องมาถึง แต่ใช่ว่าจะอับแสงเสียทีเดียว มากับข้าทางนี้เถิดหนา ข้าจะพาเจ้าไปชมความงดงามที่จะเกิดขึ้นเพียงปีละครั้งในนรกนี้” พระกาฬไชยศรีเอ่ยดวงตาจ้องมองใบหน้าของนาคินทร์…‘ข้าหวังว่าข้าจะมอบรอยยิ้มให้กับเจ้าได้…นาคน้อย’...

 

มนุษย์จินตนาการว่าที่แห่งนี้มีเพียงขุมนรกไว้ลงโทษเหล่าวิญญาณบาป มีผี มีเปรต มีสัมภเวสีร้องโหยหวนชวนขนลุก หากทางใต้ของนรกภูมินั้นกลับไม่ใช่ เรียกได้ว่าคงจะเป็นอาณาเขตที่สวยงามที่สุดในนรกก็ว่าได้อันประกอบด้วยทะเลสาบผืนน้ำสีโลหิตที่กว้างใหญ่แต่ลึกเพียงครึ่งแข้ง มีสะพานไม้ข้ามฝั่งทอดอยู่ตรงกลาง ถูกขนานนามว่า ...ทะเลสาบพลับพลึง...

 

ปกติแล้วทะเลสาบนี้เป็นเพียงแอ่งกระทะกว้างแห้งแล้ง เพียงครั้งเดียวใน ๑ ปีนรกเท่านั้น สายน้ำจากน้ำตกโลหิตจะไหลเข้ามาเติมเต็มให้พื้นที่นี้กลายเป็นทะเลสาบ แลปรากฏดอกไม้งามที่มีเฉพาะพื้นที่นี้หนึ่งเดียวในดินแดนยมโลก ...พลับพลึงสีเลือด...

 

ขบวนของพระกาฬไชยศรีหยุดขบวนพักกลางสะพานไม้ให้นาคินทร์ได้ชื่นชมความงามของบุปผางามกลีบสีแดงชาดที่กำลังเบ่งบานโผล่เหนือผิวน้ำมากมายจนมิอาจนับได้

 

พอได้เห็นทะเลดอกพลับพลึงนาคินทร์ก็อดมีจะตื่นตะลึงมิได้ ไม่คิดว่านรกภูมิจะมีสถานที่แบบนี้ด้วย มองนิ่งพินิจอยู่นานสองนาน 

 

แม้สีสันของกลีบดอกจะแดงฉานดั่งสีเลือด แต่นาคินทร์ก็หมายอยากอยากได้สักก้านสองก้าน เอากลับไปปักแจกันชื่นชมไว้ในห้องหับที่ตนพักอาศัย ร่างกายนั้นไวกว่าความคิดร่างบางนั่งลงกับพื้นไม้ ยื่นมือเอื้อมพร้อมจะเด็ดมาลีตรงหน้า

 

“ห้ามเด็ดดอกพลับพลึงนี้เป็นอันขาด!!!” พระกาฬไชยศรีที่กำลังพูดคุยบริวารพอหันกลับมาก็เห็นนาคินทร์กำลังทำสิ่งที่เป็นอันตรายเสียแล้ว

 

“ขะ…ข้าโทษ” เมื่อโดนดุนาคินทร์ก้มหน้าลงสำนึกผิดในพฤติกรรมที่ไม่ยอมถามหรือขออนุญาตจากพระกาฬไชยศรีเสียก่อน 

 

“ข้าห้ามเจ้ามิใช่เพราะหวงดอกพลับพลึงนี้ นาคินทร์เจ้าจงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังผีเสื้อยมโลกตัวนั้นเสียสิ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเหตุใดข้าจึงห้ามเจ้า” ฝ่ายพระกาฬไชยศรีรู้ตัวว่าเผลอใช้เสียงดังกับนาคินทร์จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง นาคินทร์เองทำตามที่อีกฝ่ายบอก ตาจ้องมองผีเสื้อที่บินวนกลีบผกาก่อนจะเข้าไปดูดกลืนรสหวานจากเกสร

 

“อ๊ะ!!!...ผีเสื้อ…เหตุใดผีเสื้อถึงได้…” ไม่ถึงอึดใจผีเสื้อน้อยร่วงตกลงพื้นน้ำ ปีกกว้างค่อยๆกลายเป็นผงกลืนไปกับผิวน้ำ

 

“นี่คือดอกพลับพลึงสีเลือดแห่งความตาย เกสรและส่วนหัวที่ฝังอยู่ในดินนั้นมีพิษร้ายแรง เมื่อทะเลสาบแห้งเหือดมันจะแห้งตามไป และจะเติบโตขึ้นมาอีกครั้งยามสายชลหลั่งไหลเข้ามาในทะเลสาบนี้” พระกาฬไชยศรีเล่าเกี่ยวกับดอกพลับพลึงสีแดงสดให้นาคินทร์ได้ฟัง     

 

“ดอกไม้สวยเช่นนี้ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะมีพิษร้ายแรงจนปลิดชีวิตผีเสื้อได้ในทันที” นาคินทร์ตกใจมิใช่น้อยเมื่อรู้ความจริง โชคดีที่พระกาฬไชยศรีเตือนตนไว้ทันท่วงที

 

“ผีเสื้อพวกนี้อ่อนแอไปต่างหากเล่า หากดวงวิญญาณแตะต้องจะทำให้ปวดแสบปวดร้อนดั่งไฟเผาทั้งยังต้องคำสาปมีบาปติดตัว ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด แม้แต่น้ำในทะเลสาบยังมีพิษปนเปื้อนจนท่านพญายมราชรับสั่งให้เหล่านิรยมบาลสร้างสะพานไม้นี้ขึ้นมาในยามทะเลสาบแห้งเหือด” 

