Episode 18
แม้ไม่ใช่คุณคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก
ก็ไม่เป็นไร
เพราะผมเองก็เปลี่ยนไปทุกวัน "เป็ดน้อย!"
เสียงของคนที่เปิดประตูเข้ามาทำให้ผมรีบเก็บทั้งสมุดและซองยาของนาวีกลับเข้ากระเป๋าแล้วหันไปหา กลิ่นอาหารที่ธงทัพถือติดมือมาทำให้ผมเดาได้โดยไม่ต้องหันไปมองด้วยซ้ำ
"ไหนบอกไม่กินก๋วยเตี๋ยว"
"ก๋วยเตี๋ยวผิดตรงไหน"
ผมเบ้ปากใส่ธงทัพที่เอาคำของผมมาสวนกลับหน้าตาเฉย เพราะเคยชินกับการเอาแต่ใจที่ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ผมจึงไม่เถียง ได้แต่ถามหาสาเหตุที่มันมากลับห้องช้ากว่าที่ควรเป็น
"ไปไหนมา ทำไมกลับช้าจัง"
"อ่านหนังสือเพลิน นั่งใต้ดินเลยไปสองสถานี"
"อีกแล้ว" เพราะไม่ใช่ครั้งแรกเลยต้องบอกว่าอีกแล้ว ธงทัพมีสติถ้าต้องใช้ชีวิตในวันปกติ แต่ถ้ามีหนังสือติดมือเมื่อไร สติพลันหล่นหาย จมดิ่งเข้าไปหนังสือเล่มนั่นอย่างช่วยไม่ได้
"จะกินเลยไหม เดี๋ยวไปใส่ชามให้"
มันพยักหน้ารับก่อนส่งถุงก๋วยเตี๋ยวให้ แต่ในตอนนั้นผมเหลือบไปเห็นรอยเลอะที่ปกเสื้อ คิ้วขมวดเข้าหากันแล้วก้าวเท้าเข้าไปจับปกเสื้อนั่น
"เลอะอะไร?"
"เลือดกำเดาไหลอะ"
"บ่อยไปแล้วนะ นี่มึงเป็นอะไรป่ะเนี่ย"
"นอนน้อย"
"นอนน้อยอะไร กลางคืนก็เห็นหลับเป็นตายทุกที ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า"
"เออน่า บริษัทกูตรวจสุขภาพประจำปีตลอด ใกล้ตายเดี๋ยวบอก"
"ตลกเหรอ นี่มึงไม่สบายจริงๆ ใช่ไหม"
"มาแช่งอะไรกูเนี่ย"
"ไม่ได้แช่ง แต่หน้ามึงแดงๆ เหมือนเป็นไข้..." คล้ายว่าผมจะพูดกับตัวเองมากกว่า ในจังหวะนั้นก็ยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากธงทัพ เป็นไปอย่างที่คิดเพราะอุณหภูมิที่สัมผัสดูอุ่นกว่าปกติ
"ป่วยเหรอ?"
"เมื่อกลางวันปวดหัวนิดหนึ่งอะ แต่ไอ้ปอมันเอายาให้กินแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก นี่ธงทัพนะเว้ย เคยป่วยให้มึงเห็นป่ะ"
"ตอนปีสี่ที่มึงไม่สบายนอนโรงบาลสามคืน ใครเฝ้ามึง"
ธงทัพรวมริมฝีปากเงียบแล้วเหลือบตาขึ้นมองบนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็จริงที่มันไม่ค่อยป่วยให้เห็น แต่ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาผมก็คง...เป็นห่วงแย่
"กินก๋วยเตี๋ยวกันเถอะ หิวแล้ว" มันเปลี่ยนเรื่อง พลางทำปากยื่นไปยังถุงก๋วยเตี๋ยวในมือผม ผมก็ทำได้แต่พยักหน้ารับพลอยเปลี่ยนเรื่องตามมันไปด้วยการเดินไปเทก๋วยเตี๋ยวใส่ชาม เดินกลับมาอีกที ธงทัพก็กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งในมืออยู่ เดาว่าเป็นเล่มเดิมที่ทำให้อ่านจนนั่งรถเลยสถานีไป
"พี่ทัพ ไปนั่งนู่น"
ผมบอกให้มันขยับไปที่โซฟาหน้าทีวี ที่กินข้าวประจำของเรา คนที่กำลังตั้งใจอยู่กับหนังสือ ลุกขึ้นขณะตายังมองอยู่ในหน้าหนังสือ ก้าวเท้าช้าๆ ได้สองสามก้าวก็มาหยุดเอาซะดื้อๆ ตัวใหญ่ๆ กับไหล่กว้างๆ ของมันก็ขวางทางเดินได้มิดจนผมไม่สามารถแทรกผ่านไปได้
"พี่ทัพ!"
"ฮึ?"
