20
~ ฟ้าหลังฝนของทิชา ~
BEE-BEE's PARTรถ Renge Rover จอดเบรคเอี๊ยดหัวทิ่มหัวตำเมื่อมาถึงอาคารศูนย์ทะเบียนของมหาวิทยาลัย ผมหันไปมองหน้าคนที่ทำให้หัวผมเกือบโขกคอนโซลรถอย่างปลงๆ ด้วยความที่เมื่อกี้ก่อนออกมาก็ยังคุยกันอยู่ดีๆ แค่สิบห้านาทีผ่านไปก็ดูจะอารมณ์เสียขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ไม่ว่าจะเพราะรถติด โดนมอเตอร์ไซค์แซงซ้ายหรือห่าเหวอะไรก็ช่างเถอะ คนอย่างเฮียรุจ แค่ได้ยินเสียงหมาเห่าตอนกำลังกินข้าวก็เปลี่ยนจากหน้ายิ้มเย็นยะเยือกมาเป็นโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้
ผมหยิบแฟ้มใสใส่เอกสารที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตรวจดูความเรียบร้อยเพื่อที่จะได้จัดการธุระให้จบๆ ไปโดยไม่ต้องย้อนกลับไปกลับมาอีก รู้สึกหน่วงข้างในอกนิดหน่อยเมื่อคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า.... แต่ก็อย่างที่เห็นว่าผมตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะให้มันเป็นแบบนี้ ก็ไม่อยากกลับลำคร่ำครวญให้ใครเขาต้องสมเพชเวทนาในความขี้ขลาดของตัวเองอีก
“ต้องให้ลงไปเป็นเพื่อนไหม?”
“ไม่ต้อง.... บี๋จัดการเองได้”
เฮียรุจพยักหน้าแกนๆ แล้วดับเครื่องยนต์แทนคำตอบว่าเขาตกลงจะนั่งรออยู่บนรถ ทั้งที่มีป้ายแปะหราว่าห้ามสูบบุหรี่ภายในเขตสถานศึกษาแต่เฮียแกก็ไม่อินังขังขอบต่อคำเตือนและคำขู่ว่าจะปรับเงินใดๆ ทั้งสิ้น คว้าบุหรี่มาจุดสูบหน้าตาเฉย น้ำเสียงห้วนเอ่ยบอกกับผมก่อนที่จะได้เปิดประตูลงไป
“งั้นเสร็จแล้วก็รีบมา หวังว่าเฮียคงไม่ต้องไปตามนะ”
“ล่ามโซ่ฝังไมโครชิปเลยไหมล่ะ?”
“อย่าคิดว่าไม่กล้า”
เพราะเขาพูดแบบนั้น ผมก็เลยขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงหาเรื่องใส่ตัวโดยใช่เหตุ ก็แค่เปิดประตูรถแล้วปิดกระแทกดังโครม โชคดีที่เจ้าของรถไม่ตามลงมากระชากหัวผมโทษฐานเหวี่ยงไม่ดูตาม้าตาเรือ
ช่วงนี้ตามคณะต่างๆ ส่วนใหญ่สอบไฟนอลและส่งโปรเจกต์กันเรียบร้อยแล้ว ผู้คนที่เหลือก็เลยดูค่อนข้างบางตากว่าปกติ ผมสูดลมหายใจลึกเข้าขณะก้าวขาขึ้นไปตามบันไดเตี้ยๆ ยกพื้นหน้าอาคาร ในมือยังคงถือเอกสาร ‘แบบคำร้องขอลาออกจากสถานภาพนิสิต’ ซึ่งกรอกรายละเอียดและลงลายมือชื่อเอาไว้เสร็จสรรพ
“ลาออกเทียบโอนหน่วยกิตไปม.อื่นเหรอคะ.... อาจารย์ที่ปรึกษาเซ็นรับทราบเรียบร้อยแล้วเนอะ?”