 

“ดอกพลับพลึงนี้น่ากลัวมากจริงๆ” นาคินทร์พึมพำกับตนเองนับว่าโชคดีที่ตนมิได้สัมผัสดอกไม้เพชรฆาตนี้

 

“บุปผาชาติบางชนิดมีอันตราย เช่นกุหลาบที่มีหนามตลอดก้านมิให้ใครได้จับต้อง เจ้าล่ะพอจะรู้จักดอกไม้หรือต้นไม้ประหลาดอันใดบ้าง”พระกาฬไชยศรีเห็นร่างบางท่าทางดูหวาดระแวงจึงได้ชวนพูดคุยให้ผ่อนคลาย

 

“ดอกไม้ ต้นไม้ประหลาดหรือ…ต้นพะยอม ใช่ต้นพะยอมในป่ากันติทัต” นาคินทร์จำได้ไม่มีลืมเลือนดอกพะยอมสีขาวนวลชวนปลุกกำหนัดนี้ เคยทำให้ตนเกือบตกของรพีพงศ์ด้วยความไม่เต็มใจ

 

“ต้นพะยอมพันปีนั่นหรือ ข้าเองเคยได้ยินมาบ้างหากยังไม่เคยพบเจอ เคยได้ยินว่านางฟ้า นางสวรรค์นำดอกมันมาบดเป็นผงทาผิวกาย หรือว่าที่เจ้ารู้จักเพราะเคยนำมันมาใช้” พระกาฬไชยศรีหยอกเหย้านาคินทร์ทั้งที่รู้ว่าร่างบางตรงหน้าไม่จำเป็นต้องใช้ดอกพะยอมก็สามารถเย้ายวนให้ใครต่อใครหลงใหลได้

 

“ข้ามิเคยใช้นะ!!” นาคินทร์รีบปฏิเสธ แต่ในหัวยังคิดถึงตอนรพีพงศ์ต้องฤทธิ์ดอกพะยอมจนเกิดกำหนัดปล้ำจูบตนไม่หยุดหย่อน

 

“แล้วไยแก้มเจ้าถึงขึ้นสีแดงปลั่งเล่า…ข้าว่าเจ้าต้องเคยใช้เป็นแน่” พระกาฬยังคงหยอกไม่หยุด ซึ่งผิดวิสัยที่เคร่งขรึมจนเหล่ายมทูตผู้ติดตามยังแปลกใจ

 

“พระกาฬไชยศรี ขืนท่านยังกล่าวหาข้า ข้าจะโกรธท่านจริงๆ แล้วนะ” ใครได้ยินคงนึกขำที่วิญญาณนาคาตัวกระจ้อยร่อยกำลังขู่ยมทูตผู้สูงศักดิ์อย่างพระกาฬไชยศรี

 

“ข้ามิได้กล่าวหาเจ้าสักหน่อย...เพียงแต่หยอกเย้าเจ้าเล่นก็เท่านั้น...”

“หยอกเล่นอะไรกันแบบนี้เล่า...”  นาคินทร์แสร้งทำฉุนเฉียวทั้งที่ในใจเขินเรื่องที่ผ่านมาในครานั้นจะแย่

“หากเจ้าอยากให้ข้าเลิกหยอกเจ้าล่ะก็...เจ้าช่วยเรียกข้าว่า...ท่านพี่...จะได้หรือไม่” พระกาฬไชยศรีจับบ่าเล็กทั้งสองให้นาคินทร์หันมาหาตนเอง

 

“เหตุใดข้าต้องเรียกท่านว่า...ท่านพี่...ด้วยเล่า” ท่านพี่...คำนี้ นาคินทร์ตั้งคำถามในใจ กลัวเหลือเกินว่ายมทูตหนุ่มจะคิดอะไรเกินเลยกับตน

 

“เจ้าคิดว่าข้าพิศสวาทเจ้าแบบผัวเมียหรืออย่างไร จงอย่ากังวลไปเลย ข้านั้นเพียงเห็นเจ้าแล้วนึกถึงน้องชายของข้าเมื่อครั้นที่ข้ายังเป็นมนุษย์ก็เท่านั้น” คำตอบของพระกาฬไชยศรีทำให้นาคินทร์โล่งใจ กลับรู้สึกเป็นเกียรติที่พระกาฬไชยศรีเอ็นดูตนผู้ต่ำต้อยนัก

 

“ได้สิ…ท่านพี่…” นาคินทร์คิดเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมเอ่ยเรียกพระกาฬไชยศรีตามความประสงค์ 

 

“ให้เจ้าคิดเสียว่า...ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าในที่แห่งนี้เถิด นาคินทร์...” 

 

ความรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยกำลังเกิดขึ้น ด้วยเกิดมาเดียวดายไร้พี่น้องพอมีญาติมิตรแม้จะไม่ได้ร่วมสายเลือดเดียวกันนาคินทร์ก็ดีใจแล้ว อย่างน้อยการที่มาอยู่ในดินแดนที่ไม่สามารถหวนกลับเช่นนี้ก็ไม่หัวเดียวกระเทียมลีบ

 

ใช่เพียงนาคินทร์แต่นาคินทร์ พระกาฬไชยศรีเองดีใจไม่ต่างกันหากเก็บความดีใจนั้นต้องแอบซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าดุดัน

 

“นาคินทร์น้องข้า เจ้าอยากจะเห็นต้นน้ำของทะเลสาบนี้หรือไม่” พระกาฬไชยศรีถามผู้เป็นน้องคนใหม่

 

