ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ลิขิตรัก...เพลิงเทวา จบ /มีเรื่องชี้แจงP.5 (28/05/64) by Tan-Yung 0209  (อ่าน 33446 ครั้ง)

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ไปอยู่กับกนธีเลยไป๊

อินทุนิลมาไม่ได้ค่ะ กนธีอยู่กับท่านยุ่ง

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก...เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 16



ยามจันทราลาลับ รัศมีสีทองจับประดับท้องฟ้า อันเป็นสัญญาณบอกห้วงช่วงเวลาว่าวันใหม่ได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง เทพสุริยาประทานแสงต้องพิภพปลุกมนุษย์ สรรพสัตว์ ตลอดจนพืชพรรณ พร้อมดำรงชีวิตเติบโตขึ้นไปอีกวันและใช้ชีวิตตามที่ควรจะเป็นไป



หากทุกสิ่งอย่างล้วนมีเวลาของมัน แม้แต่ทิพากาลเองก็จบลงพร้อมกับการเสร็จสิ้นภารกิจขององค์สุริยเทพที่คอยขับเคลื่อนราชรถ นำพาดาราฤกษ์ร้อนระอุเต็มไปด้วยเปลวเพลิง เคลื่อนตัวไปมอบคุณประโยชน์หลายประการแด่พื้นโลก



เว้นแต่…ราตรีนี้พระสุริยะหาได้พักผ่อนดั่งที่ควรจะเป็นไปตามกิจวัตร เทพผู้ยิ่งใหญ่ในนพเคราะห์มีหน้าที่ต้องทำ



…‘หน้าที่อันมิใช่หน้าที่ของสุริยเทพ หากเป็นหน้าที่ของผู้เป็นพ่อ’…



“ท่านพ่อ ข้าต้องขออภัยที่รบกวนท่าน” รพีพงศ์พนมมือขึ้นมาอัญชลีแล้วกล่าวขอโทษต่อบิดาจากใจจริง



“มิเป็นไรดอกรพีพงศ์ เรื่องของเจ้าในครานี้หาใช่เรื่องใหญ่ที่กวนใจพ่อไม่ พ่อกลับยินดีที่เสียด้วยซ้ำที่ตัวพ่อจักได้ทำหน้าที่นี้เสียที เจ้าอย่าได้นึกคิดเป็นเรื่องใหญ่เลย พ่อว่าสิ่งที่ควรทำในเพลานี้คือเราสองเร่งเดินทางไปยังวิมานพระเสาร์เถิด พ่อเกรงว่าชักช้าอีกฝ่ายจักไม่ชอบใจเป็นแน่แท้” สุริยเทพกล่าวกับบุตรให้คลายกังวลเรื่องของตน เพราะจากสังเกตท่าทางของรพีพงศ์แล้วไซร้ยังคงมีหลากหลายเรื่องให้รพีพงศ์กังวลใจพอควร ก่อนจะชักชวนให้ขึ้นราชรถเหาะเหินบนนภากาศไปยังวิมานของศนิเทพ



ทางด้านวิมานทิพย์หงสบาท พระเสาร์ผู้ครอบครองกำลังให้เทวดาข้ารับใช้ ดูแลความเรียบร้อยทั้งภายนอกและภายในวิมานเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน ไหนจะก่อนหน้านี้ได้ให้นางอัปสรเร่งแต่งองค์ทรงอาภรณ์ตลอดเครื่องประดับงดงามแก่ชายาและนาคินทร์ซึ่งหารู้ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้



“ท่านพ่อ…ลูกอยากจะรู้เหลือเกินว่าเกิดอันใดขึ้น เหตุใดถึง…”



“เจ้าอย่าเพิ่งถามสิ่งใดเลย หากใคร่อยากรู้ก็จงรอ พ่อขอให้สัญญากับเจ้าว่าอีกไม่ช้านานทั้งเจ้ารวมทั้งแม่ของเจ้าจะพบกับผู้ที่จักให้คำตอบ คลายข้อสงสัยในใจพวกเราให้หมดสิ้น” พระเสาร์เอ่ยขัดขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ทันฟังคำพูดของนาคินทร์จบประโยค หากตนพอจะคาดเดาได้ว่าบุตราอยากจะเอ่ยสิ่งใด



ฝ่ายนาคินทร์ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยอันใดออกมาเพราะรู้ว่าคงไม่สามารถได้รับคำตอบได้ทันทีแต่อย่างน้อยนาคินทร์ได้รับรู้ว่าจะมีผู้มาเยือนวิมานแห่งนี้และน่าจะมีความสำคัญพอสมควร บิดาของตนถึงได้ให้เข้ามาเยือนในยามวิกาล



“พระเสาร์ขอรับ!! บัดนี้องค์สุริยเทพและรัชทายาทรพีพงศ์ได้มาถึงหน้าวิมานแล้ว” นายทวารผู้เฝ้าประตูเข้ามาแจ้งนายเหนือหัว นาคินทร์ถึงได้ทราบโดยทันทีว่าใครที่ตนสงสัยคือใคร



“พ่อจักออกไปต้อนรับพาเทพสองพ่อลูกเข้ามา เจ้ากับแม่นั้นรอพ่ออยู่ ณ ห้องโถงนี้อย่าได้ไปไหน” พระเสาร์สั่งความกับบุตราและหญิงคนรักก่อนจะออกไป นาคินทร์ได้สดับฟัง พลันดวงใจเต้นตึกตักสั่นระรัว ทั้งดีใจที่ได้เจอรพีพงศ์ด้วยสามวันมานี้มิได้พูดคุยหรือพบหน้า ทั้งเหนือสิ่งอื่นใดนาคินทร์กลับมีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นของการมาเยือนของสุริยเทพ



“นาคินทร์…สงบจิตสงบใจก่อนเถิด” มุตตาอดเอ็นดูบุตรของตนมิได้ที่หาได้รู้ประสีประสา ผิดกับนางที่พอจะเดาออกว่าภายภาคหน้าจักเกิดสิ่งใดขึ้น



ฝ่ายพระเสาร์ได้ออกมาต้อนรับพาสุริยเทพและรพีพงศ์เข้ามาเยื้องย่างผ่านลานปูด้วยหินขนาบด้วยสระบัวทั้งสองข้างเพื่อเข้าสู่ภายในวิมานสถาน ระหว่างการก้าวเดินหาได้มีผู้ใดเปล่งวาจาออกมา ด้วยใจหมายมั่นว่าเมื่อใดที่พ้นธรณีประตู เมื่อนั้นสิ่งใดที่อยากเอ่ย สิ่งใดที่อยากฟังจักออกมาให้รู้แจ้ง



อีกฟากฝั่งรอคอยจนบานประตูเปิดออกมา ผู้เข้ามาคนแรกคือบิดา ตามติดกันมาคือเทวัญวรกายสูงใหญ่ สวมภูษาประดับด้วยรัตนาช่วยเสริมให้สง่างามรบกับรัศมีแดงอัคคีที่เปล่งประกาย หากก็มิสามารถทำให้นาคินทร์ตรึงตาตรึงใจได้เท่ากับคนสุดท้าย…คนที่นาคินทร์เฝ้าคอย



“ท่านพี่รพีพงศ์…” นาคินทร์เอ่ยนามเสียงแผ่วเบาราวกับว่าเจ้าของชื่อจักได้ยิน ในวันนี้ท่านพี่ของนาคินทร์รูปงามกว่าวันไหน นาคินทร์ส่ายหน้าเล็กน้อยไล่ความคิดนี้ก่อนจะตำหนิตนเองว่าคงคิดถึงรพีพงศ์จนเป็นบ้าเสียแล้วกระมัง



“ก่อนที่เราทั้งสี่จะพูดคุยกันนั้น ข้าจักขอแนะนำมุตตาชายาแห่งข้าและนาคินทร์ผู้เป็นบุตรเพียงคนเดียวให้ท่านได้รู้จัก…พระอาทิตย์” พระเสาร์เอ่ยแนะนำหลังเชื้อเชิญให้พระสุริยะกับรพีพงศ์ประทับนั่งบนตั่งนิลกาฬ โดยมิลืมเน้นเสียงหนักลงประโยคสุดท้ายหมายจักสื่อให้สองพ่อลูกได้เข้าใจว่านาคินทร์มิต่างอะไรจากแก้วตาดวงใจของตน



มุตตาและนาคินทร์ เมื่อถูกกล่าวถึงได้พนมมือยกไว้กลางอุราแล้วค้อมศีรษะลงทำความเคารพผู้มีศักดิ์สูงกว่า แม้จักไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์หรือเทวาชั้นสูงผู้ที่เคยร่ำเรียนมารยาทมาก่อน ทว่าจริยวัตรงดงามอ่อนหวานทำให้พระอาทิตย์ประทับใจไม่น้อย



“ข้ายินดีที่ได้รู้จักทั้งชายาและบุตรของท่าน อันความจริงแล้วข้าพอจักได้ยินนาม ได้เห็นพักตรมาบ้างแล้วแต่มิเคยได้เสวนาและพอจะได้เสวนากันกลับเป็นยามค่ำคืน เหตุนี้ข้าต้องขออภัยด้วย คงจักลำบากแลรบกวนเวลาพักผ่อน” พระอาทิตย์เอ่ย



“มิเป็นไรดอก หากข้าแลเห็นว่ารบกวนคงจักตอบสาน์สปฏิเสธไปแล้ว แต่เพราะข้าเข้าใจท่านว่าท่านเองก็เหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อยอันกลางวันต้องนำพาลูกไฟส่องสว่างมนุษย์ภพ เวลาที่จันทราเทพทำหน้าที่จึงเป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่ท่านจักมาเยือนวิมานข้าเพื่อบุตรชายของท่าน”



“ใช่…เพื่อรพีพงศ์และเพื่อพวกเราเอง ฉะนั้นข้าจักไม่วกวนขอเข้าเรื่องที่ข้านั้นมาพบเจอกับท่าน…”



“ช้าก่อนสุริยเทพ…ข้าต้องขออภัยที่เสียมารยาทพูดขัดท่าน แต่ข้าต้องการให้รพีพงศ์ได้เอื้อนเอ่ยเอง” พระเสาร์เอ่ย



“ถ้าเป็นความประสงค์ของท่าน ข้านี้ก็มิขัด…” องค์ภาสกรแย้มยิ้มเพียงเล็กน้อย ด้วยตนเองอยากใคร่ดูว่ารพีพงศ์จักสามารถเอาชนะใจพระเสาร์ในด่านสุดท้ายนี้ได้หรือไม่



“ว่ามาสิรพีพงศ์ เจ้ากับพ่อของเจ้ามาหาข้าและลูกเมียเพราะเหตุใด” พระเสาร์เปิดโอกาสให้รพีพงศ์ได้พูดกล่าว ผู้ถูกถามผันหน้าลอบมองคนงามฝั่งตรงข้ามเล็กน้อยพอเอาแรงใจก่อนจะหันกลับมาตอบพระเสาร์



“การที่ข้าและท่านได้มาหาท่าน ท่านน้ามุตตาและนาคินทร์ในวันนี้ มิใช่มาเยี่ยมเยือนดั่งเช่นทุกครา แน่นอนว่าย่อมมีเรื่องสำคัญ ประการแรกข้าจักมาชะล้างความแคลงใจของท่านให้หมดสิ้น…พระเสาร์”



…‘หาใช่เรื่องนี้ไม่…สิ่งที่ข้าแคลงใจนั้นคือบุตรของข้าจักอยู่ในฐานะใด’…



ย้อนเวลากลับไป พระเสาร์ได้มอบคำถามอันส่งผลต่ออนาคตของรพีพงศ์กับนาคินทร์ คำถามที่ต้องการคำตอบเชิงประจักษ์ หนักแน่นและเป็นไปได้จริง หาใช่สวยหรูแต่ลอยลมจับต้องมิได้ พระเสาร์ตระหนักดีว่าแม้นนาคินทร์กับรพีพงศ์รักกันมากเพียงใด ทั้งยังเสมอด้วยยศฐา ทว่านาคินทร์เป็นชายมิได้เป็นหญิง



“ท่านเคยถามว่านาคินทร์จักอยู่ในฐานะใด ข้าจึงขอตอบให้ท่านได้รู้ว่านาคินทร์จักอยู่ในฐานะชายาเพียงคนเดียวของข้า” รพีพงศ์ตอบน้ำเสียงชัดเจนแต่ใครคนหนึ่งกำลังคิดว่าตนหูแว่วได้ยินผิดเพี้ยน



“ท่านพี่เอ่ยอันใดออกมา…ท่านพี่รู้ตัวหรือไม่” จะเรียกว่าไม่ชัดคงจะไม่ใช่ แต่นาคินทร์ไม่คิดว่ารพีพงศ์จะกล้าพูดต่อหน้าพระเสาร์และพระอาทิตย์



“พี่รู้ว่าพี่กำลังทำสิ่งใดและนี่คือสาเหตุที่พี่ต้องพาท่านพ่อมา ณ ที่แห่งนี้” รพีพงศ์ตอบแล้วเกริ่นเล็กน้อยให้พระอาทิตย์ได้กล่าวต่อไป



“เป็นไปตามรพีพงศ์ว่าไว้…บุตรชายข้าต้องการนาคินทร์มาเป็นชายา ข้าผู้เป็นพ่อจึงใคร่มาเจรจาสู่ขอนาคินทร์กับท่านทั้งสอง…พระเสาร์ แม่นางมุตตา” สุริยเทพช่วยยืนยัน ก่อนเปิดฉากเข้าสู่ขอบุตรของเทพสวมหน้ากากกับนางนาคี



“ท่านไม่คิดว่าแปลกหรือไรที่บุตรของท่านรักบุตรของข้าซึ่งเป็นชายเช่นกัน หนำซ้ำยังคิดรับไว้เป็นชายา”



“ความรักหาได้จำกัดหรือกะเกณฑ์ว่าจักเกิดขึ้นเฉพาะเจาะกับผู้ใด ทุกคนล้วนสามารถมีความรัก มอบความรักให้กันและกันโดยไม่จำกัดเพศ วัย ยศฐาบรรดาศักดิ์ตลอดจนชาติพันธุ์ ดังนั้นการที่รพีพงศ์รักนาคินทร์จึงมิใช่เรื่องแปลกสำหรับข้า ว่าแต่ท่านเถิดพระเสาร์…ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร ท่านจะยกนาคินทร์ให้เป็นชายาของรพีพงศ์ได้หรือไม่เล่า” สุรเสียงหนักแน่นถ่ายทอดคำตอบออกมาอย่างฉะฉาน ก่อนจะย้อนถามพระเสาร์กลับไป



“หากข้าไม่ยอมรับ บุตรของท่านคงไม่ได้เข้าออกวิมานข้าเสมือนบ้านของตนเองดอก ถึงแม้ว่าในคราแรกข้ามิชอบใจแต่กาลเวลาแลรพีพงศ์ได้พิสูจน์ให้ข้าเห็นถึงความรักที่มีต่อนาคินทร์ว่ารักจริงหาใช่ลวงหลอก” คำตอบของพระเสาร์สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่กำลังรอฟังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะรพีพงศ์สุดแสนจะยินดีจนแทบจะสำรวมกิริยาเอาไว้ไม่อยู่ อยากจะโผเข้าสวมกอดนาคินทร์เสียเหลือเกินให้สมกับต้องฝ่าอุปสรรคความรักที่ผ่านมา หนึ่งในอุปสรรคที่ว่าคือเอาชนะใจพระเสาร์



“แล้วแม่นางมุตตาเล่ายอมรับในบุตรข้าหรือไม่” เจ้าแห่งแสงระวีถามความเห็น



“แม้นข้าจะรู้จักรพีพงศ์ได้ไม่นานนักแต่ข้านี้ยอมรับเพราะรพีพงศ์พิสูจน์ให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ ทั้งแสดงให้ข้าได้มั่นใจว่าสามารถดูแลนาคินทร์ได้” มุตตาเอ่ยพร้อมมองรพีพงศ์ด้วยสายตาที่เป็นมิตร



“พระเสาร์ ท่านน้ามุตตา ข้าขอบน้ำใจท่านทั้งสองมากที่เห็นในความรักของข้าที่มีต่อบุตรของท่านนาคินทร์และยอมยกนาคินทร์ให้กับข้า” รพีพงศ์กล่าวกับพระเสาร์และมุตตาน้ำเสียงนั้นเจือความยินดีจนผู้ฟังสัมผัสได้



“ใช่..ข้ายอมรับแต่ข้ามิได้บอกว่าจะยกนาคินทร์ให้กับเจ้า” พระเสาร์บอก น้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็งกัดกินรอยยิ้มของรพีพงศ์จนสิ้น อย่าว่าแต่รพีพงศ์แม้แต่นาคินทร์ มุตตาหรือแม้แต่สุริยเทพยังหน้าเสีย



“ข้าจักยกให้ในวันที่เจ้าเข้าวิวาหะกับนาคินทร์ หลังจากนั้นแล้วอย่าคิดจะคืนนาคินทร์กลับมาก็แล้วกัน” พระเสาร์กล่าวต่อ คราวนี้ผู้ได้ฟังต่างเผยรอยยิ้มออกมา



“ข้าไม่คิดจะคืน ข้าคิดเพียงเราสองอยู่เคียงข้างกัน” รพีพงศ์เอ่ยคำมั่นอันกลั่นออกมาจากความคิดและจิตใจ



“เมื่อบุตรข้ายืนยันและท่านจะยอมรับในตัวรพีพงศ์ ข้าจะส่งเทวบริวารขอให้พระพฤหัสบดีดูฤกษ์ยามอันสมควร เพื่อจัดพิธีเสกสมรสอย่างสมเกียรติไม่แพ้ใคร พระเสาร์ท่านตกลงหรือไม่”



“ข้าหาใช่ผู้เข้าเสกสมรส ต้องถามนาคินทร์ว่าคิดเห็นเป็นเช่นไร” พระเสาร์เอ่ย



“นั่นสิ…ต่อให้ท่านยินยอมแต่นาคินทร์ปฏิเสธ งานมงคลนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ นาคินทร์เจ้าว่าอย่างไร จักยินดีมาอยู่กับรพีพงศ์หรือไม่”



“ข้ายินดี” แน่นอนว่าคำตอบคงมีเพียงหนึ่งเดียว นาคินทร์ตอบกลับไปก่อนก้มหน้าลงอำพลางความเขินอายที่ได้ทิ้งร่อยรอยเป็นสีกุหลาบบนใบหน้างาม ฝ่ายรพีพงศ์เองก็ยิ้มกว้าง เทพหนุ่มไม่อาจปิดซ่อนความรู้สึกปิติที่ล้นเหลือนี้ได้



หลังจากนั้นทั้งสองวงศาได้ปรึกษาหารือกันในการจัดพิธีมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเสร็จสิ้นพระอาทิตย์กับรพีพงศ์ได้กล่าวลาและกลับวิมานสีชาด ทว่าก่อนรพีพงศ์จะย่างขึ้นราชรถ เทพหนุ่มได้ถอดกำไลเนื้อเหมประดับรายล้อมด้วยโกเมนแดงก่ำสลับกับปัทมราชสีชมพู



“นาคินทร์…กำไลนี้พี่ขอมอบให้กับเจ้า ถือเสียว่าเป็นของหมั้นหมายว่าเจ้าเป็นคนของพี่” รพีพงศ์กล่าว หัตถาใหญ่คว้าข้อมือเล็กขึ้นมาแล้วจึงสวมใส่ให้



“แม้นไม่มีกำไลมาหมั้นหมาย…ข้าก็เป็นของท่านพี่อยู่แล้วมิใช่หรือ”



*****



การจัดพิธีวิวาห์ระหว่างรพีพงศ์กับนาคินทร์เป็นที่เล่าลือต่อเหล่าเทพาและอัปสรนารี ตลอดจนคนธรรพ์ สัตว์เทวะทั้งหลาย ผินหน้า ชะเงี่ยหูไปทิศทางใดย่อมได้ยิน ไม่ว่าความงามเหนือนารีของนาคินทร์ คำยกยอสรรเสริญรพีพงศ์ที่ฝ่าฟันอุปสรรคชุบชีวิตนาคินทร์ขึ้นมาได้ ไหนจะฝ่าด่านชนะใจพระเสาร์ผู้ได้ชื่อว่าใจแข็งเป็นหนึ่ง นอกจากนี้ยังคาดการณ์ถึงอำนาจของสองวงศาซึ่งได้มาเกี่ยวดองกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันว่าจะยิ่งใหญ่เกินคณานับ



ยิ่งใหญ่เพียงใดนั้นหรือ...ประเมินด้วยตาจากมหาวิหารนวดาราตั้งแต่ปากทางเข้า มีคบเพลิงประดับตลอดทางเปลวไฟนั้นมีสีชมพูดูแล้วสบายตา พอเดินเข้าไปภายในจะเห็นโถงใหญ่โอ่อ่าประดับด้วยผืนผ้าและผืนธงสีชาดสลับกับสีเม็ดมะปราง สุดสายตาจะแลเห็นบัลลังก์ทองของพระผู้สร้างไล่ลงมาจะเป็นแท่นมณีสองฝั่งเข้าหากันของสุริยเทพและพระเสาร์ นอกจากนี้ยังมีผกางามหลากพันธุ์ถูกนำมาจัดรวมเป็นช่อ บ้างนำมาร้อยเป็นมาลัยประดับประดา พื้นรัตนาขัดเงาส่องประกายปูพรมสีเข้าเป็นลาดทางเดินให้เยื้องย่างระหว่างแท่นมณีซึ่งถูกจัดไว้ตามลำดับยศฐาให้ผู้ถูกเชื้อเชิญได้นั่ง



 วิหารศักดิ์สิทธิ์ประจำเทพนพเคราะห์ มักใช้ประกอบพิธีสำคัญอันเกี่ยวข้องกับเทวัญทั้ง ๙ เฉกเช่นยามนี้ อันเป็นเวลาสมควรตามที่ปรากฏในกระดานชนวนของพระพฤหัสบดี งานวิวาห์ที่เคยเป็นเพียงคำวาจาได้กลายเป็นจริง



“ชลันธรดูสิ ท่านรพีพงศ์คอยมองหานาคินทร์ตลอดเลย” บุษยะซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างของพระสมุทรได้เอ่ยขึ้นหลังจากสังเกตพฤติกรรมของรพีพงศ์อยู่พักใหญ่



“เราว่ารพีพงศ์คงจะตื่นเต้นเป็นแน่” ชลันธรออกความเห็น



“ท่านนภนต์เล่า ท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร คราท่านกับชลันธร ข้าจำได้ว่านั่งแทบไม่ติดแท่นแก้ว หาได้ต่างจากท่านรพีพงศ์” นั่งฟังบทนทนาของสองสหายอยู่ดีๆ คำถามวกเข้าตัวมาจนได้ นภนต์คิด



“จริงหรือท่านพี่ ท่านพี่มีท่าทีเช่นเดียวกับรพีพงศ์หรือ” ชลันธรถาม น้ำเสียงดูกระตือรือล้นใคร่รู้ เนื่องจากตนมิเคยล่วงรู้และคาดไม่ถึงว่านภนต์ผู้สง่าจะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้



“ใช่ พี่นั่งแทบไม่ติด ทั้งตื่นเต้น ทั้งอยากเห็นใบหน้างามของเจ้า” นภนต์เอ่ยออกมาน้ำเสียงหวานชวนให้พระสมุทรเขินอาย



“แล้วเจ้าล่ะ…ชลันธร เจ้ารู้สึกเช่นไร”



“น้องน่ะหรือ…น้องรู้สึก…” ชลันธรก้มใบหน้าซ่อนแก้มแดงก่อนจะให้คำตอบกับนภนต์…



“ตื่นเต้นเหลือเกิน…ใจข้านี้จะหลุดออกมาจากอกแล้ว” นาคินทร์พึมพำขณะนั่งให้นางอัปสรรวบเกศาไว้ครึ่งศีรษะแล้วเกล้าขึ้นทำมวยสูง จากนั้นติดประดับปิ่นพลอยม่วงลายบัวผันเป็นอันเสร็จสิ้น



“งดงามเหลือเกินท่านนาคินทร์” นางอัปสรกล่าวชม



“กล่าวเกินไปแล้ว” นาคินทร์ถ่อมตน



“ไม่มีส่วนไหนที่เกินจากความจริงเลย ท่านนาคินทร์” นางอัปสรอีกคนเยินยอแล้วมองนาคินทร์ผ่านบานกระจกใหญ่



“พวกเจ้าแต่งกายให้ท่านนาคินทร์เรียบร้อยดีแล้วหรือไม่ ถึงเพลาที่ท่านนาคินทร์จะต้องไปยังภายในวิหารแล้ว” นางสวรรค์อีกองค์ถาม ขณะเดินเข้ามาในห้อง รัศมีของนางเฉิดฉายกว่านางฟ้าองค์ไหนๆ ‘วิภาดา’ ผู้ช่วยของเทพี’ดารกานต์’ เทวนารีแห่งความรัก



“ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วเว้นเพียงตัวข้า…” นาคินทร์ลุกขึ้นยืนพร้อมให้คำตอบ มือเรียวยกขึ้นมากุมอกข้างซ้ายไว้



“เป็นอันใดไปท่านนาคินทร์ โปรดบอกพวกข้ามาเถิด”



“ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน ประเดี๋ยวต้องเดินเข้าไปเพียงลำพังไร้คนเคียงข้าง พวกเจ้าเองแม้ตามมาก็เดินห่างจากเราอยู่มากโข” นาคินทร์บอกความรู้สึก หากมีชลันธรและบุษยะคงจะดีกว่านี้ อย่างน้อยๆสหายทั้งสองยังชวนคุยให้คลายความตื่นเต้นระคนกังวลนี้ได้



“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี ใครตกอยู่ในสถานะเดียวกับมักจะเป็นเช่นนี้ ไม่เว้นแต่พระสมุทรชลันธรสหายของท่าน ทว่าท่านจักมัวตื่นเต้นแล้วไม่ยอมออกไป ท่านรพีพงศ์คงคอยแล้วคอยเล่า ดีไม่ดีอาจจักบุกเข้ามาชิงตัวพาท่านออกไปก็เป็นได้” ดารกานต์เอ่ย นาคินทร์ฟังจึงได้คิดไตร่ตรอง ทั้งตนและรพีพงศ์หาได้เห็นพักตร์สบตาเป็นเวลาร่วม ๗ วัน ตามธรรมเนียมของชาวสวรรค์ กลับกลายเป็นว่าความคิดถึงได้ค่อยๆก่อเกิดขึ้นแทรกแซงแทนความตื่นเต้นจนสิ้น



“พวกเราออกไปกันเถิด…ข้าพร้อมแล้ว” คำพูดของนาคินทร์ทำให้ผู้ฟังต่างยินดี พากันตั้งขบวนเดินตามเทวากึ่งนาคามุ่งหน้าเข้าสู่พิธีสำคัญ



เมื่อเดินเหยียบย่างถึงขั้นบันได บานประตูสีงาช้างสลักลวดลายสัญลักษณ์แห่งดาวนพเคราะห์ค่อยๆแง้มเปิดออกทีละนิด ดวงเนตรสีม่วงเข้มมองไปข้างหน้า ภาพภายในมหาวิหารค่อยๆชัดขึ้นตามบานประตูที่เปิดออกและสิ้นสุดลงทันใดเมื่อนาคินทร์ได้หยุดยืนรอข้ามธรณีประตู



เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงท่วงทำนองเพลงหวาน กลีบมาลาหลากสีร่วงหล่นลงมา ทุกสายตาล้วนมองไปยังนาคินทร์ซึ่งกำลังเยื้องย่างเข้ามา



‘งาม..มิอาจหาใครเสมอเหมือน’ ประโยคนี้รพีพงศ์ขอมอบให้แก่นาคินทร์ที่งามเกินกว่าวันไหนๆ ยิ่งได้ใส่เสื้อทรงสีขาวสะอาดตาตัดกับภูษานุ่งสีลูกหว้า ทั้งยังคลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีขาวปักเลื่อมสีดอกอัญชันสลับกับพลอยสีดอกตะแบก ไล่สีเข้มจากชายผ้าด้านล่างขึ้นไป



นาคินทร์เองแม้จะตกเป็นเป้าสายตาทว่าคนงามกลับสนใจเพียงรพีพงศ์ ผู้ทรงสง่าด้วยเครื่องพัสตราภรณ์คล้ายตนผิดกันเพียงสีเท่านั้น อันใดที่เป็นสีม่วงของรพีพงศ์จะเป็นสีแดง



ไม่นานเท้าของนาคินทร์ก็ไม่อาจจะก้าวต่อไป นางอัปสรด้านหลังก้าวมาด้านข้างของนาคินทร์ก่อนจะส่งพานทองอันมีธูปเทียนแพ ด้านบนมีกรวยทำจากใบตองวางไว้ เมื่อรับมาแล้วนาคินทร์ยอบกายลงคลานเข่าเข้าไปหยุดตรงหน้ารพีพงศ์ มือเรียววางพานไว้ข้างกายแล้วก้มลงกราบรพีพงศ์ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาเปลี่ยนอิริยาบถจากหมอบเป็นนั่งเช่นเดิมและหยิบพานธูปเทียนแพส่งให้รพีพงศ์



เทพหนุ่มรับไว้ด้วยใจปิติ ก่อนจะย่อตัวลงมาคุกเข่าข้างกายนาคินทร์ ดวงตาของทั้งคู่สบกันอีกครั้ง ผู้หนึ่งรีบหลบเอียงอาย ผู้หนึ่งจับจ้องราวกลัวอีกฝ่ายจะหายไป



“อะ แฮ่ม” พระเสาร์ทำทีกระแอมออกมาไม่ดังมากนัก เพื่อให้คู่สมรสรู้ว่าในมหาวิหารไม่ได้มีเพียงสองคน อีกทั้งยังอยู่ในพิธี รพีพงศ์และนาคินทร์จึงพากันคลานเข่าเข้าหาก้มลงกราบพระผู้สร้างผู้มาเป็นประธานในพิธีศักสิทธิ์ในครั้งนี้



รพีพงศ์ยกพานขึ้นสูงเหนือเศียรยื่นตรงต่อหน้าพระพักตร์ของมหาเทพ พระพริษฐ์เปิดกรวยใบตองออกภายในมีดอกไม้กลีบขาวและใบสีเขียวสดอย่าง ‘พุดซ้อน’ สัญลักษณ์แห่งงานวิวาห์สื่อถึงความรักที่บริสุทธิ์ พระองค์หยิบดอกพุดซ้อนมอบให้กับรพีพงศ์ เมื่อสุริยบุตรได้มาแล้วนั้นจึงนำมาทัดหูให้กับนาคินทร์ ส่วนใบนั้นพระผู้สร้างมอบให้กับนาคินทร์นำไปทัดหูให้กับรพีพงศ์



พานธูปเทียนแพได้มอบให้กับนางกำนัลซึ่งคอยรอรับนำไปเก็บ จากนั้นทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์ต่างพนมมือไว้กลางอุรา พระพริษฐ์เสกก้านทับทิมทองคำเป็นประจักษ์ในฝ่ามือแล้วสะบัดกิ่งทับทิมนี้เพียงเล็กน้อยทำให้เกิดวารีศักดิ์สิทธิ์พรมทั่วสองกายาตรงหน้า



“ข้าขอให้ท่านทั้งสองครองคู่กันอย่างมีความสุขยาวนานตลอดไป” พระพริษฐ์อวยพร



“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพะยะค่ะ” รพีพงศ์และนาคินทร์เอ่ยออกมาพร้อมกัน



เมื่อได้รับพรจากพระผู้สร้างเสร็จสิ้น ทั้งสองกราบลาแล้วคลานเข่าไปยังแท่นประทับของพระเสาร์และมุตตา รพีพงศ์ นาคินทร์ต่างพนมมือไหว้ พระเสาร์เสกก้านทับทิมเงินขึ้นแล้วพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน



“ความรักของเจ้าทั้งสองยิ่งใหญ่เป็นที่แจ้งใจให้ตัวข้าตลอดจนเหล่าเทพได้รับรู้ หากความรักมันไม่พอสำหรับการครองคู่ยังต้องดูแลและเชื่อใจกัน จงจำคำของข้าไว้”



“ส่วนแม่มิมีข้อคิดใดนอกจากจะให้ทั้งสองดูแลกันและกันให้ดี…ท่านรพีพงศ์ ข้าขอฝากนาคินทร์ไว้กับท่านด้วย” มุตตาเอ่ยเสียงสั่นเครือน้ำตารื้นคลอเบ้าพร้อมลูบผมของลูกยาไปด้วย



“ท่านน้าอย่าได้นึกห่วง ข้าจะดูแลนาคินทร์เป็นอย่างดี” รพีพงศ์พอจะเข้าใจความรู้สึกของมุตตาดีเพราะนับจากราตรีนี้ไปนาคินทร์จักต้องอยู่วิมานของตน



หลังจากรับพรจากบิดา-มารดาฝ่ายนาคินทร์แล้ว ทั้งสองคลานเข่าไปหาพระอาทิตย์ซึ่งประทับเพียงองค์ด้วย เนื่องด้วยมารดาของรพีพงศ์ได้สิ้นชีวาเมื่อนานมาแล้ว



“พ่อนี้ขอให้ลูกทั้งสองใช้เวลาไปกับความสุข ให้เกียรติและมอบสิ่งดีงามให้กันและกัน…นาคินทร์เจ้าอย่าได้กังวลเมื่อย้ายถิ่นฐานมาอาศัย ณ วิมานเพลิง เมื่อเจ้าตบแต่งเข้ามาก็เท่ากับว่าเป็นบุตรของข้าคนหนึ่ง มิต้องกลัวสิ่งใด” พระอาทิตย์เอ่ยน้ำเสียงล้วนแสดงถึงความเมตตาทำให้ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นใจ



พิธีพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นอันสิ้นสุด ทว่าหาได้เป็นพิธีสุดท้ายเพราะยังมีอีกหนึ่งพิธีที่ยังรออยู่นั่นคือพิธีปฏิญาณตน รพีพงศ์และนาคินทร์ยืนขึ้นก่อนจะเดินออกมาฝั่งทางเดินเล็กน้อย โดยมีดารกานต์เทวีคอยท่าอยู่ก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วเริ่มเอ่ยคำถามอันเป็นการดำเนินพิธี



“ท่านรพีพงศ์ ท่านตั้งใจจะรับท่านนาคินทร์บุตราแห่งพระเสาร์เป็นชายา ทะนุถนอมด้วยใจแห่งสเน่หามอบความรัก ความเมตตาต่อท่านนาคินทร์สืบต่อไปหรือไม่”



“ข้าตั้งใจเช่นนั้น” รพีพงศ์ตอบ น้ำคำหนักแน่นไม่หวั่นไหว



“ท่านนาคินทร์ ท่านตั้งใจจะมอบกายถวายใจของท่านเป็นชายาแห่งรพีพงศ์ผู้สืบสันติวงศ์สุริยะ ด้วยใจรักจะปฏิบัตตนเป็นชายาที่ดีสืบต่อไปหรือไม่”



“ข้าตั้งใจเช่นนั้น” นาคินทร์ตอบ น้ำเสียงหนักแน่นไม่ต่างจากรพีพงศ์



“ต่อไปขอให้ท่านทั้งสองมอบแหวนและคำสัญญา”



รพีพงศ์และนาคินทร์ขยับกายหันหน้าเข้าหากัน นาคินทร์ยื่นมือซ้ายให้ รพีพงศ์จับมือเรียวนี้ไว้อย่างเบามือก่อนจะเสกแหวนให้ปรากฎในฝ่ามือของตนแล้วค่อยๆสวมแหวนไปยังนิ้วนางข้างซ้ายของนาคินทร์



“พี่สัญญาว่าจะรักและซื่อสัตย์กับเจ้าตลอดไป ดั่งวงแหวนนี้ที่หาจุดสิ้นสุดมิได้ เฉกเช่นความรักของพี่ที่มีให้เจ้ามันจะหมุนวนไม่ไปไหน” รพีพงศ์เอ่ย หยาดน้ำตาแห่งความสุขของนาคินทร์ได้ไหลอาบแก้ม ดวงตานั้นมองธำมรงค์ประดับพชรล้อมทับทิมแดงแวววาวผ่านม่านน้ำตา



“ข้าขอสัญญากับท่านพี่ว่าจะรักและจะใช่ชีวิตนร่วมกับท่านไม่ว่าจะยามสุข ยามทุกข์ ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไปและไม่มีสิ่งใดจะพรากเราได้” นาคินทร์เอ่ยพลางสวมแหวนเพชรล้อมพลอยสีพวงอังกาบ รพีพงศ์ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วใช้อีกมือที่กำลังว่างเกลี่ยน้ำตาให้กับผู้อันเป็นที่รัก



“บัดนี้เสร็จสิ้นพิธีแล้ว ข้าดารกานต์เทพีแห่งความรักขอประกาศนับแต่นี้เป็นต้นไปว่ารพีพงศ์และนาคินทร์เป็นหนึ่งเดียวกัน”



“เฮ้!!!! รพีพงศ์ นาคินทร์ รพีพงศ์ นาคินทร์” สิ้นเสียงของเทวีแห่งรัก ทวยเทพต่างโห่ร้องเรียกขานสองนามด้วยใจยินดี ดังก้องมหาวิหาร พร้อมกันนั้นเสียงเครื่องดนตรีดังขึ้นและกลีบมาลาได้โปรยลงมาอีกครั้งเป็นการเปิดพิธีเลี้ยงฉลอง…ฉลองให้กับความรักของคนทั้งคู่ที่ยืนจับมือสอดประสานนิ้วเอาไว้แนบแน่น ทั้งในดวงตาสะท้อนเงาของอีกฝ่าย



“พี่รักเจ้า/ข้ารักท่านพี่” ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะป้องปากปิดรอยยิ้มแก้เขินอาย



“พี่ว่าจะชิงบอกรักเจ้าก่อนเพราะตั้งใจว่าใครเอ่ยก่อนผู้นั้นมีอำนาจสั่งอีกฝ่ายในค่ำคืนนี้” รพีพงศ์กระซิบกระซาบข้างหูนาคินทร์ จึงถูกนาคน้อยมอบรอยประทับเบาๆจากฝ่ามือลงต้นแขน



“ถ้าเช่นนั้นข้าขอเป็นผู้เอ่ยก่อนได้หรือไม่ ท่านพี่จักยอมหรือไม่” นาคินทร์กระซิบถามกลับ



“ได้สิ หากเจ้าขอพี่ยอมทุกอย่าง”







.....................

 ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก มันเรียบๆง่ายๆ กลัวคนอ่านจะเบื่อจัง T T แต่ท่านยุ่งกลับชอบนะ อยากให้เขามีแต่งงานประกาศให้โลกรู้กันไป หลังจากสู้กับอุปสรรคมาตลอด ตั้งใจเขียนด้วยแต่ไม่รู้ว่าออกมาดีงามถูกใจกันไหม ส่วนนี้แนะนำติชมกันได้นะคะ

ป.ล. พี่รพีเราแต่งงานไม่ถึงวันก็กลายเป็นพ่อบ้านใจกล้าโดยสมบูรณ์แล้ว 5555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น มาเป็นกำลังใจนะคะ

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5

เขียนดีมาก ชอบๆๆคู่นี้มากค่ะ

 :mew1:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
แต่งงานกันแล้ว~

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
ชื่นมื่นอบอุ่นสุดๆไปเลยยย

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
กาลครั้งหนึ่งของจันทรัช

Author : Tan-Yung0209

File : 03



‘จันทร์เอ๋ย…จันทร์เจ้า

ขอข้าว…ขอแกง

ขอแหวนทองแดง…ผูกมือน้องข้า’



คำกล่าวขอพรกับพระจันทร์มักจะถูกส่งถึงสม่ำเสมอ หากใครเล่าจะรู้บ้างว่าเจ้าของดาวฤกษ์สีเงินยวงอันเปล่งรัศมีสีเหลืองนวลนี้กลับมีเรื่องที่อยากได้ อยากมี หากคงไม่มีผู้ใดสามารถทำคำขอหรือให้พรกับตนได้



เพราะเหตุใดนะหรือ



คงต้องย้อนกลับไปนานเสียหน่อยแต่ถ้าให้รวบรัดตัดตอนแล้วไซร้ก็สามารถเข้าใจได้ เมื่อครั้งเก่าก่อนแม้นจันทราเทพจะมีเทวีคู่กายเคียงหมอน ทว่ากลับถูกตาต้องใจนางดาราเทวีผู้เป็นชายาของพระพฤหัสบดี ด้วยความคึกคะนองและอยากได้นางดารามาเป็นของตนจึงได้ลักพาตัวมาจนมีความสัมพันธ์เกินเลย อีกทั้งการกระทำชั่วช้านี้ได้ก่อเกิดเทวะสงครามขึ้น จนพระผู้สร้างต้องลงมาเจรจาไกล่เกลี่ย พระจันทร์จึงคืนนางดารากลับไปโดยมีเลือดเนื้อเชื้อไขของตนติดไปด้วย



หลังจากนั้นพระจันทร์ถูกกักบริเวณใน ให้อยู่ในวิมาน ห้ามมิให้ออกไปไหน อันที่จริงเรียกว่ากักขังน่าจะถูกต้องกว่า ส่วนการขับเคลื่อนดวงแขก็ให้ใช้พลังขับเคลื่อนแทน นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ก็หลายขวบปี พระจันทร์อยากจะพบหน้าบุตรในอุทรเสียเหลือเกิน ถึงแม้จะรู้ว่าพระพฤหัสบดีมิได้สังหารหนำซ้ำยังดูแลบุตราตัวน้อยเป็นอย่างดี หากคนเป็นพ่ออยากจะเจอหน้าลูกสักครั้ง



“ท่านพ่อ…คิดถึงน้องหรือ” เสียงทุ้มเรียกขาน ทำให้พระจันทร์ซึ่งกำลังคิดคะนึงถึงจันทรัชผินหน้ามองไปยังต้นทางของเสียง เทวะหนุ่มรูปงามสวมอาภรณ์สีเงินประดับอัญมณีด้วยบุษราคัมกำลังก้าวเท้าเข้าหา



“นิศานาถ นี่เจ้า…”



“ท่านพ่ออย่าได้กังวลว่าข้าจักน้อยใจที่ท่านใคร่อยากจักเจอจันทรัช” นิศานาถเอ่ย ทำให้ผู้เป็นบิดาระบายยิ้มออกมาด้วยความยินดีที่นิศานาถหาได้ตั้งแง่กับน้องต่างมารดา



“พ่อดีใจที่เจ้ามิได้โกรธพ่อ จนพาลรังเกียจน้องเจ้า” พระจันทร์รู้ดีว่าตนเองทำผิดต่อนิศานาถเป็นอย่างมาก การกระทำไม่ยั้งคิดมทำให้นิศานาถแทบจะไร้สหาย ไร้คนคบหา



“ท่านพ่อ ถ้าให้ข้าเอ่ยความรู้สึกจริงๆ ข้าคงจะต้องบอกว่าข้าโกรธท่านที่ยับยั้งจิตใจแต่เรื่องราวมันผ่านไปแล้ว ท่านพ่อเองก็ได้รับบทเรียนแล้ว อีกเรามีกันสองพ่อลูก หากมีน้องมาอยู่ร่วมวิมานคงจะครึกครื้นมิใช่น้อย” นิศานาถยอบกายลง ดวงหน้างามซบลงบนตักของพระจันทร์ ช่วงชีวิตนี้เขาเองมีเพียงองค์จันทราผู้เป็นพ่อเพียงเท่านั้น ส่วนมารดาได้สิ้นชีพเมื่อครั้นได้กำเนิดตนมา มีกันเพียงเท่านี้จะมาโกรธเคืองกันคงจะไม่ดี พระจันทร์มองนิศานาถก่อนจะลูบศีรษะอย่างทะนุถนอม



“เจ้าเติบโตขึ้นมาก ทั้งความคิดและจิตใจ พ่อขอโทษเจ้าด้วยที่สร้างความเสียใจให้กับเจ้า…นิศานาถ” พระจันทร์เอ่ยออกมาน้ำเสียงสั่นเครือ ทำให้นิศานาถขยับศีรษะแหงนขึ้นมอง



“เพราะข้ามีท่านพ่อที่ดีคอยสั่งสอนข้าอย่างไรเล่า” นิศานาถกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม



“เจ้ากล่าวเกินไปแล้วนิศานาถ”



“ข้ามิกล่าวเกินจริง ท่านพ่อทำหน้าที่พ่อได้ดีไม่แพ้ใคร จนข้าอยากจะพาน้องมาให้ท่านพ่อได้เลี้ยงดูสั่งสอน ข้าเชื่อว่าน้องจะต้องคิดเช่นเดียวกันกับข้าและรักท่านพ่อเฉกเช่นที่ข้ารัก” นิศานาถเอ่ยและเห็นว่าพระจันทร์ผู้เป็นบิดาสดับฟังไม่พูดจาจึงกล่าวต่อไปว่า



“เหตุนี้ข้าจึงจะมาบอกท่านพ่อให้รับรู้ว่าตัวข้าจะไปหาน้องที่วิมานของเทพีณิชา”



“นิศานาถ เจ้าว่ากระไรนะ!!” พระจันทร์แทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินมาจากปากของบุตรชาย



“ท่านพ่อฟังไม่ผิด ข้านี้จะไปหาน้อง ท่านพ่อมีสิ่งใดอยากให้น้องแล้วไซร้โปรดมอบให้ลูกเถิด ข้านี้จะมอบให้น้องถึงมือ” นิศานาถยืนยันอีกครั้งทั้งยังอาสานำของแทนใจจากบิดาส่งมอบให้อนุชาตัวน้อย