“ครับ รบกวนด้วยนะครับ”
ผมนั่งมองพื้นกระเบื้อง เช็คเฟซบุค ไอจีไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอเจ้าหน้าที่ดำเนินเรื่องให้.... สิ่งที่ผ่านหน้าฟีดไปก็เรตติ้งละครสงครามคิวท์บอย ความดังของนายแดน เดือนใจหมาแห่งสถาปัตย์กับคู่จิ้นคนใหม่ของมัน โฆษณาอาหารเสริมที่มีแม่เพื่อนเป็นพรีเซ็นเตอร์ สัพเพเหระใต้เตียงดาราและรอบรั้วมหาลัย แต่ที่ทำให้แปลกใจที่สุดในรอบหลายวันมานี้ก็คือไอ้ทิชายอมเปิดไอจีเป็นสาธารณะแล้ว
รูปที่ลงก็ไม่มีอะไรมาก แค่ขอบคุณแฟนคลับที่ส่งของมาให้ระหว่างที่มันรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แล้วก็มีลงรูปน้องมิลค์นิดหน่อยตามประสาคนอวดแมว ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันใจแข็งพอจะอ่านคอมเมนท์ชาวเน็ตได้หรือยัง แต่พูดกันตามตรง เพียงแค่มันยอมเปิดตัวเองออกมาสู้กับเสียงด่าไร้สาระจากคนที่ไม่รู้จักกัน ก็แปลว่ามันเข้มแข็งและเติบโตขึ้นเยอะมากทีเดียวเชียวล่ะ
ผิดกับผมที่เลือกจบปัญหาด้วยการล้างไพ่ Set Zero ขอกลับไปเริ่มต้นใหม่เพราะมันน่าจะง่ายกว่าจมอยู่กับความรู้สึกในปัจจุบัน....
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เจ้าหน้าที่คนเดิมเรียกผม ก่อนจะยื่นเอกสารเทียบโอนซึ่งผ่านการรับรองแล้วใส่แฟ้มคืนให้
“ไปเรียนที่ใหม่ก็ตั้งใจๆ นะ โชคดีจ้ะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมหันหลังเดินออกมาจากฝ่ายทะเบียนนิสิต ถึงจะยังไม่แน่ใจนักว่าคณะใหม่ที่ตั้งใจจะสมัครนั้นจะสามารถใช้วิชาจากภาคอินทีเรียเทียบโอนได้มากน้อยแค่ไหนแต่ก็ยังดีกว่าไปเริ่มเรียนวิชาพื้นฐานใหม่ทั้งหมด หากยังไม่ทันจะพ้นประตูดีก็มีคนคุ้นหน้าโผล่มาขวางไว้
“เป็นไงบ้าง น้องบี๋?”
“อ้าว พี่แจ็ค.... มาลาออกเหมือนกันเหรอ”
“ไม่ใช่เว้ย!”
พี่แจ็ครีบย้อนเสียงหลง แต่เขาก็รู้แหละว่าผมแค่ล้อเล่น
“เห็นเฮียรุจบอกว่าวันนี้น้องบี๋จะมามหาลัย พี่ก็เลยมารอเจอเราที่นี่”
พี่แจ็คไม่ค่อยได้เข้ามาที่เบอร์ลิคตั้งแต่ก่อนสอบไฟนอล เห็นว่ากำลังยุ่งๆ อยู่กับอะไรหลายอย่าง รวมถึงเรื่องเตรียมตัวฝึกงานช่วงปิดเทอมนี้ด้วย เฮียรุจก็เลยไม่ได้เรียกใช้พี่แจ็คบ่อยสักเท่าไรและเริ่มปั้นเด็กปีสองขึ้นมาเป็นลูกน้องคนสนิทแทน ก็เป็นธรรมดาของวงจรเด็กวิศวะฯ ในเบอร์ลิค คนเก่าถึงเวลาปลดระวางก็ไปทำหน้าที่ของตัวเอง งานในร้านก็มีเด็กใหม่ที่กำลังเห่อคลั่งไคล้ระบบเกียร์เข้ามาเสียบ
“เลือกมหาลัยใหม่ได้แล้วเหรอ?”
“ยังเลยพี่ แต่ก็ต้องรีบตัดสินใจแล้วล่ะ”
“อืม.... ก็เลือกดีๆ นะ อุตส่าห์มีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ชอบแล้วทั้งที”
ผมผงกหัวรับคำ เฮียรุจบอกว่าจะรับผิดชอบค่าเรียนและค่าใช้จ่ายให้ผมระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งผมก็ตั้งใจจะเลือกในสิ่งที่ตัวเองถนัดและทำได้ดีกว่าเรียนออกแบบตกแต่งภายในอยู่แล้ว
“อ้อ มึคนบอกว่าอยากเจอนน้องบีบี๋ด้วยล่ะ พอดีพี่เจอเขาเมื่อวันก่อนก็เลยบอกให้ลองมาดักรอวันนี้ดู”
“ใครเหรอ?”