“อยากสิ…ข้าอยากเห็นยิ่งนัก ท่านพี่ช่วยนำทางด้วยเถิดหนา ข้าอยากรู้ว่าที่ต้นน้ำนั้นเป็นเช่นไร” นาคินทร์ยิ้มบาง ดวงตาเปล่งประกายความสุขเมื่อได้เจอสิ่งแปลกใหม่ที่ตนไม่เคยพบเห็น

 

“เป็นเช่นนั้นพวกเราเดินทางข้ามสะพานไม้นี้ไปอีกฝั่งเถิด”

 

พระกาฬไชยศรีและนาคินทร์ใช้เวลาไม่นานก็ข้ามไปยังอีกฝั่งของทะเลสาบ หากยังไม่ใช่ที่หมายเพราะยังต้องเดินผ่านกลาง ...ทุ่งแห่งความสิ้นหวัง...ทุ่งหญ้ากว้างที่ไร้หญ้าสีเขียวขจีแต่กลับเป็นสีเทาอ่อน มองดูแล้วน่าเศร้าไร้ซึ่งความหวังใดๆ 

 

เมื่อพ้นทุ่งหญ้าสีเทาก็เข้าเขตป่าเสี่ยงทาย ต้นไม้ในป่าแห่งนี้จะมีใบไม้ที่เป็นสีทองแดงล้วน ทั้งยังร่วงโรยอยู่ตลอดวันตลอดคืนจนปิดบังโคนไม้ พอก้มเก็บขึ้นมามันจะเปลี่ยนสีเป็นสีต่างๆ ทำนายทายทักเรื่องในใจผู้ต้องสัมผัส

 

“ท่านพี่…ใบไม้ของข้าเป็นสีชมพู”

 

“สีชมพูหรือ…แสดงว่าใจของเจ้ายังคิดถึงห่วงใยคนรักของเจ้าอยู่” พระกาฬไชยศรีบอกคำทำนายซึ่งแม่นยำราวกับว่ามานั่งอยู่ในดวงใจนาคินทร์ 

 

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็เงียบลงเพราะตลอดเวลามานี้นาคินทร์นึกเป็นห่วงกลัวรพีพงศ์จะสิ้นหวังจนทำร้ายตัวเอง สำหรับนาคินทร์แล้วภาพที่รพีพงศ์หลั่งน้ำตาให้ตนยังคงเด่นชัดอยู่เสมอ

 

“บ่อยครั้งที่ดวงวิญญาณที่หลงเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้จะหยิบใบไม้แล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพู ผู้วายชนม์แล้วล้วนมีห่วงผู้ยังมีลมหายใจ ยิ่งผู้เป็นที่รักก็ยิ่งเป็นห่วง วิญญาณบางดวงหยิบใบไม้ขึ้นมาแล้วเปลี่ยนสีน้ำเงินอันหมายถึงยังคงมีห่วงเรื่องชาติ บ้านเมือง บ้างเปลี่ยนเป็นสีเขียวแสดงถึงว่ายังห่วงครอบครัว แต่น้อยนักที่หยิบแล้วใบไม้จะไม่เปลี่ยนสี นั่นคือ…ไม่มีการอันใดให้ต้องห่วงอีกต่อไป” พระกาฬไชยศรีกล่าวต่อแล้วโอบบ่าร่างบางไปข้างหน้าเพื่อเดินทางต่อ ส่วนนาคินทร์นั้นก็เก็บใบไม้เปลี่ยนสีชมพูไว้กับตัว

 

‘ซ่า…ซ่า…’

 

วารีจากบนภูเขาสูงไหลลงจากหน้าผาตกกระทบชั้นศิลาเล็กใหญ่ที่เรียงตัวกันดังมาแต่ไกล สายน้ำไหลรวมกันก็กลายเป็นแอ่งฐานน้ำตกขนาดใหญ่ ไหลไปตามลำธารที่แยกออกไปสู่สถานที่ต่างๆ ในนรกภูมิ เช่น ทะเลสาบพลับพลึงที่พระกาฬไชยศรีได้พานาคินทร์ไปชมดอกพลับพลึงสีเลือด

 

น้ำตกแต่ละแห่งนั้นมีความงดงามที่เป็นเอกลักษณ์ นาคินทร์พิจารณารอบบริเวณแอ่งน้ำด้านล่างปกคลุมด้วยพืชคลุมดินเขียวขจีไม่ต่างจากน้ำตกในโลกมนุษย์หรือป่าหิมพานต์ ทว่าสายชลที่เห็นกลับเป็นสีแดงฉานไม่ต่างจากโลหิต


ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
(ต่อ)



 

“ที่นี่คือน้ำตกโลหิต ข้าคงไม่ต้องอธิบายเจ้าดอกนะว่าเหตุใดจึงมีชื่อนี้” พระกาฬไชยศรีเอ่ย ร่างสูงเยื้องย่างไปข้างหน้าแล้วย่อตัวลงนั่ง มือนั้นสัมผัสกับผิวน้ำก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

“ท่านพี่เป็นอันใดหรือ” นาคินทร์เดินไปนั่งใกล้ๆสงสัยว่าเหตุใดพระกาฬไชยศรีจึงดูกลัดกลุ้มใจเช่นนี้

 

“น้ำสีแดงที่เจ้าเห็นนี้บ่งบอกถึงความบาปจากการกระทำของวิญญาณเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ นับวันสีของมันยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆจนข้าหวั่นใจว่า…โลกีจะไร้ซึ่งคนดี” 

 

“ท่านพี่อย่าได้กังวลใจไปเลย ไม่แน่พอครบขวบปีสีแดงที่เราเห็นอาจจางลงได้” นาคินทร์เอ่ยให้กำลังใจ

 

“นั่นสิ…ข้าไม่น่ากังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเลย อีกอย่างทั้งที่พาเจ้ามาเที่ยวกลับกลายเป็นให้เจ้ามาปลอบข้า” พระกาฬไชยศรีระบายยิ้มออกมาก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบเกศาสีปีกกาของนาคินทร์ การกระทำของพี่ชายนอกสายเลือดทำให้นาคินทร์รู้สึกประหลาดมิใช่น้อย     

 

“จริงสิ...ข้ามีบางเรื่องสงสัยอยากจะถามท่านพี่ได้หรือไม่...” นาคินทร์ฉุดคิดเรื่องที่เหตุใดทำไมวิญญาณของตนกลับมาอยู่ที่วิมานของพญายมราช ไม่ถูกตัดสินโทษทัณฑ์ตามแต่กรรมที่เคยกระทำไว้...