"ไปนั่งตรงนู้นก่อนแล้วค่อยอ่านได้ไหม"
"อ๋อ เออ"
ตอบรับส่งๆ แล้วก็เดินก้มหน้าไปหย่อนตัวเองอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา ผมจับตะเกียบยัดใส่มือให้เสร็จสรรพ ก่อนมื้ออาหารเย็นระหว่างเราจะเป็นไปอย่างเงียบๆ ในตอนที่ธงทัพอยู่กับหนังสือ คล้ายว่าตัวตนของผมจะกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของอากาศที่ลอยไร้ประโยชน์อยู่ในห้อง นั่นไม่ใช่ความเคยชินแต่การยอมรับในสิ่งที่ธงทัพเป็น
ผมรู้ธงทัพทำงานหนัก และตอนที่อยู่กับหนังสือสักเล่มก็คือเวลาพักผ่อน มากกว่านั้นคือความหลงใหลในการอ่านหนังสือซึ่งผมจะไม่มีวันเข้าใจ จึงได้แต่ปล่อยให้ธงทัพใช้เวลาตรงนั้นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักต่อไป
ผมเหลือบตาขึ้นมองมุมปากของคนตรงข้ามที่ยกขึ้นยิ้มข้างหนึ่ง คล้ายกำลังเจอฉากที่ประทับใจ บ้างก็ขมวดคิ้วแน่นเมื่อเจอฉากที่ขัดใจ หรือยิ้มกว้างๆ ออกมาเลยจนแทบเป็นหัวเราะ นั่นน่าจะเป็นฉากขบขัน
ธงทัพก็เป็นแบบนี้แหละ...
"ภูผา"
"ฮะ? อะไร?"
"ตกใจอะไร"
"เปล่า เรียกทำไม"
"คิดว่ากูไม่เห็นเหรอเนี่ย เอาคืนไปเลย!" โวยวายพลางคีบผักในชามก๋วยเตี๋ยวที่ผมเพิ่งจะเขี่ยออกจากชามตัวเองแล้วคีบไปใส่ในชามมันตอนที่คิดว่ามันไม่รู้ตัว
"ช่วยกินหน่อย"
"อะไรไม่กินก็โยนให้กู ไอ้ที่ดีๆ ไม่เคยให้กูมั่ง"
"จะเอาอะไร"
"ลูกชิ้น"
ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนคีบลูกชิ้นในชามให้ส่งให้ถึงปากเลย ได้ลูกชิ้นไปสองลูกจนแก้มตุ่ย ธงทัพก็ยิ้มจนตาเป็นเส้นเดียว...ตอนนี้มัน...น่ารักมากเลยนะ
หลังจบมื้ออาหาร หนังสือเล่มนั้นของธงทัพยังไม่จบ อีกคนเลยยังไม่ได้ขยับไปไหน นั่งกองอยู่กับพื้น เอาหลังพิงโซฟาแล้วก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือเล่มนั้น ตัดขาดโลกภายนอกไปแล้วเรียบร้อย ผมเหมือนเป็นวิญญาณว่างงาน ไม่มีอะไรทำ เลยขยับไปต่อจิ๊กซอว์ของธงทัพได้เกือบยี่สิบชิ้น ที่ข้างกล่องมันเป็นรูปทิวทัศน์ของที่ไหนสักแห่ง แต่ความใจร้ายของมันคือเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นของภาพเป็นพื้นที่สีเขียวที่คล้ายคลึงกันไปหมด เมื่อนั่งอยู่ตรงนี้ก็มีสองทางให้เลือกระหว่าง สู้ต่อ กับ ขอยอมแพ้ ผมเลือกอย่างหลังในตอนที่ความพยายามสิ้นสุดลง เลื่อนตัวเองไปนั่งบนโซฟาเฉยๆ ทำตัวเป็นอากาศง่ายกว่า
"พี่"
"ฮึ?" ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำไป ผมอยากถามด้วยความงี่เง่าอย่างคนเอาแต่ใจบ้าง ทำไมหนังสือเล่มนั้นสำคัญกว่าผมล่ะพี่ แต่ไม่เอาดีกว่า เผลอๆ โดนเขกกบาลเข้าสักทีแน่ๆ
"กินนมไหม" ผมถาม เพราะก๋วยเตี๋ยวชามเดียวเหมือนจะไม่ทำให้ความอิ่มยืนยาวข้ามคืนนี้ไปได้
"เอารสช็อกโกแลต"
ผมลุกออกจากโซฟาไปที่หน้าตู้เย็น ยืนอยู่อย่างนั้นอย่างชั่งใจ เพราะนมช็อกโกแลตเหลือกล่องเดียว ที่เหลือเป็นรสจืดหมดเลย
ผมอยากกินรสช็อกโกแลตส่วนธงทัพเกลียดรสจืดเข้าไส้
ผมรู้...สงครามกำลังจะเริ่มต้น เลยตัดไฟตั้งแต่ต้นลมด้วยการปิดตู้เย็นเงียบๆ แล้วหันกลับไป แต่สายตาของคนตรงนั้นมองมาพอดีเหมือนกำลังรอคอยอยู่
"ไหนนมอะ"
"พี่ทัพ"
"อะไร"
"คนเป็นพี่เนี่ย ต้องเสียสละถูกไหม"
"พูดอะไร"
"พี่ทัพรักภูไหม?"