พอถามออกไปแล้วถึงได้เห็นว่ามีผู้หญิงสองคนยืนรออยู่ด้านนอกประตูอาคารฝ่ายทะเบียนนิสิต ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าจะมีเพื่อนในภาคคนไหนอยากเจอผม โดยเฉพาะสองคนนี้
“เจนนี่? ฝ้าย?”
“พวกเราเอง............”
เจนนี่เป็นคนพูดกับผม ในขณะที่ฝ้ายยังคงยืนเงียบหลบอยู่ข้างหลังเพื่อนสนิท
“บีบี๋สบายดีใช่ไหม?”
“ก็เรื่อยๆ แหละ ไม่เจ็บไม่ไข้”
ผมตอบยิ้มๆ ไปตามมารยาท ตั้งแต่ขาหายเจ็บกลับมาเรียนและได้รู้ความจริงว่าเจนนี่กับฝ้ายเป็นคนเอาเรื่องคลิปไปพูดกลางห้องเรียนจนทำให้เพื่อนหลายคนมองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ผมก็ถอยห่างออกมาและแทบไม่ได้คุยกับทั้งคู่อีกเลย.... เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของไอ้ทิชาก็ตอนนั้นเอง การที่เราไม่ใช่คนผิดแต่กลับต้องโดนเสียงนินทาและสายตาประณามหยามเหยียดทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลามันเป็นยังไง แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรใครหรอกนะ ผมเลือกที่จะอดทนจนกว่าจะสอบไฟนอลและส่งงานเสร็จก่อนแล้วจึงค่อยมาลาออกตอนจบเทอม
“ถึงกับต้องลาออกเลยเหรอ?”
อดีตเพื่อนร่วมภาควิชาเอ่ยถามเสียงแผ่ว หน้าตาสลดหดหู่ชวนให้คิดได้ว่าเจ้าหล่อนอาจจะสำนึกผิดจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะสายเกินไปแล้วก็ตาม
“แล้วบีบี๋จะไปเรียนที่ไหน? มีที่เรียนใหม่แล้วเหรอ?”
“ยังไม่รู้เลย แต่ก็คงม.เอกชนในกรุงเทพฯ นี่แหละ ไม่ไปไหนไกลหรอก”
“บีบี๋ไม่ได้ลาออกเพราะเรื่องคลิปนั่นใช่ไหม?”
คราวนี้ฝ้ายเป็นคนถามขึ้นบ้าง จะเรียกว่าถามเพราะอยากรู้ก็ไม่เชิง อาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปสักนิด แต่ผมอดคิดไม่ได้ว่าเหตุผลที่ทั้งสองสาวมาดักรอผมก็เพราะอยากแก้ตัวให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงต่างหาก
“พวกเราหลุดปากคุยกันเรื่องคลิปของบีบี๋กับพี่รุจให้คนอื่นได้ยินก็ใช่ อันนี้เราสองคนยอมรับ แต่เราไม่ได้ปล่อยคลิปเลยนะ.... หลังจบคาบนั้นเจนนี่ก็ลบทิ้ง ไม่ได้ส่งให้ใครเลยจริงๆ”
“เรากับฝ้ายไม่ได้โกหกนะ ให้เราสาบานเลยก็ได้”
เจนนี่รีบเสริมก่อนจะอธิบายเบื้องหลังความจริงอีกอย่างซึ่งผมยังไม่รู้
“เราขอโทษที่ตอนนั้นทำอะไรลงไปโดยไม่ได้คิด คะนองปากเกินไปจนไม่ได้คิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อบีบี๋ยังไงบ้าง.... แต่หลังจากที่ทิชาเข้ามาว่าเรา บอกว่าเราทำตัวไม่สมที่เป็นเพื่อนกับบีบี๋ เราถึงได้รู้สึกตัวว่าทำผิดแล้วก็ลบคลิปไป.............”
ไอ้ทิชาอีกแล้ว.... ขนาดผมทำเรื่องแย่ๆ กับมันจนนับไม่ถ้วน ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แต่มันก็ยังพยายามปกป้องผมจากขี้ปากคนอื่น
นี่ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองเลวของโคตรเลว สมควรจะไปให้ไกลๆ จากมัน แล้วให้ทิชาได้คบเพื่อนที่ดีกว่าไอ้ตัวขี้อิจฉาแบบผม
“ไม่เป็นไร.........”
ผมยิ้มรับคำขอโทษจากสองสาว ไม่อยากถือโทษโกรธเคืองอะไรใครทั้งสิ้น เพราะถึงยังไงตัวตนของผมในชีวิตของคนเหล่านี้ก็กำลังจะจบลงอยู่แล้ว
“อันที่จริงเราก็ไม่ได้ลาออกเพราะเรื่องคลิปเสียทีเดียวหรอก มันหลายๆ อย่าง หลายๆ เหตุผลรวมกันน่ะ เราไม่รู้จะเล่ายังไงเหมือนกัน.... แต่เอาเป็นว่าเจนนี่กับฝ้ายไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรกับเราแล้วล่ะ เราโอเค”
เจนนี่กับฝ้ายเออออตามด้วยความโล่งใจเมื่อผมไม่ได้ต่อว่าถึงอดีตที่ผ่านเลยไปจนแก้ไขไม่ได้แล้ว ผมกำลังจะเดินจากไปอยู่แล้วแต่พอดีนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญก็เลยต้องหันกลับมา แน่นอนว่าทำเอาสองคนนั้นสะดุ้งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คงนึกว่าผมจะย้อนมาเอามีดแทงเรียงตัวล่ะมั้ง
“ยังมีอีกเรื่องที่เราอยากจะขอร้องพวกเธอก่อนไป ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงล่ะก็ พอจะช่วยเราหน่อยได้ไหม?”
“อะ....อะไรเหรอ?”
เจนนี่ย้อนถาม แม้จะหวาดๆ แต่ก็ดูมีวี่แววเต็มใจอยากช่วยอยู่
“เทอมหน้าโน้น ทิชามันน่าจะกลับมาเรียนได้แล้ว พวกเธอก็อย่าไปนินทาหรือพูดอะไรไม่ดีถึงมันอีกเลยนะ.... คือหลายๆ อย่างที่เราเคยเล่าให้เจนนี่กับฝ้ายฟังก็ไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด เรายอมรับว่าทำไปเพราะโกรธแล้วก็อิจฉามัน จริงๆ แล้ว ทิชาไม่ได้เป็นคนแบบที่เราว่าหรอก”
ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ผมจะทำเพื่อไอ้ทิชาได้ ก็คงมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น ขอให้มันได้ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างที่ฝันมาตลอดก็แล้วกัน
“ทิชามันเป็นเพื่อนที่ดีนะ เราต่างหากที่เลวใส่มันมาตลอด.............”
“อืม พวกเราเข้าใจแล้ว”
“งั้นก็โชคดีนะ บ๊ายบาย”
ผมโบกมือให้ทั้งคู่ก่อนจะเดินออกมาจากอาคารศูนย์ทะเบียนนิสิตด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งกว่าเดิม ต่อให้มันเทียบกับสิ่งที่ผมเคยทำลงไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมก็ได้ชดเชยอะไรนิดๆ หน่อยๆ ให้กับเพื่อนรักบ้าง.... แม้จะไม่ทำให้ผมดูเป็นคนดีขึ้นสักเท่าไร หากก็ช่วยให้ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองเลวจนเกินไปนัก
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ น้องบี๋”
คนที่เดินตามผมมาจนเกือบถึงลานจอดรถหน้าตึกก็คือพี่แจ็ค ดูท่าทางเขาเองก็คงมีเรื่องอยากคุยกับผมเหมือนกัน
“รีบกลับเหรอ เพิ่งมาได้แปบเดียวเองนี่?”
“โน่นไง”
ผมชี้ให้พี่แจ็คดูว่ารถ Renge Rover สีดำจอดอยู่ข้างหน้าห่างไปไม่กี่สิบเมตร และคนที่รีบก็ไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นลูกพี่สุดที่เคารพของเขาต่างหาก
“ประมาณอาทิตย์หน้าพี่ต้องเริ่มไปฝึกงานแล้ว คงไม่ได้ไปที่ร้านบ่อยเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้ามีอะไรไม่โอเคก็โทรมาหาพี่ได้เสมอนะ”
พี่แจ็คก็ยังคงเป็นพี่แจ็คคนดีคนเดิม คอยเป็นห่วงเป็นใยทั้งๆ ที่ผมก็สารพัดจะหาเรื่องเดือดร้อนให้เขาไม่เว้นแต่ละวัน
“พี่ไปฝึกงานให้สบายใจเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้.... บี๋ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ”
ผมถือวิสาสะตบบ่ารุ่นพี่อย่างปีนเกลียว ยิ้มให้เขาเห็น หัวเราะให้เขาดู พี่แจ็คจะได้ไม่ต้องมากังวลกับตัวภาระซึ่งรังแต่จะคอยสร้างความเดือดร้อนให้เขาเปล่าๆ
“แต่ยังไงก็ขอบคุณพี่แจ็คมากนะ พี่แม่งดีกว่าพี่ชายแท้ๆ ของบี๋เสียอีก”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยน่า”
“เฮียรุจก็ใจเย็นลงเยอะแล้ว ไม่ขี้เมาเหมือนแต่ก่อน พอไม่เมาก็ไม่ทะเลาะกัน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็น่าจะพออยู่ด้วยกันรอดแหละมั้ง”
ไม่ใช่แค่พี่แจ็คที่ยินดีเมื่อรู้ว่าสถานการณ์เลวร้ายของผมกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังอดปริ่มในอกเล็กๆ ไม่ได้เมื่อคิดว่าวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ แล้ววันต่อๆ ไปก็จะต้องดีมากยิ่งขึ้นไปอีก.... ถึงจะฟังดูเพ้อเจ้อไม่ใช่น้อย หากผมก็ต้องพยายามปลอบใจตัวเองเช่นนั้นเอาไว้ก่อน
“แล้วเดี๋ยวพอจัดการเรื่องที่เรียนใหม่เสร็จ บี๋ว่าบี๋จะลองกลับบ้านดูล่ะ.... ก็ไม่รู้ว่าจะโดนไล่ตะเพิดออกมาหรือเปล่านะ แต่บี๋ก็อยากขอโทษป๊ากับม๊าต่อหน้า เผื่อว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น”
“เออ พี่ก็คิดว่ามันจะต้องดีขึ้นแน่.... สู้ๆ นะเว้ย”
ได้ฟังแค่นั้น ผมก็มีกำลังใจมากขึ้นอีกเป็นกอง แต่ยังไม่ทันจะได้ขอบคุณอีกรอบ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน แทบไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าเจ้าของสายเรียกเข้าคือใคร
‘เสร็จหรือยัง จะยืนคุยกับไอ้ห่าแจ็คอีกกี่ชาติ ห๊ะ!?’“พ่อโทรตามแล้วว่ะพี่ รอนิดรอหน่อยทำบ่น!”
“งั้นน้องบี๋ก็รีบไปเหอะ.... ใกล้เที่ยงแล้ว สงสัยเฮียแกจะโมโหหิว”
พี่แจ็คพูดกลั้วหัวเราะตามประสาคนที่รู้จักนิสัยใจคอรุ่นพี่ตัวเองดี ก็อย่างที่เขาเคยเตือนผมมาตลอดว่าถ้าอยากอยู่รอดปลอดภัยในเบอร์ลิคก็อย่าไปแหย่รังแตน โดยเฉพาะแตนระดับบอสที่ชื่อรุจ อารมณ์ก็ดีแล้วไป แต่ถ้าอารมณ์เสียเมื่อไรก็ได้ฉิบหายวายวอดกันเป็นแถบๆ
“บี๋ไปนะ ไว้เจอกัน”
หลังจากนั้น ผมก็เดินกลับไปขึ้นรถ ฟังเสียงผู้ชายที่บอกว่าจะดูแลผมบ่นอีกนิดหน่อยก่อนที่รถคันใหญ่สีดำจะเคลื่อนตัวออกมาจากบริเวณมหาวิทยาลัย
ผมแอบชำเลืองมองสถานที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพและบทเรียนราคาแพงค่อยๆ ห่างออกไปด้วยความรู้สึกวูบโหวง ราวกับว่าหัวใจถูกแทงทะลุเป็นรูโหว่.... หัวสมองพลันนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ผมเจอไอ้ทิชาตอนประชุมรวมนิสิตภาคปีหนึ่ง ครั้งแรกที่เริ่มคุยและคบกันเป็นเพื่อนจริงๆ จังๆ ก็ตอนเทอมสองที่ผมจิ๊กยางลบมันไปใช้ระหว่างเรียน ผมกับมันมีความทรงจำดีๆ ร่วมกันเยอะมากนะ แต่ก็น่าเสียดายตรงที่ผมทำมันพังและไม่สามารถเอากลับคืนมาได้
แต่เพราะชีวิตยังไม่ได้จบแค่นี้ ที่มหาวิทยาลัยใหม่ ผมก็คงจะมีเพื่อนใหม่ และได้เริ่มสร้างความประทับใจและความทรงจำใหม่ๆ ตามมา
ผมรู้แล้วว่ากับคนที่เป็นเพื่อนกัน ควรจะต้องปฏิบัติและรู้สึกต่อกันอย่างไร
.
.
.
ผมสัญญาว่าจะไม่ทำพลาดซ้ำแบบเดิมอีก....