 

“หากเรื่องใดที่ข้าพอจะตอบได้ข้าก็จะตอบเจ้า...”

 

“ข้าเพียงอยากรู้ว่าทำไมดวงวิญญาณของข้าถึงไม่ได้รับการตัดสินเสียที แต่กลับมาอยู่เสียในวิมานของท่านพญายมราชได้...”

 

“เรื่องนี้ตัวข้าเองก็มิรู้แน่ชัด...หากจะให้ข้าเดา ท่านพญายมราชคงหมายให้เจ้าได้เป็นหนึ่งในยมทูตสำคัญของนรกเป็นแน่...”

 

“ข้าน่ะหรือ...จะเป็นไปได้อย่างไรกัน...ข้ายังไม่ประสานัก...แล้วจะเป็นได้อย่างไร...ในเมื่อ...” นาคินทร์ประหลาดใจ รู้ตนเองดีว่าตนหาได้เก่งกาจไม่ คาถามนตราที่มีล้วนใช้เอาตัวรอดไปวันๆหาได้นำไปใช้สู้รบปรบมือกับผู้ใดได้ไม่

 

“จะพูดมากไปใยน้องพี่...ไม่โดนตัดสินโทษก็ดีหนักหนา โอกาสเช่นนี้เกิดขึ้นกับดวงวิญญาณที่ลงมาในนรกนี้ไม่มากนัก...ข้าเองตอนที่ตายก็มิได้รับการตัดสินโทษเช่นกัน ท่านพญายมราชคงแลเห็นแล้วว่าข้าเหมาะที่จะเป็นยมทูตกระมัง เลยไม่ส่งข้าไปตัดสินโทษ” พระกาฬไชยศรีเอ่ยแทรกขึ้นมา นาคินทร์ได้ฟังจึงเข้าใจว่าตนคงมิต่างจากพระกาฬไชยศรีผู้เป็นพี่

 

“แต่ข้า...” ถึงกระนั้นนาคินทร์ก็อดกังวลและมีเรื่องจะโต้แย้งอยู่ดี

 

“แต่อะไรหรือ...อีกอย่างเจ้าก็ยังไม่ได้เป็นวันนี้พรุ่งนี้สักหน่อย...เจ้าก็ต้องเข้าฝึกตนให้เป็นยมฑูตผู้เพรียบพร้อมให้ได้เสียก่อน...” พระกาฬไชยศรีเหมือนจะอ่านใจนาคาผู้ที่ตนรับมาเป็นน้องได้ จึงได้ไขข้องสงสัยให้คลายกังวล

 

“เข้าฝึกตนเป็นยมทูต...เช่นเดียวกับมนุษย์ที่จักต้องไปศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนใช่หรือไม่”

 

“เป็นเช่นนั้น...หากแต่เมื่อเจ้าอยู่จนครบวาระ เจ้าก็มีโอกาสไปเกิดในภพภูมิใหม่ที่ไม่ใช่ในนรกภูมิแห่งนี้...” พระกาฬไชยศรีอธิบายต่อดั่งอาจารย์ให้ความรู้แก่ศิษย์

 

“จริงหรือ....” แววตาของนาคินทร์ที่มิเคยฉายออกมาตั้งแต่เหยียบลงมาในดินแดนไร้ลมหายใจนี้ บัดนี้ดวงตามิต่างจากดวงดาวบนท้องนภาที่กำลังส่องประกาย

 

“ข้ามิปดเจ้าดอกน้องพี่....แต่โอกาสเช่นนั้น อาจจะยาวนานสักหน่อย...ทำใจเถิดหนา นรกแห่งนี้เป็นบ้านหลังใหม่ของเจ้าแล้ว...”     

 

นาคินทร์จุกอกไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่ออีก ด้วยความหวังที่จะมีโอกาสได้พบเจอกับรพีพงศ์นั้นเล็กเสียกว่าเมล็ดงา พลางแต่ถอนหายใจยาวๆ แล้วยิ้มบางในพระกาฬไชยศรี

 

“เอาล่ะน้องพี่ เชิญเจ้าชื่นชมความงามของน้ำตกสีเลือดเถิด หากจะลงเล่นน้ำก็ย่อมได้เพราะน้ำที่นี่มิได้มีพิษเฉกเช่นในทะเลสาบ” พระกาฬไชยศรีเอ่ยแล้วเดินไปอีกทาง เพราะรับรู้ได้ว่านาคินทร์เหมือนมีเรื่องอะไรในใจคิดเพียงลำพัง 

 

เมื่ออยู่ตามลำพังนาคน้อยได้เดินไปที่โขดหินใหญ่และนั่งลงมองน้ำตกที่ไหลตกกระทบหิน ดวงตาโศกมองย้อนขึ้นไปพบว่าม่านน้ำนั้นปิดซ่อนถ้ำเอาไว้เป็นเหตุให้นาคินทร์นึกถึงเหตุการณ์ในถ้ำม่านน้ำตกแห่งกันติทัตไพรี