"ช็อกโกแลตของกู"
"ไอ้หมาบ้า!"
"หยิบมา"
ผมได้แต่ปากบูดหน้ายุ่งอยู่หน้าตู้เย็น แล้วหยิบนมออกไปสองกล่อง แน่นอนว่ารสช็อกโกแลตถูกจับจองแล้วจากคนเป็นเจ้าของห้อง ผมส่งรสช็อกโกแลตให้ธงทัพอย่างไม่เต็มใจ ส่วนตัวเองก็หย่อนตัวเองลงนั่งบนโซฟา แล้วเจาะกล่องรสจืดกินอย่างเซ็งๆ ด้วยความหมั่นไส้จึงยกเท้าถีบหลังธงทัพที่นั่งอยู่กับพื้นไปทีหนึ่ง คนถูกถีบหันขวับมามองในทันที
"เดี๋ยวเหอะ!"
"ไร"
"มือไหนทำ"
"เท้าต่างหาก" ผมตอบกวนประสาท ซ้ำยังยกเท้าข้างที่ถีบขึ้นให้ดูด้วย แต่ในจังหวะเดียวกัน มันก็สวมบทหมาบ้าสมชื่อ อ้าปากงับข้อเท้าผมเต็มแรง
"โอ๊ย! ไอ้พี่ทัพ! เจ็บ! ธงทัพ!"
ผมดีดดิ้นจนเผลอปล่อยกล่องนมในมือทิ้ง แต่ธงทัพรับเอาไว้ได้ทัน มันปล่อยเขี้ยวออกจากขาผม แล้วยัดนมช็อกโกแลตในมือให้ แลกกับรสจืดที่เพิ่งหยิบเอาไป ผมยกขาตัวเองขึ้นนั่งขัดสมาธิบนโซฟา ไอ้หมาบ้ามันกัดจริงจังเล่นเอาขึ้นเป็นรอยเขี้ยว แต่แลกกับนมรสช็อกโกแลตก็ถือว่าคุ้ม
"นิสัยไม่ดีนะภูผา ถีบพี่ได้ไง"
"แล้วทีพี่ทัพกัด...น้องได้ไง"
น้อง...น้องเนี่ยนะ...ธงทัพเม้มริมฝีปากยิ้ม แล้วกลับไปสนใจหนังสือในมืออีกที พลางดูดนมรสจืดที่เหลือจากผม ส่วนผมแอบเขย่ากล่องนมเพื่อดูปริมาณที่เหลืออยู่ แต่เหมือนว่ามันจะยังไม่ได้ดูดไปเลยสักหยด จึงอ้าปากงับหลอดแล้วดูดนมนั่นอย่างอารมณ์ดี...ตอนนี้มัน...ก็น่ารักอีกแล้วนะ
...
ดูเหมือนว่าการอ่านหนังสือให้จบเล่มจะกลายเป็นภารกิจประจำวันนี้ของธงทัพไปแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่ละสายตาออกจากหนังสือเล่มนั้นเลย ผมเหลือบมองเป็นระยะ เห็นจำนวนหน้าที่เหลืออยู่ค่อยๆ บางลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นธงทัพ ไม่พ้นคืนนี้ก็คงจบแน่นอน
ในตอนนี้ทั้งผมและธงทัพขยับมานอนบนเตียงหลังอาบน้ำแล้ว กิจวัตรของผมคือการนอนเล่นเกม แต่ไม่ได้มากเหมือนเมื่อก่อน ผมรู้แล้วว่าสายตาเริ่มไม่ดี แล้วธงทัพก็จำกัดเวลาเล่นเกมของผมด้วยจึงไม่ได้จดจ่ออยู่กับมันเหมือนแต่ก่อน และในตอนนี้ก็กำลังพ่ายแพ้กับเกมในมือถือเป็นครั้งที่เก้า หรือสิบ ไม่แน่ใจ แม้จะพยายามแค่ไหนก็ผ่านด่านนั้นไปไม่ได้ ผมจึงทิ้งหัวตัวเองลงนอนมองเพดาน ตอนที่ธงทัพหันมามองพอดี
"เล่นมากี่ชั่วโมงแล้ว"
"ชั่วโมงเดียวเอง"
"อย่ามาโกงเวลานะ"
"รู้หรอกน่า"
มันพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วสูดน้ำมูกเบาๆ
"เป็นหวัดแน่ๆ"
อีกคนไม่เถียง พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำมูก
"สกปรก! เช็ดดีๆ สิ" ไม่บ่อยที่ผมจะได้เป็นฝ่ายดุ เลยวางมาดเสียงแข็งแล้วหันไปดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดน้ำมูกให้
"กินยาหน่อยไหม"
คนที่กำลังจะป่วยส่ายหน้าปฏิเสธในทันที
"เดี๋ยวเป็นเยอะ ขี้เกียจพาไปหาหมอ"
"ไม่เป็นอะไรหรอก"
"แล้วถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง มึงก็ป่วย แขนกูก็พิการ ได้กอดคอกันไปนั่งขอทานใต้สะพานลอยมั้ง"
"เวอร์!"
"กินยา!"
"ก็ได้" มันยอมรับในที่สุด ก่อนผมลุกขึ้นจากเตียงไปที่ตู้เย็นแล้ว มองหาขวดยาพาราที่เคยอยู่หลังตู้เย็นแต่กลับไม่มี เลยต้องร้องถาม
"ยาอยู่ไหนอะ"
"อยู่นี่ ในลิ้นชัก"
ผมเดินกลับไปที่ลิ้นชักหัวเตียง ก่อนดึงมันออกมา ทั้งมือและหลังเผลอแข็งทื่อเพราะในนั้นไม่ได้มีแค่ยาพารา แต่ว่าข้างๆ กันมีวัตถุสีดำด้านที่โผล่มาแค่บางส่วนก็รู้ว่ามันคือปืนสั้นที่ถูกใส่เอาไว้ในนั้นด้วย
"ทัพ..."
"..."
"ไมมีปืนอยู่ตรงนี้ด้วยอะ"
"เอาไว้ยิงเด็กดื้อ"
"ภูไม่เคยดื้อนะ!"
ผมเถียงเหมือนเด็กที่กำลังตระหนกตกใจหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไอ้สิ่งนั้นทำให้ผมกลัวขึ้นมาซะเฉยๆ หมาบ้ามันเลยได้โอกาสขู่กันใหญ่
"ถ้าเล่นเกมเกินเวลา จะยิงให้ไส้แตกเลย"
"กินยาแล้วนอนไปเลยมึงอะ!"
"ไม่เรียกพี่แล้ว?"
"กินเลย พี่ทัพ!" ผมกัดฟันเรียกแล้วยื่นยากับขวดน้ำเปล่าให้ ตัวมันเองยังทำหน้าเหยเก ไม่พร้อมรับมือกับพาราเซตามอลสองเม็ดในมือผม ที่ลีลาหาข้ออ้างเนี่ยไม่ใช่อะไรหรอก ใครจะไปเชื่อว่า ลูกผู้ชายอกผายไหล่กว้างอย่างธงทัพเกลียดการกินยาเม็ดยิ่งกว่าแมลงสาบซะอีก
"ลุกขึ้นมาสิ"
คนบนที่นอนอิดออด ก่อนคว่ำหน้าหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ แล้วยันตัวเองขึ้นมา ลีลาไม่ยอมเปิดปาก ผมจึงจัดการยกมือขึ้นบีบคางอย่างที่มันชอบแกล้งผมบ่อยๆ
ธงทัพบอก..
.ใครบางคนก็เคยบอก ว่าแก้มผมนิ่ม แต่กับธงทัพผมไม่รู้สึกแบบนั้น ไม่เห็นจะนิ่ม แถมไรหนวดทิ่มมืออีกต่างหาก การบีบแก้มคนอื่น ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหน ผมเพิ่มน้ำหนักในการบีบให้ปากมันอ้าแล้วจับยายัดลงไปพร้อมกันทีเดียวสองเม็ด
"ภูผา นี่พี่ไง"
"ครับพี่ เป็นห่วงพี่นะครับ" ใช้วาจาอ่อนหวานหลอกล่อเอาไว้ก่อน จนในที่สุดธงทัพก็ยอมกลืนยาสองเม็ดนั่นเข้าปากไป ตามด้วยน้ำเปล่าอีกครึ่งขวด เมื่อมันทำท่าจะอ้วกผมจึงรีบยกมืออุดปากมันเอาไว้ แล้วตบหลังเบาๆ
"ตัวอย่างหมี กินยาแค่นี้ทำเหมือนจะตาย คนบ้า"
"ไม่ต้องพูดเลย" มันว่าเสียงเคืองก่อนทิ้งตัวเองนอนลงบนที่นอน พับหนังสือที่อ่านค้างแล้ววางไว้บนหัวเตียง
"ไม่อ่านแล้วเหรอ"
"ไม่แล้ว จะนอน มึงก็นอนได้แล้ว"
"เล่นเกมก่อน"
"เกมอีกละ พอได้แล้วมั้ง ปืนมีกระสุนนะรู้ยัง"
"ถ้ามึงจะฆ่าคนเพราะเหตุผลที่เล่นเกมเกินเวลาก็เชิญไปติดคุกตลอดชีวิตเหอะ ไอ้อำมหิต!"
"มันเสียสายตาเหอะ คนเขาเป็นห่วง วู้!"
"เออ ขอผ่านด่านก่อน"
"เกมอะไร ไร้สาระจริงๆ" ปากก็บ่น แต่ก็ยื่นหน้าเข้ามาดูหน้าจอมือถือผม ช่วงนี้ผมติดเกม puzzle อยู่เกมหนึ่ง มันควรจะเป็นเกมบริหารสมองง่ายๆ ที่เล่นแก้เบื่อมากกว่าจะเอาชนะ แต่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงเลย ยิ่งผ่านด่านมากเท่าไร ความต้องการในการผ่านด่านถัดไปก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หงุดหงิดเอาง่ายๆ ตอนที่เล่นเท่าไรก็ตายอยู่ที่เดิม
"ขยับสีฟ้าไง"
ผมหันมองธงทัพที่ชี้เข้ามาที่หน้าจอ และเมื่อผมขยับตามที่มันบอก หมากตัวอื่นในเกมก็ชนกันต่อเนื่องไปจนหมดกระดาน
"มึงเก่งว่ะ"
"มึงต้องคิดสิว่าถ้าเลื่อนตัวนี้ แล้วตัวไหนมันจะขยับมาชนกัน ใช้สมองสิ"
"นี่ด่ากูป่ะ?"
"ก็กูเห็นมึงเลื่อนมั่วๆ ที่มาชนกันคือฟลุ๊ก"
"ปากดี ไหนเล่น" ผมท้าทายพลางยื่นมือถือตัวเองส่งให้มัน มุมปากข้างหนึ่งยกขึ้นยิ้มกวนตีนอย่างทุกครั้ง แล้วหันมาบอกบางคำที่กวนตีนกว่า
"เดี๋ยวพี่ทำให้ดูว่าของจริงเขาเล่นกันยังไง"
"เหอะ!"
ผมเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าจอมือถือในมือธงทัพที่เริ่มเล่นเกมด่านต่อไป อย่างเชื่องช้าแต่ว่าแม่นยำ มันจะใช้เวลาคิดก่อนครู่หนึ่ง แล้วค่อยลงมือเล่น ใช้เวลาไม่นานก็ผ่านด่านไปอย่างง่ายดาย ไม่วายหันมายักคิ้วให้อย่างผู้ชนะ ผมยิ้มอย่างยอมรับในความเก่งของมัน ยกนิ้วโป้งสองนิ้วให้อย่างดีอกดีใจ ซ้ำยังร้องขอให้เล่นด่านต่อไปอีกเรื่อยๆ เลย
ผมรู้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าธงทัพเป็นคนฉลาด เพราะแม่บอกให้ฟังอยู่เสมอ มันมีความสามารถหลายด้าน มีพรสวรรค์ในหลายๆ เรื่อง อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องใช้ดิกชันนารี่ด้วยซ้ำ ฉลาดเรียน ฉลาดใช้ชีวิต ก็นับว่าเป็นคนที่น่านับถือคนหนึ่งเลย หากว่าไม่รู้สึกเขินอาย ผมคงชื่นชมมันสักครั้งอย่างจริงใจว่าผู้ชายคนนี้แม่งโคตรเท่เลย
"มองไรขนาดนั้น"
"ฮะ?"
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าหน้าตัวเองแทบจะเกยไหล่มันเพื่อขยับไปมองเกมในจอมือถือนั่น แต่ในตอนที่กำลังจะถอยออกมา มันกลับยกแขนตัวเองขึ้นสอดมาแทนหมอนให้ผมหนุน ...ก็ไม่ใช่ครั้งแรก
ไม่ใช่ว่าทำแบบนี้บ่อยแต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา มีเหตุผลมากมายให้ผมได้มีโอกาสนอนหนุนแขนธงทัพ ในตอนที่เผลอหลับหน้าโซฟาบ้าง ในวันที่หมอนไม่แห้งบ้าง จะเป็นเหตุผลหรือข้ออ้าง เราก็ใช้มันเพื่อให้มีโอกาสให้ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง ผมจึงไม่เคอะเขิน ซ้ำยังขยับตัวเองเข้าไปนอนหนุนแขนมันแล้วดูมันเล่นเกมอย่างตื่นเต้นไปด้วย
"พอแล้วยัง?"
"เอาอีกด่านหนึ่ง"
"เก็บไว้เล่นเองบ้างเหอะ"
"ไม่เอา มึงเล่นต่อ"
"ก็ได้"
"แพ้"
"อะไร ชนะอยู่เห็นๆ"
"ไม่ใช่เกม หมายถึงมึงน่ะ..."
"..."
"แพ้กูราบคาบ"
ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ได้ยินแต่เสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ จากนั้นธงทัพก็เล่นเกมต่อให้ไปหลายๆ ด่าน ใช้เวลานาน จำกัดเวลาเล่นเกมของผม แต่ตัวเองเล่นเพลินเกินเวลาไปเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง นานซะจนผมเริ่มง่วงนอน เลยกะว่าจะพักสายตาสักครู่เดียว แต่ดันหลับคาแขนธงทัพไปเลย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อีกคนส่งเสียงเรียกเบาๆ ได้ยินแล้วแต่ขี้เกียจขยับเปลือกตาขึ้นเลยตั้งใจจะนอนต่ออีกสักหน่อย
"ภู"
"..."
"หลับเหรอ"
"..."
"ภูผา"
ธงทัพไม่เรียกผมต่อแล้ว ค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกไปช้าๆ ผมรู้ตัวดีทุกอย่างแต่ลืมตาขึ้นไม่ไหวเพราะความง่วง ก็นานอยู่เหมือนกัน ก่อนที่ความเงียบนั้นจะถูกทำลายด้วยเสียงของอีกคน
"น่ารักจังวะ"
"..."
"ทำคนอื่นเขาใจสั่นทั้งคืน เคยรู้ตัวบ้างไหมเนี่ย"
"รู้"
"เชี่ย!"
"ตุ้บ!"
ผมยันตัวเองขึ้นมองธงทัพที่กลิ้งตกเตียงไปเพราะความตกใจหลังจากที่ผมลืมตาโพล่งขึ้นมาตอบ ตัวมันหันซ้ายหันขวา หมุนไปทางนั้นที ทางนี้ทีอย่างคนเขินจัด ก่อนดึงผ้าห่มแล้วหันหลังขวับเดินออกจากห้องนอนไป
"ธงทัพ ไปไหน"
"โซฟา!"
"ไปทำอะไร"
"กูจะไปนอนโซฟา"
"ธงทัพ"
"อย่าห้ามกู กูเขิน!"
กลับมา...นอนนี่...
ผมกลืนถ้อยคำที่ตั้งใจจะร้องห้ามแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาแทน ได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วทิ้งตัวเองนอนลง รอยยิ้มยังหุบไม่ลงเพราะความบ๊องของหมาบ้าตัวนั้น
การตกหลุมรักระยะสุดท้าย คือการหลงใหลแม้กระทั่งเรื่องธรรมดาที่เคยเห็นจนชินตา และในตอนนี้ ผมหลงรักธงทัพอีกครั้ง...จนได้
...
เช้านี้ผมเป็นคนตื่นก่อนเพราะที่ทำงานอยู่ไกล เมื่อคืนธงทัพไม่ได้กลับมานอนที่เตียง มองไปที่โซฟาก็เห็นมันม้วนตัวเป็นก้อนใต้ผ้าห่มอยู่ตรงนั้น
"พี่ทัพ"
เพราะไม่ใช่คนขี้เซา แค่เรียกเบาๆ ก็โผล่หัวออกมาจากผ้านวมนั่นด้วยใบหน้ายับๆ กับหัวฟูๆ อย่างแรกที่ผมทำก่อนที่จะพูดอะไรต่อ คือการยกฝ่ามือขึ้นแตะหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย ที่ร้อนวาบจนดวงตาผมเบิกขึ้นกว้าง
"ตัวร้อนจี๋เลย"
มันไม่ได้ตอบทำได้แค่พยักหน้ารับ ยังดูสะลืมสะลือ
"แล้วทำไมไม่กลับไปนอนที่เตียง"
"ก็ไม่สบายอะ กลัวมึงติดไข้ นี่กี่โมงแล้ว" ปากถามผมแต่มือคว้ามือถือขึ้นมากดดูนาฬิกาเอง ก่อนมันจะลุกขึ้นมานั่ง หลับตาลงอีกครั้งเอนหลังพิงโซฟาพร้อมพ่นลมหายใจร้อนผ่าวที่ผมยังรู้สึกได้
"ไปทำงานไหวป่ะเนี่ย"
"ไหวดิ แล้วทำไมมึงยังไม่แต่งตัวเนี่ย"
"ขอยืมเสื้อผ้าหน่อยสิ" เพราะไม่ได้ตั้งใจจะมานอนที่นี่เลยไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเลย ธงทัพพยักหน้าหน่อยๆ แล้วเดินไปเปิดตู้ เลือกเสื้อผ้าให้ ท่าทางจริงจังเกินกว่าเหตุผมจึงร้องทัก
"เอาตัวไหนก็ได้"
"กำลังหาตัวที่อยากให้มึงใส่อยู่ อะ เลือก"
กางเกงยีนส์สองสามตัวถูกโยนลงมาบนเตียง ผมหยิบมันขึ้นมาดูพร้อมหัวคิ้วที่ขมวดแน่น ไม่มีกางเกงตัวไหนที่สภาพสมบูรณ์เลย ไม่ขาดก็เยิน จะว่าไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าดีๆ ก็ไม่ใช่ เพราะไอ้กางเกงยี่ห้อพวกนี้แค่ตัวเดียว แพงกว่าเสื้อผ้าผมเจ็ดชุดซะอีก
เมื่อผมส่ายหน้าปฏิเสธก็ได้รับสายตาดุๆ ส่งกลับมา จึงเลือกตัวที่ยับเยินน้อยที่สุดมาสวม เป็นกางเกงยีนส์สีเข้มที่ขาดตรงเข่าพอดี ขาดชนิดที่เอามือล้วงเข้าไปได้เลย
"หัวเข่าขาวผ่อง"
ผมยกมือฟาดแขนธงทัพไปทีหนึ่งที่กำลังหยอกล้อ ก่อนมันจะยื่นเสื้อยืดสีขาวพื้นๆ ให้ เมื่อผมสวมเสื้อยืดเสร็จ ธงทัพก็จับเสื้อยีนส์แขนยาวคลุมให้อีกชั้นหนึ่ง แต่ขนาดมันใหญ่ไปจนชายแขนเสื้อคลุมถึงนิ้วมือ ธงทัพจับมันพับมาถึงข้อศอก ก่อนผมหันมองตัวเองในกระจกที่อยู่ตรงหน้าพอดี
ธงทัพสไตล์...
เป็นร่างกายของผมที่อยู่ในเสื้อผ้าแบบที่ธงทัพชอบใส่ รู้สึกตัวเองแปลกตาอย่างบอกไม่ถูก แต่คนที่เพิ่งจับผมแต่งตัวดูพออกพอใจในผลงานตัวเองจนยิ้มกว้างออกมาจนตาปิด
"หล่อจัง"
"ไม่ต้องมาชม หน้าตากูห่างไกลคำนั้น กูรู้ตัว"
"งั้นก็น่ารักจัง"
"กูไม่..."
"อย่ามาเถียงกู"
"..."
"ให้สายตากูตัดสิน"
ผมเหลือบมองธงทัพที่วางสายตาไว้ที่ผมอย่างไม่ละ ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่ไม่หุบลง ผมเลื่อนสายตาหนีมันแล้วหันมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง
น่ารักเหรอ...มั้ง "ไปทำงานแล้วนะ"
"วันนี้คงไม่ได้ไปที่ห้องนะ มึงก็คงไม่มาที่นี่ใช่ไหม"
"อือ แยกกันสักวันสองวันไม่ตายหรอกน่า"
ธงทัพยกกำปั้นเขกหัวเบาๆ ผมได้แต่เบ้ปากใส่ก่อนคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย เตรียมตัวออกไปทำงาน ไม่ลืมที่จะหันไปเช็กอุณหภูมิร่างกายของธงทัพผ่านการสัมผัสหน้าผากอีกครั้ง ตัวยังร้อน หน้ายังซีด มองด้วยตาเปล่าก็รู้แล้วว่าไม่น่าไหว
"แน่ใจนะว่าจะไปทำงาน"
"อือ งานเยอะ ต้องไป"
"ไม่ไหวก็พักนะ"
"อือ"
"มีอะไรโทรมาล่ะ"
ธงทัพพยักหน้ารับ สถานการณ์นี้เหมือนเคยเกิดขึ้นแล้ว แต่พลิกกลับมาเป็นผมที่เป็นฝ่ายย้ำแล้วย้ำอีกด้วยความเป็นห่วง...คำว่าเป็นห่วงก็อาการเป็นแบบนี้นี่เองสินะ
...
วันนี้ที่ทำงานก็เป็นอย่างเช่นทุกวัน ผมยุ่งกับทั้งงานตัวเองและงานคนอื่น ถ้าเปรียบตัวผมเป็นชายหาด งานก็คล้ายคลื่นที่ซัดเข้าใส่ คลื่นลูกเล็ก ลูกน้อย บางครั้งโถมลูกใหญ่ แต่เพราะว่าผมเป็นชายหาดไง กระทบกระเทือนได้เพียงครู่เดียวก็กลับคืนสู่สภาพปกติ รอคอยคลื่นลูกต่อไป ปล่อยให้มันกระทบฝั่งไปทั้งวันจนกระทั่งคลื่นลมสงบลงในตอนที่หมดเวลางาน
ผมอารมณ์ดีเสมอในตอนที่เดินออกจากที่ทำงาน แต่อารมณ์ดีๆ ก็ถูกตัดขาดกลายเป็นความหงุดหงิดเล็กๆ ในตอนที่เดินออกมาเจอพายุฝนที่กำลังกระหน่ำตก เป็นฝนที่รู้เวลาและตกลงมาอย่างสม่ำเสมอ เลิกงานทีไร ฝนตกทุกทีเลย ไม่ได้แกล้งใช่หรือเปล่า?
ผมถอนหายใจเบาๆ ไม่อยากเปียกฝนและผู้คนก็ต้องการกลับบ้านหลังเลิกงานในช่วงเวลานี้ทั้งนั้น ส่วนตัวผมไม่ได้รีบไปไหนอยู่แล้วเลยเลือกที่จะรอให้ซาทั้งฝนทั้งคน ตัดสินใจเข้าไปนั่งในร้านกาแฟหน้าตึก สั่งช็อกโกแลตเย็นมากิน ในตอนที่อากาศข้างนอกเย็นชื้น เครื่องปรับอากาศในร้านก็ทวีความเยือกเย็นจนรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย ผมกระชับเสื้อคลุมของธงทัพที่มันสวมมาให้ มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ ขอบคุณแฟชั่นของธงทัพสไตล์ที่ทำให้ผมอบอุ่นขึ้นมานิดๆ
สายฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะซาลง ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่ได้คิดอะไร ก่อนสมองผมจะตื้อขึ้นมาดื้อๆ พลิกผันจากความว่างเปล่าเป็นความยุ่งเหยิงตอนที่หันไปเห็นนาวีเดินเข้ามาในร้าน สั่งอะไรสักอย่างในเมนูและก้มหน้าก้มตาอยู่กับไอแพดในมือ เมื่อได้น้ำที่สั่ง ก็หยิบแก้วแล้วเดินหาที่นั่ง
อีกฝ่ายยังมองไม่เห็นผม หรือจะพูดให้ถูกคือมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นแม้กระทั่งขอบโต๊ะที่เดินชนเข้าไปนิดหนึ่ง จึงรู้สึกตัว ผมเองก็ไม่ได้หันหน้าหนีในตอนที่นาวีหันมาเห็นผมพอดี ความโชคร้ายของวันนี้เริ่มต้นขึ้นในตอนที่ทั้งร้านนี้ เหลือที่นั่งข้างๆ ผม เพียงที่เดียว
นาวียืนนิ่ง...ก่อนเลือกที่จะหันหลังกลับไป
"นาวี!"
แต่ผมเรียกเขาไว้เอง...
คนถูกเรียกหันกลับมา เลิกคิ้วขึ้นมองคล้ายเป็นคำถาม ผมลอบพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วล้วงเอาสมุดโน้ตและซองยาที่เก็บได้ก่อนส่งคืนให้เขา
"อ๋อ...เก็บไว้ให้เหรอ"
"อืม"
นาวียื่นมือมารับ แต่ผมไม่ปล่อย จะไม่ยอมปล่อยจนกว่าความค้างคาในใจจะหายไป จึงเอ่ยปากถาม
"นาวี"
"..."
"ยานี่..."
"..."
"เกี่ยวอะไรกับรอยแผลที่ข้อมือนั่นไหม"
อย่างถือวิสาสะ...ผมก็ถามออกไปแล้ว
ที่ข้อมือข้างเดียวกับรอยสักนั่น ผมเห็นรอยแผลเป็น บ้างสั้น บางยาว สะเปะสะปะ แต่ดูด้วยสายตาก็รู้ว่ามันถูกกรีดด้วยของมีคม และบางบาดแผล ยังชัดเจนเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานด้วยซ้ำไป
นาวีไม่ตอบอะไร ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ดึงทั้งสมุดและซองยานั่นไปได้โดยที่ผมไม่ได้ยื้ออะไร
"นั่งก่อนไหม"
คนที่เคยวิ่งหนีนาวีในวันนั้น กลับเป็นที่ชวนให้นั่งลงข้างๆ กันในวันนี้ นาวีทำตามที่ผมบอก ไม่มีคำตอบจากคำถามก่อนหน้านี้ เขายกแก้วน้ำในมือขึ้นดื่มหนึ่งครั้ง แล้ววางลงบนโต๊ะ
"ขอบคุณที่เก็บไว้ให้ สมุดนั่น..."
เขาไม่ได้พูดถึงยา และผมไม่ได้ถามต่อ ได้แต่หันมอง ผมเห็นหน้านาวีชัดๆ อีกครั้ง ผมไม่มีปัญหากับการเปลี่ยนแปลงของคนอื่น เพราะบางครั้งผมเองก็ไม่ใช่คนเดิม ทุกวันตัวผมก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไป แต่นาวีที่นั่งอยู่ตรงหน้าคนนี้...เหมือนไม่ใช่นาวีคนที่ผมเคยรู้จักเลย นาวีเปลี่ยนไป ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง และในตอนนี้นาวีกำลังตกอยู่ในความรู้สึกแบบใดกัน
อาจบอบช้ำ โศกเศร้า ร้าวรานหรือเจ็บปวด...ผมไม่อาจตัดสินมันด้วยความรู้สึกของตัวเอง
ในตอนนี้ มีสายฝน มีนาวี มีความเงียบและคำถามในใจมากมาย แต่สุดท้ายผมก็เลือกให้ความเงียบเอาชนะทุกอย่างไป ด้วยการนั่งเฉยๆ เราเหม่อมองสายฝนด้านนอกที่กระทบผนังกระจก ใช้เวลานานเทียบเท่ากับช็อกโกแลตเย็นหนึ่งแก้วของผมที่หมดลง และน้ำแข็งเริ่มละลาย สายฝนเบาบาง และในที่สุดนาวีก็เอ่ยหนึ่งคำออกมาให้ผมฟัง
"คิดถึงมึงว่ะ ภูผา"
จบคำนั้นของนาวี เราต่างคนต่างเงียบไปอีกครั้ง และก็ดูเหมือนว่า ความคิดถึงจะเป็นสิ่งเดียวที่อธิบายความรู้สึกของนาวีที่กำลังเป็นอยู่
ผมพยักหน้ารับ เงยหน้ามองเม็ดฝนที่หายไปอย่างกับไม่เคยตกมาก่อน ไม่ได้หันมองใบหน้าของนาวีอีก แล้วตอบกลับไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองซึ่งกลั่นกรองออกมาแล้วจากส่วนลึกของความรู้สึกที่สะสมมาอย่างยาวนาน
"มึงหายไปแปดปี"
"..."
"มาคิดถึงเอาตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วป่ะวะ" To be continued.