จันทราเทพได้ฟังพลันใจชื้น ร่ายคาถาเสกกำไลหยกใส ดูแวววาวไม่ต่างจากหยาดมธุรส ด้านในของกำไลมีอักขระอาคมแห่งพลังปกปักรักษาแก่ผู้สวมใส่ให้พ้นจากภยันอันตรายที่หมายโจมตี พระจันทร์ส่งมอบกำไลหยกให้นิศานาถรับไว้ด้วยใจยินดี สองพ่อลูกต่างมองหน้าและส่งยิ้มให้กัน ความสุขที่ห่างหายไปนานค่อยๆปรากฏขึ้นไม่ต่างจากเมล็ดพันธุ์เพิ่งแตกหน่อและหวังว่าจะเติบใหญ่เป็นต้นไม้แห่งความสุขตราบนานเท่านาน



*****

“ข้าเข้าใจท่านดี ท่านนิศานาถ แต่ว่า…”



“ข้าขอร้องท่านเทพีณิชาหรือจักให้ข้าก้มกราบท่านข้าก็ยินยอม ข้าขอเพียงได้พบเจอจันทรัชน้องชายของข้า” นิศานาถไม่เพียงแค่เอ่ยออกมา หากการกระทำที่แสดงออกย่อมเป็นไปตามนั้น ร่างสูงโปร่งแลสง่ายอบกายลงพร้อมจะก้มกราบ ทว่าเทพีสวมภูษาสีงาช้างกลับห้ามไว้เสียก่อน



“องค์นิศานาถอย่าได้กระทำเช่นนี้เลย ใช่ข้าอยากจะขัดขวางท่านไม่ให้เจออนุชาแห่งท่านแต่การที่ท่านพบเจอและแสดงตัวว่าท่านเป็นใครกับจันทรัช ย่อมไม่เป็นผลดีแน่”



“ข้าเข้าใจดี น้องยังเล็กนัก ท่านอย่าได้กังวลใจไป ข้าจะไม่เปิดเผยว่าข้าเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดจะไม่เล่าเรื่องราวชาติกำเนิดของจันทรัช ข้าเพียงได้พูดคุย ได้เล่นและมอบของขวัญจากท่านพ่อให้กับน้องเพียงเท่านนั้น เทพีณิชาโปรดเชื่อใจข้า”



“ได้ ข้าจะอนุญาตให้ท่านเจอกับจันทรัชได้เพียงแค่ ๑ ชั่วยามเท่านั้นเพราะหลังจากนั้นองค์กรวีร์จะมารับจันทรัชกลับวิมาน” เทพีณิชาเห็นความพยายามจึงยินยอมให้นิศานาถได้เจอกับจันทรัชโดยสร้างเงื่อนไขเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายที่จะตามมา



“ขอบน้ำใจท่านมากเทพีณิชา”



นางอัปสรรับใช้ได้นำทางนิศานาถมายังห้องตำรา คราแรกนิศานาถประหลาดใจยิ่งนักว่าเหตุไฉนนางฟ้าเหล่านี้ถึงได้พาตนมาที่นี่แทนลานกว้างอันมีไว้ให้เทพและเทพีตัวน้อยวิ่งเล่น แต่พอมาถึงหน้าประตูนิศานาถได้เห็นร่างเล็กสวมอาภรณ์สีเปลือกสังข์แทบกลืนกับฉวีวรรณงามผ่อง จมูกโด่ง ริมฝีปากแดงสดไม่ต่างจากตนและบิดา เว้นดวงตากลมดุจกวางกับคิ้วสวยได้รูปที่ได้มาจากนางดารา ไม่ผิดแน่…จันทรัช



“พวกข้าขอส่งท่านนิศานาถเพียงเท่านี้” นางอัปสรเอ่ยพน้อมค้อมคำนับก่อนจะพาดันออกไป



นิศานาถเยื้องย่างเข้าไปในห้องที่มีตำราคาถาและความรู้เบื้องต้นต่างๆสำหรับเทพวัยเยาว์เก็บไว้ แน่นอนว่ามันเป็นสถานที่แสนน่าเบื่อเพราะเช้าจรดบ่ายต่างร่ำเรียนแทบไม่มีพัก เมื่อได้พัก ได้เว้นว่างจากการเรียนก็ต่างพากันเล่น ยกเว้นจันทรัชที่มักใช้เวลานี้ในการเข้ามาอ่านตำราเพิ่มเติมที่เทพีณิชาไม่ได้สอน ห้องตำราจึงกลายเป็นโลกของจันทรัชเพียงผู้เดียว



“เทพน้อย ขอให้พี่นั่งกับเจ้าได้หรือไม่” น้ำเสียงทุ้มแฝงไปด้วยความใจดีดังขึ้นจากด้านหลังของจันทรัช ทำให้ผู้ถูกเรียกว่าเทพน้อยหันไปมองก็พบว่ามีเทวาวัยใกล้เคียงกับพี่ใหญ่ของตนยืนอยู่



“ได้ขอรับ” จันทรัชเอ่ยก่อนจะขยับตัวเพิ่มช่องว่างให้นิศานาถได้นั่งใกล้ๆ



“เจ้าชื่ออันใดหรือ พี่ชายนี้นามว่านิศานาถ” รู้ว่าดูจะเสียมารยาทที่เข้ารบกวนจันทรัชที่กำลังนั่งอ่านตำราแต่นิศานาถอยากทำทีเข้าหาจันทรัชเสมือนไม่เคยรับรู้เรื่องราวของเด็กน้อยข้างกายมาก่อน



“จันทรัชขอรับ” เจ้าของชื่อเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ไม่มีท่าทีหงุดหงิดจากการถูกรบกวน



“แล้วจันทรัชกำลังอ่านสิ่งใดอยู่เล่า ดูแล้วน่าสนใจไม่ใช่น้อยหรือมีคาถาอันใดที่ไม่เข้าใจก็บอก ‘พี่’ ได้” นิศานาถสังเกตเห็นตั้งแต่เข้าประตูแล้วว่าจันทรัชกำลังง่วนอ่านตำราและไม่บืมเน้นย้ำน้ำหนักเสียงตรงคำว่า ‘พี่’ อีกด้วย



“ข้าสนใจคาถาบทนี้ขอรับ” จันทรัชเลื่อนตำราให้นิศานาถดู นิ้วเล็กๆชี้ไปยังอักษร ‘คาถาพลางกาย’ คาถานี้ไม่ยากสำหรับนิศานาถแต่คงจะยากสำหรับเด็กเล็กอย่างจันทรัช



“ไยเจ้าถึงปรารถนาอยากเรียนคาถานี้เล่า เหตุใดไม่รอให้โตกว่านี้เสียหน่อย”



“เห็นทีข้าจักรอมิได้ขอรับ ถ้าพึงใจที่จะศึกษาเพราะเห็นว่ามีประโยชน์แก่ตัวข้า อีกทั้งข้ามักจะเล่นซ่อนแอบกับพี่กรวีร์ หากมีคาถานี้พี่กรวีร์คงหาข้าไม่เจอเพราะเจอทีไรก็มักจับข้ามาหอมจนแก้มช้ำ ข้าปวดแก้มยิ่งนัก” จันทรัชเล่าถึงสาเหตุที่ต้องการใช้คาถา เล่าไปพลางใบหน้าก็คล้ายเป็นลูกแมวไปพลาง น่าเอ็นดูเสียจริง หากศศินาถเป็นกรวีร์คงจะทำมิต่างกัน



“เจ้าน่ารักเยี่ยงนี้ หากพี่เป็นพี่ของเจ้าแล้วไซร้คงอดใจไม่ให้กอด ไม่ให้หอมคงจะไม่ได้ดอกหนา แต่ถ้าเจ้าอยากจะเรียนรู้พี่จะสอนคาถาให้เจ้า” นิศานาถกล่าวชมก่อนจะเสนอตัวเป็นอาจารย์ หัตถาใหญ่ลูบไปยังเกศานุ่มของจันทรัช



“จริงหรือ ท่านจะสอนท่านจริงหรือ” จันทรัชเอ่ยซ้ำด้วยไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน



“จริงสิ พี่ไม่มีความจำเป็นใดต้องโกหกเจ้าแต่…” นิศานาถเว้นคำเอาไว้ หมายแกล้งเทพน้อยมที่พักตราสลดลงอย่างเห็นได้ชัด คงกลัวว่าตนจะเรียกเก็บเงินเก็บทองเป็นแน่



“ขอให้พี่เป็นพี่ของเจ้า ขอให้เจ้าเรียกพี่ว่าพี่” ในเพลานี้ไม่มีสิ่งใดในโลกหล้าที่นิศานาถต้องการไปกว่าจันทรัชอนุชาในสายโลหิตจะเรียกตนว่าพี่



“ได้ขอรับ…พี่นิศานาถ”



เพียงคำสั้นๆกลับมีอิทธิพลต่อจิตใจถึงเพียงนี้ ดวงใจพองโตเต้นระรัวด้วยความตื้นตัน ความสุขเอ่อล้นจนมิอาจห้ามกาย ห้ามใจให้แสดงความรัก ฝ่ามือคว้าเอวเล็กแล้วรั้งร่างของจันทรัชให้นั่งบนตักก่อนสวมกอด ใบหน้าซุกลงบนบ่าเล็ก



“ขอบน้ำใจเจ้ามากจันทรัช…พี่ขอบน้ำใจเจ้ามาก” น้ำเสียงสั่นเครือคล้ายสะกดกลั้นก้อนสะอื้นทำให้จันทรัชแปลกใจไม่น้อย ไหนจะการกระทำกอดโอบนี้อีก ทว่าจันทรัชไม่คิดขัดขืนเพราะกายานี้ จิตใจดวงนี้รู้สึกอบอุ่นและพันผูก



เมื่อเสพสุขจากการกอดจนพอใจนิศานาถจึงเริ่มสอนคาถาพลางกาย เคล็ดลับของคาถานี้ไม่ใช่เพียงจดจำคำยืดยาวได้เท่านั้นแต่จะต้องมีใจตั้งมั่นระลึกถึงสิ่งที่ตนต้องการจะอำพลาง ยามใดที่สติหลุดลอยแม้เพียงเล็กน้อยคาถาจะคลายลงทันทีทันใด



“เก่งมากจันทรัช” นิศานาถกล่าวชมลูกศิษย์ผู้ซึ่งหายกลืนไปกับผนังหินอ่อน



“เก่งเพราะได้ครูดี” จันทรัชถ่อมตัว จากนั้นกลับคืนร่างปรากฏกาย



“แล้วเจ้าอยากเก่งยิ่งกว่านี้หรือไม่…น้องพี่”



“อยากขอรับ รัชอยากเก่ง” จันทรัชบอกความต้องการพลางกอดแขนพี่ชายคนใหม่ ทั้งเผลอแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นที่ไว้ใช้กับคนสนิทอีก ยิ่งทำให้นิศานาถหลงน้องชายเพิ่มขึ้นไปอีก



“พี่จะพาเจ้าไปวิมานของพี่ดีไหมเล่า ที่นั่นมีตำรามากมายให้เจ้าได้หยิบอ่าน” เพียงได้ฟังดวงตาของจันทรัชเปล่งประกายระยิบระยับดั่งมีหมู่ดาวนับแสนคอยส่องแสง นิศานาถหลงน้องชายมากขึ้นเป็นทวี



“ดีขอรับ พี่นิศานาถจะพารัชไปจริงๆใช่ไหม” จันทรัชถามน้ำเสียงเจื้อยแจ้วบ่งบอกว่าตื่นเต้นดีใจดัลิงโลดมากแค่ไหน



“พี่มิโป้ปดเจ้า หากแต่มิใช่วันนี้ น้องรอวันหน้าพี่ถึงจะพาน้องไป” นิศานาถเอ่ย จันทรัชก้มหน้าลงสีหน้าเศร้าลงจนเห็นได้ชัด คนเป็นพี่เห็นแล้วใจแทบร่วงถึงตาตุ่มไม่คิดว่าคนน้องจะเสียใจ



“จันทรัชพี่ขอโทษที่ไม่สามารถพาน้องไปได้ในวันนี้ อย่าได้เสียใจเลยหนา” นิศานาถยอบกายลงสวมกอด มือเรียวคอยลูบหลังของจันทรัชอย่างเบามือ



“รัชไม่โกรธพี่นิศานาถ รัชแค่กลัวว่าพี่นิศานาถจะไม่มาหารัชเหมือนคนอื่นๆ หลายคนเคยบอกรัชเช่นนี้แต่พอวันหลังก็ไม่พารัชไป บ้างก็มองรัชด้วยสายตาเย็นชา บางกระซิบกระซาบว่าไม่อยากเสวนากับลูกชู้อย่างรัชอีก ลูกชู้คืออันใดหรือ รัชถามเทพีณิชา พี่นางฟ้าก็มิตอบ ค้นหาตามตำราก็มิเคยเจอ ถ้าลูกชู้น่ารังเกียจและรัชเป็นดั่งที่เขาว่าพี่นิศานาถยังจะมาหารัชอีกหรือไม่” จันทรัชช้อนตามองใบหน้าที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่า นิศานาถไม่กล่าวอันใดแม้นในใจอยากจะไล่เทียวไล่สืบหาจัดการผู้ที่ทำให้จันทรัชต้องชอกช้ำ หากเวลานี้สิ่งทำได้เคลื่อนใบหน้าจรดริมฝีปากกับหน้าผากเนียนปลอบขวัญคนในอ้อมกอด



“จันทรัชน้องพี่จงเข้มแข็ง ใครว่าด่าทออย่าได้ใส่ใจ ใครไม่ต้องการน้องก็ช่างประไร จงรับรู้ไว้ว่าน้องยังมีพี่ที่รักน้อง พี่จะไม่ทอดทิ้งจะกลับมาหาจันทรัชคนดีไม่หนีหาย” นิศานาถให้คำมั่น ไม่ใช่เพียงคำมั่นต่อจันทรัชเท่านั้น ยังเป็นคำมั่นที่มีให้กับตนเอง



“พี่นิศานาถเอ่ยแล้วอย่าได้โป้ปดรัชนะ”



“พี่สัญญา ครานี้น้องอย่าได้เศร้าโศกาอีกเลย พี่อยากเห็นน้องยิ้มกว้างเมื่อได้รับรางวัลจากพี่” นิศานาถย้ำสัญญาให้จันทรัชสบายใจ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องไม่ให้จันทรัชคิดถึงเรื่องไม่ดีพวกนั้นอีก



“รางวัลหรือ…พี่นิศานาถจะให้รางวัลอันใดรัช” นิศานาถไม่ตอบ เทพารูปงามกลับร่ายคาถาเสกกำไลหยกขึ้นมาให้ลอยปรากฏอยู่ตรงหน้า กำไลหยกที่บิดาฝากไว้ให้กับจันทรัช องค์นิศานาถคว้าข้อมือเล็กที่พยายามขัดขืนไม่ยอมใส่



“พี่นิศานาถสร้อยเส้นนี้แลเป็นของวิเศษซ้ำยังมีค่า รัชเกรงว่ามันมิเหมาะกับรัช”



“ใครว่าไม่เหมาะสม สร้อยงามเช่นนี้เหมาะกับน้องเป็นที่สุด” นิศานาถใช้แรงที่มียื้อยุดฉุดแขนมาได้แล้วรีบสวมใส่สร้อยเส้นเล็กนี้ให้จันทรัช



“สร้อยเส้นนี้จะคอยปกป้องน้องจากอันตราย สวมเอาไว้อย่าได้ถอด แล้วก็พี่มีเรื่องประการหนึ่งจะขอกับน้อง…”



“พี่นิศานาถจะขอสิ่งใดหรือ…”



.

.

.



“จันทรัชน้องพี่วันนี้เกิดเรื่องดีกับเจ้าใช่หรือไม่” พระกรวีร์เอ่ยถาม เมื่อก้าวเข้ามายังห้องนอนของตนที่มีจันทรัชกำลังนั่งบนตั่งกว้าง ทั้งที่เพียงปรายตามองเล็กน้อยก็พอจะเดาออกจากสีหน้า แววตาของจันทรัช ไหนเอยจะรอยยิ้มบางๆ ดวงตาสดใสไม่ต่างจากดวงดาวสุกสกาว จันทรัชไม่เคยเป็นเช่นนี้เลยยามกลับมาจากวิมานงาช้าง ด้วยเพราะไม่มีใครยุ่งเกี่ยวและจันทรัชเองมักปลีกตนอ่านตำราเสียมากกว่า…เทพผู้เป็นพี่รู้ดี



“รัช…รัชจำคาถาใหม่ได้ขอรับ” จันทรัชตอบ หากพักตรางามก้มต่ำมองดูกำไลหยก ดูพลางยิ้มพลางจนกรวีร์สงสัยว่าคงมิใช่เพราะจำคาถาใหม่ได้กระมัง



“สร้อยเส้นนี้งามยิ่งนักน้องพี่เจ้าได้จากไหน” พระกรวีร์ก้าวเท้าโดยไว เข้ามาคว้าข้อมือเล็กไว้เพื่อดูเครื่องประดับชิ้นงาม ทว่าจันทรัชกลับขืนตัวชักมือออก



“จันทรัช…ไยมิตอบพี่แล้วเหตุใดถึงมิยอมให้พี่ได้ดู” สร้อยเส้นนี้มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาเสียแล้ว เห็นทีราตรีนี้จักต้องสอบสวนเอาคำตอบจากจันทรัชให้จงได้



“สร้อยนี้เป็นของรัชขอรับ” จันทรัชเอ่ยด้วยน้ำเสียแผ่วเบา เหตุที่ไม่ตอบเพราะจันทรัชไม่คิดจะโกหก อีกทั้งสัญญากับศศินาถไม่ให้บอกใครเกี่ยวกับสร้อยเส้นนี้



“ใครให้น้องกันเล่าบอกพี่ได้หรือไม่” กรวีร์จับไหล่เล็กแล้วขยับให้จันทรัชนั่งเผชิญหน้ากับตนโดยตรง



“รัชขออภัย รัชมิอาจบอกท่านพี่ได้”



“จันทรัช หากน้องไม่บอกพี่แล้วพี่จักรู้ได้อย่างไรเล่าว่าผู้ที่ให้นี้มีจุดประสงค์อันใด!!! ไม่แน่อาจจะมีมนต์มารแฝงมาทำร้ายเจ้าก็เป็นได้!!!” ห่วงแสนห่วง กลัวอนุชาจะโดนรังแก ยิ่งไม่นานมานี้กรวีร์เพิ่งรู้ว่าจันทรัชถูก ‘กนธี’ บุตรในสนมของสมุทรเทพรังแก กรวีร์แทบอยากลงไปใต้ท้องมหานทีชำระความเอาคืนเสีย



“ฮึก…พี่กรวีร์” เนตรงามร้อนผ่าวจนแดงก่ำ อัสสุชลค่อยๆคลอเบ้าแล้วรินไหล ปกติจันทรัชหาใช่เด็กเจ้าน้ำตาซ้ำยังเข้มแข็ง หากตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเลยสักคราที่ถูกผู้เป็นพี่เสียงดังใส่ เลยเกิดผลกระทบให้หฤทัยเจ็บปวด น้ำตาเพียงหนึ่งหยดเรียกสติของกรวีร์ให้คืนมาว่าตนเผลอพลั้งปากใช้เสียงแข็ง ทั้งตวาดดังลั่น…เพราะรัก เพราะหวง จึงห่วงสิ้นสติ



“จันทรัช..พะ…พี่” พระกรวีร์เอื้อมมือหมายรั้งกายเล็กมาสวมกอด ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัสเนื้อนิ่มของผู้ที่กำลังสะอื้นไห้ บานประตูห้องพลันเปิดออก



“ท่านแม่…ฮึก…ท่านพ่อ..ฮือ…” จันทรัชทิ้งแล้วซึ่งความสำรวมใดใด เทพตัวน้อยลงจากตั่งวิ่งเข้าสวมกอดนางดาราเทวีที่รีบเดินเข้าหาเพื่อสวมกอดบุตรคนสุดท้องไว้แนบอก



“ไม่ร้องนะคนดีของแม่” นางดาราเทวีอุ้มจันทรัชขึ้นมา จันทรัชซุกใบหน้าลงบนอกทำให้นางรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ยามเห็นลูกเจ็บเช่นนี้ คนเป็นแม่ก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน



“ดาราน้องพี่ น้องพาจันทรัชไปยังห้องของน้องเถิด พี่นี้จักพูดคุยกับกรวีร์ก่อน” พระพฤหัสบดีเอ่ย หากสายตามองไปยังกำไลหยกของจันทรัช เมื่อสิ้นประโยคของผู้เป็นสวามี นางดาราเทวีจึงอุ้มจันทรัชออกไป



“เกิดอันใดขึ้นกรวีร์ ไยเจ้าถึงได้เอะอะเสียงดังใส่น้องจนร้องไห้ออกมาเช่นนี้” พระพฤหัสบดีถามบุตรชาย แม้จักพอมีคำตอบในใจอยู่แล้ว



“ท่านพ่อลูกผิดเองขอรับ ลูกผิดที่คุมสติไม่อยู่เพราะเป็นห่วงน้อง”



“ห่วงน้องด้วยเรื่องอันใด” เทวารัศมีสีแสดถามต่อเพื่อหาความกระจ่าง



พระกรวีร์เริ่มระบายความรู้สึกเป็นห่วงของตนที่มีต่อจันทรัช ทำให้ระแวงกลัวจันทรัชจะถูกกลั่นแกล้งทำร้ายเป็นเหตุเมื่อเห็นกำไลหยกจึงพยายามสอบถาม แต่จันทรัชดื้อรั้นมิยอมตอบทำให้พระกรวีร์เป็นฝ่ายพลาดพลั้งทำร้ายจิตใจจนจันทรัชหลั่งน้ำตา



…‘ภาพใบหน้ายามร้องไห้ของจันทรัชยังคงตอกย้ำความผิด’…



“พ่อเข้าใจเจ้ากรวีร์แต่พ่อขอตำหนิเจ้าที่วู่วามใช้อารมณ์ให้เหนือสติ” พระพฤหัสบดีเปี่ยมด้วยเมตตาจึงมิได้ดุด่ารุนแรง ด้วยอยากให้บุตราได้ไตร่ตรองและรู้ถึงความผิด



“ลูกเข้าใจแล้วท่านพ่อว่าลูกนี้ผิด หากลูกยังคงห่วงกลัวว่ากำไลหยกนั่นอาจเป็นของอัปมงคลก็เป็นได้” พระกรวีร์เอ่ยออกมาจาหกใจไม่ปิดบัง แม้นกำไลหยกจะงดงามเพียงใดตนก็ไม่วางใจ



“กรวีร์เอ๋ย เจ้าอย่าได้กังวล กำไลหยกที่จันทรัชสวมใส่หาใช่ของอัปมงคลดั่งที่เจ้าคิด จากนี้ไปอย่าเก็บมาคิดเป็นกังวลอีก”



“แต่ท่านพ่อ…”



“ไม่มีแต่…กรวีร์เจ้าก็รู้ว่าวิมานของเรามีมนตราค่ายกลแห่งอาชาไนยทั้งแปดทิศ เจ้าคิดหรือว่าสิ่งชั่วร้ายใดใดจะกล้ำกรายเข้ามาได้” พระพฤหัสบดีเอ่ย พระกรวีร์สดับฟังแล้วก็ไม่มีท่าทีโต้ตอบอันใดออกมาอีก เทพผู้เป็นพ่อยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ากรวีร์นั้นมีท่าทีอ่อนลง



“พ่อว่าเพลานี้เจ้าควรไปหาน้อง มิรู้ว่ามารดาเจ้าจักปลอบได้หรือไม่ เจ้าก็รู้ดีว่าจันทรัชนั้นยิ้มง่ายร้องยาก หากได้ร้องก็ร้องมิยอมหยุด”



“เช่นนี้แล้วลูกขอตัวไปหาน้องก่อนนะขอรับ” กรวีร์เอ่ย พระพฤหัสบดีพยักหน้า มองลูกที่วิ่งออกไปทั้งที่สอนเสมอว่าควรสำรวมไม่วิ่งตึงตัง แต่รัติกาลนี้พระพฤหัสบดีจะละเว้นโทษไว้เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ขบคิด ด้วยณานบารมีของพระพฤหัสบดีมีหรือจะไม่รู้ถึงที่มาที่ไปของสร้อยบนข้อมือจันทรัช



“จันทราเทพ…ข้าเข้าใจหัวอกของผู้เป็นพ่อ ข้าจะหลับหู หลับตาแสร้งไม่รับรู้เรื่องกำไลหยกนั่น”



“จันทรัช…จันทรัชน้องพี่ หันหน้ามาหาพี่เถิด พี่ขอโทษจันทรัช”



ใครเล่าจะคิดว่าจะได้เห็นเทพหนุ่มรูปงามอย่างกรวีร์นั่งคุกเข่าข้างเตียงพูดจางอนง้อเทพตัวเล็กที่นอนหันหลังกอดรัดนางนางดาราเทวีแน่นเป็นนานสองนาน ‘น่าเอ็นดูเสียจริง’ ไม่ว่าจะนางดาราเทวีเองหรือนางอัปสรผู้รับใช้ต่างลงความเห็นในทิศทางเดียวกัน



“ไม่เอา…พี่กรวีร์เสียงดังใส่รัช…ฮึก” คำตอบเปล่งออกมาผ่านน้ำเสียงอู้อี้



“พี่ขอโทษ…พี่เสียงดัง พี่ดุเพราะเป็นห่วงน้องอย่างไรเล่า จันทรัชหันมาหาพี่เถิดหนา หันมาเอ่ยวาจาว่าน้องนี้หายโกรธพี่” กรวีร์เอื้อมหัตถาลูบไล้แผ่นหลัง จันทรัชพอโดนอีกฝ่ายสัมผัสพลันขยับหนียิ่งสร้างความเสียใจให้กับคนเป็นพี่ที่โดนหมางเมิน



“จันทรัชไม่สงสารพี่หรือลูก พี่กรวีร์นั่งคุกเข่าขอโทษลูกมาหลายเพลา ไหนจะพร่ำเอ่ยขอให้ลูกยกโทษให้อีก จันทรัชไม่ยกโทษให้พี่สักคราหรือว่าไม่รักพี่กรวีร์แล้ว” ถึงคราวนางดาราเทวีต้องยื่นมือไกล่เกลี่ย แม้นบุตรชายทั้งสองจักมีอุปนิสัยโดยรวมคล้ายกัน จิตใจดี มีมารยาทแต่ข้อแตกต่างก็มีเช่นกัน กรวีร์มีความแข็งนอกอ่อนใน ในขณะคนในอ้อมกอดภายนอกดูร่าเริงแจ่มใจ น่าทะนุถนอมกลับอ่อนนอกแข็งใน ทั้งดื้อรั้น ดื้อเงียบ เหตุนี้กรวีร์ถึงได้ง้องอนจันทรัชจนล่วงเลยเวลานอน



“รัก…รัชรักพี่กรวีร์แต่รัชเจ็บที่ตรงนี้ด้วย” จันทรัชขยับออกห่างนางดาราเทวีเล็กน้อย ก่อนชี้นิ้วไปที่อกซ้าย พระกรวีร์ได้เห็นเป็นใจเสีย พักตราเศร้าลงถนัดตา



“จันทรัชคนดี…พี่เองก็เจ็บไม่แพ้กันยามเห็นน้ำตาของน้อง หันมาหาพี่นะคนดี พี่จะรักษาให้น้องหายเจ็บ” น้ำเสียงสั่นเครือทำให้จันทรัชใจอ่อน เนื่องด้วยไม่ประสงค์ให้พระเชษฐาเสียใจ จันทรัชขยับกายหันมาหาพระกรวีร์



“รักษารัช” จันทรัชพูดออกมาสั้นๆ พระกรวีร์แค่ได้เห็นน้องกลับมามองตนก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าใกล้อกด้านซ้ายของน้อง



“เพี้ยง…ความเจ็บปวดจงหายไป” คาถาง่ายๆที่ใช้หลอกเด็กถูกนำมาใช้อีกครั้งและได้ผลเสียด้วย คนเจ็บหายเจ็บทั้งยิ้มกว้าง



“หายโกรธพี่แล้วใช่หรือไม่” พระกรวีร์ถาม คำตอบที่ได้ก็น่าพึงพอใจยิ่งจากอากัปกิริยาของจันทรัชที่พยักหน้าให้



“เช่นนี้ก็กลับไปนอนกับพี่”



“อื้อ…รัชง่วง รัชไม่มีแรงลุก” จันทรัชป้องปากหาว เด็กน้อยเกิดอาการเพลียจากการร้องไห้และเลยเวลานอนไปค่อนข้างมาก



“ไม่เป็นไรพี่จะอุ้มน้องเข้านอนเอง” ไม่รอให้จันทรัชเอื้อนเอ่ยสิ่งใด พระกรวีร์ลุกขึ้นยืนแล้วก้มตัวลงช้อนกายของจันทรัชขึ้นมาอุ้ม พอก้มดูเจ้าตัวดื้อก็หลับพริ้มซุกเข้ากับแผ่นอกเสียแล้ว บทจะหลับก็ง่ายเสียเหลือเกิน



“ดูสิร้องไห้จนเหนื่อย หมดฤทธิ์จนได้” นางดาราเทวีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม



“นั่นสิขอรับ ท่านแม่ลูกพาน้องเข้านอนก่อน ท่านแม่เองก็พักผ่อนนะขอรับ” พระกรวีร์บอกลานางดาราเทวีแล้วเดินกลับไปยังห้องของตน



พระกรวีร์ค่อยๆวางจันทรัชให้นอนลงบนเตียง จัดท่าทางให้น้องได้นอนสบายและไม่ลืมใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า เสร็จแล้วเทพหนุ่มก็นอนลงข้างกายรั้งจันทรัชเข้ามากอด จากนั้นโน้มใบหน้าเล็กน้อยเพื่อประทับริมฝีปากไปยังหน้าผากของจันทรัชดั่งที่ทำมาทุกๆคืนเพื่อเป็นเครื่องรางให้จันทรัชนอนฝันดี ทว่าก่อนที่ตนเองจะเข้าสู่ห้วงนิทราดวงเนตรนั้นจับจ้องไปยังกำไลหยกสีน้ำผึ้ง



…‘ถึงท่านพ่อจักบอกว่ากำไลหยกมิได้อันตรายทำร้ายน้อง หากพี่ไม่วางใจและใคร่รู้เสียเหลือเกินว่าใครกันหนอมอบให้เจ้า…แต่เอาเถิดวันพรุ่งพี่คงได้รู้’…



.



.



.



ทางด้านวิมานจันทรา…

“นิศานาถ ดึกดื่นเช่นนี้แล้วไยเจ้าไม่หลับนอน” จันทราเทพที่ออกจากการนั่งสมาธิได้ซักถามบุตรที่กำลังเลือกหยิบตำราคาถาที่วางกองไว้จนแทบจะทั่วทุกมุมห้อง



“ข้ากำลังคัดเลือกตำราขอรับท่านพ่อ” นิศานาถตอบทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาเลือก หนำซ้ำมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้างามไร้ซึ่งความเหน็ดเหนื่อย



“จะนำตำราไปไหนเล่าถึงได้ตั้งใจเลือกนัก”



“ท่านพ่อเพิ่งออกจากสมาธิข้าจึงไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับน้องในวันนี้”



“ถ้าจะให้พ่อคาดเดาคงไม่แคล้วเกี่ยวกับที่เจ้ากำลังเลือกตำราใช่หรือไม่”



“ใช่ขอรับท่านพ่อ น้องชอบอ่านตำราลูกจึงเลือกตำราจากวิมานของเรา ข้าคิดว่าจะนำตำราไปให้น้องอ่านและสอนน้องในวันพรุ่งนี้”











มาแล้วค่ะ มีการแก้ไขเล็กน้อยในส่วนของสร้อยข้อมือ ขอเปลี่ยนเป็นกำไลหยกนะคะ

อ่อ ตอนหน้าของจันทรัชแน่นอนคงมีศึกชิงน้องแน่ 5555

ส่วนนิยายตอนหลัก จะกลับมาแน่นอนค่ะ ขอเคลียร์งานก่อนนะคะ ตอนนี้วุ่นวายยาวมากกกกก

ท่านยุ่งขอแจ้งว่าช่วงนี้หายไป อัพเดทช้าหน่อยนะคะ พอดีมีงานเร่งเข้ามาเลยต้องเคลียร์เสียก่อน อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ คิดถึงทุกคนมากกกก



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านมาเม้น มาเป็นกำลังใจนะคะ วิจารณ์ ติชม ได้ตามสบายค่ะ ยุ่งอ่านหมดค่ะ ทุกคำเป็นแรงฮึดดด 5555



ป.ล. คิดถึง

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
กาลครั้งหนึ่งของจันทรัช

Author : Tan-Yung0209

File : 03.2



ไม่มีคราใดที่การรอคอยของจันทรัชจะมีหลากหลายอารมณ์ผสมอยู่ ทั้งพะว้าพะวง ทั้งหวาดกลัว ระคนปนเปไปกับความตื่นเต้น จนอดที่จะชะเง้อมองไปยังบานประตูแทบจะเป็นสิบรอบ ผิดกับวิสัยที่เรียบร้อยวางตัวดีและมักจะจดจ่อกับตำราในมือ หากวันนี้จันทรัชกลับทำตนมิสมกับความเป็นตนเอง



“เหตุใดพี่นิศานาถยังไม่มา หรือว่าจะทิ้งรัชเฉกเช่นผู้อื่น” จันทรัชพึมพำกับตนเอง แววตาตัดพ้อปนโศกดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก



“จันทรัช ไยน้องถึงเศร้าโศกมีใครทำอันใดน้องหรือ” แว่วเสียงที่รอคอยดังขึ้น จันทรัชผันหน้าไปตามเสียงพลันก็ยิ้มกว้าง ‘พี่นิศานาถ’ ได้มาหาตนตามสัญญา



“มิมีใครทำอันใดรัชดอกขอรับ”



“แล้วเหตุใดสีหน้าของน้องถึงฉายแววโศกเศร้ายิ่งนัก” นิศานาถถาม พลางนั่งลงเคียงกายาเล็กแล้วใช้มือลูบไล้ไปยังเกศาสีปีกกา



“รัชกลัวพี่นิศานาถไม่มาหารัช” จันทรัชตอบเสียงแผ่ว นิศานาถได้สดับฟังก็ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าชิดใกล้ปลายนาสิกจรดลงยังปรางค์นวล



‘ฟอด..’



“น้องพี่น่าเอ็นดูเช่นนี้ พี่หรือจะทิ้งน้องได้ลงคอ” การแสดงความรักแสนเรียบง่ายมาพร้อมกับความจริงใจที่แสดงออกไปผ่านถ้อยคำช่วยให้รอยยิ้มของจันทรัชปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง



“รัชดีใจเหลือเกินที่พี่นิศานาถเมตตาข้าถึงเพียงนี้ นอกจากพี่กรวีร์กับพี่ศนิก็มีพี่นิศานาถนี่แหละหนา ไม่คิดรังเกียจเด็กชาวป่าลูกกุญชรเช่นรัช” จันทรัชเข้าสวมกอดออดอ้อน นิศานาถได้ยินคราแรกก็อดแปลกใจมิใช่น้อยเมื่อจันทรัชเอ่ยถึงพระศนิผู้ไม่ชอบสุงสิงกับใครผู้นั้น หากบุตรแห่งจันทราเทพไม่คิดซักถามเพราะอยากจะใช้เวลาที่มีอยู่นี้พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับตนและจันทรัชเสียมากกว่า



“ก็รัชเป็นน้องพี่ ในอักษรจากนามของน้องเองก็มีความหมายไปในทิศทางเดียวกับนามของพี่”



“จริงหรือพี่นิศานาถ” จันทรัชถาม ท่าทางกระตือรือร้นคล้ายกระต่ายขนฟูเสียเหลือเกิน



“ใช่…จันทรัช หากตัดตัวสะกดออกไปเหลือเพียง จันทร (จัน-ทะ-ระ) ก็จะแปลว่าพระจันทร์ เช่นเดียวกับนามนิศานาถอันแปลว่าพระจันทร์หรือเป็นที่พึ่งในยามค่ำคืน” องค์นิศานาถอธิบายการเล่นคำเพื่อบอกความนัยอันเป็นสายใยบ่งบอกความสัมพันธ์



“แล้วถ้าเพลานั้นท้องฟ้าฉาบไปด้วยรัศมีแห่งอาทิตยาเล่า พี่นิศานาถจักเป็นที่พึ่งให้แก่รัชได้หรือไม่” จันทรัชถามใบหน้าเปื้อนยิ้ม นิศานาถรู้ทันทีว่าโดนน้องน้อยหยอกล้อเสียแล้วซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะนิศานาถอยากให้จันทรัชมีความสนุก ซุกซน เฉกเช่นเทพวัยเดียวกัน



“ไม่ว่ายามใดพี่จะเป็นที่พึ่งให้กับน้อง…พี่สัญญา” นิศานาถเอ่ย ขณะเดียวกันก็ยื่นนิ้วก้อยออกมาให้จันทรัชได้เกี่ยวก้อย พันธะสัญญาของสองน้องพี่จึงได้เริ่มขึ้น



“เช่นนั้นแล้ววันนี้รัชขอพึ่งพาพี่นิศานาถช่วยสอนคาถาบทใหม่ให้ได้หรือไม่เล่า” จันทรัชใช้คำพูดคำจาแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาดทำให้นิศานาถอดสรวลออกมามิได้ ใครกันช่างสั่งสอนอนุชาตรงหน้าให้เป็นเด็กรู้จักพูด



“ได้สิ เหตุใดจะไม่ได้” นิศานาถตอบ ก่อนจะเรียกตำราให้ปรากฏตรงหน้าของจันทรัช ผู้เรียนเห็นดั่งนั้นถึงกับตาลุกวาวเป็นประกาย



“ตำราหายากแลดูเก่าแก่เช่นนี้ รัชเปิดอ่านได้หรือขอรับ” จันทรัชตื่นตาตื่นใจจนมิอาจซ่อนเร้นได้ ทว่าก่อนจะหยิบจับตำราขึ้นมาอ่านก็มิวายถามผู้เป็นพี่



“ได้สิ เหตุใดจะมิได้ ในเมื่อพี่นี้เต็มใจเลือกหยิบให้น้องได้อ่าน เอาไว้วันหน้าหากมีโอกาสพี่จักพาจันทรัชคนดีไปเลือกอ่านตำราตามใจชอบ ณ วิมานของพี่ดีหรือไม่เล่า”



“เจ้าจักไม่มีโอกาสพาจันทรัชไปไหนทั้งนั้น นิศานาถ!!!”



ยังไม่ทันที่จันทรัชจะได้ให้คำตอบแด่นิศานาถ สุรเสียงอันมีความโกรธกริ้วเจือมาในน้ำเสียงดังขึ้น น้ำเสียงที่จันทรัชคุ้นเคยดีและมิอยากจะได้ยิน…ใช่ จันทรัชมิอยากได้ยินน้ำเสียงแสนเกรี้ยวกราดนี้ออกมาจาก ‘กรวีร์’ พระเชษฐาแห่งตน



“พะ…พี่กรวีร์” จันทรัชตกใจจนผวาตัวขึ้นเอ่ยนามเทพหนุ่มซึ่งกำลังเกรี้ยวกราดก้าวเท้าเดินเข้าหาตนและนิศานาถ



“มาหาพี่บัดเดี๋ยวนี้ จันทรัช!!!” ตะกอนอคติในจิตใจที่มีต่อบุตรของจันทราเทพส่งผลให้กรวีร์ใช้เสียงอันดังก้องเรียกน้องให้เข้าหา โดยหลงลืมไปเสียว่าการกระทำเช่นนี้ทำให้จันทรัชกลัวจนตัวสั่น มือเล็กๆกำชายภูษาสีเปลือกข้าวโพดเอาไว้แน่นจนนิศานาถสัมผัสได้ถึงความกลัวนี้



“กรวีร์ หยุดยืนเสียตรงนั้น” นิศานาถปรามกรวีร์



“เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาห้ามมิให้ข้าเข้าหาจันทรัช!!” กรวีร์เทพหาได้ฟังจันทราบุตร หนำซ้ำยังเร่งฝีเท้าเข้าหาจนใกล้จะถึงตัว



“สิทธิ์ของความเป็นพี่อย่างไรเล่า เจ้ามิเห็นหรือไรว่าเจ้ากำลังทำให้น้องกลัว” ใจหนึ่งอยากเข้าไปประดาบสู้รบให้รู้แล้วรู้รอด ทว่านิศานาถข่มความโหโหโกรธาไว้สุดหุบเหวของหฤทัยมิให้กระทำสิ่งใดกระทบกับจิตใจเปราะบางประดุจดวงแก้วของจันทรัช สิ่งที่ทำได้ในเพลานี้คือโอบบ่าเล็กที่กำลังสั่นไม่ต่างจากลูกนกให้แนบชิดกายตนให้มากขึ้น



แลเหมือนว่าคำตอบของนิศานาถเรียกสติของพระกรวีร์ได้ เมื่อได้นึกคิดเห็นความรู้สึกของน้องน้อยเป็นสำคัญแล้ว จึงได้ตระหนักว่าตนทำผิดต่อจันทรัชในเรื่องเดิมถึงสองครั้งสองครา ยามเห็นจันทรัชพยายามสะกดกลั้นอัสสุชล สะกดกลั้นเสียงสะอื้นมิให้เล็ดรอดจนพักตราแดงก่ำ ยิ่งทำให้พระกรวีร์รู้สึกผิดจับใจ



“จันทรัช…จันทรัชน้องพี่ พี่ขอโทษ” กรวีร์ยอบกายลงนั่งคุกเข่า แขนทั้งสองอ้าออกเตรียมรับร่างเล็กให้วิ่งเข้ามาสู่อ้อมอก จันทรัชมองดูกรวีร์สลับกับแหงนมองใบหน้างามของนิศานาถที่มีรอยยิ้มประดับให้ ทั้งพยักหน้าเป็นการสนับสนุนการตัดสินใจของจันทรัช มือน้อยที่กำชายผ้าแน่นก็คลายออก ขยับกายย่างเท้าเข้าหาพระกรวีร์ที่ยิ้มรับ



“ข้าก็นึกว่าใครส่งเสียงดังเล็ดรอดออกนอกห้องตำราที่แท้บุตรแห่งพระพฤหัสบดีกับบุตรแห่งจันทราเทพเทพนี่เอง” แสงวารีเทพพี่เลี้ยงของกนธีเอ่ยแทรกขึ้นมา ทำให้จันทรัชชะงัก เทพทั้งสามจึงมองไปยังบานประตูก็พบว่ามีเทพมากมายซึ่งมารับบุตรตราและบุตรียืนอยู่แน่นขนัด



“อ่อ…ยังมีจันทรัช บุตรของใครกันเล่าจะนับเชื้อสายใดจะทางบิดาหรือมารดาดี เป็นลูกชู้นี่ช่างลำบากเสียเหลือเกิน จริงหรือไม่ทุกท่าน ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะดังก้อง คำพูดเย้ยหยันและจาบจ้วงทำให้กรวีร์และนิศานาถไม่พอใจ ผิดกับจันทรัชที่ชินชาแม้จะไม่เข้าใจก็ตามทีเพราะถูกเรียกขานลับหลังยามเทพณิชาหรือนางอัปสร ณ วิมานงาช้างไม่อยู่ด้วย



“หุบปากของเจ้าเสีย อย่าได้พ่นวาจาเน่าเหม็นเสียยิ่งกว่ามูลสุกรให้ข้าได้ยิน!!” พระกรวีร์ชี้หน้าผิดวิสัยเทพยดาผู้เคร่งครัดในมารยาท



“ข้ากล่าวความจริง ข้าผิดอันใดเล่า ใครก็รู้กันทั่วทั้งแดนสรวงค์ตลอดจนบาดาลนคร หรือแม้นอสุรโลกาเองก็รู้ว่าจันทรัชน้องของท่านเกิดจากมารดาท่านกับจันทรเทพบิดาของพระนิศานาถ แล้วไฉนจักต้องปิดบังกันหรือจะไม่ให้จันทรัชรับรู้” แสงวารีกล่าวต่อไปไม่นึกกลัว ยิ่งได้เห็นจันทรัชตัวสั่นเทิ้มน้ำตาอาบแก้มก็ยิ่งรู้สึกสะใจ เนื่องด้วยตนรังเกียจเทพน้อยผู้นี้ที่เก่งกาจเกินหน้ากนธีนายเหนือหัวของตน



“พี่กรวีร์…พี่นิศานาถ…จริงหรือไม่” จันทรัชเอ่ยถาม น้ำเสียงสั่นเครือจนแทบจะเอ่ยออกมาไม่เป็นประโยค หากทั้งกรวีร์และนิศานาถต่างนิ่งเฉย



“หากพี่ของเจ้าไม่ตอบ เจ้าลองถามเหล่าเทพที่อยู่ ณ ที่ตรงนี้ดูได้ เจ้าจะได้รู้ว่าข้าหาได้โป้ปดเจ้า”



“ข้ายืนยันว่าเรื่องที่แสงวารีกล่าวมาเป็นความจริง”



“ข้าเองก็ยืนยัน”



“ใช่ เจ้าเป็นลูกชู้ ลูกที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดถึงต้องไปอยู่ในท้องช้าง”



คำยืนยันถึงชาติกำเนิดของจันทรัชดังอื้ออึง ไม่ต่างจากฝูงผึ้งกรพือปีกดังหึ่งจนไม่รู้ว่าเสียงใคร เว้นแต่ความจริงที่เป็นเรื่องต้องห้ามได้ถูกเผยออกมา ตามด้วยเสียงสะอื้นไห้แทบขาดใจของจันทรัชเพียงเท่านี้ความอดทนของนิศานาถผู้แสนจะใจเย็นก็มลายหายสิ้น



“เงียบ!!! หุบปากเน่าหนอนของพวกเจ้าบัดเดียวนี้!!!” เพียงวาจาคงไม่อาจห้ามเทพอันธพาล…นิศานาถรู้ดี หัตถาที่เคยว่างเปล่าปรากฏหอกน้ำแข็งจึงกำมันเอาไว้มั่นก่อนจะขว้างมันออกไป



‘ฟึบ!’



‘เปรี๊ยะ!!’