 

…‘นาคินทร์ทุกอย่างที่เคยเป็นของเจ้า…จักกลายเป็นของข้านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป’…

 

นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงเพลานี้ แม้จะร่างกายจะดับสูญแต่ความรักและดวงใจของนาคินทร์ยังคงเป็นของรพีพงศ์เสมอ พักตรางามแต่งแต้มด้วยน้ำตาที่พร้อมจะเอ่อล้นออกมายามคิดถึงบุรุษเทพผู้เป็นที่รัก คิดถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนที่ตระกองกอดเวลาหลับ คิดถึงรสจูบแสนหวานที่คอยมอบให้กันและกัน คิดถึงกายสองที่แนบชิดไม่เคยห่างจนรับรู้ถึงลมหายใจ คิดถึง…คิดถึงเหลือ

 

…ข้าคิดถึงท่านพี่…คิดถึงท่านพี่รพีพงศ์…

 

นาคินทร์กลั้นกลืนสะอื้นไห้ สูดลมหายใจเข้าลึก ...เพียงในใจคิด หากรพีพงศ์ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตนจะไม่ลังเลที่จะวิ่งปรี่เข้าไปกอดในทันที

 

“นาคินทร์…” เสียงทุ้มหนึ่งเรียก...

 

“ท่านพี่รพีพงศ์” นาคินทร์ผันหน้าไปตามเสียงเรียก ก่อนจะคลี่ยิ้มด้วยความดีใจและวิ่งถลาจนแทบจะล้มคะมำ…‘ข้าฝันไปใช่หรือไม่จึงได้พบได้เจอท่านพี่อีกครั้ง”...

 

“คิดถึง…คิดถึงเหลือเกิน” นาคินทร์กอดร่างสูงเอาไว้แน่น ทว่ากลับถูกดันกายให้ออกห่าง

 

“นาคน้อย…ข้าเพิ่งจะไปพูดคุยกับยมทูตผู้ติดตามเมื่อครู่ เจ้าก็คิดถึงข้าแล้วหรือ” นาคินทร์เงยหน้ามองพบว่าหาใช่รพีพงศ์คนรักไม่ กลับเป็นพระกาฬไชยศรีที่กำลังใช้นิ้วมือบีบปลายจมูกตนเบาๆ

 

“คือข้า…ต้องขออภัยท่านพี่ด้วยที่เสียมารยาท…”

 

“มิต้องขออภัยอะไรหรอก เจ้าเป็นน้องข้านะ ข้าจะถือสาหาเอาความกับเรื่องเพียงเท่านี้ไปทำไมกัน ข้าเข้าใจดีว่าเจ้านั้นยังคงคิดถึงคนรักของเจ้ามากมายเท่าใด…นาคินทร์น้องพี่…”

 

ขณะที่พระกาฬไชยศรีและนาคินทร์กำลังพูดคุยแลชื่นชมความงามของชลธีสีชาดนั้น หารู้ไม่ว่ากำลังมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องทั้งสองอยู่ อีกด้านของโขดหินใหญ่กลางน้ำตกสีโลหิตนี้  ท่ามกลางยมบาลที่คอยยืนเฝ้าอยู่โดยรอบแต่ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าของเจ้าดวงตาคู่นี้ซ่อนกายอยู่ใกล้เพียงไม่กี่คืบ   

 

ภาพสะท้อนในดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชัง แม้มันวิ่งพล่านปลุกปั่นอารมณ์ให้โกรธาเพียงใด ทว่ารอยยิ้มกลับปรากฏอยู่บนใบหน้าเจ้าของดวงตาคู่นี้อยู่ดี

   

…‘นับว่าเป็นโชคดีของข้าเสียจริงๆ ไม่นึกเลยว่าข้าได้พบเจอกับเจ้าอีกครั้ง ในเวลาอันรวดเร็วขนาดนั้น…ในที่สุดสิ่งที่ข้าตั้งอษิฐานก็สัมฤทธิ์ผลมาครึ่งหนึ่งแล้ว ข้าขอสาบานไว้ ณ ตรงนี้เลยว่าข้าจะเอาเลือดทั้งกายของเจ้าและรพีพงศ์ มาล้างเท้าข้าให้จงได้!!! แม้จะเจ้าจะตายไปแล้วข้าก็จะทำลายล้างดวงวิญญาณของเจ้าไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอีก  พวกเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นข้า...นาคินทร์ !!!’…

























................................................................................

คิดถึงฉันไหม...เวลาที่เธอไม่เจอะเจอกันกับฉัน

 อิอิ คิดถึงหนูคินทร์ไหม ตอนนี้ขอยกให้หนูคินทร์ทั้งตอน ไม่สิ มีพระกาฬไชยศรีด้วย

#พี่ชายแสนดี รวมถึงท้ายเรื่องมีตัวอะไรโผล่มา

ท่านยุ่งหายไปเนื่องจากดังแล้วหยิ่ง

ล้อเล่นค่ะ ยุ่งมีงานประจำที่ต้องทำและยุ่งกับสาปรักทัณฑ์เทวาด้วยเลยไม่ค่อยอัพเดทหนูคินทร์ ต้องขอโทษด้วยค่ะ

อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะคะ ท่านยุ่งแต่งจบแน่ขอเวลาแล้วจะกลับมาอัพดังเดิม



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเม้นมาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
รพีพงศ์ตามมาถึงไหนแล้วนี่  มีคนคิดร้ายอยู่ใกล้ตัวนาคินทร์ด้วย  ระวังตัวด้วยนะ

รออยู่นะคะ   :mew1:

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เดี๋ยวๆอิตาลุงกานธีชื่ออะไรนะลืม..ยังจะตามมาอีกหรือนี่ทำผิดยังไม่สำนึกอีกเรียนท่านพญายมราชปกป้องน้องทีเจ้าค่ะอิฉันไม่อยากอกแตกตายนะเจ้าคะ  :angry2:

ออฟไลน์ jing_sng

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 761
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
สนุกดีค่ะ ตามมาจากเรื่องก่อน แต่รู้สึกคู่นี้น่าสนใจกว่า
ขอชมคนเขียนนะ ข้อมูลแน่ดี ตอนเขียนนี่ต้องมีแผนที่3โลก กับแฟมมิลี่ทรี(ใครพวกใคร ใครแพ้ทางใคร)ของสมาชิกเทพต่างๆ แน่ๆ ข้อมูลแน่นเชียว

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ประกาศ #ลิขิตรักเพลิงเทวา

เนื่องจากรุ่นพี่ที่ช่วยตรวจได้เดินทางไปต่างประเทศ และจะกลับมาในเดือนสิงหาคม ทำให้การอัพนิยายเรื่องนี้ล่าช้าไปด้วย (อันที่จริงยุ่งเขียนไปหลายตอนแล้วแต่รอตรวจค่ะ)
ระหว่างรอผู้อ่านที่น่ารักทุกคนสามารถติดตามนิยายเรื่อง #จ้าวสิงคาล ของท่านยุ่งได้ค่ะ #โปรโมตอย่างเปิดเผย

เรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน
Tan-Yung 0209

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2


กาลครั้งหนึ่งของจันทรัช

Author : Tan-Yung 0209

File : 01





…“ข้าได้ยินว่าเป็นเด็กเลี้ยงช้างในป่าหิมพานต์ เหตุใดจึงได้มาร่วมอยู่กับเทพาและเทพี ณ วิมานของเทพีณิชาได้”…

…“นี่นะหรือลูกชู้…ฉัตราภรณ์ เจ้าอย่าไปเล่นกับเด็กแสนน่าขยะแขยงผู้นี้เป็นอันขาด”…

เสียงซุบซิบนินทาดังแว่วเข้าหูของเทวาตัวน้อยตลอดทุกย่างก้าวที่ตนได้เดินเข้ามาในอาณาบริเวณแห่งวิมานสีงาช้าง เด็กชายผู้เติบโตมาในหิมพานต์ไพรีทำได้เพียงแสร้งไม่ได้ยิน เก็บสิ่งสงสัยข้องใจไว้ในอุรา ดวงตาสวยดั่งมฤคาก้มมองผืนหญ้าเขียวชอุ่มเพราะมิอยากมองเห็นสายตาหยามเหยียดของเทพยดาทั้งหลายที่มองมายังตนอย่างหยามเหยียด ซ้ำยังพยายามยัดเยียดความคิดอคติแก่บุตราและบุตรีทั้งหลายอีกด้วย

“จันทรัช…มาแล้วหรือ เหตุไฉนมาเพียงลำพังเล่า ข้าคิดว่าทหารของพระพฤหัสจักพาเจ้ามาส่งถึงมือข้าเสียอีก” เทวีงามนามณิชา ผู้เป็นเจ้าของวิมานแห่งนี้ได้เอื้อนเอ่ยถามผู้ที่ตนกำลังรอคอย น้ำเสียงก้องกังวาลใสราวน้ำทิพย์ทำให้จันทรัชที่ก้มหน้าก้มตา ได้เงยหน้าขึ้นมามอง

“ข้าขอทำความเคารพแด่ท่าน ท่านคือเทพีณิชาสินะขอรับ” จันทรัชพรมมือขึ้นกลางอุรา ศีรษะค้อมลงก้มไหว้ทำความเคารพแด่ผู้อวุโสกว่า กิริยาแสนอ่อนน้อมแสดงออกว่าได้รับการสั่งสอนเป็นอย่างดีทำให้เทพีณิชาอดนึกเอ็นดูมิได้

“ใช่ข้าคือเทพีณิชา เอาล่ะเจ้าตอบคำถามของข้าได้แล้วว่าเหตุใดจึงเดินเข้ามาในวิมานของข้าเพียงลำพัง”

“ข้ามิอยากรบกวนเหล่าทหารไปมากกว่านี้ เพียงแค่ไปรับข้าจากป่าหิมพานต์มายังวิมานของท่าน ตัวข้านั้นก็รู้สึกเกรงใจ อยากให้พวกเขาได้พักผ่อนมากกว่า” จันทรัชตอบตามความคิด ตอนที่ตนเห็นใบหน้าอิดโรยก็รู้สึกสงสารไปตามประสาเด็ก จึงคิดที่จะลดภาระให้กับทหารของพ่อบุญธรรมของตน

“เจ้ามิเกรงกลัวอันตรายดอกหรือ” เทพีณิชาแสร้งถามดู แววตาเป็นประกายเมื่อครู่ได้มีหมอกแห่งความหม่นหมองอีกครั้ง จันทรัชเม้มริมฝีปากสีสดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป

“แรกเริ่มข้าหาได้กลัวสิ่งใดเพราะแลเห็นว่าที่แห่งนี้คือสวรรค์ คงมิมีสิ่งใดเป็นอันตรายกับข้าได้ ทว่าข้ากลับคิดผิด…สิ่งอันตรายกลับมิใช่อาวุธแต่เป็นคำพูดและการแสดงออกให้ตัวข้ารู้สึกเจ็บปวด” ประโยคร้อยเรียงด้วยความเศร้า ความหว่าเหว่ของเทวาตัวเล็กที่ถูกพรากจากอกคชสารมายังถิ่นฐานที่ควรอยู่ ณิชาเทวีได้สดับฟังนึกสงสาร นางพอจะรู้ว่าจันทรัชได้ยินเกี่ยวกับชาติกำเนิดที่ถูกผนึกเอาไว้และรอวันเปิดเผยในเพลาที่เหมาะสม

“สิ่งใดที่เจ้าได้ยินมาจงอย่าได้ใส่ใจเลยจันทรัชเอ๋ย…จงคิดเสียว่าพวกเขาทำได้เพียงติฉินนินทาและแสดงกิริยาไม่งามใส่เจ้าเท่านั้น มิอาจมาต่อกรทำอันใดเจ้าได้ไปมากกว่านี้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้กลัวเกรงอีกเลย เงยหน้าของเจ้าชื่นชมความงามของวิมานที่ปรากฎให้เจ้าได้แลเห็นเสียดีกว่า” เทพีสาวเอ่ย พร้อมหัตถาลูบผมสีไม้มะเดื่อแผ่วเบา จันทรัชนำถ้อยคำของเทวีมาคิดแล้วจึงพยักหน้าเพื่อแสดงออกถึงความเข้าใจในคำสอนเมื่อครู่

“ดารุณี” หลังจากกล่าวสอนจันทรัชเป็นที่เรียบร้อย เทพีณิชาจึงเรียกบุตรีมาหาตน

“ท่านแม่มีอันใดให้ข้ารับใช้หรือ”

“ข้าจะให้จันทรัชอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้า ให้เขาได้รวมกลุ่มกับเทพตนอื่น หากมีอันใดขาดเหลือก็มาบอกข้าได้” เทพีณิชาเอ่ย ดารุณีเองมองไปยังเจ้าของนามอันไพเราะก่อนจะส่งยิ้มให้ นางรู้สึกถูกชะตากับเทวาตัวน้อยเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับจันทรัชพอได้สบตาดารุณีก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นมิต่างจากแม่คชสารของตนเลย

“มากับข้าเถิดจันทรัช มากับข้า…” มืองามยื่นออกไปตรงพักตราของจันทรัช มือป้อมก็คว้าจับไว้มิลังเล จากนั้นจึงถูกอีกฝ่ายจูงออกไปยังลานกว้าง เทพีณิชาแลเห็นว่าจันทรัชคลายกังวลและดารุณีเองให้ความเอ็นดู ตนก็รู้สึกโล่งใจมิต่างจากยกภูเขาออกจากอก

… ‘เมื่อก่อนข้าเคยคิดสงสัยว่าเหตุใดท่านจึงมิยอมสังหารบุตรแห่งจันทราเทพ ผู้เป็นดั่งลูกชู้ของพระนางดารา อีกทั้งยังคอยชุบเลี้ยงให้เติบใหญ่ หากเพลานี้ข้อสงสัยได้มลายหายไปจนสิ้น จันทรัช…งามทั้งรูป งามทั้งใจเช่นนี้แล้ว ใครเล่าจักใจร้ายได้ลงคอ’…

-*-*-*-*-*-*-

“ผู้ใดบอกกับข้าได้บ้างว่าเรื่องไก่ได้พลอยที่ข้าเพิ่งจะเล่าให้พวกเจ้าฟังเมื่อครู่ให้ข้อคิดอันใดบ้าง” ดารุณีเอ่ยถามหลังจากเล่านิทานของชาวโลกาเสร็จสิ้น ให้กับกลุ่มเทพตัวเล็กได้ฟัง แต่ละคนนั่งฉุกคิดนิ่งเงียบ บ้างก็หันซ้าย หันขวามองมิตรสหาย จนกระทั่งมีแขนเล็กสวมกำไลทองฝังพลอยสีน้ำทะเลได้ยกขึ้นมา

“กนธี ไหนเจ้าลองตอบข้าว่าตัวเจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร” ดารุณีเอ่ยถามกนธีผู้เป็นบุตรคนรองแห่งพระสมุทรเทวา

“สิ่งไร้ค่าสำหรับเรา อาจจะเป็นสิ่งมีค่าสำหรับผู้อื่น ไก่ตัวนี้เมื่อได้พลอยกลับไม่แยแสเพราะมันมีค่าน้อยกว่าข้าวเปลือก ซึ่งผิดกับมนุษย์ที่แลเห็นอัญมณีมีค่ากว่าข้าวเปลือก” กนธีตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน เหล่าสหายต่างมองอย่างชื่นชม

“มีใครเห็นด้วยบ้าง” ดารุณีเอ่ยถาม ทุกคนต่างยกมือขึ้นมาเป็นคำตอบ กนธียิ้มออกมาอย่างพอใจ

“ท่านดารุณี…” ทว่ามีเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา ทุกคนต่างหันไปมองเจ้าของเสียงก็พบว่าเป็นผู้มาใหม่

“ว่าอย่างไร…จันทรัชหรือเจ้ามิเห็นด้วย” ดารุณีเอ่ยถาม จากที่ฟังคำตอบจากกนธีนับว่าตอบได้ดีทีเดียวด้วยวัยเพียงเท่านี้

“จากที่ท่านกนธีตอบมา ตัวข้านั้นเห็นด้วยเหตุที่ข้าเอื้อนเอ่ยเรียกท่านนั้น ข้าเพียงจะบอกความคิดเห็นของข้าอันแตกต่างจากท่านกนธี” จันทรัชเอ่ยสร้างความสนใจให้กับเทพตนอื่นรวมถึงกนธีที่มองอยู่ตาจ้องไม่กระพริบ ริมฝีปากยกยิ้มคล้ายดูแคลน

…‘ข้าขอฟังความคิดของเด็กป่าเช่นเจ้าเสียหน่อยจันทรัชว่าจะดีเลิศสักเพียงไหน ถึงได้บังอาจมาแจงเหตุผลอื่น’…

คราใดที่กนธีตอบ มักจะไม่มีผู้ใดแสดงความคิดเห็นอีก ไม่ว่ากนธีจักทำสิ่งใดทุกคนล้วนคล้อยตามเอียนเอนด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้กนธีได้ใจอวดดีอยู่เนืองๆ หากครานี้มีจันทรัชผู้มิรู้เรื่องรู้ราวได้ถือดีอวดรู้ในสายตากนธี

“ผู้ที่รู้ในสิ่งที่ตนต้องการ รู้ในสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพย่อมเป็นเรื่องดี หากไม่รู้ตนเองแล้วไซร้ย่อมมิเป็นการดี ถ้าเรามองในทางกลับกัน หากไก่ตัวนี้เห็นพลอยมีค่า หลงใหลในความสวยแต่ไร้ความจำเป็น มันคงจะไม่รู้จักอิ่มปาก อิ่มท้องเป็นแน่” จันทรัชตอบตามความคิดเห็นของตน

“ผู้ใดเห็นชอบกับสิ่งที่จันทรัชเอ่ยออกมาเมื่อครู่หรือไม่” ดารุณีถาม เหล่าเทวาต่างมองซ้ายมองขวา มืออยากจะยกขึ้นมา ทว่าเจอสายตากดดันของกนธีก็มิอยากจะทำตัวมีปัญหาเป็นศัตรูกับกนธี จันทรัชเองมองสถานการณ์ก็พอจะคาดเดาได้ รวมทั้งสายตาชิงชังจากนธีที่พุ่งตรงไม่ต่างจากหอกแก้วปักกลางร่าง จันทรัชรู้ตนเองว่าได้สร้างความไม่พอใจต่ออีกฝ่ายเสียแล้ว ไม่ใช่แค่จันทรัช นางอัปสรดารุณีเองก็มองออกทะลุปรุโปร่ง ผู้หนึ่งชอบเอาชนะ ผู้หนึ่งเถรตรงไม่ยอมใคร เห็นทีว่าถ้าไม่ทำอันใดสักอย่างคงมิเป็นการดี

“เอาล่ะ อีกไม่นานพวกเจ้าจักต้องกลับวิมานของตนเองแล้ว ข้าจักให้พวกเจ้าได้วิ่งเล่นก่อนกลับไป พวกเจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร”

“เย้!!!!” เสียงโห่ร้องคือคำตอบได้ดี ดารุณีจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณอนุญาต เทวาตัวเล็กตัวน้อยต่างวิ่งวุ่นดุจผึ้งแตกรัง เว้นแต่จันทรัชที่ไม่ไปไหน

“เจ้าไม่ลองไปวิ่งเล่นกับผู้อื่นดูเล่าจันทรัช จักได้สนิทกันไว้” ดารุณีเดินเข้าหาจันทรัชที่ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่บนผืนหญ้า

“ข้ามิบังอาจไปเล่นกับทวยเทพเหล่านี้ดอกขอรับ” จันทรัชถ่อมตัว ด้วยตนเป็นบุตรของนางช้างที่พระพฤหัสคอยชุบเลี้ยงรับเป็นบุตรบุญธรรมเพียงเท่านั้น

“อย่าคิดเช่นนั้นเลย เจ้าเองมิได้ด้อยไปกว่าใคร” ดารุณีเอ่ยอย่างมีความนัย จริงอยู่ที่ชาติกำเนิดของจันทรัชยังคงเป็นความลับไปจนกว่าพระจันทร์จักพ้นโทษตามเทวบัญชาของพระผู้สร้าง

“จันทรัชมากับข้าสิ” กนธีเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า สร้างความประหลาดใจให้กับจันทรัชเป็นอย่างมาก

“ไปกับท่านกระนั้นหรือ” จันทรัชทวนถามอีกครั้ง

“ใช่…ไปกับข้า ข้าจะชวนเจ้าไปเล่นสนุกด้วยกัน” กนธีแสดงท่าทางเป็นมิตร ผิดกับก่อนหน้านี้ลิบลับ จันทรัชหันมองไปยังดารุณีประหนึ่งว่าขอความเห็นก็ไปรับรอยยิ้มส่งกลับมา

“ขอบน้ำใจท่านมากที่ไม่รังเกียจข้า ชวนข้าให้เล่นกับท่าน” จันทรัชยิ้มให้ในใจคิดว่าตนคงคิดมากไปดั่งดารุณีบอก บางทีกนธีอาจจะมิได้เลวร้ายอันใดเป็นสหายที่ดีของตนก็เป็นได้

กนธีเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน แล้วจึงคว้าแขนฉุดกายของจันทรัชให้ลุกขึ้นมา ทว่าหาได้มีใครรู้ไม่ว่ารอยยิ้มของกนธีมิใช่รอยยิ้มมิตรภาพแต่เป็นรอยยิ้มของผู้ที่กำลังจะได้รับชัยชนะที่เกิดจากความสะใจ

…‘หลังจากนี้ไป เจ้าจักได้พบเจอความสนุกจนมิอาจลืมเลือนได้อีก…จันทรัช’…





..............50%.......

จันทรัช = พระพุธ

กนธี = ป๋ากนธีของท่านยุ่ง

ใช่ค่ะเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นอนุบาล

#ภาษาฝืดๆไปบ้างเนื่องจากหยุดเขียนไปพักใหญ่ ขอแก้ไขใน 50% หลัง

ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อิตาลุงนี่คือพลังด้านลบที่แท้ทรู 
ต้องเอาอิลุงมาฟาดให้หน้าแหกสัก 10 ล้านรอบ  :beat:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด