พิมพ์หน้านี้ - ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: TanYung0209 ที่ 17-01-2018 09:11:53

หัวข้อ: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 17-01-2018 09:11:53
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 17-01-2018 09:19:40
ลิขิตรัก...เพลิงเทวา

 

 

เพราะความรัก...นำพาดวงใจคืนกลับมา

เพราะความแค้น...นำพาดวงใจนั้นจากไป



นิยายเรื่องนี้เป็นภาคต่อจาก

สาปรักทัณฑ์เทวา[/size
]

[url]http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58846.]http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58846.][url]http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58846. (http://[url=http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58846.)0 [/url]
หัวข้อ: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.00 (17/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 17-01-2018 09:22:49


ลิขิตรัก…เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 00













ณ ทางช้างเผือกหนึ่งในดาราจักรแห่งห้วงจักรวาลแสนกว้างใหญ่ ยังคงงดงามพร่างพราวไปด้วยเหล่าดวงดาวที่ส่องแสงสกาวระยิบระยับ แต่เพลานี้กลับมิใช่มีเพียงแสงจากดวงดาราเท่านั้น หากแต่มีแสงจากเพลิงอัคคีที่ลุกโชน แม้จะเห็นเป็นจุดเล็กๆแต่กลับโดดเด่นจนเป็นที่สังเกตได้โดยง่าย

นอกจากไฟของเปลวเพลิงที่ปรากฏขึ้นแล้ว ยังมีคำบอกรักที่ดังก้องกังวานของเทพหนุ่มที่เอ่ยออกมาให้กายบางที่กำลังมอดไหม้วนซ้ำไปมา ไฟที่ตนนั้นเป็นผู้จุดขึ้นมาเผาผลาญร่างคนรักตามคำสั่งเสีย ไม่นานนักไฟร้อนที่ลุกท่วมกายก็ค่อยๆ มอดดับลง กายบางที่ถูกเผาบัดนี้เหลือเพียงเถ้าถ่านที่ล่องลอยหมุนวน รวมกันขึ้นมาก่อตัวเป็นดวงแก้วนาคาส่องประกายแสงแล้วค่อยๆ ตกลงมาสู่ฝ่ามือของสุริยะบุตร แก้วนาคานี้คือสิ่งสุดท้ายของผู้ที่ตนได้มอบหัวใจหลงเหลือไว้นอกเหนือจากความรัก ความทรงจำ ฝ่ามือใหญ่กุมแก้วนาคานั้นวางทาบไว้แนบอกข้างซ้าย…ให้ได้สัมผัสกับหัวใจที่ยังเต้นเพื่อคนรัก ดวงแก้วนั้นแทรกซึมผ่านร่างกายเข้าไปแล้วหยุดอยู่ที่กลางดวงใจของตนเอง

เหตุการณ์ในวันที่สูญเสียคนรักได้ฝักรากลึกในความทรงจำ มันช่างแจ่มชัดเสียเหลือเกินยิ่งได้เห็นยิ่งรู้สึกคล้ายหมุดที่ตอกเข้าดวงใจให้ร้าวราน เทพหนุ่มลืมตาขึ้นมาหลังจากที่เผลอหลับใหล เพลานี้คนรักได้จากตนไปเป็นราตรีที่ ๔ แล้ว

...‘พี่นั้นคิดถึงเจ้า...เวลาในแต่ละวันที่ไม่มีเจ้ามันช่างทรมานใจพี่ยิ่งนัก’… …‘เจ้ารู้หรือไม่…พี่นั้นไม่เคยลืมเจ้าเลย แม้เพียงเสี้ยววินาที’… …‘ทุกลมหายใจของพี่นั้นมีเพียงเจ้า…มิอาจมีใครอื่นได้’…

รพีพงศ์ยกมือขึ้นมาทาบหน้าอกพร้อมรวมจิต มิช้านานแสงสีขาวส่องสว่างออกมาจากอกข้างซ้าย แก้วนาคาปรากฏขึ้นมาในฝ่ามือ ดวงตาคมจ้องมองไปใจนึกถึงใบหน้างดงามที่มีเกศาสีดำยาวสลวยที่เคยสาง ดวงตาสีเขียวมรกตที่ตนจ้องมองไม่รู้เบื่อ ริมฝีปากแดงสดที่ตนอดใจมิให้จุมพิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า

…‘นาคินทร์…เจ้าจักกลับมาหาพี่ได้หรือไม่’...











.............

ท่านยุ่งขอส่งอินโทรมาก่อนนะคะ ตอนอื่นจะรีบปั่นหลังจากรวบรวมเนื้อหาทำเล่มนิยายเรื่องสาปรักทัณฑ์เทวาเสร็จ รอกันหน่อยนะคะ จุ๊บ

ส่วนรพีพงศ์กับนาคินทร์จะได้กลับมาเจอกันไหม เจอในรูปแบบไหน.. ไม่ต้องเดาค่ะ นิยายท่านยุ่งน้ำเน่าเดาไปก็เท่านั้น 555
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.01 (17/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 17-01-2018 20:38:26


ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 01











ลึกลงไปใต้แผ่นน้ำรอยต่อระหว่างมหาสมุทรทั้งสอง  มหานทีสีทันดรและโลกสมุทร อันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดที่เกิดมาพิกลพิการ บ้างเกิดจากบิดามารดาต่างพงศ์พันธุ์ จึงทอดทิ้ง แต่มีอยู่ไม่น้อยที่มาหลบซ่อน ไม่ต้องการเผชิญกับผู้ใดด้วยอับอายในความอัปลักษณ์

...‘เพื่อจะหลีกเร้นจากสายตาที่รังเกียจดูแคลน’…

…‘เพื่อที่ใครคนนั้นจักได้ไม่มาพบเห็น…ใบหน้าแสนอัปลักษณ์ของข้า’…

สถานที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยความหดหู่เศร้าหมองแผ่กระจายปกคลุม ดุจความมืดมิดแห่งรัตติกาลที่ฉาบบริเวณนี้ไว้ แสงตะวันจากโลกไม่เคยจะส่องเข้ามาถึงไม่เคยเลย…ไม่เคยเลยแม้สักครั้ง ความมืดมิดจะกลายเป็นอดีต

เมื่อบังเกิดแสงสุรีย์สว่างโชติช่วงใต้ผืนน้ำ เหล่ามัจฉา เต่าพันปี แลสัตว์น้ำน้อยใหญ่ต่างสงสัย โลกนี้กลับตาลปัตรไปแล้วหรือ ถึงได้ปรากฏดวงอาทิตย์ใต้ผืนมหานทีแห่งนี้ แต่เมื่อเพ่งพินิจแล้วกลับไม่ใช่…ดวงแก้วสว่างที่เห็นนั้นคือเทพบุตรรูปงามพร้อมเปลวรัศมีสีเพลิงรอบกายกำลังแหวกว่ายฝ่ากระแสสินธุ์แสนมืดมิด

…‘ไม่ว่าท่านจะหลบซ่อนกายอยู่ที่ใด…ข้านั้นจักตามหาท่านให้เจอ’…

. . .

เวลานั้นเปรียบได้ดั่งสายน้ำที่ไหลผ่านไปไม่ไหลย้อนกลับ…ผ่านมาแล้วผ่านไป เวลาโลกเท่ากัน แต่เวลาของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ในบางช่วงชีวิตเราไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ และหลายครั้งที่เรากลับปล่อยให้มันล่วงเลยไปอย่างไร้ความหมาย

แน่นอนว่าเวลาไม่ได้ช่วยให้ลืมความเจ็บปวด แม้จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือตลอดชีวิต ความทุกข์ทรมานจากการพลัดพรากสูญเสียผู้เป็นที่รัก ทำให้จิตยิ่งจ่อมจมกับความมืดมิดลงไปทุกที

เฉกเช่นเทวารูปงามนาม ‘รพีพงศ์’ ที่อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวระหว่างตนเองกับนาคินทร์เสียเหลือเกิน หากย้อนเวลากลับไปได้ตนจะบอกรักนาคินทร์ให้เร็วกว่านี้ จะปกป้องนาคินทร์ไม่ให้เกิดอันตราย สองแขนนี้จะตระกองกอดให้ความอบอุ่นยามหลับใหลแก่นาคน้อย ถึงแม้ว่าอยากจะย้อนเวลาฝ่ามิติมากมายเท่าใด ก็มิอาจเป็นจริงได้

รพีพงศ์ผู้แสนเข้มแข็งได้เปลี่ยนไปด้วยน้ำเปลี่ยนนิสัยที่ทำให้เมามายแทบไร้สติ ตื่นขึ้นมาก็รินเหล้าลงจอกกรอกเข้าปากจนหลับใหล พอตื่นฟื้นขึ้นมาได้ก็รินเหล้าดั่งเดิมทำเช่นนี้ซ้ำๆ นับตั้งแต่สูญเสียผู้เป็นดวงใจไป

ไฟแห่งชีวิตกำลังมอดลงทุกที

…‘โลกแห่งความจริงมันเจ็บปวดนัก แม้เป็นถึงเทพก็มิอาจดับทุกข์นี้ได้…ข้าขอหลับตาอยู่ในห้วงแห่งความฝันที่แสนสุข มีพี่และเจ้ายังดีเสียกว่า…นาคินทร์’…

“ท่านพี่รพีพงศ์…ท่านพี่ตื่นขึ้นมาเถิด” อรุณเทพ เทพผู้เป็นน้องชายฝาแฝดกำลังปลุกเทพผู้เป็นพี่ผู้เมามายไม่ได้สติให้ตื่นขึ้นมา

“อืม..ข้าจะนอน อย่ามาปลุกข้า!!!” รพีพงศ์ตวาดลั่นแม้ดวงตานั้นยังถูกเปลือกตาปิดทับอยู่ก็ตามที อรุณเทพหาได้ถือสาหาความไม่ กลับรู้สึกเศร้าใจที่เห็นเทวาผู้งามสง่ากลับกลายเป็นเทวาขี้เมาไร้สติ ใบหน้าซูบเซียว วงตาหมองคล้ำ อรุณเทพมองแล้วได้แต่ทอดถอนใจ

…‘ความรักอันไม่สมหวัง…นั้นมีพิษร้ายแรงเพียงนี้เชียวหรือ’…

“ท่านพี่รพีพงศ์ ท่านจงตื่นขึ้นมาเถิด…พระผู้สร้างทรงเทวโองการให้ท่านพี่เข้าเฝ้า” พระอรุณยังคงไม่ลดละความพยายาม ครั้งนี้ทั้งลาก ทั้งฉุดกายใหญ่ให้ลุกออกจากแท่นบรรจถรณ์

“ออกไป!!! เจ้าจงออกไป!!! ข้าอยากอยู่คนเดียว ข้าไม่อยากจะพบผู้ใดทั้งสิ้น” คำพูดโดยไม่ไตร่ตรอง หลุดออกมาจากปากของรพีพงศ์ด้วยสุรเสียงดัง จนผู้เป็นเจ้าของวิมานนั้นได้ยิน และเยื้องย่างเข้ามา

“รพีพงศ์!!! เจ้ามิสมควรเอ่ยวาจาเช่นนี้…” สุริยเทพก้าวเดินเพียง ๓ ก้าว สาวเท้ามาหาบุตรชายคนโต ก็ถึงตัวบุตรชายคนโต ส่วนอรุณเทพเมื่อเห็นบิดาเดินเข้ามา เขาจึงเดินหลีกออกไปด้านข้าง

“อะไรคือความไม่สมควรกันเล่า ท่านพ่อ ในเมื่อข้านั้นเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยใจจริง ข้ามิอยากพบเจอใคร…เป็นไปได้ข้าอยากตายเสียด้วยซ้ำ” รพีพงศ์ระบายความอัดอั้นภายในใจ หากไม่มีพันธะสัญญาระหว่างตนกับนาคินทร์ เขาคงหาวิธีตายตามกันไปเสียแล้ว

“ความรัก...ทำให้เจ้าอ่อนแอเช่นนี้เชียวหรือ…รพีพงศ์ ไยเจ้าไม่เข้มแข็งให้สมกับมีสายโลหิตของข้า! หมุนเวียนในกายเจ้า...แม้รักครั้งนี้เจ้ามิอาจสมหวัง ใช่ว่าชาตินี้เจ้าจักไม่สามารถรักผู้อื่น อย่ามัวจมปลักกับนาคาเพียงตนเดียวเลย” พระอาทิตย์เอ่ยให้สติรพีพงศ์   “ชาตินี้ หรือไม่ว่าชาติไหน ข้านั้นมิอาจจะปันใจไปรักใครได้อีกแล้วท่านพ่อ...ข้ารักนาคินทร์ นาคาที่ใครต่อใครว่าแสนต้อยต่ำ หากแต่เขายอมสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องข้า” รพีพงศ์เอ่ย  รพีพงศ์ในครานี้เหมือนกองไฟที่กำลังจะดับเหลือไว้เพียงเถ้าถ่าน ในแววตาแสดงถึงความสิ้นหวังหม่นหมอง

“ในเมื่อนาคินทร์! ยอมแลกชีวิตเพื่อให้เจ้าอยู่รอด เหตุใดเจ้าจึงทำตัวเหลวแหลกเช่นนี้เล่า รพีพงศ์ลูกพ่อ…จงยอมรับความจริงเสียเถิด เจ้าเป็นถึงรัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่ จงอย่าเป็นมหิงสาที่จมปลักอยู่ในโคลนตมแห่งอดีตที่เจ็บปวด การกระทำเช่นนี้มันช่างน่าอับอายยิ่งนัก” พระอาทิตย์ไม่เคยคิดว่า บุตรชายตนจะลุ่มหลงในรักจนเสียผู้เสียคน คิดว่าไม่นานคงจะดีขึ้น แต่เพลานี้พอได้เห็นสภาพรพีพงศ์ ได้รับรู้ความในใจ จึงได้เข้าใจบุตรชายมากขึ้น

“ใช่แล้วท่านพี่…หากดวงวิญญาณของนาคินทร์รู้ว่าท่านพี่เป็นเช่นนี้ นาคินทร์นั้นคงจักเสียใจเป็นแน่” อรุณเทพพูดเสริม

ดั่งคำที่พระอาทิตย์ได้กล่าวไว้…นาคินทร์ยอมเสียสละตนเองเพื่อให้รพีพงศ์นั้นอยู่รอด สุริยบุตรได้ฟังจึงฉุกคิดถึง เสียงหวานแผ่วเบาที่เอ่ยคำขอในอ้อมกอดตน

…‘ข้อที่สาม…จะหาว่าข้าหลงตัวเอง คิดว่าตนเองสำคัญกับท่านก็ได้ ข้าขอให้ท่านอย่าโทษตัวเองเรื่องข้าเป็นอันขาดและอย่าได้คิดตายตามข้า’…

“ใช่…นาคินทร์ต้องเสียใจเป็นแน่ ข้าจะทำตัวเช่นนี้มิได้” รพีพงศ์เอ่ย ความทรงจำถึงคำสัญญาที่มีให้นาคินทร์ฉายชัดขึ้นมา…ยังมีสัญญาที่ตนยังไม่ได้ทำเพราะมัวจมในห้วงโศกา

“พ่อดีใจที่เจ้าคิดได้ เอาเถิดรพีพงศ์เจ้ารีบไปล้างหน้าล้างตา ชำระร่างกายของเจ้าเสีย เมื่อครู่อรุณเทพเจ้าบอกกับพี่เจ้าใช่หรือไม่ ว่าพระผู้สร้างนั้นทรงมีรับสั่งให้เจ้าเข้าเฝ้า”

“ใช่แล้ว…ท่านพ่อ”

“เช่นนั้นเจ้าจงรีบช่วยพี่ของเจ้าจัดแจงแต่งองค์เสียด้วยเล่า หากพระผู้สร้างมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเช่นนี้จักต้องมีการสำคัญเป็นแน่” แม้จักไม่รู้ชัดว่าเหตุใดองค์มหาเทพจึงอยากพบรพีพงศ์แต่ด้วยสัญชาตญาณของผู้เป็นบิดา…คงมีการสำคัญในภายหน้ารอรพีพงศ์อยู่

. . .

ต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขา มวลบุปผางามเบ่งบานส่งกลิ่นหอมเรียกเหล่าผีเสื้อไม่ต่างจากคนธรรพ์ชื่นชมนารีผล ทั้งยังมีหิ่งห้อยตัวน้อยส่องแสงวิบวับบินไปมา เพื่อชื่นชมความงดงาม  ทว่าวันนี้แตกต่างออกไป เมื่อมหาเทพนั้นได้เสด็จมาเยือนสวนขวัญแห่งนี้ ดังแต่งแต้มให้สวนขวัญดูงามขึ้น และนานเพียงใดแล้วที่พระองค์ไม่ได้เสด็จมา...คงต้องนับตั้งแต่เกิดเรื่องราวระหว่างมหาเทวีกับบุษยะแลถึงชลันธร

“พี่พริษฐ์…น้องว่าเรากลับวิมานกันเถิด ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้แล้วท่านรพีพงศ์นั้นคงไม่มา เหล่าเทวา เทวนารีผู้คอยตามรับใช้จะได้กลับไปพักผ่อน นี่ก็เฝ้ารออยู่เสียครึ่งวันครึ่งคืนเข้าไปแล้ว...” บุษยะเอ่ย

“รออีกประเดี๋ยวรพีพงศ์ก็มา หากน้องง่วงนอนก็นอนหนุนตักพี่เสียเถิด เมื่อรพีพงศ์มาพี่จะปลุกน้องเอง” พระพริษฐ์โอบกายคนงามมาแนบชิดหากบุษยะนั้นกลับขืนกายเล็กน้อย

“น้องคิดว่ามันไม่สมควรหากท่านรพีพงศ์มาเห็นเข้า…น้อง..คือ…”

“บุษยะน้องพี่ นี่น้องอายกระนั้นหรือ เอาเถิดพี่ไม่ฝืนใจน้องดอก หากน้องจะออกไปเดินเล่นเปลี่ยนอิริยาบถเสียบ้างพี่ก็มิว่าอะไร เพียงแต่ห้ามเถลไถลไปไกลจนเกิดเรื่องอีก เข้าใจหรือไม่” พอได้ยินคำพูดเปิดทางให้เที่ยวเล่น รอยยิ้มหวานนั้นประดับที่ใบหน้าจนพระพริษฐ์อดไม่ได้ที่จะโน้มพักตราเข้าหาหมายจะฝากรอยจุมพิตที่ปรางนิ่ม

“พระผู้สร้าง...กระหม่อมรพีพงศ์ขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”

สิ่งที่หมายมั่นตั้งใจมิเป็นดั่งหวัง เมื่อผู้สืบบัลลังก์สุริยาได้มาเยือนถึงสวนขวัญดังคำประสงค์เป็นที่เรียบร้อย พระพริษฐ์จึงแสร้งเป็นกระซิบให้บุษยะนั้นออกไปแทน

“มาแล้วหรือรพีพงศ์ เหตุใดจึงมาช้ากันเล่าหรือว่าอรุณเทพเพิ่งจะบอกเจ้าว่าข้านั้นต้องการให้พบ” พระพริษฐ์เอ่ยถามเมื่อบุษยะออกไป รพีพงศ์ก็เข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้ามหาเทพ

“หามิได้พะยะค่ะ อรุณเทพนั้นบอกกล่าวกระหม่อมก่อนหน้านี้ แต่กระหม่อมนั้นผิดเองที่ชักช้าเป็นเหตุให้พระองค์ต้องรอ กระหม่อมยินดีที่จะรับทัณฑ์เทวาพะยะค่ะ”

“ข้ามิได้เรียกเจ้ามาเพื่อลงโทษดอก หากจะลงโทษคงไม่นัดมาที่สวนขวัญแห่งนี้ แต่ข้านั้นเรียกเจ้ามาตามคำขอของเทพนภนต์”

“เทพนภนต์กระนั้นหรือ…คำขอของเทพนภนต์เกี่ยวข้องอันใดกับกระหม่อมพะยะค่ะ” รพีพงศ์ทูลถามด้วยความสงสัย จะว่าไปตั้งแต่สิ้นเรื่องของชลันธร ตนนั้นก็มัวแต่ขังกายไว้ในวิมานจนมิได้พบเจอเทพนภนต์ตลอดจนชลันธร

“ก่อนที่เทพนภนต์จะรับโทษทัณฑ์เทวานั้นได้ขอให้ข้าช่วยชุบชีวิตนาคินทร์ผู้เป็นที่รักของเจ้าและข้านั้นได้ให้คำสัตย์ไว้” พระพริษฐ์ตอบข้อสงสัย รพีพงศ์ได้ยินดังนั้น ใจเจ้าเอยก็กลับมาเต้นแรงอย่างมีความหวังดั่งเปลวไฟที่ใกล้จะมอดดับกลับมาโพยพุ่งลุกโชนอีกครั้ง

“ข้าจึงเรียกเจ้ามาเพื่อให้เจ้านั้นนำร่างของนาคินทร์มาให้ข้า แล้วข้าจะชุบชีวิตให้” ครั้นเมื่อรพีพงศ์ได้ยินความหวังที่จะได้พบกับคนรักกลับดับลง ดั่งคล้ายไฟในตะเกียงที่ส่องสว่าง กลับจะริบหรี่ดับลงเพราะต้องลม รพีพงศ์ผู้ดีใจอยู่ก่อนหน้านี้กลับสู่ความเศร้าใจอีกครั้ง

“กระหม่อมได้เผาร่างของนาคินทร์ตามความต้องการของเจ้าตัวไปเสียแล้วพะยะค่ะ บัดนี้เหลือเพียงดวงแก้วนาคาเท่านั้นที่กระหม่อมยังคงเก็บไว้ข้างหัวใจของกระหม่อมพะยะค่ะ” รพีพงศ์สะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ล้นออกมา

นี่สินะที่เขาเรียกว่าบุญมีแต่กรรมบัง

“ถ้าเป็นเช่นนั้น มันคงจะเป็นการยากสำหรับเจ้าเสียแล้ว”

“ยาก…อะไรคือสิ่งใดยาก สำหรับกระหม่อมหรือ พระองค์โปรดตรัสให้กระหม่อมนั้นแจ้งใจด้วยเถิด”

“หากเจ้ายังประสงค์ที่จะให้นาคินทร์กลับมามีชีวิตอีกแล้วล่ะก็ เจ้าจงฟัง ...การที่ข้าจะชุบชีวิตใครได้นั้น จักต้องมีร่างของผู้วายปราณ ในเมื่อร่างของนาคินทร์กลับกลายเป็นเถ้าธุลีเสียแล้ว ถ้าเช่นนั้นเจ้าจักต้องสร้างร่างนั้นขึ้นมาใหม่ และนั่นเป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องกระทำ”

“พระองค์ได้โปรดตรัสมาเถิดว่า กระหม่อมต้องทำเช่นไรบ้าง กระหม่อมพร้อมและยินดีที่จะทำทุกอย่าง เพื่อให้นาคินทร์กลับมาพะยะค่ะ” รพีพงศ์ตื่นเต้นเมื่อได้ฟังถึงหนทางที่ยังมีแสงสว่างอยู่ปลายอุโมงค์ ความหวังที่จะเจอนาคินทร์ยังไม่หมดไป

“ไม่ว่าจะเป็นเทพ มนุษย์ หรือสัตว์นั้นจะเกิดขึ้นมาได้ต้องอาศัยบิดามารดาที่ให้สังขาร เลือดเนื้อด้วยกันทั้งนั้น จะเว้นก็เสียแต่พวกที่เกิดมาเองจะไม่สามารถชุบชีวิตได้ด้วยวิธีนี้ เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องนำของสำคัญ หรือของรักของบิดาและมารดาของนาคินทร์ มารวมกับแก้วนาคาที่มีอยู่ในกายเจ้า เพื่อหลอมรวมสร้างกายใหม่ให้นาคินทร์ ณ ใต้ต้นไม้แห่งชีวิตในสวนขวัญแห่งนี้ แล้วข้าจะช่วยชุบชีวิตให้”

“เป็นเทวกรุณาแก่กระหม่อมยิ่งนักพะยะค่ะ” รพีพงศ์ก้มลงกราบมหาเทพผู้เป็นใหญ่

“อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย เวลานั้นมิคอยท่า โดยเฉพาะวิญญาณที่อยู่ในนรกภูมิ เจ้าจงเร่งไปพบบิดามารดาของนาคินทร์เสียโดยไว และข้าขออวยพรให้เจ้านั้นทำการทุกอย่างสำเร็จดั่งใจหวังทุกประการ”

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ”

โชคชะตามิได้กลั่นแกล้งรพีพงศ์ให้ช้ำใจตลอดชีวี เพียงแต่ให้บททดสอบแสนเจ็บปวดก่อนจะลูบหลังปลอบโยนด้วยความหวังแสนหวาน แต่ทว่าการจะตามหาบิดามารดาของนาคินทร์ดูมิใช่เรื่องง่าย

…‘ข้ากับแม่ของข้าอาศัยอยู่ในถ้ำระหว่างรอยต่อใต้มหาสมุทรสองนที’...

เบาะแสเพียงเล็กน้อยจากคำบอกเล่าของนาคินทร์นั้นดังเข้ามาในโสตประสาท ถึงพอรู้ว่าต้องตามหาแม่ของนาคินทร์ ณ แห่งหนใด แต่ล่องลึกใต้มหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ก็มิต่างจากงมหาเข็มสักเล่มในมหาสมุทร ส่วนพ่อของนาคินทร์นั้นเล่า จะตามหาแห่งใดกันไม่รู้เลยด้วยซ้ำ และไม่รู้เลยด้วยว่าท่านเป็นใคร นาคินทร์เองมิเคยพูดถึง บอกเพียงอยู่กับมารดาแค่สองคนเท่านั้น 

“อย่าเพิ่งกังวลรพีพงศ์…ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ เวลานี้เราต้องเดินทางไปยังรอยต่อมหาสมุทรสองนทีเสียก่อน” เขาเอ่ยกับตัวเอง

สองหัตถาพนมขึ้นกลางอก ริมฝีปากขยับท่องคาถาอัคนี บังเกิดเปลวไฟโชติช่วงลุกโชนท่วมกายาของสุริยาบุตรเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ จากนั้นจึงพุ่งลงไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่ และด้วยฤทธาของไข่มุกมรกตของวิเศษที่คนรักมอบให้ ทำให้รพีพงศ์สามารถว่ายน้ำดิ่งลงไปยังรอยต่อมหาสมุทรสองนทีได้อย่างง่ายดาย

ในเรื่องง่ายย่อมมีเรื่องยากเกิดขึ้น แม้จะรู้ว่าแม่ของนาคายอดดวงใจอาศัยอยู่นี่แต่มันก็ยากอยู่ดี เพราะรอยต่อจะดูแคบแต่มันกลับกว้างพอดู พอมองไปทางไหนก็เจอกับสัตว์ประหลาดมากมาย พอจะว่ายน้ำเข้าหาเพื่อถามไถ่ เหล่าตัวประหลาดกลับหลบหนี ซ่อนตัวกันจ้าละหวั่น เช่นนี้แล้วการตามหาแม่ของนาคินทร์นั้นยากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก

แม้อุปสรรคมากมายเพียงใด แต่ใจดวงนี้จะฝ่าฟันไปให้ได้ หากจำเป็นต้องพลิกผืนทรายรพีพงศ์ก็พร้อมที่จะทำ หากมันจะเป็นหนทางเดียวที่จะได้นาคน้อยมาสู่อ้อมกอดอีกครั้ง ตนนั้นยินดีทำทุกวิถีทาง

…‘นาคินทร์เอ๋ย…พี่ขอสัญญาว่าจะพาเจ้ากลับมาอยู่เคียงข้างพี่ให้จงได้’…











.......................

มาแล้วจ้า จุดพลุให้กับการกลับมาของคู่ รพีพงศ์และป๋ากนธี เอ๊ย!!! นาคินทร์จ้า หลังจากที่ท่านยุ่งต้องเก็บงำการตายและการฟื้นของหนูคินทร์มานาน วันนี้ท่านยุ่งได้ปลดปล่อย (กระท่อมไม่โดนเผาแล้วโว๊ย!!!) 55555 หวังว่าผู้อ่านที่ตามจากสาปรักและผู้อ่านหน้าใหม่จะติดตามอ่านกันยาวไปนะคะ

นิยายจะอัพช้าหน่อยเพราะท่านยุ่งเคลียร์ทำเล่มเรื่องสาปรักต้องตรวจคำเยอะเลยค่ะ งานละเอียดนิดนึง เลยทำให้การทำลิขิตรักล่าช้าไว้จัดเสร็จจะดำเนินแต่งตามปกตินะคะ จุ๊บ ติดตามข่าวสารของท่านยุ่งได้ที่เพจนะคะ

ป.ล. มาติด #รพีคินทร์ กันเถอะ หากไม่สะดวกไม่ชอบก็ติด #กนรพี ในทวิตเตอร์กัน 555

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่อ่าน เม้น รอคอย ให้กำลังใจนะคะ ไม่ว่างตอบเม้นเลยไม่ได้ดังแล้วหยิ่งนะเพราะไม่ดังก็หยิ่ง ล้อเล่น ดีใจมากค่ะที่ทุกคนติดตาม...รักนะ ไว้ว่างจะตอบนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.01 (17/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 17-01-2018 21:15:28
รพีพงศ์นาคินทร์มาแล้ว  :mc4: :mc4:  ตามหาแม่นาคินทร์ให้เจอเร็วๆนะ 
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.01 (17/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 18-01-2018 10:11:53
อ้ายยยย นาคน้อยของข้า กลับมาเถิดด จุดพลุรอจ้า อิอิ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.01 (17/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 18-01-2018 10:34:25
โอ้ววว นาคินทร์ของอิแมมมมมมม่
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.01 (17/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 18-01-2018 12:22:17
นาคินทร์รีบกลับมาหารพีพงศ์เร็ว ๆ นะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.01 (17/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 19-01-2018 22:45:17
ขอให้ทำมันให้สำเร็จนะรพีพงศ์ เอาใจช่วย
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.01 (17/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 20-01-2018 10:13:45
มาแล้ววว มารอหนูนาคินทร์
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.02 (29/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 29-01-2018 18:30:47


ลิขิตรัก…เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 02           













ท่ามกลางความมืดมิดของราตรีไร้แสงดาวส่องนำทาง เรือเล็กล่องลอยอย่างไร้จุดหมายกลางมหาสมุทร ยิ่งแล่นเรือไปยิ่งไร้ขอบเขต หาแผ่นดินคือปลายทางฝั่งฝันไม่เจอ รพีพงศ์ก็เช่นกัน ขณะที่ดำดิ่งลงไปใต้รอยต่อมหาสมุทรสองนทีแหวกว่ายหาถ้ำใต้น้ำนั้น ตลอดการตามหาใช่ว่าจะไม่เจอถ้ำ หากพบกับถ้ำร้างบ้าง สิ่งประหลาดบ้าง จะเอ่ยปากถามใครก็หาทำได้ไม่

เวลาหมุนเดินไปไม่ย้อนกลับ หนำซ้ำไม่หยุดเดินแม้แต่วินาทีเดียว เท่ากับว่าเวลาที่ตนจะช่วยนาคินทร์ยิ่งเหลือน้อยลงทุกขณะ รพีพงศ์รู้ดีว่าวิญญาณที่เดินทางไปสู่ดินแดนปรโลกนั้นจะอาศัยอยู่ที่ดินแดนมรณะนี้เพียง ๔๙ วัน ก่อนจะรับตัดสินกรรมว่าจะได้ไปเกิดในภพภูมิใด เมื่อนับตั้งแต่วันที่นาคินทร์จากรพีพงศ์ไปวันนี้เป็นวันที่ ๔๐ รพีพงศ์มีเวลาเพียง ๙ วันเท่านั้นที่จะทวงคนรักกลับคืนสู่ใจ   …‘หากตามหาเช่นนี้ต่อให้ใช้เวลานับปีเห็นทีพี่นี้คงจะไม่ได้เจ้าคืนมาเป็นแน่…นาคินทร์’...   …‘พี่จักทำเช่นไร…ทำเช่นไรให้พี่ได้พบเจอแม่ของเจ้า’…   รพีพงศ์ตั้งคำถามกับตนเองในใจ  ด้วยอยากพบเสียเหลือเกิน อยากพบมารดาของคนรักเพื่อให้ภารกิจนี้ลุล่วง จะมีสิ่งใดนำทางให้ดวงตาได้เห็นและหัวใจได้สัมผัส ก็จะแหวกว่ายตามทางนั้นไป

‘ตึกตัก...ตึกตัก’

 รพีพงศ์ได้ยินเสียงอกด้านซ้ายเต้นระรัวผิดปกติ หัวใจสูบฉีดโลหิตไปทั่วร่างจนร้อนผ่าว สุริยบุตรชะงักฉุกคิดก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา…‘สายใยแม่ลูกตัดกันไม่ขาด’... มือหนาทาบทับตรงดวงใจตน เปลือกตาปิดลงพร้อมตั้งจิตอธิษฐาน มิช้านานสิ่งที่ปรารถนานั้นได้ปรากฏที่ฝ่ามือ

…‘แก้วนาคาเอ๋ย…เจ้าจงนำทางข้าให้พบมารดาของนาคินทร์ด้วยเถิด’…

รพีพงศ์พินิจแก้วนาคาของผู้เป็นที่รัก สายตาจ้องมองเปี่ยมไปด้วยความหวัง เขาสูดลมหายใจเขาออกช้า ๆ รอยยิ้มพร้อมความหวังเล็ก ๆ ค่อยเกิดขึ้นที่มุมปาก พลันเกิดเหตุอัศจรรย์…

แสงสีตองอ่อนสว่างจากฝ่ามือ แก้วนาคาดวงนั้นค่อย ๆ ลอยพ้นจากกาย มาหยุดห่างตรงหน้าไปราว ๑ วาแล้วเกิดสว่างวาบดังแสงฟ้าแลบพร้อมเปลี่ยนรูปไปกลายเป็นมัจฉาตัวใหญ่สีเงินยวง เกล็ดของมันเป็นประกายระยิบระยับ ปลาใหญ่ว่ายวนรอบกายรพีพงศ์ไปมา ก่อนจะหยุดตรงหน้าสะบัดครีบเป็นสัญญาณ  รพีพงศ์รู้ได้ทันทีว่าตนจะต้องตามมัจฉาตัวนี้ไป

 รพีพงศ์ว่ายตามปลาตัวนั้นไป ยิ่งตามยิ่งลึกยิ่งมืด ไร้เสียง ไร้สรรพสัตว์ใด ๆ  พอว่ายต่อไปเรื่อย ๆ ก็พบผาขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า มัจฉานำทางตรงไปยังผานั้นแล้ววกด่ำดิ่งไปใต้ซอกผา รพีพงศ์จึงได้พบกับซากเรืออับปางนับร้อย เทพหนุ่มคาดว่าเรือเหล่านี้คงหลงทิศหลงทางแล้วมาจมลงเพราะมิอาจต้านพลังของสองโลกไว้ได้

 สถานที่แห่งนี้หรือ? รพีพงศ์หวั่นใจ ไม่เชื่อในดวงแก้ว แม่ของนาคินทร์ไม่ควรมาอยู่ที่นี่ ที่อันเงียบเหงาไร้ชีวิต ดวงใจของเขาแทบร่วงลงไปกองกับพื้น คิดว่าโชคชะตาไม่เข้าข้างตนเสียแล้ว ปลาสีเงินเล่นตลกกลั่นแกล้งเขา ดังนาคินทร์ผู้เคยหยอกล้อแกล้งให้เขาเข้าใจผิดจึงไม่ยอมนำทางอีกต่อไป ทั้งยังกลายเป็นดวงแก้วหายกลับเข้าไปในอก

 แต่เมื่อรพีพงศ์กวาดสายตาไปโดยรอบเขาสังเกตเห็นตรงหน้าเขานั้นมีซากเรืออับปางปิดบังปากถ้ำเล็ก ๆ ไว้อยู่

...‘ไม่ต้องคาดเดาเสียให้ยาก ณ ที่แห่งนี้คือถ้ำที่มารดาของนาคินทร์อาศัยอยู่แน่นอน’…

รพีพงศ์พนมมือขึ้นมาแล้วร่ายมนต์ดับอัคคีที่ลุกโชนนั้นเหลือเพียงรัศมีแห่งเชื้อสายพระอาทิตย์ลาง ๆ ก็พอ เนื่องจากกลัวมารดาของนาคินทร์จะตกใจกลัวจนหนีไปแล้วร่างสูงว่ายน้ำผ่านซากเรือที่ขวางหน้า

‘ครืน…’ ดุจสวรรค์แกล้ง เสากระโดงเรืออับปางขนาดใหญ่สภาพผุกร่อนจากน้ำทะเลกัดเซาะหักตกลงมาฟาดใส่รพีพงศ์อย่างไม่ทันตั้งตัว

ทว่าบุญเก่าของรพีพงศ์ยังคงมีอยู่บ้าง แม้เสาขนาดใหญ่จวนเจียนจะทับกาย...เพียงเสี้ยววินาทีนั้น อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวจริงๆ เอวหนาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เข้ามาโอบรัดแล้วฉุดกระชากร่างกายเทพหนุ่มให้พ้นภัยจากตรงนั้น

เสาหักฟาดห่างจากรพีพงศ์ไปไม่ถึงช่วงตัว เขาหายใจถี่ ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

‘เกล็ดงู…’

ฝ่ามือจับเข้ากับสิ่งที่รัดกาย รพีพงศ์สัมผัสได้ว่าเป็นเกล็ดดังเกล็ดงู ทว่ามีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า จะเป็นอย่างอื่นเสียไม่ได้นอกจาก… ‘นาค’ และคงจะเป็นนางนาคีที่ตนตามหา

ระหว่างที่ตกอยู่ในห้วงความคิดนี้เอง ขดหางที่กระหวัดรัดรพีพงศ์ก็คลายออกและหายกลับเข้าไปในถ้ำอันมืดมิดอย่างรวดเร็ว  รพีพงศ์ไม่รอช้าว่ายน้ำตามเข้าไป

 รัศมีกายสีชาดมิอาจส่องสว่างให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ภายในถ้ำคูหาได้ รพีพงศ์จึงเสกแก้วอัคคีขึ้นมาส่องนำทางตามหานางนาคผู้กำลังหลบซ่อนกาย...

‘เร็วเสียงจริง ทั้งที่ตามหลังมาแท้ ๆ ...’ รพีพงศ์รำพึงในใจ พร้อมหันใบหน้าไปทางซ้าย ขวา มองหานางนาคี

“ท่านน้า!!!...ข้ารพีพงศ์เป็นบุตรของพระอาทิตย์ ข้านั้นมาดีมิได้มาร้าย ได้โปรดให้ข้าได้พบท่านด้วยเถิด” รพีพงศ์เรียกหามารดาของนาคินทร์ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาแม้แต่น้อย

 “ท่านน้า!!! ถ้าท่านได้ยินข้า โปรดออกมาเถิด อย่างน้อยก็ช่วยออกมาตอบคำถามข้าว่า ท่านนั้นใช่แม่ของนาคินทร์ผู้เป็นที่รักแห่งข้าหรือไม่!” รพีพงศ์สืบเท้าไปข้างหน้า ปากก็เรียกหานาคผู้ช่วยชีวิตตนอีกครั้งหนึ่ง

“ท่านน้า โปรดเห็นใจข้าด้วยเถิด หากไม่ใช่เรื่องของนาคินทร์ ข้าคงไม่บุกลงมาถึงใต้มหาสมุทรสองนทีนี้หรอก” นาคสีนิลผู้ซ่อนกายหลังโขดหิน พอได้ยินชื่อสายเลือดในอกก็เลื้อยออกจากที่ซ่อนมาพบรพีพงศ์

 “ใช่แล้ว...สุริยบุตร ข้านั้นมีนามว่า มุตตา เป็นแม่ของนาคินทร์” เสียงใสตอบดังชัด พร้อมเผยร่างนางนาคผู้มีเส้นผมยาวสลวย ต่อหน้าเทพบุตรหนุ่ม

มุตตา สตรีครึ่งนาคาสีกายถูกห่มไว้ด้วยเกล็ดรัตติกาล เลื้อยเข้ามาใกล้ แสงจากแก้วอัคคีสว่างจับใบหน้าที่เศร้าหมอง บูดเบี้ยวผิดรูป ผิวหนังเหี่ยวย่นดังคนชรา

รพีพงศ์ได้เห็นก็รู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าแม่ของนาคินทร์จะดูแก่ชราเพียงนี้ แต่หากนึกถึงคำของนาคินทร์ที่เคยเล่าถึงมารดาว่ามิได้สะสวยโสภา หากได้พบโปรดอย่าได้รังเกียจ

 “ท่านมาหาข้ามีธุระอันใดหรือ ท่านหรือรู้จักกับนาคินทร์?” นางนาคทำเสียงประหลาดใจแล้วกล่าวต่อไปว่า

“เหตุใดท่านจึงกล่าวว่านาคินทร์เป็นที่รักแห่งท่าน...แล้วลูกของข้าตอนนี้อยู่แห่งใด?”

ตั้งแต่ลูกของนางไปอยู่กับกนธีผู้เป็นพระสมุทรในครานั้น นางก็เฝ้าคิดถึงบุตรทุกวันเวลา ทุกนาที ทุกลมหายใจ อยากไปจะไปพบแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่หลบซ่อนตัว ณ ที่แห่งนี้

จนไม่นานมานี้มุตตาออกจากถ้ำไปหาอาหารได้ยินเหล่าฝูงมัจฉาพูดคุยกันว่า ‘จะมีการเปลี่ยนแปลงพระสมุทร’ ก็ยิ่งอดเป็นห่วงลูกผู้เป็นแก้วตาดวงใจไม่ได้ นางกลัวลูกจะเป็นอันตรายหรือประสบเหตุใด ๆ ยิ่งเดือนก่อนนั้นนางฝันว่ามีเงามือคืบคลานเข้ามาในถ้ำ จากนั้นก็ควักเอาดวงตาของนางไป มุตตายิ่งวิตกกังวลกลัวลูกจะพบกับเหตุร้าย ยิ่งได้พบกับเทพหนุ่มผู้มีใบหน้าเศร้ามอง ยิ่งทำให้นางรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“นาคินทร์…” รพีพงศ์พูดเสียงแผ่วเบา เขาหยุดดวงตาเศร้าหมองมองไปยังนางนาคผู้มีแววตาแห่งความหวัง หวังจะได้รับข่าวดี

น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกจากดวงตาทั้งคู่ของสุริยบุตร ‘นาคินทร์’ ชื่อนี้ รพีพงศ์เคยกล่าวได้อย่างง่ายดาย แต่ขณะนี้แม้แต่เสียงในใจ เขายังไม่กล้าที่จะคิดออกมา

“ลูกข้าเป็นอย่างไร ขอท่านจงบอกด้วยเถิด”

รพีพงศ์สูดลมหายใจช้า ๆ น้ำตายังคงไหลไม่ขาดสาย เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แล้วกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า

“นาคินทร์...สิ้นชีพเสียแล้ว” รพีพงศ์ตอบไม่คิดปิดบัง สิ้นเสียงเท่านั้นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ดังกึกก้องในถ้ำ

“กรี๊ด…กรี๊ด...กรี๊ด...” เสียงแหลมดังไม่ขาดสายจนรพีพงศ์ต้องใช้มือมาปิดหูเพราะไม่สามารถทนฟังได้!!!

“กรี๊ด!!!!...ไม่!!!...นาคินทร์!!...นาคินทร์ลูกแม่!!!”  ไม่พร้อม...มุตตาไม่พร้อมที่จะเผชิญความสูญเสีย ทุกข์ระทมที่บ่มในใจนานนับปี กอปรกับข่าวร้ายของแก้วตาดวงใจไม่ต่างจากมรสุมขนาดใหญ่ที่โหมกระหน่ำเข้ามาพร้อมกับคลื่นยักษ์ที่กวาดเอาความสุข และรอยยิ้มไปจากชีวิตของผู้เป็นแม่ มือสองของมุตตาที่เคยอุ้มชู ดวงตาที่เคยมองเห็น ก็จะไม่มีอีกต่อไป

ริมฝีปากเผยชื่อเรียก ‘นาคินทร์’ ด้วยความสุขและความรักนั้นหมดไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่มีที่สิ้นสุด

“ฮึก…นาคินทร์…ลูกแม่…ฮือ…” ใจแม่นั้นแทบขาด อกแม่นั้นแทบฉีกมันเจ็บปวดเสียเหลือเกินกับการต้องรับรู้ว่าลูกรักไร้ลมหายใจ หากแลกกันได้มุตตายอมตายแทนเสียดีกว่า

“ท่านน้ามุตตา…อย่าได้ร้องไห้เสียใจเลย” รพีพงศ์ขยับร่างเดินเข้าหาพลางเอ่ยปลอบใจมุตตา

“มิให้ข้าเสียใจได้เช่นไร…นาคินทร์ตายไปแล้ว…ฮือ…”

“ลูกของข้าตายไปทั้งคน!!! ท่านไม่เข้าใจดอกว่าข้าเสียใจมากมายเพียงใด!!!” มุตตาตวาดปนสะอื้นใส่รพีพงศ์ด้วยเข้าใจว่าเทพตรงหน้าที่หาได้เข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียของตนไม่

“ใครว่าข้านั้นไม่เข้าใจเล่า ในฐานะคนรักที่เสียยอดดวงใจ ในฐานะต้นเหตุที่ทำให้นาคินทร์จากไป ข้านั้นเสียใจไม่น้อยกว่าท่าน” ยิ่งพูดยิ่งคิดถึงทั้งรอยยิ้ม ทั้งรสจูบ ทั้งความหอมหวานของความรักและความเจ็บปวดขื่นขมครั้งที่กอดร่างไร้วิญญาณของนาคินทร์

“รักประสาอะไร!!!!...รักเช่นไรถึงทำให้ลูกข้าตาย!!!”

ความอาฆาตแค้นที่มีต่อวงศาทินกรเป็นทุนเดิมรวมกับได้ยินว่ารพีพงศ์เป็นต้นเหตุ จากความเสียใจจึงกลายเป็นความโกรธ มุตตาผู้มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นนาคนั้น ขณะนี้ดวงตาสีเขียวของแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ท่อนบนของหญิงชราได้กลายเป็นนาคา ขนาดใหญ่สูงกว่ารพีพงศ์หลายเท่า นางนาคแผ่พังพานส่ายศีรษะไปมา แล้วพุ่งตรงเข้าจู่โจมรพีพงศ์

‘ครืน’ เสียงนางนาคเคลื่อนไหวหมายจะฉกกลืนกินรพีพงศ์

“โครม!!!” ร่างมุตตากระทบกับผนังถ้ำ จนหินบนผนังถ้ำหักหล่นลงมา เทพหนุ่มหลบได้ทัน ปล่อยให้มุตตาค่อย ๆ เลื้อยออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อตั้งหลักได้แล้วนางนาคีไม่รอช้า แผ่พังพาน ส่ายศีรษะไปมา พร้อมจะเข้าจู่โจมต่อ รพีพงศ์มิได้หมายจะต่อสู้ด้วยแต่แรกแล้ว เพราะรู้ว่านาคเกล็ดนิลตนนี้รับมือไม่ยากนัก

มุตตาไม่ลดละความพยายาม แม้ครั้งแรกจะพลาด ครั้งที่สองนางไม่ปล่อยให้พลาดแน่นอน...อย่างไรเสียรพีพงศ์ต้องตาย ต้องชดใช้ตกตายไปตามกัน ในฐานะที่เป็นต้นเหตุให้นาคินทร์ต้องจากไป

“ตาย!!!...ตายเสียเถิด!!!!”

มุตตารู้แต่เพียงว่า บุรุษตรงหน้ามีเชื้อสายแห่งภาสกร รู้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้นาคินทร์ตาย นางรู้แต่เพียงเท่านั้น ความโกรธ เกลียด ความทุกข์ที่เป็นทุนเดิม นับตั้งแต่ถูกสาปจนเสียโฉม ถูกราวีตามเอาชีวิต ทั้งที่กำลังมีลูกกับคนรัก จนต้องหนีซอกซอนมาซ่อนตัวในถ้ำอันมืดมิดแห่งนี้ ไม่คิดจะยุ่งกับผู้ใดอีก และหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบ

ครั้นการมาถึงแห่งเทพหนุ่มผู้นี้ ได้ประหารความสุข ทำลายความสงบให้ภินท์พังลงสิ้น ทั้งยังปลิดแก้วตาดวงใจจากผู้เป็นแม่...ชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...อนาคตไม่มี มีแต่อดีตที่เจ็บปวด...ยิ่งคิดยิ่งเกลียดชัง

“ท่านน้า…ฟังข้าก่อน ท่านน้ามุตตา” รพีพงศ์พยายามพูดให้มุตตานั้นฟังตน ทว่าคำพูดที่ส่งไปกลับไม่เข้าโสตประสาทแม้แต่น้อย

มุตตาในร่างนาคายักษ์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเข้ามาจู่โจม คราวนี้รพีพงศ์ไม่หลบหลีก ปล่อยให้นางรัดจนกระดูกแทบแหลก รพีพงศ์พยายามต้านไว้ แต่ไม่ให้มุตตาต้องเป็นอันตราย

“ท่านน้า…ฟังข้าก่อน ท่านน้ามุตตา” รพีพงศ์พูดด้วยเสียงอันดัง

“ข้าไม่ฟังคำแก้ตัวอันใดของเจ้าทั้งนั้น!!!” มุตตาโต้ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดังและเต็มไปด้วยความโมโหโกรธา

นางมองหน้าบุรุษหนุ่มที่ทำให้ลูกรักของนางต้องตาย นางต้องการรัดให้ร่างนี้แหลกเหลวก่อนกลืนกินเข้าไปให้สาแก่ใจ

“ข้าไม่ได้แก้ตัวแต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าข้าจะมาขอให้ท่านน้าช่วยข้าชุบชีวิตนาคินทร์ ตามเทวบัญชาของพระผู้สร้าง” ประโยคสุดท้ายทำให้มุตตาที่กำลังรัดหวังหักกระดูกให้แหลกละเอียดต้องหยุดชะงัก

 “ชุบชีวิตลูกข้า…”

มุตตาคลายขนดออกจากรพีพงศ์ แล้วกลับร่างเป็นปกติ สตรีผู้มีใบหน้าอันชรา เลื้อยเข้ามาหารพีพงศ์อย่างช้า ๆ แววตาสีเขียวส่องเป็นประกายด้วยความหวัง

“ชุบชีวิตลูกข้า…”

“แล้วข้าต้องทำอย่างไร” มุตตารู้ว่าเทพหนุ่มผู้นี้เป็นสาเหตุที่ทำให้นาคินทร์ต้องตายและหากไม่ใช่เรื่องของลูกตน ก็จะไม่มีทางช่วยเหลือเป็นอันขาด

“ท่านน้า…” รพีพงศ์พูดด้วยเสียงนุ่มสุภาพ

“การชุบชีวิตนาคินทร์ได้ ต้องใช้ของมีค่าที่สุดในชีวิตของผู้เป็นบิดาและมารดา ข้าจึงออกมาตามหาท่านน้า”

“นาคินทร์เคยเล่าให้ข้าฟังว่า มารดาได้อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรสองนที ข้าจึงดั้นด้นค้นหามาเรื่อย จนมาพบท่านที่นี่ โดยดวงแก้วของนาคินทร์เป็นผู้นำทางข้ามา” มุตตาพนักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ รพีพงศ์พูดต่อไปว่า

“แล้วอีกอย่างข้าอยากจะมาขอขมาท่าน ดูแลท่านตามคำสั่งเสียที่นาคินทร์ได้เอื้อนเอ่ยไว้กับข้า”   “ก่อนที่ข้าจะมอบของสำคัญ ข้าอยากรู้เรื่องราวของท่านและลูกของข้า”

เรื่องราวความรักของรพีพงศ์และนาคินทร์ ตั้งแต่เริ่มต้นแม้จักไม่สวยงาม หากหลังจากนั้นมันก่อตัวเป็นความรู้สึกดีๆ จนกลายเป็นความรักในที่สุด

ตอนเล่ารพีพงศ์ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้างามของนาคินทร์ยามเขินอาย แต่รอยยิ้มนั้นจางหายเมื่อเล่าถึงวินาทีกนธีขว้างตรีศูลจนปักเข้าที่ร่างของนาคินทร์ มุตตาได้ฟังทั้งโกรธผู้ที่ทำร้ายลูก ทั้งสงสารลูกที่ตายเพราะรัก แต่ก็พยายามตั้งสติฟังรพีพงศ์เล่าต่อไปจนถึงการชุบชีวิตนาคินทร์ให้ฟื้นคืนมา

สายตาของรพีพงศ์มีความหวังฉายชัดออกมา มุตตาสัมผัสได้ว่ารพีพงศ์นั้นรักนาคินทร์และนาคินทร์เองรักรพีพงศ์มากเช่นเดียว นางนาคเข้าใจและเห็นใจรวมถึงลดอคติกับรพีพงศ์ ความรักที่เจ็บปวดคือการจากลาจากผู้เป็นที่รัก ทั้งที่จริงแล้วหัวใจนั้นยังรักอยู่...มุตตาเข้าใจดีจนลึกซึ้ง

นางนาคบิดกายหันหลังให้กับรพีพงศ์ แล้วเลื้อยเข้าไปยังผนังถ้ำที่มีข้าวของเครื่องใช้วางอยู่ รพีพงศ์สังเกตเห็นเกศาสยายยาวดำขลับไม่ต่างจากนาคินทร์ มือเรียวหยิบมีดสั้นที่วางไว้ไม่ไกลขึ้นมา

 “ท่านน้า…ท่านจะทำอันใด” รพีพงศ์ตกใจคิดว่ามุตตาจะคิดสั้นตายตามนาคินทร์จึงรีบพุ่งตัวเข้าห้าม

 ‘ฉับ’ มีดสั้นตัดเส้นเกศาสีปีกกา…ผมที่เคยยาวสวยนั้นสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด มุตตายื่นผมในกำมือส่งให้รพีพงศ์

 “เก็บรักษาไว้ให้ดี นอกจากนาคินทร์แล้วเส้นผมนี้คือสิ่งมีค่าที่สุดของข้า จงนำมันไปช่วยนาคินทร์…เจ้าสัญญาได้หรือไม่ว่าจะนำนาคินทร์กลับมาจากความตาย”

 “ข้าสัญญาท่านน้า” รพีพงศ์ให้คำมั่นพร้อมกับรับเส้นผมมาไว้กับตน

 “ท่านน้าข้ามีเรื่องจักถามท่าน…พ่อของนาคินทร์อยู่แห่งหนใดกัน ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่” รพีพงศ์ถามเพราะตนไม่รู้จักไปตามหาที่ไหน ต่อให้ได้ของมีค่าจากมุตตาแต่หากไร้ของมีค่าจากผู้เป็นพ่อ เส้นผมที่อยู่ในกำมือนี้ก็เสียเปล่า มุตตาได้ยินคำถามก็นั่งนิ่งไปพักใหญ่ ใจหนึ่งไม่อยากจะเอื้อนเอ่ยถึง ใจหนึ่งอยากช่วยลูก

 “จงนำเส้นผมของข้าไปหาพระเสาร์ พระเสาร์จะเป็นผู้ให้คำตอบท่านได้ว่าใครคือพ่อของนาคินทร์” สุดท้ายแม่ย่อมรักลูกจึงได้บอกรพีพงศ์ แม้จะไม่ได้บอกชัดเจนก็ตามที

“ข้ากราบขอบพระคุณท่านน้ามาก…เพื่อไม่ให้เสียเวลาข้าขอลาท่านน้าไปนำของมีค่าเพื่อช่วยนาคินทร์” สุริยบุตรก้มลงกราบมุตตา มุตตาเห็นดังนั้นก็รีบก้มรับไหว้ไว้

“ไปเถิดขอให้ท่านโชคดี ช่วยนาคินทร์มาได้” มุตตาอวยพร ก่อนจะเลื้อยกลับหายไปในคูหาลึก

ท่ามกลางนภากาศไปยังวิมานพระเสาร์ รพีพงศ์นึกสับสนในใจ เขาคิดหนัก คิดถึงหนทางจะเจรจากับพระเสาร์ เพราะใครต่างก็รู้ดีว่าพระอาทิตย์และพระเสาร์นั้นไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้ไม่ได้มีเรื่องราวบาดหมางกันโดยตรงหากตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่มีผลให้ทั้งสองเป็นคู่แข่งกันอยู่ดี…ผู้หนึ่งยิ่งใหญ่สุดในเทพนพเคราะห์…ผู้หนึ่งแข็งแกร่งที่สุดในเทพนพเคราะห์ อย่างไรเสียพระเสาร์และพระอาทิตย์เปรียบดังสายน้ำสองสีที่ไม่มีทางมาบรรจบกัน

รพีพงศ์เองก็รู้ดีแต่จะทำอย่างไรได้เล่า เพื่อชุบชีวิตนาคินทร์แม้จะต้องไปพบพระเสาร์ ผู้คล้ายดังจงเกลียดจงชังเหล่าวงศ์พระอาทิตย์เสียเหลือเกิน แต่รพีพงศ์จำต้องบากหน้ามา…

‘เพียงถามหาบิดาของนาคินทร์ พระเสาร์คงไม่ใจร้ายกับข้ากระมัง’... รพีพงศ์คิดปลอบใจตนเองระหว่างที่เหาะเหินเดินทางมาวิมานของพระเสาร์ 

…‘เงียบเชียบ…วังเวง’… ความรู้สึกแรกที่เหยียบย่างมาถึงหน้าวิมาน เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง แต่ในความเงียบนี้รพีพงศ์กลับรู้สึกถึงความเยือกเย็นคล้ายเกล็ดน้ำแข็งที่บาดผิว ถึงจะเคยได้ยินว่าพระเสาร์จะไม่ชอบสุงสิงกับใคร เทวดานางฟ้าผู้รับใช้มีน้อย ทว่าสิ่งที่รพีพงศ์ได้เห็นคือมีเพียงทหารก้านบัวสองตนยืนเฝ้าประตู

 “พวกเจ้าช่วยเข้าไปแจ้งพระเสาร์ว่าข้ารพีพงศ์บุตรแห่งพระอาทิตย์ใคร่จะขอพบพระเสาร์” รพีพงศ์เอ่ย ไม่ทันที่ทหารจะเข้ารายงานบานประตูวิมานนั้นได้เปิดออก 

“รพีพงศ์รึ!!!...เข้ามาสิ” คำเชื้อเชิญของพระเสาร์ทำให้รพีพงศ์ยิ้มกว้าง ง่ายกว่าที่คิดพระเสาร์มิได้ใจร้ายดั่งที่ตนได้ยินมา

 …‘เป็นไปตามที่เจ้าพุธบอกไว้มิมีผิด รพีพงศ์จะเป็นฝ่ายมาหาข้าเอง ฮึ!! ในที่สุดข้าจะได้จัดการต้นเหตุที่ทำให้ลูกของข้านั้นต้องตาย’…   …หนึ่งใจคิดที่จะช่วยผู้เป็นที่รัก…   …อีกหนึ่งใจคิดที่จะแก้แค้นแทนลูกรัก…   

.
.

 .   ณ ยมโลกคู่ตรงกันข้ามกับสรวงสวรรค์  ยมโลกนี้ตั้งอยู่บริเวณที่สุดขอบโลก…ดินแดนหลังความตายที่วิญญาณทั้งหลายจะเดินทางมาที่แห่งนี้เพื่อตัดสินว่าจะไปเกิดในภพภูมิใดหรือจะต้องชดใช้ความผิดที่เคยก่อไว้ในขุมนรกทั้ง ๗

นาคินทร์เดินทางมาที่นี่เป็นเวลาหลายวัน หากไม่ได้เดินทางผ่านประตูวิญญาณเพื่อรอผลตัดสินกรรมดี-กรรมชั่วเฉกเช่นวิญญาณดวงอื่น นาคน้อยกลับได้มาอยู่ในวิมานของพญายมราชผู้ยิ่งใหญ่และได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจนน่าประหลาดใจ

“นาคินทร์” เสียงทุ้มฟังดูน่าเกรงขามเพียงเอ่ยนามนาคินทร์นั้นรู้ยำเกรงทันที

“ท่านพญายม” นาคินทร์ยืนมองทะเลทรายรอบวิมานคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมพนมมือไหว้ด้วยความเคารพ

“ลุกขึ้นเถิดไม่ต้องมีพิธีรีตองอันใด”

 “ท่านมีอันใดให้ข้ารับใช้หรือ” นาคินทร์ลุกขึ้นยืนก่อนจะถามเจ้าของวิมาน

 “มิมีอันใดดอก ข้าแค่จักถามไถ่เจ้าว่าอยู่ที่นี่สุขสบายดีหรือไม่”

“ข้านั้นสุขสบายดีแต่ข้า…เอ่อ…”

 “มีเรื่องอันใดถึงได้อ้ำอึ้ง”

“ข้าสงสัยว่าเหตุใด ข้าถึงมิได้เดินทางไปรับคำพิพากษาเหมือนวิญญาณดวงอื่น เหตุใดข้าจึงได้มาอยู่วิมานของท่านและยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี” นาคินทร์ถามออกไปตรงๆ หวั่นใจยิ่งนักถ้าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคิดกับตนในทางชู้สาว

 “ถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง…อีกอย่างเจ้าสบายใจได้เถิด ข้านั้นมิได้คิดเลี้ยงดูเจ้าเป็นสนมดอก” พญายมราชสามารถอ่านใจทุกสรรพสิ่งในดินแดนของตนว่าคิดเช่นไร ไม่ว่า ใครที่เห็นแววตาคู่นี้ต่างรู้ดีว่าคิดเช่นไร…ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก นาคินทร์ได้ฟังคำตอบก็โล่งใจขึ้นมาทันที    … ‘ข้านั้นไม่สามารถบอกความจริงเจ้าได้…นาคินทร์เอ๋ย อีกไม่นานเจ้าจะได้คืนสู่อ้อมกอดของคนรักแต่เวลานี้ข้าเองต้องลุ้นมิให้รพีพงศ์หลานข้าถูกพระเสาร์ผู้เป็นสหายของข้าสังหารไปเสียก่อน’…



















...........................

เกิดเป็นรพีพงศ์นั้นแสนจะลำบาก เมียตาย แม่ยายเกลียดจนกระดูกจะหัก ไหนจะพ่อตาที่รอฆ่า เอ๊ย ท่า

ใครนะกำหนดโชคชะตา ขีดเขียนให้รพีพงศ์ลำบากถึงเพียงนี้...ว่าจะไปเผากระท่อมเสียหน่อย 5555

ตอนท้ายหนูคินทร์ออกมาแวบๆให้ทุกคนหายห่วง น้องยังสบายดีค่ะ อยู่สบาย สบายกว่าท่านยุ่งที่ต้องหิ้วโอเลี้ยงให้ป๋ากนธี 5555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น เป็นกำลังใจนะคะ ดีใจมากค่ะที่ทุกคนติดตามแม้ว่าท่านยึ่งจะตอบช้าและไม่ค่อยได้ตอบเม้นคนอ่านเลย
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.02 (29/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 30-01-2018 01:25:16
ลุ้นว่าคุณพ่อตาคงไม่เฉือดลูกเขยหรอกนะคะ  :a5:
สู้ๆนะพีเอาความหล่อและพระเอกชนะใจพ่อตาให้ได้นะ  :z2:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.02 (29/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: spiral_sai ที่ 30-01-2018 21:59:52
เป็นกำลังใจให้พระเอก ช่างเป็นที่รักของพ่อตาแม่ยายจริงๆ 55555
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.02 (29/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 30-01-2018 22:16:10
เอาใจช่วยรพีพงศ์  รีบพูดถึงมุตตาก่อนพูดอธิบายเรื่องนาคินนะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.02 (29/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 04-02-2018 00:12:45
ถือว่าชดใช้กรรมที่ทำกับนาคินทร์ตอนแรกละกันเนอะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.02 (29/01/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-02-2018 12:55:08
พรีออเดอร์สาปรักทัณฑ์เทวา ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2561
รายละเอียดหนังสือ
สาปรักทัณฑ์เทวา ประกอบด้วย
-  หนังสือขนาด A5 1 เล่ม จำนวนประมาณ 450+ หน้า (ตอนพิเศษในเล่ม 3 ตอน)
-  หน้าปกใช้กระดาษอาร์ต 260 แกรม เคลือบด้าน
-  เนื้อภายในเล่มใช้กระดาษถนอมสายตา 70 แกรม
-  ราคา 525 บาท (ส่งฟรี)
-ems+เพิ่ม 20 บาทต่อเล่ม
สั่งสามเล่มขึ้นไปแนะนำว่าส่ง ems เพราะหนังสือหนักนะคะ
ของแถม
-  หนังสือเล่มพิเศษขนาด A5 ปกอาร์ตเคลือบด้าน 3 ตอน (พระพริษฐ์xบุษยะ) 1 เล่ม **เฉพาะการสั่งซื้อรอบนี้เท่านั้น
-  ที่คั่น จำนวน 4 ชิ้น ลายแบบปก 2ชิ้น / ลายแบบเดียวกับโปสการ์ด 2 ชิ้น
-  โปสการ์ดรูปแบบเดียวกับภาพประกอบในเล่มจำนวน 1 ชุด มี่ 4 ใบ (นภนต์xชลันธร / พระพริษฐ์xบุษยะ)
สั่งซื้อได้ที่ https://goo.gl/forms/SX5498MsY3thMMYs2

พรีออเดอร์สำหรับผู้ที่ต้องการสะสมโปสการ์ดการ์ดสาปรักทัณฑ์เทวาเพียงอย่างเดียว
รายละเอียด
โปสการ์ดตัวละครสาปรักทัณฑ์เทวาประกอบด้วย
-  1 ชุดมีจำนวน 4 ใบ
-  พิมพ์ด้านเดียว เคลือบด้าน
-  ราคา 50 บาท
รายละเอียดการจัดส่ง
- ลงทะเบียน 20 บาท
- EMS  35 บาท
สั่งซื้อได้ที่ https://goo.gl/forms/NGwyQqehj8VAOkJB3


ธนาคารกรุงไทย  8220292814  น.ส. มณฑานีย์  นิลละออ

ธนาคารไทยพาณิชย์  4087198878  น.ส. มณฑานีย์  นิลละออ

พร้อมเพย์ (ไทยพานิชย์) 0822737671



เพื่อความสะดวกไม่รับการจองล่วงหน้านะคะ ขอให้ผู้อ่านที่ต้องการซื้อหนังสือโปรดโอนเงินมาในระยะเวลาที่กำหนด
และแจ้งหลักฐานการโอนพร้อมกับกรอกข้อมูลลงไปค่ะ
และสามารถติดตามรายชื่อ
https://docs.google.com/spreadsheets/d/1UrUjIl1o6PS-RIPMxNGAjuJCt1VB__RBx2qkCcZqZL0/edit?usp=sharing

(สำหรับผู้ซื้อเฉพาะโปสการ์ดจะคลุมรายชื่อเป็นสีส้มนะคะ)
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.02 แจ้ง!!! (16/02/60) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: InarmSt ที่ 19-02-2018 17:56:04
รออออออออ สนุกกกกก
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.03 (28/02/60) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 28-02-2018 08:39:00


ลิขิตรัก เพลิงเทวา Author : Tan-Yung 0209 File : 03

ปลายคมพระขรรค์ยื่นจ่ออยู่ตรงหน้า ใกล้เสียจนมองเห็นเงาสะท้อนของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี รพีพงศ์ยังนั่งหลังพิงเสาใหญ่ ร่างกายถูกทำร้ายจนอ่อนกำลังมิอาจขยับเขยื้อนได้ ปากก็กอบโกยลมหายใจให้มากที่สุดแต่ก็ติดขัดด้วยลำคอยังถูกบีบด้วยฝ่ามือใหญ่จากพระเสาร์

“ฟังให้ดี...ความตายจะลบล้างความผิดของเจ้าได้!!!...รพีพงศ์” สุรเสียงแห่งความพิโรธดังก้อง พระเสาร์มาพร้อมกับการปลิดชีวินสุริยบุตรให้สูญสิ้นลมหายใจ

. . .

‘ปัง!!!’

พอเยื้องย่างเข้ามาพ้นธรณีประตูไปไม่กี่ก้าว เสียงดังลั่นจากบานประตูปิดตามหลังผู้มาเยือน ทำเอาเทวาหนุ่มตกใจไม่น้อย บรรยากาศในวิมานเต็มไปด้วยหมอกจางสีขาวลอยปกคลุมจนทั่วอาณาบริเวณ รพีพงศ์กวาดสายตามองหาเทพผู้ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

“พระเสาร์…ท่านอยู่ที่ใดกัน...ได้โปรดออกมาพบข้าหน่อยเถิด...” รพีพงศ์เรียกหา หากไม่มีแม้แต่เสียงใดๆ ตอบกลับ จนรพีพงศ์นึกแปลกใจทั้งที่เมื่อครู่กล่าวรับให้ตนเข้ามา ไยเล่าถึงไม่ให้พบหน้า

“ข้าอยู่ตรงนี่…ข้างหลังเจ้ายังไงเล่า” น้ำเสียงที่ได้ยินชวนให้รพีพงศ์ขนลุกซู่ กระนั้นรพีพงศ์ก็ยังหันหลังกลับไปแต่ต้องชะงัก เมื่อปลายแหลมของศาสตราวุธจ่ออยู่ตรงหน้า

กลุ่มหมอกจางค่อยๆ เลือนลางแล้วจางหายไป เผยให้เห็นเทพร่างสูงใหญ่ เสี้ยวหนึ่งของใบหน้าดุดันนั้นปกปิดไปด้วยหน้ากากประดับอัญมณีสีเม็ดมะปรางคอยกำบังดวงเนตรสังหาร พระเสาร์ยกยิ้มมุมปากเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเทพหนุ่มตรงหน้าที่ท่าทางคงจะตกอกตกใจมิใช่น้อย

“สุริยะบุตรเจ้ากล้ามากที่มาเหยียบวิมานของข้า” พระเสาร์เอ่ยจบก็เข้าจู่โจมรพีพงศ์ทันที มีหรือที่จะยอมยืนนิ่งให้ผู้อื่นทำร้าย รพีพงศ์เบี่ยงกายหลบอย่างรวดเร็ว ทว่าพระเสาร์เองก็เคลื่อนไหวรวดเร็วปานสายลมตวัดพระขรรค์เข้าฟาดฟัน

“พระเสาร์…ข้ามาที่นี่ข้ามิได้ต้องการมาเป็นเหยื่ออารมณ์ของท่าน ขอโปรดจงลดพระขรรค์และมาเสวนากันก่อนเถิด” รพีพงศ์พูดไปพลางหลบคมพระขรรค์ไปพลาง แต่ด้วยความว่องไวกว่าของพระเสาร์ เทวาหนุ่มจึงถูกจับกุม มือใหญ่ขึ้นจับตรึงเข้าที่ลำคอ...

“เจ้าไม่ต้องการแต่ข้าต้องการ…รพีพงศ์” ฝ่ามือใหญ่โบกสะบัดเพียงเล็กน้อย บุตรแห่งพระอาทิตย์ลอยไปกระแทกกับเสาใหญ่เข้าอย่างแรงจนเกิดรอยร้าว ร่างของรพีพงศ์ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นก่อนจะโงนเงนเอนหลังยันพิงกับเสา

แม้จะรู้ดีว่าโชคชะตาได้ขีดเขียนให้พระอาทิตย์และพระเสาร์เป็นดั่งเส้นขนานไม่มีทางบรรจบได้ แต่สำหรับรพีพงศ์แล้วมันไม่ใช่เหตุผลที่พระเสาร์นั้นจงใจเข้าทำร้ายตน นอกเสียจากมีเหตุผลอื่นที่ตนไม่ล่วงรู้ จึงได้แจ้งประสงค์ของการเดินทางมาในครั้งนี้

“พระเสาร์…ข้าไม่คิดจะสู้กับท่านแม้แต่น้อย ข้ามาหาท่านเพื่อมาขอความช่วยเหลือจากท่าน..แค่ก…แค่ก” รพีพงศ์เอ่ยก่อนเลือดในกายจะกระอักออกมา

“ช่วยเจ้า..ฮึ!! ถ้าอยากให้ข้าช่วย เจ้าจงลุกขึ้นมาสิ มาต่อสู้กับข้า…เอาชนะข้าให้ได้  แล้วข้าจะช่วยเจ้า...” พระเสาร์ยื่นข้อเสนอที่สุริยบุตรมิสามารถกระทำได้ แต่พระเสาร์กลับเดือดดาลยิ่งกว่าเก่า ด้วยอีกฝ่ายมัวทำตัวเสมือนรูปปั้น พอกระเสือกกระสนยืนได้ กลับนิ่งงันแทนที่จะมาสู้กับตน ช่างเป็นเรื่องยั่วโมโหโดยแท้ หากรพีพงศ์ไม่ยินดีจะต่อสู้ ก็เหมือนว่าพระเสาร์นั้นไม่ต่างจากผู้ใหญ่รังแกเด็ก

“ข้ายืนยันว่าข้านั้นจะไม่สู้กับท่านเป็นอันขาด” รพีพงศ์ยังคงยืนยันตามเจตนาเดิม จุดประสงค์ของตนคือการตามหาบิดาของนาคินทร์ มิใช่มาเสียเวลาสู้รบกับพระเสาร์

“เหตุที่เจ้าไม่สู้กับข้า คงเพราะว่าเจ้าเห็นข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควรใช่หรือไม่... พวกวงศาพระอาทิตย์คงคิดว่าตนยิ่งใหญ่เลยคิดมองข้ามหัวผู้อื่นกระนั้นสิ…ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงตายเสียเถิด จักได้รู้ว่ารัชทายาทสายเลือดแห่งพระอาทิตย์จักต้องสิ้นชีพไปด้วยน้ำมือของข้า!!!” พระเสาร์ไม่รอช้าตวัดพระขรรค์ในมือไปยังรพีพงศ์ที่บาดเจ็บ รพีพงศ์เห็นว่าตนนั้นกำลังจะสิ้นชีพก่อนจะช่วยคนรักจึงรีบร่ายมนตราสร้างเกราะกำบังเอาไว้ไม่ให้พระขรรค์คมของพระเสาร์มาทำร้ายตนได้

…‘พระเสาร์…ข้ามิอาจจะละสังขารในยามนี้ได้ ข้าจักต้องช่วยคนรักเสียก่อน’…

“เจ้าคิดว่าเกราะเวทย์กำบังกายกระจอกๆ ของเจ้าจะปกป้องเจ้าจากข้าได้นานเท่าใดเล่า ฮึ!!...ข้าขอบอกเจ้าไว้ว่าเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลกเท่านั้น…รพีพงศ์เอ๋ย เจ้านั้นจะไม่มีโอกาสกลับไปหาบิดาเจ้าตลอดกาล...” พระเสาร์ยิ้มเยาะ ฝ่ามือควบคุมพระขรรค์ให้ทะลวงเกราะเวทมนต์จนเกิดรอยร้าว

‘เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะ’

รอยร้าวขยายออกเป็นวงกว้างไม่ช้านานก็แตกละเอียดไม่ต่างจากเม็ดทราย เวลานี้พระเสาร์ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว มือใหญ่กุมด้ามพระขรรค์ที่ลอยอยู่นั้นเตรียมสังหารรพีพงศ์

“ไม่...เพลานี้ข้ายังตายไม่ได้!!!” รพีพงศ์เอ่ย ตนกระทำผิดอันใดกันพระเสาร์ถึงได้โกรธ เกลียดตนถึงเพียงนี้

“ฮึ...ตลกสิ้นดี...เจ้าเป็นผู้กำหนดชะตาตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าต่างหากจะเป็นผู้ตัดสินชะตาชีวิตของเจ้า โมโหข้าแล้วใช่หรือไม่...ดี...เข้ามาเลยสุริยบุตร...” พระเสาร์จ่อพระขรรค์ตรงใบหน้าหล่อเหลา มืออีกข้างไม่ได้ปล่อยให้ว่าง พุ่งเข้าบีบคอรพีพงศ์เอาไว้ ใบหน้าเหยเกบ่งบอกความทรมานและเสียงลมหายใจขาดห้วงจากความทรมานทำให้พระเสาร์นั้นสะใจเสียเหลือเกิน

“ความตายจะลบล้างในสิ่งที่เจ้าทำลงไปได้!!!” สุรเสียงแห่งความพิโรธดังก้องของพระเสาร์มาพร้อมกับการปลิดชีวินของรพีพงศ์ให้สูญสิ้นลมหายใจ พระเสาร์ลดพระขรรค์ลงมาแล้วจัดการแทงไปที่กลางอกรพีพงศ์

“ท่านน้ามุตตา!!!” อีกนิดเดียวที่พระขรรค์จะแทงทะลุอกแกร่ง รพีพงศ์เอ่ยนามนางนาคมารดาคนรักขึ้นมา นามสตรีที่ขานกล่าวนั้นฉุดรั้งความโกรธเกรี้ยวไว้ได้ มือใหญ่จึงหยุดชะงัก ปลดพระขรรค์ลง อีกข้างหนึ่งก็คลายมือที่บีบคอเทพหนุ่ม

“มุตตา…” พระเสาร์ถามไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้ในเวลาอีกครั้ง หลังจากมีปากเสียงกับพระราหูเมื่อคราก่อน

“ใช่…มุตตา ท่านคุ้นชื่อนี้หรือไม่ นางบอกให้ข้ามาพบท่านเพื่อให้ท่านบอกข้าว่าใครคือบิดาของนาคินทร์ลูกของนาง” คำตอบแผ่วเบาแต่ชัดเจนในจิตใจของพระเสาร์

“...แล้วเหตุใดเจ้าต้องการพบบิดาของนาคินทร์” พระเสาร์ไม่ตอบในทันทีว่าตนคือพ่อของนาคินทร์ หากถามเพื่ออยากรู้เหตุผลจากปากรพีพงศ์เสียก่อน

“นาคินทร์รักของข้าได้สิ้นชีพไป และข้าได้รับคำสัตย์จากพระผู้สร้างในการชุบชีวิตกลับมาอีกครั้ง โดยที่ข้าต้องใช้ของสำคัญจากบิดาและมารดาของนาคินทร์ ซึ่งท่านน้ามุตตาได้ให้เส้นเกศาของนางกับข้า” รพีพงศ์บริกรรมคาถาปรากฏห่อแพรพรรณบ่นฝ่ามือ เมื่อเปิดออกซึ่งพบว่าภายในห่อแพรนั้นเป็นเส้นผมสีดำขลับ พระเสาร์มองเพียงแวบเดียวก็รู้ทันทีว่านี่คือเส้นผมที่ตนเคยสัมผัสเป็นเครื่องยืนยันว่ารพีพงศ์ได้พบกับมุตตาจริง

“พระเสาร์ได้โปรดช่วยบอกข้าเถิด…ผู้ใดคือบิดาของนาคินทร์ ข้าจักรีบตามหาเขาผู้นั้น เพื่อชุบชีวิตนาคินทร์ให้ได้ภายใน ๙ วันนี้ มิเช่นนั้นนาคินทร์จะไปเกิดใหม่ในภพภูมิอื่น” รพีพงศ์เห็นพระเสาร์เงียบไปจึงขอร้องอีกครั้ง รพีพงศ์กลัวใจพระเสาร์เหลือเกินว่าจักไม่ช่วยเหลือตน

‘เคร้ง!!’ พระเสาร์ปล่อยพระขรรค์ลงกับพื้น แล้วกดมือว่างลงไปที่หน้าท้องของรพีพงศ์ที่ไม่ทันจะตั้งตัว

“อึก…อ้าก!!!” รพีพงศ์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ปลายดัชนีทั้งห้าทะลุผ่านผิวกายเข้าไปในท้องลึกลงไปจนถึงข้อมือ โลหิตสีทองไหลรินออกมาเปรอะเปื้อนไปทั่ว สายตาพร่ามัวก้มมองหน้าท้องของตนที่ดูเหมือนว่าพระเสาร์นั้นกำลังควานหาบางอย่างอยู่

“เจอเสียที” พระเสาร์ไม่สนใจรพีพงศ์เลยสักนิดว่าจะร้องออกมาหรือใบหน้าซีดขาวหรืออย่างไร เมื่อเจอสิ่งที่ต้องการในกายของรพีพงศ์แล้ว พระเสาร์จึงดึงมือออกมาจากกายรพีพงศ์ บาดแผลเหวอะหวะค่อยๆ สมาน ขณะเดียวกันโลหิตก็ไหลย้อนคืนสู่รพีพงศ์ ไม่นานหน้าท้องแกร่งนี้ก็ไร้ซึ่งบาดแผลและอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“ท่านทำอันใดกับข้า”

“ข้าเพียงนำของสำคัญที่เจ้าต้องการไปช่วยนาคินทร์บุตรแห่งข้า” พระเสาร์ลุกขึ้นยืนและเอ่ยกับรพีพงศ์

“หมายความว่าท่านคือ…”

“ใช่…ข้าคือพ่อของนาคินทร์และนี่คือสิ่งสำคัญที่ข้าจะมอบให้เจ้าไว้ใช้ในการชุบชีวิตลูกข้า” รพีพงศ์ยื่นมือรับ ‘สิ่งสำคัญ’ จากพระเสาร์

“ไข่มุกมรกต” รพีพงศ์มองไข่มุกวิเศษในมือสลับกับใบหน้าของพระเสาร์

“ไข่มุกมรกตนี้เป็นของข้า ข้าได้มอบให้กับมุตตาไว้เมื่อนานมาแล้ว”

“เหตุใดท่านจึงรู้ว่าไข่มุกมรกตอยู่ในตัวของข้าเล่า” รพีพงศ์ถามออกไปด้วยความสงสัย

“บางเรื่องเจ้ามิจำเป็นต้องรู้ หลังจากนี้เจ้าจะเดินทางไปนรกใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว ข้าจักต้องนำวิญญาณของนาคินทร์กลับคืนมา แต่ข้ายังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปนรกได้อย่างไร รู้ก็แต่เพียงว่าตั้งอยู่ที่สุดขอบโลกก็เท่านั้น” รพีพงศ์ตอบ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะเก็บไข่มุกมรกตและเกศาของมุตตาไว้ในกายตามเดิม

“การเดินทางไปดินแดนแห่งความตายหาใช่ปัญหาสำคัญ ในเมื่อเจ้านั้นช่วยเหลือลูกข้า ข้าจะช่วยส่งเจ้าไปนรกเช่นเดียวกัน” หากใครได้ยินประโยคสุดท้ายคงตกใจมิใช่น้อย ต้องคิดว่าพระเสาร์โหดร้ายหวังทำร้ายสุริยบุตร ทว่าผู้ที่กำลังจะถูกส่งไปนรกอย่างรพีพงศ์กลับยิ้มกว้าง

…‘พระเกตุเอ๋ย ข้าขอเชิญท่านมาพบข้า ณ ที่แห่งนี้ด้วยเถิด’… เปลือกตาของพระเสาร์ปิดลง ทั้งยืนสงบนิ่งเพื่อส่งกระแสจิตไปยังพระเกตุ ๑ ในเทพนพเคราะห์

‘โครม!!’ พลันดาวหางดวงหนึ่งพุ่งตกลงมาในวิมานของพระเสาร์ ก่อนจะกลายเป็นนาคสีทองที่มีเทวดารูปงามเนื้อเหมยืนอยู่บนลำตัว

“ข้าต้องขออภัยท่านด้วย ข้าเร่งรีบไปเสียหน่อยจึงตกลงมาที่นี่แทนที่จะเป็นหน้าวิมานของท่าน” เทวาพระเกตุเอ่ย แล้วก้าวลงจากนาคาสัตว์เทพพาหนะคู่บารมี

“มิเป็นไรดอก ข้านี้ต้องขออภัยท่านที่เรียกท่านให้มาบุมบ่ามเช่นนี้” พระเสาร์เอ่ย

“ท่านมีเรื่องอันใดจึงอยากพบข้า แล้วนี่...รพีพงศ์บุตรของสุริยเทพมิใช่หรือ ไยเจ้าถึงมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้เล่า...”

“ที่ข้าเรียกท่านมาในยามนี้ ก็จะให้ท่านช่วยส่งเจ้าเทพหนุ่มนี่ไปยังยมโลกด้วยเถิด” คำตอบของพระเสาร์ทำให้พระเกตุตกใจมิใช่น้อย

“นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น โปรดเล่าให้ข้าได้คลายสงสัยเสียก่อนเถิด หากด้วยการเป็นประตูนรกภูมินั้นเป็นเรื่องหาใช่ใหญ่สำหรับข้า หากข้าจะแนะนำวิธีอื่นแทน ด้วยตัวข้ามิใคร่จะร่วมมือกับท่านทำร้ายผู้ใด” พระเกตุเอ่ยกับพระเสาร์เพราะเข้าใจว่าเทวาทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกัน

“ช้าก่อนเทวาพระเกตุ...มันมิใช่สิ่งที่ท่านคิดแม้แต่น้อย การที่พระเสาร์จะให้ท่านส่งข้าไปยังนรกเป็นเพราะว่า……” รพีพงศ์ที่เงียบไปนานเป็นฝ่ายตอบและเล่าเรื่องราวรวมถึงจุดประสงค์ของตนที่ต้องลงไปในนรกภูมิ

“เอาล่ะในเมื่อเจ้ายืนยันว่าเป็นเทวาราชโองการชุบชีวิตของพระผู้สร้างและเจ้าจำเป็นจะต้องไป ข้าก็จักช่วยสงเคราะห์เจ้าให้ แต่ก่อนที่จะส่งเจ้าไปช่วยบุตรของพระเสาร์ ข้าจะต้องดูเสียก่อนว่านาคินทร์อยู่ที่ใดกัน” พระเกตุพูดจบก็เสกดวงแก้วออกมา ลอยปรากฏอยู่บนผ่ามือข้างหนึ่ง

“ดวงแก้วเอ๋ย จงเผยภาพในนรกภูมิมาให้ข้านั้นได้เห็นด้วยเถิด”

ดวงแก้วสีใสกลายเป็นสีมณีโกเมนตามด้วยกลุ่มควันสีขาวฟุ้งกระจายอยู่ภายใน ไม่นานมันก็เลือนหายเผยให้เห็นขุมนรก อันมีอยู่ด้วยกัน ๘ ขุม ไว้สำหรับลงโทษผู้กระทำความผิด ผู้สร้างบาป และทำเรื่องชั่วช้าผิดศีลธรรมเมื่อครั้งมีชีวิต

“อย่าทำข้า!!!! อ้าก!!!!! อย่า!!!!” เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานจากวิญญาณบาปที่วิ่งหนี หอก ดาบ บ้างก็ถูกสัตว์นรกที่ไล่ทำร้าย บนเปลวอัคคีที่โชกโชนทั่วบริเวณที่ปิดล้อมด้วยผนังเหล็กร้อน นรกขุมนี้คือ สัญชีวมหานรก ผู้ที่ทารุณกรรมสัตว์ ฆ่าสัตว์ ทำร้ายผู้อื่นให้ทุกข์ทรมานหรือไม่ยุติธรรม ใช้อำนาจเบียดเบียนคดโกงผู้อื่นจนเกิดทุกข์ เกิดการพลัดพรากสูญเสียไม่ว่าจะลงมือเสียเองหรือจะมอบอาวุธยืมมือใครใช้ทำความผิดก็ดี บุคคลที่กล่าวมาจะมารับกรรมในนรกขุมนี้ รพีพงศ์ได้เห็นเหล่าวิญญาณต้องอาวุธได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตก็ดี หรือวิญญาณบางตนอวัยวะขาดวิ่นไป ร่างกายจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ดังสมญานามว่านรกแห่งการเกิดอีกหน

… ‘นาคินทร์อยู่ในนี้หรือ ไฉนพระผู้สร้างบอกข้าว่ายังเหลือเวลาก่อนที่นาคินทร์จะถูกตัดสินกรรม’…

…‘ลูกพ่อ เจ้าต้องตกนรกหมกไหม้หรือนี่’...

“อย่าตกใจไปเลยท่านทั้งสอง นาคินทร์มิได้อยู่ในนรกขุมนี้ดอก ขอข้าเพ่งจิตสักครู่แล้วดวงแก้วนี้จะปรากฏให้พวกท่านเห็นว่านาคินทร์อยู่ที่ใด” พระเกตุสังเกตสีหน้าเทพทั้งสองก็เดาออกว่ากำลังคิดสิ่งใด จึงรีบชี้แจงให้คลายกังวล

เมื่อพระเกตุเพ่งจิตใส่ดวงแก้ววิเศษภาพของผนังเหล็กร้อนกลายเป็นผาสูงใหญ่ เสียงวิญญาณที่กรีดร้องโหยหวนหายไปแทนที่ด้วยเสียงวารีไหลตกลงมาสู่แม่น้ำใหญ่…น้ำตกเพียงแห่งเดียวในนรกภูมิที่มีสายน้ำเป็นสีแดงชาด...‘น้ำตกสีเลือด’ ณ ริมฝั่งนั้นเองมีนายนิรยบาลมากมายดูเหมือนกำลังเฝ้ายามแต่มีผู้สวมอาภรณ์ผิดแผกไปจากผู้อื่น นั่นคือพระกาฬไชยศรี บริวารของพญายมราชผู้ทำหน้าที่นำวิญญาณกระทำบาปมาสู่ยมโลกและที่ยืนอยู่ถัดไปไม่ไกลมากนักเป็นวิญญาณของชายหนุ่มรูปงามหากไม่พิศมองให้ดีพระเกตุคงคิดว่าเป็นอิสตรีเป็นแน่แท้ ด้วยเส้นผมที่ยาวดำขลับนั่น

“นาคินทร์” ทั้งพระเสาร์และรพีพงศ์เอ่ยนามคนที่ตามหาออกมาพร้อมกัน

“นี่นะหรือนาคินทร์ ความงามนี้คงจักได้มาจากแม่ แต่ดวงตานั้นเหมือนท่านไม่มีผิดเลย…พระเสาร์” พระเกตุเอ่ย

“เหตุใดลูกข้าถึงไปอยู่ยังน้ำตกสีเลือด ทั้งยังอยู่กับพระกาฬไชยศรีอีก” แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูฟูมฟักแต่สายสัมพันธ์พ่อลูกนั้นยังมี พระเสาร์กลายเป็นพ่อหวงลูกดั่งจงอางหวงไข่ไม่มีผิด

“พระเกตุโปรดส่งข้าไปยังนรกโดยเร็ว ข้ามิอยากเสียเวลาแม้เพียงเสี้ยววินาที” รพีพงศ์เร่งเร้าพระเกตุ ความหึงหวงจากภาพนั้นล้นอกจนแทบจะทนไม่ไหว พระเกตุเห็นอากัปกิริยาของพระเสาร์และรพีพงศ์แทบจะเอามือมาปิดปากกลั้นหัวเราะแทบไม่ทัน

“ข้าเองก็มิอาจรู้ได้ว่าเหตุใดนาคินทร์ถึงอยู่กับพระกาฬไชยศรีที่น้ำตกสีเลือด หากสิ่งที่ข้าจักทำได้คือส่งรพีพงศ์ลงไป แต่น้ำตกสีเลือดนั้นมีม่านมิติอยู่ การส่งเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า รพีพงศ์อาจจะถูกดูดกลืนและหายเข้าไปได้”

“พระเกตุแล้วข้าจักทำเช่นไรเล่า” รพีพงศ์ได้ฟังยิ่งร้อนใจ ทั้งอยากช่วยนาคินทร์ให้ทัน ทั้งหวงนาคน้อยที่กำลังยิ้มบางให้กับพระกาฬไชยศรี...‘นาคินทร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้านั้นหวงแม้แต่รอยยิ้มของเจ้า!!’…

“ข้าจะส่งเจ้าไปยังบริเวณที่ใกล้น้ำตกสีเลือดให้มากที่สุด”

“ชักช้าอยู่ไยเล่า รีบส่งรพีพงศ์ไปรับวิญญาณลูกข้าโดยเร็วเถิด” เพลานี้พระเสาร์เองก็ร้อนใจเร่งพระเกตุแทนรพีพงศ์ พระเกตุยิ้มให้กับพ่อตาลูกเขยคู่นี้ที่ไม่น่าจะมาเกี่ยวดองกันได้

มือเรียวหยิบดวงแก้วของตนขึ้นมาแล้วจัดการข้างปาลงสู่พื้น…‘เพล้ง !!’…เสียงเศษแก้วที่กระจายตามพื้น มันค่อยๆ เคลื่อนขยับมารวมตัวกันก่อตัวเป็นประตูรัตนาขนาดใหญ่

“รพีพงศ์จงฟังข้า…เจ้าจงไปยืนที่ประตูแห่งยมโลกตั้งจิตอธิษฐานให้ได้พบกับคนรักแล้วข้าจะส่งเจ้าลงไป” พระเกตุเอ่ย รพีพงศ์ได้ฟังก็รีบเดินไปหยุดตรงหน้าประตู

“ขอบน้ำใจท่านมากพระเกตุที่ช่วยเหลือข้า” รพีพงศ์เอ่ยออกมาจากใจ

“มิเป็นไรดอกข้ายินดีช่วย ว่าแต่เจ้าเถิดเวลานี้เจ้าพร้อมที่จะเดินทางไปยังยมโลกหรือยัง”  พระเกตุที่เห็นแก่ความรักของทั้งคู่ รวมถึงเห็นแก่มิตรภาพระหว่างตนเองและพระเสาร์ที่เคยช่วยเหลือกันครั้นยามออกรบเมื่อนานมาแล้ว

“ข้าพร้อมแล้ว”

“โปรดจงจำไว้ว่า...กายเจ้านั้นเป็นกายเนื้อและเป็นอัตตา เจ้าจะดึงดูดสัตว์นรกและอสูรกายทั้งหลาย อย่าช่วยเหลือผู้ใดในยมโลกนอกจากนาคินทร์ ไม่เช่นนั้นพระยายมราชจะต้องส่งเหล่าเปรตราชมาตามรังควานเจ้าแน่ และเมื่อเจ้าต้องการออกจากนรกพร้อมดวงวิญญาณของนาคินทร์ก็จงระลึกถึงข้า ประตูแห่งยมโลกนี้จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง” ...สิ้นประโยคกำชับสั่งเสียจากพระเกตุ รพีพงศ์ก็พยักใบหน้ารับ เทพหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมหลับตาลง ตั้งจิตมั่นอธิษฐานให้ได้พบกับนาคินทร์

...ด้วยวาสนาชะตาโชคนำพาให้ข้าผ่านพ้นมาถึงจุดนี้ ไม่ว่าจะบุกน้ำหรือลุยไฟในนรกขุมไหน ข้าก็พร้อมจะเผชิญ... ขอให้ได้พบกับนาคินทร์ผู้ที่รักและนำพาดวงวิญญาณนั้นได้หวนคืน...ขอให้ข้าได้กระทำการนี้สำเร็จดั่งใจหมายนำพาข้าไปยังปลายทางที่ข้าต้องการด้วยเทอญ...

“ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งดาวพระเกตุ ข้าขอเปิดประตูแห่งยมโลก...ณ บัดนี้...”  พลันคำกล่าวเปิดประตูสู่ยมโลกจบ บานประตูแก้วเปิดออกพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้าและวายุรุนแรงพัดกระหน่ำทำเข้าข้าวของให้วิมานของพระเสาร์ปลิวกระจัดกระจาย

“เจ้าจงไปยังขุมนรกที่เจ้าต้องการ...รพีพงศ์...”  พระเกตุยื่นดัชนีขวาไปยังบานประตู เกิดคลื่นพลังคลุมกายเทพหนุ่ม หอบเอากายรพีพงศ์เข้าไปภายในแล้วพุ่งทะยานส่งให้ไปยังสถานที่ใจปรารถนา

เมื่อกายรพีพงศ์หายลับสุดสายตาบานประตูรัตนาก็ปิดลง ความเงียบสงบกลับคืนสู่วิมานพระเสาร์อีกครั้ง















......................

มาแล้ว คิดถึงกันไหมคะ ท่านยุ่งคิดถึงทุกคนมากๆ

เข้าเรื่องกันดีกว่าเนอะ พระเสาร์-รพีพงศ์กว่าจะได้คุยกันสะบักสะบอมกันพอดูแถมตอนท้ายเห็นลูกเห็นเมียยืนกับชายอื่นที่มีนามว่าพระกาฬไชยศรี

555555555555



ท่านยถ่งอัพช้าอย่าว่ากันนะคะ ยุ่งจริงๆ งานหลักยุ่งแต่ยุ่งจะไม่หนีหาย #นี่แอบหลบมุมมาอัพกับโทรศัพท์



ขอบคุณทุกคนที่อ่านที่ติดตามกันนะคะ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.03 (28/02/60) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: vavavivi ที่ 28-02-2018 20:24:37
ตามมาจากทัณฑ์เทวาค่า  ชอบคู่นี้ สงสารรพีพงศ์จัง นาคินทร์กลับมาเร็วนะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.03 (28/02/60) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 28-02-2018 21:31:48
ขอให้พีรพงศ์ได้เจอนาคินทร์เสียที 

อยากให้นาคินทร์ได้กลับมาเจอพ่อ  อยากเห็นพ่อตาจะหวงลูกมากขนาดไหน
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.03 (28/02/60) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 01-03-2018 07:19:54
เค้าจะได้เจอกันแล้ว
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.04 (31/03/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 31-03-2018 19:50:44
ลิขิตรัก…เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 04

 

 

 

 

 

จะจากเป็นหรือจะจากตายหาได้ต่างกัน แต่จากตายนั้นจะหาได้พบหน้ากันอีกคงเป็นไปมิได้ แต่ใครเล่าจะหลีกเลี่ยงหรือหนีได้พ้น ไม่มีใครเลยต้องการ เพราะผลลัพธ์จากการจากลา คือ ‘ความเจ็บปวด’ ยิ่งผูกพันมากเท่าใดความเจ็บปวดก็ยิ่งมากเท่านั้น มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ‘การจากลาทั้งยังรักกัน คือสิ่งเจ็บปวดที่สุด’ ยิ่งในวินาทีนั้นหากความรักได้เติบโตเป็นดอกไม้งามที่กำลังเบ่งบานในใจสองแล้ว ความเศร้ามันจะฝังรากหยั่งลึกลงไปยากที่จะถอดถอน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีลมหายใจหรือดวงวิญญาณที่ไร้ซึ่งกายหยาบก็ตาม ต่างตกในบ่วงห้วงคะนึงหาผู้พรากจากด้วยกันทั้งนั้น

 

คำกล่าวนี้แลเป็นจริง…ตั้งแต่วินาทีที่ความเจ็บปวดจากตรีศูล ๑ ใน ๓ มหาศาสตราวุธ แสนยิ่งใหญ่แทงทะลุผ่านร่างกาย จนกระทั่งมิได้ยินเสียงกระซิบใดๆ เข้าโสตประสาท ความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลขาดหาย นาคินทร์ก็ไม่ทรมานอีกต่อไป 

ดวงวิญญาณหลุดออกจากร่าง ค่อยๆ ลอยห่างกายผู้เป็นที่รัก นัยน์ตาโศกสะท้อนเงาสุริยบุตรที่ยังโอบกอดกายตน ใบหน้าหล่อเหลาอาบหยาดอัสสุชลมิขาดสาย ปากร้องตะโกนเรียกชื่อตนมิได้หยุดหย่อน

 

…‘เจ็บเหลือเกิน…เจ็บใจที่ข้าไม่ได้อยู่ข้างกายท่านพี่ดั่งที่วาดฝันไว้’…

 

อยากจะเข้าไปสวมกอดเหลือเกิน กอดให้กายได้แนบชิด กอดเสียจนสองกายผสานหลอมรวมเป็นหนึ่ง นาคินทร์อยากจะทำมันแต่…ทำไม่ได้ 

 

ในเมื่อยามคับขันเช่นนั้นจำต้องเลือก แล้วนาคินทร์ก็เลือก...เลือกที่จะสละชีวิตตนปกป้องรพีพงศ์จากคมตรีศูล 

 

สิ่งที่ดวงวิญญาณนาคาทำได้คือการมองผู้เป็นที่รักอย่างสุดดวงใจให้นานเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะถูกดูดกลืนหายเข้าไปในคนโทของพญายมราช

 

ความมืดได้เข้ามาห้อมล้อมจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด แต่พอได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งนาคินทร์ก็พบว่าตนอยู่ในวิมานแสนวิจิตรแห่งหนึ่ง พอถามความจากนิรยมบาลผู้เดินผ่านหน้าห้องที่ตนนั้นพักอยู่ ก็ได้ความว่าสถานที่แห่งนี้คือวิมานของพญายมราชผู้เป็นใหญ่ในดินแดนนรกภูมิ 

 

นาคินทร์แทบมิอยากจะเชื่อว่าวิมานที่แสนงามพิศดารแห่งนี้จะตั้งอยู่ในนรกภูมิ หากแต่เหล่าดวงวิญญาณมากมายในภพนี้ได้ล่วงรู้เข้า คงจะอิจฉาริษยามิใช่น้อยที่วิญญาณนาคาอย่างตนมิต้องถูกพิพากษาเพื่อตัดสินโทษทัณฑ์ที่เคยกระทำไว้เมื่อครั้งเป็นมีชีวิตในภพก่อน ทว่าสิ่งหนึ่งที่นาคินทร์กลับเหมือนต้องโทษทัณฑ์แทนคือ ...ดวงใจที่ทรมาน... มิมีผู้ใดล่วงรู้เลยว่านาคินทร์ทรมานใจมากเพียงใด 

 

…‘ท่านพี่รพีพงศ์…ข้าคิดถึงท่านพี่เหลือเกิน’…

 

มิใช่เพียงแต่สุริยบุตรเหงาเศร้าคะนึงหานาครักผู้วายชนม์เท่านั้น ดวงวิญญาณที่ล่วงลับก็เช่นกัน นาคินทร์ปล่อยใจให้นึกถึงแต่สุริยบุตรรูปงามที่คอยตระกองกอดกายตนยามหนาว คอยหาเรื่องลงโทษด้วยจุมพิตแสนหวานอยู่บ่อยครั้ง ...ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บเสียเหลือเกิน…เจ็บที่ต้องคอยคิดถึงโดยที่นาคินทร์ไม่สามารถทำอันใดได้ ซ้ำการได้มาอยู่ ณ วิมานแห่งนี้ยังเป็นปริศนาที่นาคินทร์เองยังหาคำตอบไม่ได้

 

“นาคินทร์ ท่านพญายมราชต้องการพบเจ้า” นิรยมบาลนายหนึ่งได้เอ่ยคำสั่งจากผู้เป็นใหญ่และเสียงทุ้มแฝงไปด้วยความดุดันนี้ได้ทำให้นาคินทร์ได้สติเลิกคิดถึงรพีพงศ์ไปชั่วขณะ

 

“ท่านพญายมราชต้องการพบข้าหรือ” นาคินทร์ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

 

“ใช่ เจ้ารีบตามข้ามาเถิด เพลานี้ท่านพญายมราชกำลังคอยเจ้าอยู่หน้าวิมาน” นิรยมบาลเดินนำหน้าพานาคินทร์ไปพบเจ้านรก ระหว่างทางนาคินทร์ได้แต่คิดในใจว่าคงถึงเวลาที่ตนจะได้เดินทางผ่านประตูทั้ง ๙ เพื่อรับคำพิพากษาเป็นแน่ ก็สมควรแก่เวลาแล้วมิใช่หรือในเมื่อตนเองก็สิ้นชีพมาหลายวัน

 

“คารวะ…ท่านพญายมราช ข้านาคินทร์มาพบท่านตามคำสั่งแล้ว” นาคินทร์คุกเข่าลงตรงหน้าพญายมราชผู้เป็นใหญ่ ข้างกายมีบุรุษเทพร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ไม่ห่าง ผู้หนึ่งดูแข็งแกร่งแฉกเช่นนักรบคงเทียบได้กับเทพนภนต์ผู้เป็นที่รักของสหาย อีกผู้หนึ่งนั้นดูคงความรู้มีความน่าเชื่อถือ หรือทั้งสองอาจจะเป็น…พระกาฬไชยศรีกับพระเจตคุปต์ บริวารของพญามัจจุราชผู้นำดวงวิญญาณบาปมานรกและอ่านประวัติผู้ตายเสนอแด่พญายม

 

“เจริญสุขเถิดนาคินทร์...”  เสียงที่ตอบกลับมานั้นไร้ซึ่งความน่ากลัวใดๆ กลับเป็นน้ำเสียงเย็นหากไม่ใช่ยะเยือกจนหนาวชวนขนลุก ทว่าคือความเย็นดุจสายชลชวนให้เกิดความสบายใจแก่ผู้ฟัง ซึ่งผิดแผกจากสุรเสียงที่ใช้ในการตัดสินกรรมดี-กรรมชั่วให้กับเหล่าวิญญาณ

 

“มิทราบว่าท่านมีการอันใดถึงได้เรียกข้ามาพบ...หรือหากว่าท่านต้องประสงค์ให้ข้ารับใช้ ข้านี้ก็ยินดี...” นาคินทร์รีบถามความ หากแต่พญายมราชหวังชุบเลี้ยงตนไว้ใช้งานเฉกเช่นนิรยมบาลในวิมานแห่งนี้ก็ยินดี

 

“ข้าไม่มีเรื่องอันใดให้เจ้าต้องมารับใช้ดอก” พญายมตอบกลับไป นาคินทร์ที่ก้มหน้าในคราแรกจึงเงยหน้าขึ้นมามองไปยังพระกาฬไชยศรีและพระเจตคุปต์ ก่อนจะพูดสิ่งที่ตนนึกคิดขึ้นมา

 

“หรือว่าท่านเรียกข้ามาเพื่อรับคำพิพากษา” นาคินทร์ถามน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แม้จะเตรียมใจในการรับคำตัดสินโทษก็ตามทีแต่พอถึงเวลากลับนาคินทร์กลับรู้สึกกลัวเพราะตนเองใช่ว่าจะดีเลิศมาจากไหน แม้จักกระทำชั่วไม่มาก หากมันคือเรื่องใหญ่ บาปที่เคยก่อไว้กับชลันธรถึงขั้นจะปลิดลมหายใจนั้นเป็นตัวตัดสินได้เป็นอย่างดีว่านาคาน้อยนี้จักต้องตกนรกหมกไหม้

 

“เจ้าเข้าใจผิดแล้วนาคินทร์ แต่ไม่แปลกหรอกถ้าเจ้าจักคิดเช่นนั้น เพราะเห็นพระกาฬไชยศรีกับพระเจตคุปต์ก็อยู่ด้วย” พญายมราชแย้มสรวลออกมา ในใจขบคิดว่านี่หรือคือนาคา ดหตุใดเล่าจึงมิต่างจากกระต่ายตื่นตูม

 

“เอาล่ะเหตุที่ข้าเรียกเจ้ามานั้นเพื่อที่จะให้เจ้าได้ออกจากวิมานของข้าไปท่องเที่ยวในดินแดนนรกนี้เสียบ้าง มาอยู่นรกก็หลายวันแล้ว ข้าก็เกรงเจ้าจะเบื่อหน่ายหากอยู่แต่ในวิมาน” พญายมเอ่ยออกมา นาคินทร์ถึงกับเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ

 

“ท่องเที่ยว...จริงหรือ ข้าจะได้ออกนอกวิมานนี้หรือ” นาคินทร์แม้จะตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าได้รับอนุญาตให้ออกไปท่องเที่ยว...แต่ท่องเที่ยวในดินแดนนรกเยี่ยงนี้จะมีสิ่งใดให้น่าอภิรมย์ นอกจากต้นงิ้วสูงใหญ่ ที่วิญญาณบาปคอยปีนหนีคมหอก ไหนจะน้ำเดือดภายในกระทะทองแดงนั่นอีก…ไม่ได้ชวนอภิรมย์แต่ชวนให้หวั่นกลัวเสียมากกว่ากระมัง…‘เอาเถิด เปิดหูเปิดตาดีกว่านอนอุดอู้อยู่ในวิมานนี้’… นาคินทร์พยายามคิดถึงข้อดีแทน

 

“ข้าจะโป้ปดเจ้าไปด้วยเหตุอันใดเล่า คราก่อนข้าเห็นเจ้าดูเซื่องซึมจึงอยากจะให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตา ถึงแม้นรกของข้าจะไม่สวยงามดั่งสรวงสวรรค์ อีกทั้งยังมากด้วยเหล่าวิญญาณร้าย แต่ยังพอมีสถานที่ให้เจ้าได้ผ่อนคลายได้บ้าง” พญายมราชพอจะเดาออกว่านาคินทร์คิดเช่นไรจึงมิลืมที่จะเอ่ยสร้างความกระจ่างใจให้กับนาคน้อย

 

“เป็นความกรุณายิ่งแล้ว ถึงนรกนี้จะไม่สวยงามเฉกเช่นแดนสวรรค์ แต่ใครเล่าจะได้เที่ยวชมนรกโดยไม่ต้องสนใจหอกแหลมดาบคมจะมาทิ่มแทงกาย หรือวิ่งหนีสัตว์นรกจะวิ่งเข้ามาขย้ำ” นาคินทร์ใจชื้นขึ้นมา อย่างน้อยพอจะมีข้อดีในการเที่ยวชมนรกครั้งนี้

 

“เช่นนั้นข้าจะให้พระกาฬไชยศรีเป็นผู้นำทางเจ้าไป” พญายมราชเอ่ย พระกาฬไชยศรีเดินออกมาหยุดตรงหน้าของนาคินทร์

 

“ลุกขึ้นเสียเถิด...เจ้านาคน้อย..” พระกาฬไชยศรียื่นหัตถาให้นาคินทร์ได้จับ หากนาคินทร์กลับอยู่ในโลกของความคิด…‘นาคน้อย’... คำๆ นี้ทำให้หวนนึกถึงรพีพงศ์ผู้เป็นที่รักเสียไม่ได้

 

...‘ข้าเปล่านะ ใครจะฝันว่าท่านจูบเพื่อปลุกข้า..อ๊ะ!’…

…‘นี่เจ้าเก็บข้าไปฝันเยี่ยงนี้หรือ…เจ้านาคน้อยลามก’… 

 

“เจ้านาคน้อย…เจ้านาคน้อย เจ้าได้ยินหรือไม่” พระกาฬไชยศรีเรียกดวงวิญญาณที่นั่งจมอยู่ในความคิดให้กลับมามีสติอีกครั้ง ก่อนจะเป็นฝ่ายจับแขนเล็กและฉุดให้ยืนขึ้นมาโดยไม่รอให้นาคินทร์อนุญาตหรือตั้งตัว

 

“ขะ…ข้าขออภัยท่านด้วย” นาคินทร์กล่าวคำขอโทษ ใบหน้าก้มลงไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตาพระกาฬไชยศรี

 

“สงสัยนาคินทร์คงตื่นเต้นที่ได้ออกจากวิมานของข้ากระมัง จึงได้เหม่อลอยเช่นนี้” พญายมราชเอ่ยออกมานึกเอ็นดูนาคาตนนี้ แต่มีหรือที่จะมิรู้ความในใจนาคินทร์

 

“แต่ข้ากลับคิดว่านาคินทร์กลัวพระกาฬไชยศรีเสียมากกว่า ไหนจะพักตราแสนดุดัน ไหนจะสวมเกราะ ถืออาวุธเยี่ยงจะไปรบ” พระเจตคุปต์เอ่ยออกมาอย่างขบขันที่สหายไม่ทิ้งมาดนักรบ ด้วยช่วงชีวิตของพระกาฬไชยศรีคงมีเพียงภารกิจหน้าที่เท่านั้น พญายมเองรวมถึงตนอยากให้พระกาฬไชยศรีได้ผ่อนคลายบ้างจึงได้เห็นพ้องให้เป็นผู้นำทางนาคินทร์ไปชมดินแดนมรณะแห่งนี้

 

“อย่าเพิ่งยั่วโมโหพระกาฬไชยศรีเลย ข้าว่าเพลานี้นาคินทร์เองคงอยากออกจากวิมานเต็มทีแล้ว” พญายมราชรีบเอ่ยแทรกก่อนจะเกิดสงครามขนาดย่อมระหว่างยมฑูตทั้งสอง

 

“ข้าขอลาพานาคน้อยตนนี้ไปชื่นชมความงามของนรกภูมิก่อนเถิด” พระกาฬไชยศรีเอ่ยออกมาเสียงห้วนๆ แล้วเดินนำนาคินทร์ออกไป

 

เมื่อขบวนของพระกาฬไชยศรีและนาคินทร์เดินทางฝ่าทะเลทรายที่ล้อมวิมานของพญายมราชไว้ พอเริ่มออกจากอาณาเขตทะเลทราย แสงสว่างเริ่มริบหรี่ท้องนภาเปลี่ยนสีคล้ายยามราตรีไร้แสงพระจันทร์ สร้างความแปลกใจให้กับนาคินทร์เป็นอย่างมากจนเผลอมองขึ้นไปบนฟ้าโดยไม่รู้ตัว

 

“ท้องนภาในนรกนี้แตกต่างจากที่เจ้าเคยเห็นหรือไร เจ้าถึงได้มองไม่ยอมละสายตา หากจะมองหาวิหกสักตัว ก็ไม่มีให้เจ้าได้ยลดอก...” พระกาฬไชยศรีทำลายความเงียบด้วยบทสนทนาที่คล้ายจะเหน็บแนมก็ไม่ใช่จะเป็นคำถามก็ไม่เชิง

 

“เป็นเช่นนั้น แต่มีอีกเรื่องที่ข้าเพียงสงสัยว่าเหตุใดพอพ้นอาณาเขตวิมานแห่งพญายมราชแล้ว ท้องฟ้าที่เคยสว่างจนฉาบเม็ดทรายเป็นสีทองกลับไร้แสงจนแทบสิ้น”

 

“ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยบุญยาบารมีแห่งพญายมราช ยามที่ท่านอยู่แห่งหนใดแสงสว่างจะเยือนอยู่ที่นั่น แผ่รัศมีขจรกระจายนับ ๑๐ โยชน์และเมื่อพ้นออกมาเจ้าจักได้เห็นท้องฟ้าอันแท้จริงของนรกภูมิ ทีนี้...เจ้าหายสงสัยหรือยัง...เจ้านาคน้อย”

 

“ที่แห่งนี้ไร้จันทรา ไร้ทินกรด้วยหรือ พระกาฬไชยศรี” นาคินทร์ซักถามต่อ

 

“ใช่ นรกภูมินี้เป็นสถานที่เดียวอันไร้ซึ่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ผู้ที่อาศัยในนรกไม่ว่าจะเป็นพญายมราช เหล่าเทพผู้รับใช้ ยมทูต ตลอดจนวิญญาณจักไม่เคยได้มองเห็นเลย ขณะเดียวกันพระอาทิตย์และพระจันทร์ก็มิอาจมองเห็นสรรพสิ่งใดในนรกได้เช่นกัน” 

 

…‘บุญของข้าช่างน้อยนิด เพียงแค่อยากจะเห็นดวงอาทิตย์ให้หายคิดถึงท่านพี่ยังเป็นไปไม่ได้’…

 

“ไยเจ้าถึงมีใบหน้าเศร้าสร้อยขึ้นมาเล่า ถึงจะไร้แสงสุริยาหรือจันทราส่องมาถึง แต่ใช่ว่าจะอับแสงเสียทีเดียว มากับข้าทางนี้เถิดหนา ข้าจะพาเจ้าไปชมความงดงามที่จะเกิดขึ้นเพียงปีละครั้งในนรกนี้” พระกาฬไชยศรีเอ่ยดวงตาจ้องมองใบหน้าของนาคินทร์…‘ข้าหวังว่าข้าจะมอบรอยยิ้มให้กับเจ้าได้…นาคน้อย’...

 

มนุษย์จินตนาการว่าที่แห่งนี้มีเพียงขุมนรกไว้ลงโทษเหล่าวิญญาณบาป มีผี มีเปรต มีสัมภเวสีร้องโหยหวนชวนขนลุก หากทางใต้ของนรกภูมินั้นกลับไม่ใช่ เรียกได้ว่าคงจะเป็นอาณาเขตที่สวยงามที่สุดในนรกก็ว่าได้อันประกอบด้วยทะเลสาบผืนน้ำสีโลหิตที่กว้างใหญ่แต่ลึกเพียงครึ่งแข้ง มีสะพานไม้ข้ามฝั่งทอดอยู่ตรงกลาง ถูกขนานนามว่า ...ทะเลสาบพลับพลึง...

 

ปกติแล้วทะเลสาบนี้เป็นเพียงแอ่งกระทะกว้างแห้งแล้ง เพียงครั้งเดียวใน ๑ ปีนรกเท่านั้น สายน้ำจากน้ำตกโลหิตจะไหลเข้ามาเติมเต็มให้พื้นที่นี้กลายเป็นทะเลสาบ แลปรากฏดอกไม้งามที่มีเฉพาะพื้นที่นี้หนึ่งเดียวในดินแดนยมโลก ...พลับพลึงสีเลือด...

 

ขบวนของพระกาฬไชยศรีหยุดขบวนพักกลางสะพานไม้ให้นาคินทร์ได้ชื่นชมความงามของบุปผางามกลีบสีแดงชาดที่กำลังเบ่งบานโผล่เหนือผิวน้ำมากมายจนมิอาจนับได้

 

พอได้เห็นทะเลดอกพลับพลึงนาคินทร์ก็อดมีจะตื่นตะลึงมิได้ ไม่คิดว่านรกภูมิจะมีสถานที่แบบนี้ด้วย มองนิ่งพินิจอยู่นานสองนาน 

 

แม้สีสันของกลีบดอกจะแดงฉานดั่งสีเลือด แต่นาคินทร์ก็หมายอยากอยากได้สักก้านสองก้าน เอากลับไปปักแจกันชื่นชมไว้ในห้องหับที่ตนพักอาศัย ร่างกายนั้นไวกว่าความคิดร่างบางนั่งลงกับพื้นไม้ ยื่นมือเอื้อมพร้อมจะเด็ดมาลีตรงหน้า

 

“ห้ามเด็ดดอกพลับพลึงนี้เป็นอันขาด!!!” พระกาฬไชยศรีที่กำลังพูดคุยบริวารพอหันกลับมาก็เห็นนาคินทร์กำลังทำสิ่งที่เป็นอันตรายเสียแล้ว

 

“ขะ…ข้าโทษ” เมื่อโดนดุนาคินทร์ก้มหน้าลงสำนึกผิดในพฤติกรรมที่ไม่ยอมถามหรือขออนุญาตจากพระกาฬไชยศรีเสียก่อน 

 

“ข้าห้ามเจ้ามิใช่เพราะหวงดอกพลับพลึงนี้ นาคินทร์เจ้าจงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังผีเสื้อยมโลกตัวนั้นเสียสิ แล้วเจ้าจะรู้ว่าเหตุใดข้าจึงห้ามเจ้า” ฝ่ายพระกาฬไชยศรีรู้ตัวว่าเผลอใช้เสียงดังกับนาคินทร์จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง นาคินทร์เองทำตามที่อีกฝ่ายบอก ตาจ้องมองผีเสื้อที่บินวนกลีบผกาก่อนจะเข้าไปดูดกลืนรสหวานจากเกสร

 

“อ๊ะ!!!...ผีเสื้อ…เหตุใดผีเสื้อถึงได้…” ไม่ถึงอึดใจผีเสื้อน้อยร่วงตกลงพื้นน้ำ ปีกกว้างค่อยๆกลายเป็นผงกลืนไปกับผิวน้ำ

 

“นี่คือดอกพลับพลึงสีเลือดแห่งความตาย เกสรและส่วนหัวที่ฝังอยู่ในดินนั้นมีพิษร้ายแรง เมื่อทะเลสาบแห้งเหือดมันจะแห้งตามไป และจะเติบโตขึ้นมาอีกครั้งยามสายชลหลั่งไหลเข้ามาในทะเลสาบนี้” พระกาฬไชยศรีเล่าเกี่ยวกับดอกพลับพลึงสีแดงสดให้นาคินทร์ได้ฟัง     

 

“ดอกไม้สวยเช่นนี้ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะมีพิษร้ายแรงจนปลิดชีวิตผีเสื้อได้ในทันที” นาคินทร์ตกใจมิใช่น้อยเมื่อรู้ความจริง โชคดีที่พระกาฬไชยศรีเตือนตนไว้ทันท่วงที

 

“ผีเสื้อพวกนี้อ่อนแอไปต่างหากเล่า หากดวงวิญญาณแตะต้องจะทำให้ปวดแสบปวดร้อนดั่งไฟเผาทั้งยังต้องคำสาปมีบาปติดตัว ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด แม้แต่น้ำในทะเลสาบยังมีพิษปนเปื้อนจนท่านพญายมราชรับสั่งให้เหล่านิรยมบาลสร้างสะพานไม้นี้ขึ้นมาในยามทะเลสาบแห้งเหือด” 

 

“ดอกพลับพลึงนี้น่ากลัวมากจริงๆ” นาคินทร์พึมพำกับตนเองนับว่าโชคดีที่ตนมิได้สัมผัสดอกไม้เพชรฆาตนี้

 

“บุปผาชาติบางชนิดมีอันตราย เช่นกุหลาบที่มีหนามตลอดก้านมิให้ใครได้จับต้อง เจ้าล่ะพอจะรู้จักดอกไม้หรือต้นไม้ประหลาดอันใดบ้าง”พระกาฬไชยศรีเห็นร่างบางท่าทางดูหวาดระแวงจึงได้ชวนพูดคุยให้ผ่อนคลาย

 

“ดอกไม้ ต้นไม้ประหลาดหรือ…ต้นพะยอม ใช่ต้นพะยอมในป่ากันติทัต” นาคินทร์จำได้ไม่มีลืมเลือนดอกพะยอมสีขาวนวลชวนปลุกกำหนัดนี้ เคยทำให้ตนเกือบตกของรพีพงศ์ด้วยความไม่เต็มใจ

 

“ต้นพะยอมพันปีนั่นหรือ ข้าเองเคยได้ยินมาบ้างหากยังไม่เคยพบเจอ เคยได้ยินว่านางฟ้า นางสวรรค์นำดอกมันมาบดเป็นผงทาผิวกาย หรือว่าที่เจ้ารู้จักเพราะเคยนำมันมาใช้” พระกาฬไชยศรีหยอกเหย้านาคินทร์ทั้งที่รู้ว่าร่างบางตรงหน้าไม่จำเป็นต้องใช้ดอกพะยอมก็สามารถเย้ายวนให้ใครต่อใครหลงใหลได้

 

“ข้ามิเคยใช้นะ!!” นาคินทร์รีบปฏิเสธ แต่ในหัวยังคิดถึงตอนรพีพงศ์ต้องฤทธิ์ดอกพะยอมจนเกิดกำหนัดปล้ำจูบตนไม่หยุดหย่อน

 

“แล้วไยแก้มเจ้าถึงขึ้นสีแดงปลั่งเล่า…ข้าว่าเจ้าต้องเคยใช้เป็นแน่” พระกาฬยังคงหยอกไม่หยุด ซึ่งผิดวิสัยที่เคร่งขรึมจนเหล่ายมทูตผู้ติดตามยังแปลกใจ

 

“พระกาฬไชยศรี ขืนท่านยังกล่าวหาข้า ข้าจะโกรธท่านจริงๆ แล้วนะ” ใครได้ยินคงนึกขำที่วิญญาณนาคาตัวกระจ้อยร่อยกำลังขู่ยมทูตผู้สูงศักดิ์อย่างพระกาฬไชยศรี

 

“ข้ามิได้กล่าวหาเจ้าสักหน่อย...เพียงแต่หยอกเย้าเจ้าเล่นก็เท่านั้น...”

“หยอกเล่นอะไรกันแบบนี้เล่า...”  นาคินทร์แสร้งทำฉุนเฉียวทั้งที่ในใจเขินเรื่องที่ผ่านมาในครานั้นจะแย่

“หากเจ้าอยากให้ข้าเลิกหยอกเจ้าล่ะก็...เจ้าช่วยเรียกข้าว่า...ท่านพี่...จะได้หรือไม่” พระกาฬไชยศรีจับบ่าเล็กทั้งสองให้นาคินทร์หันมาหาตนเอง

 

“เหตุใดข้าต้องเรียกท่านว่า...ท่านพี่...ด้วยเล่า” ท่านพี่...คำนี้ นาคินทร์ตั้งคำถามในใจ กลัวเหลือเกินว่ายมทูตหนุ่มจะคิดอะไรเกินเลยกับตน

 

“เจ้าคิดว่าข้าพิศสวาทเจ้าแบบผัวเมียหรืออย่างไร จงอย่ากังวลไปเลย ข้านั้นเพียงเห็นเจ้าแล้วนึกถึงน้องชายของข้าเมื่อครั้นที่ข้ายังเป็นมนุษย์ก็เท่านั้น” คำตอบของพระกาฬไชยศรีทำให้นาคินทร์โล่งใจ กลับรู้สึกเป็นเกียรติที่พระกาฬไชยศรีเอ็นดูตนผู้ต่ำต้อยนัก

 

“ได้สิ…ท่านพี่…” นาคินทร์คิดเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมเอ่ยเรียกพระกาฬไชยศรีตามความประสงค์ 

 

“ให้เจ้าคิดเสียว่า...ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าในที่แห่งนี้เถิด นาคินทร์...” 

 

ความรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยกำลังเกิดขึ้น ด้วยเกิดมาเดียวดายไร้พี่น้องพอมีญาติมิตรแม้จะไม่ได้ร่วมสายเลือดเดียวกันนาคินทร์ก็ดีใจแล้ว อย่างน้อยการที่มาอยู่ในดินแดนที่ไม่สามารถหวนกลับเช่นนี้ก็ไม่หัวเดียวกระเทียมลีบ

 

ใช่เพียงนาคินทร์แต่นาคินทร์ พระกาฬไชยศรีเองดีใจไม่ต่างกันหากเก็บความดีใจนั้นต้องแอบซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าดุดัน

 

“นาคินทร์น้องข้า เจ้าอยากจะเห็นต้นน้ำของทะเลสาบนี้หรือไม่” พระกาฬไชยศรีถามผู้เป็นน้องคนใหม่

 

“อยากสิ…ข้าอยากเห็นยิ่งนัก ท่านพี่ช่วยนำทางด้วยเถิดหนา ข้าอยากรู้ว่าที่ต้นน้ำนั้นเป็นเช่นไร” นาคินทร์ยิ้มบาง ดวงตาเปล่งประกายความสุขเมื่อได้เจอสิ่งแปลกใหม่ที่ตนไม่เคยพบเห็น

 

“เป็นเช่นนั้นพวกเราเดินทางข้ามสะพานไม้นี้ไปอีกฝั่งเถิด”

 

พระกาฬไชยศรีและนาคินทร์ใช้เวลาไม่นานก็ข้ามไปยังอีกฝั่งของทะเลสาบ หากยังไม่ใช่ที่หมายเพราะยังต้องเดินผ่านกลาง ...ทุ่งแห่งความสิ้นหวัง...ทุ่งหญ้ากว้างที่ไร้หญ้าสีเขียวขจีแต่กลับเป็นสีเทาอ่อน มองดูแล้วน่าเศร้าไร้ซึ่งความหวังใดๆ 

 

เมื่อพ้นทุ่งหญ้าสีเทาก็เข้าเขตป่าเสี่ยงทาย ต้นไม้ในป่าแห่งนี้จะมีใบไม้ที่เป็นสีทองแดงล้วน ทั้งยังร่วงโรยอยู่ตลอดวันตลอดคืนจนปิดบังโคนไม้ พอก้มเก็บขึ้นมามันจะเปลี่ยนสีเป็นสีต่างๆ ทำนายทายทักเรื่องในใจผู้ต้องสัมผัส

 

“ท่านพี่…ใบไม้ของข้าเป็นสีชมพู”

 

“สีชมพูหรือ…แสดงว่าใจของเจ้ายังคิดถึงห่วงใยคนรักของเจ้าอยู่” พระกาฬไชยศรีบอกคำทำนายซึ่งแม่นยำราวกับว่ามานั่งอยู่ในดวงใจนาคินทร์ 

 

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็เงียบลงเพราะตลอดเวลามานี้นาคินทร์นึกเป็นห่วงกลัวรพีพงศ์จะสิ้นหวังจนทำร้ายตัวเอง สำหรับนาคินทร์แล้วภาพที่รพีพงศ์หลั่งน้ำตาให้ตนยังคงเด่นชัดอยู่เสมอ

 

“บ่อยครั้งที่ดวงวิญญาณที่หลงเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้จะหยิบใบไม้แล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพู ผู้วายชนม์แล้วล้วนมีห่วงผู้ยังมีลมหายใจ ยิ่งผู้เป็นที่รักก็ยิ่งเป็นห่วง วิญญาณบางดวงหยิบใบไม้ขึ้นมาแล้วเปลี่ยนสีน้ำเงินอันหมายถึงยังคงมีห่วงเรื่องชาติ บ้านเมือง บ้างเปลี่ยนเป็นสีเขียวแสดงถึงว่ายังห่วงครอบครัว แต่น้อยนักที่หยิบแล้วใบไม้จะไม่เปลี่ยนสี นั่นคือ…ไม่มีการอันใดให้ต้องห่วงอีกต่อไป” พระกาฬไชยศรีกล่าวต่อแล้วโอบบ่าร่างบางไปข้างหน้าเพื่อเดินทางต่อ ส่วนนาคินทร์นั้นก็เก็บใบไม้เปลี่ยนสีชมพูไว้กับตัว

 

‘ซ่า…ซ่า…’

 

วารีจากบนภูเขาสูงไหลลงจากหน้าผาตกกระทบชั้นศิลาเล็กใหญ่ที่เรียงตัวกันดังมาแต่ไกล สายน้ำไหลรวมกันก็กลายเป็นแอ่งฐานน้ำตกขนาดใหญ่ ไหลไปตามลำธารที่แยกออกไปสู่สถานที่ต่างๆ ในนรกภูมิ เช่น ทะเลสาบพลับพลึงที่พระกาฬไชยศรีได้พานาคินทร์ไปชมดอกพลับพลึงสีเลือด

 

น้ำตกแต่ละแห่งนั้นมีความงดงามที่เป็นเอกลักษณ์ นาคินทร์พิจารณารอบบริเวณแอ่งน้ำด้านล่างปกคลุมด้วยพืชคลุมดินเขียวขจีไม่ต่างจากน้ำตกในโลกมนุษย์หรือป่าหิมพานต์ ทว่าสายชลที่เห็นกลับเป็นสีแดงฉานไม่ต่างจากโลหิต

หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.04 (31/03/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 31-03-2018 19:51:22
(ต่อ)



 

“ที่นี่คือน้ำตกโลหิต ข้าคงไม่ต้องอธิบายเจ้าดอกนะว่าเหตุใดจึงมีชื่อนี้” พระกาฬไชยศรีเอ่ย ร่างสูงเยื้องย่างไปข้างหน้าแล้วย่อตัวลงนั่ง มือนั้นสัมผัสกับผิวน้ำก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

“ท่านพี่เป็นอันใดหรือ” นาคินทร์เดินไปนั่งใกล้ๆสงสัยว่าเหตุใดพระกาฬไชยศรีจึงดูกลัดกลุ้มใจเช่นนี้

 

“น้ำสีแดงที่เจ้าเห็นนี้บ่งบอกถึงความบาปจากการกระทำของวิญญาณเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ นับวันสีของมันยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆจนข้าหวั่นใจว่า…โลกีจะไร้ซึ่งคนดี” 

 

“ท่านพี่อย่าได้กังวลใจไปเลย ไม่แน่พอครบขวบปีสีแดงที่เราเห็นอาจจางลงได้” นาคินทร์เอ่ยให้กำลังใจ

 

“นั่นสิ…ข้าไม่น่ากังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเลย อีกอย่างทั้งที่พาเจ้ามาเที่ยวกลับกลายเป็นให้เจ้ามาปลอบข้า” พระกาฬไชยศรีระบายยิ้มออกมาก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบเกศาสีปีกกาของนาคินทร์ การกระทำของพี่ชายนอกสายเลือดทำให้นาคินทร์รู้สึกประหลาดมิใช่น้อย     

 

“จริงสิ...ข้ามีบางเรื่องสงสัยอยากจะถามท่านพี่ได้หรือไม่...” นาคินทร์ฉุดคิดเรื่องที่เหตุใดทำไมวิญญาณของตนกลับมาอยู่ที่วิมานของพญายมราช ไม่ถูกตัดสินโทษทัณฑ์ตามแต่กรรมที่เคยกระทำไว้...

 

“หากเรื่องใดที่ข้าพอจะตอบได้ข้าก็จะตอบเจ้า...”

 

“ข้าเพียงอยากรู้ว่าทำไมดวงวิญญาณของข้าถึงไม่ได้รับการตัดสินเสียที แต่กลับมาอยู่เสียในวิมานของท่านพญายมราชได้...”

 

“เรื่องนี้ตัวข้าเองก็มิรู้แน่ชัด...หากจะให้ข้าเดา ท่านพญายมราชคงหมายให้เจ้าได้เป็นหนึ่งในยมทูตสำคัญของนรกเป็นแน่...”

 

“ข้าน่ะหรือ...จะเป็นไปได้อย่างไรกัน...ข้ายังไม่ประสานัก...แล้วจะเป็นได้อย่างไร...ในเมื่อ...” นาคินทร์ประหลาดใจ รู้ตนเองดีว่าตนหาได้เก่งกาจไม่ คาถามนตราที่มีล้วนใช้เอาตัวรอดไปวันๆหาได้นำไปใช้สู้รบปรบมือกับผู้ใดได้ไม่

 

“จะพูดมากไปใยน้องพี่...ไม่โดนตัดสินโทษก็ดีหนักหนา โอกาสเช่นนี้เกิดขึ้นกับดวงวิญญาณที่ลงมาในนรกนี้ไม่มากนัก...ข้าเองตอนที่ตายก็มิได้รับการตัดสินโทษเช่นกัน ท่านพญายมราชคงแลเห็นแล้วว่าข้าเหมาะที่จะเป็นยมทูตกระมัง เลยไม่ส่งข้าไปตัดสินโทษ” พระกาฬไชยศรีเอ่ยแทรกขึ้นมา นาคินทร์ได้ฟังจึงเข้าใจว่าตนคงมิต่างจากพระกาฬไชยศรีผู้เป็นพี่

 

“แต่ข้า...” ถึงกระนั้นนาคินทร์ก็อดกังวลและมีเรื่องจะโต้แย้งอยู่ดี

 

“แต่อะไรหรือ...อีกอย่างเจ้าก็ยังไม่ได้เป็นวันนี้พรุ่งนี้สักหน่อย...เจ้าก็ต้องเข้าฝึกตนให้เป็นยมฑูตผู้เพรียบพร้อมให้ได้เสียก่อน...” พระกาฬไชยศรีเหมือนจะอ่านใจนาคาผู้ที่ตนรับมาเป็นน้องได้ จึงได้ไขข้องสงสัยให้คลายกังวล

 

“เข้าฝึกตนเป็นยมทูต...เช่นเดียวกับมนุษย์ที่จักต้องไปศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนใช่หรือไม่”

 

“เป็นเช่นนั้น...หากแต่เมื่อเจ้าอยู่จนครบวาระ เจ้าก็มีโอกาสไปเกิดในภพภูมิใหม่ที่ไม่ใช่ในนรกภูมิแห่งนี้...” พระกาฬไชยศรีอธิบายต่อดั่งอาจารย์ให้ความรู้แก่ศิษย์

 

“จริงหรือ....” แววตาของนาคินทร์ที่มิเคยฉายออกมาตั้งแต่เหยียบลงมาในดินแดนไร้ลมหายใจนี้ บัดนี้ดวงตามิต่างจากดวงดาวบนท้องนภาที่กำลังส่องประกาย

 

“ข้ามิปดเจ้าดอกน้องพี่....แต่โอกาสเช่นนั้น อาจจะยาวนานสักหน่อย...ทำใจเถิดหนา นรกแห่งนี้เป็นบ้านหลังใหม่ของเจ้าแล้ว...”     

 

นาคินทร์จุกอกไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่ออีก ด้วยความหวังที่จะมีโอกาสได้พบเจอกับรพีพงศ์นั้นเล็กเสียกว่าเมล็ดงา พลางแต่ถอนหายใจยาวๆ แล้วยิ้มบางในพระกาฬไชยศรี

 

“เอาล่ะน้องพี่ เชิญเจ้าชื่นชมความงามของน้ำตกสีเลือดเถิด หากจะลงเล่นน้ำก็ย่อมได้เพราะน้ำที่นี่มิได้มีพิษเฉกเช่นในทะเลสาบ” พระกาฬไชยศรีเอ่ยแล้วเดินไปอีกทาง เพราะรับรู้ได้ว่านาคินทร์เหมือนมีเรื่องอะไรในใจคิดเพียงลำพัง 

 

เมื่ออยู่ตามลำพังนาคน้อยได้เดินไปที่โขดหินใหญ่และนั่งลงมองน้ำตกที่ไหลตกกระทบหิน ดวงตาโศกมองย้อนขึ้นไปพบว่าม่านน้ำนั้นปิดซ่อนถ้ำเอาไว้เป็นเหตุให้นาคินทร์นึกถึงเหตุการณ์ในถ้ำม่านน้ำตกแห่งกันติทัตไพรี

 

…‘นาคินทร์ทุกอย่างที่เคยเป็นของเจ้า…จักกลายเป็นของข้านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป’…

 

นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงเพลานี้ แม้จะร่างกายจะดับสูญแต่ความรักและดวงใจของนาคินทร์ยังคงเป็นของรพีพงศ์เสมอ พักตรางามแต่งแต้มด้วยน้ำตาที่พร้อมจะเอ่อล้นออกมายามคิดถึงบุรุษเทพผู้เป็นที่รัก คิดถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนที่ตระกองกอดเวลาหลับ คิดถึงรสจูบแสนหวานที่คอยมอบให้กันและกัน คิดถึงกายสองที่แนบชิดไม่เคยห่างจนรับรู้ถึงลมหายใจ คิดถึง…คิดถึงเหลือ

 

…ข้าคิดถึงท่านพี่…คิดถึงท่านพี่รพีพงศ์…

 

นาคินทร์กลั้นกลืนสะอื้นไห้ สูดลมหายใจเข้าลึก ...เพียงในใจคิด หากรพีพงศ์ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตนจะไม่ลังเลที่จะวิ่งปรี่เข้าไปกอดในทันที

 

“นาคินทร์…” เสียงทุ้มหนึ่งเรียก...

 

“ท่านพี่รพีพงศ์” นาคินทร์ผันหน้าไปตามเสียงเรียก ก่อนจะคลี่ยิ้มด้วยความดีใจและวิ่งถลาจนแทบจะล้มคะมำ…‘ข้าฝันไปใช่หรือไม่จึงได้พบได้เจอท่านพี่อีกครั้ง”...

 

“คิดถึง…คิดถึงเหลือเกิน” นาคินทร์กอดร่างสูงเอาไว้แน่น ทว่ากลับถูกดันกายให้ออกห่าง

 

“นาคน้อย…ข้าเพิ่งจะไปพูดคุยกับยมทูตผู้ติดตามเมื่อครู่ เจ้าก็คิดถึงข้าแล้วหรือ” นาคินทร์เงยหน้ามองพบว่าหาใช่รพีพงศ์คนรักไม่ กลับเป็นพระกาฬไชยศรีที่กำลังใช้นิ้วมือบีบปลายจมูกตนเบาๆ

 

“คือข้า…ต้องขออภัยท่านพี่ด้วยที่เสียมารยาท…”

 

“มิต้องขออภัยอะไรหรอก เจ้าเป็นน้องข้านะ ข้าจะถือสาหาเอาความกับเรื่องเพียงเท่านี้ไปทำไมกัน ข้าเข้าใจดีว่าเจ้านั้นยังคงคิดถึงคนรักของเจ้ามากมายเท่าใด…นาคินทร์น้องพี่…”

 

ขณะที่พระกาฬไชยศรีและนาคินทร์กำลังพูดคุยแลชื่นชมความงามของชลธีสีชาดนั้น หารู้ไม่ว่ากำลังมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องทั้งสองอยู่ อีกด้านของโขดหินใหญ่กลางน้ำตกสีโลหิตนี้  ท่ามกลางยมบาลที่คอยยืนเฝ้าอยู่โดยรอบแต่ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าของเจ้าดวงตาคู่นี้ซ่อนกายอยู่ใกล้เพียงไม่กี่คืบ   

 

ภาพสะท้อนในดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชัง แม้มันวิ่งพล่านปลุกปั่นอารมณ์ให้โกรธาเพียงใด ทว่ารอยยิ้มกลับปรากฏอยู่บนใบหน้าเจ้าของดวงตาคู่นี้อยู่ดี

   

…‘นับว่าเป็นโชคดีของข้าเสียจริงๆ ไม่นึกเลยว่าข้าได้พบเจอกับเจ้าอีกครั้ง ในเวลาอันรวดเร็วขนาดนั้น…ในที่สุดสิ่งที่ข้าตั้งอษิฐานก็สัมฤทธิ์ผลมาครึ่งหนึ่งแล้ว ข้าขอสาบานไว้ ณ ตรงนี้เลยว่าข้าจะเอาเลือดทั้งกายของเจ้าและรพีพงศ์ มาล้างเท้าข้าให้จงได้!!! แม้จะเจ้าจะตายไปแล้วข้าก็จะทำลายล้างดวงวิญญาณของเจ้าไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอีก  พวกเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นข้า...นาคินทร์ !!!’…

























................................................................................

คิดถึงฉันไหม...เวลาที่เธอไม่เจอะเจอกันกับฉัน

 อิอิ คิดถึงหนูคินทร์ไหม ตอนนี้ขอยกให้หนูคินทร์ทั้งตอน ไม่สิ มีพระกาฬไชยศรีด้วย

#พี่ชายแสนดี รวมถึงท้ายเรื่องมีตัวอะไรโผล่มา

ท่านยุ่งหายไปเนื่องจากดังแล้วหยิ่ง

ล้อเล่นค่ะ ยุ่งมีงานประจำที่ต้องทำและยุ่งกับสาปรักทัณฑ์เทวาด้วยเลยไม่ค่อยอัพเดทหนูคินทร์ ต้องขอโทษด้วยค่ะ

อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะคะ ท่านยุ่งแต่งจบแน่ขอเวลาแล้วจะกลับมาอัพดังเดิม



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเม้นมาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.04 (31/03/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 31-03-2018 20:51:17
รพีพงศ์ตามมาถึงไหนแล้วนี่  มีคนคิดร้ายอยู่ใกล้ตัวนาคินทร์ด้วย  ระวังตัวด้วยนะ

รออยู่นะคะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.04 (31/03/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 01-04-2018 01:55:06
เดี๋ยวๆอิตาลุงกานธีชื่ออะไรนะลืม..ยังจะตามมาอีกหรือนี่ทำผิดยังไม่สำนึกอีกเรียนท่านพญายมราชปกป้องน้องทีเจ้าค่ะอิฉันไม่อยากอกแตกตายนะเจ้าคะ  :angry2:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.04 (31/03/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 16-04-2018 11:37:03
สนุกดีค่ะ ตามมาจากเรื่องก่อน แต่รู้สึกคู่นี้น่าสนใจกว่า
ขอชมคนเขียนนะ ข้อมูลแน่ดี ตอนเขียนนี่ต้องมีแผนที่3โลก กับแฟมมิลี่ทรี(ใครพวกใคร ใครแพ้ทางใคร)ของสมาชิกเทพต่างๆ แน่ๆ ข้อมูลแน่นเชียว
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.04 มีเรื่องแจ้งค่า (20/07/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-07-2018 14:51:54
ประกาศ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.04 มีเรื่องแจ้งค่า (20/07/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-07-2018 18:15:09
ประกาศ #ลิขิตรักเพลิงเทวา

เนื่องจากรุ่นพี่ที่ช่วยตรวจได้เดินทางไปต่างประเทศ และจะกลับมาในเดือนสิงหาคม ทำให้การอัพนิยายเรื่องนี้ล่าช้าไปด้วย (อันที่จริงยุ่งเขียนไปหลายตอนแล้วแต่รอตรวจค่ะ)
ระหว่างรอผู้อ่านที่น่ารักทุกคนสามารถติดตามนิยายเรื่อง #จ้าวสิงคาล ของท่านยุ่งได้ค่ะ #โปรโมตอย่างเปิดเผย

เรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน
Tan-Yung 0209
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา ตอนพิเศษ (09/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 09-09-2018 23:08:42


กาลครั้งหนึ่งของจันทรัช

Author : Tan-Yung 0209

File : 01





…“ข้าได้ยินว่าเป็นเด็กเลี้ยงช้างในป่าหิมพานต์ เหตุใดจึงได้มาร่วมอยู่กับเทพาและเทพี ณ วิมานของเทพีณิชาได้”…

…“นี่นะหรือลูกชู้…ฉัตราภรณ์ เจ้าอย่าไปเล่นกับเด็กแสนน่าขยะแขยงผู้นี้เป็นอันขาด”…

เสียงซุบซิบนินทาดังแว่วเข้าหูของเทวาตัวน้อยตลอดทุกย่างก้าวที่ตนได้เดินเข้ามาในอาณาบริเวณแห่งวิมานสีงาช้าง เด็กชายผู้เติบโตมาในหิมพานต์ไพรีทำได้เพียงแสร้งไม่ได้ยิน เก็บสิ่งสงสัยข้องใจไว้ในอุรา ดวงตาสวยดั่งมฤคาก้มมองผืนหญ้าเขียวชอุ่มเพราะมิอยากมองเห็นสายตาหยามเหยียดของเทพยดาทั้งหลายที่มองมายังตนอย่างหยามเหยียด ซ้ำยังพยายามยัดเยียดความคิดอคติแก่บุตราและบุตรีทั้งหลายอีกด้วย

“จันทรัช…มาแล้วหรือ เหตุไฉนมาเพียงลำพังเล่า ข้าคิดว่าทหารของพระพฤหัสจักพาเจ้ามาส่งถึงมือข้าเสียอีก” เทวีงามนามณิชา ผู้เป็นเจ้าของวิมานแห่งนี้ได้เอื้อนเอ่ยถามผู้ที่ตนกำลังรอคอย น้ำเสียงก้องกังวาลใสราวน้ำทิพย์ทำให้จันทรัชที่ก้มหน้าก้มตา ได้เงยหน้าขึ้นมามอง

“ข้าขอทำความเคารพแด่ท่าน ท่านคือเทพีณิชาสินะขอรับ” จันทรัชพรมมือขึ้นกลางอุรา ศีรษะค้อมลงก้มไหว้ทำความเคารพแด่ผู้อวุโสกว่า กิริยาแสนอ่อนน้อมแสดงออกว่าได้รับการสั่งสอนเป็นอย่างดีทำให้เทพีณิชาอดนึกเอ็นดูมิได้

“ใช่ข้าคือเทพีณิชา เอาล่ะเจ้าตอบคำถามของข้าได้แล้วว่าเหตุใดจึงเดินเข้ามาในวิมานของข้าเพียงลำพัง”

“ข้ามิอยากรบกวนเหล่าทหารไปมากกว่านี้ เพียงแค่ไปรับข้าจากป่าหิมพานต์มายังวิมานของท่าน ตัวข้านั้นก็รู้สึกเกรงใจ อยากให้พวกเขาได้พักผ่อนมากกว่า” จันทรัชตอบตามความคิด ตอนที่ตนเห็นใบหน้าอิดโรยก็รู้สึกสงสารไปตามประสาเด็ก จึงคิดที่จะลดภาระให้กับทหารของพ่อบุญธรรมของตน

“เจ้ามิเกรงกลัวอันตรายดอกหรือ” เทพีณิชาแสร้งถามดู แววตาเป็นประกายเมื่อครู่ได้มีหมอกแห่งความหม่นหมองอีกครั้ง จันทรัชเม้มริมฝีปากสีสดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป

“แรกเริ่มข้าหาได้กลัวสิ่งใดเพราะแลเห็นว่าที่แห่งนี้คือสวรรค์ คงมิมีสิ่งใดเป็นอันตรายกับข้าได้ ทว่าข้ากลับคิดผิด…สิ่งอันตรายกลับมิใช่อาวุธแต่เป็นคำพูดและการแสดงออกให้ตัวข้ารู้สึกเจ็บปวด” ประโยคร้อยเรียงด้วยความเศร้า ความหว่าเหว่ของเทวาตัวเล็กที่ถูกพรากจากอกคชสารมายังถิ่นฐานที่ควรอยู่ ณิชาเทวีได้สดับฟังนึกสงสาร นางพอจะรู้ว่าจันทรัชได้ยินเกี่ยวกับชาติกำเนิดที่ถูกผนึกเอาไว้และรอวันเปิดเผยในเพลาที่เหมาะสม

“สิ่งใดที่เจ้าได้ยินมาจงอย่าได้ใส่ใจเลยจันทรัชเอ๋ย…จงคิดเสียว่าพวกเขาทำได้เพียงติฉินนินทาและแสดงกิริยาไม่งามใส่เจ้าเท่านั้น มิอาจมาต่อกรทำอันใดเจ้าได้ไปมากกว่านี้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้กลัวเกรงอีกเลย เงยหน้าของเจ้าชื่นชมความงามของวิมานที่ปรากฎให้เจ้าได้แลเห็นเสียดีกว่า” เทพีสาวเอ่ย พร้อมหัตถาลูบผมสีไม้มะเดื่อแผ่วเบา จันทรัชนำถ้อยคำของเทวีมาคิดแล้วจึงพยักหน้าเพื่อแสดงออกถึงความเข้าใจในคำสอนเมื่อครู่

“ดารุณี” หลังจากกล่าวสอนจันทรัชเป็นที่เรียบร้อย เทพีณิชาจึงเรียกบุตรีมาหาตน

“ท่านแม่มีอันใดให้ข้ารับใช้หรือ”

“ข้าจะให้จันทรัชอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้า ให้เขาได้รวมกลุ่มกับเทพตนอื่น หากมีอันใดขาดเหลือก็มาบอกข้าได้” เทพีณิชาเอ่ย ดารุณีเองมองไปยังเจ้าของนามอันไพเราะก่อนจะส่งยิ้มให้ นางรู้สึกถูกชะตากับเทวาตัวน้อยเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับจันทรัชพอได้สบตาดารุณีก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นมิต่างจากแม่คชสารของตนเลย

“มากับข้าเถิดจันทรัช มากับข้า…” มืองามยื่นออกไปตรงพักตราของจันทรัช มือป้อมก็คว้าจับไว้มิลังเล จากนั้นจึงถูกอีกฝ่ายจูงออกไปยังลานกว้าง เทพีณิชาแลเห็นว่าจันทรัชคลายกังวลและดารุณีเองให้ความเอ็นดู ตนก็รู้สึกโล่งใจมิต่างจากยกภูเขาออกจากอก

… ‘เมื่อก่อนข้าเคยคิดสงสัยว่าเหตุใดท่านจึงมิยอมสังหารบุตรแห่งจันทราเทพ ผู้เป็นดั่งลูกชู้ของพระนางดารา อีกทั้งยังคอยชุบเลี้ยงให้เติบใหญ่ หากเพลานี้ข้อสงสัยได้มลายหายไปจนสิ้น จันทรัช…งามทั้งรูป งามทั้งใจเช่นนี้แล้ว ใครเล่าจักใจร้ายได้ลงคอ’…

-*-*-*-*-*-*-

“ผู้ใดบอกกับข้าได้บ้างว่าเรื่องไก่ได้พลอยที่ข้าเพิ่งจะเล่าให้พวกเจ้าฟังเมื่อครู่ให้ข้อคิดอันใดบ้าง” ดารุณีเอ่ยถามหลังจากเล่านิทานของชาวโลกาเสร็จสิ้น ให้กับกลุ่มเทพตัวเล็กได้ฟัง แต่ละคนนั่งฉุกคิดนิ่งเงียบ บ้างก็หันซ้าย หันขวามองมิตรสหาย จนกระทั่งมีแขนเล็กสวมกำไลทองฝังพลอยสีน้ำทะเลได้ยกขึ้นมา

“กนธี ไหนเจ้าลองตอบข้าว่าตัวเจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร” ดารุณีเอ่ยถามกนธีผู้เป็นบุตรคนรองแห่งพระสมุทรเทวา

“สิ่งไร้ค่าสำหรับเรา อาจจะเป็นสิ่งมีค่าสำหรับผู้อื่น ไก่ตัวนี้เมื่อได้พลอยกลับไม่แยแสเพราะมันมีค่าน้อยกว่าข้าวเปลือก ซึ่งผิดกับมนุษย์ที่แลเห็นอัญมณีมีค่ากว่าข้าวเปลือก” กนธีตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน เหล่าสหายต่างมองอย่างชื่นชม

“มีใครเห็นด้วยบ้าง” ดารุณีเอ่ยถาม ทุกคนต่างยกมือขึ้นมาเป็นคำตอบ กนธียิ้มออกมาอย่างพอใจ

“ท่านดารุณี…” ทว่ามีเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา ทุกคนต่างหันไปมองเจ้าของเสียงก็พบว่าเป็นผู้มาใหม่

“ว่าอย่างไร…จันทรัชหรือเจ้ามิเห็นด้วย” ดารุณีเอ่ยถาม จากที่ฟังคำตอบจากกนธีนับว่าตอบได้ดีทีเดียวด้วยวัยเพียงเท่านี้

“จากที่ท่านกนธีตอบมา ตัวข้านั้นเห็นด้วยเหตุที่ข้าเอื้อนเอ่ยเรียกท่านนั้น ข้าเพียงจะบอกความคิดเห็นของข้าอันแตกต่างจากท่านกนธี” จันทรัชเอ่ยสร้างความสนใจให้กับเทพตนอื่นรวมถึงกนธีที่มองอยู่ตาจ้องไม่กระพริบ ริมฝีปากยกยิ้มคล้ายดูแคลน

…‘ข้าขอฟังความคิดของเด็กป่าเช่นเจ้าเสียหน่อยจันทรัชว่าจะดีเลิศสักเพียงไหน ถึงได้บังอาจมาแจงเหตุผลอื่น’…

คราใดที่กนธีตอบ มักจะไม่มีผู้ใดแสดงความคิดเห็นอีก ไม่ว่ากนธีจักทำสิ่งใดทุกคนล้วนคล้อยตามเอียนเอนด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้กนธีได้ใจอวดดีอยู่เนืองๆ หากครานี้มีจันทรัชผู้มิรู้เรื่องรู้ราวได้ถือดีอวดรู้ในสายตากนธี

“ผู้ที่รู้ในสิ่งที่ตนต้องการ รู้ในสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพย่อมเป็นเรื่องดี หากไม่รู้ตนเองแล้วไซร้ย่อมมิเป็นการดี ถ้าเรามองในทางกลับกัน หากไก่ตัวนี้เห็นพลอยมีค่า หลงใหลในความสวยแต่ไร้ความจำเป็น มันคงจะไม่รู้จักอิ่มปาก อิ่มท้องเป็นแน่” จันทรัชตอบตามความคิดเห็นของตน

“ผู้ใดเห็นชอบกับสิ่งที่จันทรัชเอ่ยออกมาเมื่อครู่หรือไม่” ดารุณีถาม เหล่าเทวาต่างมองซ้ายมองขวา มืออยากจะยกขึ้นมา ทว่าเจอสายตากดดันของกนธีก็มิอยากจะทำตัวมีปัญหาเป็นศัตรูกับกนธี จันทรัชเองมองสถานการณ์ก็พอจะคาดเดาได้ รวมทั้งสายตาชิงชังจากนธีที่พุ่งตรงไม่ต่างจากหอกแก้วปักกลางร่าง จันทรัชรู้ตนเองว่าได้สร้างความไม่พอใจต่ออีกฝ่ายเสียแล้ว ไม่ใช่แค่จันทรัช นางอัปสรดารุณีเองก็มองออกทะลุปรุโปร่ง ผู้หนึ่งชอบเอาชนะ ผู้หนึ่งเถรตรงไม่ยอมใคร เห็นทีว่าถ้าไม่ทำอันใดสักอย่างคงมิเป็นการดี

“เอาล่ะ อีกไม่นานพวกเจ้าจักต้องกลับวิมานของตนเองแล้ว ข้าจักให้พวกเจ้าได้วิ่งเล่นก่อนกลับไป พวกเจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร”

“เย้!!!!” เสียงโห่ร้องคือคำตอบได้ดี ดารุณีจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณอนุญาต เทวาตัวเล็กตัวน้อยต่างวิ่งวุ่นดุจผึ้งแตกรัง เว้นแต่จันทรัชที่ไม่ไปไหน

“เจ้าไม่ลองไปวิ่งเล่นกับผู้อื่นดูเล่าจันทรัช จักได้สนิทกันไว้” ดารุณีเดินเข้าหาจันทรัชที่ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่บนผืนหญ้า

“ข้ามิบังอาจไปเล่นกับทวยเทพเหล่านี้ดอกขอรับ” จันทรัชถ่อมตัว ด้วยตนเป็นบุตรของนางช้างที่พระพฤหัสคอยชุบเลี้ยงรับเป็นบุตรบุญธรรมเพียงเท่านั้น

“อย่าคิดเช่นนั้นเลย เจ้าเองมิได้ด้อยไปกว่าใคร” ดารุณีเอ่ยอย่างมีความนัย จริงอยู่ที่ชาติกำเนิดของจันทรัชยังคงเป็นความลับไปจนกว่าพระจันทร์จักพ้นโทษตามเทวบัญชาของพระผู้สร้าง

“จันทรัชมากับข้าสิ” กนธีเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า สร้างความประหลาดใจให้กับจันทรัชเป็นอย่างมาก

“ไปกับท่านกระนั้นหรือ” จันทรัชทวนถามอีกครั้ง

“ใช่…ไปกับข้า ข้าจะชวนเจ้าไปเล่นสนุกด้วยกัน” กนธีแสดงท่าทางเป็นมิตร ผิดกับก่อนหน้านี้ลิบลับ จันทรัชหันมองไปยังดารุณีประหนึ่งว่าขอความเห็นก็ไปรับรอยยิ้มส่งกลับมา

“ขอบน้ำใจท่านมากที่ไม่รังเกียจข้า ชวนข้าให้เล่นกับท่าน” จันทรัชยิ้มให้ในใจคิดว่าตนคงคิดมากไปดั่งดารุณีบอก บางทีกนธีอาจจะมิได้เลวร้ายอันใดเป็นสหายที่ดีของตนก็เป็นได้

กนธีเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน แล้วจึงคว้าแขนฉุดกายของจันทรัชให้ลุกขึ้นมา ทว่าหาได้มีใครรู้ไม่ว่ารอยยิ้มของกนธีมิใช่รอยยิ้มมิตรภาพแต่เป็นรอยยิ้มของผู้ที่กำลังจะได้รับชัยชนะที่เกิดจากความสะใจ

…‘หลังจากนี้ไป เจ้าจักได้พบเจอความสนุกจนมิอาจลืมเลือนได้อีก…จันทรัช’…





..............50%.......

จันทรัช = พระพุธ

กนธี = ป๋ากนธีของท่านยุ่ง

ใช่ค่ะเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นอนุบาล

#ภาษาฝืดๆไปบ้างเนื่องจากหยุดเขียนไปพักใหญ่ ขอแก้ไขใน 50% หลัง
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา ตอนพิเศษ (09/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 09-09-2018 23:51:35
อิตาลุงนี่คือพลังด้านลบที่แท้ทรู 
ต้องเอาอิลุงมาฟาดให้หน้าแหกสัก 10 ล้านรอบ  :beat:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา ตอนพิเศษ (09/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 11-09-2018 04:01:31

ป๋ากนจะทำอะไรน้องจันท!?    :o
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา ตอนพิเศษ (09/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 11-09-2018 15:15:00
อิตาลุงนี่คือพลังด้านลบที่แท้ทรู 
ต้องเอาอิลุงมาฟาดให้หน้าแหกสัก 10 ล้านรอบ  :beat:


ร้ายยังไงท่านยุ่งก็รักนะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา ตอนพิเศษ (16/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-09-2018 23:04:52


“ท่านจักพาข้าไป ณ ที่ใดหรือ…ท่านกนธี” จันทรัชเอ่ยถามผู้ซึ่งกึ่งจูงกึ่งลากให้เดินตามหลัง ดวงตากลมโตเหลียวแลไปรอบข้างก็เห็นว่าตนและกนธีเดินออกห่างจากวิมานออกไปทุกที

“ข้าจักพาเจ้าไปเล่นซ่อนแอบกับข้า” กนธีตอบสั้นๆ ใจนั้นจดจ่อให้ทุกสิ่งไปตามแผนการ

“หยุดก่อนท่านกนธี เพียงเล่นซ่อนแอบใยจึงพาข้าออกมาจากวิมาน อีกประเดี๋ยวคนของท่านก็จักมารับท่านกลับมิใช่หรือ ข้าว่าเราเล่นกันที่วิมานน่าจะดีกว่า”

“เจ้าพูดออกมาเยี่ยงนี้ เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือไร ทั้งที่ข้าอุตส่าห์เห็นว่าเจ้าเป็นเด็กใหม่ มิเคยมาเที่ยวเล่นบนสวรรค์จึงได้พาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นนอกวิมานของเทพีณิชา” กนธีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ จุดประสงค์หาใช่ว่าจะพาจันทรัชมาเที่ยวสนุกแต่พามาเป็นเครื่องมือสร้างความสนุกต่างหากเล่า

“ข้าไว้ใจท่าน…ท่านอย่าได้เศร้าใจไปเพียงเพราะคำพูดของข้าเลย ท่านกนธีข้าขอบน้ำใจท่านมากที่พาคนในป่าเยี่ยงข้าเที่ยวชมสวรรค์” จันทรัชรีบพูดแย้งกลัวว่าบุตรคนรองของเจ้าสมุทรจักรู้สึกไม่ดีขึ้นมาได้เพียงเพราะคำถามของตน

“เช่นนั้นเจ้าจงเงียบปากเสียแล้วยืนนิ่งๆ” จากที่ให้เดินตาม กนธีกลับสั่งให้จันทรัชหยุดเดิน จันทรัชเองก็ทำตามไม่คิดสงสัย โดยหารู้ไม่ว่าความอยากรู้อยากเห็นที่จะได้เที่ยวชมแดนสรวงกำลังจะนำภัยมาถึงตน

ฝ่ามือเล็กของกนธียกขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะร่ายมนต์ผ่านวาโยก่อให้เกิดฟองอากาศสีฟ้าหมุนวนและขยายใหญ่ที่ละนิด…ทีละนิด กนธีมองฟองอากาศในมือ ริมฝีปากกระตุกยิ้มจากนั้นจึงเป่าฟองอากาศนี้ให้ลอยไปทางจันทรัช

‘ฟึบ’ ฟองอากาศห่อหุ้มกายของจันทรัชเอาไว้ จันทราบุตรตกใจพยายามใช้กำปั้นทุบตี หากมันกับไม่แตกและยิ่งไปกว่านั้นฟองอากาศนี้กำลังลอยขึ้นไปเหนือพื้น

“ท่านกนธี!!! ท่านทำอันใดข้า!!!” จันทรัชรู้ตัวว่าโดนหลอกเสียแล้ว หากยังมิรู้ว่าผลของการอยู่ในฟองอากาศจะเป็นเช่นไร

“ข้าก็ช่วยสงเคราะห์ให้เจ้าได้เที่ยวเล่น ณ สุราลัย ดั่งที่ใจเจ้าปรารถนา ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กนธีหัวเราะลั่น ตาก็มองไปยังเหยื่ออารมณ์ซึ่งกำลังหาทางหนี…‘เจ้าหน้าโง่ ฟองอากาศของข้ามันไม่แตกง่ายๆดอกนะ’...

“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้!!!” จันทรัชเอ่ยออกมาเสียงดัง หากกนธีกลีบทำเป็นหูทวนลม จันทรัชจึงหาวิธีแก้ปัญหาโดยการใช้มนตราที่ตนได้เรียนมาจากนางช้างเพียงมาใช้แต่มันก็มิอาจจะทำลายฟองอากาศได้…แม้เพียงนิดเดียวก็มิได้

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียเวลาเปล่า…จันทรัช มนต์กระจอกเช่นนี้มิสามารถทำอันใดได้ดอก ข้าว่าเจ้าเก็บแรงเสียดีกว่าอีกไม่นานฟองอากาศจะพาเจ้าออกไปจากที่และไปหยุด….อืม…หยุด…หยุดที่ไหนดีเล่า ข้าเองก็เดาไม่ถูกแต่ถ้าให้ดีก็ขอให้ไปแล้ว ไปลับอย่าได้กลับมาให้ข้าชังน้ำหน้าอีก” พูดจบกนธีหายวับไป เหลือเพียงจันทรัชที่ล่องลอยออกไปอย่างไร้ทิศทาง

“ใจเย็นๆจันทรัช ประเดี๋ยวท่านพี่ใหญ่จักต้องมา ท่านพี่จักต้องตามหาข้าจนเจอแน่นอน” จันทรัชพึมพำกับตนเอง คำพูดปลอบใจที่กลั่นกรองมาจากจิตใจที่มองโลกในแง่ดี ถึงแม้จะกลัวว่าฟองอากาศจะแตกแล้วร่างของตนจะดิ่งลงสู่พื้นพสุธา

‘ฟึบ’ ศรอัคคีพุ่งตรงสู่กลางกระดานไม้ก่อนจะค่อยๆลุกลามเผาไหม้ ฝั่งตรงข้ามมีเทพคอยจ้องมองตาไม่กระพริบ และเมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วอายุอานามก็ราวๆ ๑๓-๑๔ ปียืนถือคันธนู ไม่ต้องเดาให้ยากเลยฝีมือการยิงธนูอันไร้เทียมทานนี้จะเป็นใครมิได้นอกเสียจาก ‘ศนิ’ เทพบุตรรูปงามผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งพระเสาร์ มิใช่เพียงการแผลงศรที่แม่นยำเท่านั้น ศาสตรวุธอื่นๆ ทั้งหอก พระขรรค์เองพระศนิก็เชี่ยวชาญทั้งสิ้น เพื่อให้สมกับการเป็นเทพนพเคราะห์ผู้แข่งแกร่งที่สุด ทุกๆวันพระศนิจักมาฝึกซ้อม ณ สวนกว้างหลังวิมานไพฑูรย์ของตน

“ท่านศนิ พระเสาร์ได้ฝากให้ข้านำความมาบอกกับท่าน” ขณะที่พระศนิกำลังเสกศรวารีเพื่อดับเพลิงบนกระดานไม้ ทหารก้านบัวได้ขัดคำสั่งเข้ามาในระหว่างที่ตนฝึกซ้อมจนพระศนิแทบจะแผลงทหารของตนแทนกระดานไม้ ทว่าคำพูดได้อ้างถึงนามของผู้เป็นบิดาพระศนิจึงระงับอารมณ์ได้ทันท่วงที

“เจ้ามีเรื่องอันใดจะแจ้งข้า รีบเอ่ยออกมาบัดเดี๋ยวนี้”

“พระเสาร์จะต้องไปปราบอสูรที่ยังหลบหนีเมื่อครั้งสงครามเทวาอสุรา จึงมีคำสั่งให้ท่านศนิดูแลวิมานรวมถึงปฏิบัติหน้าที่แทนในระหว่างนี้” สิ้นคำสั่งพระศนิได้ฟังก็ยกยิ้มขึ้นมา เทวาตนอื่นในวัยนี้คงมิอยากจะเที่ยวเล่นให้สำราญใจแต่มิใช่พระศนิผู้ชอบความท้าทาย ยิ่งได้รับภารกิจสำคัญย่อมทำให้ตื่นเต้นมิใช่น้อย

“เอาล่ะ เจ้าออกไปได้” พระศนิไล่ทหารรับใช้ออกไปก่อนจะง้างคันธนูแผลงศรวารีเพื่อดับไฟ

…‘ผู้ใดบังอาจย่างกลายมายังวิมานด้วยใจที่คิดชั่ว จักต้องเจอดีกับข้า’…

ความคิดของพระศนิแลถ้าจะเป็นความจริง เงามืดขนาดใหญ่ได้กล้ำกลายเข้ามาเหนือเศียร คันธนูเปล่งรัศมีแล้วแปรเปลี่ยนเป็นหอกสีเงินยวง จักเรียกได้ว่าศัตรูคงจะคิดหยามหน้าตนน่าดู พอเห็นว่าบิดาของตนไม่อยู่จึงเข้าโจมตี

“ตายเสียเถอะ!!!”

“อย่า!!!”

ร้องห้ามเช่นไรก็คงไม่ทัน…พระศนิเบิกตากว้างด้วยความตกใจในความผิดพลาดที่ไม่มองดูให้ดีว่าเงาใหญ่ที่ลอยมาคือฟองอากาศหุ้มกายเด็กน้อยและยิ่งไปกว่านั้นหอกได้ถูกขว้างขึ้นไปเสียแล้ว

‘โพล๊ะ’ คมหอกแทงทะทะลุฟองอากาศ จันทรัชที่หลับตาปี๋ได้ตกลงมาทันที ทว่าก่อนกายาเล็กจะสัมผัสพื้นก็ได้มีสองแขน สองมือมารองรับไว้

“เจ้าเป็นอันใดบ้าง” เสียงทุ้มแฝงไปด้วยความดุดันเอ่ยถาม ทำให้จันทรัชโล่งใจที่ตนนั้นยังไม่สิ้นชีพ

“ข้ามิเป็นไร…ขะ…ขอบน้ำใจท่านมากที่ช่วยข้าไว้” จันทรัชเอ่ย พอลืมตาได้มองใบหน้าของพระศนิก็นึกกลัวอยู่ไม่น้อยจนทำให้พูดจาตะกุกตะกักผิดไปจากนิสัยช่างเจรจา

“ข้าช่วยเจ้าเสียที่ไหน อันที่จริงข้านั้นจักฆ่าเจ้าเสียด้วยซ้ำ เอาเถิดบอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงเหาะเหินอยู่เหนืออาณาเขตของข้า” พระศนิวางกายของจันทรัชให้ยืนบนผืนดิน จากนั้นจึงซักถาม

“ข้ามีนามว่าจันทรัช ข้านั้นมิได้มีเจตนารมณ์เหาะเหินลุกล้ำมายังที่ของท่านแต่อย่างใด ข้าเพียงถูกกักขังในฟองอากาศจนล่องลอยออกมาจากวิมานของเทพีณิชา” จันทรัชตอบตามความเป็นจริงแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่ากนธีเป็นผู้ร่ายมนต์กักขัง พระศนิได้สดับฟังก็คิดตาม เมื่อพิจารณาแล้วคงจะเป็นจริงเพราะเด็กตัวเล็กคงไม่ได้ตั้งใจมาปองร้ายหรือทำลายวิมานเป็นแน่

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงกลับไปยังวิมานของเทพีณิชาเสีย วิมานข้าไม่เหมาะให้เจ้าได้เดินชมนก ชมไม้ หรือวิ่งเล่น”

“เอ่อ…คือข้า…ข้าจำทางกลับวิมานของเทพีณิชาไม่ได้ ข้าขอร้องให้ท่านไปส่งข้าได้หรือไม่” จันทรัชขอความช่วยเหลือ

“ไม่!! ไม่มีทางที่ข้าจะพาเจ้าไปส่ง…ไม่มีทาง!!!”

. . .

“จันทรัช นั่งนิ่งๆสิ ประเดี๋ยวตกลงไปจักทำเช่นไร ข้ามิช่วยเจ้าดอกหนา” พระศนิเอ่ยกับร่างเล็กที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับหมู่ดาวนับล้านจนลืมไปเสียว่านั่งอยู่บนหลังพยัคฆา

“พี่ศนิ…ดาวดวงนั้นสีสวยจัง  คล้ายกับมรกตยักษ์ลอยอยู่เลย” คำพูดของพระศนิคงจะไม่เข้าหูจันทรัชแม้แต่น้อย ทั้งยังกระตุกชายอาภรณ์ให้ดูดาวดวงโน้นที ดวงนั้นที ทั้งที่ตนเห็นมาจนเบื่อ

“ข้าพูดเจ้าได้ยินหรือไม่ อีกอย่างข้ามิใช่พี่ของเจ้า ข้าไม่มีน้อง” พอใช้น้ำเสียงดุ ทุกถ้อยคำดังก้องในโสตประสาท ริมฝีปากที่ยิ้มเมื่อครู่เริ่มเม้มทีละนิด อัสสุชลสีใสเริ่มคลอเบ้าตา

“หยุด!! ห้ามร้องไห้ ถ้าอยากให้ข้าไปส่งเจ้าและไม่ทิ้งเจ้าไว้ยังดาวดวงใดดวงหนึ่งแล้วไซร้ จงหยุดร้อง หยุดดื้อ หยุดซน เข้าใจหรือไม่” พระศนิขู่และประสบผลสำเร็จ มือเล็กยกขึ้นมาปาดน้ำตา กลั้นเสียงสะอื้น พระศนิไม่ชอบน้ำตาเอาเสียเลยเพราะมันคือสาเหตุที่ทำให้ตนต้องมาส่งจันทรัชกลับวิมานงาช้าง

“ครานี้จงนั่งนิ่งๆ จะดูโน่น ดูนี่ จะพูดจ้อสิ่งใดข้าไม่ว่า เพียงแต่อย่าขยับตัวไปมาเพราะข้ากอดกายเจ้าไว้ด้วยแขนข้างเดียวเห็นหรือไม่” จันทรัชพยักหน้าทันที พระศนิเองรู้ว่าจันทรัชเป็นเด็กฉลาดและเข้าใจในสิ่งที่พูด หากมีความดื้อรั้นไม่ยอมฟังจนโดนตนดุถึงจะยอมนั่งนิ่ง

ไม่นานพยัคฆาสีรัติกาลก็มาถึงวิมานของเทพีณิชา พระศนิอุ้มจันทรัชลงมา สายตากวาดมองนางอัปสรตลอดจนทหารเทวาที่กำลังวิ่งวุ่นไปทั่ว พระศนิคิดในใจว่าคงจะเหตุการณ์บางอย่างเป็นแน่และจักต้องเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร เมื่อตนสะดุดตากับเทพรุ่นราวคราวเดียวกัน สวมอาภรณ์สีน้ำผึ้ง ใบหน้านั้นเคร่งเครียดพอสมควร

“พี่ใหญ่!!!!” จันทรัชผละกายออกจากพระศนิแล้วตะโกนออกไปสุดเสียง ผู้ถูกเรียกขานหันมาทันทีก่อนจะวิ่งเข้ามาสวมกอดอนุชาตัวน้อย

“จันทรัช เจ้าหายไปไหนมา รู้หรือไม่พี่กับเทพีณิชาตามหาเจ้าจนวุ่นวายกันไปทั่ว แล้วเจ้าเป็นอันใดหรือไม่ มีใครทำอันตรายเจ้าบ้าง” พี่ใหญ่ของจันทรัชหรือ ‘กรวีร์’ บุตราแห่งพระพฤหัสได้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ยิ่งเห็นว่าผู้ที่มากับน้องคือพระศนิแล้วไซร้ ตนจึงได้เน้นเสียงไปยังคำถามสุดท้าย

“คือข้าซุกซนจนหลงทาง…แต่ข้าได้พี่ศนิคอยช่วยเหลือพาข้ามาส่งกลับยังวิมาน” จันทรัชเอ่ย ทำให้พระกรวีร์โล่งใจ เว้นแต่ประโยคที่เรียกพระศนิว่า ‘พี่’ ทำให้คนหวงน้องไม่พอใจเสียเท่าไหร่

“ข้าขอบน้ำใจท่านมากที่มาส่งน้องข้าถึงที่นี่ หวังว่าน้องของข้าจักไม่รบกวนอันใจท่าน” พระกรวีร์อุ้มจันทรัชขึ้นมาก่อนจะเอ่ยกับพระศนิ

“มิเป็นไรดอก การมาส่งจันทรัชหาใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้า ถึงจะดื้อจะซนบ้างแต่เพียงข้าอุ้ม ข้ากอดจันทรัชก็นั่งนิ่งเชื่อฟังข้า” พระศนิเอ่ย พลางมองพักตราของพระกรวีร์ที่ไม่ค่อยจะพอใจ พระศนิดูออกว่าบุตรแห่งพระพฤหัสผู้นี้หวงจันทรัชผู้เป็นน้องมากเพียงใดและคงไม่อยากให้จันทรัชมองใครสำคัญไปกว่าตนเอง พระศนิจึงแกล้งเหย้าแหย่ออกไป

“ขออภัยแทนจันทรัชที่ซุกซนจนอาจจะสร้างความรำคาญใจให้กับท่าน แต่ข้าขอรับรองว่าจะไม่ให้จันทรัชไปรบกวนท่านอีก” ประโยคอาจจะฟังดูเรียบง่ายหากมีความนัยอีกอย่างนั่นคือ…‘ข้าจักไม่ให้จันทรัชเจอท่านอีกเป็นอันขาด…พระศนิ’...

“ไม่เอานะพี่ใหญ่!!! ข้าอยากเจอพี่ศนิอีก” จันทรัชยู่ปากไม่พอใจผู้เป็นเชษฐา จนทำให้พระศนิแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้

“เจ้าถามพระศนิดูสิว่าจะเจอเจ้าหรือไม่” พระกรวีร์เอ่ย ในใจพอจะเดาคำตอบได้ว่าพระศนิจักต้อง…

“ได้สิ หากเจ้าอยากเจอข้าก็ให้พระกรวีร์พาเจ้ามายังวิมานของข้า” ผิดไปจากที่พระกรวีร์คาดไว้ พระศนิตกลงให้จันทรัชพบเจอ คราแรกพระศนิจะไม่อยากพบเจอเพราะนิสัยชอบความสงบ สันโดดแต่อีกใจอยากแกล้งพระกรวีร์ แน่นอนว่าคำตอบนี้สร้างรอยยิ้มให้กับจันทรัชและสร้างความไม่พอใจให้กับพระกรวีร์เพิ่มขึ้นไปทวีคูณ

“พี่ศนิอนุญาตแล้ว พี่ใหญ่ต้องพาขาไปหาพี่ศนินะ”

“ก่อนจักไปวิมานของพระศนิ พี่ว่าเจ้าจักต้องไปเจอเทพีณิชากับเทพีดารุณีเสียก่อน...พระศนิข้ากับน้องเห็นทีต้องลาท่านเสียตรงนี้และข้าขอบน้ำใจท่านอีกครั้งที่พาจันทรัชมาส่งยังอ้อมอกข้าอีกครั้ง” พระกรวีร์เอ่ยแล้วรีบอุ้มจันทรัชเข้าไปยังวิมาน ส่วนพระศนิก็ยืนมองสองพี่น้องที่เดินห่างออกไปจนลับสายตา ก่อนจักฉุกคิดได้ว่าตนได้ชักนำความวุ่นวายเข้ามาในชีวิตเสียแล้ว











.............................

กลับมาแล้ว เย้!!!! พระศนิคือใคร ทายกันมา คิดว่าคงจะทายถูกกันเยอะ อ่อ อย่าว่าป๋ากนธีเลยค่ะ เพราะป๋าทำให้จันทรัชได้เจอพี่ชายอีกคน นั่นคือ พระศนิ อ่อมีตัวละครอีกตัว ที่ค่าตัวแพงออกมาเพียงนิดเดียวในเรื่องสาปรักฯ ตัวละครเจ้าของวลี 'ใหญ่ไม่ใหญ่ตัวท่านน่าจะรู้ดี' จนสร้างกระแสคู่จิ้นแบบงงๆ =_= ขึ้นมาได้

ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามแม้ท่านยุ่งจะอัพช้าก็ตามที จุ๊บ ขอบคุณค่ะ รักนะ คิดถึงด้วย
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา ตอนพิเศษ (16/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 18-09-2018 18:24:32
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.5 (20/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-09-2018 19:20:57


ลิขิตรัก…เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 05











เกิดมาเพื่อรับใช้ เกิดมาเพื่อทำตามคำสั่ง...สิ่งนี้ คือหน้าที่ของกระบือกายแดงที่กำลังเข้าต่อสู้กับบุตรพระอาทิตย์… ‘รพีพงศ์’ เทพบุตรรูปงามถือพระขรรค์คมเป็นอาวุธ ทว่าหงชาดก็หาได้กลัวไม่ มันวิ่งเข้าสู้ไล่ขวิดเสียจนรพีพงศ์ได้รับบาดเจ็บ   หากใครที่คิดว่าควายโง่แล้วไซร้ เห็นทีจักต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ หงชาดสัตว์เทวะพาหนะของพระอังคาร มันเฉลียวฉลาดและมีพละกำลังกายมหาศาลมากพอจะเล่นงานให้เทพชั้นสูงบางองค์บาดเจ็บสาหัสหรือสิ้นชีพได้ และมันหมายที่จะปลิดชีพของรพีพงศ์

‘เปรี้ยง!!!’

อสุนีบาตฟาดลงตรงกลางเขาข้างหนึ่งของหงชาดจนหนักกระเด็น ด้วยแรงวชิระนี้ทำให้ กายหงชาดกระเด็นไปกระแทกเข้ากับโขดหินใหญ่อย่างแรงจนแตกร้าว กระบือร้ายสลบเหมือด ซ้ำอสุนีบาตสายใหญ่ได้ฟาดลงมาอีกครั้งลงตรงกลางกายเจ้ากระบือพร้อมกับที่ผ่าลงมายังหน้าพระอังคาร ทำเอาร่างนั้นกระเด็ดไปกระแทกกับซากต้นไม้ใหญ่

‘อั่ก..มะ..มอ’  สิ้นเสียงร้องก็สลบไสลไปอีกครา   เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง มหิงสาที่สิ้นสติกลับตื่นฟื้นขึ้นมา มันยังคงมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกว่ากายนั้นแทบที่จะขยับเขยื้อนไม่ได้ดั่งใจ  ทั่วกายที่ชานั้นกำลังถูกทดแทนด้วยความเจ็บปวดที่แผ่ซ่าน ร่างกายเริ่มไร้ความรู้สึกแต่ก่อนที่ความรู้สึกจะสูญสิ้น…หงชาดรู้สึกมีหยาดน้ำอุ่นๆ ไหลเปรอะเปื้อน ดวงตาเศร้าก้มมองดูตนเองพบว่ากิ่งไม้ขนาดใหญ่ได้เสียบทะลุจากด้านหลัง

 …‘น่าเวทนาตนเองยิ่งนัก หากเกิดมาเป็นสัตว์พาหนะของพระอังคารเทพแล้วจักต้องตายอนาถเยี่ยงนี้ ก่อนข้าจะสิ้นชีพ ข้าขอพึงระลึกจิตอธิษฐานถึงเทพีปรารถนา ด้วยแรงอาฆาตพยาบาทนี้ ขอให้ข้าได้เกิดใหม่อีกคราเป็นอสุรกายมีฤทธิ์เดช ยากที่ใครหน้าไหนจักต่อกร มีชีวิตเป็นอมตะ เทพเทวาผู้ใดก็มิอาจสังหารได้’…

…‘และข้าก็จะขอจองเวรจองกรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการตายของข้าทุกคน!!! มันจักต้องตาย!!! ตาย!!! ตายด้วยน้ำมือของข้า!!!’…

สิ้นจิตนึกคิดอธิษฐานแรงอาฆาตพยาบาท ลมหายใจก็หมดห้วงลง ถึงการต่อสู้ในครานั้น เป็นจุดจบของการเป็นสัตว์เทวะพาหนะผู้รับใช้พระอังคาร แต่เป็นจุดเริ่มต้นของอสูรกายร่างสูงใหญ่ของหงชาด

เมื่อวิญญาณออกจากร่าง หงชาดได้เดินทางมาในนรกภูมิในฐานะจิตวิญญาณอาฆาต ความโกรธแค้นเกลียดชังในโชคชะตา ทั้งหมดทั้งมวลหล่อหลอมให้หงชาดกลายร่างเป็นอสุรามหิงสา ศีรษะเป็นกระบือมีเขาโค้งใหญ่รูปพระจันทร์เสี้ยวสีดำ  กายส่วนอื่นนั้นเฉกเช่นมนุษย์หากกล้ามเนื้อกำยำและสูงใหญ่ราว ๒๐ ศอก ในมือถือกระบองโมนี กระบองวิเศษที่พร้อมฟาดฟันทำลายทุกสรรพสิ่งหากขวางหน้าแม้แต่ดวงวิญญาณก็สูญสลายได้  จนสร้างวามวุ่นวายในนรก อีกทั้งมิมีใครสามารถหยุดความอันธพาลของมันได้

ร้อนถึงพญายมราชต้องรีบสั่งการให้พระกาฬไชยศรีจัดการ แต่เพราะหงชาดมิสามารถสังหารได้ ด้วยจิตอาฆาตนั้นเป็นสิ่งที่คอยต่อลมหายใจมหิงสาตนนี้ สุดท้ายพระกาฬไชยศรีจึงทำได้เพียงกักขังอสูรกระบือไว้ในเขาวงกตมิให้ออกมาสร้างความวุ่นวายได้อีก

…‘คิดหรือว่าเขาวงกตนั่นจักทำอันใดข้าได้พระกาฬไชยศรี’…

ทุกสิ่งย่อมมีจุดอ่อน...แม้แต่เขาวงกตของพระกาฬไชยศรีก็เช่นกัน  หงชาดหาทางออกจากเขาวงกตจนได้ แถมออกมาแบบเงียบๆ อย่างที่พระกาฬไชยศรีไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ แม้จักยากลำบากแต่มันมิได้คิดจะย่อท้อ เมื่อออกมาได้มันยายามลัดเลาะและหาที่หลบซ่อนตัว เพื่อไม่ให้ผู้ใดได้เห็นตัวมัน

จนมาถึงน้ำตกสีเลือดและดูเหมือนว่าโชคชะตาจะเข้าข้างเจ้ายักษ์ควายตนนี้ เป็นดั่งโชคสองชั้นนอกจากจะพบพระกาฬไชยศรีที่หงชาดคิดจะแก้แค้นอยู่แล้ว อสุรกายเขางอก็ยังพบกับวิญญาณของนาคินทร์ผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้มันต้องตายอีกด้วย เพียงแค่นึกคงเป็นได้เพียงความฝัน หงชาดจึงไม่รอช้าที่จะลงมือทำ มหิงสาร่างยักษ์ยกมือขึ้นพนมไว้กลางอกแล้วย่อตัวดำลงไปในน้ำสีแดงฉาน

“เอ๊ะ!! น้ำ…ท่านพี่ดูตรงนั้นสิมี น้ำในลำธารมีฟองอากาศไปทั่วเมื่อครู่ไม่เห็นมี...” นาคินทร์สังเกตความเปลี่ยนแปลงของน้ำโดยไม่รู้ว่าเกิดจากเวทย์มนต์ของหงชาด

“แปลกยิ่งนักที่มีน้ำเกิดฟองอากาศเช่นนี้ ต้องมีอะไรอยู่ในน้ำแน่ ๆ ข้าว่าเจ้าถอยออกมาก่อนเถิดนาคินทร์…ข้าคิดว่าฟองอากาศนี้ที่มันมิน่าใช่เรื่องดีนัก” พระกาฬไชยศรีประหลาดใจ ดวงตาคมจ้องมองในธารน้ำสีแดงที่เกิดฟองอากาศคล้ายน้ำเดือดปุดขึ้นมา ยมทูตหนุ่มสังหรณ์ใจยิ่งนัก เกรงว่าจะเกิดเหตุเภทภัยร้ายในดินแดนมรณะนี้

ทันใดนั้นก็ปรากฏสิ่งหนึ่งผุดขึ้นเหนือผิวน้ำ มันสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเหล่าคณะของพระกาฬไชยศรีต่างประหลาดใจว่าสิ่งที่กำลังขึ้นมาจากน้ำคืออะไร  เมื่อมันหยุดเต็มความสูงแล้ว  แลปรากฏอสูรกายเขาโค้งตนหนึ่ง

“ไม่แปลกดอกพระกาฬไชยศรี ในเมื่อข้าเป็นผู้สร้างฟองอากาศนี้ขึ้นมาเอง  ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วเพลานี้น้ำตกสีโลหิตแห่งบาปก็กลายเป็นธารน้ำกรด เพื่อให้ข้าจับท่านโยนลงไปรวมถึงวิญญาณชั้นต่ำของนาคตนนั้นด้วย !!!” หงชาดเดินขึ้นมาบนฝั่ง เท้าใหญ่ของเหยียบย่างบนก้อนหิน แล้วชี้กระบองยักษ์แสนน่ากลัวมาตรงหน้าพระกาฬไชยศรีไม่นึกหวั่นเกรงในบารมี

“หงชาด...นี่เจ้าออกมาได้ยังไงกัน...”

“เขาวงกตที่เหมือนกับของเด็กเล่นแบบนั้น  ทำอะไรข้าไม่หรอก...ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“เจ้าควายอันธพาล ข้ารู้ว่าเจ้าแค้นเคืองข้าที่จับเจ้าขังในเขาวงกต แต่วิญญาณนาคีที่เจ้าว่าหาได้ข้องเกี่ยวอันใดด้วยไม่ หากเจ้าจะสู้ก็จงมาสู้กับข้า อย่าได้หมายทำร้ายผู้ที่ไม่ข้องเกี่ยวเลย” พระกาฬไชยศรีเอ่ยและส่งสัญญาณให้นิรบาลพาตัวนาคินทร์ไป

‘ปัง!!!’ กระบองใหญ่ถูกขว้างออกไปขวางนิรยมบาลที่กำลังนำตัวนาคินทร์ออกไปตามคำสั่งของพระกาฬไชยศรีจนได้รับบาดเจ็บ

“ใครว่าไม่ข้องเกี่ยว ในเมื่อเจ้านาคชั้นต่ำตนนี้เป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้ข้าตาย!!!” หงชาดเอ่ยมือก็ยกขึ้นรับกระบองโมนีที่ลอยลิ่วกลับมา

“เจ้าควายอสูร เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก” พระกาฬไชยศรีใช้โซ่ตรวนแห่งวิญญาณหมายจักมัดกายหงชาด ทว่าเจ้ากระบือร้ายไวกว่าที่คิดมันหลบหลีก ทั้งยังชัดโซ่ตรวนนั้นโต้กลับจนพระกาฬไชยศรีกระเด็นไปอีกทาง

“นาคินทร์หนีไป!!!” พระกาฬไชยศรีเป็นห่วงนาคินทร์ อีกไม่นานนาคินทร์จักหลุดพ้นจากกงล้อแห่งความตายจึงมิควรที่จะเกิดอันใดที่ส่งผลต่อเส้นชะตานี้

“ข้าไปทำอะไรให้เจ้า!!! เจ้าอสูร!!!” นาคินทร์ไม่หนีทั้งตวาดออกไป แม้จักกลัวอยู่บ้างแต่ความไม่พอใจนั้นมีมากกว่า ปีศาจควายตนนี้กล้านี้อย่างไรจึงมาทำร้ายผู้ที่ปกป้องตน

“ที่ผาน้ำตกอย่างไรเล่า เจ้าจำได้หรือไม่…นาคินทร์ อุเหม่...ไม่ได้เจอกันเสียนานจำข้าไม่ได้หรือไร...” เพียงแค่ได้ยินสถานที่ ความทรงจำของนาคินทร์ก็กลับมา หากกระบือที่เคยพบพานนั้นเป็นสัตว์พาหนะเทพมิใช่มหิงสาอสุราเช่นนี้

“…ถึงจะนึกออกหรือนึกไม่ออก ข้าก็จะฆ่าเจ้าอยู่ดี!!!” หงชาดพูดจบมันก็กระโดดไปหยุดตรงหน้านาคินทร์อย่างรวดเร็ว แผ่นพื้นทะเทือนเลื่อนลั่น นาคินทร์ตกใจอยากจะวิ่งหนีแต่ขาเจ้ากรรมกลับขยับมิได้เพราะล้มลงด้วยแรงทะเทือนนั้น

“ตายเสียเถิด!!!”  หงชาดยกมือขึ้นง้างเตรียมฟาดดวงวิญญาณนาคาตรงหน้าให้ตายเสียอีกรอบ

“นาคินทร์!!!”

‘ผัวะ!!’ ไม่ทันที่กระบองโมนีจะฟาดไปยังนาคินทร์ กลับมีพระขรรค์มาขัดขวาง…‘ใครกัน...บังอาจมาขัดขวางข้า’... หงชาดกุมหน้าท้องก่อนจะมองบุคคลที่เข้ามาสร้างความโมโหให้กับตน หากพอได้เห็นหงชาดกลับแสยะยิ้มออกมา อะไรมันจะเหมาะเจาะเยี่ยงนี้ผู้ที่ตนเคียดแค้นบัดนี้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน

“ท่านพี่...ท่านพี่รพีพงศ์…” นาคินทร์เอ่ยนามเสียงไม่ดังนักอย่างตกตะลึง แม้จะเห็นเพียงแผ่นหลังกว้าง ก็ยังจำได้ว่าผู้นี่คือเทพที่ตรึงใจตนไว้ทุกห้วงคำนึง…แต่จริงหรือที่เขาผู้นั้นมายืนอยู่ตรงนี้...หรือว่า…‘ข้าตายไปอีกครั้งหรือ...จึงได้เห็นท่านพี่ยืนอยู่ตรงหน้า’…

“อะฮ้า...รพีพงศ์เทพ นี่ท่านมารนหาความตายถึงที่เชียวหรือ...” เสียงของหงชาดดังแทรกขึ้นมาขณะที่นาคินทร์กำลังดีใจระคนสับสน

“ข้าหาได้มารนหาที่ตายไม่ แต่ข้า...มาเพื่อจะมอบความตายให้กับเจ้าต่างหาก !!!” รพีพงศ์ตอบโดยไม่ได้นึกยำเกรงอสุราควายร่างยักษ์ สองแขนนั้นส่งแรงดันผลักกระบองให้ออกไป

“นาคินทร์ เจ้าจงออกไปก่อน พี่จะจัดการสัมภเวสีผีควายตนนี้ให้ตายซ้ำตายซ้อนเอง” รพีพงศ์เอ่ยโดยที่ไม่หันไปมองนาคินทร์แม้แต่น้อย ด้วยตนนั้นกำลังจับจ้องไปที่หงชาดที่กำลังหาช่องทางเข้ามาสู้กับตน

“ข้าไม่ไป…ข้าจะไม่จากท่านพี่ไปไหนอีกแล้ว” เมื่อมีโอกาสได้พบเจอกัน เหตุใดจักต้องจากลากันอีก…หรือบุญวาสนาของทั้งสองจะไม่เกื้อหนุนกัน มิใช่คู่สร้างคู่สม

“นาคินทร์จงฟังพี่ พี่มาเพื่อจะรับเจ้าไปอยู่กับพี่ อย่างไรเสียเจ้าอย่าได้กลัวว่าจะจากพี่ไปไหนอีก” รพีพงศ์เอ่ยกับคนรัก

“และเจ้ามิต้องกลัวว่านาคินทร์จะได้รับอันตราย ข้าจะให้นิรยมบาลช่วยพาหนีไปเสียก่อน  นาคินทร์เจ้าจงรีบไปเสียขืนอยู่ต่อเจ้าจักกลายเป็นจุดอ่อนได้” คำพูดของพระกาฬไชยศรีทำให้นาคินทร์ฉุดคิด นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งถูกพระอังคารจับตัว เป็นเพราะตนในครั้งนั้นจึงให้รพีพงศ์จึงได้รับบาดเจ็บ นาคินทร์จึงถอยห่างตามนิรยมบาลไป

“เข้ามาเลยหงชาด เจ้าเข้ามาเลย ข้าจักสังหารเจ้าแล้วแล่เนื้อไปเผาไฟนรก” รพีพงศ์ท้าท้าย ใครที่บังอาจทำร้ายนาคินทร์รพีพงศ์ผู้นี้จักขอใช้พระขรรค์ตามสนองเอง

“ใครกันแน่ที่จักต้องตายด้วยไฟนรก เข้ามาเลยพระกาฬไชยศรี รพีพงศ์ ข้าจักได้ฆ่าพวกท่านพร้อมกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะดังก้องนรกโลกา มหิงสาร้ายรอท่ารับมือสุริยะบุตรและยมทูตผู้ยิ่งใหญ่ ต่อให้มาเป็นสิบเป็นร้อยหงชาดจะขอจัดการให้แหลกเป็นผุยผง

“ย้าก!!!!”

รพีพงศ์แปลงกายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่เหาะลอยขึ้นไปโฉบเฉี่ยวกายยักษ์ให้มอดไหม้แต่ดูเหมือนหงชาดจะไม่รู้สึกร้อนรนหรือระคายผิวอะไรเสียด้วยซ้ำ…‘เพียงสะเก็ดไฟปะทุมาโดนเท่านั้น หาได้สร้างความเจ็บปวดแก่ข้าไม่’...

เมื่อไฟมิอาจทำอันใดได้รพีพงศ์จึงกลับมาตั้งหลักและคืนร่างเป็นเทพบุตรดั่งเดิม ใจนึกประหลาดที่มิอาจต่อกรปีศาจควายตนนี้ได้ เห็นทีจนจะด้วยฝีมือ ความเก้งกาจการรบคงจักถดถอย

“เจ้าปีศาจควายตนนี้มันเกิดจากแรงอาฆาตพยาบาท ขนาดไฟในนรกของข้ายังมิอาจเผาผลาญมันได้ มันคงตั้งจิตอธิษฐานก่อนตายขอให้อะไรก็ตามฆ่ามันไม่ได้เป็นแน่  แต่ท่านอย่าได้หมดหวัง เราเองก็เคยสะกดมันมาได้หนึ่งครั้งแล้ว หากเราสองร่วมมือกันจัดการหงชาดนี้ รับรองมันต้องสำเร็จเป็นแน่” พระกาฬไชยศรีบอกกับรพีพงศ์  “เอาล่ะหงชาด...ถ้าเจ้าอยากจะลองดีกับพระกาฬอย่างเรา  เราก็จะให้เจ้าได้เห็นว่าพระกาฬอย่างเราทำอะไรได้บ้าง...”  สิ้นคำพูดพระกาฬไชยศรีร่ายคาถานิมิตให้กายขยายใหญ่ เกศาสีถ่านเงายาว ฉวีวรรณสีนิลไปทั้งกาย ทั้งยังมีสี่กร สี่หัตถา หนึ่งถือคัมภีร์รายนามคนบาป สองถือเขาวงกต สามถือโซ่ตรวนตรึงวิญญาณ สี่คือง้าวเพชฌฆาตล้างชีวี นี่คือร่างจริงของพระกาฬไชยศรี

รพีพงศ์เองก็เพิ่งจะได้เคยเห็นร่างที่แท้จริงของพระกาฬไชยศรีเช่นกัน  เทพหนุ่มไม่คิดจักน้อยหน้าจึงขยายร่างให้ใหญ่เฉกเช่นเดียวกัน แม้มีเพียงสองกรสองหัตถ์ นอกจากจะมีมีพระขรรค์วิเศษอาวุธคู่กายแล้ว ยังมีจักรเพลิงพร้อมผลาญชีพดัสกร

หงชาดจอมวายร้ายหาได้ขลาดกลัวไม่ ยิ่งเห็นคู่แค้นแปลงกายยิ่งนึกขบขันว่าตนนั้นสำคัญเก่งกาจขนาดจนเทพผู้ยิ่งใหญ่ต้องร่วมมือกันสังหารตน

… ‘เข้ามาอย่าอิดออด ข้านี้พร้อมจะใช้กระบองโมนีฟาดพวกท่านให้ตายคาที่’…

การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ได้อุบัติขึ้น พระกาฬไชยศรีเริ่มเปิดศึกใช้ง้าวใหญ่เข้าฟันหงชาดแต่อีกฝ่ายหลบได้ทันท่วงที ทว่าหลบพระกาฬไชยศรีได้แต่ก็ยังมีรพีพงศ์คอยใช้พระขรรค์จ้วงแทง

‘ฉึก’ ปลายคมของพระขรรค์ทะลวงลึกเข้าไป…เข้าไปจนทะลุร่าง หยาดโลหิตสีดำชุ่มโลหะเงิน หากหงชาดไม่สะทกสะท้าน ร้องออกมาแม้แต่น้อย กลับคว้าข้อมือรพีพงศ์แล้วออกแรงควบคุมให้พระขรรค์นั้นออกและเข้าเสียบร่างซ้ำๆ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่านดูสิ ทำเช่นไรข้าก็ไม่ตาย ไม่เจ็บไม่ปวดหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ความสะใจถ่ายทอดออกมาผ่าเสียงหัวเราะที่แสนบาดหู หงชาดกระชากรพีพงศ์แล้วเหวี่ยงออกไปก่อนจะง้างกระบองหมายจะตีให้ร่างของรพีพงศ์แหลกจมดิน

‘ฟึบ’ โซ่ตรวนมัดตรึงแขนของหงชาดเอาไว้ พระกาฬไชยศรีออกแรงดึงจนเท้าของกระบือถึกขยับเข้ามาตามแรง ซึ่งเป็นเวลาเดียวที่รพีพงศ์ทรงตัวขึ้นมาได้

“บังอาจทำร้ายข้า เจ้ากระบือสามหาว!!!” รพีพงศ์ขว้างจักรอัคคีในมือฟันกายของหงชาดขาดเป็นสองท่อน กายท่อนบนและท่อนล่างต่างก็ล้มลงกองบนพื้น พระกาฬไชยศรีจึงใช้โอกาสนี้ฟาดง้าวสับร่าง

“นาคินทร์…พี่เจ็บเหลือเกิน นาคินทร์!!!” หงชาดเลียนเสียงรพีพงศ์ร้องเรียกหานาคน้อย รพีพงศ์และพระกาฬไชยศรีได้สดับฟังก็รู้ทันทีว่าหงชาดนั้นต้องการสิ่งใด

“เจ้ามันช่างชั่วช้า เลียนเสียงข้าเพื่อหลอกเมียเรา ข้าจักติดลิ้นเจ้าให้ขาดเสียบัดเดี๋ยวนี้” รพีพงศ์จับปากของหงชาดให้เปิดออก โดยมีพระกาฬไชยศรีเหยียบกลางอกของควายป่าไว้มิให้ดิ้นหนี รพีพงศ์ใช้ปลายพระขรรค์กดลงไปที่ลิ้นหวังจะเชือดเฉือนให้ขาดและหวังไว้อีกว่า นาคินทร์จะไม่ได้ยินหรือย้อนกลับมา

“ท่านพี่…ท่านพี่เป็นอันใด” หัตถาที่ถือพระขรรค์นั้นถึงกับนิ่งค้าง เพราะใจยังนึกห่วงนาคินทร์จึงหลบซ่อนอยู่ไม่ไกล ทันทีที่ได้ยินเสียงลวงจึงเข้าใจว่ารพีพงศ์เสียท่า กลายเป็นว่านาคินทร์หลงกลไปกับแผนแสนชั่วของหงชาดวิ่งย้อนกลับมาหน้าตาแตกตื่น อสุรกายควายชั่วได้ยินถึงกับหัวเราะลั่น ขณะนั้นเองร่างของหงชาดกลับต่อติดเชื่อมกันอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งยังออกแรงกระชากจนหลุดจากโซ่ตรวนได้

หงชาดเตะเข้าที่ขาของรพีพงศ์และจับขาพระกาฬไชยศรีกระชากให้ล้มตามไป หงชาดใช้โอกาสในช่วงชุลมุนนี้จับตัวนาคินทร์ขึ้นมาอุ้มแล้วเหาะหนี

“ท่านพี่รพีพงศ์…ช่วยข้าด้วย!!! ช่วยข้าด้วย!!!” นาคินทร์ส่งเสียงเรียกหาคนรัก พลางดิ้นรนขัดขืนให้หลุดออกจากแขนของหงชาด

รพีพงศ์และพระกาฬไชยศรีพอทรงตัวได้ก็เหาะตามหงชาดไปติดๆ ขณะที่เหาะอยู่เหนือผืนดินร้อนระอุ ฝ่ามือด้านที่ว่างของหงชาดก็ปล่อยพลังวาโยใส่ผู้ที่ติดตาม สองเทพรีบเบี่ยงกายหลบทำให้พลังวาโยกระทบกับภูผาจนถล่มทับดวงวิญญาณ

“หากไม่รีบจับเจ้าควายตัวปัญหา นรกนี้จักต้องถึงคราววิกฤติแน่” พระกาฬไชยศรีขบเขี้ยวข่มโกรธา ตั้งแต่หงชาดเยือนดินแดนแห่งความตายก็เกิดเหตุการณ์โกลาหลวุ่นวาย พอจับขังยังหนีออกมาได้เห็นทีจักต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ขอใช้ชีวินนี้เป็นเดิมพัน

มหิงสากายชมพูอุ้มร่างนาคินทร์เหาะไปมาผ่านนรกขุมต่างๆ หากมันมิได้คิดปล่อยให้นาคินทร์ตกลงไปทรมานเพราะหงชาดได้คิดวางแผนสิ่งที่จะทำให้นาคินทร์และรพีพงศ์ทรมานเสียยิ่งกว่าตกนรกหมกไหม้!!!

“ถึงสักที…ลานประหารของพวกเจ้า” หงชาดยิ้มเยาะ นาคินทร์เองเหลือบมองสถานที่ที่หงชาดเอ่ยถึง ลานหญ้ากว้างใหญ่บนชะง่อนผาหาใช่ที่จะเรียกว่าลานประหารเลยสักนิด ทั้งยังมีวิญญาณจำนวนหนึ่งแต่งกายดูสะอาดสะอ้านไร้ความทุกข์ เดินตามแม่เฒ่าและนิรยมบาลจำนวนหนึ่ง

“ถ้าพวกเจ้ามิอยากตายซ้ำตายซ้อนก็จงออกไป!!!” คำขู่ถ้าใครไม่ทำตาม หงชาดก็จักทำดั่งคำที่เอ่ย ทั้งเหล่าวิญญาณและนิรยมบาลพอได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเป็นของอสูรกายที่เคยสร้างความวุ่นวายในนรก จึงพากันวิ่งหนีกันแตกตื่นไม่เว้นนิรยมบาลที่ต้องตามวิญญาณที่หลุดลอยไป

‘ตึง!!!’ หงชาดกระโดดลงสู่พื้นจนเกิดแผ่นดินไหวแล้วย่อกายลงเทียบเท่าร่างมนุษย์ทั่วไป ก่อนจะโยนนาคินทร์ลงสู่พื้น

“โอ๊ย!!!” นาคินทร์ร้องออกมา เมื่อกายกระแทกกับพื้นหญ้า

“ข้าจะลงไปนรก พระเกตุเปิดประตูนรกให้ข้าลงไปบัดเดี๋ยวนี้” ทางด้านพระเสาร์ที่เฝ้าดูเหตุการณ์มิอาจจะทนดูได้อีกต่อไป ยามเห็นลูกเจ็บกายน้ำตาคลอคนเป็นบิดามีหรือจะนิ่งเฉย

“ข้าทำเช่นนั้นมิได้พระเสาร์ ท่านก็รู้มิใช่หรือว่าที่แห่งนั้นเป็นคือยมโลก เทพนพเคราะห์ที่แต่งตั้งแล้วเช่นเราไม่สามารถก้าวล้ำข้ามไปได้ หากไปพลังท่านจะสูญสลายจะทำการอันใดก็มิก่อให้เกิดประโยชน์ได้อีก”  พระเกตุกล่าวทัดทาน

“แต่ข้ารู้วิธีว่าจะต้องกำจัดเจ้าควายนั่น...”  พระเสาร์เองก็เป็นกังวลใจ เพราะตนรู้วิธีในการกำจัดพวกอสูรที่เป็นอมตะเช่นนี้ เกรงว่าหากรพีพงศ์ไม่รู้รังแต่จะเสียเวลา และอาจจะพลาดท่าเสียทีได้

“...ท่านโปรดอดทนรอเถิด ข้าเชื่อว่ารพีพงศ์จักต้องช่วยบุตรของท่านได้เป็นแน่…” พระเกตุเอ่ยกับพระเสาร์ ตาก็มองเหตุการณ์ในนรกต่อซึ่งรพีพงศ์กับพระกาฬไชยศรีมาถึงพอดี

“ปล่อยน้องข้าบัดเดี๋ยวนี้!!!” ไม่ทันที่บาทาจะแตะผืนหญ้าพระกาฬไชยศรีตะโกนใส่หงชาดพร้อมปล่อยโซ่ตรึงขาหงชาดไว้แต่ก็พลาด หงชาดหลบหลีกได้

“ปล่อยเมียข้า!!!” รพีพงศ์ไม่ต่างจากพระกาฬไชยศรีหมายจะใช้จักรบั่นคอ ทว่า…

“เอาเลย สังหารข้าสิรับรองว่านาคตนนี้จักกลายเป็นผงธุลีมิอาจไปผุดไปเกิดได้” หงชาดคว้าแขนนาคินทร์แล้วกระชากขึ้นมาให้ยืนเคียงข้าง มืออีกข้างเสกกริชเงินขึ้นมาจ่อตรงคอหอยนาคินทร์

“ท่านพี่…ฮือ…ท่านพี่รพีพงศ์” นาคินทร์สะอื้นไห้ น้อยใจในโชคชะตาทั้งที่ได้พบเจอแต่หากมันช่างสั้นเหลือเกิน นี่ตนจักต้องตายอีกกี่ครากัน…ดวงวิญญาณจะต้องดับสูญเพราะควายเลวๆตัวหนึ่งเช่นนี้หรือ

“ถ้าอยากได้ชีวิตข้า ข้ายินยอมที่จะมอบให้เจ้าแต่ข้าขอได้หรือไม่ อย่าทำร้ายนาคินทร์เลย” รพีพงศ์ต่อรอง ตนจะไม่ยอมให้นาคินทร์ต้องมารับเคราะห์แทนตนอีก

“เพลานี้ข้าคิดว่าชีวิตท่านไม่ควรจะตายเพียงเพราะสิ้นลมหายใจ  มันง่ายเกินไป …พวกท่านจะต้องตายทั้งเป็น ฮ่าฮ่าฮ่า” เพราะสายตามัวแต่จับจ้องนาคินทร์ทั้งรพีพงศ์และพระกาฬไชยศรีจึงไม่ได้สังเกตว่า หงชาดได้ขยับไปใกล้บ่อน้ำพุที่ผุดอยู่กลางลานหญ้า มันหยิบกระบวยที่ว่างอยู่ตักน้ำพุขึ้นมา แล้วบีบคางนาคินทร์ให้เปิดปากออก พระกาฬไชยศรีเห็นจึงรู้ถึงความคิดอันชั่วช้า

“นาคินทร์ห้ามดื่มน้ำลบความทรงจำเป็นอันขาด!!!” เสียงเตือนของพระกาฬไชยศรีถูกส่งไป นาคินทร์พยายามปิดปากไม่ให้น้ำลบความทรงจำเข้ามาในปาก

หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.5 (20/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 20-09-2018 19:21:32
“เพิ่งจะเฉลียวใจเอาตอนนี้หรือไรพระกาฬไชยศรี  ฮ่าฮ่าฮ่า...” หงชาดพูดจาเยาะเย้ย ลานกว้างที่ตนเหยียบอยู่ ณ เพลานี้ คือลานบ่อน้ำพุแห่งการลืมอดีต เหล่าวิญญาณที่ชดใช้กรรมจดสิ้นจะเดินทางมาดื่มน้ำลืมอดีตก่อนจะไปเกิดใหม่ และแน่นอนหากนาคินทร์ดื่มเข้าไปแล้วความทรงจำตั้งแต่อดีตก็จะเลือนหายไป ไร้สิ้นคำทรงจำ ไร้สิ้นความผูกพันใด ๆ

“นาคินทร์!!!” รพีพงศ์เข้าใจสถานการณ์จึงไม่ลังเลที่จะจัดการอริตรงหน้า จักรถูกขว้างเข้าใส่หงชาดทำให้มันต้องหลบหนีจึงพลาดทำน้ำในกระบวยหกจนสิ้น

“อย่าคิดว่าหนีข้าได้!!” นาคินทร์รีบพยายามสะบัดตัวหนีออกมา แต่กลับถูกจับตัวไว้ได้…‘ใครว่าน้ำในกระบวยหกหมดเล่า ยังเหลืออีก๑หยด อานุภาพก็ยังร้ายเหลือ’…หงชาดบีบคางนาคินทร์อีกรอบแล้วใช้กระบวยจ่อปากนาคินทร์ หยดน้ำลืมความทรงจำเข้าไปในโพรงปากนาคินทร์

“อ้าก!!!!!!!!” นาคินทร์ร้องลั่นออกมาก้องบริเวณ ภาพความทรงจำตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงปัจจุบันฉายซ้ำตีวนไปมาจนศีรษะแทบระเบิด จากนั้นภาพต่างๆ ถูกแทนที่ด้วยสีขาวโพลนที่ค่อยๆ ดูดภาพแห่งความทรงจำให้หายไป นาคน้อยล้มลงสู่พื้นอย่างอ่อนแรงก่อนจะสลบไป นาคินทร์เอ่ยเรียกชื่อ ‘รพีพงศ์’ อีกครั้งน้ำเสียงแผ่วเบาหากดังชัดสำหรับรพีพงศ์ 

เทพหนุ่มใจวูบโหวงกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า ที่ตนไม่สามารถระงับเหตุร้ายดังกล่าวได้ นาคินทร์สลบไปแล้ว...

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ จงเจ็บปวดทุรนทุรายเสียท่านรพีพงศ์ มารับคนรักที่จำอะไรไม่ได้ของท่านไปเสียสิ” หงชาดพยุงร่างของนาคินทร์ขึ้นมาแล้วผลักให้รพีพงศ์ ร่างสูงเข้ารับแต่กลับกลายเป็นว่านาคินทร์ทะลุผ่านร่างตน…รพีพงศ์ลืมเสียสนิทว่าตนมิอาจจับเนื้อต้องตัววิญญาณนาคินทร์ได้แล้วตนจะพานาคินทร์ออกไปได้อย่างไร

“ไม่ต้องกังวลใจไปท่านรพีพงศ์ ข้านั้นจักพานาคินทร์ออกไปจากที่นี่ ท่านคอยกันท่าหงชาดนี้ไว้ก่อนแล้วข้าจะกลับมาช่วย”

“พระกาฬไชยศรีท่านช่วยพานาคินทร์ออกไปดั่งตามที่ท่านกล่าว แต่มิต้องกลับมาช่วยข้า เพราะจักเสียเวลาเปล่า ข้าจะฆ่ามันเอง!!”  รพีพงศ์ใช้อารมณ์นำพา  กล่าวให้พระกาฬไชยศรีรีบพานาคินทร์หนีไปเพราะเกรงว่าจะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย

“เจ้ามันเลวจริงๆ  รับใช้เทพหูเบาอย่างพระอังคารไม่พอ  ยังทำตัวเลว อันธพาลอีกต่างหาก...เจ้าทำร้ายเมียข้า...เจ้าต้องตายหงชาด” ....รพีพงศ์กลายร่างเป็นลูกไฟใหญ่แล้วพุ่งเข้าหาอสูรกายตรงหน้าทันที

 “เข้ามาเลย ข้าจะดูว่าท่านจะถูกข้าขวิดตกเหวอีกหรือไม่ ฮ่าฮ่าฮ่า” หงชาดมิเกรงกลัวอะไรทั้งยังยืนตั้งรับก้มศีรษะลงเตรียมพร้อมให้เขาตนขวิดกายองค์สุริยะบุตรให้กระเด็น

‘หมับ’  สองหัตถาก็คว้าจับเขาทั้งสองข้าง ออกแรงกดต้านไม่ได้ให้หงชาดใช้เขาขวิดได้  ปีศาจมหิงสาจะสะบัดอย่างไรก็ไม่ได้แม้ตัวเองมีแรงมหาศาล แต่การกดเขาทั้งสองข้างไม่รู้ทำไมเรี่ยวแรงที่เคยมีกลับลดลงไป เคลื่อนไหวไม่สะดวก

‘หากลองแทงเข้าที่หัวใจของมัน  ไม่แน่อาจจะเป็นจุดอ่อนและฆ่าอสูรกายตนนี้ก็เป็นได้...แต่ได้ไม่ได้  ถึงอย่างไรก็ต้องลองดู’  รพีพงศ์คิดในใจและยังคงเองออกแรงต้านประหนึ่งประลองกำลัง หากหงชาดก็มิยอมทั้งยังออกแรงเพิ่มจนกายรพีพงศ์นั้นถอยไปด้านหลังเรื่อยๆ

“คิดจะประลองกำลังกับข้าหรือ  จงรู้ไว้ข้ามิใช่มหิงสาตัวเดิมอีกแล้ว  มิใช่เป็นสัตว์พาหนะของพระอังคารเทพ บัดนี้ข้าคืออสูรผู้มีฤทธิ์และสามารถสังหารท่านได้โดยง่ายเพียง…อ้า...” เพียงออกแรงเพิ่มเล็กน้อย  กายของรพีพงศ์กำลังจะตกลงจากหน้าผา  หากรพีพงศ์ไม่ยอมตกลงไปเพียงผู้เดียว เทพหนุ่มจับเขาของหงชาดเอาไว้มั่นแล้วเร่งแรงเพลิงไฟสุม จนแรงกดเฮือกสุดท้ายก็เกิดเสียงดังลั่น ดั่งสีฟ้าร้อง...’เปรี้ยง...’   ในที่สุดเขาข้างหนึ่งของหงชาดก็หักเสียกลางอากาศ

“อ๊าก!!!!” หงชาดร้องออกมาดังเสีย หากผู้ใดได้ยินคงคิดว่าผีเปรตที่ไหนร้องโหยหวน เนื่องจากพลังกึ่งหนึ่งนั้นรวมอยู่ในเขาสีนิลใหญ่นี้ พอถูกหักพลังจึงลดลง อีกทั้งความเจ็บปวดจากด้านที่เขาหักมันโลดแล่นไปตามหัวของมัน

“ตายเสียเถิด...” รพีพงศ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศใช้โอกาสที่หงชาดเจ็บปวดและสนใจเขาที่ถูกตนหัก พุ่งเข้าจับผลักให้ชิดกับหน้าผาใหญ่ …‘ชั่วอย่างเจ้า ก็จักต้องตายด้วยตัวเจ้าเอง’... เขาที่มันเคยใช่ขวิดสังหารใคร เพลานี้รพีพงศ์จะใช้เขาเดียวกันนั้นปักกลางอกผู้เป็นเจ้าของ

“อ๊าก!!!!” หงชาดร้องออกมาอีกรอบ รพีพงศ์นั้นหาได้สนใจหรือนึกสงสาร บุตรแห่งทินกรออกแรงข่มเขาให้ปักลึกจนสามารถตรึงร่างของหงชาดไว้กับผานี้ได้ เลือดชั่วกระเซ็นไหลนองจนทั่ว ทว่าลมหายใจของหงชาดนั้นยังอยู่  และมันก็ยังหัวเราะออกมา

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ท่านสังหารข้ามิได้ดอก ข้าบอกท่านแล้วอย่างไรเล่า ไม่ว่าวิธีไหนท่านก็ฆ่าข้าไม่ได้...ท่านมันด้อยทั้งปัญญาทั้งฝีมือ...”  สิ่งที่มหิงสาหงชาดเอ่ยนั้นเป็นความจริง มันมิตายแม้จะถูกตรึงร่างเอาไว้ ซ้ำยังพูดจาอวดดี ดูถูกผู้ที่จักมอบความตายให้อย่างรพีพงศ์ และยังมีแรงพอจะฟาดกระบองเข้าใส่รพีพงศ์ได้   เมื่อเจ้าอสูรกายตั้งหลักได้มันฟาดฟันกระบองโมลีตรงที่รพีพงศ์ไม่ยั้ง จนพื้นนรกสะเทือนเลือนลั่น ...แม้จะไม่โดนรพีพงศ์แต่ก็เล่นเอาเหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อยในการหลบหลีก แต่แล้วกระบองโมลีก็ฟาดลงมาที่รพีพงศ์ เทพหนุ่มทำได้เพียงใช้สองแขนต้านแรงกระบอกนั้นไว้

“นี่หรือผู้สืบทอดตำแหน่งพระอาทิตย์ผู้เป็นใหญ่ในภายหน้าเอาแต่หลบหลีก... มันน่าขันยิ่งนัก ฮ่าฮ่าฮ่า...”  ถ้อยคำเหล่านั้นจากปากของหงชาด เทพหนุ่มได้ฟังก็ยิ่งโมโห มันไม่ต่างอะไรจากน้ำมันที่ราดบนกองไฟให้ลุกโซน แต่ก็ทำการอะไรไม่ได้  มือก็รับแรงกระบองมิให้ทุบกาย

‘บังอาจทำร้ายนาคินทร์ผู้เป็นดั่งดวงใจยังไม่พอ... ยังบังอาจดูถูกข้าอีก !!!…เจ็บใจ…เจ็บใจยิ่งนัก ข้ามิอาจจะสังหารกระบือตนนี้ได้หรือ...สองมือข้ามิอาจดูแลปกป้องนาคินทร์ได้เลยหรือ ข้าช่างไม่เอาไหนยิ่งนัก หากข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ ข้าคงจะปกป้องดวงใจของข้าได้’…

‘แข็งแกร่ง...ใช่สิ แข็งแกร่ง’ คำ ๆ นี้เปรียบเสมือนเป็นกุญแจที่ไขประตูแห่งปัญหา เทพหนุ่มกำลังคิดอะไรได้บางอย่าง

‘ใช่ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ใช่แล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดต้องช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ ...พระเสาร์ ...ต้องขอพึ่งพลังและปัญญาของพระเสาร์...การนี้อาจจะสำเร็จก็เป็นได้...’  รพีพงษ์ที่ไม่ยอมหมดหวังยืนนิ่งและเปลือกตาปิดลงอย่างรวดเร็ว จิตใจตั้งมั่นเพ่งสมาธิระลึกถึงผู้ที่แข่งแกร่งที่สุดในเทพนพเคราะห์

…‘พระเสาร์ท่านได้ยินข้าหรือไม่ พระเสาร์ท่านได้ยินช้าหรือไม่ ได้โปรดจงช่วยข้าด้วยเถิด ข้าขอยืมเศษเสี้ยวแห่งพลังและปัญญาของท่าน เพื่อเอาชนะปีศาจกระบือที่มันจองล้างจองผลาญข้าและนาคินทร์อยู่ในขณะนี้ ได้โปรดชี้นำหนทางแห่งชัยชนะมาสู่ข้าด้วยเถิด’…

กระแสจิตภาวนาถูกส่งถึงไปถึงพระศนิที่ประทับอยู่ในวิมาน พระเสาร์ผู้ไม่เคยสนใจช่วยเหลือผู้ใด ยามนี้กลับนั่งสมาธิส่งกระแสจิตหารพีพงศ์ที่กำลังขอความช่วยเหลือจากตน

...‘เจ้าจงตั้งใจฟังให้ดีนะรพีพงศ์...ทุกอย่างนั้นมีอยู่ที่ตัวเจ้าแล้ว’...

...‘อะไรนะพระเสาร์  ท่านหมายถึงสิ่งใดกัน...ทุกอย่างนั้นมีอยู่ที่ตัวข้า’…

...‘ใช่...ไข่มุกมรกตของข้าบรรจุพลังอำนาจของข้ากึ่งหนึ่งไว้อยู่แล้ว แก้วนาคาของนาคินทร์สามารถให้เจ้าแปลงกายเป็นพญานาคได้ และพลังอัคคีของเจ้า หากทั้งสามสิ่งนี้จักทำให้เจ้ามีพลังเพลิงไฟที่ไม่มีผู้ใดสามารถสร้างขึ้นมาได้  ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟใดๆ ในสามโลก จงใช้มันเผาผลาญกายปีศาจกระบือกเฬวกรากตนนี้ให้เป็นผุยผง มันก็จะไม่สามารถคืนร่างมาทำร้ายเจ้าได้อีก’…

…‘ข้าขอบน้ำใจท่านมาก พระเสาร์ ข้าขอบน้ำใจท่านมาก’…

… ‘อย่าให้ความช่วยเหลือของข้าต้องสูญเปล่า จงปราบปีศาจกระบือตนนี้ให้ได้และพานาคินทร์บุตรแห่งข้ากลับคืนมา’…

…‘ข้าสัญญา ข้าจะสังหารเจ้าปีศาจกระบือนี่และนำวิญญาณนาคินทร์กลับไปชุบชีวิตให้จงได้’…

เปลือกตาที่ปิดอยู่เปิดออกอีกครั้งเผยนัยน์ตาที่มุ่งมั่นและกระหายชัยชนะ หัตถ์ทั้งสองออกแรงดันกระบองยักษ์ออกไปสุดแรง  แล้วเหาะขึ้นไปบนฟ้าเทพหนุ่มยกขึ้นมาพนมไว้กลางอก ก่อนจะมีรัศมีสีขาว สีมรกต และเพลิงไฟ สลับออกมาหุ้มกายาของร่างสูง แก้วนาคาลอยออกมาจากกลางอุรา เช่นเดียวกับไข่มุกมรกต ทั้งสองสิ่งรวมผสานกันกลายเป็นหนึ่งเดียว ก่อนจะพุ่งเข้าไปในร่างของรพีพงศ์อีกครั้ง

...”ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอาเลยรพีพงศ์  ข้าอยากรู้ว่าท่านจะมีลูกเล่นอะไรอีก !!!” หงชาดที่ฟื้นกำลังแล้ว  ได้เห็นสิ่งที่เทพหนุ่มกำลังทำก็นึกสนใจไม่ได้  แม้หงชาดสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่แต่มันก็หาได้เกรงกลัว เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะทำเช่นไรตนก็ไม่ตาย...แม้เขาหักไปข้างหนึ่งแต่พลังนั้นยังเหลือเฟือ

“อ๊าก!!!!” แสงสุรีสว่างไสว ปาวกะ (ปา-วะ-กะ) ลุกโชนท่วมกายกลายเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ ส่องแสงสว่างไปทั่วก่อนจะหมุนเกลียวขึ้นไปคล้ายพายุที่จักกวาดล้างทุกสิ่งให้พินาศ หากมันมิใช่พลังที่ยิ่งใหญ่อย่างเดียว…สิ่งหงชาดได้เห็นนั้นร้ายแรงกว่าพายุอัคคี

พญานาคเกล็ดสีทองลักษณะรูปร่างใหญ่โตลำตัวทอดยาว มี ๓ เศียร ดวงตาคู่สีเขียวมรกต ทั่วทั้งกายนั้นมีอัคคีร้อนลุกท่วม…รพีพงศ์กลายร่างเป็นพญาภุชงค์สีทองเลื้อยแหวกอากาศตรงเข้ารัดตัวหงชาด

“ไฟท่านร้อนดีนี่  พญานาคไฟหรือ...ไม่นึกว่าวงศ์สุริยะเทพของท่านจะกลายร่างเป็นพญานาคได้ด้วย...ช่างเป็นบุญตาข้าจริงๆ..”

“เป็นบุญของเจ้าเช่นกันหงชาด  ที่เจ้าจะได้ลองลิ้มเพลิงที่ไม่เคยมีผู้ใดได้รับมาก่อนเป็นคนแรก...”  รพีพงศ์ในร่างพญาภุชงค์สีทอง เปิดปากออกแล้วปล่อยเปลวไฟใส่ใบหน้าของหงชาดทันที

“อ้าก!!! ร้อน!!! ร้อนเหลือเกิน” มิใช่เพียงหงชาดที่มิอาจต้านทานความร้อนได้ แม้แต่วิญญาณในนรกที่ไม่ได้โดนเปลวไฟโดยตรงก็ยังร้อนระอุ  บัดนี้ต่างทุรนทุรายกรีดร้องโหยหวน รพีพงศ์หารู้ไม่ว่าพลังของตนสามารถทำให้ยมโลกนั้นแตกได้

“เหตุใด ดินแดนแห่งความตายจึงได้ร้อนผิดแผกไปจากเดิม…” พระเจตคุปต์ที่อยู่อีกขุมนรกยังสัมผัสได้ถึงไอร้อน จึงหลับตาใช้ญาณหาสาเหตุ มิช้านานก็ปรากฏภาพพญานาคราชสีทองที่ร่างเป็นอัคคีกำลังพ่นไฟใส่ปีศาจควายที่พระกาฬไชยศรีเคยกักขังอยู่

“ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ ยมโลกนรกคงถึงกาลอวสาน” พระเจตคุปต์ลืมตาขึ้นมาเพราะรู้ว่าพญานาคที่ตนเห็นมิใช่พญานาคธรรมดา หากแปลงร่างให้ใหญ่ขึ้น หรือใช้อิทธิฤทธิ์มากขึ้นคงไม่เป็นผลดีต่อเหล่าวิญาณ

“ท่านพระยายมราช..ข้าขอ…”

“รีบไปเถิดเจตคุปต์ ก่อนที่จะเกิดผลร้ายตามมา” พระยายมราชรู้ดีว่าพระเจตคุปต์ปรารถนาขอการอันใด เมื่อได้รับอนุญาตแล้วพระเจตคุปต์รีบใช้คาถาพาตนไปที่หน้าผาของลานน้ำพุลบความทรงจำในทันที

“ทำไมร้อนมากเยี่ยงนี้” วินาทีแรกที่มาถึงไอความร้อนแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ เมื่อครู่ว่าร้อนแล้วพอได้มาใกล้เช่นนี้ก็ยิ่งร้อนจนแทบถูกเผาให้กลายเป็นจุล

“ข้าจักต้องควบคุมพลังความร้อนนี่เสียก่อน” พระเจตคุปต์เสกคัมภีร์ขึ้นมาแล้วเปิดออกอย่างรวดเร็ว หน้าแล้วหน้าเล่าที่ถูกเปิดให้ผ่านพ้นไป พระเจตคุปต์พยายามหาหน้าที่ตนต้องการ

“เจอแล้ว!!” พระเจตคุปต์ยิ้มออกมา เมื่อได้เห็นภาพธารน้ำแข็งขนาดใหญ่…ขุมนรกสีตโลสิตนรก หนึ่งในขุมนรกจาก ๓๒๐ ขุมแห่งยมโลกียนรก อันขุมนรกสีตโลสิตนรกนี้ประกอบด้วยสายชลเย็นยะเยือก เมื่อสัตว์นรก วิญญาณบาปตกลงไปก็จักตายและฟื้นขึ้นมาตกลงไปอีกครา จักเป็นเช่นนี้จนกว่าจะสิ้นกรรมที่เคยกระทำปลิดชีพสัตว์หรือผู้อื่นโยนลงในหุบเหว สระน้ำ

ดัชนีจรดลงยังภาพปรากฏรัศมีเจิดจ้าขึ้นทันใด พระเจตคุปต์ใช้นิ้วรวมรัศมีวาดวงกลมกลางอากาศกลายเป็นฟองอากาศขนาดยักษ์ที่ภายในอัดแน่นไปด้วยไอเย็น เทพผู้มาใหม่ควบคุมดวงฟองอากาศนี้ให้ลอยไปยังพญานาคอัคคีที่กำลังใช้กายเผาหงชาด เพื่อกักขังทั้งสองเอาไว้รวมถึงมิให้ความร้อนนั้นออกมา

…‘จงปกป้องนรกให้พ้นวิกฤติครั้งนี้ด้วยเถิด’…

พระเจตคุปต์ได้แต่หวังว่าพลังความเย็นจากขุมนรกสีตโลสิตที่ตนได้นำออกมาใช้จะสามารถป้องกันความร้อนของพญานาคจำแลงนี้ได้บ้าง ถึงกระนั้นพระเจตคุปต์ก็มิวางใจจึงเสกฟองเย็นนี่เพิ่มแล้วห่อหุ้มไว้อีกสามชั้น  และเฝ้าดูสถานการณ์อยู่เนืองๆ

‘เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะ’ รอยร้าวเกิดขึ้นมาทีละนิด เห็นทีฟองอากาศนี้มิอาจรั้งเอาไว้ได้ ขณะที่รพีพงศ์โหมไฟให้เร่งเผาหงชาด พระเจตคุปต์นั้นก็เร่งหาทางแก้ไขและนึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้

คัมภีร์ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง หากครั้งนี้หน้ากระดาษไร้ซึ่งลายเส้นอักษรหรือภาพเฉกเช่นหน้าอื่น พระเจตคุปต์เสกพู่กันขึ้นมาแล้ววาดบานประตูขึ้นมา

“ประตูเอ๋ยจงเปิดออกให้พญานาคราชและอสูรนี้เข้าไปด้วยเถิด”

บานประตูในภาพนั้นเปิด ลมพายุนั้นได้ออกมาหอบดูดกลืนทั้งสองให้เข้าไปในหนังสือ ดั่งที่พระเจตคุปต์ต้องการ เป็นเหตุให้หงชาดเป็นอิสระสามารถขยับตัวได้แม้จะมีเขาปักอยู่กลางอกก็ตาม พระเจตคุปต์เฝ้าดูต่อสู่ของทั้งสองผ่านคัมภีร์วิเศษ

“เข้ามา ท่านรพีพงศ์ไฟของท่านทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก” แม้ผิวหนังจะไหม้เกรียม หงชาดยังมิวายปากดียั่วอารมณ์รพีพงศ์

ในเมื่อใช้ไฟหงชาดยังอวดดีเช่นนี้…รพีพงศ์จึงมิพอใจแผ่พังพานออกมาทั้งสามเศียร ทำให้เกิดสะเก็ดไฟกระเด็นออกมากลายเป็นอสรพิษนับร้อยเข้าฉกกัดหงชาด

“ตายเสียเถอะ” หงชาดใช้กระบองฟาดงูที่เข้ามาฉกกัดอันเป็นการกระทำที่เสียแรงเปล่า อสรพิษหลบหลีกว่องไวทั้งเลื้อยรัดแขนออกแรงให้หงชาดอยู่ในลักษณะเอามือไขว้หลัง

“อึก…” หงชาดมิอาจขยับแขนแกร่งทั้งสองได้เพราะมีงูตนนึงเสียสละตนเป็นเชือกมัดหงชาดเอาไว้แน่น งูตัวอื่นก็รีดพิษออกมาผ่านเขี้ยวคมกัดเข้าไปทะลุผิวปล่อยพิษให้อสูรร้ายกลายเป็นอมพาต

“ทีนี้เจ้าจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดอย่างแท้จริง” เศียรตรงกลางกลับคืนเป็นกายรพีพงศ์ที่ท่อนล่างยังเป็นนาคกำลังกล่าวเยาะเย้ยใส่หงชาด ในหัตถือพระขรรค์ที่กลายเป็นไฟไว้มั่นก่อนจะตัดเขาอีกข้าง และจ้วงแทงปักทะลวงกลางเขาที่ปักอกอยู่แล้ว ทั้งยังฟาดฟันร่างหงชาดจนขาดหลายท่อน

“โอ๊ย !!! ร้อน !!! อ๊าก !!!” เสียงกรีดร้องดังลั่นด้วยสูญเสียพลังทั้งหมด  ทุกส่วนของร่างกายที่ต้องคมพระขรรค์จะติดไฟเผาผลาญ ทำให้ร่างกายของหงชาดนั้นมอดไหม้ไปทีละส่วน  ซ้ำรพีพงศ์ยังคืนร่างให้เป็นพญานาคพ่นไฟร้อนใส่ส่วนที่เหลือจนมอดไหม้กลายเป็นทุลีไปทั้งหมด ทำให้ปีศาจกระบือไม่สามารถรวมร่างให้กลับมามีชีวิตได้อีก

...จบสิ้นเสียที ...ขอบคุณท่านจริงๆ  พระเสาร์...

เมื่อปราบหงชาดจนสำเร็จรพีพงศ์จึงคืนร่างเป็นเทวารูปงาม แก้วนาคาและไข่มุกมรกตนั้นก็แยกออกจากกันแล้วลอยกลับเข้าไปในร่างของรพีพงศ์ดังเดิม พระเจตคุปต์เห็นว่าการสู้รบได้จบสิ้นจึงร่ายมนต์นำรพีพงศ์ออกมาจากคัมภีร์วิเศษ

“ขออภัย...ท่านคือ..”  รพีพงศ์ที่ออกมาแล้วเมื่อได้พบพระเจตคุปต์  ก็อดที่จะถามไม่ได้ด้วยมิเคยเจอกันมาก่อน  แต่ก็พอที่จะล่วงรู้ได้ว่าเทพในนรกผู้นี้มาดีมิได้มาร้ายเช่นหงชาด

“เรา...พระเจตคุปต์  ยมทูตใหญ่อีกองค์แห่งยมโลกนี้ สุริยะบุตร ...ว่าแต่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง...”

“ขอบน้ำใจท่านเหลือเกิน พระเจตคุปต์ อันตัวข้ามีแผลเพียงเล็กเท่านั้น ข้ามิสนใจดอก สิ่งที่ข้าสนใจคือนาคินทร์เมียของข้า ข้าอยากพบเจอนาคินทร์ของข้ายิ่งนัก ไม่ทราบว่าพระกาฬไชยศรีพาเมียข้าไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด...” จิตใจมุ่งแต่จักเจอนาคน้อย ใบหน้างามที่บิดเบี้ยวทรมานหลังต้องดื่มน้ำแห่งการลบความทรงจำยังคงติดตา มิรู้ว่านาคินทร์จักเป็นเช่นไร…แค่คิดรพีพงศ์แทบจะไม่มีแรงหายใจ

“ไม่มีที่แห่งใดในแดนยมโลกนี้ปลอดภัยเท่าวิมานของท่านพระยายมราช  พระกาฬไชยศรีพานาคินทร์ไปหลบอยู่ที่นั่น“ พระเจตคุปต์เอ่ยตอบ

“แล้ววิมานของท่านพระยายมราชตั้งอยู่ที่ใดกัน บอกข้าเถิด...อย่าช้าที”

“มิคงกังวล ข้าจะพาท่านไปยังวิมานท่านพระยายมราชเอง” พระเจตคุปต์คว้าข้อมือของรพีพงศ์ เพียงชั่วพริบตา รพีพงศ์ก็เข้ามาในสถานที่แปลกตา จากหน้าผาสูงกลายเป็นห้องหับที่ตกแต่งอย่างงดงาม…งดงามเพียงใดแต่บรรยากาศนั้นเศร้าหมอง เมื่อเห็นพระยายมราช และพระกาฬไชยศรี ยืนมองร่างวิญญาณของนาคินทร์ที่กำลังไร้สติอยู่บนบรรจถรณ์

รพีพงศ์เดินเข้าไปใกล้…และนั่งลงบนข้างเตียงนั้น อยากจะจับมือมาลูบไล้ อยากจะสัมผัสร่างบาง อยากจะกอดให้ไออุ่น ทว่า…รพีพงศ์มิสามารถทำอันใดได้

“นาคินทร์เป็นเช่นไรบ้าง ท่านพระยายม พระกาฬไชยศรี”

“นาคินทร์นั้นเพียงสลบไปด้วยฤทธิ์แห่งน้ำลบความทรงจำเท่านั้น ไม่ต้องห่วงดอกรพีพงศ์ อย่างไรเสียเจ้ายังสามารถชุบชีวิตของนาคินทร์ได้” พระยายมราชตอบ

“เพียงแต่…หากชุบชีวิตแล้วนาคินทร์ฟื้นขึ้นมาก็มิต่างจากวิญญาณที่ไปเกิดใหม่” พระกาฬไชยศรีกล่าวเสริมขึ้นมา ทำให้รพีพงศ์นั้นตกใจเมื่อได้ฟัง

“พระกาฬไชยศรี ท่านหมายถึง….”

“เป็นเช่นนั้น…ข้าหมายความดังนั้น”















............

มาแล้วค่ะ หายไปนานน้องก็มาแล้วค่ะ

มาปุ๊บเจอปั๊บดีใจไหมคะ รพีพงศ์เจอนาคินทร์แล้ว ทุกคนปรบมือสิคะ ไม่ใช่จะเอาไฟมาเผากระท่อมท่านยุ่ง

หลายคนเรารู้นะว่าคิดว่าป๋ากนธีเป็นคนทำ อย่ามาว่าป๋า ป๋าน่ารัก อิอิ

เอาล่ะ ท่านยุ่งหวังว่าทุกคนจะชอบและไม่ลืมนะคะ อย่าดื่มน้ำลบความทรงจำแล้วลืมนิยายของท่านยุ่งล่ะ ไม่เอาน๊า~~~☆

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตาม เข้ามาอ่าน มาเม้นเป็นกำลังใจนะคะ รักทุกคน จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.5 (20/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 20-09-2018 20:20:25
ต้นเหตุคืออิลุงงูผีเวรนั่นถ้าให้ลงนรกควรจับ freeze ไว้นะหล่อแค่ไหนแต่ถ้าเลวก็โยนทิ้งค่ะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.5 (20/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-09-2018 01:26:22
มาติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.5 (20/09/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: l3iggy ที่ 14-11-2018 20:36:14
นาคน้อยจะเป็นเช่นไร ฮือๆๆๆ

รออย่างใจจดใจจ่อ

หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.6ตัวอย่าง (16/11/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-11-2018 19:37:54
‘หมับ’ ร่างของนาคินทร์ตกลงมาสู่อ้อมแขนแกร่งของรพีพงศ์ที่เข้ามาช่วยไว้ทันท่วงที พร้อมกับเศษแก้วนาคาที่ผสานรวมกันอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งเข้าสู่อกด้านซ้ายของนาคินทร์





#เร็วๆนี้
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.6 100% (23/11/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 23-11-2018 11:20:09


ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 06







นานมาแล้ว…พระผู้สร้างพระองค์แรกได้สร้างทุกสรรพสิ่งและโลกนี้ขึ้นมาด้วยความเมตตา แต่การที่จะสร้างโลกขึ้นมาได้ องค์มหาเทพจักต้องใช้พลังมากมายมหาศาล ทุกหยาดเม็ดเหงื่อหยดลงบนพื้นปฐพี ณ สวนขวัญ มันหาได้ซึมลงไปอย่างไร้ประโยชน์ หากกลายเป็นเมล็ดพันธุ์หยั่งรากฝักลึก กล้าอ่อนสีเลื่อมรัตนาค่อยๆ โผล่ออกมาเหนือพื้นดินและเติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปด้วยใบไม้เขียวขจี ทั้งผลิดอกแก้วออกมาจนทั่ว สร้างความอัศจรรย์ใจแก่พระผู้สร้าง เหล่าเทวาและเหล่าเทพีทั้งหลายที่ร่วมกันสร้างโลกในเวลานั้น  ขณะที่ทุกสายตากำลังชื่นชมความงามของต้นไม้ใหญ่อยู่นั้น จู่ๆ ดอกแก้วจำนวน ๒ ดอกจากต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดต้นหนึ่งก็ได้ร่วงหล่นลงสู่พื้นพิภพกลายเป็นมนุษย์คู่แรกของโลก จึงได้รับการขนานนามว่า...ต้นไม้แห่งชีวิต...  ประวัติของต้นไม้แห่งชีวิตและการกำเนิดมนุษย์บนโลกจึงถูกเล่าขานกันมาจวบจนถึงปัจจุบัน ความวิเศษอื่นนั้นยังมีอีกมากโขรวมไปถึง...การชุบชีวิต แต่ผู้ที่จะสามารถทำพิธีให้ต้นไม้แห่งชีวิตนี้ชุบชีวาได้ มีเพียงพระผู้สร้างพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ทำกันบ่อยๆ นัก และดูมูลเหตุในการทำพิธีเป็นสำคัญ ด้วยพระเมตตาของพระผู้สร้างองค์ปัจจุบัน ที่ได้ให้คำมั่นกับรพีพงศ์ไว้เรื่องการชุบชีวิตคนรัก จึงเป็นเหตุในการทำพิธีครั้งนี้ การชุบชีวิตผู้วายชนม์กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง  นี่นับเป็นครั้งที่ ๕  ตั้งแต่ต้นไม้แห่งชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้น และบัดนี้พระองค์ทรงประทับ ณ พระแท่นศิลากลางสวนขวัญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ทูลพระผู้สร้าง บัดนี้เทพรพีพงศ์ได้เดินทางมาเข้าเฝ้าตามรับสั่งแล้วพะยะค่ะ” เทวดาผู้มีหน้าที่เฝ้าสวนขวัญได้เข้ามาแจ้งให้มหาเทพทรงทราบ

“รีบไปเชิญเทพรพีพงศ์มาพบข้า” ตรัสรับสั่งสิ้น เทวดาผู้นั้นจึงเชิญรพีพงศ์ให้เข้ามา แวบแรกที่พระผู้สร้างได้ทอดพระเนตรเทวาหนุ่ม ใบหน้าพีพงศ์ช่างดูอิดโรยไม่น้อย ซ้ำร่างกายยังมีบาดแผลอยู่ทั่ว ภูษาที่ใส่ก็เต็มไปด้วยคราบโลหิต

“ถวายบังคมพะยะค่ะ” รพีพงศ์คุกเข่าลงก้มกราบผู้เป็นใหญ่

“สิ่งที่ข้าให้ท่านไปทำสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีหรือไม่เล่า” พระพริษฐ์ตรัสถาม แม้จักรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม

“สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีพะยะค่ะ” รพีพงศ์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ตื่นเต้นเล็กน้อย

“เช่นนั้นจงนำสิ่งของสำคัญของบิดามารดาตลอดจนดวงวิญญาณของนาคินทร์ออกมาให้ข้าเถิด”

“พะยะค่ะ” รพีพงศ์ไม่รอช้า หัตถาพนมมือร่ายคาถาเรียกไข่มุกมรกตและแก้วนาคาออกจากร่าง ของวิเศษทั้งสองลอยเด่นอยู่ในอากาศ รพีพงศ์จักผายมือซ้ายออกมากลางฝ่ามือมีผ้าแพรห่อเส้นผมดำขลับของมุตา กลางฝ่ามือขวามีผอบเงินวางอยู่…ผอบเงินที่พระยายมเมตตามอบให้รพีพงศ์บรรจุดวงวิญญาณของนาคินทร์ก่อนที่จะส่งตนขึ้นมายังสรวงสวรรค์

เวลาที่รพีพงศ์รอคอยนั้นใกล้มาถึง…พระพริษฐ์ผู้เป็นใหญ่ในสามภพ เสด็จลงจากพระแท่นศิลาไปยังต้นไม้แห่งชีวิต เพียงพระหัตถ์สัมผัสไปยังกลางลำต้นไม้ใหญ่ หลับดวงพระเนตรตั้งจิตคิดคาถา บริเวณกลางลำต้นที่พระหัตถ์สัมผัสก็ค่อยๆ แหวกแยกออกจากกันเป็นโพรงใหญ่ ไข่มุกมรกต เส้นผมสีปีกกาและแก้วนาคาคล้ายถูกวาโยหอบพัดผ่านให้ลอยเข้าไปในโพรงรวมถึง…ผอบเงินที่ถูกเปิดออกให้วิญญาณนาคน้อยล่องลอยเข้าไป

‘หวึบ’ ลำต้นของต้นไม้แห่งชีวิตปิดผสานกันเช่นเดิมหลังจากที่วิญญาณของนาคินทร์ได้เข้าไป รพีพงศ์หมายจะเดินเข้าไปลูบตามลำต้นด้วยความเป็นห่วงและกลัวจับใจ กลัวว่านาคินทร์จะหายเข้าไปแล้วไม่ย้อนคืนกลับมา แต่พระผู้สร้างยังอยู่ตรงนั้น  ตนจึงไม่สามารถเข้าไปได้

“ท่านอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลย…รพีพงศ์” ราชดำรัสของพระผู้สร้างทำให้เทพหนุ่มหยุดความคิดนั้น

“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ” รพีพงศ์สำนึกได้ว่าตนไร้ซึ่งมารยาทด้วยความคิด หากพระผู้สร้างกลับมิได้คิดเช่นนั้น พระองค์เข้าใจถึงหัวอกของผู้มีรักดี เพราะพระองค์เองหากเสียคนรักคงจะว้าวุ่นใจมิใช่น้อยเฉกเช่นสุริยะบุตรผู้นี้

พระผู้สร้างมิได้ตรัสสิ่งใดกับรพีพงศ์ต่อ หากพระองค์ร่ายคาถาบทสุดท้าย ส่งผลให้ต้นไม้แห่งชีวิตเปล่งแสงออกมาสว่างไสวไปทั่วบริเวณ รพีพงศ์ได้แต่ลุ้นระทึกใจแต่ก็มิสามารถแสดงออกอะไรได้

ไม่นานแสงสว่างก็กลายเป็นฝุ่นละอองและเลือนหายไปในนภากาศ หากมันไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับต้นไม้แห่งชีวิตกำลังค่อยๆ ผลิตาดอกแก้วจากตาดอกเล็กๆ จนเริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กิ่งก้านนั้นโน้มลงมาแทบจะถึงพระเศียรของพระผู้สร้างที่ประทับยืนอยู่ สีกลีบแก้วเจือสีมรกตหากแต่บางเบาจนเห็นดวงแก้วนาคาที่ข้างในนั้นมีวิญญาณของนาคินทร์หลับใหลอยู่

“ข้าทำพิธีชุบชีวิตให้นาคินทร์เสร็จสิ้นแล้ว นับจากนี้ไปก็เหลือเพียงรอเท่านั้น รอให้นาคินทร์มีเลือดเนื้อ มีกายหยาบเช่นดังเดิมเสียก่อน” พระผู้สร้างถอยออกมาและตรัสกับรพีพงศ์ที่กำลังมองดูดอกแก้วตรงหน้า

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้พะยะค่ะ” รพีพงศ์ก้มลงกราบแทบฝ่าพระบาทของมหาเทพ ตนนั้นซาบซึ้งตื้นตันใจอย่างหาเปรียบมิได้

“ข้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง…รพีพงศ์ ท่านอย่าได้ลืมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการชุบชีวิตครั้งนี้เล่า พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีบุญคุณกับเจ้ายิ่งนัก...โดยเฉพาะเทพนภนต์”

“กระหม่อมมิลืมดอก ผู้ใดที่ช่วยเหลือกระหม่อมในครานี้ กระหม่อมได้สลักนามไว้ในใจหมดสิ้นแล้วพะยะค่ะ” รพีพงศ์เอ่ย ไม่ว่าจะเป็นเทพนภนต์ที่ทูลขอ พระเสาร์ นางนาคมุตตา อีกทั้งพระเกตุ พระกาฬไชยศรีและพระเจตคุปต์ ตลอดจนพระยายมราช ล้วนมีบุญคุณกับตนทั้งสิ้น

“ดีแล้วที่ท่านรู้บุญคุณผู้อื่น เพลานี้หมดหน้าที่ของข้าแล้ว เห็นทีจักต้องกลับวิมานแก้ว ท่านเองก็เช่นกันกลับวิมานเพลิงเพื่อพักผ่อนเถิด…รพีพงศ์”

“กระหม่อมตั้งใจจะอยู่ ณ สวนขวัญแห่งนี้เพื่อรอนาคินทร์ อย่างไรเสียกระหม่อมขอเทวราชานุญาตจากพระองค์ด้วยเถิดพะยะค่ะ” รพีพงศ์มิต้องการไปไหนหรือห่างไกลจากนาคินทร์อีก นาคินทร์จักต้องอยู่ในสายตาตนเท่านั้น จึงจะมั่นใจว่านาคินทร์ปลอดภัย รพีพงศ์ยอมรับว่าตนกลัวนัก…ขลาดกลัวว่าจะสูญเสียนาคินทร์อีก

“ได้...ข้าอนุญาตให้ท่านอยู่ ณ สวนขวัญนี้ จะสรงน้ำในสระบัวหรือจักปลิดผลหมากรากไม้เป็นอาหารข้าก็อนุญาต” พระพริษฐ์มีพระเมตตาล้นเหลือสมแล้วที่เป็นมหาเทพทั่วทั้งสามภพ

“ขอบพระทัยพะยะค่ะ” รพีพงศ์ก้มลงกราบอีกครั้งให้กับพระมหากรุณาที่พระผู้สร้างมอบให้กับตน พระผู้สร้างแย้มสรวลเล็กน้อยก่อนจะเสด็จกลับวิมานแก้วสถานให้ภายในสวนขวัญนี้เหลือเพียงรพีพงศ์และนาคินทร์

…‘ดวงใจเอ๋ย ดวงใจข้า ในที่สุดเจ้าจักได้คืนสู่อ้อมอกพี่ นาคินทร์เอ๋ย... รู้ไหมเล่าว่าพี่นี้คิดถึงเจ้ามากมายเพียงใด’…

สุริยบุตรนั่งลงบนพื้นแหงนมองนาคน้อยผ่านกลีบผกาแก้ว ริมฝีปากขยับยิ้มกว้าง ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้กำลังจะเป็นความจริง ตนกำลังจะได้นาคินทร์กลับคืนมาอีกครั้ง หากนาคินทร์ฟื้นชีพจากนิทรานี้เมื่อใด ตนจะพรมจูบอย่างสมใจให้หายคิดถึง

☆~☆~☆

สุริยันและจันทราหมุนเวียนเปลี่ยนสลับบอกวันเวลา…นี่มันก็หลายทิวาราตรีแล้วที่รพีพงศ์เฝ้ามองนาคน้อยผู้ครอบครองดวงใจ…รอคอยยามที่กลีบดอกไม้จะผลิบานเต็มที่ ในระหว่างนี้พระเสาร์ได้ออกจากวิมานเดินทางมายังสวนขวัญ นอกจากนี้ยังมีพระพุธ รวมถึงพระสุมทรชลันธรและนภนต์ เมื่อทราบข่าวว่ารพีพงศ์นำดวงวิญญาณของนาคินทร์กลับมาได้สำเร็จ และได้รับการชุบชีวิตต่างดีใจ โดยเฉพาะชลันธรที่เหมือนจะดีใจมากกว่าใคร

“เราดีใจยิ่งนัก สหายของเราจะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”

มิใช่เพียงชลันธรเท่านั้น ทั้งพระเสาร์ พระพุธ ก็อยากจะพบหน้าและพูดคุยกับนาคินทร์ทั้งนั้น แต่มากกว่าใครคงหนี้ไม่พ้นรพีพงศ์ที่รอคอยด้วยใจพะวงรักดั่งไฟที่สุมแน่นอกจนหายใจไม่ทั่วท้อง แม้เคยคิดว่าตนจักรอได้ แต่เอาจริงๆ แล้วกาลเวลาทุกนาทีที่ผ่านไปช่างยาวนานสำหรับรพีพงศ์ยิ่งนักราวกับแรมเดือนแรมปี จวบจนผ่านไปค่อนเดือนสวรรค์ ก็ยังไม่มีสัญญาณใดเลยบ่งบอกว่านาคินทร์ฟื้นคืนชีวามาหาตน  แต่แล้วในคืนหนึ่งที่จันทราเต็มดวงส่องแสงแขสว่างไสวให้ทอดมองแลเห็นทุกสรรพสิ่ง สายลมเย็นพัดเอื่อยแผ่วเบาให้ต้องกายที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทราให้พอรู้สึกหนาว ต้นไม้แห่งชีวิตแผ่ละอองรัศมีแสงระยิบระยับไม่ต่างจากทางช้างเผือก กลีบดอกไม้ค่อยๆ เบ่งบานทีละนิดจนเผยให้เห็นเกสรกลมใหญ่ ไม่สิ!! จะเรียกว่าเกสรก็คงจะไม่ถูก จักต้องเรียกว่าดวงแก้วนาคาที่กำลังส่องแสงสว่างอยู่ในขณะนี้

‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ’  เสียงดวงแก้วลั่น พร้อมกับเกิดรอยร้าวขึ้นทีละนิด…ทีละนิดเหมือนกำลังใกล้จะแตก เสียงนั้นปลุกให้เทพหนุ่มรูปงามให้ตื่นขึ้นมายามรัตติกาล รพีพงศ์แทบจะลืมตาไม่ขึ้นเมื่อต้องแสงจ้าจากต้นไม้แห่งชีวิตและดวงแก้ว ก่อนยกหัตถาบังดวงตาเล็กน้อยพอให้สายตาได้มองลอดว่าอะไรคือต้นตอของเสียงที่ปลุกตนให้ตื่นขึ้นมา

“เหตุใดต้นไม้แห่งชีวิตถึงส่องแสง หรือว่า…” รพีพงศ์แหงนมองบุปผาชาติงามล้ำเหนือเกศา บัดนี้ได้เบ่งบานอวดมณีนาคาด้านใน หากได้เพ่งพิศมองดีๆ จักพบเห็นรอยร้าวจำนวนมาก คล้ายกับว่ามิอาจรองรับสิ่งที่อยู่ด้านในได้อีกต่อไป สาเหตุก็เป็นเพราะนาคินทร์กลับมามีกายหยาบอีกครั้ง

‘เพล้ง!!!! แก้วนาคาแตกสลาย หากเศษแก้วลอยคว้างมิตกลงมาสู่ผืนหญ้า ทว่าสิ่งที่กลับตกลงมานั้นคือร่างกายของนาคินทร์ที่ยังคงไม่ได้สติ

‘หมับ’ อ้อมแขนแกร่งของรพีพงศ์ที่เข้ามารองรับกายงามที่ไร้อาภรณ์ปกปิดไว้ทันท่วงที พร้อมกับเศษแก้วนาคาที่ล่องลอยแล้วผสานรวมกันอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งเข้าสู่อกด้านซ้ายของนาคินทร์

‘หวึบ’ ร่างของนาคินทร์กระตุกเกร็งก่อนจะแน่นิ่งไป รพีพงศ์ใจหายวาบกลัวเหลือเกิน…กลัวว่านาคินทร์จักเป็นอันใด หากความกลัวค่อยๆ หายไปพร้อมกับใบหน้าของนาคินทร์ที่เคยขาวซีด กลับค่อยๆ แดงระเรื่อคล้ายเลือดกำลังสูบฉีด เนื้อตัวเย็นชืดค่อยๆ รู้สึกว่าชุ่มชื้นขึ้นมาทีละนิด เป็นนิมิตรหมายอันดีสำหรับรพีพงศ์

‘นาคินทร์เจ้ากำลังกลับมาหาพี่แล้ว…พี่สัมผัสถึงเลือดเวียนในกายของเจ้าได้’

รพีพงศ์ยอบกายลงนั่ง แขนยังคงตระกองกอดกายนาคินทร์ให้กึ่งนั่งกึ่งนอนบนตักกว้าง เปลือกตานั้นปิดลง ใจระลึกถึงคาถาให้สำแดงไอร้อนจากกายออกมาเพิ่มความอบอุ่นให้กับคนรัก

“คนดีของพี่ โปรดรับรู้ถึงพลังรักนี้แล้วตื่นขึ้นมาหาพี่เถิด” รพีพงศ์กระซิบใกล้ใบหูนิ่ม หวังให้เสียงนี้เรียกหาให้นาคินทร์ได้รับรู้ ใบหน้าเลื่อนมาประชิดจากนั้นจึงทาบทับริมฝีปากบางที่ยังคงเย็นอยู่ จุมพิตนี้บางเบาและอ่อนโยนคล้ายสะกิดนาคาที่กำลังนิทราหลับใหลให้รู้สึกตัว ค่อยเป็นเชื่อเพลิงจุดไฟรักในกายนาคินทร์ พลันรัศมีสีชาดเปล่งประกายห้อมล้อมกายสองไว้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านทั่วบริเวณ

“อื้อ” ผู้ถูกกระทำลักจูบส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอ รพีพงศ์จึงถอนจูบแล้วมองใบหน้าหวานนั้น เปลือกที่ตาหนักอึ้งค่อยๆ เปิดทีละน้อยจนเปิดกว้างเต็มตา ภาพแรกที่เห็นตรงหน้าคือใบหน้าหล่อเหลาชวนหลงใหล กำลังยิ้มกว้าง
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.6 100% (23/11/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 23-11-2018 11:20:33

“นาคินทร์!!! นาคินทร์!!! นาคินทร์เจ้ากลับมาหาพี่แล้ว” รพีพงศ์กอดรัดกายนาคินทร์เอาไว้แนบอก ตนมิได้ฝันไปใช่หรือไม่ ยามนี้ตนตื่นอยู่ใช่หรือไม่ หากเป็นความฝันคงจะเป็นฝันดีที่รพีพงศ์มิอยากตื่นขึ้นมา

“นาคินทร์…คือใคร ทะ…ท่านหมายถึงข้าหรือ” คำถามเปล่งออกมาเพียงแผ่วเบากลับทำให้รพีพงศ์รู้สึกหน่วงใจเล็กน้อย เพราะมัวแต่ดีใจจนลืมไปเสียว่านาคินทร์ได้ดื่มน้ำลืมความทรงจำ แม้เพียงหนึ่งหยดก็ตามที…นาคินทร์ลืมสิ้นแม้แต่นามของตนเอง ...นี่คงเป็นฤทธิ์ของน้ำลืมความทรงจำ...  รพีพงศ์ได้แต่นิ่งเงียบ

“ไยท่านจึงเงียบเสียเล่า ตอบข้ามาบัดเดี๋ยวนี้และปล่อยตัวข้าด้วย ท่านกอดรัด เสียจนข้าจนหายใจไม่ออกแล้ว” นาคน้อยของรพีพงศ์พยายามขืนดิ้น ปากขยับถามไถ่ไล่เอาคำตอบจากคนที่เงียบเฉยคล้ายจะไม่ได้ยินคำถามก่อนหน้านี้

“พี่ขอโทษที่มิได้ตอบเจ้าโดยเร็ว เจ้าเข้าใจถูกแล้ว เจ้ามีนามว่า...นาคินทร์” เมื่อถูกคนน่ารักเร่งเร้า รพีพงศ์จึงรวบรวมสติมิให้ล่องลอยไปกับเรื่องที่นาคินทร์จำอะไรไม่ได้ แล้วให้คำตอบนาคน้อยในอ้อมกอด

“ถ้าข้ามีนามว่านาคินทร์แล้วท่าน...มีนามว่ากระไร ข้าจักได้เรียกถูก อ่อ แล้วท่านมีความสัมพันธ์อันใดกับข้า เหตุใดจึงมาโอบกอดข้าเยี่ยงนี้” พอนาคินทร์รู้ว่าตนมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด จึงได้ถามเทวารูปงามที่กอดรัดตนต่อ

“พี่มีชื่อว่ารพีพงศ์…เป็นคนรักของเจ้า เจ้าจำได้หรือไม่” แม้จะรู้คำตอบภายในใจ ทว่ารพีพงศ์ต้องการที่จะฟังคำตอบจากปากของนาคินทร์เอง

“เป็นคนรักกระนั้นหรือ เหตุใดข้ามิได้รู้สึกเช่นนั้นเลย ข้า..เอ่อ…ข้า ไม่รู้สิ อึก…ข้านึกอันใดไม่ออกเกี่ยวกับท่านหรือแม้แต่ตัวข้าเลยสักนิด” นาคินทร์พยายามเค้นความทรงจำ หากมันกลับขาวโพลนไร้ทุกสิ่งในความคิด

“ไม่เป็นไร…นาคินทร์ หากเจ้าจำอันใดไม่ได้ หรือเจ้าลืมรักที่เรามีให้แก่กันแล้ว เจ้ามิจำเป็นต้องนึกดอก เพียงเจ้ากลับมาจากความตายคืนสู่อ้อมอกพี่ เท่านี้พี่ก็พึงพอใจ” รพีพงศ์ได้เห็นนาคน้อยทรมานจากการนึกถึงเรื่องราวในอดีตก็ยอมตัดใจ ไม่ขอให้นาคินทร์จำเรื่องราวความรักที่มีให้กันได้อีก

“ข้าขอโทษ ท่านคงเสียใจมาก…ฮึก..ขะ..ข้ามันแย่จริงๆ” นาคินทร์รู้สึกไม่ดีที่ตนกลับจำคนที่รักไม่ได้ รพีพงศ์เห็นคนงามหน้าตาดูหมองเศร้าพาลทำให้ใจเสียอยู่มิใช่น้อย …‘ถึงจะความจำเสื่อม ลืมเลือนทุกสิ่ง หากเจ้ายังคงเป็นเจ้าเสมอนาคินทร์ เจ้ายังคงห่วงใยความรู้สึกข้าและโทษตัวเองอยู่เสมอ’...

“หาใช่ความผิดของเจ้าไม่ เจ้าอย่าได้ขอโทษพี่ หรือกล่าวโทษตัวเองเลย” รพีพงศ์วางฝ่ามืออุ่นลงที่แก้มขาวของนาคน้อย

“แต่ข้า…”

“ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอันใดดอก ดีเสียอีกพี่นี้จะได้เกี้ยวเจ้าใหม่ คอยมองใบหน้าเจ้ายามเขินอายในเพลาพี่นั้นเอ่ยคำหวาน” ดัชนีทาบทับริมฝีปากนิ่มให้หยุดพูด รพีพงศ์สรรหาคำปลอบใจนาคินทร์รวมถึงตนเองด้วย ในอดีตการพบเจอของตนและนาคินทร์มิค่อยจะดีนัก อีกทั้งยังสร้างบาดแผลความเจ็บปวดให้นาคินทร์มากมาย การที่นาคินทร์ลืมทุกสิ่งย่อมเป็นผลดีกับรพีพงศ์และนาคินทร์เอง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตพระสมุทรกนธี

“ข้าเป็นคนรักของท่านจริงหรือ ข้ามิอยากจะเชื่อว่าท่านจะรักข้า อีกอย่าง…ในเมื่อข้าได้ตายไปแล้ว เหตุใดข้าจึงกลับมามีชีวิตอีกครา” นาคินทร์ถามย้ำ แม้จะรู้สึกไว้ใจและคุ้นเคยเทพหนุ่มรูปงามก็ตามที หากคนตรงหน้ากลับดูสง่างามเกินว่าจะลดตัวมารักกับตน อีกทั้งยังเป็นชายเฉกเช่นเดียวกันอีก ไหนจะเรื่องที่ตนนั้นถึงฆาตหากกลับมามีลมหายใจอีกครั้งอีก นาคินทร์รู้สึกว่าตั้งแต่ตนลืมตาทุกสิ่งที่เห็น ทุกสิ่งที่ได้ยินล้วนเป็นปริศนาทั้งสิ้น

“ไยเจ้ากล่าวเช่นนี้เล่า เอาเถิดหนาไว้เจ้ารอดูการกระทำของพี่ ว่าพี่รักเจ้ามากมายเพียงใด การที่เจ้ากลับมาส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพลังรักที่พี่มีให้กับเจ้า ในยามนี้เจ้ามิได้รักพี่ก็มิเป็นไร ตัวพี่เองก็จะรอ…รอเจ้ารักพี่ จำพี่ได้เช่นกัน” รพีพงศ์เอ่ยออกมาน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาจ้องมองอีกฝ่ายเผยความจริงใจทั้งหมดที่ตนมี

“ท่านจักรอไหวหรือ อาจจะไม่มีวันนั้นก็เป็นได้” นาคินทร์แสร้งถามดู ลองใจว่าเทวานามว่ารพีพงศ์ผู้นี้จะคิดทำเยี่ยงไร

“วันไหนเล่าที่เจ้าหมายถึง หากวันที่พี่จะไม่รักเจ้า ทอดทิ้งเจ้าเห็นทีจะไม่มีวันนั้น ดั่งที่เจ้าเอื้อยเอ่ยออกมาเมื่อครู่” ใครเล่าจักไม่รู้ว่านาคาในอ้อมกอดหมายความว่าเช่นไร…‘พี่รอได้นาคินทร์ ทว่าพี่คงจะรอเจ้าไม่นานดอกเพราะพี่จักทำให้เจ้ารักพี่ในเร็ววัน’...

“ข้าจักคอยดูว่าท่านจะพูดจริงหรือโป้ปดข้าเป็นแน่” นาคินทร์ท้าทายด้วยน้ำเสียงที่หาความจริงจังไม่ได้ ดวงใจของนาคน้อยพองโตเมื่อได้ยินถ้อยคำแสนหวาน ในใจตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงได้ใจเต้นแรงกับผู้ที่ตนเพิ่งสบตาด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกชอบเลยสักนิด

“เจ้าคอยไม่นานดอก…ฟอด” รพีพงศ์หอมแก้มนิ่มฟอดใหญ่ โทษฐานทำให้ตนนั้นหมั่นเขี้ยว

“ท่านรพีพงศ์…ท่านทำอะไร” นาคินทร์ทุบแผ่นอกกว้าง แล้วหันใบหน้าหนี ‘ไยท่านจึงชอบล่วงเกินข้า....แล้วมันทำให้ข้า...ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดแล้ว!!’

“อันใดกัน เพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมากลับมีแรงทุบตีพี่ เจ้านาคน้อย…มากกว่านี้พี่ก็ทำมาแล้ว...หากเจ้ายังขืนทุบตีพี่ไม่หยุด พี่คงต้องหอมแก้มเจ้ามากกว่านี้เสียกระมัง...” รพีพงศ์ขู่นาคินทร์เชิงเล่น ซึ่งดูท่าทางจะได้ผลดีชะงัด กำปั้นน้อยๆ ที่เคยทุบตีกลับหยุดค้างกลางอากาศแล้วลดลงไว้แนบหน้าท้องเนียน

“ท่านหยุดเลยนะ!!! เอะอะก็จะมาล่วงเกินกับข้า...” นาคินทร์ขืนตัวลุกขึ้นยืนออกจากอ้อมกอดของรพีพงศ์ ปากก็พร่ำถึงความผิดของเทวาหนุ่ม แต่ในใจ...ท่านจักต้องหยุด…หยุดทำให้ข้าเขินอายได้แล้ว...  “โอ้ย....” เสียงนาคินทร์ร้องลั่นเพราะยืนทรงตัวไม่ได้  ทำให้รพีพงศ์ต้องเข้าพยุงกายอีกครั้ง ก็ด้วยเกิดใหม่อีกครั้ง  ต้องค่อยๆ หัดยืนหัดเดินเหมือนเด็ก

“พี่มิได้ล่วงเกินเจ้าเลยสักนิด พี่แค่ปฏิบัติกับเจ้าเฉกเช่นคนรักเขาทำกัน อีกอย่างเจ้าเองต่างหากมิคิดจะอายเลยสักนิด ดูสิเปลือยกายยั่วยวนต่อหน้าพี่” รพีพงศ์มองนาคินทร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาจ้องมองราวกับเจอของหวานรสชาติชั้นเลิศ

“ทะ…ท่าน ห้ามหันมามองข้านะ หลับตาไปเลยคนลามก” นาคินทร์เบือนหน้าหนี พร้อมฟ้องร้องโวยวายออกมา อยากจะกัดลิ้นตนให้ตายเพื่อล้างอายเสียจริง

“ห่มผ้านี่เสีย…อ่อ เจ้ามิต้องอายดอก พี่ก็บอกแล้วมิใช่หรือว่ามากกว่านี้เราสองก็ทำกันมาแล้ว...พี่ทั้งเห็น ทั้งสัมผัส...เจ้ามาแล้วหลายครา” เวทมนตร์บันดาลให้ภูษาผืนบางสีกรมท่าปรากฏออกมาจากฝ่ามือของรพีพงศ์ เทวาหนุ่มรีบเอาผ้านั้นคลุมกายให้ นาคินทร์พอได้เห็นว่ามีบางสิ่งมาปกปิดกายจึงรีบจับไว้มิให้เลื่อนหลุด

“ขอบน้ำใจท่านสำหรับภูษาผืนนี้ หากข้ายัง…” นาคินทร์หันมาโดยไม่รู้ว่าใบหน้าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ใบหน้าของตนมากเพียงใด ยิ่งเทพหนุ่มจ้องใกล้ๆ  ใบหน้าของเจ้านาคน้อยก็รู้สึกว่าร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ  “ยังโกรธอยู่หรือ...เจ้าโกรธพี่เช่นนี้แล้ว เห็นทีเจ้าคงไม่ยอมไปเล่นน้ำให้สำราญใจกับพี่เป็นแน่” รพีพงศ์เปรยขึ้นมา ตาจ้องมองอากัปกิริยาของนาคน้อยคนงาม พอคำว่าเล่นน้ำได้หลุดร่วงออกจากปาก แววตานั้นเปล่งประกายคล้ายมัจฉาเริงร่าในวารี คงยังพอจดจำได้ว่าตนชอบเล่นน้ำ เทพหนุ่มก็หวังให้คนรักได้ผ่อนคลายบ้าง 

“เล่นน้ำหรือ...ข้าอยากไป...หากท่านพาข้าไป ข้าจะไม่เอาโทษถือความ จะยอมอภัยให้ท่านสักครั้ง” นาคินทร์เอ่ย รพีพงศ์ยิ้มกว้างก่อนจะอุ้มนาคินทร์ขึ้นมา

“ท่าน… ปล่อยข้านะ!!” นาคินทร์โวยวายจนหน้าแดง ไม่สิ สาเหตุที่หน้าแดงดั่งเนื้อในผลทับทิมคงจะมาจากความเขินอายที่ได้แนบอุราแสนอบอุ่นคุ้นเคยเสียมากกว่า

“เจ้าบอกพี่ให้พาไป พี่ก็พาเจ้าไป จะโวยวายไปไยเล่า” รพีพงศ์เอ่ย แล้วอุ้มนาคินทร์ซึ่งตอนนี้ใบหน้าบึ้งตึง

…‘ข้าจักทำอันใดมักจักแพ้ทางท่าน ต่อรองอันใดมิได้เลย!!’...

ชลธารใสสะอาดสะท้อนเงาสัตตบงกช อุบลงามหลากสี อันมากมีเต็มสระคอยส่งกลิ่นหอมเรียกเหล่าภุมริน ผีเสื้อ ตลอดจนวิหคสวรรค์ตัวน้อยคอยมาชื่นชมเกาะเกี่ยว เช่นเดียวกับเทวาชั้นสูงหากได้เข้ามาในสวนขวัญแล้ว ย่อมมาชื่นชมความงดงามอันเป็นที่เลื่องลือให้เป็นที่ประจักษ์

“หอม…หอมเสียเหลือเกิน” สายลมพัดพากลิ่นหอมของมวลกชกรต้องจมูกของนาคินทร์ให้ได้รับกลิ่น แม้จักอยู่ห่างไกลออกไปเล็กน้อย ทว่า…เมื่อรพีพงศ์เยื้องย่างเข้าใกล้สระทีละนิด ทีละก้าว กลิ่นหอมของดอกไม้ก็ยิ่งเพิ่มพูนเป็นทวีคูณ

“ถึงแล้วสระบัวกลางสวนขวัญ เจ้าเล่นน้ำเถิด พี่จะคอยเฝ้าภัยอันตรายมิให้กล้ำกราย” รพีพงศ์ประคองร่างนาคินทร์ให้ยืนเกาะกายตนไว้ นาคินทร์ค้อนมองรพีพงศ์เล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปชื่นชมสระบัว แม้จักเป็นยามรัตติกาลก็ตามที สระบัวนี้กลับงดงามยิ่งไม่แพ้ยามทินกรสาดส่อง ภาพตรงหน้าเรียกรอยยิ้มน้อยๆ ของนาคินทร์ออกมา...สระบัวนี้ช่วยเปลี่ยนอารมณ์ของนาคินทร์ได้ดีทีเดียว

“เจ้าไม่เล่นน้ำหรือนาคินทร์ ถึงได้ยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นนี้”

“เล่นสิ ข้าไม่พลาดดอก แต่ท่านจักต้องหันหน้าไปทางอื่นก่อน” ใช่…นาคินทร์ไม่มีทางพลาดโอกาสในการลงเล่นน้ำในสระบัวนี้ แต่หากลงไปทั้งที่มีผ้าคลุมกายไม่แคล้วที่จะเปียกปอน พอคิดจะให้อีกคนเสกผ้าให้ใหม่ก็มิรู้จะได้หรือไม่ จึงเหลือเพียงเปลือยกายลงน้ำเท่านั้น แม้จะเป็นชายด้วยกันก็ยังเขินอาย

“เหตุใดพี่จึงต้องหันไปทางอื่นด้วยเล่า” รพีพงศ์นึกสงสัยแต่ในใจพอจะเดาออกว่านาคน้อยคนงามจะทำอันใด

“ไม่ต้องมาซักถามข้าให้มากความ ข้าขอให้ท่านหันไปทางอื่นก็ทำเถิด” นาคินทร์เพียงค้อนสายตา รพีพงศ์ก็ยอมหันไปทางอื่น เทพหนุ่มทำได้แต่เพียงยิ้มน้อยๆ และส่ายหัวไปมาเบาๆ

“ห้ามหันมาจนกว่าข้าจักบอกนะ…ท่านรพีพงศ์” นาคินทร์กำชับรพีพงศ์ก่อนจะหันหลังให้ร่างสูง โดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้รพีพงศ์ได้แอบหันกลับเพื่อที่จะมองภาพตรงหน้า

…‘ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ... แต่ทำไมข้าต้องแอบดูเมียอาบน้ำด้วย’...

เป็นไปตามความคิดสันนิษฐานของรพีพงศ์ แต่ก็อดที่จะสงสัยการกระทำของตนเองไม่ได้... นาคินทร์พยายามเดินเอง รอบนี้ไม่มีล้ม ดัชนีทั้ง ๕ เคยกุมภูษาของนาคินทร์ได้คลายออก ปล่อยให้ผ้าผืนบางสีเข้มร่วงหล่นและสิ้นสุดกองลงตรงปลายเท้า ร่างเปล่าเปลือยอาบแสงแขทำให้ขับฉวีวรรณแลผุดผ่อง มิต่างจากอัปสรสวรรค์…ช่างโสภานำพาให้ใจสั่น

นาคาน้อยก้าวเท้าลงสระบัว เท้าค่อยๆ จมหายไปในวารี ยิ่งเยื้องย่างก้าวขา…ระดับน้ำยิ่งสูงขึ้น กายาท่อนล่างได้จมหายไปทีละน้อยไล่ตั้งแต่เข่าขึ้นไปจนถึงเอวคอด แล้วมันก็แปรเปลี่ยนเป็นกายนาค ดวงตาสวยคล้ายบิดาหากนัยน์ตาสีเขียวดั่งท้องทะเลลึกเช่นมารดา กวาดมองไปทั่วบริเวณ ทั้งยังก้มมองดูว่ามีน้ำนั้นลึกและมีใบบัวตลอดจนดอกบัวจำนวนมาก

“ท่านรพีพงศ์ หันมาได้แล้ว” เมื่อคิดว่ารพีพงศ์มิสามารถมองร่างเปลือยกายได้แล้วจึงตะโกนออกไป รพีพงศ์ได้ยินจึงหันกลับมา…‘นาคน้อยเอ๋ย…เจ้าหารู้ไม่ว่าพี่นี้มิได้ปล่อยให้เจ้าคลาดสายตาเลยสักนิด’…

นาคกับน้ำเห็นทีจะเป็นของคู่กัน สิ่งที่สะท้อนในแววตาคมของรพีพงศ์คือนาคินทร์ผู้ซึ่งกำลังดำผุด ดำว่าย บางคราก็สูดดมกลิ่นหอมของปทุมชาติ บางคราก็เล่นกับเหล่าผีเสือราตรี

“ท่านรพีพงศ์” นาคินทร์ว่ายน้ำเข้ามาชิดริมสระ ใบหน้างามเงยขึ้นมามองทั้งเรียกขานนามบุรุษผู้นั่งเฝ้าตนเอง

“มีอันใดหรือ...นาคินทร์”

“ท่านไม่เบื่อบ้างหรือ ต้องมานั่งเฝ้าข้า มองข้าเล่นน้ำ หากท่านเบื่อก็ลงมาเล่นน้ำในสระเสียสิ ข้ารับรองว่าสนุกไม่เบื่อแน่” นาคินทร์บอกกับรพีพงศ์ด้วยน้ำเสียงใส สีหน้าที่แสนจะร่าเริง ผิดกับรพีพงศ์พอได้ยินคำว่าเล่นน้ำ รพีพงศ์แทบจะล้มลงนอนเสียให้ได้เพราะตนนั้นไม่ถูกกับน้ำเลยสักนิด

“ข้ามิเบื่อดอก ต่อให้เฝ้าเจ้าทั้งวันทั้งคืนข้าก็มิเบื่อ” นี่มิใช่คำหวานเพื่อนำมาล่อหลอกใครให้หลงรัก หากคำพูดนี้รพีพงศ์ได้กลั่นออกมาจากใจจริง  นาคินทร์ได้ฟังถึงกับก้มหน้ามองต่ำ พยายามไม่ให้อีกคนเห็นความเขินอายที่กำลังฉายชัดบนพักตรางาม

“ตามใจท่านก็แล้วกัน…ข้าไปเล่นตรงโน้นจักดีกว่า” นาคินทร์ว่ายน้ำตีตัวกลับ ทว่า…

“อ๊ะ!! ขา!!!....ท่านรพีพงศ์!!! ขาข้าขยับไม่ได้!!!” ขาเรียวขยับไม่ได้ส่งผลให้นาคินทร์จมลงไปในน้ำ เสียงร้องลอยลมเข้าโสตประสาทเจ้าของนามรีบกระโดดลงไปในน้ำเข้าประคองร่างของนาคินทร์ไว้

“นาคินทร์!!!...นาคินทร์เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” ใจเอ๋ยใจ พอกลับมาก็จะจากอีกแล้วหรือนี่ รพีพงศ์กลัว…กลัวเหลือเกินที่จะต้องสูญเสียนาคินทร์ไปอีก

“อุ๊บ..คิก…ฮ่า..ฮ่า…ฮ่า…ท่านโดนข้าหลอก ข้าหาได้เป็นอันใดไม่” นาคินทร์หัวเราะลั่นให้กับผลงานที่สามารถหลอกรพีพงศ์ให้ลงน้ำได้

“พี่ไม่ขำไปกับเจ้าด้วยนะนาคินทร์ เจ้าอย่าล้อเล่นเช่นนี้ อย่าล้อเล่นด้วยการเอาความตายมาข้องเกี่ยว เจ้ารู้ไหมยามเจ้าร้องเรียกหา ภาพเจ้าจมน้ำเมื่อครู่ทำใจพี่แทบสลาย” เสียรู้เมียเข้าจนได้  ความรู้สึกเมื่อนาคินทร์กลับคืนมา ดวงใจของตนที่เป็นดั่งปราสาททรายล่มสลายได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ทว่า…ยามเห็นนาคินทร์เมื่อครู่ ความรู้สึกแปรเปลี่ยนราวกับว่าปราสาททรายนั้นถูกคลื่นซัดจนพังทลาย  แต่รพีพงศ์ก็ลืมคิดไปจะมีนาคตนไหนที่จมน้ำตาย…

“ขะ…ข้าขอโทษ” นาคินทร์รับรู้ถึงความรู้สึกของรพีพงศ์และรู้ตัวเองว่าตนเล่นเกินกว่าเหตุจึงกล่าวคำขอโทษต่อรพีพงศ์

“เอาเถิด พี่เองก็ตกใจจนลืมคิดไปเสียว่าเจ้านั้นเป็นเทวากึ่งนาคาจักจมน้ำเฉกเช่นเมื่อครู่คงเป็นไปมิได้” รพีพงศ์เอ่ย ความกลัว ความระแวง ทำให้รพีพงศ์ขาดความรอบคอบ

“ข้าเป็นเทวากึ่งนาคาหรือ” นาคินทร์ได้ฟังเรื่องชาติกำเนิดของตนจึงถามรพีพงศ์อีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าตนฟังไม่ผิด

“ใช่ บิดาของเจ้าคือเทพผู้แข็งแกร่งที่สุดในเทพนพเคราะห์ ส่วนมารดาเจ้าเป็นนาค”

“แล้วท่านล่ะ ท่านเป็นเช่นข้า เทวากึ่งนาคหรือไม่” เมื่อรู้ชาติกำเนิดของตนแล้วนาคินทร์น ก็กระสันใคร่รู้เรื่องราวของรพีพงศ์บ้าง

“ไม่…พี่มีสายโลหิตแห่งสุริยเทพผู้ยิ่งใหญ่อยู่เต็มกาย และผู้ใดบังอาจหลอกลวงบุตรแห่งสุริยเทพ ผู้นั้นจักถูกลงโทษ” รพีพงศ์ไม่ใช่แค่เอ่ยออกมา แขนแกร่งรวบกอดนาคินทร์ไว้แน่น

“อื้อ..ท่านรพีพงศ์ปล่อยข้า!!! ข้าขอโทษท่านแล้ว ท่านอย่าได้ลงโทษข้าเลย” ตากลมโตเบิกกว้างกว่าเก่า เมื่อได้ยินคำว่าลงโทษอีกทั้งยังถูกแขนทั้งสองของรพีพงศ์เป็นเชือกรัดไม่ให้ตนขยับหนีอีก

“พี่จำต้องลงโทษเจ้าให้หลาบจำ…” ใบหน้าคมเลื่อนเข้าหาหมายจักสำเร็จโทษนักโทษในอ้อมกอดด้วยการหอมแก้มให้แดงช้ำ ใจอยากจะแกล้งเมียเท่านั้น แต่ไม่ได้คิดสักนิดเลยว่าพ่อของคนที่ตนกำลังกลั่นแกล้งนั้นน่ากลัวเพียงใด

“รพีพงศ์!!! เจ้าจะลงโทษอันใดกับลูกข้า!!!” มิทันจะได้ฝังปลายจมูกลงปรางขาว เสียงทุ้มและความดุดันดังขึ้นมา ขัดจังหวะการลงโทษอันแสนหวานระหว่างรพีพงศ์กับนาคินทร์

…‘ทั้งที่พระศุกร์ไม่ได้เข้า เหตุไฉนจึงมีพระเสาร์เข้ามาแทรก’…













.............................

มาแล้วค่ะ ห่างหายไปนานเพราะข้านั้นจักต้องผสานกายหยาบให้นาคน้อย ทุกท่านโปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด

เพลานี้ทุกท่านคงจะสุขสันต์ในยามที่นาคินทร์ปรากฏ เว้นแต่รพีพงศ์ที่ไม่ชอบใจในตอนท้าย ข้าคิดว่าสุริยะบุตรคงทำบุญรอบจักรวาล

สุดท้ายนี้ข้าขอขอบน้ำใจทุกท่านที่ยังติดตามรอคอยหรือผู้ใดที่เข้ามาคราแรกโปรดติดตามต่อไปด้วยเถิด

ขอบน้ำใจทุกความคิดเห็น ไม่ว่าจะติชมหรือวิจารณ์ ข้านั้นขอบน้ำใจเป็นอย่างมาก รักทุกคน
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.6 100% (23/11/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 27-11-2018 10:20:09
นาคินทร์กลับมาแล้ว~
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.6 100% (23/11/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 27-11-2018 11:18:22
อิลุงเวรนี่แสบจริงๆต้องแช่แข็งแล้วทุบ  :z3:
อิตาพีนี่แหมพอน้องจำอะไรไม่ได้เก็บทั้งต้นทบดอกเลยนะหมั่นไส้  :hao6: :hao7:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.7 100% (07/12/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 07-12-2018 11:16:32
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 07







๑๐ อาชาขาวควบฝีเท้าเหาะเหินเดินอากาศ ทั้งคอยลากราชรถเครื่องใหญ่ อันมี ๑ ในเทพนพเคราะห์ผู้มีฉวีวรรณนวลผ่อง กายทรงเครื่องศิริอาภรณ์สีขาวเหลืองยืนจับบังเหียนบังคับทั้ง ๑๐ อาชาขาวให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเพื่อพาดวงจันทราส่องแสงทั่วทั้งสามโลก

อันแสงแขแม้จักไม่สว่างดั่งแสงสุรีของดวงทินกรในยามทิวา หากกำลังแสงอันน้อยนิดนั้นเพียงพอแล้ว…เพียงพอสำหรับให้ความสว่างจนสามารถเห็นภาพในห้องบรรทม ณ วิมานหงสบาท ภาพที่เทพผู้เป็นใหญ่นอนเปลือยกายท่อนบนกำลังหลับใหลบนบรรจภรณ์

ทว่า...บางคราอยากจะให้แสงจันทร์สว่างพอจะส่องความฝันของพระเสาร์ได้ ความฝันที่ทำให้เทพผู้มิเคยจะต้องสะทกสะท้านต่อสิ่งใด ถึงกับเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก

“ลูกพ่อ!!!”

พระเสาร์อุทานออกมาเสียงดังลั่น ดวงตาอันไร้หน้ากากเบิกกว้าง แผงอกแกร่งกระเพื่อมถี่ตามจังหวะและแรงหายใจ หันมองไปรอบกายพบว่าตนนั้นอยู่ในห้องเพียงลำพัง เมื่อยกหัตถาทั้งสองขึ้นมาก็พบแต่ความว่างเปล่าไร้สิ่งใด พระเสาร์จึงตระหนักได้ว่าตนคงฝันไป ความฝันที่คล้ายจะเป็นลางบอกเหตุ…เหตุอันซึ่งเป็นความจริง

“นาคินทร์…ลูกกลับมาแล้ว” พระเสาร์ผู้ไม่เชื่อสิ่งใด แต่ครานี้กลับเชื่อในความฝันและสัญชาตญาณความเป็นพ่อของตนเอง ทันใดนั้นร่างสูงลุกจากแท่นบรรจถรณ์ ให้เหล่าผู้รับใช้แต่งองค์ทรงอาภรณ์ เร่งเท้าก้าวออกจากวิมานก่อนจะเรียก ‘พยัคฆ์’ สัตว์พาหนะออกมาให้พาตนไปยังสวนขวัญ

นานเท่าไหร่แล้วที่มิได้รู้สึกเช่นนี้ ตลอดการเดินทางพระเสาร์ระลึกถึงแต่ความฝันอันเป็นเหตุให้ตนต้องตื่นบรรทม ราวกับว่าเทพแห่งความฝันได้เข้ามาแทรกแซงแจ้งข่าวอันหน้ายินดีให้กับตน เรื่องราวนั้นมีอยู่ว่ารพีพงศ์บุตราแห่งสุริยเทพได้นำไข่มุกมรกตมาให้ เมื่อพระเสาร์ยื่นหัตถ์รับไว้ พลันไข่มุกมรกตแสนวิเศษกลับแตกกระจายกลายเป็นกลุ่มควันก่อรูป ก่อร่างกลายเป็นหนุ่มรูปงามยิ่งกว่านางอัปสรติโลตตมาปรากฏอยู่ตรงหน้า

…นาคินทร์ บุตรของตนได้กลับมาแล้ว…

มิช้านาน พยัคฆ์สัตว์เทวาพาหนะได้พาผู้เป็นนายมาถึงยังสวนขวัญ เหล่าทหารเทวาผู้เฝ้าสวนขวัญต่างเปิดทางให้พระเสาร์ได้เข้าไปด้วยรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย จากการที่พระผู้สร้างได้รับสั่งไว้ล่วงหน้า

…‘เพลานี้นอกจากเราและบุษยะแล้วไซร้ จงอย่าให้ผู้ใดเข้าไปในสวนขวัญได้อันขาด เว้นแต่พระเสาร์เพียงผู้เดียว’…

แม้จักไม่เข้าใจเหตุผลนัก หากการมาเยือนสวนขวัญของพระเสาร์นั้น ได้แสดงสิ่งที่ทหารเหล่านี้ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีบุญได้พานพบถึงสองครั้ง ยิ่งกว่าการที่เทพผู้แข็งแกร่งจักออกจากวิมานเสียอีก นั่นคือใบหน้าเปี่ยมสุขของพระเสาร์

พระเสาร์มุ่งหน้าไปยังต้นไม้แห่งชีวิต ทุกขณะจิตที่ย่างก้าวดวงใจนั้นเต้นรงแทบทะลุอก ทั้งตื่นเต้น ยินดี ความรู้สึกเหล่านี้ระคนปะปนกันยุ่งเหยิง…‘นาคินทร์ เจ้าจักกลับมา...กลับมาให้ข้าได้สัมผัสกับคำว่าพ่อแล้วใช่หรือไม่’... คราแรกที่มาก็มิตื่นเต้นมากนักเพราะนาคินทร์ยังคงอยู่ในดวงแก้ว แต่พระเสาร์ก็ไม่คิดจะเตรียมใจเลยสักนิด หากความปรารถนาที่จะได้เห็นผู้สืบสายโลหิตฟื้นคืนชีพในครานี้…ไม่เป็นดังหวัง

“นาคินทร์...” ดวงตาข้างเดียวมองต้นไม้แห่งชีวิตตรงหน้า กลับไร้ซึ่งร่างของนาคินทร์ผู้เป็นลูกรวมถึงรพีพงศ์เองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ มีเพียงกิ่งก้านของต้นไม้แห่งชีวิตโน้มลงมาเท่านั้น พอจักเป็นคำใบ้ให้พระเสาร์ได้คิดลำดับเหตุการณ์

…‘หรือว่า…นาคินทร์ฟื้นคืนชีพแล้วแต่รพีพงศ์ลักพาไปมิยอมบอกข้า’…

แค่คิดอารมณ์ที่คล้ายกับน้ำนิ่งเริ่มกลับกลายคล้ายจะหมุนวนเป็นเกลียวคลื่นยักษ์ ที่พร้อมจะกวาดล้างทำลายสรรพสิ่งโดยเฉพาะ…รพีพงศ์!!! ที่บังอาจลักพาตัวนาคินทร์ไป

ขณะที่พระเสาร์กำลังโกรธอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงแว่วคล้ายว่ามีผู้อื่นกำลังหัวเราะอยู่ ต้นเสียงก็มิได้อยู่ห่างไกลเลย แน่นอนว่าพระเสาร์มิใคร่ยืนรับฟังเสียงหัวเราะนี้อยู่กับที่ เทวารัศมีสีม่วงรีบเดินไปตามเสียงนั้น ก็เป็นทางตรงไปยังสระบงกช มิทันจะเคี้ยวหมากแหลกพระเสาร์ก็มาถึง…ภาพแรกที่ปรากฏตรงหน้าคือบุตรพระอาทิตย์กำลังสวมกอดบุตรของตนในสระบัว

“อื้อ..ท่านรพีพงศ์ปล่อยข้า!!! ข้าขอโทษท่านแล้ว ท่านอย่าได้ลงโทษข้า” นาคินทร์พูดพร่ำขอโทษไม่หยุด

“พี่จำต้องลงโทษเจ้าให้หลาบจำ…” ใบหน้าคมเลื่อนเข้าหาหมายจักสำเร็จโทษนักโทษในอ้อมกอดด้วยการหอมแก้มให้แดงช้ำ พระเสาร์มองดูก็รู้ว่าการลงโทษของรพีพงศ์อยู่ในรูปแบบใด…ก็เพราะตนเคยทำมาก่อนน่ะสิ

“รพีพงศ์!!! เจ้าจะลงโทษอันใดกับลูกข้า!!!” คงไม่มีพ่อคนไหนจะปล่อยให้ลูกยาต้องถูกใครหน้าไหนมาข่มเหงรังแก เสียงทุ้มระคนความดุดันดังขึ้นมา ขัดจังหวะการลงโทษอันแสนหวานระหว่างรพีพงศ์กับนาคินทร์ ถึงจักรู้อยู่เต็มอกก็ตามว่ารพีพงศ์มิได้หมายทำร้ายนาคินทร์

สุรเสียงแสนคุ้นเคยสำหรับรพีพงศ์ ความดุดันในน้ำเสียงทำให้เทพหนุ่มผละกอดจากคนรักและขยับกายหันไปหาผู้ที่ยืนอยู่ใกล้สระ รพีพงศ์ถึงกับตกใจไม่น้อยเมื่อสิ่งที่เห็นเป็นไปตามที่คาดเดาไว้และรพีพงศ์รู้ว่าตนนั้นสร้างเรื่องไม่พอใจให้กับผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าพ่อตาเสียแล้ว

‘หมับ’

รพีพงศ์ปล่อยให้นาคินทร์ให้เป็นอิสระได้ไม่นาน นักโทษตัวน้อยกลับสวมกอดร่างสูง ใบหน้างามนั้นซุกลงยังแผ่นหลังกว้าง รพีพงศ์อาจจะคุ้นเคยน้ำเสียงของพระเสาร์ ทว่านาคินทร์กลับไม่คุ้นเคย ซ้ำยังเกรงกลัวจนต้องอิงแอบแนบหลังแล้วสวมกอดรพีพงศ์เอาไว้แน่น…นาคินทร์ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังหาเรื่องตายให้กับรพีพงศ์

“ข้าเพียงหยอกล้อกับนาคินทร์ก็เท่านั้น…พระเสาร์” รพีพงศ์ตอบกลับไป หากคำตอบกลับเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเสียมากกว่าเพราะเพลานี้จิตใจของพระเสาร์จดจ่ออยู่ที่นาคินทร์ นาคน้อยเองรับรู้ได้ว่าเทพผู้น่าเกรงขามผู้มาใหม่กำลังมองตนจึงรีบซุกใบหน้าแอบแนบหลังเกราะกำบังอย่างรพีพงศ์

“นาคินทร์…เจ้าอย่าได้กลัวข้าเลย ไม่สิ ข้าต้องพูดว่า…ลูกอย่าได้กลัวพ่อเลย พ่อมิใช่คนใจร้าย ใจดำ” พระเสาร์เอ่ยกับนาคินทร์ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นจนรพีพงศ์ได้ฟังแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือพระเสาร์ หาใช่ผู้ใดจำแลงกายมา…‘ขนาดไม่ใจร้าย ข้าแทบจักเอาชีวิตไม่รอด’... รพีพงศ์คิดในใจ ภาพพระเสาร์ใช้มือล้วงเข้าไปควักไข่มุกมรกตในท้องของตน รพีพงศ์ยังคงจำได้ดี

“พะ…พ่อ ท่านคือพ่อของข้าหรือ” นาคินทร์เอ่ยออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้อนตามองใบหน้าที่มีหน้ากากปกปิดไปเสียครึ่งหน้า แม้จะปกปิดแต่ความดูดี น่าเกรงขาม รวมถึงดวงตาคมดุซึ่งมีความอ่อนโยนซุกซ่อนอยู่ในนั้น…ความอ่อนโยนที่ถูกส่งทอดมาให้นาคินทร์ผู้เป็นบุตร

“ใช่ เจ้าคือลูกของพ่อ นาคินทร์เอ๋ย…เจ้าขึ้นมาจากสระให้พ่อนี้ได้กอดเจ้าเถิด” ความผูกพันของสายเลือดนั้นยากที่ใคร่จะอธิบาย แม้มิเคยเลี้ยงดูฟูมฟัก แต่เมื่อได้พบหน้าแล้ว พระเสาร์กลับรักและเอ็นดูนาคินทร์ จนลืมเลือนอคติต่างๆ ที่เคยตั้งกำแพงไว้จนหมดสิ้น

“ท่านรพีพงศ์พาพ่อของข้าไปรอยังต้นไม้ใหญ่เมื่อครู่ก่อนเถิด แล้วข้าจักตามไป” นาคินทร์บอกกับรพีพงศ์

“ไยเจ้าจึงให้พ่อไปรอที่อื่นเล่า เหตุใดจึงไม่ขึ้นจากสระ หากเกรงว่าพ่อกอดเจ้า แล้วจักเปียกปอนไปด้วย ก็ขอเจ้าอย่าได้ห่วงเลย พ่อนี้ยอมเปียกเพื่อได้กอดเจ้า”

“การกลัวท่าน…เอ่อ..ท่านพ่อเปียกปอนนั้นเป็นเพียงประการหนึ่ง อีกเหตุผลคือข้าเปลือยกายมิได้นุ่งผ้า คงมิอาจขึ้นจากสระได้ในเพลานี้” คำตอบของนาคินทร์ส่งผลให้รพีพงศ์เสียวสันหลังอีกครา การที่อยู่ในสระกับนาคินทร์ในสภาพที่ล่อแหลมโดยมีพ่อของนาคน้อยยืนส่งสายตาไม่พอใจอยู่เนืองๆ หากขึ้นจากสระพาพระเสาร์ไปยังต้นไม้แห่งชีวิต เห็นทีสวนขวัญจักกลายเป็นสุสานของรพีพงศ์เป็นแน่แท้

“พ่อเข้าใจเจ้าแล้ว…รพีพงศ์เจ้าขึ้นจากสระบงกชแล้วพาข้าตามความต้องการของนาคินทร์เถิด” พระเสาร์ควบคุมอารมณ์ความหวงลูกเอาไว้ในอุราเพราะไม่อยากให้นาคินทร์เห็นด้านไม่ดี ด้านโมโหของตนจนพาลกลัวไม่เข้าใกล้ รพีพงศ์เองยังแปลกใจในคำพูดคำจาหากทำตามแต่โดยดี สุริยบุตรขึ้นจากสระเดินนำหน้าพระเสาร์ ก่อนไปนั้นก็ไม่ลืมจัดแจงเสกอาภรณ์ให้นาคินทร์ได้สวมใส่

“นาคินทร์ฟื้นขึ้นมาเมื่อใด เหตุใดเจ้าจึงมิแจ้งข้า…รพีพงศ์” เมื่อเดินจนพ้นสายตาของนาคินทร์ พระเสาร์ได้ทิ้งบทบาทบิดาผู้แสนดีกลายเป็นงูจงอางหวงไข่เฉกเช่นเดิม

“นาคินทร์เพิ่งฟื้นคืนชีพได้มินาน ข้าเองคอยเฝ้าดูแลนาคินทร์จนไม่ได้มีเวลาให้ผู้ใดออกไปแจ้งท่าน” รพีพงศ์ตอบ พระเสาร์ได้ฟังก็คิดในใจ…‘ดูแลใกล้ชิดเสียจริง กอดลูกข้าในสระจนแทบหลอมร่างเป็นหนึ่งเดียวอยู่แล้ว’...

“แล้วลูกข้าเป็นเช่นไรบ้าง มีสิ่งใดผิดปกติหรือผิดแผกไปจากเดิม” พระเสาร์ยังคงถามต่อ แม้จะพอเดาออกว่าเกิดอันใดขึ้นกับบุตรของตน

“นาคินทร์จำเรื่องราวอันใดมิได้เลย อันเกิดจากนาคินทร์ต้องน้ำลืมความทรงจำไปแต่พระกาฬไชยศรีได้บอกกับข้าว่านาคินทร์กลืนน้ำเพียงหนึ่งหยดเท่านั้น ยังมีโอกาสที่จะจำทุกอย่างในอดีตได้” รพีพงศ์ตอบ ในใจลึกๆหวังว่าจักต้องมีวันนั้น…วันที่นาคินทร์จำทุกสิ่งได้แต่อีกใจหวังให้ลืมน่าจะเป็นผลดีเสียกว่า ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ในสิ่งดีๆระหว่างตนกับนาคินทร์

“กระนั้นหรือ…เช่นนั้นนาคินทร์คงลืมเจ้า ลืมสิ้นความรักของเจ้าที่มีให้กับลูกของข้า”

“ใช่ นาคินทร์ลืมข้า ลืมแม้กระทั่งตัวเองเป็นใคร ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ข้าสัญญากับตนเองว่าจะทำให้นาคินทร์กลับมารักข้าอีกครั้ง” รพีพงศ์เอ่ยออกมาด้วยจิตแน่วแน่

“ข้าขอชื่นชมความรักที่เจ้านั้นมอบให้แก่นาคินทร์ หากตัวข้ากลับมิต้องการเพราะวงศาของเราสองมิควรจะบรรจบกัน เมื่อชะตาลิขิตให้ลูกข้าจำมิได้ เจ้าก็อย่าได้พยายามอันใดเลย เจ้าเองไปหาผู้อื่นเสียเถิดอย่ามาสนใจลูกข้า” พระเสาร์ทำทีลองใจ ผู้เป็นบิดาของนาคน้อยยอมรับว่าคราแรกมิพึงพอใจแม้แต่น้อยที่นาคินทร์รักใคร่ชอบพอบุตรแห่งทินกร ทว่าความรักของรพีพงศ์นั้นแสดงเป็นประจักษ์แก่สายตา จึงใคร่จะเปิดใจให้

“ข้าหาได้คิดเช่นท่านไม่…พระเสาร์ เป็นดั่งท่านกล่าวว่ากงล้อแห่งโชคชะตาหมุนวนบิดเบี้ยวลิขิตให้ข้าถูกนาคินทร์ลืมเลือนแต่ข้ากลับคิดว่านี่คือบททดสอบให้ข้าได้ดูแลนาคินทร์มากยิ่งขึ้น รักมากยิ่งขึ้น อีกอย่างข้าขอเอ่ยกับท่านตรงนี้เลยว่าข้ามิคิดจะหาผู้ใดมาแทนที่นาคินทร์ได้…ในสายตาข้า ตลอดจนดวงใจของข้ามีเพียงนาคินทร์ผู้เดียวเท่านั้น”

“น้ำคำใครๆ ก็สามารถเรียบเรียงให้สวยหรูงดงามได้ แต่ข้าหาเชื่อเจ้าไม่…รพีพงศ์” พระเสาร์ยังคงลองใจคนรักของบุตรตนเอง… ‘ข้าเห็นเจ้าฝ่าฟันอุปสรรค เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ข้าถือว่าเจ้านั้นมีความสามารถพอตัว แต่ข้าอยากรู้คำตอบว่าเจ้าจักทำเช่นไร หากข้านั้นมิยินดี’…

“ข้าขอโอกาสจากท่าน…พระเสาร์ ขอโอกาสให้ข้านั้นได้พิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าข้ารักนาคินทร์เพียงใดและข้าจะเป็นผู้พิสูจน์ว่าวงศาทั้งสองของเราสามารถเป็นทองแผ่นเดียวกันได้” คำตอบของรพีพงศ์สร้างความพอใจให้แก่พระเสาร์…‘เจ้าช่างกล้าหาญที่บังอาจมาขอโอกาสจากข้า ในเมื่อเจ้าขอมา ข้านั้น…’

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าแต่ข้าจะกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อให้เจ้ามิทำสิ่งอันไม่สมควรแก่ลูกข้าและข้าขอบอกกับเจ้าไว้ ณ สวนขวัญแห่งนี้ หากนาคินทร์ไม่รักเจ้า เจ้าจงเดินออกไปจากชีวิตของนาคินทร์ เจ้าตกลงหรือไม่”

“ข้าตกลง” รพีพงศ์มั่นใจ

“ข้าขอถามเจ้าอีกเรื่อง…มุตตาแม่ของนาคินทร์อยู่ที่ใด” พระเสาร์ซักถามเรื่องสำคัญอีกหนึ่งประการที่ใคร่อยากรู้ตลอดช่วงชีวิต

“ข้าขออภัยท่านจริงๆ…พระเสาร์ ข้าสัญญากับท่านน้ามุตตาไว้ว่าจักไม่บอกถิ่นอาศัยกับใคร ซ้ำท่านน้ำยังกำชับด้วยอีก...โดยเฉพาะกับท่าน” รพีพงศ์ตอบ พระเสาร์นิ่งเงียบแต่มิใช่ความนิ่งเงียบชวนเยือกเย็น หากชวนเศร้าจนสามารถสัมผัสได้ถึงหมอกสีเทากระจายรอบกาย

“พูดคุยอันใดกัน หน้าตาน่ากลัวเสียจริง” นาคินทร์ซึ่งอยู่ในอาภรณ์สีขาวนวล เยื้องย่างเข้ามาใกล้บุรุษทั้งสอง

“มิมีอันใดดอก เจ้าอย่าตกใจไปเลย” พระเสาร์เอ่ย พร้อมเข้ากอดบุตรชายเอาไว้แนบอกให้สมกับรัก อย่างน้อยเพลานี้ยังมีนาคินทร์อันเป็นตัวแทนความรักของทั้งสอง นาคินทร์มิได้ขัดขืนแต่อย่างใด ด้วยความรักของพ่อลูกที่พระเสาร์ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสนี้ได้ก่อตัวขึ้นกลายเป็นเส้นไหมมัดมี่ถักทอไว้ห่มใจให้อบอุ่น หัตถายกขึ้นมาลูบเกศาเปียกชื้นแผ่วเบาพลันเส้นผมนั้นกลับแห้งราวกับว่าไม่เคยสัมผัสน้ำมาก่อนหน้านี้

“ผมข้ามิเปียกปอนแล้ว ท่าน..ท่านพ่อทำได้เช่นไรกัน” นาคินทร์ถูกใจยิ่งนัก นาคน้อยผละกอดทั้งยกมือจับเส้นผมขึ้นมาดู ท่าทางราวกับเด็กน้อยทำให้พระเสาร์อดเอ็นดูไม่ได้ ไม่คิดเลยว่ามนตราเด็กเล่นเช่นนี้จะเรียกรอยยิ้มของนาคินทร์ได้

“พ่อเพียงใช้คาถาง่ายๆ หากเจ้าอยากทำพ่อนั้นจะสอนเจ้า”

“ท่านรพีพงศ์…ท่านเห็นหรือไม่ว่าพ่อข้าเก่งแค่ไหน” นาคินทร์ในเวลานี้ไม่ต่างจากเด็กอวดของเล่น แขนเรียวเข้ากอดแขนแกร่งไว้ ใบหน้าเปื้อนยิ้มภาคภูมินั้นมอบให้รพีพงศ์ได้เห็น ท่าทางความกลัวที่มีต่อพระเสาร์ได้หายไปพร้อมกับธาราที่เคลือบเส้นผมดำขลับ

“ข้าเห็นแล้ว” รพีพงศ์เองต้องกลั้นขำนาคินทร์ไว้กับท่าทางของนาคินทร์

“ท่านพ่อสอนข้าเถิด ข้าอยากทำได้แล้ว”

“ไว้กลับวิมาน พ่อจักสอนเจ้า” รอยยิ้มละมุนเผยออกมา รพีพงศ์ได้เห็นถึงกับคิดว่าตนมีบุญอย่างยิ่งที่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของพระเสาร์ ซึ่งแตกต่างจากรอยยิ้มยามต้องการสังหารตน

“ช้าอยู่ไยเล่ารีบพาข้ากลับวิมานเถิดท่านพ่อ ข้าอยากเรียนคาถาวิเศษนี้จากท่าน อีกอยากข้าอยากเจอท่านแม่ด้วย...”

คำว่า ‘ท่านแม่’ ของนาคินทร์ช่างมีอิทธิพลต่อเทพทั้งสอง พระเสาร์มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจอย่างเห็นได้ชัด จะบอกลูกเช่นไรว่าตนเองมิได้พบเจอมุตตามาหลายร้อยปี รพีพงศ์เองจึงใช้ความคิดแก้ไขสถานการณ์นี้

“ท่านน้ามุตตา แม่ของเจ้ากำลังถือศีลอยู่ในมหาสมุทร เพลานี้มิได้อยู่ในวิมานดอกหนา” รพีพงศ์เป็นฝ่ายตอบคำถามของนาคินทร์

“เช่นนั้นวันพรุ่งข้าจะลงไปหาท่านแม่ จะบอกให้ท่านแม่กลับมาที่วิมาน” นาคินทร์เอ่ยตามประสาผู้ไม่รู้อันใดเลย หากกลายเป็นเปลวเทียนที่จุดประกายให้คบเพลิงแห่งความคิดของพระเสาร์ลุกโชนขึ้นมา

“หากเจ้าต้องการ พ่อจักให้รพีพงศ์ไปตามแม่ของเจ้า ส่วนเจ้าพ่อจักให้รออยู่กับพ่อที่วิมานก่อนเถิด” คล้ายจับนาคินทร์เป็นตัวประกัน พระเสาร์รู้จุดอ่อนของรพีพงศ์ว่าคงมิอาจปฏิเสธนาคินทร์ได้

“ท่านรพีพงศ์ ท่านยินดีจักช่วยข้าหรือไม่” นาคินทร์หันไปถามผู้ที่ได้รับภาระหนัก พระเสาร์เอ่ยมาเช่นนี้หากตนมิสามารถพามุตตามาหาได้เห็นทีนาคินทร์คงเสียใจเป็นแน่แท้

“พี่จักพยายามพาท่านน้ามุตตากลับมาให้ได้แต่ต้องขึ้นอยู่กับท่านน้ามุตตาว่าจักต้องการถือศีลต่อไปหรือไม่…เจ้าเข้าใจที่พี่พูดหรือไม่นาคินทร์” รพีพงศ์ใช่ว่าจักไม่รู้ว่าพระเสาร์คิดเช่นไรจึงพยายามพูดให้นาคินทร์มิคาดหวังถ้าหากมุตตาไม่ยอมออกมาจากถ้ำใต้มหาสมุทรสองนที

“ข้าเข้าใจ แต่ข้าเองหวังว่าท่านแม่จะกลับมาหาเช่นกัน ถึงเพลานั้นท่านแม่คงกอดข้าเฉกเช่นเดียวกับที่ท่านพ่อกระทำต่อข้า” นาคินทร์เอ่ยคล้ายอ้อนวอนดูเหมือนจะเข้าทางพระเสาร์เสียทุกอย่าง

“พี่บอกเจ้าไว้ก่อนนะนาคินทร์ ว่ามารดาเจ้านั้นมิโสภา หน้าตาร่างกายล้วนเหี่ยวย่นเกินวัยเจ้าจักต้องไม่ตกใจหรือแสดงอัปกริยารังเกียจออกมาและหากเจ้าฟังจากปากพี่เช่นนี้ เจ้าจินตนาการจนพาลนึกเกรงกลัวก็จงบอกพี่ ไว้เจ้าทำใจได้พี่จักออกไปตามท่านน้ามุตตา” ถ้อยคำร้อยเรียงเป็นประโยคนี้มิได้บอกนาคินทร์เพียงผู้เดียว ทว่ารพีพงศ์ต้องการบอกความนัยต่อพระเสาร์ด้วย

“ข้ามิสนใจดอกท่านรพีพงศ์ ข้าลืมทุกสิ่งรวมถึงความกลัว ไม่ว่ามารดาข้าจักเป็นเช่นไร นั่นก็คือแม่ของข้า” นาคินทร์เอ่ย รพีพงศ์ได้ฟังก็รู้คำตอบว่านาคินทร์นั้นต้องการพบแม่มากมายเพียงใด เหลือเพียงพระเสาร์ที่นิ่งเงียบจนรพีพงศ์สบตาคล้ายบอกให้พระเสาร์เอื้อนเอ่ยออกมา

“ลูกข้าบอกเจ้าแล้วว่ามินึกรังเกียจหรือกลัวอันใด ราตรีนี้เจ้าก็กลับวิมานของเจ้าเพื่อไปพักผ่อนและยามที่บิดาเจ้าเคลื่อนราชรถนำสุริยนสู่ท้องนภา เจ้าจงมารับของวิเศษเพื่อใช้ในการเดินทางสู่ห้วงมหาสมุทรจากข้า” คำตอบของพระเสาร์ได้แฝงในคำพูด รพีพงศ์ตีความได้ว่าพระเสาร์เองมินึกรังเกียจนางนาคี

“เป็นอันว่าข้าตกลงตามที่ท่านต้องการ…พระเสาร์”

“แต่ข้าไม่ตกลง” นาคินทร์เอ่ยออกมา สร้างความประหลาดใจให้กับพระเสาร์และรพีพงศ์

“เจ้ามิเห็นชอบอันใด ไหนลองบอกพ่อมาเถิด…นาคินทร์”

“ข้าไม่เห็นด้วยที่ท่านพ่อให้ท่านรพีพงศ์กลับวิมานของตนเอง ไหนๆวันพรุ่งท่านรพีพงศ์จักต้องกลับมา ณ วิมานของท่านพ่อ ข้าคิดว่าคืนนี้ให้ท่านรพีพงศ์พักผ่อนที่วิมานเราน่าจักเป็นการดี” นาคินทร์เสนอความคิดนั่นทำให้รพีพงศ์รู้สึกดีมิใช่น้อย ผิดกับพระเสาร์จอมหวงลูกถึงจะเปิดใจให้รพีพงศ์แต่พอได้เห็นนาคินทร์เป็นห่วงเป็นใยก็อดหมั่นไส้ว่าที่ลูกเขยมิใช่น้อย

“หากเจ้าต้องการพ่อเองก็จะให้ในสิ่งที่เจ้าอยากได้ รพีพงศ์จักนอน ณ วิมานของเราแต่จักนอนแยกห้องกับเจ้า ส่วนเจ้าเองมานอนในห้องของพ่อ” พระเสาร์เอ่ย นาคินทร์พยักหน้าเห็นรับเห็นชอบ ด้านรพีพงศ์ได้ฟังถึงกับขบคิดว่านี่สินะคือจงอางหวงไข่…ทั้งที่ไข่นี้โดนตนเจาะ ชิม มาแล้วหลายครา กระนั้นรพีพงศ์ยินยอมไม่โต้แย้งอย่างน้อยก็ได้นอนใต้ชายคาเดียวกัน

*-*-*-*

พยัคฆ์อันเป็นสัตว์พาหนะของพระเสาร์ได้พาผู้เป็นนายรวมถึงนาคินทร์เหาะทะยานออกจากสวนขวัญพร้อมกับลูกไฟขนาดใหญ่ ซึ่งก็คือรพีพงศ์ที่กำลังมุ่งหน้าสู่วิมานหงสบาทเพื่อเข้าสู้ห้วงนิทราให้แรงกายฟื้นฟู ส่วนแรงใจนั้นบัดนี้มีมากจนล้นเหลือ

“ท่านรพีพงศ์…ท่านรพีพงศ์ตื่น” เสียงหวานใสเรียกปลุก ผู้ถูกเรียกขานลืมตาขึ้นมาพบกับใบหน้างามของนาคินทร์

“เช้าแล้วหรือนี่…เหตุใดพี่จึงรู้สึกว่าเพิ่งจักได้นอนเพียงเท่านั้น” รพีพงศ์เอ่ย ดวงตาคมมองไปด้านนอกผ่านกรอบหน้าต่างที่เปิดกว้าง บัดนี้ดาวประกายพรึกส่องแสงบ่งบอกว่าเพลาเช้ามืดได้มาเยือนแล้ว

“ข้าขออภัยที่มาปลุกท่านในยามนี้ หากข้าอยากร่วมเดินทางไปหาท่านแม่ของข้าด้วย ท่านรพีพงศ์โปรดพาข้าไปด้วยเถิด” นาคินทร์อ้อนวอน มือนิ่มจับเข้าที่ต้นแขนของอีกฝ่าย

“พี่อยากพาเจ้าไปอยู่ดอก หากจักต้องถามพระเสาร์บิดาของเจ้าเสียก่อน นอกจากนี้ตัวพี่ไร้ซึ่งของวิเศษจะลงไปในห้วงวารีก็ไม่ได้” รพีพงศ์ลุกขึ้นนั่งแล้วชี้แจงเหตุผลให้นาคาหนุ่มข้างกาย

“ท่านอย่าได้กังวล ข้านั้นช่วยท่านได้…ได้โปรดพาข้าลงไปด้วยเถิด หากท่านพ่อไม่พอใจข้าจักช่วยพูดให้ท่านเอง” รพีพงศ์นึกเอ็นดูนาคินทร์ นาคน้อยแสนรักคงอยากจะพบมารดาเป็นอย่างมาก

“เจ้าบอกพี่มาก่อนว่าเจ้านั้นจักช่วยพี่ได้อย่างไรเล่า” ของวิเศษเช่นไข่มุกมรกตอยู่ในกายของนาคินทร์ หากการที่รพีพงศ์จะไปหามุตตาได้คือต้องรอของวิเศษจากพระเสาร์

“ข้าแอบหยิบแหวนของท่านพ่อมา ท่านพ่อบอกกับข้าว่าจะให้สิ่งนี้กับท่าน ซึ่งคือแหวนวิเศษ อัญมณีทำมาจากน้ำตานางเงือก ผู้ใดสวมใส่สามารถหายใจใต้น้ำได้ อีกทั้งเรี่ยวแรงไม่มีทางหมด” นาคินทร์ส่งแหวนมาให้รพีพงศ์ เทพหนุ่มจึงรับมาสวมใส่

“เช่นนั้นเรารีบไปกันเถิด หากพ่อเจ้าตื่นขึ้นมา พี่ว่าพี่คงได้ไปนรกภูมิอีกคราเป็นแน่แท้”

ในใจของรพีพงศ์ลึกๆ แล้วมิอยากจะให้พระเสาร์รับรู้หรือซักไซ้สถานที่ของนางมุตตา การออกเดินทางตั้งแต่ย้ำรุ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีและการพานาคินทร์ไปด้วยนั้นถือเสียว่าให้แม่ลูกได้พบเจอเพราะโอกาสที่มุตตาจะออกจากถ้ำมายังวิมานของพระเสาร์เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก พอๆ กับดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก

การเดินทางลงไปยังมหาสมุทรสองนทีอันเป็นรอยต่อระหว่างมหาสมุทรของมนุษย์โลกกับมหาสมุทรสีทันดร มิได้ยุ่งยากอีกต่อไป เนื่องจากรพีพงศ์ได้ร่ายคาถาเรียกพญาราชสีห์เพลิงอัคคีออกมา ขนนั้นยาวและมีไฟลุกโชนตลอดเวลา ทว่าเมื่อได้สัมผัสกลับไม่รู้สึกร้อนแม้แต่น้อย นาคินทร์นั่งลงบนหลังของมัน โดยรพีพงศ์นั่งซ้อนตระกองกอดเอวบางที่กำลังสนใจสิ่งรอบกาย ชี้นก ชี้ไม้ให้ตนได้ดู บางคราก็ซักถามให้ตนได้ตอบไม่มีหยุด หากรพีพงศ์ยินดีที่จะตอบคำถามเพราะนี่คือสิ่งที่ทำให้รพีพงศ์มีความสุขราวกับการได้อยู่กับผู้เป็นที่รักตลอดไป…













......................

มาแล้วค่ะ มาแบบเนิบๆนาบๆ มาแบบงงๆ 5555

โชคดีของรพีพงศ์ที่พ่อตาไม่กระทืบที่บังอาจลงโทษลูกแต่นาคน้อยก็หาเรื่องให้รพีพงศ์โดนพ่อตาเขม่น 55555 จะตายเพราะเมียนี่แหละ

ส่วนตอนหน้ารพีพงศ์ทำภารกิจเพื่อพ่อตาจะได้เมตตาเอ็นดูอีกค่ะ ถึงอยากจะนอนกกหนูคินก็เถอะ

สุดท้ายขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เม้น เป็นกำลังใจให้ จุ๊บ ทำให้ตัวข้านี้มีกำลังใจ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.7 100% (07/12/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 13-12-2018 21:15:56


“หากการกอดข้าช่วยลดความเหน็ดเหนื่อยให้แก่ท่าน แล้วข้าจักทำเช่นไรให้แก่ท่านความเหนื่อยล้าจึงจะหมดสิ้นไป”

“อื้อ”





........

มาสั้นๆเจอกันเร็วๆนี้ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.7 100% (07/12/61) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: oilie ที่ 24-01-2019 17:05:33
คิดถึงนัองคินทร์กับรพีพงศ์แล้ว
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EPS 50% (10/02/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 10-02-2019 22:22:46


กาลครั้งหนึ่งของจันทรัช

ยามดวงอาทิตย์เวียนหมุนย่างย่ำรุ่ง แสงระวีเฉิดฉายฉาบทาปกปิดสีทมิฬของท้องนภา สรรพสิ่งไม่ว่าจะอยู่บนพื้นพิภพหรือสรรวงสวรรค์ล้วนลืมตารับแสงแรกของเช้าวันใหม่และดำเนินชีวิตอย่างที่ควรเป็นไป เว้นแต่ใครบางคนที่ยังคงหลับอุตุอยู่บนตั่งกว้าง ขดตัวอยู่ในภูษาผืนหนา ยิ่งไม่มีภารกิจหรือต้องเดินทางไปยังแห่งหนใดแล้วไซร้การได้อยู่ในห้วงนิทราย่อมเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด  วงพักตร์คนหลับสนิทเปี่ยมสุขน่าหลงใหลจนผู้ที่ตื่นขึ้นมาก่อนอดไม่ได้ที่จะจุมพิตลงบนปรางค์นิ่มซ้ายทีขวาที

“จะนอน…ฮื้อ” ผู้ถูกรบกวนเริ่มงอแงกระนั้นเปลือกตายังคงปิด ซ้ำยังดึงผ้าห่มมาคลุมมิดแทบปิดหัว

“ขี้เซาเสียจริง เช้าแล้วหนาตื่นขึ้นเร็วพลัน” พระกรวีร์โน้มใบหน้ากระซิบข้างหูแต่น้องน้อยของตนยังคงไม่ยอมตื่นขึ้นมา เห็นทีจะต้อง…

“พี่กรวีร์…ปล่อยรัช!!!!”

จันทรัชตาสว่างขึ้นทันใดเมื่อร่างของตนลอเหนือเตียง จันทรัชอยากจะเอากำปั้นเล็กๆทุบตีหลังกว้างแต่ต้องชะงักเพราะสำนึกได้ว่าสิ่งที่ตนคิดจะทำนั้นมันไม่ควร จึงลดแขนลงและกลืนเสียงโวยวายเข้าลงคอ

“เป็นอันใดไปเล่าจึงได้เงียบไป” พระกรวีร์เห็นจันทรัชเงียบไปก็ใจหาย หากเป็นเด็กปกติจะต้องดิ้นรนโวยวายร้องลั่นทุบตีให้ตนปล่อยเป็นแน่

“จันทรัช…เป็นอันใดไปหรือว่าพี่ทำเจ้าเจ็บ” กลับกลายเป็นว่าพระกรวีร์เป็นฝ่ายทุกข์ร้อนกับการกระทำของตนเสียเอง เลยรีบปล่อยกายของจันทรัชลงให้ยืนบนพื้นเพื่อเป็นอิสระอีกครั้ง

“หาเป็นเช่นนั้นไม่ พี่กรวีร์หาได้ทำรัชเจ็บ เพียงแต่ที่รัชเงียบไปก็เพราะรัชนั้นรู้ว่ายิ่งดิ้นรนพี่ก็ยิ่งแกล้งรัช รัชเลยอยู่นิ่งให้ท่านพี่ปล่อยตัว จากนั้นรัชก็…” จันทรัชตอบหากเว้นท้ายประโยคมิยอมเอื้อนเอ่ยให้จบ

“ก็อะไรจันทรัช” เหตุนี้พระกรวีร์เกิดข้องใจอดไม่ได้ที่จักใคร่รู้

“หนี!!!” ความไวของจันทรัชร็วเสียยิ่งกว่าเสียงที่เปล่งเสียอีก ขาทั้งสองสลับก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไปยังบานประตู ใครว่าจันทรัชจักเรียบร้อย นิ่ง มีความเป็นผู้ใหญ่จนดูเกินวัย ทว่าเด็กก็ยังคงเป็นเด็ก ย่อมอยู่ไม่สุขสนุกกับสิ่งต่างๆ

‘ปัง!!’

‘ตุบ’

“โอ๊ย!!!...” ความสนุกหมดลงพร้อมจันทรัชที่ล้มลงแทบหงายหลังเมื่อชนเข้ากับบางสิ่ง มือเล็กยกขึ้นมาลูบหน้าผากราวกับว่ามันจะช่วยให้ไม่ปูดขึ้นมา

“จันทรัช!! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” พระกรวีได้ยินน้องน้อยร้องออกมาเสียงดังก็รีบวิ่งเข้าหา จนไม่ทันได้ดูว่าผู้ใดยืนไม่ขยับไหวติงอยู่ตรงหน้า

“เล่นซนกันตั้งแต่เช้าเลยหรือ กรวีร์…จันทรัช” ผู้ที่โดนชนหากไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเรียกได้ว่าแทบไม่ระคายผิวได้เอ่ยขึ้นทำให้สองพี่น้องแหงนหน้ามอง

“ท่านพ่อ/พระพฤหัสบดี!!!” ทั้งสองร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ทว่าน้ำเสียงของจันทรัชนั้นเจือความกังวลอยู่มากเพราะตนได้ทำผิดเข้าให้แล้ว

“จันทรัช…พ่อบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่ามิให้เรียกเช่นไร” พระพฤหัสบดีบอกกล่าวพลางยอบกายลงอุ้มจันทรัชขึ้นมา หัตถาอีกข้างจับมือบุตราอีกคนไว้

“รัช…รัชมิบังอาจ รัชเป็นเด็กชาวป่าอาศัยกับโขลงกุญชรมิควรที่จะเรียกท่านว่าพ่อ”   “เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของพ่อ พ่อให้เจ้าเรียกพ่อว่าพ่อได้” พระพฤหัสบดีลูบเกศาดำขลับให้จันทรัชรับรู้ถึงความรักความหวังดีที่มอบให้ แม้นว่าจะเป็นลูกของพระจันทร์ผู้ที่ตนชังเป็นนักหนา…

“ใช่…เจ้าเป็นน้องพี่ ดังนั้นบิดาของพี่ก็เป็นบิดาของเจ้า เข้าใจหรือไม่” กรวีร์เทพช่วยบิดาเกลี้ยกล่อมอีกแรง ครั้งนี้มิใช่ครั้งแรกที่ต้องคอยให้บอกให้จันทรัชเรียกบิดาของตนเช่นนี้

“รัชเข้าใจแต่…” จันทรัชอึกอักมองพระกรวีร์ที มองพระพฤหัสบดีที กลับได้รับสายตากดดัน

“ไม่มีแต่…”

“ขอรับ…ท่านพ่อ พี่กรวีร์” สุดท้ายจันทรัชก็ยินยอม โดยหารู้ไม่ว่าคำสั้นๆง่ายๆจะสร้างรอยยิ้มให้กับพระพฤหัสบดี

“ดีมาก…ไหนพ่อขอดูหน้าผากของเจ้าหน่อย…ปูดเป็นลูกมะนาวเชียว” พระพฤหัสบดีเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าของจันทรัชเล็กน้อย เท่านี้เจ้าตัวเล็กกลับสะดุ้งโหยงอาการเจ็บหมุนวนจนน้ำตาคลอ

“ท่านพ่อ…น้องคงเจ็บ ท่านส่งน้องมาให้ลูกเถิด ลูกจักรักษาน้องเอง” พระกรวีร์เห็นอาการของอนุชาก็ร้อนรน รีบรบเร้าบิดาตนขอน้องมา พระพฤหัสบดีเองไม่ขัดใจจึงยกจันทรัชให้บุตรชายคนโตอุ้ม

“เพี้ยง~…ความเจ็บปวดจงหายไป” กรวีร์เป่าลมใส่เนื้อนูนแดงตรงหน้าผาก มนตร์หลอกเด็กได้ผลดีเกินคาดเพราะใบหน้าของจันทรัชประดับด้วยรอยยิ้มหลังลมปากผ่านผิวหนัง

“หายเจ็บหรือไม่…น้องพี่”

“รัชหายเจ็บแล้วขอรับ” จันทรัชยิ้มแป้น อันที่จริงจันทรัชมิได้หายเจ็บเป็นปลิดทิ้งดอกแต่ความสุขใจนั้นมีมากเหลือ มากพอที่จะลบล้างความเจ็บปวดได้

“ถ้าหายแล้ว รีบไปหาแม่ของพวกเจ้าเถิด เพลานี้คงจะตั้งสำรับคอยท่าแล้ว” พระพฤหัสบดีแจ้งกับบุตรชาย

“จันทรัช…น้องคงจะหิวแล้ว ประเดี๋ยวพี่จะเร่งพาเจ้าไปหาท่านแม่โดยไว” พระกรวีร์ย่างเท้าก้าวไว พระพฤหัสบดีเห็นท่าทางก็พอจะเดาออกว่าใครกันแน่ที่หิวจนไส้กิ่วอยากกินอาหารในสำรับ

“ท่านแม่!!! มีอันใดให้ลูกกินบ้าง” แอบอ้าง…พระกรวีร์แอบอ้าง เพียงฟังจากน้ำเสียงเจื้อยแจ้วของกรวีร์และดวงตาเป็นประกายยามเห็นเครื่องคาว ของหวาน ไหนเลยจะมีผลไม้ทิพย์จากสวนขวัญที่พระผู้สร้างประทานให้ตลอดจนผลไม้แกะสลักจากป่าหิมพานต์

“ตื่นขึ้นมาก็ร้องหาอาหารเลยหรือ เจ้านี่อยู่เพื่อกินแทนที่จะกินเพื่ออยู่” นางดาราเทวีหยอกเหย้าพระกรวีร์ ถึงกระนั้นมือหนึ่งได้เปิดฝาเครื่องเผาเคลือบลายที่ใช้ปิดข้าวในภาชนะให้กับพระกรวีร์

“ท่านแม่จักกล่าวเช่นไร ตำหนิติเตียนอันใดลูกนี้มิสน ลูกสนเพียงแต่…”

“สนเพียงแต่ของโปรดของลูกใช่หรือไม่ ถ้าลูกอยากจักกินก็จงนั่งบนตั่งแก้วให้เรียบร้อย แล้วจันทรัชมานั่งบนตักของแม่” นางดาราเทวีเอ่ย กรวีร์จึงปล่อยจันทรัชให้ยืนขึ้นส่วนตนเองก็ขึ้นนั่งบนตั่ง

“ท่านแม่ รัชนั่งบนตั่งข้างพี่กรวีร์ก็ได้ขอรับ”

“ไปนั่งบนตักท่านแม่เถิด พี่ไม่นึกหวงว่าอันใดเจ้า” พระกรวีร์เอ่ยพร้อมแสดงความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความสัตย์จริงบุตรแห่งพระผู้มีปัญญาหาได้อิจฉาหรือหวงแม่ประหนึ่งเด็กกลัวถูกแย่งความรักไม่ ออกจะนึกเอ็นดูจันทรัชเสียด้วยซ้ำอีกทั้งอยากให้มารดามีความสุขกับหน่อเนื้อเชื้อไขอีกคนหนึ่ง

“มานั่งกับแม่ แม่จักแกะปลาให้ลูกกิน” ครานี้พระนางดาราไม่รอให้จันทรัชได้ตอบ มือเรียวรวบจับเอวยกขึ้นมาให้นั่งบนตักตนเอง

“ท่าน…แม่…” จันทรัชตกใจมิใช่น้อย หากพอได้นั่งลงบนตักแล้วกลับมิขยับขัดขืนเนื่องด้วยจันทรัชสัมผัสถึงความอบอุ่น…ความอบอุ่นที่ตนไม่สามารถบรรยายออกมาได้ หากสิ่งที่บอกได้คือความอบอุ่นที่ตนใฝ่หามานานและเป็นความอบอุ่นเดียวที่ทำให้จันทรัชเรียกดาราเทวีว่า…ท่านแม่ โดยมิรู้ถึงชาติกำเนิดที่แท้จริง

“เกิดอันใดขึ้นกับลูก ไยหน้าฝากถึงปูดนูนเช่นนี้” ยามไกลไม่เห็น แลเห็นยามใกล้ นางดาราซักถามด้วยความห่วงใย ทั้งเจ็บแสนเจ็บแทนลูกไปร้อยเท่าพันทวี

“รัชวิ่งชนท่านพ่อขอรับ” จันทรัชตอบอ้อมแอ้มกลัวว่าจะโดนอีกฝ่ายเอ็ดเอาได้เพราะเหตุที่ตนเจ็บตัวล้วนมาจากความซุกซนไม่ระวังตัว

“โธ่…จันทรัชคราวหน้าคราวหลังลูกต้องระวังตัวด้วยหนา อันตรายมันเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา”

“ใช่ อันตรายเกิดขึ้นทุกที่…ดังนั้นวันนี้น้องไม่ต้องออกจากวิมาน” กรวีร์กลืนข้าวลงคอก่อนจะพูดเสริม

“พี่กรวีร์ผิดสัญญา…ท่านแม่..รัชอยากออกไปเที่ยวเล่น พี่กรวีเองก็บอกรัชว่าจะพารัชไปดูกุญชรมัจฉา” จันทรัชอ้งถึงคำมั่นก่อนนอนแล้วออดอ้อนออเซาะนางดารา ดวงตากลมโตส่องประกายจนคนมองใจอ่อนยวบยาบ

“ท่านแม่ห้ามใจอ่อนกับน้องเด็ดขาด อย่าให้น้องได้ออกไปไหนเลย” พระกรวีร์พูดขัดคอขึ้นมาขัดขวางทันใด มิเช่นนั้นนางดาราจักต้องยินยอมให้จันทรัชออกไปเป็นแน่

“แม่เห็นด้วยกับพี่ของลูก วันนี้จันทรัชมิต้องออกไปไหน อยู่เล่นในวิมานดีกว่า” สิ้นคำของเทพีดารา พระกรวีร์ยิ้มกริ่มที่หมากตานี้ตนเป็นผู้ชนะ มารดาของตนมีสติจึงมิหลวมตัวอนุญาตจันทรัช

“รัชเข้าใจแล้วว่าทุกคนเป็นห่วงรัช หากไม่มีใครพารัชไป…รัชนี้ขอออกไปเองขอรับ” เมื่อไม่มีใครสามารถพาตนเองออกไปเปิดหูเปิดตา สองมือเล็กพนมขึ้นแนบอุรา ริมฝีปากแดงขมุบขมิบร่ายคาถา พลันเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นทันตา จันทรัชนั้นหนาหายตัวไป

“จันทรัช!!! จันทรัช!!!”

“ดารา!! กรวีร์!! เกิดเหตุอันใดขึ้น” พระพฤหัสบดีเดินเข้ามาทีหลังได้สอบถามเยาวมาลย์ยอดรักและบุตรของตนที่หน้าตาตื่นร้องหาจันทรัช

“จันทรัชหายไป…ท่านพี่จันทรัชหายไป” นางดาราตอบน้ำเสียงนั้นสั่นเครือ

“หายไปได้อย่างไนกัน เมื่อครู่จันทรัชก็มาหาน้องพร้อมกับกรวีร์” พระพฤหัสบดีแปลกใจจึงสอบถาม นางดารานั้นพอจะเล่าก็ปากคอสั่นสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร้อนถึงกรวีร์ต้องทำหน้าที่เล่าเรื่องราวการหายตัวไปจากตักของมารดาย้อนกลับไปถึงสาเหตุ

“อย่างนี้นี่เอง ฉลาดเสียจริงจันทรัชเอ๋ย” พระพฤหัสบดีกล่าวชื่นชมจันทรัชหลังจากสดับฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบแล้ว ท่าทีของบรมครูของเทพยดาหาได้มีความกังวลไม่

“ท่านพี่ เหตุใดถึงไม่ยินดียินร้ายหรือว่าดีใจที่จันทรัชหายตัวไป…ใช่สิ!! จันทรัชหาใช่บุตรที่เกิดจากสายเลือดของท่านพี่ เป็นเพียงเด็กติดท้องข้า…จันทรัชเป็นลูกของข้ากับ..ฮึก…”

“ดาราน้องพี่…อย่ากรรแสงหรืออย่าได้เข้าใจพี่ผิด แม้นจันทรัชจักมิใช่บุตรของพี่โดยแท้แต่จันทรัชเป็นบุตรของเจ้า นารีที่พี่มอบความรักจนหมดใจ ไยพี่จะจงเกลียดจงชังเด็กอย่างจันทรัชได้เล่า ยิ่งจันทรัชเป็นเด็กดีเช่นนี้พี่ยิ่งเอ็นดู หากที่พี่ไร้กังวลนั้นเพราะความเฉลียวฉลาดเกินวัยของจันทรัชต่างหากเล่า”

“หมายความว่าเช่นไรท่านพ่อ ได้โปรดแจ้งใจให้ลูกได้รับรู้ด้วยเถิด”

“เมื่อวานยามสนธยา จันทรัชได้เข้ามาหาพ่อเพื่ออ่านตำรา พ่อเองเห็นว่าจันทรัชสนใจเลยอนุญาตให้หยิบอ่านตามใจชอบและตำราวิชาที่จันทรัชหยิบมานั้นคือศาสตร์การหายตัว พ่อไม่คิดว่าจันทรัชจักเก่งกาจอ่านเพียงรอบเดียวก็สามารถใช้มันได้” พระพฤหัสบดีตอบ

“ถึงจะเฉลียวฉลาดเพียงใดจันทรัชก็ยังเล็กยิ่งนัก ข้านั้นก็นึกห่วงมิรู้ว่าจันทรัชหายตัวไปไหน” นางดาราเอ่ยทั้งน้ำตานองหน้า ใจนั้นสั่นไหวกลัวจับใจว่าภัยจะถึงตัวลูก

“น้องอย่าได้กังวลเลย…พอย่ำรัตติกาลจันทรัชจักกลับมา” พระพฤหัสบดีปลอบโยนทำให้ดาราเทวีเบาใจไปเปราะหนึ่งด้วยพระพฤหัสบดีมีญาณสูงส่ง

“ส่วนลูก…กรวีร์อย่าได้ตามหาน้อง ยิ่งตามน้องจักเตลิดหนี ดังนั้นหลังจากจัดการสำรับอาหารจนสิ้นให้ตามพ่อไปคัดอักษรลงบนภูษาแสงดาว” พระพฤหัสบดีกล่าวห้ามและมอบหมายภาระงานแก่พระกรวีร์ ทำให้ผู้ที่เริ่มจะตักอาหารเข้าปากต้องวางมือ ปากเหยียดตรงไม่พอใจที่ถูกดักทางเสียจนไร้หนทาง พระกรวีร์เชื่อแล้วว่าคนเป็นพ่อย่อมรู้ทันว่าลูกของตนนั้นติดจักทำอันใด

…‘ท่านพ่อนะท่านพ่อ…ถึงจะบอกว่าน้องปลอดภัยแต่ลูกนี้ยังห่วงน้องอยู่ดี…จันทรัชเอ๋ยเจ้าหนีไปที่ใดกัน’…





.............50%........

หายไปนานเลย ยู้วฮู้วววว ทุกคนอยู่ไหนกันคะ~~~~☆ เอาบันทึกของหนูรัชไปอ่านก่อนนะคะ มาติดตามกันว่าเจ้าตัวเล็กหายไปไหน รออ่านกันนะคะ

ป.ล. ใครรอเรื่องหลัก สัปดาห์หน้า(จะถึงแล้วอีกไม่กี่ชม.) มาอัพจ้า
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EPS 50% (10/02/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 11-02-2019 09:22:02
รอๆ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.08 100% (16/02/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-02-2019 10:47:09

ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 08







…‘รอยต่อแห่งทวิภพอันตรายเป็นหนักหนา’...

…‘มหาสมุทรสองนที…มหาสมุทรซึ่งมิมีผู้ใดต้องการจะย่างกราย’…

ใครจักคิดเห็นเช่นนั้นก็ย่อมได้ ทว่าสำหรับรพีพงศ์แล้วความคิดทั้งหมดทั้งมวลได้มลายหายไปนับตั้งแต่ที่เทพหนุ่มได้ลงมาตามหาของสำคัญล้ำค่าเพื่อนำพาชีวาของนาคินทร์ให้กลับมา จวบจนกระทั่งเพลานี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่รพีพงศ์ได้ว่ายฝ่ากระแสสินธุ์ร่วมกับนาคินทร์มายังโพรงปากถ้ำใต้ผาสูงที่ยังคงมีซากเรืออับปางคอยเป็นกำบังอำพรางมิให้ผู้ใดได้แลเห็น

“ท่านรพีพงศ์...ท่านแม่ของข้าอยู่ที่นี่แน่หรือ” นาคินทร์ถามเพื่อความแน่ใจขณะเดียวกันดวงตากวาดมองโดยรอบ ถ้ำแห่งนี้ไม่ควรจะเป็นที่พำนักของมารดาหรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตอื่นใด

“ใช่ ท่านน้ามุตตาอยู่ที่นี่” รพีพงศ์อ่านสีหน้าของนาคินทร์ออกพอจะรู้ว่านาคผู้เป็นที่รักกำลังคิดสิ่งใดอยู่ คงจักไม่เชื่อสายตาเป็นแน่เหมือนกับตนที่เคยตั้งคำถามเมื่อครั้นมาเยือน ณ ที่แห่งนี้ในคราแรก

 “เราทั้งสองเข้าไปด้านในกันเถิดหากเจ้ากลัวพี่จักยอมให้เจ้ายืมกายพี่ไว้กอด” รพีพงศ์เอ่ยชวนทั้งเย้าหยอกนาคน้อยให้เขินอายเพื่อลืมความหวาดกลัวไปชั่วขณะ

“ข้ามิกลัวดอก” นาคินทร์เอ่ยแล้วเดินนำหน้าไป อาจจะเป็นเพราะความผูกพันนาคินทร์นั้นจึงไม่นึกหวั่นเกรง กระนั้นรพีพงศ์ก็จับมือรพีพงศ์มากุมไว้…‘ถึงเจ้าจักไม่กลัวแต่พี่นี้กลัว กลัวว่าเจ้าจะเป็นอันตราย’...

เท้าสองคู่ย่างเดินเข้าไป นอกถ้ำว่ามืดแล้วภายในถ้ำมืดมิดเสียยิ่งกว่า รพีพงศ์จึงร่ายคาถาก่อนจะเปิดปากอ้าออกให้ลูกเพลิงสีแดงขนาดย่อมลอยออกมาหยุดอยู่ตรงหน้า แสงสว่างของมันช่วยกลืนกินความมืดมิดเผยให้เห็นโขดหินน้อยใหญ่เรียงรายสลับไปมา กระนั้นกลับไม่เห็นผู้ที่ตนนั้นอยากพบเจอ

“ไหน…ไหนท่านแม่ของข้าเล่า” นาคินทร์ชะเง้อมองหาจากปากถ้ำแต่กลับไม่เห็นใครอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้ นาคินทร์ตัดสินใจก้าวย่างเข้าไปในคูหาแต่กลับถูกรพีพงศ์รั้งเอาไว้เสียก่อน

“อย่าเพิ่งเข้าไป…จงยืนรอตรงนี้เฉยๆให้พี่นั้นลองเรียกหาแม่ของเจ้าดูอีกครั้ง” รพีพงศ์ห้ามไว้ ใจนี้นึกกลัวยิ่งนักว่าอันตรายจะเกิดขึ้นกับนาคินทร์จึงมิอยากให้เดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป ถึงแม้ว่าถ้ำแห้งนี้เคยเป็นถิ่นอาศัยของนาคินทร์มาก่อนก็ตามที

“ท่านน้ามุตตา!!! ข้ารพีพงศ์ได้พานาคินทร์กลับมาหาท่านแล้ว!!!! ท่านน้ามุตตา!!!” รพีพงศ์เรียกหา ประโยคเดิมๆดังขึ้นซ้ำๆ ทั้งรพีพงพงศ์และนาคินทร์หวังไว้เหลือเกินว่ามุตตาจะออกมา

‘กุก..กัก’ ก้อนหินก้อนเล็กๆกระทบกันจนเกิดเสียงราวกับมีบางสิ่งเข้าไปสัมผัสมันไม่นาน ความสงสัยได้กระจ่างแจ้ง เมื่อ ‘บางสิ่ง’ ที่ว่านั้นได้ปรากฏให้ผู้มาเยือนได้ประจักษ์ต่อสายตา นาคเกล็ดนิลขนาดใหญ่ได้เลื้อยออกมาจากที่ซ่อนมาขนดตัวต่อหน้ารพีพงศ์และนาคินทร์

“นาคินทร์…นาคินทร์ลูกแม่” ดวงตาแดงก่ำสะท้อนรูปโฉมของบุตรา…นาคินทร์…นาคินทร์ลูกของตนกลับมาแล้ว มุตตาดีอกดีใจจนแทบเต็มตื้น ทันใดนั้นเองเกล็ดของนางนาคีได้จางหายกลายเป็นเนื้อหนังมังสาของมนุษย์เป็นสตรีนางหนึ่งผู้มีเกศาปรกหน้าไว้

“ท่านแม่…” ริมฝีปากอิ่มเปล่งเสียงเรียกขานดวงตามองพิจารณาผิวพรรณของมารดาก็นึกสงสัย แม้นในถ้ำจะมีแสงสว่างเพียงน้อยนิดแต่ก็มากพอที่จะทำให้นาคินทร์เห็นมุตตาชัดเต็มสองตา …‘เหตุใดเล่าผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามารดาถึงผิวหนังเหี่ยวย่น’…

“ไยเจ้ายืนมองแม่เช่นนี้เล่า เร็วเข้าสิเดินมาหาแม่ให้แม่นี้ได้กอดเจ้า” มุตตาเองประหลาดใจกับท่าทีของนาคินทร์ที่มีต่อตน สัญชาตญาณความเป็นแม่สัมผัสได้ว่าลูกของตนดูผิดแผกไปจากเดิม

“ท่านน้ามุตตาฟังข้าก่อน ตัวข้านี้มีบางสิ่งที่จักต้องแจ้งให้ท่านน้าทราบ” มีเพียงรพีพงศ์ที่อ่านสถานการณ์ออกและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจึงใคร่อยากเล่าความจริงให้มุตตาได้รับรู้ นางมุตตาผินหน้ามาทางรพีพงศ์นึกสงสัยเหลือเกินว่าเทวาผู้นี้มีเรื่องอันใด…จะใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับนาคินทร์ผู้เป็นบุตราหรือไม่

“เรื่องอันใดหรือ…ใช่เรื่องนาคินทร์หรือไม่” มุตตาถาม  “ใช่…เรื่องที่ข้านั้นจักบอกกับท่านเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนาคินทร์โดยตรง…นาคินทร์สูญเสียความทรงจำลืมสิ้นแม้แต่นามของตนเอง แน่นอนว่าผู้ให้กำเนิดเช่นท่านน้า นาคินทร์ก็หาได้จดจำไม่” รพีพงศ์ไขข้อข้องใจให้มุตตาถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปจนแทบจะเป็นคนละคนของนาคินทร์ “จริงหรือ…นาคินทร์ ลูกจำแม่ไม่ได้เลยหรือลูก…นาคินทร์” มุตตาแทบไม่เชื่อหูของตนเอง อยากให้คำบอกเล่าของรพีพงศ์เป็นเรื่องโกหก แกล้งหลอกตนให้ตกใจเล่นเท่านั้น หากพักตรางามของนาคินทร์กลับพยักหน้าลงเป็นคำตอบว่ารพีพงศ์หาได้กล่าวคำปดมดเท็จแต่อย่างใด

แม้จะกระจ่างใจหากดวงตาทั้งคู่กลับฝ้าฟาง ภาพตรงหน้าที่เคยชัดกลับมองไม่ชัดเมื่อม่านน้ำตาบดบังจนเอ่อล้นขอบตาร้อนผ่าวไหลลงมาอาบแก้ม การที่นาคินทร์จำตนเองไม่ได้ จำใครไม่ได้ จำความรู้สึกที่มีต่อตนไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้มุตตากลัวเหลือเกิน…กลัวว่าลูกจักรังเกียจในรูปโฉมแสนอัปลักษณ์ไม่ยอมให้กอดให้หอมดั่งวันวาน

…‘ข้าและลูกทำเวรทำกรรมอันใดไว้ ถึงได้เจอะเจอเรื่องราวเลวร้ายเช่นนี้’…

“ท่านรู้อยู่เต็มอกว่านาคินทร์จำข้ามิได้ ไยท่านถึงพาลงมาหาข้า นาคินทร์จำอันใดมิได้ข้านั้นยังพอทนแต่ท่านก็รู้ว่าตัวข้าเป็นเช่นนี้ยังจะพา…อึก..ยังจะพามาให้ลูกเกลียดชังข้า จิตใจของท่านทำด้วยอะไร!!! ทำด้วยอะไร!!!” มุตตาตัดพ้อทั้งน้ำตา ความเข้าใจผิดต่อตัวรพีพงศ์ประเดประดังเข้ามา จนไม่คิดจักถามเหตุผลจากรพีพงศ์เลยสักนิด

“ข้ามีเหตุผลได้โปรดฟังข้าอีกครั้ง…” รพีพงศ์พยายามอธิบายให้มุตตาได้เข้าใจแต่มารดาของคนรักคงมิอยากฟัง นางทรุดตัวลงสะอื้นไห้จนตัวโยนจนน่าสงสาร …‘นี่สินะดวงใจของผู้เป็นแม่ที่เขาว่ามักจะเข้มแข็งยามปกป้องลูกและจะอ่อนแอยามลูกไม่รักตน’…

“รพีพงศ์เจ้ามิต้องเอ่ยสิ่งใด ตัวข้านี้จักเป็นผู้บอกให้มุตตาแจ้งใจเอง” รพีพงศ์เลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงที่เปล่งออกมามันหาใช่น้ำเสียงของนาคินทร์เสียทีเดียว ทว่ามันกลับมีน้ำเสียงแทรกร่วมด้วย

“พระ..พระ…สะ..” ไม่ทันที่รพีพงศ์จะได้พูดชื่อของผู้ต้องสงสัยจากใจตน มือเรียวของนาคินทร์ได้คว้าหมับจับกรของรพีพงศ์ไว้มั่น ก่อนจะเหวี่ยงออกไปนอกถ้ำให้เกลียวคลื่นจากมนตราดูดกลืนกายาเข้าไป

“นาคินทร์เจ้าทำสิ่งใดท่านรพีพงศ์” แม้มุตตาจะไม่พอใจรพีพงศ์แต่ก็มิได้หมายให้รพีพงศ์มีอันตราย นางลุกขึ้นเร่งฝีเท้าเดินไปยังปากถ้ำเพื่อช่วยเหลือผู้มีพระคุณแต่กลับถูกนาคินทร์สวมกอดเอาไว้

“อย่าได้เป็นห่วงสุริยะบุตรผู้นั้นเลย ความห่วงใยของเจ้าควรเป็นของนาคินทร์และ…ข้า” เสียงกระซิบกระซาบข้างหูทำให้มุตตาใจเต้นระส่ำ นานเพียงใดแล้วที่ตนมิได้ฟังเสียงนี้

…เสียงที่ฟังแล้วให้ความอบอุ่นใจ…

…เสียงที่เคยพร่ำบอกรัก…

“พระเสาร์”

“เหตุใดจึงเรียกพี่เช่นนี้เล่า พี่ฟังแล้วรู้สึกห่างเหินหรือเป็นเพราะเจ้าหมดรักพี่ ชิงชังพี่แล้ว” นาคินทร์จำแลงเอ่ย ขณะเดียวกันนั้นรูปโฉมค่อยๆคืนสู่สภาพเป็นร่างที่แท้จริง จากนาคินทร์กลายเป็นเทวาสูงใหญ่ทรงอัญมณีสีนิลเป็นอาภรณ์ ฉวีวรรณเจิดจ้าด้วยละอองสีดอกเสลา

“หามิได้ ข้ามิได้ชิงชังท่านพี่เลย” มุตตาโต้ตอบกลับไป ไม่แหงนหน้ามองพระเสาร์เลยสักนิด นางก้มหน้าก้มตาโดยมีเส้นผมดำขลับคอยปกปิดบางสิ่งที่ไม่อยากให้พระเสาร์ใคร่ดู

“แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องหนีพี่ไป หากเจ้ารักพี่เจ้าต้องอยู่รอพี่สิ หรือเจ้าคิดว่าพี่นั้นจะทิ้งเจ้ากับลูกดั่งเทวดาเจ้าชู้ทั้งหลายที่เกี้ยวอิสตรีได้แล้วทิ้งไปทั่ว” หัตถาจับหมับเข้าที่ต้นแขนแล้วจับกายให้มุตตาหันหน้าเข้าหาตน น้ำคำที่เปล่งออกมาร้อยเรียงเป็นคำถามล้วนแสดงออกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ลึกๆ ใครกันกล่าวว่าพระเสาร์แข็งแกร่ง ไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องอันใด เห็นทีคงต้องบอกให้รู้ว่าจิตใจของพระเสาร์อ่อนยวบลงเพราะความรัก…อย่าว่าแต่พระเสาร์เลยไม่ว่าใครก็ตามเจอรักแผลงฤทธิ์เข้าให้มักจะสูญเสียความเป็นตัวตน ไม่สิ! ต้องกล่าวว่าเผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาถึงจะถูก

“หาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้ามิเคยคิดว่าท่านพี่เป็นเทวดาเจ้าชู้มากนักหลายใจ หากที่ข้าจำต้องหนีจากท่านพี่เป็นเพราะ…ข้ามิอาจสู้หน้าท่านพี่หรือสู้หน้าใครได้ ผิวกายของข้าที่เคยละเอียดกลับเหี่ยวย่นจนน่ารังเกียจ ข้าในตอนนั้นรับสภาพของตนเองมิได้และคิดว่าท่านพี่เองก็…” คนเราล้วนแล้วมีเหตุผลของตนเอง คำตอบที่มุตตาเอื้อนเอ่ยออกมาให้พระเสาร์ได้สดับฟังนั้นก็เช่นกัน

“นี่นะหรือเหตุผลของเจ้า เพียงเพราะรูปโฉมเปลี่ยนไปเจ้าถึงได้หนีพี่ไป มุตตา…เจ้าดูถูกความรักของพี่ สำหรับพี่ต่อให้เจ้าเป็นเช่นไรพี่ย่อมรักเจ้าที่เป็นเจ้า” น้ำคำหนักแน่นช่างตรงข้ามกับการกระทำแสนอ่อนหวาน ดัชนีทั้งห้าของพระเสาร์เกลี่ยผมที่ปรกหน้าของมุตตาให้ออกไป เผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยซึ่งซ่อนความงามไว้จนหมดสิ้น พระอังคุฐลูบไล้ตั้งแต่ขมับลงมาจนถึงสันกราม ทุกการกระทำมุตตาล้วนสัมผัสได้

“มุตตาไปกับพี่เถิด พวกเราจักได้อยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก” พระเสาร์เอ่ย อันที่จริงไม่จำเป็นต้องชักชวนเพราะอย่างไรเสียพระเสาร์จักต้องพามุตตาออกจากถ้ำโกโรโกโสไปยังวิมานหงสบาทของตนให้ได้อยู่ดี

“ข้ามิอาจออกไปนอกเหนือจากผืนมหานทีนี้ได้ อันตัวข้านั้นถูกสาปให้เวียนว่ายอยู่ใต้มหาสมุทรเพียงเท่านั้น” ความปิติล้นอุรายามสวามีกล่าวชวนให้ครองคู่อยู่ด้วยกัน ทว่าบ่วงแห่งกรรม ตรวนแห่งคำสาปได้ล่ามตนไว้มิให้พบเจอความสุขี นางมุตตาจำต้องปฏิเสธสิ่งที่ใจนั้นปรารถนา

“ใครสาปเจ้า!!! บอกพี่มา!!! พี่จะไปบั่นคอมัน!!! นี่ใช่หรือไม่สาเหตุที่เจ้าเป็นเช่นนี้” พอได้สดับฟังแล้วไซร้ ร่างกายสูงใหญ่สั่นเทิ้มพลางขบกราม … ‘ใครมันบังอาจสาปเมียข้า!!! มันผู้นั้นสมควรตาย’…

“ใช่ หากข้าเองก็มีส่วนผิด ข้าบังอาจรุกล้ำไปในเขตหวงห้ามจึงโดนสาปให้เป็นเช่นนี้” มุตตาเข้าสวมกอดให้พระเสาร์คลายโมโห พลางนึกถึงเหตุการณ์ในวันวาน…‘เขตหวงห้ามที่ว่าคือดวงใจของท่าน’...

…‘ข้าขอสาปเจ้าให้เนื้อตัวเจ้าเหี่ยวย่นดั่งคนชราและมิอาจจะขึ้นสู่ผิวน้ำแลตะวันจันทราอีกต่อไปได้’…

... ‘ข้าทำอันใดให้ท่านแค้นเคืองนัก ท่านถึงได้สาปข้า’…

… ‘เจ้าบังอาจมายุ่งเกี่ยวกับพระเสาร์ หากไม่มีเจ้าพระเสาร์จักต้องรักข้า!!!’…

เรื่องราวในวันนั้นมันเกิดขึ้นอีกครั้งในความทรงจำ หากครานั้นมีตนเพียงผู้เดียวคงจะยอมสู้กับเทพีใจทรามให้ตายกันไปข้าง ทว่านางนาคีรู้ว่าตนมีครรภ์เป็นเหตุต้องคอยหลบหนีเพื่อรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขเอาไว้ มุตตาตั้งใจซ่อนตนรวมถึงชาติกำเนิดของนาคินทร์เพื่อมิให้รู้ว่าแก้วตาดวงใจสืบเชื้อสายจากเทวะผู้ยิ่งใหญ่…‘นาคินทร์ความหมายของเจ้านั้นคือนาค จงจำไว้ว่าเจ้าเป็นนาคตนหนึ่งเท่านั้น’...

ถึงแม้เวลาจะหมุนเวียนไปเนิ่นนานยังคงมีสิ่งหนึ่งที่มุตตายังจำไม่คิดลืมเลือนคือปิ่นที่คอยปักมวยเกศาของนางรัมภาได้ดี...จุฬามณีประดับเพชรสีแดงเลือดนกจะมีใครเล่าที่จะมีเพชรอันเกิดจากสะเก็ดของทยุมณีดารานอกจากเหล่าสุริยะวงศ์

“ผิดขนาดไหนถึงจำต้องสาปเจ้าให้เป็นเช่นนี้ บอกพี่มาบัดเดี๋ยวนี้ว่าไอ้อีผู้ใดริอาจรังแกเจ้า บอกพี่มา!!!” คำถามที่ไม่ต่างจากการขู่เค้นเอาคำตอบของพระเสาร์ดังก้อง พระเสาร์เกรี้ยวกราด อารมณ์ร้ายเช่นนี้มุตตาชักเริ่มลังเลใจว่าจักบอกกล่าวเล่าความเช่นไรดี

“ท่านพี่อย่าได้โมโหไปเลยถือเสียว่าทั้งหมดเป็นเคราะห์กรรมของข้า ถึงแม้นข้าจะมิอาจไปอยู่กับท่านพี่ที่วิมานแต่ท่านพี่สามารถมาหาข้า ณ ถ้ำแห่งนี้ได้ ข้าจะรอท่านพี่กับลูกอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน” มุตตาใคร่ครวญจนถีถ้วนก่อนจักพูดออกไป ถึงอยากจะบอกภัสดามากมายเพียงใดแต่ท้ายที่สุดแล้วมุตตาคำนึงถึงผลที่ตามมาว่ามิวายจักต้องเกิดสงครามเป็นแน่ นางจึงเลี่ยงที่จะบอกความจริงให้พระเสาร์ได้รับรู้เพราะสิ่งที่นางต้องการไม่ใช่การแก้แค้นแต่เป็นความรักที่หวนคืนกลับมา…เท่านั้น

“พี่จะไม่มาหาเจ้าที่นี่รวมถึงนาคินทร์ที่จักต้องอยู่กับพี่”

“ท่านพี่ได้โปรดอย่าใจร้ายกับข้าเลย ครั้นท่านพี่จะไม่มาหาสู่ข้า ข้ายังพอเข้าใจว่าท่านพี่หมดรักแต่นาคินทร์…นาคินทร์เป็นลูกของข้า เป็นลูกของนาคแสนต้อยต่ำ…เยี่ยงข้า”

“พี่เพิ่งจะเอ่ยออกไปว่ารักเจ้าไยเจ้าถึงตัดพ้อพี่ ฟังพี่กล่าวกับเจ้าให้จบก่อนเถิดหนาแล้วเจ้าจะใช้วาจาเสียดสีทิ่มแทงใจพี่อย่างไรก็สุดแล้วแต่เจ้า” พระเสาร์เอ่ยแทรกเพราะมิอยากให้มุตตาเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ มุตตาสงบปากสงบคำเพื่อรอฟังว่าพระเสาร์ต้องการจะกล่าวสิ่งใดกับตน

“พี่จะพาเจ้าไปกับพี่ตามความตั้งใจเดิม ส่วนการที่จะพาเจ้าออกจากคุกที่ได้ชื่อว่ามหาสมุทร พี่คิดว่าพี่พอจะมีทาง” ผู้ชาญฉลาดนึกหาทางออกจนเจอวิธี รอยยิ้มเผยออกมาสร้างความหวังเล็กๆให้กับผู้ที่เคยสิ้นหวังเช่นมุตตาโดยมิรู้ตัว

“ท่านพี่จะพาข้าให้พ้นเหนือน้ำได้อย่างไรเล่า”

“มากับพี่แล้วเจ้าจักได้คำตอบ”

*****

‘ซ่า…’ “แค่ก…แค่ก แค่ก”

รพีพงศ์โผล่พรวดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ หัตถ์คว้าขอบหินอ่อนเพื่อยึดไว้ก่อนจะสำลักน้ำออกมาไม่ยอมหยุด...‘ให้ตายเถิด พระเสาร์ต้องการจักมอบความตายให้กับเราหรือนี่ถึงได้จับเราเหวี่ยงออกมาจากถ้ำ’… พอได้นึกถึงวินททีระทึกที่ตนเกือบจะได้สัมผัสกับมรณาแล้วไซร้ก็อดที่จะเสียววาบตรงสันหลังมิได้ ยามสายวารีมหาศาลกลายเข้ามาห่อหุ้มร่างของตนแล้วหมุนวนเป็นเกลียวคลื่นพากายานี้ไหลไปตามแรงเรื่อยๆ จนกระทั่งเกลียวคลื่นได้คลายตัวแตกออกกลายเป็นฟองฟอดสีขาว เมื่อนั้นรพีพงศ์จึงสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นอิสระและว่ายน้ำพาตนเองให้พ้นจากเงื้อมมือของยมฑูตสู่แสงสว่างที่สาดส่องกระทบผิวน้ำ

เมื่ออาการสำลักน้ำดีขึ้น สุริยบุตรได้รวบรวมสติให้กลับมา ดวงตาคมมองดูภาพตรงหน้า เสาหินอ่อนประดับประดาด้วยภูษาบางเนื้อดีทำหน้าที่ไม่ต่างจากม่านบังตา พอก้มมองต่ำจึงได้เห็นบันไดขอบสระ รพีพงศ์ถึงได้รู้ว่าตนเองคงจะบุกรุกเข้ามายังสระสรงของวิมานใดวิมานหนึ่ง ณ แดนสรวงเป็นแน่

“ท่าน..ท่านรพีพงศ์ ท่านเป็นอันใดไปหรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ แล้ว…แล้วท่านพ่ออยู่ที่ใดกัน ข้าตื่นขึ้นมาหามีผู้ใดอยู่ในวิมานนอกจากคนเฝ้าประตู” น้ำเสียงไพเราะเจือความห่วงใยเปล่งออกมาถามผู้มาเยือนก่อนจะถามข้อสงสัย แลเหมือนว่ารพีพงศ์จะไม่ได้อยู่เพียงลำพังเสียแล้ว

“นาคินทร์” เทพหนุ่มเอ่ยนามเจ้าของเสียง ก่อนจะหันหลังกลับไปและพบว่าชายหนุ่มร่างบางยืนอยู่ไม่ไกลในสภาพเปลือยเปล่า ระดับเพียงเอวคอดมิอาจปกปิดสิ่งที่ควรปกปิดได้ ไหนจะหยดน้ำเกาะพราวบ้างก็ไหลตามเนื้อนวลช่างยั่วยวนชวนปลุกกำหนัดให้กับรพีพงศ์ ก่อนหน้านี้ตนคิดว่าจะตำหนิพระเสาร์ที่หลอกตนให้พาไปหานางมุตตารวมถึงจัดการเหวี่ยงตนออกจากถ้ำอีก แต่บัดนี้รพีพงศ์กลับเปลี่ยนความคิดจากตำหนิเป็นขอบน้ำใจแทน

“หยุดมองข้าก่อนเถิด…ท่านยังไม่ตอบข้าเลย” นาคินทร์ทักท้วงเอาคำตอบและเป็นฝ่ายเดินลุยน้ำเข้าหารพีพงศ์จนกระชั้นชิด ฝ่ามือสองยกขึ้นมาสัมผัสแนบชิดติดปรางค์ทั้งสองข้างของเทวาหนุ่ม ดวงตาใสซื่อจ้องมองพักตราซีดเซียวที่มิอาจลบล้างเสน่ห์ไปได้

“พระเสาร์กำลังไปรับแม่ของเจ้ามายังวิมาน ส่วนตัวพี่มิเป็นไรดอก เจ้าอย่าได้กังวลเลย…นี่เจ้ากำลังเล่นน้ำสินะ ตามสบายเถิดพี่จะเฝ้าเจ้าเอง” รพีพงศ์ยิ้มให้นาคินทร์เพื่อนาคน้อยจะได้คลายกังวล ทว่าคำตอบของรพีพงศ์กลับทำให้นาคินทร์ไม่พอใจ

“ท่านเห็นว่าข้าลืมสิ้นทุกอย่างเลยโป้ปดกับข้ากระนั้นหรือ ท่านเห็นว่าข้าโง่มองไม่ออกหรือไรว่าท่านเหนื่อยล้าเพียงใด” นาคินทร์ตัดพ้อมือทั้งสองลดลงมาแนบกาย ดวงตาสั่นไหวเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอบ่งบอกอารมณ์โกรธกริ้วปนน้อยใจ

“หาเป็นเช่นนั้นไม่ พี่ไม่เคยเห็นเจ้าโง่เขลาเลยสักนิด หากตัวพี่มิได้เป็นไร ความเหนื่อยล้าเองก็มิอาจจะทำสิ่งใดต่อพี่ได้เมื่อพี่ได้เห็นหน้าของเจ้า” ไม่ใช่ถ้อยคำหวานที่ร้อยเรียงมาเพื่อให้นาคินทร์รู้สึกดีแต่เป็นถ้อยคำที่กลั่นมาจากใจ รพีพงศ์คว้าเอวของนาคินทร์มาโอบกอดให้กายแนบชิดแล้วจึงเกยคางวางไว้บนบ่า

“ยิ่งได้กอดเจ้าความเหนื่อยล้าของพี่ยิ่งลดลง” น่าอัศจรรย์ใจแม้นนาคินทร์จักมีเชื้อสายภุชงค์มีเลือดเย็น หากรพีพงศ์สัมผัสได้ถึงไออุ่นที่คอยบรรเทาและเสริมแรงให้แก่ตน   “ปล่อยข้า…ข้าไม่พอใจท่านอยู่นะ” ใครว่านาคินทร์โกหกพยายามแสร้งขืนตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง พยายามแสร้งเป็นเด็กแสนงอน เห็นทีจะกล่าวหาเช่นนี้มิได้เพราะนาคินทร์ไม่พอใจรพีพงศ์จริงๆที่กล้าทำให้ดวงใจเต้นรัวผิดจังหวะ ทำให้แก้มร้อนแดงปลั่งมิต่างจากหมากต้องแล่ง

“เอาเถิดอย่างน้อยการกอดเจ้าเพียงไม่กี่อึดใจความเหนื่อยล้าของพี่ลดลงอยู่มากโข” รพีพงศ์ปล่อยให้นาคินทร์เป็นอิสระไม่คิดรั้งไว้

“หากการกอดข้าช่วยลดความเหน็ดเหนื่อยให้แก่ท่าน แล้วข้าจักทำเช่นไรให้แก่ท่านความเหนื่อยล้าจึงจะหมดสิ้นไป” นาคินทร์ซักถามโดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังยื่นอ้อยเข้าปากช้าง

“อื้อ”

ไม่สิ…ยื่นลิ้นเข้าปากต่างหากเล่าแต่เป็นลิ้นของเทพเจ้าเล่ห์ รพีพงศ์ตอบคำถามของนาคินทร์โดยใช้ภาษากายแทนภาษาพูด รพีพงศ์ฉุดบุตรแห่งพระเสาร์เข้ามาใกล้กายตน ริมฝีปากเข้าประกบจุมพิตอย่างรวดเร็ว ลิ้นร้อนค่อยๆเลาะไปตามร่องระหว่างริมฝีปากของอีกฝ่ายแล้วจึงแทรกเข้าไปตวัดเกี่ยวลิ้นที่เหมือนจะเบ่งรับ เบ่งสู้ไม่รู้วิธีรับแขกที่เข้ามาเยี่ยมเยือน ฝ่ามือของผู้มีประสบการณ์ลูบไล้ไปตามส่วนโค้งเว้าด้านข้างแล้วเปลี่ยนทิศทางไปยังแผ่นหลังกว้าง สร้างความเสียวซ่านให้กับนาคินทร์ที่คล้ายว่าจะหมดแรง แข้งขาร่างกายอ่อนปวกเปียกแทบจะทรงตัวไม่ได้

…‘เหตุใดร่างกายข้าถึงไร้เรี่ยวแรงหรือว่าท่านรพีพงศ์จะเอาแรงของข้าไป’…

“ฮื้ม..” กำปั้นน้อยๆทุบตีให้รพีพงศ์หยุดการกระทำนี้ ริมฝีปากหนาจึงผละออกมาแต่ยังไม่หยุดที่จะใช้มัน รพีพงศ์ค่อยๆประทับรอยจูบแผ่วเบาตรงปลายคาง ไล่ลงมายังลำคอผ่านบ่ากว้างและลาดไหล่เป็นการปิดท้าย

“ทะ..ท่านรพีพงศ์” คราแรกทุบตีให้เขาปล่อยแต่บัดนี้มือที่เลยกำก็ได้คลายมายึดจับบ่าอีกทั้งยังเบียดกายเข้าหาให้ตัวชิดใกล้ หากจะมีสิ่งใดกั้นก็คงจะเป็นอาภรณ์ของรพีพงศ์

“เรียกพี่ด้วยเหตุอันใด” รพีพงศ์ถามเสียงแหบพร่าไฟรักถูกจุดติดและถูกโหมให้ลุกโชนด้วยลมแห่งความใสซื่อ หรือจักเป็นแววตา น้ำเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับนาคินทร์ส่งผลโดยตรงต่อรพีพงศ์ หากเพลานี้รพีพงศ์ระลึกไว้ว่าตนต้องอดทนไว้

“ท่านเอาพลังชีวิตของข้าไปหรือแล้วข้าจะเป็นอันใดหรือไม่” คำถามจากนาคินทร์ำให้รพีพงศ์รับรู้ได้ว่านาคน้อยของตนกำลังเข้าใจผิดไปมากโข อีกทั้งยังคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะจนตนนึกเอ็นดู

“พี่ขอถามเจ้ากลับว่าเจ้ารู้สึกเช่นไร ดีหรือไม่ดี”

“ข้ารู้สึกว่าข้าไม่มีแรงทว่ามันก็มีความรู้สึกดีร่วมด้วย” นาคินทร์ตอบกลับไปตรงๆ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่รพีพงศ์ทำคืออะไร ผู้ฟังคำตอบได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมา หากเป็นนาคินทร์ที่ยังจำความได้คงจะเขินอายเป็นแน่ผิดกับนาคินทร์ในตอนนี้ซื่อจนไม่รู้อันใดเลย

“ท่านยิ้มออกมา..ท่านหายเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่” นาคินทร์ถามต่อเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของรพีพงศ์

“ข้าคิดว่าใช่แต่ถ้าให้แน่ ข้าคิดว่าข้าจักต้องนอนกอดเจ้าให้เสียพักใหญ่” ความจริงรพีพงศ์อยากจะทำในทำมากกว่านี้ ทำในสิ่งที่ใจปรารถนา หากตนได้ยึดมั่นคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับนาคินทร์ว่าจะไม่ข่มเหงน้ำใจ อีกทั้งยามนี้นาคินทร์มิได้รักตนเช่นคนรักจึงไม่อยากจะล่อลวงนาคน้อยมาเป็นของตน

“กอดข้าหรือ..ไม่..ข้าจะเล่น…น้ำ..ปล่อยข้า!!!” จะปฏิเสธอย่างไรคงจะทำอะไรไม่ได้แล้ว เมื่อร่างกายถูกอุ้มให้ลอยขึ้นมาสู่อ้อมแขน พอจะดิ้นก็กลัวตกลงมาเจ็บจึงต้องอยู่นิ่งๆให้ปากคอยพูดห้ามเอง

“ท่านรพีพงศ์ข้าจะเล่นน้ำ!!”

“พี่จะนอนกอดเจ้า!!”

















.....................

ท่านยุ่งคนแมนแฟน.....ใครดี 555555 มาอัพแล้วจ้า หวังว่าคนอ่านยังไม่หายไปไหนนะคะ อย่าเพิ่งปาก้อนหินใส่หรือขู่ฆ่าป๋ากนธีนะคะ ท่านยุ่งกลัวแล้ว

เนื้อหาตอนนี้อาจจะเนือยๆนะคะ มันไม่มีอะไรตื่นเต้นเท่าไหร่ คอยดูตอนต่อไปรับรองว่า..ระทึกเรื่อยๆ

ตอนนี้ภาษาอาจไม่งดงามพอดีว่ามันอาจจะไม่เนียน ติชมกันได้นะคะ ท่านยุ่งจะได้พัฒนาต่อไปค่ะ แฮร่~~☆

ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นเป็นกำลังใจนะคะ


หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP พิเศษ 100% P.2 (19/02/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 19-02-2019 09:26:08
(ต่อ) กาลครั้งหนึ่งของจันทรัช
.............50%........

*****

…‘อยากไปไหนมาไหนอย่างใจนึก’… ประโยคนี้หลายคนมักนึกหวังรวมถึงจันทรัชเองที่เคยมีความคิดนี้เช่นกัน ทว่ามันกลายเป็นอดีตไปแล้วนับตั้งแต่ที่จันทรัชท่องคาถาตามอักษรที่จารึกในคัมภีร์ของบิดาบุญธรรม จากตักแม่สู่สถานที่ที่จันทรัชปรารถนา

‘จิ๊บ…จิ๊บ’ ปักษาหลากสีส่งเสียงร้องไปมาคล้ายพูดคุย พวกมันเกาะเกี่ยวกิ่งไม้อยู่เหนือศีรษะของเด็กชายที่ค่อยๆลืมตามองสรรพสิ่งโดยรอบ

“ป่า…เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่” จันทรัชลุกขึ้นยืนและตั้งสติค่อยๆทบทวนหาข้อผิดพลาด ไม่ว่าจะแม่บทคาถาที่ตนนั้นมั่นใจว่ามิมีคำใดผิดรวมจิตที่ตั้งมั่นว่าอยากจะไป ข้อนี้จันทรัชยิ่งมั่นใจในเมื่อตนนึกอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…‘หาพี่ศนิ…ข้าต้องการเจอพี่ศนิ’… เหตุใดกันตนถึงได้โผล่มากลางพนาเช่นนี้เล่า

‘ฉับ!!’ เสียงปริศนาดังอยู่มิห่างไกล ยิ่งเสียงดังออกมาต่อเนื่องเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ได้หูแว่ว ทำให้จันทรัชสนใจใคร่รู้ว่าที่มาของเสียงมาจากไหน สองเท้าค่อยๆย่าง ฝ่าเท้าค่อยๆสัมผัสกับผืนพสุธาและใบไม้แห้งคลุมดิน…เบาที่สุด…เบาเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้เกิดเสียงจนอีกฝ่ายไหวตัวทัน

“เจ้ากำลังทำอะไร…เด็กน้อย” จันทรัชหยุดการเคลื่อนไหวทันทีทันใดหลังจากได้ยินเสียง ร่างเล็กหมุนตัวกลับไปก่อนจะไล่สายตาแหงนมองคนตัวโตกว่า

“พี่ศนิ...พี่ศนิจริงๆด้วย” จันทรัชยินดียิ่งนักจนแทบจะเสียการควบคุมตนเอง กระโดดโลดเต้นแสดงกริยาไม่งามออกมา

“ดีใจที่เจอข้าหรือไรแล้วไยเจ้าถึงได้มาอยู่กลางป่ากลางเขาตามลำพังเช่นนี้เล่า” พระศนิซักถาม  ก่อนหน้านี้เทวาหนุ่มได้ทำการฝึกยุทธวิชาสู้รบและรับรู้ว่ามี‘บางอย่าง’เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ จึงละการฝึกมาตามหาความจริง…จันทรัชคือคำตอบ

“ข้ามาที่นี่เพียงผู้เดียว ข้าอยากเจอพี่ศนิ” จันทรัชตอบกลับไปพลางมองวัตถุสีเงินในกำมือของอีกฝ่าย

“เจอข้าแล้วก็กลับไปเสียเถิด เพลานี้ข้ามิว่างพอจะเล่นกับเจ้า ข้าจะต้องฝึกวิชาดาบไว้สู้รบ” พระศนิไล่จันทรัชทางอ้อมแต่มีแววจักไม่ได้ผล นอกจากจันทรัชยังไม่ขยับไปไหนแล้วยังอมยิ้มน้อยๆราวมีความคิดใดผุดขึ้นมาและคงจักไม่ดีกับตนนัก

“ข้าขอฝึกดาบกับพี่ศนิได้หรือไม่ ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้พี่ศนิเป็นอันขาด” นั่นประไร ศนิคิดแล้วไม่มีผิดว่าจันทรัชจักต้องมีเรื่องปวดหัวมาให้ตนเป็นแน่แท้

“ตัวกระจ้อยร่อยริอาจจักมาฝึกดาบกับข้า มือก็เล็กจนแทบจะกุมด้ามดาบไม่รอบและไม่ต้องเอ่ยถึงแรงของเจ้าให้เสียเวลา ข้าว่าคงไม่ต่างจากมดยกช้าง” พระศนิอยากจักหัวเราะดังๆแต่เกรงว่าเด็กที่กำลังหน้าจ๋อยหลังจากที่ตนได้ปรามาสจักกระจองอแงน้ำตาท่วมไพรีเสียก่อน

“พี่ศนิไม่ฝึกให้ข้า ข้านี้จักไม่รบเร้า…เชิญพี่ศนิฝึกดาบต่อเถิด”

แปลก…แปลกเหลือเกิน พระศนินึกสงสัยปนสนใจในตัวของจันทรัช ธรรมดาเด็กเล็กย่อมเอาแต่ใจ บ้างต้องลงไปนอนชักดิ้นชักงอเรียกร้องความสนใจ หรือไม่ก็ต้องการเอาชนะ

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเสียข้าจักซ้อมดาบต่อ” พระศนิกล่าวจบก็เดินกลับไปยังลานฝึกที่ตนได้เนรมิตขึ้นมาเพื่อใช้ในการณ์นี้โดยเฉพาะ ทว่าพระศนิมิได้เดินกลับเพียงผู้เดียวยังมีจันทรัชเดินตามหลัง

“เหตุใดเจ้าจึงตามข้า…จันทรัช!!” พอถึงจุดหมายพระศนิหันกลับไปขึ้นเสียงใส่จันทรัชเสียงดังลั่นจนสัตว์ป่าแถวนั้นแตกตื่นวิ่งกระจัดกระจายทั่วทิศ

“ข้ามิได้ตามพี่ศนิเสียหน่อย ข้าเพียงเที่ยวเล่นในป่าตามประสาข้าเท่านั้นเอง” ด้านจันทรัชเองไม่มีกลัวในความรู้สึก ตั้งหน้าตั้งตาตอบโต้กลับทั้งที่ตนเองตามพระศนิจริง

“เที่ยวเล่นตามประสาเจ้ากระนั้นหรือ ป่าออกจะกว้างใหญ่ไพศาล เจ้าจะวิ่งไปทิศบูรพาหรือประจิมก็ย่อมได้ แต่นี่เจ้าจงใจเดินตามข้า”

“พี่ศนิจะคิดอย่างไรก็สุดแต่ใจนึกเถิด ข้าจะเล่นกิ่งไม้อยู่ตรงนี้” จันทรัชหยิบกิ่งไม้ยาวประมาณแขนของตนขึ้นมาแล้วทำทีเขี่ยผืนดินไม่สนใจพระศนิที่ยืนกัดฟันกรอดให้กับความดื้อ ว่ายาก ของจันทรัช

…‘เรียบร้อยอ่อนโยน…แต่คราวดื้อก็แสนรั้นเกินต้านทาน’… เมื่อไม่สามารถจัดการให้จันทรัชกลับไป พระศนิจึงข่มอารมณ์ทั้งมวลไว้ปลดปล่อยในเพลงดาบที่กำลังจะฝึก ดาบเล่มยาวถูกยกขึ้นมาอีกครั้งในท่ากุมตามด้วยท่าไม้รำที่ดูงดงาม

‘ฉับ!...ฉับ!...ฉับ!’

หากรวดเร็วปราดเปรียวแต่ละท่านั้นสามารถพลิกแพลงไปมาจนคนชำเลืองดูมิอาจคาดเดาได้ รู้ตัวอีกทีหุ่นฟางที่อยู่ใกล้ตนมากที่สุดก็ตกลงมากองอยู่แทบบาท

“ลองทำตามดูดีกว่า” แทนที่จะกลัวกลับกลายเป็นเข้าหา ไม้ในมือถูกำแน่นแล้วค่อยๆยกขึ้นมาออกท่า ออกทางเลียนแบบพระศนิและด้วยความปราดเปรื่องไม่นานจันทรัชก็สามารถจำท่าทางพื้นฐานได้

‘หวึบ!!’

เสียงไม้หวดอากาศทำให้พระศนิละสมาธิจากการฝึกซ้อมมองเด็กชายตัวเท่าเมี่ยงที่กำลังฝึกดาบเสมือนตน พระศนิอดชื่นชมระคนตกใจที่เด็กวัยเท่านี้สามารถเรียนรู้ได้ไว เพียงเห็นก็สามารถฝึกฝนโดยมิต้องมีใครสอน

‘ฟึบ!!’

“พี่ศนิเล่นทีเผลอหรือต้องการจักสังหารข้า” จันทรัชยกกิ่งไม้ขึ้นมาป้องกันตั้งรับไว้ เมื่ออยู่ๆมีโลหะสีเงินจงใจจู่โจมตนจากด้านข้าง

“ข้าเพียงทดสอบ แน่นอนว่าข้ามิได้ออกแรงเข้าฟันเจ้าเสียทีเดียวมิเช่นนั้นกิ่งไม้เจ้าคงหักไปนานและดาบข้าคงได้ลิ้มรสเลือดของเจ้า” จันทรัชมองดูดาบที่เมืนจะวางลงบนกิ่งไม้เล็กของตน ก่อนมันจะถูกนำออกไปโดยผู้เป็นเจ้าของ

“เหตุใดพี่ศนิถึงทดสอบข้าเล่าหรือว่าอยากให้ข้าเป็นคู่ซ้อมของพี่ศนิ” จันทรัชยิ้มร่าดับความคิดเองเออเอง

“ข้าคงไม่เอาเจ้ามาเป็นคู่ซ้อมดอก อย่าได้ลำพองใจคิดว่าเก่งแล้วจักมาสู้กับข้า”

“ถ้าเช่นนั้นพี่ศนิจักมาเป็นครู เป็นคู่ซ้อมให้ข้าได้หรือไม่ อันตัวข้ามิได้ติดลำพองใจดั่งที่พี่ว่าเลยสักนิด หากข้านี้สนใจและอยากเรียนรู้ในศาสตร์นี้” จันทรัชฉลาดพูดสร้างความถูกอกถูกใจกับพระศนิ มือน้อยที่มิได้จับกิ่งไม้เข้ากุมมือของพระศนิไว้คล้ายออดอ้อน พระศนิมองจันทรัชก่อนจักใช้ความคิดตรึกตรอง

“ได้…แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าจักต้องชนะข้าให้จงได้ก่อน” จันทรัชได้ยินเช่นนั้น ความหวังก็ดับวูบไม่ต่างจากเปลวเทียนต้องสายวาโย

“แต่ข้าก็มิใจร้ายกับเจ้านักดอก ข้าจะยอมให้เจ้าเป็นต่อชนะข้าเพียงใช้ดาบไม้ต้องกายข้า ตกลงหรือไม่”

“ตกลง...ข้าตกลงขอรับ” จันทรัชยิ้มกว้าง ดวงตากลมเปล่งประกาย หากพระศนิไม่รู้ว่าเทพตัวน้อยเป็นบุรุษก็คงไม่แคล้วนึกว่าเป็นเด็กผู้หญิงจอมแก่น…‘เด็กอะไรเกิดมาหน้าตาไม่สมเป็นชาย’…

“เจ้าอย่าเพิ่งดีใจไปเพราะข้าไม่คิดจะออมมือให้กับเจ้า…นักรบย่อมมิใจอ่อนกับใคร เข้าใจหรือไม่”

“ข้าเข้าใจแล้ว แต่ก่อนจะเริ่มพี่ศนิโปรดมอบดาบให้ข้าจักได้ไหม” พระศนิสดับฟังคำขอก็ดีดนิ้ว พลันกิ่งไม้ในมือของจันทรัชแปรเปลี่ยนเป็นดาบไม้เช่นเดียวกับดาบในมือของพระศนิ

“เอาล่ะข้าว่าถึงกาลที่ข้ากับเจ้าจักต้องสู้กันแล้ว ถึงครานี้เจ้าจะกระจองอแงร้องไห้ ข้าก็มิยอมให้เจ้าหนีไปไหน”

“มาเถิดพี่ศนิ…ข้านี้ไม่เคยคิดหนีท่าน”

เริ่มต้นประลองดาบต่างฝ่ายต่างจ้องมองอิริยาบทของกันและกัน หากพระศนิมากประสบการณ์หาช่องโหว่ได้เร็วกว่าจึงเริ่มรุกเข้าฟันไม่ปราณี แต่จันทรัชใจหาญสู้ไม่คิดถอย คอยตั้งท่ารับดาบไว้ด้วยเช่นกัน เมื่อโอกาสย้ายมาหาตนนั้นพลันเข้ารุกบุกเข้าสู้ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปสักพัก สองดาบยังคงกระทบกันไม่หยุดหย่อน จันทรัชก็เริ่มหมดแรงยกดาบฟาดฟันพลางหายใจหอบถี่ ทำให้พระศนิคลี่ยิ้มออกมาทันทีอีกไม่นานนี้คงรู้ผล

“โอ๊ย!!!” ร่างเล็กล้มลงไปนอนกับผืนดิน เนื้อนวลขาวผ่องเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและขึ้นรอยแดง

“จันทรัช เจ้าเป็นอันใดไป” พระศนิเร่งเข้าหาประคองกายของจันทรัชให้ลุกนั่ง เทพหนุ่มตกใจมิใช่น้อยเมื่อจันทรัชล้มลงไปโดยไร้สาเหตุ คาดว่ามวลกล้ามเนื้อขาคงมิแกร่งพอ

‘ตุบ’ สันของดาบไม้กระทบลงบนท่อนแขนแกร่งตามด้วยเสียงหัวเราะ พระศนิเสียรู้ให้กับจันทรัชเข้าเสียแล้ว

“ข้าชนะพี่ศนิแล้ว…พี่ศนิต้องสอนดาบข้านะขอรับ” จันทรัชเอ่ยออกมาน้ำเสียงเจื้อยแจ้วจนคนฟังนึกหมั่นเขี้ยวกับควมาเจ้าเล่ห์

“พี่ศนิ…เหตุใดถึงเงียบไปหรือว่าข้าตีพี่เจ็บ อย่าได้กังวลหนาข้ามีคาถาทำให้พี่หายปวด” “เดี๋ยวก่อน…ข้ามิได้…”

“เพี้ยง~…ความเจ็บปวดจงหายไป” จันทรัชไม่สนใจคำพูดของพระศนิ ริมฝีปากแดงขยับว่าคาถาตามพระกรวีร์พี่ของตนไม่ผิดเพี้ยน ตามด้วยเป่าลมใส่แขนของพระศนิกำกับปิดท้าย

“ไม่เจ็บปวดแล้วใช่หรือไม่…พี่ศนิ” จันทรัชช้อนตามองถาม ดวงตาใสแจ๋วใสซื่อแสดงความเป็นห่วงเป็นใยชัดเจน

“ไม่เจ็บ” อันที่จริงมันพระศนิไม่รู้สึกรู้สากับดาบไม้ที่กระทบกายเสียด้วยซ้ำ

“เห็นหรือไม่ว่าข้ารักษาพี่ศนิได้” จันทรัชยิ้มอย่างภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง วันนี้เป็นวันดี วันสำเร็จของจันทรัช นับตั้งแต่ใช้มนตร์หายตัว ฝึกดาบและใช้คาถารักษา

“เห็นแล้วว่าเจ้ารักษาข้าได้รวมถึงความเจ้าเล่ห์ใช้มารยาเอาชนะข้าด้วย”

“ข้ามิได้ใช้มารยานะขอรับ การที่ข้าล้มลงหาได้เสแสร้งแกล้งทำไม่แต่นับว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายที่พี่ศนิกลับเป็นห่วงข้า ข้าเลยมีโอกาสใกล้ชิดและใช้ดาบสัมผัสตัวพี่ศนิได้” จันทรัชแก้ต่างให้กับตนเองกลัวว่าศนิเทพจะนึกชังและพาลไม่สอนเพลงดาบ พระศนิได้ฟังที่มาก็นึกโทษตัวเองในใจ ทั้งที่เรียนการศึกมาก็มิใช้น้อยและในตำราบางเล่มเองก็เขียนไว้ว่าอย่าริอาจใจอ่อนกับศัตรู

“เอาเถิดอย่างไรเสียข้าก็แพ้เจ้าแล้ว ข้าย่อมตามสัญญาและข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ให้แจ้งใจว่าข้าจะเคี่ยวเข็ญเจ้าให้หนัก เพลานั้นอย่าได้เลิกเสียกลางคันมิเช่นนั้นเจ้าจักไม่เจอหน้าข้าอีก”

“ขอรับ…ข้าจักตั้งใจเล่าเรียน” จันทรัชให้คำมั่น

.

.

.

“เด็กน้อยของพี่…ไยเจ้าถึงได้ลุกขึ้นมาซ้อมฟันดาบดึกดื่นเช่นนี้” พระพฤหัสบดีหรือพระกรวีร์ได้ถามอนุชาของตนที่กำลังออกแรงฝึกแม่ไม้รำเพียงลำพังกลางสวน ท่ามกลางแสงแขสาดส่อง

“พุธนอนไม่หลับเลยลุกขึ้นมาออกแรง…พุธรบกวนพี่ใหญ่หรือ” พระพุธหยุดการเคลื่อนไหวชั่วขณะแล้วลดดาบลงใส่คืนฝักดั่งเดิม

“มิได้…พี่เพียงออกมาสูดอากาศนอกวิมานเพียงเท่านั้น ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าฝึกดาบตามลำพังในสวนเช่นนี้ จะว่าไปแล้วตอนเด็กๆเจ้าหนีไปซ้อมดาบอยู่บ่อยครั้ง พอพี่ถามว่าอาจารย์ของเจ้าคือใคร เจ้าก็ไม่ยอมตอบพี่ เจ้าบอกว่าเมื่อเจ้าโตขึ้นมาจักให้คำตอบแก่พี่” พระพฤหัสบดีทวงถามสัญญา

“พุธลืมไปเสียแล้ว แต่ถึงอย่างไรพุธก็มิบอกท่านพี่ดอกหนา”

“เจ้าจะบิดพลิ้วไม่บอกพี่หรือ” พระพฤหัสบดีหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันใด

“มิใช่…เพียงแต่เพลานี้พุธ…พุธ…”

“พุธอะไร เร่งตอบพี่มา”

“พุธเป็นเด็กน้อยของพี่ใหญ่จักให้คำตอบได้อย่างเช่นไรเล่า” คำตอบของพระพุธสร้างความปวดเศียรเวียรเกล้าให้แก่พระพฤหัสบดี เห็นทีตนคงมิรู้คำตอบจนชั่วชีวิตเป็นแน่แท้ เพราะสำหรับพระพฤหัสบดี พระพุธยังคงเป็นน้องชายตัวเล็กๆชื่อจันทรัชอยู่ดี

.

.

.

“จันทรัช…ก่อนเจ้าไปข้ามีเรื่องอยากจะขอเจ้า”

“ขออันใดหรือ”

“ขอให้เจ้าปิดเรื่องที่ข้าสอนเพลงดาบเจ้าไว้เป็นความลับ ถ้าเจ้าทำได้ข้าจะคาถาง่ายๆให้เจ้าสัก๒-๓ บท” พระศนิไม่อยากให้เรื่องระหว่างตนกับจันทรัชแพร่งพรายออกไป หาใช่เพราะกลัวตนเองจะถูกติฉินนินทาที่ยุ่งเกี่ยวกับลูกชู้แต่กลัวว่าจันทรัชถูกมองไม่ดีเพราะคบหาสมาคมกับตน

“ข้าสัญญา…”











.....................

ในความดิบเถื่อนปากแข็ง ดุดัน ของพี่เสาร์ยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นมอบให้เจ้าพุธผู้เป็นน้องอยู่ดี

เป็นห่วงน้อง

คนขี้เก๊ก

ส่วนน้องพุธเป็นคนเก่งมาตั้งแต่เกิด น้องไม่ได้เจ้าเล่ห์นะคะ น้องฉลาด 55555 ปนดื้อ



ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจมาอ่าน มาเม้น ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.09 50% P.2 (01/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 01-03-2019 17:41:22


ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 09







ลึกลงไปใต้เกลียวคลื่นของมหาสมุทรอันมิอาจจะประเมินค่าได้เป็นที่ตั้งของโลกอีกใบอันมีสรรพสิ่งมากมายอาศัยอยู่ไม่ว่าจะเป็นหมู่มัจฉาหลากหลายสายพันธุ์ คอยว่ายเคียงข้างจิตรจุลพันปีใหญ่ยักษ์หรือจักปูก้ามแดงที่พรางตัวร่วมกับปะการังหลากสี

ความงดงามเช่นนี้น้อยคนนักที่จักได้ยล โดยเฉพาะยิ่งเข้าใกล้ผาใต้วารีนามว่า ‘ปภัสราภรณ์’ โดยความหมายของชื่อนี้มาจากอัญมณีสีน้ำเงินไม่ว่าจะเป็นเพชรรัตน์ ไพลินและพลอยสีฟ้าใสจากน้ำตาน้ำเงือกทั้งหมดนั้นได้ผนึกลงบนหินผาเรียงรายกันต่างขนาดจนงดงามแต่ยังไม่มากพอที่จะกลบรัศมีวิมานมุกสีครามของพระสมุทรอยู่บนชะง่อนผาได้

“วิมานของพระสมุทรเทพ เหตุใดท่านพี่ถึงได้พาข้ามาที่นี่” นาคีเกล็ดนิลส่งกระแสจิตถึงนาคาสีทองซึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่ข้างกาย

“ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ว่ายตามพี่มาเถิดแล้วอย่าคิดจะหลบหนีพี่ไปไหน” พระเสาร์ไม่ตอบทั้งกำชับให้มุตตาตามตนมาอย่างใกล้ชิด

นาคทั้งสองว่ายน้ำผ่านนางเงือกที่กำลังจับกลุ่มขับขานบทเพลงอันไพเราะราวกับอวยพรให้พระเสาร์และมุตตาพบพานสิ่งดีๆที่กำลังเข้ามา ไหนจะเหล่าทหารที่กำลังตรวจตรารอบอาณาเขตรวมถึงมุ่งหน้ามายังผู้แปลกหน้าที่รุกล้ำมาเยือน

“นาคทั้งสองหยุดก่อนเถิด…อย่าได้ว่ายล้ำเข้ามาม่านพลังนี้เป็นอันขาด” ทหารกล่าวเตือนมิให้ทั้งสองได้เข้าอาณาเขตฟองอากาศซึ่งปกป้องวิมานบาดาลนี้ไว้

“สมกับเป็นใหญ่รองจากพระผู้สร้าง ถึงได้คุ้มกันแน่นหนามิให้ผู้ใดเข้าออกได้ตามใจ…เช่นนั้นเจ้าจงไปรายงานให้พระสมุทรชลันธรได้ทราบว่าข้า พระเสาร์และมุตตาคนรักของข้าขอเข้าพบ” พระเสาร์คืนร่างกลายเป็นเทพดั่งเด่าแผ่รัศมีสีม่วงอ่อนรอบกายา ผิดกับมุตตาที่ยังคงสภาพเป็นนาคดั่งเดิม ทวารบาลเห็นว่าพระเสาร์ผู้มิคบค้าสมาคมกับใครมาหานายเหนือหัวถึงที่นี่คงต้องมีเรื่องด่วนเป็นแน่ ไม่รอช้ารีบเข้าไปรายงานพระสมุทรทันที

“ท่านพี่…เพลานี้มีวาฬหลายร้อยตัวเกยอยู่บนหาดจนสิ้นชีพเหตุเกิดจากน้ำในมหาสมุทรอุ่นขึ้น ข้าจักทำเช่นไรดี หากอุ่นขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ทะเลในโลกมนุษย์จักต้องแย่เป็นแน่” ชลันธรอ่านฎีกาเรื่องเดือดร้อนในเขตการปกครอง ยิ่งอ่านพระสมุทรหนุ่มก็ยิ่งเครียดจนคิ้วขมวด

‘ฟอด’

“ชลันธร…อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด มนุษย์เป็นผู้กระทำให้มหาสมุทรเป็นเช่นนี้เจ้าจะแก้ปัญหานี้เพียงผู้เดียวย่อมยาก” นภนต์เทพเวหาหรือของชลันธรได้กดปลายจมูกหอมแก้มให้คนรักผ่อนคลาย ก่อนจะเอ่ยแนะให้ชลันธรฟัง

“น้องรู้…เฮ้อ อย่างไรเสีย น้องจักต้องปรึกษากับเหล่าเสนาทั้งหลายว่าจักใช้พลังพยุงให้มหาสมุทรของเราไม่ร้อนไปกว่านี้” ถึงปัญหาจะไม่ใช่เพราะตนเป็นเหตุ แต่ด้วยหน้าที่จำต้องดูแลโลกาใต้กระแสสินธุ์ ชลันธรจำต้องแก้ไขเท่าที่จักทำได้

“ตามใจเจ้า ทว่าอย่าใช้พลังเกินตัวรู้หรือไม่ พี่ไม่อยากให้เจ้าล้มป่วย” คำว่าตามใจของนภนต์มีความหวงแหนในตัวร่างโปร่งคอยกำกับ จะไม่หวงได้เช่นไร…ยามชลันธรเจ็บไข้ดูทรมานจนนภนต์นั่งแทบไม่ติด อีกทั้งยังส่งผลให้คลื่นสูงจนจะกลืนกินชายฝั่งเอาไว้ทั้งหมด

“น้องรู้ น้องจะมิทำให้ท่านพี่วุ่นวายใจ” ชลันธรมอบรอยยิ้มให้กับนภนต์ รอยยิ้มสวยแต่งแต้มให้ใบหน้างามยิ่งหวานหยดย้อยกว่านางฟ้านางสวรรค์ งามจนนภนต์ลุ่มหลงมิอาจคุมอารมณ์และการกระทำของตนไว้ได้ ใบหน้าคมคายโน้มเข้าหาใบหน้าอีกฝ่ายโดยที่ชลันธรไม่คิดจะเบือนหน้าหนีคล้ายรอคอย…

“พระสมุทร!!! ข้ามีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทราบ” ก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามใจนึก เสียงของทหารดังลั่นจากหน้าบานประตูทำให้สิ่งต้องการจะทำต้องหยุดชะงัก

“ถ้าเรื่องไม่สำคัญพี่จะจับโยนทหารของเจ้าขึ้นฟ้าให้ทิชากรจิกเล่น” นภนต์เอ่ยออกมาด้วยความหงุดหงิด

“เอาเถิดท่านพี่ เอาไว้ราตรีนี้น้องจะตามใจท่านพี่ทุกอย่าง” ชลันธรให้คำมั่นทำให้นภนต์อารมณ์ดีอีกครั้ง

“เข้ามาได้” ชลันธรอนุญาตให้ทหารเข้ามา ทหารกล้าคุกเข่าแล้วรีบรายงานสิ่งสำคัญ

“พระสมุทรชลันธร บัดนี้พระเสาร์และชายาขอเข้าพบท่าน” พอได้ยินเช่นนี้แล้วมีหรือชลันธรจะปฏิเสธ

“รีบให้พระเสาร์และชายาเข้ามาพบข้าในห้องรับรอง” ชลันธรสั่งการ ทหารได้รับคำสั่งก็รีบออกไป

“พระเสาร์มาหาเจ้าอย่างนั้นหรือพี่ว่าจะมีเรื่องสำคัญเป็นแน่”

“น้องก็คิดเช่นนั้น…บางทีอาจจะเกี่ยวกับนาคินทร์ก็เป็นได้ ท่านพี่เราสองรีบไปยังห้องรับรองกันเถิด” ชลันธรแทบจะทนรอไม่ไหวแล้วรีบเดินนำหน้าไปรอพระเสาร์โดยมีนภนต์คอยอยู่เคียงข้าง ไม่นานพระเสาร์และนาคาตนหนึ่งซึ่งเลื้อยตามหลังพระเสาร์ก็มาถึงยังห้องรับรอง

“เชิญนั่งก่อนเถิดพระเสาร์รวมถึงชายาของท่านด้วย” ชลันธรเชื้อเชิญผู้มาเยือนทั้งสองก่อนที่ตนจะนั่งลงบนแท่นหินอ่อนเคียงข้างนภนต์ พระเสาร์เองก็นั่งลงโดยมุตตานั้นขนดกายอยู่ใกล้ชิด

“ไยชายาของท่านจึงมิแปลงกายเล่า การกระทำเช่นนี้ดูไม่ให้เกียรติแก่พระสมุทรและข้า” นภนต์เอ่ย ไม่นึกเกรงพระเสาร์ด้วยตนเป็นผู้ยึดมั่นในกฎและหวังดีจึงกล่าวเตือน พระเสาร์สดับฟังก็มิพอใจแต่รู้ว่าผิดจริงเลยต้องข่มอารมณ์ร้อนให้เย็นลง

“เหตุที่ข้ามาหาพระสมุทรก็เพราะเรื่องนี้ มุตตาผู้เป็นชายาของข้าและเป็นมารดาของนาคินทร์ต้องคำสาปให้ร่างกายนั้นชราภาพ” พระเสาร์เอ่ยแล้วหันไปพยักหน้าเพื่อให้มุตตากลายร่างเป็นมนุษย์ ทุกสิ่งที่พระเสาร์กล่าวมาได้ประจักษ์ต่อสายตาของเทพทั้งสอง

“ใครช่างใจร้ายสาปท่านให้เป็นเช่นนี้” ชลันธรสงสารมารดาของสหายยิ่งนักที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

“ท่านจักให้ชลันธรแก้คำสาปให้ชายาท่านหรือ เรานั้นมิรู้ถึงชนิดของคำสาปเห็นทีจะไม่ได้” นภนต์เอ่ย ใช่ว่าไม่อยากจักช่วยแต่คำสาปมีหลายแขนง แก้ให้สุ่มสี่สุ่มห้าภัยจักมาถึงคนแก้เองเสียด้วยซ้ำ

“ข้าไม่ได้หวังให้เมียท่านแก้คำสาปนี้ให้มุตตาดอก หากมีอีกหนึ่งคำสาปที่มุตตาต้องประสบด้วยนั่นคือมิอาจจะออกจากน่านน้ำไปแห่งหนใดได้ ข้าจึงอยากให้ผู้เป็นใหญ่ในมหาสมุทรช่วยแก้คำสาป…จะได้หรือไม่พระสมุทร” ไม่บ่อยนักที่พระเสาร์จะออกปากขอความช่วยเหลือใคร ชลันธรได้ฟังแล้วตรึกตรอง

“การแก้คำสาปเป็นเรื่องยาก…เรามิอาจรับรองได้ว่าเราจะแก้คำสาปให้กับชายาของท่านได้หรือไม่” คำตอบของชลันธรสร้างความผิดหวังให้กับมุตตาตลอดจนพระเสาร์ที่อุตส่าห์บากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากเทพรุ่นลูก

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอลา” พระเสาร์เอ่ยเสียงเรียบ หากไม่ทันจะลุกออกไป ชลันธรก็นึกหาทางออกของปัญหานี้ได้

“ถึงเราจะแก้คำสาปไม่ได้แต่เราสามารถให้พรกับชายาของท่านได้!!!” เสียงของชลันธรที่ดังไล่หลังทำให้พระเสาร์หยุดการเคลื่อนไหวพร้อมกับมุตตา

“พระสมุทรจะให้พรอันใดแก่ข้าหรือ” มุตตาถาม ใจนั้นกระตือรือร้นใคร่รู้พรของผู้ครองบัลลังก์มหาสมุทร

ชลันธรยิ้มเล็กยิ้มน้อยไม่ยอมตอบ มือทั้งสองพนมขึ้นมาไว้กลางอก ริมฝีปากขยับท่องคาถา พลันรัศมีสีฟ้าแผ่ออกมาจากหัตถ์ทั้งสองก่อนที่พระสมุทรจะใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งจับเข้าที่ไหล่ของนางนาคี

“ด้วยบารมีแห่งเราพระสมุทรชลันธร ผู้ปกครองมหาสมุทรทั้งไตรภพ เราขอให้พรแก่นาคนามว่ามุตตาสามารถเข้าออกจากใต้ชลธิศ เมื่อใด เพลาใดแล้วแต่ใจปรารถนา…เอาล่ะ รับพรจากเราเสียสิ” ชลันธรเอ่ย ความเมตตาของสมุทรเทวาทำให้มุตตาตื้นตันจนน้ำตารื้น

“ข้ามุตตาขอรับพรจากพระสมุทร” มุตตารับพร แสงสีฟ้าจากฝ่ามือของชลันธรจึงกลายเป็นวงแหวนล้อมกายของมุตตาก่อนจะหายเข้าไปในร่างของนาง

“ข้าขอบน้ำใจท่านมากพระสมุทร” พระเสาร์เอ่ย ถือว่าการมาเยือนวิมานมุกสีครามครั้งนี้ไม่เสียเที่ยว แม้จะไม่สามารถแก้คำสาปได้แต่ก็ได้รับพรแทนนับว่าพระสมุทรผู้นี้เฉลียวฉลาดอยู่ไม่น้อย

“ท่านพี่ข้าสามารถออกจากทะเลไปหาลูกได้แล้ว..ฮึก..ข้าจะได้เจอนาคินทร์แล้ว” น้ำตาแห่งความสุขหลั่งไหลออกมา มุตตาดีใจเหลือเกินไม่คิดว่าชีวิตจะได้มีวันนี้วันที่พ่อแม่ลูกจะได้อยู่พร้อมหน้า

“นาคินทร์…พระเสาร์นาคินทร์ฟื้นแล้วหรือ” ไม่ใช่เพียงมุตตาที่ยินดีกลับกลายเป็นว่าชลันธรรวมถึงนภนต์เองก็ยินดีด้วย

“ใช่นาคินทร์ฟื้นแล้ว บัดนี้กำลังพักผ่อนอยู่บนวิมานของข้า” พระเสาร์ตอบ

“ท่านทิ้งนาคินทร์ให้อยู่วิมานเพียงผู้เดียวหรือ” ชลันธรถาม

“หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพลานี้นาคินทร์อยู่กับ…”

“รพีพงศ์ลูกเขยของท่าน” พระเสาร์เอ่ยออกมาไม่ทันจบประโยคนภนต์ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทั้งยังจงใจเน้นคำว่า ‘ลูกเขย’ ให้เทพหวงลูกหงุดหงิดเล่น พระเสาร์เองพอได้ฟังเช่นนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตนได้ฝากแมวไว้กลับปลาย่างพร้อมกับภาพเหตุการณ์ที่รพีพงศ์คอยหาเรื่องแทะโลมบุตรของตนได้แวบเข้ามา

“ข้ารบกวนท่านมาพอสมควรแล้ว ไว้ยามใดที่ท่านว่างจากภารกิจแล้วไซร้จะไปแวะเวียนเยี่ยมนาคินทร์ที่วิมานข้าก็มิว่า จะไปเมื่อใดก็ได้” พระเสาร์เอ่ยทิ้งท้ายและเอ่ยอนุญาตออกไปเพราะรู้ดีว่าชลันธรคงอยากจะพบเจอนาคินทร์

“ขอบน้ำใจท่านมาก ไว้เราจัดการภารกิจเสร็จสิ้นเราจะไปหานาคินทร์แน่นอน” ชลันธรยิ้มกว้างในใจคิดอยากเจอสหายรักโดยเร็วที่สุด จากนั้นทั้งเทพเวหาและเทพมหาสมุทรได้ออกมาส่งพระเสาร์และมุตตาถึงหน้าวิมานแล้วมองดูนาคาสองสีว่ายขึ้นไปพ้นจากผิวน้ำ









................ 50%.......

จัดไปก่อนนะคะ ครึ่งแรกขอซีนให้พระเสาร์ก่อน ครึ่งหลังค่อยมาดูแมวกับปลาย่าง 55555/
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.09 100% P.2 (04/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 04-03-2019 16:24:14
................ 50%.......

“นี่คือดอกอะไรหรือท่านรพีพงศ์”

“ดอกมณฑารพ”

“แล้วไม้เลื้อยที่พันโอบลำต้นของต้นไม้ใหญ่นั่นเล่า เขาเรียกว่าต้นอะไร…ดอกของมันก็ช่างสวยงาม”

“ดอกขจรทิพย์”

“งามเหลือเกิน ข้าขอเข้าไปดูใกล้ๆเถิดนะท่านรพีพงศ์” นาคินทร์ขออนุญาต

“เอาสิ นี่เป็นวิมานของพ่อเจ้า เจ้าจักเข้าไปชมเหรือเด็ดดอกขจรทิพย์มาเชยชมก็ไม่มีใครว่า” แล้วมีหรือรพีพงศ์จะขัดใจทำให้นาคินทร์ยิ้มร่ารีบเดินไปดูดอกขจรทิพย์ใกล้ๆตามใจปรารถนาโดยมีรพีพงศ์คอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง

ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้หลังจากทั้งสองได้ชำระล้างร่างกายจนเสร็จสิ้น รพีพงศ์ได้นอนหลับเพื่อเอาแรงโดยมีนาคินทร์เป็นหมอนให้กอดก่าย ถึงจะขยุกขยิกอยู่ไม่นิ่งบ้างในตอนแรก สักพักก็ยอมอยู่นิ่งให้รพีพงศ์ได้กอด นับได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่รพีพงศ์หลับตาลงโดยไม่ต้องกังวล รพีพงศ์เข้าห้วงนิทราอย่างเป็นสุขไม่มีภาพแห่งการสูญเสียคนรักคอยหลอกหลอนอีกต่อไปแต่พอตื่นขึ้นมาความสุขยิ่งเพิ่มทวีคูณเมื่อพบว่านาคินทร์อยู่ตรงหน้า…นาคน้อยกลับคืนสู่อ้อมกอดของตนจริงๆและเมื่อรพีพงศ์ลืมตาได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกรบเร้าให้ออกมาเดินเล่นนอกวิมาน ยังดีที่วิมานของพระเสาร์มีสวนให้พอได้เดินเล่น

“เอ๊ะ!! บนต้นไม้มีผลสีเหลืองทองเช่นนั้นเห็นทีต้องปีนขึ้นไปเก็บเสียหน่อย” เสียงของนาคินทร์ทำให้ผู้ที่จมกับความคิดต้องสะดุ้งอีกครั้ง ใจที่ลอยไปไกลได้กลับเข้าร่างและได้เห็นว่านาคน้อยกับลังทำตัวเป็นลิงทะโมน

“นาคินทร์ลงมา ไม่ปีนขึ้นไป” ห้ามไปก็คงไม่ทันเสียแล้ว บัดนี้นาคินทร์ได้เหยียบกิ่งไม้ปีนขึ้นไปไม่ยอมหยุด

“ข้าอยากได้มัน…ข้าอยากได้” นาคินทร์บอกเจตนารมณ์ของตนอย่างชัดเจน ผลสีทองที่อยู่เหนือศีรษะนั้นดูน่ากิน ไหนเล่าจะมีกลิ่นเย้ายวนชวนลิ้มรส หากได้กินสักครั้งก็คงดีมิใช่น้อย

“ลงมาเถิด ประเดี๋ยวพี่จะนำผลมะเดื่อมาสู่เจ้าเอง เข้าใจหรือไม่” รพีพงศ์เกลี้ยกล่อมให้นาคินทร์ลงมา เทพหนุ่มกลัวเหลือเกินว่านาคินทร์จะพลัดตกลงมา

“ข้าเข้าใจแต่ข้า…ข้าปีนลงไม่ได้” นาคินทร์บอกกับรพีพงศ์เสียงแผ่ว เล่นเอารพีพงศ์อยากจะขำก็ขำไม่ได้ อยากจะดุก็ดุไม่ลง

…‘เมียเราแสนซนเสียจริงเห็นทีต้องกกกอดไม่ให้ไปไหน’…

“ถ้าเช่นนั้นจงอยู่นิ่งๆ พี่จะพาเจ้าลงมาเอง” รพีพงศ์เอ่ย นาคินทร์ทำตามอย่างว่าง่ายไม่ดื้อดึงพร้อมส่งสายตาอ้อนขอให้ผู้ที่อยู่เบื้องล่างเร่งนำพาตนลงไป

คาถาง่ายๆถูกนำมาใช้โดยเทพผู้สูงส่ง เปลวเพลิงสีดอกโศกลุกลามบนอากาศคล้ายผืนผ้าล่องลอยทอดยาวเข้าห่อกายม้วนนาคินทร์ให้ลงมาสู่อ้อมแขน นาคินทร์ตกใจมิใช่น้อยคิดว่าตนไม่เชื่อฟังรพีพงศ์จนถูกเผา ทว่าเปลวเพลิงกลับให้ความรู้สึกเย็นสบายไม่ร้อนดั่งที่คิดไว้ แต่…

“ท่านรพีพงศ์เหตุใดเจ้าผ้าไฟลุกของท่านถึงมิยอมคลายออก” นาคินทร์ดิ้นไปมา ถึงมันจะเย็นสบายทว่ามันไร้ซึ่งอิสระ มิอาจขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายกายไปไหนได้

“สัญญากับพี่ก่อนว่าจะไม่ทำอันใดโดยไม่บอกพี่หรือขออนุญาตพี่ก่อน” รพีพงศ์แสร้งดุบังคับให้คนในอ้อมแขนตบปากรับคำ ทั้งต้องการสอนให้นาคินทร์คิดก่อนทำ

“ข้าสัญญา” นาคินทร์รับปาก รพีพงศ์พอใจในคำตอบจึงคลายมนต์และปล่อยนาคินทร์ให้ยืนอยู่เคียงข้าง ไม่รู้ว่านาคินทร์จะรักษาสัญญาได้นานเพียงใดเพราะท่าทางนาคินทร์จะแสนซนปานเด็กเล็ก อีกไม่ช้าคงมีเรื่องให้รพีพงศ์ได้ปวดหัวเป็นแน่

“ข้าไม่ดื้อแล้ว ท่านช่วยเก็บผลที่ท่านเรียกว่ามะเดื่อมาให้ข้าจะได้หรือไม่” นั่นประไร…เพิ่งจะคิดคาดการณ์ไว้หมาดๆ นาคจอมยุ่งก็หาเรื่องให้รพีพงศ์ได้ทำ หนำซ้ำยังกอดแขนอ้อนวอนใช้แก้มคลอเคลียถูไถราวลูกแมวขออาหาร รพีพงศ์ลูบศีรษะของนาคินทร์เบาๆถ้าตนปฏิเสธคงจะใจร้ายเกินไป

“ได้สิ…เจ้ารอรับได้เลย” ท้ายที่สุดรพีพงศ์ก็ตามใจและรางวัลที่ได้คือรอยยิ้มของนาคินทร์ รพีพงศ์ร่ายคาถาสั้นๆแล้วชี้ดัชนีไปยังผลมะเดื่อสุกมันก็ปลิดออกมาจากกิ่งลอยละลิ่วมาหานาคินทร์

“เก่งๆ ท่านรพีพงศ์เก่งที่สุดเลย” นาคินทร์ชื่นชม ตาก็มองผลมะเดื่อในฝ่ามือด้วยความดีใจไม่ต่างจากเด็กน้อยได้ของเล่นที่ถูกใจ

“เก่งแค่ไหนก็สู้พ่อมิได้ดอก” เจ้าของวิมานก้าวขาย่างมาหาช่างเลือกเวลาขัดจังหวะช่วงเวลาของรพีพงศ์กับนาคินทร์ไม่ต่างจากในสวนขวัญ หากจะผิดแผกแปลกไปก็คงจะเป็นพระเสาร์ที่มิได้มาคนเดียวแต่มีสตรีนางหนึ่งใช้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้าไว้อยู่เคียงข้าง

“ท่านน้ามุตตา” รพีพงศ์ตกตะลึงไม่คิดว่าพระเสาร์จะสามารถพามุตตามาเยือนวิมานแห่งนี้ได้

“ท่านพ่อหายไปไหนมา ข้าโกรธท่านพ่อแล้วทิ้งข้าให้อยู่คนเดียว โชคดีนะที่ท่านรพีพงศ์มาอยู่เป็นเพื่อนข้า” ตั้งแต่เกิดมารพีพงศ์ไม่เคยเห็นใครหน้าไหนจะกล้าตัดพ้อพระเสาร์ ไม่มี…ไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งมาถึงวันนี้เป็นบุญตาของตนที่ได้เห็นเทวากึ่งนาคร่างบางกล้าเอ่ยเช่นนั้น อีกทั้งพระเสาร์ยังไม่มีท่าทางโมโหหรือหงุดหงิดออกมา

“พ่อไปรับแม่กลับวิมานของเราอย่างไรเล่า รู้เช่นนี้แล้วเจ้าจะโกรธพ่อหรือไม่” พระเสาร์ตอบกลับไปอย่างใจเย็น

“ท่านแม่หรือ ใช่ผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างท่านใช่หรือไม่” นาคินทร์ถามพระเสาร์พยักหน้าเป็นคำตอบ นาคินทร์ไม่รอช้าวิ่งเข้าหามารดาโดยไว

“ท่านแม่” นาคินทร์เอ่ยพร้อมสวมกอด ถึงแม้จะสูญเสียความทรงจำแต่กลับมีบางสิ่งดลใจให้นาคินมทร์รู้สึกอยากเข้าหาความอบอุ่นอบอวลรอบกายาสอง นี่คงจะเป็นสายใยรักความผูกพันดั่งเกลียวเชือกที่ตัดอย่างไรก็มิขาด

“นาคินทร์ลูกแม่” มุตตาสวมกอดตอบ พลางกลั้นสะอื้นเอาไว้มิให้น้ำตาหลั่งริน ในที่สุดนางก็ได้เจอนาคินทร์อีกครั้ง นางตื้นตันเหลือเกินกับการได้พบเจอนาคินทร์ บุตราที่นางเฝ้ารอคอยมาแสนนาน แม้นาคินทร์จักจำอะไรไม่ได้เลยสักนิดแต่มุตตาไม่คิดจะนำมันมาคิดให้หน่วงใจ อย่างไรเสียลูกก็คือลูก…นาคินทร์ยังคงเป็นลูกของนางไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบันกาลและตลอดไป

“เหตุใดท่านแม่ถึงคลุมผ้า เอาออกเถิดหนาลูกอยากจะมองหน้าสบตาท่านแม่” นาคินทร์ไม่รอให้มุตตาอนุญาต มือเรียวจับชายผ้าแล้วดึงออกเผยให้เห็นริ้วรอยต่างๆทั่วใบหน้า ไม่ทันเสียแล้ว…มุตตาคิด บัดนี้ดวงใจของมุตตาตกลงไปยังตาตุ่มกลัวเหลือเกินว่านาคินทร์จะรังเกียจ

“ท่านแม่…ท่านแม่ของข้า” นาคินทร์ไม่มีท่าทีรังเกียจให้เห็น ฝ่ามืออุ่นสัมผัสเข้าที่แก้มของมุตตา ริมฝีปากขยับเรียกขานผู้เป็นแม่ เหตุใดถึงรู้สึกรัก…เหตุใดถึงรู้สึกผูกพัน ด้านรพีพงศ์และพระเสาร์ต่างโล่งใจที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี

“เอาล่ะ ในเมื่อสองแม่ลูกได้พบเจอกันแล้ว ถือว่าครอบครัวเรานั้นอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ถึงเวลาที่คนนอกของเจ้าจะต้องกลับไปยังวิมานของตนเองเสียที” พระเสาร์เอ่ย เป็นการไล่ทางอ้อมด้วยน้ำเสียงเนิบนาบเพราะต้องการวางตัวเป็นพ่อที่ดีไม่อยากให้ลูกมองว่าเป็นคนร้ายกาจ

 “ท่านพี่ ไยไม่ให้รพีพงศ์อยู่ต่ออีกเล่า อย่างไรก็เชิญร่วมกินข้าวกินปลากับเราเสียก่อน” มุตตาเอ่ย นางเห็นใจรพีพงศ์ไม่น้อยที่เจอฤทธิ์เดชความหวงจากสวามีที่พ่วงท้ายตำแหน่งพ่อตามหาโหด

“วันพรุ่งจะมีการประชุมเทวสภาครั้งใหญ่ เหล่ารัชทายาทจักต้องเข้าร่วมด้วย รพีพงศ์เองเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ทินกรจักต้องเตรียมตัวเตรียมการ จะให้มาทำตัวรับผิดชอบอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่พี่ว่าคงไม่เหมาะ” พระเสาร์เอ่ยให้ขบคิด หากจะมาเป็นลูกเขยตนจักต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ เก่งกาจ ฉลาดมีความสามารถ ไม่ใช่มีแค่รักแล้วตนจะยกนาคินทร์ให้

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอลากลับก่อน” คนนอกที่ถูกกล่าวถึงไม่ใช่คนโง่รู้ตัวว่าพ่อตาต้องการสื่อถึงอะไร อีกอย่างตนเองก็เข้าใจว่านาคินทร์ควรมีเวลาให้กับครอบครัวบ้าง สองมือพนมไหว้ผู้มีตำแหน่งสูงกว่าก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง

“ท่านรพีพงศ์…ท่านจะกลับมาหาข้าอีกหรือไม่” คำถามที่ทำให้คนฟังใจชื้น อย่างน้อยในเพลานี้รพีพงศ์ได้มีตัวตนในชีวิตของนาคินทร์แล้ว

“แล้วเจ้าอยากให้พี่มาหรือไม่เล่า” รพีพงศ์ไม่ตอบ สุริยบุตรกลับตั้งคำถามแทน

“อยากให้มา…มาหาข้าทุกวัน” นาคินทร์ตอบ แก้มทั้งสองแดงระเรื่อบ่งบอกความรู้สึกเขินอายจนปิดไม่มิด โดยหารู้ไม่ว่าบิดาจอมหวงอยากจะเหวี่ยงรพีพงศ์ให้กลับไปยังวิมานเพลิงโดยไว

“พรุ่งนี้พี่จะมาหาเจ้าพี่สัญญา” รพีพงศ์ยิ้มออกมา ก่อนจะเดินออกไปจากสวนหลังวิมาน ทว่าครั้งนี้กลับมีบางสิ่งฉุดให้รพีพงศ์ต้องหยุดเดิน มันหาใช่ถ้อยคำของนาคินทร์แต่เป็นการกระทำ

ฝ่ามือเย็นเฉียบแต่สำหรับรพีพงศ์นั้นแสนอบอุ่นได้คว้าเอาข้อมือตนเอาไว้ นาคินทร์กระชากเทพผู้มีร่างกายสูงใหญ่กว่าตนให้หันกลับแล้วประทับริมฝีปากนุ่มลงบนแก้มของอีกฝ่าย

“ข้าจะรอท่าน…จะรอให้ท่านกลับมาสอนข้าเก็บผลมะเดื่อ” นาคินทร์ยิ้มร่า ไม่ได้สังเกตว่าบัดนี้พระเสาน์กำลังส่งสายตาอาฆาตผ่านแผ่นหลังของตนเองถึงรพีพงศ์ที่พอจะอ่านสิ่งที่พระเสาร์สื่อออกมา

‘ยามที่ข้าไม่อยู่เจ้าเสี้ยมสอนอันใดลูกข้า…รพีพงศ์!!!’











................

ไม่ได้สอนอะไรเลย ไม่ได้สอนอะไร ไม่ได้สอนอะไรเลย

ถ้าสอนรับรองว่าไม่ใช่แค่หอมแก้มแน่นอน #รพีพงศ์ไม่ได้กล่าว

สวัสดีค่ะทุกคนดีใจที่ยังมีคนติดตาม คอยอ่านและเม้น แม้ว่าภาษาอาจจะไม่สละสลวยสวยเด่นเท่าที่ควรข้าน้อยขออภัย อย่างไรเสียผู้อ่านสามารถเขียนสาสน์มาส่งที่กระท่อมน้อยของท่านยุ่งได้ไม่ว่าจะ ติ ชม หรือแนะนำ ท่านยุ่งยินดีเด้อ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.09 100% P.2 (04/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 04-03-2019 19:29:26
น่าสงสารรพีพงศ์  แต่เอาเถอะถึงนาคินทร์จะยังจำไม่ได้แต่อย่างน้อยก็มีสัญญาณดีๆแล้ว

อย่างน้อยแม่ยายก็น่าจะเข้าข้างอยู่ สู้ๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.09 100% P.2 (04/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 05-03-2019 00:52:10
เอาใจช่วยรพีพงษ์ต่อไป
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.10 50% P.2 (16/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-03-2019 14:03:49


ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 10









...‘ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่เช่นนี้ เห็นทีจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นใช่หรือไม่...พระพุธ’...คชสารพาหนะประจำกายส่งกระแสจิตถามองค์เทวัญที่กำลังเยื้องย่างเหยียบขั้นบันไดลงจากวิมานเนื้อหยก ดวงหน้าเยาว์มีรอยยิ้มแลดูงาม ยิ่งเพลานี้แต่งองค์ด้วยพัตราภรณ์สีมรกตปักด้วยรัตนาส่องจรัสยามต้องแสง ในสายตาของพญาคเชนทร์ ‘สพล’ หามีผู้ใดงามเสมอเหมือนพระพุธ...ไม่มี

“ใช่ วันนี้จะเกิดเรื่องดี...ดีมากเสียด้วย” พระพุธเอ่ยกับสพลผู้เปรียบเสมือนน้องร่วมอุทร ด้วยสพลนี้เป็นลูกของแม่ช้างที่เลี้ยงดูพระพุธเมื่อครั้งยังเล็กเป็นเด็กน้อย

...‘ข้าไม่คิดว่าการไปชุมนุมยังสภาเทวาจะเป็นเรื่องดีเลย ข้ายังจำได้บ่อยครั้งเมื่อท่านกลับมามักจะมีเรื่องให้ท่านแก้ไขสะสางอยู่เสมอ’...

“แต่ครั้งนี้ไม่มีแน่...เชื่อข้าสิ”

...‘ข้ามิเชื่อดอก’... สพลคาดคะเนจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เข้าร่วมสภาเป็นร้อยครั้งอย่างน้อยเก้าสิบครั้งจะต้องมีเรื่องให้พระพุธได้จัดการด้วยเหตุที่พระพุธนี้เป็นเทพผู้มีความสามารถมากเกินกว่าใครจะคาดเดา

“ถ้าเช่นนั้นจงรีบพาข้าไปยังสภาเทวาบัดเดี๋ยวนี้จะได้รู้กันว่าใครที่คิดผิด” ไม่รอช้าเทพนพเคราะห์ผู้เป็นเจ้าแห่งวาทะศิลป์ได้ทรงบนหลังของสัตว์พาหนะแล้วเหาะเหินออกจากวิมานรัตนชาติหลากสีไปยังสภาเทพ

แม้จะเป็นหัสดินทร์ใหญ่ยักษ์ ทว่าสพลก็สามารถพาพระพุธมายังสภาได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว...ไม่นานก็ถึงที่หมาย สพลหยุดอยู่ตรงลานหน้าท้องพระโรงใหญ่พร้อมยอบกายลงให้พระพุธได้ลงมา

“สพล...หากเจ้าอยากจะไปเที่ยวเล่นเกี้ยวนางช้างก็ไปเถิด ไม่ต้องรอข้า”

“พระพุธ...ท่านช่างรู้ใจข้าเสียจริง ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” สพลเอ่ยแล้วเหาะจากไปจนลับสายตาของพระพุธ แต่แล้วภาพของช้างพาหนะก็สูญไป มีเพียงความมืดมิดเข้ามาบังตาแทน

“ปล่อยข้า...ถ้ามิปล่อยอย่าหาว่าข้าใจร้ายกับเจ้าก็แล้วกัน” พระพุธเอ่ยกับบุคคลนิรนามที่ริอาจใช้ฝ่ามือปิดตาตน

“ปล่อยแล้วๆ น้องพุธของพี่ไยจึงดุเช่นนี้” หัตถาใหญ่ลดลงทำให้พระพุธสามารถมองเห็นได้อีกครั้ง รวมถึงใบหน้าของเจ้าของฝ่ามือเมื่อครู่ด้วย

“พี่ใหญ่นี่เอง...เหตุใดจึงแกล้งพุธเล่า” พระพุธซักถาม การกระทำเมื่อครู่ช่างผิดวิสัยของพระพฤหัสบดีที่มักจะเคร่งขรึมอยู่เสมอ

“พี่คิดถึงเจ้า คราแรกพี่จักเข้ามาทักทายเจ้าเฉกเช่นปกติแต่ความที่เจ้าไม่เยี่ยมเยือนหาพี่เสียนานจึงอยากจะหยอกล้อเจ้าเพียงเท่านั้น” พระพฤหัสบดีเอ่ย พระอังคุฐลูบไล้ยังปรางค์ขาวอย่างเอ็นดู ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดสำหรับพระพฤหัสบดีแล้ว พระพุธยังคงเป็น ‘จันทรัช’ เทวดาตัวน้อยๆที่ตนมักจะอุ้มไปไหนมาไหนอยู่เสมอ

“เพราะมัวแต่ขลุกอยู่วิมานของพระเสาร์ ทั้งที่พี่ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตแต่เจ้ากลับมิยอมมาหา” พระจันทร์ที่เดินมาเข้ามาทีหลังและได้ยินบทสนทนาของเทพทั้งสองจึงพูดเสริม

“พี่รองกล่าวเกินไป พุธแค่ไปเล่นสกานานๆครั้งเท่านั้น ท่านพี่ทั้งสองต่างรู้ดีว่าพุธมักจะนั่งสมาธิอยู่ในวิมานเสียมากกว่า” พระพุธเข้ากอดแขนของเทพทั้งสอง ศีรษะเอนไปขวาทีซ้ายทีเพื่อให้แก้มนิ่มถูไถไปตามแขน ท่าทางออดอ้อนไม่ต่างจากลูกแมวทำให้ความน้อยใจของพระจันทร์และพระพฤหัสบดีจางหายไป

“ถ้าไม่อยากให้พระจันทร์กล่าวหาเจ้าแล้วไซร้ ยามใดที่เจ้าว่างก็แวะเวียนมาหาพี่สิ พี่มีคาถาใหม่ๆมากมายให้เจ้าได้เรียนรู้” พระพฤหัสบดีใช้โอกาสนี้หลอกล่อ ‘น้องรัก’ ให้มาหาตน ณ วิมานบุษราคัม

“เจ้าพุธไม่ต้องเรียนดอกใครต่างก็รู้ว่าเจ้านั้นเก่งกล้า พี่ว่าเจ้ามานอนอ่านตำรากับพี่น่าจะดีกว่า” พระจันทร์เอ่ย หากดวงตาจ้องมองไปยังพระพฤหัสบดี...เห็นทีศึกชิงน้องกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

“พุธจะสลับไปมาหาสู่ท่านพี่ทั้งสองแต่เพลานี้พุธว่าเราทั้งสามเข้าไปด้านในท้องพระโรงกันน่าจักดีกว่า” ก่อนสงครามขนาดย่อมจะเกิดขึ้น พระพุธได้เบี่ยงเบนประเด็นให้เทพทั้งสองคล้อยตาม ทั้งสามเยื้องย่างผ่านบานประตูแกะสลักเข้าสู่ภายในสภา อันมีเทวินทร์ทั้งหลายประทับยังแท่นของตนโดยเรียงลำดับตำแหล่งลดหลั่นกันไป ด้านบนสุดยังคงเว้นว่างเป็นบัลลังก์ทองของพระผู้สร้าง รองลงมาทางด้านซ้ายเป็นแท่นประดับไข่มุกขององค์พระสมุทรซึ่งกำลังสนทนากับเจ้าของแท่นประดับเพทายทางด้านขวานั่นคือ...เทพแห่งท้องนภา

พระพุธเองประทับลงยังแท่นมรกตซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพระอังคารและพระราหู ทว่าแท่นประทับของพระอังคารนั้นว่างเปล่าอันเนื่องมาจากพระอังคารรวมถึงพระศุกร์ต่างต้องโทษจึงมิสามารถมาร่วมประชุมได้ หากด้านหลังแท่นประทับยังมีรัชทายาทสืบสันติวงศ์นั่งอยู่

ไม่ใช่เพียงบุตรของพระอังคารเท่านั้นแต่บุตราและบุตรีของเทพท่านอื่นต่างมาร่วมชุมนุมในสภาด้วยกันทั้งสิ้นรวมถึงรพีพงศ์ที่นั่งอยู่ด้านหลังของพระอาทิตย์ พระพุธมองไปยังหลานของตนก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย รพีพงศ์แม้จะซูบผอมไปบ้างทว่าแววตากลับเปล่งประกายไปด้วยความสุข...คงจะมีข่าวดีเกิดขึ้นเป็นแน่

“พระผู้สร้างเสด็จ!!!” นายทวารบาลร้องออกมาดังกึกก้องทำให้เทพาและเทพีทั้งหลายแสดงความเคารพแด่ประมุขผู้ทรงธรรมที่กำลังเสร็จไปประทับนั่งบนบัลลังก์โดยมีบุษยะ’ เทพบุตรคนสนิทที่คอยติดตามพระผู้สร้างอย่างใกล้ชิด

“ขอบน้ำใจพวกท่านมากที่ต่างมาร่วมชุมนุมกัน เมื่อมากันพร้อมเพรียงแล้ว ข้าเห็นสมควรที่เราจักเริ่มการประชุม” พระผู้สร้างเอ่ยกับเหล่าเทวาทั้งหลายจากนั้นจึงกล่าวต่อไปอีกว่า

“เหตุที่เรียกให้พวกท่านมารวมตัวกัน อันเนื่องมาจากวันธุมเกตุวสันต์ที่จะเกิดขึ้นในอีก ๓ วัน ครานี้ข้าคิดว่าจักจัดที่สวนขวัญเช่นเดิม พวกท่านคิดเห็นเป็นประการใดหรือผู้ใดมีสถานที่อื่นเหมาะสมกว่าสวนขวัญก็สามารถบอกข้าได้” พระผู้สร้างเอ่ยถาม เหล่าเทพต่างหันซ้ายหันขวาปรึกษาหารือกัน

“พวกกระหม่อมเห็นตรงกันเว่าสวนขวัญเหมาะสม” พระอาทิตย์กราบทูลพระผู้สร้างไปตามความจริง

“เมื่อทุกท่านเห็นตรงกันแล้วไซร้ ข้าจักแบ่งหน้าที่ให้ทุกท่านได้ทำเพื่อเตรียมการในวันธุมเกตุวสันต์ เทพนพเคราะห์จักต้องสร้างม่านมนตราป้องกันภยันอันตรายต่างๆ โดยรอบสวนขวัญ ต่อมาบุตรของเทพนพเคราะห์จักต้องคอยดูแลและตรวจตราภายในสวนขวัญมิให้เกิดเหตุร้ายในระหว่างเตรียมการตลอดจนเสร็จสิ้นวันงาน”

 “กระหม่อมรับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” เทพนพเคราะห์ทั้ง ๖ และรัชทายาทต่างรับคำสั่งโดยพร้อมเพรียงกัน

“ส่วนเทพท่านอื่นมีหน้าที่ตามความสามารถ ไม่ว่าจักเป็นการจัดเครื่องคาวหรือเครื่องหวาน การแสดงคีตศิลป์ต่างๆ”

การประชุมหารือกันถูกดำเนินการต่อไป วางแผนแบ่งพรรคแบ่งกองกันเพื่อให้การจัดเตรียมเป็นไปอย่างราบรื่น อีกทั้งยังคอยให้คำแนะนำกันจนกระทั่งภาพของวันธุมเกตุวสันต์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างในจินตนาการเหลือเพียงเร่งลงมือให้มันเป็นจริงเท่านั้น

“จากนี้ไปขอให้ทุกท่านแยกย้ายกันเพื่อเตรียมตัวทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายในวันพรุ่งเถิด”

“พระผู้สร้างพะยะค่ะ” พระผู้สร้างรวมถึงทวยเทพในสภามิทันได้ลุกออกจากแท่นประทับ นายทวารบาลผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูก็รีบวิ่งเข้ามากลางลาดพระบาท

“มีอันใดหรือ ไยเจ้าจึงดูลุกลี้ลุกลนยิ่งนัก” พระพริษฐ์ตรัสถาม ในใจคิดว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่แท้ นายทหารจึงรีบเข้ามาด้วยท่าทีที่ไม่สำรวมผิดแผกจากเดิม

“พระเสาร์พะยะค่ะ...พระเสาร์และบุตราขอเข้าเฝ้าพระองค์พะยะค่ะ”

“ข้าอนุญาต” พระผู้สร้างตรัสออกมาเมื่อรู้ว่าผู้ใดมาเยี่ยมเยือน นายทวารบาลจึงออกไปเปิดบานประตูให้พระเสาร์และนาคินทร์ได้เข้ามา

เทพผู้สวมหน้ากากประดับอัญมณีสีม่วงเม็ดมะปรางปิดเนตรข้างหนึ่งไว้มาพร้อมกับบุรุษพักตรางามที่มือนั้นจับแขนของตนไว้ ทุกสายต่างจ้องมองไปยังผู้ที่มาทีหลัง เหล่าทวยเทพต่างประหลาดใจที่พระเสาร์ผู้มิเคยร่วมชุมนุมสภากลับเข้าร่วมในวันนี้และเหนือสิ่งอื่นใดพระเสาร์มีบุตรใบหน้างดงามหมดจดมิต่างจากนางอัปสรสวรรค์

“พ่ออยู่ตรงนี้ เจ้าอย่าได้กลัวสิ่งใดไม่” พระเสาร์เอ่ยกับนาคินทร์ เทพสุดแกร่งพอจะรู้ว่านาคินทร์นั้นประหม่ากับการเป็นจุดสนใจ

“นาคินทร์...” รพีพงศ์พึมพำทั้งชะเง้อมองไปยังคนรักแต่ต้องรีบสงวนท่าทีเมื่อพระเสาร์ตวัดตามามองตน นอกจากรพีพงศ์แล้วชลันธรเองก็มองไปยังสหายรักราวกับความฝันที่ตนได้พบเจอกับนาคินทร์อีกครั้ง นาคินทร์ยังคงเป็นนาคินทร์อาจจะมีสิ่งที่เปลี่ยนไปนั่นคือสีของดวงตาจากสีเขียวกลายเป็นสีม่วง แต่มิว่านาคินทร์จักเป็นเช่นไรสำหรับพระสมุทรแล้วนาคินทร์ยังคงเป็นสหายรักอยู่เสมอ













...........................

จัดไปก่อน 50% นะคะ ตอนนี้เรียบๆง่ายๆ ก่อนจะเปิดประตูสู่ความเข้มข้นของนิยายเรื่องนี้ อิอิ ไปต้มน้ำกินมาม่าดีกว่า
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.10 50% P.2 (16/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 16-03-2019 16:03:40
รอๆ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.10 50% P.2 (16/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 16-03-2019 20:16:00
รอๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.10 100% P.2 (21/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 21-03-2019 10:22:15
มาต่อ 50% ที่เหลือ






...........................50%.....

พระเสาร์โค้งคำนับทำความเคารพองค์มหาเทพโดยที่นาคินทร์คอยทำตามบิดาไม่ขาดตกบกพร่อง เสร็จแล้วพระเสาร์ใช้มือโอบบ่าของนาคินทร์ให้มานั่งยังแท่นประทับของตน

“พระเสาร์มีเรื่องอันใดถึงได้ขอเข้าเฝ้าข้าหรือ” พระผู้สร้างตรัสถามเทพรัศมีสีม่วงผู้ที่ร้อยวันพันปีถึงจะออกมาจากวิมานมายังสภาเทพแห่งนี้

“เหตุที่กระหม่อมขอเข้าเฝ้าพระองค์นั้นเพื่อขอบพระทัยที่พระองค์เมตตาชุบชีวิตนาคินทร์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง” พระเสาร์บอกจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ นาคินทร์เองพนมมือขึ้นไหว้พระผู้สร้างเป็นการแสดงออก

“หากจักขอบน้ำใจกัน ข้าว่าท่านจักต้องของขอบน้ำใจเทพนภนต์ที่มาร้องขอข้ารวมถึงรพีพงศ์ผู้ที่ทำทุกวิถีทาง เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายให้ได้มาซึ่งดวงวิญญาณบุตรของท่าน” คำบอกเล่าของพระผู้สร้างทำให้ดวงใจของนาคินทร์พองโต ดวงตาสวยเหลือบมองรพีพงศ์ที่กำลังจ้องตนเองเช่นกัน

...‘ท่านรพีพงศ์...ไยท่านดีกับข้าเช่นนี้’...

ครั้งแรกที่ลืมตาดูโลกอีกครั้งสิ่งแรกที่นาคินทร์เห็นคือพักตราของรพีพงศ์ ในครั้งนั้นความรู้สึกมากมายปะปนกันจนมิอาจเปล่งวาจาออกมาได้ ทว่าในเพลานี้นาคินทร์พอจักให้คำนิยามความรู้สึกในครั้งนั้นได้ ได้เมื่อครั้งนี้ความรู้สึกเดียวกันหากมันดีจนแทบจะล้นอก

“พะยะค่ะ อย่างไรเสียกระหม่อมจะตอบแทนเทพทั้งสองให้สมกับการช่วยเหลือบุตรของกระหม่อม” พระเสาร์เอ่ยกับพระผู้สร้าง

การมาเยือนสภาเทวาของพระเสาร์ในครานี้มิได้มาเพื่อพานาคินทร์มาขอบพระทัยพระผู้สร้างหรือให้บรรดาเทพาและเทพีทั้งหลายได้ยลโฉมบุตรของตนเท่านั้น พระเสาร์ยังมีจุดประสงค์อื่นที่จะทำหลังจากนี้

“เจ้าพุธ...”

นอกจากการพานาคินทร์มาเข้าเฝ้าพระผู้สร้างและประกาศตัวตนของนาคินทร์ให้เทพยดาองค์อื่นได้รับรู้แล้ว การมาเยือนสภาเทวาครั้งนี้ยังมีเป้าหมายสำคัญอีกประการหนึ่งนั่นก็คือการได้เจอกับพระพุธ

“พี่เสาร์...นาคินทร์หลานอา ขออากอดเจ้าสักหน่อยเถิด” พระพุธที่กำลังเดินออกไปก็หันหลังกลับ พบว่าพระเสาร์ นาคินทร์และรพีพงศ์กำลังเยื้องย่างเข้าหาตน พระพุธไม่รีรอจึงเป็นฝ่ายเข้าหาและสวมกอดนาคินทร์โดยไม่รอคำตอบจากหลานชาย นาคินทร์เองยินยอมให้กอดไม่ขัดขืน ความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เกิดขึ้นเมื่อเจอกับเทพผู้นี้

“ท่านอาคงหลงลืมข้าเสียแล้วกระมัง” รพีพงศ์แสร้งตัดพ้อพระพุธที่กำลังหลงนาคินทร์หัวปักหัวปำ

“ใครจะลืมเจ้ากันเล่ารพีพงศ์ อย่ามาน้อยใจอาเลย” พระพุธเอ่ยกับรพีพงศ์จนลืมไปเสียสนิทว่าที่ตนยังมิออกไปจากสภาเทพเป็นเพราะเทพอีกองค์หนึ่งซึ่งกำลังยืนนิ่ง สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดใดทั้งสิ้น

“หยุดกอดนาคินทร์ หยุดพูดคุยกับรพีพงศ์และช่วยสนใจข้าด้วย” พระเสาร์เอ่ยขึ้นมาให้พระพุธรู้ว่าใครกันแน่ที่พระพุธต้องเสวนาด้วย พระพุธได้ยินดังนั้นแขนทั้งสองจึงลดลงและผละกายออกจากนาคินทร์

“พี่เสาร์มีเรื่องอันใดให้พุธต้องสนใจหรือ” พระพุธเอ่ยถาม ทำหน้าทำตาทะเล้นใส่ ในใจอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อพระเสาร์ผู้เป็นพี่ นับตั้งแต่วันที่พระเสาร์และตัวพระพุธเองจัดการอดีตพระสมุทรกนธี

...‘พอทีแบบนี้ให้พุธสนใจ คงจักมีเรื่องสินะถึงได้เป็นฝ่ายเข้าหา’...

“ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย” นั่นปะไร พระพุธคิดถูกว่าพระเสาร์จักต้องมีเรื่องให้ตนช่วย แน่นอนว่าพระพุธไม่คิดปฏิเสธแต่ไม่คิดรับปากตกลงง่ายๆเช่นกัน ในเมื่อโอกาสที่จะได้แกล้งพระเสาร์เปรียบเสมือนอ้อยเข้าปากช้างแล้วไซร้ พระพุธย่อมเล่นตัวปั่นหัวให้อีกฝ่ายร้อนรนเล่น

“วันนี้พี่รองชวนพุธไปอ่านตำราที่วิมาน” ปฏิเสธอย่างไรให้ไม่เหมือนการปฏิเสธ ประโยคที่พระพุธเอ่ยออกมาทำเอาพระเสาร์หงุดหงิดมิใช่น้อยที่พระพุธเห็นการไปหาพระจันทร์สำคัญกว่าหาตน

“ค่อยไปวันพรุ่ง วันนี้เจ้าต้องมากับข้า” ในเมื่อขอร้องไม่ได้พระเสาร์จำต้องบังคับจับข้อมือของพระพุธเอาไว้แน่น จนคนโดนจับหน้านิ่ว

“ท่านพ่อปล่อยท่านอาเถิด” นาคินทร์เข้าห้าม ไม่อยากให้พระเสาร์ทำร้ายพระพุธ

“ถ้าพ่อปล่อยแล้วใครเล่าจักช่วยแม่ของลูกได้” พระเสาร์หันไปบอกกับนาคินทร์แต่คำตอบนี้กลับทำให้พระพุธถึงกับยืนนิ่ง

“มารดาของนาคินทร์...เมียของพี่เสาร์หรือ พี่จะพาข้าไปหาเมียพี่หรือ ไปๆ...ไป พุธไปกับพี่เสาร์ พุธอยากเจอเมียพี่เสาร์” อย่างที่พระพุธคิดไว้ไม่มีผิดว่าวันนี้จักต้องเป็นวันดีของตน นอกจากจะได้เจอหน้าหลานแล้วตนยังได้เจอคนรักของผู้เป็นพี่ชายอีกด้วย

“ดีมาก เช่นนั้นเจ้ามากับข้า ส่วนเจ้ารพีพงศ์พาลูกข้าตามไปส่งที่วิมานข้า” พระเสาร์ไม่คิดถามความสมัครใจใดๆทั้งสิ้นเพราะใช้ความสะดวกใจของตนเป็นหลัก ทว่ารพีพงศ์กลับพอใจเป็นอย่างมากที่พระเสาร์เปิดทางให้ตนได้ใกล้ชิดกับนาคินทร์

“ช้าอยู่ไย...รีบไปกันเถิดข้าอยากเจอเมียพี่เสาร์แล้ว ให้ข้าจินตนาการข้าว่าจักต้องงามล้ำ งามเลิศกว่าอัปสรสวรรค์เป็นแน่ ขนาดนาคินทร์เป็นชายยังงามต้องตา ต้องใจเช่นนี้” พระพุธเอ่ยและเป็นฝ่ายออกแรงให้พระเสาร์ขยับกายโดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตัวเองเอ่ยมานั้นมันกระทบใจของผู้ฟัง

“ท่านรพีพงศ์...เหตุใดท่านพ่อถึงบอกกับข้าว่าท่านอาพุธช่วยแม่ของข้าได้” นาคินทร์ซักถาม ดวงตามองไปยังพระพุธที่กำลังขี่พยัคฆาของพระเสาร์

“หากเจ้าอยากรู้พี่จักเล่าให้เจ้าฟังในระหว่างทางไปวิมานเจ้า...ตกลงไหม”

นาคินทร์พยักหน้าเป็นคำตอบ รพีพงศ์เรียกราชสีห์เนื้อทองให้ปรากฏกายแล้วประคองนาคน้อยของตนขึ้นขี่หลัง เมื่อเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยทั้งสองก็พากันไปยังวิมานหงสบาทตามพระเสาร์และพระพุธที่นำหน้าออกไป ท่ามกลางสายตาของเทวาองค์อื่นๆ ไม่เว้น...สายตาอาฆาตแค้นของใครบางคน

...‘มุตตา!!! นี่เจ้ายังไม่ตายหรือนี่ ซ้ำร้ายยังมีบุตรมาเป็นหอกทิ่มแทงข้าอีก!!!’...

เมฆาลอยล่องคล้ายปุยนุ่น แลนุ่มนวลเสียจนนาคินทร์อดมิได้ที่จะใช้มือสัมผัส หากสัมผัสแล้วมันกลับหายวับไปเสียนั่น หากนาคินทร์ยังเพียรพยายามจับต่อไปอีกหลายครั้ง ทำให้ผู้ที่นั่งซ้อนกายอยู่ด้านหลังอดหัวเราะมิได้

“ท่านรพีพงศ์ หัวเราะเยาะข้าหรือ” ริมฝีปากอมชมพูเหยียดตรง ดวงตาจ้องเขม็งไปยังรพีพงศ์ ทว่ามันกลับไม่น่ากลัวเลยสักนิดในทางกลับกันมันช่างน่าจูบเสียเหลือเกิน

‘ฟอด...’

“พี่หรือจะหัวเราะเยาะเจ้า พี่นึกเอ็นดูเจ้าเสียมากกว่านาคินทร์” ริมฝีปากของรพีพงศ์มิต่างจากพู่กัน พอสัมผัสลงแก้มไม่ต่างจากการระบายสีลงบนผืนผ้า ปรางค์ขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ

“ไม่รู้...ข้าโกรธท่านแล้ว นอกเสียจากท่านจักเล่าเรื่องของท่านอาพุธให้ข้าฟัง” นาคินทร์แสร้งไม่พอใจก่อนจะยกเรื่องพระพุธขึ้นมาต่อรอง

“พี่นึกว่าเจ้าเล่นก้อนเมฆจนลืมเสียแล้ว นั่งนิ่งๆแล้วหายงอนพี่ พี่จักเล่าให้เจ้าฟังบัดเดี๋ยวนี้”

รพีพงศ์เริ่มเล่าเรื่องราวของพระพุธ ไม่ว่าจะเป็นความเฉลียวฉลาด วาทศิลป์ยอดเยี่ยม การรบการศึกมิเคยเป็นรองใครจนได้รับพรจากพระผู้สร้างองค์ก่อน ยกเว้นเรื่องชาติกำเนิดของพระพุธเอาไว้ที่รพีพงศ์เห็นว่ามิสมควรเอ่ยออกมา

“มิน่าล่ะ ท่านพ่อถึงได้ให้ท่านอาพุธช่วย ท่านอาพุธเก่งกาจเช่นนี้นี่เอง ไหนจักรูปงามไม่ต่างจากอิสตรี...ข้าอยากเป็นเช่นท่านอาเสียเหลือเกิน” นาคินทร์กล่าวชื่นชม รพีพงศ์ได้ยินนั้นก็อยากจะบอกเสียเหลือเกินว่านาคินทร์งามกว่าร้อยเท่าพันเท่า

“แต่ข้ามิอยากให้เจ้าเป็นเช่นท่านอาพุธ”

“เพราะเหตุใดกัน ได้โปรดเอ่ยออกมาให้ข้าได้แจ้งใจด้วยเถิด”

“ถ้าเจ้าเก่งกาจ ข้าก็มิอาจแอบอ้างต่อพระเสาร์เพื่อทำหน้าที่ปกป้องเจ้า ดูแลเจ้าน่ะสิ” รพีพงศ์ให้เหตุผล นาคินทร์ได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขวยเขินกับคำหวาน

“ไยเจ้าหน้าแดงเล่า...เขินข้าหรือนาคน้อย” ไม่ต้องสังเกตก็เห็นชัดว่านาคินทร์รู้สึกเช่นไร รพีพงศ์อดไม่ได้ที่จะแกล้งเหย้าให้นาคินทร์อายมากกว่าเดิม

“มิให้ข้าเขินได้อย่างไรเล่าในเมื่อแต่ละคำที่ท่านขยันเอื้อนเอ่ยล้วนชวนให้ข้าหวั่นไหว ผิดกับท่านที่เคยชินกับการพูดจาหว่านเสน่ห์แก่นางฟ้า นางสวรรค์หรือใครอื่นที่มิใช่ข้า”

“เหตุใดเจ้าพูดจาใส่ร้ายพี่เช่นนี้ คราวหน้าคราวหลังจงอย่าพูดอีก...เข้าใจหรือไม่”

“ข้ามิได้ใส่ร้าย อีกอย่างข้าจะพูด พูด พูด ท่านห้ามข้ามิได้ดอก” บทจะดื้อก็ดื้อเสียง่ายๆ หากกิริยายังคงชวนให้รพีพงศ์เอ็นดูจนมิอาจโกรธนาคินทร์ได้ลง แต่ก็อดเสแสร้งแกล้งดุอีกฝ่ายไม่ได้

“นาคินทร์ขืนเจ้ามิหยุดพูด พี่จะ...”

...‘เจ้าฟังข้านาคินทร์ เจ้าจงนั่งเงียบๆ นิ่งๆ หากเจ้ายังพูดมากอีก ข้าจะจูบเจ้าไม่หยุดจนถึงป่าหิมพานต์’...

“จูบ” นาคินทร์เอ่ยในสิ่งที่รพีพงศ์ต้องการจะพูดราวกับรู้ใจ หากความจริงแล้วภาพเหตุการณ์ที่มีตนและรพีพงศ์งอกเงยออกมาราวกับยอดต้นอ่อนที่เติบโตจากผืนดินที่เรียกว่าจิตใต้สำนึก

“นาคินทร์ เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าพี่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา”

“ข้า...ข้าเห็นตนเองอยู่กับท่าน นั่งด้วยกันอยู่บนหลังม้าสีขาวแล้วท่านก็...อึก...ท่านรพีพงศ์ ข้าปวดหัว” อยากจะเล่าในสิ่งที่ตนได้เห็นทั้งหมดให้ฟังทั้งหมด ทว่าความเจ็บแปลบเข้าแล่นยุ่งเหยิงภายในศีรษะของนาคินทร์ไม่ต่างจากเส้นด้ายไร้แกน

“ไม่ต้องเอ่ยอันใดออกมาแล้วนาคินทร์ พี่มิอยากรู้แล้ว...สูดหายใจเข้าลึกๆ อดทนอีกสักนิดอีกไม่กี่อึดใจเราก็จะถึงวิมานของเจ้าแล้ว แต่หากเจ็บปวดทรมานแทบเกินทนก็จงจิกเล็บระบายมันออกมาลงบนเนื้อกายพี่ พี่ยินดีถ้ามันทำให้เจ้าคลายความเจ็บ...พี่ยินดีถ้าแลกกับการที่เจ้าจะไม่จากพี่ไป” รพีพงศ์รั้งเอวของนาคินทร์จนแผ่นหลังแนบชิดกายา ทั้งศีรษะเอนอิงพิงอกกว้าง รพีพงศ์โน้มใบหน้าลงจรดริมฝีปากพรมจูบทั่วใบหน้าของนาคินทร์ แขนทั้งสองกอดร่างกายของนาคินทร์เอาไว้แน่น บุตรแห่งเจ้าแสงรวีกำลังกลัว...กลัวว่าจะสูญเสียนาคินทร์ไปอีกครั้ง



.............................

มาแล้ว ครบแล่วนะคะ ตอนนี้เหมือนคลื่นใต้น้ำค่ะ มาอย่างสงบๆก่นจะเจอคลื่นมาม่าถาโถมเข้าใส่ ถึงเวลานั้นท่านยุ่งขอตัวหนีคนอ่านไปหม่ำมาม่ากับป๋ากนธีค่ะ 5555555

ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้นเป็นกำลังใจนะคะ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.10 100% P.2 (21/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-03-2019 21:55:46
 :serius2:
 :3123:
เค้ากลัวมาม่านะเตง
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.10 100% P.2 (21/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-03-2019 14:45:18
รอๆ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.11 50% P.3 (31/03/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 31-03-2019 18:47:36


ลิขิตรัก...เพลิงเทวา Author : Tan-Yung 020 File : 11

โชคชะตามักทดสอบให้เราได้เผยธาตุแท้ในใจ ไม่ว่าจะเป็นความดีงามที่เปิดเผยหรือความชั่วร้ายที่ซ่อนเร้น ความกลัวที่มิอยากให้เกิด แม้เราจะพยายามต่อสู้หรือคอยหาทางตั้งรับไว้มากมายเท่าไร บางครั้งมันก็ไม่เป็นดังใจหวัง

ดั่งรพีพงศ์ผู้สง่าเก่งกล้าฝ่าภยันต์อันตรายมานับร้อยนับพัน ไม่ว่าจักคมเขี้ยวของราพณาสูรหรือเหตุการณ์ร้ายจนแทบวายชนม์ รพีพงศ์ก็มิเคยจะเผยความหวาดหวั่นออกมาเลยสักครั้ง จนกระทั่งได้พบเจอกับนาคินทร์เชลยรักผู้กุมหฤทัยดวงนี้และได้สร้างความกลัวเอาไว้กับรพีพงศ์ ความกลัวที่จะสูญเสียนาคินทร์ไปอีกครั้งและไม่มีวันได้หวนคืน

“เทพโอสถ...บุตรแห่งข้าเป็นเช่นไรบ้าง” พระเสาร์ถามไถ่อาการจากแพทย์สวรรค์ที่ถูกเชิญมาอย่างกะทันหันเพื่อรักษานาคินทร์บุตรของตน

“มิมีสิ่งใดผิดปกติ หากจากที่เทพรพีพงศ์เล่ามาก็นับว่าเป็นเรื่องปกติยามที่ความทรงจำได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา” เทพโอสถให้คำตอบหลังจากตรวจอาการอย่างถี่ถ้วน รพีพงศ์ได้สดับฟังดังนั้นแล้วก็ดีใจกับนิมิตรหมายอันดี หากนาคินทร์จักสามารถจำตนเองได้

“และถ้านาคินทร์เป็นเช่นนี้อีกมิต้องตกใจไป เพียงท่านให้บุตรของท่านนอนพักเท่านั้น อาการก็จักดีขึ้นเอง” เทพโอสถกล่าวต่อ

“ขอบน้ำใจท่านมากเทพโอสถ” รพีพงศ์เอ่ย

“ไม่เป็นไร เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยของเทพทั้งหลายล้วนแล้วเป็นหน้าที่ของข้า เพลานี้ก็หมดหน้าที่ของข้าแล้วข้าขอตัวลา”

“ข้าขอบน้ำใจท่านอีกครา” พระเสาร์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปส่งเทพโอสถร่วมกับรพีพงศ์ถึงหน้าวิมาน อันผิดวิสัยของพระเสาร์ยิ่งนัก เมื่อลับตาราชรถของเทพโอสถใบหน้าที่เป็นมิตรแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย

“เจ้าดูเอาไว้รพีพงศ์ว่าใครเข้าหาเราเพื่ออะไร” พระเสาร์เอ่ยขึ้นขณะหมุนตัวกลับ

“ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่ากระไรหรือ” รพีพงศ์ถามกลับ

“เทพโอสถอย่างไรเล่า ยามใดที่ข้าไหว้วานมักจะปฏิเสธอยู่ร่ำไปแต่ครานี้ พอข้าให้ทหารไปเชิญก็รีบมาเสียทันทีทันใด ไหนจะสายตาที่คอยสอดส่องในวิมานข้าอีก คงอยากรู้อยากเห็นมุตตาเป็นแน่...ฮึ!! คงอยากมีเรื่องไปเล่าให้พวกเพื่อนพ้องได้ฟังยามรินสุรา” พระเสาร์ร่ายคำออกมายาวเหยียด รพีพงศ์เองได้ฟังก็ขบคิดตามไปด้วย เมื่อครู่ตนก็มิได้สังเกตเพราะมัวเป็นห่วงนาคินทร์ที่นอนหลับอยู่

“การคบค้าสมาคมกับใครเจ้าจักต้องระวังให้ดี ยิ่งในกาลหน้าเจ้าจักต้องขึ้นสืบบัลลังก์จากบิดาของเจ้าแล้วไซร้ ครั้นยังทำตัวอ่อนหัด เหยาะแหยะ ถึงคราวสุริยงต้องดับสูญเป็นแน่ เข้าใจหรือไม่”

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบน้ำใจท่านมากที่ช่วยชี้แนะข้า” รพีพงศ์คลี่ยิ้มออกมา จากการเสวนาเมื่อครู่รพีพงศ์สัมผัสได้ว่าพระเสาร์มิได้ดูถูกดูแคลนตนเลยสักนิด ตนกลับรู้สึกได้ว่าพระเสาร์กำลังส่งสอนตนเสียมากกว่า

“ข้าบอกเจ้าไว้เพราะเห็นว่าเจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก บางครั้งความดีและคุณธรรมมันไม่เพียงพอหากไร้เล่ห์เหลี่ยม” พระเสาร์เอ่ย แล้วเดินรุดหน้าไปยังห้องรับรองที่ถูกปิดเอาไว้ ด้านรพีพงศ์เองก็เลี้ยวไปยังห้องของนาคินทร์เพื่อดูแลต่อไป

“นึกว่าพุธจักต้องถูกขังอยู่ในนี้กับพี่หญิงไปจนถึงวันพรุ่งเสียแล้ว” ทันทีที่บานประตูเปิดออกพระพุธก็เอ่ยออกมา ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ พระเสาร์และพระพุธได้รุดหน้ามาถึงวิมานก่อนรพีพงศ์และนาคินทร์ เจ้าของวิมานจึงได้พาพระพุธไปพบกับมุตตาพร้อมกับบอกเหตุผลในการพาพระพุธมารวมถึงขอความช่วยเหลือแกมบังคับให้ช่วยแก้คำสาป ทว่ารพีพงศ์ได้มาถึงในอ้อมแขนมีร่างไร้สติของนาคินทร์ นั่นคือเหตุที่ทำให้พระเสาร์พาพระพุธและมุตตาไปหลบอยู่อีกห้องเพื่อมิให้เทพโอสถที่พระเสาร์ได้ให้ทหารกอบัวมาพบเข้า

“ไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่กับเมียข้าสองต่อสองนานดอก แล้วนี่สนิทกันแล้วหรือไร เจ้าถึงได้เรียกมุตตาว่าพี่หญิง...เจ้าพุธ” พระเสาร์เอ่ย ทั้งที่รู้อยู่ว่าพระพุธไม่มีทางที่จะลอบเล่นชู้กับมุตตาได้

“นั่นสิพระพุธ ข้าเองต่ำต้อยยิ่งนักไหนจะรูปโฉมอัปลักษณ์อีก ท่านมิน่าจะลดเกียรติเรียกข้าว่าพี่เลย” มุตตาเอ่ย

“ต่ำต้อยอันใดกัน พี่หญิงเป็นเมียพี่เสาร์ ผู้เป็นหนึ่งในเทพแห่งดาวนพเคราะห์เชียวนะ อีกอย่างจากที่ใช้ญาณตรวจดูคำสาป ข้าพอจะมีวิธีที่จะทำให้พี่หญิงรูปงามดังเดิม” พระพุธยิ้มออกมา ทำให้มุตตาและพระเสาร์ดีอกดีใจจนเนื้อเต้น

“เจ้าว่ากระไรเจ้าพุธ!! เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่!!” ผู้ที่ตื่นเต้นกว่าผู้โดนสาปเข้ามาจับที่ต้นแขนของพระพุธไว้แล้วเขย่าตามแรงอารมณ์จนลืมไปว่าพระพุธนั้นรูปร่างผอมบางมากกว่าตนหลายเท่า

“ท่านพี่...ใจเย็นๆก่อน ประเดี๋ยวพระพุธก็บาดเจ็บดอก” มุตตาเอ่ย พระเสาร์ได้สติจึงปล่อยพระพุธให้เป็นอิสระ

“ขอบน้ำใจพี่หญิงมากที่ช่วยข้า...พี่เสาร์จักฆ่าพุธหรือไร” พระพุธหันไปกล่าวคำขอบคุณกับนางนาคีและมิวายตัดพ้ออีกคน ก่อนจะกุมแขนที่น่าจักช้ำนิดๆอันเกิดจากแรงบีบของพระเสาร์

“ข้าขอโทษ ข้ามิได้ตั้งใจจักทำให้เจ้าเจ็บ” พระเสาร์เอ่ย พระพุธได้ฟังแทบจะไม่เชื่อหูของตน ตั้งแต่เกิดมาน้อยครั้งที่พระเสาร์จะเอื้อนเอ่ยคำนี้ออกมาด้วยเป็นเทพที่ปากหนัก ปากแข็งเกินใครในหล้า แต่ถ้าให้คิดอีกแง่คงเป็นเพราะอยู่ต่อหน้านางมุตตาจึงไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดออกมา พอคิดเช่นนี้แล้วความเจ็บเล็กๆบังเกิดในใจของพระพุธ

“มิเป็นไร พุธมิได้ถือสาดอกที่เอ่ยออกมาเพียงอยากจะหยอกล้อพี่เสาร์เท่านั้น” ถึงจะมีความน้อยใจจะเข้ามาแทรกแซง หากพระพุธยังคงเผยรอยยิ้มซ่อนอารมณ์อันแท้จริงเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ

“เจ้านี่นะ...ไหนบอกข้ามาโดยไวว่าเจ้าจักแก้คำสาปให้กับมุตตาได้เช่นไร” พระเสาร์เร่งเอาคำตอบ

“ให้พี่หญิงลงไปในสรงน้ำอันมีผงหยกจากพุธดาราผสมอยู่” พระพุธตอบ จากที่พิจารณาผลลัพธ์ของคำสาปประมวลกับวิธีแก้คำสาปที่ตนได้เคยศึกษาจากตำราของพระจันทร์และพระพฤหัสบดี ทำให้พระพุธมั่นใจในวิธีการที่ตนได้เอ่ย หากวิธีที่ดูแสนง่ายหนำซ้ำไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงตามหา พระเสาร์ได้ฟังถึงกับเลิกคิ้วไม่คิดว่าสิ่งที่จักแก้คำสาปมันจักง่ายยิ่งเสียกว่าปอกกล้วยเข้าปาก

“ข้ามิยักรู้ว่าหยกจากวิมานเจ้าจักแก้คำสาปได้” พระเสาร์เอ่ย พลางนึกถึงวิมานของพระพุธในความทรงจำที่ตนเองเคยเหยียบย่างเพียงไม่กี่หน นอกจากมณีรัตนาที่ก่อร่างสร้างเป็นที่อาศัยแลตลอดสระปทุมพรล้อมรอบแล้ว อัญมณีาสีเขียวนานาๆรวมหยกก้อนใหญ่น้อยกระจัดกระจายอยู่ถ้วนทั่วไปต่างจากผืนหญ้า

“มันก็หาได้ใช้แก้คำสาปถาวรดอกหนา อาบครั้งหนึ่งฤทธิ์ของมันใช้ได้เพียง ๓ ราตรีเท่านั้น ด้วยวิธีแก้คำสาปส่วนใหญ่ล้วนผูกกับผู้สาปจึงมิอาจจักทำลายให้หายสิ้นได้ ดังนั้นพุธขออภัยพี่เสาร์และพี่หญิงที่มิอาจแก้คำสาปได้หมด” พระพุธเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไม่คิดจะลงรายละเอียดเกี่ยวคำสาปให้พระเสาร์ได้รับรู้ อีกทั้งใจนั้นกลัวเหลือเกินว่าจะทำให้ความหวังของพระเสาร์และมุตตาจักพังทลายลง

“อย่าได้กล่าวโทษตนเองเลยพระพุธ เพียงเท่านี้สำหรับข้าก็นับว่าเป็นบุญอยู่มากโข” นางมุตตาเอ่ยตามความรู้สึกของตัวเอง อันที่จริงนางเผื่อใจไปเสียด้วยซ้ำว่าพระพุธมิอาจจักแก้คำสาปได้

“นั่นสิ...อย่างน้อยเจ้าสามารถหาทางแก้ไขผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ข้าคิดไม่ผิดที่ขอความช่วยเหลือจากเจ้า” พระเสาร์เองก็หาได้ตำหนิพระพุธ ถึงจะเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แต่ในบางเรื่องก็หาได้ชำนาญด้วยตนเองรู้ตัวว่าตนเชี่ยวชาญการสาปส่งมากกว่าการแก้คำสาป เลยไหว้วานให้พระพุธเข้าช่วย

“เมื่อพี่เสาร์และพี่หญิงประสงค์ที่จักให้พุธช่วย พุธนี้ยินดีที่จักช่วยให้สุดความสามารถ ประเดี๋ยวพุธจักไปนำผงหยกมาให้ พี่เสาร์เองตระเตรียมสระสรงให้พี่หญิงได้ลงอาบเถิด” พระพุธกล่าวจบ มือก็พนมร่ายคาถาเสกกระจกมายาขึ้นมาแล้วก้าวข้ามผ่านบานกระจกไป

นับได้ว่าราตรีนั้นเป็นราตรีแรกที่รูปโฉมอันแท้จริงของนางมุตตาได้กลับคืนมาอีกครั้ง ประจวบกับนาคินทร์ได้สติฟื้นขึ้นมา แลเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นสิ่งดีสำหรับพระเสาร์เสียเหลือเกิน ไม่ว่าความสุขที่มุตตาพ้นคำสาปแม้เพียงชั่วคราวหรือจักเป็นนาคินทร์ที่คอยออดอ้อนเสียจนมิอยากให้แก้วตาดวงใจนี้ไปไหน นานเพียงใดแล้วที่พระเสาร์มีความสุขจนแทบล้นอกเยี่ยงนี้...มันนช่างสุขใจเหลือคณา

“ท่านอา...ท่านอาพุธ ข้าทำได้แล้ว” นาคินทร์เรียกพระพุธให้ดูมวลน้ำตรงหน้าที่เปลี่ยนรูปร่างไปตามใจนึก น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจทำให้ผู้ถูกเรียกนามอดยิ้มไม่ได้

“เก่งมากนาคินทร์ อาสอนเจ้าไม่กี่หนเจ้าก็สามารถทำได้แล้ว” พระพุธผู้สวมบทบาทครูจำเป็นกล่าวชมลูกศิษย์ที่กำลังใช้มนตราควบคุมสายน้ำ สาเหตุที่พระพุธได้ทำหน้าที่นี้เป็นเพราะเทพผู้ทรงคชสารเป็นนักปราชญ์ทรงความรู้ กิริยามารยาท วาจา อ่อนหวาน พระเสาร์จึงอยากให้พระพุธมาคอยสั่งสอนไม่ว่าจะเป็นเวทย์มนตร์คาถาหรือมารยาทต่างๆในสถานการณ์ที่แตกต่างกันให้กับมุตตาและนาคินทร์ โดยพระเสาร์ยินยอมที่จะรับผิดชอบในส่วนของพระพุธเรื่องหน้าที่ใน ‘ธุมเกตุวสันต์’

“ที่ข้าทำได้ดีเพราะมีครูดีต่างหากเล่า ๒-๓ วันมานี้ ท่านอาคอยสั่งสอนอบรมข้าตลอดจนแม่ของข้าด้วย ข้ารักท่านอาเหลือเกิน” แค่คำพูดนาคินทร์กลัวว่ามันอาจจะไม่ชัดเจนพอให้พระพุธรับรู้ได้จึงจับแขนของพระพุธมาสวมกอด

“ดูเจ้าสิ อยากให้อาถูกรพีพงศ์เขม่นหรือไร” พระพุธกล่าวออกมาไม่จริงจัง มือวางบนเกศาดำขลับแล้วลูบอย่างแผ่วเบาอย่างเอ็นดู

“ใครเล่าจะบังอาจเขม่นท่านอา” บุคคลที่สามเอ่ยขึ้น นาคินทร์เมื่อได้ยินว่าเป็นเสียงของใครก็รีบวิ่งเข้าหาเพื่อสวมกอด

“นาคินทร์อย่าได้วิ่งเข้าไปกอดรพีพงศ์เช่นนั้นสิ อาเคยสอนเจ้าเรื่องการวางตัว เจ้าลืมไปแล้วหรือ” ราวกับถูกแกล้ง รพีพงศ์ที่กำลังดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อนาคินทร์เป็นฝ่ายเข้าหา กลับถูกหยุดปฏิกริยาไว้เพราะคำสอนของพระพุธ

...‘ข้าว่าข้าคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่...ยังทันหรือไม่ถ้าข้านั้นขอเขม่นท่าน...อาพุธ’...

“ข้าขออภัยท่านอา คือข้า...ข้าดีใจที่ได้เจอกับรพีพงศ์” นาคินทร์เอ่ยพร้อมก้มหน้าก้มตาซ่อนแก้มแดงทั้งสองข้างมิให้ใครได้เห็นได้ล้อ

“อาเข้าใจเจ้าทั้งสอง ต่างฝ่ายต่างคิดถึงกันเพราะไม่ค่อยจะได้เจอกันในช่วงนี้ คราวหน้าคราวหลังถ้าอยากจะกอดเจ้ามิต้องวิ่ง เดินเข้าไปกอดจะได้ไม่ล้ม” สุดท้ายพระพุธหาได้ห้ามกอดอย่างที่ทั้งสองเข้าใจ แท้จริงพระพุธไม่มีสิทธิ์ห้ามด้วยซ้ำเพราะตนเองก็ชอบโผเข้ากอดเพียงไม่วิ่งตึงตังเฉกเช่นนาคินทร์เมื่อครู่

นาคน้อยได้ยินประโยคที่พระพุธเอ่ยขึ้นมาก็ยิ้มกว้าง จากที่ก้มงุดหน้าไม่ยอมเงยก็แหงนพักตร์ขึ้นตามปกติ ดวงตาวิบวับมองไปยังรพีพงศ์ที่ยืนอ้าแขนรอตนเข้าสวมกอด ด้วยความกลัวว่ารพีพงศ์จะเมื่อยแขนนาคินทร์เร่งฝีเท้าก้าวยาวเข้าหา กอดรัดเอวหนาของรพีพงศ์ไว้แน่น

“ท่านรพีพงศ์...ข้าคิดถึงท่าน” นาคินทร์บอกความรู้สึกของตัวเอง เนื่องจากรพีพงศ์ต้องไปทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของสวนขวัญจึงมิค่อยได้มาหานาคินทร์ บางครามาเสียดึกดื่นและกลับไปเพราะพระเสาร์ผู้เป็นบิดาหวงตนไม่ยอมให้รพีพงศ์ร่วมค้างอ้างแรมที่วิมาน โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งพระเสาร์พยายามแยกให้ทั้งสองออกห่าง ความคิดถึงจากจิตใต้สำนึก...จากก้นบึ้งของจิตใจได้เปรียบเสมือนเส้นไหมที่ถักทอจนเป็นผืนกว้างคลุมดวงใจ







...........จัดไปก่อน 50%นะคะ......
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.11 100% P.3 (03/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 03-04-2019 16:44:15



“ข้าเองก็คิดถึงเจ้าเช่นกันนาคินทร์...ฟอด” รพีพงศ์หอมแก้มของนาคินทร์เป็นการยืนยันว่าตนเองรู้สึกเช่นเดียวกับคนในอ้อมกอด

“อารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินเสียแล้ว เห็นทีคงได้เวลากลับไปยังวิมานเพื่อเตรียมตัวไปงานธุมเกตุวสันต์เสียแล้ว” พระพุธแสร้งพูดแหย่ให้หลานตัวเล็กได้อายม้วนจนซุกอกของรพีพงศ์

“เช่นนั้นข้าจะไปส่งท่านอาที่หน้าวิมาน”

“มิเป็นไร...นาคินทร์ อาว่าเจ้าเตรียมตัวแต่งองค์ให้พร้อมสำหรับค่ำคืนนี้น่าจักดีกว่า เหลือเวลาอีกไม่นานพระอาทิตย์ก็เข้าย่างอัสดงปลงรวีจากแดนมนุษย์แล้ว” พระพุธกล่าวทิ้งท้ายแล้วเดินทางออกจากวิมานของพระเสาร์ด้วยสพล ช้างพาหนะซึ่งรออยู่หน้าวิมาน

“เจ้าเองก็รีบไปสรงน้ำแต่งกายเร็วไว ประเดี๋ยวพ่อและแม่ของเจ้าจักคอยนาน” รพีพงศ์บอกกับคินทร์ มือก็โอบหลังพานาคินทร์เดินเข้าไปในวิมาน

“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือ” นาคินทร์ถาม

“ใช่ พระเสาร์กลับวิมานมาพร้อมกับพี่แต่ก็เข้าไปยังห้องหับของตน คาดว่าคงจะสรงน้ำชำระกายแล้ว เจ้าเองก็อย่ารีรอรีบเข้าไปสรงน้ำเสีย พี่จะรอด้านนอกคอยจัดเตรียมวัตถาภรณ์และเครื่องประดับให้เจ้าเอง”

“ท่านรพีพงศ์มิจำเป็นต้องเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้ข้าดอก นางอัปสรณ์กลีบบัวของท่านพ่อคอยดูแลให้ข้าแล้ว ข้าแลเห็นว่าท่านรพีพงศ์นั่งนิ่งๆจิบน้ำให้สบายใจในห้องข้าน่าจะดีกว่า” นาคินทร์ไม่อยากจะให้รพีพงศ์เหนื่อยไปมากกว่านี้เลยปฏิเสธความหวังดีของรพีพงศ์

“อืม...พี่จักทำตามที่เจ้าต้องการ”

*****

๒ พยัคฆาเขี้ยวคมลากฉุดราชรถหลังคาทรงจั่วหุ้มผ้าทองประดับด้วยช่อฟ้า หางหงส์และบราลี มีเสาค้ำลงมาแบ่งเป็น ๓ ห้อง ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีม่วงดอกตะแบก หลังม่านมีองค์ปรวาณนามพระเสาร์นั่งด้านหน้า ตามหลังมาคือมุตตาอันพักตรางดงามมิแพ้ใคร สุดท้ายไม่ต้องเดาให้ยุ่งยากคือนาคินทร์ผู้เป็นเจ้าของร่างอรชร ฉวีวรรณขาวผ่องตัดกับภูษาสีม่วงเข้มให้โดดเด่นจนรพีพงศ์ที่ประทับนั่งหลังราชสีห์เหาะตามหลังมิอาจจะละสายตาไปได้

“นาคินทร์...เจ้าเห็นสวนขวัญหรือไม่” แม้กำลังเดินทางพระเสาร์ยังคงทำหน้าที่พ่อหวงลูกได้อย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง คอยขัดจังหวะไม่ให้ทั้งสองได้สบสายตากันนาน

“ลูกเห็นแล้ว” นาคินทร์ตอบอ้อมแอ้ม หันกลับมามองสวนขวัญด้านหน้าที่อีกไม่กี่อึดใจตนจะได้กลับมาเยือนอีกครา

บัดนี้สวนขวัญหาได้เป็นสวนขวัญที่นาคินทร์ได้เห็น ได้รู้จักเมื่อครั้งลืมตาฟื้นชีวัน จากสวนไม้นานาพันธุ์อันเงียบสงบ กลายเป็นสถานที่รื่นเริงเต็มไปด้วยมหรสพให้เหล่าทวยเทพและเทพีชั้นสูงตลอดจนเทวดา นางอัปสรที่มียศต่ำลงมาได้เพลิดเพลินสำราญใจ

ราชรถลงจดเทียบกับผืนหญ้า พระเสาร์ลงมาพร้อมด้วยลูกเมียกลายเป็นจุดสนใจให้กับผู้ได้พบเห็น ไหนจะเทพผู้มีสายโลหิตแห่งภานุมาศอย่างรพีพงศ์เดินเคียงกับนาคินทร์ ยิ่งให้ใครหลายคนมีข้อคำถามภายในใจ ว่าสองวงศาญาติดีกันตั้งแต่เมื่อใด หากต่างเก็บคำถามไม่ยอมเปิดปากพูดคุยให้รู้แจ้งความจริงเพราะต่างกริ่งเกรงเทพสวมหน้ากาก

“พี่เสาร์ พี่หญิง มากันแล้วหรือ” พระพุธที่ล่วงหน้ามายังสวนขวัญก่อนไม่นานเข้ามาทักทาย

“แล้วเจ้าเห็นว่าข้ามาหรือไม่เล่าเจ้าพุธ” พระเสาร์เอ่ยเสียงเรียบ ทำให้คนฟังหน้างอไม่พอใจ

“พี่เสาร์ดูพูดจาเข้าสิ มิเห็นจะอ่อนโยน อ่อนหวานเหมือนครั้งที่ขอให้พุธช่วย...พี่หญิงต้องช่วยข้าลงโทษพี่เสาร์นะ” พระพุธตัดพ้อทั้งยังให้มุตตาเข้าข้างตนอีก นาคินทร์และรพีพงศ์ที่ยืนชมเหตุการณ์หรือแม้แต่มุตตาเองก็อดมิได้ที่จะกลั้นขำให้กับพฤติกรรมของพระพุธ

“พระพุธ...อย่างท่านแค่จับฝ่ามือของพระเสาร์ พระเสาร์ก็สิ้นแรงแล้วมิจำเป็นต้องหาแนวร่วมดอก” ผู้มาใหม่อีกคนได้ยิน ได้ฟังและทันเหตุการณ์จึงเข้ามาแสดงความคิดเห็น

“พระราหู...” มุตตาเอ่ยนามผู้ที่คอยช่วยเหลือตนเมื่อครั้งอยู่ใต้มหาสมุทร

“ท่านมานานแล้วหรือ...พระราหู” พระเสาร์เอ่ยทักเป็นปกติ ไม่เหลือร่องรอยอารมณ์โกรธาเมื่อครั้งเก่าก่อนเอาไว้ในถ้อยคำ บ่งบอกว่ามิตรภาพของทั้งสองยังคงแน่นแฟ้นเช่นเดิม

“มินานดอก” พระราหูตอบ

“นาคินทร์ ลูกมาทำความเคารพพระราหูสหายของพ่อเสียสิ” พระเสาร์บอกกับบุตร นาคินทร์เดินเข้าหาพระราหูก่อนจะพนมมือขึ้นมาไหว้

“หลานลุง ช่างงามใบหน้า งามมารยาทเสียจริง ลุงดีใจที่ได้เจอเจ้า คราแรกลุงคิดจะไม่มาเสียด้วยซ้ำแต่นับว่าลุงตัดสินใจถูกที่มา ได้เจอทั้งพ่อเจ้า เจอแม่ของเจ้าและตัวเจ้าอีก” พระราหูเอ่ยออกมาด้วยใจยินดี

“แล้วตัวข้ากับรพีพงศ์เล่า ท่านมิยินดีที่ได้เจอหรือไร” พระพุธเอ่ยแทรกแสร้งตัดพ้อเทพอสูร

“ข้ายินดีเจอบุตรของพระอาทิตย์ ส่วนท่าน...พระพุธ...นานๆทีเจอคงจะดีสำหรับตัวข้า”

“พระราหู!!!” พระพุธเอ่ยขึ้นมาเสียงดัง ใบหน้าบึ้งตึงเมื่อถูกพระราหูเหย้าหยอก

“ตรงนี้ครึกครื้นกันเสียจริง ขอข้าร่วมสนทนาด้วยได้หรือไม่” น้ำเสียงหวานดังผ่านสายลมให้เหล่าเทพหยุดสนทนาฉับพลันก่อนจักหันไปหาผู้มาใหม่

เทวารูปงามดั่งบุญญาตั้งใจปั้น กายานั้นสูงโปร่งไม่กำยำดูแล้วมิต่างจากนางสวรรค์ สวมอาภรณ์สีนวลไหลปักลายไหมสีบัวโรย ทรงอัญมณีด้วยมุกดาเหลือบเทาเว้นแต่ปิ่นทยุมณีประดับมวยผมอันบ่งบอกสันติวงค์ว่ามีโลหิตแห่งสุริยาไหลเวียนในกาย

“ท่านอาอินทุนิล...ข้ารพีพงศ์ขอทำความเคารพท่าน” รพีพงศ์เห็นว่าตนวัยวุฒิน้อยกว่าจึงเข้าหาญาติแม้ไม่สนิทชิดเชื้อก่อน อินทุนิลผู้นี้เป็นเทวาประจำอยู่ ณ ดาวฤกษ์ขนาดเล็กโคจรใกล้กับดวงจันทร์จนแลเหมือนเป็นดาวบริวารเสียด้วยซ้ำ จนได้รับสมญานามว่า ‘เงาแห่งดวงแข’ ถึงแม้จะเป็นเพียงเงาอินทุนิลกลับรูปงามรัศมีรอบกายเจิสจรัสมิแพ้ใคร

“มิต้องดอก หลานมีศักดิ์ในตำแหน่งสูงส่งกว่าอาเสียด้วยซ้ำ อย่าลดเกียรติของหลานเลย” อินทุนิลเอ่ยพร้อมกุมมือที่พนมของรพีพงศ์ให้ลดต่ำลงมา

“ไม่ได้เจอกันเสียนาน...อินทุนิล” พระพุธเองเข้าทักทายอย่างเป็นมิตรแต่ดูเหมือนอินทุนิลจะไม่สนใจคำทักทายของพระพุธสักเท่าไร สายตากลับจับจ้องไปยังนางมุตตาที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากผู้เป็นสวามี

“เหตุใดท่านจ้องมองมุตตาเมียไม่วางตาเลยเล่า มีอันใดหรือไม่” พระเสาร์เอ่ยถามน้ำเสียงติดขุ่นมัว หากยังสะกดกลั้นอารมณ์ไว้เพื่อมิอยากทำลายบรรยากาศดีๆในวันธุมเกตุวสันต์นี้ อินทุนิลได้ยินจึงรู้ตัวว่าเผลอไผลแสดงชัดว่ากำลังทำสิ่งใดให้โจ่งแจ้ง

“ข้าเพียงไม่คุ้นหน้านางผู้นี้เท่านั้นเองจึงได้มอง ท่านอย่าได้หึงหวงเลย” อินทุนิลตอบทั้งยิ้มออกมาแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจที่แสร้งแกล้งทำ

“ท่านเองก็มิค่อยได้ออกไปไหนมาไหนมิใช่หรือ จักไม่เคยพบเห็นคงมิแปลกอะไร” พระราหูเอ่ยขัดขึ้นมา ในใจสัมผัสรับรู้ได้ว่าอินทุนิลหาได้มองมุตตาด้วยเหตุผลตามที่เอื้อนเอ่ย

“นั่นสิ ข้าเองเป็นอย่างพระเสาร์มิค่อยไปไหนมาไหนเลยมิรับรู้ข่าวสารใดหรือรู้ก็คงจักช้ากว่าใครเขา” อินทุนิลเอามือป้องปากทำท่าทำทางหัวเราะ ใครว่าอินทุนิลอยู่เฝ้าวิมานแล้วไม่รู้สิ่งใดเห็นทีจักคิดผิด

“ท่านพ่อ...ลูกอยากไปชมนางอัปสรฟ้อนรำ ท่านพ่อจักอนุญาตให้ลูก...” นาคินทร์เห็นว่าตนคงจะไม่เหมาะที่มายืนผู้ใหญ่พูดคุยกัน อีกทั้งเสียงกลองปี่พาทย์ดังแว่วมาชวนให้นาคินทร์ใคร่ดูชม

“ถ้าเจ้าอยากไป พ่อจะพาเจ้ากับแม่ของเจ้าไปดู...ทุกท่านข้าขอตัวก่อน” นับได้ว่าความต้องการของนาคินทร์มาได้ถูกเวลา พระเสาร์ที่กำลังรำคาญใช้โอกาสนี้ตีตัวออกจากรวมถึงมุตตาที่รู้สึกหวั่นเกรงกับสายตาที่คอยจับจ้อง...นัยต์ดวงตาคมสวยคู่นั้นหาได้มีความประสงค์ดีแก่นางเลยสักนิด นางนาคีสังหรณ์ใจไว้เช่นนั้น

“ท่านอา ข้าเองก็ขอตัวก่อน ไว้มีโอกาสข้าจะไปแวะเยี่ยมเยียนท่านอาคงจะไม่เป็นการรบกวนใช่หรือไม่” รพีพงศ์เอ่ยเพื่อที่จะแยกตัวไปหานาคินทร์

“อาเข้าใจ...งานรื่นเริงเช่นนี้เจ้าเองรวมถึงพระพุธ พระราหู คงอยากจะเที่ยวเล่นให้สำราญใจ ไว้พบเจอกันใหม่ก็มิสาย ตัวอานี้อยู่เพียงลำพังหากเจ้าได้แวะมาหา อายินดีต้อนรับเจ้า” อินทุนิลตอบรับด้วยความยินดีที่บรรจงสร้างขึ้นมาเพื่อปิดบังความร้ายกาจที่ยังคงซุกซ่อนอยู่ในใจ

...‘ใครว่าข้ามิคุ้นเคยกันเล่า ใบหน้าของคนที่ข้าชิงชังข้าจำขึ้นใจ แต่เหตุใดนางนาคผู้นี้จึงมิแก่ชราดั่งที่ข้าได้สาปไว้’...

*****

“กาลนี้เป็นเพลาเหมาะสมที่เราเห็นว่า เทพยดาและเทพีทั้งหลายจะร่วมกันอวยพร อวยชัยให้แก่มนุษย์ สัตว์วิเศษ เดรัจฉาน มิว่าจะอยู่ยังผืนพสุธาใด เราพระพริษฐ์ พระผู้สร้างรั้งตำแหน่งยิ่งใหญ่ที่สุดในไตรภพจึงขอประกาศให้ทุกท่านร่วมเสกสร้างดาราฉายลงไปเทอญ” พระผู้สร้างกล่าวขึ้นเมื่อถึงเวลาอันสมควรตามฤกษ์ยามที่พระพฤหัสบดีได้ดูไว้ในกระดานชนวน เทพาและเทพีที่เข้าร่วมชุมนุม หูนั้นคอยรับฟัง ดวงตาคอยจ้องมองพระพริษฐ์ร่ายมนตราสร้างลูกไฟขนาดใหญ่เปล่งแสงนวลตาบนฝ่าพระหัตถ์ จากนั้นพระองค์ได้เป่าลูกไฟนี้ให้ลงไปยังพื้นพิภพเป็นการเปิดพิธี

เมื่อลูกไฟลูกแรกได้ตกลงไปเหล่าเทพและเทพีในสวนขวัญต่างเสกลูกไฟของตนส่งลงไป แต่ละองค์ต่างสนุกสนานที่ได้ร่วมเป็นส่วนในการสร้าง ธุมเกตุวสันต์หรือฝนดาวตกให้สรรพสิ่งที่ได้เห็นดาวตกนี้จักได้อธิษฐานขอพรให้สมหวังในสิ่งดี

นาคินทร์และมุตตามิได้ร่วมสร้างลูกไฟจึงทำได้เพียงดูเท่านั้น ผืนหญ้าที่เคยเขียวขจีกลายเป็นแก้วใสให้ได้แลเห็นโลกาใต้แดนสรวง ภาพที่นาคินทร์ได้เห็นคือดวงไฟหลากสีกำลังพุ่งลงไปดูงดงามแต่ก็ยังงามไม่สุดสำหรับนาคินทร์

“ท่านรพีพงศ์” นาคินทร์ขยับกายเข้าใกล้รพีพงศ์ที่ยืนง่วนเสกลูกไฟอยู่ด้านหลัง

“มีอันใดหรือ...นาคินทร์” รพีพงศ์ถาม หากยังคงสร้างดาวตกลงไปมิหยุดมือ

“ข้าอยากเห็นลูกไฟ”

“เจ้าก็เห็นอยู่แล้วมิใช่หรือ” รพีพงศ์วางมือชั่วคราวหันไปถามนาคินทร์ที่กำลังยิ้มราวกับว่ามีแผนการซุกซนให้ตนได้ปวดกบาล

“ข้าอยากไปดูลูกไฟที่อื่น...ที่ป่าหิมพานต์” นาคินทร์โน้มใบหน้าเข้าใกล้รพีพงศ์จนริมฝีปากแทบจะชิดติดใบหูแล้วกระซิบกระซาบแผ่วเบา ใจนึกกลัวว่าพระเสาร์ผู้เป็นบิดาจักได้ยิน

“ป่าหิมพานต์หรือ..ไยเจ้าถึงอยาก....”

“ถ้าท่านอยากรู้ข้าจะเล่าให้ฟังแต่...หลังจากที่ข้าได้ชมลูกไฟนับแสนที่หิมพานต์ไพรีเสียก่อน” นาคินทร์ไม่รอให้รพีพงศ์เอื้อนเอ่ยออกมาจนจบประโยค นาคน้อยกลับเอ่ยดักทางขึ้นมาให้รพีพงศ์พาตนไปยังสถานที่แห่งความทรงจำที่ฉายขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อน พอได้นึกถึงรอยยิ้มน้อยๆก็ปรากฏ ช่างเป็นรอยยิ้มที่พิฆาตใจให้ระทวย ขณะเดียวกันทำให้รพีพงศ์กลุ้มใจเพราะคาดการณ์ไปล่วงหน้าว่าจักต้องเกิดเหตุโกลาหลวุ่นวายเป็นแน่แท้













..........

มาแล้วค่ะ เต็ม100% นาคน้อยชวนอิตารพีเข้าป่า...ระวังจะโดนเสือจับกินนะเจ้านาคน้อย ขอเตือน ขอเตือน ขอเตือน!!!!!!! เอ๊ะหรือจะตั้งวงกินมาม่าดี 55555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นนะคะ วิจารณ์ติ ชมกันได้ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.11 100% P.3 (03/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-04-2019 13:29:36
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4: :katai5:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.11 100% P.3 (03/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 13-04-2019 20:16:18
เพิ่งมาอ่าน สนุกค่ะชอบ :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.11 100% P.3 (03/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 14-04-2019 11:00:54
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4: :katai5:

ขอบคุณที่ชอบนิยายเช่นกันค่ะ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.11 100% P.3 (03/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 14-04-2019 11:07:15
เพิ่งมาอ่าน สนุกค่ะชอบ :L2: :L2:
ดีใจที่ชอบนิยายนะคะ ได้อ่านเม้นว่าชื่นชอบนักเขียนมีแรงปั่นเลย
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.12 45% P.3 (14/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 14-04-2019 11:07:54
ลิขิตรัก เพลิงเทวา Author : Tan-Yung 0209 File : 12

‘หิมพานต์’ ใครหลายคนคงคุ้นเคยคำๆนี้อาจจะผ่านตา ผ่านหูมาจากเรื่องราวในวรรณคดีต่างๆที่ได้บรรยายไว้ถึงความสวยสดงดงามของดินแดนทิพย์นี้ บ้างก็ว่ามีอัญมณีและทองคำมากมายจนเกลื่อนกลบผืนพสุธา ไหนเล่าจะสรรพสัตว์หลากหลายต่างจากโลกมนุษย์ อาทิ กุญชรวารีตัวเป็นช้างหางเป็นปลาหรือจะเป็นไกรสรราชสีห์ที่มีขนแดงราวกับว่าลงไปชุบกายจากบ่อโลหิต นอกจากสัตว์แล้วพืชพรรณก็ยังผิดแผกพิศดารมีความวิเศษช่วยรักษาและเป็นพิษคร่าดับชีวี

หากนาคินทร์มิได้รู้เรื่องราวของป่าหิมพานต์จากวรรณคดี หรือบันทึกของจอมปราชญ์ นาคินทร์รู้จักป่าหิมพานต์เพียงชื่อเท่านั้น…ชื่อจากความทรงจำสั้นๆที่ปรากฏเป็นภาพและเสียงโดยข้างกายมีรพีพงศ์โอบกอดเคียงข้าง

“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่…หากให้พี่เดาพี่คิดว่าเจ้าคงชอบ” รพีพงศ์พูดกับนาคหนุ่มที่กำลังกวาดสายตามองไปโดยรอบ แม้จักเป็นยามรัติกาลแต่พนาแห่งนี้กลับมีเสน่ห์ให้ได้ใคร่ชมจนมิอาจวางตาได้ ยิ่งแสงจากดวงดาวที่ตกลงมากระทบยังเพชร พลอย ที่กระจัดกายดูระยิบระยับดั่งดาวบนดิน

“ข้าชอบ…ที่นี่สวยเหลือเกิน ข้าอยากจะรอดูเสียจริงว่ากลางวันป่าแห่งนี้จักเป็นเช่นไรจะเป็นไปตามที่ข้าจินตนาการเอาไว้ในครานี้หรือไม่” นาคินทร์ละสายตาจากป่าโดยรอบมาสบตาและให้คำตอบแก่รพีพงศ์พร้อมกับยิ้มแย้มแสดงถึงความสุขที่ก่อตัวภายในใจ

“ถ้าเจ้าต้องการ ราตรีนี้พี่จักเสกกระโจมให้เจ้าได้นอนพัก เมื่อตะวันโผล่ขึ้นเหนือขอบฟ้าเจ้าจักได้เปิดม่านรับแสงแรกและชื่นชมป่าหิมพานต์ให้สมใจ เจ้าว่าดีหรือไม่นาคินทร์” รพีพงศ์ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ถึงแม้รู้ดีว่าบิดาของนาคินทร์จักต้องพิโรธเป็นแน่

“ดีสิดี…ข้าจักได้ดูฝนดาวตกสวยๆจากตรงนี้” นาคินทร์เห็นด้วย ดวงตาระยิบระยับยิ่งกว่าดวงดาวดวงไหนๆเสียอีกแต่คงสู้สายตาเร่าร้อนดูเจ้าชู้ของรพีพงศ์ไม่ได้

“จริงสิ นาคินทร์เจ้ายังไม่บอกพี่ว่าเหตุใดจึงให้พี่พามายังป่าหิมพานต์” รพีพงศ์ฉุกคิดขึ้นมาได้จึงถามไถ่

“เพราะข้า…ข้า…จำได้ว่าท่านเคยบอกว่าจะพาข้ามา”

“พี่บอกเจ้า…ตอนไหนกัน” รพีพงศ์ประหลาดใจ

“ตอนนั่งบนหลังม้า…ข้าเห็นท่านกำลังขู่ข้ามิให้พูด ไม่เช่นนั้นท่านจัก..เอ่อ…” นาคินทร์เล่าในสิ่งที่อยากเล่า เรื่องใดที่เห็นว่าไม่สมควรหรือชวนให้ดวงใจดวงน้อยเต้นตึกตักผิดจังหวะ นาคินทร์เลือกที่จะปิดปากเงียบและก้มหน้าก้มตาแทน

“ไหนไยเจ้ามิเล่าต่อ พี่อยากจักรู้ยิ่งนัก” รพีพงศ์แสร้งทำไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งที่ความจริงแล้วตนนึกออกว่านาคินทร์กำลังเล่าเหตุการณ์ในความทรงจำเมื่อครั้งตนพามายังป่าหิมพานต์

“ข้าจำได้แค่นี้..ข้า…ข้านึกไม่ออกแล้ว” นาคินทร์โกหกแต่หาแนบเนียนไม่ ปากบอกอย่าแต่สีหน้ากลับแสดงอีกอย่าง ความเขินอายมันแจ่มแจ้งเด่นชัดเสียจนรพีพงศ์อยากแกล้งคนรักเสียเหลือเกิน

“เห็นทีพี่จักต้องจูบเจ้าจนกว่าเจ้าจักนึกออก” รพีพงศ์คว้าเอวคอดของนาคินทร์ให้มายืนแนบชิดติดกาย นาคินทร์เองรู้ตัวว่าเพลี้ยงพล้ำจึงขัดขืน ทว่ายิ่งขยับรพีพงศ์ยิ่งกอดแน่นไม่ต่างจากงูเหลือมรัดเหยื่ออันโอชะ

“อย่าดิ้นสิคนดี..พี่เพียงอยากให้เจ้านึกออก” รพีพงศ์โน้มใบหน้ากระซิบเสียงทุ้มถ่ายทอดออกมาแผ่วเบาผ่านโสตประสาท ริมฝีปากหนาจรดลงใบหูขบเม้มเล็กน้อยคล้ายกำลังละเมียดละไมสำรับของหวาน

“ท่านรพีพงศ์ พระผู้สร้างทรงตรัสไว้ว่าเราสามารถขอพรจากฝนดาวตกได้ข้าใคร่อยากลองขอพรดู ได้โปรดปล่อยช้าให้เป็นอิสระได้หรือไม่” ก่อนที่หัวใจของนาคินทร์จะเต้นรัวจนเสียการควบคุม ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวราวกับคนเป็นไข้ นาคินทร์เปลี่ยนเรื่องและหาวิธีให้ตนเป็นอิสระ

“เอาสิ…หากเจ้าต้องการพี่นี้ไม่มีขัด” ไม่ใช่ไม่รู้ว่านาคินทร์คิดเช่นไร แต่ก็ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานจึงยอมทำตาม รพีพงศ์คลายแรงแต่ยังคงโอบเอวบางไว้นาคินทร์ก็มิได้ท้วงติงอันใดเพราะอย่างน้อยตนก็มีอิสระพอที่จะพนมมือขอพรจากธุมเกตุวสันต์ที่เปล่งแสงจนทั่วท้องนภา

หัตถาเรียวยกขึ้นมาพนมไว้ตรงกลางอก ดวงตาเพ่งมองไปยังดาวตกขนาดใหญ่ก่อนปลือกตาปิดลง นาคินทร์ตั้งจิตอธิษฐานขอในสิ่งที่ตนต้องการ เมื่อส่งกระแสจิตในสิ่งที่ต้องการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นาคินทร์ลดมือลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง

…‘ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคำขอของข้าจะสัมฤทธิ์ผลในเร็ววัน’…

นาคินทร์นึกไปพลางยิ้มไปพลางจนลืมไปชั่วขณะว่าตนเองมิได้ยืนอยู่เพียงผู้เดียว ยังมีเทพหนุ่มรูปงามคอยตระกองกอดพิศชมใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างหลงใหลของตนอยู่

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เช่นนี้ พี่อยากรู้จริงเชียวว่าเจ้าอธิษฐานสิ่งใด” รพีพงศ์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นดังเก่าจนใบหน้าของนาคินทร์ปะทะกับแผงอกกว้างพอดิบพอดี

“ข้ามิบอกท่านดอก” นาคินทร์ตอบโดยมิได้สบตาอีกคน พยายามซ่อนสีหน้าไม่ให้โดนคนกอดจับได้ว่าสิ่งที่ตนขอเกี่ยวพันกับรพีพงศ์

“ความลับเยอะเสียจริง พี่ถามอันใดไปก็มิยอมตอบเห็นทีพี่จักต้องล้วงเอาความจริงจากปากเจ้า…ด้วยปากของพี่” ฝ่ามือของรพีพงศ์ฉวยจับปลายคางของนาคินทร์อย่างแผ่วเบาแล้วเชยขึ้นมาให้ใบหน้าที่กำลังเขินอายอยู่ในสายตา ก่อนจะโน้มพักตราเข้าหาประทับริมฝีปากตนเพื่อควานหาความลับที่ถูกซุกซ่อนไว้

“อื้ม..” ใครเล่าที่จะล้วงหาความลับจากผู้อื่นด้วยวิธีนี้ นาคินทร์อยากเอ่ยประโยคนี้ออกไป หากติดตรงที่ว่าริมฝีปากของตนถูกรุกล้ำมิอาจเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำได้นอกเสียจากเสียงครวญคราง

ถ้าเปรียบปากของนาคินทร์เป็นหีบใส่สมบัติล้ำค่าที่มิให้ผู้ใดได้เชยชมแล้วไซร้ รพีพงศ์ก็มิต่างจากโจรที่ใช้ชิวหาแทนกุญแจคอยไขเพื่อเปิดเอาสมบัติและคอยกวาดต้อนตักตวงอัญมณีรสหวานอย่างละโมบ ทำให้ผู้เป็นเจ้าของอ่อนแรงสมยอมให้โจรผู้นี้ได้หยิบฉวยตามใจชอบ

…’เจ้าฟังข้าให้ดีนาคินทร์ เจ้าจงนั่งเงียบๆนิ่งๆ หากเจ้ายังพูดมากอีกข้าจะจูบเจ้าไม่หยุดจนถึงป่าหิมพานต์’…

…‘ลักหลับ...ข้าได้หาลักหลับท่านไม่ แล้วข้าก็ไม่ได้อยากให้ท่านมอบไออุ่นในปากข้า!!ด้วย...’…

…‘และริมฝีปากนี้เป็นของข้าเช่นกัน’…

…‘รางวัลแค่จูบไม่เพียงพอดอกนะ สำหรับข้ามันต้องมากกว่านี้’…

…‘ข้ายินดีที่จักเป็นเชลยของท่านไปตลอดกาล’…

…‘ถึงเจ้าไม่ยินดี หากข้านี้จักทำให้เจ้าเป็น...เชลยของข้า...อยู่ดี’…

ขณะที่นาคินทร์เผยอปากรับสัมผัสบทจูบของรพีพงศ์ พลันภาพในอดีตได้ปรากฏขึ้นมาดุจดั่งกงล้อหมุนวนในสมอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนมาจากจุมพิตของทั้งสองด้วยกันทั้งสิ้น สำหรับนาคินทร์แล้วมันช่างอบอวลไปด้วยความสุขสม อบอุ่นไปด้วยไอรัก จนกระทั่ง…

…‘ท่านใจดีที่สุด…ขะ…ข้อสุดท้าย ข้าอยากจะจูบท่าน…ท่านจะ…อื้อ..’…

…‘ข้ารักท่าน…ข้ารัก...ท่านพี่รพีพงศ์’…

…‘นาคินทร์!!!...นาคินทร์!!! ตื่นขึ้นมา นาคินทร์ตื่นมาฟังข้าบอกรักเจ้าก่อน ตื่นขึ้นมา!!!..เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าสั่งหรือไรเล่า!!! เจ้ามาบอกรักข้า ทำให้ข้ารักแล้วจากข้าไปเช่นนี้ได้อย่างไร นาคินทร์!!!...ไยเจ้าไม่คิดถึงหัวจิตหัวใจของข้าบ้าง...เจ้าเป็นของข้า…ฮือ…เป็นของข้า…เจ้าต้องอยู่กับข้าสิ’…

ภาพที่ตนกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของรพีพงศ์ ท่ามกลางหมู่ดาวนับล้าน แลดูสวยงามหากมิอาจจะกลบความเศร้าของตนเองและรพีพงศ์ได้ สิ่งที่นาคินทร์รู้สึกได้คือเจ็บปวดราวกับถูกค้อนเหล็กทุบตีไม่ยั้ง…ทรมาน…ทรมานเหลือเกิน

“อึก…อื้อ..” เสียงร้องจากในลำคอของนาคินทร์ทำให้รพีพงศ์ชะงัก เทพหนุ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติจากเสียงเมื่อครู่ รวมถึงปลายนิ้วที่จิกฝังเข้าไปยังเนื้อหนังของตน

“นาคินทร์…เจ้าเป็นอันใด” รพีพงศ์ละริมฝีปากออกแล้วซักถามนาคินทร์ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก คิ้วเรียวสีเข้มขมวดเข้าหา ดวงเนตรมีน้ำตาเอ่อ

“ข้าปวดหัว…ในหัวข้ามีภาพของท่านและข้า…ข้าปวดเหลือเกิน…ท่านรพีพงศ์” นาคินทร์กุมขมับ ริมฝีปากสั่นระริกบอกสิ่งที่ตนกำลังเผชิญทำให้รพีพงศ์เข้าใจในทันที

“สูดหายใจเข้าลึกๆ…นาคินทร์ หลับตาลงอย่าคิดสิ่งใดนะคนดี สูดลมหายใจแล้วหลับตาลง พี่จะคอยอยู่ตรงนี้…อยู่ดูแลเจ้า เจ้าจักต้องไม่เป็นอันใด” รพีพงศ์รั้งท้ายทอยของนาคินทร์ให้ใบหน้าของนาคินทร์ซุกลงกลางอุรา ปากก็พร่ำปลอบโยนให้คนรักที่ตัวสั่นไม่ต่างจากลูกนกไร้ขนสงบลง รวมทั้งตนเองที่จักต้องมีสติในยามที่นาคินทร์เป็นเช่นนี้ หากสามารถแบ่งเบาความเจ็บปวดได้รพีพงศ์อยากจะแบ่งเบา ไม่สิ…รพีพงศ์จะขอรับมันไว้แต่เพียงผู้เดียว

“เจ็บปวดเหลือเกิน…เจ็บ….ข้าเจ็บ....อ้าก!!!!!!” แม้นจะมีสายเลือดจากเทวัญผู้แข็งแกร่ง ทว่านาคินทร์ก็อ่อนแอเกินกว่าจะต้านทานความเจ็บปวดนี้ได้ นาคินทร์หวีดร้องจนสุดเสียง กายาหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงจนเป็นลมล้มพับ แต่ก่อนสติจะเลือนลางหายไป นาคินทร์ได้ยินเสียงของตนกระซิบข้างหู

…‘ข้าเองก็ขอให้สัญญาว่าข้าจะรักท่านพี่เพียงผู้เดียว ต่อให้ความตายจะพรากข้ากับท่านพี่ ต่อให้ข้านั้นต้องดื่มน้ำให้สูญสิ้นความทรงจำ ข้าขอให้ดวงใจข้านั้นไม่ลืมท่านพี่ รักท่านพี่ไปตลอดกาล…ลาก่อน...ท่านพี่...’…





.......เอาไปก่อน 45% สุดฟิน...

ฟินไหม ถ้าฟินส่งเสียงหน่อย...กรี๊ดๆๆ อย่าเผากระท่อมของท่านยุ่ง
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.12 45% P.3 (14/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-04-2019 23:21:49
มาต่ออีกนะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.12 100% P.3 (17/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 17-04-2019 09:43:20
*****

‘ผั่วะ’ แรงหมัดแหวกอากาศเข้าปะทะเข้ากับพักตราของรพีพงศ์ล้มลงบนพื้นแก้ว ความเจ็บแปลบลวดแล่นเข้ามาเป็นเวลาเดียวกันที่รพีพงศ์รับรสชาติของโลหิตที่ไหลออกมาจากมุมปาก

“เจ้าพาลูกข้าไปเที่ยวเล่นมิยอมบอกกล่าว หนำซ้ำยังดูแลปกป้องนาคินทร์ไม่ได้!!! รพีพงศ์เจ้าจงจำคำข้าไว้…ถ้าหากนาคินทร์เป็นอันใดไป เจ้าจะไม่มีแม้แต่เงาหัว!!!” พระเสาร์กล่าวกับรพีพงศ์ด้วยสุรเสียงดุดันดังก้องจนสะเทือนวิมานหงสบาท ดัชนีชี้ตรงไปยังบุตรขององค์สุริยาบ่งบอกว่าตนนั้นหมายจักทำตามที่กล่าวไว้

“พี่เสาร์ใจเย็นๆ อย่าผลีผลามทำร้ายรพีพงศ์เลย” พระพุธออกมาจากห้องของนาคินทร์ เข้ามาห้ามกระชากลากแขนของเทพผู้มีร่างสูงใหญ่กว่าตนอยู่มากโขให้ออกห่างจากรพีพงศ์เพราะไม่แน่ว่าไฟโมโหของพระเสาร์อาจจะกลับมาแล้วทำร้ายหลานชายของตนอีกครั้ง

“เจ้าพุธปล่อยข้า!!! ข้าจะทำร้ายไอ้อีผู้เป็นเหตุให้ลูกข้าต้องเป็นเช่นนี้”

“ท่านพี่หยุดเถิด นาคินทร์เป็นเช่นนี้หาใช่เพราะท่านรพีพงศ์เสียทั้งหมดไม่ เทพโอสถเองก็เคยบอกไว้ว่ายามใดที่ความทรงจำของลูกคืนมาแม้ทีละน้อย หากมันส่งผลให้ลูกของเรามีอาการเช่นนี้แต่เมื่อได้พักนาคินทร์ก็กลับมาแข็งแรงดังเดิม” มุตตาเข้ามาปรามพระเสาร์อีกคน

“ออกไปเสียรพีพงศ์…ข้ามิอยากเห็นหน้าเจ้า จงออกไปจากชีวิตของลูกข้า!!!” คำพูดของพระพุธและมุตตาไม่ต่างจายสายลมที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พระเสาร์ไม่รับฟังหนำซ้ำยังไล่รพีพงศ์ให้ออกไปจากวิมาน

“พระเสาร์โปรดฟังข้า…ท่านคิดว่าข้าตั้งใจทำให้นาคินทร์เป็นเช่นนี้หรือ ท่านคิดว่าข้ามีสุขหรือไรยามเห็นนาคินทร์หวีดร้อง ข้าทุกข์ใจทุกครั้งยามเห็นน้ำตาของนาคินทร์ ข้าเองเจ็บปวดไม่ต่างจากท่าน…ข้าไม่อยากเห็นนาคินทร์จักต้องเจ็บปวดทรมาน” รพีพงศ์ไม่ยอมทำตามในสิ่งที่พระเสาร์ต้องการ อีกทั้งยังเดินเข้าหาพระเสาร์ไม่คิดเกรงกลัวดูผิดแผกไปจากรพีพงศ์ที่ยืนนิ่งเฉยให้ให้อีกฝ่ายทำร้ายเมื่อกาลก่อนหน้า

“เจ้าอยากตายหรือไรถึงมิยอมออกไปจากวิมานข้า!!!” พระเสาร์ตวาดลั่นมองรพีพงศ์ที่เยื้องย่างเข้าหาราวกับท้าทายอำนาจของตน

“ข้ายังไม่อยากตายแต่ข้าอยากอยู่กับคนที่ข้ารัก” รพีพงศ์บอกเจตนารมณ์แด่พระเสาร์

“รพีพงศ์..เจ้า!!!”

“พี่เสาร์หยุดเถิด…พุธรู้ว่าพี่เสาร์ไม่พอใจแต่จะมาเกรี้ยวกราดไล่รพีพงศ์ออกไปพุธเห็นว่าไม่สมควร รพีพงศ์เองเป็นห่วงนาคินทร์ไม่ต่างจากพี่เสาร์ ไม่ต่างจากพี่หญิงเลยสักนิด พวกเราเองล้วนมิอยากให้นาคินทร์ต้องทรมานจนสิ้นสติด้วยกันทั้งนั้น ไยเราทั้งหมดไม่ร่วมมือร่วมใจหันหน้าหารือกันเพื่อหาวิธีแก้ มิใช่คนหนึ่งทำร้าย คนหนึ่งคอยปราม ขืนพี่เสาร์ยังใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลเช่นนี้ยามนาคินทร์ฟื้นขึ้นมาพบว่าพ่อกับคนรักของตนวิวาทกัน…คงจะดีใจจนเนื้อเต้น” วาทศิลป์เลิศล้ำไม่ว่าจักเป็นการโน้มน้าวจิตใจให้โอนอ่อนหรือเชือดเฉือดเจ็บแสบให้ได้สติมิมีใครเกินพระพุธ จากพระเสาร์ที่กำลังเดือดดาลกลายเป็นเย็นลงและจากรพีพงศ์ที่นิ่งสงบกลับกลายมีไฟจุดขึ้นกลางใจ

“อย่างที่ท่านอาเอ่ยพวกเรานั้นจักต้องหาวิธีช่วยนาคินทร์” ไฟที่ว่าหาใช่ไฟโมโหที่เผาผลาญทุกสิ่งให้วอดวายหากตรงกันข้าม ไฟที่เกิดขึ้นในใจของรพีพงศ์คือไฟแห่งความหวังที่ส่องสว่างในความมืด

“นั่นสิ…ข้าต้องหาวิธีช่วยลูกของข้า” นับว่าเป็นเรื่องดีที่รพีพงศ์และพระเสาร์มีความคิดไปในทิศทางเดียวกัน อย่างน้อยคนกลางอย่างพระพุธก็สบายใจขึ้นมากโขที่มิต้องคอยห้ามทัพ

“ทุกท่าน อันตัวข้าหาได้มีปัญญาหรือความรู้ใดจะช่วยลูกของข้าได้ ข้าจึงขอตัวเข้าไปดูแลนาคินทร์” มุตตาเอ่ย นางรู้ดีว่าตนเองมิสามารถแสดงความคิดเห็นใดได้จึงขอทำหน้าที่แม่ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองถนัดน่าจะดีกว่ามายืนฟังเทพทั้งสามเสวนากัน

“ไปเถิด…หากนาคินทร์ฟื้นขึ้นมาเจ้าจงมาแจ้งให้พี่ได้รับรู้” พระเสาร์เอ่ย มุตตาพยักหน้ารับคำแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องของนาคินทร์

“ส่วนพวกเจ้าทั้งสองตามข้ามาทางนี้” พระเสาร์เอ่ย จากนั้นก็เดินนำทางพระพุธและรพีพงศ์มายังโถงรับรอง

“เราต่างก็รู้ว่าสาเหตุที่นาคินทร์เป็นเช่นนี้เพราะความทรงจำที่สูญเสียกำลังจักกลับคืน” พระพุธไม่รอช้าเปิดประเด็นขึ้นมาไม่อ้อมค้อม

“ใช่ ข้ารู้ว่าลูกข้าเป็นเช่นนี้เพราะเหตุใด” พระเสาร์เอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พระพุธได้สดับฟังก็อดคิดในใจมิได้

…‘รู้ดีกระนั้นหรือ…ใครกันที่โมโหร้ายจักสังหารรพีพงศ์เมื่อครู่’…

“พุธจึงคิดว่านาคินทร์ควรจักต้องฟื้นความทรงจำให้เร็วที่สุด” พระพุธเอ่ยกับพระเสาร์

“ข้าเห็นด้วยกับท่านอาแต่…”

“รพีพงศ์…อารู้ว่าใจหนึ่งเจ้ามิอยากให้นาคินทร์จำเรื่องราวในอดีต เจ้าไม่อยากให้นาคินทร์รับรู้ว่าตัวเองเป็นใครก่อนจักมาพบกับเจ้า”

“อย่าว่าแต่รพีพงศ์…ข้าเองก็มิอยากให้นาคินทร์จำได้” พระเสาร์เอ่ย อาจจะเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่พระเสาร์และรพีพงศ์มีความเห็นตรงกัน

“แล้วห้ามได้หรือไม่เล่า พี่เสาร์ รพีพงศ์ พวกเราต่างก็เห็นมิใช่หรือว่าแม้นเราจะมิทำอันใดความทรงจำของนาคินทร์ก็กลับมา ขืนปล่อยให้จำได้เองทีละเล็กทีละน้อย นาคินทร์คงมิวายเป็นลมล้มพับนับร้อยนับพันครั้งแน่ สู้เราช่วยให้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ให้เจ็บปวดคราเดียวย่อมดีกว่า” พระพุธยังคงยืนยันในความคิดของตน พระเสาร์และรพีพงศ์ต่างขบคิดทบทวน สุดท้ายก็เห็นด้วยไม่คิดต่างจากเทวาทรงคชสาร

“การจักฟื้นความทรงจำจำเป็นต้องอาศัยของวิเศษ ทว่าของวิเศษใดในโลกหล้าที่จักสามารถช่วยได้ ข้าคิดว่ามันจักต้องมีน้อยชิ้น น้อยอย่าง อีกทั้งหายากเป็นแน่แท้” รพีพงศ์เอ่ยออกมาตามความคิด

“เจ้าพูดถูกรพีพงศ์มันมีเพียงน้อยชิ้นแต่มันมิได้หายากดั่งที่เจ้าคิดไม่” พระพุธเอ่ยออกมาทั้งยิ้มในหน้าพาลให้พระเสาร์สงสัยในกริยานี้

“เจ้าอมยิ้มเช่นนี้ ข้าว่าเจ้าคงจักรู้อยู่เต็มอกว่าของวิเศษที่สามารถช่วยลูกข้าได้คือสิ่งใด”

“ดอกปาริชาต” พระพุธเอ่ยนามของบุปผากลีบขาวแต้มแดง ซึ่งทุกๆ ๑๐๐ ปีถึงจะผลิดอกแย้มเกสร ทุกครั้งที่เบ่งบานดอกปาริชาตจะส่องแสงสว่างและส่งกลิ่นหอมตลบอบอวน ใครได้สูดดมจักสามารถระลึกชาติได้

“ท่านอาพุธ ข้าได้ยินมาว่าต้นปาริชาตถูกจอมมารล้านภาคทำลายเมื่อครั้งบุกรุกมายังสวรรคโลก” รพีพงศ์กังวลใจกับความหวังที่เริ่มจักริบหรี่ยิ่งกว่าแสงของหิ่งห้อย

“ทำลายแต่ไม่ทั้งหมด ครานั้นยังมีดอกปาริชาตหลงเหลืออยู่บ้าง เหล่าเทพยดาและนางอัปสรต่างช่วยกันเก็บไว้ พอสิ้นสุดสงครามพระผู้สร้างองค์ก่อนได้รับสั่งให้นำมาปลูกใหม่อีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็มิสามารถนำมาช่วยนาคินทร์ได้เพราะต้นปาริชาติยังเติบโตไม่เต็มที่”

“แล้วเจ้าจะเอ่ยขึ้นมาให้ได้อันใดหรืออยากจักปั่นหัวข้าเล่น…เจ้าพุธ!!!” พระเสาร์อารมณ์ร้อนวู่วามเป็นทุนเดิมจึงตวาดผู้เป็นน้องออกไปจนดังลั่น หากผู้ถึงเอ่ยถึงกลับไม่สะทกสะท้านพักตรางามยังมีรอยยิ้มมิจางหาย

“ใครจะกล้าปั่นอารมณ์ ยั่วโมโหพี่เสาร์กันเล่า อีกอย่างพุธยังพูดไม่จบเลย พี่เสาร์อย่าเพิ่งโมโหไปเลย” น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ยออกไป รพีพงศ์ที่นั่งดูพระปิตุลากับบิดาของคนรักโต้เถียงกันพลันส่ายหน้า

…‘ท่านอาพุธ…สิ่งที่ท่านทำยิ่งกว่ายั่วโมโหเสียอีก’…

“ข้าให้โอกาสเจ้าพูดครั้งเดียว หากไม่มีประโยชน์แล้วไซร้ข้าจักอุ้มเจ้าแล้วโยนออกไปจากวิมาน” คำขู่เดิมๆที่ไม่เคยได้ใช้กับพระพุธแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องด้วยเทวาร่างบางรู้หลบรู้หลีกเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง

“นอกจากดอกปาริชาตยังมีน้ำโสม(โสม-มะ)ใครได้ดื่มจัก มีพลกำลังเพิ่มขึ้นมหาศาล ทั้งยังเป็นยาช่วยรักษาโรคภัยให้หายเป็นปลิดทิ้ง” พระพุธตอบทั้งยังบรรยายสรรพคุณของโสมธาราที่เป็นรองเพียงน้ำอมฤตเท่านั้น

“และการตามหาน้ำโสมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ง่ายดายเสียยิ่งกว่าเป่าเปลวเทียนให้ดับเสียอีกเพราะน้ำโสมนี้อยู่ ณ วิมานของพระจันทร์” พระพุธคาดเดาว่าผู้ฟังคงมีความสงสัยจึงได้ชิงเล่าต่อไม่รอใป้พระเสาร์และรพีพงศ์เอ่ยถาม กระนั้นยังคงมีปัญหาเกิดขึ้นมาจนได้

“ให้ข้าบุกน้ำ ลุยไฟ ไปที่แห่งหนใดข้ามิเคยหวั่นกลัวแต่หากให้ข้าไปยังวิมานของพี่เจ้าเห็นทีข้าคงคิดหนัก เจ้าพุธ…เจ้าพอจะเป็นธุระนำน้ำโสมให้ข้าได้หรือไม่” เหตุที่ขอร้องพระพุธนั้น หาใช่พระเสาร์เกรงกลัวไม่แต่พระเสาร์มิชอบท่าทางกิริยาของพระศศิ เนื่องด้วยลักษณะ อุปนิสัยตรงข้ามกับตนทุกประการ ไหนเล่าจะหวงน้องอย่างพระพุธที่ชอบมาวุ่นวายอยู่กับตนจนพระเสาร์ได้รับสายตาไม่พอใจจากจันทรเทพอยู่หลายครั้งหลายครา

“ข้าขออาสาไปนำน้ำโสมจากพระจันทร์เอง พระเสาร์…ท่านอย่าได้รบกวนท่านอาพุธเลย การที่นาคินทร์เป็นเช่นนี้ก็เพราะข้า ข้าจึงอยากเป็นผู้แก้ไขเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นกับนาคินทร์เอง” ความรู้สึกผิดที่กลายเป็นตราบาปประทับทั่วดวงกมล สำหรับรพีพงศ์แล้วดูแลนาคินทร์ไม่ใช่เพียงทำเพื่อรักแต่รับผิดชอบชีวิตของผู้อันเป็นที่รักอีกด้วย

“ในเมื่อเจ้าต้องการอาก็มิขัด พี่เสาร์เล่าคิดเห็นเป็นเช่นไร” พระพุธเอ่ยกับรพีพงศ์ก่อนจักหันไปถามความเห็นของพระเสาร์

“ใครจักไปข้ามิขัดข้องทั้งนั้น ยิ่งเป็นรพีพงศ์ก็ยิ่งดีถือเสียว่าชดใช้ที่พาลูกข้าหนีไปเที่ยวเล่นจนเกิดเรื่องเกิดราว”

“พระเสาร์…ข้าขอสัญญากับท่านว่าจักนำน้ำโสมมารักษานาคินทร์ให้จงได้”

“ข้ามิต้องการคำมั่นสัญญาอันใดทั้งนั้น ข้าไม่เชื่อจนกว่าเจ้าจะทำมันให้ประจักษ์ต่อตาของข้า” ***** หากเป็นมนุษย์ได้แหงนใบหน้ามองเวหาสีนิลกาฬยามไร้สหัสรัศมี จักแลเห็นดวงดารานับล้านส่องประกายระยิบระยับจนเพลินตาและยังมีดาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่งเปล่งแสงให้ความสว่างไสวแทนทินกร นั่นคือ ‘ดวงจันทร์’

สิ่งที่มนุษย์ได้เห็นเป็นเพียงเศษฝุ่นธุลี หาได้มีใครได้เห็นดั่งที่รพีพงศ์ได้เห็นในเพลานี้ ศศิมณฑลเป็นที่ตั้งของวิมานสีขาวส่องแสงสะท้อนแวววาว ซึ่งประดับด้วยแก้วมุกดาเม็ดใสดุจหยดน้ำจนถึงขุ่นมัวเสมือนหมอกในยามเช้า ร้อยเรียงสลับกันไปเป็นลวดลายให้วิมานนี้งดงาม   รพีพงศ์ใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงวิทานของพระจันทร์โดยที่ดวงใจนั้นมาเยือนที่แห่งนี้ นับตั้งแต่รู้ว่ามีน้ำศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อสองเท้าได้เหยียบยังบุหลันพิภพก็ย่าางก้าวเข้าสู่บริเวณวิมานเพื่อพบเจอผู้เป็นเจ้าของ

“ทหาร เจ้าจงนำความไปบอกพระจันทร์ว่าข้ารพีพงศ์ บุตรแห่งสุริยเทพ จักขอเข้าพบ” รพีพงศ์เอ่ยกับนายทวารผู้เฝ้าประตู

“ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้าพบ…รพีพงศ์” เทวรูปงามไม่ต่างจากอิสตรีปรากฏกายอยู่ด้านหลังของรพีพงศ์ ในหัตถามีห่อผ้าบรรจุกลีบบุหงาหลากหลายพันธุ์ส่งกลิ่นหอมอบอวลรอบกาย  “ท่านอา…ข้ารพีพงศ์ขอทำความเคารพท่าน” รพีพงศ์พนมมือไว้กลางอกก่อนจะค้อมศีรษะลงทำความเคารพและแสดงความนับถือแด่ผู้มีอายุมากกว่า

“มิต้องมีพิธีการให้วุ่นวาย ตามข้ามาในวิมานเถิด…รพี” พระจันทร์เชื้อเชิญแล้วเดินนำหน้ารพีพงศ์เข้าไปยังภายในวิมานมุกดาหาร

“นั่งก่อนสิรพีพงศ์…เจ้ามาได้จังหวะข้าทำถุงหอมพอดิบพอดี อย่างไรข้าขอฝากให้บิดาเจ้าไว้สักถุง”พระจันทร์เอ่ย ขณะเดียวกันก็นำกลีบมาลีออกจากห่อผ้า ด้านรพีพงศ์ก็นั่งลงบนตั่งกว้างตรงข้ามกับจันทรเทพ ดวงตาสีเข้มมองไปยังพระปิตุลาเจ้าสำอางค์ ดูอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอม หากสิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตาหากได้รู้จักพระจันทร์อย่างถ่องแท้จักรู้ว่าเป็นเทพผู้เก่งกาจไม่ว่าจะเป็นศึกรบหรือศึกรักก็ตาม

“ขอบน้ำใจท่านอามากและถ้าไม่เป็นการรบกวนท่านอามากไป ข้านี้มีเรื่องจักขอท่าน” รพีพงศ์รู้ดีว่าเสียมารยาทเพียงใดแต่จักให้ตนรอคอยหาเรื่องเสวนาแล้วค่อยตบท้ายด้วยการขอน้ำโสมแลทีจักไม่ทันกาล

“ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจักต้องมีเรื่องหรือปัญหาจึงได้แวะเวียนมาหาข้าถึงวิมาน เอาเถิดเจ้าจักขอสิ่งใดกับข้าก็ว่ามา หากข้าให้เจ้าได้ข้าก็จักให้” พระจันทร์ตัดพ้อแต่ยังมีเมตตาไม่ปฏิเสธรพีพงศ์เสียทีเดียว

“ข้าจักไม่อ้อมค้อม สิ่งที่ข้าอยากจักขอจากท่านอาคือน้ำโสม ขอให้ท่านอามอบให้ข้าพอจักรักษา….”

“ไม่ได้!!! เจ้าจักขอสิ่งใดข้าไม่คิดปฏิเสธเว้นเพียงน้ำโสมเท่านั้นที่ข้ามิอาจจักให้เจ้าได้!!!”





.............

จบไปอีก 1 ตอนกับความน่ารัก 5555 นาคินทร์ตื่นมาลูก หนูต้องตื่นมาช่วยอาพุธกับแม่มุตตาห้ามทัพพ่อกับคนรักก่อนนะลูก

ส่วนพระจันทร์คนใจดีของน้องพุธมาวันนี้กลับใจแข็งเสียแล้ว รพีพงศ์เจองานหนักแบบนี้แล้วจะช่วยน้องได้หรือไม่!!!!!

ติดตามอ่านตอนต่อไป... ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นเป็นกำลังใจให้นะคะ อ่านทุกเม้นเลย มีแรงปั่นนิยายต่อไป ฮึบ!!!

หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.12 100% P.3 (17/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 17-04-2019 16:42:56
ทำไมถึงให้ไม่ได้
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.12 100% P.3 (17/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 18-04-2019 09:37:26
ไยถึงให้มิได้กันเล่า
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.13 50% P.3 (29/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 29-04-2019 12:25:25
ลิขิตรัก…เพลิงเทวา Author : Tan-Yung0209 File : 13

“กาลข้างหน้า เจ้าจักต้องนั่งบนบัลลังก์ปกครองแดนสุริยานี้ พ่อจึงอยากให้เจ้ามีคุณธรรม ศีลธรรมในจิตใจของเจ้า มีความมุ่งมั่น อดทน แข็งแกร่งดุจหินผา หากมีความนอบน้อม อ่อนโยนมิต่างจากดอกไม้ด้วยเช่นกัน อย่าปล่อยให้กิเลสครอบงำมิเช่นนั้นจักเกิดปัญหา” พระอาทิตย์ผู้เป็นใหญ่ในเทพนพเคราะห์ได้เอื้อนเอ่ยกับกุมารที่กำลังเลือกอ่านตำรา สุรเสียงทุ้มหากฟังดูแล้วแฝงไปด้วยความอ่อนโยนขัดกับใบหน้าคมเข้มและรูปกายสูงใหญ่มีอาภรณ์พื้นแดงประดับรัตนา

“ท่านพ่อข้าสงสัย กิเลสใดนำพาความเดือดร้อนมากที่สุด” รพีพงศ์ในวัยเยาว์ซักถามผู้เป็นบิดร

“พ่อจักเริ่มอธิบายให้เจ้าฟังตั้นแต่ต้น ถ้าเปรียบกิเลสเป็นต้นไม้ใหญ่ ๓ ต้น มีชื่อว่า ราคะ โทสะ โมหะ แต่ละต้นมีโทษร้ายแรงต่างกันไป ทว่าสิ่งที่เหมือนกันคือหยั่งรากลึก กิ่งก้านแผ่ไพศาลดั่งกิเลสปลีกย่อยต่างๆของแต่ละต้น แน่นอนว่ากิ่งก้านนี้ย่อมมีรูปร่างไม่ต่างกัน นั่นหมายถึงกิเลสจะส่งผลในเหตุการณ์ได้มากน้อยแค่ไหน เช่นความเห็นแก่ได้ อยากได้ทรัพย์สมบัติจนปล้นฆ่ากับโมโหโกรธาทำลายข้าวของตนเอง สำหรับเจ้าสิ่งใดร้ายแรงกว่ากัน” องค์ทินสิริอธิบายให้บุตรชายได้เข้าใจโดยง่ายก่อนจะตั้งคำถามเพื่อดูว่ารพีพงศ์มีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด

“ข้าคิดว่าประการแรก” รพีพงศ์ตอบฉาดฉาน ท่าทางมั่นอกมั่นใจ

“หากโมโหแล้วมิได้ทำลายข้าวของแต่ไปฆ่าคู่กรณีเล่า”

“สำหรับข้า…ข้าคิดว่าร้ายแรงพอกันเพราะเท่ากับว่าได้ทำลายชีวิตผู้อื่น…ท่านพ่อข้าพอจะเข้าใจในสิ่งที่ท่านพ่อสั่งสอนข้าแล้ว”

“ดีมาก นอกจากนี้ยังมีสิ่งสำคัญที่เจ้าควรจักมี”

“สิ่งใดหรือท่านพ่อ”

“สติ…เจ้าจงจำไว้ให้ดี สตินี้สำคัญยิ่ง”

ความทรงจำในวัยเด็กปรากฎชัด ทุกถ้อยคำมีความหมายล้วนให้ได้ดำรงตนอยู่ในความดีงาม ประพฤติตนในศีลธรรม คุณธรรม  แน่นอนว่ารพีพงศ์นี้จำได้ขึ้นใจ ทว่า...

“ข้าจดจำและเข้าใจ หากข้ามิอาจจักทำได้…ท่านพ่อข้ามิอาจจะครองบัลลังก์ได้อีกต่อไป” รพีพงศ์เอ่ยออกมาราวกับว่าพระอาทิตย์จักได้ยิน ทั้งที่ความจริงนั้นรพีพงศ์กำลังยืนท่ามกลางความเงียบเชียบ ตรงหน้ามีร่างของพระจันทร์นอนลงบนพื้น อาภรณ์สีอ่อนถูกย้อมด้วยโลหิตจากพระอุทร ห่างไปไม่ไกลทหารประจำวิมานได้รับบาดเจ็บสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ล้วนเกิดมาจากพระขรรค์ในมือของรพีพงศ์

ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้…

“ท่านอา…ข้าขอร้องได้โปรดปันน้ำโสมให้ข้าเถิด” รพีพงศ์ยอบกายลงสองมือรวบประกบทำอัญชลีวิงวอนขอร้องพระจันทร์

“อย่าได้ทำเช่นนี้เลยรพีพงศ์ต่อให้เจ้าก้มลงกราบข้ามิอาจให้เจ้าได้” พระจันทร์ยืนยันคำเดิม มิใช่ว่าตนเป็นผู้ใจแคบหากน้ำโสมไม่ใช่น้ำที่จักให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้า เนื่องจากอดีตกาลพระจันทร์เคยมอบน้ำโสม ๑ จอกให้เทพผู้หนึ่งนำไปรักษาอาการป่วยแต่เทพผู้นี้หาได้ดื่มกินไม่ กลับริอาจทำตัวเป็นกบฏนำน้ำโสมไปมอบให้จอมมารก่อให้เกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา

“ข้ามีความจำเป็น..ท่านอา”

“ข้าเองก็มีเหตุผลของข้า จงกลับไปเสียเถิดรพีพงศ์ ข้ามิอาจมอบน้ำโสมให้กับเจ้าได้” พระจันทร์เอ่ยก่อนจะเดินเลี่ยงไปไม่เหลียวแลใบหน้าสิ้นหวังของผู้เป็นนัดดา

เพลานี้รพีพงศ์มองไปทางไหนก็เจอกำแพงหินสูงตระหง่านเหนือศีรษะล้อมรอบตนทั้งสี่ทิศ จะวิ่งวนอย่างไรก็มิอาจหาทางออก จะปีนป่ายก็ไถลตกลงมา…ไม่มีเลยหรือทางออก ไม่มีเลยหรือทางที่จักได้น้ำโสมมาจากพระจันทร์ ทั้งที่ขอร้องอ้อนวอนด้วยดีไยจึงมิอาจได้มา

…‘ยื้อแย่ง’…

คำที่เป็นปฐมบทแห่งความฉิบหายได้ผุดขึ้นมาในใจ ตัวกิเลสค่อยๆคืบคลานเข้ามากัดกินศีลธรรมในจิตใจที่กำลังอ่อนแอของรพีพงศ์จนมิอาจตั้งสติชั่งใจรู้ดีรู้ชั่ว เทพหนุ่มหลับตาลงเพ่งสมาธิมินานกลางหน้าผากปรากฏดวงตาเพลิง

…‘เสาต้นนี้สินะ’… รพีพงศ์ยกยิ้มเมื่อรู้ที่ซ่อนน้ำโสมและไม่รอช้าใช้เนตรเพลิงทำลายเสา

“ตึง!!...ตึง!!..ตึง!!!” เสียงอึกทึกครึกโครมดั่งลั่น พื้นรัตนาเอียงเอนสั่นไหว ทั้งหมดเป็นผลมาจากแท่งน้ำแข็งปลายแหลมคมโผล่พรวดและตกลงมาจากเพดานเป็นปราการป้องกันอัคคีจากรพีพงศ์

“อย่าคิดว่าเจ้าจักได้มันไปง่ายๆ…รพีพงศ์ ข้าขอเตือนเจ้าให้เจ้าออกไปแล้วข้าจักไม่เอาความถือสาเจ้า” จันทรเทพเอ่ย พยายามเกลี้ยกล่อมให้รพีพงศ์ยอมฟัง ด้วยตนเองนั้นมิอยากสู้รบกับผู้เกี่ยวข้องทางสายเลือด

“ข้ามิออกไป…อย่างไรเสียข้าจักต้องนำน้ำโสมกลับไปให้ได้” รพีพงศ์ประกาศกร้าวถึงเจตนารมณ์ หัตถาที่เคยว่างเปล่ามีเปลวเพลิงเกลียวก่อขึ้นเป็นพระขรรค์อาวุธคู่กาย

“ถ้าเจ้าตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ข้าจักถือว่าเราสองมิเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป!!! ทหารจัดการรพีพงศ์!!!” รวดเร็วปานสายลม ทหารต่างกรูเข้ามาในมือกำดาบพร้อมฆ่าฟันศัตรูของผู้เป็นนาย

‘เคว้ง!!..ฉึก’

“อ๊าก!!”

โลหะกระทบกันจนเกิดเสียงก่อนจะโต้ตอบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทหารยกขาเข้าเตะแต่รพีพงศ์หลบหลีกทั้งสวนหมัดชกเข้าไปยังปลายคางของอีกฝ่ายก่อนจะใช้พระขรรค์เข้าฟันให้บาดเจ็บ…ไม่นานทหารของพระจันทร์ก็ล้มลงไปกองกับพื้น บ้างสลบ บ้างก็มีแผลฉกรรจ์ตามเนื้อตามตัว แม้รพีพงศ์จะสามารถจัดการทหารจำนวนหนึ่งได้ในพริบตาแต่ก็เสียเรี่ยวแรงไปมิใช่น้อย

“หมดแรงแล้วก็กลับไปเสีย ข้ามิอยากจักทำอันใดกับเด็กน้อยเช่นเจ้า” แม้นปากจะเอื้อนเอ่ยว่าตัดขาดแต่เอาเข้าจริงพระจันทร์เองก็มิอาจจักทำได้ อย่างไรรพีพงศ์มีศักดิ์เป็นนัดดายากที่ตนจักทำร้าย

“ข้าไม่กลับ ท่านอาโปรดหลีกทางให้ข้า”

“ไม่มีทาง..รพีพงศ์”

สิ้นคำโซ่น้ำแข็งเย็นยะเยือกก็พุ่งออกมาจากข้อมือของนิศาบดีเข้าล่ามแขนขาของรพีพงศ์ เมื่อเทพหนุ่มดิ้นรนขัดขืนโซ่น้ำแข็งนี้ก็ยิ่งตรึงแน่นจนรพีพงศ์ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ กระนั้นรพีพงศ์ก็หาได้ยอมแพ้ร่ายคาถาให้กายามีสิขานีลุกท่วมจนโซ่น้ำแข็งละลายและเหือดแห้งหายไป

พระจันทร์รู้ว่าตนเองคงประมาทรพีพงศ์จึงเรียกศาสตราวุธประจำกายออกมาคทาสีเงินยวงด้ามยาวสลักลวดลายรักร้อยใบเทศไล่ขึ้นไปจนถึงยอดซึ่งประดับมณีจันทราขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยรัศมีอันทำมาจากโลหะเส้นเล็กที่มีขนาดมิต่างจากเข็ม ฐานนั้นเต็มไปด้วยเศตาภรณ์ส่องแสงระยิบระยับมิต่างจากดาวล้อมเดือน รพีพงศ์เล็งเห็นว่าพระจันทร์คงเอาจริง ไม่คิดออมมือให้กับตนจึงตวัดพระขรรค์ขึ้นลงเปลี่ยนพระขรรค์เนื้อทองให้มีเพลิงแดงฉานลุกท่วม

“ย๊า!!!”

สองเทพวิ่งเข้าหาต่างฝ่ายต่างเงื้อง่าอาวุธเตรียมสู้กัน คมพระขรรค์แหวกอากาศหมายเชือดเฉือน คทาดวงเดือนตั้งรับแล้วผลักออกทั้งสองตอบโต้กันไม่คิดออมแรง ทว่าพระจันทร์นั้นมีประสบการณ์มากกว่า กลยุทธมากมีถูกนำมาใช้จัดการหลานผู้ไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม หากรพีพงศ์เองแม้ไม่เจนศึกเท่าผู้เป็นอาแต่ยามใดได้รบมักเจอะเจอศัตรูผู้มีฝีมือเก่งกาจ รพีพงศ์ใช้พระขรรค์เข้าบุกฟาดฟันสร้างบาดแผล พระจันทร์เปลี่ยนจากฝ่ายรุกเป็นตั้งรับหลบหลีก ขณะเดียวกันตาคู่งามจ้องมองหาช่องโหว่ก่อนจะได้โอกาสเตะเข้าสีข้างของรพีพงศ์ตามด้วยใช้ปลายคทากระทุ้งเข้าที่ช่องท้องหมายให้รพีพงศ์เจ็บจนจุก

“อัก..” รพีพงศ์ล้มลงไปนั่ง มือหนากุมท้องของตนไว้ตามสัญชาตญาณ

“อย่าได้คิดสู้กับข้า” พระจันทร์เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ปลายคทาจ่อเข้ากับลำคอของรพีพงศ์

“ท่านอาต่างหากเล่า…อย่าได้คิดสู้กับข้าเลย” รพีพงศ์ยิ้มเยาะก่อนจะเตะเข้าที่ข้อเท้าของพระจันทน์จนล้มลงและอาศัยช่วงเวลานี้วิ่งเข้าหากำแพงน้ำแข็งเพื่อทำลายมัน

‘เปรี๊ยะ’ ปลายคมของพระขรรค์ปักเข้าไปลึกตามแรงของรพีพง์จนเกิดรอยร้าวและค่อยๆปริแตกออก กระนั้นมันกลับไม่พังทลายดั่งใจหวัง รพีพงศ์ใช้นิ้วโป้งลูบวนทับทิมที่ประดับไว้ตรงด้ามจับ พลันเกิดเพลิงกัลป์สีครามลุกโชนจากปลายพระขรรค์ลุกลามไปตามรอยแยกที่เกิดขึ้น ความร้อนของมันหลอมแท่งน้ำแข็งมหึมาหลอมละลายกลายเป็นสาคเรศเจ่อนองพื้นอย่างรวดเร็วทำให้ปรากฎเสาต้นสำคัญ

“น้ำโสม” สิ่งที่ต้องการอยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม่สิเรียกว่าใกล้จนไม่จำเป็นต้องเอื้อมคงจะเหมาะสมกว่า รพีพงศ์ใช้มือที่ว่างประทับตรงกลางเสา ใจนั้นนึกท่องคาถาเพื่อฝ่ามิติล้วงหยิบน้ำโสมทว่ายังมิทันจะท่องคาถาจบบท รพีพงศ์รับรู้อันตรายจากด้านหลังรวมถึงเห็นเงาดำคล้ายของแข็งด้ามยาว

‘ฉึก’ อารามตกใจ รพีพงศ์ตวัดดาบไปด้านหลังเพียงต้องการข่มขู่มิให้จันทราเทพเข้ามาใกล้ แต่ผิดคาดสิ่งที่รพีพงศ์ตั้งใจกลับตาลปัตร พระจันทร์อยู่กว่าที่รพีพงศ์คิดไว้ ใกล้พอที่จะถูกคมอาวุธฟาดฟันโดนกาย

“ท่านอา!!...ท่านอา!! ข้ามิได้ตั้งใจ”

พระจันทร์เซไปด้านหลังก่อนจะทรุดตัวลงไปนอนบนพื้น หากเป็นอาวุธธรรมดาคงมิเป็นเช่นนี้แต่อาวุธที่ต้องกายากลับเป็นพระขรรค์ประจำตำแหน่งรัชทายาทแห่งสุริยวงศ์ นอกจากจะสร้างบาดแผลแล้วยังสร้างความเจ็บปวดไม่ต่างถูกไฟเผาผลาญภายในร่าง

“อั่ก..แค่กๆ..” พระจันทร์กระอักเลือดออกมา ยามเปิดปากมีไอร้อนออกมา รพีพงศ์คุกเข่าลงตระกองร่างของพระจันทร์ขึ้นมา แต่คงไม่ทันที่พระจันทร์จะได้ฟังน้ำคำของรพีพงศ์เพราะดวงจิตของเทพจันทราได้ดับสูญเสียแล้ว

“ท่านอา…ท่านอา!!!” รพีพงศ์พร่ำเรียกหาเทวจันทรา ใจคิดหวังว่าดวงจิตยังไม่เตลิดและกลับคืนสู่กายาใจนึกหวังให้ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นแต่พระจันทร์ก็หาได้ฟื้นตื่นขึ้นมา

“ท่านอาข้าขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ข้าด้วยเถิด” รพีพงศ์วางกายของพระจันทร์ให้นอนลงอีกครั้งแล้วก้มกราบ ความรู้สึกผิดบาปก่อตัวขึ้น คำสอนของบิดาเองดังก้องอยู่ในโสตประสาท บัดนี้ตนก่อกรรมทำผิดอันใหญ่หลวง พลาดพลั้งทำร้ายเทวาผู้มีศักดิ์ถึงพระปิตุลาจนชีวาวาย

“พวกเจ้ามิต้องกังวล ข้าไม่มีทางหนีโทษไปไหน” รพีพงศ์กล่าวกับทหารที่นอนบาดเจ็บ เมื่อทำผิดพลาดผู้มีสายเลือดสุริยะย้อมยอมรับผลที่ตามมา จากนั้นจึงหันหลังกลับไปยังเสามุกดาและใช้ฝ่ามือสัมผัสไปยังเสา

รัศมีสว่างไสวจนตาแทบบอด รพีพงศ์ยกแขนขึ้นมาป้องกันบังตาเอาไว้สักพักแสงนั้นค่อยๆริบหรี่จนหายวับไป รพีพงศ์ลดแขนลงมองไปยังคนโทแก้วภายในบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์สีลูกจันทร์ รพีพงศ์ไม่รีรอที่จะยกคนโทน้ำโสมออกมากเสาและมองไปยังร่างไร้วิญญาณของพระจันทร์อีกครา

…‘ท่านอา…ข้ารู้ดีว่าได้กระทำการล่วงเกินและก่อบาปกรรมไว้หนักหนายิ่งนัก ทว่าดวงจิตของท่านอย่าได้วิตกข้านี้จักมารับโทษตามกรรมที่ข้าได้ก่อ หากข้าขอเวลาไปหาคนรักเสียก่อน’…



.........50%......

เอาไปก่อน 50% นะคะ ม๊วฟ มาติดตามการต้มมาม่ารสเด็ดที่จะใส่เครื่องหนักกว่านี้

หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.13 50% P.3 (29/04/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 30-04-2019 09:42:30
รอๆ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.13 100% P.3 (02/05/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 02-05-2019 20:17:40
.........50%......

*****

‘โครม!!’ บานประตูไม้สลักถูกผลักออกอย่างแรงบ่งบอกได้ถึงความรีบเร่งของผู้มาเยือน ผู้เป็นเจ้าของวิมานนั้นหาได้โกรธเคืองหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด หากเป็นฝ่ายสาวก้าวเข้าหารพีพงศ์เอง พอเห็นมือของรพีพงศ์ถือคนโทก็ครึ้มใจที่รพีพงศ์สามารถนำน้ำโสมกลับมาได้สำเร็จ

“พระเสาร์…บัดนี้นาคินทร์ได้ฟื้นคืนสติแล้วหรือไม่” รพีพงศ์เอ่ยถาม “นาคินทร์ยังคงหลับไหล ข้าคาดว่าต้องรออีกสัก ๑ ชั่วยามถึงจะได้สติมาดื่มน้ำโสมได้” คำตอบของพระเสาร์สร้างความกังวลให้แก่รพีพงศ์จนพระเสาร์สังเกตเห็นชัด แต่ไม่ชัดพอเท่ากับรอยแผล รอยฟกช้ำอันเป็นร่องรอยจากการต่อสู้ระหว่างรพีพงศ์และองค์ศศิธร

“พี่รองทำเจ้าหรือ…มานั่งพักเสียก่อนประเดี๋ยวข้าจักร่ายมนตรารักษาแผลของเจ้าเอง” แม้แต่เทพตาเดียวยังสังเกตเห็น ผู้ที่ไม่มีหน้ากากบดบังสายตาเช่นพระพุธมีหรือจะไม่เห็นบาดแผล เทวาร่างอรชรรู้ดีว่าเชษฐาของตนเองนั้นยามร้ายก็หาผู้ใดขวางได้ ให้คาดเดารพีพงศ์คงโดนพระจันทร์สั่งสอนก่อนจะมอบโสมนัสเป็นแน่

“ขอบน้ำใจท่านอามากแต่ข้าหาได้เจ็บปวดไม่ ท่านอย่าได้กังวลเลย อีกอย่างข้าไม่คิดจะนั่งพักเอาแรง ด้วยตัวข้าอยากจะนำน้ำโสมให้นาคินทร์ดื่มกินเสียมากกว่า” ไม่มีใครสามารถหยุดเวลาให้เดินได้เป็นเหตุให้รพีพงศ์รีบเร่งนำน้ำศักดิ์สิทธิ์จากดวงแขให้นาคินทร์ได้ดื่มกินเพื่อที่จะได้จดจำตนได้อีกครั้ง ก่อนจะต้องถูกจับไปรับโทษทัณฑ์ที่ตนได้ก่อไว้

“เอาเถิดไม่พักก็ไม่พัก เจ้าเข้าไปเถิดข้ากับพี่เสาร์จะรอฟังข่าวดีอยู่ด้านนอก” พระพุธเอ่ย มือก็คว้าจับแขนของพระเสาร์ไว้ไม่ให้เดินตามเข้าไป

“ข้าขอตัวก่อน…ท่านอา พระเสาร์” สิ้นประโยครพีพงศ์สาวเท้าก้าวยาวมุ่งหน้าไปยังห้องของนาคินทร์

“ยื้อหยุดฉุดข้าไว้ด้วยเหตุใดเจ้าพุธ ข้าจะไปหาลูกของข้า” ลับหลังรพีพงศ์พระเสาร์เอ่ยถาม ทั้งน้ำเสียงและแววตาช่างดุเสียจนพระพุธยิ้มเจื่อน

“พุธอยากให้หลานทั้งสองได้อยู่ด้วยกันบ้าง มิใช่จะพูดคุย หยอกล้อกันทีก็ต้องมีพ่อตาหน้ายักษ์คอยจ้องจะกินหัวลูกเขยอยู่ตลอกเวลา” หากเป็นใครอื่นคงกลัวพระเสาร์จนหัวหดแต่คงต้องเว้นพระพุธไว้ นอกจากจะยิ้มได้แล้วยังพูดจาเหน็บเนมแกมหยอกให้พระเสาร์ขัดใจเล่น

“เจ้าพุธ บังอาจว่าข้าเป็นยักษ์เป็นมารรึ!!”

“ท่านพี่อย่าขุ่นเคืองเลย ดูสิไม่ต่างจากที่พระพุธกล่าวไว้เลยสักนิด” นางมุตตาเยื้องย่างออกจากห้องได้ถูกเวลาหนำซ้ำยังเข้าข้างสนับสนุนคำพูดของพระพุธ

“มุตตาน้องออกมาด้วยเหตุใด ไยปล่อยให้นาคินทร์อยู่ตามลำพัง”

“นาคินทร์มิได้อยู่ลำพัง ลูกของเราอยู่กับท่านรพีพงศ์ต่างหากเล่า”

“แต่พี่!!!...”

“พี่เสาร์ใจเย็นๆ อย่าได้นึกหวงนาคินทร์กับรพีพงศ์เลย พี่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นแนบแน่นเพียงใด” พระพุธเอ่ยแทรก

“อีกอย่างเราทั้งคู่เกือบจะสิ้นหวังในรักตลอดกาล ในระหว่างทางต่างทุกข์ทรมานใจด้วยกันทั้งคู่…ท่านพี่อยากให้ลูกต้องโศกสลดกระนั้นหรือ…ท่านพี่…ท่านพี่จักไปไหน อย่าเข้าไป…” มุตตาพูดไม่ทันจบ พระเสาร์ก็เดินหนีออกไป

“พี่มิได้เข้าไป พี่เพียงจักไปนั่งรอในห้องศาสตราต่างหากเล่า” พระเสาร์บอกกล่าวกับเยาวมาลย์ยอดกมล พระพุธที่ได้ร่วมสดับฟังอดคิดในใจมิได้ …‘ห้องอื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะ ไยท่านพี่ต้องเข้าไปในห้องนั้นด้วย’…

ด้านรพีพงศ์ผู้หาได้รู้เรื่องราวว่าตนเองกลายเป็นต้นเรื่องของบทสนทนาระหว่างพระเสาร์ พระพุธและนางมุตตา หลังจากที่ตนเข้ามายังในห้องหับของนาคินทร์ นางมุตตาผู้เป็นมารดาของนาคน้อยได้เปิดทางให้ตนได้อยู่กับนาคินทร์ตามลำพัง รพีพงศ์จ้องมองร่างบอบบางที่ยังคงหลับตาพริ้มและไม่มีวี่แววจะตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด

“นาคินทร์เจ้าไม่คิดถึงพี่เลยหรือไร มัวแต่นอนหลับไม่ยอมตื่นขึ้นมาพูดคุยกับพี่” รพีพงศ์นั่งลงบนเตียงข้างกายนาคินทร์แล้วก้มกายลงให้พักตราชิดใกล้พอที่จะฝากรอยจุมพิตไปยังขมับชุ่มเหงื่อผุดพราย

“พี่รอเจ้าตื่นไม่ไหวดอก…ขืนรอเจ้าพี่คงสิ้นชีพชีวายไปแล้ว กระนั้นพี่อยากจะให้เจ้าตื่นขึ้นมาจำพี่ได้ ตาของเจ้ามองพี่ด้วยความเขินอายดั่งคราก่อนและปากของเจ้าเรียกขานพี่ว่า ‘ท่านพี่’ อีกสักครั้ง” ปากขยับรำพึงรำพัน สองกรนั้นยกประคองคนขี้เซาขึ้นมาให้นาคินทร์ในสภาพกึ่งนอนกึ่งนั่ง

คนโทน้ำโสมที่ถูกวางไว้ใกล้มือเมื่อแรกเข้ามานั่งได้ถูกยกขึ้นมาให้ปากคนโทเนื้อรัตนาแนบชิดกับริมฝีปากล่าง หากริมฝีปากนั้นหาใช่ริมฝีปากของนาคินทร์

น้ำโสมค่อยๆไหลจากคนโทเข้าสู่ภายในปากร้อนแต่ไม่นานมันก็ไหลไปสู่อีกโพลงปากหนึ่งด้วยวิธีการป้อนแบบประกบปาก การป้อนเช่นนี้จำต้องอาศัยความชำนาญของผู้ป้อนและแน่นอนว่าบุตราแห่งสุริยวงศ์มีความช่ำชองพอที่จะใช้ชิวหาแทรกเปิดปากและส่งน้ำโสมให้นาคินทร์ได้ดื่มกิน จนกระทั่งน้ำทุกโสมหยาดหยดได้หมดไปจากปากของรพีพงศ์

‘จุ๊บ’ รพีพงศ์จูบย้ำอีกครั้งก่อนจะละริมฝีปาก ดวงตามองใบหน้าเรียบนิ่งของนาคินทร์ …‘ไม่ได้ผลหรือนี่’… รพีพงศ์ตั้งคำถามในใจเมื่อไม่มีปฏิกิริยาใดอันเป็นสัญญาณของข่าวดีหรือไม่จำต้องรอให้ฤทธิ์ของน้ำแสงจันทร์นี้ไหลเวียนจนทั่วร่างกายเสียก่อน

“อึก..อืม” เสียงครางอือในลำคอดังขึ้นเรียกสติของรพีพงศ์ที่กำลังว่ายวนอยู่ในบ่อความคิดให้กลับมา นอกจากเสียงแล้วสิ่งที่ทำให้รพีพงศ์ตกใจมิใช่น้อยคือเแสงสีดอกจำปาเปล่งออกมาจากเนื้อนวลแล้วค่อยๆจางหายไปพร้อมกับเปลือกตาของนาคินทร์ที่ค่อยๆเปิด

ดวงตาคมเฉี่ยวดุจบิดาหากนัยน์ตาสีมรกตสะท้อนเงาเทพรูปงามที่กำลังจ้องมองตนเช่นกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนนาคินทร์คงเขินอายผินใบหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบตาแต่ครานี้นาคินทร์กลับจ้องมองแทบจะไม่กระพริบ ราวกับว่าเพียงเสี้ยววินาทีที่ตนหลับตารพีพงศ์อาจจักหายไป

“ท่านพี่…ท่านพี่รพีพงศ์..ฮึก…ท่านพี่” อัสสุชลแห่งความปลาบปลื้มไหลอาบแก้ม อันเกิดจากนาคินทร์จดจำบุรุษตรงหน้าของตนได้ บุรุษที่ตนมอบดวงใจให้…ดวงใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก

“นาคินทร์…เจ้า…เจ้าจำพี่ได้หรือไม่!!!” รพีพงศ์ถามย้ำคิดว่าตนนั้นได้หูแว่วเพราะตื่นเต้นดีใจจนฟังผิดฟังถูก หากเป็นนาคินทร์ผู้ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่างจะไม่เรียกตนเช่นนี้แน่

“จำได้สิ…ข้าเป็นเชลยรักของท่านพี่ไยจักจำผู้เป็นเหนือหัวกุมใจของข้ามิได้” นาคินทร์ซุกใบหน้ายังอุราของรพีพงศ์เพื่อปิดบังความเขินอายที่แดงปลั่งทั่วแก้มนวลลุกลามจนถึงใบหู

“อย่าได้หลบหน้าหลบตาพี่เลย ไหนให้พี่มองหน้าเจ้าให้ชื่นใจเสียหน่อยได้หรือไม่เล่า” คำออดอ้อนทำให้นาคินทร์ค่อยๆขยับกายนั่งเคียงข้างให้รพีพงศ์ได้เห็นวงหน้างามผุดผ่องได้เต็มทั้งสองตา

‘จุ๊บ’ ในขณะที่เทพหนุ่มกำลังจ้องมองตนไม่วางตา นาคินทร์ได้เป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้าจุมพิตริมฝีปากของรพีพงศ์และผละอออกอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงหัวเราะสดใสเมื่อเห็นรพีพงศ์นั่งนิ่งเป็นก้อนหิน

“คิก…จุมพิตนี้ข้ามอบให้ท่านพี่เป็นรางวัล” นาคินทร์เอ่ยพร้อมเข้าสวมกอดร่างสูงไว้แนบแน่น

“รางวัลอย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้วท่านพี่ จุมพิตนี้คือรางวัลที่ท่านคอยดูแลข้าและยังคงรักข้าเช่นเดิม”

“ใครว่าพี่รักเจ้าเช่นเดิม” รพีพงศ์แสร้งขึงขังให้คนฟังใจเสียหน้าสลดจนถอดสี

“พี่รักเจ้ายิ่งกว่าเดิม…รักมากขึ้นในทุกๆวัน มันดาษดื่นจนพี่มิรู้ว่าต้องเอาความรักทั้งหมดเก็บเอาไว้ ณ ที่ใด” รพีพงศ์เอ่ยความในใจก่อนจะไม่มีโอกาสบอกกล่าวเหมือนครั้งเยือนดาราจักรทางช้างเผือก ฝ่ายนาคินทร์ได้ฟังจึงยิ้มย่องจากนั้นเคลื่อนใบหน้าตั้งท่าจะให้รางวัลแด่รพีพงศ์อีกครั้ง

“รพีพงศ์!!! บุตรของข้าเป็นเช่นไรบ้าง” ฟากหนึ่งของประตูพระศนิได้ตะโกนถามโดยมีนางมุตตาและพระพุธคอยยื้อยุดไม่ให้คนหวงลูกได้เข้าไป ทั้งที่ก่อนหน้าเดินเข้าไปยังห้องศาสตราทว่าเผลอเพียงพริบตาเดียวพระเสาร์กลับมายืนอยู่หน้าประตูห้องของนาคินทร์

“บิดาเจ้าช่างหวงเจ้าเสียยิ่งกว่ากระไรดี” รพีพงศ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กลัดกลุ้มใจเนื่องด้วยเวลาแห่งความสุขเหลืออยู่ไม่มาก

“ฟอด…อย่าทำหน้าเช่นนี้เลยท่านพี่ อย่างไรเสียเราสองต่างมีเวลามอบรางวัลให้กันอีกนาน” นาคินทร์หอมแก้มปลอบใจโดยหารู้ไม่ว่านี่อาจจะเป็นรางวัลสุดท้ายที่ตนมอบให้ รพีพงศ์เองได้ฟังก็ชะงักเล็กระคนเสียใจที่ทำให้ความหวังของนาคินทร์พังทลายในอีกไม่ช้า

“นั่นสิ…พี่ว่าเราสองออกไปหาพระเสาร์ ท่านน้ามุตตาและท่านอาพุธกันดีกว่า” รพีพงศ์ปรคองกอดนาคินทร์ให้ลุกขึ้นยืนและก้าวเดินออกไปพร้อมกับตน ฝ่ามือค่อยๆดันบานประตูให้เปิดออกก็พบว่าพระเสาร์ที่แขนทั้งสองข้างต่างถูกพระพุธกับนางมุตตาคว้าไว้คนละข้างยังคงยืนรอไม่ไปไหน

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอา…ข้า…ข้าจำทุกอย่างได้แล้ว” นาคินทร์แจ้งข่าวดี อันสร้างความสุขให้แก่ผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง

“หมดทุกข์ หมดโศกเสียทีลูกแม่ นับแต่บัดนี้ไปความสุขจะสถิตอยู่กับเจ้าทุกคืนวัน” มุตตาเข้าสวมกอดนาคินทร์ รพีพงศ์ถอยห่างเล็กน้อยให้สองแม่ลูกและพ่อที่เข้ามาโอบกอดทั้งสองเอาไว้ ช่างเป็นภาพที่แสนอบอุ่นตลบอบอวลด้วยมวลความรัก

“ท่านอา…ข้ามีเรื่องที่จะแจ้งให้ท่านได้รับรู้” รพีพงศ์กระซิบกระซาบข้างหูพระพุธ

“เรื่องอันใด คงสำคัญมากใช่หรือไม่เจ้าถึงได้เอ่ยกับข้าน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินเช่นนี้” แม้นมิใช่เปลวเทียวแต่จิตใจนี้กลับวูบวาบ สังหรณ์ร้ายคืบคลานเข้ามาทั่นทีที่ได้ฟังรพีพงศ์เอื้อนเอ่ย

“คือข้า…”

“พระเสาร์…เทวทูตส่งสาน์สและเทพแห่งท้องนภาขอเข้าพบท่าน” ไม่ทันที่รพีพงศ์จะได้เอ่ยสิ่งใด ทวารบานเฝ้าประตูวิมานหงบาทได้เข้ามารายงานต่อพระเสาร์

“เชิญให้เข้ามาได้” พระเสาร์เอ่ย อันเทวทูตส่งสาน์สมักมาเยือนเพื่อแจ้งให้เข้าร่วมชุมนุมสภาและแน่นอนว่าตนไม่คิดจะย่างกรายไปเลยสักครั้งหากไม่จำเป็นแต่ที่น่าแปลกใจคือเทพนภนต์ที่มาพร้อมกัน เห็นทีจักต้องเกิดเรื่องใหญ่ยังสวรรคโลกเป็นแน่แท้

ผิดกับพระเสาร์ที่นึกสงสัย รพีพงศ์กลับเตรียมใจว่าตนกำลังเข้าสู่ปฐมบทวงล้อแห่งกรรม การมาเยือนของแม่ทัพหลวงแห่งไตรทศาลัยจะเป็นอื่นไปมิได้นอกจากจะมาจับกุมตน

“เทพส่งสาน์ส...มีเหตุอันใดให้ข้าต้องเข้าร่วมชุมนุมเทวสภา” พระเสาร์ไม่รีรอถามออกไปเมื่อเทพผู้มาเยือนทั้งสองปรากฎกาย

“ก่อนที่ข้าจะแจ้งท่านเพื่อไม่ให้เสียเวลาข้าขอเชิญพระพุธเข้าร่วมชุมนุมตามพระราชกระแสรับสั่ง” เทพส่งสาน์สกล่าวกับพระพุธ หากดวงตากลับจ้องมองรพีพงศ์ไม่วางตา

“ข้าขอน้อมรับพระบัญชา” พระพุธพนมมือไหว้

“คราวนี้จักบอกข้าได้หรือยังว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น พระผู้สร้างถึงได้เรียกเทพเข้าชุมนุมกะทันหัน” พระเสาร์ใจร้อนเร่งเอาคำตอบ เทพส่งสาน์สนิ่งเงียบก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า

“เรื่องนี้ข้ารบกวนให้เทพนภนต์เป็นผู้แจ้งท่านน่าจักดีกว่า” เทพส่งสาน์สโยนหน้าที่ให้นภนต์เป็นผู้รับไว้ นักรบหนุ่มก้าวออกมาด้านหน้าหยุดอยู่ตรงหน้าของรพีพงศ์

“เพลานี้จันทรเทพได้สิ้นปราณแล้ว พระผู้สร้างจึงมีรับสั่งให้เทพและเทพีทุกองค์ไปยังสภาเทพ รวมทั้งให้ข้าจับกุมผู้สังหารไปรับโทษทัณฑ์” เทพนภนต์เอ่ย ก่อนจะยกมือเป็นสัญญาณให้ทหารติดตามของตนเชิญผอบเนื้อเหมสำหรับใช้กักขังเทพชั้นสูง

“ไม่ต้องใช้ผอบดอกท่านนภนต์ ข้ายินดีที่จะไปกับท่าน” รพีพงศ์เอ่ย

“หมายความว่าเช่นไร…นี่เจ้า เจ้าสังหารพี่รองหรอกหรือ รพีพงศ์!!!” พระพุธแทบล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่าเชษฐาของตนสิ้นบุญเสียแล้ว หนำซ้ำผู้สังหารกลับเป็นญาติกาดำรงไว้โดยสายเลือด

“ท่านพี่…ท่านพี่ไม่จริงใช่หรือไม่…ฮึก..ท่านพี่…ท่านพี่จักต้องอยู่กับข้าสิ” นาคินทร์ร่ำไห้ออกมา ทั้งที่รอดพ้นจากความตาย ทั้งที่ตนได้ความทรงจำกลับคืน หลังจากนี้ตนควรมีความสุขมิใช่หรือ เหตุใดจำต้องพลัดพลากจากอกของรพีพงศ์

“ก่อนข้าจะเข้ารับโทษทัณฑ์ ขอข้าได้ร่ำลานาคินทร์สักประเดี๋ยวได้หรือไม่” รพีพงศ์ขอร้อง นภนต์พยักหน้าอนุญาตเพราะตนเคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนจึงเข้าใจหัวอกของรพีพงศ์ดี รพีพงศ์เดินเข้าหาและสวมกอดนาคินทร์แนบแน่นท่ามกลางสายตาโศกสลดของผู้ได้เห็น

“ฮึก…ฮือ..ท่านพี่…ท่านพี่…ท่านพี่ต้องอยู่กับข้า…ฮือ” นาคินทร์กอดตอบ ใบหน้าอาบน้ำตาซุกบ่ากว้างพลางสะอื้นไห้

“อย่าร้องไห้…นาคินทร์ พี่มิอยากให้เจ้าร้องไห้เพราะพี่เป็นต้นเหตุ” รพีพงศ์ใช้นิ้วเชยปลายคางของนาคินทร์ให้เชิดขึ้นแล้วก้มลงจูบซับหยาดน้ำตาจนทนทั่ว

“ท่านพี่ต้องอยู่กับข้า…ฮือ”

“เจ้าอย่าดื้อดึงกับพี่นาคินทร์”

“ข้าจะดื้อ..ท่านพี่จะได้อยู่ลงโทษข้า…อื้ม” นาคินทร์ตัดพ้อไม่ทันจบก็ถูกรพีพงศ์ลงโทษ ริมฝีปากทาบทับสอดลิ้นเข้าไปกวาดสำรวจเพดานปากรุกรานเข้าเกี่ยวตวัดให้ลิ้นของนาคินทร์สลับกับดูดปลายลิ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพอใจ รพีพงศ์ต้องการจดจำสัมผัสของนาคินทร์ให้มากที่สุดรวมถึงถ่ายทอดความรู้สึกของตนผ่านบทจูบให้นาคินทร์ได้รับรู้

“อย่าร้องไห้อีกเลยคนดี พี่นี้ต้องการเห็นรอยยิ้มของเจ้า”

“จักให้ข้ายิ้มได้อย่างไร ในเมื่อท่านพี่…อึก…ฮือ” นาคินทร์ไม่สามารถทรยศความรู้สึกของตนเองได้ ดีใจก็ยิ้ม สนุกสนานก็หัวเราะ เสียใจก็ร้องไห้ แต่จะให้เสียใจแล้วยิ้มออกมา…นาคินทร์มิอาจทำได้

“นาคน้อยของพี่…พี่มิได้จากเจ้าไปไหน พี่จักปรากฎกายให้เจ้าเห็นทุกครายามที่เจ้าคะนึงหาพี่…พี่ขอเถิดหนาขอให้พี่ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้า”

นาคินทร์ไม่พูดไม่จา ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น บุตรแห่งพระเสาร์กำลังคิดน้อยใจในโชคชะตาความรักของตนเอง  เวรกรรมอันใดกันหนอที่คอยกีดกันตนกับรพีพงศ์…นาคินทร์อยากรู้ เหตุใดจึงลิขิตให้ตนและรพีพงศ์ได้รักกันเพียงระยะเวลาอันสั้นแล้วพรากเราออกจากกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“นาคินทร์…” รพีพงศ์เอ่ยนามคนรักอีกครั้ง นาคินทร์จึงออกจากภวังค์ความคิดก่อนจะยิ้มออกมาให้กับรพีพงศ์ รอยยิ้มที่ตั้งใจปั้นออกมาให้รพีพงศ์ได้มีความสุขที่สุด รอยยิ้มที่นาคินทร์จำต้องฝืนใจทำ

“ขอบน้ำใจเจ้ามากนาคินทร์…พี่รักเจ้า รักเจ้าเพียงผู้เดียวนาคน้อยของพี่ จากนี้ไปเจ้าต้องอยู่ให้ได้และอย่าได้คิดโทษตัวเอง” รพีพงศ์เอ่ย ในใจนึกขบขันที่ตนเองเอ่ยประโยคเดียวกับนาคินทร์ …‘ข้าขอให้ท่านอย่าโทษตัวเองเรื่องข้าเป็นอันขาด อย่าได้คิดตายตามข้า’…

“ข้าเองก็รักท่านพี่”

“ได้เวลาที่เจ้าต้องไปแล้วรพีพงศ์” นภนต์เอ่ยขึ้นมาหลังรอให้ทั้งสองได้ร่ำลากันจนเสร็จสิ้น

“ไม่!!!! ข้ามิให้ท่านพี่ไป!!!” นาคินทร์กอดรัดรพีพงศ์เอาไว้แน่น ไม่ยอมให้ร่างสูงได้เดินเหินไปรับโทษ

“ทหารกันตัวนาคินทร์ไว้!!!” นภนต์ออกคำสั่ง

“ไม่ต้อง!!! ลูกของข้า ข้าจัดการเองได้!!!!” พระเสาร์เอ่ยออกมาก่อนทหารจะเข้าถึงตัวนาคินทร์ องค์นิลวาสคว้ากายของบุตราให้ออกห่างจากรพีพงศ์

“ท่านพ่อปล่อยข้า…ฮือ..ปล่อยข้า” นาคินทร์ดิ้นรนขัดขืนแต่มีหรือจะสู้แรงของบิดาตนเองได้ นาคินทร์ร่ำไห้จนน่าเวทนาล้มลงคุกเข่ามองแผ่นหลังของรพีพงศ์ผ่านม่านน้ำตา แผ่นหลังที่ออกห่างจากสายตาตนออกไปทุกขณะ ‘ท่านพี่ไม่อยู่กับข้าแล้ว…แล้วข้าจักมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ข้าจะมีชีวิตเช่นไรเมื่อไร้ท่านพี่’

…‘ไม่มีอีกแล้ว…เสียงท่านพี่ที่คอยเรียกขานข้า’…

…‘ไม่มีอีกแล้ว…แววตาที่มีเงาสะท้อนเพียงข้าผู้เดียว’…

…‘ไม่มีอีกแล้ว…สัมผัสอบอุ่นจากกายของท่านพี่’…

…‘ไม่มีอีกแล้ว…คำบอกรักที่ทำให้ใจของข้าสั่นไหว’…

…‘ไม่อีกแล้ว’…

…‘ไม่มี’…

.

.

.

“ไม่!!!!!!!!!”





...........

ตื่นขึ้นมาเจอแบบนี้ก็ช็อกนะคะ ท่านยุ่งอะค่ะช็อก 5555555

ขอบคุณที่สนับสนุนนิยายของท่านยุ่งนะคะ ท่านยุ่งนอนอ่านคอมเม้นบ้างเป็นแรงใจ ฮึบ!! ดีใจที่ยังมีคนอ่าน

อ่อ ตอนหน้ามาดูว่ารพีพงศ์จะรอดหรือไม่

#มาม่าอร่อยไหม
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.13 100% P.3 (02/05/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-05-2019 22:45:13
รพีพงศ์ไม่ได้ตั้งใจนะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.13 30% P.3 (08/05/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 08-05-2019 18:59:43


ลิขิตรัก…เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 14







ชีวิตของเรานับตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลกใบจนถึงปัจจุบันต้องผ่านเรื่องราวมากมายไม่ว่าจะดีหรือจะร้ายคละเคล้าปะปนกันไป บ้างก็หัวเราะมีรอยยิ้ม บ้างก็ร้องไห้มีน้ำตาอาบแก้ม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนผ่านมาและผ่านไป ต่างเหตุการณ์ต่างวาระแต่กระนั้นเราจำแนกเรื่องราวของเราว่าเรื่องใดคือความสุขหรือเรื่องใดคือความทุกข์

…‘ความสุขคือนามธรรมที่ใครๆล้วนอยากไขว่คว้ามาหาตน’…

…‘ความทุกข์คือสิ่งที่ทุกคนนึกขยาดไม่อยากประสบเจอ’…

“ไม่!!!!!!”

นาคินทร์กรีดร้องจวนเจียนขาดใจ ยามได้เห็นผู้เป็นดวงหฤทัยจากลา อยากจะวิ่งเข้าไปฉุดกระชากให้รพีพงศ์กลับคืนแต่ตนกลับไร้ความสามารถ สิ่งที่พึงทำได้คือปลดปล่อยความรู้สึกเจ็บปวดผ่านหยาดน้ำตา…‘ข้าตื่นจากความตายเพื่อจะได้อยู่กับท่านพี่ เหตุใดกัน…เหตุใดเราต้องพลัดพรากจากกันอีก’…  นาคินทร์ตัดพ้อโชคชะตา ห้วงความคิดมีคำเล่าอ้างของใครบางคนหมุนวนเป็นกงล้อ…ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน

“นาคินทร์!!!...ตั้งสติ!!!...นาคินทร์!!!” ในเพลาที่นาคินทร์สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดวงใจเจ้าเอ๋ยกำลังแตกสลายเป็นผุยผง เสียงเรียกของใครบางคนคอยเรียกขาน

“ไม่!!!...ฮึก!!...ไม่!!!”

“นาคินทร์ตื่นขึ้นมา!!!...พี่บอกให้เจ้าตื่นขึ้นมา!!!”

“เฮือก!!!” ดวงเนตรกลมโตที่ซ่อนอยู่หลังเปลือกตาได้เผยออกมารับแสงสลัวจากเทียนไข

“ฝันร้ายหรือนาคินทร์” ฝ่ามืออุ่นลูบเกศาดำขลับปลอบประโลมให้ร่างบางสงบใจหายหวาดหวั่น พิศแลดวงหน้าซีดเผือดมีเหงื่อผุดพราย แผ่นอกกระเพื่อมจากอาการหอบถี่ จนคนดูแลอดห่วงมิได้

“ฝัน…ข้าฝันไปหรือนี่” นาคินทร์ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมานั่ง มือเรียวนั้นสัมผัสแนบแก้มของรพีพงศ์ ตาก็จ้องมองไม่กระพริบเพียงเสี้ยววินาทีขอบตาร้อนผ่าว อัสสุชลได้เอ่อล้นไหลลงอาบปรางค์ใส …‘ท่านพี่…ท่านพี่ยังอยู่กับข้า’… นาคินทร์ยังคงอยู่กับรพีพงศ์ ณ กระโจมกลางป่า

“มิเป็นไรแล้วพี่อยู่ตรงนี้ เจ้าอย่าได้กลัวอันใดอีกเลย” รพีพงศ์รั้งกายของนาคินทร์เข้ามาสวมกอด ใจนึกอยากรู้ว่านาคินทร์นิมิตรเรื่องใดกันถึงได้โศกาน้ำตารินเช่นนี้

“กอดข้าแน่นๆ ได้โปรดกอดข้า” คำขอของนาคินทร์หาใช่เพื่อออดอ้อนไม่ หากจุดประสงค์คือต้องการให้อ้อมกอดเป็นเครื่องยืนยันว่ารพีพงศ์ไม่จากไปไหน

“ชู่ว…นาคินทร์พี่กอดเจ้าแล้วอย่าได้กันแสงอีกเลย” รพีพงศ์ละความคิดกลับมาตั้งสติดูแลนาคินทร์ในยามนี้ รพีพงศ์กระชับอ้อมแขนโอบกอดร่างบางที่กำลังสั่นเทา ความฝันของนาคินทร์เห็นทีจะร้ายเหลือนาคินทร์ถึงได้มีอัปกริยาเช่นนี้

“ข้ากลัว…กลัวเหลือเกินท่านพี่..ฮึก…ข้ากลัวท่านพี่จะจากข้าไป” นาคินทร์ซุกใบหน้าตรงกลางอุรากว้างพลางกลั้นสะอื้นผิดกับรพีพงศ์ที่พอได้ฟังกลับมีรอยยิ้ม ใครจะหาว่าตนจิตใจวิปริตยังยิ้มได้แม้คนรักกำลังร้องไห้ตนนั้นมิขอแก้ตัวเพราะจากสิ่งที่นาคินทร์พร่ำร้องออกมามีความหมายว่าเป็นห่วงเป็นใยตน ทว่ารอยยิ้มกลับหายไปเมื่อสุริยบุตรนึกทบทวนประโยคที่เปล่งออกมาจากปากของนาคินทร์…มีสรรพนามหนึ่งสะดุดหู สะดุดใจ…‘ท่านพี่’…คำที่รพีพงศ์เคยขอให้นาคินทร์เรียกตน

“นาคินทร์…เจ้าเรียกพี่ว่าอันใดกัน” รพีพงศ์จับต้นแขนทั้งสองของนาคินทร์แล้วค่อยๆดันกายออก ดวงตาคมฉายแววแห่งความหวังจ้องมองใบหน้าที่มีน้ำตาเปรอะเปื้อน ดวงตาและปลายจมูกแดงก่ำของนาคินทร์

“ท่านพี่…ข้าเรียกตามที่ท่านพี่เคยขอไว้” นาคินทร์ตอบคำถามคล้ายบอกใบ้กลายๆว่าตนจำเรื่องราวในอดีตได้ทั้งหมดทั้งสิ้น

“พี่เคยขอเจ้านะหรือ พี่ขอเจ้าเมื่อใดกัน” รพีพงศ์ใช้นิ้วโป้งแทนผ้าเช็ดร่อยงรอยแห่งความเศร้าพร้อมถามกลับ คำถามที่ฟังแล้วคล้ายรพีพงศ์เลอะเลือนลืมคำพูด หากความเป็นจริงรพีพงศ์ถามย้ำให้แน่ชัดว่านาคินทร์จำเรื่องราวในอดีตแล้วจริงๆ

“ขอข้าเมื่อ..เอ่อ…” นาคินทร์คำพูดมิอาจเป็นคำตอบแต่กลับกลายเป็นสีหน้าท่าทาง แก้มนวลขาวผ่องร้อนจนเปลี่ยนสีเป็นแดงปลั่งดั่งลูกตำลึง เนตรงามหลบมองลงต่ำไม่กล้าสบตารพีพงศ์ที่จ้องพักตร์มิวางตา …‘ใครจะกล้าเอ่ยกันเล่าว่าท่านพี่ขอข้าเมื่อ…’…

“เมื่อใด…หรือว่าเจ้ายังคงจำสิ่งใดมิได้” รพีพงศ์แสร้งตีหน้าเศร้าตรงข้ามกับดวงใจเปี่ยมสุขที่กำลังพองโตอันอยู่ภายใต้แผงอกกว้าง

“ข้าจำได้ท่านพี่…ข้าจำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้วจริงๆ” นาคินทร์ยืนยันไม่อยากให้รพีพงศ์ใจเสีย

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงมิให้คำตอบพี่เล่านาคินทร์” ท้ายที่สุดรพีพงศ์มิอาจสะกดกลั้นความดีใจเอาไว้ได้ รอยยิ้มพิมพ์ใจเผยออกมาให้นาคินทร์ได้ขวยเขิน

“ท่านพี่แกล้งข้า!! ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเอื้อนเอ่ยในยามใด” นาคินทร์ทุบไปยังต้นแขนของรพีพงศ์ด้วยความเขินอายมิได้หมายให้เจ็บปวด

“พี่เพียงอยากรู้ว่าเจ้าจำเรื่องราวทั้งหมดได้จริงหรือเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำ” รพีพงศ์กล่าวเจตนารมณ์ของตนให้นาคินทร์ทราบเพื่อแก้ต่างมิให้โดนกล่าวหาด้วยสายตาของนาคินทร์ว่าตนเป็นเทพลามก

“เชื่อข้าเถิดท่านพี่…ข้ามิได้เอ่ยเพื่อให้ท่านดีใจเล่น ข้าจำวันแรกที่เราสองพบเจอกันยังโลกมนุษย์ ความสัมพันธ์ของท่านและข้าที่เริ่มต้นไม่สวยงามนักเพราะความเกลียดชัง” นาคินทร์เอ่ยพลางนึกย้อนเหตุการณ์แสนขืนขม ใบหน้างามแสดงความรู้สึกออกมาจนรพีพงศ์เป็นกังวล

“หากความเกลียดชังที่พี่มีต่อเจ้ามันแปรเปลี่ยน…ฟอด…นาคน้อยของพี่” รพีพงศ์เอ่ยก่อนจะโน้มใบหน้ากดปลายจมูกยังแก้มของนาคินทร์เป็นการยืนยันว่าดวงใจทั้งสี่ห้องไร้ซึ่งความเกลียดชัง

“แต่ข้ายังคงเป็นเชลยของท่านพี่” รพีพงศ์ได้สดับรับฟังจึงคิดในใจ ความทรงจำคงกลับมาแล้วจริงๆนาคินทร์ถึงได้เอ่ยถึงสถานะที่ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากตน

“เจ้ามิได้เป็นเชลยของพี่…นาคินทร์” รพีพงศ์เอ่ยออกมา พร้อมดวงเนตรพิศชมพักตรางาม

“หากข้ามิใช่เชลย ข้าอยู่ในสถานะใดหรือท่านพี่” นาคินทน์ถามทั้งที่พอจักคาดเดาคำตอบได้

“ถ้าเจ้าอยากรู้พี่จักตอบ พี่นี้ก็จักบอกเจ้าให้แจ้งใจแต่…เจ้าต้องสัมผัสรับรู้ด้วยตัวของเจ้าเอง” รพีพงศ์ดันกายของนาคินทร์ให้นอนราบก่อนจะคร่อมกายาเหนือร่างอรชร นาคินทร์ไม่คิดจะขัดขืน ลึกๆภายในของหัวใจเองอยากจะสัมผัสถึงกระนั้นนาคินทร์ต้องข่มใจเพื่อที่จะ…

“อย่างไรหรือท่านพี่…ข้า..ข้ามิเข้าใจ…อื้ม” คงจะเป็นเวรกรรมเสียกระมัง คิดจะแกล้งทำทีไม่รู้สาแต่กลับถูกอีกฝ่ายฉกฉวยโอกาสใช้ริมฝีปากทาบทับอวัยวะเดียวกันในขณะที่โป้ปด กลีบปากหนาของรพีพงศ์บดเบียดด้วยแรงถวิลหา ปลายลิ้นชุ่มน้ำลายไล่เลียวนรอบริมฝีปากที่ได้ครอบครองจนฉ่ำ จากนั้นจึงแทะเล็มลัดเลาะไปตามรอยแยกที่ค่อยๆเปิดออกโดยมีลิ้นร้อนภายในเกี่ยวตวัดเชื้อเชิญให้รพีพงศ์เข้ามาลิ้มรสหยาดมธุรสภายในปาก ไม่ต่างจากผึ้งงานดูดกลืนน้ำหวานจากเกสรช่อผกา

“อืม” รพีพงศ์ถอนจูบ แม้จะติดใจในความวาบหวามก็ตามที แต่เทพหนุ่มหาได้นึกเสียดายเพราะสิ่งที่ต้องการนั้นเทียบมิได้กับจุมพิตเมื่อครู่ สิ่งที่รพีพงศ์ต้องการใคร่อยากครอบครองคือเทวากึ่งนาคาตรงหน้าของตน

“พี่ให้คำตอบเจ้าแล้ว กระจ่างใจเจ้าหรือยัง” รพีพงศ์โน้มใบหน้าลงกระซิบข้างใบหู เสียงแหบพร่าบ่งบอกอารมณ์กำหนัดลอยผ่านเข้าโสตประสาทให้นาคินทร์ใจเต้นระส่ำ…‘ข้ากระจ่างใจแล้วท่านพี่’…

“ข้าโง่เขลาเบาปัญญายิ่งนัก มิอาจจะรู้ได้ว่าท่านพี่ตอบข้าว่าเช่นไร พี่รพีพงศ์…หากไม่เป็นการรบกวนท่านพี่จนเกินไป ได้โปรดให้คำตอบข้าอีกสักครา ให้คนโง่เช่นข้าเข้าใจอย่าง ‘ลึกซึ้ง’ จะได้หรือไม่” นาคินทร์หาได้เอ่ยตามสิ่งที่ใจคิด อีกทั้งไม่พูดเปล่าแขนเรียวขาวยกขึ้นมาให้นิ้วมือประสานกันโอบท้ายทอยของผู้อยู่เหนือร่าง นาคินทร์มิได้ไร้ปัญญาดั่งที่เปล่งวาจาออกมา คำพูดคำจาล้วนมีนัยยะ รพีพงศ์ได้ยินเช่นนี้แล้วจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา รอยยิ้มพิฆาตที่ทำให้นาคินทร์ลุ่มหลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าและอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายเข้าหาคำตอบโดยไม่คิดรอ รีบรั้งต้นคอให้พักรต์คมสันเข้าหาก่อนจะแนบริมฝีปากอวบอิ่มบดเบียดริมฝีปากรพีพงศ์



.......จัดไป 30% ...

ได้ข่าวว่ามีคนโดนหลอกด้วย คริคริ(ขอหัวเราะแบบวิบัติ) วันนี้ก็โดนท่านยุ่งแกล้งต่อนะ ค้างคากันไป ครุคริ #อย่าตีท่านยุ่ง
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.14 100% P.3 (12/05/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 12-05-2019 08:39:29
แม้จะขาดช่วงจากบทจูบเมื่อครั้งก่อนหน้านี้แต่ก็หาใช่อุปสรรคเนื่องด้วยอารมณ์รักสามารถนำพาสานต่อได้อีกคราความหวานละมุนในโพลงปากถูกตักตวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทบมิให้ริมฝีปากมีช่องว่างระหว่างกัน รพีพงศ์ยอมรับว่าตนตะกละตะกลามยิ่งนัก ถึงได้มูมมามครอบครองปากดูดกลืนรสเฉพาะตัวของนาคินทร์ รสชาติที่พาให้ตนถอนตัวถอนใจไปไหนไม่ได้ แต่มิใช่รพีพงศ์จักตักตวงเพียงฝ่ายเดียว นาคินทร์เองก็ไม่ยอมเสียเปรียบจูบตอบกลับไปเมื่อมีโอกาส สร้างความพอใจอันแสดงผ่านเสียงครางต่ำในลำคอ

“อื้ม…” ปลายลิ้นเล็กของนาคินทร์ถูกดูดดุนเป็นการปิดท้าย กว่ารพีพงศ์จะอิ่มเอมริมฝีปากของนาคินทร์ทั้งช้ำแดงบวมเจ่อ ไหนเล่ายังมีหยาดน้ำใส่เลอะตามขอบปากอีก

แต่มิทันที่นาคินทร์จะโวยวายรพีพงศ์โทษฐานกินปากตนจนเลอะเทอะ ผู้กระทำผิดได้ลากลิ้นวนรอบคล้ายเช็ดถูทำความสะอาด ก่อนจะพรมจูบปลายคางไล่ตามสันกรามจนนาคินทร์อดมิได้ที่จะกลืนเฮือกใหญ่จนดังอึกและหลับตายามใบหูถูกขบเบาๆ

“อ๊ะ…ท่านพี่..อย่า…ข้า..อื้อ..”

“เจ้าร้องห้ามพี่เช่นนี้ คงมิอยากรู้คำตอบใช่หรือไม่” รพีพงศ์กระซิบถาม ความเงียบไร้เสียงหวานคือคำตอบ เทพหนุ่มจึงเริ่มตั้งหน้าตั้งตาสร้างรอยแดงที่หลังใบหู โดยที่นาคินทร์ต้องอดทนกับความเสียวซ่านเปล่งครางออกมาเป็นระยะ ขณะเดียวกันมือสองอ่อนแรงเลื่อนลงมาจิกขย้ำอาภรณ์เนื้อดีของรพีพงศ์จนหลุดรุ่ย

…‘คิดเองเออเอง…ใครว่าข้าจักห้ามท่านมิให้ทำกันเล่า ข้ายังมิได้เอ่ยออกมาจบประโยค...อย่า…อย่าช้า’…

“ใจร้อนเสียจริง อยากรู้คำตอบจนปลดเปลื้องผ้านุ่งพี่เลยหรือ” รพีพงศ์หยัดตัวนั่งพร้อมทั้งกระเซ้าเหย้าแหย่ นาคินทร์ทำได้เพียงเม้มปากเข้าด้วยกัน ในใจอดคิดไม่ได้ว่าไยท่านพี่ของตนถึงได้ขยันแกล้งตนให้เขินอาย ถึงแม้ส่วนหนึ่งเพราะตนยินยอมก็ตามที ต้องมอบรางวัลเป็นกำปั้นเล็กๆเสียแล้ว

“โอ๊ย!!! กล้าตีพี่หรือนาคินทร์ เจ้ากล้าตีพี่หรือ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” รพีพงศ์หาได้โกรธในการกระทำของนาคินทร์ ไม่เลย ไม่เลยสักนิด หนำซ้ำยังชอบใจยอมให้นาคินทร์ทุบตี…แต่ไม่กี่ครั้ง

“ท่านพี่..ทะ…ท่านพี่ทำอันใดข้า” นาคินทร์ร้องถามเมื่อปราการภูษาถูกระชากออกไปจนพ้นตัว ก่อนข้อเท้าจะถูกจับไว้ให้กางขาแยกออกจากกัน

“เปลือยกายเจ้าอย่างไรเล่า ทีเจ้าเปลือยกายพี่ได้” คำตอบของรพีพงศ์นาคินทร์รู้ดีและไม่ใช่คำตอบที่นาคินทร์ต้องการ สิ่งอยากรู้จริงๆคือเหตุใดท่านพี่ของตนถึงได้ขยับกายลงต่ำเช่นนั้น

“อ๊า…อ่ะ…ท่านพี่!!!...อื้อ..”

ไม่ถึงอึดใจนาคินทร์ก็ได้คำตอบ เมื่อความชื้นสัมผัสเข้ากลางกาย ลากขึ้นลงเป็นทางยาวตั้งแต่ก้อนเนื้อนิ่มจนถึงปลาย ผู้มีประสบการณ์ไม่ลืมที่จะลงลิ้นตรงส่วนหยักก่อนขยับมาครอบครองพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ในโพลงปาก

“อื้อ…อ่า…อ่ะ..อ๊า”

นาคินทร์แทบจะขาดใจให้สิ้นสติ ไม่คิดเลยว่ารพีพงศ์จักไม่รังเกียจทำรัก ‘ตรงนั้น’ ด้วยปากร้อนที่แทบหลอมละลายวารีภายในให้เดือดพล่าน ยิ่งชิวหาตวัดเลียในเพลาเดียวกันนั้นปากก็ขยับขึ้นลงไปตามอารมณ์ปรารถนา รพีพงศ์ไม่สนใจเล็บทั้งสิบที่จิกข่วนตรงลาดไหล่เพราะความสนใจทั้งหมดพุ่งไปยังเสียงครวญครางเย้ายวนให้ไฟราคะลุกโชนโหมแรง

“ท่านพี่..อื้ม…ออกไป..ขะ…ข้า..” ทั้งผลัก ทั้งดัน ปากนั้นร้องเตือนรพีพงศ์ สมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดอาณาจักรแห่งสุริยาช่างร้อนแรงหาใครเทียมได้

“อ่า…” นาคินทร์ครางออกมา ร่างกายกระตุกเกร็ง สุดท้ายน้ำขาวขุ่นก็ปลดปล่อยเข้าสู่โพลงปากของรพีพงศ์ที่คอยตั้งท่ารอกลืนกินไม่มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์เลยแม้แต่น้อย

‘จุ๊บ’ รพีพงศ์ดื่มด่ำของเหลวจากกายคนรัก แม้นหยาดหยดตรงมุมปากยังถูกลิ้นร้อนเลียเข้าปากจนหมดสิ้น ไม่ต่างจากคนหลงทางในทะเลทรายพบเจอสายธาร ถึงได้กระหายใคร่ดื่มเช่นนี้

อย่างไรก็ตามนี่คือการให้คำตอบของรพีพงศ์ที่มอบให้กับนาคินทร์แต่รพีพงศ์คิดว่ายังไม่ชัดเจนพอให้นาคินทร์ได้เข้าใจ รพีพงศ์จับเรียวขาของอดีตเชลยมาพาดบ่า ริมฝีปากพรมจูบจากขาอ่อนด้านในไปยังท้องน้อยคล้ายเริ่มเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษ ทิ้งร่อยรอยแดงก่ำเด่นชัดตัดผิวขาวนวลที่หดเกร็งยามลิ้นฉกผ่านแอ่งสะดือขึ้นไป

“อื้ม…ท่านพี่” นาคินทร์หลับตาพริ้มทำให้พลาดโอกาสที่จะได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เผยออกมาก่อนจะไล่ขึ้นไปตรงกลางอกแล้วแวะเวียนครอบครองเม็ดทับทิมข้างหนึ่งด้วยปาก อีกหนึ่งข้างก็หาได้ว่างไม่ ฝ่ามือใหญ่นวดเค้นเว้นแต่นิ้วโป้งที่คอยหมุนวนยอดอกให้เปลี่ยนสี

มิใช่เพียงกายท่อนบนเท่านั้นที่รพีพงศ์เขียนอักษร กลางกายของเทวาผู้เร่าร้อนทั้งคู่เองคอยบดเบียดส่วนอ่อนไหวของคนรักที่มิได้อ่อนไหวสมชื่อเพราะมันแข็งขืนสู้รับเนื้อร้อนที่คอยถูไถให้นาคินทร์ทรมานกาย ทรมานใจ จนบิดเร้าไม่ติดเตียง

“ท่านพี่…ข้ากระหายใคร่รู้ในคำตอบ ได้โปรดบอกข้าเสียทีเถิด” เมื่อมิยอมให้คำตอบที่ต้องการโดยง่าย นาคินทร์จำต้องละทิ้งความอายร้องขอคำตอบ

“จะให้พี่เขียนคำตอบไว้ที่แห่งใดดี” รพีพงศ์ถามกลับ น้ำเสียงนั้นแหบพร่าบ่งบอกความทรมานไม่ต่างจากนาคินทร์ หากอยากประวิงเวลาไว้สักนิดเพื่อแกล้งนาคหนุ่มรูปงามใต้ร่าง

“ในกายข้า…ท่านพี่เร่งใช้พู่กันยักษ์ของท่าน จารึกมันเอาไว้…อึก…อื้อ” นาคินทร์ตอบ พลางยกสะโพกขึ้นบดเบียดแก่นกายของรพีพงศ์ รู้ทั้งรู้ว่าถูกแกล้งแต่นาคินทร์ก็มิอาจกะบึงกะบอนรพีพงศ์ได้ในยามนี้ สิ่งที่ทำได้คือออดอ้อนให้รพีพงศ์ตอบคำถามของตน

แพ้….ท้ายที่สุดกลับเป็นรพีพงศ์ที่พ่ายแพ้ให้กับความทรมานจนแทบคุมจิต คุมกายเอาไว้ไม่อยู่ ใบหน้างดงาม เรือนร่างอรชร เอวบางคอด สะโพกกลมกลึง ฉวีวรรณขาวผ่องแต่งแต้มด้วยรอยราคีที่ตนสร้างขึ้น น้ำเสียงหวานจวนเจียนขาดใจที่ร้องขอตน เย้ายวนชวนให้รพีพงศ์จรดพู่กันโดยไว ทว่าร่างกายของนาคินทร์ในครานี้มิเคยมีผู้ใดแตะต้องรุกล้ำ เป็นเหตุให้รพีพงศ์จำต้องห้ามใจไม่ผลีผลาม ใช้ดัชนีป้ายหยาดน้ำรักของนาคินทร์ที่ยังหลงเหลือลูบวนรอยจีบสีชมพูอ่อนก่อนจะแทรกเข้าไป

“อ่า…ท่านพี่” นาคินทร์หวีดร้องออกมา ความเจ็บ ความจุกผสมปนเปกันไปจนกลายเป็นหยาดน้ำไหลออกมาจากหางตา

“ผ่อนคลาย…คนดี ผ่อนคลายไว้ พี่สัญญาว่าพี่จะทะนุถนอมเจ้า..อืม…ดีขึ้นหรือไม่…ดีขึ้นใช่หรือไม่ นาคน้อยของพี่” รพีพงศ์โน้มใบหน้าจูบซับน้ำตาให้คนรัก คอยปลอบโยนให้ร่างกายนาคินทร์ได้ปรับตัวกับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามามากกว่าหนึ่งทั้งขยับเข้าออก ไหนจักหมุนวนจนขยายให้สามารถใช้พู่กันยักษ์ที่นาคินทร์ได้กล่าวถึงขีดอักษรลงภายใน จวบจนสมควรแก่เวลา ช่องทางของนาคินทร์ที่อัดแน่นไปด้วยนิ้วทั้งสามถูกแทนที่ด้วยแก่นกายร้อนผ่าวแทรกเข้าไปทีละนิด…ทีละนิดอย่างระมัดระวังตามคำมั่นที่รพีพงศ์ได้มอบไว้

“อ่า..” รพีพงศ์ครางเสียงต่ำออกมา เพลานี้กายสองเชื่อมโยงต่อกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียง…

“อะ…อ๊ะ..อ่า..อา…” เสียงแห่งความหฤหรรษดังออกมาจากนาคินทร์เป็นผลจากการที่รพีพงศ์ขยับสะโพกให้พู่กันทำหน้าที่จารึก ฝังอักษรในกระดาษอุ่นเนื้อนุ่ม

“อืม…นาคินทร์”

“ทะ…ท่านพี่…ท่านพี่ อ๊า…”

รพีพงศ์โน้มกายลงสวมกอดนาคาใต้ร่าง นาคินทร์เองก็กอดตอบกอดกลับไปไม่ช้าที เนื้อแนบเนื้อจนสัมผัสถึงหยาดเหงื่อของกันและกันยิ่งปลุกปั่นไฟปรารถนาในกายของรพีพงศ์ที่มีต่อนาคินทร์ให้ลุกโชน ร่างสูงเร่งจังหวะเพิ่มความเร็วตามแรงอารมณ์หากแฝงไปด้วยความอ่อนโยน

…‘รัก’… นาคินทร์รับรู้ได้จากภาษากายของรพีพงศ์ที่กำลังกระทำพร่ำบอกตน

…‘รัก’… ร่างกายของนาคินทร์ได้กระซิบตอบกลับให้รพีพงศ์รับรู้เช่นเดียวกัน

 ยิ่งนาคินทร์ตอบสนองกอดรัดแอ่นกายเข้าหาแล้วไซร้ก็มิต่างจากเชื้อเพลิงชั้นดีเพิ่มอัคคีรัก พาลพาให้รพีพงศ์กระแทกกระทั้นจนร่างของนาคินทร์โยกคลอน หวีดเสียงร้องครวญครางอย่างสุขสมไม่อายสรรพสิ่งในป่าหิมพานต์

“ท่านพี่รพีพงศ์…ข้า…อึก…อ่า..” นาคินทร์อยากจะบอกความต้องการแต่มิอาจเปล่งอันใดได้ นาคินทร์สำลักความสุขที่รพีพงศ์มอบให้ สำลักจนแทบจะขาดใจ…

“มิต้องเอ่ยอันใด..อ่า…พี่รู้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด” สมแล้วที่เป็นคนรัก รพีพงศ์รู้ใจและรู้ซึ่งภาษากายจากส่วนอ่อนไหวที่เคยสงบนิ่งของนาคินทร์ บัดนี้มันกลับมาแข็งขืนอีกครั้งพร้อมปลดปล่อยไม่ต่างจากแก่นของตนในยามนี้

บทสรุปเพียงไม่กี่บรรทัด…รพีพงศ์มิวางเฉยหรือผ่อนแรง เทวารูปงามยิ่งเร่งเขียนจรดพู่กันขีดเขียนให้นาคินทร์ได้จดจำว่าทุกๆคำมีแต่คำว่ารัก…รัก…รักไม่มีที่สิ้นสุด

“อ๊า…” น้ำหมึกสีขาวขุ่นถูกปลดปล่อยออกมา จนทะลักไหลออกมาจากช่องทางสีสด เมื่อรพีพงศ์บรรจงเขียนคำประโยคสุดท้ายซึ่งแตกต่างออกไป

…‘เจ้าเป็นเมียพี่เพียงผู้เดียว’…

“นาคินทร์…พี่รักเจ้า” รพีพงศ์เอ่ยพร้อมจูบขมับที่มีเหงื่อผุดพราย หลังจากถอดถอนกายออกก่อนจะล้มตัวลงนอนกอดเอวบางของนาคินทร์

“ข้ารู้แล้ว…ข้าได้คำตอบจากท่านพี่แล้ว” นาคินทร์เอ่ย ใบหน้างามซุกตรงอกกว้างของรพีพงศ์ รับความอบอุ่นมาชโลมใจให้ปรีดี

“ได้ว่าอย่างไร ไหนเจ้าลองตอบพี่มา” รพีพงศ์ถาม ทั้งเชยคางมนให้แหงนขึ้นมามองตน

“เหตุใดข้าต้องตอบท่านพี่ด้วยเล่า” นาคินทร์ยู่ปาก ทำหน้าบึ้งตึงซ่อนความอาย

“พี่กลัวว่ามันจักคลาดเคลื่อน อืม…หรือว่าพี่จักต้องบอกคำตอบให้เจ้าอีกครั้งเพื่อย้ำชัด” รพีพงศ์ยิ้มกรุ้มกริ่ม ความเจ้าเล่ห์นี้เห็นทีไม่มีใครเกิดสุริยะบุตรผู้นี้เป็นแน่

“มิต้อง!!! ข้าตอบแล้ว!!! ข้าเป็นเมียของท่านพี่!!!” ถึงจักขวยเขินกับสถานะที่ตนมักจะคิดในใจแต่นี่เป็นครั้งแรกที่นาคินทร์เอ่ยออกมาตรงๆต่อหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าภัสดา อีกทั้งน้ำเสียงยังดังก้องชัดเจนเป็นที่น่าพอใจให้กับผู้ฟัง

“ใช่ เจ้าเป็นเมียพี่แต่พี่หารู้ไม่ว่าพี่มีความสัมพันธ์ใดกับเจ้า นาคินทร์เมียพี่…เจ้าจักให้คำตอบพี่ได้หรือไม่” นาคินทร์ได้ฟังถึงกลับนิ่งเงียบ ตรึกตรองคำพูดคำจาของรพีพงศ์ทีละคำ … ‘ทั้งที่บอกว่าข้าคือเมียแต่กลับแสร้งไม่รู้ว่าตนเองคือใคร ท่านพี่นะท่านพี่ ชอบล้อว่าข้าลามก ตัวเองก็ลามกไม่แพ้ใคร’…

“ได้สิ…” นาคินทร์ละทิ้งความอายไว้ข้างเตียงก่อนจะตอบตกลง แล้วลุกขึ้นนั่งคร่อมทับกลางกายของรพีพงศ์ บั้นท้ายถูไถปลุกปั่นให้แข็งขืนชูชันเตรียมพร้อมกับการมอบสถานะที่มีให้กันและกันไม่รู้จบ

*****

อีกด้านหนึ่ง ณ ทะเลทรายสีนิลแสนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สถานที่อันมิใช่ใครจักพบเห็นโดยง่ายหรือสามารถดำรงชีวิตอาศัยอยู่ เนื่องด้วยเพลาทินกรฉายแสงฉาบลงผืนทรายดำ เม็ดทรายเนื้อละเอียดต่างรับพลังงานจนร้อนระอุราวกับว่าย่ำเท้าลงกองเพลิง พอราตรีกาลพลังจันทราได้เปลี่ยนความร้อนให้เป็นความเย็นยะเยือกไม่ต่างเกล็ดน้ำแข็งกัดกินเนื้อจนเลือดซิบ ไหนเล่ายังมีพายุน้อยใหญ่ก่อตัวอยู่จำนวนไม่น้อย แน่นอนว่าทะเลทรายมิได้ตั้งอยู่ในสามภพ ทว่า…

…‘ทะเลทรายสีนิลกลับไม่ต่างจากขุมนรก’…

หากมันเป็นคุกไว้คุมขังเหล่าทวยเทพ จอมมารและอสูรร้ายที่มีความผิดร้ายแรงเอาไว้มากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอมตะฆ่าไม่ตายวายชีวัน ทะเลทรายแห่งนี้จึงเหมาะสมกับการเป็นสถานที่มอบบทลงโทษให้รับเหล่านักโทษได้รับความเจ็บปวดจากผืนทราย โดยพายุที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นเป็นกรงขังล้อมนักโทษไว้และขนาดของมันบ่งบอกถึงความร้ายกาจ

หนึ่งในสองลูกพายุที่ใหญ่ที่สุดในทะเลทรายสีนิล จุดศูนย์กลางของพายุมีบุรุษร่างสูงใหญ่นั่งบำเพ็ญตบะ พักตรานั้นคมคาย ลำคอสวมกรองคอทองประดับมณี 3 อย่าง ได้แก่ มรกต ไพฑูรย์ ทับทิม ดูเด่นตัดกับภูษาสีทึบที่ใช้นุ่ง กระนั้นก็ยังรูปงามมองแล้วไม่ต่างจากฑูตสวรรค์ รัศมีสีสวาดแผ่ออกมาจากกายคล้ายหมอกควันเสริมให้ชายผู้นี้น่าเกรงขามเหนือผู้ใด นามของเขาคือ ‘พศิน’ หรือผู้อื่นต่างเรียกขานสมญานามว่า ‘จอมมารล้านภาค’

จอมมารล้านภาคถูกจองจำ ณ ดินแดนทะเลทรายด้วยฝีมือของพระพุธ หลังจากที่ก่อสงครามเทวะ-อสุราขึ้นมาจนแดนสรวงลุกเป็นไฟ บัดนี้เวลาล่วงเลยมาหลายร้อยปีแล้วทว่าความแค้นที่มีต่อตัวพระพุธรวมถึงความทะเยอทะยานที่อยากจะครองบัลลังก์ทองคำเหนือทวยเทพนั้นก็ยังมีอยู่มิเสื่อมคลาย

…‘มีพลังงานมหาศาลเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้’…

จอมมารพศินลืมตาขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง พายุลูกหนึ่งกำลังหมุนเข้ามาใกล้ ซึ่งความจริงแล้วเป็นเรื่องปกติที่พายุจะเคลื่อนมาเจอกัน ทว่าพายุลูกนี้กลับมีมวลพลังแผ่ออกมาไม่ต่างจากพายุของจอมมารล้านภาค เห็นทีพายุลูกนี้คงขังผู้ที่บารมีและพลังมหาศาล จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยพบเจอ…

“เจ้าเป็นใคร เหตุใดข้าถึงมิเคยพบเจอเจ้ามาก่อน” เพราะความอยู่นานจนอาจจะเรียกว่าถูกขังลืม จอมมารล้านภาคจึงรู้จักนักโทษในคุกทะเลทรายสีปีกกาว่าใครเป็นใคร เว้นแต่เจ้าของพายุที่หมุนวนอยู่ใกล้ จึงอดไม่ได้ที่จะต้องส่งกระแสจิตซักถามชื่อเสียงเรียงนามด้วยลางสังหรณ์ที่กระซิบในใจว่าควรจักผูกมิตรเอาไว้เพื่อการณ์ใหญ่ในวันหน้า

“หากต้องการทราบนามของข้า เจ้าก็จงบอกชื่อของเจ้ามาแล้วข้าจึงจักบอกกับเจ้า” น้ำเสียงเย่อหยิ่งเปล่งออกมา

“ข้าพศินหรือใครต่างเรียกข้าว่าจอมมารล้านภาค” จอมมารล้านภาคยอมเป็นรองตอบกลับไป ข่มความขุ่นมัวเอาไว้มิให้ออกมา หากเป็นผู้อื่นคอยเล่นลิ้นเช่นนี้มันคงไร้ชีวิต ไร้ลมหายใจไปแล้ว

“จอมมารล้านภาคนี่เอง…ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าอีกครั้งในคุกกาลเวลา” อีกฝ่ายเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบไม่มีความหวั่นเกรงดั่งผู้อื่นเมื่อได้รู้ว่าผู้ที่สนทนาด้วยเป็นมารหนักแผ่นดิน

“เอ่ยออกมาเช่นนี้แสดงว่าเราทั้งสองเคยเจอกัน”

“ใช่…เราทั้งสองเคยเจอกันเมื่อครั้งเจ้ายกทัพหวังจะก่อกวนมหาสมุทร”

“ถ้าให้ข้าเดานามของเจ้าคือ…” พอได้ยินเช่นนี้แล้วจอมมารล้านภาคพอจะรู้ว่าอีกคนคือใครแต่ยังไม่ทันจะเอ่ยนาม เจ้าของชื่อกลับพูดแทรกเฉลยนามของตัวเอง

“กนธี”






....ครบ 100%

ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตาม อ่าน เม้น เป็นกำลังใจนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.14 100% P.3 (12/05/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 12-05-2019 09:13:47
กนธีคัมแบ็ก!
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.14 100% P.3 (12/05/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 12-05-2019 12:39:02
กนธีคัมแบ็ก!

คนี้เมนท่านยุ่งเอง
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.14 100% P.3 (12/05/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-05-2019 09:09:15
:กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.14 100% P.3 (12/05/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 21-05-2019 21:09:10


เพิ่งเข้ามาอ่าน


สนุกมากชอบมากค่ะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.14 ชี้แจง P.3 (05/06/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 05-06-2019 17:25:19
ขอชี้แจงเรื่องอัพนิยายช้า

-จากที่ท่านยุ่งเคยเกริ่นไว้ว่าได้เข้าร่วมโปรเจคนิยายชุดหนึ่ง (ขออุบไว้ก่อน) ซึ่งทำกับสนพ. ต้องเวลาไปเขียนในบางครั้ง
-ท่านยุ่งโยกย้ายที่ทำงาน แน่นอนว่าดาวน์ไปพักใหญ่ พอฟื้นตัวได้งานก็เยอะแยะ ต้องปรับตัว รับมือกับสิ่งใหม่ๆ บางทีกลับห้องมาก็ทำงานเตรียมสำหรับวันพรุ่งนี้อีก น็อคไปเลย

ทัเงหมดนี้ไม่ใช่จ้ออ้างแต่อยากให้ทุกคนเข้าใจ ยังไงก็ไม่ทิ้งนะคะ เพราะงานเขียนนิยายคืองานรักของท่านยุ่งค่ะ

Tan-Yung 0209
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.14 ชี้แจง P.3 (05/06/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 06-06-2019 12:23:06
สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.15 50% P.3 (12/06/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 12-06-2019 11:56:26
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 15



หากหิมพานต์ไพรีปกคลุมด้วยหมอกจางๆของความรักแล้วไซร้ วิมานไพฑูรของพระเสาร์ก็ปกคลุมด้วยมวลหมอกเช่นกัน ทว่ามิใช่หมอกแห่งความรักความสุขเฉกเช่นป่าหิมพานต์กลับเป็นหมอกสีเทาแห่งความบึ้งตึงของเทวาผู้เป็นเจ้าของ



วรกายสูงใหญ่ย่างฝ่าเท้าเดินไปมา บ่างผุดลุกผุดนั่งยังตั่งแก้วสีนิลอยู่หน้าประตูสลักตั้งแต่รัตติกาลจนกระทั่งแสงอรุณฉาบฉายทั่วเมฆา เพื่อรอคอยลูกยาที่ถูกรพีพงศ์พาตัวไป



“ท่านพี่…ข้าว่าท่านพี่นอนพักก่อนเถิด ประเดี๋ยวท่านรพีพงศ์และนาคินทร์กลับมา ข้าจะปลุกท่านพี่เอง” นางมุตตาเอ่ยกับสวามีที่หวงบุตราจนไม่ยอมหลับนอน ผิดกับนางที่กลับวิมานแล้วเข้านอนเพราะไว้ใจรพีพงศ์ว่าสามารถดูแลนาคินทร์ได้



“พี่นอนไม่หลับมุตตา พี่เป็นห่วงกลัวลูกของเราจะตามเล่ห์หลงกลเจ้าบุตรพระอาทิตย์นั่น จนโดนฝ่ายนั้นรังแกได้” พระเสาร์เอ่ยออกมาน้ำเสียงขุ่นมัว มุตตาได้ฟังก็ยิ้มออกมา



“ท่านพี่ลองลดความหวงในใจลงดูเสียเถิด ท่านพี่จักได้เห็นท่านรพีพงศ์เต็มสองตา ได้รู้จักมากขึ้น สำหรับข้านั้นท่านรพีพงศ์เป็นบุรุษที่เพรียบพร้อมและสามารถดูแลบุตรของเราสองได้ ไม่มีทางจะรังแกลูกของเราได้นอกเสียจากนาคินทร์จักยินยอม”



ใครว่าพระเสาร์มิได้เปิดตา เปิดใจ จากเหตุการณ์มากมายที่ผ่านเข้ามาพระเสาร์ได้ประจักษ์ถึงเนื้อแท้ของรพีพงศ์ว่าเป็นเช่นไรแต่ความเป็นพ่อนั้นย่อมนึกหวงลูกเป็นธรรมดา ยิ่งนาคินทร์บุตรในสายโลหิตของตนรูปโฉมงดงาม กิริยาชวนให้ใครต่างเอ็นดู จักให้พระเสาร์ทำใจยอมรับให้นาคินทร์ออกจากอ้อมอกทั้งที่เพิ่งจะได้อยู่ด้วยกัน พระเสาร์แลจักทำใจลำบาก



“ท่านพี่ลองตรองดูเถิด น้องคิดว่า…”



“เจ้ามิต้องเอ่ยอันใด พี่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าเอื้อนเอ่ยกับพี่แต่พี่เองก็อยากให้เจ้าเข้าใจพี่เช่นเดียวกัน” พระเสาร์เอ่ยขัดขึ้นมาไม่รอให้มุตตากล่าวจบประโยค มุตตาได้ฟังจึงเข้าสวมกอดให้พระเสาร์คลายปมความคิดที่ขดขมวดในจิตใจ



“ข้าเข้าใจท่านพี่แล้ว ขอให้ท่านพี่เข้าใจถึงความห่วงใยของข้า ได้โปรดเข้าห้องบรรทมเพื่อพักผ่อนเถิดหนา” มุตตารบเร้า พระเสาร์ถอนหายใจแล้วเดินไปยังห้องหับโดยดีเพราะความอ่อนเพลียเริ่มเข้ามา



“ท่านพ่อ!!! ท่านแม่!!!”



องค์ศนิยกย่างเบื้องบาทไปไม่กี่ก้าว เสียงร้องแสนคุ้นหูจากผู้ที่ตนกำลังรอคอยดังจากนอกวิมาน ไม่นานบานประตูได้เปิดอ้า ให้ได้แลเห็นสองกายาที่กำลังก้าวข้ามธรณีประตู



“นาคินทร์เจ้าไปแห่งหนใดมา” มุตตาเข้าสวมกอดนาคินทร์ที่วิ่งถลาเข้ามากอดตน



“ท่านน้ามุตตา พระเสาร์ ข้าว่าเราทั้งสี่ต้องหาที่นั่งเจรจากันเสียแล้ว ด้วยนาคินทร์มีบางสิ่งจักบอกกับท่าน” คำพูดของรพีพงศ์สร้างความฉงนให้แก่พระเสาร์และเมื่อใคร่อยากรู้ก็จักต้องทำตาม อีกทั้งไม่ใช่เพียงนาคินทร์ที่อยากเจรจา ฝ่ายตนเองนั้นก็มีเรื่องสำคัญเช่นกัน ไม่รอช้าวรกายสีนิลรุดนำหน้าทั้งสามไปยังโถงอีกด้านของวิมาน



“ก่อนที่ลูกจักเอ่ยสิ่งใดมานั้น ขอให้พ่อกับแม่ของเจ้าได้รู้เสียก่อนว่าเมื่อนิศากาลที่ผ่านมา รพีพงศ์พาเจ้าไปแห่งหนใดกัน” พอได้ประทับนั่งลงบนแท่นแก้ว พระเสาร์ไม่รอช้าถามไถ่ในสิ่งที่กำลังสงสัย แม้นจะกลับมาอย่างปลอดภัยพระเสาร์ยังคงนึกห่วง จนผิดวิสัยพระเสาร์ผู้ไม่เคยแยแสต่อสิ่งใด นับได้ว่าตั้งแต่มีนาคินทร์กับมุตตา บางครั้งพระเสาร์ได้แสดงออกถึงความห่วงใยโดยไม่รู้ตัว



“ท่านพี่พาข้าไปยังป่าหิมพานต์” นาคินทร์ตอบ น้ำเสียงอ้อมแอ้ม ดวงตาก็เหลือบมองรพีพงศ์ที่นั่งอมยิ้มไม่ห่าง ถ้านาคินทร์เดาไม่ผิดรพีพงศ์คงจะคิดสิ่งเดียวกับตนนั่นคือเหตุการณ์ในกระโจมกลางป่าเป็นแน่ หากนาคินทร์คงลืมไปว่าทุกอิริยาบถในยามนี้ล้วนอยู่ในสายตาของพระเสาร์ที่พอจะมองออกว่าอะไรเป็นอะไรผ่านร่อยรอยตามเนื้อนวลที่เผยพ้นจากชายภูษาแต่จะให้ว่ากล่าวรพีพงศ์ก็คงทำไม่ได้เต็มปากเต็มกำลัง เนื่องจากบุตรของตนเองได้ฝากรอยรักไปยังบุตรแห่งองค์สุริยภพ



“รพีพงศ์ไยเจ้าพานาคินทร์ไปไม่บอกกล่าวข้า หรือเจ้าเห็นว่าข้าให้โอกาส เจ้าถึงได้เหิมเกริมคิดจักทำอันใดตามใจไม่เห็นหัวข้า” สุดท้ายพระเสาร์ก็หาเรื่องต่อว่ารพีพงศ์ได้อยู่ดี สุรเสียงเปล่งออกมากดดันเค้นเอาคำตอบ



“คือข้า…”



“ท่านพ่อ ท่านพี่หาได้มีความผิดไม่ ได้โปรดอย่าตำหนิติเตียนเลย เหตุที่ท่านพี่พาข้าไปยังป่าหิมพานต์ด้วยตัวข้านั้นขอร้องตลอดจนไม่ให้บอกท่านพ่อกับท่านแม่ ตัวข้าก็เป็นต้นคิด” นาคินทร์รู้ดีว่ารพีพงศ์จะต้องยอมรับผิดแทนตนเป็นแน่จึงชิงตอบให้ผู้เป็นบิดาได้สดับฟัง ก่อนจะเกิดวิวาทของผู้อันเป็นที่รักของนาคินทร์ทั้งสองคน



“หากความซุกซนของลูกในครานี้กลับนำมาซึ่งความสุข ความโชคดีแก่ลูกจนมิอาจประเมินค่าได้” นาคินทร์เอ่ยต่อไม่เว้นช่องว่างให้บิดรเอ่ยแทรกและการกล่าวคำว่า ‘ความสุข’ มันทำให้พระเสาร์แทบนั่งไม่ติดตั่งด้วยใจนี้ตีความหมายไปสองแง่สองง่าม



“ความสุข ความโชคดีที่เจ้าว่าคือสิ่งใดกันนาคินทร์” มุตตาถามแทนสวามี นางอยากรู้เหลือเกินว่าสิ่งใดทำให้นาคินทร์ยิ้มไม่หุบตั้งแต่เยื้องย่างเข้ามายังวิมานนี้



“ท่านพ่อ…ท่านแม่ ลูกจำเรื่องราวในอดีตทั้งหมด ลูกจักไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดยามภาพอดีตซ้อนทับ ต่อจากนี้ไปลูกจักกลับเป็นลูกคนเดิมของท่านแม่แต่หากจักเป็นลูกคนใหม่ของท่านพ่อ…ข้าเกรงว่าท่านพ่อนั้นจัก…” นาคินทร์เจื้อยแจ้วบอกกล่าวเรื่องราวดีๆ ก่อนน้ำเสียงค่อยๆแผ่งเบาเมื่อได้กล่าวถึงพระเสาร์ นาคินทร์กลัวเหลือเกินว่าพระเสาร์จะไม่รักใคร่เอ็นดูดังเก่า



“มาหาพ่อสิ…นาคินทร์” พระเสาร์เอ่ยเรียก นาคินทร์จึงคลานเข่าเข้าหาแล้วหยุดตรงหน้าของบิดา ดวงตาสีเข้มข้างเดียวมองนาคินทร์ที่ก้มหน้าก้มตาด้วยความกังวล



“มิว่าลูกจักเป็นเช่นไร ลูกก็ยังเป็นลูกของพ่อ อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยอีกเลย อย่างไรเสียขอเพียงลูกรักพ่อบ้างเท่านั้นก็เพียงพอ” พระเสาร์รู้ตัวดีว่าตนนั้นมิได้ทำหน้าที่ของพ่อตั้งแต่ต้น พอได้มีโอกาสรับบทบาทเต็มตัวได้เลี้ยงดูนาคินทร์ผู้มาเติมเต็มดวงหทัยที่เคยแห้งผากให้ชุ่มฉ่ำราวฝนตกในหน้าแล้ง



“คงหาใช่ลูกผู้เดียวที่คิดเล็กคิดน้อย ท่านพ่อเองก็มิต่างจากลูก แม้นโชคชะตาจะเพิ่งนำพาให้เราได้พบเจอ ทว่าลูกกลับรู้สึกผูกพันยิ่งนักและรักท่านพ่อดุจดั่งรักท่านแม่” นาคินทร์โผเข้าสวมกอดเอวและได้รับสัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือที่กำลังลูบเกศาดำขลับของตนเป็นการตอบรับ



“ถ้าลูกรักพ่อ…พ่อมีเรื่องจักขอเจ้า เจ้าจักทำเพื่อได้หรือไม่”



“เรื่องใดหรือท่านพ่อเกี่ยวข้องกับข้าแลตลอดจนท่านพี่รพีพงศ์หรือไม่” นาคินทร์ไม่ตบปากรับคำในทันทีซ้ำยังถามกลับ สัญชาตญาณของเทวนาคาได้กระซิบกระซาบว่าสิ่งที่ผู้ให้กำเนิดขอไม่แคล้วเป็นเรื่องของตนและรพีพงศ์



“ใช่ แต่ลูกอย่าได้กังวล พ่อเพียงต้องการคุยกับรพีพงศ์ตามลำพัง” พระเสาร์บอกเจตนาให้นาคินทร์ได้แจ้งใจว่าตนหาได้คิดจะทำร้ายรพีพงศ์ดั่งที่นาคินทร์นึกกลัว



พลันนาคินทร์นึกห่วงรพีพงศ์ทันทีทันใดเมื่อรู้ว่าพระเสาร์ประสงค์จะเจรจากับรพีพงศ์โดยที่ตนกับแม่จะไม่ได้อยู่ร่วมวงสนทนาด้วย เห็นทีคงเป็นเรื่องสำคัญหรือถ้าไม่สำคัญไม่แคล้วรพีพงศ์อาจจะถูกต่อว่า



“นาคินทร์ เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด หากเสร็จสิ้นจากตรงนี้พี่จักไปหาน้อง” นาคินทร์ครุ่นคิดนั่งนิ่ง รพีพงศ์เลยเป็นฝ่ายบอกให้นาคน้อยของตนออกไป เนื่องจากตนเองอยากจักรู้ว่าพระเสาร์ต้องการพูดคุยสิ่งใด อย่างไรเสียช้าหรือเร็วต่อให้พระเสาร์ชังน้ำหน้าตนจนคิดทำร้ายก็ได้ทำมันอยู่ดี



“เช่นนั้นข้าจะกลับห้องนอนรอท่านพี่มาหาข้า ท่านพี่รีบมาหาข้าโดยไวอย่าแชเชือน” ในเมื่อคนที่ต้องเสวนาโดยตรงไม่คิดกลัว นาคินทร์จึงยินยอมออกไปแต่โดยดีและก่อนจะจากไปนาคินทร์ได้เอ่ยกับรพีพงศ์แต่แฝงความนัยสื่อถึงพระเสาร์ซึ่งอดชื่นชมความเฉลียวฉลาดของบุตราไม่ได้



“เราไปกันเถิดนาคินทร์ แม่เตรียมผงดอกแก้วเจ้าจอมไว้ให้ลูกใช้ยามสรงน้ำ จะได้สบายเนื้อสบายตัว” มุตตาชักชวนนาคินทร์ สองแม่ลูกจึงออกไปจากโถงใหญ่เหลือไว้เพียงสองเทวบุรุษที่กำลังนั่งประจัญหน้า



“ข้ามีเรื่องต้องการใคร่รู้แลหวังว่าเจ้าจะตอบข้าด้วยความสัตย์จริง อย่าได้โป้ปดมดเท็จหรือแต่งคำสวยหรูมาให้ข้าฟัง เจ้าทำได้หรือไม่” พระเสาร์ถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าปกติที่ชวนให้ยำเกรง รพีพงศ์รับรู้ได้ว่าคงเป็นเรื่องสำคัญ มิใช่การมานั่งดุด่าตนที่พานาคินทร์ไปคัดอักษรบอกรักกลางแดนหิมพานต์



“ได้สิพระเสาร์ ข้าขอสัญญาว่าทุกถ้อยคำที่ข้าใช้ตอบกับท่านจะเป็นความจริงทุกประการ” รพีพงศ์ให้คำมั่นไม่คิดจะโป้ปดเทวัญผู้สูงส่งตรงหน้า



“ข้ารู้ว่าเจ้ารักลูกข้า…รพีพงศ์ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าพิสูจน์ให้ข้าเห็นเป็นประจักษ์ ข้าจึงไม่มีกังขาในข้อนี้ ทว่าจากนี้ไปภาคหน้าที่ข้ากลับเคลือบแคลงใจ” พระเสาร์ไม่อ้อมค้อม เริ่มเปิดประเด็นความรู้สึกนึกคิดและข้อสงสัย



“ถ้าท่านแคลงใจว่าข้าจะหมดรักในบุตรแห่งท่าน ข้าขอบอกกับท่านว่าจะไม่มีวันนั้นแน่นอน” รพีพงศ์ตอบกลับไปด้วยใจจริง จากการที่พระเสาร์ถามไม่ได้สร้างความกังวลต่อรพีพงศ์แม้แต่น้อยเพราะอะไรนะหรือ…การที่พระเสาร์ถามเช่นนี้แสดงว่ายอมรับตนขึ้นมาบ้างแล้วอย่างไรเล่า



“หาใช่เรื่องนี้ไม่…สิ่งที่ข้าแคลงใจนั้นคือ….”



พระศนิกายนิลเสวนากับวิวัสวัตบุตรโดยหารู้ไม่ว่าสัตว์ปีกอันมีขนสีขาวประดุจน้ำนมเว้นปลายหางมีสีสวาดกำลังจับจ้องก่อนมันจะบินอ้อมวิมานเกาะเกี่ยวขอบหน้าต่างห้องของนาคินทร์โดยมีมุตตาและผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังพูดคุยอย่างเป็นสุข







.................. 50%........ 

อยากรู้ไหมว่าพระเสาร์คุยอะไรกับว่าที่ลูกเขย

หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.15 50% P.3 (12/06/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 13-06-2019 11:40:37
รอๆ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.15 100% P.3 (14/06/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 14-06-2019 21:26:39
.................. 50%........ 

‘เคร้ง!!!...เพล้ง!!!’



ข้าวของเครื่องใช้แปรเปลี่ยนเป็นเครื่องระบายอารมณ์แต่เดิมมันวางอยู่บนโต๊ะหากบัดนี้กลับถูกกวาดลงสู่พื้นจนแตกกระจาย ไม่พอเท่านั้นผู้ทำลายหยิบฉวยแจกันขว้างใส่บานกระจกใหญ่



“เจ็บใจยิ่งนัก ข้าน่าจะฆ่ามันให้ตายตั้งแต่ครานั้น!!!” อินทุนิลโวยวายหลังจากได้เห็นคนที่เกลียดชังมีความเป็นอยู่ที่ดีผ่านบานกระจกที่ผูกมนตร์ไว้กับวิหคจำแลง



“ท่านอินทุนิล…เกิดเหตุอันใดขึ้น ใครบังอาจทำให้ท่านกริ้วโกรธได้ถึงเพียงนี้” ทหารผู้ทำหน้าที่เฝ้าประร้องตะโกนถามผู้เป็นนาย



“ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับข้า!!! ออกไปให้พ้น!!! อย่าให้ใครเสนอหน้ามาให้ข้าเห็นเป็นอันขาด!!!”



อินทุนิลอาละวาดพาลไปเสียทุกสิ่ง ปลดปล่อยความขึ้งเคียดที่มีลงไปกับข้าวของรอบกายหรือจะเทวดาข้ารับใช้ กระนั้นก็มิอาจจะทำให้ปมในใจคลายออกไปได้…มันช่างอัดอั้นจนเต็มอกมิรู้ว่าจะยกมันเอาไปทิ้ง ไปกองไว้แห่งหนใด ถ้ามิใช่มุตตา



…‘ทั้งที่ข้ารักของข้ามาก่อน…แต่เจ้ากลับมาช่วงชิงพระเสาร์ไปจากข้า!!!’…



อินทุนิลนึกโทษมุตตา ทั้งที่ความจริงแล้วอินทุนิลรักพระเสาร์อยู่ฝ่ายเดียว คอยเฝ้ามองเทพผู้สวมหน้ากากมานานแสนนาน สำหรับอินทุนิลแล้วพระเสาร์คือรักแรกฝังใจ



…‘จักร้องไห้อยู่ไย หากอยากให้ผู้อื่นยอมรับเจ้าก็อย่าได้ทำตัวเหยาะแหยะอ่อนแอ’…



นานมาแล้ว อินทุนิลเติบโตเข้าสู่วัยแรกรุ่น รูปโฉมนั้นงดงาม ฉวีวรรณผ่องแผ้วไม่ต่างจากองค์ศศิธร หากรัศมีรอบกายาหาได้ส่องสว่างเรืองรองเทียบเท่า สวมเครื่องสิราภรณ์ พัสตราภรณ์โดยเฉพาะจุฬามณีมีพชรสีแดงปักตรงมวยผมบ่งบอกว่าสืบสายโลหิตแห่งองค์สุริยเทพ ทว่าอินทุนิลยังเป็นเพียงเทพชั้นรองในวงศาด้วยยศฐาที่ด้อยกว่าพระภาดาผู้ครองตำแหน่งเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์



กล่าวได้ว่าสิ่งนี้คือปมด้อยภายในใจของอินทุนิลมาตลอด ไปแห่งหนใดแม้นเหล่าทวยเทพตลอดนางสวรรค์ล้วนเคารพแต่น้อยนักจักเคารพจากใจมิใช่เสแสร้งแกล้งทำ บ่อยครั้งลับหลังที่นามของอินทุนิลจะถูกนำไปเป็นหัวข้อติฉินนินทา



“ท่านอินทุนิลงดงามก็จริงแต่งามเพียงรูปไร้ความสามารถ”



“ไยเจ้ากล่าวเช่นนั้น”



“ข้าเอ่ยความจริง เจ้าเคยเห็นท่านอินทุนิลเคยออกรบหรือทำสิ่งใดบ้างเล่านอกเสียจากนั่ง กิน นอน เฝ้าอยู่ในวิมาน หากไม่ได้สืบสันติวงศ์แห่งพระอุษา ข้าคิดว่าท่านอินทุนิลคงไม่ต่างจากเทวาอย่างพวกเราดอก”



สองเทพาสนทนากันโดยหารู้ไม่ว่าอินทุนิลผ่านมาและได้ยินทุกถ้อยคำแสนเสียดแทงหัวใจ ร่างอรชรกำหมัดแน่นข่มอารมณ์ไว้ในใจพร้อมกลั้นอัสสุชลมิให้รินไหลก่อนจะเดินหลบหลีกปลีกไปจากที่แห่งนี้ อยากจะตอบโต้กลับไปเสียเหลือเกินแต่อินทุนิลก็มิอาจแย้งได้ในเมื่อตนไร้ความสามารถ…ไร้ตัวตน



หลังจากได้ยินน้ำคำแสลงหู อินทุนิลเหาะเหินมายังวิหารร้าง ณ เชิงเขาจิตตะ อันสิงขรนี้เป็นรัตนา ปลายยอดเขาโค้งงุ้มลงมามิต่างจากสุทัสสนกูฏ เพื่อโอบปิดด้านบนไว้มิให้ต้องแสงรวีและแสงนวลแข เหมาะสำหรับอินทุนิลผู้ต้องการหลบซ่อนมิให้ใครได้พบเจอในขณะที่กำลังอ่อนแอจนครองสติแทบมิได้



“ฮือ…ฮึก..ฮือ…เหตุใดกัน…ถึงเป็นข้า…ฮือ” อินทุนิลร้องไห้คร่ำครวญ คำถามเดิมๆที่มักเฝ้าถามกับตนมาตลอดและหาไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้คำตอบ



…‘เหตุใดเล่า…ข้าถึงอ่อนแอเยี่ยงนี้’…



…‘เหตุใดเล่า...ข้าถึงไม่เกิดมาเป็นเทพยดาชั้นล่างให้รู้แล้วรู้รอด’…



‘เหตุใดกัน’ มักใช้เป็นประโยคขึ้นต้นของคำถามของอินทุนิลบ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา แม้นจะถือกำเนิดในวรรณะวงศาชั้นสูงอย่างสุริยพงศ์แล้วไซร้ ทว่ากลับไม่ได้รับความรัก ความใส่ใจจากผู้ใดเลย



ใครต่างล้วนเชิดชู ‘ทิวากร’ ผู้ที่จักได้ครองบัลลังก์อัคคีในอนาคตกาลหรือจักเป็น ‘นิศานาถ’ รัชทายาทแห่งองค์จันทรา ส่วนตนกลับเป็นเพียงเทวบุตรผู้ดูแลกลุ่มดาวพิจิกซึ่งแลจะไม่สำคัญพอจะให้ผู้ใดเคารพตนจากใจ



อินทุนิลทรุดกายลงนั่งบนพื้นดิน คุดคู้กอดเข่าพลางพิศแลรอยถลอกตามนิ้วเรียวงามอันเป็นผลจากการกำหมัดทุบตีต้นไม้ใหญ่เพื่อระบายอารมณ์ ดวงใจในครานี้ช่างเปราะบางเหลือเกิน…



ความเปราะบาง อ่อนแอที่อินทุนิลไม่เคยคิดต้องการ แม้จะพยายามผลักไสไล่ส่งโดยหาวิชาความรู้มาศึกษาไม่ว่าจะศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆหรือจักเป็นเวทย์มนตร์คาถาจากตำราแต่กลับถูกสั่งห้าม ซ้ำร้ายยังถูกลงโทษเฆี่ยนตี อินทุนิลไม่ดข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิดไยบิดาถึงได้ใจร้ายกับตนถึงเพียงนี้



‘ท่านพ่อข้าเพียงอยากมีวิชาติดตัวไว้บ้าง เหตุใดต้องทำโทษข้า..ฮือ…’



‘เจ้าไม่เชื่อฟังข้า!!! ข้าสั่งห้ามเจ้า เจ้าก็ต้องฟังข้ามิใช่ดื้อรั้นเช่นนี้!!’



เหตุผลไม่มี มีเพียงคำดุด่าแล้วจักให้อินทุนิลคิดเห็นเป็นเช่นไร ถามอันใดไปก็หาได้ตอบตรงคำถาม ไม่เคยสร้างความกระจ่างใจให้อินทุนิลเลยสักหน ยิ่งไปเสียกว่านั้นไม่เคยรับฟังอินทุนิลเลยว่าอินทุนิลเจ็บปวดขนาดไหนยามถูกตราหน้าว่าเป็นเทพไม่เอาไหน อ่อนแอ ไร้ความสามารถ



“อ้าก!!!!!...ฮือ…ฮึก…ฮือ”



เสียงกรีดร้องดังลั่นทั่วบริเวณ สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างตกใจหนีหาย อินทุนิลปลดปล่อยความระทมขมขื่นออกมา ก้มหน้าก้มตามองพสุธา ฝ่ามือเรียวกำแน่นคอยทึ้งหญ้าชกดินไม่สนว่าตนจะเจ็บปวดได้แผลและไม่สนใจว่ามีบางอย่างเคลื่อนกายเข้ามาใกล้กายา



“ข้าก็นึกว่าคนบ้าที่ไหนมาร้องไห้จนกวางทองที่ข้าหมายจะแผลงศรสังหารต้องวิ่งหนี ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเทพอินทุนิลแห่งพิจิกดารา” ชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมเหน็บแนมอินทุนิลโทษฐานทำให้การล่าสัตว์ครั้งนี้ของตนนั้นล้มเหลว



“ใช่ข้ามันบ้า!! บ้ามาก…ฮึก…ข้ามันฟั่นเฟือนเสยสติ…ฮือ…หากท่านโกรธข้าก็จงสังหารข้าแทนกวางทองเถิด…ข้ายินดี…ยินดีที่จะตาย” อินทุนิลไม่ได้แหงนมองากนิดว่าผู้มาเยือนคือใคร ร่างอรชรเพียงขยับกายหันหลังกลับไป มือข้างหนึ่งจับข้อเท้า อีกข้างจับยังคันธนูของอีกฝ่าย ปากนั้นพร่ำหาความตาย



“ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้านั้นบ้า มาขอร้องผู้อื่นให้สังหาร เจ้าเป็นอันใดอินทุนิลถึงได้มาร้องไห้เช่นนี้”



“ท่าน..ท่านจะเข้าใจข้าหรือ เทพยดานางฟ้าบนสวรรค์จับกลุ่มติฉินนินทาข้า ว่าข้านั้นอ่อนแอ…ฮึก…ฮือ.. “



“ข้าว่าพวกนั้นกล่าวมาล้วนถูกต้อง เจ้าอ่อนแอถึงเป็นเช่นนี้ เพียงน้ำคำของคนพวกนั้นเจ้าก็เอามาใส่ใจจนคร่ำครวญจะเป็นจักตายให้จงได้ เจ้าเงยหน้าขึ้นมามองพักตราข้าสิจะได้รู้ว่าคือผู้น่าชังเสียยิ่งกว่าใคร”



อินทุนิลค่อยๆเงยหน้ามองขึ้นไปมองเจ้าของวรกายสูงใหญ่กำยำ ‘พระศนิ’ บุตราแห่งพระเสาร์ผู้มีพักตราคมคาย ดุดัน จนน่ากลัวและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน



“คงตกใจมิใช่น้อยใช่หรือไม่ ข้าไม่ใช่พวกที่จะมาเอื้อนเอ่ยกับใครให้มากความโดยเฉพาะพวกที่ข้าไม่สนิทชิดเชื้อแต่ข้าอยากจะบอกกับเจ้าให้เอาบุตรสักประการ…จักร้องไห้อยู่ไย หากอยากให้ผู้อื่นยอมรับเจ้าก็อย่าได้ทำตัวเหยาะแหยะอ่อนแอ…” กล่าวจบร่างของพระศนิก็สลายกลายเป็นฝุ่นสีดอกอัญชัน



“พระศนิ!!!...พระศนิ!!! ท่านอยู่แห่งหนใดกัน” อินทุนิลลุกขึ้นยืนร้องเรียกหา จะกล่าวขอบน้ำใจที่ให้สติเสียสักหน่อย ทว่าหันซ้ายหันขวาก็มิเจอร่างหรือแม้กระทั่งเงาของผู้ให้สติ



แม้นครั้งนี้จะเป็นจุดจบของการสนทนาแต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นให้อินทุนิลคอยลอบมอง ลอบติดตามพระศนิเท่าที่ตนจักทำได้ จนเวลาผ่านไปดวงหฤทัยที่เคารพแปรเปลี่ยนเป็นความรักที่เต็มเปี่ยม อินทุนิลหลงรักพระศนิเสียแล้ว…



ทั้งนี้อินทุนิลค่อยๆปรับปรุงตนให้เป็นผู้ที่อดทนกับคำว่าร้ายต่างๆ อดทนกับการคอยจดจำคาถาทีละเล็กทีละน้อยและลอบบันทึกไว้ไม่ให้ใครได้เห็น บางคราก็ทำทีเดินเตร็ดเตร่ไปยังสนามฝึกซ้อมของเหล่าทหารแล้วเก็บภาพเคลื่อนไหวติดตามาลองฝึกตาม โดยอินทุนิลใช้วิมานร้าง ณ เชิงเขาจิตตะแห่งนี้ จนกระทั่งได้ล่วงรู้ว่าวิมานแห่งนี้มีตำราคาถามนตราศาสตร์ต่างๆ ไปจนถึงการใช้ศาสตราวุธ



“เปรี้ยง!!!” ลำแสงพุ่งตรงเข้าต้นไม้ใหญ่จนโค่นล้ม ดวงตางามมองผลจากการกระทำแ แม้พลังเมื่อครู่จักเกิดจากคาถาสูงสุดของอินทุนิลในเพลานี้แต่มันยังไม่พอเมื่ออินทุนิลเทียบกับเทพชั้นสูงผู้อื่นโดยเฉพาะ…จันทรัชหรือพระพุธในปัจจุบัน



อินทุนิลมิชอบใจในตัวของพระพุธมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เรียกได้ว่าเนิ่นนานตั้งแต่พระพุธเป็นเพียงจันทรัชลูกชู้ของพระจันทร์ผู้เป็นพระปิตุลาของอินทุนิล ลึกๆแล้วตนมีความอิจฉาที่จันทรัชได้เล่าเรียน ผิดกับตนที่มิได้รับความรู้ใดๆเลย จันทรัชเก่งกาจในทุกศาสตราทั้งคาถาอาคมตลอดจนอาวุธก็สามารถใช้อย่างคล่องแคล่ว จนได้รับตำแหน่งเป็นหนึ่งในเทพนพเคราะห์ ซ้ำร้ายยังสนิทชิดเชื้อกับพระศนิหรือพระเสาร์อีกด้วย



…‘สักวันข้าจะต้องเอาชนะเจ้าให้ได้…พระพุธ’…



คำมั่นสัญญานี้อินทุนิลได้บอกกับตนเองด้วยความจงเกลียดจงชังแก่พระพุธผู้มองพระเสาร์ด้วยสายตาเดียวกันที่ตนมีให้…สายตาของรักข้างเดียว ทว่าพระพุธได้รับความเอ็นดูอันซ่อนลึกจากนัยน์ตาคมดุนั่น ที่พระเสาร์ไม่เคยมอบให้ใครเช่นกัน!!!



…‘เกลียดจนอยากทำลาย!! ทำลายให้ไม่เหลือซาก!!!’…



อินทุนิลคิดเช่นนี้ทุกครายามพบเจอกับพระพุธ จนกระทั่งพระพุธเข้าวิวาหะกับหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงอันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องนอกสายเลือดถึงคราวแตกหัก พอเวลาไม่นานตนได้รับรู้ว่าพระเสาร์มีใครในดวงใจ เป้าหมายจึงแปรเปลี่ยน อินทุนิลลอบตามพระเสาร์ลงไปยังมหาสมุทรจนเจอกับมุตตา…นางนาคีสาวผู้กุมดวงใจพระเสาร์จากพระพุธเป็นหญิงผู้นั้นแทน อินทุนิลเฝ้ารอโอกาสที่พระเสาร์กับนางมุตตาต้องแยกห่างกัน จนกระทั่งวันนั้นได้มาถึงอินทุนิลไม่รอช้าแปลงกายเป็นเยาวมาลย์นางอัปสร ไปสาปส่งให้มุตตาต้องถอยหนี การกำจัดนาคชั้นต่ำเป็นเรื่องง่ายเลยทีเดียว

 

หลังจากนั้นพระเสาร์กับมุตตาก็ไม่ได้พบเจออีกเลย พระเสาร์เสียอกเสียใจกับพิษรักเป็นอย่างยิ่งทำเอาอินทุนิลใจหายแต่จักให้ทำอย่างไรเล่าในเมื่อตนก็รักพระเสาร์ไม่แพ้ใคร



…‘ยอมร้าย…เพื่อรัก’…



…‘ยอมเลว…เพื่อรัก’…



…‘ยอมทำทุกอย่าง…เพื่อรัก’…



ขอเพียงพระเสาร์ชายตามามองตนบ้างจักได้รับรู้ว่ามีใครกำลังเฝ้ามองด้วยใจปรารถนาให้ได้รักกลับมา ไม่ขอรักเพียงเศษเสี้ยว…อินทุนิลต้องการรักทั้งหัวใจ อินทุนิลเชื่อว่าจักต้องมีวันนั้นหากมุตตาไม่กลับมาพร้อมบุตราผู้เป็นพยานรักของทั้งสอง ไหนเล่ายังสามารถออกจากผืนมหานทีแล้วยังมีรูปโฉมงดงามราวกับว่าคำสาปของตนได้เสื่อมคลายเสียแล้ว



‘เพล้ง!!’ วัตถุหนักอึ้งในกำมือถูกขว้างไปยังกระจกบานใหญ่จนแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ



“ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ มุตตาเจ้าจักไม่มีวันเป็นสุข ข้าจะจองล้างจองผลาญเจ้าและครานี้ข้าจักไม่ใช่เพียงมอบคำสาป ๒ ประการดั่งเก่าก่อนแต่ข้าจะมอบความเพียงประการเดียวนั่นคือ ‘ความตาย’ แก่เจ้าผู้เดียว”









...........................

มาแล้วจ้า

 ตอนนี้มาเจอกับอินทุนิล ตัวละครร้ายตัวใหม่ที่มาทำให้ทุกคนได้ตั้งคำถาม อะไรวะ อะไรวะ อะไรวะ!!!! 55555

ท่านยุ่งต้องขออภัยหลายคนที่ตามคู่รพีกับนาคน้อยที่อยากจะอ่านความฟินและอยากให้สองคนนี้ออกมาเยอะๆเต็มๆถี่ๆ เพราะช่วงแรกพระเสาร์ มุตตา ปะปนไปกับเทพอีกมากมายจนแทบจะหาที่ยืนให้คู่หลักไม่ได้ แต่ท่านยุ่งวางเรื่องมาแบบนี้อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ หลังจากนี้มีอะไรให้สนุกกับนิยายเรื่องนี้อีกเยอะ



ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นมาเป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.15 100% P.3 (14/06/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 15-06-2019 00:15:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.15 100% P.3 (14/06/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 15-06-2019 16:19:06
ไปอยู่กับกนธีเลยไป๊
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.15 100% P.3 (14/06/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-06-2019 13:56:46
:pig4:
:mew1:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.15 100% P.3 (14/06/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-06-2019 13:59:13
ไปอยู่กับกนธีเลยไป๊

อินทุนิลมาไม่ได้ค่ะ กนธีอยู่กับท่านยุ่ง
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.16 100% P.4 (13/08/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 13-08-2019 17:52:29
ลิขิตรัก...เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 16



ยามจันทราลาลับ รัศมีสีทองจับประดับท้องฟ้า อันเป็นสัญญาณบอกห้วงช่วงเวลาว่าวันใหม่ได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง เทพสุริยาประทานแสงต้องพิภพปลุกมนุษย์ สรรพสัตว์ ตลอดจนพืชพรรณ พร้อมดำรงชีวิตเติบโตขึ้นไปอีกวันและใช้ชีวิตตามที่ควรจะเป็นไป



หากทุกสิ่งอย่างล้วนมีเวลาของมัน แม้แต่ทิพากาลเองก็จบลงพร้อมกับการเสร็จสิ้นภารกิจขององค์สุริยเทพที่คอยขับเคลื่อนราชรถ นำพาดาราฤกษ์ร้อนระอุเต็มไปด้วยเปลวเพลิง เคลื่อนตัวไปมอบคุณประโยชน์หลายประการแด่พื้นโลก



เว้นแต่…ราตรีนี้พระสุริยะหาได้พักผ่อนดั่งที่ควรจะเป็นไปตามกิจวัตร เทพผู้ยิ่งใหญ่ในนพเคราะห์มีหน้าที่ต้องทำ



…‘หน้าที่อันมิใช่หน้าที่ของสุริยเทพ หากเป็นหน้าที่ของผู้เป็นพ่อ’…



“ท่านพ่อ ข้าต้องขออภัยที่รบกวนท่าน” รพีพงศ์พนมมือขึ้นมาอัญชลีแล้วกล่าวขอโทษต่อบิดาจากใจจริง



“มิเป็นไรดอกรพีพงศ์ เรื่องของเจ้าในครานี้หาใช่เรื่องใหญ่ที่กวนใจพ่อไม่ พ่อกลับยินดีที่เสียด้วยซ้ำที่ตัวพ่อจักได้ทำหน้าที่นี้เสียที เจ้าอย่าได้นึกคิดเป็นเรื่องใหญ่เลย พ่อว่าสิ่งที่ควรทำในเพลานี้คือเราสองเร่งเดินทางไปยังวิมานพระเสาร์เถิด พ่อเกรงว่าชักช้าอีกฝ่ายจักไม่ชอบใจเป็นแน่แท้” สุริยเทพกล่าวกับบุตรให้คลายกังวลเรื่องของตน เพราะจากสังเกตท่าทางของรพีพงศ์แล้วไซร้ยังคงมีหลากหลายเรื่องให้รพีพงศ์กังวลใจพอควร ก่อนจะชักชวนให้ขึ้นราชรถเหาะเหินบนนภากาศไปยังวิมานของศนิเทพ



ทางด้านวิมานทิพย์หงสบาท พระเสาร์ผู้ครอบครองกำลังให้เทวดาข้ารับใช้ ดูแลความเรียบร้อยทั้งภายนอกและภายในวิมานเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน ไหนจะก่อนหน้านี้ได้ให้นางอัปสรเร่งแต่งองค์ทรงอาภรณ์ตลอดเครื่องประดับงดงามแก่ชายาและนาคินทร์ซึ่งหารู้ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้



“ท่านพ่อ…ลูกอยากจะรู้เหลือเกินว่าเกิดอันใดขึ้น เหตุใดถึง…”



“เจ้าอย่าเพิ่งถามสิ่งใดเลย หากใคร่อยากรู้ก็จงรอ พ่อขอให้สัญญากับเจ้าว่าอีกไม่ช้านานทั้งเจ้ารวมทั้งแม่ของเจ้าจะพบกับผู้ที่จักให้คำตอบ คลายข้อสงสัยในใจพวกเราให้หมดสิ้น” พระเสาร์เอ่ยขัดขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ทันฟังคำพูดของนาคินทร์จบประโยค หากตนพอจะคาดเดาได้ว่าบุตราอยากจะเอ่ยสิ่งใด



ฝ่ายนาคินทร์ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยอันใดออกมาเพราะรู้ว่าคงไม่สามารถได้รับคำตอบได้ทันทีแต่อย่างน้อยนาคินทร์ได้รับรู้ว่าจะมีผู้มาเยือนวิมานแห่งนี้และน่าจะมีความสำคัญพอสมควร บิดาของตนถึงได้ให้เข้ามาเยือนในยามวิกาล



“พระเสาร์ขอรับ!! บัดนี้องค์สุริยเทพและรัชทายาทรพีพงศ์ได้มาถึงหน้าวิมานแล้ว” นายทวารผู้เฝ้าประตูเข้ามาแจ้งนายเหนือหัว นาคินทร์ถึงได้ทราบโดยทันทีว่าใครที่ตนสงสัยคือใคร



“พ่อจักออกไปต้อนรับพาเทพสองพ่อลูกเข้ามา เจ้ากับแม่นั้นรอพ่ออยู่ ณ ห้องโถงนี้อย่าได้ไปไหน” พระเสาร์สั่งความกับบุตราและหญิงคนรักก่อนจะออกไป นาคินทร์ได้สดับฟัง พลันดวงใจเต้นตึกตักสั่นระรัว ทั้งดีใจที่ได้เจอรพีพงศ์ด้วยสามวันมานี้มิได้พูดคุยหรือพบหน้า ทั้งเหนือสิ่งอื่นใดนาคินทร์กลับมีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นของการมาเยือนของสุริยเทพ



“นาคินทร์…สงบจิตสงบใจก่อนเถิด” มุตตาอดเอ็นดูบุตรของตนมิได้ที่หาได้รู้ประสีประสา ผิดกับนางที่พอจะเดาออกว่าภายภาคหน้าจักเกิดสิ่งใดขึ้น



ฝ่ายพระเสาร์ได้ออกมาต้อนรับพาสุริยเทพและรพีพงศ์เข้ามาเยื้องย่างผ่านลานปูด้วยหินขนาบด้วยสระบัวทั้งสองข้างเพื่อเข้าสู่ภายในวิมานสถาน ระหว่างการก้าวเดินหาได้มีผู้ใดเปล่งวาจาออกมา ด้วยใจหมายมั่นว่าเมื่อใดที่พ้นธรณีประตู เมื่อนั้นสิ่งใดที่อยากเอ่ย สิ่งใดที่อยากฟังจักออกมาให้รู้แจ้ง



อีกฟากฝั่งรอคอยจนบานประตูเปิดออกมา ผู้เข้ามาคนแรกคือบิดา ตามติดกันมาคือเทวัญวรกายสูงใหญ่ สวมภูษาประดับด้วยรัตนาช่วยเสริมให้สง่างามรบกับรัศมีแดงอัคคีที่เปล่งประกาย หากก็มิสามารถทำให้นาคินทร์ตรึงตาตรึงใจได้เท่ากับคนสุดท้าย…คนที่นาคินทร์เฝ้าคอย



“ท่านพี่รพีพงศ์…” นาคินทร์เอ่ยนามเสียงแผ่วเบาราวกับว่าเจ้าของชื่อจักได้ยิน ในวันนี้ท่านพี่ของนาคินทร์รูปงามกว่าวันไหน นาคินทร์ส่ายหน้าเล็กน้อยไล่ความคิดนี้ก่อนจะตำหนิตนเองว่าคงคิดถึงรพีพงศ์จนเป็นบ้าเสียแล้วกระมัง



“ก่อนที่เราทั้งสี่จะพูดคุยกันนั้น ข้าจักขอแนะนำมุตตาชายาแห่งข้าและนาคินทร์ผู้เป็นบุตรเพียงคนเดียวให้ท่านได้รู้จัก…พระอาทิตย์” พระเสาร์เอ่ยแนะนำหลังเชื้อเชิญให้พระสุริยะกับรพีพงศ์ประทับนั่งบนตั่งนิลกาฬ โดยมิลืมเน้นเสียงหนักลงประโยคสุดท้ายหมายจักสื่อให้สองพ่อลูกได้เข้าใจว่านาคินทร์มิต่างอะไรจากแก้วตาดวงใจของตน



มุตตาและนาคินทร์ เมื่อถูกกล่าวถึงได้พนมมือยกไว้กลางอุราแล้วค้อมศีรษะลงทำความเคารพผู้มีศักดิ์สูงกว่า แม้จักไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์หรือเทวาชั้นสูงผู้ที่เคยร่ำเรียนมารยาทมาก่อน ทว่าจริยวัตรงดงามอ่อนหวานทำให้พระอาทิตย์ประทับใจไม่น้อย



“ข้ายินดีที่ได้รู้จักทั้งชายาและบุตรของท่าน อันความจริงแล้วข้าพอจักได้ยินนาม ได้เห็นพักตรมาบ้างแล้วแต่มิเคยได้เสวนาและพอจะได้เสวนากันกลับเป็นยามค่ำคืน เหตุนี้ข้าต้องขออภัยด้วย คงจักลำบากแลรบกวนเวลาพักผ่อน” พระอาทิตย์เอ่ย



“มิเป็นไรดอก หากข้าแลเห็นว่ารบกวนคงจักตอบสาน์สปฏิเสธไปแล้ว แต่เพราะข้าเข้าใจท่านว่าท่านเองก็เหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อยอันกลางวันต้องนำพาลูกไฟส่องสว่างมนุษย์ภพ เวลาที่จันทราเทพทำหน้าที่จึงเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่ท่านจักมาเยือนวิมานข้าเพื่อบุตรชายของท่าน”



“ใช่…เพื่อรพีพงศ์และเพื่อพวกเราเอง ฉะนั้นข้าจักไม่วกวนขอเข้าเรื่องที่ข้านั้นมาพบเจอกับท่าน…”



“ช้าก่อนสุริยเทพ…ข้าต้องขออภัยที่เสียมารยาทพูดขัดท่าน แต่ข้าต้องการให้รพีพงศ์ได้เอื้อนเอ่ยเอง” พระเสาร์เอ่ย



“ถ้าเป็นความประสงค์ของท่าน ข้านี้ก็มิขัด…” องค์ภาสกรแย้มยิ้มเพียงเล็กน้อย ด้วยตนเองอยากใคร่ดูว่ารพีพงศ์จักสามารถเอาชนะใจพระเสาร์ในด่านสุดท้ายนี้ได้หรือไม่



“ว่ามาสิรพีพงศ์ เจ้ากับพ่อของเจ้ามาหาข้าและลูกเมียเพราะเหตุใด” พระเสาร์เปิดโอกาสให้รพีพงศ์ได้พูดกล่าว ผู้ถูกถามผันหน้าลอบมองคนงามฝั่งตรงข้ามเล็กน้อยพอเอาแรงใจก่อนจะหันกลับมาตอบพระเสาร์



“การที่ข้าและท่านได้มาหาท่าน ท่านน้ามุตตาและนาคินทร์ในวันนี้ มิใช่มาเยี่ยมเยือนดั่งเช่นทุกครา แน่นอนว่าย่อมมีเรื่องสำคัญ ประการแรกข้าจักมาชะล้างความแคลงใจของท่านให้หมดสิ้น…พระเสาร์”



…‘หาใช่เรื่องนี้ไม่…สิ่งที่ข้าแคลงใจนั้นคือบุตรของข้าจักอยู่ในฐานะใด’…



ย้อนเวลากลับไป พระเสาร์ได้มอบคำถามอันส่งผลต่ออนาคตของรพีพงศ์กับนาคินทร์ คำถามที่ต้องการคำตอบเชิงประจักษ์ หนักแน่นและเป็นไปได้จริง หาใช่สวยหรูแต่ลอยลมจับต้องมิได้ พระเสาร์ตระหนักดีว่าแม้นนาคินทร์กับรพีพงศ์รักกันมากเพียงใด ทั้งยังเสมอด้วยยศฐา ทว่านาคินทร์เป็นชายมิได้เป็นหญิง



“ท่านเคยถามว่านาคินทร์จักอยู่ในฐานะใด ข้าจึงขอตอบให้ท่านได้รู้ว่านาคินทร์จักอยู่ในฐานะชายาเพียงคนเดียวของข้า” รพีพงศ์ตอบน้ำเสียงชัดเจนแต่ใครคนหนึ่งกำลังคิดว่าตนหูแว่วได้ยินผิดเพี้ยน



“ท่านพี่เอ่ยอันใดออกมา…ท่านพี่รู้ตัวหรือไม่” จะเรียกว่าไม่ชัดคงจะไม่ใช่ แต่นาคินทร์ไม่คิดว่ารพีพงศ์จะกล้าพูดต่อหน้าพระเสาร์และพระอาทิตย์



“พี่รู้ว่าพี่กำลังทำสิ่งใดและนี่คือสาเหตุที่พี่ต้องพาท่านพ่อมา ณ ที่แห่งนี้” รพีพงศ์ตอบแล้วเกริ่นเล็กน้อยให้พระอาทิตย์ได้กล่าวต่อไป



“เป็นไปตามรพีพงศ์ว่าไว้…บุตรชายข้าต้องการนาคินทร์มาเป็นชายา ข้าผู้เป็นพ่อจึงใคร่มาเจรจาสู่ขอนาคินทร์กับท่านทั้งสอง…พระเสาร์ แม่นางมุตตา” สุริยเทพช่วยยืนยัน ก่อนเปิดฉากเข้าสู่ขอบุตรของเทพสวมหน้ากากกับนางนาคี



“ท่านไม่คิดว่าแปลกหรือไรที่บุตรของท่านรักบุตรของข้าซึ่งเป็นชายเช่นกัน หนำซ้ำยังคิดรับไว้เป็นชายา”



“ความรักหาได้จำกัดหรือกะเกณฑ์ว่าจักเกิดขึ้นเฉพาะเจาะกับผู้ใด ทุกคนล้วนสามารถมีความรัก มอบความรักให้กันและกันโดยไม่จำกัดเพศ วัย ยศฐาบรรดาศักดิ์ตลอดจนชาติพันธุ์ ดังนั้นการที่รพีพงศ์รักนาคินทร์จึงมิใช่เรื่องแปลกสำหรับข้า ว่าแต่ท่านเถิดพระเสาร์…ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร ท่านจะยกนาคินทร์ให้เป็นชายาของรพีพงศ์ได้หรือไม่เล่า” สุรเสียงหนักแน่นถ่ายทอดคำตอบออกมาอย่างฉะฉาน ก่อนจะย้อนถามพระเสาร์กลับไป



“หากข้าไม่ยอมรับ บุตรของท่านคงไม่ได้เข้าออกวิมานข้าเสมือนบ้านของตนเองดอก ถึงแม้ว่าในคราแรกข้ามิชอบใจแต่กาลเวลาแลรพีพงศ์ได้พิสูจน์ให้ข้าเห็นถึงความรักที่มีต่อนาคินทร์ว่ารักจริงหาใช่ลวงหลอก” คำตอบของพระเสาร์สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่กำลังรอฟังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะรพีพงศ์สุดแสนจะยินดีจนแทบจะสำรวมกิริยาเอาไว้ไม่อยู่ อยากจะโผเข้าสวมกอดนาคินทร์เสียเหลือเกินให้สมกับต้องฝ่าอุปสรรคความรักที่ผ่านมา หนึ่งในอุปสรรคที่ว่าคือเอาชนะใจพระเสาร์



“แล้วแม่นางมุตตาเล่ายอมรับในบุตรข้าหรือไม่” เจ้าแห่งแสงระวีถามความเห็น



“แม้นข้าจะรู้จักรพีพงศ์ได้ไม่นานนักแต่ข้านี้ยอมรับเพราะรพีพงศ์พิสูจน์ให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ ทั้งแสดงให้ข้าได้มั่นใจว่าสามารถดูแลนาคินทร์ได้” มุตตาเอ่ยพร้อมมองรพีพงศ์ด้วยสายตาที่เป็นมิตร



“พระเสาร์ ท่านน้ามุตตา ข้าขอบน้ำใจท่านทั้งสองมากที่เห็นในความรักของข้าที่มีต่อบุตรของท่านนาคินทร์และยอมยกนาคินทร์ให้กับข้า” รพีพงศ์กล่าวกับพระเสาร์และมุตตาน้ำเสียงนั้นเจือความยินดีจนผู้ฟังสัมผัสได้



“ใช่..ข้ายอมรับแต่ข้ามิได้บอกว่าจะยกนาคินทร์ให้กับเจ้า” พระเสาร์บอก น้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็งกัดกินรอยยิ้มของรพีพงศ์จนสิ้น อย่าว่าแต่รพีพงศ์แม้แต่นาคินทร์ มุตตาหรือแม้แต่สุริยเทพยังหน้าเสีย



“ข้าจักยกให้ในวันที่เจ้าเข้าวิวาหะกับนาคินทร์ หลังจากนั้นแล้วอย่าคิดจะคืนนาคินทร์กลับมาก็แล้วกัน” พระเสาร์กล่าวต่อ คราวนี้ผู้ได้ฟังต่างเผยรอยยิ้มออกมา



“ข้าไม่คิดจะคืน ข้าคิดเพียงเราสองอยู่เคียงข้างกัน” รพีพงศ์เอ่ยคำมั่นอันกลั่นออกมาจากความคิดและจิตใจ



“เมื่อบุตรข้ายืนยันและท่านจะยอมรับในตัวรพีพงศ์ ข้าจะส่งเทวบริวารขอให้พระพฤหัสบดีดูฤกษ์ยามอันสมควร เพื่อจัดพิธีเสกสมรสอย่างสมเกียรติไม่แพ้ใคร พระเสาร์ท่านตกลงหรือไม่”



“ข้าหาใช่ผู้เข้าเสกสมรส ต้องถามนาคินทร์ว่าคิดเห็นเป็นเช่นไร” พระเสาร์เอ่ย



“นั่นสิ…ต่อให้ท่านยินยอมแต่นาคินทร์ปฏิเสธ งานมงคลนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ นาคินทร์เจ้าว่าอย่างไร จักยินดีมาอยู่กับรพีพงศ์หรือไม่”



“ข้ายินดี” แน่นอนว่าคำตอบคงมีเพียงหนึ่งเดียว นาคินทร์ตอบกลับไปก่อนก้มหน้าลงอำพลางความเขินอายที่ได้ทิ้งร่อยรอยเป็นสีกุหลาบบนใบหน้างาม ฝ่ายรพีพงศ์เองก็ยิ้มกว้าง เทพหนุ่มไม่อาจปิดซ่อนความรู้สึกปิติที่ล้นเหลือนี้ได้



หลังจากนั้นทั้งสองวงศาได้ปรึกษาหารือกันในการจัดพิธีมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเสร็จสิ้นพระอาทิตย์กับรพีพงศ์ได้กล่าวลาและกลับวิมานสีชาด ทว่าก่อนรพีพงศ์จะย่างขึ้นราชรถ เทพหนุ่มได้ถอดกำไลเนื้อเหมประดับรายล้อมด้วยโกเมนแดงก่ำสลับกับปัทมราชสีชมพู



“นาคินทร์…กำไลนี้พี่ขอมอบให้กับเจ้า ถือเสียว่าเป็นของหมั้นหมายว่าเจ้าเป็นคนของพี่” รพีพงศ์กล่าว หัตถาใหญ่คว้าข้อมือเล็กขึ้นมาแล้วจึงสวมใส่ให้



“แม้นไม่มีกำไลมาหมั้นหมาย…ข้าก็เป็นของท่านพี่อยู่แล้วมิใช่หรือ”



*****



การจัดพิธีวิวาห์ระหว่างรพีพงศ์กับนาคินทร์เป็นที่เล่าลือต่อเหล่าเทพาและอัปสรนารี ตลอดจนคนธรรพ์ สัตว์เทวะทั้งหลาย ผินหน้า ชะเงี่ยหูไปทิศทางใดย่อมได้ยิน ไม่ว่าความงามเหนือนารีของนาคินทร์ คำยกยอสรรเสริญรพีพงศ์ที่ฝ่าฟันอุปสรรคชุบชีวิตนาคินทร์ขึ้นมาได้ ไหนจะฝ่าด่านชนะใจพระเสาร์ผู้ได้ชื่อว่าใจแข็งเป็นหนึ่ง นอกจากนี้ยังคาดการณ์ถึงอำนาจของสองวงศาซึ่งได้มาเกี่ยวดองกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันว่าจะยิ่งใหญ่เกินคณานับ



ยิ่งใหญ่เพียงใดนั้นหรือ...ประเมินด้วยตาจากมหาวิหารนวดาราตั้งแต่ปากทางเข้า มีคบเพลิงประดับตลอดทางเปลวไฟนั้นมีสีชมพูดูแล้วสบายตา พอเดินเข้าไปภายในจะเห็นโถงใหญ่โอ่อ่าประดับด้วยผืนผ้าและผืนธงสีชาดสลับกับสีเม็ดมะปราง สุดสายตาจะแลเห็นบัลลังก์ทองของพระผู้สร้างไล่ลงมาจะเป็นแท่นมณีสองฝั่งเข้าหากันของสุริยเทพและพระเสาร์ นอกจากนี้ยังมีผกางามหลากพันธุ์ถูกนำมาจัดรวมเป็นช่อ บ้างนำมาร้อยเป็นมาลัยประดับประดา พื้นรัตนาขัดเงาส่องประกายปูพรมสีเข้าเป็นลาดทางเดินให้เยื้องย่างระหว่างแท่นมณีซึ่งถูกจัดไว้ตามลำดับยศฐาให้ผู้ถูกเชื้อเชิญได้นั่ง



 วิหารศักดิ์สิทธิ์ประจำเทพนพเคราะห์ มักใช้ประกอบพิธีสำคัญอันเกี่ยวข้องกับเทวัญทั้ง ๙ เฉกเช่นยามนี้ อันเป็นเวลาสมควรตามที่ปรากฏในกระดานชนวนของพระพฤหัสบดี งานวิวาห์ที่เคยเป็นเพียงคำวาจาได้กลายเป็นจริง



“ชลันธรดูสิ ท่านรพีพงศ์คอยมองหานาคินทร์ตลอดเลย” บุษยะซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างของพระสมุทรได้เอ่ยขึ้นหลังจากสังเกตพฤติกรรมของรพีพงศ์อยู่พักใหญ่



“เราว่ารพีพงศ์คงจะตื่นเต้นเป็นแน่” ชลันธรออกความเห็น



“ท่านนภนต์เล่า ท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร คราท่านกับชลันธร ข้าจำได้ว่านั่งแทบไม่ติดแท่นแก้ว หาได้ต่างจากท่านรพีพงศ์” นั่งฟังบทนทนาของสองสหายอยู่ดีๆ คำถามวกเข้าตัวมาจนได้ นภนต์คิด



“จริงหรือท่านพี่ ท่านพี่มีท่าทีเช่นเดียวกับรพีพงศ์หรือ” ชลันธรถาม น้ำเสียงดูกระตือรือล้นใคร่รู้ เนื่องจากตนมิเคยล่วงรู้และคาดไม่ถึงว่านภนต์ผู้สง่าจะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้



“ใช่ พี่นั่งแทบไม่ติด ทั้งตื่นเต้น ทั้งอยากเห็นใบหน้างามของเจ้า” นภนต์เอ่ยออกมาน้ำเสียงหวานชวนให้พระสมุทรเขินอาย



“แล้วเจ้าล่ะ…ชลันธร เจ้ารู้สึกเช่นไร”



“น้องน่ะหรือ…น้องรู้สึก…” ชลันธรก้มใบหน้าซ่อนแก้มแดงก่อนจะให้คำตอบกับนภนต์…



“ตื่นเต้นเหลือเกิน…ใจข้านี้จะหลุดออกมาจากอกแล้ว” นาคินทร์พึมพำขณะนั่งให้นางอัปสรรวบเกศาไว้ครึ่งศีรษะแล้วเกล้าขึ้นทำมวยสูง จากนั้นติดประดับปิ่นพลอยม่วงลายบัวผันเป็นอันเสร็จสิ้น



“งดงามเหลือเกินท่านนาคินทร์” นางอัปสรกล่าวชม



“กล่าวเกินไปแล้ว” นาคินทร์ถ่อมตน



“ไม่มีส่วนไหนที่เกินจากความจริงเลย ท่านนาคินทร์” นางอัปสรอีกคนเยินยอแล้วมองนาคินทร์ผ่านบานกระจกใหญ่



“พวกเจ้าแต่งกายให้ท่านนาคินทร์เรียบร้อยดีแล้วหรือไม่ ถึงเพลาที่ท่านนาคินทร์จะต้องไปยังภายในวิหารแล้ว” นางสวรรค์อีกองค์ถาม ขณะเดินเข้ามาในห้อง รัศมีของนางเฉิดฉายกว่านางฟ้าองค์ไหนๆ ‘วิภาดา’ ผู้ช่วยของเทพี’ดารกานต์’ เทวนารีแห่งความรัก



“ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วเว้นเพียงตัวข้า…” นาคินทร์ลุกขึ้นยืนพร้อมให้คำตอบ มือเรียวยกขึ้นมากุมอกข้างซ้ายไว้



“เป็นอันใดไปท่านนาคินทร์ โปรดบอกพวกข้ามาเถิด”



“ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน ประเดี๋ยวต้องเดินเข้าไปเพียงลำพังไร้คนเคียงข้าง พวกเจ้าเองแม้ตามมาก็เดินห่างจากเราอยู่มากโข” นาคินทร์บอกความรู้สึก หากมีชลันธรและบุษยะคงจะดีกว่านี้ อย่างน้อยๆสหายทั้งสองยังชวนคุยให้คลายความตื่นเต้นระคนกังวลนี้ได้



“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี ใครตกอยู่ในสถานะเดียวกับมักจะเป็นเช่นนี้ ไม่เว้นแต่พระสมุทรชลันธรสหายของท่าน ทว่าท่านจักมัวตื่นเต้นแล้วไม่ยอมออกไป ท่านรพีพงศ์คงคอยแล้วคอยเล่า ดีไม่ดีอาจจักบุกเข้ามาชิงตัวพาท่านออกไปก็เป็นได้” ดารกานต์เอ่ย นาคินทร์ฟังจึงได้คิดไตร่ตรอง ทั้งตนและรพีพงศ์หาได้เห็นพักตร์สบตาเป็นเวลาร่วม ๗ วัน ตามธรรมเนียมของชาวสวรรค์ กลับกลายเป็นว่าความคิดถึงได้ค่อยๆก่อเกิดขึ้นแทรกแซงแทนความตื่นเต้นจนสิ้น



“พวกเราออกไปกันเถิด…ข้าพร้อมแล้ว” คำพูดของนาคินทร์ทำให้ผู้ฟังต่างยินดี พากันตั้งขบวนเดินตามเทวากึ่งนาคามุ่งหน้าเข้าสู่พิธีสำคัญ



เมื่อเดินเหยียบย่างถึงขั้นบันได บานประตูสีงาช้างสลักลวดลายสัญลักษณ์แห่งดาวนพเคราะห์ค่อยๆแง้มเปิดออกทีละนิด ดวงเนตรสีม่วงเข้มมองไปข้างหน้า ภาพภายในมหาวิหารค่อยๆชัดขึ้นตามบานประตูที่เปิดออกและสิ้นสุดลงทันใดเมื่อนาคินทร์ได้หยุดยืนรอข้ามธรณีประตู



เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงท่วงทำนองเพลงหวาน กลีบมาลาหลากสีร่วงหล่นลงมา ทุกสายตาล้วนมองไปยังนาคินทร์ซึ่งกำลังเยื้องย่างเข้ามา



‘งาม..มิอาจหาใครเสมอเหมือน’ ประโยคนี้รพีพงศ์ขอมอบให้แก่นาคินทร์ที่งามเกินกว่าวันไหนๆ ยิ่งได้ใส่เสื้อทรงสีขาวสะอาดตาตัดกับภูษานุ่งสีลูกหว้า ทั้งยังคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีขาวปักเลื่อมสีดอกอัญชันสลับกับพลอยสีดอกตะแบก ไล่สีเข้มจากชายผ้าด้านล่างขึ้นไป



นาคินทร์เองแม้จะตกเป็นเป้าสายตาทว่าคนงามกลับสนใจเพียงรพีพงศ์ ผู้ทรงสง่าด้วยเครื่องพัสตราภรณ์คล้ายตนผิดกันเพียงสีเท่านั้น อันใดที่เป็นสีม่วงของรพีพงศ์จะเป็นสีแดง



ไม่นานเท้าของนาคินทร์ก็ไม่อาจจะก้าวต่อไป นางอัปสรด้านหลังก้าวมาด้านข้างของนาคินทร์ก่อนจะส่งพานทองอันมีธูปเทียนแพ ด้านบนมีกรวยทำจากใบตองวางไว้ เมื่อรับมาแล้วนาคินทร์ยอบกายลงคลานเข่าเข้าไปหยุดตรงหน้ารพีพงศ์ มือเรียววางพานไว้ข้างกายแล้วก้มลงกราบรพีพงศ์ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาเปลี่ยนอิริยาบถจากหมอบเป็นนั่งเช่นเดิมและหยิบพานธูปเทียนแพส่งให้รพีพงศ์



เทพหนุ่มรับไว้ด้วยใจปิติ ก่อนจะย่อตัวลงมาคุกเข่าข้างกายนาคินทร์ ดวงตาของทั้งคู่สบกันอีกครั้ง ผู้หนึ่งรีบหลบเอียงอาย ผู้หนึ่งจับจ้องราวกลัวอีกฝ่ายจะหายไป



“อะ แฮ่ม” พระเสาร์ทำทีกระแอมออกมาไม่ดังมากนัก เพื่อให้คู่สมรสรู้ว่าในมหาวิหารไม่ได้มีเพียงสองคน อีกทั้งยังอยู่ในพิธี รพีพงศ์และนาคินทร์จึงพากันคลานเข่าเข้าหาก้มลงกราบพระผู้สร้างผู้มาเป็นประธานในพิธีศักสิทธิ์ในครั้งนี้



รพีพงศ์ยกพานขึ้นสูงเหนือเศียรยื่นตรงต่อหน้าพระพักตร์ของมหาเทพ พระพริษฐ์เปิดกรวยใบตองออกภายในมีดอกไม้กลีบขาวและใบสีเขียวสดอย่าง ‘พุดซ้อน’ สัญลักษณ์แห่งงานวิวาห์สื่อถึงความรักที่บริสุทธิ์ พระองค์หยิบดอกพุดซ้อนมอบให้กับรพีพงศ์ เมื่อสุริยบุตรได้มาแล้วนั้นจึงนำมาทัดหูให้กับนาคินทร์ ส่วนใบนั้นพระผู้สร้างมอบให้กับนาคินทร์นำไปทัดหูให้กับรพีพงศ์



พานธูปเทียนแพได้มอบให้กับนางกำนัลซึ่งคอยรอรับนำไปเก็บ จากนั้นทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์ต่างพนมมือไว้กลางอุรา พระพริษฐ์เสกก้านทับทิมทองคำเป็นประจักษ์ในฝ่ามือแล้วสะบัดกิ่งทับทิมนี้เพียงเล็กน้อยทำให้เกิดวารีศักดิ์สิทธิ์พรมทั่วสองกายาตรงหน้า



“ข้าขอให้ท่านทั้งสองครองคู่กันอย่างมีความสุขยาวนานตลอดไป” พระพริษฐ์อวยพร



“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพะยะค่ะ” รพีพงศ์และนาคินทร์เอ่ยออกมาพร้อมกัน



เมื่อได้รับพรจากพระผู้สร้างเสร็จสิ้น ทั้งสองกราบลาแล้วคลานเข่าไปยังแท่นประทับของพระเสาร์และมุตตา รพีพงศ์ นาคินทร์ต่างพนมมือไหว้ พระเสาร์เสกก้านทับทิมเงินขึ้นแล้วพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน



“ความรักของเจ้าทั้งสองยิ่งใหญ่เป็นที่แจ้งใจให้ตัวข้าตลอดจนเหล่าเทพได้รับรู้ หากความรักมันไม่พอสำหรับการครองคู่ยังต้องดูแลและเชื่อใจกัน จงจำคำของข้าไว้”



“ส่วนแม่มิมีข้อคิดใดนอกจากจะให้ทั้งสองดูแลกันและกันให้ดี…ท่านรพีพงศ์ ข้าขอฝากนาคินทร์ไว้กับท่านด้วย” มุตตาเอ่ยเสียงสั่นเครือน้ำตารื้นคลอเบ้าพร้อมลูบผมของลูกยาไปด้วย



“ท่านน้าอย่าได้นึกห่วง ข้าจะดูแลนาคินทร์เป็นอย่างดี” รพีพงศ์พอจะเข้าใจความรู้สึกของมุตตาดีเพราะนับจากราตรีนี้ไปนาคินทร์จักต้องอยู่วิมานของตน



หลังจากรับพรจากบิดา-มารดาฝ่ายนาคินทร์แล้ว ทั้งสองคลานเข่าไปหาพระอาทิตย์ซึ่งประทับเพียงองค์ด้วย เนื่องด้วยมารดาของรพีพงศ์ได้สิ้นชีวาเมื่อนานมาแล้ว



“พ่อนี้ขอให้ลูกทั้งสองใช้เวลาไปกับความสุข ให้เกียรติและมอบสิ่งดีงามให้กันและกัน…นาคินทร์เจ้าอย่าได้กังวลเมื่อย้ายถิ่นฐานมาอาศัย ณ วิมานเพลิง เมื่อเจ้าตบแต่งเข้ามาก็เท่ากับว่าเป็นบุตรของข้าคนหนึ่ง มิต้องกลัวสิ่งใด” พระอาทิตย์เอ่ยน้ำเสียงล้วนแสดงถึงความเมตตาทำให้ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นใจ



พิธีพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นอันสิ้นสุด ทว่าหาได้เป็นพิธีสุดท้ายเพราะยังมีอีกหนึ่งพิธีที่ยังรออยู่นั่นคือพิธีปฏิญาณตน รพีพงศ์และนาคินทร์ยืนขึ้นก่อนจะเดินออกมาฝั่งทางเดินเล็กน้อย โดยมีดารกานต์เทวีคอยท่าอยู่ก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วเริ่มเอ่ยคำถามอันเป็นการดำเนินพิธี



“ท่านรพีพงศ์ ท่านตั้งใจจะรับท่านนาคินทร์บุตราแห่งพระเสาร์เป็นชายา ทะนุถนอมด้วยใจแห่งสเน่หามอบความรัก ความเมตตาต่อท่านนาคินทร์สืบต่อไปหรือไม่”



“ข้าตั้งใจเช่นนั้น” รพีพงศ์ตอบ น้ำคำหนักแน่นไม่หวั่นไหว



“ท่านนาคินทร์ ท่านตั้งใจจะมอบกายถวายใจของท่านเป็นชายาแห่งรพีพงศ์ผู้สืบสันติวงศ์สุริยะ ด้วยใจรักจะปฏิบัตตนเป็นชายาที่ดีสืบต่อไปหรือไม่”



“ข้าตั้งใจเช่นนั้น” นาคินทร์ตอบ น้ำเสียงหนักแน่นไม่ต่างจากรพีพงศ์



“ต่อไปขอให้ท่านทั้งสองมอบแหวนและคำสัญญา”



รพีพงศ์และนาคินทร์ขยับกายหันหน้าเข้าหากัน นาคินทร์ยื่นมือซ้ายให้ รพีพงศ์จับมือเรียวนี้ไว้อย่างเบามือก่อนจะเสกแหวนให้ปรากฎในฝ่ามือของตนแล้วค่อยๆสวมแหวนไปยังนิ้วนางข้างซ้ายของนาคินทร์



“พี่สัญญาว่าจะรักและซื่อสัตย์กับเจ้าตลอดไป ดั่งวงแหวนนี้ที่หาจุดสิ้นสุดมิได้ เฉกเช่นความรักของพี่ที่มีให้เจ้ามันจะหมุนวนไม่ไปไหน” รพีพงศ์เอ่ย หยาดน้ำตาแห่งความสุขของนาคินทร์ได้ไหลอาบแก้ม ดวงตานั้นมองธำมรงค์ประดับพชรล้อมทับทิมแดงแวววาวผ่านม่านน้ำตา



“ข้าขอสัญญากับท่านพี่ว่าจะรักและจะใช่ชีวิตนร่วมกับท่านไม่ว่าจะยามสุข ยามทุกข์ ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไปและไม่มีสิ่งใดจะพรากเราได้” นาคินทร์เอ่ยพลางสวมแหวนเพชรล้อมพลอยสีพวงอังกาบ รพีพงศ์ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วใช้อีกมือที่กำลังว่างเกลี่ยน้ำตาให้กับผู้อันเป็นที่รัก



“บัดนี้เสร็จสิ้นพิธีแล้ว ข้าดารกานต์เทพีแห่งความรักขอประกาศนับแต่นี้เป็นต้นไปว่ารพีพงศ์และนาคินทร์เป็นหนึ่งเดียวกัน”



“เฮ้!!!! รพีพงศ์ นาคินทร์ รพีพงศ์ นาคินทร์” สิ้นเสียงของเทวีแห่งรัก ทวยเทพต่างโห่ร้องเรียกขานสองนามด้วยใจยินดี ดังก้องมหาวิหาร พร้อมกันนั้นเสียงเครื่องดนตรีดังขึ้นและกลีบมาลาได้โปรยลงมาอีกครั้งเป็นการเปิดพิธีเลี้ยงฉลอง…ฉลองให้กับความรักของคนทั้งคู่ที่ยืนจับมือสอดประสานนิ้วเอาไว้แนบแน่น ทั้งในดวงตาสะท้อนเงาของอีกฝ่าย



“พี่รักเจ้า/ข้ารักท่านพี่” ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะป้องปากปิดรอยยิ้มแก้เขินอาย



“พี่ว่าจะชิงบอกรักเจ้าก่อนเพราะตั้งใจว่าใครเอ่ยก่อนผู้นั้นมีอำนาจสั่งอีกฝ่ายในค่ำคืนนี้” รพีพงศ์กระซิบกระซาบข้างหูนาคินทร์ จึงถูกนาคน้อยมอบรอยประทับเบาๆจากฝ่ามือลงต้นแขน



“ถ้าเช่นนั้นข้าขอเป็นผู้เอ่ยก่อนได้หรือไม่ ท่านพี่จักยอมหรือไม่” นาคินทร์กระซิบถามกลับ



“ได้สิ หากเจ้าขอพี่ยอมทุกอย่าง”







.....................

 ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก มันเรียบๆง่ายๆ กลัวคนอ่านจะเบื่อจัง T T แต่ท่านยุ่งกลับชอบนะ อยากให้เขามีแต่งงานประกาศให้โลกรู้กันไป หลังจากสู้กับอุปสรรคมาตลอด ตั้งใจเขียนด้วยแต่ไม่รู้ว่าออกมาดีงามถูกใจกันไหม ส่วนนี้แนะนำติชมกันได้นะคะ

ป.ล. พี่รพีเราแต่งงานไม่ถึงวันก็กลายเป็นพ่อบ้านใจกล้าโดยสมบูรณ์แล้ว 5555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น มาเป็นกำลังใจนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.16 100% P.4 (13/08/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 14-08-2019 07:25:33

เขียนดีมาก ชอบๆๆคู่นี้มากค่ะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.16 100% P.4 (13/08/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-08-2019 10:34:40
แต่งงานกันแล้ว~
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.16 100% P.4 (13/08/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-08-2019 10:06:47
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.16 100% P.4 (13/08/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 01-09-2019 08:49:56
ชื่นมื่นอบอุ่นสุดๆไปเลยยย
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.พิเศษ 100% P.4 (29/10/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 29-10-2019 23:39:16
กาลครั้งหนึ่งของจันทรัช

Author : Tan-Yung0209

File : 03



‘จันทร์เอ๋ย…จันทร์เจ้า

ขอข้าว…ขอแกง

ขอแหวนทองแดง…ผูกมือน้องข้า’



คำกล่าวขอพรกับพระจันทร์มักจะถูกส่งถึงสม่ำเสมอ หากใครเล่าจะรู้บ้างว่าเจ้าของดาวฤกษ์สีเงินยวงอันเปล่งรัศมีสีเหลืองนวลนี้กลับมีเรื่องที่อยากได้ อยากมี หากคงไม่มีผู้ใดสามารถทำคำขอหรือให้พรกับตนได้



เพราะเหตุใดนะหรือ



คงต้องย้อนกลับไปนานเสียหน่อยแต่ถ้าให้รวบรัดตัดตอนแล้วไซร้ก็สามารถเข้าใจได้ เมื่อครั้งเก่าก่อนแม้นจันทราเทพจะมีเทวีคู่กายเคียงหมอน ทว่ากลับถูกตาต้องใจนางดาราเทวีผู้เป็นชายาของพระพฤหัสบดี ด้วยความคึกคะนองและอยากได้นางดารามาเป็นของตนจึงได้ลักพาตัวมาจนมีความสัมพันธ์เกินเลย อีกทั้งการกระทำชั่วช้านี้ได้ก่อเกิดเทวะสงครามขึ้น จนพระผู้สร้างต้องลงมาเจรจาไกล่เกลี่ย พระจันทร์จึงคืนนางดารากลับไปโดยมีเลือดเนื้อเชื้อไขของตนติดไปด้วย



หลังจากนั้นพระจันทร์ถูกกักบริเวณใน ให้อยู่ในวิมาน ห้ามมิให้ออกไปไหน อันที่จริงเรียกว่ากักขังน่าจะถูกต้องกว่า ส่วนการขับเคลื่อนดวงแขก็ให้ใช้พลังขับเคลื่อนแทน นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ก็หลายขวบปี พระจันทร์อยากจะพบหน้าบุตรในอุทรเสียเหลือเกิน ถึงแม้จะรู้ว่าพระพฤหัสบดีมิได้สังหารหนำซ้ำยังดูแลบุตราตัวน้อยเป็นอย่างดี หากคนเป็นพ่ออยากจะเจอหน้าลูกสักครั้ง



“ท่านพ่อ…คิดถึงน้องหรือ” เสียงทุ้มเรียกขาน ทำให้พระจันทร์ซึ่งกำลังคิดคะนึงถึงจันทรัชผินหน้ามองไปยังต้นทางของเสียง เทวะหนุ่มรูปงามสวมอาภรณ์สีเงินประดับอัญมณีด้วยบุษราคัมกำลังก้าวเท้าเข้าหา



“นิศานาถ นี่เจ้า…”



“ท่านพ่ออย่าได้กังวลว่าข้าจักน้อยใจที่ท่านใคร่อยากจักเจอจันทรัช” นิศานาถเอ่ย ทำให้ผู้เป็นบิดาระบายยิ้มออกมาด้วยความยินดีที่นิศานาถหาได้ตั้งแง่กับน้องต่างมารดา



“พ่อดีใจที่เจ้ามิได้โกรธพ่อ จนพาลรังเกียจน้องเจ้า” พระจันทร์รู้ดีว่าตนเองทำผิดต่อนิศานาถเป็นอย่างมาก การกระทำไม่ยั้งคิดมทำให้นิศานาถแทบจะไร้สหาย ไร้คนคบหา



“ท่านพ่อ ถ้าให้ข้าเอ่ยความรู้สึกจริงๆ ข้าคงจะต้องบอกว่าข้าโกรธท่านที่ยับยั้งจิตใจแต่เรื่องราวมันผ่านไปแล้ว ท่านพ่อเองก็ได้รับบทเรียนแล้ว อีกเรามีกันสองพ่อลูก หากมีน้องมาอยู่ร่วมวิมานคงจะครึกครื้นมิใช่น้อย” นิศานาถยอบกายลง ดวงหน้างามซบลงบนตักของพระจันทร์ ช่วงชีวิตนี้เขาเองมีเพียงองค์จันทราผู้เป็นพ่อเพียงเท่านั้น ส่วนมารดาได้สิ้นชีพเมื่อครั้นได้กำเนิดตนมา มีกันเพียงเท่านี้จะมาโกรธเคืองกันคงจะไม่ดี พระจันทร์มองนิศานาถก่อนจะลูบศีรษะอย่างทะนุถนอม



“เจ้าเติบโตขึ้นมาก ทั้งความคิดและจิตใจ พ่อขอโทษเจ้าด้วยที่สร้างความเสียใจให้กับเจ้า…นิศานาถ” พระจันทร์เอ่ยออกมาน้ำเสียงสั่นเครือ ทำให้นิศานาถขยับศีรษะแหงนขึ้นมอง



“เพราะข้ามีท่านพ่อที่ดีคอยสั่งสอนข้าอย่างไรเล่า” นิศานาถกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม



“เจ้ากล่าวเกินไปแล้วนิศานาถ”



“ข้ามิกล่าวเกินจริง ท่านพ่อทำหน้าที่พ่อได้ดีไม่แพ้ใคร จนข้าอยากจะพาน้องมาให้ท่านพ่อได้เลี้ยงดูสั่งสอน ข้าเชื่อว่าน้องจะต้องคิดเช่นเดียวกันกับข้าและรักท่านพ่อเฉกเช่นที่ข้ารัก” นิศานาถเอ่ยและเห็นว่าพระจันทร์ผู้เป็นบิดาสดับฟังไม่พูดจาจึงกล่าวต่อไปว่า



“เหตุนี้ข้าจึงจะมาบอกท่านพ่อให้รับรู้ว่าตัวข้าจะไปหาน้องที่วิมานของเทพีณิชา”



“นิศานาถ เจ้าว่ากระไรนะ!!” พระจันทร์แทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินมาจากปากของบุตรชาย



“ท่านพ่อฟังไม่ผิด ข้านี้จะไปหาน้อง ท่านพ่อมีสิ่งใดอยากให้น้องแล้วไซร้โปรดมอบให้ลูกเถิด ข้านี้จะมอบให้น้องถึงมือ” นิศานาถยืนยันอีกครั้งทั้งยังอาสานำของแทนใจจากบิดาส่งมอบให้อนุชาตัวน้อย



จันทราเทพได้ฟังพลันใจชื้น ร่ายคาถาเสกกำไลหยกใส ดูแวววาวไม่ต่างจากหยาดมธุรส ด้านในของกำไลมีอักขระอาคมแห่งพลังปกปักรักษาแก่ผู้สวมใส่ให้พ้นจากภยันอันตรายที่หมายโจมตี พระจันทร์ส่งมอบกำไลหยกให้นิศานาถรับไว้ด้วยใจยินดี สองพ่อลูกต่างมองหน้าและส่งยิ้มให้กัน ความสุขที่ห่างหายไปนานค่อยๆปรากฏขึ้นไม่ต่างจากเมล็ดพันธุ์เพิ่งแตกหน่อและหวังว่าจะเติบใหญ่เป็นต้นไม้แห่งความสุขตราบนานเท่านาน



*****

“ข้าเข้าใจท่านดี ท่านนิศานาถ แต่ว่า…”



“ข้าขอร้องท่านเทพีณิชาหรือจักให้ข้าก้มกราบท่านข้าก็ยินยอม ข้าขอเพียงได้พบเจอจันทรัชน้องชายของข้า” นิศานาถไม่เพียงแค่เอ่ยออกมา หากการกระทำที่แสดงออกย่อมเป็นไปตามนั้น ร่างสูงโปร่งแลสง่ายอบกายลงพร้อมจะก้มกราบ ทว่าเทพีสวมภูษาสีงาช้างกลับห้ามไว้เสียก่อน



“องค์นิศานาถอย่าได้กระทำเช่นนี้เลย ใช่ข้าอยากจะขัดขวางท่านไม่ให้เจออนุชาแห่งท่านแต่การที่ท่านพบเจอและแสดงตัวว่าท่านเป็นใครกับจันทรัช ย่อมไม่เป็นผลดีแน่”



“ข้าเข้าใจดี น้องยังเล็กนัก ท่านอย่าได้กังวลใจไป ข้าจะไม่เปิดเผยว่าข้าเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดจะไม่เล่าเรื่องราวชาติกำเนิดของจันทรัช ข้าเพียงได้พูดคุย ได้เล่นและมอบของขวัญจากท่านพ่อให้กับน้องเพียงเท่านนั้น เทพีณิชาโปรดเชื่อใจข้า”



“ได้ ข้าจะอนุญาตให้ท่านเจอกับจันทรัชได้เพียงแค่ ๑ ชั่วยามเท่านั้นเพราะหลังจากนั้นองค์กรวีร์จะมารับจันทรัชกลับวิมาน” เทพีณิชาเห็นความพยายามจึงยินยอมให้นิศานาถได้เจอกับจันทรัชโดยสร้างเงื่อนไขเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายที่จะตามมา



“ขอบน้ำใจท่านมากเทพีณิชา”



นางอัปสรรับใช้ได้นำทางนิศานาถมายังห้องตำรา คราแรกนิศานาถประหลาดใจยิ่งนักว่าเหตุไฉนนางฟ้าเหล่านี้ถึงได้พาตนมาที่นี่แทนลานกว้างอันมีไว้ให้เทพและเทพีตัวน้อยวิ่งเล่น แต่พอมาถึงหน้าประตูนิศานาถได้เห็นร่างเล็กสวมอาภรณ์สีเปลือกสังข์แทบกลืนกับฉวีวรรณงามผ่อง จมูกโด่ง ริมฝีปากแดงสดไม่ต่างจากตนและบิดา เว้นดวงตากลมดุจกวางกับคิ้วสวยได้รูปที่ได้มาจากนางดารา ไม่ผิดแน่…จันทรัช



“พวกข้าขอส่งท่านนิศานาถเพียงเท่านี้” นางอัปสรเอ่ยพน้อมค้อมคำนับก่อนจะพาดันออกไป



นิศานาถเยื้องย่างเข้าไปในห้องที่มีตำราคาถาและความรู้เบื้องต้นต่างๆสำหรับเทพวัยเยาว์เก็บไว้ แน่นอนว่ามันเป็นสถานที่แสนน่าเบื่อเพราะเช้าจรดบ่ายต่างร่ำเรียนแทบไม่มีพัก เมื่อได้พัก ได้เว้นว่างจากการเรียนก็ต่างพากันเล่น ยกเว้นจันทรัชที่มักใช้เวลานี้ในการเข้ามาอ่านตำราเพิ่มเติมที่เทพีณิชาไม่ได้สอน ห้องตำราจึงกลายเป็นโลกของจันทรัชเพียงผู้เดียว



“เทพน้อย ขอให้พี่นั่งกับเจ้าได้หรือไม่” น้ำเสียงทุ้มแฝงไปด้วยความใจดีดังขึ้นจากด้านหลังของจันทรัช ทำให้ผู้ถูกเรียกว่าเทพน้อยหันไปมองก็พบว่ามีเทวาวัยใกล้เคียงกับพี่ใหญ่ของตนยืนอยู่



“ได้ขอรับ” จันทรัชเอ่ยก่อนจะขยับตัวเพิ่มช่องว่างให้นิศานาถได้นั่งใกล้ๆ



“เจ้าชื่ออันใดหรือ พี่ชายนี้นามว่านิศานาถ” รู้ว่าดูจะเสียมารยาทที่เข้ารบกวนจันทรัชที่กำลังนั่งอ่านตำราแต่นิศานาถอยากทำทีเข้าหาจันทรัชเสมือนไม่เคยรับรู้เรื่องราวของเด็กน้อยข้างกายมาก่อน



“จันทรัชขอรับ” เจ้าของชื่อเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ไม่มีท่าทีหงุดหงิดจากการถูกรบกวน



“แล้วจันทรัชกำลังอ่านสิ่งใดอยู่เล่า ดูแล้วน่าสนใจไม่ใช่น้อยหรือมีคาถาอันใดที่ไม่เข้าใจก็บอก ‘พี่’ ได้” นิศานาถสังเกตเห็นตั้งแต่เข้าประตูแล้วว่าจันทรัชกำลังง่วนอ่านตำราและไม่บืมเน้นย้ำน้ำหนักเสียงตรงคำว่า ‘พี่’ อีกด้วย



“ข้าสนใจคาถาบทนี้ขอรับ” จันทรัชเลื่อนตำราให้นิศานาถดู นิ้วเล็กๆชี้ไปยังอักษร ‘คาถาพลางกาย’ คาถานี้ไม่ยากสำหรับนิศานาถแต่คงจะยากสำหรับเด็กเล็กอย่างจันทรัช



“ไยเจ้าถึงปรารถนาอยากเรียนคาถานี้เล่า เหตุใดไม่รอให้โตกว่านี้เสียหน่อย”



“เห็นทีข้าจักรอมิได้ขอรับ ถ้าพึงใจที่จะศึกษาเพราะเห็นว่ามีประโยชน์แก่ตัวข้า อีกทั้งข้ามักจะเล่นซ่อนแอบกับพี่กรวีร์ หากมีคาถานี้พี่กรวีร์คงหาข้าไม่เจอเพราะเจอทีไรก็มักจับข้ามาหอมจนแก้มช้ำ ข้าปวดแก้มยิ่งนัก” จันทรัชเล่าถึงสาเหตุที่ต้องการใช้คาถา เล่าไปพลางใบหน้าก็คล้ายเป็นลูกแมวไปพลาง น่าเอ็นดูเสียจริง หากศศินาถเป็นกรวีร์คงจะทำมิต่างกัน



“เจ้าน่ารักเยี่ยงนี้ หากพี่เป็นพี่ของเจ้าแล้วไซร้คงอดใจไม่ให้กอด ไม่ให้หอมคงจะไม่ได้ดอกหนา แต่ถ้าเจ้าอยากจะเรียนรู้พี่จะสอนคาถาให้เจ้า” นิศานาถกล่าวชมก่อนจะเสนอตัวเป็นอาจารย์ หัตถาใหญ่ลูบไปยังเกศานุ่มของจันทรัช



“จริงหรือ ท่านจะสอนท่านจริงหรือ” จันทรัชเอ่ยซ้ำด้วยไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน



“จริงสิ พี่ไม่มีความจำเป็นใดต้องโกหกเจ้าแต่…” นิศานาถเว้นคำเอาไว้ หมายแกล้งเทพน้อยมที่พักตราสลดลงอย่างเห็นได้ชัด คงกลัวว่าตนจะเรียกเก็บเงินเก็บทองเป็นแน่



“ขอให้พี่เป็นพี่ของเจ้า ขอให้เจ้าเรียกพี่ว่าพี่” ในเพลานี้ไม่มีสิ่งใดในโลกหล้าที่นิศานาถต้องการไปกว่าจันทรัชอนุชาในสายโลหิตจะเรียกตนว่าพี่



“ได้ขอรับ…พี่นิศานาถ”



เพียงคำสั้นๆกลับมีอิทธิพลต่อจิตใจถึงเพียงนี้ ดวงใจพองโตเต้นระรัวด้วยความตื้นตัน ความสุขเอ่อล้นจนมิอาจห้ามกาย ห้ามใจให้แสดงความรัก ฝ่ามือคว้าเอวเล็กแล้วรั้งร่างของจันทรัชให้นั่งบนตักก่อนสวมกอด ใบหน้าซุกลงบนบ่าเล็ก



“ขอบน้ำใจเจ้ามากจันทรัช…พี่ขอบน้ำใจเจ้ามาก” น้ำเสียงสั่นเครือคล้ายสะกดกลั้นก้อนสะอื้นทำให้จันทรัชแปลกใจไม่น้อย ไหนจะการกระทำกอดโอบนี้อีก ทว่าจันทรัชไม่คิดขัดขืนเพราะกายานี้ จิตใจดวงนี้รู้สึกอบอุ่นและพันผูก



เมื่อเสพสุขจากการกอดจนพอใจนิศานาถจึงเริ่มสอนคาถาพลางกาย เคล็ดลับของคาถานี้ไม่ใช่เพียงจดจำคำยืดยาวได้เท่านั้นแต่จะต้องมีใจตั้งมั่นระลึกถึงสิ่งที่ตนต้องการจะอำพลาง ยามใดที่สติหลุดลอยแม้เพียงเล็กน้อยคาถาจะคลายลงทันทีทันใด



“เก่งมากจันทรัช” นิศานาถกล่าวชมลูกศิษย์ผู้ซึ่งหายกลืนไปกับผนังหินอ่อน



“เก่งเพราะได้ครูดี” จันทรัชถ่อมตัว จากนั้นกลับคืนร่างปรากฏกาย



“แล้วเจ้าอยากเก่งยิ่งกว่านี้หรือไม่…น้องพี่”



“อยากขอรับ รัชอยากเก่ง” จันทรัชบอกความต้องการพลางกอดแขนพี่ชายคนใหม่ ทั้งเผลอแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นที่ไว้ใช้กับคนสนิทอีก ยิ่งทำให้นิศานาถหลงน้องชายเพิ่มขึ้นไปอีก



“พี่จะพาเจ้าไปวิมานของพี่ดีไหมเล่า ที่นั่นมีตำรามากมายให้เจ้าได้หยิบอ่าน” เพียงได้ฟังดวงตาของจันทรัชเปล่งประกายระยิบระยับดั่งมีหมู่ดาวนับแสนคอยส่องแสง นิศานาถหลงน้องชายมากขึ้นเป็นทวี



“ดีขอรับ พี่นิศานาถจะพารัชไปจริงๆใช่ไหม” จันทรัชถามน้ำเสียงเจื้อยแจ้วบ่งบอกว่าตื่นเต้นดีใจดัลิงโลดมากแค่ไหน



“พี่มิโป้ปดเจ้า หากแต่มิใช่วันนี้ น้องรอวันหน้าพี่ถึงจะพาน้องไป” นิศานาถเอ่ย จันทรัชก้มหน้าลงสีหน้าเศร้าลงจนเห็นได้ชัด คนเป็นพี่เห็นแล้วใจแทบร่วงถึงตาตุ่มไม่คิดว่าคนน้องจะเสียใจ



“จันทรัชพี่ขอโทษที่ไม่สามารถพาน้องไปได้ในวันนี้ อย่าได้เสียใจเลยหนา” นิศานาถยอบกายลงสวมกอด มือเรียวคอยลูบหลังของจันทรัชอย่างเบามือ



“รัชไม่โกรธพี่นิศานาถ รัชแค่กลัวว่าพี่นิศานาถจะไม่มาหารัชเหมือนคนอื่นๆ หลายคนเคยบอกรัชเช่นนี้แต่พอวันหลังก็ไม่พารัชไป บ้างก็มองรัชด้วยสายตาเย็นชา บางกระซิบกระซาบว่าไม่อยากเสวนากับลูกชู้อย่างรัชอีก ลูกชู้คืออันใดหรือ รัชถามเทพีณิชา พี่นางฟ้าก็มิตอบ ค้นหาตามตำราก็มิเคยเจอ ถ้าลูกชู้น่ารังเกียจและรัชเป็นดั่งที่เขาว่าพี่นิศานาถยังจะมาหารัชอีกหรือไม่” จันทรัชช้อนตามองใบหน้าที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่า นิศานาถไม่กล่าวอันใดแม้นในใจอยากจะไล่เทียวไล่สืบหาจัดการผู้ที่ทำให้จันทรัชต้องชอกช้ำ หากเวลานี้สิ่งทำได้เคลื่อนใบหน้าจรดริมฝีปากกับหน้าผากเนียนปลอบขวัญคนในอ้อมกอด



“จันทรัชน้องพี่จงเข้มแข็ง ใครว่าด่าทออย่าได้ใส่ใจ ใครไม่ต้องการน้องก็ช่างประไร จงรับรู้ไว้ว่าน้องยังมีพี่ที่รักน้อง พี่จะไม่ทอดทิ้งจะกลับมาหาจันทรัชคนดีไม่หนีหาย” นิศานาถให้คำมั่น ไม่ใช่เพียงคำมั่นต่อจันทรัชเท่านั้น ยังเป็นคำมั่นที่มีให้กับตนเอง



“พี่นิศานาถเอ่ยแล้วอย่าได้โป้ปดรัชนะ”



“พี่สัญญา ครานี้น้องอย่าได้เศร้าโศกาอีกเลย พี่อยากเห็นน้องยิ้มกว้างเมื่อได้รับรางวัลจากพี่” นิศานาถย้ำสัญญาให้จันทรัชสบายใจ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องไม่ให้จันทรัชคิดถึงเรื่องไม่ดีพวกนั้นอีก



“รางวัลหรือ…พี่นิศานาถจะให้รางวัลอันใดรัช” นิศานาถไม่ตอบ เทพารูปงามกลับร่ายคาถาเสกกำไลหยกขึ้นมาให้ลอยปรากฏอยู่ตรงหน้า กำไลหยกที่บิดาฝากไว้ให้กับจันทรัช องค์นิศานาถคว้าข้อมือเล็กที่พยายามขัดขืนไม่ยอมใส่



“พี่นิศานาถสร้อยเส้นนี้แลเป็นของวิเศษซ้ำยังมีค่า รัชเกรงว่ามันมิเหมาะกับรัช”



“ใครว่าไม่เหมาะสม สร้อยงามเช่นนี้เหมาะกับน้องเป็นที่สุด” นิศานาถใช้แรงที่มียื้อยุดฉุดแขนมาได้แล้วรีบสวมใส่สร้อยเส้นเล็กนี้ให้จันทรัช



“สร้อยเส้นนี้จะคอยปกป้องน้องจากอันตราย สวมเอาไว้อย่าได้ถอด แล้วก็พี่มีเรื่องประการหนึ่งจะขอกับน้อง…”



“พี่นิศานาถจะขอสิ่งใดหรือ…”



.

.

.



“จันทรัชน้องพี่วันนี้เกิดเรื่องดีกับเจ้าใช่หรือไม่” พระกรวีร์เอ่ยถาม เมื่อก้าวเข้ามายังห้องนอนของตนที่มีจันทรัชกำลังนั่งบนตั่งกว้าง ทั้งที่เพียงปรายตามองเล็กน้อยก็พอจะเดาออกจากสีหน้า แววตาของจันทรัช ไหนเอยจะรอยยิ้มบางๆ ดวงตาสดใสไม่ต่างจากดวงดาวสุกสกาว จันทรัชไม่เคยเป็นเช่นนี้เลยยามกลับมาจากวิมานงาช้าง ด้วยเพราะไม่มีใครยุ่งเกี่ยวและจันทรัชเองมักปลีกตนอ่านตำราเสียมากกว่า…เทพผู้เป็นพี่รู้ดี



“รัช…รัชจำคาถาใหม่ได้ขอรับ” จันทรัชตอบ หากพักตรางามก้มต่ำมองดูกำไลหยก ดูพลางยิ้มพลางจนกรวีร์สงสัยว่าคงมิใช่เพราะจำคาถาใหม่ได้กระมัง



“สร้อยเส้นนี้งามยิ่งนักน้องพี่เจ้าได้จากไหน” พระกรวีร์ก้าวเท้าโดยไว เข้ามาคว้าข้อมือเล็กไว้เพื่อดูเครื่องประดับชิ้นงาม ทว่าจันทรัชกลับขืนตัวชักมือออก



“จันทรัช…ไยมิตอบพี่แล้วเหตุใดถึงมิยอมให้พี่ได้ดู” สร้อยเส้นนี้มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาเสียแล้ว เห็นทีราตรีนี้จักต้องสอบสวนเอาคำตอบจากจันทรัชให้จงได้



“สร้อยนี้เป็นของรัชขอรับ” จันทรัชเอ่ยด้วยน้ำเสียแผ่วเบา เหตุที่ไม่ตอบเพราะจันทรัชไม่คิดจะโกหก อีกทั้งสัญญากับศศินาถไม่ให้บอกใครเกี่ยวกับสร้อยเส้นนี้



“ใครให้น้องกันเล่าบอกพี่ได้หรือไม่” กรวีร์จับไหล่เล็กแล้วขยับให้จันทรัชนั่งเผชิญหน้ากับตนโดยตรง



“รัชขออภัย รัชมิอาจบอกท่านพี่ได้”



“จันทรัช หากน้องไม่บอกพี่แล้วพี่จักรู้ได้อย่างไรเล่าว่าผู้ที่ให้นี้มีจุดประสงค์อันใด!!! ไม่แน่อาจจะมีมนต์มารแฝงมาทำร้ายเจ้าก็เป็นได้!!!” ห่วงแสนห่วง กลัวอนุชาจะโดนรังแก ยิ่งไม่นานมานี้กรวีร์เพิ่งรู้ว่าจันทรัชถูก ‘กนธี’ บุตรในสนมของสมุทรเทพรังแก กรวีร์แทบอยากลงไปใต้ท้องมหานทีชำระความเอาคืนเสีย



“ฮึก…พี่กรวีร์” เนตรงามร้อนผ่าวจนแดงก่ำ อัสสุชลค่อยๆคลอเบ้าแล้วรินไหล ปกติจันทรัชหาใช่เด็กเจ้าน้ำตาซ้ำยังเข้มแข็ง หากตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเลยสักคราที่ถูกผู้เป็นพี่เสียงดังใส่ เลยเกิดผลกระทบให้หฤทัยเจ็บปวด น้ำตาเพียงหนึ่งหยดเรียกสติของกรวีร์ให้คืนมาว่าตนเผลอพลั้งปากใช้เสียงแข็ง ทั้งตวาดดังลั่น…เพราะรัก เพราะหวง จึงห่วงสิ้นสติ



“จันทรัช..พะ…พี่” พระกรวีร์เอื้อมมือหมายรั้งกายเล็กมาสวมกอด ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัสเนื้อนิ่มของผู้ที่กำลังสะอื้นไห้ บานประตูห้องพลันเปิดออก



“ท่านแม่…ฮึก…ท่านพ่อ..ฮือ…” จันทรัชทิ้งแล้วซึ่งความสำรวมใดใด เทพตัวน้อยลงจากตั่งวิ่งเข้าสวมกอดนางดาราเทวีที่รีบเดินเข้าหาเพื่อสวมกอดบุตรคนสุดท้องไว้แนบอก



“ไม่ร้องนะคนดีของแม่” นางดาราเทวีอุ้มจันทรัชขึ้นมา จันทรัชซุกใบหน้าลงบนอกทำให้นางรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ยามเห็นลูกเจ็บเช่นนี้ คนเป็นแม่ก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน



“ดาราน้องพี่ น้องพาจันทรัชไปยังห้องของน้องเถิด พี่นี้จักพูดคุยกับกรวีร์ก่อน” พระพฤหัสบดีเอ่ย หากสายตามองไปยังกำไลหยกของจันทรัช เมื่อสิ้นประโยคของผู้เป็นสวามี นางดาราเทวีจึงอุ้มจันทรัชออกไป



“เกิดอันใดขึ้นกรวีร์ ไยเจ้าถึงได้เอะอะเสียงดังใส่น้องจนร้องไห้ออกมาเช่นนี้” พระพฤหัสบดีถามบุตรชาย แม้จักพอมีคำตอบในใจอยู่แล้ว



“ท่านพ่อลูกผิดเองขอรับ ลูกผิดที่คุมสติไม่อยู่เพราะเป็นห่วงน้อง”



“ห่วงน้องด้วยเรื่องอันใด” เทวารัศมีสีแสดถามต่อเพื่อหาความกระจ่าง



พระกรวีร์เริ่มระบายความรู้สึกเป็นห่วงของตนที่มีต่อจันทรัช ทำให้ระแวงกลัวจันทรัชจะถูกกลั่นแกล้งทำร้ายเป็นเหตุเมื่อเห็นกำไลหยกจึงพยายามสอบถาม แต่จันทรัชดื้อรั้นมิยอมตอบทำให้พระกรวีร์เป็นฝ่ายพลาดพลั้งทำร้ายจิตใจจนจันทรัชหลั่งน้ำตา



…‘ภาพใบหน้ายามร้องไห้ของจันทรัชยังคงตอกย้ำความผิด’…



“พ่อเข้าใจเจ้ากรวีร์แต่พ่อขอตำหนิเจ้าที่วู่วามใช้อารมณ์ให้เหนือสติ” พระพฤหัสบดีเปี่ยมด้วยเมตตาจึงมิได้ดุด่ารุนแรง ด้วยอยากให้บุตราได้ไตร่ตรองและรู้ถึงความผิด



“ลูกเข้าใจแล้วท่านพ่อว่าลูกนี้ผิด หากลูกยังคงห่วงกลัวว่ากำไลหยกนั่นอาจเป็นของอัปมงคลก็เป็นได้” พระกรวีร์เอ่ยออกมาจาหกใจไม่ปิดบัง แม้นกำไลหยกจะงดงามเพียงใดตนก็ไม่วางใจ



“กรวีร์เอ๋ย เจ้าอย่าได้กังวล กำไลหยกที่จันทรัชสวมใส่หาใช่ของอัปมงคลดั่งที่เจ้าคิด จากนี้ไปอย่าเก็บมาคิดเป็นกังวลอีก”



“แต่ท่านพ่อ…”



“ไม่มีแต่…กรวีร์เจ้าก็รู้ว่าวิมานของเรามีมนตราค่ายกลแห่งอาชาไนยทั้งแปดทิศ เจ้าคิดหรือว่าสิ่งชั่วร้ายใดใดจะกล้ำกรายเข้ามาได้” พระพฤหัสบดีเอ่ย พระกรวีร์สดับฟังแล้วก็ไม่มีท่าทีโต้ตอบอันใดออกมาอีก เทพผู้เป็นพ่อยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ากรวีร์นั้นมีท่าทีอ่อนลง



“พ่อว่าเพลานี้เจ้าควรไปหาน้อง มิรู้ว่ามารดาเจ้าจักปลอบได้หรือไม่ เจ้าก็รู้ดีว่าจันทรัชนั้นยิ้มง่ายร้องยาก หากได้ร้องก็ร้องมิยอมหยุด”



“เช่นนี้แล้วลูกขอตัวไปหาน้องก่อนนะขอรับ” กรวีร์เอ่ย พระพฤหัสบดีพยักหน้า มองลูกที่วิ่งออกไปทั้งที่สอนเสมอว่าควรสำรวมไม่วิ่งตึงตัง แต่รัติกาลนี้พระพฤหัสบดีจะละเว้นโทษไว้เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ขบคิด ด้วยณานบารมีของพระพฤหัสบดีมีหรือจะไม่รู้ถึงที่มาที่ไปของสร้อยบนข้อมือจันทรัช



“จันทราเทพ…ข้าเข้าใจหัวอกของผู้เป็นพ่อ ข้าจะหลับหู หลับตาแสร้งไม่รับรู้เรื่องกำไลหยกนั่น”



“จันทรัช…จันทรัชน้องพี่ หันหน้ามาหาพี่เถิด พี่ขอโทษจันทรัช”



ใครเล่าจะคิดว่าจะได้เห็นเทพหนุ่มรูปงามอย่างกรวีร์นั่งคุกเข่าข้างเตียงพูดจางอนง้อเทพตัวเล็กที่นอนหันหลังกอดรัดนางนางดาราเทวีแน่นเป็นนานสองนาน ‘น่าเอ็นดูเสียจริง’ ไม่ว่าจะนางดาราเทวีเองหรือนางอัปสรผู้รับใช้ต่างลงความเห็นในทิศทางเดียวกัน



“ไม่เอา…พี่กรวีร์เสียงดังใส่รัช…ฮึก” คำตอบเปล่งออกมาผ่านน้ำเสียงอู้อี้



“พี่ขอโทษ…พี่เสียงดัง พี่ดุเพราะเป็นห่วงน้องอย่างไรเล่า จันทรัชหันมาหาพี่เถิดหนา หันมาเอ่ยวาจาว่าน้องนี้หายโกรธพี่” กรวีร์เอื้อมหัตถาลูบไล้แผ่นหลัง จันทรัชพอโดนอีกฝ่ายสัมผัสพลันขยับหนียิ่งสร้างความเสียใจให้กับคนเป็นพี่ที่โดนหมางเมิน



“จันทรัชไม่สงสารพี่หรือลูก พี่กรวีร์นั่งคุกเข่าขอโทษลูกมาหลายเพลา ไหนจะพร่ำเอ่ยขอให้ลูกยกโทษให้อีก จันทรัชไม่ยกโทษให้พี่สักคราหรือว่าไม่รักพี่กรวีร์แล้ว” ถึงคราวนางดาราเทวีต้องยื่นมือไกล่เกลี่ย แม้นบุตรชายทั้งสองจักมีอุปนิสัยโดยรวมคล้ายกัน จิตใจดี มีมารยาทแต่ข้อแตกต่างก็มีเช่นกัน กรวีร์มีความแข็งนอกอ่อนใน ในขณะคนในอ้อมกอดภายนอกดูร่าเริงแจ่มใจ น่าทะนุถนอมกลับอ่อนนอกแข็งใน ทั้งดื้อรั้น ดื้อเงียบ เหตุนี้กรวีร์ถึงได้ง้องอนจันทรัชจนล่วงเลยเวลานอน



“รัก…รัชรักพี่กรวีร์แต่รัชเจ็บที่ตรงนี้ด้วย” จันทรัชขยับออกห่างนางดาราเทวีเล็กน้อย ก่อนชี้นิ้วไปที่อกซ้าย พระกรวีร์ได้เห็นเป็นใจเสีย พักตราเศร้าลงถนัดตา



“จันทรัชคนดี…พี่เองก็เจ็บไม่แพ้กันยามเห็นน้ำตาของน้อง หันมาหาพี่นะคนดี พี่จะรักษาให้น้องหายเจ็บ” น้ำเสียงสั่นเครือทำให้จันทรัชใจอ่อน เนื่องด้วยไม่ประสงค์ให้พระเชษฐาเสียใจ จันทรัชขยับกายหันมาหาพระกรวีร์



“รักษารัช” จันทรัชพูดออกมาสั้นๆ พระกรวีร์แค่ได้เห็นน้องกลับมามองตนก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าใกล้อกด้านซ้ายของน้อง



“เพี้ยง…ความเจ็บปวดจงหายไป” คาถาง่ายๆที่ใช้หลอกเด็กถูกนำมาใช้อีกครั้งและได้ผลเสียด้วย คนเจ็บหายเจ็บทั้งยิ้มกว้าง



“หายโกรธพี่แล้วใช่หรือไม่” พระกรวีร์ถาม คำตอบที่ได้ก็น่าพึงพอใจยิ่งจากอากัปกิริยาของจันทรัชที่พยักหน้าให้



“เช่นนี้ก็กลับไปนอนกับพี่”



“อื้อ…รัชง่วง รัชไม่มีแรงลุก” จันทรัชป้องปากหาว เด็กน้อยเกิดอาการเพลียจากการร้องไห้และเลยเวลานอนไปค่อนข้างมาก



“ไม่เป็นไรพี่จะอุ้มน้องเข้านอนเอง” ไม่รอให้จันทรัชเอื้อนเอ่ยสิ่งใด พระกรวีร์ลุกขึ้นยืนแล้วก้มตัวลงช้อนกายของจันทรัชขึ้นมาอุ้ม พอก้มดูเจ้าตัวดื้อก็หลับพริ้มซุกเข้ากับแผ่นอกเสียแล้ว บทจะหลับก็ง่ายเสียเหลือเกิน



“ดูสิร้องไห้จนเหนื่อย หมดฤทธิ์จนได้” นางดาราเทวีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม



“นั่นสิขอรับ ท่านแม่ลูกพาน้องเข้านอนก่อน ท่านแม่เองก็พักผ่อนนะขอรับ” พระกรวีร์บอกลานางดาราเทวีแล้วเดินกลับไปยังห้องของตน



พระกรวีร์ค่อยๆวางจันทรัชให้นอนลงบนเตียง จัดท่าทางให้น้องได้นอนสบายและไม่ลืมใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า เสร็จแล้วเทพหนุ่มก็นอนลงข้างกายรั้งจันทรัชเข้ามากอด จากนั้นโน้มใบหน้าเล็กน้อยเพื่อประทับริมฝีปากไปยังหน้าผากของจันทรัชดั่งที่ทำมาทุกๆคืนเพื่อเป็นเครื่องรางให้จันทรัชนอนฝันดี ทว่าก่อนที่ตนเองจะเข้าสู่ห้วงนิทราดวงเนตรนั้นจับจ้องไปยังกำไลหยกสีน้ำผึ้ง



…‘ถึงท่านพ่อจักบอกว่ากำไลหยกมิได้อันตรายทำร้ายน้อง หากพี่ไม่วางใจและใคร่รู้เสียเหลือเกินว่าใครกันหนอมอบให้เจ้า…แต่เอาเถิดวันพรุ่งพี่คงได้รู้’…



.



.



.



ทางด้านวิมานจันทรา…

“นิศานาถ ดึกดื่นเช่นนี้แล้วไยเจ้าไม่หลับนอน” จันทราเทพที่ออกจากการนั่งสมาธิได้ซักถามบุตรที่กำลังเลือกหยิบตำราคาถาที่วางกองไว้จนแทบจะทั่วทุกมุมห้อง



“ข้ากำลังคัดเลือกตำราขอรับท่านพ่อ” นิศานาถตอบทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาเลือก หนำซ้ำมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้างามไร้ซึ่งความเหน็ดเหนื่อย



“จะนำตำราไปไหนเล่าถึงได้ตั้งใจเลือกนัก”



“ท่านพ่อเพิ่งออกจากสมาธิข้าจึงไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับน้องในวันนี้”



“ถ้าจะให้พ่อคาดเดาคงไม่แคล้วเกี่ยวกับที่เจ้ากำลังเลือกตำราใช่หรือไม่”



“ใช่ขอรับท่านพ่อ น้องชอบอ่านตำราลูกจึงเลือกตำราจากวิมานของเรา ข้าคิดว่าจะนำตำราไปให้น้องอ่านและสอนน้องในวันพรุ่งนี้”











มาแล้วค่ะ มีการแก้ไขเล็กน้อยในส่วนของสร้อยข้อมือ ขอเปลี่ยนเป็นกำไลหยกนะคะ

อ่อ ตอนหน้าของจันทรัชแน่นอนคงมีศึกชิงน้องแน่ 5555

ส่วนนิยายตอนหลัก จะกลับมาแน่นอนค่ะ ขอเคลียร์งานก่อนนะคะ ตอนนี้วุ่นวายยาวมากกกกก

ท่านยุ่งขอแจ้งว่าช่วงนี้หายไป อัพเดทช้าหน่อยนะคะ พอดีมีงานเร่งเข้ามาเลยต้องเคลียร์เสียก่อน อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ คิดถึงทุกคนมากกกก



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านมาเม้น มาเป็นกำลังใจนะคะ วิจารณ์ ติชม ได้ตามสบายค่ะ ยุ่งอ่านหมดค่ะ ทุกคำเป็นแรงฮึดดด 5555



ป.ล. คิดถึง
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.พิเศษ 100% P.4 (29/10/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-10-2019 18:39:21
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.พิเศษ 100% P.4 (29/10/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 31-10-2019 09:16:23
รอๆ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.พิเศษ 100% P.4 (10/12/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 10-12-2019 19:33:25
กาลครั้งหนึ่งของจันทรัช

Author : Tan-Yung0209

File : 03.2



ไม่มีคราใดที่การรอคอยของจันทรัชจะมีหลากหลายอารมณ์ผสมอยู่ ทั้งพะว้าพะวง ทั้งหวาดกลัว ระคนปนเปไปกับความตื่นเต้น จนอดที่จะชะเง้อมองไปยังบานประตูแทบจะเป็นสิบรอบ ผิดกับวิสัยที่เรียบร้อยวางตัวดีและมักจะจดจ่อกับตำราในมือ หากวันนี้จันทรัชกลับทำตนมิสมกับความเป็นตนเอง



“เหตุใดพี่นิศานาถยังไม่มา หรือว่าจะทิ้งรัชเฉกเช่นผู้อื่น” จันทรัชพึมพำกับตนเอง แววตาตัดพ้อปนโศกดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก



“จันทรัช ไยน้องถึงเศร้าโศกมีใครทำอันใดน้องหรือ” แว่วเสียงที่รอคอยดังขึ้น จันทรัชผันหน้าไปตามเสียงพลันก็ยิ้มกว้าง ‘พี่นิศานาถ’ ได้มาหาตนตามสัญญา



“มิมีใครทำอันใดรัชดอกขอรับ”



“แล้วเหตุใดสีหน้าของน้องถึงฉายแววโศกเศร้ายิ่งนัก” นิศานาถถาม พลางนั่งลงเคียงกายาเล็กแล้วใช้มือลูบไล้ไปยังเกศาสีปีกกา



“รัชกลัวพี่นิศานาถไม่มาหารัช” จันทรัชตอบเสียงแผ่ว นิศานาถได้สดับฟังก็ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าชิดใกล้ปลายนาสิกจรดลงยังปรางค์นวล



‘ฟอด..’



“น้องพี่น่าเอ็นดูเช่นนี้ พี่หรือจะทิ้งน้องได้ลงคอ” การแสดงความรักแสนเรียบง่ายมาพร้อมกับความจริงใจที่แสดงออกไปผ่านถ้อยคำช่วยให้รอยยิ้มของจันทรัชปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง



“รัชดีใจเหลือเกินที่พี่นิศานาถเมตตาข้าถึงเพียงนี้ นอกจากพี่กรวีร์กับพี่ศนิก็มีพี่นิศานาถนี่แหละหนา ไม่คิดรังเกียจเด็กชาวป่าลูกกุญชรเช่นรัช” จันทรัชเข้าสวมกอดออดอ้อน นิศานาถได้ยินคราแรกก็อดแปลกใจมิใช่น้อยเมื่อจันทรัชเอ่ยถึงพระศนิผู้ไม่ชอบสุงสิงกับใครผู้นั้น หากบุตรแห่งจันทราเทพไม่คิดซักถามเพราะอยากจะใช้เวลาที่มีอยู่นี้พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับตนและจันทรัชเสียมากกว่า



“ก็รัชเป็นน้องพี่ ในอักษรจากนามของน้องเองก็มีความหมายไปในทิศทางเดียวกับนามของพี่”



“จริงหรือพี่นิศานาถ” จันทรัชถาม ท่าทางกระตือรือร้นคล้ายกระต่ายขนฟูเสียเหลือเกิน



“ใช่…จันทรัช หากตัดตัวสะกดออกไปเหลือเพียง จันทร (จัน-ทะ-ระ) ก็จะแปลว่าพระจันทร์ เช่นเดียวกับนามนิศานาถอันแปลว่าพระจันทร์หรือเป็นที่พึ่งในยามค่ำคืน” องค์นิศานาถอธิบายการเล่นคำเพื่อบอกความนัยอันเป็นสายใยบ่งบอกความสัมพันธ์



“แล้วถ้าเพลานั้นท้องฟ้าฉาบไปด้วยรัศมีแห่งอาทิตยาเล่า พี่นิศานาถจักเป็นที่พึ่งให้แก่รัชได้หรือไม่” จันทรัชถามใบหน้าเปื้อนยิ้ม นิศานาถรู้ทันทีว่าโดนน้องน้อยหยอกล้อเสียแล้วซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะนิศานาถอยากให้จันทรัชมีความสนุก ซุกซน เฉกเช่นเทพวัยเดียวกัน



“ไม่ว่ายามใดพี่จะเป็นที่พึ่งให้กับน้อง…พี่สัญญา” นิศานาถเอ่ย ขณะเดียวกันก็ยื่นนิ้วก้อยออกมาให้จันทรัชได้เกี่ยวก้อย พันธะสัญญาของสองน้องพี่จึงได้เริ่มขึ้น



“เช่นนั้นแล้ววันนี้รัชขอพึ่งพาพี่นิศานาถช่วยสอนคาถาบทใหม่ให้ได้หรือไม่เล่า” จันทรัชใช้คำพูดคำจาแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาดทำให้นิศานาถอดสรวลออกมามิได้ ใครกันช่างสั่งสอนอนุชาตรงหน้าให้เป็นเด็กรู้จักพูด



“ได้สิ เหตุใดจะไม่ได้” นิศานาถตอบ ก่อนจะเรียกตำราให้ปรากฏตรงหน้าของจันทรัช ผู้เรียนเห็นดั่งนั้นถึงกับตาลุกวาวเป็นประกาย



“ตำราหายากแลดูเก่าแก่เช่นนี้ รัชเปิดอ่านได้หรือขอรับ” จันทรัชตื่นตาตื่นใจจนมิอาจซ่อนเร้นได้ ทว่าก่อนจะหยิบจับตำราขึ้นมาอ่านก็มิวายถามผู้เป็นพี่



“ได้สิ เหตุใดจะมิได้ ในเมื่อพี่นี้เต็มใจเลือกหยิบให้น้องได้อ่าน เอาไว้วันหน้าหากมีโอกาสพี่จักพาจันทรัชคนดีไปเลือกอ่านตำราตามใจชอบ ณ วิมานของพี่ดีหรือไม่เล่า”



“เจ้าจักไม่มีโอกาสพาจันทรัชไปไหนทั้งนั้น นิศานาถ!!!”



ยังไม่ทันที่จันทรัชจะได้ให้คำตอบแด่นิศานาถ สุรเสียงอันมีความโกรธกริ้วเจือมาในน้ำเสียงดังขึ้น น้ำเสียงที่จันทรัชคุ้นเคยดีและมิอยากจะได้ยิน…ใช่ จันทรัชมิอยากได้ยินน้ำเสียงแสนเกรี้ยวกราดนี้ออกมาจาก ‘กรวีร์’ พระเชษฐาแห่งตน



“พะ…พี่กรวีร์” จันทรัชตกใจจนผวาตัวขึ้นเอ่ยนามเทพหนุ่มซึ่งกำลังเกรี้ยวกราดก้าวเท้าเดินเข้าหาตนและนิศานาถ



“มาหาพี่บัดเดี๋ยวนี้ จันทรัช!!!” ตะกอนอคติในจิตใจที่มีต่อบุตรของจันทราเทพส่งผลให้กรวีร์ใช้เสียงอันดังก้องเรียกน้องให้เข้าหา โดยหลงลืมไปเสียว่าการกระทำเช่นนี้ทำให้จันทรัชกลัวจนตัวสั่น มือเล็กๆกำชายภูษาสีเปลือกข้าวโพดเอาไว้แน่นจนนิศานาถสัมผัสได้ถึงความกลัวนี้



“กรวีร์ หยุดยืนเสียตรงนั้น” นิศานาถปรามกรวีร์



“เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาห้ามมิให้ข้าเข้าหาจันทรัช!!” กรวีร์เทพหาได้ฟังจันทราบุตร หนำซ้ำยังเร่งฝีเท้าเข้าหาจนใกล้จะถึงตัว



“สิทธิ์ของความเป็นพี่อย่างไรเล่า เจ้ามิเห็นหรือไรว่าเจ้ากำลังทำให้น้องกลัว” ใจหนึ่งอยากเข้าไปประดาบสู้รบให้รู้แล้วรู้รอด ทว่านิศานาถข่มความโหโหโกรธาไว้สุดหุบเหวของหฤทัยมิให้กระทำสิ่งใดกระทบกับจิตใจเปราะบางประดุจดวงแก้วของจันทรัช สิ่งที่ทำได้ในเพลานี้คือโอบบ่าเล็กที่กำลังสั่นไม่ต่างจากลูกนกให้แนบชิดกายตนให้มากขึ้น



แลเหมือนว่าคำตอบของนิศานาถเรียกสติของพระกรวีร์ได้ เมื่อได้นึกคิดเห็นความรู้สึกของน้องน้อยเป็นสำคัญแล้ว จึงได้ตระหนักว่าตนทำผิดต่อจันทรัชในเรื่องเดิมถึงสองครั้งสองครา ยามเห็นจันทรัชพยายามสะกดกลั้นอัสสุชล สะกดกลั้นเสียงสะอื้นมิให้เล็ดรอดจนพักตราแดงก่ำ ยิ่งทำให้พระกรวีร์รู้สึกผิดจับใจ



“จันทรัช…จันทรัชน้องพี่ พี่ขอโทษ” กรวีร์ยอบกายลงนั่งคุกเข่า แขนทั้งสองอ้าออกเตรียมรับร่างเล็กให้วิ่งเข้ามาสู่อ้อมอก จันทรัชมองดูกรวีร์สลับกับแหงนมองใบหน้างามของนิศานาถที่มีรอยยิ้มประดับให้ ทั้งพยักหน้าเป็นการสนับสนุนการตัดสินใจของจันทรัช มือน้อยที่กำชายผ้าแน่นก็คลายออก ขยับกายย่างเท้าเข้าหาพระกรวีร์ที่ยิ้มรับ



“ข้าก็นึกว่าใครส่งเสียงดังเล็ดรอดออกนอกห้องตำราที่แท้บุตรแห่งพระพฤหัสบดีกับบุตรแห่งจันทราเทพเทพนี่เอง” แสงวารีเทพพี่เลี้ยงของกนธีเอ่ยแทรกขึ้นมา ทำให้จันทรัชชะงัก เทพทั้งสามจึงมองไปยังบานประตูก็พบว่ามีเทพมากมายซึ่งมารับบุตรตราและบุตรียืนอยู่แน่นขนัด



“อ่อ…ยังมีจันทรัช บุตรของใครกันเล่าจะนับเชื้อสายใดจะทางบิดาหรือมารดาดี เป็นลูกชู้นี่ช่างลำบากเสียเหลือเกิน จริงหรือไม่ทุกท่าน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะดังก้อง คำพูดเย้ยหยันและจาบจ้วงทำให้กรวีร์และนิศานาถไม่พอใจ ผิดกับจันทรัชที่ชินชาแม้จะไม่เข้าใจก็ตามทีเพราะถูกเรียกขานลับหลังยามเทพณิชาหรือนางอัปสร ณ วิมานงาช้างไม่อยู่ด้วย



“หุบปากของเจ้าเสีย อย่าได้พ่นวาจาเน่าเหม็นเสียยิ่งกว่ามูลสุกรให้ข้าได้ยิน!!” พระกรวีร์ชี้หน้าผิดวิสัยเทพยดาผู้เคร่งครัดในมารยาท



“ข้ากล่าวความจริง ข้าผิดอันใดเล่า ใครก็รู้กันทั่วทั้งแดนสรวงค์ตลอดจนบาดาลนคร หรือแม้นอสุรโลกาเองก็รู้ว่าจันทรัชน้องของท่านเกิดจากมารดาท่านกับจันทรเทพบิดาของพระนิศานาถ แล้วไฉนจักต้องปิดบังกันหรือจะไม่ให้จันทรัชรับรู้” แสงวารีกล่าวต่อไปไม่นึกกลัว ยิ่งได้เห็นจันทรัชตัวสั่นเทิ้มน้ำตาอาบแก้มก็ยิ่งรู้สึกสะใจ เนื่องด้วยตนรังเกียจเทพน้อยผู้นี้ที่เก่งกาจเกินหน้ากนธีนายเหนือหัวของตน



“พี่กรวีร์…พี่นิศานาถ…จริงหรือไม่” จันทรัชเอ่ยถาม น้ำเสียงสั่นเครือจนแทบจะเอ่ยออกมาไม่เป็นประโยค หากทั้งกรวีร์และนิศานาถต่างนิ่งเฉย



“หากพี่ของเจ้าไม่ตอบ เจ้าลองถามเหล่าเทพที่อยู่ ณ ที่ตรงนี้ดูได้ เจ้าจะได้รู้ว่าข้าหาได้โป้ปดเจ้า”



“ข้ายืนยันว่าเรื่องที่แสงวารีกล่าวมาเป็นความจริง”



“ข้าเองก็ยืนยัน”



“ใช่ เจ้าเป็นลูกชู้ ลูกที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดถึงต้องไปอยู่ในท้องช้าง”



คำยืนยันถึงชาติกำเนิดของจันทรัชดังอื้ออึง ไม่ต่างจากฝูงผึ้งกรพือปีกดังหึ่งจนไม่รู้ว่าเสียงใคร เว้นแต่ความจริงที่เป็นเรื่องต้องห้ามได้ถูกเผยออกมา ตามด้วยเสียงสะอื้นไห้แทบขาดใจของจันทรัชเพียงเท่านี้ความอดทนของนิศานาถผู้แสนจะใจเย็นก็มลายหายสิ้น



“เงียบ!!! หุบปากเน่าหนอนของพวกเจ้าบัดเดียวนี้!!!” เพียงวาจาคงไม่อาจห้ามเทพอันธพาล…นิศานาถรู้ดี หัตถาที่เคยว่างเปล่าปรากฏหอกน้ำแข็งจึงกำมันเอาไว้มั่นก่อนจะขว้างมันออกไป



‘ฟึบ!’



‘เปรี๊ยะ!!’



ปลายหอกแหลมคมปักเข้ายังบานประตูสลัก ด้วยแรงและอานุภาพของอาวุธวิเศษทำให้เกิดรอยร้าวจนทั่ว เฉียดกายหยาบของแสงวารีไม่ถึงคืบ ความเงียบได้เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง



“เงียบก็ดี หากไม่เงียบเห็นทีพวกเจ้าจะไม่ได้เห็นเพียงหอกน้ำแข็งของนิศานาถ แลจะมีบุญได้สัมผัสดาบของข้าด้วย” พระกรวีร์เอ่ยออกมาอย่างขุ่นเคือง ดวงตาจ้องมองคอยจดจำใบหน้าของมารผู้สวมหน้ากากเทวดาไว้



พอถูกขู่และรู้ว่าอยู่ต่อไป พูดต่อไป รังแต่จะเรียกภัยเข้าสู่ตัวก็ต่างรีบแยกย้ายออกไปคนละทิศคนละทาง กรวีร์สูดลมหายใจเข้าลึกเท่าที่จะลึกได้ นิศานาถเองก็หลับตาทำสมาธิเรียกสติของตนให้เป็นปกติ



“จันทรัชน้องฟังพี่…จันทรัช!! จันทรัช!!” นิศานาถหันหลังกลับไปเพื่ออธิบายเรื่องราวให้จันทรัชฟัง ทว่าจันทรัชหาได้อยู่ในหอตำราเสียแล้ว พระกรวีร์เองพอได้ยินเช่นนั้นพลันใจหาย…จันทรัชหายไป



“เจ็บใจยิ่งนักเพราะพวกนั้น จันทรัชถึงได้…”



“กรวีร์อย่ามัวแต่ถือโทษใคร ในยามนี้ข้าว่าเราสองเร่งให้ทหารตามหาจันทรัชก่อนเถิด”



นับได้ว่าตั้งแต่สงครามระหว่างพระพฤหัสบดีกับพระจันทร์ นี่เป็นครั้งแรกที่กรวีร์เห็นด้วยกับนิศานาถและพยายามก้าวข้ามอคติร่วมมือกับอีกฝ่ายเพื่อตามหาจันทรัชน้องผู้เป็นน้อง



‘จันทรัช…น้องอยู่ที่ใดกัน’



‘จันทรัชกลับมาหาพวกพี่เถิด’



เหล่าทหารกล้าแทบทั้งวิมานแก้วมุกดาและวิมานบุษราคัมต่างเร่งออกตามหาจนสรวงสรรค์สะเทือน พระพฤหัสบดีที่กำลังสอนเหล่าศิษย์ต้องเป็นอันยกเลิกเมื่อรู้เรื่องราว นางดาราเองทราบข่าวการหายตัวไปของจันทรัชถึงกับสลบล้มพับไป ด้านจันทราเทพเองก็ยอมผิดกฏ ฝืนบทลงโทษออกจากวิมาน



“ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ออกไปเลยเรื่องนี้ข้าเองมีส่วนผิด” นิศานาถซึ่งกำลังเกณฑ์เทวดาใต้บัญชาเอ่ยกับผู้เป็นบิดา



“หากเจ้าผิด พ่อนี้จะไม่ผิดหรือ ด้วยตัวพ่อนี้เป็นสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ต่อให้ครานี้พ่อจะต้องรับโทษทัณฑ์เพิ่มพ่อก็ยินดี ขอเพียงให้ได้พาตัวน้องกลับมา” พระจันทร์เอ่ย นิศานาถเมื่อรู้ว่าไม่สามารถห้ามได้จึงยินยอมไม่คิดขวาง ก่อนที่ทั้งสองจะนำพลออกจากวิมานตามหาจันทรัช



การออกตามหาจันทรัชนั้นยากเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก ใครจะคิดเล่าว่าเทพตัวเล็กจะหายตัวไร้ร่องรอย ส่วนหนึ่งมาจากความเฉลียวฉลาดเรียนรู้คาถาได้ไว มิเช่นนั้นคงไม่หายตัวและพลางกายได้เก่งกาจจนหามีผู้ใดพบเจอได้



จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วยาม ท้องนภาฉาบทาไปด้วยสีนิล ไร้ซึ่งเงา ไร้ซึ่งเสียง ไร้ซึ่งเบาะแสที่จะนำไปถึงตัวของจันทรัชและการนำทหารเทวัญของสองวิมานกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนผู้ครองบัลลังก์เนื้อเหม ‘พระผู้สร้าง’ ต้องเรียกประชุมเทพอัฐเคราะห์มายังสภา



“ท่านพ่อ เหตุใดค่ำมืดเช่นนี้พระผู้สร้างถึงได้เรียกท่านพ่อไปเข้าเฝ้า” พระศนิถามผู้เป็นบิดาที่กำลังจะออกจากวิมาน



“พ่อคิดว่าคงเพราะเหตุที่พระพฤหัสบดีและพระจันทร์นำทหารออกจากวิมานเป็นจำนวนมาก” พระเสาร์ตอบ



“เทพทั้งสองจักทำสงครามอีกระลอกกระนั้นหรือ”



“หาเป็นเช่นนั้นไม่ เทพทั้งสองออกตามหา ‘จันทรัช’ ที่หายตัวไปหลังรู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิด พ่อคิดว่าการที่พ่อถูกเรียกตัวไปคงไม่แคล้วต้องช่วยออกตามหา” พระเสาร์ตอบ จากนั้นก็ขึ้นขี่พยัคฆ์ทมิฬออกจากวิมานสถาน



“จันทรัชเจ้าหายไปไหนกัน”



.



.



.



“ฮึก…ฮือ...” ร่างอรชรบอบบางกอดเข่าคุดคู้ยังพลับพลาชั่วคราวที่สร้างเอาไว้พอกันแดดกันฝนแต่มิได้กันไว้ซึ่งลมหนาว จันทรัชปล่อยใจให้จมลงไปยังบ่อแห่งความโศกา ปล่อยน้ำตาให้รินไหล เสียงสะอื้นดังออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใด ก่อนจะหยุดร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงของสิ่งมีชีวิตกำลังใกล้เข้ามา



…‘อาจจะเป็นสัตว์ร้ายมีเขี้ยวเล็บหรืออสุรายักษี’…



คิดเช่นนั้นแล้วจันทรัชจึงรวบรวมสติเท่าที่จะทำได้ร่ายคาถาอำพลางกายซ่อนตนในพลับพลา



"จันทรัช!!!...จันทรัช!!! เจ้าอยู่ที่ใดกัน" พระศนิเรียกหา ความร้อนใจกัดกินอารมณ์แสดงออกผ่านน้ำเสียงเมื่อพร่ำเรียกพร่ำหาเท่าใด เจ้าของนามก็มิให้เห็นแม้แต่เงา ความห่วงหากลัวว่าเทพตัวน้อยจะเป็นอันตรายก่อตัวขึ้นมาในจิตใจ



'จันทรัช...ออกมาเถิด น้ำตาของเจ้า ข้านี้จะเป็นผู้เช็ดให้'



หลังจากรับรู้เรื่องราวว่ามีเทพชั้นเลวบอกความจริงอันทำร้ายจิตใจจันทรัช พระศนิก็โกรธจนตัวสั่น จิตใจเทพเหล่านั้นทำด้วยอะไรถึงได้กล่าววาจาเป็นอาวุธกรีดแทงจิตใจของเด็กที่ไม่ประสีประสา พระศนิอยากจะเอาดาบตัดลิ้นเสียให้ไม่ต้องพูดสิ่งใดออกมาได้อีกแต่คิดว่าการทำโทษเทพเหล่านั้นไม่สำคัญเท่าการเจอตัวของจันทรัช



บุตรแห่งพระเสาร์เดินทางจนทั่วไม่เว้นแต่โขลงพญาคชสารผู้ดูแลจันทรัชเมื่อยามแรกเกิด พอไปถึงก็ได้รู้ว่ากรวีร์และนิศานาถเองก็มาสอบถาม ทำให้บรรดาคชสารแบ่งกำลังแยกกันตามหาจันทรัช หากหากันทั่วไพรวัลย์ก็ยังไม่เจอ



เว้นแต่…สถานที่ลับซึ่งมีเพียงศนิเทพและจันทรัชเท่านั้นที่รู้



“พี่ศนิ…ฮือ…พี่ศนิ” เมื่อรู้ว่าผู้มาเยือนหาใช้สัตว์อสูรที่ไหนแต่เป็นพี่ชายที่ตนไว้วางใจ เป็นที่พึ่งทุกครั้งในยามลำบาก จันทรัชจึงคลายคาถาส่งเสียงร้องหาเจ้าของพลับพลาร่วมกับตน



พระศนิได้ยินเสียงอันคุ้นเคย ทว่าผิดแผกไปจากเดิมเพราะทุกครั้งเจ้าของน้ำเสียงหวานใสมักส่งเสียงร่าเริงแต่วันนี้กลับสั่นเครือปนสะอื้นแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์เสียด้วยซ้ำ



“จันทรัช…” พระศนิผู้ใจแข็งเสียยิ่งกว่าศิลาบนวชิระภูผาถึงกับใจอ่อนยวบยาบ ยามเห็นพักตรางามอาบไปด้วยน้ำตา ดวงเนตรและปลายจมูกรั้นแดงก่ำ ริมฝีปากเจ่อเผยออ้าเรียกขานตนแผ่วเบา



“พี่..ฮึก..พี่ศนิ…ฮือ” จันทรัชอ้าแขนออกมาบ่งบอกปรารถนาที่อยากจะได้จากอีกฝ่าย



‘หมับ’ ไม่ช้านานร่างเล็กก็ถูกสวมกอด ทั้งถูกอุ้มขึ้นมาให้นั่งบนตัก ศีรษะนั้นก็ถูกฝ่ามือทาบลงให้ซุกตรงแผงอกกว้าง ใครจะเชื่อว่าศนิเทพจะเป็นฝ่ายเข้ากอดโดยไม่คิดลังเลด้วยปกติแล้วผู้ที่เข้าหาคือจันทรัช



“การหลั่งน้ำตาออกมาทำให้เจ้ารู้สึกดีหรือไม่” พระศนิเอ่ยถามพลางลูบเกศาปลอบประโลมไปด้วย



“ฮึก…ไม่ขอรับ”



“เช่นนั้นก็หยุดร้องเสีย ร้องจนใบหน้าของเจ้าเปียกชุ่มไม่ต่างจากต้องหยาดพิรุณรู้หรือไม่” ไม่บ่อยครั้งนักที่พระศนิจะใช้น้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะใช้นิ้วโป้งคอยเกลี่ยน้ำตาให้กับเทพตัวน้อย จันทรัชจึงกลั้นสะอื้นพยายามกลืนความโศกคืนกลับไม่ปล่อยออกมา



“เก่งมาก เช่นนี้แล้วข้าจะพาเจ้ากลับไป รู้หรือไม่ว่าเจ้าสำคัญถึงขนาดพระผู้สร้างต้องเรียกตัวเทพอัฐเคราะห์เข้าประชุม”



“ไม่ไป…รัชไม่ไป” จันทรัชเอ่ย แล้วโอบคอเอนศีรษะในนอนบนบ่าแทนซุกอก ถึงคราวดื้อใครจะให้ทำอะไรจันทรัชก็ไม่ทำ



“คิดว่าออดอ้อนข้าแล้วข้าจะใจอ่อนหรือไร” พระศนิถามจันทรัชที่พฤติกรรมไม่ต่างจากวิฬาร



“ฮึก…รัชไม่กลับไป…รัชเป็นเด็กที่เกิดมานำความลำบากให้แก่ผู้อื่น…ฮือ” จันทรัชร้องไห้อีกครั้งหลังจากที่เงียบได้ไม่ทันได้เคี้ยวหมากแหลก



“ผู้อื่นที่เจ้ากล่าวอ้างคือผู้ใดกัน” พระศนิถาม



“ท่านพ่อ…ไม่สิ พระพฤหัสบดี ท่านแม่ พี่กรวีร์ พี่นิศานาถหรือจะเป็นพระจันทร์พ่อของรัชเองหรือจักเป็นแม่ช้างที่ต้องรับภาระเลี้ยงดูรัช…ฮือ” จันทรัชเอ่ยออกไปดั่งใจนึกคิด พระศนิได้ฟังพลันส่ายหน้าเล็กน้อย



“เจ้าเด็กโง่เอ๋ย สิ่งที่เจ้าเอ่ยมาพวกเขาล้วนเคยบอกเจ้าหรือไร” พระศนิถาม คำตอบที่ได้รับคือเสียงสะอึกสะอื้นเท่านั้น



“เจ้ามิตอบข้าแสดงว่าคงไม่มีใครเอ่ยวาจาดั่งที่เจ้าว่า เช่นนี้แล้วข้าจะพาเจ้ากลับไปถามพวกเขาให้รู้ชัดกันไปเสียเลย” พระศนิเอ่ยแล้วลุกขึ้นยืนโดยอุ้มจันทรัชด้วยกรแกร่งเพียงข้างเดียว



“พี่ศนิ ถ้าหากเป็นดั่งที่รัชว่า…รัช…รัชจะทำเช่นไร” จันทรัชนึกมองความจริงในแง่ลบใจดวงน้อยก็คล้ายจะแตกสลาย



“เจ้าก็มาอยู่กับข้า มาเป็นน้องข้า เป็นคนของข้า” แม้นสุรเสียงที่เปล่งออกมาจะดูแข็งๆไม่นิ่มนวลแต่อย่างใด ทว่าจันทรัชกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นไม่ต่างจากเจอแสงรุ่งอรุณในฤดูเหมันต์ มือเล็กเช็ดน้ำตาของตนเองอย่างลวกๆแล้วคลี่ยิ้มออกมา



“ฮึ…ยิ้มได้แล้วหรือ” พระศนิเลิกคิ้วเล็กน้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ร้องไห้ไม่หยุด บัดนี้กลับยิ้มออกมา



“ขอรับ ขอบน้ำใจพี่ศนิมากที่ใจดีกับรัชแต่หากจะใจดีกว่านี้ ช่วยหอมแก้มรัชได้หรือไม่”



“เจ้านี่มัน…พอเห็นข้าพูดดีหน่อยก็อ้อนวอนขอโน่น ขอนี่”



“ก็ทุกครั้งเวลารัชร้องไห้แม่ช้างจะเอางวงมาจุ๊บแก้มรัช ท่านแม่หรือพี่กรวีร์เองก็เช่นกัน พอโดนหอมแก้มรัชรู้สึกว่าตัวเองยังคงเป็นที่รักและสบายใจมากขึ้น แต่ถ้าพี่ศนิไม่สะดวกใจ…อ๊ะ!! พี่ศนิ!!!”



“สบายใจขึ้นหรือยัง คราวนี้กลับขึ้นไปกับข้าอย่าได้อิดออดเข้าใจหรือไม่”



“อื้อ…ขอรับ” จันทรัชตอบแล้วรีบซุกใบหน้าซ่อนแก้มนวลที่แดงปลั่งด้วยความเขินอาย



…‘เหตุใดรัชถึงรู้สึกเขินพี่ศนิด้วย ทั้งที่ตอนพี่กรวีร์กับพี่นิศานาถหอมแก้ม รัชไม่รู้สึกเช่นนี้’…



ด้านพระศนิเองก็อุ้มเจ้าตัวยุ่งของตนออกจากพลับพลา จากนั้นผิวปากเรียกพยัคฆ์สัตว์พาหนะของตนให้พาไปยังสภาเทวัญ ในระหว่างการเดินทางทั้งสองก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใดออกมา ผู้หนึ่งดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา ผู้หนึ่งกำลังดำดิ่งในห้วงความคิด



…‘เห็นทีการได้หอมแก้มเจ้ามิได้ทำให้เจ้าพึงใจเพียงฝ่ายเดียว…จันทรัช กลิ่นดอกโมกจากกายเจ้าเองแลทำให้ข้าสบายใจเช่นเดียวกัน’…



หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.พิเศษ 100% P.4 (10/12/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 10-12-2019 19:34:24
(ต่อ)


.



.



.



“หากอีกหนึ่งชั่วยาม ทหารของพระพฤหัสบดีและพระจันทร์มิสามารถตามหาจันทรัชได้แล้วไซร้ ข้าจักขอให้เหล่าเทพอัฐเคราะห์ช่วยกันตามหา มีผู้ใดขัดข้องหรือไม่”



“ไม่มีพะยะค่ะ!!!”



ใครเล่าจะกล้าขัดคำสั่งของผู้เป็นใหญ่ในไตรภูมิ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระผู้สร้างถึงให้ความสำคัญกับจันทรัช ถึงกับเรียกเทพอัฐเคราะห์ให้มารวมตัวกันในราตรีนี้



“หลายท่านคงจะคับข้องใจว่าไยข้าถึงได้ให้ออกตามหาจันทรัช ไว้เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมพวกท่านจักรู้เองว่าเด็กผู้นี้สมควรยิ่งที่พวกเราต้องรักษาไว้” เมื่อพระผู้สร้างตรัสออกมาเช่นนี้แล้ว เทพทั้งหลายในท้องพระโรงต่างคิดว่าจันทรัชคงมีความสำคัญจริงๆ เห็นทีหลังจากเจอตัวคงต้องจับตาดูเสียแล้ว เว้นแต่พระพฤหัสบดีและพระจันทร์ที่กำลังนั่งปั้นหน้าใส่กันไม่ถูก นับตั้งแต่สงครามจบลงก็หาได้พบเจอกันอีกเลย



…‘ใครกันช่างตระเตรียมแท่นประทับให้นั่งประจัญหน้ากันเช่นนี้’…



“เป็นเพราะข้า…เป็นเพราะข้าที่อยากเจอน้องทำให้เรื่องราววุ่นวายถึงเพียงนี้” นิศานาถซึ่งนั่งเคียงข้างบิดากล่าวโทษตัวเอง



“เป็นเพราะข้าต่างหากเล่าที่ดื้อดึงอยากรู้ว่าใครคือเจ้าของกำไลหยก ทั้งกีดกันจันทรัชกับเจ้าทั้งที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันจนเกิดเหตุการณ์เช่นนี้” พระกรวีร์เอ่ยขึ้นหลังจากนั่งไตร่ตรองและยอมรับว่าตนเองมีส่วนผิด



“ข้ารู้ว่าเจ้าหวงน้อง…ข้าต่างหากที่ผิด”



“ข้าต่างหากเล่าที่ผิด”



กลับกลายเป็นว่าเพลานี้พระกรวีร์และพระนิศานาถต่างโต้เถียงยื้อแย่งความผิดมาเป็นของตนจนผู้เป็นพ่อของทั้งสองต้องรีบปรามเนื่องด้วยอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระผู้สร้าง



“ข้าอยากจะเห็นหน้าหลานยิ่งนักว่าจะน่ารัก น่าเอ็นดูเพียงใด ทั้งนิศานาถ ทั้งกรวีร์ ถึงได้โต้เถียงกันเพียงนี้” พระศุกร์เอ่ย พยายามสร้างสถานการณ์ให้ผ่อนคลายขึ้น



“พระผู้สร้างพะยะค่ะ…พระศนิบุตรแห่งพระเสาร์ขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” ทวารบาลเข้ามาแจ้งถึงการมาของพระศนิ ทำให้พระเสาร์แปลกใจว่าเหตุใดโอรสผู้ชอบเก็บตัวถึงออกจากวิมานมาถึงที่นี่ได้



“ให้เข้ามา” สิ้นเสียงของพระผู้สร้าง พระศนิก็ย่างเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามายังภายในเทวสภา พลันสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องเทพหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังอุ้มเด็กชายซึ่งกำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว



“ขออภัยพระผู้สร้างที่กระหม่อมมิอาจทำความเคารพได้” พระศนิเอ่ย เนื่องด้วยอุ้มจันทรัชเอาไว้จึงทำได้เพียงค้อมศีรษะลงเท่านั้น



“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่าเจ้ากำลังอุ้มบุคคลที่พวกเราต่างตามหา เจ้าเองก็ไปนั่งร่วมกับบิดาของเจ้าเถิด” พระศนิอุ้มจันทรัชผ่านหน้าผ่านตาผู้เป็นพี่ทั้งสองไป



“ส่งจันทรัชมาให้ข้า!!” ทั้งกรวีร์ ทั้งนิศานาถเอ่ยออกมาพร้อมกันเสียงดังพอที่จะทำให้…



“อื้อ…พี่ศนิ รัชอยู่ที่ไหน” จันทรัชตื่นขึ้นมา มือนั้นขยี้เปลือกตาไล่ความงัวเงียแล้วไล่สายตามองไปโดยรอบก็เห็นว่าตนอยู่ในสถานที่อันไม่คุ้นเคย รวมถึงมีเทพมากมายดูสง่า รัศมีเจิดจ้าน่าเกรงขามยิ่งนัก ก่อนจะสบสายตากับพี่ทั้งสองและพระพฤหัสดี ส่วนเทพที่นั่งใกล้พี่นิศานาถของตนมีปิ่นหยกแกะสลักเป็นจันทร์เสี้ยวปักตรงมวยผม คงมิใช่ใครอื่นนอกเสียจากบิดาผู้ให้สายโลหิตแก่ตน…จันทรเทพ



“สภาเทวา เทพตรงหน้าซึ่งประทับยังบัลลังก์นี้คือพระผู้สร้างและเทพที่เจ้าเห็นคือเหล่าเทพอัฐเคราะห์” พระศนิตอบ จันทรัชได้ยินดังนั้นจึงลงจากตักของพระศนิแล้วทำความเคารพต่อเทพผู้ยิ่งใหญ่รวมถึงเหล่าเทพอัฐเคราะห์ ด้วยกริยาท่าทางนอบน้อมจึงไม่ยากที่เทพทั้งหลายจะเอ็นดูจันทรัชและเข้าใจทันทีว่าทำไมพระกรวีร์กับพระนิศานาถถึงได้หวงเป็นนักหนา



“จันทรัช เหตุใดเจ้าถึงไปนั่งกับพระเสาร์และพระศนิ มานั่งกับพี่เถิดหนา” นิศานาถเอ่ย



“จันทรัชต้องนั่งกับข้า!!” พระกรวีเอ่ย



จันทรัชมองพระเชษฐาทั้งสองก่อนจะก้มใบหน้าลง น้ำตาที่เหือดแห้งหยดลงหลังฝ่ามืออีกครั้ง ทำให้พระศนิต้องรั้งเอวเล็กมากอด



“พวกเจ้าทั้งสองหยุดเอ่ยอันใดออกมาก่อน ข้าอยากให้พวกเจ้าฟังน้องของเจ้าเสียหน่อย หากเถียงกันไปมา ยื้อแย่งหวงน้องเช่นนี้แล้วไม่แคล้วจันทรัชจะหนีพวกเจ้าไปอีกรอบ ดูสิเพลานี้น้องของเจ้าร้องไห้ ทั้งที่ข้านั้นทั้งกอด ทั้งหอมแก้ม ปลอบประโลมอยู่เสียพักใหญ่กว่าจะหยุดร้องยอมให้ข้าพามาที่นี่” นี่คงจะเป็นการพูดที่ยาวที่สุดของพระศนิก็เป็นได้ ทว่าทั้งกรวีร์กับนิศานาถกลับได้ยินเพียงคำว่ากอด คำว่าหอมแก้มเท่านั้น เพียงเท่านี้คนหวงน้องก็ตัวสั่นแทบจะคุมอารมณ์ไม่อยู่



“จันทรัชเจ้าจะกล่าวสิ่งใด” พระผู้สร้างตรัสถามแทรกขึ้นมา จันทรัชจึงเงยหน้าขึ้นและเช็ดน้ำตาอีกครั้ง



“ก่อนอื่นกระหม่อมขออภัยพระองค์ตลอดจนเทพอัฐเคราะห์ที่ทำให้เดือดร้อนต้องออกตามหาทั้งที่เป็นเวลาพักผ่อน” จันทรัชเอ่ย



“ข้าไม่ให้อภัยเพราะมิได้ถือโกรธอันใดเจ้า” พระผู้สร้างเอ่ย



“ข้าเองก็เช่นกัน”



“ข้าก็ด้วย”



เมื่อพระผู้สร้างและเทพอัฐเคราะห์ต่างไม่ถือโทษโกรธเคืองทำให้จันทรัชยิ้มออกมา จากนั้นจึงเดินไปหยังลาดพระบาทนั่งลงตรงกลางระหว่างพระพฤหัสบดีและพระจันทร์ หากสายตาจ้องมองไปยังบานประตูตรงหน้าไม่สบตาผู้ใด



“รัชมีเรื่องจักถามพวกท่าน ได้โปรดอย่าได้โป้ปด กล่าวสิ่งเท็จออกมาจะได้หรือไม่”



“กล่าวมาเถิดพ่อจะกล่าวความจริงทุกประการ”



“พ่อเองก็จะไม่โกหกเจ้า”



“ตัวข้านี้เกิดมาจากความผิดพลาด เกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจใช่หรือไม่…จันทรเทพ” เหมือนมีศรมาปักทะลุอก คำถามอันแสดงถึงความคิดของลูกบ่งบอกถึงความรู้สึกได้ดี ไหนเล่าจะคำเรียกขานที่มิได้เอ่ยคำว่า ‘พ่อ’ ออกมาจากปาก



“แม้ว่าเรื่องราวที่พ่อกระทำต่อพระพฤหัสบดีและดาราเทวีจักเป็นเพราะความคึกคะนองจนกลายเป็นตราบาป ความผิดพลาดในชีวิตของพ่อเกินกว่าจะให้อภัย แต่การถือกำเนิดของลูกนั้นกลับมิใช่ พ่อยินดีที่ได้รู้ว่ามีลูก ได้รู้ว่าลูกเติบโตแข็งแรง ได้รู้ว่าพระพฤหัสบดีมีเมตตารับลูกมาเลี้ยงดูแลอย่างดี ทั้งกรวีร์เองก็ไม่รังเกียจลูก ดังนั้นจันทรัชมิใช่ความผิดพลาดแต่เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อ”



“แล้วเหตุใด..ท่าน…ฮึก..ท่านพ่อไม่เคยมาหารัช” จันทรัชปล่อยโฮ เด็กก็ยังเป็นเด็กยังคงคิดน้อยใจอยู่ดี



“ท่านพ่อถูกลงโทษไม่ให้ออกนอกวิมาน แม้แต่ตอนนี้เองก็ยังต้องรับโทษแต่วันนี้ที่ออกมา ท่านพ่อยอมฝ่ากฏเพื่อตามหาน้อง การได้รู้เรื่องราวของน้องล้วนออกมาจากปากพี่หรือเทพผู้อื่นมาเล่าให้ฟัง” นิศานาถตอบแทนผู้เป็นพ่อ ก่อนจะขยับกายลงไปนั่งกอดจันทรัชเอาไว้โดยมีกรวีร์เองกอดปลอบอีกหนึ่ง



“ข้าขอโทษท่านพ่อที่รัชน้อยใจท่าน” จันทรัชเอ่ย



“พระพฤหัสบดี ข้านี้ขอบน้ำใจท่านที่ดูแลข้ามาตลอด แม้นตัวข้าอาจจะเป็นเสี้ยนหนามตำใจท่าน เป็นบุตรของผู้ที่เคยเป็นศัตรูกับท่านแต่ท่านยังไว้ชีวิตข้า” พระพฤหัสบดีได้ฟังถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดว่าลมปากจากผู้อื่นจะมีอิทธิพลต่อจันทรัชเช่นนี้ ถึงได้กล่าววาจาห่างเหินทั้งที่ตนเองไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์



“ไยเจ้าถึงเอ่ยเช่นนี้ เรียกข้าว่าพ่อเถิด ตัวพ่อนี้หาได้คิดว่าเจ้าเป็นหนามตำใจ สำหรับพ่อเจ้าคือลูกคนหนึ่งหาใช่ใครอื่น มีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่ากรวีร์”



“แล้วเหตุใดถึงต้องเอาตัวข้าไปไว้ในท้องช้างด้วยเล่า”



…‘ใช่ เจ้าเป็นลูกชู้ ลูกที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดถึงต้องไปอยู่ในท้องช้าง’…



“เพราะดาราเทวีแม่ของเจ้านั้น คราตั้งครรภ์เจ้ากลับป่วยไข้ นางและพ่อเกรงจะเป็นอันตรายแก่เจ้าจึงได้นำตัวเจ้าไปไว้ในท้องของนางกุญชรอันเป็นสหายของพ่อเอง”



“ใช่ จันทรัช ถึงพี่ยังเล็กแต่พี่จำได้ว่าท่านแม่เป็นไข้จนแทบไม่มีแรงลุกนั่ง ท่านพ่อจึงต้องนำน้องออกมาแล้วไปฝากแม่ช้างของน้อง” พระกรวีร์ยืนยันอีกเสียง



“รัชเข้าใจแล้ว…รัชไม่มีสิ่งใดค้างคาใจแล้ว” จันทรัชเอ่ย ทำให้ทุกคนโล่งใจ เท่ากับว่าทุกอย่างคลี่คลายและจากนี้ไปคงมีแต่ความสุขตามมาแทนที่ความเศร้าโศก



ทว่ากลับมีหนึ่งปัญหาตามมา…



“เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้ว ราตรีนี้กลับไปกับพี่แล้วพี่จะให้น้องกินขนมก่อนนอน” พระกรวีร์เอ่ย



“กรวีร์ ข้าอยากให้จันทรัชกลับไปกับข้า ข้าจะเล่านิทานให้น้องฟัง”



“เจ้าทั้งสองหยุดโต้เถียงกันเสียก่อน ข้าว่าให้จันทรัชสลับกันอยู่วิมานทั้งสอง วิมานละ ๗ ทิวาราตรีและคืนนี้ให้จันทรัชไปอยู่กับจันทรเทพก่อนเพราะสองพ่อลูกยังมิได้อยู่ด้วยกัน” พระอาทิตย์เอ่ย



“ข้าเห็นด้วยกับสุริยะเทพ” พระอังคารเอ่ย ส่วนเทพองค์อื่นต่างสนับสนุน



“จันทรัชลูกคิดเห็นเป็นเช่นไร” พระพฤหัสบดีถาม



“ลูกเห็นด้วยขอรับท่านพ่อ” จันทรัชตอบ ดังนั้นจันทรัชจึงคลานเข่าเข้าหาจันทรเทพก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้า



“ท่านพ่อ ๗ ทิวาราตรีนี้ ลูกรบกวนท่านพ่อแล้ว”



“ไม่รบกวนเลย พ่อดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้กอดเจ้า” ไม่ใช่เพียงเอ่ยวาจา พระจันทร์โน้มกายลงอุ้มจันทรัชมานั่งตักโดยมีนิศานาถลุกขึ้นมานั่งข้างกายแล้วร่วมกอด ส่วนพระกรวีร์พอได้เห็นก็สลดเพราะตนไม่ได้กอดน้องไปอีกหลายวัน



“กรวีร์ หากเจ้าอยากเจอน้องก็แวะเวียนมาได้หรือจักค้างคืนอาก็มิว่า” จันทรเทพเห็นท่าทีของกรวีร์ก็เข้าใจจึงเอ่ยชวน



“จริงหรือ…ข้าไปหาน้องได้จริงหรือ ท่าน…ท่านอา” กรวีร์ดีใจเป็นอย่างมาก จันทรเทพยิ้มอย่างเป็นมิตรดีใจที่กรวีร์ไม่ตั้งป้อมเกลียดตนยอมกลับมาเรียกตนว่าอาอีกครั้ง



“จริงสิ วิมานของข้ายินดีต้อนรับ” นิศานาถเอ่ย



“ท่านพ่อขอรับ ท่านพ่อจะอนุญาตให้ข้า…” พระกรวีร์เอ่ยถามบิดาของตน



“พ่ออนุญาต นิศานาถเองหากวันใดน้องมาอยู่ที่วิมานของลุง เจ้าจะมาหามาค้างคืนได้เช่นเดียวกัน” พระพฤหัสบดีเอ่ย



จากบทสนทนาของสองวงศาเมื่อครู่ทำให้เทพอัฐเคราะห์และพระผู้สร้างต่างเห็นสายสัมพันธ์ที่ดีขึ้น แม้จะเล็กน้อยแต่ก็ไม่ร้ายแรงดังแต่ก่อน ทำให้เข้าใจแล้วว่าจันทรัชนั้นสำคัญเพียงใด…



“จริงสิ แล้วรัชจะได้นอนกับพี่ศนิกี่ทิวาราตรี” จันทรัชเอ่ยขึ้นมาเล่นเอาคนถูกพาดพิงถึงแทบจะปั้นสีหน้าไม่ถูก ผิดกับพี่ชายจอมหวงทั้งสองที่สามัคคีกันกล่าวห้ามอย่างพร้อมเพรียง



“ไม่นะ!! นอกจากพี่ทั้งสอง เจ้าห้ามไปนอนกับใครทั้งนั้น!!” นิศานาถและกรวีร์เอ่ยออกมาโดยไม่รู้ว่ากำลังกระตุกหนวดเสือเข้าให้แล้ว



“จันทรัช หากเจ้าอยากจะมาวันไหนก็มาเถิด ข้าไม่ติดขัดอันใด วันใดที่เจ้ามานอนค้างอ้างแรมข้าจะกอดจะหอมแก้มเจ้าดั่งที่พี่เจ้าทำ”



“พระศนิ นี่เจ้า!!!”



พระศนิไม่สนใจเสียงของนิศานาถและกรวีร์ วรกายสูงใหญ่ยืนขึ้นก่อนจะทำความเคารพแก่พระผู้สร้างและเทพทั้งหลาย จากนั้นก็เดินออกไปจากสภาเทวาโดยไม่คิดว่าคำพูดของตนที่ต้องการนึกสนุกแกล้งเทพทั้งสองจะทำให้ชีวิตต้องผูกติดกับเทพตัวน้อยไปตลอดกาล













........................................

จบแล้วกับตอนที่ 3 เรื่องออกแนวต้มมาม่านิดๆ แต่จบแฮปปี้นะคะ หลายคนอาจจะงงกับตัวละคร ยุ่งจะขอชี้แจงนะคะว่าใครเป็นใครในเรื่องลิขิตรัก

จันทรัช = พระพุธ

พระศนิ = พระเสาร์(พ่อของนาคินทร์)

พระกรวีร์ =พระพฤหัสบดีที่ออกมาในเรื่องสาปรัก

พระนิศานาถ =พระจันทร์ที่ออกมาในฝันของนาคินทร์

ส่วนพระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระจันทร์ พระผู้สร้างและเทพองค์อื่นๆ คือหมายถึงรุ่นพ่อๆเขาล่ะค่ะ พระผู้สร้างคนนี้ก็พ่อของพระผู้สร้างคนปัจจุบันของน้องบุษยะ 555

ส่วนทำไมใช้อัฐเคราะห์แทนนพเคราะห์เพราะตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งพระพุธค่ะ (อัฐ=แปด)



หวังว่าทุกคนจะชอบตอนพิเศษนี้นะคะส่วนนิยายหลักจะรีบปั่นแล้วลงอีกไม่นาน อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ

ป.ล. คิดถึงทุกคนค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจทุกความคิดเห็นนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.พิเศษ 100% P.4 (10/12/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-12-2019 21:21:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.พิเศษ 100% P.4 (10/12/62) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 11-12-2019 09:59:37
สนุกมากจ้า~
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.17 100% P.4 (03/01/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 04-01-2020 09:46:58
............50...%

“นาคินทร์ เจ้าอย่าได้งอนพี่เลย” รพีพงศ์เอ่ยกับนาคน้อยกำลังนั่งตักอาหารเข้าปากไม่ยอมพูดจากับตน



“จะมิให้ข้างอนท่านพี่ได้อย่างไรเล่า ในเมื่อท่านพี่…ท่านพี่…” นาคินทร์กระเง้ากระงอด หากมิอาจเอ่ยประโยคให้จบได้



“พี่ทำอันใดเจ้า หากเรื่องเมื่อคืนก่อนไม่ใช่พี่ทำให้เจ้าสุขสมหรือไร อีกทั้งเจ้าเองก็เป็นเริ่มต้นชวนพี่ ‘ขี่ม้า’ พาเที่ยวเองมิใช่หรือ” แม้ว่ารู้ทั้งรู้หากกล่าวเช่นนี้นาคินทร์คงไม่แคล้วงอนตนต่อไปเป็นแน่ แต่ทำอย่างไรได้การได้เห็นปรางค์นวลที่ตนมักคอยหอมจะมีสีแดงไม่ต่างจากกลีบกุหลาบ ยามเขินอายนาคินทร์มักนักน่าดูชมจนรพีพงศ์อดรังแกไม่ได้



“ท่านพี่…หยุดพูด!!!”



“เหตุใดเจ้าถึงห้ามพี่เล่า พี่เพียงเอ่ยความจริง”



“ท่านพี่แกล้งให้ข้าอาย” นาคินทร์เอ่ยออกมา ใบหน้างามแดงก่ำทั้งโกรธ ทั้งอาย ผิดกับรพีพงศ์ที่นอกจากจะยิ้มแย้มฉายแววแห่งความสุขี แขนทั้งสองข้างก็รวบเอวคอดกอดนาคน้อยเอาไว้แนบกาย



“ท่านพี่ปล่อยข้า!! เห็นหรือไม่ว่าห้องนี้ไม่ได้มีเพียงเราสอง” นาคินทร์ดิ้นในอ้อมกอดที่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกกอดแน่น นาคินทร์ไม่คิดเลยว่าท่านพี่ของตนจะหน้าไม่อายถึงเพียงนี้



“ถ้าเจ้าอายนักก็ปิดตาแล้วซบหน้าของเจ้าลงตรงอกพี่เสีย เจ้าจะได้ไม่ต้องอายใคร” รพีพงศ์ไม่เพียงแค่พูด หัตถารั้งท้ายทอยของคนรักลงมาหมายให้ซบอุราดั่งที่ลั่นวาจาไว้ หากดวงตามองไปยังนางสวรรค์ผู้รับใช้เป็นสัญญาณให้ออกไป เมื่อในห้องมีเพียงตนกับนาคินทร์ รพีพงศ์จึงเริ่มกระทำบางอย่าง…



‘ฟอด’



“ท่านพี่…หยุดรังแกข้า” นาคินทร์เอ่ยออกมาน้ำเสียงแกมดุ กำปั้นน้อยๆทุบตีหมายให้รพีพงศ์คืนอิสระให้แก่ตน



“ข้าหาได้รังแกเจ้าไม่ ข้าเพียงแสดงความรัก อีกทั้งเจ้าอย่าได้อายไปเลย บัดนี้มีเพียงเจ้าและข้าเท่านั้น” รพีพงศ์เอ่ย นาคินทร์จึงผินหน้ามองหานางอัปสรก็พบว่าได้ออกไปเสียสิ้น



“แต่ครั้งนี้มากเกินไป ท่านพี่แสดงความรักต่อข้าจนข้ามิได้หลับนอน ตั้งแต่เข้าหอมาจวบจนวันนี้…วันที่สาม ท่านพี่ถึงจะยอมให้ข้าหลับนอน พบเจอผู้อื่น” นาคินทร์รู้ดีว่าความต้องการของรพีพงศ์มีมากเพียงใด ไม่เคยพอเพียงครั้งหรือสองครั้ง หากดวงตะวันไม่ทอแสงลอดผ่านเมฆา มีหรือรพีพงศ์จะยอมปล่อย



ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป รพีพงศ์ทำให้นาคินทร์รู้สึกเป็นเชลยเสียยิ่งกว่าตอนอยู่กันติทัตไพรีเสียอีก ใช้ร่างกายกังขังตนไม่ให้ดิ้นรน ปิดสลักลงกลอนสร้างความระทวยไร้แรงหนี ประทับตราให้รู้ว่าตนเป็นของผู้ใด แม้นได้รับอิสระก็มิอาจออกไปไหนมาไหนได้ดั่งใจด้วยรพีพงศ์ดูดกลืนพลังจากนาคินทร์ไปมากโข แต่จะให้โทษรพีพงศ์ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก นาคินทร์เองก็ไม่คิดห้ามเพราะอยากจะมอบความรักให้กับเจ้าของดวงใจเช่นเดียวกัน



“พี่ขอโทษ เอาเป็นว่าพี่จะพาเจ้าเที่ยวชมสวนอรุณรุ่งดีเป็นการไถ่โทษดีหรือไม่” รพีพงศ์รู้ดีว่านาคินทร์นั้นไม่ค่อยได้เที่ยวเล่นที่ไหน การได้เปิดหูเปิดตาจึงกลายเป็นสิ่งที่สามารถทำให้นาคินทร์ลดความไม่พึงใจในตัวตนได้และเป็นไปดั่งที่รพีพงศ์คิด ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายระยิบระยับ ริมฝีปากอิ่มคลี่ออกมาด้วยความยินดีกับข้อเสนอ



“ดียิ่ง…ข้าหายงอนท่านพี่ก็ได้แต่ข้าขอร้องให้ครั้งหน้าท่านพี่โปรดผ่อนปรนลงบ้างจะได้หรือไม่” นาคินทร์เอ่ย แม้ใจอยากจะเพิกเฉยแกล้งทำทีไม่พอใจต่อไป ทว่านาคินทร์ยอมรับว่าได้แพ้พ่ายให้กับการเที่ยวเล่น



“ฟอด…ได้สิ พี่จะแสดงความรักบนเตียงให้น้อยลง” รพีพงศ์กดปลายนาสิกลงยังแก้มนิ่มอีกครั้ง ก่อนจะให้คำมั่นแม้ว่าภายในใจยังมีอีกหนึ่งประโยคที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกไป ‘แต่ถ้าเป็นที่อื่นตัวพี่จะไม่นับ’



อาหารคาวหวานที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้แก่รัชทายาทแดนอโณทัยกับชายานั้นไม่นานก็หมดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยนาคินทร์มีเป้าหมายที่อยากจะเดินเล่นในยามเช้า ณ สวนอรุณรุ่ง ในระหว่างที่กำลังจัดการกับอาหารตรงหน้ารพีพงศ์ก็เล่าถึงที่มา สวนอรุณรุ่งเป็นสวนที่มารดาของรพีพงศ์ได้ปลูกมวลผกาและต้นไม้นานาพรรณเพื่อใช้ในการพักผ่อน เดิมทีบุปผาภายในสวนจะเบ่งบานตลอดที่พระทินกรส่องแสง ทว่าเมื่อผู้เป็นมารดาสิ้นบุญ ดอกไม้ในสวนจะเบ่งบานเฉพาะยามอรุณเท่านั้น พอย่างเข้ายามสายต่างก็เก็บกลีบหุบลง สวนนี้จึงถูกขนานนามว่า ‘อรุณรุ่ง’



ภุมรินแลผีเสื้อกระพือปีกหยอกเหย้ากับมาลา ดูดชิมลิ้มน้ำหวานสร้างความงดงามให้แก่สวนอรุณรุ่งมากยิ่งขึ้น นาคินทร์ยิ้มให้กับภาพที่เห็นโดยมีรพีพงศ์คอยประคองไม่ห่างกาย คอยเล่าคอยบอกถึงความทรงจำของตนที่เกิดขึ้นภายในสวน รวมถึงพันธุ์ของดอกไม้ที่มีหน้าตาแปลกตาหาได้เฉพาะสุริยดารา



“งดงามยิ่งนัก กลิ่นของดอกไม้เหล่านี้ก็หอมชื่นใจ” นาคินทร์ว่าแล้วก็โน้มกิ่งดอกแก้วสีชาดมาดอมดม



“หอมสู้ดอกพะยอมในป่ากันติทัตหรือไม่เล่า” รพีพงศ์เหย้า นาคินทร์ยินพลันหน้าแดงก่อนจะเปลี่ยนมาทำเป็นบูดบึ้งกลบเกลื่อน พอได้คิดถึงดอกพะยอมป่าที่ตนเก็บมาโดยไม่ใคร่รู้จนเกิดเหตุการณ์ชวนให้เปลืองเนื้อเปลืองตัว



“ท่านพี่!! แกล้งข้าอีกแล้ว” กำปั้นน้อยๆทุบตี รพีพงศ์ไม่หลบ อีกทั้งยังหัวเราะออกมาดังลั่น แขนที่รั้งเอวคอดก็กอดรัดเอาไว้ให้ชิดกายตนมากขึ้น



“นาคน้อยของพี่ หากไม่ให้พี่แกล้งเจ้า หยอกเจ้า จะให้พี่ทำเช่นนี้กับใคร หากไม่ใช่เจ้าพี่คงไม่ทำเช่นนี้ดอกหนา คนดีของพี่…จุ๊บ” รพีพงศ์กล่าวจบก็จุมพิตยังขมับของนาคินทร์ เจ้านาคาพอได้ฟังพลันลดมือลงมาหยุดทำร้ายคนรักในทันที



“ก็ลองหยอกผู้อื่นเช่นหยอกข้าดูสิ ข้าจะหนีกลับวิมานไปอยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่”



“นาคน้อยหึงหวงพี่หรือ…จักทำให้พี่หลงเจ้าไปถึงไหนกัน”



ไอความรักแผ่กระจายล้อมกายสอง ใครได้ผ่านมาเห็นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา น้อยครั้งที่จะได้เห็นองค์รัชทายาทแสดงออกถึงความสุข ยิ่งช่วงเวลาทุกข์ตรมจมกับความทรมานในบ่อความโศกา เหล่าข้าบริวารต่างนึกหวั่นใจว่าดวงตะวันจะอับแสงลาลับแล้วหรือ ทว่าบัดนี้ต่างใจชื้นเมื่อดวงใจของรพีพงศ์ได้กลับมาสร้างรอยยิ้มและความสุขให้เจ้านายของตนอีกครั้ง…นาคินทร์ผู้เป็นรอยยิ้มของรพีพงศ์



ขณะที่ความสุขปกคลุมอยู่ทนทั่วให้กับผู้สร้างและผู้พลอยได้รับ กลับมีใครบางคนซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ กล้ำกลืนน้ำตาไม่ให้ไหลรินออกมา ‘ท่านรพีพงศ์…ข้าดีใจที่ท่านมีความสุขกับคนรัก แม้นว่าใครคนนั้นจักไม่ใช่ข้าก็ตามที’ นางอัปสรรูปงามผินหน้าหนีก่อนเดินกลับไปอีกทางปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาระบายความเจ็บปวด



“ท่านรพีพงศ์..ฮึก…ขอให้ท่านมีความสุข”



‘จะร้องไห้ไปไยเล่า หากเจ้ารักรพีพงศ์ก็แย่งชิงมาเสียสิ ข้านี้จะช่วยเจ้าให้สมหวังกับสุริยบุตร’



แว่วเสียงใครลอยลมเข้าโสตประสาท เทพีรูปงานยกมือเช็ดน้ำตา ‘ใครกันที่เอื้อนเอ่ยประโยคชักจูงให้ทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้’ เยาวมาลย์คิดในใจก่อนจะหันซ้าย หันขวา หมุนกายรอบทั่วทศทิศ หากไม่มีแม้แต่เงาของผู้ใด



“ข้าคงเสียใจจนหูแว่วไปเอง”



‘เจ้าหาได้หูแว่วไม่ สิ่งที่ข้ากล่าวกับเจ้าล้วนเป็นความจริง’ เสียงปริศนาดังขึ้นมาอีกระลอก



“ข้าไม่ต้องการ!!! เจ้าเป็นใคร!!! ออกมาบัดเดี๋ยวนี้!!!” เทพีคนงามไม่สนใจข้อเสนอ ซ้ำยังโมโหที่มีคนคิดขวางความรัก สร้างความทุกข์ให้กับรพีพงศ์



‘ข้าไม่จำเป็นต้องแสดงตัวให้เจ้าเห็นในยามนี้เพราะถึงเวลาอันสมควรจะเป็นเจ้าเองที่เป็นฝ่ายดิ้นรนมาหาข้า’

.

.

.

“ท่านรพีพงศ์ ท่านาคินทร์ เพลานี้มีผู้ต้องการมาพบท่านทั้งสองขอรับ” ทหารประจำวิมานเร่งฝีเท้าจากเข้าหา เมื่อพบเจอนายทั้งสองก็คุกเข่าลงรายงาน



“ผู้ใดกันเล่า” รพีพงศ์ซักถาม เพิ่งจะเข้าย่ำเช้าไม่คิดว่าจะมีผู้ใดมาเยี่ยมเยือนในกาลนี้



“ข้าเอง” สุรเสียงทุ้มต่ำทรงไว้ซึ่งอำนาจ ฟังปราดเดียวก็จำขึ้นใจ หาใช่ใครที่ไหน…



“พระเสาร์”



“ท่านพ่อ…ท่านแม่” นาคินทร์โผเข้าสวมกอดบิดาแล้วผละออกไปกอดหามารดาของตนไว้แน่นด้วยห้วงอารมณ์คะนึงหา



“พระเสาร์ ท่านน้ามุตตา เชิญท่านทั้งสองมายังศาลารับรองในสวนเถิด” รพีพงศ์เดินนำบิดา มารดาของนาคน้อย เมื่อถึงที่หมายต่างก็นั่งลงก่อนจะเริ่มสนทนา



“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้ากับมุตตาว่าอันใด จงเรียกใหม่อีกครั้ง” พนะเสาร์เอ่ยออกมาฟังแล้วคล้ายจะสั่งมากกว่าบอกกล่าว หากรพีพงศ์กลับยิ้มออกมา



“ข้าขออภัยที่มิได้ตระเตรียมต้อนรับท่านทั้งสอง ท่านพ่อ ท่านแม่” รพีพงศ์เอ่ยและไม่ลืมเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกผู้มาเยือน



“หาได้เป็นความผิดของเจ้าไม่ ข้าและมุตตาเองบุ่มบ่ามมาหาเพราะคิดถึงลูกโดยไม่แจ้งล่วงหน้า” พระเสาร์เอ่ย ก่อนจะส่งสายตาให้กับมุตตาเป็นสัญญาณให้กระทำบางสิ่ง



“นาคินทร์ ลูกพาแม่ไปชมสวนได้หรือไม่ทเมื่อครู่แม่เห็นว่าดอกไม้ที่นี่งามยิ่งนัก นึกอยากจะเที่ยวชมให้ทั่ว”



“ได้ขอรับท่านแม่” นาคินทร์ไม่ปฏิเสธเพราะตนเองก็อยากจะเที่ยวชมสวน สองแม่รู้ใจตรงกันก็พาเดินออกไปจากศาลาทิ้งไว้ให้สวามีของทั้งคู่อยู่เพียงลำพัง



“เกิดอันใดขึ้นหรือ…ท่านพ่อ เกี่ยวของกับนาคินทร์ใช่หรือไม่” รพีพงศ์ฉลาดเฉลียว พอจะดูออกว่าการมาของพระเสาร์และมุตตาคงไม่ใช่เพียงมาเยี่ยมบุตรา ยิ่งให้นาคินทร์ออกไปด้วยแล้ว ไม่แคล้วต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นเป็นแน่แท้



“ใช่ เกี่ยวข้องกับนาคินทร์และตัวของเจ้าด้วย” พระเสาร์เอ่ย ก่อนจะกล่าวต่อไปเมื่อเห็นว่ารพีพงศ์ตั้งใจจะรับรู้เรื่องราวจากปากของตน



“บัดนี้คุกกาลเวลานั้นได้เกิดรอยร้าว เทพกาลเวลาตลอดจนเทพอื่นๆนั้นต่างเร่งผนึกกันแต่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ หากสำเร็จก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล แต่ถ้าหากว่าไม่…เจ้าคงจะรู้ดีว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในภายภาคหน้า”



.........

มาแล้วววววว

ท่านยุ่ง งานยุ่งสมชื่อมากเลย

มาทิ้งบอมเอาไว้คนอ่านคงไม่ปากระท่อมใส่นะคะ ท่านยุ่งต้องเตรียมกระท่อมรอรับกนธีคนดีของท่านยุ่งด้วย เห็นใจกันนะคะ



ท่านยุ่งจะพยายามมาอัพบ่อยๆ พอดีติดงานหลักและต้องกลับไปปั่นงาน ส่ง สนพ. ถ้าเคลียร์เสร็จจะรีบกลับมาปั่นลิขิตรักและ จ้าวสิงคาลนะคะ



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาเม้นนะคะ เป็นกำลังใจให้ยุ่งในวันที่ดิ่งได้ค่ะ

รักนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.18 P.4 (08/04/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 08-04-2020 17:26:11
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 18



เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ทุกชีวันล้วนดำเนินไปตามครรลองแห่งโชคชะตา ยิ่งผู้ใดได้ครองความยิ่งใหญ่ซึ่งนั่นเท่ากับว่าความรับผิดชอบย่อมหนักอึ้งไม่ต่างกัน ดังเช่นเวลานี้แม้เหล่าทวยเทพต่างปฏิบัติหน้าที่ตามกิจวัตรเว้นแต่เทพนพเคราะห์ที่ต่างผลัดกันเข้าร่วมภารกิจพิเศษที่เพิ่งจะรับมอบหมายเมื่อไม่นานมานี้



‘ภารกิจปิดรอยร้าวคุกกาลเวลา’



นับตั้งแต่วันที่พระเสาร์ได้แจ้งข่าวเรื่องคุกกาลเวลา รพีพงศ์หาได้นิ่งนอนใจ คราแรกอยากจะปกปิดให้เป็นความลับด้วยกลัวว่ายอดดวงใจของตนจะเป็นกังวล ทว่าสุดท้ายจำต้องบอกไปเพื่อให้นาคินทร์ได้ระวังตัวยามที่ตนนั้นออกไปช่วยผู้เป็นบิดาสร้างเกราะเวทย์เพื่อให้เทพกาลเวลาผสานรอยร้าว



“ท่านพี่ออกไปครานี้เป็นเช่นไรบ้าง” นาคินทร์เอ่ยถามพลางเทน้ำมันระเหยกลิ่นดอกแก้วลูบไล้แผ่นหลังกว้างเพื่อให้รพีพงศ์ได้ผ่อนคลาย ลดความเหนื่อยล้าจากการทำภารกิจมาตลอดทั้งวัน



“ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ดีขึ้นแต่ก็มิได้เลวร้ายลง พี่คาดว่าหากเรายังสามารถควบคุมได้ เทพณิชนิรันดร์คงผสานรอยร้าวได้เสร็จสิ้น”



“น้องหวังว่าจะเป็นไปดังที่ท่านพี่คาดคิด หากไม่แล้ว…น้องนั้น…” เพียงแค่คิดไปทางร้ายฝ่ามือของนาคินทร์ก็หยุดนิ่ง รพีพงศ์ขยับตัวหันกลับมาพบว่าใบหน้างามเต็มไปด้วยความกังวล รพีพงศ์รู้ดีว่านาคินทร์คิดสิ่งใดอยู่

“นาคินทร์ พี่จะไม่ให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเจ้า มาพรากเจ้าไปจากพี่อีกและต่อให้มันจะพาตัวเจ้าไป ตัวพี่จะพาเจ้ากลับมาเคียงข้างพี่” รพีพงศ์รั้งกายของนาคาน้อยเข้ามาสวมกอด ริมฝีปากจรดลงเกศาดำขลับเป็นการให้คำมั่น



“ท่านพี่…ข้าเชื่อท่านพี่” นาคินทร์เงยหน้าขึ้นมามองพักตราเทพรูปงาม ดวงตาดุจอินทรีคู่นั้นมองมาที่ตนเช่นเดียวกัน ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มออกมาแล้วประทับริมฝีปากของตนกับปลายคางของรพีพงศ์ก่อนจะแนบศีรษะซุกลงตรงอุรากว้างดังเดิม



“น่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน…เมียพี่” รพีพงศ์กอดนาคินทร์เอาไว้แน่นสมความเอ็นดูที่มีให้ พลางโยกตัวไปมาราวขับกล่อมเด็กเล็กแล้วพาร่างของตนและคนในอ้อมแขนนอนลงบนเตียงกว้าง นาคินทร์ขยับกายเข้าหาร่างสูงใหญ่ แขนข้างหนึ่งโอบกอดรพีพงศ์เอาไว้ ก่อนจะใช้มือที่ว่างป้องปากเอาไว้เพราะเผลอหาวออกมาเสียแล้ว



“หากเจ้าง่วงก็นอนเถิดหนานาคินทร์ แต่ก่อนนอนเจ้าจงจำไว้ไม่ว่ายามเจ้าตื่นหรือยามเจ้าจะนอน เจ้าจะเห็นหน้าพี่ แม้นเจ้าหลับตาเข้าสู่บ่วงฝันเจ้าจะเห็นพี่อยู่ในนั้นเสมอ พี่จะไม่ให้สิ่งใดพาเราสองพลัดพรากจากกันอีก” รพีพงศ์เอ่ยจบก็จุมพิตเข้าที่เปลือกตาสีมุก นาคินทร์เองหลับตาลงทั้งที่กำลังยิ้มย่อง การมีคนรักอยู่ใกล้ ๆ นาคินทร์ก็ไม่กลัวสิ่งใด พอคิดเช่นนี้แล้วนาคินทร์ก็เข้าสู่ห้วงนิทรา



.



.



.





ในขณะจันทราเทพเทียมม้าขับเคลื่อนนำพาดวงจันทร์ตระเวณทั่วท้องนภา ในยามนี้สรรพสิ่งส่วนใหญ่ล้วนหลับใหลเว้นแต่เพียงมุตตาที่กำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด แขนนั้นมีแผลลากเป็นทางยาว ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำพื้นดินปะปนดินกรวดจนเจ็บแสบ กระนั้นมุตตากัดฟันฝืนทนต่อไปด้วยความเจ็บเพียงเท่านี้มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่กำลังไล่ตามมา



‘พึ่บพั่บ…พึ่บพั่บ’



เสียงกระพือปีกของวิหคตามไล่หลังและมันหาใช่เพียงแค่ตัวเดียว ทว่ามีถึงสาม หากเป็นปักษาตัวกระจ้อยร่อยธรรมดา มุตตาคงจะไม่วิ่งหนีแต่นกที่บินไล่ล่าตามหลังเป็นนกแสก ‘วิหคแห่งความตาย’ ซึ่งคอยไล่จิก รุมทึ้งราวกับว่ามุตตาเป็นหนอนเป็นเหยื่อแสนโอชะ ถึงนางจะเป็นนาคแต่การถูกนกแสกยักษ์โจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ไม่สามารถต่อกรได้ทันท่วงที



“ออกไป!!!” มุตตาตวาดลั่น สุดจะทน…ในเมื่อหนีไม่ได้นางนาคีจึงแปลงกายเป็นนาคเกล็ดนิล เลื้อยกายกันกลับไปเผชิญหน้ากับนกแสกซึ่งบัดนี้ต่างกระพือปีกอยู่ตรงหน้า



มุตตาพ่นใส่เข้าใส่เหล่านกแสก ไม่ทันที่เพลิงพิฆาตจะถึงตัวมันกลับบินหลบหลีกซ้ำยังกระพือปีกเรียกลมดับไฟ นับว่านกแสกฉลาดพอตัว



เมื่ออัคคีมิอาจทำร้ายได้ มุตตาจึงขนดหางม้วนให้เป็นฐาน ไล่กลางหลังตลอดศีรษะตั้งตรงแผ่พังพานเข้าฉกกัดยามนกแสกบินใกล้ เพียงหนึ่งหรือจะสู้พวกมาก เมื่อไล่ฉกตัวนี้ อีกตัวก็บินโฉบจิกเข้าตามตัว เวียนวนเช่นนี้ จนกระทั่งเริ่มเหนื่อยอ่อนจึงรวบรวมแรงที่มีอยู่จะโจมตีครั้งสุดท้าย เอาให้หนัก เอาให้ตายเสียสักตัว ทว่าพอจะโต้ตอบนกแสกตัวใหญ่ยักษ์ก็ใช้เท้าเกาะจับลำตัวของมุตตาพร้อมฉุดกระชากให้นอนราบไปกับพื้น



มุตตาพลาดท่าเสียทีแล้วยิ่งนอนหงายท้องก็ยิ่งเสียเปรียบ นร้ายไปยิ่งกว่านั้นนกแสกทั้งสามต่างกดกายของมุตตาในร่างนาคเอาไว้ ตัวหนึ่งกดจิกเล็บลงปลายหางจนเลือดไหลเป็นสาย อีกตัวกดลงตรงกลางตัวและกดลึกจนข้อเท้าของมันจมลงไปในตัวของมุตตา นางนาคีดิ้นทุรนทุราย ความเจ็บรวดแล่นไปทั่วร่างไม่ว่างเว้นสักเสี้ยวอณู แต่นั่นไม่ใช่ความเจ็บปวดสุดท้ายที่มุตตาได้รับ



ความเจ็บปวดถูกผสมด้วยความกลัว มุตตารู้สึกกลัวจับใจราวกับมีพญามัจจุราชมาหายใจรดต้นคอ มุตตารู้ทันทีว่าความตายเข้าใกล้เพียงเอื้อม ไม่สิ…ไม่ถึงเอื้อม



“กรี๊ด!!!!!!!” นกตัวสุดท้ายจิกเข้าที่ลูกตาของมุตตาจนแก้วตามืดบอดมิอาจเห็นสิ่งใดได้อีกต่อไป



‘ฉัวะ’ กรงเล็บของมันขย้ำลูกตาแล้วกระชากออกมาจนโลหิตสีเขียวกระเซ็นไปทั่วบริเวณ



“ท่านพี่!!! นาคินทร์!!! ช่วยด้วย!!!” เสียงร่ำร้องขอความช่วยเหลือฟังแล้วช่างน่าเวทนายิ่งนัก ทว่านกแสกกลับไม่รู้สึกสงสาร มันบินมาเกาะตรงอกนาค ขนสีน้ำตาลแซมขาวค่อย ๆ หลุดร่วงจากร่างหากยังลอยหมุนรอบกายาของมัน ใบหน้าและลำตัวแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ จำนวนขาเพิ่มขึ้นและมีหางยาวชูขึ้นมาเหนือศีรษะ



ถ้ามุตตาดวงตาไม่มืดบอดไปเสียก็จะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่เกาะกลางอุราหาใช่นกแสกแล้วไม่แต่เป็น ‘แมงป่อง’ ที่ยกหางชูงอเข้าจู่โจมตรงอกหางของมันแทงลึกเข้าไปด้านใน



“กรี๊ด!!!!!!!” มุตตาร้องออกมาสุดเสียง ก่อนวิญญาณของนางถูกกระชากไปพร้อมกับดวงหทัยที่แมงป่องดึงติดมากับหาง



“มุตตา!! มุตตาตื่น”



ดั่งเสียงสวรรค์ดังเข้าโสตประสาทเรียกสติให้คนที่กำลังฝันร้ายได้สติ มุตตาลืมตาขึ้นมาเห็นพักตราของสวามีกำลังเรียกนามของตนสีหน้าดูกังวลยิ่งนัก ก่อนจะลุกขึ้นโผกอดพระเสาร์เอาไว้แน่น



“ท่านพี่…ฮึก…ข้าฝันร้ายไปหรือนี่” มุตตาเรียกขานน้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสภาวะจิตใจไม่ได้มั่งคงดั่งปกติ



“พี่อยู่นี่แล้วมุตตา พี่อยู่กับเจ้า…อย่าได้หวั่นเกรงสิ่งใดเลย” พระเสาร์ปลอบประโลมพลางใช้นิ้วมือเกลี่ยหยาดเหงื่อที่ผุดพรายตามหน้าผากมน หากน้ำคำของพระเสาร์ก็มิอาจฉุดมุตตาให้ขึ้นมาจากบ่อแห่งความกลัวได้



“ข้าไม่เป็นไรแล้วท่านพี่ ข้าเพียงฝันร้ายเท่านั้น” หลังจากได้รับความอบอุ่นจากกายอุ่นนางนาคีก็ผละตัวออก มุตตาเลือกที่เอ่ยคำโกหกเพื่อความสบายใจของพระเสาร์ ทั้งที่ความจริงยังคงหวั่นใจอยู่ไม่น้อย



“ดีแล้ว เจ้าอย่าเก็บความฝันมาคิดใส่ใจพาลให้เจ้าเสียขวัญเลย” พระเสาร์ลูบเกศาดำขลับพร้อมมอบรอยยิ้มที่น้อยคนนักจะได้เห็น



“วันนี้ท่านพี่ต้องออกไปผลัดเวรผนึกรอยร้าวคุกกาลเวลาใช่หรือไม่ ข้าจักไปเตรียมน้ำให้อาบ” มุตตาเปลี่ยนเรื่อง ร่างบางลุกจากเตียงแต่ไม่ทันที่ขาจะหยั่งลงแตะพื้น แขนของตนก็ถูกพระเสาร์ฉุดรั้งไว้เสียก่อน



“พี่อาบเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องลำบากเจ้าดอกหนา”



“ไยท่านพี่ถึงไม่ปลุกข้าเล่า ข้าจะได้เตรียมน้ำในสระสรงให้”



“วันนี้พี่ตื่นเร็วกว่าทุกครั้งจึงล่วงหน้าอาบเอง อีกทั้งเห็นเจ้ายังคงหลับใหลจึงไม่อยากปลุก ปล่อยให้เจ้าพักผ่อนแต่ใครจะคิดพอกลับมาเจ้ากลับกรีดร้องลั่นห้องจากฝันร้ายพี่จึงรีบปลุกเจ้า มุตตา…น้องบอกพี่ได้หรือไม่ว่าฝันถึงสิ่งใดกัน” พระเสาร์เอ่ยถาม



“ข้า…ข้ากลัวจนลืมสิ้น ข้ารู้เพียงว่ามันน่ากลัวมาก” มุตตาเอ่ย…ความเท็จ



“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ลืมเสียก็ดีเจ้าจักได้ไม่ต้องกังวล” แม้จะมีเพียงเนตรเดียวก็ใช่ว่าพระเสาร์จักไม่รู้ว่าภายในดวงตาของมุตตานั้นวูบไหวดุจเปลวเทียน แน่นอนว่ามุตตาไม่ตอบตามความจริง ทว่าเทวารัศมีสีม่วงก็ไม่คิดจะเค้นเอาคำตอบ เพื่อความสบายใจของมุตตาหากผู้เป็นที่รักมิต้องการจดจำ



“วันนี้พี่ไม่อยู่วิมานคงกลับมาอีกทียามอรุณรุ่งของวันพรุ่งนี้ หากเจ้าต้องการไปหาลูก พี่จะให้ทหารของเราตระเตรียมขบวนไปยังวิมานเพลิง” พระเสาร์คิดหาหนทางให้มุตตารู้สึกดีและบุคคลนั้นคงหนีไม่พ้นบุตราที่ตบแต่งไปอยู่เมืองสุริยาอย่างนาคินทร์



“เมื่อวานลูกของเราเพิ่งจักมาหาที่วิมานเพราะท่านรพีพงศ์ไปสร้างเกราะเวทย์ ดังนั้นวันนี้ท่านรพีพงศ์คงหยุดพักที่วิมาน ข้าคิดว่าให้นาคินทร์ได้ใช้เวลาร่วมกับคนรักจะดีกว่า”



“ตามใจเจ้า เอาอย่างนี้ดีหรือไม่พี่จะให้เจ้าพุธอยู่เป็นเพื่อน”



“ข้า…ข้าเกรงใจ อย่างไรเสียพระพุธเองคงต้องการพักผ่อนเช่นกัน” มุตตาปฏิเสธ



“ไม่ต้องเกรงใจดอก เจ้าพุธมาวิมานพี่ออกบ่อย บางวันออกไปกรำศึกจนเสร็จสิ้นแทนจะไปหลับหนอนที่วิมานตนกลับมาชวนพี่เล่นสกา” พระเสาร์เล่าไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามุมปากคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย มุตตาเห็นก็เข้าใจในทันที เข้าใจในสิ่งที่ตนค้างคาในใจ



…‘ในความสุขที่ท่านพี่มีอยู่เพียงไม่มีกี่สิ่ง หนึ่งในนั้นย่อมมีพระพุธรวมอยู่ด้วย’…



“เช่นนั้นข้าตามใจท่านพี่ ดีเหมือนกันข้าจะให้พระพุธช่วยสอนคาถาให้กับข้าด้วย” มุตตาเอ่ย



“เช่นนั้นแล้วพี่จะเรียกเจ้าพุธมา เจ้าเองไปเตรียมตัวจัดแจงตนให้เรียบร้อยเถิด ประเดี๋ยวพี่จักต้องออกไปแล้ว…ฟอด” พระเสาร์เอ่ยและปิดท้ายด้วยการหอมปรางค์ขาวฟอดใหญ่เป็นแรงใจในการทำภารกิจ



“ท่านพี่!! อายุปูนนี้แล้วยังทำตัวเป็นชายวัยฉกรรจ์ไปได้” มุตตาเบือนหน้าซ่อนความอาย ถึงปากจะกล่าวไปเช่นนั้นหากพระเสาร์ยังคงสง่างามไม่ต่างคราแรกที่นางได้พบเจออยู่ดี



“ก็เจ้าเป็นคนรักของพี่ ไฉนพี่จะแสดงความรักกับเจ้ามิได้ เอาเถิดพี่ไม่หยอกเย้าเจ้าแล้ว วันนี้ขอให้เจ้าพบพานกับความสุขนะมุตตา”



“ท่านพี่เองก็เช่นกัน”



เมื่อร่ำลากันเรียบร้อยแล้ว มุตตาก็เดินไปส่งพระเสาร์ทำภารกิจหน้าประตูวิมาน พระเสาร์และบริวารส่วนหนึ่งเดินทางออกไปจนสุดสายตา มุตตาจึงเข้ามาชำระกายในสระสรงและไม่ลืมใช้ผงหยกจากพุธดาราผสมลงในน้ำอาบให้ฉวีวรรณเต่งตึงอย่างที่ควรจะเป็น หนีความเหี่ยวย่นจากคำสาปร้ายที่ไม่อาจจะคลายลงได้นอกเสียจากผู้ร่ายคำสาปจะสิ้นบุญ



“ท่านมุตตา บัดนี้พระพุธได้มาเยือนยังวิมานแล้ว” นางอัปสรบริวารแจ้งข่าวถึงการมาของพระพุธ



“เชิญพระพุธในประทับยังโถงรับรองเสียก่อน ประเดี๋ยวข้าจักออกไป” นางมุตตาซึ่งกำลังปักปิ่นแก้วยังมวยผมเอ่ยออกไป นางอัปสรได้สดับฟังจบก็รีบออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อประตูปิดลงมุตตาก็รีบแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วรีบออกไปพบผู้มาเยือน



“พระพุธ…ข้าขอโทษที่เชิญท่านมา ซ้ำยังให้ท่านต้องรอข้าอีก” ทันทีที่มุตตาเข้ามาในโถงรับรองก็กล่าวคำขอโทษให้กับเทวารูปงามที่ประทับนั่งบนแท่นแก้วสีนิล ริมฝีปากแดงระเรื่อกำลังแตะขอบแก้วกระเบื้องเพื่อจิบวารีลอยกลีบผกาก็คลี่ยิ้มออกมา



“มิเป็นไรพี่หญิง อย่าได้ร้อนใจไปเลย เป็นข้าต่างหากที่มาเร็วเกินไปเห็นทีพี่หญิงยังไม่ได้ทานสำรับใช่หรือไม่”



“ข้าทานสิ่งใดไม่ลงดอกพระพุธ คือข้า…” มุตตาเอ่ยออกมา พลางส่งสายตาให้อัปสรรับใช้ออกไปจากโถงรับรอง



“พี่หญิงจักมีหลานให้ข้าอีกคนใช่หรือไม่” ยังไม่ทันที่มุตตาจะได้เอื้อนเอ่ยจนหมดประโยค พระพุธที่ตีความไปเองจนดีใจจนเกินงามได้เอ่ยแทรกขึ้นมา



“หาเป็นเช่นนั้นไม่…ข้ามีเรื่องทุกข์ใจใคร่อยากจะปรึกษาท่าน” น้ำเสียงจริงจังระคนทุกข์ บ่งบอกได้ดีว่าเรื่องที่นางนาคตรงหน้ากำลังจะนำมาปรึกษาหารือคงไม่ใช่เรื่องเล็กแลดูสำคัญมาก ทำให้รอยยิ้มงามจากอาการดีใจเมื่อครู่ของพระพุธหายวับไปฉับพลัน



“พี่หญิงว่ามาเถิด หากไม่เกินความสามารถของข้า ข้าจะช่วยท่านอย่างสุดกำลัง” องค์เทพผู้ทรงคชสารให้คำมั่น ดวงตาประกายไปด้วยความจริงใจที่จะช่วยเหลือ เพียงได้สบตามุตตาก็ซาบซึ้งใจไม่น้อย



“ก่อนอื่นท่านช่วยร่ายคาถาเพื่อไม่ให้ใครอื่นได้ยินเราสองเสวนาได้หรือไม่”



“ย่อมได้” พระพุธตกลง จากนั้นก็ร่ายคาถาออกมา ละอองสีใบตองกระจายทั่วโถงบ่งบอกว่าคาถาของพระพุธได้ครอบคลุมเสร็จสิ้น



“เรียบร้อยแล้ว พี่หญิงเล่ามาเถิด”



“ข้าฝันร้าย...ข้าคิดว่ามันจะเป็นลางบอกเหตุ ข้าได้ยินมาว่าท่านเองเคยศึกษาศาสตร์ทำนายจากพระพฤหัสบดีพระองค์ก่อน ข้าจึงอยากให้ท่านช่วยทำนาย” มุตตาเคยได้ยินพระเสาร์เล่าถึงความสามารถของพระพุธจึงเล็งเห็นว่าพระพุธเป็นผู้ที่ตนไว้ใจและสามารถช่วยเหลือตนได้



“ข้าขอบอกก่อนว่า อันตัวข้าพอจะทำนายได้บ้างแต่ก็หาได้แตกฉานเทียบเท่ากับศาสตร์อื่น หากเป็นความต้องการของพี่หญิงข้านี้จะทำนายให้ พี่หญิงโปรดเล่าความฝันมาเถิด”



เรื่องราวในบ่วงความฝันอันแสนเลวร้ายถูกเปล่งออกมาอย่างละเอียด ไม่มีเลยที่จะลบเลือน ไม่มีเลยที่จะเสริมเติมแต่งเข้าไป ทุกคำล้วนเป็นความจริง พระพุธหลับตาลงหลังจากสดับฟังจนจบเพื่อเริ่มทำนาย สักพักเหงื่อกาฬไหลอาบทั่วใบหน้า คิ้วสองขมวดกันจนแทบเป็นปม นางมุตตาผู้ซึ่งรอคอยคำทำนายเพียงได้เห็นก็พอจะคาดเดาคำทำนายได้



คำทำนายกระจ่างชัดในห้วงความคิด เปลือกตาค่อย ๆ เปิดออกเผยให้เห็นดวงตาสีนิล พลันร่างของพระพุธก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหลับตาและลืมตาใหม่อีกครั้ง



…‘ความฝันบอกเหตุจะถึงฆาต…อีกทั้งยังไร้ซึ่งเงาหัวอีก’…



“เป็นเช่นไรบ้างพระพุธ มันร้ายแรงมากใช่หรือไม่…ฮึก…ข้าจะต้องตายดั่งความฝันใช่หรือไม่” มุตตาเอ่ยถามเสียงสะอื้น ยิ่งพระพุธนิ่งเงียบเช่นนี้แล้วแลสิ่งที่นางเอ่ยออกมาย่อมจะเป็นจริง



“พี่หญิง…” พระพุธแม้จะมีวาทศิลป์เป็นเลิศเพียงใด ยามนี้กลับสงบปากสงบคำราวกับคนเป็นใบ้ พระพุธพยายามคิดเรียบเรียงคำเพื่อไม่ให้ยอดหฤทัยของพระเสาร์ต้องโศกา



“บอกข้ามาตามความจริงเถิดพระพุธ อย่าได้อมพะนำอีกเลย” มุตตาเค้นถาม



“จากคำนายตลอดจนญาณแห่งข้าได้บ่งบอกว่าพี่หญิงใกล้ถึงฆาตในเร็ววัน” สุรเสียงแผ่วเบาเปล่งวาจา ทว่าคนฟังกลับได้ยินชัดแจ่มแจ้ง มุตตาสะอื้นไห้จนตัวโยน ทั้งที่อุตส่าห์ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับผู้อันเป็นที่รัก เหตุใดเวลาแห่งความสุขถึงได้ผ่านไปเร็วนัก



“พี่หญิง..ข้าพอจะนึกถึงวิธีช่วยพี่หญิงได้ แต่ข้ามิแน่ใจว่ามันจะได้ผลหรือไม่” แสงแห่งความหวังแม้จะริบหรี่แต่เมื่อมันอยู่ในความมืดมิดก็ย่อมส่องสว่างนำทางให้กับมุตตาก้าวขาหาทางออก



“จะได้ผลหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพลานี้ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกใดแล้วพระพุธ ท่านได้โปรดบอกวิธีข้ามาเถิด”



“ข้าเคยอ่านเจอในตำรากล่าวถึงว่าผู้ใดต้องการต่อชะตาชีวิตให้ถือศีลภาวนาอย่างเคร่งครัดในที่พำนักห้ามก้าวขาออกไปไหนเป็นเวลา ๗ ทิวา ๗ ราตรี หากออกจากวิมานเมื่อใดย่อมก้าวเข้าสู่เส้นแดนมรณา อีกทั้งก่อนจะถือศีลจะต้องจุดตะเกียงขึ้นมาและหมั่นเติมน้ำมันตะเกียงไว้อย่าให้เปลวไฟในตะเกียงดับเป็นอันขาด พี่หญิงเข้าใจหรือไม่”



“ข้าเข้าใจ” มุตตาพยักหน้ารับ



“เช่นนั้นข้าจะจดสิ่งที่ท่านต้องตระเตรียมในการทำพิธีต่อชะตาชีวิตครั้งนี้และข้าจะเป็นธุระแจ้งพี่เสาร์กับนาคินทร์ให้”



“ไม่!! พระพุธอย่าได้บอกทั้งสอง อย่าได้บอกใครเป็นอันขาด”



“เหตุใดพี่หญิงถึง…”



“ข้าไม่อยากให้ทั้งสองต้องเป็นทุกข์ ข้าอยากเห็นรอยยิ้มของพระเสาร์ ของนาคินทร์ในขณะที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าสุดท้ายข้าจักต้องสิ้นชีพไปข้าก็จะได้โอบกอดความสุขไปกับความตาย เช่นนี้แล้วท่านจะใจร้ายกับคนใกล้ตาย ขัดใจข้าอีกหรือ” รู้ว่าไม่บังควรแต่มุตตาก็บังอาจใช้ความเป็นความตายมาบังคับใจของหนึ่งในเทพนพเคราะห์



“ถ้าเป็นความประสงค์ของพี่หญิงข้าก็จะไม่ขัด แต่ข้าขอให้ท่านตอบแทนข้าด้วยการรับสิ่งนี้จากข้า” พระพุธเอ่ยออกมาแม้จะไม่เต็มใจนัก กระนั้นเขาไม่อาจจะทำสิ่งใดได้ นอกเสียจากถอดกำไลหยกของตนอันเป็นของมีข้าที่ได้รับจากพระบิดาเมื่อครั้นเยาว์วัยมอบให้กับมุตตา



“กำไลหยกนี้จะช่วยป้องกันภยันตรายที่จะทำร้ายท่านในระดับหนึ่ง ข้ามิอาจรู้ว่าสิ่งที่ทำให้ท่านต้องมอดม้วยมรณาคืออันใดแต่ถ้าหากเกิดจากผู้อื่นทำร้ายอย่างน้อยกำไลหยกวงนี้พอจะคุ้มครองท่านได้และถ้ามันเกินจะต้านเพียงปลายนิ้วท่านสัมผัสมันและใจระลึกนึกถึงข้า ข้าจะออกมาช่วยเหลือท่านโดยไวที่สุด” พระพุธกล่าวต่อและคว้าข้อมือของมุตตาขึ้นมาสวมใส่กำไลให้ มุตตาเห็นการกระทำซึ่งสะท้อนถึงความจริงใจของพระพุธก็ร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง



“ข้าขอโทษพี่หญิง ข้าล่วงเกินท่านแล้ว” พระพุธตกใจคิดโทษตนว่าแตะต้องกายมุตตาโดยไม่ได้ขออนุญาตอีกฝ่าย เนื่องจากกลัวถูกปฏิเสธ



“ข้ามิได้ร้องไห้เพราะท่านจับข้อมือของข้าพระพุธ หากข้าดีใจที่ข้าได้เจอคนดีเช่นท่าน…ฮือ…ฮึก…ท่านดีกับข้าเหลือเกิน เช่นนี้ข้าวางใจได้ถ้าข้าไร้ซึ่งชีวัน…ข้าสามารถฝากให้ท่านดูแลพระเสาร์และนาคินทร์ได้” มุตตาระบายยิ้มออกมาทั้งน้ำตา



“อย่าเอ่ยออกมาเช่นนั้น ข้าเชื่อว่าพิธีต่อชะตาจะต้องสำเร็จขอให้พี่หญิงปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด อีกทั้งต่อให้พี่หญิงไม่ฝากฝังข้าก็จะช่วยเหลือพี่เสาร์และนาคินทร์หลานข้าอยู่ดี” พระพุธให้กำลังใจแก่มุตตา



“ขอบน้ำใจมากพระพุธ…ขอบน้ำใจมาก”

.

.

.

…‘ข้าเองก็หวังว่าข้าจะไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รักและหากข้ามิอาจฝืนชะตาสวรรค์ ข้าก็ขอให้ท่านได้เปิดใจดูแลพระเสาร์ด้วยใจ ด้วยความรู้สึกที่แท้จริงของท่าน พระพุธ’…







................

มาแล้วค่ะ ท่านยุ่งกลับมาแล้ว คิดถึงกันไหม ลืมกันไปหรือยัง หลังจากนี้ยุ่งจะกลับมาอัพบ่อยขึ้นกว่าที่ผ่านมานะคะ



ขอกล่าวถึงตอนนี้นิดนึง หลายคนอาจสงสัยในความรู้สึก ความสัมพันธ์ของ พระเสาร์ พระพุธ มุตตา เอาเป็นว่าท่านยุ่งขอไม่พูดถึงในสาวนนี้นะคะ อยากให้ติดตามอ่านกันต่อไป



อ่อ ... หลังจากนี้ท่านยุ่งจะเริ่มต้มมาม่าแล้วยังไงก็มากินมาม่าด้วยกันนะคะ หวังว่าทุกคนจะไม่คว่ำหม้อมาม่าแล้วปาใส่กระท่อมน้องของท่านยุ่ง



ขอกำลังใจหน่อยนะคะ

สุดท้ายขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาร่วมแสดงความเห็นกัน ยุ่งอ่านตลอดนะแต่ช่วงก่อนหน้านี้ยุ่งเลยไม่ได้ตอบเม้นแบบเรื่องสาปรัก หวังว่าจะไม่โกรธเคืองกัน รักนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.18 P.4 (08/04/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-04-2020 08:19:58
มาต่อเรื่อยๆนะ กำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.19 P.4 (16/04/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-04-2020 22:58:15
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 19



นับตั้งแต่วันที่มุตตาได้ขอคำปรึกษาจากพระพุธ นางได้เก็บตัวถือศีลตามคำแนะนำของพระพุธและเพื่อไม่ให้สวามีของตนผิดสังเกตได้อ้างเหตุผลกับพระเสาร์ว่าต้องการส่งแรงกุศล แรงบุญ ในการถือศีลครั้งนี้ดลบันดาลให้เหล่าเทวาสามารถสมานรอยร้าวของคุกกาลเวลาได้สำเร็จ



แน่นอนว่าพระเสาร์ย่อมเชื่อ เนื่องด้วยสิ่งที่มุตตาทำเป็นสิ่งดีงาม เป็นความดี ทั้งเทพผู้แข็งแกร่งยังสนับสนุนยกเรือนพวงคราม ซึ่งปลูกสร้างแยกไว้ในสวนพฤกษาทางด้านหลังของวิมาน ตัวเรือนเกิดจากเถาพวงครามเลื้อยพันกันจนเป็นตัวเรือน ด้านบนปกคลุมด้วยดอกเล็ก ๆ สีม่วงเรียงตัวเป็นช่อที่ปลายกิ่ง รอบตัวเรือนปลูกไม้พุ่มเตี้ยอย่างเทียนหยดและราชาวดี พื้นนี้ส่วนนี้เงียบสงบเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรถือศีลยิ่ง



…‘เหลือเพียงวันพรุ่งนี้ก็ครบกำหนด ๗ ทิวา ๗ ราตรี’…



เยาวมาลย์งามสมวัยสวมใส่อาภรณ์ขาวสะอาดกำลังคิดในขณะที่มือกำลังรินน้ำมันลงไปในตะเกียง มุตตาทำเช่นนี้มาตลอด ๖ วันเติมไปด้วยใจที่มีความปล่อยวางแต่เมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละวันล้วนไร้อุปสรรคมาขัดขวาง ทำให้ไฟแห่งความหวังโชติช่วงไม่ต่างเปลวไฟที่ส่องสว่างภายในตะเกียง



…‘ขอเพียงหลังจากนี้อย่าได้มีอันใดมาขัดขวางเลย’…



‘ปัง!!’ เสียงบานประตูเรือนเปิดออก มุตตาที่กำลังเติมน้ำมันตะเกียงจำต้องวางคนโทบรรจุน้ำมันเอาไว้ก่อนจะหันไปยังต้นเหตุที่เข้ามารบกวน



“ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าห้ามผู้ใดเข้ามารบกวน” มุตตาเอ็ดนางอัปสรรับใช้ที่นั่งคุกเข่าหน้าสลดอยู่ตรงหน้า



“ข้าขออภัยท่านมุตตาแต่ข้าจำเป็นต้องเข้ามาเรียนท่านให้ทราบ เนื่องด้วยนางกำนัลจากวิมานพระอาทิตย์ต้องการจะขอเข้าพบท่าน” เพียงแค่นางอัปสรคนงามเอ่ยถึงวิมานพระอาทิตย์มุตตาก็รู้โดยทันทีว่าจักต้องเกี่ยวข้องกับนาคินทร์ลูกของตน



“เช่นนั้นเจ้าจงไปตามนางกำนัลผู้นั้นให้เข้ามาพบข้า” มุตตาอนุญาต ไม่นานนางอัปสรแต่งองค์ด้วยภูษาสีชาดอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวสุริยภพก็เดินเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า หากการแต่งกายดูไม่เรียบร้อย อีกทั้งกิริยาท่าทางคล้ายกำลังหวาดระแวงบางสิ่งบางอย่าง



“เจ้ามีสิ่งใดก็รีบแจ้งแถลงไขแก่ตัวข้าเถิด” มุตตาไม่รอช้าซักถามนางรัมภาตรงหน้า



“ข้ามันามว่าดารารัตน์เป็นอัปสรรับใช้ของท่านนาคินทร์ คือเพลานี้ท่านนาคินทร์…ท่านนาคินทร์…เอ่อ…” ผู้ถูกถามเอ่ยตอบน้ำเสียงสั่นเครือ กว่าจะเปล่งวาจาได้ในแต่ละคำทำเอาคนรออย่างมุตตานั้นกังวลใจ ด้วยรูปการณ์มองปราดเดียวก็รู้ว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่



“นี่เจ้าอย่ามัวชักช้าอึกอัก มีอันใดก็แจ้งแก่ท่านมุตตาโดยไว” ฝ่ายนางกำนัลรับใช้ของมุตตาร้อนรนทนไม่ไหวแทนนายเหนือหัวจึงเร่งเร้าเอาคำตอบจากผู้มาเยือนเสียเอง



“มีอสูรร้ายกำลังลอบทำร้ายท่านนาคินทร์ไปเพคะ”



“เจ้าว่ากระไรนะ!! นาคินทร์…นาคินทร์ลูกแม่…” มุตตาได้ฟังข่าวร้ายถึงกลับซวนเซไร้แรงยืน โชคดีที่ยังคงมีนางอัปสรในวิมานคอยประคองเอาไว้ไม่ให้ล้ม



“เจ้าพูดจริงหรือไม่!! หาใช่ว่าสร้างเรื่องโกหก วิมานเพลิงเป็นศักดิ์สิทธิ์สถานมิใช่พวกสัมพเวสีแลพวกอสุรา มารร้ายจะเหยียบย่างเข้าไปได้ ทั้งเหล่าทหารก็กล้าแกร่งไม่มีทางที่จะปล่อยให้อสูรทำร้ายท่านนาคินทร์ไปได้ ฉะนั้นแล้วหากเป็นดั่งคำเจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงมายังวิมานแห่งพระเสาร์ได้เล่า” นางอัปสรฝ่ายมุตตาซักถาม นางนึกสงสัยรู้สึกไม่ไว้ใจนางฟ้าที่นั่งสั่นราวกับลูกนก



“ข้าหาได้กล่าวเท็จไม่ เหตุที่พวกอสูรเข้าลอบสังหารท่านนาคินทร์ไปได้เพราะว่าท่านนาคินทร์หาได้อยู่ที่วิมานแต่กำลังเดินทางมา ณ วิมานนี้ต่างหากเล่า ข้าเองใช้โอกาสที่กำลังชุลมุนหลบหนีเพื่อมาขอความช่วยเหลือ คิดว่าถ้ารีบไปตอนนี้คงจะช่วยท่านนาคินทร์ได้ทันท่วงที”



“ช้องนางเจ้าจงแจ้งเหล่าทหารให้เตรียมพร้อม ประเดี๋ยวข้าจะไปช่วยนาคินทร์ และเจ้าบัวตองรออยู่ทางนี้หากพระเสาร์กลับมาเจ้าจะได้อยู่แจ้งข่าวคราว ส่วนดารารัตน์เจ้าจงไปกับช้องนางบอกตำแหน่งที่ลูกของข้าอยู่ให้กับเหล่าทหาร”



“เจ้าค่ะ” ช้องนางและดารารัตน์รับคำสั่ง ก่อนจะออกไปให้ทหารเตรียมตัวเพื่อช่วยเหลือนาคินทร์ตามตำของมุตตา



“เอ่อ…ท่านมุตตาแล้วท่านจักละจากการถือศีลหรือ ข้าว่าเรื่องช่วยเหลือท่านนาคินทร์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกทหารก้านบัวเถิด” บัวตองเสนอความคิด ใจของนางรู้สึกว่าการออกไปครั้งนี้ของมุตตาย่อมจะไม่เป็นผลดี



“ต่อให้ข้าไม่ออกไปใจข้าคงร้อนรนอยู่ไม่นิ่งพอจะถือศีลได้อีกต่อไป สู้ให้ข้าออกไปช่วยเหลือลูกคงจะเป็นการดีกว่า”



“เช่นนั้นข้าขอติดตามท่านมุตตาไปด้วยเจ้าค่ะ” บัวตองร้องขอ นางดูแลมุตตาตั้งแต่วันแรกที่นางนาคีเข้ามาในวิมานของเทะพผู้แข็งแกร่งในนพเคราะห์ดารา นางย่อมผูกพันจงรักภักดีและไม่ติดจะให้นายเหนือเศียรต้องออกไปเพียงผู้เดียว



“ตามใจเจ้าเถิด” มุตตาเข้าใจเจตนาของบัวตองจึงไม่คิดขัดใจ เมื่อกล่าวจบก็เดินนำหน้าบัวตองออกจากเรือนพวงครามมุ่งหน้าไปยังหน้าวิมาน บัดนี้เต็มไปด้วยทหารก้านบัวมากฝีมือยืนแถวเป็นขบวนพร้อมด้วยราชรถ



“เร่งออกไปช่วยบุตรแห่งข้าและพระเสาร์บัดเดี๋ยวนี้!!!” มุตตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันดังก้อง หลังจากก้าวขาย่างขึ้นบันไดเล็กนั่งลงบนราชรถ



เมฆาลอยละล่องกลางเวหา ไร้รูปร่างตายตัวชวนให้คนมองต้องคาดเดาตามจินตนาการ หากเป็นแต่ก่อนมุตตาคงจะใคร่ชม ใคร่ดูแต่เพลานี้จิตใจกลับคาดเดาถึงบุตรผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ทั้งนึกภาวนาให้ผลบุญที่ตัวเองมีคุ้มครองนาคินทร์อย่าได้เป็นอันใดก่อนที่ตนจะไปถึงที่หมาย



“ดารารัตน์…ยังอีกไกลหรือไม่” มุตตาถามคำถามนี้หลายครั้งหลายครา นางกระวนกระวายใจจนไม่สามารถนั่งนิ่งให้กายได้ติดกับราชรถ



“อีกไม่ไกลเจ้าค่ะ…ตรงนั้น พี่ทหารลงไปตรงนั้นใกล้ๆกับหน้าผา” ดารารัตน์ตอบ ขณะเดียวกันก็ถึงที่หมายจึงบอกเหล่ากองพลที่พร้อมรับให้เปลี่ยนทิศทางจากท้องนภาไปยังพื้นพิภพ



ทันทีที่เท้าและล้อราชรถสัมผัสกับเม็ดทรายบนผืนปฐพี สายตากวาดมองไปโดยรอบกลับไร้เงานาคินทร์หรือร่างของอสุราใดใด สร้างความประหลาดใจให้กับผู้มาใหม่เป็ยอย่างมาก



“ดารารัตน์ ใช่แน่หรือหาใช่ว่าเจ้าจำไม่ได้บอกกับพวกข้าผิด” บัวตองเอ่ยถามพลางประคองมุตตาให้ลงจากราชรถ



“ไม่ผิด ใครเล่าจะลืมสุสานของพวกเจ้า!!”



“อ๊าก!!!”



น้ำเสียงหวานเย็นนิ่งเอื้อนเอ่ยจบประโยคไม่ถึงอึดใจ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ตามมา ดารารัตน์กริชเงินสลักลายงดงามแทงเข้าที่คอของทหารใกล้มือแล้วดึงพรวดออกมาจนโลหิตพุ่งกระจายเปรอะเปื้อนใบหน้างาม



“อารักขาท่านมุตตา!!!” บัวตองตะโกนเรียกสติ เทวาองครักษ์จึงเข้าจัดการดารารัตน์



“ท่านมุตตาขึ้นราชรถหนีไปก่อนเจ้าค่ะ”



หากไม่ทันจะได้ขึ้นไปดารารัตน์ได้ส่งวงเวทย์ทำลายราชรถเสียสิ้นและเปลี่ยนกริชในมือให้กลายเป็นราชาแห่งศาสตราวุธด้ามยาว ‘ทวน’ โลหะแหลมยาวคมกริบพร้อมฟันและแทงสร้างบาดแผลมอบความตายให้กับผู้ที่ได้สัมผัส ด้ามของมันทำจากเงินมีลวดลายไม่ต่างจากด้ามกริช โคนทวนประดับด้วยขนสีหมอกของอาชาสวรรค์ นอกจากอาวุธในหัตถ์จะเปลี่ยนไป ร่างอรชรของนางเทพีก็แปรเปลี่ยนเป็นร่างสูงโปร่งแต่มิอาจทราบได้รวมไปถึงใบหน้า เนื่องด้วยสวมผ้าคลุมสีปีกกา ทั้งสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า



“ย๊า!!!!”



‘ฉึก!!’



“อ๊าก!!”





การต่อสู้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการ ผาสูงชันที่ภายใต้ชะง่อนผาเป็นมหาสมุทรคอยส่งเกลียวคลื่นซัดตีคล้ายกับกลองศึก ทหารกล้าบุกเข้าตีรันฟันแทงใส่ผู้คิดร้าย หากบุคคลปริศนากลับหลบหลีกได้ทันท่วงที อีกทั้งยังโจมตีเข้าจุดตายในคราเดียว



กระนั้นแม้จะเก่งกาจเพียงใด หากตนมาเพียงหนึ่งสู้กับทหารนับสิบ ไหนเล่าจะสังกัดในพระเสาร์ผู้ขึ้นชื่อลือชาว่าแข็งแกร่ง แม้จะสังหารได้แต่ใช่ว่าจะง่ายดายเห็นทีต้องใช้ตัวช่วยเสียแล้ว



ดวงจิตตั้งมั่นแม้ร่างกายจะขยับไปมา ไม่ทันเคี้ยวชานหมากแหลก สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ รูปร่างคล้ายปูทว่าลำตัวยาวเป็นปล่องปลายหางมีพิษใครได้มันฉีดพิษเข้าใส่จะไม่สามารถขยับได้และจะสิ้นลมไปในที่สุด



“นี่มันแมงป่องแก้ว!! ทุกคนระวังตัวด้วย” หนึ่งในทหารตะโกนออกมา จะเรียกว่าเป็นบุญหรือเป็นกรรมก็ไม่สามารถจะบอกได้ แมงป่องแก้วสัตว์พิษในตำนานที่ถูกกำจัดไปนับพันปีพร้อมกับการล่มสลายของวิหารนอกรีตกลับอยู่ตรงหน้า ไม่เพียงเท่านั้นพวกมันกำลังกรูเข้ามาต่อสู้กับพวกเขา



“ตายเสียเถอะ!!” ปลายดาบจ้วงแทงไปยังลำตัวของแมงป่อง บ้างฟันฉับทีเดียวให้แดดิ้น หากยิ่งฆ่ามันก็ยิ่งเพิ่มจำนวนและมากพอที่จะรุมต่อยปล่อยพิษให้ทหารก้านบัว



“อ๊าก!!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยามพิษแล่นผ่านผสมรวมกับกระแสเลือด ร่างกำยำนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะค่อย ๆ ทรุดกายลงเหลือไว้เพียงร่างไร้ซึ่งจิตวิญญาณ



“ท่านมุตตา ข้าเกรงว่าไอ้คนจัญไรสวมใส่หน้ากากนี้จักไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว เราสองหลบหนีกันก่อนเถิด” บัวตองเห็นท่าไม่ดีรีบชักชวนมุตตาให้หลบหนี มุตตาพยักหน้าแต่ไม่ทันได้ขยับตัวแมงป่องแก้วก็เดินเข้ามาตีวงล้อมไม่ให้มุตตากับบัวตองหนีไปได้



“อั้ก!!” ทหารคนสุดท้ายกระอักเลือดออกมาทั้งทางจมูกและปากหลังจากถูกปลายทวนแทงทะลุจากด้านหลัง เจ้าของทวนก็เดินฝ่าวงล้อมแมงป่องแก้วที่ร่วมใจกันเปิดทางให้เข้าหา ‘เหยื่อ’ ที่กำลังยืนอยู่



“ออกไป อย่าริบังอาจมาทำร้ายท่านมุตตา!!” บัวตองดึงปิ่นปักมวยผมออกมาพลันเครื่องประดับชิ้นงามกลายเป็นดาบเล่มยาว



“เจ้าเป็นใครคิดมาสั่งข้า!! เป็นเพียงแค่อัปสรชั้นต่ำอย่าริต่อปาก ต่อคำ ต่อกรกับข้า”



‘บุรุษ’ สรรพนามนี้ผุดขึ้นมา มุตตาแปลกใจยิ่งนักเพราะไม่เคยมีศัตรูคู่แค้นเป็นบุรุษและที่สร้างความฉงนใจยิ่งกว่านั้นคือน้ำเสียงของคนผู้นี้ช่างคุ้นเคย มุตตาเคยได้ยินน้ำเสียงนี้มาก่อน



“แล้วเจ้าชั้นสูงมาแต่ที่ใดกัน กระทำตัวหยาบช้าไม่เกรงกลัวต่อบาปยิ่งเสียกว่าสัตว์นรกและหากว่าเจ้าจะทำร้ายท่านมุตตาก็ต้องข้ามศพข้าไปเสียก่อน”



“ข้าจะให้ดั่งใจเจ้าปรารถนา เจ้าจะเป็นศพให้ข้าได้เดินข้าม” จบประโยคต่างฝ่ายต่างถืออาวุธในมือจู่โจมเข้าหากัน



“บัวตอง!!” มุตตาร้องเรียก พลันขาทั้งสองแปรเปลี่ยนไป เกล็ดสีรัติกาลวาววับดุจดังนิลปรากฏขึ้นมากลืนกินกายมนุษาให้เป็นนาคา



ทว่าแมงป่องแก้วกลับไม่กลัว พวกมันเข้าปีนป่ายตามตัวและต่อยตีแต่มันคงลืมไปว่านาคนั้นมีพิษร้ายแรงเพียงใด พิษจากแมงป่องแก้วที่โดนตามตัวจึงไม่ต่างจากมดตัวเล็กมากัดหากมันสร้างความรำคาญอยู่ดี มุตตาคิดกำจัดและได้เรียนรู้ว่าหากสังหารแมงป่องแก้วโดยที่เหลือซากไว้รังแต่จะเพิ่มจำนวนให้มาก่อกวน จึงอ้าปากเผยลิ้นเฉกให้เปลวไฟออกมาแผดเผาพฤศจิกให้วอดวายเหลือเพียงเถ้า



บุรุษนิรนามที่กำลังใช้ทวนโต้ตอบกับดาบของบัวตอง พอได้เห็นมุตตากลายเป็นนาคและกำลังสังหารสมุนของตน จึงรู้ว่าตนพลาดไปที่ใช้แมงป่องสู้กับจ้าวแห่งอสรพิษ กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหนักอกหนักใจ



เพราะอย่างไรเสียผู้ที่ปลิดชีวิตของมุตตาจะต้องเป็นตนหาใช่ผู้ใด



“ข้าเบื่อที่จะเล่นกับเจ้าแล้ว” คนถือทวนเอ่ย หลังจากคอยตั้งรับบ้างขยับโต้ตอบพอเป็นพิธี ไอสังหารก็แผ่ออกมาโดยรอบสร้างความอึดอัดให้กับบัวตอง



“อัก!!” ด้ามยาวของทำจากโลหะเนื้อดีฟาดเข้ากลางหลังจนบัวตองกระอักเลือดออกมา



บัวตองเซถลาแต่ยังมีสติพอจะใช้ดาบค้ำยันตนไว้ ก่อนจะร่ายคาถาใส่ผู้ที่ทำร้ายตน หากพลาดพลั้งอีกฝ่ายเบี่ยงกายหลบได้ ขณะเดียวกันศัสตราวุธด้ามยาวก็ถูกขว้างไปหานางรัมภาแทงทะลุร่างซ้ำยังเสียบคาเอาไว้



“บัวตอง!!!” มุตตาร้องออกมาดังก้อง หัวใจแทบสลายเมื่อผู้ที่ไว้ใจ ผู้ที่เป็นมิตรหวังกับตนถูกทำร้าย



“อึก…ท่านมุตตา รักษาตัวเองด้วย” สายโลหิตไหลรินออกมาจากปากพร้อมกับคำสั่งเสียสุดท้ายที่บัวตองฝากไว้กับนายของตนแม้นตัวจะตายแต่ใจนั้นยังคงภักดี สุดท้ายบัวตองก็จบชีวิตทั้งที่ยังคงยืนอยู่



‘ฉัวะ’ ทวนถูกดึงออกจากร่างโดยผู้เป็นเจ้าของ ดวงเนตรที่หน้ากากไม่ได้ปิดซ่อนเผยให้เห็นแววตาสะท้อนความหยามหยาบ ก่อนจะยกฝ่าเท้าขึ้นมาถีบร่างไร้วิญญาณของนางอัปสรให้นอนลงไปกับพื้น



“เจ้าจักทำอันใดบัวตอง!!” มุตตาตะโกนถามไม่สนใจแมงป่องแก้วที่ยังไต่ตามตัวเพื่อปล่อยพิษใส่



“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าจะข้ามศพนางเพื่อฆ่าเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”



ชั่วสมบูรณ์แบบ มุตตาไม่เคยเจอผู้ใดจะชั่วร้ายเลวทราม ระยำบริสุทธิ์จนหาความดีมิได้เฉกเช่นผู้ที่ยืนตรงหน้าและหัวเราะชอบใจกับความตายของผู้อื่น ไม่เคย…ไม่เคยเจอ



“หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว กลับมาเถิดแมงป่องแก้ว” ผู้อยู่ใต้ผ้าคลุมเอ่ย เหล่าแมงป่องแก้วที่ยังคงรอดชีวิตก็เดินกลับมาไต่ไปยังผ้าคลุมสีทึบก่อนจะหายไปราวไม่เคยปรากฏกาย ณ ที่แห่งนี้



“คราวนี้ก็เหลือเราแค่สองคนแล้ว…มุตตา”



“เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดต้องลวงข้ามาสังหาร” มุตตาเอ่ยถาม ไม่สนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย สิ่งที่นางอยากรู้คือคำตอบมากกว่า



“ข้าเป็นใคร…ไยจักต้องบอกเจ้าแต่สิ่งที่เจ้าควรรู้คือข้ารักพระเสาร์ หากไม่มีเจ้าสักคนพระเสาร์จะต้องรักใคร่ชอบพอข้า” ประโยคและเจตนาแสนคุ้นเคยนี้ทำให้มุตตาตกใจ มุตตาไม่อยากให้สิ่งที่ตนคิดเป็นความจริง



“เจ้าคิดถูกมุตตา ข้าคือคนเมื่อหลายร้อยปีก่อน คนที่เมตตาร่ายคำสาปใส่เจ้าแทนที่จะกำจัดเจ้าให้ตาย ๆ ไปจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวางแผนมาสังหารเจ้าในวันนี้”



“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าวันนี้ เพลานี้ หากเจ้าปลิดชีวิตข้าให้มอดม้วยได้สำเร็จแล้ว ‘ท่านพี่’ จะเหลียวแลเจ้า ทั้งที่ตลอดหลายร้อยปีที่ข้าเร้นกายในถ้ำใต้รอยต่อมหาสมุทรสีทันดร เจ้าก็ไม่อาจชนะใจท่านพี่ของข้าได้” ถ้ามุตตากลายร่างเป็นมนุษย์คงจะได้เห็นมุมปากยกยิ้มขึ้นมา



“เจ้า!!!” คนฟังโกรธจนตัวสั่น มิอาจจะโต้ตอบเอาคืนได้ ก่อนจะตั้งสติสงบใจเพียงชั่วคู่และกล่าวออกไปว่า



“แต่ครั้งนี้ก็ไม่แน่ บางทีข้าอาจจะทำให้พระเสาร์หลงรักข้าหัวปักหัวปำ”



“เสียใจ มันจะไม่มีวันนั้น อย่างไรเสียครั้งนี้ข้าจะไม่หนีเจ้าไปดั่งครั้งก่อน ข้าจะสู้จนตัวตาย” กาลครั้งก่อนเพราะมีครรภ์มุตตาจำต้องหลบหนี หากครานี้ต่างกันมุตตาไม่มีพันธะใดมาพันผูกให้พะว้าพะวง นาคินทร์มีรพีพงศ์คอยดูแล ด้านพระเสาร์เองหากตนเหลือเพียงนามอย่างน้อยยังมีผู้ห่วงใย ดูแลพระเสาร์ แน่นอนว่าหาใช่บุรุษโฉดชั่วผู้นี้แน่



มุตตาเลื้อยเข้าหาระหว่างนั้นก็พ่นอัคคีออกไป เพียงแค่ไอร้อนจากเปลวเพลิงก็สร้างความปวดแสบปวดร้อน ไหนเล่าจะต้นไม้ที่เขียวชอุ่มกลับเหี่ยวเฉา ใบไม้ใบหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาลไหม้



“ไฟกระจอกไม่ระคายผิวข้าดอก” บุรุษปริศนาเอื้อนเอ่ยไม่นึกกลัวเพียงพริบตารัศมีสีสวาดหมุนวนห่อหุ้มกายาเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังกระโดดเข้าหา แขนยกขึ้นมาถือทวนง้างเอาไว้เตรียมฟาดฟัน



กระโดดขึ้นสูงหรือให้เหาะเหินเดินอากาศแล้วอย่างไร มุตตามีหรือจะกลัวรังแต่จะหยัดกายให้สูงขึ้นแล้วเคลื่อนตัวพันเกลียวร่างของผู้ที่จะมุ่งร้ายเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะใช้ทวนแทงตน จากนั้นมุตตาได้ฝังเขี้ยวคมกัดจมไปยังไหล่ของศัตรู



“อ้าก!!...บังอาจ!! เจ้าบังอาจกัดข้ารึ จงรู้เอาไว้ว่าพิษใดในโลกหล้าก็ไม่อาจทำอันตรายต่อข้าได้” แม้จะเจ็บจากบาดแผลแต่บุคคลนิรนามยังคงปากดี ไม่สิ..เรียกว่ายังคงมีสติดีพอที่จะหาทางออกจากนาคา ริมฝีปากขยับร่ายคาถาโดยพลัน



“กรี๊ด!!!” ร่างของมุตตาคลายออกล้มลงนอนเป็นระนาบเดียวกับผืนดิน เนื้อกายอ่อนยวบราวกับไร้กระดูก อีกฝ่ายปล่อยพลังจนมุตตาปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกเผา



‘ฉึก!’ และยิ่งไปกว่านั้น ปลายแหลมของทวนก็แทงเข้าที่หางก่อนจะถูกดึงออก มุตตากลายร่างเป็นมนุษย์ขาข้างหนึ่งมีของเหลวสีเขียวไหลออกมาจากบาดแผล ความชาค่อย ๆ รวดแล่นกัดกิน ในเวลานั้นเองมุตตาก็จับเข้าที่กำไลหยกสีมธุรสระลึกถึงผู้เป็นเจ้าของ



“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นั่นใช่กำไลหยกของพระพุธใช่หรือไม่ คิดหรือว่าจะสามารถปกป้องเจ้าได้ ฮึ!! มุตตา…หนอ…มุตตา ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรับของจากหอกข้างแคร่ ผู้ที่เคยมีใจปฏิพัทธให้กับพระเสาร์ ศัตรูหัวใจของเจ้า” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยมาคู่กับคำพูดถากถาง หากไม่อาจจะทำให้มุตตานึกเจ็บแสบเลยสักนิด



“หากเป็นพระพุธข้าก็ยินดีและภาวนาให้เคียงคู่กับท่านพี่ ส่วนเจ้าแม้ข้าจะหวังให้ท่านพี่ชังน้ำหน้าก็หาทำไม่เพราะอะไรนะหรือ เพราะขนาดตัวข้าไม่หวังท่านพี่ชายตาก็ไม่เหลียวแลเจ้าเลยสักนิด”



“เจ้า!!!” คำพูดของมุตตาเป็นดั่งสายลมโหมไฟโกรธาให้ลุกโชน มือถือทวนจึงยกขึ้นสูงอีกครั้งก่อนจะหมายกลางอกของมุตตาเป็นจุดสังหาร



‘เปรี๊ยะ’ ทวนกระทบเข้ากับม่านพลังที่ทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังให้กับมุตตา



“ฮึ!! ข้าอยากรู้นักว่าจะช่วยเจ้าให้รอดพ้นได้นานแค่ไหน” บุรุษสวมหน้ากากเอ่ยออกมาน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดขวาง



ปลายทวนถูกแทงไปยังม่านพลังซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า อีกทั้งใช้คาถาเข้าโจมตีไม่นานม่านพลังก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ชายสวมหน้ากาไม่รอช้าใช้ทวนแทงเข้าที่กลางอก



“กรี๊ด!!!!” มุตตาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด



“เจ็บใช่หรือไม่แต่เจ้าต้องทนเสียหน่อยเพราะข้าจะไม่ให้เจ้าต้องตายไปง่าย ๆ ร่างของเจ้าจะค่อย ๆ สลายกลายเป็นสายวารี ขณะเดียวกันเจ้าจะเจ็บปวดไปจนกว่าร่างทั้งร่างจะแหลกเหลว” ถ้ามุตตามีตาทิพย์ นางจะได้เห็นสีหน้าระรื่นของคนที่สังหารนาง



“เจ้า…เจ้าจงจำเอาไว้…แค่กๆ…สิ่งใดที่เจ้าทำกับข้ามันจะตามสนองเจ้า..อึก…จำเอาไว้” มุตตามองอีกฝ่ายตาเขม็ง แม้นแทบจะไร้ซึ่งลมปราณ มุตตาก็ขอสาปแช่งไอ้สารเลวผู้นี้



“เห็นทีเจ้าคงทรมานไม่พอ ดี…ข้าจะทรมานเจ้าให้จดจำว่าอย่าได้ผุดได้เกิดมาเป็นศัตรูของข้าอีก”หัตถากระชากกายของมุตตาขึ้นมาแล้วเหวี่ยงไปยังหน้าผาให้พลัดตกลงไป ทว่ามุตตากลับเกาะขอบผาเอาไว้ได้



“ตายยากเสียจริง ฮึ!! เช่นนั้นจงใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ฟังข้าไว้ให้ดี จากนี้สืบไปนาคินทร์ลูกของเจ้าจะไม่มีทางใช้ชีวิตเป็นสุข ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ” คนเป็นมารดามีจุดอ่อนอยู่ที่บุตร ไม่เช่นนั้นแผนการนี้จะสำเร็จได้หรือ ร่างโปร่งรู้…รู้ดีจึงใช้วาจาอ้างถึงบุตรของเยาวมาลย์ที่กำลังตะเกียกตะกายให้รอดพ้นจากผาสูงชัน



“อย่ามายุ่งกับนาคินทร์!!!” มุตตาเค้นเสียงเปล่งออกไป



“เจ้าห้ามข้าได้สักที่ไหนกัน...โอ๊ย!!!” ไม่ทันพูดจบประโยค ชายปริศนาก็ล้มลงไปอีกทางด้วยแรงถีบจากด้านข้าง



“หากพี่หญิงห้ามไม่ได้ ข้าจะเป็นคนห้ามเอง สพลช่วยพี่หญิงขึ้นมา ส่วนข้าจะปราบคนชั่วนี้” ผู้มาใหม่เอ่ยออกมา หลังจากใช้ฝ่าเท้ากระแทกเข้าไปที่ร่างของชายที่หมายมั่นว่าเป็นศัตรูของมุตตา



“หากเจ้าคิดว่าทำได้ก็เข้ามา…พระพุธ”













................

มาแล้วค่ะ มาม่าหนึ่งห่อ

กลับมาเขียนการต่อสู้ ถ้าติดขัดหรือภาษาแปลกๆ เพี้ยนๆ บอกได้นะคะ อ่อ ฉากอื่นๆ บทพูดด้วย ติชมแนะนำได้ค่ะ

ตอนนี้ทุกคนจะได้เห็นคนชั่วที่ดูจะร้ายกว่าป๋ากนธีอีก บอกแล้วว่ากนธีคือคนดีของท่านยุ่ง 55555

ส่วนใครที่เดาเรื่องไว้ ทายถูกไหมคะ >< บอกด้วยนะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ติดตาม อ่าน คอมเม้น เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.19 P.4 (16/04/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 19-04-2020 09:55:30
มุตาจะตายมั้ย? ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.20 P.4 (24/04/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 24-04-2020 13:59:59
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 20



 ทั้งที่คิดวางแผนมาเสียดิบดี คิดว่าวันนี้จะเป็นวันดีของตนได้สังหารมารความรัก ศัตรูหัวใจอย่างมุตตา ทว่ากลับเป็นไปไม่ได้ดั่งใจคิด หวังว่าจะได้เห็นมุตตาได้ตายอย่างทรมานแต่นี่กระไรกลับมีผู้ที่ตนไม่ได้นับเชิญเข้ามารนหาที่ตายโดยไม่คาดคิด ‘ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน’ อินทุนิลเชื่อแล้วว่าคำสอนนี้หาได้เกินจริงไม่ หากถามว่าอินทุนิลหวั่นใจหรือไม่



‘ไม่!!!’



อีกทั้งยังรู้สึกยินดีเสียมากกว่ากลัว แม้ว่าเทวาตรงหน้าได้ชื่อว่าเป็นเทพผู้ฉลาดปราดเปรื่อง มีความสามารถรอบด้านทุกศาสตร์ ทุกแขนง รบคราใดไม่เคยปราชัย เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วอินทุนิลยิ้มออกมาภายใต้หน้ากากที่ปิดซ่อน อาจเป็นเพราะไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้ว่าตนเป็นผู้หนึ่งที่เก่งกาจและครั้งนี้การแส่หาเรื่องของพระพุธจะเป็นการประกาศก้องให้เป็นที่กล่าวขานจนสะท้านทั่วทั้งไตรโลกันต์ว่าพระพุธพ่ายแพ้และดับสูญไปตลอดกาล



อินทุนิลไม่คิดเลยว่าภายในวันเดียว ตนจะได้ ‘กำจัดศัตรูหัวใจ’ ทั้งสอง เห็นทีว่าความโชคดีคงจะเข้าข้างตนบ้างแล้ว



แต่ก่อนจะกำจัดเทพผู้ทรงคชสาร อินทุนิลภายใต้การปลอมแปลงตนด้วยผ้าคลุมสีทึบผืนใหญ่และหน้ากากโลหะนี้ขอล่อหลอกให้พระพุธเหาะเหินตามตนเข้าไปยังในป่าอีกด้านหนึ่งของหน้าผา



“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!! เจ้าหนีข้าไม่พ้นดอก!!” พระพุธไล่ตาม ขณะเดียวกันแสงประภาสีขาวขาบได้หมุนเกลียวลอยเหนือหัตถาเรียวก่อนจะแล่นเข้าพุ่งใส่เป้าหมายที่กำลังหลบหนี



‘เปรี้ยง!’



กระนั้นกลับพลาด ผู้หลบหนีเบี่ยงกายหลบได้ทันอย่างฉิวเฉียดแลคล้ายจะท้าทายเสียมากกว่าจะใช่บังเอิญเพราะหลังจากครั้งแรกที่หลบได้ ครั้งต่อไปพอเกลียวเวทย์ใกล้จะโดนตัว เพียงไม่ถึงเอื้อมอีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบก้มตัวหนี เพียงเท่านี้พระพุธพอจะประเมินได้ว่าผู้ที่ตนกำลังสู้ฝีไม้ลายมือย่อมไม่ธรรมดา



“เหตุใดถึงแสร้งเป็นไม่สู้ วิ่งหลบหนีข้าด้วยเล่า ทั้งที่เจ้าหาใช่ผู้ไร้ความสามารถ” พระพุธเอ่ย อินทุนิลได้ยินเช่นนั้นก็กระโดดลงสู่พื้นและหยุดการเคลื่อนไหว



…‘สมแล้วที่เป็นเจ้า…พระพุธ ใช้เวลาไม่นานก็พอจะอ่านข้าได้แล้ว’…



“การจะสู้กับผู้ไร้พ่ายเช่นเจ้าจะให้ข้าหุนหันพลันเล่นเข้าต่อสู้โดยพลันได้อย่างไรเล่า ขอข้าเตรียมใจ ไม่สิ…ขอข้าวางแผนสังหารเจ้าก่อนมิได้หรือไร ฮ่า ฮ่า ฮ่า” วาจาอวดดีแสนทะนงตัวหมายจะสร้างความไม่พึงใจแก่ผู้ฟัง หากอินทุนิลหันหลังกลับไปมองพบว่ากระพุธยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ไร้ความออดอ้อนช่างต่างกับตอนอยู่กับบรรดาพี่น้องและพวกพ้องเสียจริง!!!



“หากให้เดาเจ้าล่อลวงข้าให้เข้ามาในไพรวัลย์เพื่อสังหารใช่หรือไม่และการที่เจ้าไม่เสแสร้งหนีต่อก็คงเพราะเจ้าพร้อมที่จะทำลายชีวิตของข้าแล้ว”



“เก่งมากพระพุธ สมคำร่ำลือว่าเจ้านั้นฉลาดเป็นหนักหนา เสียเพียงอย่างเดียวที่เจ้าไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่าไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้ายังคงมีลมหายใจอยู่ต่อ”…‘แม้จะไม่นานก็ตามทีเพราะอย่างไรเสียข้าจะตามสังหารเจ้าในสักวันหนึ่ง’… ประโยคสุดท้ายอินทุนิลเอื้อยเอ่ยในใจหาได้เปล่งออกไป



“ถึงข้าจะเฉลียวใจ ข้าก็จะเลือกยุ่งเกี่ยว เลือกที่จะช่วยพี่หญิง” พระพุธเอ่ยความจำนงค์ ด้วยตนตั้งมั่นตั้งใจว่าจะช่วยเหลือมุตตาหญิงอันเป็นที่รักของผู้เป็นดั่งเชษฐา



“ช่วยผู้ที่แย่งพระเสาร์ไปจากเจ้าอย่างนั้นหรือ น่าขันสิ้นดี แต่เอาเถิดในเมื่อเจ้าอยากช่วยข้าเองจะมอบความตายเป็นบทเรียนให้เจ้าได้จดจำว่าอย่าได้ แส่!!! หา!!! เรื่อง!!!”



‘เปรี้ยง!!’ อัสนีบาตฟาดเข้ายังต้นไม้ใหญ่ให้ผ่าซีกก่อนจะเกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้น เป็นการเปิดฉากต่อสู้ระหว่างเทพแห่งพิจิกดาราและเทพนพเคราะห์แห่งความฉลาดปราดเปรื่องในญาณ



กัมปนาทดังต่อเนื่องกันจากพงไพรอีกฟากฝั่งจากหน้าผา บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าฝ่ายพระพุธกำลังตีรันกับบุรุษชั่วปริศนา ในเวลาเดียวกันพญากุญชรได้ทำตามคำสั่งให้ช่วยเหลือมุตตา งวงนั้นยื่นออกไปเกี่ยวตวัดพันแขนก่อนออกแรงดึงให้เพื่อรอดพ้นจากขอบผา ทว่ามุตตากลับเกาะขอบผาไว้แน่นพร้อมใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีร่ายมนต์ให้กายนั้นหนักอิ้งจนสพลออกแรงฉุดขึ้นมาอย่างยากลำบาก



“สพลอย่าได้เปลืองแรงฉุดรั้งข้าอีกเลย ปล่อยให้ข้าตายคืนสู่มหานทีเถิด” เมื่อก่อเกิดภายในมหาสมุทรมุตตาจนเติบใหญ่ผ่านเรื่องราวดีร้ายมากมาย พอถึงคราวที่เส้นชะตากำลังจะขาดสะบั้น มุตตาก็หวังให้ตนเองได้ตายคืนสู่สถานที่ตนกำเนิด



“ท่านมุตตาเหตุไฉนถึงกล่าวออกมาเช่นนี้ เพียงท่านคลายมนต์ตัวข้าก็จะสามารถพาท่านให้รอดพ้นจากความตายได้”



“สพลเจ้าจงแลขาข้าให้ดีเถิด เจ้าจะเห็นว่าเงามรณากำลังทาบทับตัวข้าไปเสียครึ่งแล้ว..อึก…แค่ก” มุตตากล่าวพลางมองท่อนล่างของตนเองที่กลายเป็นธาราไหลลงสู่กระแสสินธุ์ด้านล่าง ก่อนจะกระอักโลหิตสีเขียวออกมาเป็นสัญญาณว่ามุตตาจะเหลือเพียงนาม



“ท่านมุตตา!!! ท่านมุตตา!!! คลายมนต์บัดเดี๋ยวนี้แล้วข้าจะพาท่านไปหาเทพโอสถ” สพลตกใจ ดวงตาเล็กของพญาคชสารเบิกกว้างยามเห็นภาพตรงหน้า



“ไม่ทันเสียแล้วสพล หากเจ้าต้องการช่วยข้าจริง ข้านั้นขอให้เจ้านำคำสั่งเสียจากข้าถ่ายทอดต่อไปด้วยเถิด ได้หรือไม่เล่า”



“ได้ ท่านอย่าได้กังวล ทุกถ้อยคำข้าจะบอกกล่าวไม่ให้มีตกหล่น”



“คำสั่งเสียแรกที่ข้าจะให้เจ้าบอกกล่าวคือนาคินทร์ บอกให้นาคินทร์ได้รู้ว่าข้านี้รักนาคินทร์มากเพียงใด ข้าปรารถนาให้นาคินทร์ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อีกทั้งขอให้รพีพงศ์ได้ดูแลนาคินทร์ด้วยและหลังจากนี้สืบไปขอให้ระวังตัวเพราะผู้คิดร้ายต่อข้าอาจจะทำร้ายนาคินทร์ได้ ถึงเพลานี้ข้าจะไม่รู้ว่าคนชั่วช้าเป็นใครแต่ข้าเชื่อว่านาคินทร์จะสามารถตามตัวมันเจอได้แน่” คนแรกที่มุตตานึกถึงหาใช่ใครอื่น บุตรในอุทรผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ



“ข้าจะบอกท่านนาคินทร์และท่านรพีพงศ์ให้ทราบ” สพลรับปาก มุตตาได้ยินก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง



“ต่อมาข้าขอให้เจ้าบอกกล่าวพระเสาร์ ตัวข้านี้รักพระเสาร์แม้นว่าเราทั้งสองจะใช้เวลาอยู่ร่วมกันเพียงน้อยนิดก็ตาม และในยามนี้วาสนาของเราสองได้สิ้นสุด จากนี้ไปเพียงระลึกถึงข้าบ้างเท่านี้ก็เพียงพอแต่อย่าได้จมปลักในความเศร้า ข้าอยากให้พระเสาร์มีความสุขในทุกวัน ตลอดต่อไปภายหน้าหากได้รักใครก็อย่าได้รู้สึกผิดต่อข้าเพราะข้าเชื่อว่าผู้นั้นจะสามารถดูแลพระเสาร์ได้เป็นอย่างดี” ต่อมากล่าวถึงคนสำคัญที่มอบความรัก ความปรารถนาดีให้กับมุตตาไม่แปรเปลี่ยน มุตตาดีใจเหลือเกินที่ได้เจอพระเสาร์ ถึงแม้ว่าสาเหตุในการตายของนางส่วนหนึ่งมาจากผู้อันเป็นที่รักแต่มุตตาไม่นึกโทษแม้แต่น้อย



“สุดท้ายข้าขอให้นำความนี้ถึงพระพุธนายของเจ้า…แค่กๆ..อึก” คำขอสุดท้ายกำลังจะถ่ายทอด ทว่าร่างกายของมุตตากลายเป็นน้ำจนเกือบถึงอุราเสียแล้ว



…‘สวรรค์เอ๋ย…อย่าได้ใจกับข้าเลย ในบั้นปลายชีวินขอข้าได้เอ่ยในสิ่งที่อยากเอ่ยด้วยเถิดหนา’…



“ท่านมุตตา..ทำใจดี ๆ ไว้” สพลเห็นท่าไม่ดีเรียกชื่อเพื่อให้มุตตายังครองสติต่อไปได้



“ข้ายังไหว…อึก…สพล..ข้ายังไหว…ถึงจะไม่นานก็ตามที” มุตตาเอ่ยก่อนจะกล่าวต่อไปอีกว่า



“ข้าขอขอบน้ำใจพระพุธเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ถือองค์ รังเกียจนาคผู้นี้ ทั้งนับญาติข้าให้เป็นพี่หญิง คอยช่วยเหลือข้าตั้งมากมายแต่ข้าขออภัยที่ไม่สามารถจะอยู่ตอบแทนคุณได้ ในเมื่อนาฬิกาชีวิตของข้ามีเพียงน้อยนิด สิ่งที่ข้าทำได้คือขอให้พระพุธได้สมหวังในปรารถนาทุกประการ ไปที่ใดพบพานความสุขีและเปิดใจอย่าได้ปิดกั้นกับสิ่งใดอีก สุดท้ายข้ายังรบกวนมีเรื่องจะร้องขอวิงวอนให้พระพุธช่วยดูแลพระเสาร์และนาคินทร์ด้วย…พรวด” คราวนี้มุตตาไม่ได้กระอักโลหิตแต่สำรอกออกมาเป็นลิ่มเลือด



“ถึงเวลาแล้วสินะ สพลรับปากข้าว่าจะนำสิ่งที่ข้าเอ่ยบอกกล่าวนาคินทร์ พระเสาร์…อึก…พระพุธ”



“ข้ารับปาก ข้าจะถ่ายทอดทุกคำไม่มีตกหล่น ท่านมุตตาโปรดวางใจ”



“ขอบน้ำใจเจ้ามากสพล ตัวข้านี้ไม่มีอันใดต้องกังวลแล้วดังนั้นเจ้าจงปล่อยแขนข้าและนำกำไลหยกนี้คืนพระพุธ เมื่อร่างข้าหลอมรวมไปกับมหาสมุทรแก้วนาคาในกายข้าจะลอยขึ้นมา เพลานั้นเจ้าจงเก็บมันไว้มอบแก่พระเสาร์”



“ท่านมุตตา…ข้า…” สพลได้ฟังนึกลังเล ไม่อยากปล่อยมุตตาลงไปสู่ห้วงมหาสมุทร



“ปล่อยเถิด…ถือเป็นคำขอครั้งสุดท้ายของนาคใกล้ตายเช่นข้า”



“เช่นนั้น…ข้าขอให้ท่านได้เกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี อย่าได้มีใครมาทำร้ายท่านเช่นนี้อีก” สิ้นเสียงสพล งวงนั้นค่อย ๆ ปล่อยแขนของมุตตาโดยไม่ลืมที่จะรูดกำไลออกมาจากแขนเรียว



มุตตาที่บัดนี้ร่างกายเหลือเพียงไม่กี่ส่วนก็ตกลงไปสู่ด้านล่างดั่งใจปรารถนา วินาทีที่ตกลงไปมันช่างเชื่องช้าเหลือเกิน ช้าพอให้มุตตาได้หลับตานึกถึงความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิต แม้จะเล็กน้อยแต่ก็เพียงพอให้ใจได้เปรมปรีดิ์ รอยยิ้มย่องปรากฏบนใบหน้าให้สพลที่ยังคงมองอยู่ได้เห็น ก่อนมุตตาจะถูกเกลียวคลื่นนำพากายาผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว เหลือเพียงความว่างเปล่าราวกับว่าที่ตรงนั้นไม่เคยมีใครจมดิ่งลงไป หากไม่นานมวลผืนชลธารมีแสงสว่างแผ่กระจายทั่วบริเวณ ดวงแก้วนาคาลอยล่องขึ้นจนพ้นผิวน้ำและหยุดตรงหน้าสพล



“ข้าจะรับไว้แล้วอย่าได้ห่วงอันใดเลย…ท่านมุตตา”



ย้อนเวลาไปในขณะที่มุตตากำลังฝากคำสั่งเสียแก่สพล ทางพระพุธเองก็กำลังต่อสู้กับอินทุนิลอย่างไม่มีใครยอมใคร ไม่ว่าจะใช้เวทย์หรือคาถาใดล้วนแล้วสูสี แม้แต่สู้ศาสตราวุธก็ตาม ทว่าด้วยประสบการณ์ด้านการรบของพระพุธทำให้ได้เปรียบกว่าอินทุนิลผู้ที่ศึกษายุทธศาสตร์แค่ในตำรา



บัดนี้ต่างคนต่างถอยออกมายืนคนละฝั่ง อินทุนิลยังคงใช้ทวนอาวุธคู่กายในการต่อสู้ ด้านพระพุธที่มักจะใช้พระขรรค์แต่เมื่อคู่ต่อสู้ใช้ศัสตราวุธยาวจะให้ใช้พระขรรค์ก็จะไม่สมน้ำสมเนื้อจึงเลือกที่จะใช้คทาแก้ว



คทาแก้วหนึ่งในอาวุธประจำกายที่เกิดจากบัวพันปีกลางสวนขวัญโดยพระผู้สร้างพระองค์ก่อนได้พระราชทานให้เมื่อครั้งครองตำแหน่งในพุธโลก ยอดของคฑาเป็นดวงแก้วใสภายในมีหยกขาวสลักเป็นรูปปทุมชาติ ส่วนด้ามนั้นเป็นหยกเช่นเดียวกันโดยไล่สีจากสีขาวน้ำนมลงไปกลายเป็นสีเขียวซึ่งได้ประดับด้วยโกเมนสีเขียวและบุษราคัม



…‘ถึงมีอาวุธเปี่ยมล้นไปด้วยฤทธานุภาพ พระพุธก็ไม่ประมาท’…



“เข้ามาสิพระพุธ” หลังจากดูท่าทีหาช่องโหว่ของกันและกัน เสียงเรียกเชิงท้าทายให้บุตรแห่งจันทราเทพเข้าหา



“ถึงเจ้าไม่เรียกข้าก็เข้าหาเจ้าอยู่แล้ว…อย่าได้ลืมตั้งสติรับมือข้าล่ะ” โดยปกติพระพุธมักพูดจาอ่อนหวาน นิสัยถ่อมตน หากเวลานี้พระพุธกระทำตนตรงข้าม แม้นอยากจะพูดจาดีให้สมกับที่ถูกยกย่องว่าวาทศิลป์เป็นเลิศ ทว่าผู้ที่มีจิตใจเลวทรามเช่นนี้พระพุธไม่อยากจะเสวนาเสียด้วยซ้ำ



‘เคร้ง’



อีกครั้งที่สองอาวุธกระทบกันต่างฝ่ายต่างผลัดกันโต้ตอบ หาเลยจะมีคนคิดยอมแพ้ คนหนึ่งต้องการเอาชีวิต คนหนึ่งต้องการความเป็นธรรมให้แก่คนที่ตนปกป้อง



“โอ๊ย!!” อินทุนิลร้องออกมา เมื่อสีข้างของตนถูกพระพุธเตะเข้าอย่างจังจนถลาไปอีกทางซ้ำยังควงคทาตามมาตีอีก โชคดีที่อินทุนิลยังหลบหลีกได้ หากเรี่ยวแรงกลับลดลงกว่าปกติด้วยพระพุธได้รับพรวิเศษ ใครได้สู้รบด้วยแล้วพลกำลังจะลดลงไปกึ่งหนึ่ง



…‘เห็นทีจะต้องรีบปิดฉากเสียแล้ว ขืนยืดเยื้อจะกลายเป็นข้าเองที่จะเพลี่ยงพล้ำ’…



อินทุนิลโยนทวนขึ้นไปให้ลอยบนอากาศ ทวนยาวกลายเป็นละอองเงินยวงก่อรูปเป็นแมงป่องแก้วยักษ์ชูหางยาวพุ่งเข้าโจมตีคู่อาฆาต หมายจะมอบพิษให้ทนทุกข์ทรมานจนสิ้นชีวาวาย



หากพระพุธเองหลบหลีกได้ทันท่วงที ก่อนจะเขวี้ยงคทาพุ่งไปยังแมงป่อง รัศมีสีใบตองอ่อนเจิดจ้าก่อนจะอ่อนแสงลงให้ประจักษ์เห็นราชสีห์สีขาวราวไข่มุกน่าเกรงขาม ราชสีห์ร่างใหญ่กระโดดเข้าตะปบแมงป่องให้หยุดนิ่งอย่างคล่องแคล่ว แล้วฝังคมเขี้ยวกัดเข้าที่ลำตัวจนแมงป่องยักษ์ทนเจ็บไม่ไหวกลายเป็นทวนคืนสู่อินทุนิล ราชสีห์เองก็กลายเป็นคทากลับคืนสู่พระพุธ



“ย๊า!!” อินทุนิลอาศัยจังหวะที่พระพุธเผลอรับคทาขว้างทวนเข้าใส่ พระพุธหมุนกายหลบได้ทันแล้วร่ายเวทย์ให้คทาปล่อยเพลิงหิมะออกไปหมายจะแช่แข็งอินทุนิล



…‘ทว่า…พระพุธตกหลุมพลางของอินทุนิลเสียแล้ว’…



เปลวไฟขาวโพลนลุกลามใกล้ถึงตัวอินทุนิล หากเทวาพิจกดาราร่ายคาถาสร้างบานกระจกเงาสะท้อนกลับบานใหญ่ขึ้นมาขึ้นมา ทำให้เพลิงหิมะตีกลับไปยังพระพุธจนร่างกายกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่



…‘คาถากระจกเงาสะท้อนกลับ มันจะสะท้อนคาถาและอาวุธคืนสู่ฝ่ายโจมตีและผลของมันร้ายแรงกว่าเป็นเท่าตัว คาถานี้สูญหายไปนานเนื่องจากเป็นคาถานอกรีต เหตุใดถึงได้…’…



แม้พระพุธจะสงสัยเพียงใดแต่เวลานี้คงไม่อาจคิดหาคำตอบได้ สัมผัสเย็นยะเยือกจากเปลวอัคคีลุกลามจนเรียวขาทั้งสองไม่อาจขยับ กระนั้นพระพุธพอมีแรงใช้แขนยันกายให้นั่งพิงกับต้นไม้



“ตายยากตายเย็นเสียจริงแต่ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเจ้าจะต้องตายอยู่ดี ตายอย่างทรมานด้วยฤทธิ์ของเจ้าเอง” อินทุนิลเอ่ยพลางเดินแกว่งไกวทวนหมายจะเอาคมของมันลงกรีดเนื้อกายของพระพุธ



“ไม่คิดเลยว่าข้าจะมีวันนี้ วันที่ข้าเอาชนะเทพไร้พ่าย” อินทุนิลหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของพระพุธที่ลมหายใจโรยริน ฉวีวรรณและนิมฝีปากขาวซีดจนเห็นได้ชัด อินทุนิลนึกเย้ยหยันยกเท้าขึ้นจะเหยียบอุราเพื่อหยามเกียรติ



“โอ๊ย!!”



ทว่าไม่ทันที่ฝ่าเท้าจะได้สัมผัส พระพุธหยิบคทาที่ตกอยู่ข้างกายฟาดเข้าที่หน้าของอินทุนิล จากนั้นก็ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของคนที่เข้ามาทำร้ายจนอินทุนิลล้มลงไปนอน



‘ปึก’ แผ่นโลหะกระทบกับพื้นดิน หน้ากากที่ใช้ปิดซ่อนตัวตนแตกออกมาเป็นเศษเสี้ยวจากแรงกระทบของคทาบงกชหยก



“อินทุนิล…อึก..ปะ..เป็นเจ้า” พระพุธเอ่ยออกมาน้ำเสียงสั่นเครือจากความหนาวเหน็บ คำพูดสุดท้ายก่อนจะหลับตาลงด้วยไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป



“ใช่เป็นข้า…ในเมื่อเห็นใบหน้าข้าแล้ว ข้าคงจะต้องใช้ทวนทะลวงใจเจ้า ให้มั่นใจว่าเจ้าจะไม่ตื่นขึ้นมาประกาศก้องว่าข้าเป็นใจ” อินทุนิลลุกขึ้นอีกครั้ง มือกำด้ามทวนไว้แน่น



“หยุด!!! อย่าได้แตะต้องพระพุธ” เสียงดังแว่วมาจากด้านหลัง อินทุนิลหยุดการกระทำก่อนจะหายตัวไปในชั่วพริบตา บัดนี้ตนหาได้มีสิ่งใดปกปิดจึงไม่คิดจะเสี่ยงเผยตัวตนให้ใครได้เห็นอีก



…‘อย่างไรเสียข้ายังมีโอกาสข้าเจ้าได้อยู่ดี…พระพุธ’…



“พระพุธ…พระพุธ” สพลส่งเสียงเรียก หากเจ้าของชื่อกลับแน่นิ่งจนใจของสพลสั่นไหวขาทั้งสี่เดินเข้าหาผู้มีตำแหน่งทั้งนายและสหายโดยไว



“พระพุธ..” สพลมองร่างขาวซีด เนื้อตัวมีเกล็ดน้ำแข็งคลุมกายบาง ๆ พญากุญชรยื่นงวงออกไปแตะข้อมือของพระพุธ…ชีพจรแผ่วเบาสอดคล้องกับลมหายใจที่แทบจะขาดห้วง



“แปร๊น!!!” เสียงร้องสูงแหลมของสพลดังสนั่นได้ยินชัดถึงชั้นฟ้า เท้าหน้ายกกระทืบพิภพจนแผ่นดินไหว



“พระพุธ…ท่านอย่าได้เป็นอันใด อดทนไว้ ข้าจะพาท่านไปหาเทพโอสถ” สพลใช้งวงรัดกายพระพุธขึ้นมาให้นอนทอดกายกับงาทั้งสอง



“เกิดอะไรขึ้นสพล เหตุใดเจ้าส่งเสียงดังก้อง” สพลได้ยินจึงหันหลังกลับไปก็พบว่าเป็นพระเสาร์กับนาคินทร์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างกาย



เหตุที่พระเสาร์กับนาคินทร์ได้ยินสพลส่งเสียงร้องปานจะขาดใจเป็นเพราะนาคินทร์ร้อนรุ่มใจอยากพบเจอมุตตา จึงออกเดินทางมาหามารดา ณ วิมารหงสบาท แต่เมื่อมาถึงได้ทราบความว่ามุตตาออกไปช่วยตนจากอสูรร้ายจึงได้รู้ว่ามีผู้ไม่หวังดีล่อลวงมุตตาออกไป เวลาเดียวกันพระเสาร์ได้กลับมายังวิมานก่อนเวลาทั้งที่ยังทำภารกิจด้วยจิตใจว้าวุ่นไม่ต่างจากบุตรา นาคินทร์ได้เล่าเรื่องราวให้พระเสาร์ฟังทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุร้ายกับนาคีคู่กาย



“ท่านพ่อ ข้าว่าเราทั้งสองรีบออกตามหาท่านแม่กันเถิด”



“ทหาร!!! เร่งออกตามหามุตตาให้ทั่ว ไม่ว่าจะที่ใด สวรรค์ นรกภูมิ โลกมนุษย์หรือใต้บาดาล พวกเจ้าจงเร่งออกหา!!!”



พอได้ออกจากวิมานไม่นาน ก็ได้ยินเสียงของสพลดังมาจากพนาด้านล่างจึงเร่งลงมาดู ก็ได้พบเจอกับสพลสัตว์พาหนะของพระพุธ ซึ่งเพลานี้ผู้ที่เป็นนายกลับหลับใหลอยู่บนงาใหญ่



“ท่านอา”



“เจ้าพุธ…เกิดอันใดขึ้น ไยน้องข้าถึงเป็นเช่นนี้” พระเสาร์ไม่อาจจะปิดบังความเป็นห่วงไว้ได้ รีบวิ่งเข้าหาโดยไม่กลัวว่าใครจะหาว่าเสียกริยาจากที่เป็นอยู่ด้วยตลอดมามักนิ่งเฉยกับทุกสิ่ง แต่บัดนี้พระเสาร์ไม่สนว่าใครจะเห็นแล้วไปพูดต่อว่าเช่นไร เทพผู้แข็งแกร่งสนเพียงร่างโปร่งตรงหน้าเท่านั้น โดยมีนาคินทร์วิ่งตามหลังเข้าหาผู้เป็นอา



“พระพุธเข้ามาช่วยท่านมุตตา หากแต่ศัตรูนั้นเก่งกาจยิ่งนักพอข้ามาถึง พระพุธ…พระพุธก็…” นาคินทร์และพระเสาร์ได้สดับฟัง ดวงใจนั้นตกวูบลงไปยังตาตุ่ม



“สพล…แล้วท่านแม่ของข้าเล่า ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ใด” นาคินทร์หันซ้ายแลขวาไม่พบมารดาของตนเอง จึงได้สอบถาม เนตรคู่งามมีอัสสุชลคลอเบ้า



“ท่านมุตตา…”



.



.



.



“ท่านมุตตาสิ้นใจแล้ว”







................................

มาแล้ว อย่าเพิ่งตบตีกันนะคะ อย่าเพิ่งตีท่านยุ่ง

ตอนนี้ถือว่าเป็นตอนที่ยากตอนหนึ่งต้องเขียนดราม่าซึ่งครั้งนี้กังวลว่าคนอ่านจะรับรู้ความรู้สึกผ่านตัวอักษรที่ยุ่งสื่อถึงไหม ยังไงผ่านมาอ่านบอกยุ่งด้วยนะคะ

ส่วนฉากต่อสู้ ท่านยุ่งชอบเขียนค่ะแต่มันยาก แต่ท่านยุ่งสู้ค่ะ 55555

หลังจากตอนนี้จะเข้มข้นมากขึ้น พล็อตจะไปทางน้ำเน่า ถึงเวลานั้นเอาผ้าปิดจมูกอ่านได้เลยค่ะ ใบ้นิดๆ เราจะได้เห็นนาคินทร์ในอีกรูปแบบหนึ่งเลย

สุดท้ายนี้เช่นเดิม ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น เป็นกำลังใจให้ สามารถติ ชม วิจารณ์ แนะนำได้นะคะ



หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.20 P.4 (24/04/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-04-2020 15:27:55
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.20 P.4 (24/04/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-04-2020 08:48:50
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.21 P.4 (03/05/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 03-05-2020 22:54:49
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 21



ช่วงชีวิตของคนเรามักจะมีเรื่องใหญ่ร้ายแรงมาทดสอบเรา เพื่อวัดความแข็งแกร่งของเราว่าจะสามารถข้ามผ่านมันไปได้หรือไม่ ในระหว่างที่ฟันฝ่าย่อมพบเจออุปสรรคนานับปการ สูญเสียน้ำตาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันหยด ไหนจะต้องประคับประคองดวงใจที่ใกล้แตกสลาย ผู้เผชิญย่อมพบเจอความเจ็บปวดมาบั่นทอน ทว่าถ้าเราเข้มแข็งจนสามารถผ่านพ้นพายุลูกใหญ่ที่ชื่อว่าปัญหาไปได้ จากนี้ไปไม่ต้องเกรงกลัวว่าสิ่งใดจะมาทำร้ายเราให้เจ็บปวดอีก



…‘นาคินทร์เคยเชื่อเช่นนั้น…’…



‘…ใช่…เคยเชื่อ’…



ความเชื่อที่ไม่มีทางจะเป็นจริง ความเชื่อที่ไม่ต่างจากนิทานหลอกเด็ก นาคินทร์ได้ปล่อยให้มันจมไปกับน้ำตาที่ไหลนองจากการสูญเสียมารดาคนเดียวของตนไปตลอดกาล



…‘เหตุใดถึงต้องเป็นข้าที่เผชิญความทุกข์ใจ ความเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าได้ทำกรรมใดเอาไว้ ถึงต้องชดใช้ด้วยความช้ำใจไม่จบสิ้นเช่นนี้’…



“นาคินทร์…” เสียงทุ้มของคนที่รักดังแว่วเข้าหู นาคาน้อยที่กำลังพาตัวเองให้แหวกว่ายในกระแสสินธุ์โศกาจึงได้สติขึ้นมา นาคินทร์ที่กำลังก้มหน้าก้มตาสะอื้นไห้พลันเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าคนที่ตนรัก คนที่เป็นดั่งแสงประภาส่องสว่างในความมืดกำลังเดินเข้ามา



“ฮึก…ฮือ…ท่านพี่…ท่านพี่…ฮือ” นาคินทร์ร้องไห้ออกมาไม่อายใคร นางกำนัลรับใช้ตลอดจนทหารก้านบัวประจำวิมานได้ยินเสียงสะอื้นปานจะขาดใจต่างนึกสงสาร ทั้งเสียใจไม่ต่างจากผู้เป็นนายเหนือหัวเมื่อได้รับรู้ข่าวร้ายว่าชายาข้างกายพระเสาร์ตลอดจนนางอัปสร ทหารกล้าที่อยู่รวมกันมานั้นไม่สามารถหวนคืนกลับมาอีกต่อไป



“นาคินทร์...ร้องออกมาเถิด พี่สัญญาว่าจะอยู่ปลอบเจ้า จะเช็ดน้ำตาให้กับเจ้าทุกหยาดหยด” รพีพงศ์ประทับนั่งลงเคียงข้าง โอบร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาเข้ามาในอ้อมกอด รพีพงศ์เข้าใจนาคินทร์ดีว่าการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักมันยากยิ่งที่จะทำใจ พอรู้ข่าวร้ายจึงไม่รีรอเร่งมาเยือนวิมานของพระเสาร์เพืรอปลอบนาคน้อยที่ขวัญกระเจิงจากเหตุสะเทือนใจ



‘แอ๊ด..’ บานประตูไม้เปิดออกนาคินทร์ซึ่งกำลังซบดวงหน้าตรางอุราของรพีพงศ์ก็ผละกายออก เมื่อเทวาเจ้าของวิมานเดินออกมาพร้อมกับสพลกลายร่างเป็นมนุษย์ร่างสูงใหญ่



“ท่านอาเป็นเช่นไรบ้าง…ท่านพ่อ สพล รักษาท่านอาได้หรือไม่” นาคินทร์แม้นเสียใจแต่ก็ยังห่วงผู้มีพระคุณของตน



สพลส่ายหน้าเป็นคำตอบ หลังจากพบร่างไร้สติของพระพุธและได้ล่วงรู้ว่ามุตตานั้นสูญสิ้นวิญญาณ พระเสาร์ก็หอบความเสียใจและพาพระพุธกลับมายังวิมานหงสบาทเพื่อทำการรักษา ทว่าทำเช่นไรก็ไม่สามารถขจัดเกล็ดน้ำแข็งที่ฉาบไปทั่วฉวีวรรณของพระพุธได้ พอหยุดกระทำวางมือจากการรักษาได้ไม่นาน ร่างของพระพุธก็แผ่ไอเย็นสร้างความหนาวเหน็บราวกับว่ากำลังเข้าสู่เหมัต์ฤดู แม้สพลจะช่วยอีกแรงด้วยความห่วงผู้เป็นทั้งสหาย เป็นทั้งนาย สุดท้ายจึงได้ออกมาจากห้องบรรทมของพระเสาร์



ด้านเทพผู้ได้รับขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดในนพเคราะห์ประทับนั่งลงบนแท่นรัตนาสีนิล พักตราที่มีหน้ากากปิดไปเสียครึ่งกลับปิดได้เพียงเนื้อหยาบ ไม่สามารถปิดความเศร้าใจ ความกังวลได้ รพีพงศ์ฉุกคิดในใจเห็นทีเรื่องราวการลอบสังหารมารดาของคนรักจะไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว



“ข้าขออภัยท่านพอจะเล่าเรื่องราวให้ข้าได้ฟังได้หรือไม่สพล” แม้จะรู้ดีว่าเป็นการให้ผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้เล่าเรื่องราวไม่ต่างจากการให้ผู้เล่าเผชิญเหตุการณ์ร้ายซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า แต่รพีพงศ์ต้องการจะรู้เพื่อที่จะมีเบาะแสไว้ใช้หาตัวคนร้ายได้ สพลได้ยินดังนั้นหันมองพระเสาร์และนาคินทร์เพื่อขอความเห็น



“เล่าเถิด…สพล ข้าเองก็อยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร” นาคินทร์เอ่ยเพราะพอรู้ว่ามารดาสิ้นใจก็ร้องไห้จนไม่รับรู้สิ่งใดอีก ประกอบกับต้องพาพระพุธมารักษาจึงไม่ทราบเรื่องราวโดยละเอียด นาคินทร์ยอมที่จะรับฟังความจริงที่ไม่ต่างจากใบมีดคมกรีดแทงดวงใจ



“เช่นนั้นข้ากับพระจันทร์ก็ขอร่วมรับฟังด้วยได้หรือไม่” ยังไม่ทันที่สพลจะเปิดปากเล่าก็มีเสียงทุ้มเข้ามาแทรก



“พระพฤหัสบดี พระจันทร์” พระเสาร์หันมองก็พบว่าผู้มาเยือนหาใช่ใครอื่นไกล แม้ไม่สนิทก็ถือว่าคุ้นเคยด้วยมีพระพุธเป็นสายใยถักทอคอยเชื่อมความสัมพันธ์



“ข้าขออภัยที่มาเยือนโดยไม่บอกกล่าว พวกข้าเพียงอยากมาหาน้องของข้าและต้องการมาแสดงความเสียใจเรื่องหญิงคนรักของท่านด้วย” พระพฤหัสบดีเอ่ย



“เชิญท่านทั้งสองนั่งลงเถิด ขอบน้ำใจท่านทั้งสองมาที่อุตส่าห์มาถึงวิมานของข้า” ประโยคสั้นพระเสาร์เอ่ยถือว่าเป็นคำอนุญาต เทพทั้งสองเดินเข้ามาประทับนั่งโดยทันที



สพลกวาดสายตามองก็คิดว่าทั้งหมดคงพร้อมที่จะฟังเรื่องราวจากตน ไม่รอช้าสพลขยับริมฝีปากเล่าเรื่องราวที่ตนนั้นรับรู้ เริ่มด้วยคราแรกพระพุธได้นั่งสมาธิยังวิมานตามปกติเฉกเช่นทุกวัน ทว่าพระพุธกลับเรียกตนให้ปรากฏกายแล้วเดินทางออกจากวิมาน สพลคิดว่าพระพุธจะต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ถึงได้ไม่สามารถเก็บอาการ ระวังกิริยาที่มักสงบเสงี่ยมเอาไว้ได้ ท่าทางของพระพุธทุกข์ร้อนแทบจะนั่งไม่ติดชิดหลังของกุญชรพาหนะ จนกระทั่งมาถึงจุดหมายสพลถึงเข้าใจว่าพระพุธรับรู้ถึงอันตรายของนางมุตตาจึงได้รีบร้อนออกจากวิมาน



“จันทรัชรู้ได้อย่างไรว่ามุตตาอยู่ในอันตราย” พระจันทร์เอ่ยถาม แม้พอจะรู้ว่าน้องน้อยของตนจะสนิทสนมกับคนรักของพระเสาร์แต่ไม่คิดว่าใจจะพันผูกถึงขั้นรับรู้อันตรายต่อกันได้



“ข้าคิดว่าเพราะสิ่งนี้” สพลแบมือออกมาปรากฏวงแหวนสีนวลตาก่อนจะกลายเป็นกำไลหยกสีน้ำผึ้ง เครื่องประดับประจำกายของพระพุธ ก่อนจะกำมันเพื่อเก็บเอาไว้อีกครั้ง



“หลังจากนั้นข้ากับพระพุธก็แยกจากกัน พระพุธตามไปจับตัวคนชั่วช้าขณะที่ข้าฉุดร่างของท่านมุตตาขึ้นมา ทว่า…ร่างของท่านมุตตาค่อยๆกลายเป็นวารีไหลลงมหาสมุทร ทั้งยังร่ายเวทย์มิยอมให้ข้าฉุดรั้งขึ้นมาพ้นขอบเหวได้ สุดท้ายร่างของท่านมุตตาก็สลายจนสิ้น”



“ฮือ…ท่านแม่” นาคินทร์ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ทั้งที่รับรู้ว่าร่างของมารดาได้สูญหายแต่ตนไม่รู้ว่าก่อนจะไร้ร่าง ไร้วิญญาณ มารดาของตนต้องทนทุกข์ทรมาณเพียงใด ด้านพระเสาร์สะกดกลั้นข่มอารมณ์เอาไว้แต่มิอาจทำได้



‘เพล้ง!!!’



‘ปัง!!’



เสียงข้าวของเครื่องแก้วต่างตกลงแตกสู้พื้น เศษของมันกระจัดกระจายไปทั่ว บานหน้าต่างและบานปนะตูต่างเปิดปิดไม่หยุดเสียงดังโครมครามไม่ต่างมีลมพายุหมุนวนรอบวิมาน



“พระเสาร์!! ได้โปรดระงับโทสะ!!” จันทร์เอ่ยพลางร่ายคาถาให้สิ่งของที่เสียหายกลับคืนมาเช่นเดิม



พระเสาร์หลับตาลงทำสมาธิเพื่อเรียกหาสติให้กลับคืนมา พยายามข่มจิตไม่ให้ทำลายอย่าได้ทำลายข้าวของและคิดว่าหากจะทำลาย ตนขอทำลายชีวิตของคนที่สังหารมุตตา จะขอทะมเทความแค้นที่มีประเคนให้จนหมดสิ้นไม่มีเหลือ



“แล้วจากนั้นน้องข้าเล่าไยถึงบาดเจ็บ” พระพฤหัสบดีถามต่อ เมื่อเห็นว่าพระเสาร์สงบลงบ้างแล้ว



“ด้านพระพุธข้าตามไปเจอตอนที่ไอ้คนชั่วช้ากำลังเอาทวนหมายจะแทงอกให้สิ้นชีวัน ทว่าพอข้ามามันก็หายตัวไปทันที นั่นทำให้ข้าคิดว่าพระพุธอาจจะเห็นหน้าของคนร้าย”



“อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้นสพล” รพีพงศ์เกิดข้อสงสัยจึงถามออกไป



“เพราะคราแรกที่ข้าได้เจอมัน มันสวมหน้ากากเอาไว้แต่พอเจออีกครั้งมันกลับรีบหนีไม่หันกลับมาดูหน้าข้าเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่มันนั้นเก่งกาจถึงขั้นทำพระพุธบาดเจ็บได้แล้วไยมันจะเอาชัยเหนือข้าไม่ได้เล่า นอกจากว่าพระพุธทำลายหน้ากากนั่นได้มันจึงรีบหลบหนีกลัวว่าข้าจะเห็นหน้าของมันไปด้วยอีกคน”



“หากเป็นเช่นนั้นจริงพระพุธย่อมอยู่ในอันตราย มันจะต้องกลับมาสังหารพระพุธเพื่อปิดปากแน่” รพีพงศ์คาดเดาตามคิด



สิ้นเสียงของรพีพงศ์ บรรยากาศภายในวิมานของพระเสาร์ค่อย ๆ เย็นลงฉับพลันจนน่าประหลาด ดวงเนตรทุกคู่ต่างมองหาความผิดปกติก็พบว่ามีไอเย็นแผ่อออกมาคล้ายหมอกควันออกมาจากห้องบรรทมของพระเสาร์



“จันทรัชน้องพี่!!” พระจันทร์ตกใจจนเผลอเรียกขานนามเดิมของพระพุธ ทันทีที่พระจันทร์เอ่ยจบทุกคนต่างวิ่งกรูเข้าไปภายในห้องโดยไม่คิดขออนุญาตเจ้าของแต่อย่างใด



“ท่านอา…เหตุใดท่านอาถึงเป็นเช่นนี้” นาคินทร์ถามเสียงสั่น มองร่างของพระพุธที่โอบล้อมไปด้วยไอเย็นและละอองน้ำแข็งที่กระจายโดยรอบ ดูเหมือนอาการจะแย่กว่าที่นาคินทร์ได้พบเจอในป่าพร้อมกับสพลเสียอีก ด้านรพีพงศ์ผู้เป็นเทวาแห่งดวงดาวอัคคีได้เห็นว่าไอเย็นจะต้องถูกขจัดด้วยไออุ่นก็ร่ายคาถาส่งความร้อนจากฝ่ามือตนไปยังร่างของพระพุธเผื่อระงับความหนาวเหน็บที่ออกมาไว้ชั่วคราว



“เพลิงหิมะ…ไม่จริง…จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อคาถานี้มีเพียงพระพุธที่ใช้มันได้” เพียงปราดเดียวจันทรเทพก็รู้ทันทีว่าน้องของตนบาดเจ็บเพราะสิ่งใด



“ใช่ ข้าเองก็แทบจะไม่เชื่อว่าจะเป็นคาถานี้ จนข้ากับสพลร่วมมือกันรักษา หากระงับได้ไม่นานก็กลับมาเป็นเช่นนี้อีก”



“การที่จันทรัชโดนคาถาของตนเข้าตัว เป็นไปได้ว่าคนผู้นั้นต้องใช้วิชาคาถากระจกมายาสะท้อนกลับ” พระพฤหัสบดีผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้กล่าวออกมา



“คาถานี้มันเป็นคาถาต้องห้ามมิใช่หรือ ซ้ำยังสูญหายไปพร้อมกับการปราบมารล้านภาคในหลายร้อยปีก่อน” พระจันทร์ตั้งคำถาม



“สูญหายแต่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ค้นพบ” พระเสาร์เอ่ย



“นั่นสิ อีกทั้งผู้ปราบมารล้านภาคในครานั้นก็คือพระพุธเป็นไปได้หรือไม่ว่าสมุนรับใช้จะต้องการแก้แค้น โดยใช้นางมุตตาเป็นเหยื่อล่อให้พระพุธออกมาแต่น่าแปลกเพียงต้องใช้เหยื่อล่อ ไยต้องทำร้ายมุตตาถึงเพียงนี้” พระจันทร์วิเคราะห์ความเป็นไปได้ หากถูกสพลแย้งขึ้น



“ข้าว่าน่าจะไม่ใช่ดั่งที่ท่านกล่าวจันทรเทพ ก่อนท่านมุตตาจะจากไปนางได้กล่าวคำสั่งเสียไว้”



“แล้วไยเจ้าถึงไม่บอกเล่าสพล มุตตาได้กล่าวว่าเช่นไร ได้บอกหรือไม่ว่ามันผู้ใดทำร้ายมัน ไหนเจ้าจงเอ่ยออกมาว่ามุตตากล่าวว่าเช่นไร” พระเสาร์แทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่ เร่งเท้าเดินเข้าหาสพลโดยพลัน



“ใจเย็น ๆ พระเสาร์ ข้าจะบอกท่านบัดเดี๋ยวนี้” พญาคชสารถ่ายทอดทุกถ้อยคำให้แก่ทุกคนได้ฟังไม่มีตกหล่น



“จากคำที่มุตตาได้บอกกล่าวผู้คิดร้ายต่อนางอาจทำร้ายนาคินทร์ได้ แสดงว่ามันต้องการทำร้ายนางจริงและนาคินทร์เองจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไปเช่นเดียวกัน” พระพฤหัสบดีเอ่ย



“หากเป็นเป็นเช่นนั้นจริงเราจำต้องเตรียมการป้องกันทั้งนาคินทร์และท่านอาพุธ” รพีพงศ์กล่าวต่อ



“อย่าได้กังวล วันนี้ข้ากับพระพฤหัสบดีจะมารับจันทรัชกลับไป ดูแลต่อเอง” พระจันทร์ตอบ อย่างไรเสียเวลานี้จะให้พระพุธกลับไปยังวิมานซึ่งหาได้มีผู้ใดดูแลคงจะเสี่ยงอันตรายอยู่ไม่น้อย



“ไม่ได้ อย่างไรเสียเจ้าพุธจักต้องอยู่ที่นี่” พระเสาร์ขัดขึ้นมา



“เหตุใดจันทรัชถึงต้องอยู่ที่นี่ด้วยเล่า จันทรัชเป็นน้องของพวกข้า พวกข้าย่อมดูแลน้อง” พระพฤหัสบดีเอ่ยถาม



“แล้วข้าเล่าหาใช่พี่ของจันทรัชหรือไร ถึงมิได้ข้องเกี่ยวทางสายโลหิตเฉกเช่นพวกเจ้า หากความผูกพันข้าไม่เป็นรองแน่ อีกทั้งพวกท่านอย่าลืมถึงภารกิจที่มีอยู่ด้วยเล่า จันทรเทพท่านหาได้อยู่วิมานตลอดเวลา เมื่อราตรีกาลมาเยือนท่านต้องขับราชรถลากจันทร์ดาราออกไป ส่วนท่านเองพระพฤหัสบดีไม่ใช่ว่าท่านต้องให้ความรู้ คอยสั่งสอนวิทยาทุกแขนงแก่ทวยเทพกระนั้นหรือ” นานมาแล้วที่สองเทวาไม่ได้ยินพระเสาร์เรียกขานนามเกิดของพระพุธ หากน้องน้อยได้ยินคงจะดีใจมิใช่น้อย ไหนเล่าจะยกเหตุผลยืดยาวออกมาเช่นนี้ผิดวิสัยของพระเสาร์ยิ่งนัก พระพฤหัสบดีสบตาของพระจันทร์ต่างรู้เห็นคิดเช่นเดียวกัน



“ได้…แต่ข้าขอร่ายมนต์สร้างกลอาชาแปดทิศรอบวิมานของท่านได้หรือไม่” พระพฤหัสบดีเอ่ย แม้จะอนุญาตแต่อย่างน้อยบรมครูแห่งเทวดาขอปกป้องน้องเท่าที่ทำได้



“ส่วนข้าขอฝากท่านดูแลน้องของข้าให้ดี อย่าให้จันทรัชเป็นอะไรไปอีก” พระจันทร์เอ่ยสำทับ



“ย่อมได้”



“เช่นนั้นแล้วพวกข้าขอออกไปสร้างค่ายกลก่อน เมื่อเสร็จสิ้นก็ถือโอกาสลากลับเสียเลย” พระพฤหัสบดีบอกกับพระเสาร์ที่พยักหน้ารับเป็นคำตอบ



“แล้ววันพรุ่งข้าจะกลับมาพร้อมกับวิธีที่จะรักษาพระพุธให้ฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้ง” พระจันทร์เอ่ยจบก็เดินออกไปพร้อมกับพระพฤหัสบดี ซึ่งขณะที่ย่างเท้าในใจของพระจันทร์พยายามคิดสร้างขวัญกำลังใจให้ตนว่าจะต้องทำได้ อย่างไรเสียคาถาเพลิงหิมะเป็นคาถาที่ผสมผสานระหว่างสองคาถาเก่าแก่ของวงศาจันทราและพฤหัสบดี พระจันทร์จึงคิดว่าย่อมต้องมีทางรักษา ถึงแม้ว่าผู้ที่โดนคาถานี้จะไม่เคยมีผู้ใดรอดจากเงื้อมมือพญามัจจุราชได้เลยสักคนก็ตามที



“ข้าเองก็ขอตัวกลับวิมานของพระพุธ ด้วยเหตุว่าไม่มีผู้ใดอยู่เฝ้าวิมานข้าเกรงว่าจะมีใครเข้ามาสร้างความวุ่นวายในยามที่พระพุธอยู่ที่นี่”



“ไปเถิด หากมีสิ่งใดผิดปกติ เจ้าจงเร่งแจ้งข้าโดยไว”



“ขอรับ อ่อ ข้าขอฝากสิ่งนี้ให้กับท่าน” สพลเอ่ยจบก็ยื่นกำไลหยกสีน้ำผึ้งให้แก่พระเสาร์ ก่อนจะหลับตาเรียกอีกหนึ่งสิ่งออกมา



“แก้วนาคา” รพีพงศ์เอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา เทพหนุ่มจำได้ดีว่าดวงแก้วนี้คือสิ่งใด



“ใช่ แก้วนาค่ของท่านมุตตา ขอภัยท่านด้วยที่มอบให้ในเวลานี้”



“หาใช่ความผิดของเจ้า เป็นข้าที่ต้องขอบน้ำใจเจ้าเสียด้วยซ้ำที่เก็บดวงแก้วนี้ไว้ให้ข้า” พระเสาร์รับดวงแก้วจากสพลไว้ในฝ่ามือแล้วนำมาทาบไว้ตรงแผ่นอก เพียงพริบตาเดียวแก้วนาคาก็ได้หายวับเข้าไปในกายของพระเสาร์เสียแล้ว



“มิเป็นไรพระเสาร์ อย่างไรเสียข้าขอฝากพระพุธไว้กับท่านด้วย” สพลเอ่ย จากนั้นก็ออกไปจากวิมานทำให้เวลานี้ภายในห้องมีเพียงสามผู้ตื่นกับอีกหนึ่งผู้หลับใหล



“นาคินทร์ พ่ออยากให้เจ้าอยู่ที่นี่กับพ่อจะได้หรือไม่” ตลอดชีวิตที่ผ่านมา พระเสาร์คิดเสมอว่าตนไม่เกรงกลัวสิ่งใด จวบจนวันนี้ถึงได้รู้ว่าตนกลัวจะสูญเสียคนสำคัญ สูญเสียผู้อันเป็นที่รัก



“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านกลัวนาคินทร์จะได้รับอันตรายแต่อย่าได้กังวลเลย ข้าจะดูแลนาคินทร์เอง” รพีพงศ์ให้คำมั่น ไม่ใช่ให้เพียงพระเสาร์เท่านั้นแต่ให้คำมั่นต่อร่างในอ้อมแขนและต่อตนเองด้วยว่าสืบจากนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องปกป้องไม่ให้ใครมาพรากนาคินทร์ออกไปจากตนอีก



“ข้ารู้ว่าเจ้าปกป้องนาคินทร์ได้แต่ข้า…”



“ท่านพ่อ คืนนี้ข้าจักอยู่กับท่านพ่อเอง” นาคินทร์รู้ดีว่าบิดาของตนเองนั้นแม้จะไม่เอ่ยออกมาว่าโศกเศร้าแต่ใช่ว่าภายในจะไม่รู้สึกรู้สา ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งแล้วอย่างไรก็ใช่ว่าจะอ่อนแอไม่เป็น ถึงแม้ว่าตนจะใช่ว่าจะเข้มแข็ง หากการอยู่เคียงข้างบิดาคอยเป็นที่พักพิงของกันและกัน อีกทั้งนาคินทร์เองต้แงการทำตามคำที่มุตตาได้ร้องขอไว้ก่อนตาย



“หากเจ้าอยู่ที่นี่พี่เองจะอยู่กับเจ้าด้วย” เวลานี้รพีพงศ์รู้ดีว่านาคินทร์นั้นต้องเผชิญกับความเศร้าใจมากมายเพียงใด ตนจึงจำต้องอยู่เคียงข้างคอยนำพานาคินทร์ให้พ้นจากวิกฤตนี้ให้ได้



“เช่นนั้น พ่อจะให้คนจัดเตรียมห้องหับให้พักผ่อนระหว่างนี้พวกเจ้าไปชำระกายก่อนเถิด”



“ให้ข้าทั้งสองพักผ่อน ท่านพ่อเองก็ต้องพักผ่อนเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่เรานั้นจะข่มตาหลับแต่ข้าก็อยากให้ท่านนึกถึงตนเอง ถือเสียว่าเก็บแรงเอาไว้เพื่อใช้ต่อกรกับศัตรูในวันหน้า”



“ขอบน้ำใจเจ้ามากที่นึกเป็นห่วงพ่อ…รพีพงศ์แต่ข้าคงยังหลับใหลไม่ได้ ในเมื่ออาการของเจ้าพุธเอาแน่ เอานอนไม่ได้ ไม่รู้ว่ายามใดจะแผ่ไอเย็นออกมาจากกายอีก” พระเสาร์เอ่ยพลางชำเลืองมองพักตางามที่หลับตาพริ้มไม่รับรู้สิ่งใด



“เมื่อครู่ข้าใช้พลังความร้อนในกายข้าระงับเอาไว้แล้ว อาจจะไม่ได้ตลอดแต่อย่างน้อยข้ามั่นใจว่าสามารถผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ ท่านพ่อได้โปรดอย่าได้กังวลสิ่งใดอีกเลย” รพีพงศ์เอ่ยทำให้พระเสาร์คลายความทุกข์ออกมาได้บ้าง



“เข้าใจแล้ว พวแเจ้าออกไปก่อนเถิด พ่อขออยู่ในห้องนี้อีกสักพัก”



“ขอรับ” ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์ขานรับและพากันออกไป จากห้องทร่มีผู้คนมากมายในกาลก่อนหน้า บัดนี้มีเพียงพระเสาร์ที่เดินมายังเตียงกว้างก่อนจะนั่งลงข้างกายเย็นของพระพุธ



“จันทรัช...ข้าขอสัญญาแก่เจ้าตลอดจนวิญญาณของมุตตาว่าตัวข้าจะต้องลากตัวคนเลวนั่นออกมาแล้วสังหารมันให้สมกับที่มันทำกับเจ้าทั้งสอง” พระเสาร์เอ่ย ในดวงตานั้นร้อนผ่าว ขอบตาแดงก่ำ พลันหยาดชลเนตรก็เอ่อล้นออกมา



“และจากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้าให้ดียิ่งกว่ากำไลหยกนี้” พระเสาร์กล่าวจบก็สวมใส่กำไลให้กับพระพุธแล้วจับฝ่ามือเรียวแสนเย็นเฉียบไม่ต่างจากน้ำแข็งขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือของตนแล้วกุมเอาไว้ ดวงเนตรคมทั้งสองหลับตาลงแล้วปล่อยให้จิตใจจมดิ่งไปตามความรู้สึก ปลดปล่อยหยาดน้ำตาแห่งความเศร้าโศกที่กักกั้นไว้ให้รินไหลออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วในหู



‘ข้ารู้ว่าพี่เสาร์เหนื่อย หากท่านอยากร้องไห้ก็จงร้องออกมาเถิด อย่าได้เก็บความรู้สึกเลย’



…‘ข้าไม่ใช่คนที่จะร้องไห้เหมือนสตรีและข้าไม่มีความรู้สึกใดที่จักทำให้ข้าเสียใจ’…



…‘พี่เสาร์จักบอกว่าฝุ่นเข้าตาสินะ’…



…‘อืม’…



…‘ข้าไปก็ได้…พี่เสาร์เองอย่าใช้ความคิดตัดสินเรื่องราวนะ ข้าอยากให้พี่เสาร์ใช้ความรักตัดสินมากกว่า อ่อ ข้าลืมบอก…สวรรค์เราไม่มีฝุ่นหรอกนะ’….



“ใช่…สวรรค์ไม่มีฝุ่น แล้วเหตุใดข้านั้นถึงได้เคืองตาจนน้ำตาไหลไม่หยุดเล่า…เจ้าพุธ” พระเสาร์ถามเทวาที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา น้ำเสียงนั้นสั่นเครือแม้จะพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติแล้วก็ตาม



‘เพราะท่านเสียใจอย่างไรเล่าพี่ศนิ ฮึก…ข้าขอโทษท่านที่ข้าไม่อาจปกป้องพี่หญิง ข้าขอโทษที่ข้าทำให้ท่านเสียใจ ข้า…ฮือ…ข้าขอโทษที่ไม่อาจลุกขึ้นมาปลอบท่านดั่งที่ท่านเคยปลอบข้าดุจดั่งที่ข้าเคยได้รับจากท่านเมื่อครั้งยังเยาวัย’



หากพระเสาร์ลืมตาขึ้นมาในยามนี้ คงจะได้เห็นหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากพระพุธเช่นเดียวกันกับตน

.



.



.



“อ๊าก!!!”



อีกด้านหนึ่งของผู้ที่มีชัยชนะจากการได้กำจัดมาร ทว่าแทนที่อินทุนิลจะได้หัวเราะออกมาให้สุดเสียงให้สมกับที่รอคอยมาเนิ่นนาน กลับต้องร้องออกมาอย่างทรมานจากบาดแผลที่มุตตาและพระพุธทิ้งไว้ให้ โดยเฉพาะบาดแผลจากรอยกัดของมุตตา อินทุนิลใช้คาถารักษาอย่างไรก็ไม่หาย ร้ายไปกว่านั้นกลับปวดแสบปวดร้อนราวถูกไฟลวก อินทุนิลกุมบ่าเอาไว้แน่นก่อนจะทรุดกายลงไปนั่งกับพื้น ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา



“ฮึ! มุตตาหนอ…มุตตา ถึงตัวตายเจ้ายังอุตส่าห์ฝากฝังความเจ็บปวดให้กับข้าแต่ไม่เป็นไรข้าจะตอบแทนคืนสู่แก่ลูกเจ้าในเร็ววัน”













.........

มาแล้ว มาเสียดึกเลย ตอนนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในพาร์ทความเศร้า รู้สึกจะต้มมาม่าไม่เต็มร้อยเลย =^= กลัวคนอ่านจะเบื่อยิ่งสามสี่ตอนมานี้บทบาทของนาคินทร์และรพีพงศ์ไม่เด่นด้วย กลัวคนอ่านจะไม่ชอบ แต่ท่านยุ่งขอให้ทุกคนรออีกนิด มันใกล้แล้ว ใกล้ที่นาตินทร์จะฟาดๆๆๆ (สปอยล่วงหน้า)

ท่านยุ่งหวังว่าทุกคนจะติดตามเรื่องนี้ต่อไปแม้มันจะน้ำเน่า



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนมี่เข้ามาอ่าน มาเม้นเป็นกำลังใจให้นะคะ นิยายเรืรองนี้สามารถติชม วิจารณ์ได้ค่ะ ยุ่งจะนำมาอ่านและพัฒนาปรับปรุงต่อไป

รักคนอ่านนะคะ จุ๊บ

หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.22 P.4 (28/05/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 28-05-2020 20:52:30
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 22



เหตุการณ์เลวร้ายผ่านมาหลายทิวาราตรี หากสำหรับพระเสาร์นั้นคล้ายกับว่าเหตุการณ์เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่ถึงเสี้ยวอึดใจ เป็นอีกครั้งกับการสูญเสียที่พระเสาร์ได้รับและมันยากเหลือเกิน ยากเกินกว่าข้ามผ่านออกมา ขณะเดียวกันแม้ภายใจดวงหทัยจะชอกช้ำเพียงใด พระศนิผู้นี้ไม่เคยลืมเลือนหน้าที่ ไม่ว่าจะหน้าที่ของหนึ่งในเจ้าของดวงดาราแห่งนพเคราะห์ หน้าที่ของผู้เป็นบิดาหรือหน้าที่ของผู้เป็นพี่ชาย



ทุกวันนี้ก่อนออกจากวิมานไปทำภารกิจผสานรอยร้าวของคุกกาลเวลาและหลังจากกลับมานั้น พระเสาร์จะถ่ายพลังสร้างไออุ่นให้อาการของพระพุธดีขึ้น แม้ว่าจะไม่มากแต่อย่างน้อยจากคำบอกเล่าของนาคินทร์ที่บัดนี้ย้ายกลับมาดูแลพระพุธในระหว่างที่ตนไม่อยู่ในวิมานก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง



…‘ท่านพ่อ…วันนี้เกล็ดน้ำแข็งที่หุ้มกายท่านอาละลายออกมาแล้ว แม้มันจะไม่มากแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี’…



และวันนี้ก็เช่นกัน พระศนิหวังเหลือเกินว่าจะได้รับข่าวดีเฉกเช่นทุกวัน ทว่ากลับไม่ใช่ เมื่อยามได้เห็นบุตรของตนวิ่งออกมาจากวิมานท่าทางรีบเร่งไร้การสำรวม ดวงตางามแดงก่ำแน่ชัดว่าเพิ่งผ่านการหลั่งอัสสุชล



“ท่านพ่อ…รีบไปดูท่านอากันเถิดท่านพ่อ” นาคินทร์คว้าข้อมือของบิดามาจับไว้แล้วพากันเข้าไปยังห้องบรรทมของบิดาซึ่งกลายเป็นห้องรักษาพระพุธไปเสียแล้ว



เมื่อมาถึงพระเสาร์สังเกตว่าภายในห้องของตนนั้นดูผิดแผกไป บริเวรพื้นโดยรอบบรรจถรณ์มีพรรณไม้พุ่มแตกกิ่งก้านสาขาปกคลุม ออกดอกเป็นผนึกอำพันเลื่อมสีชาดห่อหุ้มด้วยม่านพลังที่ไม่ต่างจากปีกบางใสของแมงปอ ให้แสงสว่างไปทั่วบริเวณราวกับชี้นำทางออกให้ผู้ที่มืดแปดด้านได้พบเจอทางออก พระเสาร์เดินเข้าไปใกล้ก่อนยอบกายลงใช้ฝ่ามือนั้นจับต้องเข้าดอกอำพันที่มีลักษณะคล้ายกับโคมไฟ จึงสัมผัสได้ว่าเจ้าดอกไม้น้อยนี้หาได้เพียงให้ความสว่างแต่ยังให้ความร้อนและเมื่อรวมกันมากมายเพียงนี้คงจะพอละลายเกล็ดน้ำแข็งช่วยชีวันเทวาผู้กำลังหลับใหลให้ฟื้นคืนได้



“โคมไฟสุริยาเป็นพืชที่หาได้เฉพาะในวิมานเพลิง ดอกของมันสามารถแผ่พลังความร้อนได้ไม่มากจึงเหมาะแก่การรักษาท่านอาพุธ” รพีพงศ์เอ่ย โดยจดจำมาจากคำของพระจันทร์ที่ได้บอกกล่าวกับตนเมื่อสามารถค้นพบวิธีรักษาพระพุธได้ เนื่องด้วยกายหยาบของพระพุธไม่ต่างจากถูกแช่แข็งเอาไว้จำต้องได้รับความร้อนมาละลาย ทว่าหากร้อนเกินไปก็ไม่เกิดผลดีอาจทำให้พระพุธเสียสมดุลของปราณภายใน ดังนั้นจันทราเทพยอมอดตาหลับขับตานอนศึกษาค้นคว้าจากตำราที่มีจนเจอเข้ากับบุปผาแห่งดวงตะวัน…โคมไฟสุริยา



“ขอบน้ำใจเจ้ามารพีพงศ์” พระเสาร์เอ่ย ดวงตาเพียงข้างเดียวมองหยาดน้ำที่แผ่กระจายเป็นวงกว้างจากพระพุธ โคมไฟสุริยานี้ได้ผลดีเสียจริง



“มิเป็นไร…ท่านพ่อ สิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือได้ข้ายินดีที่จะช่วย” รพีพงศ์เอ่ย



“ข้าเองก็เช่นกัน” นาคินทร์กล่าวเสริมก่อนจะเอื้อนเอ่ยต่อไปอีกว่า



“และข้าว่าสิ่งที่ข้าจะต้องช่วยในเวลานี้คือซับหยาดน้ำเหล่านี้รวมทั้งเปลี่ยนภูษาให้แก่ท่านอาเสียก่อน” นาคินทร์ว่าพลางหยิบภูษาสีเข้มที่เตรียมเอาไว้ขึ้นมา



“ส่งผ้าผืนนั้นมาให้พ่อ ประเดี๋ยวพ่อจะจัดการเอง”



“ท่านพ่อ…ข้า…”



“ฟังพ่อนาคินทร์ พวกเจ้าสองคนควรมีเวลาให้กันและกันบ้าง ส่วนทางนี้พ่อจะจัดการเอง” พระเสาร์ยืนยันในสิ่งที่ต้องการกระทำอีกครั้ง นาคินทร์จึงยินยอมทำตามคำของพ่อและออกจากห้องไปพร้อมกับรพีพงศ์ เมื่อพระเสาร์อยู่เพียงลำพังกับพระพุธ หัตถาใหญ่ค่อย ๆ ปลดอาภรณ์ของคนไร้สติอย่างเบามือ



ทางด้านนาคินทร์และรพีพงศ์หลังจากที่ออกมาจากห้องของพระเสาร์ก็พากันไปยังห้องของนาคินทร์ รพีพงศ์เอนกายนอนลงบนเตียงกว้างมือนั้นตบไปยังที่ว่างข้างกายบนเบาะนุ่ม นาคินทร์รู้ว่ารพีพงศ์ต้องการสิ่งใด ร่างอรชรย่างเท้าก้าวไปแล้วนอนลงหนุนแขนแกร่งของผู้ได้ชื่อว่าเป็นสวามี



‘จุ๊บ’



“นาคินทร์เป็นเช่นไรบ้าง เจ้าไหวหรือไม่” รพีพงศ์ประทับริมฝีปากของตนเข้ากับหน้าผาก พลางสวมกอดคนข้างกายเอาไว้พอหลวมเพื่อไม่ให้นาคินทร์อึดอัด แม้ว่าใจนั้นอยากกอดรัดร่างนี้ไว้ให้แน่นดุจดั่งบ่วงบาศก์นาคราชเลื้อยรัดนางมโนราห์ในวรรณคดี



“ข้า…ข้าไหว ข้าพอจะทำใจได้แล้ว” นาคินทร์ตอบถึงจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความรู้สึกที่มีก็ตามที่นาคินทร์จะทำใจได้ การสูญเสียมารดาไม่ใช่เนื่องที่จะให้ทำใจยอมรับง่ายดาย หากนาคินทร์พยายามเข้มแข็งเพื่อที่หาตัวคนกระทำผิดมารับโทษทัณฑ์สถานหนักให้สมกับความเจ็บช้ำของนาคินทร์ พระเสาร์และพระพุธที่ได้ประสบพบเจอ



“พี่เป็นห่วงเจ้าเหลือเกินนาคินทร์ พี่อยากจะอยู่เคียงข้างเจ้าให้มากที่สุด พี่ไม่อยากให้เจ้าอยู่คลาดสายตาพี่ ห่างจากอกพี่ไปไหนเลย” รพีพงศ์กระชับอ้อมกอด ยิ่งได้สดับฟังคำสั่งเสียของมุตตาจากสพลแล้วก็ยิ่งเป็นห่วง รพีพงศ์มิอาจจะสูญเสียนาคินทร์เป็นครั้งที่สอง มิเช่นนั้นแล้วตนจะต้องปลิดชีพตายตามเป็นแน่



“ท่านพี่อย่าได้กังวล รอบวิมานของท่านพ่อก็ได้พระพฤหัสบดีมาวางค่ายกลไว้แล้ว ข้าอยู่ในวิมานย่อมปลอดภัย ทว่าสิ่งที่ข้ากังวลคือข้าคิดถึงท่านพี่จนแทบจะห้ามใจไม่อยู่ ข้าไม่อยากจะห่างท่านพี่เลยสักนิด หากเราสองต่างมีความจำเป็น อันตัวข้าจะต้องช่วยดูแลท่านอาในยามที่ท่านพ่อไม่อยู่ อย่างน้อยให้พ้นวิกฤตคุกกาลเวลาไปเสียก่อน ส่วนท่านพี่เองจะต้องทำหน้าที่ให้สมกับเป็นรัชทายาทเพื่อไม่ให้เกิดคำครหาและรับตำแหน่งจากพระสุริยเทพในภายภาคหน้า”



“พี่เองก็คิดถึงเจ้าเหลือเกินและขอบคุณที่เจ้าเข้าใจพี่ รู้ว่าพี่ไม่อาจอยู่เคียงข้างเจ้าได้ตลอด” รพีพงศ์เอ่ยก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย นับว่าโชคดีที่นาคินทร์เข้าใจทุกอย่างไม่นึกเกี่ยงงอนทั้งที่ในเวลานี้รพีพงศ์ควรจะอยู่ปลอบขวัญคนรักจากเหตุการณ์เลวร้าย



“ท่านพี่…ข้ารักท่าน”



“พี่เองก็รักเจ้านาคินทร์…นาคน้อยของพี่”



กล่าวจบรพีพงศ์ได้มอบจูบแสนหวานเป็นการใช้ริมฝีปากประทับตราเป็นคำมั่นว่าจะรักนาคินทร์เพียงผู้เดียว ก่อนรพีพงศ์จะผละริมฝีปากมองดวงตาสวยที่สะท้อนใบหน้าตนเอาไว้



“พี่รักเพียงเจ้า…นาคินทร์” รพีพงศ์เอ่ย คำว่ารักที่ไม่ใช่เพียงแค่บอกแล้วจบไป หากมันคือคำหนึ่งคำที่ถ่ายทอดความรู้สึกของตนทั้งหมดที่มีต่อนาคินทร์ คนถูกบอกรักยิ้มพริ้มพรายแล้วใช้ฝ่ามือประคองพักตราของรพีพงศ์ให้โน้มลงมาแนบริมฝีปากแทรกชิวหาปรนเปรอ เป็นการจุดไฟรักทั้งปลอบประโลมกันและกันโดยหัวใจนั้นนำพาไปตามแรงปรารถนา



…‘ขอให้ความรักนี้ได้บรรเทาความเจ็บปวด ขอให้ความสุขพัดพาความทุกข์ไป’…



“พี่ไม่อยากกลับไปเลยนาคินทร์ พี่อยากอยู่กับเจ้า” รพีพงศ์แต่งองค์อีกครั้งก่อนจะหันไปเอ่ยกับเจ้าของร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบ ยังดีอยู่บ้างที่มีภูษาผืนบางปิดส่วนกลางกายเอาไว้ไม่ให้นาคินทร์เขินอายเมื่อสบตาเข้ากับสายตาร้อนแรงเจือความออดอ้อนของรพีพงศ์



“อย่าได้งอแงเป็นเด็กเล็กเลยท่านพี่ ไม่ใช่ว่าเราสองคนจะจากไปไหน ท่านพี่มาหาข้าได้ทุกวัน วิมานนี้ยินดีต้อนรับท่านพี่เสมอ”



“หากราตรีนี้พี่อยากมีเจ้าให้กอด”



“อดทนสัก ๒-๓ ราตรีเถิดหนาท่านพี่ หากท่านพี่อยู่กับข้าใครเล่าจะอยู่ดูแลวิมาน ทั้งพระอรุณและท่านพ่ออาทิตย์ต่างต้องช่วยกันผนึกคุกกาลเวลา” นาคินทร์เอ่ยถึงความจำเป็น คนงามลุกขึ้นจากเตียงหยิบผ้าโปร่งบนกายมาห่มตนไว้แล้วย่างเท้าลงจากเตียงเข้าสวมกอดปลอบโยนคนเอาแต่ใจ



“พี่รู้นาคินทร์…เฮ้อ พี่มันแย่เหลือเกิน ทั้งที่ควรจะปลอบเจ้าแต่กลับเป็นเจ้าที่ปลอบพี่ พี่ขอโทษเจ้านาคินทร์”



“มิเป็นไรท่านพี่ ไม่ว่าข้าหรือท่านใครจะเป็นคนปลอบ สิ่งที่ได้คือต่างคนต่างสบายใขซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดี”



“พี่ขอบน้ำใจเจ้ามาก เจ้าคือความสบายใจของพี่”



“ท่านพี่เองก็คือความสบายใจของข้าเช่นกัน”



จากนั้นนาคินทร์ได้ช่วยรพีพงศ์แต่งกายจนเสร็จสิ้น แม้จะขรุขระไปบ้างเพราะถูกร่างสูงคอยสัมผัส คอยเอาเปรียบเล็กน้อย จับโน่น หอมนี่ไม่มีหยุดแต่นาคินทร์ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ถือเสียว่ามอบความสุขให้กับรพีพงศ์ส่งท้ายก็แล้วกัน



เมื่อแต่งกายจนเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย รพีพงศ์ก็กล่าวลาพระเสาร์และเดินทางกลับวิมานเพลิงโดยเร่งสัตว์พาหนะเพื่อให้ทันก่อนบิดาของตนรวมทั้งอนุชาฝาแฝดจะออกไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายและตนนั้นจะได้อยู่ครองดูแลวิมาน



“ท่านรพีพงศ์” เสียงเรียกจากสตรีทำให้รพีพงศ์ที่กำลังเข้าไปยังภายในวิมานต้องหยุเดเคลื่อนไหว ก่อนจะหันหลีงกลับไปเข้าหาผู้เรียกขาน



“ชวารี เจ้านั่นเอง มีอันใดหรือ” รพีพงศ์เห็นว่าเป็นสหายเมื่อครั้งยังเยาว์วัย เนื่องด้วยมารดาของชวารีเคยเป็นนางกำนัลแลสหายของมารดาตนทำให้ทั้งสองมีโอกาสได้เล่นด้วยกัน



“พอดีข้าได้น้ำเกสรบุหงา ๗ อย่างมาจึงได้นำมาแบ่งปันให้กับท่าน หากไม่รังเกียจได้โปรดรับมันเอาไว้เถิด” ชวารียื่นคนโททรงเตี้ยทำมาจากแก้วเนื้อดีที่ใสจนเห็นน้ำภายในที่มีเกสรและกลีบผกาลอยอยู่บนผิวน้ำ



“ขอบน้ำใจเจ้ามากชวารี เจ้าช่างมีน้ำใจสมกับชื่อของเจ้าเสียจริง” รพีพงศ์รับคนโทมาไว้กับตนเอง



“มิเป็นไร ขอให้ท่านได้ดื่มแล้วชอบมันก็เป็นพอ” ชวารีเอ่ย



“ไว้วันพรุ่งข้าจะให้คำตอบเจ้า”



“ข้าจะรอ…ท่านรพีพงศ์” ชวารีส่งยิ้มให้



จากนั้นทั้งสองก็ถามไถ่สารทุกข์สกดิบกันเล็กน้อยแล้วแยกย้ายกันไป รพีพงศ์ก็ถือคนโทแก้วเข้าไปยังห้องของตน ส่วนชวารีนั้นก็ลอบองแผ่นหลังกว้างของรพีพงศ์จบจวนบานประตูนั้นปิดลง



“หวังว่าวันพรุ่งท่านจะกล่าวคำว่าชอบ…ชอบข้า ท่านรพีพงศ์”



ชวารีหลับตาลงนึกถึงสิ่งที่ตนได้กระทำไปก่อนหน้า ในมโนภาพยังแจ่มชัดในยามที่ตนเปิดขวดยาขนาดเล็กแล้วเทของเหลวสีกลีบบัวใสลงไปในน้ำเกสรที่ตระเตรียมไว้…ยาเสน่ห์ที่ใครได้ลิ้มรสย่อมคลั่งรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น



กาลก่อนหน้าที่ชวารีจะมาเยือนยังวิมานสุริยาสีแดงฉาน นางได้ออกไปเก็บบุปผามาลาเตรียมทำน้ำเกสรบุหงา ทว่าเพียงฝ่าเท้ายกข้ามธรณีประตู ม่านหมอกสีทึบไม่ต่างจากควันไฟลอยบดบังภายในวิมานจนมิอาจมองเห็นสิ่งใดได้แจ่มแจ้ง สัญชาตญาณได้ร้องเตือนกู่ก้องในใจว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายในวิมานของชวารี สิ่งแรกที่นางนึกถึงนั่นคือมารดาของนาง



“ท่านแม่!!! ท่านแม่เจ้าคะ ท่านแม่อยู่ที่ใด” ชวารีเดินไปทั่ววิมาน พยายามฝ่าม่านหมอกตามหา ทว่าชวารีร้องเรียกเท่าใดก็ไร้เสียงตอบกลับ



“ท่านแม่…ฮึก…ฮือ..ท่านแม่” ชวารีทรุดกายลงนั่งกับพื้นปล่อยน้ำตาให้รินไหล นางนึกคิดว่านางนั้นไม่เคยเลยที่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับใคร เหตุใดเล่าถึงได้มีเงาร้ายคืบคลานเข้ามาปกคลุมถึงวิมานของนาง



“อย่าได้ร้องไห้เลย…ชวารี” ขณะที่ชวารีกำลังมืดแปดด้านอยู่นั้น พลันมีเสียงของใครบางคนดังขึ้น



“ใคร…เจ้าเป็นใคร ออกมาบัดเดี๋ยวนี้” ชวารีเรียกถามพลางร่ายคาถาเรียกกริชเงินอาวุธประจำกายของนางออกมาเพื่อป้องกันตัว ชวารีคิดว่าการที่มีคนใช้หมอกปิดบังร่างนี้ไว้ย่อมจะต้องไม่ใช่ผู้ประสงค์ดีเป็นแน่แท้



“ข้าก็ออกมาตั้งนานเจ้าไม่เห็นหรือไร” ชวารีรู้สึกเสียวสันหลัง ขนแขนลุกชันยามได้ยินเสียงแผ่วเบาแต่เย็นยะเยือกจากด้านหลัง ชวารีค่อย ๆ หันหน้าของตนกลับไปพบว่าเจ้าของเสียงปริศนายืนห่างจากนางไม่ถึงคืบ ผิดกับอินทุนิลที่ยิ้มเยาะยามได้เห็นใบหน้างามหวาดหวั่น



“เจ้า!!! เจ้าเป็นใคร” ชวารีขยับกายถอยออกไปเล็กน้อย มือสองกุมด้ามกริชจ่อขู่คนตรงหน้าไม่ให้เข้ามา พลางใช้สายตาพิจารณาผู้คุกคาม ซึ่งเป็นบุรุษร่างสูงโปร่งสวมหน้ากากเงินคลุมกายด้วยภูษาสีเข้มและบัดนี้กำลังก้าวเท้าเดินเข้าหาชวารี ดั่งราชสีห์พบเจอเหยื่ออ่อนแอตรงหน้า



“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่ากริชของเจ้าจะทำอะไรข้าได้ แล้วเมื่อครู่เจ้าถามใช่หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าจะบอกให้เจ้าจำใส่ใจเอาไว้ว่าข้าคือผู้กุมชะตาชีวิตแม่ของเจ้าอย่างไรเล่า” แค่สุรเสียงที่เปล่งออกมา ไม่นับดวงตาที่หน้ากากไม่ได้บดบัง ชวารีรับรู้ถึงไอสังหารและความน่ากลัวของผู้นี้ได้



“เจ้าทำอันใดแม่ข้า!!” แม้น้ำเสียงยังไม่ลดความเกรี้ยวกราด ยังคงแสดงถึงความไม่เกรงกลัวทว่าใจจริงของชวารีนั้นกังวลไม่ใช่น้อย



“เพียงแค่เปลี่ยนที่หลับนอนให้มารดาของเจ้าเท่านั้น” ไม่พูดเปล่า ผู้สวมหน้ากากยกฝ่ามือขึ้นมาเกิดกระแสลมสีเทาก่อตัวเป็นกรงขังภายในมีนางอัปสรผู้หนึ่งหลับใหลไร้สติ



“ท่านแม่!!! ท่านแม่!!! ปล่อย!! ปล่อยท่านแม่ของข้า!!” ชวาลีคลานเข่าเข้าหา พยายามลุกคว้ากรงที่ขังมารดาเอาไว้ ทว่าพอจะลุกขึ้นยืนขาทั้งสองกลับอ่อนแรงลุกไม่ไหว พอจะเอื้อมมือขึ้นกลับเอื้อมไม่ถึง คนภายใต้หน้ากากมองชวารีที่หลั่งน้ำตาก็นึกสมเพช ช่างอ่อนแอเสียจริง ๆ แต่เพราะอ่อนแอก็ย่อมเกิดผลดีต่อตน จะลวงหลอกจูงจมูกอย่างไรก็ย่อมได้



“ข้าจะปล่อยมารดาเจ้า แต่เจ้าต้องทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จเสียก่อน”



“จะให้ข้าทำสิ่งใดโปรดบอกข้ามาเถิด ข้ายินดีทำทุกอย่างขอแค่เพียงท่านปล่อยแม่ของข้า” ชวารีร้องขอทั้งน้ำตา ต่อให้เอาชีวิตมาแลกนางก็ยินยอม ขอเพียงผู้ให้กำเนิดนั้นปลอดภัย



“เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าทำได้ทุกอย่างตามที่ข้าสั่ง” อินทุนิลแสร้งถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าชวารีย่อมทำตามตนเป็นแน่



“ข้าแน่ใจ” ชวารีให้คำมั่น



“ดี ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงรับสิ่งนี้ไป” อินทุนิลส่งขวดแก้วขนาดเล็กให้กับเยาวมาลย์ ชวารีรับไม่ไม่รีรอหากนึกฉงนสงสัยว่าคือสิ่งใด



“ที่ข้าให้เจ้านั้นคือยาสเน่ห์ จงนำมันหยดใส่ให้รพีพงศ์แล้วเจ้าจะสมหวัง”



“ข้า…ข้าไม่อาจทำได้”



“ไหนเจ้าบอกข้าว่าเจ้าทำได้ทุกอย่างเพื่อแม่ของเจ้า อีกอย่างข้ารู้ว่าเจ้านั้นหลงใหลในตัวสุริยบุตรผู้นี้มาช้านานมิใช่หรือ ใยต้องปฏิเสธเล่า” อินทุนิลโน้มน้าวจิตใจ เนื่องด้วยตนรู้ว่าเทพาแลเทพีในการดูแลของพระอาทิตย์ มักจะตั้งมั่นในศีลธรรมความดี ดังนั้นอินทุนิลจำต้องหลอกล่อเพื่อทำให้ศีลธรรมที่ว่านั้นลบเลือนในใจของชวารี



“ใช่ข้ารักท่านรพีพงศ์แต่ข้มิอาจทำเช่นนี้ได้ ท่านรพีพงศ์รักท่านนาคินทร์ มีความสุขกับท่านนาคินทร์ ข้าไม่คิดจะทำลายความสุขของท่านรพีพงศ์เป็นอันขาด” ภาพของรพีพงศ์เมื่อครั้งตรอมใจหลังสูญเสียนาคินทร์ยังคงติดตา ชวารีไม่อยากพรากความรัก ทำลายความสุขของทั้งสอง แม้ว่าตนจะต้องเสียใจก็ตาม



“แล้วไยเจ้าไม่ลองคิดดูเล่าว่าเจ้าอาจเป็นอีกความสุขหนึ่งของรพีพงศ์ก็เป็นได้”



“ข้า..ข้า…”



“ว่าอย่างไรเล่าชวารี อย่างไรเสียเจ้ากับรพีพงศ์รู้จักกันมาตั้งแต่ยังคลานเข่า เจ้ารู้ใจรพีพงศ์เสียทุกอย่าง ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถให้ความสุขรพีพงศ์ได้ รวมถึงเจ้าสามารถให้ในสิ่งที่นาคินทร์ไม่สามารถให้ได้…นั่นก็คือบุตร นาคินทร์ต่อให้งดงามยิ่งเสียกว่าอิสตรีแต่ก็เป็นชายอยู่ดี จะสามารถมีลูกให้รพีพงศ์ชื่นชมได้อย่างไร”



“เจ้าคิดดูให้ดี ๆ ชวารี โอกาสที่เจ้าจะได้อยู่ในสายตาของรพีพงศ์มาถึงแล้วและข้ารับรองว่าเมื่อสำเร็จแม่ของเจ้าจะปลอดภัย” อินทุนิลที่เห็นว่าชวารีนิ่งเงียบก็เอ่ยต่อไป



“ข้าขอถามเจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ต้องการให้ท่านรพีพงศ์รักข้า เจ้ามีจุดประสงค์อันใดกันแน่” ชวารีรู้ได้ว่าคนตรงหน้าย่อมไม่มีทางช่วยให้ตนได้สมหวังกับรพีพงศ์โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แล้วสิ่งตอบแทนนั้นคงไม่อาจประเมินค่าได้



“ข้าก็แค่เห็นเจ้าแล้วนึกถึงข้าในอดีตไม่ได้ การแอบรัก ไม่สมหวังในรักนั้นแสนจะทรมานใจเจ้าว่าหรือไม่…ชวารี”



“แล้วนอกเหนือจากนี้เล่า หากเจ้าปราถนาดีต่อข้าคงไม่มีทางจับท่านแม่ข้าเป็นตัวประกันเป็นแน่แท้”



“เจ้าช่างฉลาดเสียจริง ใช่!! ชวารี เจ้าคือหมากตัวหนึ่งในกระดานของข้าและเจ้าต้องทำมันเท่านั้น หากเจ้ายังอยากให้แม่ของเจ้ามีลมหายใจ” สิ้นคำของอินทุนิล เสียงหวีดร้องทรมานก็ดังก้อง ชวารีพลันตกใจหันซ้าย หันขวา ตามหาจุดกำเนิดของเสียงเพราะจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของผู้เป็นแม่



“ท่านแม่!!!...ท่านแม่…ฮึก…พอได้แล้ว..อย่าทำอันใดแม่ข้าเลย” ชวารีขอร้องทั้งน้ำตาที่ไหลอาบปรางค์ทั้งสองข้าง



“ข้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะวางยาสเน่ห์รพีพงศ์หรือไม่” น้ำเสียงแสนเย็นชาเปล่งออกมาถามชวารีอีกครั้งเพื่อต้องการคำตอบเพียงคำตอบเดียว



“ข้าจะทำ ได้โปรดส่งขวดยานั่นมาให้ข้า” ชวารีฝืนใจละทิ้งความดีงามทั้งปวง ยอมตกนรกโลกากระทำสิ่งผิดบาป ยอมแล้ว…ชวารียอมเอาตนย้อมไปกับโคลนตมแห่งความชั่วร้าย



“ดีมากชวารี ข้ารับรองว่าเจ้าจะมีความสุข” คนชั่วช้าส่งขวดยาให้กับชวารีพร้อมกล่าวชมอย่างชอบใจ



“แล้วแม่ของข้าเล่า เจ้าจะปล่อยตอนไหนแล้วข้าจะได้พบนางหรือไม่”



“ยามข้าเรียกให้เจ้ามารับยาขวดใหม่ เจ้าจะได้พบกับแม่ของเจ้า เว้นแต่ว่าเจ้าคิดไม่ซื่อนำความทั้งหมดที่เกิดขึ้นไปเปิดโปง ข้าขอสัญญาว่าแม่ของเจ้าจะเหลือเพียงชื่อ ร่างกายจะแตกละเอียดย่อยยับเป็นผงธุลี”



…‘เพียงราตรีเดียวทุกสิ่งก็ผันเปลี่ยน’…



…‘จากขาวเป็นดำ’…



...‘จากดีเป็นร้าย’…



ชวารีหลั่งน้ำตาออกมาหวังว่ามันจะสามารถชำระล้างความผิดบาปที่ตนได้ก่อไว้ให้มันหมดไปจากใจของตน











............................

มาแล้วค่ะช้าหน่อยนะคะ งานประจำยุ่งมากเลยกลับห้องค่ำทุกวัน มาถึงนอนเพราะไม่เหลือพลังงาน กลัวคนอ่านหายจัง อย่าเพิ่งหายนะคะ อีกอย่างยุ่งตั้งใจว่าแต่งสองเรื่องพร้อมกัน คนละฟีลกันเลย 555 ฝากเรื่อง พัทธ์ธีราด้วยนะคะ 5555



ตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ไม่มีอะไรจริงๆ แค่ก่อไฟรอต้มมาม่าเท่านั้นเอง จากนี้ไปคงจะได้เจอนาคินทร์แบบเต็มๆ หนักๆ แล้วนะคะ ส่วนพระพุธเราปล่อยให้พี่ชายเขาดูแลไป อิอิ

ส่วนตัวร้ายอย่างอินทุนิลยังคงร้ายไม่หยุด ถึงมีอะไรกั้นก็ไม่หยุด พอพูดถึงตัวร้ายก็คิดถึงป๋ากนธีเลยค่ะ



สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่าน มาเม้น เป็นกำลังใจนะคะ ติชม วิจารณ์ได้ ท่านยุ่งจะได้นำไปพัฒนาค่ะ อ่อ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะทุกคน รักนะคะ



หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.22 P.4 (28/05/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 31-05-2020 15:40:58
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.22 P.4 (21/06/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 21-06-2020 21:04:42
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan -Yung 0209

File : 23

นับตั้งแต่วันที่รพีพงศ์นำโคมไฟสุริยามารักษาเทวัญผู้ทรงคชสารก็ผ่านไปหลายทิวาราตรี จวบจนบัดนี้ก็ไม่มีแม้แต่เงาจะย่างกรายเฉียดวิมานของพระเสาร์หรือแม้แต่จะส่งสารมาสักคราก็หามีไม่ นาคินทร์เองกระวนกระวายใจจนแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ หากจำต้องทำตัวให้เข้มแข็งปิดซ่อนความรู้สึกเอาไว้มิอาจเปิดเผยกับใครได้

... ‘ท่านพี่ ภารกิจของท่านมากล้นเพียงใด ไยถึงไม่มาหาบ้างเล่า หรือเพียงสละเวลาเขียนอักษรถึงข้าสักเล็กน้อยมันยากลำบากหรืออย่างไร’ ...

นาคินทร์ตัดพ้อในใจ ขณะที่ดวงเนตรสีม่วงกำลังทอดมองออกไปนอกหน้าต่างไปยังทิศที่ตั้งของวิมานเพลิง นาคน้อยเฝ้าคิดถึงคะนึงหาอยากให้คนรักนั้นมาสวมกอดปลอบประโลมแนบชิดพอให้หูได้แนบอุราฟังเสียงของดวงฤทัย จมูกนั้นได้สูดดมกลิ่นกายจากร่างสูง ตลอดจนริมฝีปากอ้าออกมาเปล่งคำว่ารัก พร้อมกับดวงตามองไปยังใบหน้าของผู้ได้ชื่อว่าสวามี

“ท่านนาคินทร์...ท่านนาคินทร์เจ้าคะ” เสียงเรียกขานดังมาจากหน้าประตูทำให้สติที่ผูกติดไปกับความคิดที่หลุดลอยกลับคืนมาสู่ความเป็นจริง

“มีอันใดหรือ เทียนหยด”

“ท่านอินทุนิลต้องการจะพบท่านนาคินทร์เจ้าค่ะ” เทียนหยด นางอัปสรรับใช้รายงานต่อบุตรผู้ครองวิมาน

“อืม แล้วท่านอาอินทุนิลอยู่ที่ใดกันเล่า หากอยู่หน้าประตูวิมานเจ้าก็เชิญเข้ามาด้านในเสีย”

“เจ้าค่ะ” เทียนหยดรับคำสั่งก็ปฏิบัติตาม นาคินทร์เองก็เดินออกไปจากห้องเพื่อนต้อนรับแขกผู้มาเยือน ไม่นานร่างโปร่งสูงดูสง่า เจ้าของใบหน้างดงามได้แย้มยิ้มออกมาเมื่อสบเข้ากับนาคินทร์

“ท่านอาอินทุนิล เชิญท่านนั่งตรงนี้ก่อนเถิด ข้าจักให้เทียนหยดนำน้ำทิพย์กลีบบัวมาให้ท่านได้ดื่มแก้หนื่อยจากการเดินทาง”

“รบกวนเจ้าแล้วนาคินทร์ อาต้องขอโทษเจ้าด้วยที่มาหาเจ้าโดยไม่แจ้งล่วงหน้า”

“มิเป็นไรท่านอา ว่าแต่ท่านอามีสิ่งใดหรือถึงได้มาหาข้า” นาคินทร์เอ่ยถาม เนื่องจากตนหาได้สนิทชิดเชื้อกับอินทุนิลน้อยครั้งที่จะได้ร่วมสนทนาด้วย อีกทั้งบางครานาคินทร์รู้สึกว่าอินทุนิลมิได้ชอบตน ทว่าเพลานี้อินทุนิลมาหาตนถึงวิมานทั้งยังพูดจาปราศัยท่าทางเป็นมิตร ทำให้ความข้องใจที่ว่าอินทุนิลไม่ชอบตนเป็นอันปัดตกทิ้งไป

“ข้ามาแสดงความเสียใจเรื่องมารดาของเจ้า รวมถึงข้าอยากมาเยี่ยมพระพุธจะได้หรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็เป็นญาติของข้าแม้จะไม่ได้สนิทชิดเชื้อก็ตามที หากพอข้าได้ยินข่าวว่าพระพุธได้รับบาดเจ็บข้าก็อดห่วงไม่ได้” อินทุนิลซักถาม แสร้งทำสีหน้าสลดแม้ใจนั้นไม่ได้นึกเศร้าโศกแต่อย่างใด

“เหตุใดจะมิได้เล่าท่านอาอินทุนิล มากับข้าเถิดข้าจะพาท่านไปหาท่านอาพุธ” นาคินทร์กล่าวเชื้อเชิญอินทุนิล อินทุนิลก็เดินตามนาคินทร์ไม่อิดออด

“พระพุธพักรักษาตัวอยู่ห้องใดหรือ” อินทุนิลถามขึ้นอีกครา หลังจากเดินผ่านห้องหับไปมากมายและยิ่งเดินก็รู้สึกว่าจะเข้าเขตส่วนด้านในสุดของวิมานซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นเขตบริเวณของผู้เป็นเจ้าของ

“ท่านอาพักรักษาตัวในห้องของท่านพ่อขอรับ เพื่อที่ยามค่ำท่านพ่อจะดูแลท่านอาได้” นาคินทร์ตอบโดยหารู้ไม่ว่าผู้ได้ยินกำลังจิกเล็บเข้าที่ชายภูษาก่อนจะขย้ำระบายอารมณ์เอาไว้ไม่ให้เผลอแสดงกิริยาอันทำให้นาคินทร์หรือใครรับรู้ได้ว่าตนนั้นเกลียด!!! เกลียด!!! พระพุธจนเข้ากระดูกดำ ทั้งที่ควรจะต้องตายกลางพงไพรกลับได้รับการช่วยเหลือจากพระเสาร์อีก

‘เห็นทีมารหัวใจของข้าหาใช่มุตตาตั้งแต่แรกเสียแล้ว’

“ถึงแล้วขอรับ ท่านอาอินทุนิล” นาคินทร์หันมาบอกอินทุนิล ทำให้อินทุนิลมีสติกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง

“จะรอช้าอยู่ไยเล่านาคินทร์ จงเร่งเปิดประตูเสียสิ ตัวอานี้อยากจะเยี่ยมพระพุธเสียหรือเกิน” อินทุนิลเอ่ยประโยคอันเป็นเท็จหาได้มีความจริงอต่อย่างใด ใครว่าตนอยากจะเยี่ยมกันเล่า ที่เร่งให้นาคินทร์เปิดบานประตูก็เพียงอยากดูผลงาน อยากจะเข้ามาสมน้ำหน้าและสาปแช่งให้ตายวันตายคืน

ทว่านาคินทร์หาได้ล่วงรู้ถึงความคิดของอินทุนิล หลงเชื่อใบหน้างามที่ปั้นแต่งแสร้งทำดี ฝ่ามือสวยเปิดบานประตูสลักออก ทำให้กลิ่นสัตตบงกชจาง ๆ ลอยฟุ้งออกมา ทั้งที่ไม่มีดอกบัวอยู่ในห้องแม้แต่ดอกเดียว

“หรือว่า...ท่านอาพุธ!!” นาคินทร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปด้านใน ดวงใจเต้นระรัวอย่างมีความหวัง กลิ่นประจำกายของพระพุธตลบอบอวลทั่วห้องเช่นนี้ย่อมเป็นข่าวดี

“ข้าคิดแล้วไม่มีผิด...ท่านอาพุธ” นาคินทร์เดินเข้าหาแล้วนั่งคุกเข่าอยู่ข้างบรรจถรณ์ นิ้วเรียวลากไปยังหลังมือของพระพุธเบา ๆ เกล็ดน้ำแข็งนั้นบางเบากว่าทุกครา

... ‘นาคินทร์ข้าดีใจเหลือเกินที่อาการของข้าดีวัน ดีคืน’ ...

พระพุธแม้จะรู้ว่าส่งกระแสจิตไปนาคินทร์ก็มิอาจรับรู้แต่อดไม่ได้ที่จะพรั่งพรูความดีใจออกมาผ่านการนึกคิด

“มีอันใดหรือนาคินทร์” อินทุนิลเดินทางมาทีหลังก็พบเข้ากับโคมไฟสุริยาและพื้นที่มีน้ำเจิ่งนองโดยรอบ นาคินทร์จึงหันกลับไปนึกขึ้นมาได้ว่าเผลอเสียมารยาททิ้งให้อินทุนิลตามมาทีหลัง ผิดกับพระพุธที่พอรู้ว่าใครก็ตกใจไม่น้อย

... ‘อินทุนิลไยเจ้ามาอยู่ที่นี่ เจ้ามีแผนอันใดหรือจักมาทำร้ายหลานข้า’ ...

“ข้าขออภัยท่านอาอินทุนิลที่ทิ้งท่านเอาไว้ ทว่าข้าดีใจจนเผลตัวเพราะบัดนี้เกล็ดน้ำแข็งที่เกาะคลุมผิวกายของท่านอาพุธได้ละลายเร็วขึ้น ทำให้ข้าได้กลิ่นกายของท่านอาแม้จะบางเบาแต่ก็เป็นสัญญาณที่ดี เช่นนี้แล้วข้าคิดว่าอีกไม่นานท่านอาพุธจักต้องฟื้นเป็นแน่ ต้องขอบน้ำใจท่านพี่รพีพงศ์เสียแล้วที่นำบุปผาแดนสุริยามาให้” นาคินทร์เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพร้อมกับยืนขึ้นอีกครั้ง แวบนึงอินทุนิลเห็นแววตาเสร้าสร้อยทำให้ตนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ดียิ่ง อาการของพระพุธดีขึ้นตัวข้านี้ก็ดีใจ เอ่อ..เมื่อครู่เจ้าบอกว่าจะไปหารพีพงศ์หรือนาคินทร์” อินทุนิลเริ่มทำตามแผนที่คิดเอาไว้ เพียงคิดว่านาคินทร์จะต้องน้ำตาตกอกตรม เทพพิจิกดาราก็แทบจะสะกดกลั้นความดีใจเอาไว้แทบไม่ไหว

“ใช่แล้วท่านอาอินทุนิล ข้าคิดว่าจะไปหารพีพงศ์แต่คงต้องรอให้ท่านพ่อกลับมาเสียก่อน มีอันใดหรือท่านอาอินทุนิล” นาคินทร์นึกสงสัยผนวกกับความคิดน้อยเนื้อต่ำใจที่มีต่อรพีพงศ์ก็ยิ่งทำให้นาคินทร์ไม่อาจจะคิดไปในทางที่ดีได้

“เจ้าเองก็รู้ใช่หรือไม่ ว่าข้านั้นแม้ไม่ได้พำนักยังวิมานแก้วโกเมนแต่ตัวข้ามีเชื้อสายวงศาแห่งพระอาทิตย์องค์เก่าก่อน ดังนั้นเรื่องราวภายในข้าพอจะรับรู้อยู่บ้างและสิ่งที่ข้าได้รู้มาเมื่อไม่นานมานี้ คือ...ข้าไม่กล้าที่เอื้อนเอ่ยให้เจ้าได้รับฟังเลย”

“บอกข้ามาเถิดไม่ว่าจะดีหรือจะร้ายเพียงใด ข้าพร้อมที่จะรับฟัง” นาคินทร์ใคร่อยากรู้ให้แจ้งใจ ยิ่งได้เห็นอินทุนิลอึกอักไม่รีบเล่า นาคินทร์ก็ยิ่งกระวนกระวายใจแทบจะเหาะเหินเดินอากาศไปหารพีพงศ์โดยเร็ว

“คือข้าได้ยินมาว่ารพีพงศ์มีใจให้นางอัปสรผู้ถึงขนาดรับเข้ามาพำนักอยู่ภายในวิมาน ว่ากันว่ารพีพงศ์ไม่ได้ออกมาสะสางงานใดใดเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้พระอรุณผู้เป็นแฝดน้องทำเพียงผู้เดียว”

“ไม่..จริง..ท่านพี่” นาคินทร์เซถลาจนแทบล้มลงไปกับพื้น โชคดีที่อินทุนิลเข้ามาประคองนาคินทร์เอาไว้ทัน หากเป็นดังคำที่อินทุนิลว่าไว้ นี่คงเป็นสาเหตุที่ตลอดหลายวันมานี้รพีพงศ์ถึงได้ไม่มาหาตน

“ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่นาคินทร์ เจ้าไปหารพีพงศ์ที่วิมานเสียตอนนี้” อินทุนิลเสนอความคิดเพื่อที่ตนจะได้ทำตามแผนในลำดับต่อไป

“แต่ว่า...” นาคินทร์ผินหน้าไปทางพระพุธที่นอนนิ่งอยู่ อินทุนิลจึงเข้าใจในทันที

“เจ้าอย่าได้ห่วงพระพุธเลยนาคินทร์ ข้าจะอยู่เฝ้าให้เองจนกว่าพระเสาร์จะมาดีหรือไม่” และนี่คือหนึ่งในแผนการ อินทุนิลต้องการสืบทราบอาการของพระพุธรวมถึงวิธีการที่จะให้พระพุธนั้นต้องตาย

หากหาได้ตายในทันทีเพราะมิเช่นนั้นตนจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย ดังนั้นขอให้ตนได้ปล่อยแมงป่องแก้วสักตัวเอาไว้ในห้องนี้ ขอแค่มันได้กัดเนื้อหนังมังสาปล่อยพิษร้ายเข้าสู่ตัวของพระพุธวันละนิดเท่านี้ก็เพียงพอ

... ‘นาคินทร์อย่าได้ออกไป อย่าได้เชื่อคำลวงของคนชั่วช้าเป็นอันขาด’ ...

... ‘ข้าต้องหาทางเอาตัวรอดในยามนี้ให้ได้’ ...

“ขอบน้ำใจท่านอาอินทุนิลเป็นอันมาก หากท่านพ่อตลอดจนพระพฤหัสบดีและพระจันทร์ได้กำชับเป็นหนักหนาให้มีเพียงข้าหรือไม่ก็ท่านพ่อเท่านั้นเป็นผู้อยู่เฝ้า ข้ามิอาจขัดคำสั่งได้ จึงขออภัยท่านอาอินทุนิลที่ต้องปฏิเสธความหวังดีนี้”

“ข้าเข้าใจ เอาเป็นว่าข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอยู่ดูแลพระพุธจนกว่าพระเสาร์จะมาดีหรือไม่” อินทุนิลพยายามหาทางถ่วงเวลาให้อยู่ในห้องนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อรอโอกาสให้นาคินทร์เผลอ อินทุนิลจะได้ปล่อยแมงป่องแก้วตามที่ตนคิดไว้

ทว่าแผนร้ายทำลายชีวิตนี้แม้นาคินทร์จะไม่รู้เท่าทันแต่หากผู้ที่กำลังจะถูกปองร้ายซ้ำสองในไม่ช้ากลับล่วงรู้ด้วยสัญชาตญาณและสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตจากรัศมีสีหมอกของเทพพิจิกดารา พระพุธรวมจิตให้มั่นภาวนาขอให้ผลบุญที่ตนได้กระทำส่งผลให้รอดพ้นจากภัยร้ายในครั้งนี้

... ‘ขอให้บุญรักษา ขอให้โชคชะตาได้ช่วยเหลือและขอให้พี่เสาร์กลับมาให้ทันท่วงทีด้วยเถิด’ ...

พระพุธภาวนาตลอดจนอธิษฐาน พลันปราณภายในกายเกิดปั่นป่วนหมุนวนดั่งพายุในช่องท้องจนรู้สึกจุกแน่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นเกลียวคลื่นยักษ์ย้ายเคลื่อนเข้าถาโถมมายังกลางอุรา พระพุธรู้สึกราวจะขาดใจเสียให้ได้

... ‘หรือว่าเราจะละสิ้นทั้งสังขารแลดวงวิญญาณนี้’ ...

“อึก...พรวด” ของเหลวสีทองปะปนก้อนลิ่มถูกสำรอกออกมาเปรอะเปื้อนริมฝีปากซีดขาว โลหิตสีทองไหลลงมายังซอกคอและอาภรณ์ที่สวมใส่จนเปียกชุ่ม

“ท่านอาพุธ!! ท่านอา!!” นาคินทร์ตกใจไม่ใช่น้อยแม้แต่ตัวอินทุนิลเองก็เช่นกัน เมื่อพบว่าร่างที่นอนหลับใหลกลับสำรอกลิ่มเลือดออกมา

นาคินทร์พอตั้งสติได้ก็รีบร้องตะโกนให้นางอัปสรรับใช้ด้านนอกเข้ามา ส่วนตนนั้นก็หมายจะเข้าไปประคองพระพุธ ทว่าไม่ทันจะได้ขยับเขยื้อนตัว ละอองฝุ่นสีนิลเจือม่วงเม็ดมะปรางกลับหมุนหอบร่างเทพทรงคชสารให้อยู่ในสภาพกึ่งนอนกึ่งนั่งก่อนละอองฝุ่นนี้จะคืนกายกลายเป็นเนื้อหยาบ

“ท่านพ่อ!!”

“พระเสาร์”

“นาคินทร์เจ้าจงเร่งให้คนไปเชิญเทพโอสถ พระจันทร์ และพระพฤหัสบดีมาบัดเดี๋ยวนี้”

“ขอรับท่านพ่อ” นาคินทร์รับคำสั่งแล้วรับวิ่งออกไปจากห้องเพื่อแจ้งแก่ทหารก้านบัว รวมถึงสั่งการให้นางกำนัลเตรียมการเพื่ออำนวยการรักษาให้แก่พระพุธ

“ส่วนเจ้าอินทุนิล หากไม่มีสิ่งใดก็จงกลับไปเสีย เพลานี้วิมานของข้าไม่สามารถจะต้อนรับใครให้เข้ามาได้” พระเสาร์เอ่ย

อินทุนิลได้ยินดังนั้นแล้วรู้ตัวเองว่าคงไม่อาจจะยืนหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อได้ แม้อยากจะเอ่ยให้ความช่วยเหลือเพื่อให้พระเสาร์ได้ล่วงรู้ถึงความหวังดี หากอินทุนิลรู้นิสัยของพระเสาร์ว่าถ้าเทพกายนิลไม่ออกปากขอความช่วยเหลือก็อย่าได้หวังดีไปเสนอตัว

อินทุนิลก้าวถอยหลังออกไปช้า ๆ จนมาถึงกรอบประต฿บานใหญ่ ใบหน้างามผินหน้ากลับไปดูภาพด้านหลัง ทันใดนั้นความรู้สึกโกรธเกลียดพระพุธก็แล่นเข้าสู่ดวงจิต จากที่มันคับเต็มก็แทบจะเอ่อล้น

ร่างกายที่เย็นเยือกของพระพุธถูกพระเสาร์กอดรัดไม่กลัวว่ามันจะหนาวเหน็บจนสะท้าน ฝ่ามือหนาที่มักจะจับอาวุธสังหารศัตรูค่อยลูบคราบเลือดตามใบหน้างามและลำตัวของพระพุธอย่างไม่รังเกียจ ไหนเล่าจะจูบขมับสลับกับพร่ำกระซิบบอกพระพุธด้วยน้ำเสียงที่อินทุนิลไม่เคยได้ยินพระเสาร์เคยเอื้อนเอ่ยกับใคร ซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า...

“เจ้ารัชอย่าทิ้งข้าไปอีกคน...อยู่กับข้าเถิด อย่าได้ไปไหนเลยอยู่กับข้า จันทรัช...ได้ยินหรือไม่ข้าขอให้เจ้าอยู่กับข้า...”

*****

สถานการณ์ ณ วิมานหงสบาทกลับคืนสู่ปกติอีกครั้ง หลังจากที่เทพโอสถได้เข้ามาตรวจดูอาการของพระพุธโดยมีพระจันทร์และพระพฤหัสบดีผู้เป็นเชษฐาคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่างและผลที่ออกมาก็สร้างความปิติคลายความกังวล

... ‘จากการที่ข้าตรวจอาการของพระพุธเมื่อครู่ผลนั้นคืออาการดีขึ้นกว่าครั้งก่อน เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น ส่วนที่สำรอกโลหิตเป็นการขับเลือดเก่าที่คั่งค้างออกมา พวกท่านดูสิมีก้อนลิ่มปะปนอยู่ด้วย’ ...

จากนั้นเทพโอสถก็กลับไปพร้อมกับจันทราเทพและเทพพฤหัสบดี พระเสาร์จึงทำหน้าที่ดูแลพระพุธต่อไปโดยที่ผู้เป็นพ่อนั้นได้ตระเตรียมให้นาคินทร์ได้กลับไปพักยังวิมานของรพีพงศ์

“พ่อรู้ว่าเจ้านั้นเหนื่อยจึงอยากให้เจ้าพักผ่อน อีกอย่างเจ้านั้นได้เข้าวิวาหะกับรพีพงศ์แล้ว การที่พ่อให้เจ้าอยู่ที่นี่เสียนานก็ดูจะไม่ดีนัก”

“แล้วใครจะดูแลท่านอากันเล่า”

“พ่อจะดูแลเอง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย เพลานี้สมุทรเทพชลันธรได้นำไพร่พลมาร่วมผนึกรอยร้าวคุกกาลเวลาร่วมกับเทพนภนต์แห่งท้องนภา ทำให้พ่อได้มีเวลาอยู่วิมาน” พระเสาร์ให้คำตอบ

“เช่นนั้นสามทิวาราตรีนี้ ลูกขอลาท่านพ่อไปหาท่านพี่” เมื่อไร้สิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งให้นาคินทร์เป็นกังวล นาคินทร์จึงเอ่ยอำลาแล้วขึ้นราชรถมุ่งหน้าสู่ดาวฤกษ์เพลิงขนาดใหญ่

ทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้าที่นาคินทร์จะมายืนอยู่หน้าประตูห้องของตนและรพีพงศ์ ห้องที่มีเพียงตนและคนรักเท่านั้นที่พำนักอยู่ ห้องที่อบอวลไปด้วยความรัก ความทรงจำ บัดนี้กลับมีเสียงหัวเราะของสตรีดังมาจากอีกฟากประตู นาคินทร์กำหมัดเอาไว้แน่น พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้เดือดดาล ขณะเดียวกันก็กลั้นอัสสุชลที่เอ่อตรงขอบตาไม่ให้รินไหลออกมา

... ‘ทั้งโมโห ทั้งเสียใจ’ ...

“พวกเจ้าออกไป อย่ามาขวางข้า” นาคินทร์เอ่ยกับนางอัปสรต้นห้องที่เข้ามากันท่าขวางประตูไม่ให้นาคินทร์ได้เข้าไปด้านใน

“ท่านนาคินทร์เจ้าคะ ข้าคิดว่าอย่าเข้าไปเลยเจ้าค่ะ” เยาวมาลย์รับใช้เอ่ยขึ้นมาหน้าสลด แม้อยากจะให้เข้าไปแต่รพีพงศ์ผู้เป็นใหญ่เหนือตนได้สั่งเอาไว้ห้ามให้ผู้ใดเข้าไป

“นานแล้วหรือไม่ที่สตรีชั้นเลวเข้าไปยั่วยวนท่านพี่ของข้า” แลเหมือนว่าคำพูดของนางรับใช้จะไม่ได้เข้าหูของนาคินทร์เลยแม้แต่น้อย นาคินทร์ไม่ต้องรับฟังความคิดเห็น คำห้ามปรามใด นาคินทร์ต้องการคำตอบมาไขให้เกิดความกระจ่างเท่านั้น

“ข้าได้ยินเสียงของนางในเช้าหลังจากท่านรพีพงศ์กลับมาจากนำดอกโคมไฟสุริยาไปรักษาพระพุธเจ้าค่ะ”

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร” นาคินทร์ถามต่อไป ดวงตาคมสีม่วงไม่ต่างจากผู้เป็นบิดาปรายตามองเค้นเอาคำตอบ ทำให้ผู้ถูกมองต่างรู้สึกเย็นสะท้าน รู้สึกเสียวกระดูกสันหลังคล้ายมีปลายคมของโลหะกำลังลากผ่าน

“คือ..คือว่า...”

“ไม่ต้องตอบแล้ว ข้าจะไปถามไถ่นามของนางผู้นั้นด้วยตัวของข้าเอง” นาคินทร์ไม่คิดจะรอคำตอบอีกต่อไป สองเท้าก้าวตรงไปแม้จะถูกห้ามนาคินทร์ก็ไม่สนใจกลับแผ่รัศมีนาคาออกมาทำให้นางอัปสรที่เข้าขางต้องถอยหนี

ใครต่างก็รู้ว่าเผ่าพันธุ์นาคานั้นรักสงบไม่สู้รบกับผู้ใด กลับกันจ้าวอสรพิษนี้เมื่อได้หมายใจอาฆาตใครแล้วย่อมไม่ปล่อยวาง จะตามราวีและสังหารอย่างเลือดเย็น ยิ่งนาคินทร์ในร่างใหม่ได้เป็นนาคชั้นนสูงในตระกูลพญานาคเกล็ดทองผนวกกับมีสายเลือดของพระเสาร์ผู้ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งและไม่เกรงกลัวผู้ใด เป็นเช่นนี้แล้วใครเล่าจะกล้าขัดขวางนาตินทร์ในยามนี้

‘ปัง!!’

นาคินทร์ผลักประตูเข้าไปสุดแรง ทำให้รพีพงศ์ซึ่งกำลังอ้าปากรับขนมที่เทพีนางหนึ่งกำลังป้อนให้ถึงกับชะงักไม่ต่างกับนาคินทร์ที่ยืนนิ่งอีกครั้งกับภาพที่ตนได้เห็น ภาพของผู้เอ่ยรักตนกำลังนั่งให้ผู้หญิงที่งามแต่รูปแต่คิดชั่วแย่งคนรักผู้อื่นคอยป้อนขนมให้ ทั้งที่มันควรจะเป็นนาคินทร์หาใช่ใครอื่น

“เจ้าเป็นใคร!! เหตุใดถึงบังอาจเข้ามาในห้องของข้ากับท่านพี่!!!” นาคินทร์ไม่รั้งรอให้เสียเวลาขณะที่เอ่ยถามก็ปรี่เข้าไปหาชวารีที่นั่งนิ่งไม่นึกกลัวนาคินทร์ ไม่สนใจว่าตนจะเจ็บตัวหรือเดือดร้อน

“ข้ามีนามว่าชวารี เมื่อครั้นเยาว์วัยข้านั้นเป็นสหายของท่านรพีพงศ์ หากตอนนี้ข้านั้นเป็น...” ชวารีไม่เปล่งวาจาออกไปจนจบประโยค ทว่านาคินทร์เข้าใจดีว่าชวารีหมายความว่าเช่นไร

“ถ้าเจ้าไม่อยากเอ่ยออกมาข้าจะเป็นผู้ป่าวประกาศเองว่าเจ้าสตรีที่เข้าแย่งสวามีของผู้อื่น” นาคินทร์เอ่ย มือก็คว้าจับแขนของชวารีไว้มั่นก่อนจะใช้แรงกระชากให้ลุกขึ้นจากแท่นรัตนา

“นาคินทร์อย่าได้ทำอันใดนาง ปล่อยนางบัดเดี๋ยวนี้” รพีพงศ์ลุกขึ้นมาขวางเอาไว้ พยายามแทรกกายเอาตัวกั้นระหว่างนาคินทร์กับชวารี

“ข้าไม่ปล่อย จนกว่าข้าจะลากนางผู้นี้ออกไปจากวิมานนี้” นาคินทร์ผลักรพีพงศ์ให้ออกห่าง จากนั้นก็ออกแรงฉุดชวารีที่ใช้มารยาเรียกน้ำตาให้ผู้ที่ได้เห็นนึกสงสาร

“ช่วยข้าด้วย!! ...ฮึก...พระชายาแห่งท่านรพีพงศ์จะสังหารข้า โอ๊ย!! ...ฮือ...เจ็บ..ท่านนาคินทร์ ปล่อยข้าเถิด” ชวารีร้องเรียกให้คนช่วย ขณะเดียวกันก็แสร้งร้องไห้ออกมา ผู้อื่นที่ได้มาพบเห็นอาจหลงเชื่อแต่ไม่ใช่กับนาคินทร์ที่ล่วงรู้ว่าชวารีหาได้เจ็บดังปากพูด ยิ่งไปกว่านั้นตนหาได้คิดหรือแสดงออกว่าจะสังหารนาง

“เจ็บหรือ...เจ้าเจ็บหรือชวารี แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเจ็บมากกว่าเจ้ากี่ร้อยกี่พันเท่า เมื่อยามที่เจ้าทอดกายให้ท่านพี่ มายื้อแย่งท่านพี่จากข้าไป!!!” เอ่ยจบนาคินทร์ก็เหวี่ยงชวารีทำให้นางรัมภาล้มลงไปนั่งกับพื้น จะลุกก็ไม่อาจจะลุกได้เพราะกายนั้นกระแทกเข้ากับพื้นจนเต็มแรง นับได้ว่าครั้งนี้นาคินทร์ได้สร้างความเจ็บให้กับชวารีจริง ๆ หากนาคินทร์รู้สึกว่าชวารียังเจ็บปวดได้ไม่ถึงเศษเสี้ยวที่ตนเจ็บ จึงเดินเข้าไปหาชวารีง้างมือขึ้นมาหมายจะประทับสัมผัสใบหน้าของชวารีว่าจะด้านเพียงใด

“หยุด อย่าได้แตะต้องตัวชวารี” รพีพงศ์จับฝ่ามือที่เตรียมจะตบตีชวารีของนาคินทร์ก่อนจะผลักไสนาคินทร์ให้ออกห่าง จากนั้นรพีพงศ์ก็เข้าประคองชวารีให้ยืนขึ้น

“ท่านพี่!! ข้าเป็นชายาของท่านพี่...ฮึก...เหตุใดท่านพี่ถึงได้ทำเช่นนี้กับข้าเล่า” นาคินทร์เอ่ยถาม น้ำเสียงสั่นเครือจากการพยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตานั้นรินไหล แม้นว่าจะมีจิตอาฆาต เยือกเย็นเพียงใดแต่รพีพงศ์คือข้อยกเว้นสำหรับนาคินทร์ นาคน้อยไม่อาจจะเข้มแข็งหรือมาดร้ายต่อผู้อันเป็นที่รักได้

“ข้าจะทำมากกว่านี้แน่!! หากเจ้ายังคิดทำร้ายชวารีเมียของข้าอีก” ประโยคดั่งคมมีดเข้าเชือดเฉือนใจนาคินทร์ให้แตกสลาย นาคินทร์นึกสงสัยว่าท่านพี่รพีพงศ์ผู้ที่เคยให้คำสัญญาว่าจะรักและดูแลตน ไม่มีวันปันใจให้ใครอื่นได้หายไปแล้วหรือ

“ท่านพี่เหตุใดถึงทำกับข้าเช่นนี้...ฮือ...ไหนว่าจะรักเพียงข้า...ฮือ...แล้วเหตุใดถึงมีชวารีเข้ามา...ท่านพี่....บอกข้ามา...” นาคินทร์ทวงถามสัญญาทั้งน้ำตาที่อาบปรางค์ทั้งสองข้าง นาคินทร์ร่ำไห้ไม่นึกอายเหล่าธารกำนัลที่ลอบดูอยู่นอกประตู

“คำสัญญานั่นเจ้าเชื่อด้วยหรือ ใครเล่าจะกินข้าว รับสำรับซ้ำ ๆ ซาก ๆ และหากเจ้ารับไม่ได้ที่ข้ามีชวารีก็จงออกไปจากวิมานของข้าเสีย...นาคินทร์”







..............





ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ท่านยุ่งอัพเดทช้าหน่อยเพราะงานประจำมีงานเข้ามาทุกวันและแทบไม่มีวันว่างเลย วันหยุดก็ใช้กับงาน สุดท้ายไม่สามารถแต่ง อัพ ได้เร็ว รวมไปถึงยุ่งเองก็แต่งเรื่อง พัทธ์ธีราควบคู่ไปด้วย ยังไม่นับโปรเจคที่แทรกต่างๆ

งานเยอะมากจริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.22 P.4 (21/06/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-06-2020 13:34:58
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.22 P.4 (21/06/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 24-06-2020 09:01:47
ดราม่าอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.24 P.4 (26/07/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 26-07-2020 13:38:26
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

File : 24

Author : Tan -Yung 0209

ใครเล่าเคยกล่าวว่าสรวงสวรรค์ชั้นฟ้านั้นงดงาม ทุกหย่อมเมฆาเต็มไปด้วยความสุขี เห็นทีจะต้องโต้แย้งกลับไปเสียแล้วว่า…ไม่ใช่ ไม่ใช่เลยสักนิด บัดนี้แดนสรวงที่เคยเงียบสงบกลับมีไฟเผาผลาญไปทนทั่ว

หนึ่งคือไฟแห่งรักที่ผู้ได้ย่างเดินต้องปวดแสบ ปวดร้อนทั้งกายใจ นาคินทร์คือผู้ที่โดนไฟรักนี้ รักที่เคยถือมั่นกับคำสัญญาของเทพผู้เป็นดั่งยอดหฤทัยกลับต้องสลายกลายเป็นเถ้าถ่านเพราะมีคนมาแทรกกลาง ทว่านาคินทร์อกตรมได้ไม่นานก็สืบทราบมาว่ารพีพงศ์หาได้ปันใจไปรักชวารีด้วยความเต็มใจ แต่ทุกสิ่งเกิดจากยาสเน่ห์ที่อีกฝ่ายลอบให้รพีพงศ์ดื่มกิน

… ‘ข้าอดสงสารท่านนาคินทร์เสียไม่ได้ อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าราตรีคืนก่อน ชวารีได้นำน้ำทิพย์เกสรมอบให้ท่านรพีพงศ์ในนั้นต้องมียาสเน่ห์เป็นแน่’ …

… ‘ข้าเห็นด้วยกับเจ้า ท่านรพีพงศ์ที่รักท่านนาคินทร์นักหนาถึงขนาดลงนรกภูมินำวิญญาณมาชุบชีวิตมีหรือจะชายตามองใครอีก’ …

… ‘นั่นสิ ข้าล่ะเสียดายยิ่งนักที่มิอาจช่วยสิ่งใดได้ เพราะข้าไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ขืนบอกไป ชวารีคงให้ท่านรพีพงศ์ลงโทษข้า ยิ่งท่านรพีพงศ์ยามนี้นิสัยเปลี่ยนหูเบาเชื่อฟังแต่ชวารีเสียด้วย’ …

ทุกถ้อยคำของนางอัปสรรับใช้ในวิมานสุริยาล้วนเข้าโสตประสาทของนาคินทร์ ในเพลานั้นคนได้ยินที่เพิ่งถูกขับไล่ไสส่งออกมาทำได้เพียงกำหมัดแน่น ทั้งเชิดใบหน้าขึ้นไม่ให้ของเหลวสีใสไหลออกมาจากดวงตา

… ‘ข้าจะต้องช่วยท่านพี่ให้หลุดพ้นจากมนต์ดำนี้ให้จงได้’ …

ในช่วงเวลาที่นาคินทร์คิดหาทางช่วยรพีพงศ์เพื่อให้คนรักกลับมาหาตนเช่นดังเก่าก่อน ความวุ่นวายก็ได้เกิดขึ้นบนสวรรค์นับเป็นไฟที่สองซึ่งร้ายแรงเกินกว่าไฟรักของรพีพงศ์และนาคินทร์เป็นทวีคูณ นั่นคือ…ไฟสงครามที่กำลังถูกก่อโดยจอมมารล้านภาคผู้มากล้นไปด้วยพลังมหาศาลไม่น้อยหน้าไปกว่าพระผู้สร้างเลยสักนิดพร้อมทั้งได้ร่วมมือกับอดีตพระสมุทรกนธีแล้วก็ยากเกินกว่าใครจะต่อกรโดยง่าย

คุกกาลเวลาที่เกิดรอยร้าวจากพลังของมารล้านภาคที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่ได้ฟื้นฟูขึ้นมาทั้งหมดแต่ก็มากพอที่จะสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นทีละนิด ทีละน้อยจนกระทั่งเริ่มขยายเป็นวงกว้างและยิ่งได้รับความร่วมมือจากกนธีผู้สืบสายวังศ์เทวัญแห่งน่านมหานที การทำลายคุกกาลเวลาจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกำลัง แม้นอกคุกกาลเวลาจะมีทวยเทพผลัดกันมาผสานรอยร้าวแต่สุดท้าย

…ก็มิอาจต้านได้…

ทันทีที่เกราะป้องกันถูกมวลทรายมหาศาลซัดเข้าทำลายจนเกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ด้วยฤทธาของจอมมารพศิน เหล่าอสูรกายรวมถึงเทวดาที่กระทำความผิดจนถูกกักขังต่างวิ่งกรูมุ่งไปยังช่องทางอันมีแสงสว่างชี้นำโดยในจำนวนนั้น จอมมารพศินและกนธีก็แปลงกายเข้าปะปน ทว่าเมื่อผ่านพ้นจากคุกกาลเวลากลับต้องเจอกับเทวาที่ได้เตรียมการตั้งรับพร้อมต่อกร หากนักโทษแหกคุกกลับไม่เกรงกลัวด้วยคิดว่าพวกมันสามารถทำลายคุกกาลเวลาได้

… ‘ในเมื่ออยากจะสู้นัก พวกมันเองก็ยินดี’ …

เหตุการณ์นองเลือดจึงได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ฝ่ายหนึ่งดิ้นรนเพื่อหนี อีกฝ่ายก็พร้อมเข้าจับกุม และเมื่อไม่มีใครยอมใครต่างก็ทำตามในสิ่งที่ตนต้องการ ศาสตราวุธประจำกายตลอดจนมนตราคาถาที่มีถูกนำมาใช้จนแทบสิ้น เสียงโลหะกระทบกันเสียดสีจนเกิดเสียงแสบหูก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเชือดเฉือนเนื้อกายจนโลหิตไหลอาบ แทรกด้วยเสียงร้องกึกก้องยามถูกเล่นงานด้วยคาถาร้ายแรงจนผืนฟ้า ผืนพิภพแทบสั่นสะเทือน ราวกับประกาศให้ทั้งไตรภูมิได้รับรู้ว่าลมวายุหายนะอันเกิดจากความแค้นกำลังจะหมุนวนพัดพาทุกสิ่งให้สูญสิ้น

“สู้มัน!!! ฆ่ามันให้ตาย!!!” จอมมารในร่างแปลงตะโกนออกไปเสียงดังสร้างความฮึกเหิม ยิ่งเห็นว่าพลพรรคเทวดาที่ดาหน้ากันมาต่างปราชัยไปเสียมากกว่าพวกของตน

พลเทวัญมีหรือจะยินยอมให้ออกไปโดยง่าย ต่างใช้พระขรรค์ หอก ทวน ประจำกายเข้าต่อสู้ แม้จะต้องแลกด้วยโลหิตจิตวิญญาณแต่อย่างน้อยก็ขอให้สามารถรั้งไว้พอจะถ่วงเวลาให้แม่ทัพหลวงแห่งสวรรค์มาได้ทัน

‘ฟึบ!’

ลูกธนูแหวกนภากาศปักทะลุอกของเป้าหมาย ก่อนจะตกลงมาอีกมายมายไม่ต่างจากห่าฝนเข้าทะลุร่าง ทะลุเศียรของอสูรใจหยาบ มารชั่วช้าให้ดับดิ้น เมื่อแหงนมองไปยังทิศของผู้ส่งมอบความตายให้แก่พญามัจจุราชก็พบกับวรกายสูงใหญ่สวมเกราะเนื้อเหมทรงวิหคตัวใหญ่ที่กระพือปีกเรียกลมพัดพาร่างของผู้อยู่เบื้องล่างให้โซเซ ฉะนั้นจะเป็นใครอื่นมิได้นอกจากแม่ทัพหลวงแห่งไตรทิพย์ ผู้นำทัพมาต่อกรกับนักโทษแหกคุกทั้งหลาย

“ทิชากร เจ้าหยุดกระพือปีกเรียกลมก่อน ข้าเกรงว่าฝ่ายเราพลอยแย่ไปด้วย” นภนต์สั่งกับสัตว์พาหนะ ทิชากรจึงหยุดกระพือปีกเรียกลมก่อนจะบินร่อนลงมาใกล้สมรภูมิแทน อันเป็นสัญญาณเปิดศึกให้เหล่าทหารเทวดาลงมาปราบมาร

“รู้ใจข้าเสียจริง” นภนต์ชมเปาะเจ้านกขนทอง ก่อนจะขยับริมฝีปากร่ายคาถาเปลี่ยนคันศรในมือเป็นหอกเล่มยาวเข้าจ้วงแทงศัตรู

“จอมมาร ข้าว่าเราใช้โอกาสนี้หนีออกไปน่าจะเป็นการดี” กนธีเอ่ย การมาของเทพนภนต์ก็ย่อมเกิดผลเสียกับตนเสียมากกว่า เหตุเพราะตนและจอมมารล้านภาคแม้จะฟื้นฟูพลังมาได้เกินครึ่งแล้วแต่ก็สูญเสียไปกับการทำลายคุกกาลเวลาไม่ใช่น้อย หากได้ประมือกันในยามนี้เห็นทีตนจะเสียเปรียบ

… ‘เอาไว้ข้าคิดเอาคืนเจ้าและชลันธรหลานรักของข้าในวันหน้าก็แล้วกัน…เทพนภนต์’ …

สงครามขนาดย่อมเกิดขึ้นได้ไม่นาน เหล่าทวยเทพต่างได้รับข่าวร้ายของคุกการเวลาที่ถูกทำลาย จึงรีบออกจากวิมานไปยังสถานที่เกิดเหตุ ไม่เว้นแม้พระเสาร์ที่รีบทรงพยัคฆ์ดำสัตว์พาหนะประจำกายเหาะเหินไปยังจุดหมาย หากไปถึงสิ่งที่พบคือความสงบที่ไม่อาจจะเรียกได้เต็มปากนัก ความสงบเพียงเพราะร่างอสุราคละกับร่างของกองกำลังเทพาอันไร้วิญญาณทับถมกันเป็นกองพะเนิน

ดวงเนตรเพียงข้างเดียวกวาดมองไปทั่วบริเวณ พบช่องโหว่ขนาดใหญ่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรอยร้าวที่พวกตนพยายามผนึกแต่วันนี้ได้พานพบซึ่งความล้มเหลว นอกจากจะเห็นซากศพ ซากปรักหักพังของมิติคุกกาลเวลาแล้ว พระเสาร์ก็เห็นเทพร่างสูงกำยำสวมเกราะเนื้อเหมในมือจับคันธนูเอาไว้มั่นกำลังเดินออกมาจากคุกกาลเวลา

“เทพนภนต์”

“พระเสาร์” ผู้ถูกเอ่ยนามหันไปตามเสียงเรียกหาก่อนจะเอ่ยชื่ออีกฝ่ายเช่นเดียวกัน

“ท่านคงจะสำรวจจนทนทั่วแล้วใช่หรือไม่ พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดเสียหายร้ายแรงบ้าง” พระเสาร์เอ่ยถาม ในเมื่อนภนต์ออกตรวจตราแล้วตนก็ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจตราซ้ำรอย

“อย่างที่ท่านเห็นว่าชั้นเวทย์ที่ใช้สำหรับห่อหุ้มมิติกาลเวลาถูกทำลายเสียหายไปเกินขึ้น อสุรานับร้อยหนีออกมาได้แม้จะถูกสังหารไปบ้างแต่ก็มีอีกมากที่หลุดรอด รวมไปถึง…” นภนต์ตอบกลับคำถามของพระเสาร์ ทั้งที่อุตส่าห์ยกทัพมาปราบแต่ก็มิอาจจับหรือสังหารอสูรให้หมดสิ้นหากพอจะเอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้าย สีหน้าของแม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์กลับไม่สู้ดี คิ้วสองขมวดจนแทบจะเป็นปม

“อย่าได้อมพะนำอ้ำอึ้ง จงเร่งแจ้งแก่ข้าให้รับรู้” พระเสาร์นึกใจร้อนอยากรู้คำตอบด้วยความร้อนใจว่าสิ่งที่ตนคิดจะเป็นจริง

“จอมมารล้านภาคและอดีตพระสมุทรกนธีได้หลบหนีออกไปได้ ข้าให้ทหารค้นหาจนทั่ว ทั้งพลิกร่างยกศพดูอย่างละเอียดก็ไม่พบ ข้าคิดว่าทั้งสองคงออกไปได้และอาจจะอยู่ด้วยกัน” นภนต์ให้คำตอบที่ฟังแล้วสแลงหู นับว่าเป็นข่าวร้ายที่บุคคลอันตรายหนีรอดและดูท่าว่าจะนำความเดือดร้อนมาสู่สามโลกอีกไม่นานนี้

หลังจากนั้นไม่นานเทวาและเทวีผู้มีฤทธิ์ได้ถูกเรียกให้มาชุมนุมที่สภาเทวาโดยบัลลังก์มีพระผู้สร้างประทับเป็นองค์ประธาน เทพนภนต์ผู้เป็นแม่ทัพได้กราบทูลรายงานอย่างละเอียดไม่มีตกหล่น ซึ่งสร้างความหวาดหวั่นให้แก่ทวยเทพที่ไม่อยากให้สงครามเทวา-อสุราเกิดขึ้นอีกรอบ เพราะการสูญเสียเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครไม่อยากพบเจอ

“เทพกาลเวลา เราขอมอบหมายให้ท่านเร่งซ่อมคุกกาลเวลา โดยมีเทพอัศวินฝาแฝดและทหารรับใช้ในสังกัดของทั้งสองคอยช่วยเหลือ”

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” เทพณิชนิรันดร์น้อมรับเทวบัญชาแต่โดยดี ยามได้รู้ว่าคุกทรายสีนิลพังทลาย ในใจรู้สึกผิดไม่น้อยที่คุกกาลเวลาของตนมิอาจขังเหล่าผู้กระทำบาปร้ายแรงเอาไว้ได้ กระนั้นเมื่อได้รับคำบัญชาจากพระผู้สร้าง เทพแห่งกาลเวลาจึงไม่อิดออดในหน้าที่

“พระสมุทรชลันธร เรามอบหมายให้ท่านดูแลอาณาเขตทุกน่านน้ำเฉกเช่นเดิม หากวางกองกำลังให้มากยิ่งขึ้น อย่าให้ได้มีจุดบอดเป็นอันขาด ทั้งนี้ให้มีอำนาจสั่งการสูงสึดรองจากเรา” หลังจากรับสั่งกับเทพกาลเวลาแล้ว พระผู้สร้างก็ได้ตรัสกับญาติผู้น้องแห่งตน ภาะหน้าที่อันยิ่งใหญ่ก็ตกไปเป็นของพระสมุทรชลันธร

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” ชลันธรรับพระบัญชา ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับนภนต์เพื่อสื่อว่าอย่าได้กังวลกับสิ่งใด หากเกิดสงครามจริงชลันธรย่อมเอาชัยเหนือผู้ใดได้แน่นอน

… ‘ข้าเป็นถึงผู้ครองบัลลังมุกสีคราม ทั้งยังมีตรีศูลอันเป็นอาวุธ ๑ ใน ๓ ที่มีแสนยานุภาพร้ายแรง ท่านพี่อย่าได้กังวลเลย’ …

… ‘ชลันธรน้องพี่…จะไม่ให้พี่กังวลได้อย่างไรเล่า ในเมื่อเทพชั่วกนธีผู้เคยคิดฆ่าเจ้า มันได้ออกมาและคงจะไม่ปล่อยเจ้าให้มีชีวิต เป็นเสี้ยนหนามตำใจเจ้าเป็นแน่’ …

“เทพนภนต์ ตลอดจนเทพนพเคราะห์ขอให้พวกท่านแบ่งกำลังกันช่วยปกปักรักษาชั้นฟ้าและโลกมนุษย์เอาไว้ โดยเฉพาะบนผืนโลกอย่าให้มีอสูรสักตัวก่อความวุ่นวาย”

“พะยะค่ะ!!” ผู้ได้รับคำบัญชาต่างก็ขานรับเทวราชโองการ

การประชุมล่วงเลยไปหลายเพลา เหล่าเทพและนางอัปสรต่างได้รับมอบหมายหน้าที่ไม่มีละเว้นตามกำลัง ตามความสามารถ นอกจากนี้ต่างคิดวางแผนรับมือฝ่ายอสุราโดยเฉพาะสถานที่อันเป็นเป้าหมายของพวกมัน

“ข้าว่าจะส่งกำลังไปคุ้มกันโดยรอบวิมานของพระเสาร์เพราะทั้งนาคินทร์และพระพุธต่างก็พำนักอยู่ แน่นอนว่าหากพวกมันสืบทราบย่อมบุกมาสังหารแน่ โดยเฉพาะพระพุธผู้ที่ปราบมารล้านภาคอีกทั้งจับเทพกนธีเข้าคุกกาลเวลา” นภนต์กล่าวกับเทพนพเคราะห์ที่นั่งประชุมร่วมกัน

“ข้าเห็นด้วย แม้นวิมานของพระเสาร์ข้าได้ลงคาถาอาชาแปดทิศเอาไว้แล้วแต่การที่ทั้งสองทำลายคุกกาลเวลาได้ ย่อมทำให้เราตระหนักได้ว่าอย่าประมาท พระเสาร์ในฐานะท่านเป็นเจ้าของวิมานท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร” พระพฤหัสบดีพูดเสริม บรมครูแห่งเทวดาเห็นด้วยกับเทพนภนต์ กระนั้นก็คิดถึงใจเขาใจเราถามไถ่พระศนิผู้รักสันโดด

“อืม ข้าตกลง” พระเสาร์ตอบออกมาสั้น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ใครจะคิดว่าผู้ไม่สนใจสิ่งใด เกลียดความวุ่นวายเป็นที่สุดจะยินยอมโดยง่าย ไม่แปลกที่จะนึกฉงนสงสัย ประหลาดใจกับคำตอบ

พระเสาร์เป็นผู้ไม่ชอบความวุ่นวายจริง หากนั่นคือเมื่อก่อน เวลานี้ต่อให้ต้องพบเจอความวุ่นวายมากกว่านี้เป็นร้อยเท่า พันเท่า พระเสาร์ก็ยินดีถ้ามันยังรักษาลมหายใจของผู้อันเป็นที่รักเอาไว้ได้

สุดท้ายการวางแผนเพื่อรับมือจอมมารล้านภาค อดีตสมุทรเทพกนธีตลอดจนอสูรร้ายที่หลุดรอดก็เป็นอันเสร็จสิ้น ต่างคนต่างแยกย้ายกลับไปยังวิมาน ทว่าพระเสาร์ยังไม่ทันได้ขึ้นขี่พยัคฆ์ดำ พระอาทิตย์ก็เข้ามาขวางเอาไว้เสียก่อน

“พระอาทิตย์ ท่านมีอันใดถึงได้ยืนขวางข้า หากไม่ใช่ธุระสำคัญก็ค่อยพูดคุยกันในวันหน้า”

“ข้าจะมาพูดเรื่องรพีพงศ์ที่ได้กระทำผิดหยามเกียรติของวงศาท่าน ตลอดจนจิตใจของนาคินทร์”

“ข้าก็คิดว่าเรื่องใด หากเป็นเรื่องบุตรชายของท่านปันใจให้หญิงอื่น ข้าไม่อยากจะฟังสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะข้ามิอาจรู้ว่าจะห้ามไม่ให้ตนโกรธเคือง พลั้งมือ พลั้งเท้า ทำร้ายรพีพงศ์หรือทำลายแดนสุริยาให้ย่อยยับได้นานเพียงใด” พระเสาร์เอ่ย ก่อนจะเบี่ยงกายเดินไปยังสัตว์พาหนะของตนแล้วเหาะกลับวิมานไป โดยดวงตาสีเม็ดมะปรางมองตรงไปข้างหน้าไม่คิดจะเหลือบแลสุริยเทพที่มาขอเจรจาแม้แต่น้อย

เป็นดั่งที่พระเสาร์ได้กล่าวไว้ ตนมิอาจล่วงรู้อนาคตได้เลยว่าจะสามารถทนเห็น ทนฟังเสียงเล่าลือที่แพร่สะพัดไปทั่วสุราลัยมีทั้งเป็นจริง เป็นเท็จ ปะปนผสมจนไม่อาจแยกแยะได้ ยิ่งไปกว่านั้นกลายเป็นข่าวลือใหม่ไม่ซ้ำในแต่ละวัน มีทั้งนึกสงสารนาคินทร์บุตรแห่งตน มีทั้งสมน้ำหน้าสะใจที่บุรุษอย่างนาคินทร์ถูกทอดทิ้งเพราะมิอาจมีบุตรสืบสันติวงค์ได้ คราที่ได้ยินพระเสาร์อยากจะเข้าไปแหกอกคนที่พ่นวาจาเลวทรามออกมาไม่ต่างปล่อยสิ่งปฏิกูลออกจากปาก แต่ก็คิดได้ว่าคนที่สมควรถูกแหกอกมากที่สุดหาใช่ใครอื่นนอกจากจะเป็น…รพีพงศ์

ทว่าพระเสาร์ต้องอดทนไม่ให้กระทำในสิ่งที่คิดเพราะคำขอร้องที่มาพร้อมกับน้ำตาของนาคินทร์

*****

เวลาล่วงเลยไปหลายวันนับตั้งแต่คุกกาลเวลาถูกทำลาย เหล่าทวยเทพบนสวรรค์ ไม่เว้นแม้แต่คนธรรพ์ ครุฑ นาค ยักษาตลอดจนสรรพสิ่งในป่าหิมพานต์ ต่างก็ร่วมมือกันคอยสอดส่องดูแลตามความสามารถในอาณาเขตถิ่นอาศัยของตน หากมีสิ่งผิดปกติก็จะรายงานแก่เทพนภนต์ให้ทราบโดยทันที

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอสูรสักตัวปรากฏกายหรือออกมาสร้างความเดือดร้อนวุ่นวาย ยิ่งเบาะแสของมารพศินกับกนธีก็ไร้วี่แววว่าจะตามตัวเจอ หนึ่งคือเทพผู้มากฤทธาแสนเจ้าเล่ห์ หนึ่งคือจอมมารผู้เคยทำลายสวรรค์จนแทบไม่เหลือ เทวดา เยาวมาลย์งามบนชั้นฟ้าพอไก้รับรู้ถึงเหตุการณ์ต่างก็ไม่จะย่างก้าวจากวิมานหากไม่จำเป็น

เว้นแต่เทพพิจิกดาราหรืออินทุนิลที่ใช้โอกาสนี้ออกจากวิมานเดินลงไปยังวิหารร้างนอกรีต ณ เขาจิตตะ เพื่อทำการรักษาร่องรอยคำสาปตรงบ่า

“มุตตาเจ้ามันหาใช่นาคแต่เป็นมาร!!! มารหัวใจของข้า!!!” ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำใดมาด่าว่าผู้ที่ตายไปแล้ว หากย้อนเวลากลับไปได้อินทุนิลใคร่อยากเอามีดแล่เนื้อเถือกระดูกโยนทิ้งให้แร้งกินมากกว่าปล่อยร่างของมุตตาสลายกลายเป็นสายน้ำดั่งที่ได้กระทำไว้

นับว่าวิธีการฆ่ามุตตาในครั้งนั้นอินทุนิลใจดีมากไป เมื่อเทียบกับสิ่งที่มุตตาทิ้งความเจ็บด้วยรอยคำสาปที่เกล็ดนาคสีดำทมิฬซึ่งนับวันยิ่งลุกลามไปยังต้นแขนและเพิ่มความปวดแสบปวดร้อนดังไฟเผาด้วยพิษที่ออกฤทธิ์ทุกครั้งยามเกล็ดนาคขึ้นมาเหนือฉวีวรรณ อินทุนิลทำได้เพียงใช้พลังพิษแมงป่องคอยต้าน แม้จะด้อยกว่าพิษนาคแต่ก็พอบรรเทาอาการให้ทุเลาลงได้

หากสิ่งที่อินทุนิลปรารถนาคือถอนคำสาปให้พ้นตัวก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้และเปิดเผยความจริงในเหตุการณ์สังหารชายาของพระเสาร์ตลอดไปถึงการทำร้ายพระพุธอีกด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่อินทุนิลมายังวิหารร้างในยามวิกาล ส่วนอีกเหตุผลนั่นคือดำเนินแผนทำลายความรักของนาคินทร์

“มันจะต้องมีวิธี…วิธีที่ถอนคำสาปนี้…อึก” มือที่กำลังเปิดตำราต้องหยุดกึกแล้วชักกลับขึ้นมากุมแขนเอาไว้มั่น อินทุนิลกัดฟันสะกดกลั้นเสียงร้องของตนขณะที่เกล็ดนาคกำลังเพิ่มจำนวนอีกครา

“อดทนไว้อินทุนิล…อดทนไว้…อ๊าก!!!” แม้ปากจะท่องสะกดจิตสะกดใจเอาไว้แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทนได้ เสียงกรีดร้องทรมานดังก้องไปทั่ววิหาร ร่างอรชรซวนเซชนเข้ากับชั้นวางตำราจนตกลงเกลื่อนพื้น ในความโชคร้ายที่ถูกคำสาปเล่นงามกลับทำให้อินทุนิลเจอความโชคดีเมื่อมีตำราเล่มหนึ่งเปิดอ้าเผยให้เห็นวิธีแก้คำสาป

อินทุนิลยอบกายลงนั่งหยิบเอาตำราเล่มนั้นขึ้นมา ในที่สุดอินทุนิลก็ค้นพบวิธีถอนคำสาป ดวงตากลมสวยอ่านอักษรที่เขียนอยู่ภายในโดยละเอียดจนถึงอักษรสุดท้าย ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวกับว่าไม่เคยร้องออกมาก่อนหน้านี้

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เลือด…ขอเพียงข้าได้เลือดของเจ้ามาอาบรอยคำสาปเท่านั้น นาคินทร์”







................

หายไปนาน ตอนนี้กลับมาแล้วเรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป มาม่าทร่ขึ้นอืดกำลังจะถูกกินหมดหม้อแล้วค่ะทุกคน เย้!!! เราต้องฉลอง



นอกจากจากฉลองที่มาม่าจะหมดยุ่งก็ขอเปิดงานคืนสู่เหย้าให้กับตัวร้ายแสนรักของท่านยุ่ง กนธี!! นั่นเอง ที่รักกบับมาแล้ว 555 ป๋ากนธีมาแล้ว 5555



ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตาม คอมเม้น ยังเข้ามาอ่านนิยายของท่านยุ่งนะคะ ดีใจที่ยังเคียงข้าง



ป.ล. ทุกตอนที่เขียนมายังไม่ตรวจคำผิดวันนี้ย้อนอ่าน อายจังนิ้วเบียดพิมพ์ผิดไปหลายคำ



ป.ล. 2 นิยายของท่านยุ่งพิมพ์กับมือถือค่ะดังนั้นจะเจอความนิ้วเบียดบ่อย ขออภัยนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.25-40% P.4 (05/09/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 05-09-2020 20:26:18
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

File : 25

Author : Tan -Yung 0209

แม้นว่าเหตุการณ์ที่คุกกาลเวลาถูกทำลายจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้จะสร้างความอกสั่นขวัญผวาให้กับเทวัญตลอดนางอัปสร หรือแม้แต่สรรพสิ่งสัตว์เทวะเองยังกริ่งกลัว ไม่รู้ว่าอสูรร้ายที่หนีออกมาได้จะเข้ามาเฉือนเนื้อ ปลิดวิญญาณตนในเวลาไหน ทว่าวิมานเพลิงของสุริยเทพกลับตระเตรียมงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ประดับด้วยผ้าสีผืนบางทำเป็นม่านและช่อผกาประดับอยู่ตามเสา บ่งบอกว่าจะมีงานมงคลในเร็ววัน

“ท่านพี่นภนต์ หากเพลานี้น้องมิได้อยู่เฝ้ารักษามหาสมุทรน้องคงจะไปไถ่ถามรพีพงศ์ให้รู้แจ้งแจ่มชัดว่าเหตุใดถึงได้ใจร้ายไส้ระกำเยี่ยงนี้ ตบแต่งนาคินทร์สหายของน้องได้ไม่ทันไร ไหนเล่าจะมีเหตุการณ์คุกกาลเวลาถูกทำลาย ไยมีกะจิตกะใจจัดงานสถาปนานางอัปสรผู้นั้นมาเป็นชายาอีกคน” ชลันธรเอื้อนเอ่ยออกมายาวเหยียดผิดวิสัย ทั้งหน้าตางามหมดจดง้ำงอไม่พอใจเมื่อได้รับสาสน์เชื้อเชิญให้ร่วมเป็นสักขีพยานความรักในครั้งนี้

“ชลันธรเมียพี่…น้องอย่าได้โมโหเลย ประเดี๋ยวกระแสสินธุ์หมุนเกลียวกลายเป็นคลื่นยักษ์จะทำให้มวลมัจฉาแลสรรพสิ่งใต้ผืนน้ำจะเกิดอันตราย เดือดร้อนก็เป็นได้” นภนต์เข้ามาประทับนั่งเคียงข้างยังแท่นรัตนาสีคราม แขนแกร่งก็โอบไปด้านหลังแล้วเกี่ยวกอดเอวบางไว้

“จะไม่ให้น้องโมโหอย่างไรเล่า ท่านพี่นภนต์ลองคิดดูเถิดยามนี้นาคินทร์ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ทั้งสูญเสียมารดา ทั้งสูญเสียคนรักให้ผู้อื่นเข้ามาแย่งชิง หากเป็นน้อง…น้องคงจะขาดใจเป็นแน่” พระสมุทรคนงามเอ่ยออกมา น้ำเสียงหวานติดเศร้าสร้อยทำให้คู่ชีวีตอดไม่ได้ที่จะปลอบประโลม ฝ่ามืออุ่นที่ไม่เคยปล่อยทำหน้าที่ดันศีรษะชลันธรเข้ามาแอบอิงแผ่นอกของตนช้า ๆ

“พี่จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้กับเจ้าแน่ เราสองต่างเคยทรมานกับพิษรัก ต่างเคยจากลากันคนละภพภูมิ ครานี้เจ้ามาอยู่เคียงข้างพี่ มีหรือพี่จะยอมสูญเสียเจ้า” นภนต์เอ่ยก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปที่ขมับ คนในอ้อมแขนช้อนตามองแล้วประทับริมฝีปากยังแผ่นอกของคนรักบ้าง ซึ่งเรียกรอยยิ้มให้กับนภนต์ได้เป็นอย่างดี

“ท่านพี่จะไม่มีใครนอกจากน้องใช่หรือไม่” น้ำเสียงอู้อี้เปล่งออกมาลอยเข้าโสตประสาท เทพนภนต์ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะให้คำมั่นกับยอดดวงหฤทัย

“พี่จะมีเจ้าผู้ดียว จะไม่ปันใจให้ผู้ใด”

“ข้าเองก็เช่นกัน”

แม้ความรักของเทพแห่งท้องนภาจะทำให้เทพแห่งท้องสมุทรเย็นลงได้ หากก็ไม่อาจบรรเทาความเป็นห่วงเป็นใยที่ชลันธรมีแก่สหายลงไปได้ ยามดวงตะวันฉายแสงบ่งบอกรุ่งอรุณในวันใหม่ ชลันธรได้มอบหมายหน้าที่แด่เหล่าขุนพล กองทหารให้รักษามหาสมุทรเอาไว้ให้ดี พร้อมสำทับมนตราเป็นม่านเกราะป้องกันพระปิตุลาอย่างกนธีมารุกล้ำ ก่อนตนนั้นจะเหาะเหินไปกับนภนต์สู่วิมานของพระเสาร์

“ท่านนาคินทร์เจ้าคะ”

“มีอันใดหรือบงกชแก้วหรือท่านอาพุธ…” นาคินทร์เอ่ยถามนางกำนัลที่ลุกลี้ลุกลนเข้ามาหา ขณะที่ตนกำลังจัดดอกไม้ลงแจกัน ใจดวงน้อยวูบไหวกลัวว่าเกิดสิ่งใดกับองค์เทพคนสำคัญ

“หาได้เกิดสิ่งใดกับพระพุธเจ้า เพียงแต่…”

“เพียงแต่ข้าและท่านพี่มาเยี่ยมเยือนเจ้าต่างหากเล่านาคินทร์” ชลันธันเอ่ยแทรกขึ้นมา โดยที่เท้าทั้งสองขยับเดินข้ามธรณีประตู

“ลัน…ท่านนภนต์” นาคินทร์คลี่ยิ้มออกมาด้วยความยินดีพลอยให้นางอัปสรผู้รับใช้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง นานเพียงใดแล้วที่พวกนางไม่ได้ยลพักตรางามที่ยิ้มแย้มด้วยความสุข

จากนั้นสองร่างอรชรวิ่งเข้าโดยพลัน ต่างฝ่ายต่างโอบกอดแน่นให้สมกับความคิดถึง ด้วยภาระหน้าทำให้การพบเจอกันไม่ได้เป็นไปได้ดั่งใจหวัง

“บงกชแก้วเจ้าออกไปก่อนเถิด หากมีสิ่งใดข้าจะเรียกใช้เจ้า” นาคินทร์ผละกอดสหายรักแล้วเอ่ยกับนางอัปสรในห้อง เพราะในใจคิดว่าการที่ชลันธรละทิ้งมหาสมุทรมาหาตนในครานี้คงไม่ใช่เพียงพบปะพูดคุยเรื่องทั่วไปเป็นแน่

“เจ้าค่ะ” บงกชแก้วรับคำสั่งแล้วปลีกตัวออกไป

“เชิญท่านนภนต์กับลันนั่งลงก่อนเถิด การที่ท่านทั้งสองมาถึงวิมานของข้าในยามที่สวรรค์ตลอดจนพิภพบาดาลมีเหตุเดือดร้อนเช่นนี้ เห็นทีต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่แท้” นาคินทร์เชื้อเชิญสองเทพผู้ยิ่งใหญ่

“เป็นดั่งที่คินทร์ว่าไว้ ความห่วงใยที่เรานี้มีต่อคินทร์ย่อมสำคัญ”

“เอ่ยเช่นนี้ประเดี๋ยวท่านนภนต์จะหึงหวงเรากับลันเสียจนได้”

“หากเป็นเจ้ากับชลันธรข้านี้มิคิดอันใด” นภนต์เอ่ยขึ้น ดวงตามองวิฬารน้อยข้างกายสลับกับนาคินทร์ มองเช่นไรก็มิอาจคิดทั้งสองในสัมพันธ์ลึกซึ้งได้

“เช่นนี้ก็ดียิ่ง ราตรีนี้น้องขอนอนกอดนาคินทร์ให้หายคิดถึง ส่วนท่านพี่เองช่วยลงไปดูแลมหาสมุทรแทนน้อง” ชลันธรเอ่ย ทำเอาผู้เป็นสวามีอยากจะโอดครวญที่ข้างกายไร้คนรักไว้กกกอด

“หากเป็นความต้องการของน้อง ตัวพี่ย่อมไม่ขัด อย่างไรเสียอย่าชวนกันเล่นซุกซนก็เป็นพอ เพลานี้พี่ไม่อยากให้เจ้าและนาคินทร์ต้องพบเจออันตราย”

“ท่านนภนต์ ข้าขอขอบน้ำใจท่านมากที่นึกห่วง ข้าเองไม่ได้ออกไปไหนดอก เกรงว่าลันจะมาอยู่กับข้าแล้วเบื่อหน่ายไปเสียด้วยซ้ำ”

“ดีแล้ว ยามนี้อย่าได้ออกไปที่ใด” นภนต์เห็นด้วย ส่วนหนึ่งที่รพีพงศ์ยินยอมให้ชลันธรมาอยู่วิมานหงสบาทเพราะความปลอดภัย หากกนธีบุกมาแก้แค้นชิงบัลลังก์มุกสีคราม

“เว้นแต่งานฉลองแต่งตั้งชวารีเป็นชายาอีกคนของท่านพี่รพีพงศ์ที่จะขึ้นในเร็ววัน” นาคินทร์เอ่ยออกมาใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมาแฝงไปด้วยความเศร้า

‘ปัง!’

“คินทร์…หากเจ้าเจ็บปวดใจก็มิต้องไป งานแต่งตั้งชายากระนั้นหรือ ฮึ!!! งานประกาศความเจ้าชู้ล่ะสิไม่ว่า” ชลันธรกำหมัดแน่นทุบลงแท่นแก้วที่ประทับจนเกิดเสียง

“มันเป็นความสุขของท่านพี่ ข้าผู้เป็นชายาย่อมยินดี…ลัน”

“โง่!!! โง่เสียเหลือเกิน นาคินทร์ คิดจะทำตัวเป็นพ่อพระ แม่พระแล้วอย่างไรเล่า มีความสุขบ้างหรือไม่ หาใช่ว่าน้ำตาตกในไม่รู้กี่หยาดหยด ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อินทุนิลระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากมองภาพความเคลื่อนไหวของนาคินทร์ในลูกแก้วมายาผ่านนกอินทรีเวทย์ที่บินวนโฉบไปมาเหนือวิมานของพระเสาร์ นอกจากจะหัวเราะให้ความเขลาของนาคินทร์แล้ว อินทุนิลก็ได้รับข่าวดียิ่ง นั่นคือ วันที่นาคินทร์ย่างเท้าออกจากวิมาน

ทว่าเสียงหัวเราะก็เงียบหายไป เมื่อนาคินทร์เชิญชวนชลันธรและนภนต์เข้าไปในห้องของพระเสาร์เพื่อเยี่ยมพระพุธ ณ ห้องแห่งนี้นับว่าเป็นส่วนเดียวของวิมานที่อินทุนิลไม่อาจแลเห็นได้ เนื่องจากว่าพระเสาร์ได้ลงอาคมหนาแน่นหลังจากคราวก่อนพระพุธกระอักเลือดออกมา

“ไม่ได้เห็นก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียในอีกไม่กี่วัน ข้าก็จะได้เห็นน้ำตาของเจ้า รวมไปถึงได้กรีดเลือดของเจ้ามาล้างคำสาปชั่วช้าที่มุตตาแม่ของเจ้าทิ้งไว้กับข้า!!!”





............. จัดไปก่อน 40% นะคะ หลังจากนี้รับรองว่าจะได้กรีดร้องเล็กน้อย......
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.25-40% P.4 (05/09/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-09-2020 22:54:34
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.25-40% P.4 (05/09/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 08-09-2020 08:52:43
รอๆ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.25-100% P.5 (12/09/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 12-09-2020 22:25:17
.. (ต่อ) ..60% ที่เหลือ

สุริยันจันทราหมุนเวียนสลับกันขึ้นสู่ท้องนภาเปลี่ยนวันเวลาจนกระทั่งถึงวันที่วิหารดารานพเคราะห์สว่างไสวด้วยเปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ ประดับประดาด้วยเถาวัลย์พรรณไม้สอดแซมด้วยช่อผกาหลากสี บ่งบอกชัดเจนว่ามีงานเฉลิมฉลอง ทว่างานฉลองมงคลนี้กลับได้ยินเสียงติฉินนินทามากกว่าคำอวยพร

“ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดรัชทายาทแห่งอาทิตยวงศ์ถึงได้เร่งแต่งตั้งชายาอีกคน นคกแล้วสงสารชายานาคินทร์ผู้นั้นเสียจริง เสียทั้งมารดาแล้วยังต้องปันคนรักให้ผู้อื่นอีก”

“นั่นสิ ข้าเองก็นึกสงสัยว่าเหตุใดถึงเร่งนัก ทั้งในเพลานี้เราควรจะระแวดระวังจอมมารล้านภาค อดีตพระสมุทรกนธี รวมถึงอสูรที่หนีออกจากคุกกาลเวลาเสียมากกว่า”

“หรือว่าชวารีผู้นี้ตั้งครรภ์เสียแล้ว หากไม่รีบแต่งตั้งจะต้องตกเป็นหัวข้อสนทนาของสามโลกไปอีกนาน”

“ท่านพี่…น้องไม่คิดจะทนแล้ว เหล่าเทพา-เทพี ต่างจับกลุ่มนินทาทั้งที่อยู่ในงาน” ชลันธรที่นั่งอยู่บนตั่งเคียงข้างนภนต์เอ่ยขึ้น

“ใจเย็นก่อนเถิดชลันธร ไยวันนี้เจ้าใจร้อนยิ่งนัก” นภนต์ลูบแผ่นหลังให้ชลันธรเพื่อคลายอารมณ์โกรธาที่พยายามข่มเอาไว้

“หากเป็นเรื่องผู้อื่นน้องย่อมไม่ใส่ใจแต่นี่เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับนาคินทร์ผู้เป็นสหายน้อง” ชลันธรบอกกับนภนต์ ดวงตาเรียวสวยแสดงออกถึงความไม่พอใจ

“พี่เข้าใจเจ้าดี ทว่าเทพเหล่านี้หาได้รู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบางเฉกเช่นพวกเรา อีกอย่างเหตุใดถึงไม่ได้มาพร้อมน้องเล่า ชลันธร”

“นาคินทร์บอกว่าขอเวลาทำใจชั่วครู่ ประเดี๋ยวจะตามมาก่อนเริ่มพิธี” ชลันธรตอบ

ทุกน้ำคำที่เทพมหาสมุทรและเทพนภาสนทนากันล้วนเข้าสู่โสตประสาทของอินทุนิลที่นั่งเยื้องไปทางด้านหลัง กระนั้นแม้จะนั่งห่างเพียงใดทุกถ้อยคำล้วนชัดเจน

‘ทำใจข้าไม่ว่าแต่อย่าได้ตรอมใจไปเสียก่อน ข้าอยากเห็นน้ำตาของเจ้านาคินทร์’

อินทุนิลคิดในใจ ก่อนจะถูกปลุกจากความคิดด้วยเสียงดนตรีตามด้วยเสียงประกาศก้องของทวารบาลถึงการมาของพระผู้สร้าง ซึ่งข้างกายของพระองค์มีบุษยะคอยเคียงข้าง ถัดไปด้านหลังก็เป็นรพีพงศ์ต้นเรื่องของทั้งหมด

เมื่อถึงแท่นประจำตำแหน่งมหาเทพก็ประทับนั่งเช่นเดียวกับรพีพงศ์และบุษยะ ส่วนเทพองค์อื่นต่างแสดงความเคารพผู้เป็นใหญ่ พระหัตถ์ใหญ่ยกขึ้นมาเชิงให้ทุกคนตามสบายเนื่องจากเห็นว่าผู้ร่วมพิธียังไม่ครบ กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าจะพูดคุยเอื้อนเอ่ยนินทาเฉกเช่นเวลาก่อนหน้านี้

เหตุที่ยังไม่เริ่มพิธีก็เป็นเพราะยังขาดบุคคลสำคัญในพิธี ทำให้ไม่อาจปล่อยตัวว่าที่ชายาที่ยังรอในห้องหับซึ่งอยู่ถัดไปให้เข้ารับพิธีแต่งตั้งได้ ด้วยพิธีแต่งตั้งชายาคนรองจะต้องได้รับการยินยอมจากชายาเอกโดยการที่ชายาเอกจะแต้มสีชาดลงบนหน้าผากของชายารองต่อหน้าสักขีพยาน

…’ หากเวลานี้นาคินทร์กลับไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่เงา’ …

เวลาเดินหน้าไม่ถอยหลังใกล้เข้าสู่ฤกษ์งามที่วางไว้ ผู้ร่วมพิธีและสักขีพยานต่างร้อนใจ โดยเฉพาะรพีพงศ์และชวารีที่รออยู่ในห้อง บรรยากาศในคราแรกที่เงียบสงบก็ได้แปรเปลี่ยน เริ่มมีเสียงกระซิบกระซาบ

“ใกล้ถึงฤกษ์เข้าไปเสียทุกที เหตุใดนาคินทร์ถึงยังไม่มาหรือว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเสียระหว่างทาง”

“นั่นสิ นอกเสียว่าจงใจมาสายเพื่อทำลายฤกษ์เพราะบุตรแห่งพระเสาร์คงจะไม่พอใจที่สวามีมีชายาอีกคน”

“หากคิดว่าพูดพร่ามออกมาแล้วหาใช่เรื่องจริง จงหุบปากเสีย กล่าวเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าใส่ร้ายบุตรข้าหรือ” พระเสาร์เอ่ยขึ้น ทำให้เสียงซุบซิบ รวมไปถึงผู้ที่กำลังจะเอ่ยออกมารีบกลืนเสียงคืนลงคอ

“ใช่ กล่าวออกมาเช่นนี้ ข้าคือผู้เสียหาย” น้ำเสียงหวานลอยตามลมให้ได้ยินกันทั่วโถง ร่างอรชรเยื่องย่างเข้ามาสายตาดุจบิดากวาดมองเทวดา นางอัปสรที่พากันเปล่งวาจาเรื้องของตนออกมา ก่อนจะหยุดทำความเคารพพระผู้สร้างและเดินไปนั่งยังตั่งรัตนาประจำตำแหน่งของตน ซึ่งเป็นตั่งเดียวกับรพีพงศ์ยอดดอวงหฤทัยที่เพลานี้ไม่แม้จะชายตามองมายังตนด้วยซ้ำ

“ในเมื่อมาครบแล้ว เป็นอันว่าเริ่มพิธีแต่งตั้งเทพีชวารีเป็นชายาของเทพรพีพงศ์ได้” พระผู้สร้างเอ่ยขึ้น เสียงเครื่องดนตรีเป็นทำนองตามการบรรเลงเปิดตัวชวารีให้เข้าสู่พิธีการ ในมือสวยถือพานทองรองรับพุ่มดอกไม้กลิ่นหอมเดินไปด้านหน้า

วงหน้างามพิลาสมองแล้วดูเย็นตา ริมฝีปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มหวานแสดงออกถึงความสุขีที่ไม่อาจเก็บซ่อนไว้ในอุราได้ เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าของมหาเทพชวารีก็ยอบกายลงวางพานพุ่มไว้ข้างกายแล้วก้มลงกราบ จากนั้นจึ้งหยิบพานพุ่มเดินเข่าเข้าหารพีพงศ์และนาคินทร์

พิธีการแต่งตั้งชายารองแตกต่างจากพิธีวิวาหะและแต่งตั้งนาคินทร์เป็นชายาเป็นอย่างมาก ในครานี้ผู้ที่จะเป็นชายารองจะต้องก้มลงกราบแทบบาทของรพีพงศ์เพื่อมอบพานพุ่ม เมื่อถูกรับไปแล้วชวารีจะต้องก้มลงกราบชายาเอกและทำการเจิมหน้าผากด้วยชาดสีแดงเป็นการสื่อว่าได้รับการยอมรับ

ขณะที่ชวารีเงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาคมสวยของนาคินทร์ที่มองตนไม่วางตา นางสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่แผ่ออกมารอบกายบางนี้ นาคินทร์คงไม่ยินยอมที่จะทำตนนั้นก็เข้าใจ ใครบ้างเล่าที่จะมีสุข จะยิ้มรับผู้ที่เข้ามาแย่งชิงคนรัก ไม่มีใครยินดี…ชวารีรู้ดีแต่นางจำเป็นต้องทำ

ปลายนิ้วของนาคินทร์ยื่นออกไปจับยังปลายคางของชวารีให้เชิดขึ้น สักขีพยานทั้งหลายที่จ้องมองต่างลอบกลืนน้ำลายให้พิธีการนี้สำเร็จลุล่วงก่อนวิวาห์จะกลายเป็นวิวาทเสีย ทว่านาคินทร์กลับปล่อยคางของชวารีและยืนขึ้นสร้างความงวยงงแก่ชาวสวรรค์ทั้งหลาย

“ไม่ใช่…ไม่ใช่” นาคินทร์เอ่ยขึ้น

“นาคินทร์ เหตุใดเจ้ากล่าเช่นนี้เล่า ผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือชวารีไม่ผิดแน่” บุตรแห่งพระอังคารเอ่ยขึ้น ยืนยันว่าสหายร่วมชั้นที่เล่าเรียนศึกษาเป็นตัวจริง

“ใช่คนที่อยู่ตรงหน้าคือชวารีตัวจริง” นาคินทร์เอ่ยเสียงเรียบ

“แล้วไยเจ้ากล่าวว่าไม่ใช่ หรือว่าเสียใจจนเสียสติไปเสียแล้ว” ปัณฑารีย์เทวีเอ่ยถาม ทำให้ผู้ได้ฟังพยักหน้าเห็นดีเห็นงามไปด้วย

“ข้าหาได้เสียใจจนเสียสติไม่ ข้ารู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือชวารีแต่ที่ข้ากล่าวว่าไม่ใช่เป็นเพราะชวารีผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่สังหารมารดาและทำร้ายพระพุธจนบาดเจ็บสาหัส แต่เป็น…” นาคินทร์เอ่ยออกมายืดยาวก่อนจะเว้นวรรค สูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุด พยายามยิ่งที่จะสะกดกลั้นมวลความโกรธมหาศาลไม่ให้พรั่งพรูออกมาดั่งหินหลอมเหลวที่พุ่งออกมาจากพื้นพิภพ หากเวลานี้จำเป็นต้องเอ่ยออกไป

“เทพอินทุนิล เทพใจมารที่สังหารมารดาข้า!!!” นาคินทร์ตวาดกร้าวดังลั่นวิหาร ดวงตามองไปยังผู้ที่ตนเอ่ยนามด้วยความพยาบาทเคืองแค้นเป็นอย่าง ในวันที่ตนได้รับรู้ว่าเป็นใคร นาคินทร์แทบอยากจะบุกไปยังวิมานของอินทุนิลแล้วบั่นคอนำเลือดชั่ว ๆ นั้นมาสังเวยให้กับมารดาผู้ล่วงลับของตน

“ทุกคนฟังข้า!! ข้าหาได้เป็นอย่างที่นาคินทร์เอ่ย นาคินทร์อารู้ว่าเจ้าเสียใจที่มารดาสูญเสีย อีกทั้งรพีพงศ์สวามีของเจ้าได้ปันรักให้กับชวารี เจ้าจึงได้สติวิปลาศแต่มิใช่ว่าเจ้าจะกล่าวหากับข้าเช่นนี้ได้”

“ข้ายอมรับว่าเหตุการณ์ในชีวิตข้าล้วนหนักหนาพาลให้จิตใจชอกช้ำแต่นั่นก็หาทำให้ข้าฟั่นเฟือนวิปลาศไม่ ข้ายังคงมีสติไตร่ตรอง ทั้งยังมีปัญญาตาสว่างไม่ถูกมารยาของของคนชั่วเช่นเจ้าลวงหลอก” นาคินทร์โต้ตอบกลับไป ขณะเดียวกันก็ก้าวเท้าเข้าหาอินทุนิลที่ยังคงเล่นละครแสร้งทำเป็นเหยื่อหลอกเทพองค์อื่นและหลอกตัวเองว่าอย่างไรเสียนาคินทร์ไม่มีทางตามทันตนได้

“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าอย่ามากล่าวหาข้า ข้ามิรู้ว่าเจ้าเอาความคิดนี้มาจากไหนแต่เจ้าก็น่าจะรู้ดังที่เทพยดานางรัมพาบนไตรภพนี้ ว่าตัวข้าไร้ความสามารถ ฤทธิ์เดชมนตราก็ด้อยยิ่งเสียกว่าใคร จะเอาสิ่งใดไปสังหารมารดาเจ้าและทำร้ายพระพุธผู้ไร้พ่ายได้” อินทุนิลแก้ตัวจากการนำความอ่อนแอที่ถูกดูถูกดูแคลนมาใช้ แลจะได้ผลเสียด้วยเพราะเหล่าเทวดาต่างก็กระซิบกระซาบมองมายังนาคินทร์อย่างไม่พอใจนัก

“นาคินทร์ใจเย็นลงเถิด บัดนี้เจ้าอยู่หน้าพระพักตร์ของพระผู้สร้างจะมาทำกริยาเช่นนี้มันไม่สมควร” รัชทายาทของพระอังคารเอ่ยขึ้น นึกปรามให้เทวากึ่งนาคลดโทสะลง

“พระผู้สร้างกพะยะค่ะ กระหม่อมต้องขออภัยพระองค์ หากกระหม่อมต้องทำเพื่อกระชากหน้ากากของเทพผู้นี้” นาคินทร์ผินหน้าไปยังผู้ประทับยังแท่นเหนือเหม

“แล้วเจ้ามีหลักฐานหรือไม่เล่านาคินทร์ หากเจ้าไร้หลักฐาน ไม่เท่ากับว่าเจ้าทำลายพิธีมงคลของสวามีเจ้า ตลอดจนใส่ร้ายเทพอินทุนิลดอกหรือ” พระผู้สร้างเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้แสดงท่าทีว่าไม่พอใจ นาคินทร์คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะเข้าใจในสิ่งที่พระผู้สร้างนั้นกำลังสื่อออกมา

“พระองค์มิต้องห่วงพะยะค่ะว่ากระหม่อมนี้จะเอื้อนเอ่ยออกมาโดยไร้หลักฐาน” นาคินทร์เอ่ยออกมาก่อนที่จะ…

‘แคว่ก’

มือข้างหนึ่งรวบข้อมืออินทุนิลไว้มั่น ส่วนมืออีกข้างนั้นก็ทำการกระชากอาภรณ์เนื้อดีของอินทุนิลออกเล็กน้อยแต่ก็มากพอที่จะให้ทุกคนได้ประจักษ์กับเกล็ดนาคาสีรัติกาลตามลาดไหล่และลุกลามไปด้านหลัง อินทุนิลพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นทว่ากลับถูกทหารจากทัพหลวงที่ปลอมตัวมาร่วมพิธีนั่งรายล้อมตนและหันคมพระขรรค์เข้าใส่ตนเสียแล้ว อินทุนิลตื่นตระหนกตกใจมิใช่น้อย ไม่คิดว่าตนจะเสียทีเข้าจนได้

‘นี่มันอะไรกัน…เหตุใดถึง…’

“หลักฐานที่ข้าว่านั้นก็คือคำสาปที่ท่านแม่ข้าเป็นผู้ทำและจะแก้คำสาปได้จำต้องใช้เลือดของข้า” นาคินทร์เอ่ย นิ้วเรียวยกขึ้นมาเสมอริมฝีปาก จากนั้นจึงใช้ฟันซี่คมกัดเข้าที่นิ้วให้หยาดโลหิตได้พอหยดลงไปยังส่วนที่ต้องสาป พลันเกล็ดที่ถูกหยดเลือดของนาคินทร์ก็หายไป

“แล้วอย่างไร ในเมื่อเจ้ารู้แล้วข้าเองไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นคนอ่อนแออีกต่อไป” อินทุนิลผลักนาคินทร์ให้ล้มลง ก่อนจะเริ่มขยับปากร่ายคาถาหายตัว ทว่ากลับช้าไปกว่าบ่วงอัคคีผูกมัดรัดตัวเอาไว้แน่นและผู้ที่ขว้างบ่วงนี้ก็หาใช่ใครอื่น

“ท่านอาอินทุนิล หากท่านหนีไปเสียตอนนี้ ท่านจะไม่มีทางรู้ว่านาคินทร์เมียรักของข้าล่วงรู้ได้อย่างไร” รพีพงศ์ลุกขึ้นจากแท่น มือหนานั้นรั้งสายบ่วงกระชากให้ร่างของอินทุนิลให้นั่งลงคุกเข่ายังทางลาดพระบาท ก่อนที่ตนนั้นจะเดินเข้าไปจูงมือของนาคินทร์ให้มายืนเคียงข้างอย่างทะนุถนอม

“ท่านอาอินทุนิล ไม่สิ…คนใจมารเช่นเจ้าพร้อมที่จะฟังข้าหรือยัง”





..............

มาแล้วในที่สุดก็ครบ 100% หวังว่าทุกคนจะรอคอยจะชอบตอนนี้กันนะคะ และตอนหน้าเราจะย้อนอดีตกันค่ะ เย้!!! มาอ่าน มารู้ไปพร้อมกันกับอินทุนิลนะคะ

ช่วงนี้ท่านยุ่งปั่นช้าเพราะยังมีงานประจำและปัญหาสุขภาพ ต้องขออภัยด้วยนะคะ 

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาอ่านมาเม้นค่ะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.25-100% P.5 (12/09/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-09-2020 22:51:58
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.25-100% P.5 (12/09/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-09-2020 18:47:57
มีความพลิกล็อค
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.26 P.5 (04/10/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 04-10-2020 22:59:25
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

File : 26

Author : Tan -Yung 0209



‘เพียงราตรีเดียวถึงอย่างผันแปร’



ประโยคนี้หาได้หมายถึงชะตารักของรพีพงศ์หรือนาคินทร์ หาใช่ชะตาชีวิตของชวารีและมารดา ทว่ามันกลับเป็นของอินทุนิลผู้ที่คิดผยอง นึกว่าตนเองนั้นเก่งกาจฉลาดเหนือใครจึงไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อยว่าวันที่ทุกอย่างถูกเปิดเผยจะเป็นวันที่ตนจะไม่มีแม้ที่จะทรงตัวยืนอยู่ได้



แม้เทพกาลจะไม่ได้ร่วมงานมงคลที่จัดเพื่อลวงหลอกนี้แต่นาคินทร์ก็ยินดีที่จะพาอินทุนิลย้อนวันวานด้วยวาจาของตนรวมไปถึงผู้สมรู้ร่วมคิดในเหตุการณ์ โดยจุดเริ่มต้นและความดีทั้งหลายทั้งมวลนี้ต้องยกให้กับชวารี นางสวรรค์ผู้ที่อินทุนิลใช้มาเป็นหมากเบี้ย



.



.



.



ค่ำคืนแห่งการทดสอบจิตใจ ชวารีเลือกความถูกต้องเหนือการครอบครอง ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องชวารีรักและเทิดทูนรพีพงศ์มากเกินกว่าจะทำร้ายได้ กลับกลายเป็นว่าแทนที่ตนจะเดินออกจากวิมานเพลิง ชวารรเลือกที่จะกำขวดยาสเน่ห์แล้วผลักบานประตูเข้าไปในห้องของรพีพงศ์โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากทหารยามหรือขออนุญาตเจ้าของห้อง



“ชวารี มีอันใดหรือ” รพีพงศ์ไตร่ถาม คิ้วสองขมวดเล็กน้อยด้วยความงุนงง



“ท่านรพีพงศ์…คือ…ข้า…” ชวารีเปล่งเสียงออกมาติดขัด หาใช่ว่าจะลังเลไม่กล้าบอก หากกลัวเหลือเกินว่าคนร้ายกาจกำลังจับตามองตน



“ว่าอย่างไรเล่า ชวารี” รพีพงศ์ถามอีกครั้ง ชวารีจึงสูดลมหายใจเข้าลึกที่สุดเท่าที่ทำได้ ก่อนจะกลั้นใจเดินเข้าประชิดตัวรพีพงศ์แล้วโน้มใบหน้าเข้าหา



“ชวารี เจ้าจะทำสิ่งใด” รพีพงศ์ผละตัวออกห่าง หากชวารีกลับกอดรพีพงศ์เอาไว้



“ท่านรพีพงศ์ขออภัยด้วย หากข้ามีเหตุจำเป็น ท่านโปรดร่ายมนตรารอบตำหนัก สร้างมายาหลอกคนจับผิดว่าท่านกับข้ากำลังพรอดรักกันเถิด” รพีพงศ์ได้ฟังก็นิ่งไป เมื่อสบตากับชวารีก็เห็นว่าแววตาของสหายจริงจังยิ่งนัก ทว่าก็แฝงไปด้วยความกังวลใจ



รพีพงศ์พยักหน้ารับ ชวารีจึงยิ้มออกมา ดีใจที่แผนสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง เมื่อรพีพงศ์ร่ายมนต์เสร็จสิ้น ชวารีก็หยิบคนโทใส่น้ำเกสรบุหงาเททิ้งยังกระถางต้นไม้



“ชวารี เหตุใดเจ้าถึงได้เทน้ำเกสรบุหงาทิ้งเสียเล่า” รพีพงศ์ถามไม่เข้าใจในสิ่งที่ชวารีกำลังทำ ทั้งที่เยาวมาลย์คนงามเป็นผู้ส่งมอบให้ตน ใยถึงเททิ้งลงได้



“ในน้ำนี้มียาเสน่ห์ปะปนอยู่” ชวารีสารภาพ



“ยาเสน่ห์…ชวารีเจ้าหมายความว่าอย่างไร!!!” รพีพงศ์ตกใจไม่ใช่น้อย



ชวารีจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้รพีพงศ์ สุริยบุตรได้สดับฟังก็กำหมัดสะกดกลั้นความรู้สึกขุ่นเคือง คนชั่วช้าที่กระทำเช่นนี้คงไม่แคล้วจะเป็นฆาตกรร้ายที่สังหารนางมุตตาและทำร้ายพระพุธจนเกือบจะก้าวข้าวสู่แดนแห่งมรณา



ทั้งที่ทำลายชีวิตกันถึงขนาดนี้มันยังคงจะตามจองล้าง จองผลาญบั่นทอนความสุขเพิ่มพูนความทุกข์อีก ถึงขนาดยืมมือชวารีสหายของตน ขู่บังคับเพียงต้องการจะไม่ให้คนรักพบพานความสุขสงบ



…‘ต้องโกรธแค้นกันถึงเพียงใด ถึงสามารถคิดแผนร้ายได้ถึงเพียงนี้’…



“ท่านรพีพงศ์แล้วเราจักทำสิ่งใดต่อไปหรือ” ชวารีเอ่ยถามรพีพงศ์ที่นิ่งเงียบไป



“ก่อนจะหลอกศัตรู เราจำต้องหลอกคนของเราก่อน”



“อย่างไรหรือ”



“ในเมื่อผู้ร้ายอยากให้ข้าตกบ่วงเสน่ห์นี้ข้าจะทำให้มันเห็น ขอเพียงเจ้าร่วมมือช่วยเหลือข้าได้หรือไม่ชวารี หากมันจะทำให้ชื่อของเจ้านั้นเสียเกียรติ”



“ข้ายินดีช่วยท่าน ขอเพียงท่านรับปากว่าจะช่วยเหลือท่านแม่ของข้า”



“ข้ารับปากว่ามารดาของเจ้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย”



ความต้องการ ความปรารถนาของทั้งสองต่างเป็นที่รับรู้ของกันและกัน นับตั้งแต่นิศากาลนั้นแผนการทุกอย่างก็ได้เริ่มขึ้น รพีพงศ์แสร้งเป็นลุ่มหลง แสดงอาการผิดแผกจากนิสัยเดิม ไหนจะเอ่ยวาจาเกี้ยวพาชวารีต่อหน้าบริวารเพื่อให้ทุกคนช่วยเดินหมากกระพือข่าวในสิ่งที่ตนกำลังทำให้นาคินทร์ได้รับรู้รวมไปถึงผู้ร้ายที่กำลังคิดว่าตนกำลังชักไยถูกเส้นอยู่เบื้องหลัง



เวลาผ่านไปไม่กี่วันสิ่งที่รพีพงศ์และชวารีได้กระทำก็สัมฤทธิ์ผล นาคินทร์เดินทางมายังแดนอาทิตยา ด้วยอารมณ์หึงหวงนาคินทร์กับชวารีจึงเกิดการปะทะฝีปาก ทำร้ายร่างกายกัน



“หยุด อย่าได้แตะต้องตัวชวารี” รพีพงศ์จับฝ่ามือที่เตรียมจะตบตีชวารีของนาคินทร์ก่อนจะผลักไสนาคินทร์ให้ออกห่าง จากนั้นรพีพงศ์ก็เข้าประคองชวารีให้ยืนขึ้น



วินาทีนั้นนาคินทร์ทั้งเสียใจ ทั้งโกรธจนตัวสั่น ทว่ายังพอมีสติรีบรู้ว่าชายคนรักได้แอบส่งกระดาษเข้ามาในมือยามที่ห้ามตนตบตีชวารี อีกทั้งเมื่อนาคินทร์สบตาของรพีพงศ์ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกผิด



นาคินทร์จึงรับรู้ว่าเหตุการณ์ในวันนี้ย่อมมีเบื้องลึก เบื้องหลังซึ่งตนมิอาจรู้ได้ ทำให้จำต้องถอยกลับไปวิมานไปด้วยความสับสน ความเศร้าโศก ทว่านาคินทร์ยังมีความเชื่อว่าตนกับรพีพงศ์ยังสามรถกลับมาครองรักกันได้



…‘แต่…รพีพงศ์มิอาจกลับมารักกับนาคินทร์ได้ตามความคิด’…



…‘เพราะ…รพีพงศ์ไม่เคยไม่รักนาคินทร์ ไม่เคยทอดทิ้งนาคินทร์เลยต่างหากเล่า’…



นัยน์ตาสีม่วงอ่านทุกตัวอักษรที่รพีพงศ์ขีดเขียนเรียบเรียงหา เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีปิดบัง รพีพงศ์ยังคงปกป้อง นาคินทร์สะอื้นไห้ทั้งซาบซึ้งยินดีที่รพีพงศ์มิได้ปันใจให้ใครอื่น ทั้งกังวลใจที่ชวารีต้องถึงลากเข้ามาในเส้นเรื่องอันคนระยำตำบอนคอยดำเนินเรื่อง



“ข้าขอสาบาน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าจะสังหารเจ้าด้วยมือของเจ้าเอง”



จนกระทั่งโชคชะตาก็ได้เข้าข้างนาคินทร์ รพีพงศ์ส่งสาส์นลับมาให้แจ้งว่าชวารีได้เดินทางไปเอายาเสน่ห์ ณ วิหารร้าง ด้วยความที่อยากรู้ว่าผู้ร้ายคือใคร ชวารีจึงได้ไปล่วงหน้าก่อนเวลานัดแนะ จากนั้นได้ซ่อนตัวรอคอยเวลาที่ชายสวมหน้ากากเงินมาเยือน



และแล้วสิ่งที่ชวารีต้องการก็ประจักษ์ตรงหน้า ผู้ชั่วร้ายหาใช่อสูรหรือสัตว์นรกจากที่ไหน ทว่ากลับเป็นทวยเทพรูปร่างบอบบาง ใบหน้างดงามหมดจด เทพผู้นั้นคือเทพาครองกลุ่มดาวพิจิก นามว่า…อินทุนิล



การได้ล่วงรู้ว่าใครคือคนร้ายนับว่าโชคเข้าข้างแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นชวารีได้ล่วงรู้ว่ามารดาของตนถูกนำไปขังเอาไว้ภายในวิมาน ชวารีอยากจะเข้าไปช่วยแม่ของตนเสียเหลือน หากต้องข่มใจกลับไปรายงานทุกสิ่งให้กับรพีพงศ์ได้ทราบ



.



.



.



“พอข้าได้รับรู้ข้าถึงได้ให้ท่านพี่จัดงานฉลองนี้ขึ้นมา หากไม่ใช่เพื่อรับชายาอย่างที่เจ้าเข้าใจดอกหนา…เทพสารเลวอินทุนิล หากเป็นการฉลองที่ข้าจับตัวฆาตกรที่สังหารท่านแม่ของข้า!!!” นาคินทร์เอื้อนเอ่ยออกมา ทุกประโยคล้วนบ่งบอกอารมณ์ของนาคินทร์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งอดใจไม่ให้ความโมโหเกรี้ยวกราดปะทุออกมา แม้สีหน้าแววตาฉายชัดถึงความเคียดแค้น



“เก่งมาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าเก่งมากนาคินทร์แต่ก็คงสู้ข้ามิได้” อินทุนิลกล่าวจบก็ผลักนาคินทร์ออกห่างจากตนจากนั้นก็ร่ายมนต์หวังหลบหนี ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีข้อมือของอินทุนิลก็ถูกโซ่เกี่ยวตวัดรัดเอาไว้



“พระเสาร์ปล่อยข้า!!!” อินทุนิลเอ่ย ดวงตานั้นวูบไหวเล็กน้อยด้วยคนที่จับกุมคือผู้ที่อินทุนิลรัก ทว่าเทพพิจิกดาราก็สะกดกลั้นความรู้สึกไว้ก็ดวงตาที่เคยตัดพ้อได้แปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งไม่แสดงอาการให้ผู้จับกุมตนได้ล่วงรู้ว่าบัดนี้ความเจ็บปวดกำลังแผ่กระจายทั่วดวงหฤทัย



“จะให้ข้าปล่อยเจ้าน่ะหรือ ช่างเป็นการขอที่ระคายหูข้ายิ่งนัก!!! อินทุนิลเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารอวันนี้มานานเพียงใด ข้าต้องข่มใจมากเพียงใดไม่ให้สังหารเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าเหยียบย่างเข้ามาในวิหารนี้” พระเสาร์ตอบกลับไป น้ำเสียงทุ้มทรงพลังยิ่งเจือความขุ่นเคืองในจิตใจก็ยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกเสียวสันหลัง โดยเฉพาะอินทุนิลที่นอกจากรับรู้ผ่านน้ำเสียงแล้ว สายตาจากดวงเนตรข้างเดียวแสดงออกถึงแววสังหาร อีกทั้งแรงดึงจากโซ่เหล็กซึ่งบีบรัดแน่นยิ่งกว่าเก่าจนเกิดรอยช้ำบนข้อแขน



“นับว่าความอดทนของท่านช่างดียิ่ง หากเวลานี้ท่านก็ไม่จำเป็นต้องอดทนกับข้าอีก พระเสาร์ผู้แข็งแกร่งจะรออันใดเล่า เร่งสังหารข้าเสียสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อินทุนิลเอ่ยออกมาอย่างท้าทาย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับคนสติวิปลาส



“ใจข้านั้นชังเจ้าจนอยากเอามีดเฉือนหนังแล่เนื้อให้ตายเสียตอนนี้ หากการทำเช่นนั้นมันง่ายเกินไป สำหรับข้าเจ้าจะต้องทนทุกข์มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย” พระเสาร์เอ่ย ขณะเดียวกันมือหน้าก็เลื่อนมาจับที่หน้ากากเงินของตนเอง



“ช้าก่อนพระเสาร์ ณ ที่แห่งนี้คือวิหารศักดิ์สิทธิ์การลงโทษหรือสังหารย่อมทำให้แปดเปื้อน อีกทั้งสวรรค์ของชาวเรานี้มีกฎไว้ใช้ลงโทษกระทำผิด ดังนั้นแล้วท่านอย่าได้วู่วามมอบโทษทัณฑ์แก่อินทุนิลเลย ขอให้ความผิดนี้ตัวข้าจะเป็นผู้ตัดสิน” พระพริษฐ์ผู้ควบคุมกงล้อแห่งโชคชะตารับสั่งแทรกขึ้นมาก่อนที่พระเสาร์จะดำเนินทุกอย่างด้วยอารมณ์แห่งความโกรธา พระเสาร์เงยหน้าขึ้นมองผู้ครองบัลลังก์ทองคำ แววตานั้นขุ่นมัวไม่พอใจ



“ข้ารับรองว่าข้าจะตัดสินโทษด้วยความเป็นธรรมให้สมกับที่อินทุนิลได้กระทำความผิด” พระผู้สร้างล่วงรู้ความคิดของพระเสาร์จึงได้ตรัสขึ้นมาอีกครั้ง



“หากพระองค์ให้คำมั่นเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎสวรรค์”

“ขอบน้ำใจพระเสาร์ที่ท่านไม่ดื้อดึง เทพนภนต์ข้าขอมอบหมายให้ท่านและทหารในสังกัดควบคุมอินทุนิลและจองจำเอาไว้ในคุกหลวงและนับจากวันนี้ถัดไปอีก ๓ วัน ข้าจะตัดสินโทษอินทุนิล ณ วชิระภูผาขอให้เทพาและเทพีเข้าร่วมการตัดสินนี้” สิ้นสุรเสียงทั้งนภนต์และเหล่าเทวาต่างคุกเข่าลง



“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ/เพคะ”



เมื่อได้รับภารกิจนภนต์ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง วรกายสูงใหญ่สมกับตำแหน่งแม่ทัพสวรรค์ได้ส่งสัญญาญให้ทหารที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาควบคุมตัวอินทุนิลเอาไว้ ทั้งใส่โซ่ตรวน ถ่วงลูกตุ้มไว้ยังข้อเท้า ข้อมือผูกมัดด้วยเชือกลงอาคมทำให้คนร้ายไม่อาจหนีไปได้ พระเสาร์เองได้เห็นก็เบาใจว่าอินทุนิลคงไม่สามารถหลบหลีกไปที่ยังที่ใดได้ก็คลายโซ่ของตนออก



“พระผู้สร้างพะยะค่ะ กระหม่อมเทพนภนต์และเหล่าทหารได้ทำการควบคุมตัวอินทุนิลเอาไว้แล้ว จึงขอทูลลานำพาอินทุนิลไปยังคุกหลวงพะยะค่ะ” นภนต์เอ่ย



“ไปเถิด ขอให้ท่านและเหล่าทหารปฏิบัติหน้าที่ให้ดีอย่าได้หละหลวม”



“พะยะค่ะ” นภนต์รับคำ ก่อนนำตัวอินทุนิลที่สภาพไม่ต่างจากหุ่นไร้วิญญาณไปยังคุกหลวง



“ส่วนเทพและเทพีที่อยู่ในวิหารนี้ ข้าอนุญาตให้พวกท่านกลับไปได้” พระผู้สร้างตรัสเสร็จสิ้นก็ก้าวลงจากที่ประทับเดินออกจากวิหารไปโดยมีบุษยะดอกบัวน้อยของพระองค์คอยติดตามเคียงข้างไม่ห่างกาย



เหล่าทวยเทพได้ยินดังนั้นแล้วต่างก็กลับไปด่วยตนนั้นหาได้มีสิ่งใดที่จะต้องทำต่อไป นอกจากจะไปตั้งกลุ่มสนทนาเรื่องราวความจริงที่เกิดขึ้นในวันนี้ อันเรียกได้ว่าเป๋นเรื่องใหญ่ที่ใช้เป็นหัวข้อเรื่องให้ได้แลกเปลี่ยนความคิดไปอีกหลายวัน



“พระเสาร์ ท่านนาคินทร์ ท่านรพีพงศ์ ข้าชวารีขอลากลับวิมานก่อน” ชวารีกล่าวลา



“เจ้าจะไปเช่นไร อยู่ลำพังได้หรือ ไว้ข้าจะส่งทหารไปให้” พระเสาร์เอ่ยถามผิดวิสัยปกติ ทว่าชวารีคือผู้มีพระคุณพระเจ้าจึงถามไถ่และคิดตอบแทน



“ขอบน้ำใจท่านมากพระเสาร์ หากแต่พระสมุทรได้แจ้งว่าได้ให้ทหารนำท่านแม่กลับมาดูแลที่วิมานแล้ว ส่วนทหารพระสมุทรเองก็เมตตาช่วยเหลือข้าเช่นเดียวกัน” ชวารีเอ่ย นางเองได้ทราบจากชลันธรที่ร่วมวางแผนกับนาคินทร์และอาสาส่งองครักษ์ของตนช่วยเหลือมารดาของชวารี



“เช่นนั้นเพื่อเป็นการตอบแทน หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือเพียงเจ้าระลึกถึงจ้า ข้าจะให้การช่วยเหลือเจ้า” พระเสาร์เอ่ย



“ขอบน้ำใจท่านอย่างยิ่ง”



“ชวารี ข้าเองยังไม่วางใจมากนัก ข้าจะให้พระอรุณไปส่งเจ้าก็แล้วกัน” รพีพงศ์เอ่ยออกมา นึกเป็นห่วงสหายไม่อยากให้เดินทางเพียงลำพัง



“พระอรุณหรือ..ข้า..ข้าเกรงใจ” ชวารีเป็นสหายกับรพีพงศ์แต่กลับไม่ได้พูดคุย ทำความรู้จักกับพระอรุณมากนัก เหตุเพราะพระอรุณมักจะเก็บตัว ยากที่จะเข้าถึง นางเองก็ไม่พบเจอพระอรุณมานาน จนกระทั่งพบเจอในงานแต่งตั้งชายาหลอก ๆ นี้



“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าจะไปส่งเจ้าเอง” ไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงมายืนอยู่ด้านหลังของชวารีตั้งแต่เมื่อใด ทำให้นางตกใจจนผงะเดินถอยหลังจนเกือบล้มลงไป ยังที่ที่คนทำให้ตกใจได้รับผิดชอบรับร่างบางนี้และประคองเอาไว้ได้



“เจ้านี่นะ…เจอกันกี่คราก็ล้มต่อหน้าข้าตลอด” พระอรุณเอ่ยแล้วปล่อยชวารี เมื่อเห็นว่าสามารถทรงตัวได้แล้ว



“ข้าต้องขออภัยท่านด้วย” ชวานีก้มหน้างุด พวงแก้มแดงระเรื่อไปด้วยความอาย นางหาได้อายเพราะไม่ระวังตัวจนเกือบล้ม หากนางเขินอายเพราะความทรงจำครั้งเก่าก่อนได้เข้ามาว่าคนที่นางประทับใจจนตกหลุมรักหาใช่รพีพงศ์อย่างที่เข้าใจ



“พระอรุณเจ้าก็อย่าได้ดุสหายพี่เลย นางคงตกใจเสียงของเจ้า”



“ข้าเองต้องขออภัยเจ้าด้วยชวารี” พระอรุณเอ่ยกับชวารีที่ยังไม่ยอมเงยหน้าสบตาตน จึงเข้าใจว่าชวารีไม่พอใจในตน



“เอาเป็นว่าข้าจะชดใช้ด้วยการไปส่งและคอยเฝ้ายามให้เจ้าจนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น” พระอรุณยื่นข้อเสนอ นั่นทำให้ชวารีเงยหน้าขึ้นโดยพลันแต่ไม่ทันอ้าปากปฏิเสธ พระอรุณก็คว้าแขนของชวารีให้เดินออกจากประตูวิหาร



…‘น้องพี่ช่างใจร้อนเสียจริง’…



“ข้าเองก็ขอลากลับก่อน ทิ้งมหาสมุทรเอาไว้นานไม่ใช่เรื่องดีนัก” ชลันธรเอ่ย



“ไว้มีโอกาสข้าจะพานาคินทร์ไปเยี่ยมเยียน ขอบน้ำใจเจ้าและนภนต์มาก ชลันธร” พระเสาร์เอ่ย ชลันธรคลี่ยิ้มรับคำขอบคุณ จากนั้นได้สวมกอดนาคินทร์เอาไว้แน่นก่อนจากลากลับไปยังพิภพชลธี



เมื่อไม่มีใครในวิหาร นาคินทร์และพระเสาร์ก็ชักชวนกลับวิมานโดยมีรพีพงศ์ติดตามไปด้วย เพลานี้รพีพงศ์คิดอยากจะอยู่กับนาคินทร์จึงไม่คิดกลับไปยังวิมานเพลิง



พอย่างกรายเข้าสู่วิมาน บานประตูสลักได้ปิดตัวลงไม่ให้ภายนอกได้มองเห็นภายใน ภายในไม่มองเห็นภายนอก ทันใดนั้นนาคินทร์ก็ปล่อยโฮร้องไห้ออกมา



“ในที่สุดข้าก็หาตัวคนที่ทำร้ายท่านแม่ได้…ฮึก…ฮือ…” เมื่อเหลือเพียงเทพผู้ที่สนิทชิดเชื้อ ชลเนตรก็หลั่งรินจากตาคู่งาม นาคินทร์แม้ภายนอกจะเข้มแข็งเพียงใด บัดนี้กลับอ่อนแอด้วยตนได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจ ไม่ต้องคอยเก็บสิ่งใดเอาไว้แล้ว



“นาคินทร์ลูกของพ่อเก่งมาก เก่งมากจริง ๆ” พระเสาร์เข้ามาสวมกอดบุตราเอาไว้ พลางลูบศีรษะปลอบโยนบุตรในสายโลหิต



“ฮึก…ท่านพ่อ..ฮือ…ท่านพ่อ” นาคินทร์ร้องเรียกหาคนที่กอดกายอยู่ไม่ขาดปาก นาคินทร์กลัวที่จะสูญเสียผู้ให้กำเนิดไปอีกครั้ง



“พ่ออยู่นี่ เจ้ายังมีพ่อ…นาคินทร์”



“และเจ้ายังมีพี่นาคินทร์” รพีพงศ์ก้าวเท้าเดินเข้าหา นาคินทร์ได้ยินเสียงของผู้เป็นสวามีก็ผินหน้าไปมอง



“ท่านพี่..” นาคินทร์เรียกขานอีกฝ่ายเสียงแผ่วเบา



พระเสาร์เองรู้ดีว่ายามนี้บุตรของตนต้องการสิ่งใด คนเป็นพ่อค่อย ๆ คลายอ้อมกอดปล่อยให้นาคินทร์เป็นอิสระโผเข้ากอดรพีพงศ์ที่ไม่รั้งรอยืนและเดินเข้ามากอดนาคินทร์เช่นเดียวกัน พระเสาร์ปลีกตัวออกไปปล่อยให้คู่รักได้อยู่ด้วยกัน



“พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกินนาคินทร์” รพีพงศ์เอ่ยออกไปตามความรู้สึก พลางหอมศีรษะ จูบขมับซ้ายขวาเพื่อให้คลายความคิดถึงลงบ้าง



“น้องเองก็คิดถึง..ฮือ..ท่านพี่” นาคินทร์ตอบกลับพร้อมกับสะอื้นไห้ พลันดวงใจของรพีพงศ์รู้สึกวูบโหวง รพีพงศ์เกลียดน้ำตา…น้ำตาจากคนที่ตนรัก



“เจ้าไม่เหมาะกับน้ำตาเลยคนดี” รพีพงศ์ใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาให้นาคินทร์



“ฮึก…ข้าจะไม่…ฮือ” นาคินทร์พยายามกลั้นสะอื้น



“แต่ถ้าหากมันคือสิ่งเดียวที่ทำให่เจ้าสบายใจก็จงระบายมันออกมา หากขอเพียงเป็นพี่ที่ได้ปลอบโยนและซับน้ำตาให้แก่เจ้า” รพีพงศ์ช้อยกานาคินทร์ขึ้นมาอุ้มเอาไว้ ใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาซุกเข้าที่อุราและร่ำไห้ออกมาไม่มีหยุด จนกระทั่งถึงห้องของทั้งสอง รพีพงศ์ได้วางนาคินทร์ให้นอนลงบนเตียงโดยตนนั้นนอนกอดเอวบางไว้



“ท่านพี่จะอยู่กับข้า..ฮึก…ไม่ทิ้งข้า ไม่มีใครนอกจากข้าใช่หรือไม่” นาคินทร์ซักถามหลังจากร้องไห้เสียพักใหญ่ นาคน้อยยอมรับว่าตนนั้นกังวลมากเพียงใด หากไม่ใช่ชวารีที่เสี่ยงช่วยเหลือไม่ทำเสน่ห์ใส่รพีพงศ์ นาคินทร์กลัวว่าอาจจะไม่มีวันได้ชิดใกล้รพีพงศ์อีก



“ใช่ พี่จะไม่ทอดทิ้งเจ้า จะไม่มีใครอื่นนอกจากเจ้า” รพีพงศ์เข้าใจนาคินทร์ดี คำถามที่ไม่ได้มาจากความระแวงแต่ได้มาจากความกลัวที่จะสูญเสีย รพีพงศ์เคยสูญเสียนาคินทร์มาแล้วจึงเข้าใจว่าความเจ็บปวดจวนเจียนขาดใจเป็นเช่นไร แม้ในยามนี้นาคินทร์จะอยู่ในอ้อมกอด รพีพงศ์ก็ยังคงกังวลกลัวใจจะมาพรากนาคินทร์ไปอีก



“ข้ารักท่านพี่” นาคินทร์เอ่ยพร้อมกอดรพีพงศ์ไว้แน่น



“พี่เองก็รักเจ้า…นาคินทร์” รพีพงศ์กล่าวคำหวานก่อนจะจุมพิตยังหน้าผากเนียนแล้วใช้ปลายจมูกคลอเคลียสูดกลิ่นหอมเฉพาะตัวของนาคน้อย คิดถึง คิดถึงและคิดถึง รพีพงศ์คิดถึงนาคินทร์เหลือเกิน นานเพียงใดที่ไม่ได้กอดกายนาคงามตนนี้ เห็นทีทิวา-ราตรีนี้รพีพงศ์จำต้องกอดคนรักไว้ให้สมกับที่ไม่เคียงข้างมาสักพักใหญ่เสียแล้ว



.



.



.



ค่ำคืนนั้นอากาศหนาวได้ปกคลุมวิมานหงศบาท ห้องหนึ่งคู่รักกอดก่ายกายคลายหนาวเหน็บ หากอีกห้องนั้นพระเสาร์ที่กำลังอ่านตำราขณะเฝ้าดูแลน้องน้อยที่อาการดีขึ้น ทว่าอากาศหนาวเช่นนี้พระเสาร์จำต้องวางตำราร่ายคาถาเร่งไฟจากโคมไฟสุริยาให้เพิ่มความอบอุ่น รวมไปถึงหยิบภูษามาห่มให้กับเทพรูปงามที่ยังหลับใหล



“หนาว..รัช…หนาว” เสียงละเมอเปล่งออกมาจากนิมฝีปากซีดเซียวอย่างแผ่วเบา ทว่ากลับดังก้องในโสตประสาทของเสาร์



เทพร่างสูงใหญ่ที่กำลังจะกลับไปนั่งอ่านตำราก็เปลี่ยนใจ พระเสาร์นั่งลงบนเตียงแล้วโน้มใบหน้าเอียงหูแทบจะแนบชิดริมฝีปากของพระพุธ



“หนาว…” ชัดเจน พระพุธเอ่ยออกมาจริง ๆ ไม่ใช่พระเสาร์หูแว่วไป ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏออกมายังใบหน้าดุดัน



“หนาวหรือ ข้าจะกอดเจ้าให้หายหนาวเอง…จันทรัช” พระเสาร์เอ่ยพร้อมกับนอนลงแล้วใช้แขนแกร่งรวบกายผอมบางให้มานอนบนกายตน ดวงตาสีเม็ดมะปรางมองคนหลับตาพริ้มอยู่บนอกพลางใช้มือเกลี่ยผมสยายที่บดบังใบหน้าให้ทัดไว้ข้างหู



“แม่ช้างจ๋า..รัชหนาว..กอดรัชนะ” พระพุธละเมอออดอ้อน ชวนให้คนฟังทำตามคำขอแม้ในใจครุ่นคิดบางอย่าง



…‘นี่ข้าอวบอ้วนจนคล้ายแม่ช้างของเจ้าหรือ…จันทรัช’…









............................

มาแล้วจ้า มาแล้ว ขอโทษที่ทำให้คอยนาน ท่านยุ่งมาแล้ว ตอนนี้ถือว่าชดเชยที่ได้ต้มมาม่ารสหมูสับให้กินมาหลายมื้อ ตอนนี้เบาๆ ราบเรียบ ถือว่าคลายปมไปเยอะเลยค่ะ หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ

ได้เห็นรพีพงศ์กับนาคินทร์กลับมาอยู่ข้างๆอีกครั้ง ดีใจกันไหมคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.27 P.5 (11/10/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 11-10-2020 13:13:41
ลิขิตรัก…เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 27

คำเตือน : ในตอนนี้มีฉากล่อแหลม มีการร่วมเพศโดยอีกฝ่ายไม่รู้สึกตัว(?)

...................

เมฆาสีควันยามฝนตกได้เคลื่อนตัวออก เผยให้ดวงตะวันได้ฉายแสงส่องสว่างอีกครั้ง เผยให้เห็นฟ้าหลังฝนอันงดงาม ไม่ต่างกับเส้นโชคชะตาที่ขมวดขดได้คลายออก ดุจดั่งเพลานี้ความโชคดีได้กลับคืนสู่วิมานหงสบาท



เปลือกตาสีอ่อนแซมด้วยขนตาดำขลับค่อย ๆ ขยับเปิดออกเพื่อปรับสายตาให้สู้กับแสงภายนอกหลังจากนอนหลับใหลเสียนาน ภาพแรกที่พระพุธเห็นกลับทำให้ตกใจไม่ใช่น้อย แทนที่ตนจะเห็นม่านมุ้งภูษาเนื้อบางกลับเป็นเนื้อหนังมังสาสีคล้ำกว่าตน ทั้งยังขยับขึ้นลงพาศีรษะของตนไปตามจังหวะด้วย



…‘อกของพี่เสาร์…เมื่อคืนจำได้ว่าก่อนเราจะตั้งจิตเข้านิทรา พี่เสาร์นั่งอ่านตำราอยู่ที่ตั่งตรงข้ามอยู่เลย แล้วเหตุใด…’…



ผู้ที่เพิ่งฟื้นคืนกำลังงุนงง ไม่ใช่ว่าตนจะไม่คุ้นชินกับการถึงเนื้อถึงตัวของผู้เป็นพี่ หากทุกคราตนมักจะเป็นฝ่ายเข้าหาหรือในยามบาดเจ็บครั้งนี้พระเสาร์เพียงนอนชิดใกล้ ไม่ได้ให้ตนมานอนทาบทับอยู่บนตัวเช่นนี้



…‘เอาล่ะ ถ้ามัวแต่ถามตัวเองคงมิได้คำตอบ เห็นทีต้องปลุกพี่เสาร์ขึ้นมาเสียแล้ว’…



“พี่เสาร์…พี่เสาร์ตื่น” เสียงหวานแหบพร่าเรียกนามคนที่กำลังนิทราให้ตื่น ทว่าพระเสาร์กลับไม่ตื่นซ้ำยังรวบแขนกอดเอวพระพุธเอาไว้แน่นกว่าเก่า พระพุธพยายามขยับกายหากไม่สามารถทำได้ ด้วยกำลังของตนนั้นมีฟื้นคืนมายังไม่เต็มที่



“พี่เสาร์…แน่น…มันแน่นไปแล้วนะ…” พระพุธเค้นเสียงเพื่อโวยวายแต่หากใครได้ยินคงคิดว่ามีเสียงวิฬารกำลังขู่เสียมากกว่า



“พี่เสาร์ตื่น…ถ้าไม่ตื่นพุธกัดนะ” พระพุธกล่าวเตือนและเป็นไปตามคาดพระเสาร์ยังไม่ตื่น ทั้งที่ปกติประสาทสัมผัสของเทพผู้นี้จะไวต่อสิ่งเร้า เป็นเช่นนี้แล้วพระพุธถอนหายใจเฮือกใหญ่ สงสัยเมื่อวานพระเสาร์คงจะทำภารกิจหนักจนอ่อนเพลียเป็นแน่



อย่างไรก็ตาม แม้อีกฝ่ายจะเหนื่อยจนไม่ยอมตื่น พระพุธก็จำต้องทำในสิ่งที่ลั่นวาจาเอาไว้ ริมฝีปากซีดเซียวเผยอออกเล็กน้อยเผยพอให้เห็นฟันสวยก่อนจะขบกัดลงไปยังเนื้อตรงอุราของพระเสาร์



“อึก” ผู้โดนกระทำหน้านิ่วส่งเสียงฮึมฮัมไม่พอใจที่โดนรบกวน



“มด แมลงตัวใดบังอาจกัดข้า!!!” พระเสาร์เอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจแม้ดวงตายังปิดอยู่



“พุธเอง พุธเองที่กัดพี่เสาร์” พระพุธสวนกลับไป



“พุธหรือ..เหตุใดเจ้าถึงเล่นซนกัด…” พระเสาร์เอ่ยออกมา ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างขึ้นมา



…‘พุธ…เจ้าพุธ…เจ้าพุธฟื้นแล้ว’…



พระเสาร์ได้สติ จากที่ง่วงงุนก็ตื่นขึ้นมาเต็มตา ดวงเนตรสีม่วงมองคนในอ้อมอกแลเห็นพระพุธที่เหลือบตามองตน ใบหน้าบึ้งตึงไม่สำนึกสักนิดที่กัดตนแต่นั่นก็ใช่เรื่องที่พระเสาร์จะนึกใส่ใจ หากรอยกัด ความรู้สึกเจ็บเป็นเครื่องยืนยันว่าพระพุธได้ฟื้นขึ้นมาจริง ๆ



“เจ้าฟื้นแล้วหรือ เจ็บปวดที่ใดบ้างเร่งบอกข้า” พระเสาร์ถามด้วยความห่วงใย ด้วยคนเจ็บหนักจนสลบไสลไร้สติไปนานพอฟื้นขึ้นมาอาจจะอ่อนแรง ไม่เต็มกำลัง



“พุธไม่เป็นอันใด หากยามนี้พี่เสาร์ตื่นแล้วก็ช่วยจับพุธให้นอนบนเตียงได้หรือไม่” พระพุธตอบ ดีใจนักที่คนเป็นพี่ซักถาม หากไม่วายเรียกร้องสิ่งที่ตนต้องการ



“นอนบนอกข้า บนตัวข้าไม่สบายหรืออย่างไร” พระเสาร์ไม่ตอบคำถามพระพุธ ทั้งยังถามร่างอรชรบนกายกลับไปอีก แขนข้างหนึ่งที่กอดเกี่ยวเอวบางก็เปลี่ยนมาลูบแผ่นหลังสร้างความวูบไหวให้พระพุธจนอยากจะกัดอกคนแกล้งให้เป็นแผลสักสิบ ยี่สิบแผล



“ไม่สบายเลยสักนิด หากสบายพุธจะปลุกพี่เสาร์หรือ อีกอย่างหยุดกอด หยุดลูบหลังพุธได้แล้ว” พระพุธตอบทั้งยังสั่งห้ามอีกฝ่ายรุ่มร่ามกับร่างกายตน



“ไม่สบายหรือ ทั้งที่เมื่อค่ำใครกันเล่าที่ละเมอกอดข้า คิดว่าข้าเป็นแม่ช้าง ข้านี้อุตส่าห์ใช้แขนแทนงวงแม่ช้างของเจ้าต้องกอดทั้งลูบปลอบให้เจ้าหลับสนิท ไม่ใช่เจ้าหรือไร…จันทรัช” สิ้นประโยคของพระเสาร์ พระพุธถึงกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัย พี่ของตนกินอันใดผิดสำแดงถึงได้พูดจาเย้าแหย่ผิดวิสัย ทว่าพระพุธไม่ได้รู้สึกแย่ที่ได้ฟังกลับดีใจที่พระเสาร์ใจดีกับตนและเรียกขานชื่อของตนก่อนดำรงตำแหน่งครองพุธดารา



“เช่นนั้นพุธขอบน้ำใจพี่เสาร์มากที่อุตส่าห์สละร่างแทนเตียงให้พุธหนุนนอน แต่บัดนี้พุธแลเห็นว่ากายของพี่เสาร์หมดประโยชน์แล้ว ดังนั้นช่วยจับพุธให้นอนบนเตียงเถิด” แม้จะเอ่ยออกมาราวกับไม่ใส่ใจ ทั้งที่ความจริงพระพุธทั้งเขินอายอละนึกห่วงว่าพระเสาร์จะนอนไม่สบายหากยังมีตนคอยนอนอยู่บนตัวเช่นนี้



ด้านพระเสาร์เองได้ฟังก็ไม่นึกโกรธคำพูดคำจาเพราะล่วงรู้ว่าพระพุธนั้นคิดและรู้สึกเช่นไร ดูได้จากแก้มขาวซีดได้มีขึ้นสีแดงเป็นริ้วขึ้นมาเห็นแล้วเชิญชวนให้แกล้งเสียจริง หากต้องข่มใจเอาไว้เพราะไม่อยากรังแกผู้ป่วยไปมากกว่านี้จึงกอดกายพระพุธไว้ด้วยแขนข้างเดียว ส่วนอีกข้างขยับขึ้นมารองท้ายทอยเอาไว้ จากนั้นพระเสาร์ก็พลิกตัวนอนในท่าตะแคงข้างทำให้พระพุธนอนหนุนแขนเคียงตน



องค์ศนิเทพมองใบหน้างามตรงหน้า นานเพียงใดแล้วที่ตนกับน้องสนิทต่างสายเลือดไม่ได้นอนชิดใกล้กัน มองหน้ากันเช่นนี้ ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาแล้วใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามกรอบหน้าเล็กอย่างเบามือราวกับว่าตรงหน้าคือแก้วเจียระไนยเนื้อบางแตกหักง่าย



“ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้าฟื้นขึ้นมา” พระเสาร์เอ่ย



“ผิดกับพุธที่เสียใจ…เสียใจที่ไม่อาจปกป้องพี่หญิงได้ พี่เสาร์พุธขอโทษท่านด้วย” พระพุธเอ่ยออกมา ความตั้งใจแรกที่เคยวาดหวังว่าหากตนฟื้นขึ้นมา ตนอยากจะขอโทษพระเสาร์ในเรื่องของมุตตา พระพุธรู้สึกผิดที่ไม่อาจดูแลคนรักและรอยยิ้มของพระเสาร์ได้



นิ้วมือที่ลูบไล้หยุดชะงักลง พระเสาร์มองไปยังดวงตากลมสวยที่แดงก่ำคล้ายกับว่ากำลังจะร้องไห้



“แต่พุธรู้ว่าใครคือสังหารพี่หญิง คนผู้นั้นคือ…”



“อินทุนิล…ข้ารู้แล้วว่าเป็นเทวดาใจมารผู้นั้น เจ้ารู้หรือไม่เมื่อวานพวกเราสามารถกระชากหน้ากากนำความจริงออกมาแถลงไขและจับอินทุนิลขังไว้ยังคุกหลวง เพื่อรอรับโทษในวันพรุ่งนี้” พระพุธยังไม่ทันพูดจบ พระเสาร์ก็พูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะเอื้อนเอ่ยต่ออีกว่า…



“ส่วนเจ้านั้นปกป้องมุตตาเต็มที่แล้ว ทั้งยังเสี่ยงตายเกือบเอาชีวิตไม่รอด ดังนั้นเจ้าอย่าได้โทษตัวเองเลย ไม่มีใครโทษเจ้า ไม่ว่าจะเป็นข้า นาคินทร์หรือมุตตาเอง”



“พี่เสาร์รู้ได้อย่างไร”



“มุตตาฝากคำสั่งเสียเอาไว้กับสพลน่ะสิ” พระเสาร์เอ่ยแล้วบอกกล่าวถึงคำสั่งเสียของมุตตาให้พระพุธฟังโดยละเอียด



“แม้ในคำสั่งเสียมุตตาจะฝากฝังเจ้าให้ช่วยดูแลข้ากับนาคินทร์แต่เวลานี้ข้าไม่ถือสาหากเจ้าจะไม่ได้ทำตามคำของมุตตา”



“ใช่สิ สภาพของพุธเป็นเช่นนี้จะดูแลใครได้ จำต้องรักษาลมปราณในกายเสียอีกนาน” พระพุธบ่น เวลานี้อย่าว่าแต่จะขยับกายเลยแม้จะขยับนิ้วเพียงสักนิ้วยังทำไม่ได้เลย



“เจ้าอย่าได้กังวล ข้าจะดูแลเจ้าเอง” สิ้นเสียงของพระเสาร์รอยสัมผัสอุ่น ๆ จากริมฝีปากของพระเสาร์ก็ประทับยังปลายจมูกรั้น



“พี่เสาร์!!!...แค่ก ๆ…เหตุใดถึงได้ทำกิริยาเช่นนี้” พระพุธขึ้นเสียงจนลืมตัวทำให้สำลักออกมาแต่มิวายส่งสายตาดุ มองค้อนต้นเหตุ



“เจ้าจำมิได้เหรอ ยามเจ้ายังเล็กเป็นแผลขึ้นมามักจะขอให้ข้าทำเช่นไร”



‘พี่ศนิ รัชเจ็บเข่า เป่ามนต์แล้วจุ๊บให้รัชหน่อย’



‘เจ้านี่นะซุกซนเสียจริง ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าอย่าวิ่ง สุดท้ายหกล้มจนเป็นแผล’



‘พี่ศนิอย่าดุสิ รัชดีใจที่ได้เจอพี่ศนิเลยลืมตัวไปเสียหน่อย’



‘ไม่ระวัง…ก้าวขายกเข่าของเจ้ามา’



ถึงปากจะดุ จะบ่นออกมา สุดท้ายพระเสาร์ก็เป่ามนต์และเพิ่มเติมประทับริมฝีปากอันเป็นวิธีรักษาเพิ่มเติมของเจ้าตัวดื้อลงไปยังเข่าอยู่ดี



พระพุธได้ฟังก็นึกตาม ทุกคราในยามที่ตนยังไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาได้พระเสาร์มักจะมอบจุมพิตลงในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งบนพักตราของตน พระพุธไม่คิดเลยว่าพระเสาร์ยังจำได้



“คงคิดว่าข้าลืมไปใช่หรือไม่” พระเสาร์ถามราวกับล่วงรู้ดวงใจคนตรงหน้า



“ใช่ ก็พี่เสาร์แก่แล้วนี่นา” พระพุธเอ่ยออกมาน้ำเสียงติดจะล้อคนแก่กว่าตน



“แก่แล้วอย่างไร ข้ายังจำเรื่องราวของเด็กดื้อที่ชอบมาก่อกวนข้าให้ตื่นยามเช้า ไหนจะลักหอมข้าก่อนเรียกปลุก”



“พี่เสาร์ลืม ๆ ไปเลยนะ เพียงคำว่าแก่คำเดียว ไฉนต้องกล่าวถึงเรื่องน่าอายเช่นนี้ด้วยเล่า!!!”



●○●○●



อีกฟากฝั่งของวิมานอันเป็นห้องของนาคินทร์ บนเตียงนั้นมีร่างเปลือยเปล่าซึ่งกำลังหลับใหลด้วยความเหนื่อยล้าจากการ ‘ปลอบโยน’ และแสดงความ ‘คิดถึง’ กันหลายครั้ง หลายคราของนาคินทร์กับรพีพงศ์



ทว่าแม้จะเหนื่อยล้าเพียงใด รพีพงศ์ที่คุ้นชินกับการตื่นในเวลาอรุณรุ่งก็ลืมตาขึ้นมารับแสงตะวันของเช้าวันใหม่ ก่อนจะพลิกกายมองนาคน้อยที่ยังคงหลับตาพริ้มเพราะรับมือกับความคิดถึงของตน



หากไม่คิดถึงนั้นย่อมแปลก ตลอดเวลาร่วมเดือนมานี้รพีพงศ์จำต้องตีตัวออกห่างนาคินทร์ทั้งที่ใจไม่อยากทำ การไม่ได้สูดดมกลิ่นกายประจำตัวของอีกฝ่ายก่อนนอนนั้นทรมานจิตใจไม่น้อย รพีพงศ์ยอมรับว่า…



…‘เสพติดนาคินทร์จนไม่อยากให้ห่างกายไปไหน’…



“นาคินทร์ พี่รักเจ้านะคนดี” รพีพงศ์กระซิบกระซาบใบหูแล้วกดจูบเบา ๆ ทำให้คนถูกรบกวนหน้านิ่วคิ้วขมวด แทนที่รพีพงศ์จะผละใบหน้าออกไป เทพหนุ่มกลับกดริมฝีปากจุมพิตซ้ำทั้งใบหู หลังหูตลอดตามซอกคอ



“ฮื้อ..” นาคินทร์ส่งเสียงฮึมฮัมออกมา ศีรษะขยับหลีกหนีตามสัญชาตญาณไม่ให้สิ่งใดมารบกวนยามที่ตกอยู่ในห้วงนิทรา นาคน้อยหารู้ไม่ว่ายิ่งหนีก็ยิ่งปลุกให้ราชสีห์ร้ายข้างกายยิ่งอยากหยอกเล้อเล่นกับเหยื่อ



รพีพงศ์ลุกขึ้นมานั่งพิงกับพนักหัวเตียงไม้ฉลุโดยไม่ลืมใช้เขนยใบนุ่มมารองเอาไว้ก่อนเอนตัว จากนั้นก็ส่งเรี่ยวแรงที่มีทั้งจับ ทั้งพยุงให้ร่างบางมานอนเอนหลังบนกายตน



“นาคินทร์เจ้าไม่ตื่นมาพูดคุยกับพี่ให้หายคิดถึงหรือไร” เนื่องด้วยตำแหน่งศีรษะของนาคินทร์ตอนนี้กำลังนอนอิงบนบ่า เทพขี้แกล้งจึงกระซิบกระซาบก่อกวนได้ง่าย ทว่าคนกำลังหลับนอกจากไม่ตื่นแล้ว จะแสดงอแกว่าไม่พอใจก็ไม่มี มีแต่ความสงบและลมหายใจอุ่น ๆ เท่านั้น



“นาคินทร์เจ้าจะหลับลึกเกินไปแล้ว…เช่นนี้พี่จะใช้ความคิดถึงของพี่ปลุกเจ้าดีหรือไม่” ใครจะหาว่าเขาใจบาปแกล้งคนหลับก็ว่าไป ใครไม่ได้มาเป็นตนคงไม่รู้หรอกว่าใบหน้าของนาคินทร์ยามถูกรังแกนั้นน่ายลเพียงใด



หลังจากไถ่ถามและไม่ได้รับคำตอบตามที่คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า รพีพงศ์ก็ค่อย ๆ ซุกใบหน้าดั่งรูปสลักของตนลงไปยังซอกคอขาวที่มีรอยสีกุหลาบประปรายจากกิจกรรมรักก่อนหน้านี้ ริมฝีปากอุ่นแนบชิดฉวีวรรณแล้วดูดเม้มอย่างแผ่วเบาไล่จากบนลงไปล่างตลอดจนถึงบ่า รพีพงศ์พรมจูบละเมียดละไม ไม่คิดให้ส่วนใดต้องเว้นว่างจากสัมผัสของตน



ในเวลาเดียวกันที่ใช้ปากรุกไล่ แขนแกร่งสองข้างก็สอดเข้าระหว่างแขนและลำตัว ฝ่ามือวางลงอุราของนาคินทร์แล้วลูบอย่างแผ่วเบาก่อนจะเพิ่มแรงเค้นขึ้นเล็กน้อย เท่านี้สิ่งที่รพีพงศ์กำลังรอชมก็ได้บังเกิด วงพักตรของนาคินทร์เริ่มแสดงสีหน้า ร่างกายบิดเร้าต่อการกระทำของตน



รพีพงศ์ยกยิ้มมุมปากดูแล้วเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าตัวร้าย จากนั้นก็เปลี่ยนจากใช้มือนวดเค้นมาเป็นการใช้นิ้วคลึงวนที่ยอดอกทั้งสองข้าง



“อ๊ะ!..อ่า…”



เสียงครางหวานดังขึ้นมาผ่านเข้าหูสร้างความพอใจให้กับรพีพงศ์เป็นอันมากและสร้างความฮึกเหิมให้รพีพงศ์บดขยี้เม็ดปทุมทั้งแรง ทั้งเบาสลับกัน สร้างความวาบหวามจนคนหลับตาพริ้มนอนไม่นิ่ง กระสับกระส่ายไปมา



แม้จะโดนรังแก โดนบอกความคิดถึงมากขนาดนี้ นาคินทร์ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา รพีพงศ์ยิ่งได้ใจเลื่อนมือข้างหนึ่งลงมายังหน้าท้องเนียนซึ่งหดเกร็งทันทีที่ถูกสัมผัสและยิ่งเลื่อนลงต่ำรพีพงศ์ก็รับรู้ได้ว่าคนบนกายนั้นคงทรมานไม่น้อย



ความร้อนจากฝ่ามือเข้ากอบกุมส่วนอ่อนไหวแล้วขยับรูดรั้งเพิ่มความแข็งขืนเรียกเสียงครางจากนาคินทร์ที่เปล่งออกมาแผ่วเบา ก่อนจะใช้นิ้วโป้งสัมผัสตรงส่วนปลายลูบวนแล้วกดแรงลงไปเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็สร้างความเสียวซ่านจนสะโพกมิอาจอยู่นิ่งต้องขยับขึ้นมารับการปรนเปรอนี้ อีกทั้งปลายเท้าทั้งสองข้างขยับถูไถไปผ้าจนผ้าปูเตียงยับยู่ยี่



“อึก..อ่ะ..อ่ะ..อื้อ” นาคินทร์ยกสะโพกขึ้นลงให้ส่วนกลางกายได้รูดผ่านผสานไปยังมือที่กอบกุมและเร่งจังหวะขยับเรื่อย ๆ



“ขนาดเจ้าหลับยังยั่วยวนพี่ถึงเพียงนี้เลยหรือ…มันน่านัก”



เป็นถึงรัชทายาทบัลลังก์อัคคีมีหรือจะเอื้อยเอ่ยออกมาลอย ๆ รพีพงศ์ละมือที่กำลังเล่นกับกลางกายของนาคินทร์ แม้จะได้รับเสียงฮึดฮัดไม่พอใจหากเขายินดีจะแก้ตัวหลังจากวินาทีนี้เป็นต้นไป



รพีพงศ์จับแก่นกายตนที่พร้อมส่งความคิดถึงจดจ่อตรงช่องทางที่ยังมีคราบธาราขาวขุ่นจากศึกรักจากเมื่อค่ำหลงเหลืออยู่และนั่นก็เป็นสิ่งที่ใช้หล่อลื่นให้ความเป็นตัวตนของรพีพงศ์เข้าไปโดยง่าย



ร่างสูงค่อย ๆ กดกายเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน พอเข้าไปในกายของนาคินทร์เพียงส่วนปลาย รพีพงศ์ก็สอดแขนตนไปใต้ข้อพับของเข่าแล้วจับให้แยกออก ทั้งออกแรงยกนาคินทร์ขึ้นเล็กน้อยจากนั้นตนก็สวนสะโพกให้แก่นกายร้อนเข้าไปด้านในจนหมด



“อ่า….” รพีพงศ์ครางออกมา ความร้อนภายในกายนาคินทร์แม้จะได้พบเจอกันหลายครั้งหลายคราก็หาจะเบื่อหน่าย ซ้ำยังทำให้อยากจะเข้ามาแวะเวียนครั้งแล้วครั้งเล่า



รพีพงศ์เริ่มขยับกายตามใจปรารถนาตอกย้ำความเสียวกระสันเพื่อปลุกให้นาคินทร์ได้ตื่นขึ้นมา…ซึ่งมันก็ได้ผล เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อย ๆ ปรือตาออก ก่อนจะเบิกกว้างเสียเต็มตื่นเมื่อรับรู้ว่าตนกำลังถูกสวามีทำสิ่งใด



“อ๊ะ…ท่านพี่…ท่านพี่…อ่า..” นาคินทร์ร้องเรียกเพรียกหาน้ำเสียงหวานใส



“ตื่นแล้วหรือคนดี..อ่า…รู้หรือไม่ว่าพี่ปลุกเจ้านานเพียงใด” รพีพงศ์เอ่ย พร้อมกับใช้มือเชยคางคนรักให้หันมาเพื่อตนจะได้มอบจูบยามเช้าให้ปลายลิ้นได้ทักทายมอบความสุขแก่กันและกัน ทั้งยังปลุกอารมณ์ของนาคินทร์ให้โอนอ่อนตามตน



“อื้อ…ฮื้ม..”



นาคินทร์ร้องครางประท้วงทั้งที่ริมฝีปากยังคงถูกรพีพงศ์ปิดสนิท นาคินทร์ไม่ไหวกับการที่ถูกปรนเปรอทั้งบนและล่าง สวามีของตนร้อนแรงเกินไปเสียแล้ว ยิ่งปลายลิ้นเกี่ยวตวัดจนเกิดเสียงจาบจ้วง รพีพงศ์ก็กระแทกกระทั้นความเป็นตัวตนจนนาคินทร์แทบจะปลดปล่อย หากพอนาคินทร์จะถึงขีดสุด รพีพงศ์กลับผ่อนแรงทั้งยังผละริมฝีปากออก นาคินทร์ที่ต้องการต้องเป็นฝ่ายไล่งับราวปลาจะกินเหยื่อ



“อ่า..อ่ะ…ท่านพี่อย่าแกล้งน้อง” นาคินทร์เอ่ยออกมาน้ำเสียงออดอ้อน



“น้องต้องการสิ่งใด..อืม…บอกพี่มาเถิด”



“ต้องการท่านพี่…เร็วเข้า…หากชักช้า..อึก..น้องจะสุขสมด้วยมือตนเอง…อ๊ะ!!” นาคินทร์เอ่ยออกมาวาจาติดขัด มือเรียวข้างหนึ่งยื่นออกไปหมายจะจับแก่นกายตน ทว่า…



ใครเล่าจะปล่อยเมียตนสุขสมด้วยตนเอง ในเมื่อมีเขาแล้วผู้ที่มอบความสุขให้ย่อมมีเพียงตนเท่านั้น รพีพงศ์จับกายนาคินทร์ให้คุกเข่าทั้งโน้มกายคลานไปด้านหน้า ทั้งยังจับมือของนาคินทร์ที่ริอาจจะช่วยตัวเองให้ไพล่ไปด้านหลังและเพื่อไม่ให้นาคินทร์เสียการทรงตัวรพีพงศ์ก็ใช้แขนกอดรั้งเอวคอดไว้รวมทั้งมือได้กอบกุมแก่นกายนาคินทร์ไว้ จากนั้นรพีพงศ์ก็ขยับกายอีกครั้ง รวมไปถึงมือของตนที่ขยับสอดผสานกัน



“อืม…นาคน้อย…”



“อ่า…อ่ะ…อ่ะ..แรงอีก…ท่านพี่..แรงอีก…เร็วอีก” นาคินทร์ร้องขอไม่นึกอาย ในเมื่อเวลานี้นาคินทร์ต้องการ ต้องรพีพงศ์เท่านั้น



รพีพงศ์เองก็ไม่คิดขัดใจมอบให้ตามคำขอและเพิ่มเติมให้ในส่วนที่ตนเองก็ต้องการให้คนรัก รพีพงศ์โน้มกายไปด้านหน้าจนหน้าท้องลอนแผ่นอกกว้างแนบชิดติดแผ่นหลังชุ่มเหงื่อของนาคินทร์ รพีพงศ์จูบซับไปตามลาดไหล่ขึ้นไปยังต้นคอ นาคินทร์รับรู้ดีว่าเป้าหมายของรพีพงศ์คืออะไรจึงเอียงใบหน้าเผยอริมฝีปากรอรับรสจูบ



ห้องทั้งห้องดังก้องไปด้วยเสียงครางกระเส่าสลับกับเสียงหยาบโลนของบทจูบ ความฉ่ำแฉะชวนน่าอาย ทว่ามันช่างเปรียบเสมือนน้ำมันราดไปยังบไฟรักให้ลุกโชน



“อ่า…ใกล้แล้ว..ท่านพี่เร่งอีกนิด”



“ได้สิ..”



ไม่ใช่เพียงนาคินทร์ที่จะแตะขอบฝั่งฝัน รพีพงศ์เองก็เช่นเดียวกัน ดั่งคลื่นระรอกใหญ่ลูกสุดท้ายได้ถาโถมขึ้นสูง ก่อนจะซัดเข้าไปยังชายฝั่งจนเปียกชุ่ม ตามด้วยเสียงหวีดร้องจะดังประสานออกมาบ่งบอกถึงความสุขที่ได้มอบให้กันและกัน



“พี่รักเจ้านะ..เด็กขี้เซาของพี่”



“ใครว่าน้องขี้เซากันเล่า…น้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ท่านพี่กระซิบปลุกข้าแล้ว”







..................

มาแล้วค่า

พระพุธฟื้นแล้ววววววว เย้!!!!!! อาพุธฟื้นแล้วววว ในที่สุด.จุดพลุร่วมยินดีกันค่ะ

 ไม่ได้แต่ง nc มาพักใหญ่รู้สึกเขียนได้ไม่ดีนัก จากไม่ดีอยู่แล้วแต่ยุ่งก็อยากเขียนนนนนน ใจมันร่ำร้องว่าขอตอนหวานๆไม่หนักไม่ดราม่าสักตอน



หวังว่าจะชอบกันนะคะ



ตอนนี้เราจะได้เห็นชัดๆในความเหมือนของพ่อลูก พระเสาร์-นาคินทร์ เวลาเหนื่อยปลุกยากทั้งคู่คนหนึ่งโดนกัด คนปนึ่งโดนกดถึงจะตื่นและยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเล่ห์ด้วยสิ ไม่คิดว่าตัวเองจะเขียนพระเสาร์คนดุให้มีความละมุนนิดๆหน่อยๆได้ ก็คิดว่าคนอ่านจะชอบมุมนี้ของพี่เสาร์บ้างนะคะ



สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ติดตาม เข้ามาอ่าน มาเม้นนะคะ ติดชมได้ค่ะ

ป.ล. ช่วงนี้ฝนตกสลับแดดออก อากาศแปรปรวนดูแลสุขภาพด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.27 P.5 (11/10/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-10-2020 15:20:59
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.27 P.5 (11/10/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-10-2020 08:45:47
ฟินนนน~
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.28 P.5 (1/11/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 01-11-2020 16:12:27
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 28

ในที่สุดก็ครบกำหนดวันที่นาคินทร์รอคอย วันที่อินทุนิลคนชั่วช้าจะถูกพิพากษารับโทษให้สาสมกับความผิดที่ได้กระทำไว้ นาคินทร์มองเงาสะท้อนของตนในกระจกบานใหญ่ที่สวมอาภรณ์สีบัวฉลองขวัญทั้งประดับองค์ด้วยสร้อยสังวาลย์และปิ่นประจำวงศาส่งเสริมให้ดูงดงามยิ่งขึ้นไปอีก

“งดงามยิ่งนักเมียพี่ ยิ่งเจ้ายิ้มก็ยิ่งงดงาม” รพีพงศ์เข้ามาสวมกอดนาคินทร์เอาไว้จากด้านหลัง

“น้องมีความสุขเหลือเกินท่านพี่ ในที่สุดเรื่องราวเลวร้ายก็จบลงเสียที” นาคินทร์เอ่ยพร้อมหมุนกายเข้าหาสวมกอดสวามีของตนเอาไว้

“เช่นนั้นเราจะรออันใดกัน เร่งไปยังวชิรภูผากันเถิด” รพีพงศ์บอกกับนาคินทร์

“ยังไปมิได้ท่านพี่”

“เพราะเหตุใดเราถึงยังไปมิได้”

“น้องว่าจะเข้าไปตามท่านพ่อก่อน จนถึงบัดนี้ยังมิออกมา น้องคิดว่าไม่แคล้วจะต้องโต้เถียงกับท่านอาพุธ” นาคินทร์ตอบ

“นั่นสิ ตั้งแต่ท่านอาฟื้นขึ้นมาทั้งที่ยังขยับกายได้เพียงเล็กน้อยแต่มีแรงเถียงกับท่านพ่อ ไม่รู้วันนี้จะเถียงกันในเรื่องใดอีก” รพีพงศ์เอ่ย

ย้อนกลับไปในยามที่รพีพงศ์และนาคินทร์ล่วงรู้ว่าพระพุธได้สติต่างก็ปิติยินดีโดยเฉพาะนาคินทร์ถึงกับเก็บอัสสุชลแห่งความตื้นตันเอาไว้แทบไม่อยู่ ทั้งยังเข้าสวมกอดพระพุธเอาไว้อีกกลับกลายเป็นผู้ป่วยต้องปลอบโยนคนมาเยี่ยมเยือนเสียแทน

รพีพงศ์กับนาคินทร์เดินมาถึงหน้าห้องของพระเสาร์ หากบรรยากาศต่างไปจากที่ทั้งสองคิด เงียบงัน…ไร้เสียง นับว่าแปลกไปจากเดิมยิ่งนัก

“ท่านพ่อ ลูกขอเข้าไปนะขอรับ” นาคินทร์เอ่ยขออนุญาต

“เข้ามาเถิด” เสียงจากอีกฝั่งประตูโต้กลับมา นาคินทร์และรพีพงศ์จึงผลักบานประตูแล้วเดินเข้าไป

สิ่งที่ดวงตาทั้งสองคู่ได้เห็นนั้นคือพระพุธที่กำลังนอนตะแคงข้างหันหลังให้กับเจ้าของวิมานที่กับหลังจับต้นแขนผอมบางไว้ โดยใบหน้าพ้นหน้ากากแสดงอารมณ์กังวลออกมา

“ท่านพ่อ…ท่านอาเป็นอันใดหรือ” นาคินทร์ซักถามใจนึกหวั่นว่าอาการของพระพุธจะทรุดลงอีกครั้ง

“เป็นผู้ครองหยกดารา ผู้ดื้อดึงและล่าสุดได้ตำแหน่งผู้แง่งอน” พระเสาร์ตอบกลับเสียงเรียบ หากคนได้ยินคำตอบแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะที่จะหลุดออกมาจากปากแทบไม่ทัน

“พุธไม่ดื้อ พุธไม่งอน พี่เสาร์อย่ามาใส่ร้ายพุธต่อหลาน รพีพงศ์ นาคินทร์อย่าไปเชื่อเทพใจร้ายผู้นี้ แล้ว…แล้วพี่เสาร์ไม่ต้องจับตัวพุธจะไปไหนก็ไปเลย” พระพุธแก้ตัวพัลวัลก่อนจะพลิกตัวทุบตีแขนพระเสาร์ทั้งเอ่ยปากไล่โดยนึกลืมไปว่าหมอนที่หนุน เตียงที่นอน ห้องที่อาศัย ล้วนเป็นของพระเสาร์

“ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไยข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นอันใดและเจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าเหตุใดข้าถึงไม่ให้เจ้าไป”

“ท่านพ่อ ท่านอาจะไปที่ใดกันหรือว่าจะกลับวิมาน” นาคินทร์ซักถาม

“อาพุธของเจ้าจะไปวชิรภูผา อยากร่วมเป็นสักขีพยานในการตัดสินโทษของอินทุนิล” พระเสาร์ตอบนาคินทร์กลับไป

“ข้าพ่อจะเข้าใจท่านพ่อแล้ว ท่านอาขอรับ…เวลานี้ท่านอาร่างกายยังไม่แข็งแรงนัก เกรงว่าการไปเยือนวชิรภูผาจะทำให้ร่างกายของท่านอาฟื้นตัวได้ช้า ข้าคิดว่าท่านพักผ่อนรอฟังข่าวดีหลังจากพวกเรากลับมาเถิดหนา” รพีพงศ์หว่านล้อมให้พระพุธโอนอ่อนตาม ด้วยพื้นฐานพระพุธเป็นคนมีเหตุผลน้อยครั้งจะเอาแต่ใจเช่นนี้ รพีพงศ์คิดว่านั่นอาจเป็นเพราะอาการป่วยทำให้นิสัยเปลี่ยน

“รพีพงศ์หลานอา…เจ้าจงฟังคำอาให้ดี เหตุที่อาต้องการจะไปวชิรภูผาทั้งที่ตัวอานั้นแม้จะลุกขึ้นมานั่งยังลำบาก อาย่อมมีเหตุผลด้วยตัวอารู้สึกหวั่นใจตั้งแต่ลืมตาว่าจะเกิดเหตุร้าย” พระพุธเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงหฤทัยเต้นระรัวจนเจ็บอุรา พระพุธรู้ดีลางสังหรณ์ของตนมักเป็นจริงอยู่เสมอ

“และข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าอย่าได้กังวล เหตุร้ายที่เจ้าหวั่นใจมันเกิดขึ้นแน่แต่จะเกิดขึ้นกับอินทุนิลเพียงผู้เดียว” พระเสาร์เอ่ย

“ใช่แล้วท่านอา เรื่องร้ายจะเกิดขึ้นกับเพียงอินทุนิลคนเดียว วันนี้จะเป็นวันที่อินทุนิลต้องชดใช้กรรม” นาคินทร์พูดเสริม

○●○●○

ภูผาสูงตระหง่านล้อมด้วยม่านเมฆาช่างงดงาม หากมนุษย์ได้ยลคงคิดเห็นพ้องกันว่าราวตกในห้วงความฝันใครได้เที่ยวชมยลความงามนี้ก็คงดี ทว่าสำหรับเหล่าเทวดา นางอัปสร ตลอดจนยักษาอสุราที่มีสายเลือดเทวาไหลเวียนต่างก็ไม่อยากจะมายังวชิรภูผานี้

…เพราะต่างรู้ดีว่าสถานที่นี้คือลานประหารโดยใช้สายฟ้าฟาดลงกายาดั่งตามนามของมัน…

เว้นแต่มาร่วมเป็นพยานตามคำเชื้อเชิญในยามตัดสินโทษร้ายแรงที่เทเวศร์ใจบาปกระทำผิดไว้ เฉกเช่นในวันนี้เหล่าเทพา-เทพีชั้นสูงต่างมารวมตัวกัน ณ วชิรภูผา ในการตัดสินโทษของอินทุนิลซึ่งคงหนีไม่พ้นโทษประหาร

ลานกว้างบนภูผาครานี้เต็มไปด้วยทวยเทพที่นั่งยังบนตั่งประจำตำแหน่ง เหนือขึ้นจากพื้นศิลาเล็กน้อยจะมีบัลลังก์อันมีพระผู้สร้างประทับอยู่ หากในวันนี้ไร้เงาของบุษยะเทพรับใช้ข้างกาย

… ‘ถ้าให้เดาคงไม่อยากให้เทพตัวน้อยดูภาพการตายแสนสยดสยองชวนให้กระเหี้ยนกระหือรือเป็แน่’ …

“ยามนี้ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วในการที่ข้าจะตัดสินโทษ ทหารจงนำตัวเทพอินทุนิลมารับฟังคำพิพากษาบัดเดี๋ยวนี้” พระผู้สร้างตรัสขึ้นเมื่อเห็นว่าเหล่าทวยเทพที่เชิญมาได้เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

เสียงโซ่ตรวนดังกระทบพื้นเนียกให้ผู้ที่สดับฟังต้องหันไปสนใจ ข้อเท้าเล็กสวมใส่โซ่ตรวนที่เสียดสีให้ผิวขาวถลอกจนแดงก่ำ ทุกย่างก้าวนั้นไร้ซึ่งอิสระจะเดินเหินก็แสนจะลำบาก ไหนจะข้อมือที่ถูกพันธนาการด้วยเชือกวิเศษยากที่จะหลุดพ้นได้

นอกจากนี้ยังมีทหารเทวาร่างสูงใหญ่ขนาบทั้งด้านซ้าย-ขวา หน้า-หลัง แต่สิ่งที่ทำให้อินทุนิลอดภูมิใจในความชั่วร้ายที่ตนกระทำมาตลอดก็คงหนีไม่พ้นผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ‘นภนต์’ แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสรวงทั้งครองตำแหน่งบัลลังก์เมฆา แค่คิดก็ทำให้อินทุนิลอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“ฮ่า ฮ่า…ฮ่า ฮ่า”

“อินทุนิลเจ้าวิปลาสไปแล้วหรือไรถึงได้หัวเราะออกมา” หนึ่งในเทพีแห่งมวลบุปผาเอ่ยถามขึ้น

“ข้าหาได้วิปลาสแต่ข้านึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งข้าผู้ซึ่งใครต่างกล่าวว่าไร้ค่า บัดนี้กลับถูกควบคุมตัวด้วยเทพแห่งท้องนภา เจ้าว่าข้านั้นต้องเก่งเพียงใด” อินทุนิลเอ่ยตอบก่อนจะถูดจับให้นั่งลงคุกเข่าตรงหน้าพระพักตร์ผู้เป็นใหญ่ในไตรโลก

“เจ้ามิได้เก่งแต่เจ้ามันชั่วช้ายิ่งกว่าสัตว์ในนรกภูมิเสียอีก อินทุนิล” ผู้เอื้อนเอ่ยประโยคนี้หาใช่ใครอื่นแต่เป็นนาคินทร์ที่แม้อยากสำรวม ทว่าสายโลหิตนาคานั้นอาฆาตไม่อาจข้ามผ่านปล่อยเฉยไปได้

“ใช่ ข้ามันคนชั่วช้าที่สังหารมารดาเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แม้จะถูกด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายเสียดแทงขั้วหัวใจ ทว่าอินทุนิลกลับไม่สะเทืนสักนิดยิ่งไปกว่านั้นกลับโต้ตอบกลับไปให้นาคินทร์เจ็บช้ำมากกว่าหลายเท่าตัว

“อินทุนิล!! เจ้า!!” นาคินทร์โมโหจนตัวสั่น ดวงตาสีม่วงแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธา นาคินทร์แทบจะกลายร่างเป็นนาคเข้าเลื้อยรัดอัดกระดูกอินทุนิลให้แหลกเป็นผงธุลี

“สงบจิตก่อนเถิดนาคินทร์ เชื่อพ่อ” พระเสาร์จับมือบุตรชายของตนให้ใจเย็นลง

“ท่านพ่อ…”

“มือของเจ้าไม่จำเป็นจะต้องเปื้อนเลือดของคนชั่วนี้ เจ้าอย่าลืมสิบัดนี้เราอยู่ต่อหน้าผู้ใด” พระเสาร์เอ่ยต่อ ใช่ว่าตนจะไม่นึกขุ่นเคืองอินทุนิลตรงกันข้ามพระเสาร์ชังน้ำหน้ายิ่งนักแต่กฏของสวรรค์ความผิดของอินทุนิลจะต้องรับโทษจากพระผู้สร้างเท่านั้น

“พระผู้สร้าง กระหม่อมขออภัยที่เสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์แล้ว”

“เอาเถิดข้าเข้าใจ หากครั้งหน้าสืบไปไม่ว่าสถานการณ์ใดเจ้าจงระงับอารมณ์เข้าใจหรือไม่”

“กระหม่อมเข้าใจแล้วพะยะค่ะ”

“เทพกิตติธร จงอ่านความผิดของอินทุนิลให้เทพทั้งหลายได้ทราบ”

หลังจากศึกฝีปากได้จบลง พระผู้สร้างก็ได้เรียกเทพผู้รักษากฎแห่งสวรรค์มาเปิดสาส์นซึ่งขีดเขียดอักษรบ่งบอกการกระทำผิดของเทพแห่งกลุ่มดาวแมงป่อง

“ข้าเทพกิตติธรผู้รักษากฎแห่งเทวโลกนี้ ขอประกาศแจ้งแด่เทพทั้งหลายให้ทราบโดยทั่วกันถึงความผิดของเทพอินทุนิล ดังต่อไปนี้” เมื่อน้ำเสียงของเทพกิตติธรเปล่งออกมา เทพาและเทพีทั้งหลายต่างเงียบเสียงพร้อมสดับฟังเพื่อไม่ให้ตกหล่นสักถ้อยคำเดียว

“ประการแรกเทพอินทุนิลลักลอบเรียนวิชานอกรีตและใช้ทำร้ายผู้อื่นทั้งถึงฆาตก็ดี ไม่ถึงฆาตก็ดี ซึ่งการใช้วิชานอกรีตนี้เป็นสิ่งต้องห้ามของสวรรค์

ประการที่สองเทพอินทุนิลสาปผู้อื่นและทำร้ายหมายเอาชีวิต พรากบุตรจากบิดา พรากสวามีออกจากชายา ตามราวีสังหารจนมุตตาชายาของพระเสาร์ถึงแก่ความตาย

ประการที่สามทำร้ายพระพุธผู้เป็นเทพชั้นสูงด้วยเป็นหนึ่งในเทพนพเคราะห์

ประการสุดท้ายวางแผนทำลายความรักของนาคินทร์ผู้เป็นบุตรของมุตตา ทั้งยังคิดจะกำจัดให้พ้นทาง”

เทพกิตติธรอ่านจบก็ก้าวถอยหลังไปยังตำแหน่งเดิมของตน

“เอาล่ะ เพื่อความยุติธรรม…อินทุนิล สิ่งที่เทพกิตติธรได้กล่าวมามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง เจ้าสามารถคัดค้านได้” พระผู้สร้างตรัสถามกับนักโทษตรงหน้าที่ยังคงยิ้มเหยียดไม่สะทกสะท้านกับความผิดแม้แต่น้อย

… ‘ไม่มีเลยท่าทางสำนึกผิด’ …

“กระหม่อมไม่ขอคัดค้านในสิ่งที่เทพกิตติธรกล่าวมาพะยะค่ะ”

“เช่นนั้น ข้าขอตัดสินให้เจ้าได้รับโทษประหารด้วยวชิระแห่งเราเข้าฟาดร่าง ทหารนำตัวของตัวอินทุนิลตรึงไว้กับลาน”

สิ้นสุรเสียงของพระผู้สร้าง ทหารกล้าได้จับอินทุนิลให้นอนลงกับพื้น แขนและขาทั้งสองข้างถูกจับตรึงไว้กับหลักหินยึดตัวอินทุนิลไม่ให้ขยับ เมื่อพระผู้สร้างเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงร่ายคาถาเรียกอาวุธประจำกายของพระองค์ออกมา

‘เปรี้ยง!!!’

อสุนีบาตฟาดเข้าที่กลางลำตัวของอินทุนิลก่อนจะเกินเพลิงลุกำหม้เปาผลาญร่าง ทว่ากลุ่มควันที่ล่องลอยในอากาศกลับก่อตัวเป็นรูปร่างของชายรูปร่างสูงใหญ่ วงพักตร์นั้นงดงามยิ่ง บ่ากว้างนั้นมีอสรพิษตัวยาวเลื้อยพาดอยู่หากไม่ได้สร้างความหลงใหลให้กับเหล่าทวยเทพที่ได้เห็นตรงกันข้ามต่างตกอกตกใจไม่คิดว่าจะได้เจอ…

“มารล้านภาค!!!” พระผู้สร้างเอ่ย เหล่าเทพและนางอัปสร์ได้ยินเช่นนั้นต่างก็ส่งเสียงเซ็งแซ่ ลุกลี้ลุกลนจนเสียกริยา

“ทหารคุ้มครองพระผู้สร้างบัดเดี๋ยวนี้!!” เทพนภนต์ได้สติก่อนใครเร่งสั่งทหารทำหน้าที่ปกป้องผู้ครองบัลลังก์สวรรค์และเทวา ณ วชิระภูผานี้ แม้มารล้านภาคจะเป็นกายทิพย์แต่นภนต์ไม่คิดประมาท

“โอ้!! พระผู้สร้างจำข้าได้หรือนี่ ข้าดีใจยิ่งนัก” มารล้านภาคเอ่ย ก่อนจะปรากฎร่างของอินทุนิลที่สลบไสลอยู่ในอ้อมแขน

“พวกเจ้าไม่ต้องปกป้องพระผู้สร้างดอก อย่างไรเสียวันนี้ข้ามิได้ต้องการจะมาสังหารใคร ข้าเพียงมารับเทพผู้นี้ไปเท่านั้น” มารล้านภาคเอ่ยพลางก้มมองอินทุนิลไปด้วย สร้างความสงสัยให้แก่ทุกคนว่าเหตุใดมารล้านภาคจึงอยากได้ตัวนักโทษประหารนี้

“และวันใดที่ข้าต้องการรบเพื่อยึดครองทั้งสามโลก ข้าจะส่งสาส์นท้ารบมาอีกครั้ง ขอให้พวกเจ้าอดใจรอ ข้าให้สัญญาว่าอีกไม่นานเราจะได้เจอกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มารล้านภาคเอ่ยจบ กลุ่มควันก็พลันสลายราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน

“มารล้านภาคกำแหงนัก บังอาจขึ้นมายังสวรรค์แม้จะใช้กายทิพย์ก็ตามที”

“เจ้าได้ยินหรือไม่ อีกไม่นานมันจะยกทัพอสุราบุกมาอีกครั้ง”

“แย่แน่ ครานี้พระพุธที่เคยปราบมารล้านภาคก็ได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว”

“เงียบ!!!” พระเสาร์ตวาดออกมาดั่งลั่นทำให้เทพที่กำลังหวาดหวั่นกับศึกที่กำลังจะเกิดก็สงบปากเก็บเสียงจนสิ้น

“แทนที่จะช่วยคิดกันวางแผนกลับทำตัวเยี่ยงกระต่ายตื่นตูม ลืมไปแล้วหรือไรว่าเราเป็นเทพหาได้ต้องกลัวพวกมาร พวกอธรรมไม่” พระเสาร์เอ่ยต่อ

“เป็นอย่างพระเสาร์เอ่ย พวกท่านอย่าได้ตีตนไปก่อนไข้ เวลานี้ควรตั้งสติและร่วมมือกันวางแผนรับมือกับพวกมารจะดีกว่า” รพีพงศ์พูดเสริม

“เอาล่ะ พวกเจ้าจงฟังข้าวันพรุ่งข้าขอให้พวกเจ้ารวมกันที่สภาเทวาในยามอรุณรุ่งเพื่อหารือกันในการศึกครั้งนี้” พระผู้สร้างรับสั่ง

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”

“รับด้วยเกล้าเพคะ”

เมื่อได้รับคำสั่งเป็นที่เรียบร้อย เทพทั้งหลายต่างแยกย้ายกันกลับวิมานของตน หากพระเสาร์ รพีพงศ์และนาคินทร์ยังไม่ทันจะก้าวเท้าไปยังสัตว์พาหนะประจำกาย พระจันทร์และพระพฤหัสบดีก็เดินดาหน้าเข้ามาขวางเสียก่อน

“พระจันทร์ พระพฤหัส มีเรื่องอันใดกับข้า” พระเสาร์เอ่ยถาม

“พวกข้าต้องการจะถามไถ่อาการของน้องข้าว่าเพลานี้เป็นเช่นไรบ้าง” พระพฤหัสตอบ

“จันทรัชฟื้นแล้ว หากเคลื่อนไหวร่างกายได้เพียงเล็กน้อย”

“ฟื้น…จันทรัชฟื้นแล้ว น้องข้าฟื้นเมื่อกาลใด เหตุใดท่านไม่แจ้งแก่ข้าหรือพระพฤหัสเล่า” พระจันทร์เอ่ยออกมาน้ำเสียงบ่งบอกถึงความตื่นเต้นดีใจอย่างปิดไม่มิด

“ฟื้นตั้งแต่สามราตรีก่อน หากข้านั้นวุ่นวายเตรียมตัวจะเข้าร่วมการตัดสินโทษอินทุนิล ข้าจึงมิได้บอกใคร”

… ‘โกหก…ท่านพ่อโกหก ใครว่าวุ่นวายเตรียมตัวกันเล่า ท่านพ่อมัวแต่เร่งสืบเสาะค้นหาของมาบำรุงท่านอาพุธจนโดนท่านอาบ่นเข้าให้’ …

“เช่นนั้นวันนี้ข้ากับพระพฤหัสขอรบกวนไปเยี่ยมจันทรัชที่วิมานของท่าน” พระจันทร์เอ่ยต่อ

“หากพวกท่านอยากจะมา ข้านั้นยินดี” พระเสาร์เอ่ย จากนั้นสามเทพนพเคราะห์ก็ขึ้นขี่สัตว์พาหนะมุ่งหน้าไปยังวิมานของพระเสาร์

“ท่านพี่…ข้ากังวลนัก” นาคินทร์ที่เลือกจะขึ้นขี่ราชสีห์ขนแดงของรพีพงศ์เอ่ยขึ้นหลังจากเดินทางได้สักระยะ

“เจ้ากังวลอันใดนาคินทร์หรือเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของท่านพ่อกับท่านอา” รพีพงศ์เอ่ย ยามนี้ไม่ว่าใครที่ได้เห็นสายตาของพระเสาร์ที่ทอดมองพระพุธย่อมรู้ดีว่าหาได้มองเฉกเช่นพี่มองน้องแต่อย่างใด…มันเกินเลยไปยิ่งกว่านั้น

รพีพงศ์กลัวนาคินทร์จะคิดมากแม้ว่าจะสนิทกับพระพุธก็ตามทีแต่น้อยนักที่จะมีบุตรคนไหนใคร่จะยอมรับผู้อื่นมาแทนมารดาตน

“หาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้ายินดียิ่งหากเป็นท่านอาพุธ” คำตอบของนาคินทร์นั้นมาจากใจ ไม่ใช่เพราะคำสั่งเสียของมุตตาที่ทำให้นาคินทร์เปิดใจ หากเป็นเพราะอุปนิสัยของพระพุธต่างหากที่ทำให้นาคินทร์รัก ถ้าจะให้ชั่งน้ำหนักในใจนาคินทร์นึกหวงท่านอาคนงามมากกว่าท่านพ่อตนเสียอีก

“หากไม่ใช่เรื่องนี้ น้องกังวลเรื่องใดเล่า” รพีพงศ์โล่งอกไปหนึ่งเปราะ ทว่าก็ยังมีเปราะที่ยังไม่ได้แก้

“ท่านพี่เห็นงูที่อยู่กับมารล้านภาคหรือไม่”

“เห็น งูตัวนั้นมันทำไมหรือ”

“ดวงตาของมันจับจ้องเพียงข้าจนข้านั้นรู้สึกและอดไม่ได้ที่จะจ้องกลับไป ข้า…ข้ารู้สึกได้ว่างูตัวนี้คืออดีตพระสมุทรกนธี” นาคินทร์บอกกล่าวรพีพงศ์น้ำเสียงสั่นเครือ กลัว…นาคินทร์กลัวเหลือเกิน กลัวคนที่เคยพรากชีวิต พรากลมหายใจของตนมาแล้วครั้งหนึ่ง

‘หมับ’

“อย่าได้กลัวนาคินทร์ เจ้าอย่าลืมว่าข้างกายของเจ้าในเพลานี้ยังมีพี่ พี่จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเจ้าแม้บาดแผลเพียงปลายก้อยของเจ้าจะไม่มีทางได้รับ” รพีพงศ์ให้คำมั่น แขนแกร่งนั้นรั้งเอวของนาคินทร์เข้าสวมกอด

นาคินทร์เอนกายเข้าหาพิงแผ่นอกกว้างหาไออุ่น คงไม่มีสถานที่แห่งใดจะทำให้นาคินทร์รูสึกปลอดภัยได้เท่ากับการได้อยู่เคียงข้างรพีพงศ์อีกแล้ว

อีกด้านหนึ่งสามเทพที่เดินทางล่วงหน้ามาถึงวิมานหงสบาทก็ต้องรับมือกับเทพแสนงอนอย่างพระพุธซึ่งโดนพระเสาร์ดุด้วยความเป็นห่วง จะไม่ดุก็ไม่ได้ในเมื่อน้องน้อยฝืนสังขารพยายามลุกจนพลัดตกจากเตียง

“ข้าออกจากวิมานไม่กี่ชั่วยาม เจ้าก็ซุกซนหาเรื่องเจ็บตัวถึงเพียงนี้” พระเสาร์ดุพระพุธพลางจับอีกฝ่ายอุ้มขึ้นมานั่งบนตัก

“พระเสาร์ส่งน้องมา ข้าจะอุ้มน้องเอง” พระพฤหัสบดีผู้หวงน้องเอ่ย หากเป็นพระจันทร์อุ้มตนนั้นจะไม่คิดมากเลย

“ไม่เป็นไร จันทรัชตัวเบาข้าอุ้มไหว” พระเสาร์ตอบ ใบหน้านั้นนิ่งสนิทราวกับว่าไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของพระพฤหัสบดี แต่เปล่าเลยพระเสาร์รู้อยู่เต็มอกเพียงหาเรื่องแกล้งพระพฤหัสบดีเท่านั้น

“พี่กรวีร์อุ้มน้องไปยังสวนได้หรือไม่ น้องไม่อยากนอนอุดอู้ในห้องสี่เหลี่ยมนี้” ทว่าพระพุธกลับไม่ให้ความร่วมมือ เนื่องจากถูกดุจึงไปหาคนใจดีเพื่อออดอ้อนในสิ่งที่ตนต้องการ

“มาเถิด พี่จะอุ้มเจ้าไป” พระพฤหัสบดียิ้มกว้างก่อนจะย่อตัวอุ้มพระพุธออกจากห้องไปยังสวน โดยพระจันทร์และพระเสาร์เดินตามหลัง

“วันนี้การตัดสินโทษเป็นเช่นไรบ้าง” ทันทีที่ทั้งสี่นั่งในศาลากลางสวน พระพุธก็ซักถามถึงเหตุการณ์ในวันนี้ สามเทพที่เหลือได้ยินคำถามต่างก็มองซ้าย มองขวาคล้ายจะให้ใครคนใดคนหนึ่งตอบ

“พี่นิศานาถบอกกับรัชได้หรือไม่” ในเมื่อเลือกไม่ได้พระพุธจึงเป็นฝ่ายเลือกให้

“อินทุนิลได้รับโทษประหารตามความผิดที่ทุกคนคิดไว้ ทว่าอินทุนิลนั้นกลับไม่ตาย”

“เหตุใดจึงไม่ตายเล่า” พระพุธนึกสงสัยด้วยวชิราของพระผู้สร้างนั้นหาผู้ใดรอดพ้นได้ยกเว้นผู้เทพนภนต์เมื่อครั้งกระทำผิดจับกุมเทพชลันธร เว้นเพียงอินทุยนิลหาได้กระทำผิดซึ่งไม่ใช่แน่นอนเพราะการที่ตนเป็นเช่นนี้ก็เพราะอินทุนิล

“อินทุนิลได้รับการช่วยเหลือจากมารล้านภาคและการที่พี่กับพระพฤหัสมาหาเจ้าในวันนี้ก็เพื่อปรึกษาหารือปกป้องเจ้าไว้ เพราะพี่เชื่อว่ามันคงจะต้องหมายหัวและหวนกลับมาทำร้ายเจ้าเป็นแน่” ผู้เป็นพี่นึกกังวลเพราะผู้ที่ปราบมารล้านภาคได้คือพระพุธและการที่มารล้านภาคทำลายคุกกาลเวลา ทั้งยังขึ้นมาท้าทายบนสวรรค์ได้ เช่นนี้แล้วจันทรัชคงจะไม่ปลอดภัย

ในเมื่อมารล้านภาค กนธีและอินทุนิล ทั้งสามล้วนเป็นศัตรูกับพระพุธด้วยกันทั้งสิ้น







.............................

มาแล้วค่ะ หวังว่ายังมีคนเข้ามาอ่านนะคะ ตอนนี้มาแบบเนิบๆไม่มีอะไร กลัวคนอ่านเบื่อมากว่าเนื้อเรื่องยืดยาด อีกทั้งดูจะไม่ค่อยโฟกัสกับความรักของคู่หลัก รพีพงศ์นาคินทร์สักเท่าไหร่ ท่านยุ่งต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่วางพล็อตมาทางนี้แล้ว มันเลยต้องเป็นไปค่ะ อดทน ฝืนอ่านกันไปก่อนนะคะ พ้นโค้งนี้แล้วมันจะดีขึ้นค่ะ

ส่วนด้านการเขียนยุ่งรู้สึกเขียนแย่ขึ้นมาก พยายามพัฒนาอยู่ยังไงใครต้องการชี้แนะ แนะนำอะไรยุ่งยินดีรับฟังเพื่อปรับปรุงแก้ไขค่ะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ติดตาม คอมเมนท์เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.28 P.5 (1/11/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 04-11-2020 22:42:07
สนุกดีนะคะ สู้ๆเป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.29 P.5 (12/12/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 12-12-2020 18:36:38
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 29

ความปรารถนานี้ไม่ต่างจากเปลวไฟที่โชติช่วง ยิ่งปล่อยไว้ก็ยิ่งลุกลามไม่มอดดับ นับตั้งแต่ออกจากคุกกาลเวลาออกมาได้กนธีก็อยากกลับมาแก้แค้นทวงคืนทุกสิ่งที่เคยครอบครอง กนธีต้องการกลับมายังวิมานใต้ห้วงมหาสมุทรและได้ครองบัลลังก์ปกเกล้าเหนือเศียรทุกสรรพสิ่ง ทว่า…

“ช้าก่อนกนธี ตอนนี้หาใช่เพลาที่เจ้าจักชิงเอาบัลลังก์มุกสีคราม” จอมมารล้านภาคปรามกนธีที่กำลังเลือกอาวุธในวิหารนอกรีต ณ เชิงเขาจิตตะ วิหารของตนที่สร้างเอาไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน

“แล้วเมื่อใดกัน จะต้องรอสมุนพลพรรคของเจ้าก่อนหรือไร”

“เหตุผลหนึ่งคือใช่”

“กล่าวเช่นนี้คงไม่แคล้วมีเหตุผลอีกประการใช่หรือไม่ หากเจ้าเห็นข้าเป็นผู้ที่จะร่วมหัวจมท้ายเอาคืนแดนสรวงก็จงบอกให้ข้านี้ได้แจ้งใจ”

“กนธี ในเมื่อเจ้ากล่าวมาเช่นนี้แล้วข้าคงไม่อาจปิดบังเจ้า เป็นอย่างที่เจ้าคิดไว้ ข้ายังมีเหตุผลอีกประการที่สำคัญ นั่นคือรอคอยศิษย์แห่งข้า ผู้ถูกทำนายว่าจะนำภัยร้ายสู่สวรรค์จนแตะเส้นขอบแห่งความพินาศ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ครานั้นจอมมารพศินได้บอกกล่าวกับกนธี แววตา น้ำเสียงล้วนบ่งบอกถึงความมั่นใจว่าพวกตนจะได้รับชัยชนะ หากก่อนจะได้รับ ทั้งสองจำต้องรวบรวมไพร่พลที่ยังคงสวามิภักดิ์ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งหนใดในไตรโลก จะลอยล่องหลบตามกลีบเมฆ ซ่อนกายปะปนอยู่กับผืนพสุธา ม้วนตัวเข้ากับเกลียววารีหรือจะรับกรรมในนรกภูมิ

ต่อให้อยู่ไกลสุดขอบจักรวาล จอมมารล้านภาคก็มีพลังพอที่จะใช้กระแสจิตส่งข่าวการกลับมาของตน…การกลับมาของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่

หลังจากนั้นเมื่อรวบรวมผู้ที่ยังภักดีต่อตนได้แล้วจำนวนหนึ่ง จอมมารล้านภาคก็พากนธีเข้าไปรับศิษย์ของตน ณ วชิรภูผา ลานพิพากษาของเทพยดานางอัปสรและผู้นั้นหาใช่ใครอื่น ‘อินทุนิล’ ผู้ดูแลกลุ่มพิจิกดารา

เมื่อทุกอย่างบรรลุไปตามที่ใจต้องการแล้ว กนธีจึงไม่รอช้าที่จะทำในสิ่งที่ตนรอคอยมานานให้เป็นจริง ซึ่งในวันนี้กนธีก็ทำการสำเร็จไปอีกขั้นนั่นคือได้กลับมายังอาณาเขตแห่งวิมานมุกสีคราม แต่ถ้าจะให้กนธีดีใจได้เต็มอกคงต้องสังหารหลานรักที่นำทัพมาด้วยตนเองไร้ซึ่งแม่ทัพหลวงผู้เปรียบเสมือนยอดดวงใจ ซึ่งเพลานี้คงจะ… ช่างเถิด อย่างไรเสียก็หาใช่ธุระกงการอะไรกับตนอยู่แล้ว

บัดนี้อสุราใต้มหานทีน้อยใหญ่ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิม เพียงแค่รอเท่านั้น…รอสัญญาณจากผู้นำทัพ แล้วพวกมันจะเข้าไปบดขยี้กองทัพแห่งพระสมุทรเทวาให้แตกเป็นผุยผงให้ยิ่งเสียกว่าเม็ดทราย

“ฆ่ามัน!! ฆ่ามัน!! ฆ่ามัน!!”

อสูรอัปลักษณ์ทั้งใจกายต่างตะโกนข่มขวัญคู่ต่อสู้อย่างพร้อมเพรียง หากจำต้องหุบปากเก็บเสียงเมื่อ ‘กนธี’ แม่ทัพของพวกตนยกมือขึ้นเป็นสัญญาณไม่ให้เอ่ยสิ่งใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ

“ชลันธรหลานรัก…ไม่สิ ต้องเรียกพระสมุทรชลันธร ขอบน้ำใจท่านมากที่ออกมาต้อนรับเทพต่ำต้อยเช่นข้าด้วยตัวเอง” กนธีเอ่ยเสียงดังพอที่จะทำให้ผู้นำทัพซึ่งอยู่อีกฟากฝั่งของสนามรบได้ยิน

“อย่าได้ใช้เอื้อนเอ่ยคำขอบใจออกมาเลย ข้าต้องขออภัยที่มิอาจต้อนรับท่านให้สมเกียรติ ด้วยท่านทำผิดกฏสงครามแห่งสวรรค์ ไร้สาส์นท้ารบแจ้งแก่เราล่วงหน้า” ชลันธรกล่าวตอบกลับไปไม่ลืมจะตำหนิติเตียนอดีตพระปิตุลา ยังดีที่ตนนั้นเตรียมพร้อมรับมือหลังจากเหตุการณ์มารล้านภาคชิงตัวอินทุนิล

… ‘คิดไว้ไม่มีผิดว่าจะต้องยกทัพบุกมาไม่ต่างจากกองโจร’ …

“เพราะข้าเร่งรีบต้องการจะฆ่าหลานรักให้ม้วยมรณา ถึงได้มาโดยไม่บอกกล่าว”

น้ำคำที่ร้อยเรียงเป็นประโยคบอกกล่าวแก่เทวาแห่งมหาสมุทร ล้วนเป็นความจริงจากใจที่อยากจะทำลายชลันธรชนิดที่ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดดั่งคราก่อน

“ฆ่ามันให้สิ้น!!! เปิดสุสานขุดวิญญาณอสูรทะเลให้ได้!!!”

กนธีป่าวประกาศดังทั่วทั้งกองทัพ เมื่อสิ้นเสียงเหล่าอสูรร้ายต่างวิ่งรุดหน้าเข้าโจมตีโดยทันที ไม่นึกกริ่งเกรงว่ากำลังต่อสู้กับทัพของผู้เป็นใหญ่ในน่านชลธาร เป้าหมายของวันนี้ของพวกมันหาได้เป็นช่วงชิงบัลลังก์หากเป็น ดวงวิญญาณร้ายที่ถูกผนึกเอาไว้ในสุสาน ซึ่งบัดนี้ได้ถูกป้องกันเอาไว้แน่นหนาด้วยทัพของชลันธร

“ปกป้องมหาสมุทร ปราบพวกสวะอาจมนี้เสียอย่าให้เหลือซาก!!!”

ชลันธรเองนำทัพเข้าปะทะเปลี่ยนศาสตราวุธประจำกายอย่างตรีศูลให้กลายเป็นแส้หนามแล้วเหวี่ยงตวัดซัดร่างศัตรูที่เป็นแนวหน้าเข้าโจมตีจนขาดเป็นสองท่อน ช่วยลดทอนกำลังได้มากโข จากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพลทหารเทววารีจัดการ

ด้านกนธีเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำให้กับทางชลันธรจึงส่งสัญญาณให้มารบางส่วนแปลงร่างเป็นไส้เดือนทะเลหน้าตาหน่าเกลียดหน้ากลัว เลื้อยมุดเข้าไปในทราย ก่อนจะโผล่พรวดขึ้นมาเลื้อยรัดข้อเท้าและฉุดทหารของชลันธรให้จมลงไปในพื้นทราย

ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่ง…

หากจมลงไปเรื่อยๆ …

และยังคงต่อเนื่องหากไม่รีบดำเนินการแก้ไข…

ชลันธรร่ายคาถาเปลี่ยนแส้หนามให้กลับมาเป็นตรีศูล ฝ่ามือด้านที่ว่างก็ปล่อยพลังสร้างฟองน้ำหุ้มตัวของทหารเอาไว้ ก่อนที่จะใช้ปลายด้ามของตรีศูลเคาะไปยังพื้นทราย

‘ตึง!!’

‘ตึง!!’

‘ตึง!!’

“อ๊าก!!!!!!”

“กรี๊ด!!!!”

ไส้เดือนดินจำแลงหวีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ผืนทรายที่ว่าเย็นกลับร้อนผ่าวไม่ต่างจากอยู่ในกองเพลิง กว่าจะโผล่หัวโผล่ตัวออกมาได้ก็สายไปเสียแล้ว ทรายร้อนนั้นเผากายจากหางลุกลามไปถึงหัวจนกลายเป็นจุณ

“เก่งมากหลานรักแต่ยังเก่งไม่พอต้านข้าได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กนธีเอ่ยออกมาไม่สะทกสะท้านกับมนตราของจ้าวสมุทร

กนธีใช้ฝ่ามือปัดไปด้านหน้าไม่นานทรายร้อนก็กลับกลายเป็นทรายธรรมดา เพียงเท่านี้อสุรามารร้ายก็วิ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง ด้านทัพเทวาก็ไม่คิดเป็นฝ่ายตั้งรับ ทั้งกองทัพต่างเคลื่อนไปข้างหน้าหมายบั่นชีพดับวิญญาณศัตรู

รวมไปถึงสองแม่ทัพที่แหวกสายวารีเข้าประจัญหน้าใช้อาวุธในมือห้ำหั่นกัน

‘เคว้ง!!’

ราวกับเสียงอัสนีฟาดเข้ายังภูผาใหญ่ดังสะเทือนจนเกิดคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ซัดเข้าชายฝั่งบนโลกมนุษย์ ชลันธรรู้ดีว่าการทำสงครามเช่นนี้ไม่แคล้วนำความเดือดร้อนให้เกิดแก่สรรพสิ่งที่อาศัยอยู่ใต้น้ำและบนบกตลอดทั้งสามโลก

พระสมุทรไม่อาจนิ่งนอนใจได้ หากมวลคลื่นจากมหานทีสร้างความเดือดร้อนให้กับสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์ ดังนั้นชลันธรจึงคิดว่าตนจะต้องจัดการกนธีให้เร็วที่สุด

“ข้ารู้ว่าเจ้าจักทำสิ่งใด แต่ข้าคงมิอาจทำให้เจ้าสมปรารถนาได้ชลันธร สำหรับข้าไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นขอให้ข้าได้สังหารเจ้านั้นเพียงพอ” กนธีเอ่ยจบ สองแขนก็ยกขึ้นสูงหมายจะเอาดาบวิเศษในมือฟาดฟันเข้ายังกลางเศียรของชลันธร

‘กึก!’

“ความคิดโสมมแลเห็นแก่ตัวเช่นนี้เจ้าไม่มีวันได้ครองบัลลังก์ได้ดอก อีกอย่างข้าเองก็ไม่อาจทำให้ท่านสมปรารถนาที่จะสังหารข้าได้” ชลันธรใช้ด้ามของตรีศูลกันเอาไว้ได้ทันท่วงทีก่อนคมดาบจะเฉียดยังผิวกาย

หนึ่งคืออดีต หนึ่งคือปัจจุบัน

ผู้หนึ่งแย่งชิง ผู้หนึ่งรักษา

ใครเล่าจะคว้าชัยชนะเหนือโลกบาดาล ฉะนั้นแล้วศึกใต้กระแสสินธุครั้งนี้สำคัญยิ่ง ต่างฝ่ายต่างใช้อาวุธในมือผลัดกันรับ ผลัดกันรุก ไม่มีใครยอมใคร หากชลันธรนั้นได้เปรียบอยู่บ้างเพราะตนนั้นครอบครองหนึ่งในสามศาสตราวุธอันทรงแสนยานุภาพแต่ประสบการณ์ของกนธีเองทำให้ชลันธรต่อกรได้ยากเช่นเดียวกัน

การสู้รบยืดเยื้อกินเวลาพอสมควร ชลันธรแม้จะสู้กับกนธีทว่าดวงตาเรียวก็สังเกตทหารฝั่งศัตรู บัดนี้กลับบางตาเสียเหลือเกิน หากจะกล่าวว่าถูกสังหารก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ ในเมื่อศพที่ล้มตายรวมกับพวกที่ยังมีชีวิตก็หาได้มากพอเทียบเท่าจำนวนตอนยกทัพในคราแรก

… ‘ผิดปกติ’ …

คำหนึ่งคำที่ชลันธรคิดออกและดูเหมือนกนธีจะรู้เสียด้วยว่าชลันธรคิดสิ่งใดจึงได้ผละกายออกห่างร่ายคาถาปรากฎเป็นตาข่ายในมือซัดเข้าตรึงร่างของชลันธร หัตถาใหญ่ยกดาบขึ้นร่ายมนตราให้ปลายคมของโลหะมีแสงสีแดงสว่างวาบ

“ถึงเวลาแล้ว!!!” กนธีตะโกนเสียงก้อง อสูรใต้บังคับบัญชาต่างรวมตัวกันวิ่งกรูฝ่ากองทหารของชลันธรไปยังจุดเดียว ทำให้ทหารที่ป้องกันสุสานในบริเวณนั้นไม่อาจต้านได้

“ทุกคนป้องกันสุสานเอาไว้อย่าให้พวกมันข้ามกำแพงออกไปได้!!!” ชลันธรสั่ง ทหารในบัญชาต่างทำหน้าที่ไม่มีอิดออด ขณะเดียวกันก็พยายามหาวิธีให้ตนพ้นจากพันธนาการที่รั้งกายตนเอาไว้

‘ฉึก!!’

“อ้าก!!”

ต่างช่วยกันแม้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก ยอมหลั่งโลหิตให้หมดกายาดีเสียกว่าปล่อยให้พวกชั่วช้าย่ำยีเขตแดนมหาสมุทร

พวกอสุราเองก็ใช่ว่าจะยอมให้ใครมาเข่นฆ่า เพื่อที่จะได้อำนาจเหนือใคร มันก็สู้ยิบตาเข่นฆ่าใครที่เข้าขวางจนราบเป็นหน้ากลอง

และแล้วความพยายามของพวกมันก็สัมฤทธิ์ผล อสูรตนหนึ่งเข้าไปยังเขตแดนสุสานสำเร็จและลงมือพังประตูจนแตกเป็นเสี่ยง กนธีเห็นดังนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่องที่แผนของตนสำเร็จ อดีตพระสมุทรจึงพาตนแหวกวารีไปในสุสาน

“หยุดเดี๋ยวนี้!!! เจ้าไม่มีสิทธิเหยียบย่างเข้าไป..กนธี!!” ชลันธรร้องตะโกนออกไป ยามเห็นกนธีก้าวพ้นกรอบประตูเข้าไปในสุสาน

“มีสิ อย่าลืมว่าข้าเองก็มีสายเลือดสมุทรเทวาจากปู่ของเจ้า…ชลันธร” กนธีเอ่ยออกไป จากนั้นก็ร่ายคาถาปลดผนึกให้คลาย

“ไม่!!!!” ชลันธรแทบจะหยุดหายใจ เสี้ยววินาทีนึกคิดว่าหากตนห้ามสิ่งที่เห็นได้ตามที่ปากว่าคงจะดี

แสงสีฟ้าจัดจ้าทั่วบริเวณ จนมิอาจลืมตามองสิ่งใดได้ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหมอกควันตามด้วยเสียงหวีดร้องจนแสบแก้วหูของดวงวิญญาณอาฆาตนับพันที่โผล่พรวดออกมาจากผืนทรายสีถ่านไม้

“อ๊าก!!!”

“กรี๊ด!!!”

ทว่าอิสระก็อยู่กับพวกมันได้ไม่นาน กนธีเสกผอบแก้วในฝ่ามือ เมื่อเปิดฝาออกก็เกิดเกลียวน้ำวนดูดวิญญาณอสูรในสุสานให้เข้าไปในผอบจนหมดสิ้น กนธีปิดฝาและเสกให้ผอบหายไปอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกมาจากสุสานอย่างอารมณ์ดี มุ่งหน้าไปหาชลันธรผู้เป็นหลานรักซึ่งบัดนี้ยังติดอยู่ในกับดักของตน ชลันธรมองใบหน้าของผู้ที่ตนเคยนับถือ สายตาที่ส่งให้ล้วนมีกระแสแห่งความชิงชัง แน่นอนว่ากนธีรับรู้ได้แต่เขากลับไม่คิดโกรธ นึกสนุกปนหยามเหยียดเสียมากกว่า

… ‘ท่านพี่รู้หรือไม่ว่าบุตรแห่งท่านที่ท่านยกบัลลังก์ให้นั้น ช่างไร้ความสามารถ’ …

“แล้วเจอกันหลานรัก…ถึงแม้ข้าอยากจะสังหารเจ้าเสียให้ตายในเพลานี้ แต่ไม่เป็นไรข้าจะอดทนรอเวลา อย่างไรเสียข้ายังมีโอกาสสังหารเจ้าต่อหน้าเทพนภนต์ แต่คิดอีกทีหรือว่าจะให้เทพนภนต์ตายต่อหน้าเจ้า…ดีล่ะหลานรัก ฮ่า ฮ่า ฮ่าแล้วข้าจะมาเอาคำตอบจากเจ้าอีกครั้ง”

กนธีทิ้งท้ายด้วยประโยคแสนยาวเหยียดพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยันให้กับชลันธรผู้อ่อนหัดจากนั้นก็สลายกลายเป็นฟองน้ำกลมกลืนไปกับชลธี

●○●○●

นอกจากนครบาดาลจะถูกอสูรรับใช้ของจอมมารล้านภาคซึ่งนำทัพโดยกนธีบุกเข้าโจมตีแล้วนั้น ดินแดนอันไร้แสงตะวัน-จันทรอย่างนรกภูมิเองก็ถูกบุกรุกข้ามล้ำเส้นเขตแดนเช่นเดียวกัน

พญายมราชจึงมอบหมายให้พระกาฬไชยศรีนำทัพยกปราบ โดยมีรพีพงศ์เคียงคู่กับนาคินทร์มาเป็นผู้ช่วยให้ทัพแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะจากการคาดการณ์ของพระเจตคุปต์เป้าหมายของพวกอสูรร้ายคงไม่แคล้วเปิดประตูคุกที่ใช้คุมขังสัตว์นรกเพื่อนำไปเป็นพรรคพวกเสริมกำลังแก่จอมมารล้านภาค

“ไม่คิดเลยว่าจะเจอเจ้าทั้งสอง รพีพงศ์…นาคินทร์ เหตุใดพวกเจ้าจึงได้ชิงตัดหน้าลงมาก่อนที่ข้าจะส่งเจ้าลงนรกกันเล่า”

“แล้วเจ้าล่ะอินทุนิล…เจ้าเองมาสำรวจเพื่อเลือกขุมนรกใช่หรือไม่ แต่ข้าคิดว่าคนเลวเช่นเจ้าไม่แคล้วจะได้ตระเวณรับกรรมอยู่เสียทุกขุม” นาคินทร์กล่าววาจาจิกกัดหมายจะให้อินทุนิลเจ็บแสบ หากไม่อาจทำให้เทพชั่วช้าอย่างอินทุนิลรู้สึกรู้สาได้

“เจ้ากล่าวมาก็มีส่วนถูก อย่างไรเสียวันนี้ข้าจักต้องยึดนิรยภูมิมาเป็นของพวกข้าให้ได้ พวกเราบุก จงเปิดคุกอเวจี ปลดปล่อยสหายของพวกเจ้าให้ออกมา!!!” อินทุนิลกล่าวออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ก่อนจะยกทวนขึ้นสูงนำทัพบุกไปตามที่ความประสงค์

“ถ้าคิดว่าพวกเจ้าทำได้ก็เข้ามา!!!” พระกาฬไชยศรีกำพระขรรค์ในหัตถา นำทัพเข้าขวาง โดยด้านข้างของเทพผู้องอาจมีรพีพงศ์และนาคินทร์ขนาบข้าง

ปลายแหลมของโลหะจ้วงแทงผ่านร่างกายจนโลหิตสาดกระเซ็น กลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงร้องทรมาณก่อนวิญญาณดับสูญ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมให้ใครขัดขวางความต้องการ ดังนั้นใครที่เป็นศัตรูก็ล้วนแต่ต้องสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง

“ในที่สุดเราก็เจอกันเสียที”

หลังจากต่างฝ่ายต่างสังหารทหารของอีกพวก บัดนี้ด้ามทวนของอินทุนิลก็เข้าปะทะกับดาบของนาคินทร์ ต่างคนต่างปล่อยฝีมือที่มีออกมาไม่มีการอ่อนข้อให้กัน

หากอาวุธสั้นเช่นดาบย่อมเสียเปรียบให้กับอาวุธยาวอย่างทวน หลายครั้งหลายคราอินทุนิลนั้นสามารถสร้างบาดแผลให้กับนาคินทร์และทุกครั้งก็มักจะหัวเราะเยาะสร้างความเจ็บใจให้แก่นาคินทร์

‘เคว้ง!!’ ดาบตกลงกระทบกับพื้น นาคินทร์ทิ้งดาบลงหลังจากเบี่ยงตัวหลบทวนไปยืนยังโขดหิน

“นาคินทร์!!” เสียงของดาบทำให้รพีพงศ์ซึ่งกำลังต้านข้าศึกนึกเป็นห่วง แม้นนาคินทร์จะบอกกับตนเอาไว้ว่าอย่างไรอย่าได้คิดยุ่งเกี่ยวหากได้สู้กับอินทุนิล

“ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” นาคินทร์หันไปเอ่ยกับรพีพงศ์ทั้งรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปหาพระกาฬไชยศรีแล้วเปล่งวาจาออกไปว่า

“พระกาฬไชยศรีพี่ข้า โปรดสั่งการทหารให้ออกห่างจากข้าและอินทุนิล!!” พระกาฬไชยศรีพยักหน้าแล้วทำตามความต้องการของนาคาผู้เป็นน้อง

“ข้าไม่คิดเลยว่าแม่ทัพนรกภูมิจะเป็นเจ้า…นาคินทร์ สั่งการได้แม้แต่พระกาฬไชยศรี ยามนี้ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่าเจ้าจะมีอะไรให้ข้านั้นประหลาดใจ” อินทุนิลเอ่ยออกมา ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำอะไรก็ไม่มีผลกับอินทุนิล ในเมื่อตนได้รับพลังจากจอมมารล้านภาคในฐานะศิษย์ แม้จะเพียงเศษเสี้ยวแต่ก็มากพอที่จะทำให้ล้างผลาญแดนไร้ตะวันนี้ได้

นาคินทร์ที่ได้ยินดังนั้นแล้วก็ไม่รอช้า สองมือพนมไว้กลางอุราพร้อมดวงตางามได้หลับลงไป ริมฝีปากขยับเล็กน้อยไม่ถึงอึดใจนาคินทร์ก็กลายร่างเป็นพญานาคใหญ่เลื้อยเข้าหาอินทุนิลอย่างรวดเร็ว

“คิดว่าเจ้าแปลงกายเป็นนาคแล้วข้าจะกลัวเจ้าหรือ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อินทึนิลเอ่ยจบก็แปลงกายกลายเป็นแมงป่องยักษ์ ชูหางของมันขึ้นสูงก่อนจะเข้าโจมตีหมายให้นาคินทร์รับผิด

แม้จะรู้ดีว่าพิษใดก็หาได้ทำร้ายวงศ์นาคาได้ หากอย่างน้อยก็สามารถกล่อมประสาทให้บาดเจ็บแม้จะเพียงเวลาไม่นาน

“โครม!!”

“แกร็ก!!”

ทั้งก้อนหินน้อยใจถูกหางของอินทุนิลโจมตี รวมถึงโดนร่างของนาคินทร์ที่เลื้อยผ่านหมายรัดแมงป่องยักษ์จนแตกหัก ทว่าก็ไม่อาจขวางการต่อสู้ครั้งนี้ได้

อินทุนิลพยายามต่อยนาคินทร์ที่เลื้อยอยู่บนพื้นแต่อีกฝ่ายกลับเลื้อยหลบอย่างว่องไว ซ้ำกว่าอินทุนิลจะรู้ตัว นาคินทร์ก็เลื้อยรัดพันขาของตนแล้ว

“อย่าคิดว่าพันขาข้าแล้วข้าจะทำอันใดเจ้าไม่ได้”

“เมื่อเจ้าพูดมาขนาดนี้ก็จงแสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้านั้นไม่ได้เก่งแค่ปากอินทุนิล!!”

กล่าวจบนาคินทร์อ้าปากออกพ่นไฟออกมาใส่ตัวของอินทุนิลในร่างแมงป่อง อินทุนิลนั้นพอความร้อนเฉียดกายก็ใช้มนตราสร้างเกราะน้ำแข็งเคลือบผิวตนเอาไว้

นาคินทร์เห็นว่าไฟของตนคงจัดการเกราะน้ำแข็งนี้ลำบากจึงขยับรัดตัวอินทุนิลให้แน่นขึ้น ทั้งใช้คมเขี้ยวกัดเข้าไปสร้างรอยร้าวให้กับเกราะเวทย์ได้

อินทุนิลว่าตนจะเสียท่าให้กับนาคินทร์และถ้ายังไม่อาจหลุดพ้นจากนาคแสนชังนี้ได้แผนที่ตนวางไว้จะล้มไม่เป็นท่า พลันดวงตาก็มองไปยังทิศที่ตั้งของคุกอเวจี หากอยู่ในร่างเทวาแลทุกคนจะเห็นอินทุนิลกระหยิ่มยิ้มย่องเป็นแน่

“ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะปล่อยข้า เช่นนั้นก็เจ็บปวดไปพร้อมกับข้าก็แล้วกัน” อินทุนิลออกแรงพลิกกายตนให้ล้มลงและกลิ้งตัวไปยังคุกอเวจีโดยพานาคินทร์ที่รัดร่างตนไปด้วย

สองร่างของอสรพิษร้ายกลิ้งเกลือกจนทุกสรรพสิ่งต้องหลีกหนี ไม่เช่นนั้นก็ถูกเหยียบถูกทับหากเข้าขวาง เว้นเพียงประตูเหล็กของคุกที่นอกจากจะไม่เป็นอันใดหลังจากถูกร่างของอินทุนิลและนาคินทร์กระแทกเข้าอย่างจัง หากมันยังทำกระเด็นแยกกายออกจากกัน

“อึก!”

“แค่ก”

ทั้งนาคินทร์และอินทุนิลกลับคืนสู่ร่างเดิม ต่างคนต่างกระอักเลือดออกมาจนเปรอะเปื้อน รพีพงศ์ที่อยู่ใกล้ก็รีบวิ่งเข้ามาประคองนาคินทร์เอาไว้ด้วยความเป็นห่วง

“นาคินทร์ น้องเป็นอย่างไรบ้าง” รพีพงศ์หวั่นใจกลัวว่าคนรักนั้นจะเจ็บหนัก

“ท่านพี่ข้าหาได้เป็นอันใดไม่ ท่านพี่รีบขัดขวางอินทุนิลก่อนเถิด”

สิ่งที่นาคินทร์ต้องการกลับไม่สมปรารถนาเสียแล้ว เมื่อกันกลับไปอีกทีอินทุนิลได้ซัดพลังในฝ่ามือเข้าทำลายประตู อสูรนรกที่ถูกขังเอาไว้ก็ต่างวิ่งกรูออกมา

“เฮ!!!!” อสูร ปิศาจและวิญญาณชั้นเลวส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ พลางวิ่งออกมาไปคนละทิศทาง

“ทุกคน!!! รีบสกัดเหล่าอสูรนี้เอาไว้!!” พระกาฬไชยศรีสั่งการ

“เสียใจด้วยพระกาฬไชยศรี ข้านี้คงไม่อาจให้ท่านสมดังใจ”

อินทุนิลยิ้มเยาะเสกผอบออกมาแล้วเปิดฝาออก เกิดพายุใหญ่พัดร่างของอสูรนรกและสมุนของตนเข้าไปในผอบจนหมดสิ้นชั่วพริบตา

“ไม่คิดเลยว่าการเปิดประตูคุกนรกจะง่ายดายถึงเพียงนี้ เห็นทีการปลิดชีพเอาวิญญาณของพวกเจ้าคงจะง่ายได้เช่นเดียวกัน” อินทุนิลทิ้งท้าย ดวงตาที่จ้องมองนาคินทร์นั้นมีแต่ความเย้ยหยัน ก่อนร่างกายจะสลายกลายเป็นหมอกควัน





ไม่ได้อัพมานาน ขอโทษด้วยนะคะ พอดีแต่งฉากต่อสู้ทีไรเครียดทุกที รู้สึกว่ายากจริงๆ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.29 P.5 (12/12/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-12-2020 20:05:18
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.29 P.5 (12/12/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-12-2020 09:40:18
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.29 P.5 (12/12/63) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-12-2020 22:54:50
มารอด้วยคนนน
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.30 P.5 (16/01/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 16-01-2021 12:20:45
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 30



การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ว่าใครล้วนต่างปรารถนา แน่นอนไม่มีผู้ใดต้องการให้ความวุ่นวายเข้ามาปั่นป่วนให้ชีวิตที่เคยสงบประสบกับความยุ่งยากใจ ไม่ว่าด้วยสิ่งใดก็ตาม ทว่ามันเป็นไปได้ยากต่อให้เรานิ่งเฉยแต่ก็ไม่สามารถห้ามผู้อื่นมาทำลายความสงบได้และคราใดที่เราได้พบเจอ ครานั้นเราจำต้องตั้งสติ คิดหาวิธีเพื่อทำลายสิ่งรบกวนให้ออกไป



… ‘ให้เร็วที่สุด’ …



ณ สวนขวัญ อันเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งบนสวรรค์ โดยพระผู้สร้างมักจะเลือกเป็นที่พักผ่อน หาความสงบ หลีกหนีความวุ่นวาย เฉกเช่นวันนี้พระองค์ก็ได้เข้ามาทำสมาธิใต้ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ซึ่งออกดอกเผยกลีบงามบานสะพรั่ง



ทั้งที่ดวงหทัยรู้ว่านอกอาณาเขตสวนขวัญกำลังเกิดเรื่องราวเลวร้าย ทั้งยังค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาราวกับเงาของเมฆาที่กำลังเคลื่อนตัว



… ‘มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องกำจัดเงาร้ายนี้’ …



ฝ่าพระหัตถ์ยกขึ้นมาขยับโบกเล็กน้อยในขณะที่เปลือกตานั้นยังปกปิดดวงเนตร กลับดอกชมพูพันธุ์ก็ปลิดปลิวลอยออกมาจากฐานดอก มุ่งไปด้านหน้าพักตราของพระผู้สร้าง



“ฉึก!”



“อ้าก!!!”



แม้จะเป็นเพียงกลีบบุปผา หากมันได้ถูกพระพริษฐ์เลือกใช้เป็นอาวุธ ย่อมสามารถสร้างบาดแผลแลสังหารได้เมื่อโดนจุดตาย



“นี่หรือธรรมเนียมการต้อนรับของชาวสวรรค์ ไม่สิ..ต้องกล่าวว่าต้อนรับน้องชายเช่นข้าถึงจะถูก” จอมมารล้านภาคเอ่ยออกมา มือนั้นก็ปัดไล่กลีบมาลีสีชมพูให้กองลงบนพื้น



“หากเจ้านึกตรึกตรองสักนิดก็คงรู้ว่าตัวข้านั้นไม่ใคร่อยากจะเจอเจ้า…พศิน” พระพริษฐ์ลืมตาแล้วมองไปยังอนุชาร่วมพระบิดาซึ่งกำลังยืนยิ้มไม่มีท่าทีสำรวมต่อพระองค์เลยแม้แต่น้อย



“เหตุใดท่านถึงใจร้ายเช่นนี้ทั้งที่ข้านั้นอยากจะเจอท่านเสียเหลือเกิน จนอดรนทนไม่ไหวต้องแหกคุกหนีออกมาเพื่อเจอท่าน”



“ต้องการเจอข้าหรือต้องการบัลลังก์ของข้ากันแน่”



“ย่อมทั้งสองอย่างตามที่ท่านพี่กล่าวมาแต่ความปรารถนาย่อมตกอยู่ที่บัลลังก์ ท่านพี่สดับฟังแล้วอย่าได้นึกน้อยใจข้าหนา” จอมมารล้านภาคเอ่ย ริมฝีปากยกยิ้มเผยความเจ้าเล่ห์ออกมาไม่มีปิดบัง



“ถ้าเจ้าคิดว่าจะช่วงชิงข้าได้ก็มาเถิด ครั้งนี้อย่าได้พลาดท่าถูกจับได้เป็นครั้งที่สองเล่า”



“ไม่มีทางเพราะเวลานี้พระพุธผู้ที่เคยจัดการข้าก็ไม่อาจจะลุกมาขัดขวางได้ อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นจ้าวสมุทรหรือจ้าวนรกก็มิอาจช่วยอันใดท่านได้อีกต่อไป ด้วยตัวข้านั้นส่งพรรคพวกจัดการเสียสิ้นและอีกไม่นานก็ถึงคราวของจ้าวสวรรค์ที่ข้าจะปลิดชีพด้วยตัวของข้าเอง”



‘เฟี้ยว’



‘ปึก’



ศรยาวแหวกอากาศเฉียดฉิวร่างของจอมมารล้านภาคเพียงเล็กน้อย ผู้ที่เกือบจะโดนคมศรก็ปลายมองศาสตราวุธที่ปักลงดิน เพียงปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของ



“เจ้าคงลืมไปแล้วกระมังว่ายังมีเทวาแห่งท้องนภาเช่นข้า น่าน้อยใจยิ่งนักที่เจ้าไม่ส่งใครไปประมือ อุตส่าห์นั่งรอแล้วรอเล่าจนสุดท้ายต้องลดเกียรติดั้นด้นมาลงมือจัดการเจ้าเสียก่อน” เทพนภนต์กระโดดลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่ สองเท้าเดินเข้ามากลางลาน



“ใครว่าข้าลืมแม่ทัพสวรรค์เช่นเจ้ากัน เพียงแต่ข้าต้องการให้เจ้าได้ตายในหน้าที่ให้สมเกียรติกับแม่ทัพตามหลังพระสมุทรชลันธร ฮ่า ฮ่า ฮ่า”



“นี่เจ้า!!!”



“นภนต์เจ้าอย่าได้ใจร้อนไปตามคำพูด อย่างไรเสียทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเจ้าก็รู้อยู่เต็มอก” พระผู้สร้างตรัสกับนภนต์



“พะยะค่ะ”



“ฮึ! ช่างใจร้อนเสียจริง เช่นนี้เจ้าพบกับทัพมารของเราหน่อยเสียปะไร เผื่อจะช่วยเจ้าระบายอารมณ์ได้” จอมมารล้านภาคเอ่ยก่อนจะกระทืบเท้าจนพสุธาสะเทือน



เสียงโห่ร้องดังอื้ออึงมาแต่ไกลและยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่นาน กองทัพอสูรก็ได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าต่อพระผู้สร้างและเทพนภนต์



“อย่าได้ตกใจไปเล่า นี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น อีกไม่นานอินทุนิลและกนธีจะนำไพร่พลอสูรอีกมากมายมาถล่มสวรรค์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”



“เจ้าอย่าได้หวังว่าเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ตราบใดที่ยังมีข้า เจ้าหรืออ้ายอีหน้าไหนก็ไม่อาจจะมาทำลายแดนสุราลัยนี้ได้เพราะข้าตลอดจนขุนศึกกองพลสวรรค์จะเข้าขัดขวางล้างบางพวกเจ้า!!!” นภนต์ยกคันศรชี้ไปยังใบหน้าของจอมมารล้างภาค เวลาเดียวกันทหารซึ่งซ่อนกายตามพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่ให้เดินออกมารวมตัวกันพร้อมลงศึก



“ชักช้าอยู่ไย มาเถิดหนามาประลองฝีมือกันว่าทัพของเจ้าหรือของข้า ใครที่จะยิ่งใหญ่กว่ากัน” จอมมารล้านภาคเอ่ยออกมาจากนั้นยกมือส่งสัญญาณให้แม่ทัพมารนำสมุนสู้รบ



อสูรร้ายวิ่งกรูเข้าหาทัพของนภนต์ที่ต่างล้อมป้องกันพระผู้สร้าง นภนต์เองก็กระโดดขี่นิชากรสัตว์พาหนะคู่ใจจากนั้นก็แผลกศรออกไป ศรวิเศษคราแรกมีเพียงหนึ่งทว่าพอออกจากสายกลับแยกร่างกระจายไม่ต่างจากฝนห่าใหญ่ มันหาใช่ฝนที่พาความชุ่มฉ่ำแต่นำพาความชุ่มเลือดส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง



“สมแล้วที่เป็นแม่ทัพสวรรค์…ฉันทัชอย่าได้หวาดหวั่นเจ้าทำตามแผนที่วางไว้ เจ้าจัดการทัพของเทพนภนต์ส่วนข้าจะจัดการพระผู้สร้าง” จอมมารล้านภาคเอ่ย ถึงแม้เริ่มต้นตนจะเสียทหารไปจำนวนมากก็จริง หากไม่กี่อึดใจกนธีและอินทุนิลจะนำพลเข้าร่วมรบอยู่ดี



“ขอรับท่านจอมมาร” แม่ทัพอสูรน้อมรับบัญชา เมื่อจอมมารล้านภาคไม่คิดกังวลแล้วเหตุใดตนจะต้องหวาดวิตก



ฉันทัชใช้หอกในมือขว้างขึ้นไปหมายมั่นจะปักเข้าอุราของนภนต์ทว่าผู้มีฝีมืออย่างนภนต์ย่อมหลบหลีกได้ทัน อีกทั้งยังให้นิชากรบินร่อนลงสู่ลานสังเวียน



นภนต์ย่างเหยียบบนผืนดิน พลันคันศรเนื้อเหมอาวุธประจำกายก็กลายเป็นละอองก่อร่างเป็นดาบพร้อมฟาดฟันฉันทัชที่ได้หอกในมือคืน แม้อาวุธของตนจะเป็นชนิดสั้นและดูจะเสียเปรียบกว่าแต่แม่ทัพสวรรค์ไม่มีความกังวลให้เห็นบนใบหน้าแม้แต่น้อย



“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าจะได้สังหารแม่ทัพสวรรค์” ฉันทัชเอ่ยด้วยความมาดมั่นว่าจะสามารถปลิดชีพนภนต์ได้



“เจ้าได้รับเกียรติจริงแต่เป็นเกียรติที่ฆ่านี้เป็นผู้สังหารเจ้า” นภนต์เอ่ยแล้วยกแขนง้างดาบเข้าสู้รบ



สองแม่ทัพของสองเผ่าพันธุ์ต่างสู้รบไม่มีใครยอมใคร ผลัดกัยนรุก ผลัดกันบุก ผลัดกันถอย สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือจุดประสงค์ที่อยากให้อีกฝ่ายนั้นม้วยมรณา



ขณะที่นภนต์และกองทัพสวรรค์กำลังต้านกองทัพอสูรที่ไม่เจียมตัวขึ้นมายึดครองสวรรค์ ด้านจอมมารล้านภาคนั้นก็ตรงเข้าทำร้ายพระผู้สร้าง ทว่าพศินไม่อาจจะทำให้อันใดให้ก่อเกิดความเจ็บปวดหรือระคายผิวได้สักนิด ด้วยพระผู้สร้างได้ร่ายคาถาสร้างเกราะแก้วกำบังรอบบริเวณ



“หากแน่จริงก็จงสู้กับข้า อย่าได้ขี้ขลาดตาขาวหลบอยู่หลังเกราะแก้วอีกเลย”



“ข้าหาได้หลบไม่ เพียงข้าจะใช้เกราะแก้วนี้สู้กับเจ้าเท่านั้น” พระผู้สร้างตอบกลับไปแล้วเข้าฌาณนั่งสมาธิก่อน การกระทำนี้ส่งผลให้จอมมารพศินโมโหโกรธา



“เห็นว่าข้าอ่อนหัดนักหรือไรถึงได้ใช้เกราะแก้วมาสู้กับข้า!!!” จอมมารชี้นิ้วใส่ไร้ความยำเกรง ปากก็เปล่งเสียงถามดังก้องทว่าไร้ซึ่งคำตอบ พระผู้สร้างยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินเสียงอะไรผ่านหู ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของจอมมารล้านภาคมากยิ่งขึ้นไม่ต่างจากน้ำมันราดลงกองไฟ



“ในเมื่อดูหมิ่นข้า ตัวข้าจอมมารล้านภาคจะเอาชัยเหนือท่านให้จงได้!!” กล่าวจบจอมมารพศินก็ปลดปล่อยพลังโจมตีใส่เกราะแก้วคุ้มภัยไม่มีหยุด โดยไม่สนใจว่าตนจะหมดเรี่ยวแรง



ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกราะแก้วถูกโจมตี แม้ม่านพลังจะแข็งเพียงใดแต่ทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัดของมัน แสงประภาสว่างวาบปะทะเข้ากับพื้นผิวใส เสียงปริแตกก็ดังขึ้น จอมมารล้านภาคได้ยินก็ยิ้มกระหยิ่มออกมา ดวงตาคมมองไปยังจุดกำเนิดเสียง บัดนี้เกราะแก้วได้เกิดรอยร้าวเสียแล้ว ครานี้จอมมารล้านภาคไม่ได้ปล่อยพลังดังเดิม หัตถาที่เคยว่างเปล่าปรากฏดาบใหญ่ จอมมารพศินยกขึ้นง้างดาบจนสุดแขนแล้วใช้คมดาบนั้นฟาดฟันเข้าตรงรอยปริจนเกิดรอยร้าวกระจายจนทั่ว จอมมารผู้ยิ่งใหญ่คิด หากตนเพียงยกดาบออกเกราะแก้วนี้ก็แตกกระจายมิอาจคุ้มเศียรพระผู้สร้างให้ริดพ้นจากเงื้อมมือตนอีกต่อไป



หากความโชคดีกลับมาพร้อมความโชคร้าย กำลังพลของจอมมารล้านภาคลดลงไปถนัดตาและยังคงลดถอยลงเรื่อย ๆ ฉันทัชเห็นท่าไม่ดีจึงรีบตะโกนบอกผู้เป็นนายเหนือหัว



“ท่านจอมมารแย่แล้วขอรับ!! ทัพของเรา!! กำลังเหลือน้อยเต็มที…อ้าก!!!”



ฉันทัช…แม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ที่รายงานสถานการณ์ไปพลางต่อสู้กับนภนต์ไปพลางสุดท้ายก็พลาดพลั้งถูกคบดาบบั่นคอจนตัวตาย หากจอมมารล้านภาคไม่แยแส



“อีกไม่นาน กนธีกับอินทุนิลจะนำทัพมาแน่ อีกอย่างหากไม่ทันข้าก็ไม่นึกเกรงเพราะไม่กี่อึดใจข้าก็จะก้าวผ่านเกราะแก้ว เพียงข้านั้นยกดาบนี้” เอื้อนเอ่ยไม่เท่ากับลงมือทำ จอมมารล้านภาคดึงดาบออกเกราะแก้วก็แตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ นภนต์เห็นเช่นนั้นก็รีบเร่งเข้าป้องกัน หากสมุนมารไม่กลัวตายเข้ามาขัดขวาง



“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าบอกท่านแล้วว่าเกราะแก้วหาได้ขวางข้าได้ไม่ บัดนี้ถึงตาพระเชษฐาได้ลิ้มรสความสามารถของข้าแล้ว” จอมมารล้านภาคหัวเราะไปพลาง พูดไปพลาง ขณะที่เท้าย่างก้าวเข้าหาพระผู้สร้างที่ยังไม่ไหวติง ไม่แม้จะลืมตาขึ้นมามองสักนิด



“ท่านยังคงนิ่งเฉยเช่นนี้แล้วข้าขอสรุปว่าท่านยินดีที่จะให้ข้าลงมือสังหาร” จอมมารพศินเอ่ย พร้อมกับถชี้ปลายดาบไปด้านหน้าหมายจ้วงแทง



‘เคว้ง!!’



‘เปรี๊ยะ..เปรี๊ยะ’



หากปลายดาบยังไม่ทันจะเฉียดพระวรกายของผู้ครองไตรภพ ด้ามหอกสำริดก็เข้ามาขวางเอาไว้ซ้ำความหนาวเหน็บก็แผ่ซ่านสร้างเกล็ดน้ำแข็งเข้ากัดกินยังปลายดาบและลุกลามเข้าหาด้ามดาบ จอมมารล้านภาคเห็นดังนั้นก็รวบรวมสติออกกำลังชักดาบกลับคืนตน ก่อนจะมองไปยังผู้ที่เข้าขัดขวาง อาภรณ์สีม่วงบ่งบอกยศฐา ทั้งสวมหน้ากากเงินปิดบังพักตราจะเป็นใครอื่นกันเล่าหากไม่ใช่…



“นึกว่าใครที่แท้สหายเก่านี่เอง…พระเสาร์”



“ข้าหาได้มีสหายชั่วช้าเช่นเจ้าไม่” พระเสาร์เอ่ยเสียงเรียบ พร้อมกับประทับบาทเข้าตรงกลางอุราของจอมมารล้านภาคแล้วออกแรงถีบจนจอมมารผู้ยิ่งใหญ่จนเซไปข้างหลัง



“เทพนภนต์ ท่านสั่งไพร่พลจัดการพวกปลาซิวปลาสร้อยทั้งหลายเถิด ส่วนปลาเน่าตรงหน้าข้า ตัวข้านี้จะจัดการเอง” พระเสาร์กล่าวกับเทพนภนต์ซึ่งพยักหน้ารับ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ทุกประการ



พระเสาร์รุกไล่จอมมารให้ถอยห่างพระผู้สร้างไปอีกทิศทางหนึ่ง แล้วจึงจัดการใช้ทั้งมนตราและอาวุธจัดการในขณะที่ตนยังได้เปรียบ ถึงแม้นตนจะได้ชื่อว่าเป็นเทพผู้แข็งแกร่งแต่ก็ไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท อย่างไรเสียผู้ที่อยู่ตรงหน้านั้นหาใช่ใครอื่นแต่เป็นถึงจอมมารล้านภาค ผู้เคยถล่มสวรรค์สั่นนรกให้สะเทือนจนเดือดร้อนไปทั่วหล้า



จอมมารล้านภาคเองก็หาใช่หมูที่เคี้ยวง่าย เมื่อสบโอกาสก็ร่ายคาถารวมพลังไปยังฝ่ามือเกิดแสงสีส้มส่องสว่างพร้อมกับเปลวไฟที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ จากนั้นก็ปล่อยให้ลูกไฟใส่พระเสาร์



มวลเพลิงพร้อมสังหารเผาผลาญทุกสรรพสิ่ง ขยับเคลื่อนอย่างรวดเร็วใกล้กายของพระเสาร์ หากผู้ที่กำลังถูกโจมตีกลับไม่หลบหลีกซ้ำยังยืนราวกับรอคอยให้มันมาปะทะตัว



‘เปรี๊ยะ’



พลังอัคคีกลายเป็นละอองน้ำแข็งร่วงหล่นไม่ต่างจากเม็ดทราย สร้างความตกตะลึงให้กับจอมมารล้านภาค หาใช่ว่าจะเกรงกลัว หาใช่ว่าจะสู้ไม่ได้ แต่คาถานี้เป็นคาถา เป็นพลังเฉพาะตัวของพระพุธ เหตุใดถึงได้มาอยู่กับพระเสาร์ได้



“คงจะนึกตกใจใช่หรือไม่ แลท่าคงอยากจะรู้จนตัวสั่นว่าข้านั้นได้พลังจากเจ้าพุธได้อย่างไร” พระเสาร์ยิ้มเยาะ แม้จะไม่ใช่วิสัยที่พูดจายียวนกวนประสาทแต่ได้เห็นมือที่กำดาบ ตามองตนอย่างขุ่นแค้นก็อดจะเอ่ยออกไปไม่ได้



“ข้านั้นใช้วิธีที่เจ้าอยากจะทำกับเจ้าพุธมาตลอดชั่วชีวิตอย่างไรเล่า”



“พระเสาร์!!!” จอมมารล้านภาคตะคอกออกมาเสียงดัง



แรงโทสะทำให้จอมมารล้านภาคคุมสติไว้แทบไม่อยู่ รวมทั้งไอมารสีดำที่ล้อมกายาแผ่ออกมากขึ้นกว่าเก่า ร้ายไปกว่านั้นไอทมิฬนั้นมีพิษใครได้สูดเข้าไปก็จะอ่อนแรง พระเสาร์ซึ่งอยู่ใกล้ก็สูดรับเอาพิษร้ายนี้เข้าสู่ตัว แม้เพียงเล็กน้อยพระเสาร์ก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงของตนเริ่มถดถอย



จอมมารล้านภาคยิ้มเย้ยหยัน เห็นว่าศัตรูตัวฉกาจกลายเป็นเหยื่อ ก็เข้ากระโจนเข้าหายกดาบฟันเข้าตัวพระเสาร์ แต่อีกฝ่ายเบี่ยงกายหลบกระนั้นก็สร้างรอยแผลเป็นทางยาวบนอกของพระเสาร์ ขณะที่พระเสาร์ถอยก้าวไปด้านหลัง จอมมารล้านภาคก็พุ่งกระดาบเข้าหมายจะจ้วงแทงทะลุร่าง



‘เคว้ง!!’



‘ปึก!’



อาวุธของจอมมารล้านภาคถูกพระขรรค์เข้าขวาง ปัดเอาดาบลอยละลิ่วขึ้นกลางอากาศก่อนจะปักลงไปยังพื้นพสุธา จากนั้นเสียงของผู้เป็นเจ้าของพระขรรค์ก็ดังมาจากอีกด้านหนึ่ง



“จอมมารชั่วช้าเอ๋ย อย่าได้คิดบังอาจแตะต้องพ่อตาของข้าเป็นครั้งที่สอง” รพีพงศ์ประกาศก้อง ข้างกายของเทพหนุ่มนั้นมีนาคินทร์และพระสมุทรชลันธร



“เด็กน้อยเอ๋ยคิดว่าขวางข้าได้ก็เข้ามา”



รพีพงศ์หันไปยังพระเสาร์ที่พยักหน้าเป็นสัญญาณเปิดโอกาสให้ตนเข้าร่วมสู้กับมารล้านภาค รพีพงศ์เรียกพระขรรค์กลับเข้าสู้ฝ่ามือและจับเอาไว้มั่น ด้านจอมมารล้านภาคเองแม้จะไม่ได้เรียกเอาดายคือแต่เปลี่ยนอาวุธเป็นทวนรัตนาเนื้อวาวใส แม้จะเป็นแก้วแต่ทนทานทั้งยังมีอานุภาพร้ายเหลือ



เสียงศาสตราวุธกระทบกันเกิดเสียงดังสนั่น พระเสาร์มองดูก็คิดว่าบุตรเขยของตนนั้นมีฝีมือพอตัวที่สามารถต่อสู้กับมารล้านภาคได้อย่างสูสี อาจจะด้อยประสบการณ์แต่ฝีมือนับว่ายังรับมือและโต้ตอบมารล้านภาคได้อยู่หลายครั้งหลายครา



บุตรแห่งสุริยาเข้าสู้ไม่คิดกลัวแม้จะเคยได้ยินกิตติศัพท์มาบ้าง อย่างไรเสียตนคือผู้สืบทอดบัลลังก์เพลิง เคยบุกบ่าฝ่านรก พบเจออสูรมานับมากมาย ไหนจะก่อนหน้าที่จะมาเจอมารล้านภาค รพีพงศ์ก็สังหารอสูรร่วมพันตนรวมไปถึงสังหารเทพใจมารอย่างอินทุนิล



ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ ในช่วงเวลาที่จอมมารล้านภาคกำลังทำลายเกราะแก้ว ท้ายสวนขวัญอันเป็นบริเวณซึ่งพื้นที่โล่งไร้ต้นไม้พรรณพีช มีเพียงสัตบงกชงามในสระใหญ่เท่านั้น เหมาะสมต่อการทำศึกและปักหลักชมบรรยากาศรอผู้มาเยือน



“จากที่คำนวนเอาไว้ เวลาไม่เกินเคี้ยวชานหมากแหลก กนธีและอินทุนิลจักต้องนำทัพมาแน่” รพีพงศ์เอ่ย ดวงตานั้นทอดมองไปเบื้องหน้า ในใจนึกเต้นระรัวที่อีกไม่กี่อึดใจวันที่จะได้ล้างบางคนชั่วก็จะได้มาถึงเสียที



“น้องนี้ไม่อยากรอแล้ว คิดอยากจะลงนรกไปกระชากหัวแล้วบั่นคอให้สิ้น” ไม่ใช่แค่รพีพงศ์เท่านั้น หากนาคน้อยข้างกายที่ขอร้องมาร่วมศึกก็รอที่จะแก้แค้นให้มารดาของตน



“นาคินทร์เจ้าจงใจเย็นอย่าได้ให้ความแค้นครอบงำจนลืมสติ อย่างไรเสียพวกเราจะคว้าชัยเหนือพวกมันเป็นแน่แท้” รพีพงศ์เอ่ยกับคนรัก อยากให้นาคินทร์มีสติให้มากเพื่ออุดช่องโหว่ในการต่อสู้ไม่ให้เป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายศัตรูได้นำมาใช้จัดการ



“ขอรับ น้องจำสิ่งที่ท่านพี่ ท่านพ่อและท่านอาพุธบอกกับน้องก่อนออกจากวิมานได้” นาคินทร์เอ่ย ตั้งใจแน่วแน่ว่าหากเกิดสิ่งใดขึ้นตนจะครองสติให้ได้ แม้จะเจอสิ่งยั่วยุให้เกิดโทสะก็ตาม



“เรื่องไร้สติไตร่ตรองและหลงระเริงนั้น ปล่อยให้มันเกิดกับกนธีกับอินทุนิลก็เพียงพอ เวลานี้คงจะนึกครึ้มใจว่าสามารถพาอสูรมาเป็นทัพเสริม ไหนเล่ายังมีชัยเหนือร่างที่พวกเราแบ่งจิตอวตารใช้หลอกพวกเขาให้ตายใจ” ชลันธรกล่าวเสริม



สิ้นคำของชลันธรก็เกิดเสียงกัมปนาท ทั้งสายชลในสระปทุมชาติก็ปะทุขึ้นมากระจายเป็นวงกว้าง ตามด้วยเสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิม



“ทุกคนเตรียมพร้อม!!” ด้วยยศนั้นใหญ่กว่าผู้ใด ชลันธรจึงเป็นผู้นำทัพ ส่งเสียงประกาศก่องให้ฝ่ายตนนั้นเตรียมตัว



สายน้ำที่แตกกระจายร่วงหล่นตกลงมาราวสายฝน เมื่อซาลงก็เผยให้เห็นโฉมหน้าของกันและกัน หากสีหน้าแสดงออกมานั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง



… ‘ฝ่ายหนึ่งตกใจจนเก็บอาการไม่อยู่’ …



… ‘ฝ่ายหนึ่งก็ยิ้มออกมาปิดบังความดีใจไว้ไม่มิด’ …



“ไยถึงทำหน้าตกอกตกใจเช่นนั้นเล่า ไม่ดีใจหรือไรที่พบหน้าพวกข้าอีกครา”









..............................

มาแล้วค่า

สวัสดีทุกคนนะคะ สบายดีไหมคะ ช่วงนี้ยังไงดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

วันนี้มาอัพนิยายต่อ กลัวคนอ่านเบื่อมากเลยเจอสงครามจุกๆกันไป2-3ตอนติดๆ ทั้งที่เรื่องราวก็เข้าสู่ช่วงใกล้จบเรื่องแล้วด้วย อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ ไม่สิเบื่อได้แต่อย่าทิ้งกันนะคะ

ยุ่งอัพช้าต้องขอโทษด้วย งานเขียนเหมือนภาษาไม่ดีเหมือนเดิม ยังไงติชม แนะนำได้ค่ะ จะนำไปปรับและพัฒนา

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาเม้น มาให้กำลังใจ ขอบคุณคนโดเนทด้วยนะคะ



หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.30 P.5 (16/01/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-01-2021 15:08:20
เอาอีกกกก
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.30 P.5 (16/01/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 21-01-2021 18:47:38
รอๆ กำลังสนุก~
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.31 P.5 (05/03/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 05-03-2021 17:18:57
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 31



“ไยถึงทำหน้าตกอกตกใจเช่นนั้นเล่า ไม่ดีใจหรือไรที่พบหน้าพวกข้าอีกครา”



ประโยคคำถามจากรพีพงศ์ดังผ่านสายลมเข้าโสตประสาท กนธีกำหมัดแน่นด้วยความโกรธกริ้วเพราะรู้ดีว่าตนนั้นถูกเด็กเมื่อวานซืนหลอกให้เสียกำลังและไพร่พลบางส่วนลงไปในห้วงมหาสมุทรและนรกภูมิ



หากความโกรธก็มลายหายไป เมื่อกนธีคิดขึ้นมาได้ว่าตนนั้นได้มากกว่าเสีย ไพร่พลที่ได้จากสุสานมหาสมุทรกับคุกนรกนั้นมีจำนวนมากมายหากเทียบกับที่สูญเสียล้มตายไป



‘อย่างไรเสีย ศึกครั้งนี้ข้านั้นมีชัยเหนือพวกเจ้า’



“ใครว่าพวกข้าไม่ดีใจยามพบหน้าพวกเจ้ากันเล่า หากเจอกันครั้งนี้ได้ทำร้าย ทำลายพวกเจ้าแลจะสังหารให้ถึงฆาต ตัวข้าย่อมยินดี” อินทุนิลเอ่ยออกไป มือนั้นก็กำทวนเอาไว้แน่นเตรียมสู้รบ



“เช่นนั้นหรือ ผิดกับตัวข้าที่เห็นพวกเจ้าแล้วพาลเสนียดลูกตา เห็นทีคงจะต้องปลิดชีพเจ้าให้ตาย ทำลายให้สิ้น อย่าได้เหลือแม้เถ้ากระดูก” นาคินทร์โต้ตอบกลับไป หากให้ลับฝีปากนาคินทร์ก็ไม่เป็นรองยิ่งเห็นอีกฝ่ายกำทวนจนสั่นก็ยิ่งสะใจ



“ชักช้าอยู่ไย รีบยกพลของเจ้ามารบกับพวกข้าเถิด จะได้รู้กันไปว่าใครมีดีเพียงแค่ปาก พวกเราบุก!!!” อินทุนิลตะโกนออกไปเสียงดังก้อง ทว่ามีเพียงอสูรไม่กี่ตนที่วิ่งเข้าสู่ลานหญ้าที่กลายเป็นสมรภูมิ ด้านทหารของนาคินทร์ก็เข้าจู่โจมทันทีจนอสูรแน่นิ่งไป



“พวกเจ้า!! เหตุใดถึงทำตัวเยี่ยงเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง รีบออกไปสู้กับพวกมันเสีย!!” สุรเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจกล่าวว่าทหารใต้อำนาจของตนที่ยืนเรียงเป็นหน้ากระดานไม่ขยับเขยื้อน การกระทำนี้ยิ่งทำให้กนธีโมโหจนแทบคลั่ง



“พระปิตุลากนธีต่อให้ท่านออกคำสั่งกี่ร้อยกี่พันครั้ง ทหารพวกนี้ก็หาได้ทำตามคำสั่งของท่านไม่” ชลันธรเอ่ย ริมฝีปากบางยิ้มเหยียดออกมานับว่าไม่ใช่ภาพที่จะเห็นโดยง่าย ใครจะคิดเล่าว่าพระสมุทรผู้จิตใจดีจะเยาะเย้ยผู้อื่นได้



“เจ้าหมายความอย่างไรชลันธร!!”



“ข้าจะแสดงให้ท่านได้ประจักษ์แก่สายตาถึงความหมายที่ท่านนั้นต้องการจะรู้” ชลันธรเอ่ยพร้อมก้าวขาออกมาด้านหน้า



“อสูรกายทั้งหลายเอ๋ย…จงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเจ้าออกมา” สิ้นเสียงคำสั่งของชลันธร ร่างกายของเหล่าอสูรกายใต้วารีและจากนรกภูมิก็เกิดละอองฝุ่นสีแดงครามและแดงฟุ้งกระจายไม่ต่างจากหมอกควัน



“ท่านกนธี…มันเกิดอันใดขึ้น” อินทุนิลกระซิบถามกนธี เทพพิจิกดาราสังหรณ์ใจไม่ดี ดวงตามองรอบทิศก็เห็นลางร้ายที่คืบคลานเข้ามา



ทว่ากนธียังไม่ทันให้คำตอบ หมอกบังตาพลันจางหายปรากฏความจริงให้ได้เห็นถึงความจริง อสูรที่ตนคิดจะนำมาเป็นทัพบุกยึดครองไตรภพกลับกลายเป็นเทพยดาที่มีอาวุธในมือพร้อมสรรพยืนล้อมตนและอินทุนิลไม่ต่างจากรั้วกั้นป้องกันพวกตนจะหนีไป



“ฉลาดไม่เบานี่” กนธีเอ่ยชมน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความโกรธปนประชดประชัน



“หากไม่ฉลาด ท่านพ่อของหลานคงไม่ยกบัลลังก์ให้ข้าแทนท่านดอก” ชลันธรยั่วโทสะ นึกดีใจที่ได้วางแผนซ้อนแผนและเป็นไปได้ด้วยดี รอเพียงกนธีและอินทุนินจำนนต่อพวกตน



“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าที่ได้บัลลังก์มาเพราะความเฉลียวฉลาดหาใช่เพราะสืบสายโลหิตโดยตรงจึงได้ครองบัลลังก์ตามเทวราชประเพณี” อินทุนิลเอ่ยขึ้น ดวงตามองเทพที่ใครต่างยกย่องว่าชั้นสูงอย่างหยามเหยียด



“หากเจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้เห็นทีว่าพวกเราจะต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเรานั้นเหมาะสมต่อบัลลังก์มากกว่าคนไร้คุณธรรมเช่นพวกเจ้า” รพีพงศ์เอ่ย



“เช่นนั้นก็แสดงมาเถิด ข้านี้พร้อมที่จะมอบความตายให้กับพวกเจ้าทุกชั่วขณะ” กนธีเองแม้รู้ว่าบัดดนี้ทั้งตนและอินทุนิลถูกห้อมล้อมไปด้วยศัตรู แต่ด้วยนิสัยไม่ยอมใคร ทั้งอวดดีทำให้กนธียังกล้าที่จะท้าทาย



“ชาวสมุทรทุกคนจงฟังไว้ให้ดี นี่คือการต่อสู้ระหว่างข้ากับอดีตพระสมุทรกนธี ดังนั้นอย่าได้มีผู้ใดเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือ” ชลันธรประกาศก้อง ก่อนจะยกตรีศูลขึ้นแล้วกระทบด้ามกับพื้นจนเกิดเสียง



“ข้าเองก็จะนำเลือดหัวของอินทุนิลมาล้างเท้าข้า ขออย่าให้ผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้อง” นาคินทร์เอ่ยออกมาเช่นเดียวกัน ทว่าแขนเรียวกลับถูกฉุดรั้งด้วยหัตถาของรพีพงศ์คนรัก



“นาคินทร์…” สิ่งที่นาคินทร์เอ่ยออกมานั้นหาได้อยู่ในแผนการทำให้รพีพงศ์รู้สึกกังวลใจจนแสดงออกมาอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าก่อนจะเปิดศึกสงครามรพีพงศ์จะได้ฝึกฝนการใช้อาวุธตลอดสอนคาถามนตราให้นาคินทร์เอาไว้แล้วก็ตาม



“ท่านพี่อย่าได้กังวลเลย ในเมื่อโชคชะตาและความรักของท่านพี่ได้นำพาวิญญาณข้าให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โปรดเชื่อมั่นในตัวข้าว่าข้านี้จะไม่เป็นอันใด” นาคินทร์ยิ้มให้กับรพีพงศ์พลางใช้มือของตนจับมือของรพีพงศ์ให้ออกจากแขนตน



“น้องให้คำมั่นว่าจะมีชีวิตเคียงข้างท่านพี่ตลอดไป” นาคินทร์พร้อมก้าวออกมาด้านหน้าเช่นเดียวกับชลันธร



“ช่างกล้าหาญยิ่งนักที่คิดจะต่อกรกับพวกข้า เช่นนั้นก็เข้ามา ข้าใคร่อยากจะบดขยี้พวกเจ้าให้ทหารเทวาพวกนี้ได้ดูเสียเหลือเกิน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อินทุนิลเอ่ยออกมาทั้งยังหัวเราะเยาะในความไม่เจียมตัวของเทวารุ่นลูกของตน



“คำพูดนี้เป็นพวกข้าต่างหากที่จะต้องเอื้อนเอ่ย!!” นาคินทร์กระโดดขึ้นลอยตัวบนอากาศในมือที่เคยว่างเปล่ามีแสงประภาสีม่วงสว่างวาบชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะดับไปพร้อมกับแส้เส้นยาวปรากฏขึ้นมา โดยด้ามจับประดับอัญมณีสีม่วง ส่วนตัวสายแส้นั้นเป็นแผ่นโลหะปลายคมร้อยเรียงกันไม่ต่างจากระดูกงู



‘หวึบ!’ นาคินทร์หวดแส้เข้าหาอินทุนิล หากศัตรูชั่วช้ากลับเบี่ยงตัวหลบได้อย่างหวุดหวิดและเคลื่อนตัวหลีกหนีไปอีกทาง



ด้านชลันธรเองก็เรียกเกลียวน้ำฉุดร่างของกนธีที่ไม่ทันตั้งตัวให้ไปทางสระบงกช ชลันธรไม่รอช้าร่ายเวทมนตร์เปลี่ยนน้ำในสระให้กลายเป็นผืนสมุทร ใต้ผิวน้ำลึกลงไปก็จะเห็นมวลมัจฉาเวียนว่ายไปมา ทั้งสองลอยตัวยืนเหนือเกลียวคลื่นในเมื่อเป็นศึกระหว่างเทพมหาวารีเช่นตนและกนธี อย่างไรเสียก็มาวัดกันว่าใครคือเจ้าแห่งมหารณพ



“เลือกลานประลองได้ดี ไม่สิ…ต้องเรียกลานประหารชีวิตที่มีข้าเป็นเพชรฆาตถึงจะถูก” กนธีเอ่ย พร้อมเรียกหอกแก้วเล่มยาวออกมาเป็นอาวุธแล้วชี้ปลายคมลากไปยังผิวน้ำ ไม่ถึงอึดใจมวลน้ำก็เลี่ยนรูปเป็นมือนับร้อยดำผุดดำโผล่หมายจะจับขาของชลันธรให้จมลงไป



ลูกไม้ของเด็กเล่นที่กนธีทำไม่อาจจะสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชลันธร ในเมื่ออีกฝ่ายส่งฝ่ามือมา ชลันธรก็เรียกมวลนำขึ้นมาลอยบนอากาศแล้วเปลี่ยนให้เป็นรูปเท้าเหยียบเข้าที่มือรวมถึง…กนธี



“คิดจะเหยียบข้าเหรอ!!” กนธีเบี่ยงตัวหลบแล้วใช้หอกจ้วงแทงไปยังบาทาวารีจำแลงจนกระจายกลายเป็นน้ำเช่นเดิม



“เมื่อครู่ข้าเพียงหยอกล้อ จากนี้ต่างหากเล่าคือของจริง” กนธีโบกมือเรียกเกลียวน้ำพุ่งเข้าใส่ชลันธร หากพระสมุทรก็หลบหลีกอย่างว่องไวทว่ามันคือแผนของกนธี เมื่อชลันธรเบี่ยงตัวไปอีกทาง กนธีนั้นก็พุ่งหอกหมายแทงทะลุร่างอีกฝ่าย



‘เคว้ง!’



ชลันธรยกตรีศูลขึ้นมาปัดด้ามหอกให้พ้นตัว จากนั้นก็หมุนตัวยกขาเตะเข้าที่ลำตัวของกนธีอย่างเต็มแรง จนคนโดนเตะเซถลาไปด้านหลัง กนธีนั้นแม้จะถูกเตะเมื่อครู่จนดูจะเป็นรอง หากผู้ที่เคยเข้าชิงตำแหน่งแม่ทัพสวรรค์มีหรือที่จะมีฝีมืออ่อนหัด เขาเปลี่ยนมันให้เป็นการตั้งหลักแล้วเข้าประมือถืออาวุธเข้าโจมตี ชลันธรเห็นว่ากนธีกำลังจะจู่โจมจึงยกด้ามตรีศูลกระแทกกับผิวน้ำสามครั้ง พลันก็เกิดน้ำวนดูดกลืนทั้งสองให้จมลงไปใต้ท้องทะเลจำแลง ซึ่งยิ่งดำดิ่งลงไปก็พบเจอแต่ความมืดมิดไม่ต่างจากท้องฟ้ายามรัติกาล



หากไม่ช้านานได้มีแสงประภาสว่างเฉิดฉาย ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวมาใกล้ ปรากฏเป็นมัจฉาใหญ่เกล็ดงดงามฉาบไปด้วยสีขาวปรอท เว้นเพียงครีบและหางแวววาวด้วยสีรุ้ง ‘ติณห์มัจฉา’ ปลาในตำนานซึ่งเล่ากันว่าหลับใหลใต้ศิลา ณ มหานทีสีทันดร ผู้ที่สามารถปลุกและครอบครองได้จะต้องเปี่ยมล้นไปด้วยพลังและบารมี



ปลาที่กนธีใฝ่ฝันอยากมาครอง ทำพิธีปลุกติณห์มัจฉาหลายครั้งหลายคราแต่มันกลับไม่ยอมตื่นขึ้นมา แม้จะขยับเปลือกตาก็ตามที ทว่าบัดนี้ติณห์มัจฉากลับเวียนว่ายใกล้กายาชลันธร เท่านี้กนธีก็คาดเดาได้ว่าชลันธรเป็นเจ้าของปลาเผือกตัวนี้



“คิดหรือว่าเจ้าเรียกติณห์มัจฉามาแล้วจะชนะข้าได้” กนธีเอ่ย ก่อนจะเรียกสัตว์วิเศษคู่กายของตนให้ออกมา



อสรพิษทะเลเลื้อยว่ายในกระแสสินธุ์ ขนาดกายใหญ่จนเห็นเกล็ดสีม่วงลูกหว้าชัดเจน ดวงตาสีแดงก่ำฉายความดุร้าย พร้อมกัดเนื้อฝังเขี้ยวปล่อยพิษให้รับความตาย



ชลันธรไม่รีรอเป็นฝ่ายเริ่มต่อสู้ สองมือยกขึ้นมาปล่อยพลังควบคุมติณห์มัจฉาให้ว่ายเข้าจู่โจมกนธี ด้านกนธีเองก็ไม่คิดที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับ อดีตพระสมุทรจึงควบคุมงูทะเลของตนพุ่งเข้าใส่หมายทำร้ายติณห์มัจฉา



การต่อสู้ของสัตว์เทวะประจำตนเป็นไปอย่างสูสีด้วยเป็นสัตว์วิเศษที่บำเพ็ญเพียรมานาน หากความเป็นต่อต้องยกให้ติณห์มัจฉาที่หลบหลีกคมเขี้ยวของงูยักษ์ได้ ก่อนจะอ้าปากปล่อยฟองอากาศอาบไปด้วยกรดลอยเข้าใส่งูทะเลจนเกิดบาดแผล ทว่างูร้ายกลับไม่คิดหนีมันยังคงต่อสู้เพื่อกนธี อสรพิษได้โอกาสเข้าเลื้อยรัดติณห์มัจฉาจนไม่อาจขยับตัวแหวกว่ายได้



“ติณห์มัจฉาแล้วอย่างไร สุดท้ายก็ต้องพ่ายให้แก่ข้า” กนธีเอ่ยพร้อมกับยิ้มเยาะ



“ท่านอา ทั้งที่ท่านนั้นเคยเป็นถึงแม่ทัพแห่งมหาสมุทรมาก่อน ไยถึงลืมคำสอนข้อหนึ่งเสียง่ายดายกันเล่า” ชลันธรพูดแทรกขึ้นมาทำให้เสียงหัวเราะของกนธีเงียบลง ก่อนจะกล่าวต่อไปอีกว่า



“ข้าจะขอทบทวนคำสอนให้ท่านก็แล้วกัน…อย่าได้ประมาทหรือดูถูกศัตรูอย่างไรเล่า”



สิ้นน้ำคำของชลันธร ติณห์มัจฉาก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมานำพาให้งูพิษทรมานและได้รับบาดเจ็บจนร่างกายอ่อนแรง คลายลำตัวปล่อยติณห์มัจฉา นอกจากปล่อยกระแสไปฟ้าแล้วก็ยังไม่พอหางสีสวยได้สะบัดแหวกมวลน้ำออกเป็นสองฝั่งและเมื่อโบกอีกครั้งก็กลายเป็นเกลียวคลื่นขนาดมหึมาโถมเข้าใส่กนธีและอสรพิษเขี้ยวแหลม



ครานี้กนธีไม่เสียท่ารีบชิงกระโดดขึ้นสู่ผิวน้ำ เช่นเดียวกับชลันธรที่กระโดดตามอย่างทันท่วงทีเพื่อรุกไล่ไม่ให้กนธีหนีไป เมื่อคืนสู่ผิวน้ำมิติมายาของชลันธรก็หายไปพร้อมด้วยติณห์มัจฉาและงูทะเล



เวลาไม่คอยท่า เฉกเช่นทั้งสองที่ไม่ปล่อยโอกาสให้การต่อสู้ได้ว่างเว้น คนหนึ่งเข้าบุก คนหนึ่งตั้งรับ มีพลาดพลั้งแลกกันสร้างบาดแผลให้ระคายผิว จนกระทั่งกนธีได้เหาะพาตัวเองให้ออกห่าง จากนั้นเท้าทั้งสองก็กลับมาสัมผัสยังผิวน้ำ แขนแกร่งสองข้างกางออกโดยมีกงล้อสีฟ้าหมุนเป็นวงกลมในฝ่ามือแทนหอกที่เคยใช้เป็นอาวุธ



กนธีเลือกที่จะใช้พลังที่มีควบคุมน้ำให้กลายเป็นเกลียวปลายแหลมหมุนวนเข้าจู่โจมหมายว่ามันจะเข้าทะลุร่างของหลานชัง ชลันธรเองก็หลบหลีกหากพลาดท่าโดนเกลียววารีโฉบเฉี่ยวจนล้มลง ซ้ำร้ายตรีศูลย์ก็หลุดมือไปอีกทาง



“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พอเจ้าไม่มีตรีศูลย์ก็เป็นดั่งเสือที่ไร้คมเขี้ยว” กนธีปรามาสใส่ชลันธร บาทาซ้ายขวาเดินเหยียบผิวน้ำเข้ามาใกล้ชลันธรด้วยความใจเย็น ดั่งพญาราชสีห์เจอกวางเนื้ออ่อนที่กำลังบาดเจ็บ



ทว่าพระสมุทรมีไหวพริบดีรีบแก้สถานการณ์ ชิงจัดการไม่ให้กนธีทำร้ายตน หากนี่คือที่ที่กนธีตั้งใจจะใช้มันปลิดชีวิต ชลันธรเองก็ไม่คิดจะยินยอม



ชลันธรพยายามลุกขึ้นยืน จากนั้นกระทืบบาทยังผิวน้ำจนกระเพื่อมเป็นคลื่นวงกลมและเมื่อกระจายออกไปก็ยิ่งก่อตัวเป็นม่านธาราที่แสนจะงดงามและทรงพลัง สกัดกั้นกนธีเข้ามาประชิดตนได้ทันท่วงที



“คิดหรือว่าของเด็กเล่นที่เจ้าสร้างมันจะสามารถหยุดข้าได้…ชลันธร!!” กนธีเอ่ยออกมา จากสายตาของผู้ที่ผ่านศึกมานับร้อย ต่อสู้มานับพัน ม่านธาราที่ชลันธรสร้างออกมานั้นนับว่าดูถูกฝีมือตนไม่ใช่น้อย



“มันอาจจะหยุดท่านไม่ได้แต่มันก็ช่วยให้ข้าคว้าชัยเหนือท่านได้แน่”



ชลันธรถอดปิ่นกัลปังหาที่ใช้ประดับมวยผมออกมา อันได้มาจากบิดาของตนซึ่งได้มอบให้เป็นสมบัติส่วนตัวเมื่อครั้งวัยเยาว์ พระสมุทรรูปงามจัดการขว้างมันออกไปผ่านม่านธารา ปักเข้าไปยังท้องของกนธี



“อั่ก!!” กนธีกุมท้องเอาไว้ก่อนโลหิตสีทองจะกระจายอาบย้อมอาภรณ์ กนธีพยายามจะดึงมันออกทว่ากลับดึงไม่ออกซ้ำยังรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วร่าง



‘ปิ่นกัลปังหา’ ความวิเศษของมันเทียบกับขนาดมิได้ แม้จะเล็กแต่เปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์



ชลันธรหาได้คิดจะใช้ปิ่นกัลปังหาเท่านั้น เพียงใช้มือโบกปราการน้ำก็เคลื่อนไปด้านหน้าและโถมซัดเข้าไปยังกายาของกนธี อดีตพระสมุทรเสียท่าเข้าเสียแล้วเมื่อถูกโจมตีโดยไม่ทันจะตั้งตัว พอจะขยับแขนขาแหวกว่ายหนีหรือจะร่ายมนต์คาถาโต้ตอบก็กลับถูกสายบัวเข้ารัดจนติดพันและกว่าคลื่นวารีจะสงบลงเป็นดังเดิม กนธีก็ถูกพันธนาการเข้ากับต้นไม้ใหญ่ริมสระเสียแล้ว



สภาพของกนธีในเวลานี้นั้นเปียกโชกหมดราศีของเทพผู้สูงศักดิ์ที่เคยครองบัลลังก์มุกสีคราม ร่างสูงใหญ่ขยับตัวไปมาให้หลุดพ้นจากสายบัวที่ต้องคาถาของชลันธร กนธีคิดขึ้นมาได้ว่าชลันธรนั้นเก่งกล้าขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก การต่อกรสู้รบปรบมือก็พัฒนาขึ้นจนเขานั้นไม่อาจคาดเดาได้



ทว่า…หลานรักผู้นี้มีจุดอ่อนนั่นก็คือความเมตตาสงสารที่มีต่อผู้อื่น



“ชลันธร…อายอมแพ้เจ้าแล้ว” กนธีเอ่ยขึ้น น้ำเสียงและสีหน้าเสแสร้งแกล้งยอมแพ้ ชลันธรได้สดับฟังก็นิ่งเงียบจึงกลายเป็นโอกาสให้กนธีได้กล่าวโน้มจิตใจต่อ



“หลานรัก อารู้ว่าเจ้าไม่อาจให้อภัยในสิ่งที่อาได้กระทำต่อเจ้าทั้งในอดีตจวบจนปัจจุบัน หากอามีสิ่งหนึ่งที่จะขอร้องต่อเจ้าจะได้หรือไม่” กนธีเอ่ยออกมาต่อ ยิ่งเอ่ยน้ำเสียก็ยิ่งแหบพร่าโรยแรง



“ท่านอาจะขอร้องสิ่งใดต่อข้าก็ว่ามาเถิด” ชลันธรเอ่ยถามพลางเรียกตรีศูลย์เข้าสู่มือ



“อาขอให้เจ้าอโหสิกรรมให้…อ้าก!!!” ปลายคมของตรีศูลเข้าแทงทะลุข้อมือของกนธีจนขาด ก่อนจะลอยกลับสู่ผู้เป็นเจ้าของ



กนธีคิดถูก…ชลันธรมีจุดอ่อนตรงที่มีใจสงสารและมีความเมตตาจนมักเป็นภัยสู่ตน หากชลันธรหาใช่คนโง่เขลาที่จะไม่เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เทพพระสมุทรยังคงมีจิตใจเมตตาแต่หาใช่กับศัตรูชั่วช่าที่ร้ายเสียยิ่งกว่าอสรพิษเฉกเช่นกนธี



“หากท่านมิใช่ญาติกาโดยสายเลือด ข้าคงจะต้องใช้ตรีศูลนี้ง้างปากแล้วตัดลิ้นของท่านแทนมือเสีย จะดูสิว่าลิ้นท่านจะมีสองแฉกดั่งงูหรือไม่ ไหนจะการกระทำแลตลอดถึงปากที่เปล่งวาจาออกมาอ้อนวอนขอร้อง เล่นละครตบตาราวกับดวงตาข้านั้นมืดบอดมองไม่เห็นฝ่ามือที่เต็มไปด้วยพลังของท่านที่พร้อมสังหารข้า” ชลันธรเอ่ย ก่อนจะเหาะเหินเคลื่อนกายไปหยุดตรงหน้าของกนธีแล้วเหลือบมองโลหิตสีทองที่ไหลออกมาจากบาดแผล ส่วนหูนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยของกนธีอยู่ไม่ขาด



“อึก…อ๊าก!!!”



หากเป็นอาวุธอื่นฟันเข้าจนมือขาดกนธีคงจะไม่ปวดแสบปวดร้อนเท่านี้ แต่นี่คือตรีศูลที่ตนนั้นเคยครอบครองถึงได้รู้ดีว่าความเจ็บที่รวดแล่นกระจายทั่วร่างนี้มันยากที่จะสะกดกลั้นเอาไว้ได้จนต้องระบายออกมาเป็นเสียงร้องที่ใครคงจะคาดไม่ถึงว่าเทพที่เย่อหยิ่งอย่างกนธีจะร้องออกมาไม่ต่างจากมหิงสาถูกเชือด ถึงกระนั้นแล้วกนธีก็ยังพยายามขยับเขยื้อนกายและแขนอยู่ดีแต่ก็ไม่อาจทำได้ ยิ่งขยับบาดแผลก็ยิ่งเรียกให้โลหิตไหลออกมามากกว่าเดิม



“ท่านรู้ดีไม่ใช่หรือ ว่ายิ่งขยับท่านก็ยิ่งเจ็บ” ชลันธรเดินเข้ามาใกล้ นัยต์ตาเรียวมองดูพระปิตุลาไร้แววความเห็นใจ กนธีเองก็เงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าหลานของชลันธรด้วยความคับแค้นใจ



“ชลันธร…อั่ก…เจ้าหลานแสนชัง!! ..แค่ก..แค่ก” ความโมโหโกรธาสำแดงผลให้ธาตุในกายนั้นแปรเปลี่ยนจนกระอักเลือดออกมาเปรอะเปื้อนคางไหลลงมายังลำคอและอาภรณ์



“ข้ารู้…ข้ารู้ว่าท่านแสนจะเกลียดชังข้า” ชลันธรเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขานั้นก้าวไปด้านหน้าจนแทบประชิดติดกายกนธี



“ถึงแม้จะรู้ว่าท่านเกลียดชังจนถึงกับวางแผนชิงบัลลังก์จากข้า แต่ข้ายังคิดที่จะมอบความเมตตาให้แก่ท่านจวบจนถึงเพลานี้” ชลันธรเอ่ย กนธีได้ฟังก็ฉงนใจปนดีใจที่สุดท้ายชลันธรก็ใจอ่อนกับตน แต่ก็ดีใจอยู่ไม่นาน…



‘ฉึก’



“อ้าก!!”



เสียงร้องสุดท้ายของกนธีดังขึ้นด้วยคมของตรีศูลที่แทงแทรกเนื้อเข้าไปยังกลางอกด้วยฝีมือของชลันธร กนธีเบิกตากว้างจนเห็นลูกตาทั้งหมดก่อนที่ลมหายใจจะดับห้วงไป



“ความเมตตาสุดท้ายของข้าคือข้าอยากให้ท่านหยุดทรมานจากบาดแผลที่ข้าสร้างไว้และหยุดท่านให้กระทำบาปจากการทำลายชีวิตของผู้อื่นทั้งปวง” ชลันธรเอ่ยถึงร่างไร้วิญญาณของกนธีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะดีดนิ้วเรียกไฟเผาร่างจนเป็นจุล



จบสิ้นกันทีชีวิตที่อยู่บนความอิจฉาริษยา ทั้งที่มีบุญญาให้เกิดมาอยู่เหนือใครแต่กลับทำตัวต่ำตมไม่สมกับเป็นเทวา จนใครไม่อยากจะคบค้า จนใครไม่อยากจะเฉียดใกล้ แต่เพราะอำนาจล้นมือถึงได้มาทุกอย่าง แต่เพลานี้ ‘กนธี’ เหลือเพียงนามให้รุ่นหลังได้กล่าวถึงเท่านั้น หากกล่าวในด้านร้ายหาใช่ด้านดี



●○●○●



ช่วงเวลาเดียวกันที่ชลันธรและกนธีต่อสู้ นาคินทร์เองก็ประจัญหน้าต่อสู้เพื่อล้างแค้นให้กับมารดาของตน หลังจากที่ไล่ตามอินทุนิลไปอีกทาง นาคินทร์ก็ตกหลุมพลางเข้ามายังมิติทะเลทรายที่อินทุนิลสร้างไว้สำหรับเป็นสนามรบตดสินชะตาว่าใครจะอยู่ ใครจะไป



แม้สนามรบนี้จะทำให้นาคินทร์เป็นรองต่ออินทุนิล หากมันไม่ทำให้จิตใจสั่นไหวหวาดกลัว ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็จำต้อง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คนหนึ่งถือทวน คนหนึ่งถือแส้ ถึงจะแตกต่างที่อาวุธแต่เหมือนกันตรงความคิดที่อยากจะฆ่าให้ศัตรูของตนม้วยมรณา



“ข้าจะให้เจ้าตายอีกรอบ…นาคินทร์!!!” อินทุนิลยกทวนชึ้นหวังฟันกายของนาคินทร์



“หากเจ้าทำได้ก็เข้ามา แต่อย่าตายด้วยน้ำมือข้าเสียก่อนเล่า!!”









.........................

นับเวลาถอยหลังใกล้จะถึงตอนจบแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม เคียงข้างกันมานะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ กลัวคนอ่านเบื่อเขียนการต่อสู้หลายตอนติด
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.31 P.5 (05/03/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-03-2021 00:28:08
รออออๆ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.31 P.5 (05/03/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: Moonkla ที่ 15-03-2021 12:48:01
 :L2:
รอท่านยุ่งมาต่อนะเพคะ
ชอบมาก ชอบมาย ตามติดงอมแงม
 :impress2:

+1
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.31 P.5 (05/03/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-03-2021 23:48:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.32 P.5 (14/04/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 14-04-2021 19:28:23
   ลิขิตรัก เพลิงเทวา

   Author : Tan-Yung 0209

   File : 32

   Warning : มีฉากการต่อสู้ที่รุนแรง บรรยายถึงการใช้อาวุธ ทำร้ายร่างกาย เสียเลือด เสียเนื้อ

   

   ทะเลทรายกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา มองไปทางไหนก็เห็นเพียงผืนทรายสีทองตัดกับเส้นขอบฟ้า นอกจากนี้ก็ยังมีสองเทวัญผู้พร้อมไปด้วยพลังแห่งอสรพิษกำลังขับเขี้ยวเข่นฆ่า หมายใจให้ฝ่ายศัตรูประสบกับความแพ้พ่าย

   

   …หากจะกล่าวให้ถูกคงจะต้องเป็นประสบกับความตาย…

   

   เริ่มด้วยนาคินทร์แม้จะเป็นฝ่ายถูกนำตัวมายังมิติทะเลทรายแต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้ตนเองเสียเปรียบ เทวากึ่งนาคใช้แส้กระดูกงูฟาดเข้ากับเนื้อกายหยาบของอินทุนิลจนเกิดรอยถลอก ทว่าเพียงเท่านี้ก็สร้างความระคายผิวให้รู้สึกแสบร้อนด้วยอาวุธของนาคินทร์นั้นอาบย้อมไปด้วยพิษนาคา โชคยังเข้าข้างอยู่บ้างที่อินทุนิลร่ำเรียนวิชานอกรีตจนมีพลังวิญญาณของสัตว์พิษแมงป่อง ทำให้พอจะต้านเอาไว้ได้บ้าง กระนั้นความเจ็บปนชาก็เริ่มลุกลามกระจายทั่วปากแผล

   

   …‘พิษแค่นี้ไม่ทำให้ข้าถึงตายดอก’…

   

   อินทุนิลยิ้มเหยียดพร้อมกับยกสลับปลายทวนทิ้งลงวาดลงพื้นทราย เกิดแรงสะเทือนจนนาคินทร์แทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่

   

   “ฝีมือกระจอกเช่นเจ้าทำอันใดข้าไม่ได้ดอก ยังห่างไกลจากข้านักราวฟ้ากับนรก” อินทุนิลไม่ใช่เพียงพูดจาโอ้อวด หากยังแสดงพลังของตนให้นาคินทร์ได้เห็น ผืนทรายเคลื่อนย้ายไปมาราวกับคลื่นทะเลก่อนจะก่อร่างสร้างตัวเป็นรูปร่างกลายเป็นกองทัพแมงป่องนับพันวิ่งเข้าจู่โจมนาคินทร์

   

   อินทุนิลรู้ดีว่าพิษแมงป่องมิอาจจะทำร้ายผู้สืบเชื้อสายนาคาได้ หากยังส่งสมุนมีพิษไปเพื่อรบกวนปั่นป่วนสมาธิของนาคินทร์ บ้างก็เคลื่อนไปด้านหน้า บ้างก็วิ่งอ้อมไปด้านหลังบ้างก็หาโอกาสไต่จากข้อเท้าไปยังขา ทำให้นาคินทร์ต้องเร่งสังหารทั้งปัดป่าย ใช้แส้ฟาดจนแมงป่องนั้นตายสลายกลายเป็นทรายอีกครา

   

   …‘แมงป่องพวกนี้ช่างตายเสียง่ายดาย ดูก็รู้ว่าเจ้าส่งมาลวงหลอกข้า’…

   

   นาคินทร์คิดในใจ ชายาแห่งสุริยบุตรอ่านแผนการของอินทุนิลออก ทำให้ระมัดระวังตนมากขึ้น ขณะเดียวกันจะต้องแสร้งทำไม่รู้เพื่อรอดูว่าอินทุนิลจะมาไม้ไหน ด้านอินทุนิลเห็นว่านาคินทร์มัวแต่จัดการแมงป่อง จึงใช้โอกาสนี้แปลงกายเป็นแมงป่องแก้วตัวมหึมาชูหางพิษเข้าหานาคินทร์เพื่อทะลวงร่าง

   

   น่าเสียดายที่นาคินทร์ไหวพริบดีจึงหลบหลีกและใช้แส้ในมือตวัดเฆี่ยนให้หางแมงป่องหันไปอีกทาง แม้ว่าจะไม่ได้สร้างบาดแผลให้อินทุนิลเจ็บตัวแต่ก็ประวิงเวลาเพียงเศษเสี้ยวให้ตนได้แปลงกายสู่เชื้อสายที่บิดาและมารดานั้นได้ให้มากับตนหลังจากได้กำเนิดจากต้นไม้แห่งชีวิต…พญานาค

   

   เกล็ดสีทองแทบจะกลืนไปกับเม็ดทรายหากต้องแสงสุริยันในมิติมายากลับงดงาม หากสิ่งที่โดดเด่นกลับไม่ใช่รูปลักษณ์แต่เป็นความสามารถของนาคินทร์ต่างหากเล่า ทันทีที่แปลงกาย นาคินทร์อ้าปากพ่นน้ำกรดใส่แมงป่องแก้ว

   

   แม้จะเป็นแมงป่องแต่อินทุนิลก็เคลื่อนกายหลบอย่างรวดเร็วซ้ำยังร่ายเวทย์สร้างกระจกเงาสะท้อนกลับที่เคยใช้กับพระพุธเข้ามาบังกายไว้ทำให้น้ำกรดนั้นย้อนรอยมาทางผู้ใช้น้ำกรดแทน แต่นาคเกล็ดก็สามารถเบี่ยงหลบได้ทัน กระนั้นอินทุนิลกลับซ้อนแผนโดยใช้หางของตนปักลงไปในผืนทราย ชั่วพริบตาเดียวร่างของนาคินทร์ก็ค่อย ๆ จมลงไป

   

   “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตายเสียเถิด ตายตามแม่ของเจ้าไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อินทุนิลหัวเราะออกมา ดวงตาจ้องมองนาคตัวใหญ่ที่พยายามตะเกียกตะกายให้หลุดพ้นจากทรายที่กำลังดูดกลืนร่าง จนในที่สุดหนามที่ทิ่มแทงหัวใจของอินทุนิลก็จมอยู่ใต้ผืนทรายสมใจ

   

   “กระจอกเสียเหลือเกิน ทั้งที่เป็นบุตรของพระเสาร์แท้ ๆ” อินทุนิลเอ่ย พร้อมคืนร่างเป็นเทวาเช่นเดิม

   

   ‘ตูม!!’

   

   “เป็นเจ้าต่างหากเล่าที่กระจอก!!!” นาคินทร์โผล่พรวดขึ้นมาจากทรายที่กลบหน้า จนเกิดเสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหวทั้งยังโต้ตอบน้ำคำที่อินทุนิลบอกกับตน จากยั้นก็เข้าเลื้อยรัดอินทุนิลอย่างรวดเร็ว จนอดีตเทวาพิจิดาราดิ้นเช่นไรก็ดิ้นไม่หลุด

   

   “คิดหรือว่าแค่เจ้าพันธนาการตัวข้าเอาไว้ แล้วข้าจะลงมือสังหารเจ้าไม่ได้” แม้เวลานี้ตนจะเป็นดั่งลูกได้ในกำมือจะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด หากอินทุนิลยังคงรักษาความปากดีได้เสมอต้นเสมอปลาย

   

   “ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าจะแพ้พ่ายเพียงข้านั้นรวบรัดตัวเจ้า”

   

   “ใช่ เจ้าคิดถูกเพราะต่อให้ข้าถูกเจ้ารัดกาย ข้าก็ยังสามารถสังหารเจ้าได้”

   

   สิ้นเสียงของอินทุนิล ทวนเล่มยาวก็ลอยอยู่เหนือเศียรของนาคินทร์ ทั้งยังดิ่งลงมาหมายจะปักลงกลางกบาล นาคินทร์เห็นเช่นนั้นก็ยกหางตนขึ้นมาแล้วอ้าปากอมเอาไว้

   

   พลันร่างของนาคินทร์และอินทุนิลก็ถูกแรงดึงดูดของมิติพาตัวออกจากทะเลทรายไปยังใต้มหาสมุทรในส่วนที่ลึกจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น โดยนาคินทร์ใช้น้ำบ่อน้อยในปากซึ่งสามารถเชื่อมมิติพาตนมายังที่แห่งนี้ ขอแค่มีน้ำเพียงหยดเดียวนาคินทร์ก็สามารถไปแหล่งน้ำที่ใดก็ได้เพียงใจคิด

   

   …‘หากอินทุนิลสามารถเลือกลานประหารของตนเป็นทะเลทรายได้ นาคินทร์เองก็ขอเลือกใต้มหานทีนี้เป็นปลิดชีพอินทุนิลเช่นเดียวกัน’…

   

   “คิดว่าพาข้ามาจมดิ่งในน้ำนี้แล้ว จะทำให้ข้ากลัวเจ้าหรือ” เพราะแรงดึงดูดเมื่อครู่ทำให้อินทุนิลหลุดจากพันธนาการของนาคินทร์และลอยคว้างอยู่ในฟองอากาศที่ตนได้สร้างไว้

   

   “ข้าไม่คิดว่าจะทำให้เจ้ากลัวดอกแต่คิดว่ามันจะทำให้เจ้าตายต่างหากเล่า” กล่าวจบนาคินทร์ก็แหวกว่ายเข้าโจมตีโดยอินทุนิลเองคอยตั้งรับ เรียกทวนอาวุธประจำกายถือเอาไว้มั่นเตรียมจ้วงแทงนาคินทร์ให้ถึงตาย

   

   “เข้ามาเลยนาคินทร์ เข้ามา ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าต่อให้ข้าอยู่ในน้ำพลังของข้าก็ยังเต็มเปี่ยมเฉกเช่นตอนลงมาสาปแช่งแม่ของเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

   

   …‘วาจาของเจ้าช่างเรียกหาความตายของข้ายิ่งนัก’…

   

   นาคินทร์นึกโมโห หากจำต้องประคองสติเอาไว้ไม่เช่นนั้นอาจจะตกหลุมพลางที่อินทุนิลวางเอาไว้ได้ อีกฝ่ายคงจะฉวยโอกาสรอตนพลาดพลั้งแล้วโจมตี ถึงได้ปล่อยให้สุนัขในปากเห่าหอนออกมาไม่มีหยุด

   

   …‘เห็นทีต้องจัดการหมาในปากเสียก่อน’…

   

   จากที่คราแรกนาคินทร์เลื้อยแหวกกระแสสินธุ์พุ่งเข้าหา กลับกลายเป็นเพียงว่ายล้อมอินทุนิล ทำให้อินทุนิลย่ามใจคิดว่านาคินทร์นั้นไม่กล้าเข้าหาเพราะกลัวตน แต่ความคิดของอินทุนิลเป็นความคิดที่ผิด นาคินทร์ไม่ได้เกรงกลัว หากรอเวลาให้อินทุนิลเผลอ

   

   …‘ในที่สุด…’…

   

   นาคินทร์รีบใช้หางเข้าตวัดร่างของอินทุนิลแล้วเหวี่ยงกระแทกกับโขดหินใหญ่ใต้ท้องทะเล แรงกระแทกทำให้อินทุนิลกระอักเลือดออกมาหากนาคินทร์ยังไม่พอใจ นึกใคร่อยากให้อินทุนิลเจ็บมากกว่านี้ จึงร่ายคาถาคืนร่างมนุษย์เพียงท่อนบนโดยท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปยังคงสภาพเป็นนาคา

   

   “แค่ก…แค่ก…เจ้าบังอาจมากนาคินทร์” อินทุนิลชี้นิ้วใส่หน้า ดวงเนตรจ้องมองด้วยความอาฆาต

   

   “แต่คงไม่เท่ากับเจ้าที่บังอาจพรากความสุขของมารดาข้า ของครอบครัวข้าแทบทั้งชีวิต” นาคินทร์เอ่ย พร้อมเรียกแส้กระดูกอสรพิษกลับสู่มือ

   

   “ก็สมควรนี่ แม่เจ้าคิดแย่งพระ….โอ๊ย!!” ไม่ทันพูดจบ แส้กระดูกงูก็ฟาดเข้าปากอินทุนิลจนเกิดแผลใหญ่

   

   “เอ่ยวาจาพล่อย ๆ เช่นนี้ ข้าจำต้องสั่งสอนให้หลาบจำ”

   

   “จะ…อั่ก..แค่ก…แค่ก” อินทุนิลจะด่าทอนาคินทร์ก็ไม่อาจทำได้ เพลานี้เพียงขยับปากก็ปวดแสบปวดร้อน

   

   …‘ในเมื่อขยับปากไม่ได้ ข้าก็ขอขยับมือแล้วกัน’…

   

   ‘เพี๊ยะ!!’

   

   ‘เพี๊ยะ!!’

   

   “โอ๊ย!!!”

   

   นาคินทร์ฟาดแส้ไปทั้งแขนและขาของอินทุนิล จากนั้นก็กระหน่ำฟาดไปทั่วกายโดยไม่สนใจว่าจะเฉือดเนื้อ บาดกระดูกส่วนใด ในใจของนาคินทร์ตอนนี้คิดได้อย่างเดียวว่าอินทุนิลจะต้องตายและก่อนความตายจะมาเยือนอินทุนิลจะต้องทรมานให้ยิ่งกว่ามารดาของตนประสบพบเจอ

   

   ‘ข้าไม่ยอมตาย…ข้าไม่ยอม’

   

   อินทุนิลรวบรวมจิตแล้วร่ายคาถาในใจ ก่อเกิดวงแหวนแสงประภาเหวี่ยงเข้าใส่นาคินทร์วงแล้ววงเล่า บ้างก็ฉิวเฉียดถากผิวกาย บ้างก็ถูกแส้ตวัดเข้าจนแตกสลาย แต่อินทุนิลก็ยังโจมตี

   

   “โอ๊ย!!” วงแหวนพิฆาตวงหนึ่งกลับหลุดรอดสายตาและอาวุธของนาคินทร์มันปะทะเข้ากับแขนเรียวจนแส้นั้นหลุดมือ อินทุนิลจึงใช้ช่วงเวลาที่นาคินทร์บาดเจ็บหนีเอาตัวรอด

   

   “จะหนีไปไหน อย่างไรเสีเจ้าหนีข้าไปไม่พ้น” นาคินทร์รวมพลังไว้ที่ฝ่ามือแล้วควบคุมมวลน้ำให้กลายเป็นเกลียวเชือกเข้ารัดข้อเข้าของอินทุนิลที่กำลังจะว่ายหนี

   

   จากนั้นก็ควบคุมให้เกลียวเชือกวารีกระชากลงยังผืนทรายแล้วลากถูอินทุนิล ทำให้อินทุนิลทุกข์ทรมาณทั้งบาดแผลจากการกระแทกโขดหิน แส้และบาดแผลที่เกิดจากการโดนปะการังครูดเข้าตามเนื้อตัว ก่อนร่างของอินทุนิลจะหยุดลงตรงแทบเท้าของนาคินทร์

   

   …‘แต่เจ็บที่ใดก็ไม่เจ็บเท่ากับเจ็บใจ’…

   

   อินทุนิลคิดแค้นจนกระอักเลือกออกมาเป็นก้อนลิ่ม เจ็บปวดใจยิ่งนักที่ชีวิตของตนในเวลานี้เวทนาจนต้องสยบอยู่ตรงหน้าแทบเท้าของบุตรจากคนที่ตนรักและเกลียดชัง

   

   “มองหน้าข้าเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้ายิ่งนัก เช่นเดียวกับข้าที่เกลียดเจ้าเช่นเดียวกัน” นาคินทร์เอ่ยพร้อมกับเหยียบเข้ากลางอกของอินทุนิล

   

   “จะพูดมากอยู่ไย เกลียดข้านักก็สังหารข้าเสียสิ”

   

   “แล้วใครว่าข้าไม่คิดสังหารเจ้าเล่าแต่วิธีการสังหาร ข้าคงไม่ใช้วิธีง่าย ๆ โดยการตัดกัวเจ้าแน่ เพราะคนชั่วช้าอย่างเจ้ามันจักต้อง…”

   

   นาคินทร์ตัดคำพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะจ้องตาของอินทุนิล แก้วตาสีม่วงดั่งบิดาค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสะกดจิตให้อินทุนิลนั้นตกอยู่ในมายาที่ตนสร้าง...

   

   ‘นาคินทร์ พ่อมีเรื่องจักให้เจ้าช่วย’

   

   ‘เรื่องอันใดหรือ…ท่านพ่อ’

   

   ‘พ่อจะแบ่งพลังเนตรมายาให้กับเจ้า ดังนั้นจงนำมันไว้ใช้สังหารอินทุนิล เข้าใจหรือไม่’

   

   คำขอร้องของบิดานาคินทร์จำมันได้ดี ถึงเวลาที่นาคินทร์จะใช้พลังของบิดาสังหารอินทุนิล นาคินทร์หวังว่าอินทุนิลจะยินดีกับของขวัญที่บิดาได้มอบให้

   

   “อ้าก!!...ไม่!!!...ไม่จริง!!”

   

   ในสายตาของนาคินทร์จะมองเห็นอินทุนิลร้องออกมา พลางใช้เล็บจิกข่วนตามแขน ใบหน้า และลำคอ ทว่าสิ่งที่อินทุนิลเห็นคือใบหน้าที่เคยงดงามนั้นเหี่ยวย่น เกศาดำขลับกลับกลายเป็นสีขาวโพลนทั่วศีรษะ อัปลักษณ์จนไม่เหลือเค้าโครงเดิม

   

   “ไม่!!!...ไม่!!!...เหตุใดตัวข้าถึงขยับไม่ได้ อ้าก!!..หนาวเหลือเกิน”

   

   จากผิวหนังที่เหี่ยวย่นก็เริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะตามเนื้อตัว อินทุนิลหนาวจับใจจนไม่อาจขยับได้ ทั้งรู้สึกชาไปตามร่างกาย ทรมานเหลือเกิน ทรมานจนคิดว่าความตายคงจะง่ายดายเสียยิ่งกว่ามีชีวิตอยู่

   

   “ให้ข้าตาย…ให้ข้าตายเสียเถิด…อ้าก!!...”

   

   หากนาคินทร์ไม่คิดจะให้ตายง่าย ๆ ดั่งใจของอินทุนิลปรารถนา ในมโนจิตของอินทุนิลนั้นเห็นฝูงแมงป่องแก้ว สมุนพิษของตนวิ่งเข้ามายังตน หางของมันชูชันแล้วเข้าต่อยปล่อยพิษสร้างความเจ็บปวดให้รวดแล่นทั่วกายา อินทุนิลเคยคิดใช้แมงป่องแก้วทำร้ายผู้คน ครานี้นาคินทร์ก็จะให้อินทุนิลได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ตนได้เคยกระทำกับผู้อื่น

   

   สักพักนาคินทร์ก็คลายเนตรมายา อินทุนิลจึงหลุดพ้นมาได้ ทว่าสินั้นกลับหลุดลอยราวกับคนบ้า ร่างกายสั่นเทิ้ม ดวงตาเหลียวซ้ายแลขวาหวาดระแวง น่าเวทนา…น่าเวทนา..แต่นาคินทร์ไม่คิดสงสาร

   

   “เมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาที่ข้าสร้างให้กับเจ้า หลังจากนี้ต่างหากเล่าคือของจริง” นาคินทร์ยกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งควบคุมมวลน้ำให้เกลียววนรอบกายอินทันิลจนหลุดลอยเข้าไปด้านใน

   

   “อ้าก!!!!!”

   

   เสียงร้องเสียงสุดท้ายของอินทุนิลดังลั่น ก่อนที่สายน้ำจะพรากร่างกายและลมหายใจไป กายหยาบถูกสายน้ำวนที่หมุนเร็วและแรงทำให้สัมผัสไม่ต่างจากใบมีดเชือดเนื้อจนเป็นเศษเล็กเศษน้อย เลือดสีทองไหลรวมกับน้ำวนส่งกลิ่นคาวไปทั่ว ส่วนกระดูกนั้นก็ถูกบนละเอียดและร่วงหล่นปนไปกับเม็ดทราย

   

   …‘จบสิ้นความริษยา…จบสิ้นชีวาของอินทุนิล’…

   

   “รพีพงศ์…แล้วนาคินทร์เล่า” ชลันธรเอ่ยถามรพีพงศ์หลังจากสังหารกนธีเสร็จสิ้น

   

   “นาคินทร์ยังไม่กลับมา เจ้าเล่าสังหารกับกนธีเป็นเช่นไร บาดเจ็บมากหรือไม่”

   

   “ข้าไม่เป็นอันใดมาก แลกกับการได้จบชีวิตพระปิตุลากนธีแผลที่ได้ก็เป็นเพียงแค่รอยถลอก”

   

   “ไม่ใช่ว่ากลัวตอบว่าบาดเจ็บหนักแล้วท่านนภนต์รู้จะโกรธาที่ชายาตนไม่ระวังตัวหรอกหรือ” ประโยคที่เอ่ยแทรกขึ้นมาหาใช่เปล่งออกมาจากปากของรพีพงศ์แต่เป็นนาคินทร์ที่กำลังเดินกุมแขนส่งยิ้มมาให้

   

   “นาคินทร์เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” รพีพงศ์ปรี่ตัวเข้าประคองนาคินทร์ด้วยความเป็นห่วง

   

   “น้องหาได้เจ็บมากดั่งแผลที่เห็น ท่านพี่อย่าได้เป็นห่วงเลย น้องว่าเราเร่งนำกองทัพไปช่วยท่านพ่อกับท่านนภนต์กันเถิด”

   

   ปัจจุบัน

   

   ชลันธร รพีพงศ์และนาคินทร์นำทัพเคลื่อนพลมายังสวนขวัญได้สำเร็จ ทั้งยังเข้าล้อมจอมมารล้านภาคเอาไว้ได้ เมื่อจอมมารล้านภาคพินิจพิจารณาก็พบว่าทั้งสามได้นำทัพเทวา กองพลจากใต้บาดาลและจากนรกภูมิ…‘เป็นไปได้อย่างไรกัน’… มารพศินคิดในใจ ตามแผนการตนได้ส่งกนธีให้นำมารอสูรที่เกิดจากวิญญาณตายโหงที่มีจิตอาฆาตและอินทุนิลไปเปิดประตูคุกนรกนำอสูรตลอดจนเปรตมาร่วมทัพ แล้วเหตุใดทั้งสามถึงอยู่ที่นี่ทั้งมีไพร่พลใต้บัญชาอีกมากมาย

   

   “คงจะเหนือความคาดหมายเจ้าสินะ ทุกสิ่งทุกอย่างหาได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด” พระเสาร์เอ่ยขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ยกปลายหอกจ่อเข้าที่คอของมารล้านภาค

   

   “ใครว่ามันจะไม่เป็นไปอย่างที่ข้าคิด ต่อให้พวกเจ้ายกทัพมามากกว่านี้กี่ร้อยกี่พันเท่า พวกเจ้าก็ไม่อาจสังหารข้าได้ ใช่หรือไม่พระเชษฐา…พระพริษฐ์” มารล้านภาคหันไปถามพระผู้สร้างที่บัดนี้ได้ละจากการนั่งสมาธิลุกจากแท่นศิลาเสด็จมุ่งหน้ามาหาตน

   

   ถ้อยคำที่มารล้านภาคเปล่งวาจาออกมาล้วนทำให้เทพรุ่นหลังงุนงงว่าเหตุใดถึงไม่อาจปลิดชีพมารล้านภาคได้ ผิดกับพระเสาร์ผู้ที่ได้รับเทวราชโองการ ‘จับเป็น’ มารล้านภาคนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจเพราะมันคือสาเหตุที่ตนต้องยั้งมือรวมที้งต้องหยิบยืมนำพลังของพระพุธเข้าสู่ตน

   

   “เจ้าเองก็รู้มิใช่หรือพระเสาร์ ถึงได้ยั้งมือยั้งแรงไม่ยอมใช้หอกสังหารข้า” มารล้านภาคเอ่ยต่อไป นี่เป็นสิ่งหนึ่งหากไม่นับพลังความสามารถที่ตนมี เหตุที่สงครามเทวา-อสูราเมื่อหลายร้อยปีก่อนแม้จะรับความพ่ายแพ้และตนก็ถูกจับได้ กระนั้นกลับไม่เข้าสู่ลานประหาร

   

   นั่นเพราะ…

   

   “หากได้กระทำอันใดให้โลหิตออกจากร่างกายของมารล้านภาค แม้เพียงหนึ่งหยดก็จะเกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปยังโลกมนุษย์” พระผู้สร้างตรัสออกมา คำตอบนี้ทำให้ทุกคนได้รับคำตอบว่าเหตุใจถึงต้องละการจับตายเอาไว้และต้องจับเป็นเท่านั้น

   

   การต่อสู้ฉากสุดท้ายกลับไม่ง่ายดั่งใจคิดเสียแล้ว แต่อย่างไรแม้จะต้องตายเหล่าเทวาก็พร้อมยินดีปราบจอมมารตรงหน้านี้ให้จงได้

   

   

   

   

 .....................

สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันพักใหญ่ตอนนี้กลับมาอัพแล้วนะคะ จะพยายามใช้วันหยุดปั่นนิยาย เรื่องนี้อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว ใจหายเหมือนกัน แต่คนอ่านคงดีใจว่าจบสักทีอยู่กันมาเกือบ2ปีเลย 55555



ตอนหน้าต่อสู้รอบสุดท้าย เตรียมใจกันนะคะ เราจะเจอความสุข(?)แล้ว เผื่อใครชินกับการต่อสู้จนลืมไปว่านี่นิยายรัก(ท่านยุ่งว่าท่านยุ่งลืมเอง) 55555

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตาม คอมเม้นเป็นกำลังใจ ใครจะติ ชม วิจารณ์สามารถทำได้ค่ะขอให้อยู่ในเนื้อเรื่องนิยายนะคะ

ขอบคุณนักอ่านทุกคนสำหรับกำลังใจ

 
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.32 P.5 (14/04/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-04-2021 00:42:43
รอเลยยยย
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.33 P.5 (06/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 06-05-2021 14:23:33
   ลิขิตรัก เพลิงเทวา

   Author : Tan-Yung 0209

   File : 33

   Warning : มีฉากการต่อสู้ที่รุนแรง บรรยายถึงการใช้อาวุธ ทำร้ายร่างการ เสียเลือด เสียเนื้อ

   

   การจะได้สิ่งใดมานั้นจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ บ้างก็แลกด้วยทรัพย์สิน บ้างก็แลกด้วยหยาดเหงื่อ บ้างก็แลกด้วยหยาดโลหิต บางครั้งก็จำต้องสังเวยเอาชีวิตไปแลกเพื่อได้สิ่งที่ต้องการ

   

   จอมมารล้านภาคเองก็มีความต้องการ มีความปรารถนาเช่นเดียวกับผู้อื่น แตกต่างตรงที่สิ่งที่ต้องการกลับมีเจ้าของเสียแล้ว จอมมารล้านภาคต้องการบัลลังก์ทองของพระผู้สร้าง จอมมารผู้นี้ต้องการจะเป็นใหญ่เหนือใครในสามโลก

   

   เหตุนี้เขาจำต้องแลกจิตวิญญาณความเป็นเทวา เลือกเส้นทางสายอธรรมเพื่อจะได้เป็นใหญ่โดยไม่จำต้องก้มหัวให้ใคร หากเป็นเทพยดาแล้วต้องอยู่ปีกของพระเชษฐาตน สู้เบี่ยงทางเบนเข็มเป็นจอมมารมีอำนาจควบคุมอสุรา

   

   ‘หากเจ้าเป็นสีขาว ข้านี้จะเป็นสีดำ’

   

   กระนั้นพศินยังไม่หยุดอยู่ในฐานะจอมมาร ความทะเยอทะยานกระหายในอำนาจยังคงมีอยู่มาก ดุจดั่งไฟไหม้ลามทุ้งหญ้ายากที่จะคุมหรือดับได้โดยงง่าย ทำให้เกิดศึกเทวา-อสุรายืดยื้อเป็นเวลาหลายปีและจบลงโดยที่ตนต้องพ่ายแพ้แก่พระพุธ แม้จะปราชัยก็ตามทว่าตลอดเวลาที่ถูกจองจำในคุกกาลเวลาจอมมารล้านภาคคิดที่จะกลับมาเป็นใหญ่เหนือทั้งปวง

   

   เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วต่อให้ตรงหน้ามีศัตรูเข้ามาขวางนับร้อย นับพัน จอมมารเช่นตนมีหรือจะล่าถอย หากอยากลิ้มรสความตายก็จงดาหน้าเข้ามา จอมมารล้านภาคผู้นี้ไม่หวั่นเกรงผู้ใด

   

   “เข้ามาเลย ต่อให้พวกเจ้ายกทัพกันเข้ามาจนหมดสวรรค์สุดลงไปยังใต้บาดาลแลยืมกำลังจากนรกภูมิก็หาได้เอาชนะข้าผู้นี้ไม่” จอมมารล้านภาคเอ่ย

   

   “อย่าได้ทะนงตัวเพราะศึกครั้งนี้เจ้าจะพ่ายแพ้ไม่ต่างจากครั้งเก่าก่อน” พระเสาร์เอ่ยจบก็ใช้ด้ามหอกฟาดเข้ากลางลำตัวของจอมมารพศิน

   

   หากขึ้นชื่อว่าจอมมารมีหรือจะหลบหลีกหนีไปไม่พ้น จอมมารล้านภาค กระโดดลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะร่ายคาถาออกมาเกิดหมอกควันห่อหุ้มทั่วร่างและกระจายฟุ้งปรากฏเป็นจอมมารล้านภาคนับร้อยตนเข้าร่วมกับกองทัพอสูรที่เหลือกำลังพลเพียงหยิบมือ

   

   “มัวรออันใดเล่า เร่งเข้ามาจับข้าสิเพียงแต่ระวังอย่าให้ข้านี้หลั่งโลหิตก็เป็นพอ” จอมมารล้านภาคทุกตนกล่าวมาพร้อมกันเพื่อสร้างความสับสนให้กับทัพเทวา จากนั้นจึงบัญชาสั่งการให้ไพร่พลของตนเข้าต่อสู้กับทัพเทวาตรงหน้า

   

   ทางด้านพระเสาร์และเทพนภนต์ต่างก็ประกาศก้องสั่งกองพลเข้าบุกโจมตีเช่นเดียวกัน เริ่มทางด้านพระสมุทรเทพสั่งผู้ใต้บัญชาให้เคลื่อนพลเป็นทัพหน้า จากนั้นก็สร้างม่านธาราเป็นเกราะป้องกันผู้บุกรุก ทว่าเหล่าอสูรก็พยายามทำลายม่านพลังนี้ ทั้งใช้อาวุธ ทั้งใช้กายา กระแทกเข้ามาจนเกิดรอยร้าย จนในที่สุดก็ทะลุผ่านมาได้

   

   “อ้าก!!!”

   

   ทันที่ผ่านเข้ามาได้ชลันธรก็ได้ขว้างตรีศูลออกไปเข้าแทงทะลุร่างของอสูรสามตนในคราเดียวเป็นการเปิดศึก จากนั้นเหล่าทวยเทพและอสุราต่างเข้าหาสู้รบกันไม่มีใครยอมใคร ชลันธรเองก็ใช้มือควบคุมตรีศูลให้เคลื่อนไหวตามใจนึก ซ้ายที ขวาที จนอสูรร้ายตายตกตามกัน ทว่าพระสมุทรหนุ่มมัวแต่เพ่งสมาธิอยู่กับตรีศูลตรงหน้าจนไม่ว่ามีอริศัตรูลอบจัดการทางด้านหลัง

   

   “ชลันธร!!!”

   

   “อ้าก!!”

   

   เสียงร้องเรียกนามของผู้ครองมหาสมุทรจะมีผู้ใดหาญกล้าเอ่ยออกมาได้เว้นแต่ผู้ครองบัลลังก์เมฆาอย่างนภนต์ ซึ่งเห็นเข้าพอดี จึงร้องเรียกพร้อมขยับปีกบินเข้าหาผู้อันเป็นที่รัก หากเกรงว่าจะไม่ทันจึงแผลงศรยิงทะลุคออสูรที่บังอาจจะแตะต้องยอดดวงใจของตน

   

   “เป็นเช่นไรบ้าง…ชลันธร” แม้จะปลิดชีพอสูรได้ทันเวลา หากนภนต์ก็อดห่วงชลันธรไม่ได้อยู่ดี

   

   “ข้ามิเป็นไร ข้าขอขอบน้ำใจท่านพี่ที่ช่วยชีวิตข้าไว้” ชลันธรเอ่ยพลางใช้เรียกตรีศูลกลับมายังหัตถาของตน

   

   “ระวังตัวเอาไว้ให้มาก เข้าใจหรือไม่”

   

   “ท่านพี่เองก็เช่นกัน”

   

   ‘ฉึก!’

   

   เพราะมัวแต่เป็นห่วงคนรักกลับกลายเป็นว่านภนต์ถูกลอบทำร้ายเสียเองจากด้านหลัง ทว่าชลันธรมีหรือจะให้นภนต์ได้รับบาดแผลจึงใช้ศาสตราวุธประจำกายจ้วงแทงเข้าโดยพลัน

   

   “ท่านพี่เองก็ระวังตนเช่นเดียวกัน” สิ้นประโยค สองเทวาผู้ครองบัลลังก์เมฆาและบัลลังก์มุกสีครามก็จัดการปลิดชีพคนโฉดชั่วอีกครั้ง

   

   ฝ่ายเทพจากนพเคราะห์ซึ่งตรึงกำลังอยู่อีกด้านหนึ่ง ต่างใช้พลังอำนาจที่ตนมีเข้าจัดการอสูรร้าย เฉกเช่นพระจันทร์ที่ร่วมมือกับพระพฤหัสบดีเข้าสังหารให้ตายในคราเดียว หรือจะเป็นพระราหูที่เรียกวิญญาณนาคาจากสุสานใต้ท้องสมุทรมาจัดการ

   

   “พระราหู พระเกตุ พวกท่านไปจัดการทางนั้นเถิด ทางนี้ข้ากับพระจันทร์จะจัดการเอง” พระพฤหีสบดีเอ่บ ก่อนจะวาดยันต์บนกระดานชนวนจนเกิดอักขระเขาปะทะร่างของมารอสูรจนเกิดเสียงหวีดร้องแสบหูดังตามมา

   

   “อ้าก!!!!!”

   

   การต่อสู้นั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่มีใครยอมใคร ผลัดกันบุกผลัดกันรับด้วยฝีมือและกำลังพลทำให้ฝ่ายจอมมารล้านภาคต่างล้มหายตายจากจนหมดเว้นเพียงจอมมารและร่างแปลงนับร้อยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ เพราะไม่มีใครคิดจะสังหารทว่าพอจะเข้าจับกุมก็ถูกจอมมารลงมือเสีย

   

   …‘การที่ไม่สามารถจับตายกลับกลายเป็นว่าจอมมารล้านภาคนั้นได้เปรียบ’…

   

   …‘แต่ก็ใช่ว่าจะปราบไม่ได้’…

   

   เมื่อจอมมารล้านภาคไร้สมุนคอยช่วยเหลือ พระเสาร์จึงถอดหน้ากากเงินของตนออกและเปิดเนตรมรณาค้นหาจอมมารล้านภาคตัวจริงปรากฏให้เห็นร่างสูงใหญ่หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ กระนั้นก็มิอาจหลุดรอดสายตาเพราะแผ่ไอพิษสีดำออกมาห่อหุ้มกายา

   

   “ข้าเจอตัวมันแล้ว รพีพงศ์จัดการพวกที่เหลือด้วย” พระเสาร์สั่งความไว้กับสุริยบุตรก่อนจะเหาะเหินเดินอากาศไปยังมารล้านภาคตัวจริง

   

   รพีพงศ์เองก็มิขัดคำสั่ง หากพระศนิเทพมีดวงตามรณา รพีพงศ์เองก็มีเนตรอัคคีกลางหน้าผากไว้ใช้จัดการศัตรูเช่นเดียวกัน เมื่อดวงเนตรเปิดออกเกิดเปลวเพลิงเข้าแผดเผาอสุรามารร้ายที่อยู่ในสายตา นอกจากรพีพงศ์แล้วนาคินทร์ เทพนภนต์ ชลันธร ตลอดจนเทพทั้งหลายต่างจัดการร่างไม่จริงของจอมมารซึ่งแม้จะมายา หากก็มีพลังพอจะต่อกรกับเหล่าเทพทั้งหลาย

 

   “เจ้าหนีข้าไม่พ้นดอกจอมมารล้านภาค” พระเสาร์เอ่ยขณะที่เข้ามาอยู่ในระยะประชิดของศัตรู

   

   “แล้วใครเล่าที่คิดจะหนีเจ้ากัน” จอมมารล้านภาคเอ่ยก่อนจะหาโอกาสใช้เปลี่ยนทวนให้เป็นดาบดาบเข้าฟาดฟันพระเสาร์

   

   “เช่นนั้นก็ยอมให้ข้าจับเสียเถิดจอมมารล้านภาค”

   

   หนึ่งเทพ หนึ่งจอมมาร เข้าประมือกันต่างคนต่างใช้ความสามารถที่มีอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นพลังมนตรา อาวุธในหัตถาที่มีหรือจะเป็นสติปัญญาที่ใช้ในการวางยุทธศาสตร์สู่ชัยชนะ

   

   แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรู้ผลโดยพลัน เนื่องจากทั้งสองมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา การเจอกันในครั้งนี้เรียกได้ว่าสมน้ำสมเนื้อ หากฝีมือที่มีต่างไม่สามารถทำอันใดกันและกันได้ก็จำต้องพึ่งพาชะตาของตนว่าใครคือผู้โชคดี

   

   กาลนั้นจอมมารล้านภาคใช้ดาบกระหน่ำเข้าฟัน หากพระเสาร์นั้นกลับหลบหลีกคมดาบมาได้ อีกทั้งหมุนตัวใช้ด้ามหอกฟาดไปยังแผ่นหลังของจอมมารพศิน ทว่ายังไม่ทันที่ด้ามหอกจะสัมผัสกับกายหยาบ จอมมารร้ายก็ใช้พลังสร้างเกราะเวทย์กำบังส่งผลให้เกิดแรงสะท้อนจนพระเสาร์เซถลาแต่ด้วยไหวพริบที่มีพระเสาร์จึงใช้พลังสร้างวงแหวนขว้างใส่จอมมารจนเซถลาไปด้านหลังเช่นเดียวกับตน

   

   “บังอาจ!!” จอมมารล้านภาคร้องออกมาดังก้องด้วยความโกรธา แผ่ไอพิษเป็นหมอกดำทมิฬออกมาอีกครั้ง พลางเดินเข้าหาพระเสาร์ที่กำลังจะลุกขึ้นยืน ใครที่บังอาจเป็นอริกับจอมมารล้านภาคมันจักต้องตายสถานเดียว

   

   “อึก!” พระเสาร์พยายามจะลุกขึ้นยืนทว่ากลับขยับไม่ได้ ดวงตานั้นมองเห็นเงาใหญ่ทาบทับที่ขาตนจึงเข้าใจว่าโดนจอมมารล้านภาคใช้วิชาถอดจิตบางส่วนไปยังเงาเข้ามาตรึงกายตนไม่ให้ขยับเขยื้อน

   

   “ฮึ! ลุกขึ้นสิพระเสาร์ ลุกขึ้นมาสู้กับข้าอีกคราสิ” จอมมารล้านภาคเอ่ยออกมาน้ำเสียงเย้ยหยัน ยามมองพระเสาร์ที่ตนชังน้ำหน้ากำลังสยบอยู่ตรงหน้าตน จากนั้นจอมมารล้านภาคยื่นแขนไปด้านหน้าก่อนจะสร้างมวลพลังดึงดูดร่างพระเสาร์ให้ลอยขึ้นแล้วเข้ามาหาตน

   

   “อัก!!..อึก!!” พระเสาร์ถูกจอมมารล้านภาคบีบคอเข้าเสียแล้ว แรงบีบทำให้พระเสาร์ดิ้นแทบไม่หลุด ยิ่งต่อต้านมารล้านภาคก็ยิ่งชอบใจยิ้มเยาะที่เห็นสภาพของเทพที่ใครต่างขนานานามว่าแกร่งที่สุด

   

   “แข็งแกร่งหรือ…ข้ามองอย่างไรก็เหมือนลูกไก่ในกำมือ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ลูกไก่ที่จะต้องตายด้วยพิษของข้า” สิ้นประโยคไอพิษที่แผ่ออกมาจากร่างของจอมมารล้านภาคก็ทวีเพิ่มขึ้นจนเป็นหมอกจาง ๆ ลอยเข้าหาพระเสาร์

   

   ทว่าพระเสาร์กลับไม่ยอมให้เกิดอันตรายกับตน ริมฝีปากคลี่ออกแสะยิ้มเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามใจคิด ดวงตามรณะเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีดำสนิทดูดกลืนไอพิษเข้าไปในดวงตา ทั้งยังใช้มือจับเข้าที่ข้อมือที่กำลังบีบคอของตนปลดปล่อยเปลวไฟสีขาวให้ลุกลามเผาผลาญลุกลามไปตามแขนของจอมมารล้านภาคและมันก็ไม่คิดจะดับลงโดยง่าย

   

   “นี่มัน…เพลิงหิมะ!!”

   

   “ไม่คิดว่าเจ้าจะจำได้ หากเจ้าพุธรู้คงจะดีใจเป็นแน่แท้”

   

   จำไม่ลืม…มารล้านภาคไม่เคยลืมเพลิงหิมะคาถาประจำกายของพระพุธ ที่สงครามเทวา-อสุราในคราก่อนพระพุธได้ใช้คาถานี้ปราบตนให้โดนอัคคีน้ำแข็งนี้เผากายตนและแช่แข็งจนไม่อาจขยับเขยื้อน ร้ายไปยิ่งกว่านั้นความเย็นที่สัมผัสผิวกายตนก็กัดกินจนแสบสันทรมาน

   

   “แต่เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะยอมถูกจับด้วยคาถาเดิมๆ” จอมมารล้านภาคกล่าวก่อนที่จะเพิ่มความร้อนในกายหมายจะใช้มันสู้กับความเย็นทว่ายิ่งเพิ่มความร้อนมากเท่าไรเพลิงหิมะกลับโชกโชนลุกลามมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้จิตของจอมมารนั้นไซร้ไร้ซึ่งความนิ่ง ส่งผลให้ร่างเงาที่สู้กับเทพองค์อื่นสลายกลายเป็นฝุ่นธุลี

   

   “เป็นได้อย่างไรกัน..อ้าก!!...เหตุใดเป็นนี้”

   

   “ข้ากับเจ้าพุธคิดไว้แล้วว่าเจ้าคงหาโอกาสรับมือ จึงได้ซ่อนกลคิดคาถาสู้กับเจ้าอีกเปราะหนึ่ง มารล้านภาคเอ๋ยจงยอมแพ้เสียเถิด ยอมแพ้พวกข้า ยอมแพ้ให้กับสิ่งที่เจ้ามิอาจจะครอบครองได้” พระเสาร์เอ่ย ขณะเดียวกันนั้นก็นึกถึงคำของพระพุธเมื่อตอนที่ตนนั้นรับเอาพลังจากพระพุธมา

   

   ‘พี่เสาร์พุธได้ถ่ายโอนพลังเพลิงหิมะให้กับท่านแล้ว หากมันหาได้สมบูรณ์เนื่องจากท่านหาใช่ผู้เป็นเจ้าของเช่นพุธ ดังนั้นมันมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น’

   

   ‘ขอบน้ำใจเจ้ามาก ข้าจักใช้มันจัดการจอมมารชั่วให้ได้ในคราเดียว’

   

   ‘พี่เสาร์ของพุธเก่งกาจเหนือใคร….เรื่องนี้พุธย่อมรู้ดี หากอย่าได้ประมาทจอมมารผู้นี้เป็นอันขาด เกรงว่าฝ่ายนั้นคงฝึกตนรับมือเพลิงหิมะนี้แน่ พุธจึงอยากให้พี่เสาร์ใช้คาถาซ่อนกล พี่เสาร์ทำได้หรือไม่’

   

   ‘ได้สิ’

   

   “อ้าก!!!” จอมมารล้านภาคร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น ความเย็นกัดกินตนทั้งโดนแช่แข็งจนไม่อาจขยับไปไหนได้ มันลุกลามจนแทบจะทั่วทั้งตัว กระนั้นจอมมารล้านภาคก็รวบรวมแรงร้องเรียกหาผู้เป็นพระเชษฐา

   

   “พระผู้สร้าง!!! ข้ามาที่นี่เพื่อชิงบัลลังก์จากท่าน ไหนเลยท่านจึงส่งคนมาต่อกรกับข้า ไยถึงไม่ลงมือเองเล่า แน่จริงก็ให้พระเสาร์ปล่อยข้าไปสู้กับท่านสิหรือท่านเกรงกลัวข้า” จอมมารล้านภาคเอื้อนเอ่ยกับพระผู้สร้างที่ประทับอยู่ใต้ต้นมะม่วงทิพย์

   

   “หยุดพล่ามได้แล้ว เพียงเจ้าอ้าปากข้าก็รู้สิ้นถึงตับไตไส้พุงว่าคิดเช่นไร อยากจะหลุดจากพันธนาการของข้าแล้วหลบหนีหรือ ข้านี้ไม่มีทางปล่อยเจ้า อีกอย่างเจ้านั้นหาใช่คู่ต่อสู้ของพระผู้สร้างไม่อย่าได้คิดจะท้าทายเลย” พระเสาร์เปล่งวาจา อย่างไรเสียตนจะไม่ยอมปล่อยจอมมารล้านภาคเพราะโอกาสใช้เพลิงหิมะนั้นมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

   

   “พระเสาร์ปล่อยจอมมารล้านภาคเถิด” ทว่าองค์ราชาแห่งทวยเทพกลับรับคำของจอมมารล้านภาค หากพระเสาร์ยังคงดื้อดึงไม่ยอมปล่อย

   

   “พระเสาร์!!!  เจ้าคิดจะขัดพระบัญชาของพระผู้สร้างหรือ” จอมมารล้านภาคเอ่ย ในความคิดนั้นหาลู่ทางหนีจากการจับกุม

   

   พระเสาร์จำต้องปล่อยจอมมารล้านภาคออกแม้จะขัดใจ เปลวอัคคีที่ลุกลามค่อย ๆ มอดลงพร้อมกับน้ำแข็งที่อันตธานหายไปราวไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น จอมมารล้านภาคได้รับอิสระอีกครั้งก็เตะพระเสาร์ให้ออกห่างแล้วใช้คาถาหายตัว

   

   ทว่าทุกสิ่งกลับเคลื่อนไหวเชื่องช้า จอมมารล้านภาคมองตัวเองที่ยังคงอยู่ในท่าทางเดิม ในใจนั้นตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเหลียวมองพระผู้สร้างที่ยังคงเดินเหินเป็นปกติและมุ่งหน้ามาหาตนพร้อมกับกรงล้อแห่งโชคชะตาอยู่ด้านหลัง

   

   “ตัวข้านี้มีใจสงสารเมตตาเจ้า จึงให้ผู้อื่นจับเป็นเจ้าหวังเพียงว่าเจ้าจะถูกจองจำและสำนึกผิดได้ หากแลเหมือนว่าข้านั้นจะคิดผิด เจ้าไม่เคยคิดดีได้ ซ้ำร้ายยังคิดชั่วช้าสร้างแต่ความเดือดร้อนให้ทั้งสามโลก เจ้าท้าทายให้ข้าต้องลงมือสังหารเจ้า…พศิน”

   

   “ อย่าคิดมาขู่ข้าเลย ข้าไม่กลัวท่านดอกหนา ท่านจะสังหารข้าได้อย่างไร อย่าลืมสิว่าข้านี้ได้พรจากเสด็จพ่อหากเลือดข้าหลั่งลงเมื่อใดจะเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า”

   

   “ข้าไม่ลืม หากมีแต่เจ้าที่ไม่รู้ว่าข้าสามารสังหารเจ้าโดยที่โลหิตเจ้าไม่หลั่งรินออกมา” สิ้นสุรเสียงของพระผู้สร้างกรงล้อแห่งโชคชะตาก็เคลื่อนตัวตามกลไก ก่อเกิดรัศมีสีทองส่องประกายไปยังจอมมารล้านภาค

   

   “โอ๊ย!!!...อ้าก!!!”

   

   จอมมารล้านภาคร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด กายหยาบที่ประกอบด้วยเนื้อหนังมังสาค่อย ๆ สลายกลายเป็นควัน ลอยล่องเข้าไปยังกงล้อแห่งโชคชะตา ไม่นานร่างของจอมมารล้านภาคนั้นก็มลายหายไปจนสิ้นเหลือเพียงอากาศราวกับว่าไม่เคยมีจอมมาร ณ ที่แห่งนี้

   

   …‘ลาก่อนจอมมารล้านภาค…ลาก่อนพศินน้องพี่’…

   

   “จอมมารล้านภาคตายแล้ว เฮ!!!!”

   

   “พวกเรามีชัยเหนือหมู่มาร เฮ!!!”

   

   ทหารเทวาที่ร่วมทำศึกส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ บ้างก็ทิ้งอาวุธเข้าสวมกอดกัน ในที่สุดสงครามได้จบเสียที หลังจากนี้สืบไปความสงบสุขก็กลับคืนสู่ทุกสรรพสิ่งในสามโลก

   

   “ท่านพ่อเป็นเช่นไรบ้าง” นาคินทร์วิ่งเข้าหาผู้เป็นบิดา ไล่หลังมานั้นก็เป็นรพีพงศ์คนรักที่เข้ามาร่วมสมทบ

   

   “พ่อมิเป็นไร เจ้าทั้งสองเล่าเป็นเช่นไรบ้าง” พระเสาร์ถามบุตรในสายโลหิตและบุตรเขยของตน

   

   “ลูกมิเป็นไรขอรับ มีเพียงแผลเล็กน้อยไม่ถึงกับเป็นอันตราย” นาคินทร์ตอบ

   

   “ข้าเองก็เช่นกัน” รพีพงศ์ตอบกลับพร้องกับกอดเอวคนรักเอาไว้ให้ยืนเคียงกาย

   

   “ดีแล้ว ความเศร้าโศกและการสูญเสียมันผ่านพ้นไปแล้ว หลังจากนี้พ่อเองก็หวังว่าพวกเราทั้งสามจะพานพบประสบกับความสุขเสียที”

   

   นาคินทร์ได้ฟังคำบิดาก็พยักหน้า นาคน้อยเองก็คิดว่าช่วงชีวิตไม่ว่าภพภูมิก่อนหรือภพภูมิในปัจจุบัน ตนนั้นเจอเรื่องร้ายมาเสียส่วนใหญ่แต่อย่างไรเสียก็กลับมีเรื่องดีปะปนมาบ้าง อย่างนั้อยนาคินทร์ก็มีรพีพงศ์เคียงข้าง มีพระเสาร์ผู้เป็นบิดาคอยห่วงใย นาตินทร์อยากมีความสุขเช่นนี้ก็ได้แต่ภาวนาอ้อนวอนต่อโชคชะตาอย่าได้พรากความสุขไปจากตนอีกเลย

   

   …‘ชีวิตนับจากนี้…นาคินทร์ไม่อยากจะเสียน้ำตาให้กับความเจ็บปวดอีกแล้ว’…







.......................

สิ้นสุดสงคราม สิ้นสุดแล้ว สิ้นสุดกันที ความเจ็บปวดมันหายไปแล้ว

เย้!!!!!!!!!!!! แต่กว่าจะหายก็เล่นเอาตอนก่อนสุดท้าย



ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะคะ ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้ว ใจหายเหมือนกันนะคะ หวังว่าทุกคนจะจะติดตามอ่านดันและพูดคุยกันนะคะ

สุดท้ายนี้เช่นเดิมค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเม้น มาอ่านนะคะ มาเป็นกำลังใจ สามารถติชมได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.33 P.5 (06/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-05-2021 01:09:10
มารอตอนจบน้า
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.34 P.5 (17/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 17-05-2021 15:06:14
   ลิขิตรัก เพลิงเทวา

   Author : Tan-Yung 0209

   File : 34

   Warning : -

   Rate : NC

   

   เวลาผ่านไปถึงสามราตรีกาลกับศึกสงครามเทวา-อสุรา ไร้ซึ่งข่าวสารแว่วผ่านหูให้คนรอนั้นได้รับรู้ ผู้ใดไม่ได้ร่วมศึกหากผู้อันเป็นที่รัก มิตรสหาย ทำได้เพียงรอคอยเท่านั้น ทั้งเป็นห่วง ทั้งอธิษฐานภาวนาให้ทุกคนนั้นปลอดภัย ไม่เว้นแต่พระพุธซึ่งแม้นจะรู้ผลลัพธ์ล่วงหน้าด้วยญาณอันแกร่งกล้ารวมไปถึงคำทำนายที่พี่ใหญ่ของตนไปบอกไว้

   

   “พระพุธขอรับ ข้าว่าท่านเข้าไปรอในวิมานเถิด” ทหารก้านบัวที่เฝ้าประตูวิมานเอ่ยกับเทวารัศมีสีใบตอง ซึ่งได้ฝืนกายลุกจากบรรจถรณ์ออกมาทั้งที่ร่างกายนั้นยังไม่แข็งแรงดีพอ ทหารก้านบัวจึงคะยั้นคะยอให้เข้าพัก ทั้งกลัวพระเสาร์ผู้เป็นนายจะเห็นเข้าแล้วตนพลอยรับโทษที่ปล่อยให้คนสำคัญที่พวกตนโดนกำชับให้เฝ้าดูไม่ให้หลุดรอดสายตา

   

   “พวกเจ้าอย่าห้ามเราเลย เรายืนรออยู่ตรงนี้หาได้ไปที่อื่นใด อีกทั้งร่างกายเราหากไม่ขยับเคลื่อนไหวเสียบ้างเกรงจะไม่มีแรงเสีย”

   

   “แต่ว่าพระเสาร์…”

   

   “ไม่ต้องกลัว ข้าจะออกหน้ารับโทษแทนพวกเจ้าเอง…อ๊ะ!!” พระพุธกล่าวกับทหารก้านบัว ทว่าสิ้นประโยคไม่ทันไรขาทั้งสองก็อ่อนแรงไปเสียดื้อ ๆ จนร่างสูงโปร่งของพระพุธทรุดลงไปกับพื้น

   

   “พระพุธ!!” ทหารก้านบัวร้องออกมาพร้อมกัน ก่อนจะเข้าไปช่วยพยุง ทว่าดูเหมือนจะช้ากว่าใครบางคนไปก้าวหนึ่ง ร่างของพระพุธที่กำลังจะลงไปนอนกับพื้นนั้นกลับมีแขนแกร่งเข้ารองรับก่อนจะอุ้มขึ้นมา

   

   “ช่างดื้อรั้นเสียเหลือเกิน ใครใช้ให้เจ้าออกมา” น้ำเสียงทุ้มดุคนในอ้อมแขน หากสิ่งที่ได้กลับหาใช่ใบหน้าสลดสำนึกผิดแต่เป็นรอยยิ้มกว้าง…รอยยิ้มที่พระเสาร์เองรอคอย หากตนจะยิ้มตอบรับก็หาทำได้ไม่ เวลานี้ต้องดุเทพแสนซนเสียก่อน

   

   “พวกเจ้าปล่อยให้พระพุธออกมาได้อย่างไร!!” พระเสาร์หันไปตวาดทหารก้านบัวของตน ทั้งที่รู้ว่าคงทำตามหน้าที่กันสุดความสามารถแต่ไม่อาจต้านทานพระพุธได้

   

   “พี่เสาร์ พุธผิดเองอย่าได้ว่าพวกทหารเลย หากจะลงโทษโปรดลงโทษพุธเถิดหนา” พระพุธเอ่ย น้ำเสียงไพเราะออดอ้อนให้พระเสาร์ใจเย็นลง

   

   “ได้…ข้าจะลงโทษเจ้าแทน” พระเสาร์แสะยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่พระพุธนั้นคิดว่าจะต้องเป็นการลงโทษที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่

   

   “แล้วการศึกเป็นเช่นไรบ้าง แล้วนาคินทร์ รพีพงศ์ พี่ใหญ่ พี่รองของพุธ แล้วเทพองค์อื่นเล่าเป็นเช่นไร ทุกคนปลอดภัยดีใช่หรือไม่” พระพุธซักถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ จตลอดจนไม่เห็นหน้าหลานทั้งสองก็หวั่นใจกลัวจะได้รับบาดเจ็บ

   

   “ใจเย็น ๆ ประเดี๋ยวข้าจะตอบคำถามเจ้าหลังจากเข้าไปยังวิมาน ส่วนรพีพงศ์กับนาคินทร์นั้น…” คำตอบสุดท้ายของพระเสาร์ใช้สายตาแทนคำพูด พระพุธมองตามไปก็เห็นนาคินทร์นั่งบนหลังพญาราชสีห์พาหนะของรพีพงศ์ร่วมกับเจ้าของ

   

   “นาคินทร์!! รพีพงศ์!!” พระพุธร้องออกมาด้วยความดีใจ

   

   “ท่านอา ท่านอาเป็นอันใด เหตุใดท่านพ่อจึงต้องอุ้มเอาไว้เช่นนี้” ผิดกับนาคินทร์ ทันทีที่ลงจากหลังจากหลังราชสีห์ก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

   

   “นั่นสิ ท่านอาเป็นอันใดไปหรือ” รพีพงศ์เองก็ซักถามออกไปเช่นกัน

   

   “ท่านอาของพวกเจ้าดื้อรั้นออกจากวิมาน ฝืนตนจนล้มลงอย่างไรเล่า”

   

   “พี่เสาร์อย่าบอกหลานสิ พุธหาใช่เด็กที่ดื้อดึง”

   

   “ฮึ! เจ้ามันยิ่งกว่าเด็ก เอาล่ะพวกเราเข้าไปด้านในวิมานกันเถิด จะได้พักผ่อนหลังเสร็จศึกสงครามด้วย” พระเสาร์ชักชวนบุตรชายและบุตรเขยให้เข้าไปในวิมาน

   

   เมื่อเข้ามาแล้วต่างก็แยกย้ายกันนั่งลงบนแท่นรัตนา รพีพงศ์โอบเอวบางของนาคินทร์ให้นั่งเคียงข้างตน ส่วนพระเสาร์ก็จัดท่าจัดทางให้พระพุธนั่งให้เรียบร้อย โดยนั้นนั่งอยู่ใกล้ ๆ เพื่อดูแลหากพระพุธเป็นอะไรไปอีก

   

   “ศึกครั้งนี้มีชัยใช่หรือไม่ แล้วผู้ร่วมศึกเป็นเช่นไรบ้าง” พระพุธถามขึ้นสิ่งที่ค้างคาใจมันคับแน่นจนต้องระบายออกมาด้วยคำตอบจากเทพทั้งสาม

   

   “ศึกครานี้มีชัยตามคำทายของพระพฤหัสบดี ส่วนหนึ่งเป็นแผนของท่านอาด้วยทำให้พวกเรานั้นสามารถจัดการอริศัตรูไปได้” นาคินทร์เอ่ย ทั้งชื่นชมพระพุธด้วยใจจริง

   

   ย้อนกลับไปก่อนจะทำศึกสงครามเทวา-อสุรา หลังจากมารล้านภาคแบ่งจิตใช้ร่างมาชิงตัวอินทุนิล ซ้ำประกาศจะทำสงครามกับเทพทั้งหลายเพื่อครอบครองไตรภพ ครานั้นเหล่าเทพต่างประชุมกันเพื่อหาทางรับมือ พระพฤหัสบดีได้ทำนายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้ถึงรวมถึงผลแพ้ชนะในการศึกโดยกำหนดให้ต้องจัดการให้ไม่เกินสามทิวาราตรี

   

   ระยะเวลาที่ได้รับนั้นช่างแสนสั้น เป็นการบังคับกลาย ๆ ให้เหล่าเทพาและเทพี ต้องคิดแผนให้ได้ โดยคำนึงถึงการเผด็จศึกที่ต้องทันเวลา อีกทั้งต้องสูญเสียเลือดให้น้อยที่สุด พระพุธเมื่อรู้คำทำนายจากการที่ตนได้ซักถามนาคินทร์จึงช่วยคิดหาทาง แม้จะไม่แข็งแรงพอจะลุกเดินไปร่วมเข้าชุมนุมในเทวสภาหรือออกศึกแต่ก็ได้มอบสาส์นฝากสพลถวายแด่พระผู้สร้าง ถึงแผนการที่ใช้ให้แกล้งพ่ายแพ้ยามที่กนธี อินทุนิล บุกนครบาดาลและแดนนรก ไหนเลยจะมอบตำราเคล็ดลับวิชาให้นาคินทร์ได้ฝึกฝนก่อนออกรบ รวมไปถึงมอบพลังของตนให้กับพระเสาร์

   

   …‘สมกับเทพที่มีปัญญาและความเมตตาอยู่เต็มเปี่ยม’…

   

   “หลานยกยออาเกินไปแล้ว แผนการของอาเพียงผู้เดียวเสียที่ไหนกันเล่า เทพผู้อื่นต่างระดมความคิด ทั้งความสามารถในการสู้รบที่โดดเด่นของแต่ละคนทำให้จัดการมารล้านภาคและพรรคพวกได้”

   

   หลังจากนั้นเทพทั้งสี่ก็สนทนากันอีกเพียงเล็กน้อย ด้วยการทำศึกตลอดสามวันที่ผ่านมานั้น ร่างกายพาลเหนื่อยล้าแทบจะหมดแรง จึงแยกย้ายกลับไปยังห้องหับของตน พระเสาร์พยุงพระพุธที่เริ่มกลับมามีแรงพอลุกเดินได้ ส่วนรพีพงศ์ได้จูงมือนาคินทร์กลับห้องเช่นเดียวกัน

   

   ‘ปัง!!’

   

   “อะ…อื้ม”

   

   บานประตูปิดลงพร้อมลงสลัก เช่นเดียวกับริมฝีปากของนาคินทร์ที่ถูกทาบทับไม่อาจเปิดออก รพีพงศ์ตะโบมจูบนาคินทร์ราวกับสัตว์ป่าหิวโหยเจอเหยื่อรสชาติแสนโอชะ หากเหยื่อที่มีท่าทีตกใจในคราแรกกลับไม่หนีทั้งยังเปิดทาง เผยอริมฝีปากให้พยัคฆาได้สอดชิวหามาลิ้มรสของตนทั้งยังตวัดลิ้นกลับหยอกเอิน ยั่วยวนชวนให้โดนกัดกิน

   

   บทจูบเปี่ยมรักดำเนินไปทั้งความกระหายใคร่อยากจะดูดกลืน บ้างก็อ่อนหวานให้ใจระทวยเต้นผิดจังหวะ อย่างไรก็ตามมันได้สร้างความสุขให้กับคู่รักที่ปรนเปรอกันและกันจนพอใจ ก่อนรพีพงศ์จะผละริมฝีปากออกแล้วโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ หากครานี้นาคินทร์กลับใช้ดัชนีทาบไว้ที่ริมฝีปากอีกคน กั้นเอาไว้ไม่ให้เข้ามา

   

   “อื้ม…ท่านพี่ไม่คิดจะชำระล้างคราบเลือด คราบไคลก่อนหรือไร” เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ นาคินทร์ไถ่ถามคนตรงหน้าแม้ว่าคำตอบนั้นจะแสดงออกผ่านดวงตาว่าต้องการตนมากเพียงใด นาคินทร์คิดว่าคงจะมากพอ ๆ กับที่ตนต้องการอีกฝ่าย

   

   “คิดสิ…นาคน้อยของพี่ แม้พี่รู้ว่าเจ้าเหนื่อยแต่เป็นเจ้าได้หรือไม่ที่จะช่วยอาบน้ำให้แก่พี่”

   

   “ย่อมได้ น้องยินดีอาบให้ท่านพี่”

   

   นาคินทร์เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าหาป้อนจูบให้แก่สวามีของตน มืองามจับไปยังชายอาภรณ์แล้วปลดเปลื้องมันออกให้พ้นกายของร่างสูงใหญ่ เช่นเดียวกับรพีพงศ์ที่จัดการนาคินทร์ให้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า

   

   เมื่อผละริมฝีปากถอนจูบ รพีพงศ์จึงอุ้มคนงามของตนเข้าไปยังห้องสรงน้ำ ที่ภายในเป็นสระหินอ่อนกว้างขวาง ตรงกลางมีแท่นศิลาสำหรับไว้นั่งขัดสีฉสีววรณ รัชทายาทพระอาทิตย์ค่อย ๆ ย่างเท้าย่ำขั้นบันไดลงไปในสระสรงเพื่อไปยังแท่นศิลา

   

   “เอาล่ะ หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วนาคินทร์” รพีพงศ์กระซิบข้างหูน้ำเสียงแหบพร่า แล้วปล่อยนาคินทร์ให้เป็นอิสระจากอ้อมแขนของตน

   

   นาคินทร์พยักหน้าว่าง่ายไม่อิดออด ร่างอรชรลงจากแท่นศิลาแล้วเสกผ้าขาวบางชุบน้ำในสระจนเปียกชุ่ม จากนั้นค่อยเช็ดถูตามเนื้อตัวของรพีพงศ์ซึ่งกำลังนั่งมองทุกการกระทำของคนรักบนแท่นศิลา เพียงแค่ปลายนิ้วเคลื่อนไหวพาภูษาถูกายนี้ เพียงลมหายใจรดใส่ยามเจ้านาคตัวน้อยก้มหน้าลงมาก็ทำให้รพีพงศ์นั้นอดทนแทบไม่ไหว นาคินทร์ใช้ผ้าในหัตถาถูจนทนทั่ว ยกเว้น…

   

   “เมียพี่…เจ้ายังหาได้ถูตรงนี้ไม่” รพีพงศ์คว้ามือของนาคินทร์มาวางไว้ตรงกลางกายตนที่แข็งขืนเต็มไปด้วยกำหนัด

   

   “ตรงนี้หรือ ท่านพี่จะให้น้องเช็ดด้วยผ้าหรือเช็ดด้วยอันใดเล่า” นาคินทร์แสร้งถาม ขณะเดียวกันก็ลูบไล้กลางกายนั้นไปด้วย แววตาเจ้าเล่ห์ที่ปรายตามองหาได้ทำให้รพีพงศ์หวั่นใจตรงกันข้ามมันช่างเย้ายวนเสียมากกว่า

   

   “เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ…นาคินทร์” รพีพงศ์เอ่ย

   

   จบประโยคคำตอบ นาคินทร์ได้นำฝ่ามือของตนออกไปแล้วขยับตัวยืนเข้าแทรกกลางระหว่างขาของสวามีตน เนื่องด้วยนาคินทร์อยู่ในสระสรง รพีพงศ์นั่งบนแท่นศิลาทำให้ระดับใบหน้างามอยู่ตรงกับส่วนที่ต้องการเช็ดถูพอดิบพอดี

   

   นาคาคนดีเผยลิ้นออกมาทีละน้อยแล้วแตะเข้ายังส่วนปลายของแก่นกายจากนั้นจึงไล่เลียจากบนลงมาจนสุดด้านล่างแล้วลากกลับไปมา ช้า ๆ หากทั่วถึง นาคินทร์ใช้ลิ้นแทนผ้า ใช้น้ำในปากแทนน้ำในสระสรง ค่อย ๆทำความสะอาด เรียกเสียงครางบ่งบอกว่าชอบใจจากรพีพงศ์เป็นระยะ ทำให้เจ้าตัวดีนึกฮึกเหิมจับแก่นกายของคนรักเข้าปากแล้วขยับขึ้นลงสร้างความหฤหรรษ์ พาอารมณ์ของรพีพงศ์ให้เพิ่มขึ้นไม่ต่างหาฟืนมาสุมไฟให้ลุกโชติ

   

   ส่วนมืองามจมหายไปใต้น้ำก็นวดคลึงส่วนอ่อนไหวของตนทั้งยังลูบไล้ไปตามปากทางรักแล้วสอดดัชนีเข้าไปเพื่อเปิดทาง นาคินทร์ใช้นิ้วเรียวขยับเข้าออกไปในทิศทางเดียวกับริมฝีปากตนที่ครอบครองกลางกายของรพีพงศ์ ยิ่งกำหนัดถูกกระตุ้นมากเท่าใด ก็ส่งผลมให้ทั้งนิ้วและปากขยับมากขึ้นไปตามครรลอง

   

   “อืม..นาคินทร์ เหตุใดน้องถึงหยุดเล่า” แต่แล้วไฟที่กำลังโหมแรงกลับถูกดับเอาไว้ชั่วคราว นาคินทร์ที่ผละริมฝีปากงามจากแก่นกายคนพี่ได้แต่ยิ้มพรายออกมา ผิดกับรพีพงศ์ที่มีแต่ความต้องการอยากสานต่อ

   

   “ใครว่าน้องหยุด..น้องแค่เปลี่ยนจากปากเป็นอย่างอื่น” นาคินทร์เอ่ยพร้อมกับลุกเข้ามานั่งคร่อมตักรพีพงศ์ไว้ เท่านี้ก็สามารถเรียกร้อยยิ้มจากสุริยบุตรได้

   

   หากนาคินทร์ไม่ใช่อยากเห็นเพียงรอยยิ้ม นาคินทร์ต้องการมากกว่านั้น ต้องการเสียงที่พร่ำบอกรัก ต้องการแววตาที่มองมายังตนคนเเยว เฉกเช่นตนที่อยากจะกระทำกับรพีพงศ์ นาคน้อยคนงามเริ่มขยับบดเบียดบั้นท้ายให้เสียดสี ปล่อยให้กลางกายร้อนถูไปตามร่องของก้อนเนื้ออวบอัด เรียกเสียงกระเส่าจากในลำคอทั้งยังได้รับรางวัลเป็นรอยขบเม้มที่ประทับยังแผ่นอกขาว เนื้อนุ่ม ๆ ถูกรพีพงศ์เลียวนจนทนทั่วไม่เว้นแม้แต่ยอดอกที่ถูกดูดดุนอย่างตะกละตะกรามไม่จากทารกต้องการน้ำนมมารดา หากทารกนี้ตัวใหญ่โตซ้ำรู้ความว่าจะทำเช่นไรให้อีกฝ่ายเปล่งเสียงออกมา

   

   นอกจากเสียงเท่านั้น หากร่างกายของนาคินทร์ตอบสนองต่อความต้องการ ช่างซื่อตรงเสียเหลือเกิน นาคินทร์ขยับตัวบดเบียดเร็วขึ้น สุดท้ายนาคินทร์ก็ไม่อาจทน ยกสะโพกขึ้นมาหมายจะสอดใส่แกานกายอีกคน โดยรพีพงศ์ให้ความร่วมมือ นวดเค้นบั้นท้ายงาม ทั้งช้อนสะโพกรองรับให้นาคินทร์กระทำการสำเร็จ

   

   “อื้อ..ทะ…ท่านพี่” นาคินทร์ค่อย ๆ นั่งลงไป บัดนี่ร่างกายนั้นได้กลืนกินความเป็นตัวตนของรพีพงศ์ ทีละนิด…ทีละนิด รพีพงศ์เองหาได้นิ่งเฉย เทพหนุ่มขยับสวนเข้าไปในช่องทางรักช้า ๆ เนิบนาบ เพื่อให้นาคินทร์นั้นปรับตัวได้ แม้มีจะร่วมรักกันมาหลายครั้งหลายคราแต่รพีพงศ์ก็ยังคงทนุถนอมยอดดวงใจ

   

   “อ๊า…ท่านพี่…”

   

   “อืม…นาคินทร์”

   

   ท้ายที่สุดนาคินทร์สามารถผสานร่างตนเข้ากับรพีพงศ์ได้ เสียงครางดังออกมาจากปากทั้งสองคนด้วยความวาบหวามที่มีให้กัน ก่อนนาคินทร์จะรั้งท้ายทอยรพีพงศ์เอาไว้แล้วมอบจูบแสนหวานปรนเปรอพร้อมกับขยับร่างกายขึ้นลง ด้านรพีพงศ์ใช้หัตถาข้างหนึ่งประคองหลังลูบไล้ อีกข้างหนึ่งคว้ารั้งเอวคอด ทั้งขยับสะโพกยกขึ้นกระแทกเป็นจังหวะสอดรับกับอีกฝ่าย

   

   ยามริมฝีปากผละออกจากกันเสียงครวญครางของทั้งสองผสานกันไม่มีใครยอมใคร ทั้งพร่ำบอกรักเร้าอารมณ์ให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกดีกับความสุขที่ตักตวงจากคนอันเป็นที่รัก

   

   “น้องรักท่านพี่…รัก…อื้อ…รักที่สุด”

   

   “พี่เองก็รักเจ้านาคินทร์..อ่า…”

   

   ห้วงรักชักนำพาให้กายสองเข้ากอดก่าย รพีพงศ์โอบอุ้มนาคินทร์จัดเปลี่ยนท่าทางให้นาคน้อยนอนยังแท่นศิลาแล้วจับเรียวขาขาวให้อ้าออกกว้าง ส่วนตนนั้นคร่อมกายาอยู่ด้านบนพร้อมขยับสะโพกชักนำแก่นกายให้เข้าออกเร็วขึ้น…เร็วขึ้น จนคนใต้ร่างขยับเขยื้อนตามด้วยแรงที่โถมใส่ เกศาดำขลับที่เคยถูกถักเป็นเปียบัดนี้สยายไปตามแผ่นหลังและแท่นศิลา สำหรับรพีพงศ์แล้วช่างเป็นภาพที่หน้ามอง

   

   …‘ไม่มีใครงามเกินเมียพี่อีกแล้ว’…

   

   ยิ่งพิศชมใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ไหลเล่าปากสวยขยับส่งเสียงบ่งบอกความสุขที่ตนมอบให้ ยิ่งคำว่ารักที่เอื้อนเอ่ย ยิ่งปลุกปั่นให้รพีพงศ์ไม่คิดยั้งแรง

   

   “ท่านพี่…แรง..อ่ะ…แรงไปแล้ว” นาคินทร์ร้องบอก แก่นกายที่เข้ามาเสียดสีภายในเข้าตรงยังจุดกระสัน มันทั้งเร็วและแรงเสียเหลือเกิน

   

   “แล้วเจ้าชอบหรือไม่..อืม…นาคินทร์” รพีพงศ์เอ่ยถามก่อนจะโน้มใบหน้าจุมพิตไปยังแก้มนิ่ม

   

   “ชอบ…น้องชอบให้ท่านพี่ทำเช่นนี้กับน้อง..แต่ต้องกับน้องคนเดียว..อ่า..”

   

   “พี่ให้คำมั่นว่าจะทำรักกับเจ้าแค่คนเดียว”

   

   รพีพงศ์เอ่ยและพิสูจน์ด้วยการกระแทกไปในกายนาคินทร์ จนคนตัวเล็กหวีดร้องออกมาลั่นบริเวณ สะโพกงามยกขึ้นมาขยับรับแรงสวนราวกับท้าทายให้อีกฝ่ายไม่ผ่อนปรนแรง

   

   …‘ยิ่งรพีพงศ์ขยับ…ภายในนาคินทร์ยิ่งตอดรัด’…

   

   …‘ยิ่งนาคินทร์ขยับ…กลางกายรพีพงศ์ก็ทำให้เสียวซ่านปั่นป่วน’…

   

   จวบจนเสียงครางหวานแห่งความสุขสมออกมาจากปากของนาคินทร์ ร่างบางนั้นกระตุกเกร็งแล้วปลดปล่อยธาราสีน้ำนมออกมา รพีพงศ์เองก็ปล่อยหยาดพิรุณแห่งตัวตนเข้าไปภายในร่างของนาคินทร์

   

   “ท่านพี่…ไม่ถอดถอนกายออกจากตัวน้องหรือ”

   

   “นาคินทร์ เจ้าก็รู้ว่าเราสองนั้นไม่เคยจบเพียงคราเดียว” รพีพงศ์เอ่ย นาคินทร์ได้ฟังก็ยิ้มหวานก่อนจะคว้ามืออีกคนมาโลมเลียทีละนิ้มให้เปียกชุ่ม ไหนเลยจะสายตายั่วยวนเชิญชวนให้กลางกายรพีพงศ์กลับมาแข็งขืนอีกครั้ง

   

   ตลอดราตรีกาลนี้ต่างฝ่ายต่างอาบน้ำให้กันหลายครั้งหลายครา ทั้งขยับเปลี่ยนท่าทางให้ได้เช็ดถูกันทุกซอกทุกมุม จบจากแท่นศิลาก็ลงมาในสระจนวารีกระเพื่อมล้นเจิ่งนองออกมา ก่อนจะปิดท้ายนอนกอดก่ายยังเตียงกว้าง

   

   “จากนี้ไปพี่จะทำให้เราสองพาลพบแต่ความสุข…นาคินทร์” รพีพงศ์บอกกับคนที่เข้าสู่ห้วงนิทรา

 

●○●○●

 

   อีกฟากหนึ่งของวิมานหงสบาท หากรพีพงศ์กับนาคินทร์กำลังระเริงในรัก พระเสาร์กับพระพุธก็กำลังระเริงในบทลงโทษ ไม่สิคนที่ระเริงมีแค่พระเสาร์เพียงฝ่ายเดียว ส่วนพระพุธนั้น…

   

   “พุธเจ็บ…พี่เสาร์..ได้ยินหรือไม่ว่าพุธเจ็บ” พระพุธบอกกล่าวกับอีกคน ดวงตากลมโตมีน้ำตาคลอหมายจะให้อีกฝ่ายนึกสงสาร ทว่ากลับตรงกันข้าม แทนที่พระเสาร์นึกสงสารกลับนึกทวีคูณอยากรังแก

   

   “แล้วใครใช้ให้เจ้าดื้อดึง…บอกแล้วใช่หรือไม่ให้รออยู่เพียงในห้องข้า ไม่ใช่ฝืนกายออกไป” พระเสาร์ดุอีกฝ่ายเสียงเข้ม

   

   “ไม่ต้องมาบังคับพุธ ดีแค่ไหนที่พุธออกไปแค่นอกวิมานไม่เรียกสพลพาไปสวนขวัญร่วมรบกับพี่เสาร์” ถึงจะถูกดุถูกทำโทษแต่เจ้าตัวดียังต่อปากต่อคำ ไม่สำนึกผิดที่ทำให้ตนเป็นห่วง

   

   “เจ้านี่ช่างดื้อดึงเสียจริงเจ้าพุธ”

   

   “พี่เสาร์ก็ช่างใจร้ายเสียจริง…ใจร้ายมากๆ พุธเกลียดพี่เสาร์แล้ว”

   

   “แต่ข้ารักเจ้า อีกอย่างไม่กี่อึดใจเจ้าก็หายเกลียดข้าแล้ว” พระเสาร์กล่าวเสร็จก็ผูกปมเชือกวิเศษของตนเข้ากับข้อมือของตนและพระพุธเสร็จสิ้นพอดี การลงโทษของพระเสาร์คือใช้เชือกวิเศษมัดขาและแขนของพระพุธมาไว้กับตนเพียงคนละข้าง และหากพระพุธพยายามหนีลงจากเตียงเพียงสามก้าวก็จะเกิดกระแสไฟฟ้าทำให้หมดแรง เป็นสาเหตุให้พระพุธร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

   

   …‘เจ็บปวดราวก้านมะยมฟาดก้น’…

   

   

   หากเจ้าเด็กน้อยในสายตาพระเสาร์นั้นแง่งอนนอนหันหลังให้เสียแล้วทำให้พระเสาร์ไม่เห็นแก้มขาวขึ้นสีด้วยความเขินอาย อีกทั้งพระพุธทำเป็นนิ่งเงียบไม่สนใจทั้งพยายามแก้ปมที่ผูกติดให้คลายออก

   

   “เจ้าแก้ปมไม่ได้ดอก พลังของเจ้านั้นมีน้อยนิดนอกเสียจากเจ้าจะเอาคืนมันจากตัวข้าแต่…ต้องใช้วิธีการเดียวที่เจ้ามอบให้กับข้านะเจ้าพุธ” พระเสาร์ยิ้มมุมปาก นิ้วโป้งสัมผัสยังริมฝีปากตนให้พระพุธได้ระลึกถึงความหลังก่อนหน้านี้

   

   “อยากได้พลังของพุธก็เอาไปเลย!!” พระพุธขึ้นเสียงใส่ ใบหน้างามแดงก่ำจนคนมองแยกไม่ออกว่า โกรธหรืออาย แต่ถ้าให้เดาคงทั้งสองอย่าง

   

   “เด็กดื้ออย่าได้นึกโมโห หากร่างกายเจ้าทรุดจะทำเช่นไร” พระเสาร์ล้มตัวลงนอนข้างกายพระพุธ

   

   “ถ้าไม่ให้โมโหก็แก้มัดพุธสิ” พระพุธเอ่ย

   

   “ได้สิ แต่สัญญานะว่าจะหายโกรธข้าแล้วจักนอนนิ่ง ๆ ไม่ออกไปซุกซน”

   

   ได้สิ พุธสัญญา พุธโตแล้วรับรองว่าจะไม่ออกไปซุกซน” พระพุธพลิกกายเข้าหาพระเสาร์พร้อมรอยยิ้มหวานดุจมธุรสในเดือนห้า ในใจคิดแผนที่จะพาตนออกจากห้องนี้ไปให้ได้ ด้านพระเสาร์ได้ยินคำและรอยยิ้มนี้จึงใจอ่อนร่ายคาถาเก็บเชือกวิเศษ ทว่า…

   

   “พี่เสาร์ เหตุใดถึงมากอดรัดพุธ”

   

   “ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าน่ะทั้งฉลาดและซุกซนไหนจะดื้อดึง นิสัยเจ้าข้าหรือจะไม่รู้ว่าคงจะคิดหนี ในเมื่อเจ้าไม่อยากถูกข้าพันธะด้วยเชือก ข้าจะใช้ตัวข้าเป็นพันธะรั้งเจ้าเอง” พระเสาร์เอ่ย แล้วกระชับอ้อมกอดให้ใบหน้าพระพุธซุกยังอุราของตน ทั้งยังสอดแขนรองคอให้พระพุธนอนหนุน

   

   “พี่เสาร์..ปะ…ปล่อย”

   

   “เจ้าพุธนอนนิ่ง ๆ ให้พี่กอดเจ้าให้หายเหนื่อยเถิดหนา” เสียงพระเสาร์แผ่วลงเสียกว่าทุกครั้ง พระพุธแหงนหน้าขึ้นมองก็พบว่าคนที่มีฉายาว่าแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลหลับใหลเสียแล้ว

   

   “ก็ได้…เห็นว่าท่านทำศึกจนหมดเรี่ยว หมดแรง ข้าจะนอนให้ท่านกอดก่อนก็ได้…จุ๊บ..ฝันดีนะพี่เสาร์” พระพุธจุมพิตไปยังปลายคางอีกคน เมื่อกล่าวจบพระพุธก็หลับตาลง ความจริงแล้วไม่ใช่ครั้งแรกที่พระพุธจะนอนให้พระเสาร์กอด หากครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เมื่อก่อนพระพุธเป็นฝ่ายแอบรัก หากครั้งนี้พระเสาร์ได้เผยความในใจออกมา ใครเล่าจะกล้านอนชิดใกล้ พระพุธกลัวว่าพระเสาร์จะได้ยินเสียงหัวใจตนที่เต้นระรัว

   

   พระเสาร์ลืมตาขึ้นมาก่อนจะยิ้มให้การกระทำไม่ต่างจากเด็กเล็ก โตขนาดเคยเข้าวิวาห์มาแล้วยังจะซุกซนอีก เห็นทีจากนี้สืบไปต้องสั่งสอนความเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว

   

   ‘ฝันดี…เจ้าพุธ’

   

   



.................................



สวัสดีค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะจบเรื่องจบตอน แต่แบบ...ขอเพิ่มความหวานสักตอนแล้วย้ายตอนจบไปเป็นตอนหน้าค่ะ



ตอนนี้จัดฉากวาบหวิวของรพีพงศ์-นาคินทร์ อาจจะไม่ดีนักเพราะร้างราแนวนี้มานาน หวังว่าจะโอเคนะคะ ขอโทษหากแต่งออกมาไม่ดี



ส่วนคู่พี่น้อง(ไม่จริง) เขาก็เปิดใจแล้ว หากอยากรู้ความสัมพันก่อนหน้า ต้องรอตอนพิเศษแยกเฉพาะกิจ ส่วนทำไมพระเสาร์ดูรักน้องไวจัง ทำไมลืมมุตตาง่าย ความจริงคือพระเสาร์ มุตตานั้นห่างหายกันไปนานมาอยู่ด้วยกันคือความผูกพันความปรารถนาดีที่มีให้กัน ลึกๆพระเสาร์รักพระพุธแต่ไม่รู้ตัว มารู้ตอนจะสูญเสียน้องนี่แหละ หวังว่าจะเข้าใจกันนะคะ



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตามมานะคะ ยุ่งอ่านทุกเม้น ดีใจที่ยังมีคนอ่านเพราะความที่อัพเดทไม่ถี่เหมือนแต่ก่อน ขอบคุณนะคะ ทั้งคนที่มาอ่าน มาเป็นกำลังใจให้



เจอกันตอนหน้า!!! ตอนจบ!!!!

หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.34 P.5 (17/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-05-2021 00:19:12
อะรอเลยยยย
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.35 จบแล้ว P.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 28-05-2021 10:03:45
   ลิขิตรัก เพลิงเทวา

   Author : Tan-Yung 0209

   File : 35

   Warning :

   Rate : -

   ***ช่วยอ่านช่วง talk ของยุ่งด้วยนะคะ

   

   

   หากเป็นเพียงมนุษย์เดินดินบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินก็จะได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ไม่มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ให้แสงสว่างบนท้องนภาเฉกเช่นทุกวัน ทว่าวันนี้กลับแตกต่างออกไปด้วยมีแถบวงกลมสีรุ้งล้อมรอบดวงอาทิตย์ สร้างความสนใจระคนตื่นเต้นให้กับผู้ที่ได้เห็น ดูแล้วช่างงดงามเหลือเกิน โดยหารู้ไม่ว่าความงดงามนี้ยังไม่ได้ครึ่งกับความงดงามที่เกิดขึ้นบนสรวงสวรรค์อันเป็นสาเหตุให้เกิดดวงอาทิตย์ทรงกลดนี้

   

   ณ มหาวิหารนวดารา อันเป็นสถานประกอบพิธีสำคัญของเทพนพเคราะห์และการเกิดปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ทรงกลดยังโลกมนุษย์นั้น ไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาเลยว่าได้เกิดพิธีสำคัญแด่พงศ์เผ่าใด

   

   ทั่วทั้งวิหารประดับด้วยธงปักลายอาทิตยาเปล่งรัศมีด้วยด้ายสีทอง พร้อมด้วยผ้าม่านสีเดียวกันถูกผูกติดเอาไว้นอกจากนี้ยังเพิ่มความงดงามด้วยดอกกุหลาบสีส้มสลับแทรกกับดอกกุหลาบสีขาว

   

   ตาเนื้อได้เห็นความวิจิตรตระการตาแล้ว โสตประสาทเองก็ได้รับรู้ความไพเราะของท่วงทำนองดนตรีที่วงมโหรีได้บรรเลงเช่นเดียวกัน หากเพลงที่กำลังดีด สี ตี เป่า นั้นหาใช่เล่นเพื่อความสนุกสนาน หากเหล่าเทพยดา นางอัปสรตลอดจนคนธรรพ์ที่มีเครื่องดนตรีในมือกำลังบรรเลงเพื่อประกอบพิธีมอบตำแหน่ง ส่งต่อบัลลังก์ให้แก่พระอาทิตย์คนใหม่

   

   “ข้าในนามพระผู้สร้างผู้เป็นใหญ่ในไตรภูมิ ขอแต่งตั้งพระอรุณเป็นพระอาทิตย์องค์ใหม่ ได้ครองบัลลังก์เพลิงแห่งวงศาสุริยานับจากนี้สืบไป” สุรเสียงของพระผู้สร้างประกาศก้องให้เทพา-เทพีทั้งหลายในงานพิธีได้สดับฟังโดยทั่วกันเพื่อร่วมยินดีให้กับผู้ที่จะได้ก้าวรับตำแหน่งสุริยเทพ

   

   พระอรุณในอาภรณ์สีแดงปักดิ้นสีทองตามของผ้า สวมใส่เครื่องประดับทับทิมประกอบให้ร่างสูงใหญ่ในนั้นสง่างาม ขับรัศมีขององค์สุริยาให้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เทพหนุ่มเยื้องย่างเดินมาด้านหน้าก่อนจะค้อมศีรษะลงแสดงความเคารพต่อพระผู้สร้างที่ประทับยังบัลลังก์เนื้อเหม ก่อนจะค้อมคำนับบิดาของตนที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีตสุริยเทพภายในไม่ช้านี้

   

   “จงปกครองตน ปกครองงาน ปกครองคน ด้วยศีลธรรม” สุริยเทพกล่าวกับบุตรชาย ก่อนจะหยิบปิ่นจุฬาประจำตำแหน่งเสียบเข้าที่มวยเกศาของบุตรชายตามและมอบจักรอัคคีศาสตรวุธประจำกายเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีส่งมอบ

   

   เหล่าเทพยดาแสดงความยินดีกันแซ่ซ้อง ขณะเดียวกันกลีบกุหลาบภายในนวดาราวิหารต่างปลิดปลิวลอยล่องในอากาศแล้วโปรยปรายลงภายในห้องโถงใหญ่ พระอรุณนั้นก้าวขึ้นสู่บัลลังก์เพลิงที่ตระเตรียมไว้ แล้วนั่งลงโดยทันที พลันเกิดแสงประภาเจิดจ้าออกมาจากกายของพระอรุณ ช่างเป็นภาพแสนประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น

   

   “ข้าจะมอบแสงสว่างตลอดจนความอบอุ่นนี้แด่สรรพสิ่งทั้งหลาย จักดำรงตนในคุณธรรมดำเนินตามรอยของพระอาทิตย์รุ่นเก่าก่อน”

   

   พิธีกรรมเสร็จสิ้น เทพทุกองค์ตลอดจนเทพีที่เข้ามาร่วมงานต่างเข้าอวยพรพระอาทิตย์องค์ใหม่และอำลาพระอาทิตย์องค์เก่าที่หมดวาระและจะเดินทางสู่ดินแดนแห่งความสงบสุขในไม่ช้านี้ ชีวิตการครองอำนาจก็ไม่ต่างจากดวงตะวันที่มีขึ้นและก็มีลง หมุนวนแปรเปลี่ยนวัน มีสิ้นสุด….มีเกิดขึ้นใหม่

   

   “ข้ายินดีกับท่านด้วยพระอาทิตย์” รพีพงศ์เดินเคียงคู่กับนาคินทร์กล่าวยินดีกับน้องชายฝาแฝด

   

   “ท่านพี่เรียกข้าดังเดิมเถิด ไม่ว่าข้าจะดำรงตำแหน่งใดข้านี้ยังคงเป็นน้องของท่านพี่อยู่เสมอ” พระอรุณเอ่ยกับรพีพงศ์ด้วยใจจริง หากวันนี้ไม่ใช่ตนขึ้นครองบัลลังก์เพลิงก็ต้องเป็นเชษฐาผู้นี้และแน่นอนว่ารพีพงศ์ก็หาได้ถือยศถืออย่างเช่นเดียวกับตน

   

   “เช่นนั้นข้ายินดีด้วย…อรุณน้องพี่” รพีพงศ์เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มก่อนจะเข้าสวมกอดน้องชายที่มักจะช่วยเหลือตนเสียทุกเรื่อง

   

   “แล้วหลังจากจบงานพิธีนี้ท่านพี่และท่านพี่นาคินทร์จะเดินทางเลยหรือไม่” พระอรุณถามพี่ของตนทันทีหลังจากผละกอด

   

   “ใช่…พวกเราทั้งสองจะเดินทางโดยทันที”

   

   “หากเป็นความต้องการ ตัวข้านี้คงจะขัดพวกท่านมิได้ ทว่าโปรดกลับมาเยี่ยมเยียนข้าบ้าง หรือหากมีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือท่านทั้งสองอย่าได้เกรงใจขอให้รีบบอก”

   

   “พระอรุณอย่าได้นึกห่วงเลย พวกเรานั้นจะหาเวลามาเยี่ยมเยียนแน่เพราะอย่างไรเสีย ข้ากับท่านพี่ก็หาได้อยู่ห่างไกลเสียจนไม่อาจไปมาหาสู่กันได้ อีกทั้งหากท่านมีสิ่งใดให้พวกเราช่วยเหลือก็เร่งบอกมา พวกข้ายินดีที่จะช่วย อย่างเช่นงานวิวาห์ของท่านกับ…” นาคินทร์เอ่ย พร้อมส่งสายตามองเยาวมาลย์คนงามที่แสนคุ้นเคย ‘ชวารี’ ที่กำลังสนทนากับเทพองค์อื่นในงาน

   

   พระอรุณมองตามถึงกับหน้าแดงก่ำ นาคินทร์เห็นเช่นนั้นแล้วอยากจะถอนหายใจเสีย สองพี่น้องฝาแฝดช่างแตกต่างเสียเหลือเกิน รพีพงศ์นั้นแม้จะปากแข็งไปบ้างในคราแรกแต่ก็ไม่เคยเขินอายที่จะแสดงออกว่าต้องการตน กล้าที่จะเข้าหา ผิดกับพระอรุณลิบลับ แฝดคนน้องแสนสุภาพอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ยามเช้าสมชื่อ เห็นทีนาคินทร์คงจะต้องรออีกสักพักถึงจะได้มาร่วมยินดีกับน้องชายสวามี

   

   จากนั้นเทพทั้งสามสนทนากันอีกเล็กน้อยก็แยกย้ายกันไป พระอาทิตย์องค์ใหม่จำต้องไปพบปะเทพองค์อื่นที่เข้ามาร่วมยินดีทั้งอวยพร ส่วนรพีพงศ์และนาคินทร์ก็ไปกล่าวคำล่ำลาแด่พระอาทิตย์ผู้เป็นบิดา

   

   “ขอให้ลูกทั้งสองพบพานความสุขนับจากนี้ไป”

   

   “ท่านพ่อเองก็เช่นกัน ลูกทั้งสองขอให้ท่านพ่อมีความสุขทั้งกายใจ”

   

   เมื่อกล่าวลากราบบาททั้งสองข้างของผู้ให้กำเนิด รพีพงศ์ก็เข้าสวมกอดบิดาเอาไว้แน่น มีพบเจอก็ต้องมีจากลา สัจธรรมข้อนี้ทุกคนต่างรู้ดีแต่ก็ใช่ว่าจะทำใจได้ นาคินทร์เห็นร่างกายอันสั่นเทาก็เข้าใจว่าคนรักนั้นตกอยู่ในห้วงอารมณ์ใดจึงเข้าไปกุมมือสอดประสานนิ้ว ให้รพีพงศ์ได้รู้ว่ายังมีตนเคียงข้าง รวมทั้งบอกอดีตสุริยเทพว่านาคตนนี้จะดูแลรพีพงศ์เป็นอย่างดี

   

   จนกระทั่งทิวากาลล่วงเลยเข้าสู่รัติกาล จันทรเทพขับราชรถนำพาดวงจันทร์ฉายแสงแขลงสู่พื้นพิภพเป็นอันสิ้นสุดงานพิธีแต่งตั้งและงานรื่นเริงฉลองให้กับพระอาทิตย์ เทพทั้งหลายต่างแยกย้ายกลับวิมานของตน อาจจะมีเทพบางองค์เท่านั้นที่มิได้กลับไป เช่น พระสมุทรชลันธรที่นานครั้งจะได้มาเหยียบย่างแดนสรวง ราตรีนี้จึงพักผ่อนพักผ่อนยังวิมานของเทพนภนต์ที่เจ้าของวิมานเองก็ลงวิมานมุกครามมากกว่าจะอาศัยอยู่ในวิมานของตน หรือจะเป็นพระพุธเองที่ยังไม่ได้กลับวิมานแม้ใจนั้นอยากจะกลับไปดูแลวิมานตนที่ปล่อยทิ้งร้างไว้ หากเป็นบ้านเรือนของมนุษย์คงไม่แคล้วมีหยากไย่เกาะเต็ม แต่พอจะกลับก็โดนพระเสาร์รั้งตัวไว้ให้อยู่ที่วิมานหงสบาท

   

   ด้านรพีพงศ์กับนาคินทร์ได้เดินทางด้วยสัตว์ราชสีห์พาหนะประจำกายมายังวิมานของตนที่ตั้งอยู่บนผารหัทดารา ผานี้มีชื่อตามสถานที่ตั้งอันสามารถมองเห็นดาราจักรดั่งใจที่นาคินทร์ต้องการ อีกทั้งใต้ผาสูงยังมีชายหาดกว้างที่มีคลื่นวารีซัดเข้าหาฝั่ง รพีพงศ์คิดว่าไว้ยามว่างจะพาคนรักลงไปเล่นน้ำหรืออาจจะเดินทางไปเยี่ยมชลันธร

   

   ‘รพีพงศ์คิดทุกสิ่ง สร้างทุกอย่างเพื่อนาคินทร์ หากจะนิยามสั้น ๆ ตามภาษามนุษย์คงจะเรียกว่า…คลั่งรัก’

   

   วิมานแห่งนี้ใช้รัตนาหลอมรวมกับอัญมณีเจ้าสามสี สามารถเปลี่ยนสีได้ยามแสงกระทบ แม้ว่ามันขนาดไม่ใหญ่มาก หากเทียบกับวิมานของพระอาทิตย์หรือพระเสาร์ ทว่าครั้งแรกที่นาคินทร์ได้เห็นถึงเอ่ยปากชื่นชมความงดงามของมัน ดวงตาสีม่วงนั้นเปล่งประกายบ่งบอกว่าชอบวิมานแห่งนี้จากใจจริง ทำให้คนที่สร้างวิมานอย่างรพีพงศ์ใจชื้นขึ้นมามากโข

   

   เดิมทีรพีพงศ์สร้างเอาไว้ในช่วงหลังเข้าวิวาหะกับนาคินทร์ ด้วยใจหวังอยากใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักผ่อนเป็นครั้งคราว ทว่าเวลานี้ทั้งสองตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อาศัยในวิมานนี้เป็นการถาวร

   

   “นาคน้อยของพี่ น้องไม่เหนื่อยหรือไร เหตุใดถึงไม่เข้าไปในวิมาน” รพีพงศ์เอ่ยถามคนงามที่เดินไปยังชะง่อนผาแทนจะเข้าไปในวิมานพร้อมกับตน

   

   “หากท่านพี่เหนื่อยล้าก็เข้าไปพักผ่อนเอนกายก่อนเถิด ตัวข้านี้จะขอดูดาวให้อิ่มเอมสักพัก” นาคินทร์ตอบพร้อมกับนั่งลงยังชะง่อนผาที่ยื่นออกไปไม่ห่างจากตัววิมานมากนัก

   

   รพีพงศ์ได้สดับฟังก็เดินไปหาชายาของตนแล้วนั่งลงเคียงข้าง นาคินทร์จึงเอนศีรษะพิงกายอีกคนไว้ ก่อนจะถูกแขนแกร่งโอบกอดรั้งเอวให้แนบชิด

   

   “ถูกใจเจ้าหรือไม่ จากนี้ไปเจ้าสามารถดูดาราจักรทางช้างเผือกได้ทุกวี่วัน” รพีพงศ์ถามแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตามที ความทรงจำในม่านน้ำตกที่นาคินทร์นั่งมองดาวพร้อมเอื้อนเอ่ยเล่าเรื่องของตนยังคงเจื้อยแจ้วหรือจะเป็นคำมั่นสัญญาที่รพีพงศ์เคยให้ไว้ว่าถ้าทุกอย่างสงบลงจะพานาคินทร์เที่ยวชมดารา

   

   แม้นการเที่ยวชมครั้งแรกระหว่างตนกับทั้งสองจะจบลงที่นาคินทร์สิ้นชีวา แต่ครั้งนี้และตลอดไปจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว

   

   “ข้าถูกใจยิ่งนักท่านพี่…ฟอด” นาคินทร์ตอบพร้อมให้รางวัลแก่ยอดดวงใจเป็นการหอมแก้มฟอดใหญ่จนเกิดเสียง

   

   “ให้รางวัลพี่หรือ แค่หอมแก้มนั้นไม่เพียงพอดอก เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี”

   

   ใช่…นาคินทร์รู้ดีว่าหอมแก้มมันไม่เพียงพอสำหรับรพีพงศ์แต่ตนนั้นอยากจะหอมก่อนจะมอบรางวัลชิ้นงามของจริงเป็นจูบจากตน

   

   ริมฝีปากอิ่มประกบลงครอบครองริมฝีปากอีกฝ่ายที่เผยอรอรางวัล จากนั้นจึงสอดแทรกชิวหาเข้าไปเกี่ยวตวัดลิ้นที่คอยท่าแลกเปลี่ยนความหวานให้แก่กันและกัน ต่างคนต่างเคลิบเคลิ้มกับรสจูบที่ปรนเปรอจนเกิดเสียงครางอือในลำคอบ่งบอกความพอใจ รพีพงศ์จึงถอนจูบอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาคมจ้องมองดวงตาที่สวยกว่าดวงดาวดวงไหนในจักรวาลนี้ แล้วประทับริมฝีปากยังเปลือกตาอีกคน

   

   “พี่รักเจ้านะคนดี…นาคน้อยของพี่”

   

   “ข้าเองก็รักท่านพี่”

   

   คำบอกนักหาใช่คำหลอกลวง นาคินทร์ขยับตัวขึ้นนั่งบนตักแกร่งก่อนจะเอนหลังพิงอกเอาไว้ รพีพงศ์กระชับกอดแล้วโน้มพักตรามอบจุมพิตยังเกศาไล่มายังขมับ

   

   “ท่านพี่เสียดายหรือไม่ที่ละทิ้งตำแหน่งพระอาทิตย์”

   

   “พี่ไม่นึกเสียดายเลยนาคินทร์ หรือว่าเจ้าเสียดายที่หาได้เป็นชายาของพระอาทิตย์” รพีพงศ์ถามกลับ

   

   “ไม่ขอรับ ขอแค่เป็นชายาของท่านพี่ก็พอแล้ว หากที่ข้าถามเพียงข้านึกสงสัยว่าเหตุใดท่านพี่ถึงสละตำแหน่งเท่านั้น” นาคินทร์บอกความในใจที่ยังเป็นปมปริศนา ทั้งที่หลังจบสงคราม เทวาทั้งหลายต่างชื่นชมรพีพงศ์ในผลงานที่โดดเด่น ทว่าไม่นานรพีพงศ์ประกาศสละตำแหน่งรัชทายาทมอบให้พระอรุณผู้เป็นน้องเสีย

   

   “พี่ไตร่ตรองเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้วเมียรัก พี่คิดว่าอรุณเทพน้องของพี่นั้นเหมาะสม อีกทั้งพี่อยากจะใช้ชีวิตที่เหลือนี้ ใช้เวลาที่มีอยู่กับเจ้าให้มากที่สุด พี่ไม่อยากห่างจากเจ้าแม้เพียงเสี้ยววินาที เจ้ารู้ไม่ยามเจ้าจากพี่ไปครานั้นพี่แสนจะทรมาน” รพีพงศ์เอ่ยออกมาน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายคนที่จะร้องไห้ หากคนที่น้ำตาตกกลับเป็นนาคินทร์แทน

   

   “ข้าอยู่กับท่านพี่แล้ว ข้าจะไม่ห่างท่านพี่ไปไหนอีกแล้ว นาคน้อยผู้นี้จะอยู่ดูแลท่านพี่ทั้งกายใจ” นาคินทร์เอ่ยออกมาทั้งน้ำตาหลังให้คำมั่น ก่อนจะมีนิ้วเรียวของคนรักไล่เกลี่ยหยาดอัสสุชลที่อาบแก้ม

   

   “พี่เองก็เช่นกันจะอยู่กับเจ้า ดูแลเจ้าให้ดีที่สุด จะนั่งเป็นเพื่อนเจ้า…ไม่สิ เป็นผัวเจ้ามองดูดาวด้วยกันทุกค่ำคืน” รพีพงศ์กล่าวจบก็มอบรอยยิ้มพิมพ์ใจให้กับคนในอ้อมแขน นาคินทร์เองก็มอบรอยยิ้มให้คนรักเช่นเดียวกัน

   

   หลังจากนั้นไม่ว่าเวลาจะหมุนเปลี่ยนเวียนผันไปนานเท่าไหร่ ทั้งสองก็นั่งดูดาวกันทุกค่ำ ทุกราตรี แม้บางวันจะมีเมฆมาบดบัง หากทั้งสองก็ยังจะออกมาชื่นชมท้องนภาด้วยกันอยู่ดี สำหรับทั้งคู่แล้วต่อให้ท้องฟ้ายังเป็นท้องฟ้าเช่นทุกวันหากก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน ดั่งความรักของคนทั้งคู่แม้จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแต่ความรักก็หาใช่จะเหมือนเดิม…มันมากขึ้น…มากขึ้นกว่าวันวาน

   

   …‘เวลาที่เหลือจากนี้สืบไปรพีพงศ์และนาคินทร์จะขอเป็นคนลิขิตรักด้วยตนเอง’…

   

   .

   .

   .

   

   “ท่านพ่อนาคินทร์ ดาวดวงนั้นสวยจังเลยขอรับ มันมีชื่อว่าดาวอะไรหรือ” จิณณทัตนั่งตักของผู้ให้กำเนิด ริมฝีปากนั้นขยับถามส่งเสียงเจื้อยแจ้ว

   

   “เขาเรียกว่าดาวเหนือ” นาคินทร์ลูบผมบุตรชายพลางลูบผมด้วยความเอ็นดู

   

   “ท่านพ่อรพีพงศ์ แล้วกลุ่มดาวตรงนั้นเล่าขอรับมีชื่อว่าอะไร” นิ้วเล็ก ๆ ชี้ไปทางกลุ่มดาวเจ็ดดวง

   

   “กลุ่มดาวตรงนั้นคือดาวลูกไก่ ส่วนดาวดวงนี้มีชื่อว่า…” รพีพงศ์จับแก้มบุตรตัวน้อยก่อนจะเว้นคำตอบเอาไว้ทำให้คนฟังรอลุ้นด้วยใจใคร่รู้

   

   “ท่านพ่อตอบข้ามานะขอรับ” เจ้าตัวน้อยคว้าแขนของบิดามาสวมกอดพลางใช้ใบหน้าถูไถออดอ้อนไม่ต่างจากวิฬาร

   

   “ดาวลูกพ่ออย่างไรเล่า” รพีพงศ์ให้คำตอบ สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนฟังไม่ว่าจะเป็นจิณณทัตหรือนาคินทร์เอง

   

   เสียงหัวเราะ รอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข อบอวลไปด้วยความรัก ไร้ซึ่งความทุกข์เข้ามาแทรกแซง…ชีวิตเช่นนี้มันดีเสียจริง

 

-จบบริบูรณ์-



..............









 สวัสดีค่ะ ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้ว ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาแสดงความคิดเห็นกันนะคะ เรื่องนี้เรียกได้ว่าสองปีเลยกว่าจะเขียนจบ ขอบคุณทุกคนที่ยังเคียงข้างกัน



 นิยายเรื่องนี้ยุ่งตั้งใจแต่งไม่ต่างจากเรื่องสาปรักฯ เนื้อเรื่องอาจจะมีสงครามเข้ามาเยอะ ความหวานอาจจะน้อย ก็ขอขอบคุณที่ยังอ่าน ไม่ทิ้งกันนะคะ



 ส่วนภาษาที่ใช้เขียนอาจมีข้อบกพร่องเกิดขึ้นในหลายจุด ยุ่งจะทบทวนและแก้ไขอีกครั้งให้สุดความสามารถนะคะ อาจจะไม่สวยเท่าเรื่องสาปรักยุ่งต้องขออภัยด้วย



 ขอบคุณรุ่นพี่หลายคนไม่ว่าจะเป็นพี่พราวที่ให้คำปรึกษา เพราะหลายครั้งยุ่งไม่มีความมั่นใจในการเขียนค่ะ ต้องขอบคุณที่กระตุ้นน้องคนนี้นะคะ



 ส่วนเรื่องการทำรูปเล่ม ยุ่งได้วางแพลนเขียนตอนพิเศษของคู่หลักเพิ่มสามตอน ส่วนเรื่องของจันทรัชกับศนิ ยุ่งจะเพิ่มอีกหนึ่งตอนจากที่ลงในเวปนิยาย



 การทำเล่มครั้งนี้ยุ่งไม่ได้ทำเล่มเองเหมือนที่ผ่านมา ด้วยปัญหาสุขภาพทำให้ยุ่งได้ส่งเรื่องนี้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ product y ค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ



 โดยยุ่งจะเปิดให้อ่านเรื่องนี้จนถึงวันที่ 15/06/64 และจะปิดตอนเพื่อรีไรท์เนื้อหาและเปิดให้อ่านอีกครั้งค่ะ



 สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนจากใจจริงค่ะ อะไรที่เคยผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ ส่วนผลงานการเขียนหลังจากนี้ฝากรอลุ้นและติดตามกันนะคะ



 รัก



 Tan-Yung 0209







หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา EP.35 จบแล้ว P.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 05-06-2021 22:27:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: TanYung0209 ที่ 10-06-2021 12:09:39
วันนี้ยุ่งมีเรื่องชี้แจงทุกคนค่ะ



1. เรื่องการทำรูปเล่มหนังสือนิยาย ยุ่งจึงได้ส่งต้นฉบับไปยังสำนักพิมพ์ Product Y ซึ่งจะความคืบหน้าจะแจ้งเป็นระยะค่ะ ติดตามข่าวสารได้ในเพจ facebook Ginger Ale 's fiction และในหน้าเว็บนิยาย



2. ในเว็บนิยายจะทำการปิดตอนในวันที่ 15 มิ.ย. 2564 นี้ เพื่อรีไรท์ ตรวจ แก้ไขคำผิด และจะเปิดตอนให้อ่านอีกครั้งค่ะ





ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 24-06-2021 22:56:44
สนุกค่ะชอบนิยายแนวนี้มาก ลุ้นทุกตอนมีทั้งสุขและทุกข์อยากให้เพิ่มตอนพิเศษของพระเสาร์กับพระพุธบ้างว่าจะลงเอยยังไง :3123:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 30-06-2021 11:02:56
จบแบบมีลูกด้วยดีจุง
น่ารักดีค่ะ ชอบอ่านแนวมากๆ
สนุกมากเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 23-07-2021 18:41:23
 :z13:
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 14-09-2021 16:02:20
 o13
หัวข้อ: Re: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
เริ่มหัวข้อโดย: mylove88 ที่ 19-09-2021 21:13:56
นาคินทร์เก่งและฉลาดมากๆ คู่นี้รักและเชื่อใจกันดีมากเลยค่ะ แต่แอบเขินคู่พระเสาร์กับพระพุธ คู่นี้น่ารักมาก, ขอบคุณมากนะคะ