ปลายหอกแหลมคมปักเข้ายังบานประตูสลัก ด้วยแรงและอานุภาพของอาวุธวิเศษทำให้เกิดรอยร้าวจนทั่ว เฉียดกายหยาบของแสงวารีไม่ถึงคืบ ความเงียบได้เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง



“เงียบก็ดี หากไม่เงียบเห็นทีพวกเจ้าจะไม่ได้เห็นเพียงหอกน้ำแข็งของนิศานาถ แลจะมีบุญได้สัมผัสดาบของข้าด้วย” พระกรวีร์เอ่ยออกมาอย่างขุ่นเคือง ดวงตาจ้องมองคอยจดจำใบหน้าของมารผู้สวมหน้ากากเทวดาไว้



พอถูกขู่และรู้ว่าอยู่ต่อไป พูดต่อไป รังแต่จะเรียกภัยเข้าสู่ตัวก็ต่างรีบแยกย้ายออกไปคนละทิศคนละทาง กรวีร์สูดลมหายใจเข้าลึกเท่าที่จะลึกได้ นิศานาถเองก็หลับตาทำสมาธิเรียกสติของตนให้เป็นปกติ



“จันทรัชน้องฟังพี่…จันทรัช!! จันทรัช!!” นิศานาถหันหลังกลับไปเพื่ออธิบายเรื่องราวให้จันทรัชฟัง ทว่าจันทรัชหาได้อยู่ในหอตำราเสียแล้ว พระกรวีร์เองพอได้ยินเช่นนั้นพลันใจหาย…จันทรัชหายไป



“เจ็บใจยิ่งนักเพราะพวกนั้น จันทรัชถึงได้…”



“กรวีร์อย่ามัวแต่ถือโทษใคร ในยามนี้ข้าว่าเราสองเร่งให้ทหารตามหาจันทรัชก่อนเถิด”



นับได้ว่าตั้งแต่สงครามระหว่างพระพฤหัสบดีกับพระจันทร์ นี่เป็นครั้งแรกที่กรวีร์เห็นด้วยกับนิศานาถและพยายามก้าวข้ามอคติร่วมมือกับอีกฝ่ายเพื่อตามหาจันทรัชน้องผู้เป็นน้อง



‘จันทรัช…น้องอยู่ที่ใดกัน’



‘จันทรัชกลับมาหาพวกพี่เถิด’



เหล่าทหารกล้าแทบทั้งวิมานแก้วมุกดาและวิมานบุษราคัมต่างเร่งออกตามหาจนสรวงสรรค์สะเทือน พระพฤหัสบดีที่กำลังสอนเหล่าศิษย์ต้องเป็นอันยกเลิกเมื่อรู้เรื่องราว นางดาราเองทราบข่าวการหายตัวไปของจันทรัชถึงกับสลบล้มพับไป ด้านจันทราเทพเองก็ยอมผิดกฏ ฝืนบทลงโทษออกจากวิมาน



“ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ออกไปเลยเรื่องนี้ข้าเองมีส่วนผิด” นิศานาถซึ่งกำลังเกณฑ์เทวดาใต้บัญชาเอ่ยกับผู้เป็นบิดา



“หากเจ้าผิด พ่อนี้จะไม่ผิดหรือ ด้วยตัวพ่อนี้เป็นสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ต่อให้ครานี้พ่อจะต้องรับโทษทัณฑ์เพิ่มพ่อก็ยินดี ขอเพียงให้ได้พาตัวน้องกลับมา” พระจันทร์เอ่ย นิศานาถเมื่อรู้ว่าไม่สามารถห้ามได้จึงยินยอมไม่คิดขวาง ก่อนที่ทั้งสองจะนำพลออกจากวิมานตามหาจันทรัช



การออกตามหาจันทรัชนั้นยากเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก ใครจะคิดเล่าว่าเทพตัวเล็กจะหายตัวไร้ร่องรอย ส่วนหนึ่งมาจากความเฉลียวฉลาดเรียนรู้คาถาได้ไว มิเช่นนั้นคงไม่หายตัวและพลางกายได้เก่งกาจจนหามีผู้ใดพบเจอได้



จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วยาม ท้องนภาฉาบทาไปด้วยสีนิล ไร้ซึ่งเงา ไร้ซึ่งเสียง ไร้ซึ่งเบาะแสที่จะนำไปถึงตัวของจันทรัชและการนำทหารเทวัญของสองวิมานกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนผู้ครองบัลลังก์เนื้อเหม ‘พระผู้สร้าง’ ต้องเรียกประชุมเทพอัฐเคราะห์มายังสภา



“ท่านพ่อ เหตุใดค่ำมืดเช่นนี้พระผู้สร้างถึงได้เรียกท่านพ่อไปเข้าเฝ้า” พระศนิถามผู้เป็นบิดาที่กำลังจะออกจากวิมาน



“พ่อคิดว่าคงเพราะเหตุที่พระพฤหัสบดีและพระจันทร์นำทหารออกจากวิมานเป็นจำนวนมาก” พระเสาร์ตอบ



“เทพทั้งสองจักทำสงครามอีกระลอกกระนั้นหรือ”



“หาเป็นเช่นนั้นไม่ เทพทั้งสองออกตามหา ‘จันทรัช’ ที่หายตัวไปหลังรู้ความจริงเรื่องชาติกำเนิด พ่อคิดว่าการที่พ่อถูกเรียกตัวไปคงไม่แคล้วต้องช่วยออกตามหา” พระเสาร์ตอบ จากนั้นก็ขึ้นขี่พยัคฆ์ทมิฬออกจากวิมานสถาน



“จันทรัชเจ้าหายไปไหนกัน”



.



.



.



“ฮึก…ฮือ...” ร่างอรชรบอบบางกอดเข่าคุดคู้ยังพลับพลาชั่วคราวที่สร้างเอาไว้พอกันแดดกันฝนแต่มิได้กันไว้ซึ่งลมหนาว จันทรัชปล่อยใจให้จมลงไปยังบ่อแห่งความโศกา ปล่อยน้ำตาให้รินไหล เสียงสะอื้นดังออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใด ก่อนจะหยุดร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงของสิ่งมีชีวิตกำลังใกล้เข้ามา



…‘อาจจะเป็นสัตว์ร้ายมีเขี้ยวเล็บหรืออสุรายักษี’…



คิดเช่นนั้นแล้วจันทรัชจึงรวบรวมสติเท่าที่จะทำได้ร่ายคาถาอำพลางกายซ่อนตนในพลับพลา



"จันทรัช!!!...จันทรัช!!! เจ้าอยู่ที่ใดกัน" พระศนิเรียกหา ความร้อนใจกัดกินอารมณ์แสดงออกผ่านน้ำเสียงเมื่อพร่ำเรียกพร่ำหาเท่าใด เจ้าของนามก็มิให้เห็นแม้แต่เงา ความห่วงหากลัวว่าเทพตัวน้อยจะเป็นอันตรายก่อตัวขึ้นมาในจิตใจ



'จันทรัช...ออกมาเถิด น้ำตาของเจ้า ข้านี้จะเป็นผู้เช็ดให้'



หลังจากรับรู้เรื่องราวว่ามีเทพชั้นเลวบอกความจริงอันทำร้ายจิตใจจันทรัช พระศนิก็โกรธจนตัวสั่น จิตใจเทพเหล่านั้นทำด้วยอะไรถึงได้กล่าววาจาเป็นอาวุธกรีดแทงจิตใจของเด็กที่ไม่ประสีประสา พระศนิอยากจะเอาดาบตัดลิ้นเสียให้ไม่ต้องพูดสิ่งใดออกมาได้อีกแต่คิดว่าการทำโทษเทพเหล่านั้นไม่สำคัญเท่าการเจอตัวของจันทรัช



บุตรแห่งพระเสาร์เดินทางจนทั่วไม่เว้นแต่โขลงพญาคชสารผู้ดูแลจันทรัชเมื่อยามแรกเกิด พอไปถึงก็ได้รู้ว่ากรวีร์และนิศานาถเองก็มาสอบถาม ทำให้บรรดาคชสารแบ่งกำลังแยกกันตามหาจันทรัช หากหากันทั่วไพรวัลย์ก็ยังไม่เจอ



เว้นแต่…สถานที่ลับซึ่งมีเพียงศนิเทพและจันทรัชเท่านั้นที่รู้



“พี่ศนิ…ฮือ…พี่ศนิ” เมื่อรู้ว่าผู้มาเยือนหาใช้สัตว์อสูรที่ไหนแต่เป็นพี่ชายที่ตนไว้วางใจ เป็นที่พึ่งทุกครั้งในยามลำบาก จันทรัชจึงคลายคาถาส่งเสียงร้องหาเจ้าของพลับพลาร่วมกับตน



พระศนิได้ยินเสียงอันคุ้นเคย ทว่าผิดแผกไปจากเดิมเพราะทุกครั้งเจ้าของน้ำเสียงหวานใสมักส่งเสียงร่าเริงแต่วันนี้กลับสั่นเครือปนสะอื้นแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์เสียด้วยซ้ำ



“จันทรัช…” พระศนิผู้ใจแข็งเสียยิ่งกว่าศิลาบนวชิระภูผาถึงกับใจอ่อนยวบยาบ ยามเห็นพักตรางามอาบไปด้วยน้ำตา ดวงเนตรและปลายจมูกรั้นแดงก่ำ ริมฝีปากเจ่อเผยออ้าเรียกขานตนแผ่วเบา



“พี่..ฮึก..พี่ศนิ…ฮือ” จันทรัชอ้าแขนออกมาบ่งบอกปรารถนาที่อยากจะได้จากอีกฝ่าย



‘หมับ’ ไม่ช้านานร่างเล็กก็ถูกสวมกอด ทั้งถูกอุ้มขึ้นมาให้นั่งบนตัก ศีรษะนั้นก็ถูกฝ่ามือทาบลงให้ซุกตรงแผงอกกว้าง ใครจะเชื่อว่าศนิเทพจะเป็นฝ่ายเข้ากอดโดยไม่คิดลังเลด้วยปกติแล้วผู้ที่เข้าหาคือจันทรัช



“การหลั่งน้ำตาออกมาทำให้เจ้ารู้สึกดีหรือไม่” พระศนิเอ่ยถามพลางลูบเกศาปลอบประโลมไปด้วย



“ฮึก…ไม่ขอรับ”



“เช่นนั้นก็หยุดร้องเสีย ร้องจนใบหน้าของเจ้าเปียกชุ่มไม่ต่างจากต้องหยาดพิรุณรู้หรือไม่” ไม่บ่อยครั้งนักที่พระศนิจะใช้น้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะใช้นิ้วโป้งคอยเกลี่ยน้ำตาให้กับเทพตัวน้อย จันทรัชจึงกลั้นสะอื้นพยายามกลืนความโศกคืนกลับไม่ปล่อยออกมา



“เก่งมาก เช่นนี้แล้วข้าจะพาเจ้ากลับไป รู้หรือไม่ว่าเจ้าสำคัญถึงขนาดพระผู้สร้างต้องเรียกตัวเทพอัฐเคราะห์เข้าประชุม”



“ไม่ไป…รัชไม่ไป” จันทรัชเอ่ย แล้วโอบคอเอนศีรษะในนอนบนบ่าแทนซุกอก ถึงคราวดื้อใครจะให้ทำอะไรจันทรัชก็ไม่ทำ



“คิดว่าออดอ้อนข้าแล้วข้าจะใจอ่อนหรือไร” พระศนิถามจันทรัชที่พฤติกรรมไม่ต่างจากวิฬาร



“ฮึก…รัชไม่กลับไป…รัชเป็นเด็กที่เกิดมานำความลำบากให้แก่ผู้อื่น…ฮือ” จันทรัชร้องไห้อีกครั้งหลังจากที่เงียบได้ไม่ทันได้เคี้ยวหมากแหลก



“ผู้อื่นที่เจ้ากล่าวอ้างคือผู้ใดกัน” พระศนิถาม



“ท่านพ่อ…ไม่สิ พระพฤหัสบดี ท่านแม่ พี่กรวีร์ พี่นิศานาถหรือจะเป็นพระจันทร์พ่อของรัชเองหรือจักเป็นแม่ช้างที่ต้องรับภาระเลี้ยงดูรัช…ฮือ” จันทรัชเอ่ยออกไปดั่งใจนึกคิด พระศนิได้ฟังพลันส่ายหน้าเล็กน้อย



“เจ้าเด็กโง่เอ๋ย สิ่งที่เจ้าเอ่ยมาพวกเขาล้วนเคยบอกเจ้าหรือไร” พระศนิถาม คำตอบที่ได้รับคือเสียงสะอึกสะอื้นเท่านั้น



“เจ้ามิตอบข้าแสดงว่าคงไม่มีใครเอ่ยวาจาดั่งที่เจ้าว่า เช่นนี้แล้วข้าจะพาเจ้ากลับไปถามพวกเขาให้รู้ชัดกันไปเสียเลย” พระศนิเอ่ยแล้วลุกขึ้นยืนโดยอุ้มจันทรัชด้วยกรแกร่งเพียงข้างเดียว



“พี่ศนิ ถ้าหากเป็นดั่งที่รัชว่า…รัช…รัชจะทำเช่นไร” จันทรัชนึกมองความจริงในแง่ลบใจดวงน้อยก็คล้ายจะแตกสลาย



“เจ้าก็มาอยู่กับข้า มาเป็นน้องข้า เป็นคนของข้า” แม้นสุรเสียงที่เปล่งออกมาจะดูแข็งๆไม่นิ่มนวลแต่อย่างใด ทว่าจันทรัชกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นไม่ต่างจากเจอแสงรุ่งอรุณในฤดูเหมันต์ มือเล็กเช็ดน้ำตาของตนเองอย่างลวกๆแล้วคลี่ยิ้มออกมา



“ฮึ…ยิ้มได้แล้วหรือ” พระศนิเลิกคิ้วเล็กน้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ร้องไห้ไม่หยุด บัดนี้กลับยิ้มออกมา



“ขอรับ ขอบน้ำใจพี่ศนิมากที่ใจดีกับรัชแต่หากจะใจดีกว่านี้ ช่วยหอมแก้มรัชได้หรือไม่”



“เจ้านี่มัน…พอเห็นข้าพูดดีหน่อยก็อ้อนวอนขอโน่น ขอนี่”



“ก็ทุกครั้งเวลารัชร้องไห้แม่ช้างจะเอางวงมาจุ๊บแก้มรัช ท่านแม่หรือพี่กรวีร์เองก็เช่นกัน พอโดนหอมแก้มรัชรู้สึกว่าตัวเองยังคงเป็นที่รักและสบายใจมากขึ้น แต่ถ้าพี่ศนิไม่สะดวกใจ…อ๊ะ!! พี่ศนิ!!!”



“สบายใจขึ้นหรือยัง คราวนี้กลับขึ้นไปกับข้าอย่าได้อิดออดเข้าใจหรือไม่”



“อื้อ…ขอรับ” จันทรัชตอบแล้วรีบซุกใบหน้าซ่อนแก้มนวลที่แดงปลั่งด้วยความเขินอาย



…‘เหตุใดรัชถึงรู้สึกเขินพี่ศนิด้วย ทั้งที่ตอนพี่กรวีร์กับพี่นิศานาถหอมแก้ม รัชไม่รู้สึกเช่นนี้’…



ด้านพระศนิเองก็อุ้มเจ้าตัวยุ่งของตนออกจากพลับพลา จากนั้นผิวปากเรียกพยัคฆ์สัตว์พาหนะของตนให้พาไปยังสภาเทวัญ ในระหว่างการเดินทางทั้งสองก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใดออกมา ผู้หนึ่งดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา ผู้หนึ่งกำลังดำดิ่งในห้วงความคิด



…‘เห็นทีการได้หอมแก้มเจ้ามิได้ทำให้เจ้าพึงใจเพียงฝ่ายเดียว…จันทรัช กลิ่นดอกโมกจากกายเจ้าเองแลทำให้ข้าสบายใจเช่นเดียวกัน’…




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
(ต่อ)


.



.



.



“หากอีกหนึ่งชั่วยาม ทหารของพระพฤหัสบดีและพระจันทร์มิสามารถตามหาจันทรัชได้แล้วไซร้ ข้าจักขอให้เหล่าเทพอัฐเคราะห์ช่วยกันตามหา มีผู้ใดขัดข้องหรือไม่”



“ไม่มีพะยะค่ะ!!!”



ใครเล่าจะกล้าขัดคำสั่งของผู้เป็นใหญ่ในไตรภูมิ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดพระผู้สร้างถึงให้ความสำคัญกับจันทรัช ถึงกับเรียกเทพอัฐเคราะห์ให้มารวมตัวกันในราตรีนี้



“หลายท่านคงจะคับข้องใจว่าไยข้าถึงได้ให้ออกตามหาจันทรัช ไว้เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมพวกท่านจักรู้เองว่าเด็กผู้นี้สมควรยิ่งที่พวกเราต้องรักษาไว้” เมื่อพระผู้สร้างตรัสออกมาเช่นนี้แล้ว เทพทั้งหลายในท้องพระโรงต่างคิดว่าจันทรัชคงมีความสำคัญจริงๆ เห็นทีหลังจากเจอตัวคงต้องจับตาดูเสียแล้ว เว้นแต่พระพฤหัสบดีและพระจันทร์ที่กำลังนั่งปั้นหน้าใส่กันไม่ถูก นับตั้งแต่สงครามจบลงก็หาได้พบเจอกันอีกเลย



…‘ใครกันช่างตระเตรียมแท่นประทับให้นั่งประจัญหน้ากันเช่นนี้’…



“เป็นเพราะข้า…เป็นเพราะข้าที่อยากเจอน้องทำให้เรื่องราววุ่นวายถึงเพียงนี้” นิศานาถซึ่งนั่งเคียงข้างบิดากล่าวโทษตัวเอง



“เป็นเพราะข้าต่างหากเล่าที่ดื้อดึงอยากรู้ว่าใครคือเจ้าของกำไลหยก ทั้งกีดกันจันทรัชกับเจ้าทั้งที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันจนเกิดเหตุการณ์เช่นนี้” พระกรวีร์เอ่ยขึ้นหลังจากนั่งไตร่ตรองและยอมรับว่าตนเองมีส่วนผิด



“ข้ารู้ว่าเจ้าหวงน้อง…ข้าต่างหากที่ผิด”



“ข้าต่างหากเล่าที่ผิด”



กลับกลายเป็นว่าเพลานี้พระกรวีร์และพระนิศานาถต่างโต้เถียงยื้อแย่งความผิดมาเป็นของตนจนผู้เป็นพ่อของทั้งสองต้องรีบปรามเนื่องด้วยอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระผู้สร้าง



“ข้าอยากจะเห็นหน้าหลานยิ่งนักว่าจะน่ารัก น่าเอ็นดูเพียงใด ทั้งนิศานาถ ทั้งกรวีร์ ถึงได้โต้เถียงกันเพียงนี้” พระศุกร์เอ่ย พยายามสร้างสถานการณ์ให้ผ่อนคลายขึ้น



“พระผู้สร้างพะยะค่ะ…พระศนิบุตรแห่งพระเสาร์ขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” ทวารบาลเข้ามาแจ้งถึงการมาของพระศนิ ทำให้พระเสาร์แปลกใจว่าเหตุใดโอรสผู้ชอบเก็บตัวถึงออกจากวิมานมาถึงที่นี่ได้



“ให้เข้ามา” สิ้นเสียงของพระผู้สร้าง พระศนิก็ย่างเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามายังภายในเทวสภา พลันสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องเทพหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังอุ้มเด็กชายซึ่งกำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว



“ขออภัยพระผู้สร้างที่กระหม่อมมิอาจทำความเคารพได้” พระศนิเอ่ย เนื่องด้วยอุ้มจันทรัชเอาไว้จึงทำได้เพียงค้อมศีรษะลงเท่านั้น



“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่าเจ้ากำลังอุ้มบุคคลที่พวกเราต่างตามหา เจ้าเองก็ไปนั่งร่วมกับบิดาของเจ้าเถิด” พระศนิอุ้มจันทรัชผ่านหน้าผ่านตาผู้เป็นพี่ทั้งสองไป



“ส่งจันทรัชมาให้ข้า!!” ทั้งกรวีร์ ทั้งนิศานาถเอ่ยออกมาพร้อมกันเสียงดังพอที่จะทำให้…



“อื้อ…พี่ศนิ รัชอยู่ที่ไหน” จันทรัชตื่นขึ้นมา มือนั้นขยี้เปลือกตาไล่ความงัวเงียแล้วไล่สายตามองไปโดยรอบก็เห็นว่าตนอยู่ในสถานที่อันไม่คุ้นเคย รวมถึงมีเทพมากมายดูสง่า รัศมีเจิดจ้าน่าเกรงขามยิ่งนัก ก่อนจะสบสายตากับพี่ทั้งสองและพระพฤหัสดี ส่วนเทพที่นั่งใกล้พี่นิศานาถของตนมีปิ่นหยกแกะสลักเป็นจันทร์เสี้ยวปักตรงมวยผม คงมิใช่ใครอื่นนอกเสียจากบิดาผู้ให้สายโลหิตแก่ตน…จันทรเทพ



“สภาเทวา เทพตรงหน้าซึ่งประทับยังบัลลังก์นี้คือพระผู้สร้างและเทพที่เจ้าเห็นคือเหล่าเทพอัฐเคราะห์” พระศนิตอบ จันทรัชได้ยินดังนั้นจึงลงจากตักของพระศนิแล้วทำความเคารพต่อเทพผู้ยิ่งใหญ่รวมถึงเหล่าเทพอัฐเคราะห์ ด้วยกริยาท่าทางนอบน้อมจึงไม่ยากที่เทพทั้งหลายจะเอ็นดูจันทรัชและเข้าใจทันทีว่าทำไมพระกรวีร์กับพระนิศานาถถึงได้หวงเป็นนักหนา



“จันทรัช เหตุใดเจ้าถึงไปนั่งกับพระเสาร์และพระศนิ มานั่งกับพี่เถิดหนา” นิศานาถเอ่ย



“จันทรัชต้องนั่งกับข้า!!” พระกรวีเอ่ย



จันทรัชมองพระเชษฐาทั้งสองก่อนจะก้มใบหน้าลง น้ำตาที่เหือดแห้งหยดลงหลังฝ่ามืออีกครั้ง ทำให้พระศนิต้องรั้งเอวเล็กมากอด



“พวกเจ้าทั้งสองหยุดเอ่ยอันใดออกมาก่อน ข้าอยากให้พวกเจ้าฟังน้องของเจ้าเสียหน่อย หากเถียงกันไปมา ยื้อแย่งหวงน้องเช่นนี้แล้วไม่แคล้วจันทรัชจะหนีพวกเจ้าไปอีกรอบ ดูสิเพลานี้น้องของเจ้าร้องไห้ ทั้งที่ข้านั้นทั้งกอด ทั้งหอมแก้ม ปลอบประโลมอยู่เสียพักใหญ่กว่าจะหยุดร้องยอมให้ข้าพามาที่นี่” นี่คงจะเป็นการพูดที่ยาวที่สุดของพระศนิก็เป็นได้ ทว่าทั้งกรวีร์กับนิศานาถกลับได้ยินเพียงคำว่ากอด คำว่าหอมแก้มเท่านั้น เพียงเท่านี้คนหวงน้องก็ตัวสั่นแทบจะคุมอารมณ์ไม่อยู่



“จันทรัชเจ้าจะกล่าวสิ่งใด” พระผู้สร้างตรัสถามแทรกขึ้นมา จันทรัชจึงเงยหน้าขึ้นและเช็ดน้ำตาอีกครั้ง



“ก่อนอื่นกระหม่อมขออภัยพระองค์ตลอดจนเทพอัฐเคราะห์ที่ทำให้เดือดร้อนต้องออกตามหาทั้งที่เป็นเวลาพักผ่อน” จันทรัชเอ่ย



“ข้าไม่ให้อภัยเพราะมิได้ถือโกรธอันใดเจ้า” พระผู้สร้างเอ่ย



“ข้าเองก็เช่นกัน”



“ข้าก็ด้วย”



เมื่อพระผู้สร้างและเทพอัฐเคราะห์ต่างไม่ถือโทษโกรธเคืองทำให้จันทรัชยิ้มออกมา จากนั้นจึงเดินไปหยังลาดพระบาทนั่งลงตรงกลางระหว่างพระพฤหัสบดีและพระจันทร์ หากสายตาจ้องมองไปยังบานประตูตรงหน้าไม่สบตาผู้ใด



“รัชมีเรื่องจักถามพวกท่าน ได้โปรดอย่าได้โป้ปด กล่าวสิ่งเท็จออกมาจะได้หรือไม่”



“กล่าวมาเถิดพ่อจะกล่าวความจริงทุกประการ”



“พ่อเองก็จะไม่โกหกเจ้า”



“ตัวข้านี้เกิดมาจากความผิดพลาด เกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจใช่หรือไม่…จันทรเทพ” เหมือนมีศรมาปักทะลุอก คำถามอันแสดงถึงความคิดของลูกบ่งบอกถึงความรู้สึกได้ดี ไหนเล่าจะคำเรียกขานที่มิได้เอ่ยคำว่า ‘พ่อ’ ออกมาจากปาก



“แม้ว่าเรื่องราวที่พ่อกระทำต่อพระพฤหัสบดีและดาราเทวีจักเป็นเพราะความคึกคะนองจนกลายเป็นตราบาป ความผิดพลาดในชีวิตของพ่อเกินกว่าจะให้อภัย แต่การถือกำเนิดของลูกนั้นกลับมิใช่ พ่อยินดีที่ได้รู้ว่ามีลูก ได้รู้ว่าลูกเติบโตแข็งแรง ได้รู้ว่าพระพฤหัสบดีมีเมตตารับลูกมาเลี้ยงดูแลอย่างดี ทั้งกรวีร์เองก็ไม่รังเกียจลูก ดังนั้นจันทรัชมิใช่ความผิดพลาดแต่เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อ”



“แล้วเหตุใด..ท่าน…ฮึก..ท่านพ่อไม่เคยมาหารัช” จันทรัชปล่อยโฮ เด็กก็ยังเป็นเด็กยังคงคิดน้อยใจอยู่ดี



“ท่านพ่อถูกลงโทษไม่ให้ออกนอกวิมาน แม้แต่ตอนนี้เองก็ยังต้องรับโทษแต่วันนี้ที่ออกมา ท่านพ่อยอมฝ่ากฏเพื่อตามหาน้อง การได้รู้เรื่องราวของน้องล้วนออกมาจากปากพี่หรือเทพผู้อื่นมาเล่าให้ฟัง” นิศานาถตอบแทนผู้เป็นพ่อ ก่อนจะขยับกายลงไปนั่งกอดจันทรัชเอาไว้โดยมีกรวีร์เองกอดปลอบอีกหนึ่ง



“ข้าขอโทษท่านพ่อที่รัชน้อยใจท่าน” จันทรัชเอ่ย



“พระพฤหัสบดี ข้านี้ขอบน้ำใจท่านที่ดูแลข้ามาตลอด แม้นตัวข้าอาจจะเป็นเสี้ยนหนามตำใจท่าน เป็นบุตรของผู้ที่เคยเป็นศัตรูกับท่านแต่ท่านยังไว้ชีวิตข้า” พระพฤหัสบดีได้ฟังถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่คิดว่าลมปากจากผู้อื่นจะมีอิทธิพลต่อจันทรัชเช่นนี้ ถึงได้กล่าววาจาห่างเหินทั้งที่ตนเองไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์



“ไยเจ้าถึงเอ่ยเช่นนี้ เรียกข้าว่าพ่อเถิด ตัวพ่อนี้หาได้คิดว่าเจ้าเป็นหนามตำใจ สำหรับพ่อเจ้าคือลูกคนหนึ่งหาใช่ใครอื่น มีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่ากรวีร์”



“แล้วเหตุใดถึงต้องเอาตัวข้าไปไว้ในท้องช้างด้วยเล่า”



…‘ใช่ เจ้าเป็นลูกชู้ ลูกที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดถึงต้องไปอยู่ในท้องช้าง’…



“เพราะดาราเทวีแม่ของเจ้านั้น คราตั้งครรภ์เจ้ากลับป่วยไข้ นางและพ่อเกรงจะเป็นอันตรายแก่เจ้าจึงได้นำตัวเจ้าไปไว้ในท้องของนางกุญชรอันเป็นสหายของพ่อเอง”



“ใช่ จันทรัช ถึงพี่ยังเล็กแต่พี่จำได้ว่าท่านแม่เป็นไข้จนแทบไม่มีแรงลุกนั่ง ท่านพ่อจึงต้องนำน้องออกมาแล้วไปฝากแม่ช้างของน้อง” พระกรวีร์ยืนยันอีกเสียง



“รัชเข้าใจแล้ว…รัชไม่มีสิ่งใดค้างคาใจแล้ว” จันทรัชเอ่ย ทำให้ทุกคนโล่งใจ เท่ากับว่าทุกอย่างคลี่คลายและจากนี้ไปคงมีแต่ความสุขตามมาแทนที่ความเศร้าโศก



ทว่ากลับมีหนึ่งปัญหาตามมา…



“เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้ว ราตรีนี้กลับไปกับพี่แล้วพี่จะให้น้องกินขนมก่อนนอน” พระกรวีร์เอ่ย



“กรวีร์ ข้าอยากให้จันทรัชกลับไปกับข้า ข้าจะเล่านิทานให้น้องฟัง”



“เจ้าทั้งสองหยุดโต้เถียงกันเสียก่อน ข้าว่าให้จันทรัชสลับกันอยู่วิมานทั้งสอง วิมานละ ๗ ทิวาราตรีและคืนนี้ให้จันทรัชไปอยู่กับจันทรเทพก่อนเพราะสองพ่อลูกยังมิได้อยู่ด้วยกัน” พระอาทิตย์เอ่ย



“ข้าเห็นด้วยกับสุริยะเทพ” พระอังคารเอ่ย ส่วนเทพองค์อื่นต่างสนับสนุน



“จันทรัชลูกคิดเห็นเป็นเช่นไร” พระพฤหัสบดีถาม



“ลูกเห็นด้วยขอรับท่านพ่อ” จันทรัชตอบ ดังนั้นจันทรัชจึงคลานเข่าเข้าหาจันทรเทพก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้า



“ท่านพ่อ ๗ ทิวาราตรีนี้ ลูกรบกวนท่านพ่อแล้ว”



“ไม่รบกวนเลย พ่อดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้กอดเจ้า” ไม่ใช่เพียงเอ่ยวาจา พระจันทร์โน้มกายลงอุ้มจันทรัชมานั่งตักโดยมีนิศานาถลุกขึ้นมานั่งข้างกายแล้วร่วมกอด ส่วนพระกรวีร์พอได้เห็นก็สลดเพราะตนไม่ได้กอดน้องไปอีกหลายวัน



“กรวีร์ หากเจ้าอยากเจอน้องก็แวะเวียนมาได้หรือจักค้างคืนอาก็มิว่า” จันทรเทพเห็นท่าทีของกรวีร์ก็เข้าใจจึงเอ่ยชวน



“จริงหรือ…ข้าไปหาน้องได้จริงหรือ ท่าน…ท่านอา” กรวีร์ดีใจเป็นอย่างมาก จันทรเทพยิ้มอย่างเป็นมิตรดีใจที่กรวีร์ไม่ตั้งป้อมเกลียดตนยอมกลับมาเรียกตนว่าอาอีกครั้ง



“จริงสิ วิมานของข้ายินดีต้อนรับ” นิศานาถเอ่ย



“ท่านพ่อขอรับ ท่านพ่อจะอนุญาตให้ข้า…” พระกรวีร์เอ่ยถามบิดาของตน



“พ่ออนุญาต นิศานาถเองหากวันใดน้องมาอยู่ที่วิมานของลุง เจ้าจะมาหามาค้างคืนได้เช่นเดียวกัน” พระพฤหัสบดีเอ่ย



จากบทสนทนาของสองวงศาเมื่อครู่ทำให้เทพอัฐเคราะห์และพระผู้สร้างต่างเห็นสายสัมพันธ์ที่ดีขึ้น แม้จะเล็กน้อยแต่ก็ไม่ร้ายแรงดังแต่ก่อน ทำให้เข้าใจแล้วว่าจันทรัชนั้นสำคัญเพียงใด…



“จริงสิ แล้วรัชจะได้นอนกับพี่ศนิกี่ทิวาราตรี” จันทรัชเอ่ยขึ้นมาเล่นเอาคนถูกพาดพิงถึงแทบจะปั้นสีหน้าไม่ถูก ผิดกับพี่ชายจอมหวงทั้งสองที่สามัคคีกันกล่าวห้ามอย่างพร้อมเพรียง



“ไม่นะ!! นอกจากพี่ทั้งสอง เจ้าห้ามไปนอนกับใครทั้งนั้น!!” นิศานาถและกรวีร์เอ่ยออกมาโดยไม่รู้ว่ากำลังกระตุกหนวดเสือเข้าให้แล้ว



“จันทรัช หากเจ้าอยากจะมาวันไหนก็มาเถิด ข้าไม่ติดขัดอันใด วันใดที่เจ้ามานอนค้างอ้างแรมข้าจะกอดจะหอมแก้มเจ้าดั่งที่พี่เจ้าทำ”



“พระศนิ นี่เจ้า!!!”



พระศนิไม่สนใจเสียงของนิศานาถและกรวีร์ วรกายสูงใหญ่ยืนขึ้นก่อนจะทำความเคารพแก่พระผู้สร้างและเทพทั้งหลาย จากนั้นก็เดินออกไปจากสภาเทวาโดยไม่คิดว่าคำพูดของตนที่ต้องการนึกสนุกแกล้งเทพทั้งสองจะทำให้ชีวิตต้องผูกติดกับเทพตัวน้อยไปตลอดกาล













........................................

จบแล้วกับตอนที่ 3 เรื่องออกแนวต้มมาม่านิดๆ แต่จบแฮปปี้นะคะ หลายคนอาจจะงงกับตัวละคร ยุ่งจะขอชี้แจงนะคะว่าใครเป็นใครในเรื่องลิขิตรัก

จันทรัช = พระพุธ

พระศนิ = พระเสาร์(พ่อของนาคินทร์)

พระกรวีร์ =พระพฤหัสบดีที่ออกมาในเรื่องสาปรัก

พระนิศานาถ =พระจันทร์ที่ออกมาในฝันของนาคินทร์

ส่วนพระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระจันทร์ พระผู้สร้างและเทพองค์อื่นๆ คือหมายถึงรุ่นพ่อๆเขาล่ะค่ะ พระผู้สร้างคนนี้ก็พ่อของพระผู้สร้างคนปัจจุบันของน้องบุษยะ 555

ส่วนทำไมใช้อัฐเคราะห์แทนนพเคราะห์เพราะตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งพระพุธค่ะ (อัฐ=แปด)



หวังว่าทุกคนจะชอบตอนพิเศษนี้นะคะส่วนนิยายหลักจะรีบปั่นแล้วลงอีกไม่นาน อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ

ป.ล. คิดถึงทุกคนค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจทุกความคิดเห็นนะคะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
สนุกมากจ้า~

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
............50...%

“นาคินทร์ เจ้าอย่าได้งอนพี่เลย” รพีพงศ์เอ่ยกับนาคน้อยกำลังนั่งตักอาหารเข้าปากไม่ยอมพูดจากับตน



“จะมิให้ข้างอนท่านพี่ได้อย่างไรเล่า ในเมื่อท่านพี่…ท่านพี่…” นาคินทร์กระเง้ากระงอด หากมิอาจเอ่ยประโยคให้จบได้



“พี่ทำอันใดเจ้า หากเรื่องเมื่อคืนก่อนไม่ใช่พี่ทำให้เจ้าสุขสมหรือไร อีกทั้งเจ้าเองก็เป็นเริ่มต้นชวนพี่ ‘ขี่ม้า’ พาเที่ยวเองมิใช่หรือ” แม้ว่ารู้ทั้งรู้หากกล่าวเช่นนี้นาคินทร์คงไม่แคล้วงอนตนต่อไปเป็นแน่ แต่ทำอย่างไรได้การได้เห็นปรางค์นวลที่ตนมักคอยหอมจะมีสีแดงไม่ต่างจากกลีบกุหลาบ ยามเขินอายนาคินทร์มักนักน่าดูชมจนรพีพงศ์อดรังแกไม่ได้



“ท่านพี่…หยุดพูด!!!”



“เหตุใดเจ้าถึงห้ามพี่เล่า พี่เพียงเอ่ยความจริง”



“ท่านพี่แกล้งให้ข้าอาย” นาคินทร์เอ่ยออกมา ใบหน้างามแดงก่ำทั้งโกรธ ทั้งอาย ผิดกับรพีพงศ์ที่นอกจากจะยิ้มแย้มฉายแววแห่งความสุขี แขนทั้งสองข้างก็รวบเอวคอดกอดนาคน้อยเอาไว้แนบกาย



“ท่านพี่ปล่อยข้า!! เห็นหรือไม่ว่าห้องนี้ไม่ได้มีเพียงเราสอง” นาคินทร์ดิ้นในอ้อมกอดที่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกกอดแน่น นาคินทร์ไม่คิดเลยว่าท่านพี่ของตนจะหน้าไม่อายถึงเพียงนี้



“ถ้าเจ้าอายนักก็ปิดตาแล้วซบหน้าของเจ้าลงตรงอกพี่เสีย เจ้าจะได้ไม่ต้องอายใคร” รพีพงศ์ไม่เพียงแค่พูด หัตถารั้งท้ายทอยของคนรักลงมาหมายให้ซบอุราดั่งที่ลั่นวาจาไว้ หากดวงตามองไปยังนางสวรรค์ผู้รับใช้เป็นสัญญาณให้ออกไป เมื่อในห้องมีเพียงตนกับนาคินทร์ รพีพงศ์จึงเริ่มกระทำบางอย่าง…



‘ฟอด’



“ท่านพี่…หยุดรังแกข้า” นาคินทร์เอ่ยออกมาน้ำเสียงแกมดุ กำปั้นน้อยๆทุบตีหมายให้รพีพงศ์คืนอิสระให้แก่ตน



“ข้าหาได้รังแกเจ้าไม่ ข้าเพียงแสดงความรัก อีกทั้งเจ้าอย่าได้อายไปเลย บัดนี้มีเพียงเจ้าและข้าเท่านั้น” รพีพงศ์เอ่ย นาคินทร์จึงผินหน้ามองหานางอัปสรก็พบว่าได้ออกไปเสียสิ้น



“แต่ครั้งนี้มากเกินไป ท่านพี่แสดงความรักต่อข้าจนข้ามิได้หลับนอน ตั้งแต่เข้าหอมาจวบจนวันนี้…วันที่สาม ท่านพี่ถึงจะยอมให้ข้าหลับนอน พบเจอผู้อื่น” นาคินทร์รู้ดีว่าความต้องการของรพีพงศ์มีมากเพียงใด ไม่เคยพอเพียงครั้งหรือสองครั้ง หากดวงตะวันไม่ทอแสงลอดผ่านเมฆา มีหรือรพีพงศ์จะยอมปล่อย



ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป รพีพงศ์ทำให้นาคินทร์รู้สึกเป็นเชลยเสียยิ่งกว่าตอนอยู่กันติทัตไพรีเสียอีก ใช้ร่างกายกังขังตนไม่ให้ดิ้นรน ปิดสลักลงกลอนสร้างความระทวยไร้แรงหนี ประทับตราให้รู้ว่าตนเป็นของผู้ใด แม้นได้รับอิสระก็มิอาจออกไปไหนมาไหนได้ดั่งใจด้วยรพีพงศ์ดูดกลืนพลังจากนาคินทร์ไปมากโข แต่จะให้โทษรพีพงศ์ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก นาคินทร์เองก็ไม่คิดห้ามเพราะอยากจะมอบความรักให้กับเจ้าของดวงใจเช่นเดียวกัน



“พี่ขอโทษ เอาเป็นว่าพี่จะพาเจ้าเที่ยวชมสวนอรุณรุ่งดีเป็นการไถ่โทษดีหรือไม่” รพีพงศ์รู้ดีว่านาคินทร์นั้นไม่ค่อยได้เที่ยวเล่นที่ไหน การได้เปิดหูเปิดตาจึงกลายเป็นสิ่งที่สามารถทำให้นาคินทร์ลดความไม่พึงใจในตัวตนได้และเป็นไปดั่งที่รพีพงศ์คิด ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายระยิบระยับ ริมฝีปากอิ่มคลี่ออกมาด้วยความยินดีกับข้อเสนอ



“ดียิ่ง…ข้าหายงอนท่านพี่ก็ได้แต่ข้าขอร้องให้ครั้งหน้าท่านพี่โปรดผ่อนปรนลงบ้างจะได้หรือไม่” นาคินทร์เอ่ย แม้ใจอยากจะเพิกเฉยแกล้งทำทีไม่พอใจต่อไป ทว่านาคินทร์ยอมรับว่าได้แพ้พ่ายให้กับการเที่ยวเล่น



“ฟอด…ได้สิ พี่จะแสดงความรักบนเตียงให้น้อยลง” รพีพงศ์กดปลายนาสิกลงยังแก้มนิ่มอีกครั้ง ก่อนจะให้คำมั่นแม้ว่าภายในใจยังมีอีกหนึ่งประโยคที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกไป ‘แต่ถ้าเป็นที่อื่นตัวพี่จะไม่นับ’



อาหารคาวหวานที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้แก่รัชทายาทแดนอโณทัยกับชายานั้นไม่นานก็หมดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยนาคินทร์มีเป้าหมายที่อยากจะเดินเล่นในยามเช้า ณ สวนอรุณรุ่ง ในระหว่างที่กำลังจัดการกับอาหารตรงหน้ารพีพงศ์ก็เล่าถึงที่มา สวนอรุณรุ่งเป็นสวนที่มารดาของรพีพงศ์ได้ปลูกมวลผกาและต้นไม้นานาพรรณเพื่อใช้ในการพักผ่อน เดิมทีบุปผาภายในสวนจะเบ่งบานตลอดที่พระทินกรส่องแสง ทว่าเมื่อผู้เป็นมารดาสิ้นบุญ ดอกไม้ในสวนจะเบ่งบานเฉพาะยามอรุณเท่านั้น พอย่างเข้ายามสายต่างก็เก็บกลีบหุบลง สวนนี้จึงถูกขนานนามว่า ‘อรุณรุ่ง’



ภุมรินแลผีเสื้อกระพือปีกหยอกเหย้ากับมาลา ดูดชิมลิ้มน้ำหวานสร้างความงดงามให้แก่สวนอรุณรุ่งมากยิ่งขึ้น นาคินทร์ยิ้มให้กับภาพที่เห็นโดยมีรพีพงศ์คอยประคองไม่ห่างกาย คอยเล่าคอยบอกถึงความทรงจำของตนที่เกิดขึ้นภายในสวน รวมถึงพันธุ์ของดอกไม้ที่มีหน้าตาแปลกตาหาได้เฉพาะสุริยดารา



“งดงามยิ่งนัก กลิ่นของดอกไม้เหล่านี้ก็หอมชื่นใจ” นาคินทร์ว่าแล้วก็โน้มกิ่งดอกแก้วสีชาดมาดอมดม



“หอมสู้ดอกพะยอมในป่ากันติทัตหรือไม่เล่า” รพีพงศ์เหย้า นาคินทร์ยินพลันหน้าแดงก่อนจะเปลี่ยนมาทำเป็นบูดบึ้งกลบเกลื่อน พอได้คิดถึงดอกพะยอมป่าที่ตนเก็บมาโดยไม่ใคร่รู้จนเกิดเหตุการณ์ชวนให้เปลืองเนื้อเปลืองตัว



“ท่านพี่!! แกล้งข้าอีกแล้ว” กำปั้นน้อยๆทุบตี รพีพงศ์ไม่หลบ อีกทั้งยังหัวเราะออกมาดังลั่น แขนที่รั้งเอวคอดก็กอดรัดเอาไว้ให้ชิดกายตนมากขึ้น



“นาคน้อยของพี่ หากไม่ให้พี่แกล้งเจ้า หยอกเจ้า จะให้พี่ทำเช่นนี้กับใคร หากไม่ใช่เจ้าพี่คงไม่ทำเช่นนี้ดอกหนา คนดีของพี่…จุ๊บ” รพีพงศ์กล่าวจบก็จุมพิตยังขมับของนาคินทร์ เจ้านาคาพอได้ฟังพลันลดมือลงมาหยุดทำร้ายคนรักในทันที



“ก็ลองหยอกผู้อื่นเช่นหยอกข้าดูสิ ข้าจะหนีกลับวิมานไปอยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่”



“นาคน้อยหึงหวงพี่หรือ…จักทำให้พี่หลงเจ้าไปถึงไหนกัน”



ไอความรักแผ่กระจายล้อมกายสอง ใครได้ผ่านมาเห็นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา น้อยครั้งที่จะได้เห็นองค์รัชทายาทแสดงออกถึงความสุข ยิ่งช่วงเวลาทุกข์ตรมจมกับความทรมานในบ่อความโศกา เหล่าข้าบริวารต่างนึกหวั่นใจว่าดวงตะวันจะอับแสงลาลับแล้วหรือ ทว่าบัดนี้ต่างใจชื้นเมื่อดวงใจของรพีพงศ์ได้กลับมาสร้างรอยยิ้มและความสุขให้เจ้านายของตนอีกครั้ง…นาคินทร์ผู้เป็นรอยยิ้มของรพีพงศ์



ขณะที่ความสุขปกคลุมอยู่ทนทั่วให้กับผู้สร้างและผู้พลอยได้รับ กลับมีใครบางคนซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ กล้ำกลืนน้ำตาไม่ให้ไหลรินออกมา ‘ท่านรพีพงศ์…ข้าดีใจที่ท่านมีความสุขกับคนรัก แม้นว่าใครคนนั้นจักไม่ใช่ข้าก็ตามที’ นางอัปสรรูปงามผินหน้าหนีก่อนเดินกลับไปอีกทางปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาระบายความเจ็บปวด



“ท่านรพีพงศ์..ฮึก…ขอให้ท่านมีความสุข”



‘จะร้องไห้ไปไยเล่า หากเจ้ารักรพีพงศ์ก็แย่งชิงมาเสียสิ ข้านี้จะช่วยเจ้าให้สมหวังกับสุริยบุตร’



แว่วเสียงใครลอยลมเข้าโสตประสาท เทพีรูปงานยกมือเช็ดน้ำตา ‘ใครกันที่เอื้อนเอ่ยประโยคชักจูงให้ทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้’ เยาวมาลย์คิดในใจก่อนจะหันซ้าย หันขวา หมุนกายรอบทั่วทศทิศ หากไม่มีแม้แต่เงาของผู้ใด



“ข้าคงเสียใจจนหูแว่วไปเอง”



‘เจ้าหาได้หูแว่วไม่ สิ่งที่ข้ากล่าวกับเจ้าล้วนเป็นความจริง’ เสียงปริศนาดังขึ้นมาอีกระลอก



“ข้าไม่ต้องการ!!! เจ้าเป็นใคร!!! ออกมาบัดเดี๋ยวนี้!!!” เทพีคนงามไม่สนใจข้อเสนอ ซ้ำยังโมโหที่มีคนคิดขวางความรัก สร้างความทุกข์ให้กับรพีพงศ์



‘ข้าไม่จำเป็นต้องแสดงตัวให้เจ้าเห็นในยามนี้เพราะถึงเวลาอันสมควรจะเป็นเจ้าเองที่เป็นฝ่ายดิ้นรนมาหาข้า’

.

.

.

“ท่านรพีพงศ์ ท่านาคินทร์ เพลานี้มีผู้ต้องการมาพบท่านทั้งสองขอรับ” ทหารประจำวิมานเร่งฝีเท้าจากเข้าหา เมื่อพบเจอนายทั้งสองก็คุกเข่าลงรายงาน



“ผู้ใดกันเล่า” รพีพงศ์ซักถาม เพิ่งจะเข้าย่ำเช้าไม่คิดว่าจะมีผู้ใดมาเยี่ยมเยือนในกาลนี้



“ข้าเอง” สุรเสียงทุ้มต่ำทรงไว้ซึ่งอำนาจ ฟังปราดเดียวก็จำขึ้นใจ หาใช่ใครที่ไหน…



“พระเสาร์”



“ท่านพ่อ…ท่านแม่” นาคินทร์โผเข้าสวมกอดบิดาแล้วผละออกไปกอดหามารดาของตนไว้แน่นด้วยห้วงอารมณ์คะนึงหา



“พระเสาร์ ท่านน้ามุตตา เชิญท่านทั้งสองมายังศาลารับรองในสวนเถิด” รพีพงศ์เดินนำบิดา มารดาของนาคน้อย เมื่อถึงที่หมายต่างก็นั่งลงก่อนจะเริ่มสนทนา



“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้ากับมุตตาว่าอันใด จงเรียกใหม่อีกครั้ง” พนะเสาร์เอ่ยออกมาฟังแล้วคล้ายจะสั่งมากกว่าบอกกล่าว หากรพีพงศ์กลับยิ้มออกมา



“ข้าขออภัยที่มิได้ตระเตรียมต้อนรับท่านทั้งสอง ท่านพ่อ ท่านแม่” รพีพงศ์เอ่ยและไม่ลืมเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกผู้มาเยือน



“หาได้เป็นความผิดของเจ้าไม่ ข้าและมุตตาเองบุ่มบ่ามมาหาเพราะคิดถึงลูกโดยไม่แจ้งล่วงหน้า” พระเสาร์เอ่ย ก่อนจะส่งสายตาให้กับมุตตาเป็นสัญญาณให้กระทำบางสิ่ง



“นาคินทร์ ลูกพาแม่ไปชมสวนได้หรือไม่ทเมื่อครู่แม่เห็นว่าดอกไม้ที่นี่งามยิ่งนัก นึกอยากจะเที่ยวชมให้ทั่ว”



“ได้ขอรับท่านแม่” นาคินทร์ไม่ปฏิเสธเพราะตนเองก็อยากจะเที่ยวชมสวน สองแม่รู้ใจตรงกันก็พาเดินออกไปจากศาลาทิ้งไว้ให้สวามีของทั้งคู่อยู่เพียงลำพัง



“เกิดอันใดขึ้นหรือ…ท่านพ่อ เกี่ยวของกับนาคินทร์ใช่หรือไม่” รพีพงศ์ฉลาดเฉลียว พอจะดูออกว่าการมาของพระเสาร์และมุตตาคงไม่ใช่เพียงมาเยี่ยมบุตรา ยิ่งให้นาคินทร์ออกไปด้วยแล้ว ไม่แคล้วต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นเป็นแน่แท้



“ใช่ เกี่ยวข้องกับนาคินทร์และตัวของเจ้าด้วย” พระเสาร์เอ่ย ก่อนจะกล่าวต่อไปเมื่อเห็นว่ารพีพงศ์ตั้งใจจะรับรู้เรื่องราวจากปากของตน



“บัดนี้คุกกาลเวลานั้นได้เกิดรอยร้าว เทพกาลเวลาตลอดจนเทพอื่นๆนั้นต่างเร่งผนึกกันแต่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ หากสำเร็จก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล แต่ถ้าหากว่าไม่…เจ้าคงจะรู้ดีว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในภายภาคหน้า”



.........

มาแล้วววววว

ท่านยุ่ง งานยุ่งสมชื่อมากเลย

มาทิ้งบอมเอาไว้คนอ่านคงไม่ปากระท่อมใส่นะคะ ท่านยุ่งต้องเตรียมกระท่อมรอรับกนธีคนดีของท่านยุ่งด้วย เห็นใจกันนะคะ



ท่านยุ่งจะพยายามมาอัพบ่อยๆ พอดีติดงานหลักและต้องกลับไปปั่นงาน ส่ง สนพ. ถ้าเคลียร์เสร็จจะรีบกลับมาปั่นลิขิตรักและ จ้าวสิงคาลนะคะ



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาเม้นนะคะ เป็นกำลังใจให้ยุ่งในวันที่ดิ่งได้ค่ะ

รักนะคะ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 18



เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ทุกชีวันล้วนดำเนินไปตามครรลองแห่งโชคชะตา ยิ่งผู้ใดได้ครองความยิ่งใหญ่ซึ่งนั่นเท่ากับว่าความรับผิดชอบย่อมหนักอึ้งไม่ต่างกัน ดังเช่นเวลานี้แม้เหล่าทวยเทพต่างปฏิบัติหน้าที่ตามกิจวัตรเว้นแต่เทพนพเคราะห์ที่ต่างผลัดกันเข้าร่วมภารกิจพิเศษที่เพิ่งจะรับมอบหมายเมื่อไม่นานมานี้



‘ภารกิจปิดรอยร้าวคุกกาลเวลา’



นับตั้งแต่วันที่พระเสาร์ได้แจ้งข่าวเรื่องคุกกาลเวลา รพีพงศ์หาได้นิ่งนอนใจ คราแรกอยากจะปกปิดให้เป็นความลับด้วยกลัวว่ายอดดวงใจของตนจะเป็นกังวล ทว่าสุดท้ายจำต้องบอกไปเพื่อให้นาคินทร์ได้ระวังตัวยามที่ตนนั้นออกไปช่วยผู้เป็นบิดาสร้างเกราะเวทย์เพื่อให้เทพกาลเวลาผสานรอยร้าว



“ท่านพี่ออกไปครานี้เป็นเช่นไรบ้าง” นาคินทร์เอ่ยถามพลางเทน้ำมันระเหยกลิ่นดอกแก้วลูบไล้แผ่นหลังกว้างเพื่อให้รพีพงศ์ได้ผ่อนคลาย ลดความเหนื่อยล้าจากการทำภารกิจมาตลอดทั้งวัน



“ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ดีขึ้นแต่ก็มิได้เลวร้ายลง พี่คาดว่าหากเรายังสามารถควบคุมได้ เทพณิชนิรันดร์คงผสานรอยร้าวได้เสร็จสิ้น”



“น้องหวังว่าจะเป็นไปดังที่ท่านพี่คาดคิด หากไม่แล้ว…น้องนั้น…” เพียงแค่คิดไปทางร้ายฝ่ามือของนาคินทร์ก็หยุดนิ่ง รพีพงศ์ขยับตัวหันกลับมาพบว่าใบหน้างามเต็มไปด้วยความกังวล รพีพงศ์รู้ดีว่านาคินทร์คิดสิ่งใดอยู่

“นาคินทร์ พี่จะไม่ให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเจ้า มาพรากเจ้าไปจากพี่อีกและต่อให้มันจะพาตัวเจ้าไป ตัวพี่จะพาเจ้ากลับมาเคียงข้างพี่” รพีพงศ์รั้งกายของนาคาน้อยเข้ามาสวมกอด ริมฝีปากจรดลงเกศาดำขลับเป็นการให้คำมั่น



“ท่านพี่…ข้าเชื่อท่านพี่” นาคินทร์เงยหน้าขึ้นมามองพักตราเทพรูปงาม ดวงตาดุจอินทรีคู่นั้นมองมาที่ตนเช่นเดียวกัน ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มออกมาแล้วประทับริมฝีปากของตนกับปลายคางของรพีพงศ์ก่อนจะแนบศีรษะซุกลงตรงอุรากว้างดังเดิม



“น่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน…เมียพี่” รพีพงศ์กอดนาคินทร์เอาไว้แน่นสมความเอ็นดูที่มีให้ พลางโยกตัวไปมาราวขับกล่อมเด็กเล็กแล้วพาร่างของตนและคนในอ้อมแขนนอนลงบนเตียงกว้าง นาคินทร์ขยับกายเข้าหาร่างสูงใหญ่ แขนข้างหนึ่งโอบกอดรพีพงศ์เอาไว้ ก่อนจะใช้มือที่ว่างป้องปากเอาไว้เพราะเผลอหาวออกมาเสียแล้ว



“หากเจ้าง่วงก็นอนเถิดหนานาคินทร์ แต่ก่อนนอนเจ้าจงจำไว้ไม่ว่ายามเจ้าตื่นหรือยามเจ้าจะนอน เจ้าจะเห็นหน้าพี่ แม้นเจ้าหลับตาเข้าสู่บ่วงฝันเจ้าจะเห็นพี่อยู่ในนั้นเสมอ พี่จะไม่ให้สิ่งใดพาเราสองพลัดพรากจากกันอีก” รพีพงศ์เอ่ยจบก็จุมพิตเข้าที่เปลือกตาสีมุก นาคินทร์เองหลับตาลงทั้งที่กำลังยิ้มย่อง การมีคนรักอยู่ใกล้ ๆ นาคินทร์ก็ไม่กลัวสิ่งใด พอคิดเช่นนี้แล้วนาคินทร์ก็เข้าสู่ห้วงนิทรา



.



.



.





ในขณะจันทราเทพเทียมม้าขับเคลื่อนนำพาดวงจันทร์ตระเวณทั่วท้องนภา ในยามนี้สรรพสิ่งส่วนใหญ่ล้วนหลับใหลเว้นแต่เพียงมุตตาที่กำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด แขนนั้นมีแผลลากเป็นทางยาว ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่ำพื้นดินปะปนดินกรวดจนเจ็บแสบ กระนั้นมุตตากัดฟันฝืนทนต่อไปด้วยความเจ็บเพียงเท่านี้มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่กำลังไล่ตามมา



‘พึ่บพั่บ…พึ่บพั่บ’



เสียงกระพือปีกของวิหคตามไล่หลังและมันหาใช่เพียงแค่ตัวเดียว ทว่ามีถึงสาม หากเป็นปักษาตัวกระจ้อยร่อยธรรมดา มุตตาคงจะไม่วิ่งหนีแต่นกที่บินไล่ล่าตามหลังเป็นนกแสก ‘วิหคแห่งความตาย’ ซึ่งคอยไล่จิก รุมทึ้งราวกับว่ามุตตาเป็นหนอนเป็นเหยื่อแสนโอชะ ถึงนางจะเป็นนาคแต่การถูกนกแสกยักษ์โจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ไม่สามารถต่อกรได้ทันท่วงที



“ออกไป!!!” มุตตาตวาดลั่น สุดจะทน…ในเมื่อหนีไม่ได้นางนาคีจึงแปลงกายเป็นนาคเกล็ดนิล เลื้อยกายกันกลับไปเผชิญหน้ากับนกแสกซึ่งบัดนี้ต่างกระพือปีกอยู่ตรงหน้า



มุตตาพ่นใส่เข้าใส่เหล่านกแสก ไม่ทันที่เพลิงพิฆาตจะถึงตัวมันกลับบินหลบหลีกซ้ำยังกระพือปีกเรียกลมดับไฟ นับว่านกแสกฉลาดพอตัว



เมื่ออัคคีมิอาจทำร้ายได้ มุตตาจึงขนดหางม้วนให้เป็นฐาน ไล่กลางหลังตลอดศีรษะตั้งตรงแผ่พังพานเข้าฉกกัดยามนกแสกบินใกล้ เพียงหนึ่งหรือจะสู้พวกมาก เมื่อไล่ฉกตัวนี้ อีกตัวก็บินโฉบจิกเข้าตามตัว เวียนวนเช่นนี้ จนกระทั่งเริ่มเหนื่อยอ่อนจึงรวบรวมแรงที่มีอยู่จะโจมตีครั้งสุดท้าย เอาให้หนัก เอาให้ตายเสียสักตัว ทว่าพอจะโต้ตอบนกแสกตัวใหญ่ยักษ์ก็ใช้เท้าเกาะจับลำตัวของมุตตาพร้อมฉุดกระชากให้นอนราบไปกับพื้น



มุตตาพลาดท่าเสียทีแล้วยิ่งนอนหงายท้องก็ยิ่งเสียเปรียบ นร้ายไปยิ่งกว่านั้นนกแสกทั้งสามต่างกดกายของมุตตาในร่างนาคเอาไว้ ตัวหนึ่งกดจิกเล็บลงปลายหางจนเลือดไหลเป็นสาย อีกตัวกดลงตรงกลางตัวและกดลึกจนข้อเท้าของมันจมลงไปในตัวของมุตตา นางนาคีดิ้นทุรนทุราย ความเจ็บรวดแล่นไปทั่วร่างไม่ว่างเว้นสักเสี้ยวอณู แต่นั่นไม่ใช่ความเจ็บปวดสุดท้ายที่มุตตาได้รับ



ความเจ็บปวดถูกผสมด้วยความกลัว มุตตารู้สึกกลัวจับใจราวกับมีพญามัจจุราชมาหายใจรดต้นคอ มุตตารู้ทันทีว่าความตายเข้าใกล้เพียงเอื้อม ไม่สิ…ไม่ถึงเอื้อม



“กรี๊ด!!!!!!!” นกตัวสุดท้ายจิกเข้าที่ลูกตาของมุตตาจนแก้วตามืดบอดมิอาจเห็นสิ่งใดได้อีกต่อไป



‘ฉัวะ’ กรงเล็บของมันขย้ำลูกตาแล้วกระชากออกมาจนโลหิตสีเขียวกระเซ็นไปทั่วบริเวณ



“ท่านพี่!!! นาคินทร์!!! ช่วยด้วย!!!” เสียงร่ำร้องขอความช่วยเหลือฟังแล้วช่างน่าเวทนายิ่งนัก ทว่านกแสกกลับไม่รู้สึกสงสาร มันบินมาเกาะตรงอกนาค ขนสีน้ำตาลแซมขาวค่อย ๆ หลุดร่วงจากร่างหากยังลอยหมุนรอบกายาของมัน ใบหน้าและลำตัวแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ จำนวนขาเพิ่มขึ้นและมีหางยาวชูขึ้นมาเหนือศีรษะ



ถ้ามุตตาดวงตาไม่มืดบอดไปเสียก็จะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่เกาะกลางอุราหาใช่นกแสกแล้วไม่แต่เป็น ‘แมงป่อง’ ที่ยกหางชูงอเข้าจู่โจมตรงอกหางของมันแทงลึกเข้าไปด้านใน



“กรี๊ด!!!!!!!” มุตตาร้องออกมาสุดเสียง ก่อนวิญญาณของนางถูกกระชากไปพร้อมกับดวงหทัยที่แมงป่องดึงติดมากับหาง



“มุตตา!! มุตตาตื่น”



ดั่งเสียงสวรรค์ดังเข้าโสตประสาทเรียกสติให้คนที่กำลังฝันร้ายได้สติ มุตตาลืมตาขึ้นมาเห็นพักตราของสวามีกำลังเรียกนามของตนสีหน้าดูกังวลยิ่งนัก ก่อนจะลุกขึ้นโผกอดพระเสาร์เอาไว้แน่น



“ท่านพี่…ฮึก…ข้าฝันร้ายไปหรือนี่” มุตตาเรียกขานน้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสภาวะจิตใจไม่ได้มั่งคงดั่งปกติ



“พี่อยู่นี่แล้วมุตตา พี่อยู่กับเจ้า…อย่าได้หวั่นเกรงสิ่งใดเลย” พระเสาร์ปลอบประโลมพลางใช้นิ้วมือเกลี่ยหยาดเหงื่อที่ผุดพรายตามหน้าผากมน หากน้ำคำของพระเสาร์ก็มิอาจฉุดมุตตาให้ขึ้นมาจากบ่อแห่งความกลัวได้



“ข้าไม่เป็นไรแล้วท่านพี่ ข้าเพียงฝันร้ายเท่านั้น” หลังจากได้รับความอบอุ่นจากกายอุ่นนางนาคีก็ผละตัวออก มุตตาเลือกที่เอ่ยคำโกหกเพื่อความสบายใจของพระเสาร์ ทั้งที่ความจริงยังคงหวั่นใจอยู่ไม่น้อย



“ดีแล้ว เจ้าอย่าเก็บความฝันมาคิดใส่ใจพาลให้เจ้าเสียขวัญเลย” พระเสาร์ลูบเกศาดำขลับพร้อมมอบรอยยิ้มที่น้อยคนนักจะได้เห็น



“วันนี้ท่านพี่ต้องออกไปผลัดเวรผนึกรอยร้าวคุกกาลเวลาใช่หรือไม่ ข้าจักไปเตรียมน้ำให้อาบ” มุตตาเปลี่ยนเรื่อง ร่างบางลุกจากเตียงแต่ไม่ทันที่ขาจะหยั่งลงแตะพื้น แขนของตนก็ถูกพระเสาร์ฉุดรั้งไว้เสียก่อน



“พี่อาบเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องลำบากเจ้าดอกหนา”



“ไยท่านพี่ถึงไม่ปลุกข้าเล่า ข้าจะได้เตรียมน้ำในสระสรงให้”



“วันนี้พี่ตื่นเร็วกว่าทุกครั้งจึงล่วงหน้าอาบเอง อีกทั้งเห็นเจ้ายังคงหลับใหลจึงไม่อยากปลุก ปล่อยให้เจ้าพักผ่อนแต่ใครจะคิดพอกลับมาเจ้ากลับกรีดร้องลั่นห้องจากฝันร้ายพี่จึงรีบปลุกเจ้า มุตตา…น้องบอกพี่ได้หรือไม่ว่าฝันถึงสิ่งใดกัน” พระเสาร์เอ่ยถาม



“ข้า…ข้ากลัวจนลืมสิ้น ข้ารู้เพียงว่ามันน่ากลัวมาก” มุตตาเอ่ย…ความเท็จ



“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ลืมเสียก็ดีเจ้าจักได้ไม่ต้องกังวล” แม้จะมีเพียงเนตรเดียวก็ใช่ว่าพระเสาร์จักไม่รู้ว่าภายในดวงตาของมุตตานั้นวูบไหวดุจเปลวเทียน แน่นอนว่ามุตตาไม่ตอบตามความจริง ทว่าเทวารัศมีสีม่วงก็ไม่คิดจะเค้นเอาคำตอบ เพื่อความสบายใจของมุตตาหากผู้เป็นที่รักมิต้องการจดจำ



“วันนี้พี่ไม่อยู่วิมานคงกลับมาอีกทียามอรุณรุ่งของวันพรุ่งนี้ หากเจ้าต้องการไปหาลูก พี่จะให้ทหารของเราตระเตรียมขบวนไปยังวิมานเพลิง” พระเสาร์คิดหาหนทางให้มุตตารู้สึกดีและบุคคลนั้นคงหนีไม่พ้นบุตราที่ตบแต่งไปอยู่เมืองสุริยาอย่างนาคินทร์



“เมื่อวานลูกของเราเพิ่งจักมาหาที่วิมานเพราะท่านรพีพงศ์ไปสร้างเกราะเวทย์ ดังนั้นวันนี้ท่านรพีพงศ์คงหยุดพักที่วิมาน ข้าคิดว่าให้นาคินทร์ได้ใช้เวลาร่วมกับคนรักจะดีกว่า”



“ตามใจเจ้า เอาอย่างนี้ดีหรือไม่พี่จะให้เจ้าพุธอยู่เป็นเพื่อน”



“ข้า…ข้าเกรงใจ อย่างไรเสียพระพุธเองคงต้องการพักผ่อนเช่นกัน” มุตตาปฏิเสธ



“ไม่ต้องเกรงใจดอก เจ้าพุธมาวิมานพี่ออกบ่อย บางวันออกไปกรำศึกจนเสร็จสิ้นแทนจะไปหลับหนอนที่วิมานตนกลับมาชวนพี่เล่นสกา” พระเสาร์เล่าไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามุมปากคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย มุตตาเห็นก็เข้าใจในทันที เข้าใจในสิ่งที่ตนค้างคาในใจ



…‘ในความสุขที่ท่านพี่มีอยู่เพียงไม่มีกี่สิ่ง หนึ่งในนั้นย่อมมีพระพุธรวมอยู่ด้วย’…



“เช่นนั้นข้าตามใจท่านพี่ ดีเหมือนกันข้าจะให้พระพุธช่วยสอนคาถาให้กับข้าด้วย” มุตตาเอ่ย



“เช่นนั้นแล้วพี่จะเรียกเจ้าพุธมา เจ้าเองไปเตรียมตัวจัดแจงตนให้เรียบร้อยเถิด ประเดี๋ยวพี่จักต้องออกไปแล้ว…ฟอด” พระเสาร์เอ่ยและปิดท้ายด้วยการหอมปรางค์ขาวฟอดใหญ่เป็นแรงใจในการทำภารกิจ



“ท่านพี่!! อายุปูนนี้แล้วยังทำตัวเป็นชายวัยฉกรรจ์ไปได้” มุตตาเบือนหน้าซ่อนความอาย ถึงปากจะกล่าวไปเช่นนั้นหากพระเสาร์ยังคงสง่างามไม่ต่างคราแรกที่นางได้พบเจออยู่ดี



“ก็เจ้าเป็นคนรักของพี่ ไฉนพี่จะแสดงความรักกับเจ้ามิได้ เอาเถิดพี่ไม่หยอกเย้าเจ้าแล้ว วันนี้ขอให้เจ้าพบพานกับความสุขนะมุตตา”



“ท่านพี่เองก็เช่นกัน”



เมื่อร่ำลากันเรียบร้อยแล้ว มุตตาก็เดินไปส่งพระเสาร์ทำภารกิจหน้าประตูวิมาน พระเสาร์และบริวารส่วนหนึ่งเดินทางออกไปจนสุดสายตา มุตตาจึงเข้ามาชำระกายในสระสรงและไม่ลืมใช้ผงหยกจากพุธดาราผสมลงในน้ำอาบให้ฉวีวรรณเต่งตึงอย่างที่ควรจะเป็น หนีความเหี่ยวย่นจากคำสาปร้ายที่ไม่อาจจะคลายลงได้นอกเสียจากผู้ร่ายคำสาปจะสิ้นบุญ



“ท่านมุตตา บัดนี้พระพุธได้มาเยือนยังวิมานแล้ว” นางอัปสรบริวารแจ้งข่าวถึงการมาของพระพุธ



“เชิญพระพุธในประทับยังโถงรับรองเสียก่อน ประเดี๋ยวข้าจักออกไป” นางมุตตาซึ่งกำลังปักปิ่นแก้วยังมวยผมเอ่ยออกไป นางอัปสรได้สดับฟังจบก็รีบออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อประตูปิดลงมุตตาก็รีบแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วรีบออกไปพบผู้มาเยือน



“พระพุธ…ข้าขอโทษที่เชิญท่านมา ซ้ำยังให้ท่านต้องรอข้าอีก” ทันทีที่มุตตาเข้ามาในโถงรับรองก็กล่าวคำขอโทษให้กับเทวารูปงามที่ประทับนั่งบนแท่นแก้วสีนิล ริมฝีปากแดงระเรื่อกำลังแตะขอบแก้วกระเบื้องเพื่อจิบวารีลอยกลีบผกาก็คลี่ยิ้มออกมา



“มิเป็นไรพี่หญิง อย่าได้ร้อนใจไปเลย เป็นข้าต่างหากที่มาเร็วเกินไปเห็นทีพี่หญิงยังไม่ได้ทานสำรับใช่หรือไม่”



“ข้าทานสิ่งใดไม่ลงดอกพระพุธ คือข้า…” มุตตาเอ่ยออกมา พลางส่งสายตาให้อัปสรรับใช้ออกไปจากโถงรับรอง



“พี่หญิงจักมีหลานให้ข้าอีกคนใช่หรือไม่” ยังไม่ทันที่มุตตาจะได้เอื้อนเอ่ยจนหมดประโยค พระพุธที่ตีความไปเองจนดีใจจนเกินงามได้เอ่ยแทรกขึ้นมา



“หาเป็นเช่นนั้นไม่…ข้ามีเรื่องทุกข์ใจใคร่อยากจะปรึกษาท่าน” น้ำเสียงจริงจังระคนทุกข์ บ่งบอกได้ดีว่าเรื่องที่นางนาคตรงหน้ากำลังจะนำมาปรึกษาหารือคงไม่ใช่เรื่องเล็กแลดูสำคัญมาก ทำให้รอยยิ้มงามจากอาการดีใจเมื่อครู่ของพระพุธหายวับไปฉับพลัน



“พี่หญิงว่ามาเถิด หากไม่เกินความสามารถของข้า ข้าจะช่วยท่านอย่างสุดกำลัง” องค์เทพผู้ทรงคชสารให้คำมั่น ดวงตาประกายไปด้วยความจริงใจที่จะช่วยเหลือ เพียงได้สบตามุตตาก็ซาบซึ้งใจไม่น้อย



“ก่อนอื่นท่านช่วยร่ายคาถาเพื่อไม่ให้ใครอื่นได้ยินเราสองเสวนาได้หรือไม่”



“ย่อมได้” พระพุธตกลง จากนั้นก็ร่ายคาถาออกมา ละอองสีใบตองกระจายทั่วโถงบ่งบอกว่าคาถาของพระพุธได้ครอบคลุมเสร็จสิ้น



“เรียบร้อยแล้ว พี่หญิงเล่ามาเถิด”



“ข้าฝันร้าย...ข้าคิดว่ามันจะเป็นลางบอกเหตุ ข้าได้ยินมาว่าท่านเองเคยศึกษาศาสตร์ทำนายจากพระพฤหัสบดีพระองค์ก่อน ข้าจึงอยากให้ท่านช่วยทำนาย” มุตตาเคยได้ยินพระเสาร์เล่าถึงความสามารถของพระพุธจึงเล็งเห็นว่าพระพุธเป็นผู้ที่ตนไว้ใจและสามารถช่วยเหลือตนได้



“ข้าขอบอกก่อนว่า อันตัวข้าพอจะทำนายได้บ้างแต่ก็หาได้แตกฉานเทียบเท่ากับศาสตร์อื่น หากเป็นความต้องการของพี่หญิงข้านี้จะทำนายให้ พี่หญิงโปรดเล่าความฝันมาเถิด”



เรื่องราวในบ่วงความฝันอันแสนเลวร้ายถูกเปล่งออกมาอย่างละเอียด ไม่มีเลยที่จะลบเลือน ไม่มีเลยที่จะเสริมเติมแต่งเข้าไป ทุกคำล้วนเป็นความจริง พระพุธหลับตาลงหลังจากสดับฟังจนจบเพื่อเริ่มทำนาย สักพักเหงื่อกาฬไหลอาบทั่วใบหน้า คิ้วสองขมวดกันจนแทบเป็นปม นางมุตตาผู้ซึ่งรอคอยคำทำนายเพียงได้เห็นก็พอจะคาดเดาคำทำนายได้



คำทำนายกระจ่างชัดในห้วงความคิด เปลือกตาค่อย ๆ เปิดออกเผยให้เห็นดวงตาสีนิล พลันร่างของพระพุธก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหลับตาและลืมตาใหม่อีกครั้ง



…‘ความฝันบอกเหตุจะถึงฆาต…อีกทั้งยังไร้ซึ่งเงาหัวอีก’…



“เป็นเช่นไรบ้างพระพุธ มันร้ายแรงมากใช่หรือไม่…ฮึก…ข้าจะต้องตายดั่งความฝันใช่หรือไม่” มุตตาเอ่ยถามเสียงสะอื้น ยิ่งพระพุธนิ่งเงียบเช่นนี้แล้วแลสิ่งที่นางเอ่ยออกมาย่อมจะเป็นจริง



“พี่หญิง…” พระพุธแม้จะมีวาทศิลป์เป็นเลิศเพียงใด ยามนี้กลับสงบปากสงบคำราวกับคนเป็นใบ้ พระพุธพยายามคิดเรียบเรียงคำเพื่อไม่ให้ยอดหฤทัยของพระเสาร์ต้องโศกา



“บอกข้ามาตามความจริงเถิดพระพุธ อย่าได้อมพะนำอีกเลย” มุตตาเค้นถาม



“จากคำนายตลอดจนญาณแห่งข้าได้บ่งบอกว่าพี่หญิงใกล้ถึงฆาตในเร็ววัน” สุรเสียงแผ่วเบาเปล่งวาจา ทว่าคนฟังกลับได้ยินชัดแจ่มแจ้ง มุตตาสะอื้นไห้จนตัวโยน ทั้งที่อุตส่าห์ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับผู้อันเป็นที่รัก เหตุใดเวลาแห่งความสุขถึงได้ผ่านไปเร็วนัก



“พี่หญิง..ข้าพอจะนึกถึงวิธีช่วยพี่หญิงได้ แต่ข้ามิแน่ใจว่ามันจะได้ผลหรือไม่” แสงแห่งความหวังแม้จะริบหรี่แต่เมื่อมันอยู่ในความมืดมิดก็ย่อมส่องสว่างนำทางให้กับมุตตาก้าวขาหาทางออก



“จะได้ผลหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพลานี้ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกใดแล้วพระพุธ ท่านได้โปรดบอกวิธีข้ามาเถิด”



“ข้าเคยอ่านเจอในตำรากล่าวถึงว่าผู้ใดต้องการต่อชะตาชีวิตให้ถือศีลภาวนาอย่างเคร่งครัดในที่พำนักห้ามก้าวขาออกไปไหนเป็นเวลา ๗ ทิวา ๗ ราตรี หากออกจากวิมานเมื่อใดย่อมก้าวเข้าสู่เส้นแดนมรณา อีกทั้งก่อนจะถือศีลจะต้องจุดตะเกียงขึ้นมาและหมั่นเติมน้ำมันตะเกียงไว้อย่าให้เปลวไฟในตะเกียงดับเป็นอันขาด พี่หญิงเข้าใจหรือไม่”



“ข้าเข้าใจ” มุตตาพยักหน้ารับ



“เช่นนั้นข้าจะจดสิ่งที่ท่านต้องตระเตรียมในการทำพิธีต่อชะตาชีวิตครั้งนี้และข้าจะเป็นธุระแจ้งพี่เสาร์กับนาคินทร์ให้”



“ไม่!! พระพุธอย่าได้บอกทั้งสอง อย่าได้บอกใครเป็นอันขาด”



“เหตุใดพี่หญิงถึง…”



“ข้าไม่อยากให้ทั้งสองต้องเป็นทุกข์ ข้าอยากเห็นรอยยิ้มของพระเสาร์ ของนาคินทร์ในขณะที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าสุดท้ายข้าจักต้องสิ้นชีพไปข้าก็จะได้โอบกอดความสุขไปกับความตาย เช่นนี้แล้วท่านจะใจร้ายกับคนใกล้ตาย ขัดใจข้าอีกหรือ” รู้ว่าไม่บังควรแต่มุตตาก็บังอาจใช้ความเป็นความตายมาบังคับใจของหนึ่งในเทพนพเคราะห์



“ถ้าเป็นความประสงค์ของพี่หญิงข้าก็จะไม่ขัด แต่ข้าขอให้ท่านตอบแทนข้าด้วยการรับสิ่งนี้จากข้า” พระพุธเอ่ยออกมาแม้จะไม่เต็มใจนัก กระนั้นเขาไม่อาจจะทำสิ่งใดได้ นอกเสียจากถอดกำไลหยกของตนอันเป็นของมีข้าที่ได้รับจากพระบิดาเมื่อครั้นเยาว์วัยมอบให้กับมุตตา



“กำไลหยกนี้จะช่วยป้องกันภยันตรายที่จะทำร้ายท่านในระดับหนึ่ง ข้ามิอาจรู้ว่าสิ่งที่ทำให้ท่านต้องมอดม้วยมรณาคืออันใดแต่ถ้าหากเกิดจากผู้อื่นทำร้ายอย่างน้อยกำไลหยกวงนี้พอจะคุ้มครองท่านได้และถ้ามันเกินจะต้านเพียงปลายนิ้วท่านสัมผัสมันและใจระลึกนึกถึงข้า ข้าจะออกมาช่วยเหลือท่านโดยไวที่สุด” พระพุธกล่าวต่อและคว้าข้อมือของมุตตาขึ้นมาสวมใส่กำไลให้ มุตตาเห็นการกระทำซึ่งสะท้อนถึงความจริงใจของพระพุธก็ร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง



“ข้าขอโทษพี่หญิง ข้าล่วงเกินท่านแล้ว” พระพุธตกใจคิดโทษตนว่าแตะต้องกายมุตตาโดยไม่ได้ขออนุญาตอีกฝ่าย เนื่องจากกลัวถูกปฏิเสธ



“ข้ามิได้ร้องไห้เพราะท่านจับข้อมือของข้าพระพุธ หากข้าดีใจที่ข้าได้เจอคนดีเช่นท่าน…ฮือ…ฮึก…ท่านดีกับข้าเหลือเกิน เช่นนี้ข้าวางใจได้ถ้าข้าไร้ซึ่งชีวัน…ข้าสามารถฝากให้ท่านดูแลพระเสาร์และนาคินทร์ได้” มุตตาระบายยิ้มออกมาทั้งน้ำตา



“อย่าเอ่ยออกมาเช่นนั้น ข้าเชื่อว่าพิธีต่อชะตาจะต้องสำเร็จขอให้พี่หญิงปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด อีกทั้งต่อให้พี่หญิงไม่ฝากฝังข้าก็จะช่วยเหลือพี่เสาร์และนาคินทร์หลานข้าอยู่ดี” พระพุธให้กำลังใจแก่มุตตา



“ขอบน้ำใจมากพระพุธ…ขอบน้ำใจมาก”

.

.

.

…‘ข้าเองก็หวังว่าข้าจะไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รักและหากข้ามิอาจฝืนชะตาสวรรค์ ข้าก็ขอให้ท่านได้เปิดใจดูแลพระเสาร์ด้วยใจ ด้วยความรู้สึกที่แท้จริงของท่าน พระพุธ’…







................

มาแล้วค่ะ ท่านยุ่งกลับมาแล้ว คิดถึงกันไหม ลืมกันไปหรือยัง หลังจากนี้ยุ่งจะกลับมาอัพบ่อยขึ้นกว่าที่ผ่านมานะคะ



ขอกล่าวถึงตอนนี้นิดนึง หลายคนอาจสงสัยในความรู้สึก ความสัมพันธ์ของ พระเสาร์ พระพุธ มุตตา เอาเป็นว่าท่านยุ่งขอไม่พูดถึงในสาวนนี้นะคะ อยากให้ติดตามอ่านกันต่อไป



อ่อ ... หลังจากนี้ท่านยุ่งจะเริ่มต้มมาม่าแล้วยังไงก็มากินมาม่าด้วยกันนะคะ หวังว่าทุกคนจะไม่คว่ำหม้อมาม่าแล้วปาใส่กระท่อมน้องของท่านยุ่ง



ขอกำลังใจหน่อยนะคะ

สุดท้ายขอบคุณที่เข้ามาอ่าน มาร่วมแสดงความเห็นกัน ยุ่งอ่านตลอดนะแต่ช่วงก่อนหน้านี้ยุ่งเลยไม่ได้ตอบเม้นแบบเรื่องสาปรัก หวังว่าจะไม่โกรธเคืองกัน รักนะคะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
มาต่อเรื่อยๆนะ กำลังสนุกเลย

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 19



นับตั้งแต่วันที่มุตตาได้ขอคำปรึกษาจากพระพุธ นางได้เก็บตัวถือศีลตามคำแนะนำของพระพุธและเพื่อไม่ให้สวามีของตนผิดสังเกตได้อ้างเหตุผลกับพระเสาร์ว่าต้องการส่งแรงกุศล แรงบุญ ในการถือศีลครั้งนี้ดลบันดาลให้เหล่าเทวาสามารถสมานรอยร้าวของคุกกาลเวลาได้สำเร็จ



แน่นอนว่าพระเสาร์ย่อมเชื่อ เนื่องด้วยสิ่งที่มุตตาทำเป็นสิ่งดีงาม เป็นความดี ทั้งเทพผู้แข็งแกร่งยังสนับสนุนยกเรือนพวงคราม ซึ่งปลูกสร้างแยกไว้ในสวนพฤกษาทางด้านหลังของวิมาน ตัวเรือนเกิดจากเถาพวงครามเลื้อยพันกันจนเป็นตัวเรือน ด้านบนปกคลุมด้วยดอกเล็ก ๆ สีม่วงเรียงตัวเป็นช่อที่ปลายกิ่ง รอบตัวเรือนปลูกไม้พุ่มเตี้ยอย่างเทียนหยดและราชาวดี พื้นนี้ส่วนนี้เงียบสงบเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรถือศีลยิ่ง



…‘เหลือเพียงวันพรุ่งนี้ก็ครบกำหนด ๗ ทิวา ๗ ราตรี’…



เยาวมาลย์งามสมวัยสวมใส่อาภรณ์ขาวสะอาดกำลังคิดในขณะที่มือกำลังรินน้ำมันลงไปในตะเกียง มุตตาทำเช่นนี้มาตลอด ๖ วันเติมไปด้วยใจที่มีความปล่อยวางแต่เมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละวันล้วนไร้อุปสรรคมาขัดขวาง ทำให้ไฟแห่งความหวังโชติช่วงไม่ต่างเปลวไฟที่ส่องสว่างภายในตะเกียง



…‘ขอเพียงหลังจากนี้อย่าได้มีอันใดมาขัดขวางเลย’…



‘ปัง!!’ เสียงบานประตูเรือนเปิดออก มุตตาที่กำลังเติมน้ำมันตะเกียงจำต้องวางคนโทบรรจุน้ำมันเอาไว้ก่อนจะหันไปยังต้นเหตุที่เข้ามารบกวน



“ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าห้ามผู้ใดเข้ามารบกวน” มุตตาเอ็ดนางอัปสรรับใช้ที่นั่งคุกเข่าหน้าสลดอยู่ตรงหน้า



“ข้าขออภัยท่านมุตตาแต่ข้าจำเป็นต้องเข้ามาเรียนท่านให้ทราบ เนื่องด้วยนางกำนัลจากวิมานพระอาทิตย์ต้องการจะขอเข้าพบท่าน” เพียงแค่นางอัปสรคนงามเอ่ยถึงวิมานพระอาทิตย์มุตตาก็รู้โดยทันทีว่าจักต้องเกี่ยวข้องกับนาคินทร์ลูกของตน



“เช่นนั้นเจ้าจงไปตามนางกำนัลผู้นั้นให้เข้ามาพบข้า” มุตตาอนุญาต ไม่นานนางอัปสรแต่งองค์ด้วยภูษาสีชาดอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวสุริยภพก็เดินเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า หากการแต่งกายดูไม่เรียบร้อย อีกทั้งกิริยาท่าทางคล้ายกำลังหวาดระแวงบางสิ่งบางอย่าง



“เจ้ามีสิ่งใดก็รีบแจ้งแถลงไขแก่ตัวข้าเถิด” มุตตาไม่รอช้าซักถามนางรัมภาตรงหน้า



“ข้ามันามว่าดารารัตน์เป็นอัปสรรับใช้ของท่านนาคินทร์ คือเพลานี้ท่านนาคินทร์…ท่านนาคินทร์…เอ่อ…” ผู้ถูกถามเอ่ยตอบน้ำเสียงสั่นเครือ กว่าจะเปล่งวาจาได้ในแต่ละคำทำเอาคนรออย่างมุตตานั้นกังวลใจ ด้วยรูปการณ์มองปราดเดียวก็รู้ว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่



“นี่เจ้าอย่ามัวชักช้าอึกอัก มีอันใดก็แจ้งแก่ท่านมุตตาโดยไว” ฝ่ายนางกำนัลรับใช้ของมุตตาร้อนรนทนไม่ไหวแทนนายเหนือหัวจึงเร่งเร้าเอาคำตอบจากผู้มาเยือนเสียเอง



“มีอสูรร้ายกำลังลอบทำร้ายท่านนาคินทร์ไปเพคะ”



“เจ้าว่ากระไรนะ!! นาคินทร์…นาคินทร์ลูกแม่…” มุตตาได้ฟังข่าวร้ายถึงกลับซวนเซไร้แรงยืน โชคดีที่ยังคงมีนางอัปสรในวิมานคอยประคองเอาไว้ไม่ให้ล้ม



“เจ้าพูดจริงหรือไม่!! หาใช่ว่าสร้างเรื่องโกหก วิมานเพลิงเป็นศักดิ์สิทธิ์สถานมิใช่พวกสัมพเวสีแลพวกอสุรา มารร้ายจะเหยียบย่างเข้าไปได้ ทั้งเหล่าทหารก็กล้าแกร่งไม่มีทางที่จะปล่อยให้อสูรทำร้ายท่านนาคินทร์ไปได้ ฉะนั้นแล้วหากเป็นดั่งคำเจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงมายังวิมานแห่งพระเสาร์ได้เล่า” นางอัปสรฝ่ายมุตตาซักถาม นางนึกสงสัยรู้สึกไม่ไว้ใจนางฟ้าที่นั่งสั่นราวกับลูกนก



“ข้าหาได้กล่าวเท็จไม่ เหตุที่พวกอสูรเข้าลอบสังหารท่านนาคินทร์ไปได้เพราะว่าท่านนาคินทร์หาได้อยู่ที่วิมานแต่กำลังเดินทางมา ณ วิมานนี้ต่างหากเล่า ข้าเองใช้โอกาสที่กำลังชุลมุนหลบหนีเพื่อมาขอความช่วยเหลือ คิดว่าถ้ารีบไปตอนนี้คงจะช่วยท่านนาคินทร์ได้ทันท่วงที”



“ช้องนางเจ้าจงแจ้งเหล่าทหารให้เตรียมพร้อม ประเดี๋ยวข้าจะไปช่วยนาคินทร์ และเจ้าบัวตองรออยู่ทางนี้หากพระเสาร์กลับมาเจ้าจะได้อยู่แจ้งข่าวคราว ส่วนดารารัตน์เจ้าจงไปกับช้องนางบอกตำแหน่งที่ลูกของข้าอยู่ให้กับเหล่าทหาร”



“เจ้าค่ะ” ช้องนางและดารารัตน์รับคำสั่ง ก่อนจะออกไปให้ทหารเตรียมตัวเพื่อช่วยเหลือนาคินทร์ตามตำของมุตตา



“เอ่อ…ท่านมุตตาแล้วท่านจักละจากการถือศีลหรือ ข้าว่าเรื่องช่วยเหลือท่านนาคินทร์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกทหารก้านบัวเถิด” บัวตองเสนอความคิด ใจของนางรู้สึกว่าการออกไปครั้งนี้ของมุตตาย่อมจะไม่เป็นผลดี



“ต่อให้ข้าไม่ออกไปใจข้าคงร้อนรนอยู่ไม่นิ่งพอจะถือศีลได้อีกต่อไป สู้ให้ข้าออกไปช่วยเหลือลูกคงจะเป็นการดีกว่า”



“เช่นนั้นข้าขอติดตามท่านมุตตาไปด้วยเจ้าค่ะ” บัวตองร้องขอ นางดูแลมุตตาตั้งแต่วันแรกที่นางนาคีเข้ามาในวิมานของเทะพผู้แข็งแกร่งในนพเคราะห์ดารา นางย่อมผูกพันจงรักภักดีและไม่ติดจะให้นายเหนือเศียรต้องออกไปเพียงผู้เดียว



“ตามใจเจ้าเถิด” มุตตาเข้าใจเจตนาของบัวตองจึงไม่คิดขัดใจ เมื่อกล่าวจบก็เดินนำหน้าบัวตองออกจากเรือนพวงครามมุ่งหน้าไปยังหน้าวิมาน บัดนี้เต็มไปด้วยทหารก้านบัวมากฝีมือยืนแถวเป็นขบวนพร้อมด้วยราชรถ



“เร่งออกไปช่วยบุตรแห่งข้าและพระเสาร์บัดเดี๋ยวนี้!!!” มุตตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันดังก้อง หลังจากก้าวขาย่างขึ้นบันไดเล็กนั่งลงบนราชรถ



เมฆาลอยละล่องกลางเวหา ไร้รูปร่างตายตัวชวนให้คนมองต้องคาดเดาตามจินตนาการ หากเป็นแต่ก่อนมุตตาคงจะใคร่ชม ใคร่ดูแต่เพลานี้จิตใจกลับคาดเดาถึงบุตรผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ทั้งนึกภาวนาให้ผลบุญที่ตัวเองมีคุ้มครองนาคินทร์อย่าได้เป็นอันใดก่อนที่ตนจะไปถึงที่หมาย



“ดารารัตน์…ยังอีกไกลหรือไม่” มุตตาถามคำถามนี้หลายครั้งหลายครา นางกระวนกระวายใจจนไม่สามารถนั่งนิ่งให้กายได้ติดกับราชรถ



“อีกไม่ไกลเจ้าค่ะ…ตรงนั้น พี่ทหารลงไปตรงนั้นใกล้ๆกับหน้าผา” ดารารัตน์ตอบ ขณะเดียวกันก็ถึงที่หมายจึงบอกเหล่ากองพลที่พร้อมรับให้เปลี่ยนทิศทางจากท้องนภาไปยังพื้นพิภพ



ทันทีที่เท้าและล้อราชรถสัมผัสกับเม็ดทรายบนผืนปฐพี สายตากวาดมองไปโดยรอบกลับไร้เงานาคินทร์หรือร่างของอสุราใดใด สร้างความประหลาดใจให้กับผู้มาใหม่เป็ยอย่างมาก



“ดารารัตน์ ใช่แน่หรือหาใช่ว่าเจ้าจำไม่ได้บอกกับพวกข้าผิด” บัวตองเอ่ยถามพลางประคองมุตตาให้ลงจากราชรถ



“ไม่ผิด ใครเล่าจะลืมสุสานของพวกเจ้า!!”



“อ๊าก!!!”



น้ำเสียงหวานเย็นนิ่งเอื้อนเอ่ยจบประโยคไม่ถึงอึดใจ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ตามมา ดารารัตน์กริชเงินสลักลายงดงามแทงเข้าที่คอของทหารใกล้มือแล้วดึงพรวดออกมาจนโลหิตพุ่งกระจายเปรอะเปื้อนใบหน้างาม



“อารักขาท่านมุตตา!!!” บัวตองตะโกนเรียกสติ เทวาองครักษ์จึงเข้าจัดการดารารัตน์



“ท่านมุตตาขึ้นราชรถหนีไปก่อนเจ้าค่ะ”



หากไม่ทันจะได้ขึ้นไปดารารัตน์ได้ส่งวงเวทย์ทำลายราชรถเสียสิ้นและเปลี่ยนกริชในมือให้กลายเป็นราชาแห่งศาสตราวุธด้ามยาว ‘ทวน’ โลหะแหลมยาวคมกริบพร้อมฟันและแทงสร้างบาดแผลมอบความตายให้กับผู้ที่ได้สัมผัส ด้ามของมันทำจากเงินมีลวดลายไม่ต่างจากด้ามกริช โคนทวนประดับด้วยขนสีหมอกของอาชาสวรรค์ นอกจากอาวุธในหัตถ์จะเปลี่ยนไป ร่างอรชรของนางเทพีก็แปรเปลี่ยนเป็นร่างสูงโปร่งแต่มิอาจทราบได้รวมไปถึงใบหน้า เนื่องด้วยสวมผ้าคลุมสีปีกกา ทั้งสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า



“ย๊า!!!!”



‘ฉึก!!’



“อ๊าก!!”





การต่อสู้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการ ผาสูงชันที่ภายใต้ชะง่อนผาเป็นมหาสมุทรคอยส่งเกลียวคลื่นซัดตีคล้ายกับกลองศึก ทหารกล้าบุกเข้าตีรันฟันแทงใส่ผู้คิดร้าย หากบุคคลปริศนากลับหลบหลีกได้ทันท่วงที อีกทั้งยังโจมตีเข้าจุดตายในคราเดียว



กระนั้นแม้จะเก่งกาจเพียงใด หากตนมาเพียงหนึ่งสู้กับทหารนับสิบ ไหนเล่าจะสังกัดในพระเสาร์ผู้ขึ้นชื่อลือชาว่าแข็งแกร่ง แม้จะสังหารได้แต่ใช่ว่าจะง่ายดายเห็นทีต้องใช้ตัวช่วยเสียแล้ว



ดวงจิตตั้งมั่นแม้ร่างกายจะขยับไปมา ไม่ทันเคี้ยวชานหมากแหลก สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ รูปร่างคล้ายปูทว่าลำตัวยาวเป็นปล่องปลายหางมีพิษใครได้มันฉีดพิษเข้าใส่จะไม่สามารถขยับได้และจะสิ้นลมไปในที่สุด



“นี่มันแมงป่องแก้ว!! ทุกคนระวังตัวด้วย” หนึ่งในทหารตะโกนออกมา จะเรียกว่าเป็นบุญหรือเป็นกรรมก็ไม่สามารถจะบอกได้ แมงป่องแก้วสัตว์พิษในตำนานที่ถูกกำจัดไปนับพันปีพร้อมกับการล่มสลายของวิหารนอกรีตกลับอยู่ตรงหน้า ไม่เพียงเท่านั้นพวกมันกำลังกรูเข้ามาต่อสู้กับพวกเขา



“ตายเสียเถอะ!!” ปลายดาบจ้วงแทงไปยังลำตัวของแมงป่อง บ้างฟันฉับทีเดียวให้แดดิ้น หากยิ่งฆ่ามันก็ยิ่งเพิ่มจำนวนและมากพอที่จะรุมต่อยปล่อยพิษให้ทหารก้านบัว



“อ๊าก!!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยามพิษแล่นผ่านผสมรวมกับกระแสเลือด ร่างกำยำนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะค่อย ๆ ทรุดกายลงเหลือไว้เพียงร่างไร้ซึ่งจิตวิญญาณ



“ท่านมุตตา ข้าเกรงว่าไอ้คนจัญไรสวมใส่หน้ากากนี้จักไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว เราสองหลบหนีกันก่อนเถิด” บัวตองเห็นท่าไม่ดีรีบชักชวนมุตตาให้หลบหนี มุตตาพยักหน้าแต่ไม่ทันได้ขยับตัวแมงป่องแก้วก็เดินเข้ามาตีวงล้อมไม่ให้มุตตากับบัวตองหนีไปได้



“อั้ก!!” ทหารคนสุดท้ายกระอักเลือดออกมาทั้งทางจมูกและปากหลังจากถูกปลายทวนแทงทะลุจากด้านหลัง เจ้าของทวนก็เดินฝ่าวงล้อมแมงป่องแก้วที่ร่วมใจกันเปิดทางให้เข้าหา ‘เหยื่อ’ ที่กำลังยืนอยู่



“ออกไป อย่าริบังอาจมาทำร้ายท่านมุตตา!!” บัวตองดึงปิ่นปักมวยผมออกมาพลันเครื่องประดับชิ้นงามกลายเป็นดาบเล่มยาว



“เจ้าเป็นใครคิดมาสั่งข้า!! เป็นเพียงแค่อัปสรชั้นต่ำอย่าริต่อปาก ต่อคำ ต่อกรกับข้า”



‘บุรุษ’ สรรพนามนี้ผุดขึ้นมา มุตตาแปลกใจยิ่งนักเพราะไม่เคยมีศัตรูคู่แค้นเป็นบุรุษและที่สร้างความฉงนใจยิ่งกว่านั้นคือน้ำเสียงของคนผู้นี้ช่างคุ้นเคย มุตตาเคยได้ยินน้ำเสียงนี้มาก่อน



“แล้วเจ้าชั้นสูงมาแต่ที่ใดกัน กระทำตัวหยาบช้าไม่เกรงกลัวต่อบาปยิ่งเสียกว่าสัตว์นรกและหากว่าเจ้าจะทำร้ายท่านมุตตาก็ต้องข้ามศพข้าไปเสียก่อน”



“ข้าจะให้ดั่งใจเจ้าปรารถนา เจ้าจะเป็นศพให้ข้าได้เดินข้าม” จบประโยคต่างฝ่ายต่างถืออาวุธในมือจู่โจมเข้าหากัน



“บัวตอง!!” มุตตาร้องเรียก พลันขาทั้งสองแปรเปลี่ยนไป เกล็ดสีรัติกาลวาววับดุจดังนิลปรากฏขึ้นมากลืนกินกายมนุษาให้เป็นนาคา



ทว่าแมงป่องแก้วกลับไม่กลัว พวกมันเข้าปีนป่ายตามตัวและต่อยตีแต่มันคงลืมไปว่านาคนั้นมีพิษร้ายแรงเพียงใด พิษจากแมงป่องแก้วที่โดนตามตัวจึงไม่ต่างจากมดตัวเล็กมากัดหากมันสร้างความรำคาญอยู่ดี มุตตาคิดกำจัดและได้เรียนรู้ว่าหากสังหารแมงป่องแก้วโดยที่เหลือซากไว้รังแต่จะเพิ่มจำนวนให้มาก่อกวน จึงอ้าปากเผยลิ้นเฉกให้เปลวไฟออกมาแผดเผาพฤศจิกให้วอดวายเหลือเพียงเถ้า



บุรุษนิรนามที่กำลังใช้ทวนโต้ตอบกับดาบของบัวตอง พอได้เห็นมุตตากลายเป็นนาคและกำลังสังหารสมุนของตน จึงรู้ว่าตนพลาดไปที่ใช้แมงป่องสู้กับจ้าวแห่งอสรพิษ กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหนักอกหนักใจ



เพราะอย่างไรเสียผู้ที่ปลิดชีวิตของมุตตาจะต้องเป็นตนหาใช่ผู้ใด



“ข้าเบื่อที่จะเล่นกับเจ้าแล้ว” คนถือทวนเอ่ย หลังจากคอยตั้งรับบ้างขยับโต้ตอบพอเป็นพิธี ไอสังหารก็แผ่ออกมาโดยรอบสร้างความอึดอัดให้กับบัวตอง



“อัก!!” ด้ามยาวของทำจากโลหะเนื้อดีฟาดเข้ากลางหลังจนบัวตองกระอักเลือดออกมา



บัวตองเซถลาแต่ยังมีสติพอจะใช้ดาบค้ำยันตนไว้ ก่อนจะร่ายคาถาใส่ผู้ที่ทำร้ายตน หากพลาดพลั้งอีกฝ่ายเบี่ยงกายหลบได้ ขณะเดียวกันศัสตราวุธด้ามยาวก็ถูกขว้างไปหานางรัมภาแทงทะลุร่างซ้ำยังเสียบคาเอาไว้



“บัวตอง!!!” มุตตาร้องออกมาดังก้อง หัวใจแทบสลายเมื่อผู้ที่ไว้ใจ ผู้ที่เป็นมิตรหวังกับตนถูกทำร้าย



“อึก…ท่านมุตตา รักษาตัวเองด้วย” สายโลหิตไหลรินออกมาจากปากพร้อมกับคำสั่งเสียสุดท้ายที่บัวตองฝากไว้กับนายของตนแม้นตัวจะตายแต่ใจนั้นยังคงภักดี สุดท้ายบัวตองก็จบชีวิตทั้งที่ยังคงยืนอยู่



‘ฉัวะ’ ทวนถูกดึงออกจากร่างโดยผู้เป็นเจ้าของ ดวงเนตรที่หน้ากากไม่ได้ปิดซ่อนเผยให้เห็นแววตาสะท้อนความหยามหยาบ ก่อนจะยกฝ่าเท้าขึ้นมาถีบร่างไร้วิญญาณของนางอัปสรให้นอนลงไปกับพื้น



“เจ้าจักทำอันใดบัวตอง!!” มุตตาตะโกนถามไม่สนใจแมงป่องแก้วที่ยังไต่ตามตัวเพื่อปล่อยพิษใส่



“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าจะข้ามศพนางเพื่อฆ่าเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”



ชั่วสมบูรณ์แบบ มุตตาไม่เคยเจอผู้ใดจะชั่วร้ายเลวทราม ระยำบริสุทธิ์จนหาความดีมิได้เฉกเช่นผู้ที่ยืนตรงหน้าและหัวเราะชอบใจกับความตายของผู้อื่น ไม่เคย…ไม่เคยเจอ



“หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว กลับมาเถิดแมงป่องแก้ว” ผู้อยู่ใต้ผ้าคลุมเอ่ย เหล่าแมงป่องแก้วที่ยังคงรอดชีวิตก็เดินกลับมาไต่ไปยังผ้าคลุมสีทึบก่อนจะหายไปราวไม่เคยปรากฏกาย ณ ที่แห่งนี้



“คราวนี้ก็เหลือเราแค่สองคนแล้ว…มุตตา”



“เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดต้องลวงข้ามาสังหาร” มุตตาเอ่ยถาม ไม่สนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย สิ่งที่นางอยากรู้คือคำตอบมากกว่า



“ข้าเป็นใคร…ไยจักต้องบอกเจ้าแต่สิ่งที่เจ้าควรรู้คือข้ารักพระเสาร์ หากไม่มีเจ้าสักคนพระเสาร์จะต้องรักใคร่ชอบพอข้า” ประโยคและเจตนาแสนคุ้นเคยนี้ทำให้มุตตาตกใจ มุตตาไม่อยากให้สิ่งที่ตนคิดเป็นความจริง



“เจ้าคิดถูกมุตตา ข้าคือคนเมื่อหลายร้อยปีก่อน คนที่เมตตาร่ายคำสาปใส่เจ้าแทนที่จะกำจัดเจ้าให้ตาย ๆ ไปจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวางแผนมาสังหารเจ้าในวันนี้”



“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าวันนี้ เพลานี้ หากเจ้าปลิดชีวิตข้าให้มอดม้วยได้สำเร็จแล้ว ‘ท่านพี่’ จะเหลียวแลเจ้า ทั้งที่ตลอดหลายร้อยปีที่ข้าเร้นกายในถ้ำใต้รอยต่อมหาสมุทรสีทันดร เจ้าก็ไม่อาจชนะใจท่านพี่ของข้าได้” ถ้ามุตตากลายร่างเป็นมนุษย์คงจะได้เห็นมุมปากยกยิ้มขึ้นมา



“เจ้า!!!” คนฟังโกรธจนตัวสั่น มิอาจจะโต้ตอบเอาคืนได้ ก่อนจะตั้งสติสงบใจเพียงชั่วคู่และกล่าวออกไปว่า



“แต่ครั้งนี้ก็ไม่แน่ บางทีข้าอาจจะทำให้พระเสาร์หลงรักข้าหัวปักหัวปำ”



“เสียใจ มันจะไม่มีวันนั้น อย่างไรเสียครั้งนี้ข้าจะไม่หนีเจ้าไปดั่งครั้งก่อน ข้าจะสู้จนตัวตาย” กาลครั้งก่อนเพราะมีครรภ์มุตตาจำต้องหลบหนี หากครานี้ต่างกันมุตตาไม่มีพันธะใดมาพันผูกให้พะว้าพะวง นาคินทร์มีรพีพงศ์คอยดูแล ด้านพระเสาร์เองหากตนเหลือเพียงนามอย่างน้อยยังมีผู้ห่วงใย ดูแลพระเสาร์ แน่นอนว่าหาใช่บุรุษโฉดชั่วผู้นี้แน่



มุตตาเลื้อยเข้าหาระหว่างนั้นก็พ่นอัคคีออกไป เพียงแค่ไอร้อนจากเปลวเพลิงก็สร้างความปวดแสบปวดร้อน ไหนเล่าจะต้นไม้ที่เขียวชอุ่มกลับเหี่ยวเฉา ใบไม้ใบหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาลไหม้



“ไฟกระจอกไม่ระคายผิวข้าดอก” บุรุษปริศนาเอื้อนเอ่ยไม่นึกกลัวเพียงพริบตารัศมีสีสวาดหมุนวนห่อหุ้มกายาเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังกระโดดเข้าหา แขนยกขึ้นมาถือทวนง้างเอาไว้เตรียมฟาดฟัน



กระโดดขึ้นสูงหรือให้เหาะเหินเดินอากาศแล้วอย่างไร มุตตามีหรือจะกลัวรังแต่จะหยัดกายให้สูงขึ้นแล้วเคลื่อนตัวพันเกลียวร่างของผู้ที่จะมุ่งร้ายเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะใช้ทวนแทงตน จากนั้นมุตตาได้ฝังเขี้ยวคมกัดจมไปยังไหล่ของศัตรู



“อ้าก!!...บังอาจ!! เจ้าบังอาจกัดข้ารึ จงรู้เอาไว้ว่าพิษใดในโลกหล้าก็ไม่อาจทำอันตรายต่อข้าได้” แม้จะเจ็บจากบาดแผลแต่บุคคลนิรนามยังคงปากดี ไม่สิ..เรียกว่ายังคงมีสติดีพอที่จะหาทางออกจากนาคา ริมฝีปากขยับร่ายคาถาโดยพลัน



“กรี๊ด!!!” ร่างของมุตตาคลายออกล้มลงนอนเป็นระนาบเดียวกับผืนดิน เนื้อกายอ่อนยวบราวกับไร้กระดูก อีกฝ่ายปล่อยพลังจนมุตตาปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกเผา



‘ฉึก!’ และยิ่งไปกว่านั้น ปลายแหลมของทวนก็แทงเข้าที่หางก่อนจะถูกดึงออก มุตตากลายร่างเป็นมนุษย์ขาข้างหนึ่งมีของเหลวสีเขียวไหลออกมาจากบาดแผล ความชาค่อย ๆ รวดแล่นกัดกิน ในเวลานั้นเองมุตตาก็จับเข้าที่กำไลหยกสีมธุรสระลึกถึงผู้เป็นเจ้าของ



“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นั่นใช่กำไลหยกของพระพุธใช่หรือไม่ คิดหรือว่าจะสามารถปกป้องเจ้าได้ ฮึ!! มุตตา…หนอ…มุตตา ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรับของจากหอกข้างแคร่ ผู้ที่เคยมีใจปฏิพัทธให้กับพระเสาร์ ศัตรูหัวใจของเจ้า” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยมาคู่กับคำพูดถากถาง หากไม่อาจจะทำให้มุตตานึกเจ็บแสบเลยสักนิด



“หากเป็นพระพุธข้าก็ยินดีและภาวนาให้เคียงคู่กับท่านพี่ ส่วนเจ้าแม้ข้าจะหวังให้ท่านพี่ชังน้ำหน้าก็หาทำไม่เพราะอะไรนะหรือ เพราะขนาดตัวข้าไม่หวังท่านพี่ชายตาก็ไม่เหลียวแลเจ้าเลยสักนิด”



“เจ้า!!!” คำพูดของมุตตาเป็นดั่งสายลมโหมไฟโกรธาให้ลุกโชน มือถือทวนจึงยกขึ้นสูงอีกครั้งก่อนจะหมายกลางอกของมุตตาเป็นจุดสังหาร



‘เปรี๊ยะ’ ทวนกระทบเข้ากับม่านพลังที่ทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังให้กับมุตตา



“ฮึ!! ข้าอยากรู้นักว่าจะช่วยเจ้าให้รอดพ้นได้นานแค่ไหน” บุรุษสวมหน้ากากเอ่ยออกมาน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดขวาง



ปลายทวนถูกแทงไปยังม่านพลังซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า อีกทั้งใช้คาถาเข้าโจมตีไม่นานม่านพลังก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ชายสวมหน้ากาไม่รอช้าใช้ทวนแทงเข้าที่กลางอก



“กรี๊ด!!!!” มุตตาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด



“เจ็บใช่หรือไม่แต่เจ้าต้องทนเสียหน่อยเพราะข้าจะไม่ให้เจ้าต้องตายไปง่าย ๆ ร่างของเจ้าจะค่อย ๆ สลายกลายเป็นสายวารี ขณะเดียวกันเจ้าจะเจ็บปวดไปจนกว่าร่างทั้งร่างจะแหลกเหลว” ถ้ามุตตามีตาทิพย์ นางจะได้เห็นสีหน้าระรื่นของคนที่สังหารนาง



“เจ้า…เจ้าจงจำเอาไว้…แค่กๆ…สิ่งใดที่เจ้าทำกับข้ามันจะตามสนองเจ้า..อึก…จำเอาไว้” มุตตามองอีกฝ่ายตาเขม็ง แม้นแทบจะไร้ซึ่งลมปราณ มุตตาก็ขอสาปแช่งไอ้สารเลวผู้นี้



“เห็นทีเจ้าคงทรมานไม่พอ ดี…ข้าจะทรมานเจ้าให้จดจำว่าอย่าได้ผุดได้เกิดมาเป็นศัตรูของข้าอีก”หัตถากระชากกายของมุตตาขึ้นมาแล้วเหวี่ยงไปยังหน้าผาให้พลัดตกลงไป ทว่ามุตตากลับเกาะขอบผาเอาไว้ได้



“ตายยากเสียจริง ฮึ!! เช่นนั้นจงใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ฟังข้าไว้ให้ดี จากนี้สืบไปนาคินทร์ลูกของเจ้าจะไม่มีทางใช้ชีวิตเป็นสุข ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ” คนเป็นมารดามีจุดอ่อนอยู่ที่บุตร ไม่เช่นนั้นแผนการนี้จะสำเร็จได้หรือ ร่างโปร่งรู้…รู้ดีจึงใช้วาจาอ้างถึงบุตรของเยาวมาลย์ที่กำลังตะเกียกตะกายให้รอดพ้นจากผาสูงชัน



“อย่ามายุ่งกับนาคินทร์!!!” มุตตาเค้นเสียงเปล่งออกไป



“เจ้าห้ามข้าได้สักที่ไหนกัน...โอ๊ย!!!” ไม่ทันพูดจบประโยค ชายปริศนาก็ล้มลงไปอีกทางด้วยแรงถีบจากด้านข้าง



“หากพี่หญิงห้ามไม่ได้ ข้าจะเป็นคนห้ามเอง สพลช่วยพี่หญิงขึ้นมา ส่วนข้าจะปราบคนชั่วนี้” ผู้มาใหม่เอ่ยออกมา หลังจากใช้ฝ่าเท้ากระแทกเข้าไปที่ร่างของชายที่หมายมั่นว่าเป็นศัตรูของมุตตา



“หากเจ้าคิดว่าทำได้ก็เข้ามา…พระพุธ”













................

มาแล้วค่ะ มาม่าหนึ่งห่อ

กลับมาเขียนการต่อสู้ ถ้าติดขัดหรือภาษาแปลกๆ เพี้ยนๆ บอกได้นะคะ อ่อ ฉากอื่นๆ บทพูดด้วย ติชมแนะนำได้ค่ะ

ตอนนี้ทุกคนจะได้เห็นคนชั่วที่ดูจะร้ายกว่าป๋ากนธีอีก บอกแล้วว่ากนธีคือคนดีของท่านยุ่ง 55555

ส่วนใครที่เดาเรื่องไว้ ทายถูกไหมคะ >< บอกด้วยนะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ติดตาม อ่าน คอมเม้น เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
มุตาจะตายมั้ย? ลุ้นๆ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 20



 ทั้งที่คิดวางแผนมาเสียดิบดี คิดว่าวันนี้จะเป็นวันดีของตนได้สังหารมารความรัก ศัตรูหัวใจอย่างมุตตา ทว่ากลับเป็นไปไม่ได้ดั่งใจคิด หวังว่าจะได้เห็นมุตตาได้ตายอย่างทรมานแต่นี่กระไรกลับมีผู้ที่ตนไม่ได้นับเชิญเข้ามารนหาที่ตายโดยไม่คาดคิด ‘ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน’ อินทุนิลเชื่อแล้วว่าคำสอนนี้หาได้เกินจริงไม่ หากถามว่าอินทุนิลหวั่นใจหรือไม่



‘ไม่!!!’



อีกทั้งยังรู้สึกยินดีเสียมากกว่ากลัว แม้ว่าเทวาตรงหน้าได้ชื่อว่าเป็นเทพผู้ฉลาดปราดเปรื่อง มีความสามารถรอบด้านทุกศาสตร์ ทุกแขนง รบคราใดไม่เคยปราชัย เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วอินทุนิลยิ้มออกมาภายใต้หน้ากากที่ปิดซ่อน อาจเป็นเพราะไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้ว่าตนเป็นผู้หนึ่งที่เก่งกาจและครั้งนี้การแส่หาเรื่องของพระพุธจะเป็นการประกาศก้องให้เป็นที่กล่าวขานจนสะท้านทั่วทั้งไตรโลกันต์ว่าพระพุธพ่ายแพ้และดับสูญไปตลอดกาล



อินทุนิลไม่คิดเลยว่าภายในวันเดียว ตนจะได้ ‘กำจัดศัตรูหัวใจ’ ทั้งสอง เห็นทีว่าความโชคดีคงจะเข้าข้างตนบ้างแล้ว



แต่ก่อนจะกำจัดเทพผู้ทรงคชสาร อินทุนิลภายใต้การปลอมแปลงตนด้วยผ้าคลุมสีทึบผืนใหญ่และหน้ากากโลหะนี้ขอล่อหลอกให้พระพุธเหาะเหินตามตนเข้าไปยังในป่าอีกด้านหนึ่งของหน้าผา



“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!! เจ้าหนีข้าไม่พ้นดอก!!” พระพุธไล่ตาม ขณะเดียวกันแสงประภาสีขาวขาบได้หมุนเกลียวลอยเหนือหัตถาเรียวก่อนจะแล่นเข้าพุ่งใส่เป้าหมายที่กำลังหลบหนี



‘เปรี้ยง!’



กระนั้นกลับพลาด ผู้หลบหนีเบี่ยงกายหลบได้ทันอย่างฉิวเฉียดแลคล้ายจะท้าทายเสียมากกว่าจะใช่บังเอิญเพราะหลังจากครั้งแรกที่หลบได้ ครั้งต่อไปพอเกลียวเวทย์ใกล้จะโดนตัว เพียงไม่ถึงเอื้อมอีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบก้มตัวหนี เพียงเท่านี้พระพุธพอจะประเมินได้ว่าผู้ที่ตนกำลังสู้ฝีไม้ลายมือย่อมไม่ธรรมดา



“เหตุใดถึงแสร้งเป็นไม่สู้ วิ่งหลบหนีข้าด้วยเล่า ทั้งที่เจ้าหาใช่ผู้ไร้ความสามารถ” พระพุธเอ่ย อินทุนิลได้ยินเช่นนั้นก็กระโดดลงสู่พื้นและหยุดการเคลื่อนไหว



…‘สมแล้วที่เป็นเจ้า…พระพุธ ใช้เวลาไม่นานก็พอจะอ่านข้าได้แล้ว’…



“การจะสู้กับผู้ไร้พ่ายเช่นเจ้าจะให้ข้าหุนหันพลันเล่นเข้าต่อสู้โดยพลันได้อย่างไรเล่า ขอข้าเตรียมใจ ไม่สิ…ขอข้าวางแผนสังหารเจ้าก่อนมิได้หรือไร ฮ่า ฮ่า ฮ่า” วาจาอวดดีแสนทะนงตัวหมายจะสร้างความไม่พึงใจแก่ผู้ฟัง หากอินทุนิลหันหลังกลับไปมองพบว่ากระพุธยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย ไร้ความออดอ้อนช่างต่างกับตอนอยู่กับบรรดาพี่น้องและพวกพ้องเสียจริง!!!



“หากให้เดาเจ้าล่อลวงข้าให้เข้ามาในไพรวัลย์เพื่อสังหารใช่หรือไม่และการที่เจ้าไม่เสแสร้งหนีต่อก็คงเพราะเจ้าพร้อมที่จะทำลายชีวิตของข้าแล้ว”



“เก่งมากพระพุธ สมคำร่ำลือว่าเจ้านั้นฉลาดเป็นหนักหนา เสียเพียงอย่างเดียวที่เจ้าไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่าไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้ายังคงมีลมหายใจอยู่ต่อ”…‘แม้จะไม่นานก็ตามทีเพราะอย่างไรเสียข้าจะตามสังหารเจ้าในสักวันหนึ่ง’… ประโยคสุดท้ายอินทุนิลเอื้อยเอ่ยในใจหาได้เปล่งออกไป



“ถึงข้าจะเฉลียวใจ ข้าก็จะเลือกยุ่งเกี่ยว เลือกที่จะช่วยพี่หญิง” พระพุธเอ่ยความจำนงค์ ด้วยตนตั้งมั่นตั้งใจว่าจะช่วยเหลือมุตตาหญิงอันเป็นที่รักของผู้เป็นดั่งเชษฐา



“ช่วยผู้ที่แย่งพระเสาร์ไปจากเจ้าอย่างนั้นหรือ น่าขันสิ้นดี แต่เอาเถิดในเมื่อเจ้าอยากช่วยข้าเองจะมอบความตายเป็นบทเรียนให้เจ้าได้จดจำว่าอย่าได้ แส่!!! หา!!! เรื่อง!!!”



‘เปรี้ยง!!’ อัสนีบาตฟาดเข้ายังต้นไม้ใหญ่ให้ผ่าซีกก่อนจะเกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้น เป็นการเปิดฉากต่อสู้ระหว่างเทพแห่งพิจิกดาราและเทพนพเคราะห์แห่งความฉลาดปราดเปรื่องในญาณ



กัมปนาทดังต่อเนื่องกันจากพงไพรอีกฟากฝั่งจากหน้าผา บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าฝ่ายพระพุธกำลังตีรันกับบุรุษชั่วปริศนา ในเวลาเดียวกันพญากุญชรได้ทำตามคำสั่งให้ช่วยเหลือมุตตา งวงนั้นยื่นออกไปเกี่ยวตวัดพันแขนก่อนออกแรงดึงให้เพื่อรอดพ้นจากขอบผา ทว่ามุตตากลับเกาะขอบผาไว้แน่นพร้อมใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีร่ายมนต์ให้กายนั้นหนักอิ้งจนสพลออกแรงฉุดขึ้นมาอย่างยากลำบาก



“สพลอย่าได้เปลืองแรงฉุดรั้งข้าอีกเลย ปล่อยให้ข้าตายคืนสู่มหานทีเถิด” เมื่อก่อเกิดภายในมหาสมุทรมุตตาจนเติบใหญ่ผ่านเรื่องราวดีร้ายมากมาย พอถึงคราวที่เส้นชะตากำลังจะขาดสะบั้น มุตตาก็หวังให้ตนเองได้ตายคืนสู่สถานที่ตนกำเนิด



“ท่านมุตตาเหตุไฉนถึงกล่าวออกมาเช่นนี้ เพียงท่านคลายมนต์ตัวข้าก็จะสามารถพาท่านให้รอดพ้นจากความตายได้”



“สพลเจ้าจงแลขาข้าให้ดีเถิด เจ้าจะเห็นว่าเงามรณากำลังทาบทับตัวข้าไปเสียครึ่งแล้ว..อึก…แค่ก” มุตตากล่าวพลางมองท่อนล่างของตนเองที่กลายเป็นธาราไหลลงสู่กระแสสินธุ์ด้านล่าง ก่อนจะกระอักโลหิตสีเขียวออกมาเป็นสัญญาณว่ามุตตาจะเหลือเพียงนาม



“ท่านมุตตา!!! ท่านมุตตา!!! คลายมนต์บัดเดี๋ยวนี้แล้วข้าจะพาท่านไปหาเทพโอสถ” สพลตกใจ ดวงตาเล็กของพญาคชสารเบิกกว้างยามเห็นภาพตรงหน้า



“ไม่ทันเสียแล้วสพล หากเจ้าต้องการช่วยข้าจริง ข้านั้นขอให้เจ้านำคำสั่งเสียจากข้าถ่ายทอดต่อไปด้วยเถิด ได้หรือไม่เล่า”



“ได้ ท่านอย่าได้กังวล ทุกถ้อยคำข้าจะบอกกล่าวไม่ให้มีตกหล่น”



“คำสั่งเสียแรกที่ข้าจะให้เจ้าบอกกล่าวคือนาคินทร์ บอกให้นาคินทร์ได้รู้ว่าข้านี้รักนาคินทร์มากเพียงใด ข้าปรารถนาให้นาคินทร์ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อีกทั้งขอให้รพีพงศ์ได้ดูแลนาคินทร์ด้วยและหลังจากนี้สืบไปขอให้ระวังตัวเพราะผู้คิดร้ายต่อข้าอาจจะทำร้ายนาคินทร์ได้ ถึงเพลานี้ข้าจะไม่รู้ว่าคนชั่วช้าเป็นใครแต่ข้าเชื่อว่านาคินทร์จะสามารถตามตัวมันเจอได้แน่” คนแรกที่มุตตานึกถึงหาใช่ใครอื่น บุตรในอุทรผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ



“ข้าจะบอกท่านนาคินทร์และท่านรพีพงศ์ให้ทราบ” สพลรับปาก มุตตาได้ยินก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง



“ต่อมาข้าขอให้เจ้าบอกกล่าวพระเสาร์ ตัวข้านี้รักพระเสาร์แม้นว่าเราทั้งสองจะใช้เวลาอยู่ร่วมกันเพียงน้อยนิดก็ตาม และในยามนี้วาสนาของเราสองได้สิ้นสุด จากนี้ไปเพียงระลึกถึงข้าบ้างเท่านี้ก็เพียงพอแต่อย่าได้จมปลักในความเศร้า ข้าอยากให้พระเสาร์มีความสุขในทุกวัน ตลอดต่อไปภายหน้าหากได้รักใครก็อย่าได้รู้สึกผิดต่อข้าเพราะข้าเชื่อว่าผู้นั้นจะสามารถดูแลพระเสาร์ได้เป็นอย่างดี” ต่อมากล่าวถึงคนสำคัญที่มอบความรัก ความปรารถนาดีให้กับมุตตาไม่แปรเปลี่ยน มุตตาดีใจเหลือเกินที่ได้เจอพระเสาร์ ถึงแม้ว่าสาเหตุในการตายของนางส่วนหนึ่งมาจากผู้อันเป็นที่รักแต่มุตตาไม่นึกโทษแม้แต่น้อย



“สุดท้ายข้าขอให้นำความนี้ถึงพระพุธนายของเจ้า…แค่กๆ..อึก” คำขอสุดท้ายกำลังจะถ่ายทอด ทว่าร่างกายของมุตตากลายเป็นน้ำจนเกือบถึงอุราเสียแล้ว



…‘สวรรค์เอ๋ย…อย่าได้ใจกับข้าเลย ในบั้นปลายชีวินขอข้าได้เอ่ยในสิ่งที่อยากเอ่ยด้วยเถิดหนา’…



“ท่านมุตตา..ทำใจดี ๆ ไว้” สพลเห็นท่าไม่ดีเรียกชื่อเพื่อให้มุตตายังครองสติต่อไปได้



“ข้ายังไหว…อึก…สพล..ข้ายังไหว…ถึงจะไม่นานก็ตามที” มุตตาเอ่ยก่อนจะกล่าวต่อไปอีกว่า



“ข้าขอขอบน้ำใจพระพุธเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ถือองค์ รังเกียจนาคผู้นี้ ทั้งนับญาติข้าให้เป็นพี่หญิง คอยช่วยเหลือข้าตั้งมากมายแต่ข้าขออภัยที่ไม่สามารถจะอยู่ตอบแทนคุณได้ ในเมื่อนาฬิกาชีวิตของข้ามีเพียงน้อยนิด สิ่งที่ข้าทำได้คือขอให้พระพุธได้สมหวังในปรารถนาทุกประการ ไปที่ใดพบพานความสุขีและเปิดใจอย่าได้ปิดกั้นกับสิ่งใดอีก สุดท้ายข้ายังรบกวนมีเรื่องจะร้องขอวิงวอนให้พระพุธช่วยดูแลพระเสาร์และนาคินทร์ด้วย…พรวด” คราวนี้มุตตาไม่ได้กระอักโลหิตแต่สำรอกออกมาเป็นลิ่มเลือด



“ถึงเวลาแล้วสินะ สพลรับปากข้าว่าจะนำสิ่งที่ข้าเอ่ยบอกกล่าวนาคินทร์ พระเสาร์…อึก…พระพุธ”



“ข้ารับปาก ข้าจะถ่ายทอดทุกคำไม่มีตกหล่น ท่านมุตตาโปรดวางใจ”



“ขอบน้ำใจเจ้ามากสพล ตัวข้านี้ไม่มีอันใดต้องกังวลแล้วดังนั้นเจ้าจงปล่อยแขนข้าและนำกำไลหยกนี้คืนพระพุธ เมื่อร่างข้าหลอมรวมไปกับมหาสมุทรแก้วนาคาในกายข้าจะลอยขึ้นมา เพลานั้นเจ้าจงเก็บมันไว้มอบแก่พระเสาร์”



“ท่านมุตตา…ข้า…” สพลได้ฟังนึกลังเล ไม่อยากปล่อยมุตตาลงไปสู่ห้วงมหาสมุทร



“ปล่อยเถิด…ถือเป็นคำขอครั้งสุดท้ายของนาคใกล้ตายเช่นข้า”



“เช่นนั้น…ข้าขอให้ท่านได้เกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี อย่าได้มีใครมาทำร้ายท่านเช่นนี้อีก” สิ้นเสียงสพล งวงนั้นค่อย ๆ ปล่อยแขนของมุตตาโดยไม่ลืมที่จะรูดกำไลออกมาจากแขนเรียว



มุตตาที่บัดนี้ร่างกายเหลือเพียงไม่กี่ส่วนก็ตกลงไปสู่ด้านล่างดั่งใจปรารถนา วินาทีที่ตกลงไปมันช่างเชื่องช้าเหลือเกิน ช้าพอให้มุตตาได้หลับตานึกถึงความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิต แม้จะเล็กน้อยแต่ก็เพียงพอให้ใจได้เปรมปรีดิ์ รอยยิ้มย่องปรากฏบนใบหน้าให้สพลที่ยังคงมองอยู่ได้เห็น ก่อนมุตตาจะถูกเกลียวคลื่นนำพากายาผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว เหลือเพียงความว่างเปล่าราวกับว่าที่ตรงนั้นไม่เคยมีใครจมดิ่งลงไป หากไม่นานมวลผืนชลธารมีแสงสว่างแผ่กระจายทั่วบริเวณ ดวงแก้วนาคาลอยล่องขึ้นจนพ้นผิวน้ำและหยุดตรงหน้าสพล



“ข้าจะรับไว้แล้วอย่าได้ห่วงอันใดเลย…ท่านมุตตา”



ย้อนเวลาไปในขณะที่มุตตากำลังฝากคำสั่งเสียแก่สพล ทางพระพุธเองก็กำลังต่อสู้กับอินทุนิลอย่างไม่มีใครยอมใคร ไม่ว่าจะใช้เวทย์หรือคาถาใดล้วนแล้วสูสี แม้แต่สู้ศาสตราวุธก็ตาม ทว่าด้วยประสบการณ์ด้านการรบของพระพุธทำให้ได้เปรียบกว่าอินทุนิลผู้ที่ศึกษายุทธศาสตร์แค่ในตำรา



บัดนี้ต่างคนต่างถอยออกมายืนคนละฝั่ง อินทุนิลยังคงใช้ทวนอาวุธคู่กายในการต่อสู้ ด้านพระพุธที่มักจะใช้พระขรรค์แต่เมื่อคู่ต่อสู้ใช้ศัสตราวุธยาวจะให้ใช้พระขรรค์ก็จะไม่สมน้ำสมเนื้อจึงเลือกที่จะใช้คทาแก้ว



คทาแก้วหนึ่งในอาวุธประจำกายที่เกิดจากบัวพันปีกลางสวนขวัญโดยพระผู้สร้างพระองค์ก่อนได้พระราชทานให้เมื่อครั้งครองตำแหน่งในพุธโลก ยอดของคฑาเป็นดวงแก้วใสภายในมีหยกขาวสลักเป็นรูปปทุมชาติ ส่วนด้ามนั้นเป็นหยกเช่นเดียวกันโดยไล่สีจากสีขาวน้ำนมลงไปกลายเป็นสีเขียวซึ่งได้ประดับด้วยโกเมนสีเขียวและบุษราคัม



…‘ถึงมีอาวุธเปี่ยมล้นไปด้วยฤทธานุภาพ พระพุธก็ไม่ประมาท’…



“เข้ามาสิพระพุธ” หลังจากดูท่าทีหาช่องโหว่ของกันและกัน เสียงเรียกเชิงท้าทายให้บุตรแห่งจันทราเทพเข้าหา



“ถึงเจ้าไม่เรียกข้าก็เข้าหาเจ้าอยู่แล้ว…อย่าได้ลืมตั้งสติรับมือข้าล่ะ” โดยปกติพระพุธมักพูดจาอ่อนหวาน นิสัยถ่อมตน หากเวลานี้พระพุธกระทำตนตรงข้าม แม้นอยากจะพูดจาดีให้สมกับที่ถูกยกย่องว่าวาทศิลป์เป็นเลิศ ทว่าผู้ที่มีจิตใจเลวทรามเช่นนี้พระพุธไม่อยากจะเสวนาเสียด้วยซ้ำ



‘เคร้ง’



อีกครั้งที่สองอาวุธกระทบกันต่างฝ่ายต่างผลัดกันโต้ตอบ หาเลยจะมีคนคิดยอมแพ้ คนหนึ่งต้องการเอาชีวิต คนหนึ่งต้องการความเป็นธรรมให้แก่คนที่ตนปกป้อง



“โอ๊ย!!” อินทุนิลร้องออกมา เมื่อสีข้างของตนถูกพระพุธเตะเข้าอย่างจังจนถลาไปอีกทางซ้ำยังควงคทาตามมาตีอีก โชคดีที่อินทุนิลยังหลบหลีกได้ หากเรี่ยวแรงกลับลดลงกว่าปกติด้วยพระพุธได้รับพรวิเศษ ใครได้สู้รบด้วยแล้วพลกำลังจะลดลงไปกึ่งหนึ่ง



…‘เห็นทีจะต้องรีบปิดฉากเสียแล้ว ขืนยืดเยื้อจะกลายเป็นข้าเองที่จะเพลี่ยงพล้ำ’…



อินทุนิลโยนทวนขึ้นไปให้ลอยบนอากาศ ทวนยาวกลายเป็นละอองเงินยวงก่อรูปเป็นแมงป่องแก้วยักษ์ชูหางยาวพุ่งเข้าโจมตีคู่อาฆาต หมายจะมอบพิษให้ทนทุกข์ทรมานจนสิ้นชีวาวาย



หากพระพุธเองหลบหลีกได้ทันท่วงที ก่อนจะเขวี้ยงคทาพุ่งไปยังแมงป่อง รัศมีสีใบตองอ่อนเจิดจ้าก่อนจะอ่อนแสงลงให้ประจักษ์เห็นราชสีห์สีขาวราวไข่มุกน่าเกรงขาม ราชสีห์ร่างใหญ่กระโดดเข้าตะปบแมงป่องให้หยุดนิ่งอย่างคล่องแคล่ว แล้วฝังคมเขี้ยวกัดเข้าที่ลำตัวจนแมงป่องยักษ์ทนเจ็บไม่ไหวกลายเป็นทวนคืนสู่อินทุนิล ราชสีห์เองก็กลายเป็นคทากลับคืนสู่พระพุธ



“ย๊า!!” อินทุนิลอาศัยจังหวะที่พระพุธเผลอรับคทาขว้างทวนเข้าใส่ พระพุธหมุนกายหลบได้ทันแล้วร่ายเวทย์ให้คทาปล่อยเพลิงหิมะออกไปหมายจะแช่แข็งอินทุนิล



…‘ทว่า…พระพุธตกหลุมพลางของอินทุนิลเสียแล้ว’…



เปลวไฟขาวโพลนลุกลามใกล้ถึงตัวอินทุนิล หากเทวาพิจกดาราร่ายคาถาสร้างบานกระจกเงาสะท้อนกลับบานใหญ่ขึ้นมาขึ้นมา ทำให้เพลิงหิมะตีกลับไปยังพระพุธจนร่างกายกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่



…‘คาถากระจกเงาสะท้อนกลับ มันจะสะท้อนคาถาและอาวุธคืนสู่ฝ่ายโจมตีและผลของมันร้ายแรงกว่าเป็นเท่าตัว คาถานี้สูญหายไปนานเนื่องจากเป็นคาถานอกรีต เหตุใดถึงได้…’…



แม้พระพุธจะสงสัยเพียงใดแต่เวลานี้คงไม่อาจคิดหาคำตอบได้ สัมผัสเย็นยะเยือกจากเปลวอัคคีลุกลามจนเรียวขาทั้งสองไม่อาจขยับ กระนั้นพระพุธพอมีแรงใช้แขนยันกายให้นั่งพิงกับต้นไม้



“ตายยากตายเย็นเสียจริงแต่ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเจ้าจะต้องตายอยู่ดี ตายอย่างทรมานด้วยฤทธิ์ของเจ้าเอง” อินทุนิลเอ่ยพลางเดินแกว่งไกวทวนหมายจะเอาคมของมันลงกรีดเนื้อกายของพระพุธ



“ไม่คิดเลยว่าข้าจะมีวันนี้ วันที่ข้าเอาชนะเทพไร้พ่าย” อินทุนิลหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของพระพุธที่ลมหายใจโรยริน ฉวีวรรณและนิมฝีปากขาวซีดจนเห็นได้ชัด อินทุนิลนึกเย้ยหยันยกเท้าขึ้นจะเหยียบอุราเพื่อหยามเกียรติ



“โอ๊ย!!”



ทว่าไม่ทันที่ฝ่าเท้าจะได้สัมผัส พระพุธหยิบคทาที่ตกอยู่ข้างกายฟาดเข้าที่หน้าของอินทุนิล จากนั้นก็ฟาดเข้าที่กลางลำตัวของคนที่เข้ามาทำร้ายจนอินทุนิลล้มลงไปนอน



‘ปึก’ แผ่นโลหะกระทบกับพื้นดิน หน้ากากที่ใช้ปิดซ่อนตัวตนแตกออกมาเป็นเศษเสี้ยวจากแรงกระทบของคทาบงกชหยก



“อินทุนิล…อึก..ปะ..เป็นเจ้า” พระพุธเอ่ยออกมาน้ำเสียงสั่นเครือจากความหนาวเหน็บ คำพูดสุดท้ายก่อนจะหลับตาลงด้วยไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป



“ใช่เป็นข้า…ในเมื่อเห็นใบหน้าข้าแล้ว ข้าคงจะต้องใช้ทวนทะลวงใจเจ้า ให้มั่นใจว่าเจ้าจะไม่ตื่นขึ้นมาประกาศก้องว่าข้าเป็นใจ” อินทุนิลลุกขึ้นอีกครั้ง มือกำด้ามทวนไว้แน่น



“หยุด!!! อย่าได้แตะต้องพระพุธ” เสียงดังแว่วมาจากด้านหลัง อินทุนิลหยุดการกระทำก่อนจะหายตัวไปในชั่วพริบตา บัดนี้ตนหาได้มีสิ่งใดปกปิดจึงไม่คิดจะเสี่ยงเผยตัวตนให้ใครได้เห็นอีก



…‘อย่างไรเสียข้ายังมีโอกาสข้าเจ้าได้อยู่ดี…พระพุธ’…



“พระพุธ…พระพุธ” สพลส่งเสียงเรียก หากเจ้าของชื่อกลับแน่นิ่งจนใจของสพลสั่นไหวขาทั้งสี่เดินเข้าหาผู้มีตำแหน่งทั้งนายและสหายโดยไว



“พระพุธ..” สพลมองร่างขาวซีด เนื้อตัวมีเกล็ดน้ำแข็งคลุมกายบาง ๆ พญากุญชรยื่นงวงออกไปแตะข้อมือของพระพุธ…ชีพจรแผ่วเบาสอดคล้องกับลมหายใจที่แทบจะขาดห้วง



“แปร๊น!!!” เสียงร้องสูงแหลมของสพลดังสนั่นได้ยินชัดถึงชั้นฟ้า เท้าหน้ายกกระทืบพิภพจนแผ่นดินไหว



“พระพุธ…ท่านอย่าได้เป็นอันใด อดทนไว้ ข้าจะพาท่านไปหาเทพโอสถ” สพลใช้งวงรัดกายพระพุธขึ้นมาให้นอนทอดกายกับงาทั้งสอง



“เกิดอะไรขึ้นสพล เหตุใดเจ้าส่งเสียงดังก้อง” สพลได้ยินจึงหันหลังกลับไปก็พบว่าเป็นพระเสาร์กับนาคินทร์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างกาย



เหตุที่พระเสาร์กับนาคินทร์ได้ยินสพลส่งเสียงร้องปานจะขาดใจเป็นเพราะนาคินทร์ร้อนรุ่มใจอยากพบเจอมุตตา จึงออกเดินทางมาหามารดา ณ วิมารหงสบาท แต่เมื่อมาถึงได้ทราบความว่ามุตตาออกไปช่วยตนจากอสูรร้ายจึงได้รู้ว่ามีผู้ไม่หวังดีล่อลวงมุตตาออกไป เวลาเดียวกันพระเสาร์ได้กลับมายังวิมานก่อนเวลาทั้งที่ยังทำภารกิจด้วยจิตใจว้าวุ่นไม่ต่างจากบุตรา นาคินทร์ได้เล่าเรื่องราวให้พระเสาร์ฟังทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุร้ายกับนาคีคู่กาย



“ท่านพ่อ ข้าว่าเราทั้งสองรีบออกตามหาท่านแม่กันเถิด”



“ทหาร!!! เร่งออกตามหามุตตาให้ทั่ว ไม่ว่าจะที่ใด สวรรค์ นรกภูมิ โลกมนุษย์หรือใต้บาดาล พวกเจ้าจงเร่งออกหา!!!”



พอได้ออกจากวิมานไม่นาน ก็ได้ยินเสียงของสพลดังมาจากพนาด้านล่างจึงเร่งลงมาดู ก็ได้พบเจอกับสพลสัตว์พาหนะของพระพุธ ซึ่งเพลานี้ผู้ที่เป็นนายกลับหลับใหลอยู่บนงาใหญ่



“ท่านอา”



“เจ้าพุธ…เกิดอันใดขึ้น ไยน้องข้าถึงเป็นเช่นนี้” พระเสาร์ไม่อาจจะปิดบังความเป็นห่วงไว้ได้ รีบวิ่งเข้าหาโดยไม่กลัวว่าใครจะหาว่าเสียกริยาจากที่เป็นอยู่ด้วยตลอดมามักนิ่งเฉยกับทุกสิ่ง แต่บัดนี้พระเสาร์ไม่สนว่าใครจะเห็นแล้วไปพูดต่อว่าเช่นไร เทพผู้แข็งแกร่งสนเพียงร่างโปร่งตรงหน้าเท่านั้น โดยมีนาคินทร์วิ่งตามหลังเข้าหาผู้เป็นอา



“พระพุธเข้ามาช่วยท่านมุตตา หากแต่ศัตรูนั้นเก่งกาจยิ่งนักพอข้ามาถึง พระพุธ…พระพุธก็…” นาคินทร์และพระเสาร์ได้สดับฟัง ดวงใจนั้นตกวูบลงไปยังตาตุ่ม



“สพล…แล้วท่านแม่ของข้าเล่า ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ใด” นาคินทร์หันซ้ายแลขวาไม่พบมารดาของตนเอง จึงได้สอบถาม เนตรคู่งามมีอัสสุชลคลอเบ้า



“ท่านมุตตา…”



.



.



.



“ท่านมุตตาสิ้นใจแล้ว”







................................

มาแล้ว อย่าเพิ่งตบตีกันนะคะ อย่าเพิ่งตีท่านยุ่ง

ตอนนี้ถือว่าเป็นตอนที่ยากตอนหนึ่งต้องเขียนดราม่าซึ่งครั้งนี้กังวลว่าคนอ่านจะรับรู้ความรู้สึกผ่านตัวอักษรที่ยุ่งสื่อถึงไหม ยังไงผ่านมาอ่านบอกยุ่งด้วยนะคะ

ส่วนฉากต่อสู้ ท่านยุ่งชอบเขียนค่ะแต่มันยาก แต่ท่านยุ่งสู้ค่ะ 55555

หลังจากตอนนี้จะเข้มข้นมากขึ้น พล็อตจะไปทางน้ำเน่า ถึงเวลานั้นเอาผ้าปิดจมูกอ่านได้เลยค่ะ ใบ้นิดๆ เราจะได้เห็นนาคินทร์ในอีกรูปแบบหนึ่งเลย

สุดท้ายนี้เช่นเดิม ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น เป็นกำลังใจให้ สามารถติ ชม วิจารณ์ แนะนำได้นะคะ




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung 0209

File : 21



ช่วงชีวิตของคนเรามักจะมีเรื่องใหญ่ร้ายแรงมาทดสอบเรา เพื่อวัดความแข็งแกร่งของเราว่าจะสามารถข้ามผ่านมันไปได้หรือไม่ ในระหว่างที่ฟันฝ่าย่อมพบเจออุปสรรคนานับปการ สูญเสียน้ำตาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันหยด ไหนจะต้องประคับประคองดวงใจที่ใกล้แตกสลาย ผู้เผชิญย่อมพบเจอความเจ็บปวดมาบั่นทอน ทว่าถ้าเราเข้มแข็งจนสามารถผ่านพ้นพายุลูกใหญ่ที่ชื่อว่าปัญหาไปได้ จากนี้ไปไม่ต้องเกรงกลัวว่าสิ่งใดจะมาทำร้ายเราให้เจ็บปวดอีก



…‘นาคินทร์เคยเชื่อเช่นนั้น…’…



‘…ใช่…เคยเชื่อ’…



ความเชื่อที่ไม่มีทางจะเป็นจริง ความเชื่อที่ไม่ต่างจากนิทานหลอกเด็ก นาคินทร์ได้ปล่อยให้มันจมไปกับน้ำตาที่ไหลนองจากการสูญเสียมารดาคนเดียวของตนไปตลอดกาล



…‘เหตุใดถึงต้องเป็นข้าที่เผชิญความทุกข์ใจ ความเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าได้ทำกรรมใดเอาไว้ ถึงต้องชดใช้ด้วยความช้ำใจไม่จบสิ้นเช่นนี้’…



“นาคินทร์…” เสียงทุ้มของคนที่รักดังแว่วเข้าหู นาคาน้อยที่กำลังพาตัวเองให้แหวกว่ายในกระแสสินธุ์โศกาจึงได้สติขึ้นมา นาคินทร์ที่กำลังก้มหน้าก้มตาสะอื้นไห้พลันเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าคนที่ตนรัก คนที่เป็นดั่งแสงประภาส่องสว่างในความมืดกำลังเดินเข้ามา



“ฮึก…ฮือ…ท่านพี่…ท่านพี่…ฮือ” นาคินทร์ร้องไห้ออกมาไม่อายใคร นางกำนัลรับใช้ตลอดจนทหารก้านบัวประจำวิมานได้ยินเสียงสะอื้นปานจะขาดใจต่างนึกสงสาร ทั้งเสียใจไม่ต่างจากผู้เป็นนายเหนือหัวเมื่อได้รับรู้ข่าวร้ายว่าชายาข้างกายพระเสาร์ตลอดจนนางอัปสร ทหารกล้าที่อยู่รวมกันมานั้นไม่สามารถหวนคืนกลับมาอีกต่อไป



“นาคินทร์...ร้องออกมาเถิด พี่สัญญาว่าจะอยู่ปลอบเจ้า จะเช็ดน้ำตาให้กับเจ้าทุกหยาดหยด” รพีพงศ์ประทับนั่งลงเคียงข้าง โอบร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาเข้ามาในอ้อมกอด รพีพงศ์เข้าใจนาคินทร์ดีว่าการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักมันยากยิ่งที่จะทำใจ พอรู้ข่าวร้ายจึงไม่รีรอเร่งมาเยือนวิมานของพระเสาร์เพืรอปลอบนาคน้อยที่ขวัญกระเจิงจากเหตุสะเทือนใจ



‘แอ๊ด..’ บานประตูไม้เปิดออกนาคินทร์ซึ่งกำลังซบดวงหน้าตรางอุราของรพีพงศ์ก็ผละกายออก เมื่อเทวาเจ้าของวิมานเดินออกมาพร้อมกับสพลกลายร่างเป็นมนุษย์ร่างสูงใหญ่



“ท่านอาเป็นเช่นไรบ้าง…ท่านพ่อ สพล รักษาท่านอาได้หรือไม่” นาคินทร์แม้นเสียใจแต่ก็ยังห่วงผู้มีพระคุณของตน



สพลส่ายหน้าเป็นคำตอบ หลังจากพบร่างไร้สติของพระพุธและได้ล่วงรู้ว่ามุตตานั้นสูญสิ้นวิญญาณ พระเสาร์ก็หอบความเสียใจและพาพระพุธกลับมายังวิมานหงสบาทเพื่อทำการรักษา ทว่าทำเช่นไรก็ไม่สามารถขจัดเกล็ดน้ำแข็งที่ฉาบไปทั่วฉวีวรรณของพระพุธได้ พอหยุดกระทำวางมือจากการรักษาได้ไม่นาน ร่างของพระพุธก็แผ่ไอเย็นสร้างความหนาวเหน็บราวกับว่ากำลังเข้าสู่เหมัต์ฤดู แม้สพลจะช่วยอีกแรงด้วยความห่วงผู้เป็นทั้งสหาย เป็นทั้งนาย สุดท้ายจึงได้ออกมาจากห้องบรรทมของพระเสาร์



ด้านเทพผู้ได้รับขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดในนพเคราะห์ประทับนั่งลงบนแท่นรัตนาสีนิล พักตราที่มีหน้ากากปิดไปเสียครึ่งกลับปิดได้เพียงเนื้อหยาบ ไม่สามารถปิดความเศร้าใจ ความกังวลได้ รพีพงศ์ฉุกคิดในใจเห็นทีเรื่องราวการลอบสังหารมารดาของคนรักจะไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว



“ข้าขออภัยท่านพอจะเล่าเรื่องราวให้ข้าได้ฟังได้หรือไม่สพล” แม้จะรู้ดีว่าเป็นการให้ผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้เล่าเรื่องราวไม่ต่างจากการให้ผู้เล่าเผชิญเหตุการณ์ร้ายซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า แต่รพีพงศ์ต้องการจะรู้เพื่อที่จะมีเบาะแสไว้ใช้หาตัวคนร้ายได้ สพลได้ยินดังนั้นหันมองพระเสาร์และนาคินทร์เพื่อขอความเห็น



“เล่าเถิด…สพล ข้าเองก็อยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร” นาคินทร์เอ่ยเพราะพอรู้ว่ามารดาสิ้นใจก็ร้องไห้จนไม่รับรู้สิ่งใดอีก ประกอบกับต้องพาพระพุธมารักษาจึงไม่ทราบเรื่องราวโดยละเอียด นาคินทร์ยอมที่จะรับฟังความจริงที่ไม่ต่างจากใบมีดคมกรีดแทงดวงใจ



“เช่นนั้นข้ากับพระจันทร์ก็ขอร่วมรับฟังด้วยได้หรือไม่” ยังไม่ทันที่สพลจะเปิดปากเล่าก็มีเสียงทุ้มเข้ามาแทรก



“พระพฤหัสบดี พระจันทร์” พระเสาร์หันมองก็พบว่าผู้มาเยือนหาใช่ใครอื่นไกล แม้ไม่สนิทก็ถือว่าคุ้นเคยด้วยมีพระพุธเป็นสายใยถักทอคอยเชื่อมความสัมพันธ์



“ข้าขออภัยที่มาเยือนโดยไม่บอกกล่าว พวกข้าเพียงอยากมาหาน้องของข้าและต้องการมาแสดงความเสียใจเรื่องหญิงคนรักของท่านด้วย” พระพฤหัสบดีเอ่ย



“เชิญท่านทั้งสองนั่งลงเถิด ขอบน้ำใจท่านทั้งสองมาที่อุตส่าห์มาถึงวิมานของข้า” ประโยคสั้นพระเสาร์เอ่ยถือว่าเป็นคำอนุญาต เทพทั้งสองเดินเข้ามาประทับนั่งโดยทันที



สพลกวาดสายตามองก็คิดว่าทั้งหมดคงพร้อมที่จะฟังเรื่องราวจากตน ไม่รอช้าสพลขยับริมฝีปากเล่าเรื่องราวที่ตนนั้นรับรู้ เริ่มด้วยคราแรกพระพุธได้นั่งสมาธิยังวิมานตามปกติเฉกเช่นทุกวัน ทว่าพระพุธกลับเรียกตนให้ปรากฏกายแล้วเดินทางออกจากวิมาน สพลคิดว่าพระพุธจะต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ถึงได้ไม่สามารถเก็บอาการ ระวังกิริยาที่มักสงบเสงี่ยมเอาไว้ได้ ท่าทางของพระพุธทุกข์ร้อนแทบจะนั่งไม่ติดชิดหลังของกุญชรพาหนะ จนกระทั่งมาถึงจุดหมายสพลถึงเข้าใจว่าพระพุธรับรู้ถึงอันตรายของนางมุตตาจึงได้รีบร้อนออกจากวิมาน



“จันทรัชรู้ได้อย่างไรว่ามุตตาอยู่ในอันตราย” พระจันทร์เอ่ยถาม แม้พอจะรู้ว่าน้องน้อยของตนจะสนิทสนมกับคนรักของพระเสาร์แต่ไม่คิดว่าใจจะพันผูกถึงขั้นรับรู้อันตรายต่อกันได้



“ข้าคิดว่าเพราะสิ่งนี้” สพลแบมือออกมาปรากฏวงแหวนสีนวลตาก่อนจะกลายเป็นกำไลหยกสีน้ำผึ้ง เครื่องประดับประจำกายของพระพุธ ก่อนจะกำมันเพื่อเก็บเอาไว้อีกครั้ง



“หลังจากนั้นข้ากับพระพุธก็แยกจากกัน พระพุธตามไปจับตัวคนชั่วช้าขณะที่ข้าฉุดร่างของท่านมุตตาขึ้นมา ทว่า…ร่างของท่านมุตตาค่อยๆกลายเป็นวารีไหลลงมหาสมุทร ทั้งยังร่ายเวทย์มิยอมให้ข้าฉุดรั้งขึ้นมาพ้นขอบเหวได้ สุดท้ายร่างของท่านมุตตาก็สลายจนสิ้น”



“ฮือ…ท่านแม่” นาคินทร์ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ทั้งที่รับรู้ว่าร่างของมารดาได้สูญหายแต่ตนไม่รู้ว่าก่อนจะไร้ร่าง ไร้วิญญาณ มารดาของตนต้องทนทุกข์ทรมาณเพียงใด ด้านพระเสาร์สะกดกลั้นข่มอารมณ์เอาไว้แต่มิอาจทำได้



‘เพล้ง!!!’



‘ปัง!!’



เสียงข้าวของเครื่องแก้วต่างตกลงแตกสู้พื้น เศษของมันกระจัดกระจายไปทั่ว บานหน้าต่างและบานปนะตูต่างเปิดปิดไม่หยุดเสียงดังโครมครามไม่ต่างมีลมพายุหมุนวนรอบวิมาน



“พระเสาร์!! ได้โปรดระงับโทสะ!!” จันทร์เอ่ยพลางร่ายคาถาให้สิ่งของที่เสียหายกลับคืนมาเช่นเดิม



พระเสาร์หลับตาลงทำสมาธิเพื่อเรียกหาสติให้กลับคืนมา พยายามข่มจิตไม่ให้ทำลายอย่าได้ทำลายข้าวของและคิดว่าหากจะทำลาย ตนขอทำลายชีวิตของคนที่สังหารมุตตา จะขอทะมเทความแค้นที่มีประเคนให้จนหมดสิ้นไม่มีเหลือ



“แล้วจากนั้นน้องข้าเล่าไยถึงบาดเจ็บ” พระพฤหัสบดีถามต่อ เมื่อเห็นว่าพระเสาร์สงบลงบ้างแล้ว



“ด้านพระพุธข้าตามไปเจอตอนที่ไอ้คนชั่วช้ากำลังเอาทวนหมายจะแทงอกให้สิ้นชีวัน ทว่าพอข้ามามันก็หายตัวไปทันที นั่นทำให้ข้าคิดว่าพระพุธอาจจะเห็นหน้าของคนร้าย”



“อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้นสพล” รพีพงศ์เกิดข้อสงสัยจึงถามออกไป



“เพราะคราแรกที่ข้าได้เจอมัน มันสวมหน้ากากเอาไว้แต่พอเจออีกครั้งมันกลับรีบหนีไม่หันกลับมาดูหน้าข้าเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่มันนั้นเก่งกาจถึงขั้นทำพระพุธบาดเจ็บได้แล้วไยมันจะเอาชัยเหนือข้าไม่ได้เล่า นอกจากว่าพระพุธทำลายหน้ากากนั่นได้มันจึงรีบหลบหนีกลัวว่าข้าจะเห็นหน้าของมันไปด้วยอีกคน”



“หากเป็นเช่นนั้นจริงพระพุธย่อมอยู่ในอันตราย มันจะต้องกลับมาสังหารพระพุธเพื่อปิดปากแน่” รพีพงศ์คาดเดาตามคิด



สิ้นเสียงของรพีพงศ์ บรรยากาศภายในวิมานของพระเสาร์ค่อย ๆ เย็นลงฉับพลันจนน่าประหลาด ดวงเนตรทุกคู่ต่างมองหาความผิดปกติก็พบว่ามีไอเย็นแผ่อออกมาคล้ายหมอกควันออกมาจากห้องบรรทมของพระเสาร์



“จันทรัชน้องพี่!!” พระจันทร์ตกใจจนเผลอเรียกขานนามเดิมของพระพุธ ทันทีที่พระจันทร์เอ่ยจบทุกคนต่างวิ่งกรูเข้าไปภายในห้องโดยไม่คิดขออนุญาตเจ้าของแต่อย่างใด



“ท่านอา…เหตุใดท่านอาถึงเป็นเช่นนี้” นาคินทร์ถามเสียงสั่น มองร่างของพระพุธที่โอบล้อมไปด้วยไอเย็นและละอองน้ำแข็งที่กระจายโดยรอบ ดูเหมือนอาการจะแย่กว่าที่นาคินทร์ได้พบเจอในป่าพร้อมกับสพลเสียอีก ด้านรพีพงศ์ผู้เป็นเทวาแห่งดวงดาวอัคคีได้เห็นว่าไอเย็นจะต้องถูกขจัดด้วยไออุ่นก็ร่ายคาถาส่งความร้อนจากฝ่ามือตนไปยังร่างของพระพุธเผื่อระงับความหนาวเหน็บที่ออกมาไว้ชั่วคราว



“เพลิงหิมะ…ไม่จริง…จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อคาถานี้มีเพียงพระพุธที่ใช้มันได้” เพียงปราดเดียวจันทรเทพก็รู้ทันทีว่าน้องของตนบาดเจ็บเพราะสิ่งใด



“ใช่ ข้าเองก็แทบจะไม่เชื่อว่าจะเป็นคาถานี้ จนข้ากับสพลร่วมมือกันรักษา หากระงับได้ไม่นานก็กลับมาเป็นเช่นนี้อีก”



“การที่จันทรัชโดนคาถาของตนเข้าตัว เป็นไปได้ว่าคนผู้นั้นต้องใช้วิชาคาถากระจกมายาสะท้อนกลับ” พระพฤหัสบดีผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้กล่าวออกมา



“คาถานี้มันเป็นคาถาต้องห้ามมิใช่หรือ ซ้ำยังสูญหายไปพร้อมกับการปราบมารล้านภาคในหลายร้อยปีก่อน” พระจันทร์ตั้งคำถาม



“สูญหายแต่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ค้นพบ” พระเสาร์เอ่ย



“นั่นสิ อีกทั้งผู้ปราบมารล้านภาคในครานั้นก็คือพระพุธเป็นไปได้หรือไม่ว่าสมุนรับใช้จะต้องการแก้แค้น โดยใช้นางมุตตาเป็นเหยื่อล่อให้พระพุธออกมาแต่น่าแปลกเพียงต้องใช้เหยื่อล่อ ไยต้องทำร้ายมุตตาถึงเพียงนี้” พระจันทร์วิเคราะห์ความเป็นไปได้ หากถูกสพลแย้งขึ้น



“ข้าว่าน่าจะไม่ใช่ดั่งที่ท่านกล่าวจันทรเทพ ก่อนท่านมุตตาจะจากไปนางได้กล่าวคำสั่งเสียไว้”



“แล้วไยเจ้าถึงไม่บอกเล่าสพล มุตตาได้กล่าวว่าเช่นไร ได้บอกหรือไม่ว่ามันผู้ใดทำร้ายมัน ไหนเจ้าจงเอ่ยออกมาว่ามุตตากล่าวว่าเช่นไร” พระเสาร์แทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่ เร่งเท้าเดินเข้าหาสพลโดยพลัน



“ใจเย็น ๆ พระเสาร์ ข้าจะบอกท่านบัดเดี๋ยวนี้” พญาคชสารถ่ายทอดทุกถ้อยคำให้แก่ทุกคนได้ฟังไม่มีตกหล่น



“จากคำที่มุตตาได้บอกกล่าวผู้คิดร้ายต่อนางอาจทำร้ายนาคินทร์ได้ แสดงว่ามันต้องการทำร้ายนางจริงและนาคินทร์เองจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไปเช่นเดียวกัน” พระพฤหัสบดีเอ่ย



“หากเป็นเป็นเช่นนั้นจริงเราจำต้องเตรียมการป้องกันทั้งนาคินทร์และท่านอาพุธ” รพีพงศ์กล่าวต่อ



“อย่าได้กังวล วันนี้ข้ากับพระพฤหัสบดีจะมารับจันทรัชกลับไป ดูแลต่อเอง” พระจันทร์ตอบ อย่างไรเสียเวลานี้จะให้พระพุธกลับไปยังวิมานซึ่งหาได้มีผู้ใดดูแลคงจะเสี่ยงอันตรายอยู่ไม่น้อย



“ไม่ได้ อย่างไรเสียเจ้าพุธจักต้องอยู่ที่นี่” พระเสาร์ขัดขึ้นมา



“เหตุใดจันทรัชถึงต้องอยู่ที่นี่ด้วยเล่า จันทรัชเป็นน้องของพวกข้า พวกข้าย่อมดูแลน้อง” พระพฤหัสบดีเอ่ยถาม



“แล้วข้าเล่าหาใช่พี่ของจันทรัชหรือไร ถึงมิได้ข้องเกี่ยวทางสายโลหิตเฉกเช่นพวกเจ้า หากความผูกพันข้าไม่เป็นรองแน่ อีกทั้งพวกท่านอย่าลืมถึงภารกิจที่มีอยู่ด้วยเล่า จันทรเทพท่านหาได้อยู่วิมานตลอดเวลา เมื่อราตรีกาลมาเยือนท่านต้องขับราชรถลากจันทร์ดาราออกไป ส่วนท่านเองพระพฤหัสบดีไม่ใช่ว่าท่านต้องให้ความรู้ คอยสั่งสอนวิทยาทุกแขนงแก่ทวยเทพกระนั้นหรือ” นานมาแล้วที่สองเทวาไม่ได้ยินพระเสาร์เรียกขานนามเกิดของพระพุธ หากน้องน้อยได้ยินคงจะดีใจมิใช่น้อย ไหนเล่าจะยกเหตุผลยืดยาวออกมาเช่นนี้ผิดวิสัยของพระเสาร์ยิ่งนัก พระพฤหัสบดีสบตาของพระจันทร์ต่างรู้เห็นคิดเช่นเดียวกัน



“ได้…แต่ข้าขอร่ายมนต์สร้างกลอาชาแปดทิศรอบวิมานของท่านได้หรือไม่” พระพฤหัสบดีเอ่ย แม้จะอนุญาตแต่อย่างน้อยบรมครูแห่งเทวดาขอปกป้องน้องเท่าที่ทำได้



“ส่วนข้าขอฝากท่านดูแลน้องของข้าให้ดี อย่าให้จันทรัชเป็นอะไรไปอีก” พระจันทร์เอ่ยสำทับ



“ย่อมได้”



“เช่นนั้นแล้วพวกข้าขอออกไปสร้างค่ายกลก่อน เมื่อเสร็จสิ้นก็ถือโอกาสลากลับเสียเลย” พระพฤหัสบดีบอกกับพระเสาร์ที่พยักหน้ารับเป็นคำตอบ



“แล้ววันพรุ่งข้าจะกลับมาพร้อมกับวิธีที่จะรักษาพระพุธให้ฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้ง” พระจันทร์เอ่ยจบก็เดินออกไปพร้อมกับพระพฤหัสบดี ซึ่งขณะที่ย่างเท้าในใจของพระจันทร์พยายามคิดสร้างขวัญกำลังใจให้ตนว่าจะต้องทำได้ อย่างไรเสียคาถาเพลิงหิมะเป็นคาถาที่ผสมผสานระหว่างสองคาถาเก่าแก่ของวงศาจันทราและพฤหัสบดี พระจันทร์จึงคิดว่าย่อมต้องมีทางรักษา ถึงแม้ว่าผู้ที่โดนคาถานี้จะไม่เคยมีผู้ใดรอดจากเงื้อมมือพญามัจจุราชได้เลยสักคนก็ตามที



“ข้าเองก็ขอตัวกลับวิมานของพระพุธ ด้วยเหตุว่าไม่มีผู้ใดอยู่เฝ้าวิมานข้าเกรงว่าจะมีใครเข้ามาสร้างความวุ่นวายในยามที่พระพุธอยู่ที่นี่”



“ไปเถิด หากมีสิ่งใดผิดปกติ เจ้าจงเร่งแจ้งข้าโดยไว”



“ขอรับ อ่อ ข้าขอฝากสิ่งนี้ให้กับท่าน” สพลเอ่ยจบก็ยื่นกำไลหยกสีน้ำผึ้งให้แก่พระเสาร์ ก่อนจะหลับตาเรียกอีกหนึ่งสิ่งออกมา



“แก้วนาคา” รพีพงศ์เอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา เทพหนุ่มจำได้ดีว่าดวงแก้วนี้คือสิ่งใด



“ใช่ แก้วนาค่ของท่านมุตตา ขอภัยท่านด้วยที่มอบให้ในเวลานี้”



“หาใช่ความผิดของเจ้า เป็นข้าที่ต้องขอบน้ำใจเจ้าเสียด้วยซ้ำที่เก็บดวงแก้วนี้ไว้ให้ข้า” พระเสาร์รับดวงแก้วจากสพลไว้ในฝ่ามือแล้วนำมาทาบไว้ตรงแผ่นอก เพียงพริบตาเดียวแก้วนาคาก็ได้หายวับเข้าไปในกายของพระเสาร์เสียแล้ว



“มิเป็นไรพระเสาร์ อย่างไรเสียข้าขอฝากพระพุธไว้กับท่านด้วย” สพลเอ่ย จากนั้นก็ออกไปจากวิมานทำให้เวลานี้ภายในห้องมีเพียงสามผู้ตื่นกับอีกหนึ่งผู้หลับใหล



“นาคินทร์ พ่ออยากให้เจ้าอยู่ที่นี่กับพ่อจะได้หรือไม่” ตลอดชีวิตที่ผ่านมา พระเสาร์คิดเสมอว่าตนไม่เกรงกลัวสิ่งใด จวบจนวันนี้ถึงได้รู้ว่าตนกลัวจะสูญเสียคนสำคัญ สูญเสียผู้อันเป็นที่รัก



“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านกลัวนาคินทร์จะได้รับอันตรายแต่อย่าได้กังวลเลย ข้าจะดูแลนาคินทร์เอง” รพีพงศ์ให้คำมั่น ไม่ใช่ให้เพียงพระเสาร์เท่านั้นแต่ให้คำมั่นต่อร่างในอ้อมแขนและต่อตนเองด้วยว่าสืบจากนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องปกป้องไม่ให้ใครมาพรากนาคินทร์ออกไปจากตนอีก



“ข้ารู้ว่าเจ้าปกป้องนาคินทร์ได้แต่ข้า…”



“ท่านพ่อ คืนนี้ข้าจักอยู่กับท่านพ่อเอง” นาคินทร์รู้ดีว่าบิดาของตนเองนั้นแม้จะไม่เอ่ยออกมาว่าโศกเศร้าแต่ใช่ว่าภายในจะไม่รู้สึกรู้สา ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งแล้วอย่างไรก็ใช่ว่าจะอ่อนแอไม่เป็น ถึงแม้ว่าตนจะใช่ว่าจะเข้มแข็ง หากการอยู่เคียงข้างบิดาคอยเป็นที่พักพิงของกันและกัน อีกทั้งนาคินทร์เองต้แงการทำตามคำที่มุตตาได้ร้องขอไว้ก่อนตาย



“หากเจ้าอยู่ที่นี่พี่เองจะอยู่กับเจ้าด้วย” เวลานี้รพีพงศ์รู้ดีว่านาคินทร์นั้นต้องเผชิญกับความเศร้าใจมากมายเพียงใด ตนจึงจำต้องอยู่เคียงข้างคอยนำพานาคินทร์ให้พ้นจากวิกฤตนี้ให้ได้



“เช่นนั้น พ่อจะให้คนจัดเตรียมห้องหับให้พักผ่อนระหว่างนี้พวกเจ้าไปชำระกายก่อนเถิด”



“ให้ข้าทั้งสองพักผ่อน ท่านพ่อเองก็ต้องพักผ่อนเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่เรานั้นจะข่มตาหลับแต่ข้าก็อยากให้ท่านนึกถึงตนเอง ถือเสียว่าเก็บแรงเอาไว้เพื่อใช้ต่อกรกับศัตรูในวันหน้า”



“ขอบน้ำใจเจ้ามากที่นึกเป็นห่วงพ่อ…รพีพงศ์แต่ข้าคงยังหลับใหลไม่ได้ ในเมื่ออาการของเจ้าพุธเอาแน่ เอานอนไม่ได้ ไม่รู้ว่ายามใดจะแผ่ไอเย็นออกมาจากกายอีก” พระเสาร์เอ่ยพลางชำเลืองมองพักตางามที่หลับตาพริ้มไม่รับรู้สิ่งใด



“เมื่อครู่ข้าใช้พลังความร้อนในกายข้าระงับเอาไว้แล้ว อาจจะไม่ได้ตลอดแต่อย่างน้อยข้ามั่นใจว่าสามารถผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ ท่านพ่อได้โปรดอย่าได้กังวลสิ่งใดอีกเลย” รพีพงศ์เอ่ยทำให้พระเสาร์คลายความทุกข์ออกมาได้บ้าง



“เข้าใจแล้ว พวแเจ้าออกไปก่อนเถิด พ่อขออยู่ในห้องนี้อีกสักพัก”



“ขอรับ” ทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์ขานรับและพากันออกไป จากห้องทร่มีผู้คนมากมายในกาลก่อนหน้า บัดนี้มีเพียงพระเสาร์ที่เดินมายังเตียงกว้างก่อนจะนั่งลงข้างกายเย็นของพระพุธ



“จันทรัช...ข้าขอสัญญาแก่เจ้าตลอดจนวิญญาณของมุตตาว่าตัวข้าจะต้องลากตัวคนเลวนั่นออกมาแล้วสังหารมันให้สมกับที่มันทำกับเจ้าทั้งสอง” พระเสาร์เอ่ย ในดวงตานั้นร้อนผ่าว ขอบตาแดงก่ำ พลันหยาดชลเนตรก็เอ่อล้นออกมา



“และจากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้าให้ดียิ่งกว่ากำไลหยกนี้” พระเสาร์กล่าวจบก็สวมใส่กำไลให้กับพระพุธแล้วจับฝ่ามือเรียวแสนเย็นเฉียบไม่ต่างจากน้ำแข็งขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือของตนแล้วกุมเอาไว้ ดวงเนตรคมทั้งสองหลับตาลงแล้วปล่อยให้จิตใจจมดิ่งไปตามความรู้สึก ปลดปล่อยหยาดน้ำตาแห่งความเศร้าโศกที่กักกั้นไว้ให้รินไหลออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วในหู



‘ข้ารู้ว่าพี่เสาร์เหนื่อย หากท่านอยากร้องไห้ก็จงร้องออกมาเถิด อย่าได้เก็บความรู้สึกเลย’



…‘ข้าไม่ใช่คนที่จะร้องไห้เหมือนสตรีและข้าไม่มีความรู้สึกใดที่จักทำให้ข้าเสียใจ’…



…‘พี่เสาร์จักบอกว่าฝุ่นเข้าตาสินะ’…



…‘อืม’…



…‘ข้าไปก็ได้…พี่เสาร์เองอย่าใช้ความคิดตัดสินเรื่องราวนะ ข้าอยากให้พี่เสาร์ใช้ความรักตัดสินมากกว่า อ่อ ข้าลืมบอก…สวรรค์เราไม่มีฝุ่นหรอกนะ’….



“ใช่…สวรรค์ไม่มีฝุ่น แล้วเหตุใดข้านั้นถึงได้เคืองตาจนน้ำตาไหลไม่หยุดเล่า…เจ้าพุธ” พระเสาร์ถามเทวาที่กำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา น้ำเสียงนั้นสั่นเครือแม้จะพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติแล้วก็ตาม



‘เพราะท่านเสียใจอย่างไรเล่าพี่ศนิ ฮึก…ข้าขอโทษท่านที่ข้าไม่อาจปกป้องพี่หญิง ข้าขอโทษที่ข้าทำให้ท่านเสียใจ ข้า…ฮือ…ข้าขอโทษที่ไม่อาจลุกขึ้นมาปลอบท่านดั่งที่ท่านเคยปลอบข้าดุจดั่งที่ข้าเคยได้รับจากท่านเมื่อครั้งยังเยาวัย’



หากพระเสาร์ลืมตาขึ้นมาในยามนี้ คงจะได้เห็นหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากพระพุธเช่นเดียวกันกับตน

.



.



.



“อ๊าก!!!”



อีกด้านหนึ่งของผู้ที่มีชัยชนะจากการได้กำจัดมาร ทว่าแทนที่อินทุนิลจะได้หัวเราะออกมาให้สุดเสียงให้สมกับที่รอคอยมาเนิ่นนาน กลับต้องร้องออกมาอย่างทรมานจากบาดแผลที่มุตตาและพระพุธทิ้งไว้ให้ โดยเฉพาะบาดแผลจากรอยกัดของมุตตา อินทุนิลใช้คาถารักษาอย่างไรก็ไม่หาย ร้ายไปกว่านั้นกลับปวดแสบปวดร้อนราวถูกไฟลวก อินทุนิลกุมบ่าเอาไว้แน่นก่อนจะทรุดกายลงไปนั่งกับพื้น ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา



“ฮึ! มุตตาหนอ…มุตตา ถึงตัวตายเจ้ายังอุตส่าห์ฝากฝังความเจ็บปวดให้กับข้าแต่ไม่เป็นไรข้าจะตอบแทนคืนสู่แก่ลูกเจ้าในเร็ววัน”













.........

มาแล้ว มาเสียดึกเลย ตอนนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในพาร์ทความเศร้า รู้สึกจะต้มมาม่าไม่เต็มร้อยเลย =^= กลัวคนอ่านจะเบื่อยิ่งสามสี่ตอนมานี้บทบาทของนาคินทร์และรพีพงศ์ไม่เด่นด้วย กลัวคนอ่านจะไม่ชอบ แต่ท่านยุ่งขอให้ทุกคนรออีกนิด มันใกล้แล้ว ใกล้ที่นาตินทร์จะฟาดๆๆๆ (สปอยล่วงหน้า)

ท่านยุ่งหวังว่าทุกคนจะติดตามเรื่องนี้ต่อไปแม้มันจะน้ำเน่า



สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนมี่เข้ามาอ่าน มาเม้นเป็นกำลังใจให้นะคะ นิยายเรืรองนี้สามารถติชม วิจารณ์ได้ค่ะ ยุ่งจะนำมาอ่านและพัฒนาปรับปรุงต่อไป

รักคนอ่านนะคะ จุ๊บ


ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan-Yung0209

File : 22



เหตุการณ์เลวร้ายผ่านมาหลายทิวาราตรี หากสำหรับพระเสาร์นั้นคล้ายกับว่าเหตุการณ์เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่ถึงเสี้ยวอึดใจ เป็นอีกครั้งกับการสูญเสียที่พระเสาร์ได้รับและมันยากเหลือเกิน ยากเกินกว่าข้ามผ่านออกมา ขณะเดียวกันแม้ภายใจดวงหทัยจะชอกช้ำเพียงใด พระศนิผู้นี้ไม่เคยลืมเลือนหน้าที่ ไม่ว่าจะหน้าที่ของหนึ่งในเจ้าของดวงดาราแห่งนพเคราะห์ หน้าที่ของผู้เป็นบิดาหรือหน้าที่ของผู้เป็นพี่ชาย



ทุกวันนี้ก่อนออกจากวิมานไปทำภารกิจผสานรอยร้าวของคุกกาลเวลาและหลังจากกลับมานั้น พระเสาร์จะถ่ายพลังสร้างไออุ่นให้อาการของพระพุธดีขึ้น แม้ว่าจะไม่มากแต่อย่างน้อยจากคำบอกเล่าของนาคินทร์ที่บัดนี้ย้ายกลับมาดูแลพระพุธในระหว่างที่ตนไม่อยู่ในวิมานก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง



…‘ท่านพ่อ…วันนี้เกล็ดน้ำแข็งที่หุ้มกายท่านอาละลายออกมาแล้ว แม้มันจะไม่มากแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี’…



และวันนี้ก็เช่นกัน พระศนิหวังเหลือเกินว่าจะได้รับข่าวดีเฉกเช่นทุกวัน ทว่ากลับไม่ใช่ เมื่อยามได้เห็นบุตรของตนวิ่งออกมาจากวิมานท่าทางรีบเร่งไร้การสำรวม ดวงตางามแดงก่ำแน่ชัดว่าเพิ่งผ่านการหลั่งอัสสุชล



“ท่านพ่อ…รีบไปดูท่านอากันเถิดท่านพ่อ” นาคินทร์คว้าข้อมือของบิดามาจับไว้แล้วพากันเข้าไปยังห้องบรรทมของบิดาซึ่งกลายเป็นห้องรักษาพระพุธไปเสียแล้ว



เมื่อมาถึงพระเสาร์สังเกตว่าภายในห้องของตนนั้นดูผิดแผกไป บริเวรพื้นโดยรอบบรรจถรณ์มีพรรณไม้พุ่มแตกกิ่งก้านสาขาปกคลุม ออกดอกเป็นผนึกอำพันเลื่อมสีชาดห่อหุ้มด้วยม่านพลังที่ไม่ต่างจากปีกบางใสของแมงปอ ให้แสงสว่างไปทั่วบริเวณราวกับชี้นำทางออกให้ผู้ที่มืดแปดด้านได้พบเจอทางออก พระเสาร์เดินเข้าไปใกล้ก่อนยอบกายลงใช้ฝ่ามือนั้นจับต้องเข้าดอกอำพันที่มีลักษณะคล้ายกับโคมไฟ จึงสัมผัสได้ว่าเจ้าดอกไม้น้อยนี้หาได้เพียงให้ความสว่างแต่ยังให้ความร้อนและเมื่อรวมกันมากมายเพียงนี้คงจะพอละลายเกล็ดน้ำแข็งช่วยชีวันเทวาผู้กำลังหลับใหลให้ฟื้นคืนได้



“โคมไฟสุริยาเป็นพืชที่หาได้เฉพาะในวิมานเพลิง ดอกของมันสามารถแผ่พลังความร้อนได้ไม่มากจึงเหมาะแก่การรักษาท่านอาพุธ” รพีพงศ์เอ่ย โดยจดจำมาจากคำของพระจันทร์ที่ได้บอกกล่าวกับตนเมื่อสามารถค้นพบวิธีรักษาพระพุธได้ เนื่องด้วยกายหยาบของพระพุธไม่ต่างจากถูกแช่แข็งเอาไว้จำต้องได้รับความร้อนมาละลาย ทว่าหากร้อนเกินไปก็ไม่เกิดผลดีอาจทำให้พระพุธเสียสมดุลของปราณภายใน ดังนั้นจันทราเทพยอมอดตาหลับขับตานอนศึกษาค้นคว้าจากตำราที่มีจนเจอเข้ากับบุปผาแห่งดวงตะวัน…โคมไฟสุริยา



“ขอบน้ำใจเจ้ามารพีพงศ์” พระเสาร์เอ่ย ดวงตาเพียงข้างเดียวมองหยาดน้ำที่แผ่กระจายเป็นวงกว้างจากพระพุธ โคมไฟสุริยานี้ได้ผลดีเสียจริง



“มิเป็นไร…ท่านพ่อ สิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือได้ข้ายินดีที่จะช่วย” รพีพงศ์เอ่ย



“ข้าเองก็เช่นกัน” นาคินทร์กล่าวเสริมก่อนจะเอื้อนเอ่ยต่อไปอีกว่า



“และข้าว่าสิ่งที่ข้าจะต้องช่วยในเวลานี้คือซับหยาดน้ำเหล่านี้รวมทั้งเปลี่ยนภูษาให้แก่ท่านอาเสียก่อน” นาคินทร์ว่าพลางหยิบภูษาสีเข้มที่เตรียมเอาไว้ขึ้นมา



“ส่งผ้าผืนนั้นมาให้พ่อ ประเดี๋ยวพ่อจะจัดการเอง”



“ท่านพ่อ…ข้า…”



“ฟังพ่อนาคินทร์ พวกเจ้าสองคนควรมีเวลาให้กันและกันบ้าง ส่วนทางนี้พ่อจะจัดการเอง” พระเสาร์ยืนยันในสิ่งที่ต้องการกระทำอีกครั้ง นาคินทร์จึงยินยอมทำตามคำของพ่อและออกจากห้องไปพร้อมกับรพีพงศ์ เมื่อพระเสาร์อยู่เพียงลำพังกับพระพุธ หัตถาใหญ่ค่อย ๆ ปลดอาภรณ์ของคนไร้สติอย่างเบามือ



ทางด้านนาคินทร์และรพีพงศ์หลังจากที่ออกมาจากห้องของพระเสาร์ก็พากันไปยังห้องของนาคินทร์ รพีพงศ์เอนกายนอนลงบนเตียงกว้างมือนั้นตบไปยังที่ว่างข้างกายบนเบาะนุ่ม นาคินทร์รู้ว่ารพีพงศ์ต้องการสิ่งใด ร่างอรชรย่างเท้าก้าวไปแล้วนอนลงหนุนแขนแกร่งของผู้ได้ชื่อว่าเป็นสวามี



‘จุ๊บ’



“นาคินทร์เป็นเช่นไรบ้าง เจ้าไหวหรือไม่” รพีพงศ์ประทับริมฝีปากของตนเข้ากับหน้าผาก พลางสวมกอดคนข้างกายเอาไว้พอหลวมเพื่อไม่ให้นาคินทร์อึดอัด แม้ว่าใจนั้นอยากกอดรัดร่างนี้ไว้ให้แน่นดุจดั่งบ่วงบาศก์นาคราชเลื้อยรัดนางมโนราห์ในวรรณคดี



“ข้า…ข้าไหว ข้าพอจะทำใจได้แล้ว” นาคินทร์ตอบถึงจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความรู้สึกที่มีก็ตามที่นาคินทร์จะทำใจได้ การสูญเสียมารดาไม่ใช่เนื่องที่จะให้ทำใจยอมรับง่ายดาย หากนาคินทร์พยายามเข้มแข็งเพื่อที่หาตัวคนกระทำผิดมารับโทษทัณฑ์สถานหนักให้สมกับความเจ็บช้ำของนาคินทร์ พระเสาร์และพระพุธที่ได้ประสบพบเจอ



“พี่เป็นห่วงเจ้าเหลือเกินนาคินทร์ พี่อยากจะอยู่เคียงข้างเจ้าให้มากที่สุด พี่ไม่อยากให้เจ้าอยู่คลาดสายตาพี่ ห่างจากอกพี่ไปไหนเลย” รพีพงศ์กระชับอ้อมกอด ยิ่งได้สดับฟังคำสั่งเสียของมุตตาจากสพลแล้วก็ยิ่งเป็นห่วง รพีพงศ์มิอาจจะสูญเสียนาคินทร์เป็นครั้งที่สอง มิเช่นนั้นแล้วตนจะต้องปลิดชีพตายตามเป็นแน่



“ท่านพี่อย่าได้กังวล รอบวิมานของท่านพ่อก็ได้พระพฤหัสบดีมาวางค่ายกลไว้แล้ว ข้าอยู่ในวิมานย่อมปลอดภัย ทว่าสิ่งที่ข้ากังวลคือข้าคิดถึงท่านพี่จนแทบจะห้ามใจไม่อยู่ ข้าไม่อยากจะห่างท่านพี่เลยสักนิด หากเราสองต่างมีความจำเป็น อันตัวข้าจะต้องช่วยดูแลท่านอาในยามที่ท่านพ่อไม่อยู่ อย่างน้อยให้พ้นวิกฤตคุกกาลเวลาไปเสียก่อน ส่วนท่านพี่เองจะต้องทำหน้าที่ให้สมกับเป็นรัชทายาทเพื่อไม่ให้เกิดคำครหาและรับตำแหน่งจากพระสุริยเทพในภายภาคหน้า”



“พี่เองก็คิดถึงเจ้าเหลือเกินและขอบคุณที่เจ้าเข้าใจพี่ รู้ว่าพี่ไม่อาจอยู่เคียงข้างเจ้าได้ตลอด” รพีพงศ์เอ่ยก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย นับว่าโชคดีที่นาคินทร์เข้าใจทุกอย่างไม่นึกเกี่ยงงอนทั้งที่ในเวลานี้รพีพงศ์ควรจะอยู่ปลอบขวัญคนรักจากเหตุการณ์เลวร้าย



“ท่านพี่…ข้ารักท่าน”



“พี่เองก็รักเจ้านาคินทร์…นาคน้อยของพี่”



กล่าวจบรพีพงศ์ได้มอบจูบแสนหวานเป็นการใช้ริมฝีปากประทับตราเป็นคำมั่นว่าจะรักนาคินทร์เพียงผู้เดียว ก่อนรพีพงศ์จะผละริมฝีปากมองดวงตาสวยที่สะท้อนใบหน้าตนเอาไว้



“พี่รักเพียงเจ้า…นาคินทร์” รพีพงศ์เอ่ย คำว่ารักที่ไม่ใช่เพียงแค่บอกแล้วจบไป หากมันคือคำหนึ่งคำที่ถ่ายทอดความรู้สึกของตนทั้งหมดที่มีต่อนาคินทร์ คนถูกบอกรักยิ้มพริ้มพรายแล้วใช้ฝ่ามือประคองพักตราของรพีพงศ์ให้โน้มลงมาแนบริมฝีปากแทรกชิวหาปรนเปรอ เป็นการจุดไฟรักทั้งปลอบประโลมกันและกันโดยหัวใจนั้นนำพาไปตามแรงปรารถนา



…‘ขอให้ความรักนี้ได้บรรเทาความเจ็บปวด ขอให้ความสุขพัดพาความทุกข์ไป’…



“พี่ไม่อยากกลับไปเลยนาคินทร์ พี่อยากอยู่กับเจ้า” รพีพงศ์แต่งองค์อีกครั้งก่อนจะหันไปเอ่ยกับเจ้าของร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบ ยังดีอยู่บ้างที่มีภูษาผืนบางปิดส่วนกลางกายเอาไว้ไม่ให้นาคินทร์เขินอายเมื่อสบตาเข้ากับสายตาร้อนแรงเจือความออดอ้อนของรพีพงศ์



“อย่าได้งอแงเป็นเด็กเล็กเลยท่านพี่ ไม่ใช่ว่าเราสองคนจะจากไปไหน ท่านพี่มาหาข้าได้ทุกวัน วิมานนี้ยินดีต้อนรับท่านพี่เสมอ”



“หากราตรีนี้พี่อยากมีเจ้าให้กอด”



“อดทนสัก ๒-๓ ราตรีเถิดหนาท่านพี่ หากท่านพี่อยู่กับข้าใครเล่าจะอยู่ดูแลวิมาน ทั้งพระอรุณและท่านพ่ออาทิตย์ต่างต้องช่วยกันผนึกคุกกาลเวลา” นาคินทร์เอ่ยถึงความจำเป็น คนงามลุกขึ้นจากเตียงหยิบผ้าโปร่งบนกายมาห่มตนไว้แล้วย่างเท้าลงจากเตียงเข้าสวมกอดปลอบโยนคนเอาแต่ใจ



“พี่รู้นาคินทร์…เฮ้อ พี่มันแย่เหลือเกิน ทั้งที่ควรจะปลอบเจ้าแต่กลับเป็นเจ้าที่ปลอบพี่ พี่ขอโทษเจ้านาคินทร์”



“มิเป็นไรท่านพี่ ไม่ว่าข้าหรือท่านใครจะเป็นคนปลอบ สิ่งที่ได้คือต่างคนต่างสบายใขซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดี”



“พี่ขอบน้ำใจเจ้ามาก เจ้าคือความสบายใจของพี่”



“ท่านพี่เองก็คือความสบายใจของข้าเช่นกัน”



จากนั้นนาคินทร์ได้ช่วยรพีพงศ์แต่งกายจนเสร็จสิ้น แม้จะขรุขระไปบ้างเพราะถูกร่างสูงคอยสัมผัส คอยเอาเปรียบเล็กน้อย จับโน่น หอมนี่ไม่มีหยุดแต่นาคินทร์ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ถือเสียว่ามอบความสุขให้กับรพีพงศ์ส่งท้ายก็แล้วกัน



เมื่อแต่งกายจนเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย รพีพงศ์ก็กล่าวลาพระเสาร์และเดินทางกลับวิมานเพลิงโดยเร่งสัตว์พาหนะเพื่อให้ทันก่อนบิดาของตนรวมทั้งอนุชาฝาแฝดจะออกไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายและตนนั้นจะได้อยู่ครองดูแลวิมาน



“ท่านรพีพงศ์” เสียงเรียกจากสตรีทำให้รพีพงศ์ที่กำลังเข้าไปยังภายในวิมานต้องหยุเดเคลื่อนไหว ก่อนจะหันหลีงกลับไปเข้าหาผู้เรียกขาน



“ชวารี เจ้านั่นเอง มีอันใดหรือ” รพีพงศ์เห็นว่าเป็นสหายเมื่อครั้งยังเยาว์วัย เนื่องด้วยมารดาของชวารีเคยเป็นนางกำนัลแลสหายของมารดาตนทำให้ทั้งสองมีโอกาสได้เล่นด้วยกัน



“พอดีข้าได้น้ำเกสรบุหงา ๗ อย่างมาจึงได้นำมาแบ่งปันให้กับท่าน หากไม่รังเกียจได้โปรดรับมันเอาไว้เถิด” ชวารียื่นคนโททรงเตี้ยทำมาจากแก้วเนื้อดีที่ใสจนเห็นน้ำภายในที่มีเกสรและกลีบผกาลอยอยู่บนผิวน้ำ



“ขอบน้ำใจเจ้ามากชวารี เจ้าช่างมีน้ำใจสมกับชื่อของเจ้าเสียจริง” รพีพงศ์รับคนโทมาไว้กับตนเอง



“มิเป็นไร ขอให้ท่านได้ดื่มแล้วชอบมันก็เป็นพอ” ชวารีเอ่ย



“ไว้วันพรุ่งข้าจะให้คำตอบเจ้า”



“ข้าจะรอ…ท่านรพีพงศ์” ชวารีส่งยิ้มให้



จากนั้นทั้งสองก็ถามไถ่สารทุกข์สกดิบกันเล็กน้อยแล้วแยกย้ายกันไป รพีพงศ์ก็ถือคนโทแก้วเข้าไปยังห้องของตน ส่วนชวารีนั้นก็ลอบองแผ่นหลังกว้างของรพีพงศ์จบจวนบานประตูนั้นปิดลง



“หวังว่าวันพรุ่งท่านจะกล่าวคำว่าชอบ…ชอบข้า ท่านรพีพงศ์”



ชวารีหลับตาลงนึกถึงสิ่งที่ตนได้กระทำไปก่อนหน้า ในมโนภาพยังแจ่มชัดในยามที่ตนเปิดขวดยาขนาดเล็กแล้วเทของเหลวสีกลีบบัวใสลงไปในน้ำเกสรที่ตระเตรียมไว้…ยาเสน่ห์ที่ใครได้ลิ้มรสย่อมคลั่งรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น



กาลก่อนหน้าที่ชวารีจะมาเยือนยังวิมานสุริยาสีแดงฉาน นางได้ออกไปเก็บบุปผามาลาเตรียมทำน้ำเกสรบุหงา ทว่าเพียงฝ่าเท้ายกข้ามธรณีประตู ม่านหมอกสีทึบไม่ต่างจากควันไฟลอยบดบังภายในวิมานจนมิอาจมองเห็นสิ่งใดได้แจ่มแจ้ง สัญชาตญาณได้ร้องเตือนกู่ก้องในใจว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายในวิมานของชวารี สิ่งแรกที่นางนึกถึงนั่นคือมารดาของนาง



“ท่านแม่!!! ท่านแม่เจ้าคะ ท่านแม่อยู่ที่ใด” ชวารีเดินไปทั่ววิมาน พยายามฝ่าม่านหมอกตามหา ทว่าชวารีร้องเรียกเท่าใดก็ไร้เสียงตอบกลับ



“ท่านแม่…ฮึก…ฮือ..ท่านแม่” ชวารีทรุดกายลงนั่งกับพื้นปล่อยน้ำตาให้รินไหล นางนึกคิดว่านางนั้นไม่เคยเลยที่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับใคร เหตุใดเล่าถึงได้มีเงาร้ายคืบคลานเข้ามาปกคลุมถึงวิมานของนาง



“อย่าได้ร้องไห้เลย…ชวารี” ขณะที่ชวารีกำลังมืดแปดด้านอยู่นั้น พลันมีเสียงของใครบางคนดังขึ้น



“ใคร…เจ้าเป็นใคร ออกมาบัดเดี๋ยวนี้” ชวารีเรียกถามพลางร่ายคาถาเรียกกริชเงินอาวุธประจำกายของนางออกมาเพื่อป้องกันตัว ชวารีคิดว่าการที่มีคนใช้หมอกปิดบังร่างนี้ไว้ย่อมจะต้องไม่ใช่ผู้ประสงค์ดีเป็นแน่แท้



“ข้าก็ออกมาตั้งนานเจ้าไม่เห็นหรือไร” ชวารีรู้สึกเสียวสันหลัง ขนแขนลุกชันยามได้ยินเสียงแผ่วเบาแต่เย็นยะเยือกจากด้านหลัง ชวารีค่อย ๆ หันหน้าของตนกลับไปพบว่าเจ้าของเสียงปริศนายืนห่างจากนางไม่ถึงคืบ ผิดกับอินทุนิลที่ยิ้มเยาะยามได้เห็นใบหน้างามหวาดหวั่น



“เจ้า!!! เจ้าเป็นใคร” ชวารีขยับกายถอยออกไปเล็กน้อย มือสองกุมด้ามกริชจ่อขู่คนตรงหน้าไม่ให้เข้ามา พลางใช้สายตาพิจารณาผู้คุกคาม ซึ่งเป็นบุรุษร่างสูงโปร่งสวมหน้ากากเงินคลุมกายด้วยภูษาสีเข้มและบัดนี้กำลังก้าวเท้าเดินเข้าหาชวารี ดั่งราชสีห์พบเจอเหยื่ออ่อนแอตรงหน้า



“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่ากริชของเจ้าจะทำอะไรข้าได้ แล้วเมื่อครู่เจ้าถามใช่หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าจะบอกให้เจ้าจำใส่ใจเอาไว้ว่าข้าคือผู้กุมชะตาชีวิตแม่ของเจ้าอย่างไรเล่า” แค่สุรเสียงที่เปล่งออกมา ไม่นับดวงตาที่หน้ากากไม่ได้บดบัง ชวารีรับรู้ถึงไอสังหารและความน่ากลัวของผู้นี้ได้



“เจ้าทำอันใดแม่ข้า!!” แม้น้ำเสียงยังไม่ลดความเกรี้ยวกราด ยังคงแสดงถึงความไม่เกรงกลัวทว่าใจจริงของชวารีนั้นกังวลไม่ใช่น้อย



“เพียงแค่เปลี่ยนที่หลับนอนให้มารดาของเจ้าเท่านั้น” ไม่พูดเปล่า ผู้สวมหน้ากากยกฝ่ามือขึ้นมาเกิดกระแสลมสีเทาก่อตัวเป็นกรงขังภายในมีนางอัปสรผู้หนึ่งหลับใหลไร้สติ



“ท่านแม่!!! ท่านแม่!!! ปล่อย!! ปล่อยท่านแม่ของข้า!!” ชวาลีคลานเข่าเข้าหา พยายามลุกคว้ากรงที่ขังมารดาเอาไว้ ทว่าพอจะลุกขึ้นยืนขาทั้งสองกลับอ่อนแรงลุกไม่ไหว พอจะเอื้อมมือขึ้นกลับเอื้อมไม่ถึง คนภายใต้หน้ากากมองชวารีที่หลั่งน้ำตาก็นึกสมเพช ช่างอ่อนแอเสียจริง ๆ แต่เพราะอ่อนแอก็ย่อมเกิดผลดีต่อตน จะลวงหลอกจูงจมูกอย่างไรก็ย่อมได้



“ข้าจะปล่อยมารดาเจ้า แต่เจ้าต้องทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จเสียก่อน”



“จะให้ข้าทำสิ่งใดโปรดบอกข้ามาเถิด ข้ายินดีทำทุกอย่างขอแค่เพียงท่านปล่อยแม่ของข้า” ชวารีร้องขอทั้งน้ำตา ต่อให้เอาชีวิตมาแลกนางก็ยินยอม ขอเพียงผู้ให้กำเนิดนั้นปลอดภัย



“เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าทำได้ทุกอย่างตามที่ข้าสั่ง” อินทุนิลแสร้งถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าชวารีย่อมทำตามตนเป็นแน่



“ข้าแน่ใจ” ชวารีให้คำมั่น



“ดี ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงรับสิ่งนี้ไป” อินทุนิลส่งขวดแก้วขนาดเล็กให้กับเยาวมาลย์ ชวารีรับไม่ไม่รีรอหากนึกฉงนสงสัยว่าคือสิ่งใด



“ที่ข้าให้เจ้านั้นคือยาสเน่ห์ จงนำมันหยดใส่ให้รพีพงศ์แล้วเจ้าจะสมหวัง”



“ข้า…ข้าไม่อาจทำได้”



“ไหนเจ้าบอกข้าว่าเจ้าทำได้ทุกอย่างเพื่อแม่ของเจ้า อีกอย่างข้ารู้ว่าเจ้านั้นหลงใหลในตัวสุริยบุตรผู้นี้มาช้านานมิใช่หรือ ใยต้องปฏิเสธเล่า” อินทุนิลโน้มน้าวจิตใจ เนื่องด้วยตนรู้ว่าเทพาแลเทพีในการดูแลของพระอาทิตย์ มักจะตั้งมั่นในศีลธรรมความดี ดังนั้นอินทุนิลจำต้องหลอกล่อเพื่อทำให้ศีลธรรมที่ว่านั้นลบเลือนในใจของชวารี



“ใช่ข้ารักท่านรพีพงศ์แต่ข้มิอาจทำเช่นนี้ได้ ท่านรพีพงศ์รักท่านนาคินทร์ มีความสุขกับท่านนาคินทร์ ข้าไม่คิดจะทำลายความสุขของท่านรพีพงศ์เป็นอันขาด” ภาพของรพีพงศ์เมื่อครั้งตรอมใจหลังสูญเสียนาคินทร์ยังคงติดตา ชวารีไม่อยากพรากความรัก ทำลายความสุขของทั้งสอง แม้ว่าตนจะต้องเสียใจก็ตาม



“แล้วไยเจ้าไม่ลองคิดดูเล่าว่าเจ้าอาจเป็นอีกความสุขหนึ่งของรพีพงศ์ก็เป็นได้”



“ข้า..ข้า…”



“ว่าอย่างไรเล่าชวารี อย่างไรเสียเจ้ากับรพีพงศ์รู้จักกันมาตั้งแต่ยังคลานเข่า เจ้ารู้ใจรพีพงศ์เสียทุกอย่าง ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถให้ความสุขรพีพงศ์ได้ รวมถึงเจ้าสามารถให้ในสิ่งที่นาคินทร์ไม่สามารถให้ได้…นั่นก็คือบุตร นาคินทร์ต่อให้งดงามยิ่งเสียกว่าอิสตรีแต่ก็เป็นชายอยู่ดี จะสามารถมีลูกให้รพีพงศ์ชื่นชมได้อย่างไร”



“เจ้าคิดดูให้ดี ๆ ชวารี โอกาสที่เจ้าจะได้อยู่ในสายตาของรพีพงศ์มาถึงแล้วและข้ารับรองว่าเมื่อสำเร็จแม่ของเจ้าจะปลอดภัย” อินทุนิลที่เห็นว่าชวารีนิ่งเงียบก็เอ่ยต่อไป



“ข้าขอถามเจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ต้องการให้ท่านรพีพงศ์รักข้า เจ้ามีจุดประสงค์อันใดกันแน่” ชวารีรู้ได้ว่าคนตรงหน้าย่อมไม่มีทางช่วยให้ตนได้สมหวังกับรพีพงศ์โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แล้วสิ่งตอบแทนนั้นคงไม่อาจประเมินค่าได้



“ข้าก็แค่เห็นเจ้าแล้วนึกถึงข้าในอดีตไม่ได้ การแอบรัก ไม่สมหวังในรักนั้นแสนจะทรมานใจเจ้าว่าหรือไม่…ชวารี”



“แล้วนอกเหนือจากนี้เล่า หากเจ้าปราถนาดีต่อข้าคงไม่มีทางจับท่านแม่ข้าเป็นตัวประกันเป็นแน่แท้”



“เจ้าช่างฉลาดเสียจริง ใช่!! ชวารี เจ้าคือหมากตัวหนึ่งในกระดานของข้าและเจ้าต้องทำมันเท่านั้น หากเจ้ายังอยากให้แม่ของเจ้ามีลมหายใจ” สิ้นคำของอินทุนิล เสียงหวีดร้องทรมานก็ดังก้อง ชวารีพลันตกใจหันซ้าย หันขวา ตามหาจุดกำเนิดของเสียงเพราะจำได้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของผู้เป็นแม่



“ท่านแม่!!!...ท่านแม่…ฮึก…พอได้แล้ว..อย่าทำอันใดแม่ข้าเลย” ชวารีขอร้องทั้งน้ำตาที่ไหลอาบปรางค์ทั้งสองข้าง



“ข้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะวางยาสเน่ห์รพีพงศ์หรือไม่” น้ำเสียงแสนเย็นชาเปล่งออกมาถามชวารีอีกครั้งเพื่อต้องการคำตอบเพียงคำตอบเดียว



“ข้าจะทำ ได้โปรดส่งขวดยานั่นมาให้ข้า” ชวารีฝืนใจละทิ้งความดีงามทั้งปวง ยอมตกนรกโลกากระทำสิ่งผิดบาป ยอมแล้ว…ชวารียอมเอาตนย้อมไปกับโคลนตมแห่งความชั่วร้าย



“ดีมากชวารี ข้ารับรองว่าเจ้าจะมีความสุข” คนชั่วช้าส่งขวดยาให้กับชวารีพร้อมกล่าวชมอย่างชอบใจ



“แล้วแม่ของข้าเล่า เจ้าจะปล่อยตอนไหนแล้วข้าจะได้พบนางหรือไม่”



“ยามข้าเรียกให้เจ้ามารับยาขวดใหม่ เจ้าจะได้พบกับแม่ของเจ้า เว้นแต่ว่าเจ้าคิดไม่ซื่อนำความทั้งหมดที่เกิดขึ้นไปเปิดโปง ข้าขอสัญญาว่าแม่ของเจ้าจะเหลือเพียงชื่อ ร่างกายจะแตกละเอียดย่อยยับเป็นผงธุลี”



…‘เพียงราตรีเดียวทุกสิ่งก็ผันเปลี่ยน’…



…‘จากขาวเป็นดำ’…



...‘จากดีเป็นร้าย’…



ชวารีหลั่งน้ำตาออกมาหวังว่ามันจะสามารถชำระล้างความผิดบาปที่ตนได้ก่อไว้ให้มันหมดไปจากใจของตน











............................

มาแล้วค่ะช้าหน่อยนะคะ งานประจำยุ่งมากเลยกลับห้องค่ำทุกวัน มาถึงนอนเพราะไม่เหลือพลังงาน กลัวคนอ่านหายจัง อย่าเพิ่งหายนะคะ อีกอย่างยุ่งตั้งใจว่าแต่งสองเรื่องพร้อมกัน คนละฟีลกันเลย 555 ฝากเรื่อง พัทธ์ธีราด้วยนะคะ 5555



ตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ไม่มีอะไรจริงๆ แค่ก่อไฟรอต้มมาม่าเท่านั้นเอง จากนี้ไปคงจะได้เจอนาคินทร์แบบเต็มๆ หนักๆ แล้วนะคะ ส่วนพระพุธเราปล่อยให้พี่ชายเขาดูแลไป อิอิ

ส่วนตัวร้ายอย่างอินทุนิลยังคงร้ายไม่หยุด ถึงมีอะไรกั้นก็ไม่หยุด พอพูดถึงตัวร้ายก็คิดถึงป๋ากนธีเลยค่ะ



สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่าน มาเม้น เป็นกำลังใจนะคะ ติชม วิจารณ์ได้ ท่านยุ่งจะได้นำไปพัฒนาค่ะ อ่อ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะทุกคน รักนะคะ




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

Author : Tan -Yung 0209

File : 23

นับตั้งแต่วันที่รพีพงศ์นำโคมไฟสุริยามารักษาเทวัญผู้ทรงคชสารก็ผ่านไปหลายทิวาราตรี จวบจนบัดนี้ก็ไม่มีแม้แต่เงาจะย่างกรายเฉียดวิมานของพระเสาร์หรือแม้แต่จะส่งสารมาสักคราก็หามีไม่ นาคินทร์เองกระวนกระวายใจจนแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ หากจำต้องทำตัวให้เข้มแข็งปิดซ่อนความรู้สึกเอาไว้มิอาจเปิดเผยกับใครได้

... ‘ท่านพี่ ภารกิจของท่านมากล้นเพียงใด ไยถึงไม่มาหาบ้างเล่า หรือเพียงสละเวลาเขียนอักษรถึงข้าสักเล็กน้อยมันยากลำบากหรืออย่างไร’ ...

นาคินทร์ตัดพ้อในใจ ขณะที่ดวงเนตรสีม่วงกำลังทอดมองออกไปนอกหน้าต่างไปยังทิศที่ตั้งของวิมานเพลิง นาคน้อยเฝ้าคิดถึงคะนึงหาอยากให้คนรักนั้นมาสวมกอดปลอบประโลมแนบชิดพอให้หูได้แนบอุราฟังเสียงของดวงฤทัย จมูกนั้นได้สูดดมกลิ่นกายจากร่างสูง ตลอดจนริมฝีปากอ้าออกมาเปล่งคำว่ารัก พร้อมกับดวงตามองไปยังใบหน้าของผู้ได้ชื่อว่าสวามี

“ท่านนาคินทร์...ท่านนาคินทร์เจ้าคะ” เสียงเรียกขานดังมาจากหน้าประตูทำให้สติที่ผูกติดไปกับความคิดที่หลุดลอยกลับคืนมาสู่ความเป็นจริง

“มีอันใดหรือ เทียนหยด”

“ท่านอินทุนิลต้องการจะพบท่านนาคินทร์เจ้าค่ะ” เทียนหยด นางอัปสรรับใช้รายงานต่อบุตรผู้ครองวิมาน

“อืม แล้วท่านอาอินทุนิลอยู่ที่ใดกันเล่า หากอยู่หน้าประตูวิมานเจ้าก็เชิญเข้ามาด้านในเสีย”

“เจ้าค่ะ” เทียนหยดรับคำสั่งก็ปฏิบัติตาม นาคินทร์เองก็เดินออกไปจากห้องเพื่อนต้อนรับแขกผู้มาเยือน ไม่นานร่างโปร่งสูงดูสง่า เจ้าของใบหน้างดงามได้แย้มยิ้มออกมาเมื่อสบเข้ากับนาคินทร์

“ท่านอาอินทุนิล เชิญท่านนั่งตรงนี้ก่อนเถิด ข้าจักให้เทียนหยดนำน้ำทิพย์กลีบบัวมาให้ท่านได้ดื่มแก้หนื่อยจากการเดินทาง”

“รบกวนเจ้าแล้วนาคินทร์ อาต้องขอโทษเจ้าด้วยที่มาหาเจ้าโดยไม่แจ้งล่วงหน้า”

“มิเป็นไรท่านอา ว่าแต่ท่านอามีสิ่งใดหรือถึงได้มาหาข้า” นาคินทร์เอ่ยถาม เนื่องจากตนหาได้สนิทชิดเชื้อกับอินทุนิลน้อยครั้งที่จะได้ร่วมสนทนาด้วย อีกทั้งบางครานาคินทร์รู้สึกว่าอินทุนิลมิได้ชอบตน ทว่าเพลานี้อินทุนิลมาหาตนถึงวิมานทั้งยังพูดจาปราศัยท่าทางเป็นมิตร ทำให้ความข้องใจที่ว่าอินทุนิลไม่ชอบตนเป็นอันปัดตกทิ้งไป

“ข้ามาแสดงความเสียใจเรื่องมารดาของเจ้า รวมถึงข้าอยากมาเยี่ยมพระพุธจะได้หรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็เป็นญาติของข้าแม้จะไม่ได้สนิทชิดเชื้อก็ตามที หากพอข้าได้ยินข่าวว่าพระพุธได้รับบาดเจ็บข้าก็อดห่วงไม่ได้” อินทุนิลซักถาม แสร้งทำสีหน้าสลดแม้ใจนั้นไม่ได้นึกเศร้าโศกแต่อย่างใด

“เหตุใดจะมิได้เล่าท่านอาอินทุนิล มากับข้าเถิดข้าจะพาท่านไปหาท่านอาพุธ” นาคินทร์กล่าวเชื้อเชิญอินทุนิล อินทุนิลก็เดินตามนาคินทร์ไม่อิดออด

“พระพุธพักรักษาตัวอยู่ห้องใดหรือ” อินทุนิลถามขึ้นอีกครา หลังจากเดินผ่านห้องหับไปมากมายและยิ่งเดินก็รู้สึกว่าจะเข้าเขตส่วนด้านในสุดของวิมานซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นเขตบริเวณของผู้เป็นเจ้าของ

“ท่านอาพักรักษาตัวในห้องของท่านพ่อขอรับ เพื่อที่ยามค่ำท่านพ่อจะดูแลท่านอาได้” นาคินทร์ตอบโดยหารู้ไม่ว่าผู้ได้ยินกำลังจิกเล็บเข้าที่ชายภูษาก่อนจะขย้ำระบายอารมณ์เอาไว้ไม่ให้เผลอแสดงกิริยาอันทำให้นาคินทร์หรือใครรับรู้ได้ว่าตนนั้นเกลียด!!! เกลียด!!! พระพุธจนเข้ากระดูกดำ ทั้งที่ควรจะต้องตายกลางพงไพรกลับได้รับการช่วยเหลือจากพระเสาร์อีก

‘เห็นทีมารหัวใจของข้าหาใช่มุตตาตั้งแต่แรกเสียแล้ว’

“ถึงแล้วขอรับ ท่านอาอินทุนิล” นาคินทร์หันมาบอกอินทุนิล ทำให้อินทุนิลมีสติกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง

“จะรอช้าอยู่ไยเล่านาคินทร์ จงเร่งเปิดประตูเสียสิ ตัวอานี้อยากจะเยี่ยมพระพุธเสียหรือเกิน” อินทุนิลเอ่ยประโยคอันเป็นเท็จหาได้มีความจริงอต่อย่างใด ใครว่าตนอยากจะเยี่ยมกันเล่า ที่เร่งให้นาคินทร์เปิดบานประตูก็เพียงอยากดูผลงาน อยากจะเข้ามาสมน้ำหน้าและสาปแช่งให้ตายวันตายคืน

ทว่านาคินทร์หาได้ล่วงรู้ถึงความคิดของอินทุนิล หลงเชื่อใบหน้างามที่ปั้นแต่งแสร้งทำดี ฝ่ามือสวยเปิดบานประตูสลักออก ทำให้กลิ่นสัตตบงกชจาง ๆ ลอยฟุ้งออกมา ทั้งที่ไม่มีดอกบัวอยู่ในห้องแม้แต่ดอกเดียว

“หรือว่า...ท่านอาพุธ!!” นาคินทร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปด้านใน ดวงใจเต้นระรัวอย่างมีความหวัง กลิ่นประจำกายของพระพุธตลบอบอวลทั่วห้องเช่นนี้ย่อมเป็นข่าวดี

“ข้าคิดแล้วไม่มีผิด...ท่านอาพุธ” นาคินทร์เดินเข้าหาแล้วนั่งคุกเข่าอยู่ข้างบรรจถรณ์ นิ้วเรียวลากไปยังหลังมือของพระพุธเบา ๆ เกล็ดน้ำแข็งนั้นบางเบากว่าทุกครา

... ‘นาคินทร์ข้าดีใจเหลือเกินที่อาการของข้าดีวัน ดีคืน’ ...

พระพุธแม้จะรู้ว่าส่งกระแสจิตไปนาคินทร์ก็มิอาจรับรู้แต่อดไม่ได้ที่จะพรั่งพรูความดีใจออกมาผ่านการนึกคิด

“มีอันใดหรือนาคินทร์” อินทุนิลเดินทางมาทีหลังก็พบเข้ากับโคมไฟสุริยาและพื้นที่มีน้ำเจิ่งนองโดยรอบ นาคินทร์จึงหันกลับไปนึกขึ้นมาได้ว่าเผลอเสียมารยาททิ้งให้อินทุนิลตามมาทีหลัง ผิดกับพระพุธที่พอรู้ว่าใครก็ตกใจไม่น้อย

... ‘อินทุนิลไยเจ้ามาอยู่ที่นี่ เจ้ามีแผนอันใดหรือจักมาทำร้ายหลานข้า’ ...

“ข้าขออภัยท่านอาอินทุนิลที่ทิ้งท่านเอาไว้ ทว่าข้าดีใจจนเผลตัวเพราะบัดนี้เกล็ดน้ำแข็งที่เกาะคลุมผิวกายของท่านอาพุธได้ละลายเร็วขึ้น ทำให้ข้าได้กลิ่นกายของท่านอาแม้จะบางเบาแต่ก็เป็นสัญญาณที่ดี เช่นนี้แล้วข้าคิดว่าอีกไม่นานท่านอาพุธจักต้องฟื้นเป็นแน่ ต้องขอบน้ำใจท่านพี่รพีพงศ์เสียแล้วที่นำบุปผาแดนสุริยามาให้” นาคินทร์เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพร้อมกับยืนขึ้นอีกครั้ง แวบนึงอินทุนิลเห็นแววตาเสร้าสร้อยทำให้ตนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ดียิ่ง อาการของพระพุธดีขึ้นตัวข้านี้ก็ดีใจ เอ่อ..เมื่อครู่เจ้าบอกว่าจะไปหารพีพงศ์หรือนาคินทร์” อินทุนิลเริ่มทำตามแผนที่คิดเอาไว้ เพียงคิดว่านาคินทร์จะต้องน้ำตาตกอกตรม เทพพิจิกดาราก็แทบจะสะกดกลั้นความดีใจเอาไว้แทบไม่ไหว

“ใช่แล้วท่านอาอินทุนิล ข้าคิดว่าจะไปหารพีพงศ์แต่คงต้องรอให้ท่านพ่อกลับมาเสียก่อน มีอันใดหรือท่านอาอินทุนิล” นาคินทร์นึกสงสัยผนวกกับความคิดน้อยเนื้อต่ำใจที่มีต่อรพีพงศ์ก็ยิ่งทำให้นาคินทร์ไม่อาจจะคิดไปในทางที่ดีได้

“เจ้าเองก็รู้ใช่หรือไม่ ว่าข้านั้นแม้ไม่ได้พำนักยังวิมานแก้วโกเมนแต่ตัวข้ามีเชื้อสายวงศาแห่งพระอาทิตย์องค์เก่าก่อน ดังนั้นเรื่องราวภายในข้าพอจะรับรู้อยู่บ้างและสิ่งที่ข้าได้รู้มาเมื่อไม่นานมานี้ คือ...ข้าไม่กล้าที่เอื้อนเอ่ยให้เจ้าได้รับฟังเลย”

“บอกข้ามาเถิดไม่ว่าจะดีหรือจะร้ายเพียงใด ข้าพร้อมที่จะรับฟัง” นาคินทร์ใคร่อยากรู้ให้แจ้งใจ ยิ่งได้เห็นอินทุนิลอึกอักไม่รีบเล่า นาคินทร์ก็ยิ่งกระวนกระวายใจแทบจะเหาะเหินเดินอากาศไปหารพีพงศ์โดยเร็ว

“คือข้าได้ยินมาว่ารพีพงศ์มีใจให้นางอัปสรผู้ถึงขนาดรับเข้ามาพำนักอยู่ภายในวิมาน ว่ากันว่ารพีพงศ์ไม่ได้ออกมาสะสางงานใดใดเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้พระอรุณผู้เป็นแฝดน้องทำเพียงผู้เดียว”

“ไม่..จริง..ท่านพี่” นาคินทร์เซถลาจนแทบล้มลงไปกับพื้น โชคดีที่อินทุนิลเข้ามาประคองนาคินทร์เอาไว้ทัน หากเป็นดังคำที่อินทุนิลว่าไว้ นี่คงเป็นสาเหตุที่ตลอดหลายวันมานี้รพีพงศ์ถึงได้ไม่มาหาตน

“ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่นาคินทร์ เจ้าไปหารพีพงศ์ที่วิมานเสียตอนนี้” อินทุนิลเสนอความคิดเพื่อที่ตนจะได้ทำตามแผนในลำดับต่อไป

“แต่ว่า...” นาคินทร์ผินหน้าไปทางพระพุธที่นอนนิ่งอยู่ อินทุนิลจึงเข้าใจในทันที

“เจ้าอย่าได้ห่วงพระพุธเลยนาคินทร์ ข้าจะอยู่เฝ้าให้เองจนกว่าพระเสาร์จะมาดีหรือไม่” และนี่คือหนึ่งในแผนการ อินทุนิลต้องการสืบทราบอาการของพระพุธรวมถึงวิธีการที่จะให้พระพุธนั้นต้องตาย

หากหาได้ตายในทันทีเพราะมิเช่นนั้นตนจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย ดังนั้นขอให้ตนได้ปล่อยแมงป่องแก้วสักตัวเอาไว้ในห้องนี้ ขอแค่มันได้กัดเนื้อหนังมังสาปล่อยพิษร้ายเข้าสู่ตัวของพระพุธวันละนิดเท่านี้ก็เพียงพอ

... ‘นาคินทร์อย่าได้ออกไป อย่าได้เชื่อคำลวงของคนชั่วช้าเป็นอันขาด’ ...

... ‘ข้าต้องหาทางเอาตัวรอดในยามนี้ให้ได้’ ...

“ขอบน้ำใจท่านอาอินทุนิลเป็นอันมาก หากท่านพ่อตลอดจนพระพฤหัสบดีและพระจันทร์ได้กำชับเป็นหนักหนาให้มีเพียงข้าหรือไม่ก็ท่านพ่อเท่านั้นเป็นผู้อยู่เฝ้า ข้ามิอาจขัดคำสั่งได้ จึงขออภัยท่านอาอินทุนิลที่ต้องปฏิเสธความหวังดีนี้”

“ข้าเข้าใจ เอาเป็นว่าข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอยู่ดูแลพระพุธจนกว่าพระเสาร์จะมาดีหรือไม่” อินทุนิลพยายามหาทางถ่วงเวลาให้อยู่ในห้องนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อรอโอกาสให้นาคินทร์เผลอ อินทุนิลจะได้ปล่อยแมงป่องแก้วตามที่ตนคิดไว้

ทว่าแผนร้ายทำลายชีวิตนี้แม้นาคินทร์จะไม่รู้เท่าทันแต่หากผู้ที่กำลังจะถูกปองร้ายซ้ำสองในไม่ช้ากลับล่วงรู้ด้วยสัญชาตญาณและสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตจากรัศมีสีหมอกของเทพพิจิกดารา พระพุธรวมจิตให้มั่นภาวนาขอให้ผลบุญที่ตนได้กระทำส่งผลให้รอดพ้นจากภัยร้ายในครั้งนี้

... ‘ขอให้บุญรักษา ขอให้โชคชะตาได้ช่วยเหลือและขอให้พี่เสาร์กลับมาให้ทันท่วงทีด้วยเถิด’ ...

พระพุธภาวนาตลอดจนอธิษฐาน พลันปราณภายในกายเกิดปั่นป่วนหมุนวนดั่งพายุในช่องท้องจนรู้สึกจุกแน่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นเกลียวคลื่นยักษ์ย้ายเคลื่อนเข้าถาโถมมายังกลางอุรา พระพุธรู้สึกราวจะขาดใจเสียให้ได้

... ‘หรือว่าเราจะละสิ้นทั้งสังขารแลดวงวิญญาณนี้’ ...

“อึก...พรวด” ของเหลวสีทองปะปนก้อนลิ่มถูกสำรอกออกมาเปรอะเปื้อนริมฝีปากซีดขาว โลหิตสีทองไหลลงมายังซอกคอและอาภรณ์ที่สวมใส่จนเปียกชุ่ม

“ท่านอาพุธ!! ท่านอา!!” นาคินทร์ตกใจไม่ใช่น้อยแม้แต่ตัวอินทุนิลเองก็เช่นกัน เมื่อพบว่าร่างที่นอนหลับใหลกลับสำรอกลิ่มเลือดออกมา

นาคินทร์พอตั้งสติได้ก็รีบร้องตะโกนให้นางอัปสรรับใช้ด้านนอกเข้ามา ส่วนตนนั้นก็หมายจะเข้าไปประคองพระพุธ ทว่าไม่ทันจะได้ขยับเขยื้อนตัว ละอองฝุ่นสีนิลเจือม่วงเม็ดมะปรางกลับหมุนหอบร่างเทพทรงคชสารให้อยู่ในสภาพกึ่งนอนกึ่งนั่งก่อนละอองฝุ่นนี้จะคืนกายกลายเป็นเนื้อหยาบ

“ท่านพ่อ!!”

“พระเสาร์”

“นาคินทร์เจ้าจงเร่งให้คนไปเชิญเทพโอสถ พระจันทร์ และพระพฤหัสบดีมาบัดเดี๋ยวนี้”

“ขอรับท่านพ่อ” นาคินทร์รับคำสั่งแล้วรับวิ่งออกไปจากห้องเพื่อแจ้งแก่ทหารก้านบัว รวมถึงสั่งการให้นางกำนัลเตรียมการเพื่ออำนวยการรักษาให้แก่พระพุธ

“ส่วนเจ้าอินทุนิล หากไม่มีสิ่งใดก็จงกลับไปเสีย เพลานี้วิมานของข้าไม่สามารถจะต้อนรับใครให้เข้ามาได้” พระเสาร์เอ่ย

อินทุนิลได้ยินดังนั้นแล้วรู้ตัวเองว่าคงไม่อาจจะยืนหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อได้ แม้อยากจะเอ่ยให้ความช่วยเหลือเพื่อให้พระเสาร์ได้ล่วงรู้ถึงความหวังดี หากอินทุนิลรู้นิสัยของพระเสาร์ว่าถ้าเทพกายนิลไม่ออกปากขอความช่วยเหลือก็อย่าได้หวังดีไปเสนอตัว

อินทุนิลก้าวถอยหลังออกไปช้า ๆ จนมาถึงกรอบประต฿บานใหญ่ ใบหน้างามผินหน้ากลับไปดูภาพด้านหลัง ทันใดนั้นความรู้สึกโกรธเกลียดพระพุธก็แล่นเข้าสู่ดวงจิต จากที่มันคับเต็มก็แทบจะเอ่อล้น

ร่างกายที่เย็นเยือกของพระพุธถูกพระเสาร์กอดรัดไม่กลัวว่ามันจะหนาวเหน็บจนสะท้าน ฝ่ามือหนาที่มักจะจับอาวุธสังหารศัตรูค่อยลูบคราบเลือดตามใบหน้างามและลำตัวของพระพุธอย่างไม่รังเกียจ ไหนเล่าจะจูบขมับสลับกับพร่ำกระซิบบอกพระพุธด้วยน้ำเสียงที่อินทุนิลไม่เคยได้ยินพระเสาร์เคยเอื้อนเอ่ยกับใคร ซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า...

“เจ้ารัชอย่าทิ้งข้าไปอีกคน...อยู่กับข้าเถิด อย่าได้ไปไหนเลยอยู่กับข้า จันทรัช...ได้ยินหรือไม่ข้าขอให้เจ้าอยู่กับข้า...”

*****

สถานการณ์ ณ วิมานหงสบาทกลับคืนสู่ปกติอีกครั้ง หลังจากที่เทพโอสถได้เข้ามาตรวจดูอาการของพระพุธโดยมีพระจันทร์และพระพฤหัสบดีผู้เป็นเชษฐาคอยเฝ้าดูอยู่ไม่ห่างและผลที่ออกมาก็สร้างความปิติคลายความกังวล

... ‘จากการที่ข้าตรวจอาการของพระพุธเมื่อครู่ผลนั้นคืออาการดีขึ้นกว่าครั้งก่อน เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น ส่วนที่สำรอกโลหิตเป็นการขับเลือดเก่าที่คั่งค้างออกมา พวกท่านดูสิมีก้อนลิ่มปะปนอยู่ด้วย’ ...

จากนั้นเทพโอสถก็กลับไปพร้อมกับจันทราเทพและเทพพฤหัสบดี พระเสาร์จึงทำหน้าที่ดูแลพระพุธต่อไปโดยที่ผู้เป็นพ่อนั้นได้ตระเตรียมให้นาคินทร์ได้กลับไปพักยังวิมานของรพีพงศ์

“พ่อรู้ว่าเจ้านั้นเหนื่อยจึงอยากให้เจ้าพักผ่อน อีกอย่างเจ้านั้นได้เข้าวิวาหะกับรพีพงศ์แล้ว การที่พ่อให้เจ้าอยู่ที่นี่เสียนานก็ดูจะไม่ดีนัก”

“แล้วใครจะดูแลท่านอากันเล่า”

“พ่อจะดูแลเอง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย เพลานี้สมุทรเทพชลันธรได้นำไพร่พลมาร่วมผนึกรอยร้าวคุกกาลเวลาร่วมกับเทพนภนต์แห่งท้องนภา ทำให้พ่อได้มีเวลาอยู่วิมาน” พระเสาร์ให้คำตอบ

“เช่นนั้นสามทิวาราตรีนี้ ลูกขอลาท่านพ่อไปหาท่านพี่” เมื่อไร้สิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งให้นาคินทร์เป็นกังวล นาคินทร์จึงเอ่ยอำลาแล้วขึ้นราชรถมุ่งหน้าสู่ดาวฤกษ์เพลิงขนาดใหญ่

ทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้าที่นาคินทร์จะมายืนอยู่หน้าประตูห้องของตนและรพีพงศ์ ห้องที่มีเพียงตนและคนรักเท่านั้นที่พำนักอยู่ ห้องที่อบอวลไปด้วยความรัก ความทรงจำ บัดนี้กลับมีเสียงหัวเราะของสตรีดังมาจากอีกฟากประตู นาคินทร์กำหมัดเอาไว้แน่น พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้เดือดดาล ขณะเดียวกันก็กลั้นอัสสุชลที่เอ่อตรงขอบตาไม่ให้รินไหลออกมา

... ‘ทั้งโมโห ทั้งเสียใจ’ ...

“พวกเจ้าออกไป อย่ามาขวางข้า” นาคินทร์เอ่ยกับนางอัปสรต้นห้องที่เข้ามากันท่าขวางประตูไม่ให้นาคินทร์ได้เข้าไปด้านใน

“ท่านนาคินทร์เจ้าคะ ข้าคิดว่าอย่าเข้าไปเลยเจ้าค่ะ” เยาวมาลย์รับใช้เอ่ยขึ้นมาหน้าสลด แม้อยากจะให้เข้าไปแต่รพีพงศ์ผู้เป็นใหญ่เหนือตนได้สั่งเอาไว้ห้ามให้ผู้ใดเข้าไป

“นานแล้วหรือไม่ที่สตรีชั้นเลวเข้าไปยั่วยวนท่านพี่ของข้า” แลเหมือนว่าคำพูดของนางรับใช้จะไม่ได้เข้าหูของนาคินทร์เลยแม้แต่น้อย นาคินทร์ไม่ต้องรับฟังความคิดเห็น คำห้ามปรามใด นาคินทร์ต้องการคำตอบมาไขให้เกิดความกระจ่างเท่านั้น

“ข้าได้ยินเสียงของนางในเช้าหลังจากท่านรพีพงศ์กลับมาจากนำดอกโคมไฟสุริยาไปรักษาพระพุธเจ้าค่ะ”

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร” นาคินทร์ถามต่อไป ดวงตาคมสีม่วงไม่ต่างจากผู้เป็นบิดาปรายตามองเค้นเอาคำตอบ ทำให้ผู้ถูกมองต่างรู้สึกเย็นสะท้าน รู้สึกเสียวกระดูกสันหลังคล้ายมีปลายคมของโลหะกำลังลากผ่าน

“คือ..คือว่า...”

“ไม่ต้องตอบแล้ว ข้าจะไปถามไถ่นามของนางผู้นั้นด้วยตัวของข้าเอง” นาคินทร์ไม่คิดจะรอคำตอบอีกต่อไป สองเท้าก้าวตรงไปแม้จะถูกห้ามนาคินทร์ก็ไม่สนใจกลับแผ่รัศมีนาคาออกมาทำให้นางอัปสรที่เข้าขางต้องถอยหนี

ใครต่างก็รู้ว่าเผ่าพันธุ์นาคานั้นรักสงบไม่สู้รบกับผู้ใด กลับกันจ้าวอสรพิษนี้เมื่อได้หมายใจอาฆาตใครแล้วย่อมไม่ปล่อยวาง จะตามราวีและสังหารอย่างเลือดเย็น ยิ่งนาคินทร์ในร่างใหม่ได้เป็นนาคชั้นนสูงในตระกูลพญานาคเกล็ดทองผนวกกับมีสายเลือดของพระเสาร์ผู้ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งและไม่เกรงกลัวผู้ใด เป็นเช่นนี้แล้วใครเล่าจะกล้าขัดขวางนาตินทร์ในยามนี้

‘ปัง!!’

นาคินทร์ผลักประตูเข้าไปสุดแรง ทำให้รพีพงศ์ซึ่งกำลังอ้าปากรับขนมที่เทพีนางหนึ่งกำลังป้อนให้ถึงกับชะงักไม่ต่างกับนาคินทร์ที่ยืนนิ่งอีกครั้งกับภาพที่ตนได้เห็น ภาพของผู้เอ่ยรักตนกำลังนั่งให้ผู้หญิงที่งามแต่รูปแต่คิดชั่วแย่งคนรักผู้อื่นคอยป้อนขนมให้ ทั้งที่มันควรจะเป็นนาคินทร์หาใช่ใครอื่น

“เจ้าเป็นใคร!! เหตุใดถึงบังอาจเข้ามาในห้องของข้ากับท่านพี่!!!” นาคินทร์ไม่รั้งรอให้เสียเวลาขณะที่เอ่ยถามก็ปรี่เข้าไปหาชวารีที่นั่งนิ่งไม่นึกกลัวนาคินทร์ ไม่สนใจว่าตนจะเจ็บตัวหรือเดือดร้อน

“ข้ามีนามว่าชวารี เมื่อครั้นเยาว์วัยข้านั้นเป็นสหายของท่านรพีพงศ์ หากตอนนี้ข้านั้นเป็น...” ชวารีไม่เปล่งวาจาออกไปจนจบประโยค ทว่านาคินทร์เข้าใจดีว่าชวารีหมายความว่าเช่นไร

“ถ้าเจ้าไม่อยากเอ่ยออกมาข้าจะเป็นผู้ป่าวประกาศเองว่าเจ้าสตรีที่เข้าแย่งสวามีของผู้อื่น” นาคินทร์เอ่ย มือก็คว้าจับแขนของชวารีไว้มั่นก่อนจะใช้แรงกระชากให้ลุกขึ้นจากแท่นรัตนา

“นาคินทร์อย่าได้ทำอันใดนาง ปล่อยนางบัดเดี๋ยวนี้” รพีพงศ์ลุกขึ้นมาขวางเอาไว้ พยายามแทรกกายเอาตัวกั้นระหว่างนาคินทร์กับชวารี

“ข้าไม่ปล่อย จนกว่าข้าจะลากนางผู้นี้ออกไปจากวิมานนี้” นาคินทร์ผลักรพีพงศ์ให้ออกห่าง จากนั้นก็ออกแรงฉุดชวารีที่ใช้มารยาเรียกน้ำตาให้ผู้ที่ได้เห็นนึกสงสาร

“ช่วยข้าด้วย!! ...ฮึก...พระชายาแห่งท่านรพีพงศ์จะสังหารข้า โอ๊ย!! ...ฮือ...เจ็บ..ท่านนาคินทร์ ปล่อยข้าเถิด” ชวารีร้องเรียกให้คนช่วย ขณะเดียวกันก็แสร้งร้องไห้ออกมา ผู้อื่นที่ได้มาพบเห็นอาจหลงเชื่อแต่ไม่ใช่กับนาคินทร์ที่ล่วงรู้ว่าชวารีหาได้เจ็บดังปากพูด ยิ่งไปกว่านั้นตนหาได้คิดหรือแสดงออกว่าจะสังหารนาง

“เจ็บหรือ...เจ้าเจ็บหรือชวารี แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเจ็บมากกว่าเจ้ากี่ร้อยกี่พันเท่า เมื่อยามที่เจ้าทอดกายให้ท่านพี่ มายื้อแย่งท่านพี่จากข้าไป!!!” เอ่ยจบนาคินทร์ก็เหวี่ยงชวารีทำให้นางรัมภาล้มลงไปนั่งกับพื้น จะลุกก็ไม่อาจจะลุกได้เพราะกายนั้นกระแทกเข้ากับพื้นจนเต็มแรง นับได้ว่าครั้งนี้นาคินทร์ได้สร้างความเจ็บให้กับชวารีจริง ๆ หากนาคินทร์รู้สึกว่าชวารียังเจ็บปวดได้ไม่ถึงเศษเสี้ยวที่ตนเจ็บ จึงเดินเข้าไปหาชวารีง้างมือขึ้นมาหมายจะประทับสัมผัสใบหน้าของชวารีว่าจะด้านเพียงใด

“หยุด อย่าได้แตะต้องตัวชวารี” รพีพงศ์จับฝ่ามือที่เตรียมจะตบตีชวารีของนาคินทร์ก่อนจะผลักไสนาคินทร์ให้ออกห่าง จากนั้นรพีพงศ์ก็เข้าประคองชวารีให้ยืนขึ้น

“ท่านพี่!! ข้าเป็นชายาของท่านพี่...ฮึก...เหตุใดท่านพี่ถึงได้ทำเช่นนี้กับข้าเล่า” นาคินทร์เอ่ยถาม น้ำเสียงสั่นเครือจากการพยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตานั้นรินไหล แม้นว่าจะมีจิตอาฆาต เยือกเย็นเพียงใดแต่รพีพงศ์คือข้อยกเว้นสำหรับนาคินทร์ นาคน้อยไม่อาจจะเข้มแข็งหรือมาดร้ายต่อผู้อันเป็นที่รักได้

“ข้าจะทำมากกว่านี้แน่!! หากเจ้ายังคิดทำร้ายชวารีเมียของข้าอีก” ประโยคดั่งคมมีดเข้าเชือดเฉือนใจนาคินทร์ให้แตกสลาย นาคินทร์นึกสงสัยว่าท่านพี่รพีพงศ์ผู้ที่เคยให้คำสัญญาว่าจะรักและดูแลตน ไม่มีวันปันใจให้ใครอื่นได้หายไปแล้วหรือ

“ท่านพี่เหตุใดถึงทำกับข้าเช่นนี้...ฮือ...ไหนว่าจะรักเพียงข้า...ฮือ...แล้วเหตุใดถึงมีชวารีเข้ามา...ท่านพี่....บอกข้ามา...” นาคินทร์ทวงถามสัญญาทั้งน้ำตาที่อาบปรางค์ทั้งสองข้าง นาคินทร์ร่ำไห้ไม่นึกอายเหล่าธารกำนัลที่ลอบดูอยู่นอกประตู

“คำสัญญานั่นเจ้าเชื่อด้วยหรือ ใครเล่าจะกินข้าว รับสำรับซ้ำ ๆ ซาก ๆ และหากเจ้ารับไม่ได้ที่ข้ามีชวารีก็จงออกไปจากวิมานของข้าเสีย...นาคินทร์”







..............





ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ท่านยุ่งอัพเดทช้าหน่อยเพราะงานประจำมีงานเข้ามาทุกวันและแทบไม่มีวันว่างเลย วันหยุดก็ใช้กับงาน สุดท้ายไม่สามารถแต่ง อัพ ได้เร็ว รวมไปถึงยุ่งเองก็แต่งเรื่อง พัทธ์ธีราควบคู่ไปด้วย ยังไม่นับโปรเจคที่แทรกต่างๆ

งานเยอะมากจริงๆ ค่ะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ดราม่าอีกแล้ว

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

File : 24

Author : Tan -Yung 0209

ใครเล่าเคยกล่าวว่าสรวงสวรรค์ชั้นฟ้านั้นงดงาม ทุกหย่อมเมฆาเต็มไปด้วยความสุขี เห็นทีจะต้องโต้แย้งกลับไปเสียแล้วว่า…ไม่ใช่ ไม่ใช่เลยสักนิด บัดนี้แดนสรวงที่เคยเงียบสงบกลับมีไฟเผาผลาญไปทนทั่ว

หนึ่งคือไฟแห่งรักที่ผู้ได้ย่างเดินต้องปวดแสบ ปวดร้อนทั้งกายใจ นาคินทร์คือผู้ที่โดนไฟรักนี้ รักที่เคยถือมั่นกับคำสัญญาของเทพผู้เป็นดั่งยอดหฤทัยกลับต้องสลายกลายเป็นเถ้าถ่านเพราะมีคนมาแทรกกลาง ทว่านาคินทร์อกตรมได้ไม่นานก็สืบทราบมาว่ารพีพงศ์หาได้ปันใจไปรักชวารีด้วยความเต็มใจ แต่ทุกสิ่งเกิดจากยาสเน่ห์ที่อีกฝ่ายลอบให้รพีพงศ์ดื่มกิน

… ‘ข้าอดสงสารท่านนาคินทร์เสียไม่ได้ อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าราตรีคืนก่อน ชวารีได้นำน้ำทิพย์เกสรมอบให้ท่านรพีพงศ์ในนั้นต้องมียาสเน่ห์เป็นแน่’ …

… ‘ข้าเห็นด้วยกับเจ้า ท่านรพีพงศ์ที่รักท่านนาคินทร์นักหนาถึงขนาดลงนรกภูมินำวิญญาณมาชุบชีวิตมีหรือจะชายตามองใครอีก’ …

… ‘นั่นสิ ข้าล่ะเสียดายยิ่งนักที่มิอาจช่วยสิ่งใดได้ เพราะข้าไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ขืนบอกไป ชวารีคงให้ท่านรพีพงศ์ลงโทษข้า ยิ่งท่านรพีพงศ์ยามนี้นิสัยเปลี่ยนหูเบาเชื่อฟังแต่ชวารีเสียด้วย’ …

ทุกถ้อยคำของนางอัปสรรับใช้ในวิมานสุริยาล้วนเข้าโสตประสาทของนาคินทร์ ในเพลานั้นคนได้ยินที่เพิ่งถูกขับไล่ไสส่งออกมาทำได้เพียงกำหมัดแน่น ทั้งเชิดใบหน้าขึ้นไม่ให้ของเหลวสีใสไหลออกมาจากดวงตา

… ‘ข้าจะต้องช่วยท่านพี่ให้หลุดพ้นจากมนต์ดำนี้ให้จงได้’ …

ในช่วงเวลาที่นาคินทร์คิดหาทางช่วยรพีพงศ์เพื่อให้คนรักกลับมาหาตนเช่นดังเก่าก่อน ความวุ่นวายก็ได้เกิดขึ้นบนสวรรค์นับเป็นไฟที่สองซึ่งร้ายแรงเกินกว่าไฟรักของรพีพงศ์และนาคินทร์เป็นทวีคูณ นั่นคือ…ไฟสงครามที่กำลังถูกก่อโดยจอมมารล้านภาคผู้มากล้นไปด้วยพลังมหาศาลไม่น้อยหน้าไปกว่าพระผู้สร้างเลยสักนิดพร้อมทั้งได้ร่วมมือกับอดีตพระสมุทรกนธีแล้วก็ยากเกินกว่าใครจะต่อกรโดยง่าย

คุกกาลเวลาที่เกิดรอยร้าวจากพลังของมารล้านภาคที่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่ได้ฟื้นฟูขึ้นมาทั้งหมดแต่ก็มากพอที่จะสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นทีละนิด ทีละน้อยจนกระทั่งเริ่มขยายเป็นวงกว้างและยิ่งได้รับความร่วมมือจากกนธีผู้สืบสายวังศ์เทวัญแห่งน่านมหานที การทำลายคุกกาลเวลาจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกำลัง แม้นอกคุกกาลเวลาจะมีทวยเทพผลัดกันมาผสานรอยร้าวแต่สุดท้าย

…ก็มิอาจต้านได้…

ทันทีที่เกราะป้องกันถูกมวลทรายมหาศาลซัดเข้าทำลายจนเกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ด้วยฤทธาของจอมมารพศิน เหล่าอสูรกายรวมถึงเทวดาที่กระทำความผิดจนถูกกักขังต่างวิ่งกรูมุ่งไปยังช่องทางอันมีแสงสว่างชี้นำโดยในจำนวนนั้น จอมมารพศินและกนธีก็แปลงกายเข้าปะปน ทว่าเมื่อผ่านพ้นจากคุกกาลเวลากลับต้องเจอกับเทวาที่ได้เตรียมการตั้งรับพร้อมต่อกร หากนักโทษแหกคุกกลับไม่เกรงกลัวด้วยคิดว่าพวกมันสามารถทำลายคุกกาลเวลาได้

… ‘ในเมื่ออยากจะสู้นัก พวกมันเองก็ยินดี’ …

เหตุการณ์นองเลือดจึงได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ฝ่ายหนึ่งดิ้นรนเพื่อหนี อีกฝ่ายก็พร้อมเข้าจับกุม และเมื่อไม่มีใครยอมใครต่างก็ทำตามในสิ่งที่ตนต้องการ ศาสตราวุธประจำกายตลอดจนมนตราคาถาที่มีถูกนำมาใช้จนแทบสิ้น เสียงโลหะกระทบกันเสียดสีจนเกิดเสียงแสบหูก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเชือดเฉือนเนื้อกายจนโลหิตไหลอาบ แทรกด้วยเสียงร้องกึกก้องยามถูกเล่นงานด้วยคาถาร้ายแรงจนผืนฟ้า ผืนพิภพแทบสั่นสะเทือน ราวกับประกาศให้ทั้งไตรภูมิได้รับรู้ว่าลมวายุหายนะอันเกิดจากความแค้นกำลังจะหมุนวนพัดพาทุกสิ่งให้สูญสิ้น

“สู้มัน!!! ฆ่ามันให้ตาย!!!” จอมมารในร่างแปลงตะโกนออกไปเสียงดังสร้างความฮึกเหิม ยิ่งเห็นว่าพลพรรคเทวดาที่ดาหน้ากันมาต่างปราชัยไปเสียมากกว่าพวกของตน

พลเทวัญมีหรือจะยินยอมให้ออกไปโดยง่าย ต่างใช้พระขรรค์ หอก ทวน ประจำกายเข้าต่อสู้ แม้จะต้องแลกด้วยโลหิตจิตวิญญาณแต่อย่างน้อยก็ขอให้สามารถรั้งไว้พอจะถ่วงเวลาให้แม่ทัพหลวงแห่งสวรรค์มาได้ทัน

‘ฟึบ!’

ลูกธนูแหวกนภากาศปักทะลุอกของเป้าหมาย ก่อนจะตกลงมาอีกมายมายไม่ต่างจากห่าฝนเข้าทะลุร่าง ทะลุเศียรของอสูรใจหยาบ มารชั่วช้าให้ดับดิ้น เมื่อแหงนมองไปยังทิศของผู้ส่งมอบความตายให้แก่พญามัจจุราชก็พบกับวรกายสูงใหญ่สวมเกราะเนื้อเหมทรงวิหคตัวใหญ่ที่กระพือปีกเรียกลมพัดพาร่างของผู้อยู่เบื้องล่างให้โซเซ ฉะนั้นจะเป็นใครอื่นมิได้นอกจากแม่ทัพหลวงแห่งไตรทิพย์ ผู้นำทัพมาต่อกรกับนักโทษแหกคุกทั้งหลาย

“ทิชากร เจ้าหยุดกระพือปีกเรียกลมก่อน ข้าเกรงว่าฝ่ายเราพลอยแย่ไปด้วย” นภนต์สั่งกับสัตว์พาหนะ ทิชากรจึงหยุดกระพือปีกเรียกลมก่อนจะบินร่อนลงมาใกล้สมรภูมิแทน อันเป็นสัญญาณเปิดศึกให้เหล่าทหารเทวดาลงมาปราบมาร

“รู้ใจข้าเสียจริง” นภนต์ชมเปาะเจ้านกขนทอง ก่อนจะขยับริมฝีปากร่ายคาถาเปลี่ยนคันศรในมือเป็นหอกเล่มยาวเข้าจ้วงแทงศัตรู

“จอมมาร ข้าว่าเราใช้โอกาสนี้หนีออกไปน่าจะเป็นการดี” กนธีเอ่ย การมาของเทพนภนต์ก็ย่อมเกิดผลเสียกับตนเสียมากกว่า เหตุเพราะตนและจอมมารล้านภาคแม้จะฟื้นฟูพลังมาได้เกินครึ่งแล้วแต่ก็สูญเสียไปกับการทำลายคุกกาลเวลาไม่ใช่น้อย หากได้ประมือกันในยามนี้เห็นทีตนจะเสียเปรียบ

… ‘เอาไว้ข้าคิดเอาคืนเจ้าและชลันธรหลานรักของข้าในวันหน้าก็แล้วกัน…เทพนภนต์’ …

สงครามขนาดย่อมเกิดขึ้นได้ไม่นาน เหล่าทวยเทพต่างได้รับข่าวร้ายของคุกการเวลาที่ถูกทำลาย จึงรีบออกจากวิมานไปยังสถานที่เกิดเหตุ ไม่เว้นแม้พระเสาร์ที่รีบทรงพยัคฆ์ดำสัตว์พาหนะประจำกายเหาะเหินไปยังจุดหมาย หากไปถึงสิ่งที่พบคือความสงบที่ไม่อาจจะเรียกได้เต็มปากนัก ความสงบเพียงเพราะร่างอสุราคละกับร่างของกองกำลังเทพาอันไร้วิญญาณทับถมกันเป็นกองพะเนิน

ดวงเนตรเพียงข้างเดียวกวาดมองไปทั่วบริเวณ พบช่องโหว่ขนาดใหญ่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรอยร้าวที่พวกตนพยายามผนึกแต่วันนี้ได้พานพบซึ่งความล้มเหลว นอกจากจะเห็นซากศพ ซากปรักหักพังของมิติคุกกาลเวลาแล้ว พระเสาร์ก็เห็นเทพร่างสูงกำยำสวมเกราะเนื้อเหมในมือจับคันธนูเอาไว้มั่นกำลังเดินออกมาจากคุกกาลเวลา

“เทพนภนต์”

“พระเสาร์” ผู้ถูกเอ่ยนามหันไปตามเสียงเรียกหาก่อนจะเอ่ยชื่ออีกฝ่ายเช่นเดียวกัน

“ท่านคงจะสำรวจจนทนทั่วแล้วใช่หรือไม่ พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดเสียหายร้ายแรงบ้าง” พระเสาร์เอ่ยถาม ในเมื่อนภนต์ออกตรวจตราแล้วตนก็ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจตราซ้ำรอย

“อย่างที่ท่านเห็นว่าชั้นเวทย์ที่ใช้สำหรับห่อหุ้มมิติกาลเวลาถูกทำลายเสียหายไปเกินขึ้น อสุรานับร้อยหนีออกมาได้แม้จะถูกสังหารไปบ้างแต่ก็มีอีกมากที่หลุดรอด รวมไปถึง…” นภนต์ตอบกลับคำถามของพระเสาร์ ทั้งที่อุตส่าห์ยกทัพมาปราบแต่ก็มิอาจจับหรือสังหารอสูรให้หมดสิ้นหากพอจะเอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้าย สีหน้าของแม่ทัพหลวงแห่งสรวงสวรรค์กลับไม่สู้ดี คิ้วสองขมวดจนแทบจะเป็นปม

“อย่าได้อมพะนำอ้ำอึ้ง จงเร่งแจ้งแก่ข้าให้รับรู้” พระเสาร์นึกใจร้อนอยากรู้คำตอบด้วยความร้อนใจว่าสิ่งที่ตนคิดจะเป็นจริง

“จอมมารล้านภาคและอดีตพระสมุทรกนธีได้หลบหนีออกไปได้ ข้าให้ทหารค้นหาจนทั่ว ทั้งพลิกร่างยกศพดูอย่างละเอียดก็ไม่พบ ข้าคิดว่าทั้งสองคงออกไปได้และอาจจะอยู่ด้วยกัน” นภนต์ให้คำตอบที่ฟังแล้วสแลงหู นับว่าเป็นข่าวร้ายที่บุคคลอันตรายหนีรอดและดูท่าว่าจะนำความเดือดร้อนมาสู่สามโลกอีกไม่นานนี้

หลังจากนั้นไม่นานเทวาและเทวีผู้มีฤทธิ์ได้ถูกเรียกให้มาชุมนุมที่สภาเทวาโดยบัลลังก์มีพระผู้สร้างประทับเป็นองค์ประธาน เทพนภนต์ผู้เป็นแม่ทัพได้กราบทูลรายงานอย่างละเอียดไม่มีตกหล่น ซึ่งสร้างความหวาดหวั่นให้แก่ทวยเทพที่ไม่อยากให้สงครามเทวา-อสุราเกิดขึ้นอีกรอบ เพราะการสูญเสียเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครไม่อยากพบเจอ

“เทพกาลเวลา เราขอมอบหมายให้ท่านเร่งซ่อมคุกกาลเวลา โดยมีเทพอัศวินฝาแฝดและทหารรับใช้ในสังกัดของทั้งสองคอยช่วยเหลือ”

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” เทพณิชนิรันดร์น้อมรับเทวบัญชาแต่โดยดี ยามได้รู้ว่าคุกทรายสีนิลพังทลาย ในใจรู้สึกผิดไม่น้อยที่คุกกาลเวลาของตนมิอาจขังเหล่าผู้กระทำบาปร้ายแรงเอาไว้ได้ กระนั้นเมื่อได้รับคำบัญชาจากพระผู้สร้าง เทพแห่งกาลเวลาจึงไม่อิดออดในหน้าที่

“พระสมุทรชลันธร เรามอบหมายให้ท่านดูแลอาณาเขตทุกน่านน้ำเฉกเช่นเดิม หากวางกองกำลังให้มากยิ่งขึ้น อย่าให้ได้มีจุดบอดเป็นอันขาด ทั้งนี้ให้มีอำนาจสั่งการสูงสึดรองจากเรา” หลังจากรับสั่งกับเทพกาลเวลาแล้ว พระผู้สร้างก็ได้ตรัสกับญาติผู้น้องแห่งตน ภาะหน้าที่อันยิ่งใหญ่ก็ตกไปเป็นของพระสมุทรชลันธร

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ” ชลันธรรับพระบัญชา ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับนภนต์เพื่อสื่อว่าอย่าได้กังวลกับสิ่งใด หากเกิดสงครามจริงชลันธรย่อมเอาชัยเหนือผู้ใดได้แน่นอน

… ‘ข้าเป็นถึงผู้ครองบัลลังมุกสีคราม ทั้งยังมีตรีศูลอันเป็นอาวุธ ๑ ใน ๓ ที่มีแสนยานุภาพร้ายแรง ท่านพี่อย่าได้กังวลเลย’ …

… ‘ชลันธรน้องพี่…จะไม่ให้พี่กังวลได้อย่างไรเล่า ในเมื่อเทพชั่วกนธีผู้เคยคิดฆ่าเจ้า มันได้ออกมาและคงจะไม่ปล่อยเจ้าให้มีชีวิต เป็นเสี้ยนหนามตำใจเจ้าเป็นแน่’ …

“เทพนภนต์ ตลอดจนเทพนพเคราะห์ขอให้พวกท่านแบ่งกำลังกันช่วยปกปักรักษาชั้นฟ้าและโลกมนุษย์เอาไว้ โดยเฉพาะบนผืนโลกอย่าให้มีอสูรสักตัวก่อความวุ่นวาย”

“พะยะค่ะ!!” ผู้ได้รับคำบัญชาต่างก็ขานรับเทวราชโองการ

การประชุมล่วงเลยไปหลายเพลา เหล่าเทพและนางอัปสรต่างได้รับมอบหมายหน้าที่ไม่มีละเว้นตามกำลัง ตามความสามารถ นอกจากนี้ต่างคิดวางแผนรับมือฝ่ายอสุราโดยเฉพาะสถานที่อันเป็นเป้าหมายของพวกมัน

“ข้าว่าจะส่งกำลังไปคุ้มกันโดยรอบวิมานของพระเสาร์เพราะทั้งนาคินทร์และพระพุธต่างก็พำนักอยู่ แน่นอนว่าหากพวกมันสืบทราบย่อมบุกมาสังหารแน่ โดยเฉพาะพระพุธผู้ที่ปราบมารล้านภาคอีกทั้งจับเทพกนธีเข้าคุกกาลเวลา” นภนต์กล่าวกับเทพนพเคราะห์ที่นั่งประชุมร่วมกัน

“ข้าเห็นด้วย แม้นวิมานของพระเสาร์ข้าได้ลงคาถาอาชาแปดทิศเอาไว้แล้วแต่การที่ทั้งสองทำลายคุกกาลเวลาได้ ย่อมทำให้เราตระหนักได้ว่าอย่าประมาท พระเสาร์ในฐานะท่านเป็นเจ้าของวิมานท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร” พระพฤหัสบดีพูดเสริม บรมครูแห่งเทวดาเห็นด้วยกับเทพนภนต์ กระนั้นก็คิดถึงใจเขาใจเราถามไถ่พระศนิผู้รักสันโดด

“อืม ข้าตกลง” พระเสาร์ตอบออกมาสั้น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ใครจะคิดว่าผู้ไม่สนใจสิ่งใด เกลียดความวุ่นวายเป็นที่สุดจะยินยอมโดยง่าย ไม่แปลกที่จะนึกฉงนสงสัย ประหลาดใจกับคำตอบ

พระเสาร์เป็นผู้ไม่ชอบความวุ่นวายจริง หากนั่นคือเมื่อก่อน เวลานี้ต่อให้ต้องพบเจอความวุ่นวายมากกว่านี้เป็นร้อยเท่า พันเท่า พระเสาร์ก็ยินดีถ้ามันยังรักษาลมหายใจของผู้อันเป็นที่รักเอาไว้ได้

สุดท้ายการวางแผนเพื่อรับมือจอมมารล้านภาค อดีตสมุทรเทพกนธีตลอดจนอสูรร้ายที่หลุดรอดก็เป็นอันเสร็จสิ้น ต่างคนต่างแยกย้ายกลับไปยังวิมาน ทว่าพระเสาร์ยังไม่ทันได้ขึ้นขี่พยัคฆ์ดำ พระอาทิตย์ก็เข้ามาขวางเอาไว้เสียก่อน

“พระอาทิตย์ ท่านมีอันใดถึงได้ยืนขวางข้า หากไม่ใช่ธุระสำคัญก็ค่อยพูดคุยกันในวันหน้า”

“ข้าจะมาพูดเรื่องรพีพงศ์ที่ได้กระทำผิดหยามเกียรติของวงศาท่าน ตลอดจนจิตใจของนาคินทร์”

“ข้าก็คิดว่าเรื่องใด หากเป็นเรื่องบุตรชายของท่านปันใจให้หญิงอื่น ข้าไม่อยากจะฟังสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะข้ามิอาจรู้ว่าจะห้ามไม่ให้ตนโกรธเคือง พลั้งมือ พลั้งเท้า ทำร้ายรพีพงศ์หรือทำลายแดนสุริยาให้ย่อยยับได้นานเพียงใด” พระเสาร์เอ่ย ก่อนจะเบี่ยงกายเดินไปยังสัตว์พาหนะของตนแล้วเหาะกลับวิมานไป โดยดวงตาสีเม็ดมะปรางมองตรงไปข้างหน้าไม่คิดจะเหลือบแลสุริยเทพที่มาขอเจรจาแม้แต่น้อย

เป็นดั่งที่พระเสาร์ได้กล่าวไว้ ตนมิอาจล่วงรู้อนาคตได้เลยว่าจะสามารถทนเห็น ทนฟังเสียงเล่าลือที่แพร่สะพัดไปทั่วสุราลัยมีทั้งเป็นจริง เป็นเท็จ ปะปนผสมจนไม่อาจแยกแยะได้ ยิ่งไปกว่านั้นกลายเป็นข่าวลือใหม่ไม่ซ้ำในแต่ละวัน มีทั้งนึกสงสารนาคินทร์บุตรแห่งตน มีทั้งสมน้ำหน้าสะใจที่บุรุษอย่างนาคินทร์ถูกทอดทิ้งเพราะมิอาจมีบุตรสืบสันติวงค์ได้ คราที่ได้ยินพระเสาร์อยากจะเข้าไปแหกอกคนที่พ่นวาจาเลวทรามออกมาไม่ต่างปล่อยสิ่งปฏิกูลออกจากปาก แต่ก็คิดได้ว่าคนที่สมควรถูกแหกอกมากที่สุดหาใช่ใครอื่นนอกจากจะเป็น…รพีพงศ์

ทว่าพระเสาร์ต้องอดทนไม่ให้กระทำในสิ่งที่คิดเพราะคำขอร้องที่มาพร้อมกับน้ำตาของนาคินทร์

*****

เวลาล่วงเลยไปหลายวันนับตั้งแต่คุกกาลเวลาถูกทำลาย เหล่าทวยเทพบนสวรรค์ ไม่เว้นแม้แต่คนธรรพ์ ครุฑ นาค ยักษาตลอดจนสรรพสิ่งในป่าหิมพานต์ ต่างก็ร่วมมือกันคอยสอดส่องดูแลตามความสามารถในอาณาเขตถิ่นอาศัยของตน หากมีสิ่งผิดปกติก็จะรายงานแก่เทพนภนต์ให้ทราบโดยทันที

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอสูรสักตัวปรากฏกายหรือออกมาสร้างความเดือดร้อนวุ่นวาย ยิ่งเบาะแสของมารพศินกับกนธีก็ไร้วี่แววว่าจะตามตัวเจอ หนึ่งคือเทพผู้มากฤทธาแสนเจ้าเล่ห์ หนึ่งคือจอมมารผู้เคยทำลายสวรรค์จนแทบไม่เหลือ เทวดา เยาวมาลย์งามบนชั้นฟ้าพอไก้รับรู้ถึงเหตุการณ์ต่างก็ไม่จะย่างก้าวจากวิมานหากไม่จำเป็น

เว้นแต่เทพพิจิกดาราหรืออินทุนิลที่ใช้โอกาสนี้ออกจากวิมานเดินลงไปยังวิหารร้างนอกรีต ณ เขาจิตตะ เพื่อทำการรักษาร่องรอยคำสาปตรงบ่า

“มุตตาเจ้ามันหาใช่นาคแต่เป็นมาร!!! มารหัวใจของข้า!!!” ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำใดมาด่าว่าผู้ที่ตายไปแล้ว หากย้อนเวลากลับไปได้อินทุนิลใคร่อยากเอามีดแล่เนื้อเถือกระดูกโยนทิ้งให้แร้งกินมากกว่าปล่อยร่างของมุตตาสลายกลายเป็นสายน้ำดั่งที่ได้กระทำไว้

นับว่าวิธีการฆ่ามุตตาในครั้งนั้นอินทุนิลใจดีมากไป เมื่อเทียบกับสิ่งที่มุตตาทิ้งความเจ็บด้วยรอยคำสาปที่เกล็ดนาคสีดำทมิฬซึ่งนับวันยิ่งลุกลามไปยังต้นแขนและเพิ่มความปวดแสบปวดร้อนดังไฟเผาด้วยพิษที่ออกฤทธิ์ทุกครั้งยามเกล็ดนาคขึ้นมาเหนือฉวีวรรณ อินทุนิลทำได้เพียงใช้พลังพิษแมงป่องคอยต้าน แม้จะด้อยกว่าพิษนาคแต่ก็พอบรรเทาอาการให้ทุเลาลงได้

หากสิ่งที่อินทุนิลปรารถนาคือถอนคำสาปให้พ้นตัวก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้และเปิดเผยความจริงในเหตุการณ์สังหารชายาของพระเสาร์ตลอดไปถึงการทำร้ายพระพุธอีกด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่อินทุนิลมายังวิหารร้างในยามวิกาล ส่วนอีกเหตุผลนั่นคือดำเนินแผนทำลายความรักของนาคินทร์

“มันจะต้องมีวิธี…วิธีที่ถอนคำสาปนี้…อึก” มือที่กำลังเปิดตำราต้องหยุดกึกแล้วชักกลับขึ้นมากุมแขนเอาไว้มั่น อินทุนิลกัดฟันสะกดกลั้นเสียงร้องของตนขณะที่เกล็ดนาคกำลังเพิ่มจำนวนอีกครา

“อดทนไว้อินทุนิล…อดทนไว้…อ๊าก!!!” แม้ปากจะท่องสะกดจิตสะกดใจเอาไว้แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทนได้ เสียงกรีดร้องทรมานดังก้องไปทั่ววิหาร ร่างอรชรซวนเซชนเข้ากับชั้นวางตำราจนตกลงเกลื่อนพื้น ในความโชคร้ายที่ถูกคำสาปเล่นงามกลับทำให้อินทุนิลเจอความโชคดีเมื่อมีตำราเล่มหนึ่งเปิดอ้าเผยให้เห็นวิธีแก้คำสาป

อินทุนิลยอบกายลงนั่งหยิบเอาตำราเล่มนั้นขึ้นมา ในที่สุดอินทุนิลก็ค้นพบวิธีถอนคำสาป ดวงตากลมสวยอ่านอักษรที่เขียนอยู่ภายในโดยละเอียดจนถึงอักษรสุดท้าย ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวกับว่าไม่เคยร้องออกมาก่อนหน้านี้

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เลือด…ขอเพียงข้าได้เลือดของเจ้ามาอาบรอยคำสาปเท่านั้น นาคินทร์”







................

หายไปนาน ตอนนี้กลับมาแล้วเรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป มาม่าทร่ขึ้นอืดกำลังจะถูกกินหมดหม้อแล้วค่ะทุกคน เย้!!! เราต้องฉลอง



นอกจากจากฉลองที่มาม่าจะหมดยุ่งก็ขอเปิดงานคืนสู่เหย้าให้กับตัวร้ายแสนรักของท่านยุ่ง กนธี!! นั่นเอง ที่รักกบับมาแล้ว 555 ป๋ากนธีมาแล้ว 5555



ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตาม คอมเม้น ยังเข้ามาอ่านนิยายของท่านยุ่งนะคะ ดีใจที่ยังเคียงข้าง



ป.ล. ทุกตอนที่เขียนมายังไม่ตรวจคำผิดวันนี้ย้อนอ่าน อายจังนิ้วเบียดพิมพ์ผิดไปหลายคำ



ป.ล. 2 นิยายของท่านยุ่งพิมพ์กับมือถือค่ะดังนั้นจะเจอความนิ้วเบียดบ่อย ขออภัยนะคะ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
ลิขิตรัก เพลิงเทวา

File : 25

Author : Tan -Yung 0209

แม้นว่าเหตุการณ์ที่คุกกาลเวลาถูกทำลายจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้จะสร้างความอกสั่นขวัญผวาให้กับเทวัญตลอดนางอัปสร หรือแม้แต่สรรพสิ่งสัตว์เทวะเองยังกริ่งกลัว ไม่รู้ว่าอสูรร้ายที่หนีออกมาได้จะเข้ามาเฉือนเนื้อ ปลิดวิญญาณตนในเวลาไหน ทว่าวิมานเพลิงของสุริยเทพกลับตระเตรียมงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ประดับด้วยผ้าสีผืนบางทำเป็นม่านและช่อผกาประดับอยู่ตามเสา บ่งบอกว่าจะมีงานมงคลในเร็ววัน

“ท่านพี่นภนต์ หากเพลานี้น้องมิได้อยู่เฝ้ารักษามหาสมุทรน้องคงจะไปไถ่ถามรพีพงศ์ให้รู้แจ้งแจ่มชัดว่าเหตุใดถึงได้ใจร้ายไส้ระกำเยี่ยงนี้ ตบแต่งนาคินทร์สหายของน้องได้ไม่ทันไร ไหนเล่าจะมีเหตุการณ์คุกกาลเวลาถูกทำลาย ไยมีกะจิตกะใจจัดงานสถาปนานางอัปสรผู้นั้นมาเป็นชายาอีกคน” ชลันธรเอื้อนเอ่ยออกมายาวเหยียดผิดวิสัย ทั้งหน้าตางามหมดจดง้ำงอไม่พอใจเมื่อได้รับสาสน์เชื้อเชิญให้ร่วมเป็นสักขีพยานความรักในครั้งนี้

“ชลันธรเมียพี่…น้องอย่าได้โมโหเลย ประเดี๋ยวกระแสสินธุ์หมุนเกลียวกลายเป็นคลื่นยักษ์จะทำให้มวลมัจฉาแลสรรพสิ่งใต้ผืนน้ำจะเกิดอันตราย เดือดร้อนก็เป็นได้” นภนต์เข้ามาประทับนั่งเคียงข้างยังแท่นรัตนาสีคราม แขนแกร่งก็โอบไปด้านหลังแล้วเกี่ยวกอดเอวบางไว้

“จะไม่ให้น้องโมโหอย่างไรเล่า ท่านพี่นภนต์ลองคิดดูเถิดยามนี้นาคินทร์ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ทั้งสูญเสียมารดา ทั้งสูญเสียคนรักให้ผู้อื่นเข้ามาแย่งชิง หากเป็นน้อง…น้องคงจะขาดใจเป็นแน่” พระสมุทรคนงามเอ่ยออกมา น้ำเสียงหวานติดเศร้าสร้อยทำให้คู่ชีวีตอดไม่ได้ที่จะปลอบประโลม ฝ่ามืออุ่นที่ไม่เคยปล่อยทำหน้าที่ดันศีรษะชลันธรเข้ามาแอบอิงแผ่นอกของตนช้า ๆ

“พี่จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้กับเจ้าแน่ เราสองต่างเคยทรมานกับพิษรัก ต่างเคยจากลากันคนละภพภูมิ ครานี้เจ้ามาอยู่เคียงข้างพี่ มีหรือพี่จะยอมสูญเสียเจ้า” นภนต์เอ่ยก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปที่ขมับ คนในอ้อมแขนช้อนตามองแล้วประทับริมฝีปากยังแผ่นอกของคนรักบ้าง ซึ่งเรียกรอยยิ้มให้กับนภนต์ได้เป็นอย่างดี

“ท่านพี่จะไม่มีใครนอกจากน้องใช่หรือไม่” น้ำเสียงอู้อี้เปล่งออกมาลอยเข้าโสตประสาท เทพนภนต์ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะให้คำมั่นกับยอดดวงหฤทัย

“พี่จะมีเจ้าผู้ดียว จะไม่ปันใจให้ผู้ใด”

“ข้าเองก็เช่นกัน”

แม้ความรักของเทพแห่งท้องนภาจะทำให้เทพแห่งท้องสมุทรเย็นลงได้ หากก็ไม่อาจบรรเทาความเป็นห่วงเป็นใยที่ชลันธรมีแก่สหายลงไปได้ ยามดวงตะวันฉายแสงบ่งบอกรุ่งอรุณในวันใหม่ ชลันธรได้มอบหมายหน้าที่แด่เหล่าขุนพล กองทหารให้รักษามหาสมุทรเอาไว้ให้ดี พร้อมสำทับมนตราเป็นม่านเกราะป้องกันพระปิตุลาอย่างกนธีมารุกล้ำ ก่อนตนนั้นจะเหาะเหินไปกับนภนต์สู่วิมานของพระเสาร์

“ท่านนาคินทร์เจ้าคะ”

“มีอันใดหรือบงกชแก้วหรือท่านอาพุธ…” นาคินทร์เอ่ยถามนางกำนัลที่ลุกลี้ลุกลนเข้ามาหา ขณะที่ตนกำลังจัดดอกไม้ลงแจกัน ใจดวงน้อยวูบไหวกลัวว่าเกิดสิ่งใดกับองค์เทพคนสำคัญ

“หาได้เกิดสิ่งใดกับพระพุธเจ้า เพียงแต่…”

“เพียงแต่ข้าและท่านพี่มาเยี่ยมเยือนเจ้าต่างหากเล่านาคินทร์” ชลันธันเอ่ยแทรกขึ้นมา โดยที่เท้าทั้งสองขยับเดินข้ามธรณีประตู

“ลัน…ท่านนภนต์” นาคินทร์คลี่ยิ้มออกมาด้วยความยินดีพลอยให้นางอัปสรผู้รับใช้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง นานเพียงใดแล้วที่พวกนางไม่ได้ยลพักตรางามที่ยิ้มแย้มด้วยความสุข

จากนั้นสองร่างอรชรวิ่งเข้าโดยพลัน ต่างฝ่ายต่างโอบกอดแน่นให้สมกับความคิดถึง ด้วยภาระหน้าทำให้การพบเจอกันไม่ได้เป็นไปได้ดั่งใจหวัง

“บงกชแก้วเจ้าออกไปก่อนเถิด หากมีสิ่งใดข้าจะเรียกใช้เจ้า” นาคินทร์ผละกอดสหายรักแล้วเอ่ยกับนางอัปสรในห้อง เพราะในใจคิดว่าการที่ชลันธรละทิ้งมหาสมุทรมาหาตนในครานี้คงไม่ใช่เพียงพบปะพูดคุยเรื่องทั่วไปเป็นแน่

“เจ้าค่ะ” บงกชแก้วรับคำสั่งแล้วปลีกตัวออกไป

“เชิญท่านนภนต์กับลันนั่งลงก่อนเถิด การที่ท่านทั้งสองมาถึงวิมานของข้าในยามที่สวรรค์ตลอดจนพิภพบาดาลมีเหตุเดือดร้อนเช่นนี้ เห็นทีต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่แท้” นาคินทร์เชื้อเชิญสองเทพผู้ยิ่งใหญ่

“เป็นดั่งที่คินทร์ว่าไว้ ความห่วงใยที่เรานี้มีต่อคินทร์ย่อมสำคัญ”

“เอ่ยเช่นนี้ประเดี๋ยวท่านนภนต์จะหึงหวงเรากับลันเสียจนได้”

“หากเป็นเจ้ากับชลันธรข้านี้มิคิดอันใด” นภนต์เอ่ยขึ้น ดวงตามองวิฬารน้อยข้างกายสลับกับนาคินทร์ มองเช่นไรก็มิอาจคิดทั้งสองในสัมพันธ์ลึกซึ้งได้

“เช่นนี้ก็ดียิ่ง ราตรีนี้น้องขอนอนกอดนาคินทร์ให้หายคิดถึง ส่วนท่านพี่เองช่วยลงไปดูแลมหาสมุทรแทนน้อง” ชลันธรเอ่ย ทำเอาผู้เป็นสวามีอยากจะโอดครวญที่ข้างกายไร้คนรักไว้กกกอด

“หากเป็นความต้องการของน้อง ตัวพี่ย่อมไม่ขัด อย่างไรเสียอย่าชวนกันเล่นซุกซนก็เป็นพอ เพลานี้พี่ไม่อยากให้เจ้าและนาคินทร์ต้องพบเจออันตราย”

“ท่านนภนต์ ข้าขอขอบน้ำใจท่านมากที่นึกห่วง ข้าเองไม่ได้ออกไปไหนดอก เกรงว่าลันจะมาอยู่กับข้าแล้วเบื่อหน่ายไปเสียด้วยซ้ำ”

“ดีแล้ว ยามนี้อย่าได้ออกไปที่ใด” นภนต์เห็นด้วย ส่วนหนึ่งที่รพีพงศ์ยินยอมให้ชลันธรมาอยู่วิมานหงสบาทเพราะความปลอดภัย หากกนธีบุกมาแก้แค้นชิงบัลลังก์มุกสีคราม

“เว้นแต่งานฉลองแต่งตั้งชวารีเป็นชายาอีกคนของท่านพี่รพีพงศ์ที่จะขึ้นในเร็ววัน” นาคินทร์เอ่ยออกมาใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมาแฝงไปด้วยความเศร้า

‘ปัง!’

“คินทร์…หากเจ้าเจ็บปวดใจก็มิต้องไป งานแต่งตั้งชายากระนั้นหรือ ฮึ!!! งานประกาศความเจ้าชู้ล่ะสิไม่ว่า” ชลันธรกำหมัดแน่นทุบลงแท่นแก้วที่ประทับจนเกิดเสียง

“มันเป็นความสุขของท่านพี่ ข้าผู้เป็นชายาย่อมยินดี…ลัน”

“โง่!!! โง่เสียเหลือเกิน นาคินทร์ คิดจะทำตัวเป็นพ่อพระ แม่พระแล้วอย่างไรเล่า มีความสุขบ้างหรือไม่ หาใช่ว่าน้ำตาตกในไม่รู้กี่หยาดหยด ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อินทุนิลระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากมองภาพความเคลื่อนไหวของนาคินทร์ในลูกแก้วมายาผ่านนกอินทรีเวทย์ที่บินวนโฉบไปมาเหนือวิมานของพระเสาร์ นอกจากจะหัวเราะให้ความเขลาของนาคินทร์แล้ว อินทุนิลก็ได้รับข่าวดียิ่ง นั่นคือ วันที่นาคินทร์ย่างเท้าออกจากวิมาน

ทว่าเสียงหัวเราะก็เงียบหายไป เมื่อนาคินทร์เชิญชวนชลันธรและนภนต์เข้าไปในห้องของพระเสาร์เพื่อเยี่ยมพระพุธ ณ ห้องแห่งนี้นับว่าเป็นส่วนเดียวของวิมานที่อินทุนิลไม่อาจแลเห็นได้ เนื่องจากว่าพระเสาร์ได้ลงอาคมหนาแน่นหลังจากคราวก่อนพระพุธกระอักเลือดออกมา

“ไม่ได้เห็นก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียในอีกไม่กี่วัน ข้าก็จะได้เห็นน้ำตาของเจ้า รวมไปถึงได้กรีดเลือดของเจ้ามาล้างคำสาปชั่วช้าที่มุตตาแม่ของเจ้าทิ้งไว้กับข้า!!!”





............. จัดไปก่อน 40% นะคะ หลังจากนี้รับรองว่าจะได้กรีดร้องเล็กน้อย......

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด