[END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18  (อ่าน 65734 ครั้ง)

ออฟไลน์ Slotjai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบนิยายเต้าหู้ใข่ พอๆกับชอบธงทัพเลยทำไมเรรเชียร์ธงทัพให้คู่กับภูผา มีหงิดๆบทนำ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
น่ารัก  :mew1: :mew1: :mew1:

ภูผา นาวี  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ธงทัพ สังเกตเห็นชุดที่ภูผาใส่แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Miawncha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โหยยยย พี่นาวี ยอมแล้วจ้าาาาา อ่อยแรงงง จะเสร็จภูผามั้ยนะ ไม่อยากจะคิ๊ดดดดด55555555555 เขินนนนนนนนน :haun4:

ออฟไลน์ GN_SWAG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
นี่ก็เรือผี ธงทัพภูผานะ คือกับนาวีก็หวานอ่ะ แต่ชอบแนวคนใจร้าย55

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 5

 

ผมยอมหันหลังให้คนทั้งโลก

เพื่อหันหน้าไปหาคุณ

 

ภายในห้องนอนที่เกือบจะมืดสนิท ผมนอนมองหน้าคนข้างๆ จากแสงด้านนอกที่ลอดผ่านผ้าม่านสีขาวที่ปิดไม่สนิทนัก เราใกล้ชิดกันที่สุดผ่านค่ำคืนฝนพรำแต่แสนอบอุ่น ผมไม่อยากให้ตอนเช้ามาถึงแต่ก็มาไวกว่าที่คิด ผมตื่นมาก่อนที่นาฬิกาจะปลุก เลยรีบกดปิดมันก่อนที่จะส่งเสียงรบกวนการนอนหลับของคนข้างๆ เพื่อให้ผมได้นอนมองใบหน้านั้นใกล้ๆ ไปอีกสักพัก ยิ่งมองอยู่เนิ่นนาน ยิ่งจมดิ่งมากยิ่งกว่าความหลงใหล คิ้วของนาวี ดวงตาของนาวี จมูกของนาวี ริมฝีปากของนาวี ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบและทั้งหมดนั้นรวมกันเป็นนาวี ผมใช้เวลาตรงนี้จ้องมองจนพอใจจึงเป็นฝ่ายปลุกเขาด้วยตัวเอง

"นาวี"

"..."

"พี่นาวี"

ดวงตาข้างหนึ่งเปิดขึ้นก่อน แล้วขยับอีกข้างขึ้นตาม ลืมตาขึ้นมาเห็นผมก็ยกมือขึ้นกอดผมเอาไว้แล้วซุกหน้าเข้ามาซบ

"รีบตื่นจัง"

"กูต้องกลับแล้ว"

นาวีเงยหน้าขึ้นมอง ขมวดคิ้วเข้าหากันใบหน้างัวเงีย จริงๆ ก็เช้าไปที่จะตื่น แต่เพราะเมื่อคืนผมไม่ได้บอกแม่ก่อนว่าจะค้างที่นี่ เช้านี้เลยตั้งใจจะรีบกลับก่อนที่แม่จะตื่น

"นอนต่อเลย"

นาวีพยักหน้ารับ แต่ตอนที่ผมลุกจากเตียงก็โดนดึงมือเอาไว้ก่อน ออกแรงเพียงนิดเพื่อดึงผมให้กลับไปที่เดิม แล้วขยับริมฝีปากของตัวเองขึ้นแตะหน้าผากผมเบาๆ แล้วล้มลงไปนอนหลับ ผมทำแบบเดียวกันกับที่นาวีทำก่อนจะลุกออกมาเพื่อกลับบ้าน

ใช้เวลาครู่เดียวก็มาถึงหน้าบ้านตัวเอง ผมไม่คิดจะเจอแม่ในเช้านี้เพราะมันยังเช้าเกินไปที่แม่จะตื่น ไขกุญแจเข้าบ้านอย่างไม่คิดอะไร แต่กลับต้องชะงักกึกเมื่อเห็นแม่อยู่ที่โซฟา และในทันทีที่แม่หันมาเห็นผมก็ลุกพรวดขึ้นด้วยใบหน้าบ่งบอกความไม่พอใจ ยากที่จะหลบแล้วผมเลยเดินอีกข้าวเพื่อเข้าไปหาแม่

"ภูผา! เมื่อคืนทำไมไม่กลับบ้าน"

"นอนบ้านเพื่อน"

"บ้านใคร"

"..."

"แม่ถามว่าบ้านใคร"

"นาวี"

"นาวี?" แม่ทวนชื่อนาวีซ้ำด้วยใบหน้าครุ่นคิด เดาว่าแม่คงนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเจอกับนาวีแล้วแม่จึงพยักหน้ารับเบาๆ

"แล้วทำไมไม่บอกแม่ก่อน รู้ไหมว่าแม่รอ"

ผมไม่มีคำตอบให้แม่ ปกติแล้วผมนอนตอนไหนแม่ยังไม่เคยรู้เลย พอๆ กับที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าแม่จะกลับมาตอนไหน ผมไม่คิดว่าแม่จะสนใจด้วยซ้ำว่าวันไหนผมจะกลับหรือไม่กลับบ้าน ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นวันนี้ที่แม่กลับรอผม ผมควรรู้สึกผิดแต่ใจไม่สั่งให้คิดแบบนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจเป็นเพราะสิ่งที่แม่แสดงออก ผมมองไม่เห็นความห่วงใย ผมเห็นเพียงความโกรธ ก่อนความเงียบระหว่างผมกับแม่ถูกทำลายด้วยเสียงพร่ำบ่นของแม่     

"คราวหลังก็บอกแม่ก่อน แต่แม่เคยบอกแล้วใช่ไหม แม่ไม่ชอบให้ภูไปนอนที่อื่น จะบ้านเพื่อนหรือบ้านใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น จะชวนกันไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วเพื่อนคนนี้เพิ่งรู้จักกันไม่ใช่หรือไง สนิทกันขนาดไหนถึงไปนอนบ้านเขา นาวีเป็นคนยังไง เป็นคนแบบไหนรู้จักดีหรือยัง"   

"แม่"

"แล้วนาวีก็แก่กว่าไม่ใช่เหรอ ไม่ได้เรียนด้วยกันสักหน่อยแล้วเอาเวลาที่ไหนไปสนิทกัน เลือกคบเพื่อนดีๆ นะภูผา"

"แม่!" ผมเพิ่มความดังของเสียงตัวเอง เพื่อให้เสียงของแม่เงียบลง แม่ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันกลับมองผม เห็นหน้าผมก็คงรู้ว่าผมไม่อยากฟังแม่บ่นต่อแล้ว 

"ไปอาบน้ำไป แล้วลงมากินข้าว"

ผมพยักหน้ารับแล้วก้าวเท้าเข้าห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนพร้อมเสียงถอนหายใจของตัวเอง ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบแม่ แต่ผมแค่ไม่ชอบตัวเองที่รู้สึกแย่กับแม่เสมอ ถ้าหากว่าผมเลือกได้ว่าอยากมีแม่แบบไหน ถ้าหากว่า...

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำ เตรียมตัวไปโรงเรียน ได้เวลาก็ลงมาจากห้อง อาหารเช้าของผมก็วางรออยู่อย่างเช่นทุกวัน ผัดผักรสชาติจำเจกับนมรสจืดอีกกล่อง

 

แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไม่ชอบนมรสจืด...

 

...

 

วันนี้ที่โรงเรียน ผมยังไม่ได้เจอนาวีเลยตั้งแต่เช้าจนถึงตอนเที่ยง วันนี้อาจารย์คณิตฯ ปล่อยช้า ได้เวลาเพื่อนก็ลากมาที่โรงอาหารเลย มีเวลากินข้าวไม่นานก็ได้เวลาเรียนคาบต่อไปซึ่งเป็นคาบคอมฯ ระหว่างทางเดินไปห้องคอมฯ จะมองเห็นสนามบาสไกลๆ นั่น แต่ผมไม่เห็นใครอยู่ในสนามนั้นแล้ว

"ภูผา"

"ฮะ" ผมหันไปรับคำเพื่อนที่เดินเข้ามาเรียก

"มองอะไรวะ"

"เปล่า"

"หาใคร"

"เปล่าๆ" ผมปฏิเสธซ้ำ แล้วเดินตามเพื่อนไปห้องเรียน วิชาคอมพิวเตอร์เป็นอีกวิชาที่ห้องเรียนมักจะครึกครื้น ครูประจำวิชาเข้ามาสั่งงานแล้วปล่อยให้นั่งทำงานกันเอง การใช้โปรแกรมโฟโต้ช็อปขั้นพื้นฐานง่ายไปสำหรับนักเรียนม.ห้าแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่จึงใช้เวลาอยู่กับงานแค่พักเดียว ก่อนเปลี่ยนไปจับกลุ่มกันเล่นเกมแทน ส่วนผมก็ยังคงค่อยๆ ทำงานของตัวเองไป การใช้โปรแกรมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม ออกจะถนัดด้วยซ้ำ แต่ที่ช้าเพราะยังไม่พอใจภาพที่กำลังตกแต่ง แค่คิดว่ามันทำให้สวยกว่านี้ได้ 

"ภูผา มึงจะส่งประกวดหรือไงวะ เสร็จยัง ทีมรอมึงอยู่"

"กูไม่เล่น เล่นกันไปเลย" ผมตอบขณะตามองจอตัวเอง เพื่อนคนข้างๆ ส่งเสียงจิ๊จ๊ะก่อนหันไปชวนอีกคนแทน ผมก็วุ่นวายอยู่กับภาพตัดต่อผ่านโปรแกรมโฟโต้ช็อปของตัวเองต่อไป เสียงพูดคุยของคนในห้องก็ดังจอแจ มากเรื่องราวปนเปกันผ่านหูไปอย่างไม่ได้ตั้งใจฟัง ผมเลื่อนเมาส์ซูมเข้าภาพบนหน้าจอ ค่อยๆ บรรจงเก็บรายละเอียดของภาพให้สมบูรณ์แบบ

"นี่มันภูผานี่!"

ผมชะงักมือที่เลื่อนเมาส์หลังได้ยินชื่อตัวเองจากเสียงของใครสักคน ปกติผมไม่ค่อยได้เป็นที่ถูกพูดถึงจึงคิดไปว่าตัวเองได้ยินผิด แต่เสียงของคนอื่นที่เข้ามาผสมด้วยในบทสนทนายิ่งย้ำให้มั่นใจว่าภูผาที่กำลังถูกพูดถึงนั่นคือผม

"ใช่ภูผาเหรอ"

"เออ จริงด้วย"

"ไหนดูซิ"

"ภูผาจริงๆ ด้วย"

ผมละมือจากเมาส์หันมองกลุ่มเพื่อนที่ตรงเข้าไปรุมดูอะไรบางอย่างจากหน้าจอคอมฯ เครื่องเดียวกัน กลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมองผมแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองหน้ากันเพราะต่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อคลายความสงสัยผมกับเพื่อนจึงลุกไปที่หน้าจอคอมฯ ตัวนั้นด้วย

"มีอะไรกันวะ!" เพื่อนที่เดินนำไปก่อนตะโกนถาม ก่อนคนที่มุงดูอยู่จะหลบจากหน้าจอเพื่อให้ผมได้มองเห็นสิ่งที่กำลังถูกมุงดูอยู่ ภาพบนหน้าจอทำให้คิ้วขมวดเข้าหากันในทันที ภาพของผมกับนาวี ภาพหนึ่งเป็นตอนที่ผมกำลังเช็ดเหงื่อให้นาวีหลังจากแข่งบาสเสร็จ อีกภาพตอนอยู่ในห้องน้ำเมื่อวาน ทั้งผมและนาวีที่ไม่ได้สวมเสื้อ ถูกแอบถ่ายจากใครสักคนแล้วโพสท์ลงในโซเชียลมีเดียที่เรียกว่าเฟซบุ๊ก

"แล้วอีกคนนี่ใครอะ"

"พี่นาวีป่ะ"

"ใช่ พี่นาวี!"

"ภูผากับพี่นาวีเป็นอะไรกันอะ" จบคำถามของใครสักคนที่ผมไม่ทันได้มองหน้า ทุกสายตาที่อยู่ตรงนี้ก็หันมองผมพร้อมกัน คาดคั้นเอาคำตอบผ่านสายตาทุกคู่ที่มองมา ขณะที่ผมลังเลที่จะพูดอะไรตอบไป นุ่นที่นั่งอยู่หน้าจอคอมฯ เครื่องนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

"ไม่มีอะไรหรอก พี่นาวีกับภูผาเป็นเพื่อนกัน เรายืนยันได้!" นุ่นว่าแล้วกดปิดแท็บนั้นไป แม้สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมาจะยังไม่คลายความสงสัยแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนกลับไปนั่งที่เดิม 

"ภูผา ตกลงมันยังไงวะ"

ผมหันมองเพื่อนข้างๆ ที่สะกิดถาม คนในกลุ่มก็มองหน้าอย่างรอคอยคำตอบอยู่ แต่ผมไม่มีอะไรจะเอ่ยปากพูด ให้โกหกแล้วบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่ได้ ให้พูดถึงสถานะของเราไปตรงๆ ก็ไม่ได้ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง แต่เกิดเป็นความกลัวขึ้นมา ผมกลัวสายตาแบบเมื่อครู่ที่จ้องมองมา

"แล้วใครมันโพสท์ภาพวะ โพสท์ในกลุ่มโรงเรียนเลยนะเว้ย"

ผมหันมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ เพราะไม่มีบัญชีเฟซบุ๊ก ไม่เคยสนใจจะเล่น ผมจึงไม่รู้ว่ากลุ่มโรงเรียนที่ว่านั่นหมายถึงอะไร เพื่อนข้างๆ พิมพ์เว็บไซต์ที่ว่าเข้าไปดู ผมเองก็มองตามหน้าจอนั่นไปด้วย

"อ้าว! มันลบไปแล้วว่ะ" เพื่อนผมพูด ขณะกดปุ่มรีเฟรชหน้าจออีกกี่ที ภาพเมื่อครู่นั่นก็หายไปแล้ว แต่เรื่องไม่ได้จบแม้ภาพจะถูกลบไป ชื่อของผมกับนาวียังออกมาจากปากของเพื่อนผ่านเสียงกระซิบกระซาบ

"มึงว่าเขาเป็นอะไรกันวะ"

"ชัดขนาดนั้นมึงยังจะถามอีก"

"แล้วมันไปคบกันตอนไหนวะ"

"พี่นาวีของกู เป็นเกย์เฉยเลยอะ"

"พี่นาวีผัวกูอะมึง!"

"เสียดายพี่นาวีว่ะ ไม่น่าเลยแม่ง"

"ถ้าบอกว่าพี่นาวีไปคบดาวโรงเรียน กูยังเจ็บน้อยกว่านี้อะ ดันไปคบผู้ชายเฉยเลย"

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรแม้เสียงพูดจากบางคนนั้นจะจงใจให้ผมได้ยิน กระทั่งหมดเวลาเรียนผมจึงรีบเดินออกจากห้องก่อน แต่ถูกเพื่อนเรียกเอาไว้

"ไอ้ภู ไปไหนวะ"

"ต้องไปเรียนวิทย์นะเว้ย มึงจะโดดเหรอ"

"ไปเหอะน่า เร็ว"

พวกเพื่อนเข้ามาลากผมให้ไปทางเดียวกับมัน การพยายามทำตัวเป็นปกติกลับทำให้ผมอึดอัดอยู่ในใจ ผมเองน่าจะบอกกับเพื่อนก่อน น่าจะบอกให้พวกมันรู้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกขอบคุณที่พวกมันไม่ได้มองผมเปลี่ยนไป

ผมเข้ามาเรียนวิชาต่อไป จนถึงคาบสุดท้ายของวันโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเรียนอะไรไปบ้าง ความคิดเดียวที่วนอยู่ในหัวตอนนี้ คือผมอยากเจอนาวี อยากไปหานาวีตอนนี้เลย

"อาจารย์ปล่อยก่อนเป็นชั่วโมงเลยว่ะ"

"ไปเตะบอลกันป่ะ"

"ไปดิ"

"ไอ้ภู ไปเตะบอลกันป่ะ"

"พวกมึงไปกันเลย"

ผมบอกแค่นั้นแล้วคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย เดินออกมาจากตรงนั้น ที่โรงเรียนไม่มีห้องเรียนประจำ จะต้องเปลี่ยนห้องเรียนตอนเปลี่ยนคาบ ผมจึงไม่รู้ว่าตอนนี้นาวีอยู่ที่ไหน ระหว่างที่กำลังลังเลว่าควรจะไปทางไหนดี กำลังจะก้าวเท้าต่อก็ต้องชะงักเพราะนุ่นโผล่ออกมาจากประตูห้องเรียนพอดี

"ภูผาจะไปไหนเหรอ"

"..."

"ไปหาพี่นาวีเหรอ" นุ่นถามซ้ำก่อนที่ผมจะตอบ ผมทำได้แค่พยักหน้ารับ

"แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน"

"ไปดูตารางสอนที่ห้องทะเบียนก็ได้นะ"

ผมหันมองหน้านุ่น เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม นุ่นจึงอธิบายให้ฟัง

"ที่ห้องทะเบียนจะมีตารางสอนของทุกชั้นปีเลย ภูผาไปดูตารางของพี่นาวีที่นั่นก็ได้ เอางี้ เราพาไปห้องทะเบียนก็ได้" นุ่นว่าแล้วเดินนำผมไป ก่อนหันมากวักมือเป็นเชิงให้ผมเดินตาม ในระหว่างทางผมก็ไม่ได้พูดอะไร กระทั่งนุ่นเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน

"ภูผา เราถามได้ไหม"

"อยากรู้อะไร"

"ภูผากับพี่นาวี มันไม่มีอะไรใช่ไหม"

"คิดว่าไงล่ะ"

"เราไม่รู้หรอก แต่ในภาพนั้นมันก็ไม่มีอะไรนี่นา ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย"

ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับไป

"ที่นุ่นพูดกับเพื่อนในห้องเมื่อกี้ ขอบคุณนะ"

"อื้อ เรารู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีอะไรกัน ภูผาก็แค่เปลี่ยนชุดกับพี่นาวีเอง อะ ถึงห้องละ รอตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวไปเอามาให้" ผมมองตามนุ่นที่เดินเข้าไปในห้องทะเบียน ก่อนเดินออกมาพร้อมตารางสอนแผ่นหนึ่งแล้วส่งให้ผม ผมเลื่อนสายตามองคาบสุดท้ายของนาวีแล้วรีบตรงไปที่ห้องนั่น อาจารย์กำลังสอนอยู่ผมจึงทำได้แค่รออยู่ด้านนอก มองไม่เห็นนาวีด้วยซ้ำ

"ไอ้ภู?"

ผมหันมองเสียงที่เข้ามาเรียก จำได้ว่าคนๆ นี้เป็นเพื่อนกับนาวี เห็นหน้าผมเขาก็คงรู้จุดประสงค์เลยรีบบอกออกมาก่อนจะถาม

"ไอ้วีไม่อยู่นี่หรอก อยู่ห้องพยาบาลโน่น"

"ห้องพยาบาล?"

"เออ มันปวดท้องตั้งแต่เที่ยง..."

ผมไม่รอให้เพื่อนนาวีพูดจบ ยกมือเตะไหล่เป็นเชิงขอบคุณก่อนรีบวิ่งตรงไปห้องพยาบาล โผล่พรวดเข้าไปในห้องจนพี่โอ๋สะดุ้งนิดหนึ่งตอนหันมามอง

"ภูผา เป็นอะไรป่ะเนี่ย"

"นาวี..."

พี่โอ๋รู้ในทันทีก่อนที่ผมจะพูดจบ เลยชี้เข้าไปในห้อง ผมพยักหน้ารับแล้วเดินตรงเข้าไปที่เตียงพยาบาลตัวสุดท้าย เห็นหน้าก็รู้ได้โดยไม่ต้องถามว่าวันนี้ป่วยจริง ใบหน้าซีดเซียว นอนซุกตัวงออยู่ใต้ผ้าห่ม คิ้วขมวดเข้าหากันแม้หลับตาอยู่ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตื่น แต่เขาอาจจะไม่ได้หลับอยู่ เพราะทันทีขยับเท้าเข้าไปใกล้ คนบนเตียงก็ลืมตาขึ้นมอง

"ภูผา"

"อือ"

"กูกินข้าวแล้วนะ แต่มันปวดของมันเอง ไม่ได้ตั้งใจ" นาวีบอกกับผมผ่านน้ำเสียงแผ่วเบา ผมพยักหน้ารับ

"ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

นาวีแค่ยิ้มตอบกลับมา ผมคิดว่าความเจ็บปวดนั้นมันคงมากพอที่จะทำให้เขาไม่มีแรงจะเถียงอะไรผม

"โอเคไหม"

"โอเคดิ เดี๋ยวก็หาย"

ผมพยักหน้ารับ เห็นอยู่ตรงหน้าว่าเขาไม่โอเค แต่เขาก็พูดออกมาแบบนั้นน่าจะเพียงเพราะให้ผมสบายใจ นาวีขยับตัวไปชิดขอบเตียงแล้วยกมือตบอีกฝั่งของเตียงเป็นเชิงให้ผมเข้าไปหา ผมหย่อนตัวเองลงนั่งบนเตียง มองหน้าเขาอยู่เนิ่นนาน ก่อนนาวีจะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน

"ไม่เรียนเหรอ"

"อาจารย์ปล่อยแล้ว"

"รู้ได้ไงว่าอยู่นี่"

"เพื่อนมึงบอก"

"แล้วมาทำไมอะ"

"ทำไม มาไม่ได้?"

"ไม่อยากให้มึงเห็นโหมดอ่อนแอ ไม่หล่อเลย"

"ใครบอกว่าปกติหล่อ"

"กูรู้ตัว เพื่อนก็บอก"

"เพื่อนคนไหน เลิกคบเลย ไม่จริงใจ"

นาวีง้างมือทำท่าจะตี แต่ผมคว้ามือนั่นเอาไว้ได้ก่อนโดนทุบ แล้วจับมือเขาเอาไว้ ผมน่าจะเก่งเรื่องการแสดงออกมากกว่านี้ มากกว่าการจับมือแล้วมองหน้าอยู่เฉยๆ โดยไม่พูดอะไร เขาจะรู้ใช่ไหมว่าผมกำลังเป็นห่วง เป็นห่วงมากกว่าทุกที

"ภูผา ทำไมทำหน้าแบบนั้น"

"แบบไหน"

"แบบเนี้ย" นาวีว่าแล้วเลียนแบบหน้าตาของผมด้วยการขมวดคิ้วแน่น

"เออ"

"..."

"คนเป็นห่วงก็หน้าตาแบบนี้แหละ"

นาวีหลุดยิ้มออกมา สวนทางกับผมที่เผลอถอนหายใจออกมา ผมอยากพูดเรื่องนั้นกับนาวี แต่ลังเล

"มีอะไรเปล่า"

"ไม่มีหรอก นอนเหอะ"

"พูดมาสิ"

"เดี๋ยวค่อยพูด ป่วยอยู่ไม่อยากกวน"

"ทำไมอะ เป็นเรื่องที่ได้ยินแล้วจะหัวใจวายตายหรือไง"

"ไม่ขนาดนั้น"

"ทำไม จะบอกเลิกเหรอ"

"บ้าดิ"

"งั้นก็พูดมาเถอะ"

ผมถอนหายใจออกมาอีกที แล้วขยับตัวเข้าไปใกล้นาวีอีกนิด

"มีรูปของเรา..."

"อ๋อ เห็นแล้ว"

ผมหยุดคำพูดแล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง

"เห็นแล้วแหละ"

"มึงไม่เป็นไรใช่ไหม"

"แล้วมึงเป็นอะไรไหมล่ะ"

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องของผมคนเดียว ผมไม่เป็นไรหรอก แต่ผมแค่ไม่อยากให้คนพวกนั้นพูดถึงนาวีในเรื่องที่ไม่ดี ผมไม่อยากให้คนพวกนั้นมองนาวีในแบบที่มองผม ที่นาวีเคยถามผม หากว่าคนอื่นไม่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น เราจะทำยังไง ผมเคยหวังเพียงให้มันเป็นแค่เรื่องสมมติ แต่ความจริงวิ่งไล่เราไวกว่าที่คิด ผมหาคำตอบให้นาวีไม่ได้ ขณะเดียวกันก็หาทางออกของมันไม่เจอ

นาวีกระชับมือที่จับกับผมอยู่ให้แน่นกว่าเดิม ยังคงมีรอยยิ้มผ่านใบหน้าซีดเซียว ผมเคยคิดว่าตัวเองใจแข็งและเก่งพอแล้วสำหรับทุกเรื่อง แต่ไม่ใช่เลย ผมอ่อนแอ ผมแพ้ กลับกลายเป็นนาวีที่เข้มแข็งกว่าแล้วเป็นฝ่ายปลอบโยนเพื่อให้ผมได้รู้สึกสบายใจ

"ช่างมันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจหรอก"

"ช่างมัน?"

"เออ ช่างมัน"

"แต่เวลาคนอื่นมองเรา..."

"อายเหรอ"

"เปล่า" ผมรีบปฏิเสธ

"เราจะเลิกกันเพราะสายตาคนอื่นไหม"

"ไม่"

"เออ งั้นก็ช่างมัน"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ ตอนที่นาวียกมือขึ้นบีบแก้มผม

"ไม่ต้องคิดมากแล้วนะหนู!"

"หนูไรเล่า! เดี๋ยวเตะเลย"

"จะเตะพี่เลยเหรอเหรอหนู"

"เดี๋ยวจะโดน!" ผมว่าแล้วยกมือดีดหน้าผากนาวีไปทีหนึ่ง

"โอ๊ย! เจ็บ!"

"สมน้ำหน้า"

"ปวดท้องอยู่นะ โอ๊ย! ปวดท้องๆ"

"ไม่ต้องมาแกล้งเลย"

"ปวดจริงๆ นะเนี่ย"

"ไม่เล่นด้วยแล้ว นอนไปเลย แล้วเดี๋ยวกลับบ้านพร้อมกัน"

นาวีพยักหน้ารับ ก่อนที่ผมจะขยับลงมาจากเตียงเพื่อให้เขานอนดีๆ นาวีก็ดึงมือผมไว้ก่อน ทำกับผมเหมือนอย่างในตอนเช้า ผมเองก็ด้วย ก้มลงจูบหน้าผากคนบนเตียงเบาๆ แล้วมองดูนาวีอยู่อย่างนั้น

แม้ว่าจะละทิ้งความคิดเรื่องนั้นออกไปจากหัวไม่ได้ในทันที แต่ก็หวังว่าวันหนึ่งผมจะเลิกคิด แล้วใช้ชีวิตในส่วนของเรา รอคอยการยอมรับจากพวกเขาโดยไม่บีบบังคับใคร ผมจึงขอเลือกที่จะมีความสุขกับนาวี มากกว่าที่จะแคร์สายตาคนอื่น

 

...

 ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter

ผมเดินออกมาจากห้องพยาบาลพร้อมกับนาวีในตอนเย็นๆ เพื่อกลับบ้านพร้อมกัน แม้จะเลยเวลาเลิกเรียนมาพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ก็ยังมีนักเรียนหลายคนที่ยังไม่กลับบ้าน ตัวผมเองไม่ได้เป็นที่รู้จักมากมายนักในโรงเรียน แต่นาวีนั้นตรงกันข้าม ผมคิดว่าทุกสายตาที่มองมาจะเพ่งเล็งไปยังนาวีมากกว่า แต่คนข้างๆ ไม่ได้สนใจอะไร นอกจากเดินช้าๆ แล้วชวนผมคุยสัพเพเหระมาตั้งแต่หน้าห้องพยาบาลจนถึงประตูโรงเรียน

"เออ บอกไปยัง อาทิตย์หน้าต้องไปสอบตรงเข้ามหาลัยอะ"

"ยังเลย" ผมตอบพลางส่ายหน้าปฏิเสธ ผมลืมคิดไปเลยว่าตอนนี้นักเรียนม.หกอยู่ในช่วงสอบตรงเข้ามหาลัย นั่นแปลว่าอีกไม่นานนาวีก็จะเรียนจบ

"ไม่พร้อมเลยอะ แต่คิดว่าคงไม่ได้อยู่แล้วแหละ รอแอดฯ ดีกว่า"

"จะเข้าคณะอะไรอะ"

"สถาปัตย์"

ผมหันมองแล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยอย่างสงสัย ผมคิดว่าเขาอาจจะไปทางสายวิทย์ฯ กีฬา หรือวิศวะฯ อะไรทำนองนั้น ไม่รู้ว่านาวีนาวีวาดรูปเป็นด้วย

"ดูมองหน้า สงสัยอะไร ไม่คิดว่าคนอย่างกูจะวาดรูปได้เหรอ"

"ไม่รู้ไง"

"ไม่เคยถามอะ รู้อะไรเกี่ยวกับกูบ้าง เอาจริงๆ"

"น่ารัก"

"..."

"รู้แค่นี้แหละ"

นาวีหันหน้าหนีเม้มปากกลั้นยิ้ม แล้วหันมายกมือเขกหัวผมเบาๆ

"ฮึ่ย! รู้จักเอาตัวรอดนะ"

"แล้วจะไปสอบเข้าที่ไหนอะ"

"ถ้าไปไกลๆ จะอนุญาตปะละ"

"ห้ามได้ไหมล่ะ"

"จะห้ามเหรอ มันคืออนาคตกูนะเว้ย"

"อนาคตของมึงกับความคิดถึงของกู มึงว่าอะไรสำคัญ"

นาวียกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง แล้วสวนกลับมาขำๆ

"อนาคตกูดิ"

"เออ ถูก ไม่ห้ามหรอก อยากไปเรียนที่ไหนก็ไป ก็แค่คิดถึงเอง"

"ไม่ร้องไห้น้า"

ผมแกล้งยกมือขึ้นปิดตาทำท่าจะร้องไห้ หันหน้าหนีนาวีที่หันตามอย่างล้อเล่น

"โอ๋ๆ เดี๋ยวพี่กลับมาหาบ่อยๆ ก็ได้นะ"

"ไม่ต้องห่วงกู ห่วงอนาคตตัวเองเถอะ"

"ภูผา มึงอ่า!"

"เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความคิดถึงมันเป็นยังไง"

"กลัวแล้ว ใจสั่นเลยเนี่ย"

ผมหลุดยิ้มออกมาตอนนาวีทำหน้าจ๋อยๆ ใจจริงผมก็ไม่อยากให้เขาไปเรียนไกลๆ หรอก ผมยังไม่เคยเข้าใจความคิดถึงว่ามันเป็นยังไง เพราะคนที่ผมผูกพันไม่เคยจากไปไหนไกลๆ แล้วถ้านาวีเป็นคนแรกคนนั้น ผมไม่คิดว่าจะรับมือกับความคิดถึงนั่นไหว

"เฮ้ย!"

ผมสะดุ้งนิดหนึ่งตอนนาวีร้องขึ้นมา หันไปมองแล้วถามด้วยการเลิกคิ้วขึ้น

"ลืมกระเป๋าอะ นี่ก็ไม่เตือนกันบ้างเลย"

ผมเองก็ไม่ทันสังเกตว่าตอนที่เดินออกจากห้องพยาบาลนาวีไม่ได้สะพายกระเป๋ามาด้วย

"มึงรอนี่แหละ เดี๋ยวกูไปเอาเอง" นาวีพูดแค่นั้นแล้วก้าวเท้าออกไป ผมทำท่าจะเดินตามไปด้วยแต่ถูกอีกคนหันมาชี้นิ้วสั่งเป็นเชิงให้รอ ผมจึงทำได้แค่พยักหน้ารับแล้วรออยู่ตรงนี้ กำลังจะเดินไปนั่งที่แสตนด์ข้างสนามบอล แต่ก้าวเข้าไปถึงผมก็หันไปเห็นกลุ่มนักเรียนม.หกนั่งอยู่ตรงนั้น หนึ่งไอ้นั้นคือไอ้ธงทัพ ผมจึงเดินกลับแต่ถูกเสียงหนึ่งเรียกเอาไว้ก่อน

"ไอ้ภู!"

ไม่ใช่เสียงไอ้ธงทัพ แต่เป็นพี่ไนท์ เพื่อนของไอ้ธงทัพที่เคยรู้จักกับผม เพราะบ้านเคยอยู่ใกล้กัน แต่พอพี่ไนท์ไปเป็นเพื่อนกับไอ้ธงทัพ ผมก็ไม่เคยได้คุยอะไรกับเขาอีกเลย ด้วยความแปลกใจที่อยู่ๆ ก็มาทักกันผมจึงหันหน้ากลับไปมอง

"นั่งก่อนดิ"

"ไม่เป็นไรอะ"

"รอใครวะ"

ผมไม่ทันได้ตอบเสียงของคนอื่นที่อยู่ตรงนั้นด้วยก็พูดขึ้นมาแทน

"เขาก็รอแฟนเขาดิ เห็นวิ่งกลับขึ้นตึกไปอะ"

จบเสียงไอ้นั่นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาแทน ผมเหลือบตามองไอ้ธงทัพที่ยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม พี่ไนท์ลุกจากแสตนด์แล้วก้าวเท้าเข้ามาหาผม

"เดี๋ยวนี้มึงเปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอวะ"

"..."

"ไอ้นาวีก็หักอกผู้หญิงครึ่งโรงเรียนมาคบผู้ชาย มึงไม่สงสารแฟนคลับมันหน่อยเหรอวะ"

"..."

"แม่มึงรู้ไหมเนี่ย"

ผมกัดฟันแน่นตอนที่ต้องยืนฟังคำล้อเล่นที่ไม่ได้รู้สึกตลกด้วย อีกฝ่ายยังคงหัวเราะแล้วพูดต่อด้วยความสนุกปาก

"แม่มึงไม่ค่อยมีเวลาให้นี่ งั้นมึงให้พี่มึงสั่งสอนก็ได้" มันว่าแล้วชี้ไปที่ไอ้ธงทัพ มันขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วสวนกลับมา

"เกี่ยวอะไรกับกูวะ!"

"อ้าว ก็มึงเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ หรือไม่นับญาติ" 

ผมกำหมัดแน่นเข้าหากันตอนประเด็นที่มันพูดถึงเปลี่ยนไป ไอ้ธงทัพไม่ได้พูดอะไร เลื่อนสายตาที่มองผมอยู่หันไปทางอื่น ปล่อยให้เพื่อนมันพูดต่อเรื่องแม่ผมกับพ่อมันอย่างไม่รู้สึกอะไร

"แต่เป็นกูกูก็ไม่นับญาติกับลูกเมียน้อยพ่อหรอก"

ความอดทนของผมกลายเป็นศูนย์หลังจบประโยคนั้น หมัดที่กำแน่นพุ่งใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างห้ามไม่ได้ รู้ตัวอีกทีตอนมันกระแทกเข้ากับหน้าของอีกคนไปแล้ว 

"พลั่ก!"

"ไอ้เหี้ยภู!"

"ภูผา!" 

เสียงนาวีหยุดการกระทำของทั้งผมและพี่ไนท์ คนที่วิ่งเข้ามามองผมกับอีกฝ่ายสลับกันไปมาเหมือนกับเดาสถานการณ์ได้ พอนาวียืนอยู่ข้างผม พวกเพื่อนของมันยกเว้นไอ้ธงทัพก็ลุกขึ้นพร้อมเอาเรื่อง สายตาของเพื่อนพี่ไนท์พุ่งตรงไปที่นาวีมากกว่าผม เพราะความขุ่นเคืองใจที่ติดค้างกันมาก่อนจึงทำให้ประเด็นเปลี่ยนไปอีกที

"จะต่อยเลยไหมล่ะ กูหมั่นไส้ตั้งแต่ในสนามบาสฯ แล้ว"

"ถ้ารู้ว่ามึงสันดานแบบนี้กูจะเอาให้แรงกว่านั้นอีก"

"ไอ้เหี้ย! มึงพูดมาเลยว่าวันนั้นมึงตั้งใจ!"

"เออ! ตั้งใจโว้ย!"

"นาวี!"

จากเรื่องไม่เป็นเรื่องสู่การทะเลาะวิวาทที่อารมณ์โกรธอยู่เหนือเหตุผลและการควบคุมตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ทำมันไปแล้ว เรื่องราวบานปลายกระทั่งเราทั้งหมดมาจบลงที่ห้องปกครองในเวลาถัดมา เมื่อคนเจ็บหนักคืออีกฝ่าย คนผิดจึงกลายเป็นผมกับนาวีที่กำลังนั่งก้มหน้าสำนึกผิดอยู่ตรงนี้ พ่อของนาวี กับแม่ของผมก็อยู่ด้วย เสียงบ่นของอาจารย์ห้องปกครองไม่น่ากลัวเท่าใบหน้าเรียบเฉยของแม่ ผมไม่กล้าคิดว่ากลับถึงบ้านจะเจอกับอะไรบ้าง

พี่ไนท์อยู่ในสภาพสะบักสะบอมกว่าที่คิด ในตอนที่มันล้มไปกระแทกแสตนด์จนคางแตก ผมพยายามอธิบายว่ามันคืออุบัติเหตุแต่ฟังไม่ขึ้นเพราะยังไงสาเหตุมันก็มากการทะเลาะกันอยู่แล้ว ผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วยพยานทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียว ความผิดจึงมากกว่าใคร ซึ่งผมก็ยอมรับโดยไม่ปฏิเสธ ผมไม่รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปเพราะเห็นว่าสมควรแล้ว

แต่ความรู้สึกผิดมันเกิดขึ้นมาตอนเห็นนาวีเจ็บตัว และตอนที่แม่กำลังยกมือไหว้แม่ของพี่ไนท์ ขอโทษแล้ว ขอโทษอีกเพื่อให้แม่พี่ไนท์ยอมให้อาจารย์ลดโทษให้ผม เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแม่ก้มหัวให้คนอื่นและออกรับความผิดแทนผมความละอายใจก่อตัวขึ้นเงียบๆ ในความรู้สึกของผม แม้คำขอโทษเป็นร้อยครั้งจะออกจากปากแม่ไปแล้ว สุดท้ายการลงโทษสูงสุดของผมกับนาวีก็คือการพักการเรียน ในระยะเวลาสั้นๆ สองอาทิตย์เพื่อให้ทบทวนในสิ่งที่ทำลงไป

ผมเดินออกมาจากห้องปกครองพร้อมกับแม่ เสียงโทรศัพท์ของแม่ดังขึ้นในจังหวะเดียวกัน แม่จึงแยกตัวออกไปคุยโทรศัพท์อีกทาง ผมหันมองนาวีกับพ่อที่เดินตามออกมา ปกติพ่อนาวีใจดีเสมอ แต่ความผิดครั้งนี้คงทำให้พ่อรู้สึกโมโหอยู่บ้าง ผมกับนาวีก็ได้แต่ก้มหน้ามองต่ำจนถูกเรียก

"เงยขึ้นมามองหน้าพ่อ"

"..."

"ทั้งคู่เลย"

ทั้งผมและนาวีเงยหน้าขึ้นมองตามคำสั่ง คิ้วของพ่อที่ขมวดกันแน่นอยู่นานคลายออกพร้อมเสียงถอนหายใจเบาๆ เลื่อนสายตามองเราสลับกันไปมา

"ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม"

เราทั้งคู่ส่ายหน้าพร้อมกัน พ่อนาวีจึงพยักหน้ารับ เราไม่โดนดุอะไรนอกจากความห่วงใยนั้น ก่อนนาวีกับพ่อจะแยกไปอีกทางเพื่อกลับบ้าน ผมยังยืนรอแม่ที่คุยโทรศัพท์ไม่เสร็จ ระหว่างนั้นไอ้ธงทัพก็เดินเข้ามาหา ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นเพราะไม่อยากมองหน้ามัน แต่ดูเหมือนมันจงใจเดินเข้ามาหาผม เลยมาหยุดอยู่ตรงหน้า ไอ้ธงทัพไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรในการทะเลาะวิวาท มันไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรเลยนอกจากยืนมองเฉยๆ

"มีอะไร"

"งานนี้กูไม่เกี่ยวนะเว้ย มึงจะมาโกรธกูไม่ได้นะ"

"ไอ้เหี้ยนั่นมันเพื่อนมึงไม่ใช่หรือไง"

"อ้าว! แล้วมันใช่ความผิดกูไหมอะ มึงเสือกไปเลือดร้อนต่อยมันก่อนเอง"

ผมไม่ได้เถียงอะไรต่อ หันหน้าหนีไปอีกทาง แต่มันยังพูดไม่จบ

"มึงก็ทำอะไรไม่ระวัง เล่นกันในห้องน้ำโรงเรียนมันใช่เรื่องป่ะวะ"

เท้าผมหยุดชะงักตอนมันพูดแบบนั้น

"คราวหลังก็ทำให้มันเนียนๆ ดิ จะได้ไม่โดนจับได้"

คำพูดของไอ้ธงทัพสะกิดความคิดบางอย่างในหัวผม ผมจึงหันกลับไปคว้าคอเสื้อมันผลักเข้ากับผนังตึก แล้วเอ่ยถามในสิ่งที่กำลังคิด

"ฝีมือมึงใช่ไหม"

"มึงพูดอะไร!"

"รูปนั้น มึงเป็นคนถ่ายใช่ไหม"

"ทำไมมาโทษกูวะ!"

"วันนั้นที่โรงยิมมึงก็อยู่ด้วย ในห้องน้ำมึงก็อยู่ด้วย"

"..."

"มึงยังคิดว่ากูฟ้องพ่อมึง มึงอยากเอาคืนเลยมาเสือกเรื่องของกูเหรอ"

"ไม่ใช่เว้ย!"

"ไม่ใช่มึงแล้วจะใคร!"

"กูจะไปรู้ไหมเล่า! กูไม่เกี่ยวเว้ย!"

"ภูผา!"

เสียงของแม่ที่เดินเข้ามาเรียกทำให้ทั้งผมและไอ้ธงทัพหันไปมอง ก่อนมันจะสะบัดตัวออกไป มันไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินออกไปอย่างหัวเสีย พอๆ กับแม่ที่ใบหน้าบึ้งตึงตรงเข้ามาดึงแขนผมให้เดินตามไปที่รถ

"ภูผา! ทำไมทำแบบนี้!"

"..."

"ตอบแม่"

"พูดไปแม่ก็ไม่ฟัง"

"ภูผาไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ"

"..."

"เดี๋ยวนี้ทำตัวแย่มาก ตั้งแต่ไปรู้จักกับนาวีอะไรนั่น!"

"นาวีไม่เกี่ยวนะแม่"

"จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ก็ตั้งแต่ไปคบกับเพื่อนกับคนนั้นก็มีแต่ปัญหา ไปนอนค้างกับเพื่อนก็ไม่บอกแม่ แล้วยังมาสร้างเรื่องทะเลาะอะไรนี่อีก จะให้แม่คิดยังไง"

"มันไม่เกี่ยวกับนาวี"

"แม่ไม่ชอบนาวี!"

"แม่"

"เลิกคบกับเพื่อนคนนั้นไปเลย"

"แม่!"

"แม่ไม่สบายใจถ้าปล่อยให้ภูผาไปเป็นเพื่อนกับคนแบบนั้น!"

"ไม่อยากให้ภูกับนาวีเป็นเพื่อนกันเหรอ"

"ใช่!"

"งั้นแม่สบายใจได้เลย เพราะภูกับนาวีไม่ได้เป็นเพื่อนกัน"

.

.

.

"เราเป็นแฟนกัน"

 

 
To be continued.

 

กลายเป็นนิยายรายเดือนไปแล้วค่ะ เอาไว้อัพจบค่อยมาอ่านกันก็ได้เนอะ เกรงใจคนรอจัง ฮืออ แต่ยังไงอย่าลืมแวะมาหาเราบ้างนะ ขอโทษนะคะทุกคน รักนะ 

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เรารอได้ค่ะ และเรายังติดตามนิยายของไรท์อยู่เสมอขอบคุณนะคะที่มาอัพให้เราชอบเรื่องนี้มากแต่ตอนนี้เราเครียดแล้วอ่ะกลัวแม่จับภูพาแยกกับนาวี

ออฟไลน์ Slotjai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คิดถึงนะเรารอเธอได้ เราชอบนิยายเรื่องนี้

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จากไม่มีอะไร แค่ถอดเสื้อพละ เสื้อนักเรียนเปลี่ยนกันใส่
กลายมาเป็นประเด็น

บางทีก็คิดถึงกฎโรงเรียน นร.ลืมก็หักคะแนนถูกทำโทษ
ยังไงเขาก็ใส่เสื้อนนร.มาเรียน
ไม่ได้ถอดเสือ หรือใส่เสื้อเที่ยวมาเรียนสักหน่อย
บางคนโทรให้ผป.เอาเสื้อมาให่้เปลี่ยน
ผป.บางคนก็เจออุบัติเหตุถึงเสียชีวิตก็มี
ไม่นับเสียเวลา เสียการงาน

แม่ภูผา ไม่ชอบนาวีว่าทำให้ลูกเปลี่ยนอยากให้ลูกเลิกคบ
เพราะภูผาทำตัวไม่ดี เหลวไหล
แต่การที่แม่อยากให้ภูผาเลิกคบกับนาวี
ก็เหมือนที่ภูผาอยากให้แม่เลิกเป็นเมียน้อย
แม่ทำได้ไหม
ถ้าทำได้ภูผาคงทำได้เหมือนกัน

ไนท์กับเพื่อนๆ ก็ปากดี คนแบบไนท์มีทุกที่ แจ๋น เสือกจริงๆ หุบปากแล้วจะตายมั้ง
พูดมากปากมีสีจริงด้วย
จะใช่ธงทัพเอาคืนภูผาหรือเปล่า แต่ธงทัพน่าจะรู้เห็นเรื่องนี้แม้ตัวเองไม่ได้ทำ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ช้าก็จะรอค่ะ รักนิยายรชาทุกเรื่องเลย  :กอด1:

ยังไม่แล้วใจ ช่วงวัยทำงานแล้วพี่นาวีหายไปไหน? เห็นแต่ธงทัพมาสนิทกับภูผามากขึ้น งืออออ อย่าให้ sad มากนะ เขาใจบางงงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
« ตอบ #39 เมื่อ: 09-12-2017 09:28:33 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ CofFee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
นานแค่ไหนเราก็รอ เพราสิงอยุ่ในเล้าอยู่แล้ว ฮ่าๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2017 19:03:49 โดย CofFee »

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รอได้เสมอจ้า  :hao5:

ออฟไลน์ ZYRUS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เพิ่งเห็นว่าคุณเต้าหู้ไข่มีเรื่องใหม่ เราก็รีบกดเข้ามาอย่างเร็วเลยค่ะ
เจอเข้ากับโทนเรื่องที่ดูจะเทาๆกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมา พร้อมกับชื่อสามคนตรงชื่อเรื่อง ขั้นแรกที่คิดก็เหมือนกับหลายคนว่า 3P รึเปล่า ฮาาา แต่เราก็ยังไม่อยากเดาอะไร รอดูไปเรื่อยๆดีกว่า ถ้าถามว่าตอนนี้อยู่ข้างใคร เราตอบนาวี /เขิน ตอบความสดใสที่ำให้น้องภูมีความสุข แต่ในขณะเดียวกันก็แอบๆเหล่พี่ทัพ ที่ถึงดูไม่ค่อยจะถูกกัน แต่พี่ก็ไม่เข้ามาอะไร เหมือนคอยดูอยู่ห่างๆ...รึเปล่า ไม่อยากออกตัวเดาไรแบบมั่นใจมาก เดี๋ยวหน้าแตก 55555

ติดใจสุดๆคือตรงที่ทัพกับภูดูญาติดีกันตรงบทนำ และไม่ได้กล่าวถึงนาวี ไปอยู่ไหนคะ หรือที่ปวดท้องบ่อยๆจะทำให้เกิดอะไรน้ำตาตกภายหลังรึเปล่า เดามั่วไปหมด 5555 แต่คุณเต้าหู้ไข่บอกว่าไม่ดราม่า...เราจะเชื่อนะคะ  :hao5: อย่าทำร้ายเราเลย...จิตใจเราอ่อนแอมาก---

ตอนนี้น้องภูประกาศกับคุณแม่แล้ว รอชมตอนต่อไปค่ะว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เอาใจช่วยทุกคน คุณคนเขียนด้วยนะคะ~

ปล.ที่ลุ้นพอๆกับเรื่องรักๆของเหล่าพระนาย คือความสัมพันธ์ของน้องภูกับคุณแม่ ว่าจะไปทิศทางไหน

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อยากให้สามพีค่ะ เลือกไม่ถูกสงสารทั้งคู่ ทั้งนาวีกับจอมทัพ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 6

 

ผมจึงกอดคุณ

ด้วยความรักทั้งหมดที่ผมมี


 

 

สองอาทิตย์สำหรับการถูกพักการเรียนคล้ายเป็นปิดเทอมระยะสั้นสำหรับผม ไม่มีอะไรต้องทำผมจึงว่างจนรู้สึกเบื่อ นาวีต้องไปสอบเข้ามหาลัยจึงเอาเวลาว่างไปเตรียมตัว ผมไม่รบกวนเขามากนัก เพียงแต่หาเวลามาเจอกันบางวันในตอนเย็น

 

"ติ๊ง!"

 

ผมเลื่อนสายตามองหน้าจอคอมฯ ที่ปรากฏหน้าต่างแชทของเฟสบุ๊ก ผมใช้เวลาว่างไปกับการเรียนรู้ที่จะใช้งานมันเพราะเพื่อนพากันบอกให้ใช้ เพื่อจะได้เป็นช่องทางการติดต่อที่ง่ายขึ้น แล้วการพูดคุยผ่านแชทก็เริ่มขึ้นมาตั้งแต่สองวันก่อน จนถึงตอนนี้ด้วยเรื่องสัพเพเหระ มาเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังบ้าง บอกต่องานที่ผมต้องทำส่งบ้าง ขณะกำลังคุยกับเพื่อนผ่านทางแชท เสียงเรียกเข้าของมือถือก็ดังขึ้น ผมหันมองแล้วเห็นว่าเป็นนุ่น จึงหยิบมากดรับ

(สะ...สวัสดีค่ะ ภูผา)

ผมหลุดหัวเราะออกมากับการทักทายของปลายสาย

"ว่าไงนุ่น"

(คือ เราจะโทรมาบอกว่ามีรายงานวิชาชีวะ อาจารย์ให้จับคู่กัน ไม่สิ อาจารย์จับคู่ให้ แล้วคือ...เราได้คู่กับภูผาน่ะ)

ผมเงียบฟังนุ่นก่อนตอบรับไปสั้นๆ

"อ๋อ"

(รายงานต้องส่งอาทิตย์หน้า ก่อนที่ภูผาจะกลับมาเรียน ภูผาพอจะหาเวลามาทำงานด้วยกันได้ไหม)

ผมเงียบไปอีกครั้งหลังฟังนุ่นพูดจบ คงเห็นว่าผมไม่ตอบอีกฝ่ายจึงพูดต่อ

(แต่...แต่ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเราทำเองก็ได้ เราแค่โทรมาบอกเฉยๆ เดี๋ยวเรา...)

"ได้ดิ" ผมสวนกลับไปแทรกประโยคของนุ่น

(ได้เหรอ)

"เราว่างทุกวันแหละ นุ่นนัดมาเลย"

(ถ้างั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นมาเจอกันนะ มีร้านกาแฟเปิดใหม่ใกล้ๆ ที่เรียนพิเศษเรา ไปเจอกันที่นั่นได้ไหม)

"ได้"

(เราจะรอนะ)

ผมลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงมามองหน้าจอกระทั่งนุ่นวางสายไป ความคิดติดอยู่กับคำพูดของนุ่น ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่เห็นจากหน้าต่างแชทของเพื่อนที่ยังคุยค้างกันอยู่

 

Biw Phatorn: งานชีวะกูได้คู่กับมึง แต่นุ่นมาขอแลกว่ะ กูเลยให้แลกไป ไม่ว่ากูนะ

 

 

...

 

วันถัดมา ผมมาหานุ่นตามเวลาที่นัดเอาไว้ ในร้านกาแฟเล็กๆ ที่คนไม่เยอะจึงมองเห็นนุ่นก่อนใคร ผมเดินเข้าไปนั่งโต๊ะเดียวกับนุ่น คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่จึงไม่ทันรู้ตัว เงยหน้าขึ้นมาก็ตกใจนิดหนึ่งก่อนยิ้มกว้างให้

"มาแล้วเหรอ"

"รอนานป่ะ"

"ไม่นานเลย ภูผาอยากกินอะไรไหม ชาเขียวปั่นที่นี่อร่อยมากเลยนะ"

"กินไม่เป็นอะ"

"อ้าวเหรอ...งั้น...งั้นลองชิมก่อนไหม" นุ่นว่าแล้วยื่นแก้วชาเขียวของตัวให้อย่างเก้ๆ กังๆ ผมจึงยกมือปัดเป็นเชิงปฏิเสธ

"ทำงานเลยป่ะ"

"อ๋อ โอเค" นุ่นก้มลงหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาจากกระเป๋าเป้ แล้วขยับเก้าอี้เข้ามาหาผมนิดหนึ่ง อธิบายเรื่องรายงานให้ผมฟัง แล้วแบ่งงานให้ส่วนของผมให้จัดการ ผมกับนุ่นใช้เวลาอยู่พักใหญ่ๆ รายงานก็คืบหน้าไปจนเกือบจะเสร็จ ระหว่างนั้นผมเหลือบตาขึ้นมองนุ่นเพราะรู้สึกตัวว่าถูกมอง อีกฝ่ายรีบก้มหน้าลงตอนผมเงยหน้าขึ้นมอง ผมก้มลงพิมพ์งานต่อแล้วเอ่ยปากถาม

"มีอะไรเปล่า"

"คือ...ภูผาเป็นไงบ้างอะ หน้ายังช้ำอยู่เลย เจ็บหรือเปล่า"

"ไม่เจ็บหรอก"

"อ๋อ...เราเป็นห่วงนะ"

"ฮึ?"

"หมายถึงเรากับเพื่อนในห้องเป็นห่วงนะ มีคนถามหาภูผาเยอะเลย"

"ไม่เป็นไรแล้ว"

"อ๋อ...โอเค"

นุ่นพยักหน้ารับ ขยับแว่นนิดหนึ่งแล้วก้มลงไปทำงานต่อ

"เออใช่ ภูผามีเฟซบุ๊กแล้วใช่ไหม"

"อืม"

"รับเราเป็นเพื่อนด้วยสิ เราแอดเฟรนด์ไปนะ"

"ใช้ไม่ค่อยเป็นอะ สอนหน่อยสิ" ผมขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้นุ่นอีกจนแทบติดกัน อีกคนหันมองแขนผมที่เผลอไปชนกับแขนตัวเอง ก่อนพยักหน้ารับ ปิดหน้าต่างเวิร์ด แล้วเปลี่ยนเป็นเว็บเฟสบุ๊กแทน ผมเองก็ด้วย นุ่นอธิบายถึงปุ่มแจ้งเตือนที่เป็นสีแดง แสดงบัญชีของนุ่นที่ส่งคำขอเป็นเพื่อนมา ผมรู้ดีอยู่แล้วแต่ก็พยักหน้าฟังนุ่นพูดไป น้ำเสียงเบาๆ ของคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกพูดต่อไปเรื่อยๆ ถึงตรงนั้นตรงนี้ของเว็บไซต์ ผมไม่ได้ตั้งใจฟังนักเพราะเผลอมองหน้าคนข้างๆ ด้วยความคิดบางอย่างในหัว นุ่นเป็นคนเรียนเก่ง พูดน้อย ไม่ค่อยมีเพื่อน ผมไม่คิดว่าตัวเองเคยสร้างปัญหาอะไรให้นุ่น หรือเคยทำอะไรให้โกรธหรือเปล่า คิดทบทวนแล้วก็ไม่น่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

"นุ่น"

"หืม?"

"ถ้าอยากโพสท์รูปต้องทำยังไงอะ"

"ก็เหมือนโพสท์สเตตัสเลย แค่เปลี่ยนเป็นรูปตรงนี้"

"ถ้าอยากโพสท์ลงกลุ่มล่ะ"

"ก็เข้าไปที่กลุ่มก่อน แล้วก็โพสท์เหมือนปกติเลย"

"อ๋อ"

"..."

"เหมือนที่นุ่นโพสท์รูปเรากับนาวีใช่ไหม"

นุ่นหันขวับมองผม เบิกตาขึ้นนิดหนึ่งด้วยใบหน้าอึกอัก ผมละสายตาจากหน้าจอแล้วหันมองนุ่น เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามซ้ำ 

"ภูผา พูดอะไร"

"นุ่นเป็นคนโพสท์รูปนั้น"

"เรา...ไม่ใช่นะ!"

"นุ่นอยู่ที่โรงยิมในวันกีฬาสี แล้วที่ห้องน้ำ เราไม่เคยพูดกับใครเลยว่าวันนั้นเราทำอะไรกับนาวีในห้องน้ำ แต่นุ่นพูดออกมาว่าเรากับนาวีเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเฉยๆ นุ่นรู้ได้ไงอะ"

"..."

"นุ่นจงใจเปิดรูปนั้นในห้องเรียนให้คนอื่นเห็น"

"..."

"นุ่นทำแบบนั้นทำไม"

นุ่นก้มหน้าลงไม่ยอมสบตา สองมือกุมชายเสื้อตัวเอง ยิ่งผมมองอย่างคาดคั้น นุ่มยิ่งก้มหน้าหนีกัดริมฝีปากแน่น

 

"กริ๊ง!"

 

เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดังท่ามกลางความเงียบ ผมหันไปมองคนที่เดินเข้ามาก่อนนั่งลงโต๊ะเดียวกับเรา ผมไม่ได้ตกใจที่นาวีโผล่มาที่นี่เพราะเป็นคนนัดมาเอง แต่คนข้างๆ นิ่งไปครู่หนึ่งตอนหันไปเห็นนาวี

"หวัดดีนุ่น" คำทักทายของนาวีทำให้นุ่นยิ่งกดหน้าตัวเองลงไปอีกไม่ยอมเงยขึ้นมา นาวีเลิกคิ้วอย่างสงสัยตอนหันมามองหน้าผม ผมบอกกับนาวีไปแล้วเรื่องนุ่นหลังจากมั่นใจ ผมไม่ได้โกรธอะไรนุ่นเพียงแค่อยากรู้ว่านุ่นว่าทำไปเพื่ออะไร ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงความเงียบที่นุ่นแสดงออกมา ผมทิ้งให้ความเงียบทำงานอยู่ครู่หนึ่งอย่างน่าอึดอัด

"นุ่น บอกเราดิว่าทำแบบนั้นทำไม"

"..."

"นุ่น!"

"เราชอบภูผา!"

"ฮะ?" นาวีลั่นออกมาดูตกใจ ส่วนผมทำได้แค่เงียบตอนได้ยินเหตุผลของนุ่น คลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแล้วหันมองหน้านุ่น

"เราชอบภูผา"

"พี่ไม่อนุญาต!" นาวีว่าเสียงดัง จนนุ่นก้มหน้าหนีลงไปอีกครั้ง แล้วพูดต่อด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม

"เราชอบภูผามาตั้งนานแล้ว เรารู้ว่าภูผาไม่ได้ชอบเราหรอก แต่เราแค่อยากให้ภูผาเลิกกับพี่เขาอะ!"

"พี่ไม่เลิกเว้ย!"

"นาวี..." ผมหันไปเรียกคนที่กำลังทำท่าโมโห

"เราก็แค่คิดว่าถ้าคนอื่นรู้ว่าภูผากับพี่นาวีเป็น...เป็นเกย์...คนอื่นคงรับไม่ได้ แล้วภูผาก็ต้องเลิกกับพี่นาวี"

"คิดได้ไงวะ" นาวีพูดอย่างโมโห ผมได้แต่ยกมือกุมขมับหมดคำจะพูด คิดไม่ถึงกับความคิดและการกระทำของนุ่น

"แล้วภูผามาทำให้เราชอบทำไมล่ะ..."

ผมไม่ได้ทำอะไร

ผมคิดอย่างนั้นแต่ไม่ได้พูด เพราะผมอาจไม่รู้ตัวว่าการกระทำของตัวเองส่งผลต่อความรู้สึกนุ่นยังไง ผมอาจไม่รู้... เพราะหาคำตอบให้นุ่นไม่ได้จึงได้แต่เงียบ นาวีถอนหายใจยาวแล้วหันมองนุ่น

"นุ่น คือนุ่นจะชอบใครมันไม่ผิดหรอกนะ แต่สิ่งที่นุ่นทำมันสร้างปัญหาให้พี่กับภูผานะ นุ่นจะทำกับคนที่ตัวเองรักแบบนี้จริงๆ เหรอ"

"..."

"แล้วถ้านุ่นคิดว่าพี่กับภูผาจะเลิกกันเพราะสิ่งที่นุ่นทำอะ นุ่นคิดผิดแล้วเว้ย"

"..."

"มันทำให้เรารักกันมากกว่าเดิมอีก"

นาวีย้ำประโยคนั้นให้ชัดด้วยการยื่นมือมาจับมือผมแน่น นุ่นเลื่อนสายตามองสองมือของเราที่กุมกันอยู่ ก่อนเงยหน้ามองผม

"เราขอโทษนะ" นุ่นพูดแค่นั้นแล้วเก็บของวิ่งออกไปจากร้าน ทั้งผมและนาวีถอนหายใจออกมาพร้อมกันเบาๆ ก่อนนาวีหันขวับมามองผมตาขวาง

"อะไร"

"ยังไงล่ะเนี่ย มีผู้หญิงมาบอกรักด้วย"

"หวั่นไหวเลยนะ ใจสั่นเลยเมื่อกี้" ผมแกล้งพูดล้อเล่นขณะเก็บของใส่กระเป๋า แต่นาวีตรงเข้ามาหยิกแก้มผมแรงๆ ทีหนึ่ง

"เจ็บนะเนี่ย"

"เนื้อหอมมากไหมล่ะ!" นาวีพูดพลางเชิดปากใส่เคืองๆ ผมจึงโน้มหน้าลงไปหาแล้วสวนกลับไป

"ก็เคยดมแล้วนี่"

คนข้างๆ หลุดยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วยกศอกขึ้นกระแทกผม

"มีคนมาชอบแบบนี้ หวงแล้วอะ ทำไงดี"

"กับกูอะแค่นุ่นคนเดียว ของมึงอะครึ่งโรงเรียน กูยังไม่ว่าเลยนะ"

"เออ เอาไงดี ท้าตบหลังโรงเรียนเลยดีป่ะ"

"ไม่อะ"

"..."

"กูชนะแล้วตั้งแต่ได้มึงเป็นแฟน"

"หูย! เอาเรื่องว่ะ! เขินขาอ่อนเลยนะเนี่ย" 

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วเก็บของออกมาจากร้าน นาวีตามออกมาด้วย ผมหันไปมอง เห็นว่าเขาอยู่ห่างจากผมไปสองสามก้าวเลยหยุดเดินแล้วยื่นมือไปหา อีกคนก็ยกมือขึ้นมาจับมือผมในจังหวะเดียวกัน ผมดึงนาวีมาข้างๆ แล้วเดินไปพร้อมกัน ผมไม่รู้ว่าจะมีคนอยากให้เราเลิกกันอีกสักกี่คน ผมจึงจะจับมือนาวีไว้ให้แน่นแล้วเดินต่อไปด้วยกันให้นาน นั่นคือความต้องการเดียวของผมในตอนนี้   

 

...

 

ผมมาอยู่ที่บ้านนาวีอีกครั้ง ทีแรกตั้งใจจะมาส่งแค่หน้าบ้านแต่พ่อกับแม่ของเขาอยู่พอดีเลยชวนเข้ามากินข้าวด้วยกัน พ่อกับแม่ของนาวีรู้แล้วเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป การยอมรับเกิดขึ้นอย่างไม่มีเงื่อนไข บรรยากาศที่บ้านนาวีกับบ้านผมต่างกันจนไม่อยากเปรียบเทียบ พ่อแม่ไม่ได้ต่อว่าเรื่องที่ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้นาวีถูกพักการเรียน แต่ก็ไม่ได้ละเลย วันแรกเราโดนอบรมกันอยู่พักใหญ่ๆ ผมรับฟัง ไม่เถียง คิดตาม และจดจำทุกคำสั่งสอน สัญญาจะไม่ทำมันอีก 

หลังจากจบมื้ออาหาร ผมมานั่งอยู่กับนาวีที่ห้องนั่งเล่น อีกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการทดลองใช้สีน้ำกล่องใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ผมเพิ่งได้เห็นนาวีวาดรูปเป็นครั้งแรก แล้วก็ชื่นชมไปกับฝีมือของเขา ไม่คิดว่าจะวาดรูปได้สวยขนาดนี้ นาวีเป็นคนเก่ง มีความสามารถรอบด้าน บางครั้งดูแข็งแกร่ง บางครั้งอ่อนโยน ทุกส่วนประกอบในความเป็นนาวีไม่มากไม่น้อยไป ในสายตาผมนาวีสมบูรณ์แบบโดยไร้ข้อติติง แม้ดีเกินกว่าจะมีจริงแต่ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว เขาเป็นคนที่ใครอยู่ด้วยก็ต้องชอบ ไม่แปลกที่จะมีคนชื่นชมเขาเยอะ แต่ยิ่งคิดแบบนั้นใจผมก็แกว่งจนเซ 

 

หวงแล้ว...ทำยังไงดี

 

ผมละความสนใจจากนาวีแล้วหันมองไปด้านนอก ฝนที่กระหน่ำตกลงมาพักใหญ่เป็นเหตุให้อากาศเย็นกำลังสบาย เสียงฝนกระทบหลังคาคล้ายเป็นเสียงดนตรีดังคลอไปกับเสียงกีตาร์ของพ่อนาวีที่นั่งเล่นอยู่อย่างอารมณ์ดี ผมขยับตัวนิดหนึ่งแล้วทิ้งหัวฟุบลงบนโต๊ะ นาวีเหลือบตาขึ้นมอง

"ง่วงแล้วเหรอ"

"อือ"

"คืนนี้จะนอนที่นี่ใช่ไหม"

"อือ"

"บอกแม่แล้วใช่ป่ะ"

ผมไม่ได้ตอบด้วยคำพูด แล้วโกหกด้วยการพยักหน้ารับ ผมยังไม่ได้บอกแม่ พูดให้ถูกคือผมยังไม่ได้พูดกับแม่เลย ตั้งแต่วันที่ผมบอกแม่เรื่องของผมกับนาวี จนถึงวันนี้แม่ไม่คุยกับผมเลย ไม่มีอาหารเช้าสำหรับผม ไม่มีการพูดคุยแม้เพียงทักทาย แม่โกรธมากกว่าทุกครั้ง แล้วผมก็ดื้อด้านเกินกว่าจะทำตามที่แม่ขอ เพราะผมเลิกกับนาวีเพียงเพราะแม่บอกว่าไม่ชอบไม่ได้

"สองทุ่มเองมึงจะง่วงแล้วเหรอ"

"อือ" ผมรับคำอยู่ในลำคอ แล้วขยับหัวไปซุกแขนอีกคนอย่างคลอเคลีย เพื่อเรียกร้องความสนใจ

"อะไรของมึง อ้อนกูเหรอ"

"อือ"

"เป็นอะไรอะ ง่วงก็นอนไป"

"นอนด้วยกัน"

"เสร็จนี่ก่อน มึงนอนก่อนเลย"

ผมส่ายหัวเบาๆ ชนเข้ากับแขนของเขา นาวีหัวเราะแล้วยกมือบีบแก้มผมค้างเอาไว้ 

"งอแง เดี๋ยวเตะกลิ้ง"

ผมเหลือบมองตาขวาง ก่อนกดหน้าตัวเองลงบนโต๊ะ ปล่อยให้นาวีวาดรูปต่อ คนที่กำลังตั้งใจกับภาพวาดนั่นไม่ทันได้สนใจผมที่ไล่สายตามองเขาตั้งแต่ใบหน้า ผ่านลำคอขาว มองไหล่กว้างไล่ลงสู่ท่อนแขน ไปจนถึงนิ้วมือเรียวสวยนั่นที่กำลังจับพู่กันบรรจงแต้มสีลงภาพวาดบนกระดาษร้อยปอนด์ ผมมองอีกมือของนาวีที่วางอยู่เฉยๆ ก่อนเลื่อนมือตัวเองไปหยิบปากกาเมจิกสีดำขึ้นมา แล้วขีดเขียนลายลงไปบนข้อมือเขา

"อะไร แกล้งทำไม"

"เฉยๆ" ผมบอกแค่นั้นแล้วค่อยๆ วาดรูปนั้น หมึกสีดำตัดกับผิวขาวของเขาคล้ายรอยสัก นาวียกข้อมือตัวเองขึ้นดูรูปที่ผมวาด 

"คืออะไรอะ กราฟชีพจรเหรอ"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ มองเส้นหยักขึ้นๆ ลงๆ ที่วาดลงบนข้อมือของเขา ดูไปก็คล้ายกับเส้นชีพจรอย่างที่เขาว่า แต่ผมจงใจวาดให้มันเป็นอย่างอื่น

"มันคือภูเขา" ผมใช้ปลายปากกาที่ปิดฝาแล้วลากเส้นไปที่รอยหยักด้านบน

"แล้วข้างล่างนี่ล่ะ" นาวีชี้รอยหยักด้านล่าง 

"แม่น้ำไง"

นาวีพิจารณามองลายเส้นนั้นก่อนจะพยักหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้ม 

"ภูผา กับ นาวี"

ผมพยักหน้ารับ 

"สวยอะ สักจริงเลยดีป่ะ"

"ไม่เอา ไม่อยากให้ตัวมึงเป็นรอย เกลี้ยงๆ ดีแล้ว"

นาวีได้แต่ยิ้มหน่อยๆ ขณะตายังมองอยู่กับรูปที่ข้อมือตัวเอง เราไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนแม่นาวีจะเดินออกมาเรียกผมจากในครัว

"ภูผา"

"ครับ"

"มาช่วยแม่หน่อยลูก"

ผมลุกไปหาแม่นาวีในครัวที่กำลังจัดขนมหวานใส่จาน ประมาณสามสี่อย่าง ก่อนถูกใช้ให้ยกไปที่หน้าทีวี แม่ถือแก้วน้ำผลไม้ตามมานั่งที่โซฟาแล้วหันไปเรียกพ่อให้มานั่งตรงนี้ด้วยกัน เสียงพูดคุยของคนในครอบครัวก็เริ่มต้นอีกครั้ง วันนี้ที่นี่ก็อบอุ่นหัวใจเช่นเคย   

"ภูผาจะไปกรุงเทพฯ กับนาวีไหม"

"นาวีไม่ให้ไปอะครับ" ผมหันไปตอบพ่อ เพราะก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะตามนาวีไปสอบตรงที่กรุงเทพฯ เป็นเพื่อน แต่อีกคนไม่ยอม

"ก็กูไปวันเดียวก็กลับแล้ว มึงจะไปทำให้เหนื่อย ต้องไปรอกูอีก อยู่นี่แหละไม่ต้องร้องตาม"

"เออ ก็ได้"

"กลับมาค่อยไปเที่ยวกัน"

"กลับมาแล้วไปทะเลกันไหม" ผมชวน นาวีรีบพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย แล้วหันไปหาพ่อ 

"ไปนอนที่รีสอร์ทอากานต์ได้ใช่ไหมพ่อ"

"ได้สิ เดี๋ยวพ่อโทรบอกอาให้"

"เดี๋ยวพี่รีบกลับมาแล้วพาไปเที่ยวทะเลน้า" นาวีว่าแล้วยกมือบีบแก้มผมแล้วเขย่าเบาๆ แก้มผมกลายเป็นของเล่นของนาวีไปแล้ว ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม คิดไปถึงทะเล ขนาดว่าบ้านอยู่ใกล้ก็ยังไม่ได้ไปซะนาน จึงอดตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งถ้าได้ไปกับนาวี ก็คงจะเป็นโอกาสที่ดี   

"ไปทะเลกับภูผา เสียตัวแน่เลยอะแม่"

"แค่ก!" น้ำผลไม้ในปากผมพุ่งออกมาอย่างเหนือการควบคุม แม่นาวียกมือตบหลังผมที่ไอไม่หยุดพร้อมเสียงหัวเราะของคนทั้งบ้าน ผมหันมองนาวีด้วยตาขวางๆ  นาวียังคงพูดล้อเล่นต่อ

"ทำไมอ่า ที่ทะเลบรรยากาศดีนะ"

"ตลกแล้ว"

"วางแผนปล้ำมึงดีกว่า"

"พี่นาวี!" ผมจะเรียกเขาแบบนี้ในเวลาที่จริงจัง ดุเขานิดหน่อยเพราะพ่อกับแม่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แต่นาวีไม่ได้สนใจ ขณะที่พ่อกับแม่ของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังหันไปพูดล้อเล่นกับลูกตัวเอง 

"อย่าลืมป้องกันนะลูก" 

"แม่ครับ!" 

"โอ๊ย! พอๆ ภูผาเขินตายแล้ว" พ่อหันมาปรามขณะที่ตัวเองก็หยุดหัวเราะไม่ได้ ผมเขินจริงอย่างที่เห็น ใบหน้าร้อนผ่าวไปถึงใบหู มองจากที่ไกลๆ ยังรู้ว่าผมหน้าแดง นาวีหัวเราะหน่อยๆ ยกมือบิดแก้มผมอีกที แล้วโน้มหน้าเข้ามากระซิบข้างหูผม

"อยากไปไวๆ แล้วเนอะ"

ผมเหลือบตามองขวาง แต่ในใจก็คิดไม่ต่าง...อยากให้วันนั้นมาถึงไวๆ เหมือนกัน

 

...

 

 

การรอคอยยาวนานนับเป็นวินาที หลายวันที่ผ่านมาผมเอาแต่เฝ้ามองเข็มวินาทีที่หมุนไปเพื่อตั้งหน้าตาตั้งตารอวันนั้น กระทั่งมันมาถึง ในที่สุดผมกับนาวีก็ได้มาทะเลอย่างที่คิด นาวีพาผมมาพักที่รีสอร์ทติดชายหาดของญาติเขา เรามาถึงที่นี่ในตอนเย็นๆ จึงทันเห็นพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ตกดินลงไปกระทั่งฟ้าเปลี่ยนสี ริมชายหาดเริ่มมืดมีเพียงแสงไฟจากริมทางไกลๆ กับแสงดวงจันทร์จางๆ ที่ส่องสว่างถึงตรงนี้ ผมนั่งมองน้ำทะเลที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาโดนเท้า ก่อนย้อนกลับลงทะเลไป เป็นเช่นนั้นอยู่นาน กระทั่งเสียงของคนข้างๆ ดังขึ้นแทรกเสียงคลื่น

"ชอบไหม"

"ทะเลหรือมึง"

นาวีเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มก่อนสวนกลับมา

"ทะเลดิ"

"ชอบ"

"แล้วกูอะ"

"ชอบมากกว่าทะเลนิดหนึ่ง"

"ตั้งนิดหนึ่ง?"

ผมยักคิ้วให้หน่อยๆ ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงมือถือของนาวีดังขึ้น เจ้าของมือถือจึงหยิบออกมากดรับ ผมได้ยินว่าเป็นแม่ นาวีลุกออกไปรับโทรศัพท์ คุยกับแม่พลางเดินออกไปไกลจากผม  หันมองผมแล้วชี้เข้าไปในรีสอร์ทเป็นเชิงบอกว่าตัวเองจะเข้าไปในนั้น ผมจึงพยักหน้ารับแล้วนั่งรออยู่ตรงนี้ นาวีหายเข้าไปในนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนเดินกลับออกมาพร้อมเบียร์สองกระป๋องในมือ นั่งลงข้างๆ ผม เปิดกระป๋องเบียร์แล้วส่งให้ ผมรับมาทั้งที่ดื่มไม่เป็น นาวีเปิดอีกกระป๋องแล้วกระดกเข้าปากในทันที แล้วหันมองผมที่ยังไม่ยอมดื่มด้วย

"ทำไมอะ"

"กินไม่เป็น"

"ไม่เคยเหรอ"

"ไม่อะ"

"ลองดิ"

ผมพยักหน้ารับแล้วยกเบียร์ในมือขึ้นดื่ม รสชาติแปลกใหม่ของมันไม่ถูกปากจนแสดงออกได้ชัดผ่านใบหน้าเหยเก เป็นเหตุให้นาวีหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยกมือขยำแก้มผมทีหนึ่ง 

"เด็กน้อยเอ๊ย"

"ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวแม่ดุ" ผมพูดขำๆ แล้ววางกระป๋องเบียร์ไว้ข้างๆ ตัว 

"แล้วนี่มึงบอกแม่แล้วใช่ไหมว่ามาเที่ยวกับกูอะ"

ผมพยักหน้ารับ แน่นอนผมโกหก ผมไม่ได้บอกแม่ และขณะเดียวกันก็ยังไม่มีเหตุผลดีๆ เอาไปแก้ตัวกับแม่ในวันที่ผมกลับไป 

"ภูผา"

"ฮึ?"

"แม่มึงไม่ชอบกูใช่ปะ"

ผมหันมองนาวี ไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ นาวีคงเข้าใจคำตอบผ่านใบหน้าเรียบเฉยของผม  ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของเขา ก่อนอีกฝ่ายจะเขยิบเข้ามาหา ให้ระยะกายเราได้ใกล้กันกว่าเดิม ผมเลื่อนมือตัวเองไปกุมมือนาวีเอาไว้ ขณะที่เขาก็ทิ้งหัวตัวเองลงบนไหล่ของผม ยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้ง แล้วพูดออกมาเบาๆ

"ภูผา ถ้าสมมติ..."

"..."

"สมมติว่าเราต้องเลิกกันล่ะ"

คำถามผ่านน้ำเสียงลำบากใจของนาวีกระตุกหัวใจผมไปครู่หนึ่ง ความคิดในหัวกระทบกับความรู้สึกจนนิ่งไป ผมกุมมือนาวีแน่นกว่าเดิม แล้วตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างทุกครั้ง

"ให้มันเป็นแค่เรื่องสมมติเถอะ"

แม้เป็นคำพูดปลอบใจนาวี แต่กลับทำร้ายจิตใจตัวเอง ผมเองก็โตพอจนถึงจุดที่เข้าใจ ว่าบนโลกใบนี้มีหลายสิ่งซึ่งไม่มีอยู่จริงแต่มักจะหลอกหลอนเรา อย่างเช่น ความมั่นคง ความแน่นอน และคำว่าตลอดไป ราวกับทุกเรื่องเป็นเพียงสิ่งสมมติ แม้กระทั่งตอนนี้ เวลานี้ที่ได้อยู่ด้วยกัน...

ผมหันมองนาวีที่กระดกเบียร์หมดกระป๋อง แล้วหยิบอีกกระป๋องของผมขึ้นดื่มอีก

"พอแล้ว เดี๋ยวก็เมาหรอก"

"ทำไม กลัวกูเมาแล้วจะจับปล้ำมึงเหรอ"

"ตลกละ" ผมพูดกับนาวี แต่สายตาหันไปเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเดินผ่านเท้าผมไป จึงหันไปให้ความสนใจมัน ลุกพรวดจนนาวีที่พิงไหล่ผมอยู่ทรุดไปกับพื้นทราย

"อะไรอะ"

"ปู" ผมบอกขณะวางมือกับพื้นให้ปูตัวนั้นไต่ขึ้นมาบนฝ่ามือแล้วยกมันให้นาวีดู 

"เห็นปูแล้วทิ้งกูเลย?"

"น่ารัก" ผมยิ้มออกมานิดหนึ่งขณะมองดูปูตัวเล็กกว่าปลายนิ้วไต่ไปตามนิ้วผม นาวีขยับเข้ามาดูด้วย มองดูปูสลับกับจ้องหน้าผมแล้วยิ้มออกมาเช่นกัน

"เออ น่ารักดี"

"ปูหรือกู?" 

"มึงอยู่แล้ว!" 

"อื้อ!" ผมร้องออกมาตอนที่นาวียกมือขึ้นขยำแก้ม แรงไปจนต้องหันหน้าหนี แต่นาวีไม่หยุดแกล้งผม ผมจึงปล่อยปูในมือลงน้ำแล้วลุกวิ่งหนีเขา อีกฝ่ายก็ลุกวิ่งตาม วิ่งไล่กันอยู่บนพื้นทราย ก่อนผมถูกนาวีจับโยนลงน้ำทะเลด้วยแรงที่ขัดขืนไม่ได้ รู้ตัวอีกทีผมก็หัวทิ่มลงทะเลไปอย่างง่ายดาย

"นาวี!"

"อ่อนอะ!"

"เปียกหมดเลย"

"อะ มาๆ ลุก" นาวียื่นมือทำท่าจะช่วยผม แต่พอผมจับมือนาวีได้ก็ดึงลงน้ำด้วยกัน นาวีรู้อยู่แล้วว่าผมจะทำแบบนั้นเลยไม่ได้ฝืน แล้วกลิ้งลงน้ำมาด้วยกัน เล่นกันจนพอจึงสงบศึกด้วยการนอนจับมืออยู่เฉยๆ ขณะยังแช่อยู่ในน้ำ แม้เย็นเฉียบที่ผิวกาย แต่อบอุ่นที่หัวใจ

 

...ไม่ว่ามันจะจริงหรือสมมติ นาวีก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตผม ผมเองไม่ได้เพิกเฉยต่อความเป็นจริง เพียงแค่ยังเพ้ออยู่กับความฝัน ผู้คนไร้ตัวตน บนโลกกว้างเหลือเพียงผมกับเขา หลงใหลและดำดิ่งอยู่ในสิ่งสมมติราวกับจมลงใต้ทะเลลึก ผมจมลงเรื่อยๆ แต่มีนาวีเป็นดั่งอากาศหายใจ นาวีจับมือผมไว้ แม้จะถูกคลื่นลมแรงซัด หรือจมลงไปลึกแค่ไหน นาวีจะจับมือผมไว้ หากการจมลงใต้ทะเลลึกจะพาให้ผมหลีกหนีผู้คนและความเป็นจริงได้ ผมก็ยินดีจะจมอยู่ใต้ผืนน้ำนั้น แค่มีนาวีจับมือผมไว้ ผมต้องการแค่นั้น

 

            …

 

            เที่ยงคืนกว่าๆ หลังจากเล่นสนุกกันอยู่ที่ริมหาดจนพอใจก็พากันกลับมาที่รีสอร์ท นาวีเข้าไปอาบน้ำไม่นานก็ออกมา หยิบเสื้อตัวหนึ่งออกจากเป้แต่ยังไม่ยอมใส่ ผมเห็นนาวียกมือจับไหล่ด้านหลังของตัวเองอยู่สองสามครั้งแล้วพยายามจะมองมัน

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

"ไม่รู้โดนอะไรมา"

"ไหนมาดูดิ"

นาวีเดินเข้ามานั่งตรงหน้าผม ก่อนผมจะเห็นเข้ากับรอยแดงยาวๆ เหมือนโดนอะไรบาดที่ไหล่ด้านหลังของเขา ผมลูบรอยแดงนั่นเบาๆ

"เจ็บเปล่า"

"ไม่อะ แค่แสบๆ ช่างมัน เดี๋ยวก็หาย"

"กลัวเป็นแผลเป็น ไม่อยากให้มึงเป็นรอย"

นาวีหันหน้ามาหาผม แล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง 

"เป็นอะไรกับร่างกายกูมากป่ะ จะเป็นรอยนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เลยเหรอ"

"เออ เสียของ"

"ไอ้บ้า!"

ผมยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่งตอนนาวียกมือเขกหัวผมเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองนาวีที่สบตากับผมอยู่

"ถ้าเป็นรอยก็แปลว่าเป็นแผล เป็นแผลก็แปลว่ามึงเจ็บ"

"แล้วไง"

"กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บ"

นาวีเม้มปากเข้าหากัน ก่อนขยับเป็นรอยยิ้ม 

"มึงหยอดหน้านิ่งๆ อะ กูไม่รู้จะเขินดีหรือเปล่า"

"กูก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง แต่ก็อยากให้มึงเขิน"

ทั้งผมและเขาหลุดยิ้มออกมาพร้อมๆ กัน ก่อนนาวีจะยกสองมือขึ้นจับแก้มผมให้มุมปากคลี่ออก 

"กูชอบเวลามึงยิ้ม"

"กูก็ชอบยิ้มเวลาอยู่กับมึง"

ผมพูดแค่นั้น ก่อนรอยยิ้มมันก็เผยขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ รอยยิ้มของผมก็เกิดขึ้นได้เพราะรอยยิ้มของเขาอยู่เสมอ เพราะหน้าที่ของริมฝีปากไม่ได้มีไว้เพื่อยิ้มอย่างเดียว ผมจึงใช้ริมฝีปากนั้นทำหน้าที่ของมันอีกอย่างด้วยการก้มลงประกบริมฝีปากของอีกคนอย่างแผ่วเบา นาวีขยับริมฝีปากตัวเองรับรอยจูบของผมในวินาทีเดียวกัน ระยะกายที่ใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอีกคน ทำไมนาวีหอมกว่าทุกวัน ทำไมผมไม่อยากหยุดแค่จูบนั้น ผมถอยออกมาก่อน แล้วเงยมองหน้านาวี ผมไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงในหัวใจที่เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ ผมอยากรู้นาวีจะเป็นเหมือนกันไหม จึงยกมือทาบหน้าอกข้างซ้ายของเขา สัมผัสเสียงหัวใจนั้น ผมยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนลดมือลงแล้วก้มลงจูบอกข้างนั้นของเขาแทน เพื่อ ขอบคุณหัวใจดวงนั้นที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน

นาวีประคองหน้าผมขึ้นจูบริมฝีปากอีกที ก่อนผมละจากริมฝีปาก ไล่ลงต่ำสู่ลำคอขาว กลิ่นหอมของเขาล่อลวงผมจนยากจะห้ามใจ นาวีขยับคอให้ผมฝังรอยจูบลงตรงนั้นได้ถนัด

"ภูผา"

เสียงเรียกของนาวีหยุดการกระทำของผม 

"เดี๋ยวเป็นรอย"

"ไม่ได้เหรอ"

"ไหนบอกไม่อยากให้เป็นรอยไง"

 

ทุกสิ่งใดในโลกล้วนมีข้อยกเว้น...

 

ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่ตัวเองพูด แล้วทำสิ่งที่กำลังทำต่ออย่างห้ามไม่ได้ นาวีไม่ได้ขัดขืน ทุกอย่างเป็นไปด้วยความตั้งใจ ผมฝากรอยจูบลึกฝังไว้ที่ลำคอ แล้วขยับริมฝีปากตัวเองขึ้นกระซิบบอกเขาเบาๆ

.

.

.

"รอยนี้เป็นข้อยกเว้น"

 


...


To be continued.

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เรารักนิยายเรื่องนี้มากไปไม่ อ่่านแล้วมันอิ่มเอมในหัวใจแบบอธิบายไม่ถูกชอบบรรยากาศที่อบอวลรอบๆตัวของทั้งสองคนยิ่งเวลาที่ภูผาอยู่กับครอบครัวของนาวีมันอบอุ่นมากนาวีโชคดีที่มีครอบครัวอบอุ่นพ่อแม่เข้าใจทำให้ภูผาของเรารู้สึกสบายใจและอบอุ่น ขอบคุณที่อัพนะคะไรท์ :hao5:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เป็นนิยายที่ให้บรรยากาศชมพูอมเทาอ่ะ
ไม่รู้อนาคตจะเป็นยังไง แต่ทำปัจจุบันให้มีความสุขที่สุดก็พอ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อ๋อยย เราขอโทษนะคะเราลืมไปเลยว่าตามเรื่องนี้อยู่กลับมาเจออีกทีก็อัพบทที่หกแล้ว แต่อ่านมาถึงนี่แล้วเรายังเดาไม่ออกเลยค่ะว่าเรื่องจะลงเอยที่ตรงไหน ธงทัพกับภูผานี่จะไม่ญาติดีกันจริงๆใช่ไหมแล้วภูผากับนาวีละจะรักกันตลอดไปมั้ยหรือจะมีอุปสรรคเข้ามาให้เลิกกัน

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
แม่ไม่รู้อะไร นาวีเป็นเหมือนโอเอซิสให้ภูผาได้พักพิง อยากให้คู่นี้รักกัน อยู่ด้วยกันนาน ๆ

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
จะ 3p มั๊ยนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.6] 18/12/17
« ตอบ #49 เมื่อ: 18-12-2017 21:51:00 »





ออฟไลน์ Miawncha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ณ ปัจจุบันก็ยอมรับว่ามีความสุขมากกกกกับการเป็นอยู่ของผูผากับนาวี แต่ในใจก็มีเผื่อใจไว้บ้างว่าอาจจะไม่ใช่คู่นี้เพราะนี่ยังมัธยมกันอยู่เลยเดาทางเรื่องไม่ออก ฮืออออ อ่านไปเผื่อใจไป55555555//

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 7   



 แล้วคุณก็หายไป
ในวันที่คุณกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม


 

 

ผ่านไปเกือบปีแล้วที่ผมยังคงความสัมพันธ์กับนาวีในฐานะเดิม ความดื้อดึงของตัวเอง พาผมมาได้ไกลกว่าที่คิด ตอนนี้นาวีไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ กลายเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ส่วนผมเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ปีสุดท้ายของมัธยมปลาย เราเจอกันน้อยลงเพราะนาวีกลับบ้านแค่เดือนละครั้ง หรือบางเดือนก็ไม่กลับ แต่ทุกครั้งที่กลับมา เราจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน ทำเรื่องที่อยากทำ คุยเรื่องที่อยากคุย ผมรู้ว่าเขามีงานเยอะจนแทบไม่ได้นอน กลับมาบ้านผมก็ไม่ค่อยอยากชวนไปไหน ส่วนใหญ่เขาก็จะหอบเอางานจากมหาลัยกลับมาทำที่บ้านอีก อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ตอนที่นาวีวุ่นวายอยู่กับงาน ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก นอกจากนั่งมองเฉยๆ โดยไม่รบกวน   

ขณะที่นาวีกำลังจริงจังกับงานศิลปะในมือ ผมก็จริงจังกับการมองหน้าเขาอย่างไม่ละสายตา เพราะเขาเป็นนักศึกษามหาลัยแล้ว ตอนนี้เลยดูโตกว่าผม แค่ผมยาวขึ้นก็เปลี่ยนบุคลิกของนาวีไปอย่างเห็นได้ชัด  ยิ่งเวลาใส่ชุดนักศึกษายิ่งเสริมให้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมไปเยอะ มีหลายครั้งที่ความคิดเดิมๆ จะพุ่งเข้ามาในหัวตอนมองหน้าเขา นาวีไม่ควรเกิดเร็ว และผมก็ไม่ควรเกิดช้า

"ภูผา"

ผมเลิกคิ้วขึ้นตอนนาวีเงยหน้าขึ้นมาเรียก 

"จ้องขนาดนี้ กินกูเข้าไปเลยดีไหม"

"ก็ไม่ได้เห็นหน้ามาเป็นเดือนแล้วอะ"

"มองกันแบบนี้ก็เกินไป มองแล้วก็ทำหน้าแบบนี้คืออะไร" นาวีว่าแล้วชี้นิ้วเข้ามาระหว่างคิ้ว ผมมักมีใบหน้าที่เรียบเฉย แต่เผลอขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยครั้ง ผมคลายหัวคิ้วออกแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มหน่อยๆ

"คนคิดถึงก็หน้าตาแบบนี้แหละ"

นาวีเม้มปากกลั้นรอยยิ้มก่อนก้มลงไปวาดภาพต่อ ขณะที่ผมก็ไม่ได้ลดสายตาจากเขาไปทางอื่น เป็นเช่นนั้นอยู่เนิ่นนานกระทั่งแม่นาวีเดินเข้ามาเรียกให้ไปกินข้าว แต่นาวียังไม่ยอมขยับเพราะไม่อยากละงานในมือ ผมจึงเร่งเขาอีกที 

"นาวี ไปกินข้าวก่อนดิ"

"ไม่หิวได้ไหมอะ"

"ไม่ได้ เดี๋ยวปวดท้อง ไปเร็ว"

"โห่ ทำงานอยู่อะ"

"เดี๋ยวค่อยกลับมาทำต่อก็ได้"

"แต่งานมัน..."

ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากขมวดคิ้วแน่นมองหน้าเขา

"ดูทำหน้า"

"นี่หน้าตาของคนโมโหแล้ว"

"โมโหอะไรอะ"

"มึงดื้อ"

"กูเปล่า"

"เปล่าก็ไปกินข้าวดิ อย่าให้ต้องโมโห"

"เออๆ ยอม" นาวีละงานในมือแล้วลุกมาจากตรงนั้น ปากก็พูดพึมพำบางคำออกมาคงจงใจให้ผมได้ยิน แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ฟัง เดินนำเขาเข้าไปที่ห้องครัว แล้วลอบยิ้มออกมาหลังประโยคนั้นจากปากเขาจบลง   

 

"หน้าตาตอนโมโหนี่น่ารักจริงๆ นะ"   

 

หลังจากมื้ออาหารจบลง นาวีกลับไปทำงานต่อจนเสร็จ ก่อนใช้เวลาหลังจากนั้นพูดคุยอยู่กับผม ผมกลายเป็นฝ่ายฟังมากกว่าเพราะนาวีมีเรื่องมากมายที่มหาลัยมาเล่าให้ฟัง จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกคณะที่อยากเรียนต่อ เคยได้ยินว่าการทำตามความฝันเป็นเรื่องยาก แต่ผมกลับเจอเรื่องที่ยากกว่า คือการค้นหาความฝันที่มันยังไม่เจอ

 

ตอนนี้ชีวิตผมไม่มีอะไรเลย นอกจากนาวี...

 

"เฮ้ย นี่ๆ หนังเรื่องนี้อะอยากดู" นาวีใช้มือข้างหนึ่งสะกิดผม อีกข้างชี้ไปที่โฆษณาภาพยนตร์ในทีวี ผมหันมองตามไปด้วยเพื่อดูโฆษณาหนังที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

"พรุ่งนี้ไปดูกันป่ะ"

ผมพยักหน้ารับ แม้ไม่มีความสนใจอะไรในหนังเรื่องนั้นเลย แต่ถ้านาวีชวนผมก็ตกลงในทันทีอย่างทุกครั้ง

"ไม่ได้ไปดูหนังด้วยกันนานแล้วเนอะ"   

"ก็กลับบ้านบ่อยๆ สิ บ้านไกลมากหรือไง"

"บ้านมันไม่ได้ไกลหรอก แต่งานมันเยอะไง นอนไม่พอสักวันอะ" นาวีพูดเสียงอ่อนพลางทำหน้ายุ่ง แล้วล้มตัวลงนอนลงบนตักผม คำว่านอนไม่พอของเขาฟ้องอยู่บนใบหน้าโทรมๆ นั่นตั้งแต่ตอนแรกที่เห็นแล้ว เพราะความจำเป็นจากเรื่องเรียนที่ทำให้ต้องอดหลับอดนอนทำงานส่งอาจารย์ ผมจะไปบังคับให้นอนเร็ว หรือห้ามไม่ให้ทำงานก็ไม่ได้ บางทีตีสองตีสามนาวียังโทรมาบ่นกับผมอยู่เลย   

"โกรธป่ะ"

ผมก้มลงมองนาวีที่อยู่บนตัก อยู่ๆ ก็ถามแบบนั้นขึ้นมา ความไม่เข้าใจทำให้คิ้วขมวดเข้าหากัน นาวีจึงขยายความคำถามนั้นต่อ 

"กูไม่มีเวลาให้เลย"

ผมได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ในใจก็โกรธ...โกรธตัวเองที่เอาแต่คิดถึงนาวีตลอดเวลาเลย บางวันไม่เป็นอันทำอะไรด้วยซ้ำ ยังไม่ชินกับการห่างไกลแม้จะผ่านไปนานเท่าไร นาวีทำให้ผมเข้าใจความคิดถึงอย่างลึกซึ้ง ความคิดถึงจริงๆ มันก็ทรมานอยู่ไม่น้อยเลย   

"แล้วทำหน้าแบบนี้คืออะไรอะ หน้าตาของคนโกรธหรือเปล่า"

"คืนนี้นอนด้วยกันนะ" ผมไม่ได้ตอบคำถามนาวีแล้วพูดอีกอย่างออกไปแทน ได้ยินแบบนั้นอีกคนก็เลยพยักหน้ารับแบบเลยตามเลย 

"บอกแม่แล้วใช่เปล่าว่าจะนอนนี่อะ"

ผมโกหกซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่องแม่เพื่อให้นาวีสบายใจ ทั้งที่ความจริงสวนทางกัน แม่ก็ยังคงพร่ำบ่นเรื่องเดิมๆ ความดื้อดึงของผมก็ขัดแย้งกับแม่ตลอดมา แม่ทำหน้าที่ของแม่เหมือนเดิม แม่ทำข้าวเช้าให้ แม่ให้เงิน แม่ไปงานประชุมผู้ปกครอง แต่สิ่งเดียวที่แม่ยังไม่ทำ คือการยอมรับผมกับนาวี

นาวีไม่ได้พูดอะไรต่อ หยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ ก่อนมาหยุดอยู่ที่ช่องสารคดี ผมไม่ได้สนใจทีวีเลย เพราะเอาแต่มองหน้าคนบนตักอยู่อย่างนั้น

 

ตอนนี้ชีวิตผมไม่มีอะไรเลย นอกจากนาวี...

 

ผมเปรียบเป็นขุนเขาที่แห้งแล้ง นาวีคือผืนน้ำที่โอบกอดผม นาวีต่อชีวิตให้ผมจนคิดไม่ถึงเลยว่า หากมีวันหนึ่งที่นาวีปล่อยมือผม ชีวิตผมจะเป็นอย่างไร

"เด็กๆ"

ทั้งผมและนาวีหันมองเสียงของพ่อที่ตะโกนเรียกขณะที่เดินเข้ามาในบ้าน แล้วชูถุงในมือขึ้นสูงโชว์ให้พวกเราดู 

"มีใครอยากกินเค้กไอติมบ้าง"

"เค้กไอติม!"

"อะ กินเลยเดี๋ยวละลาย"

คนบนตักผมลุกพรวดตอนได้ยินชื่อของกินนั่นแล้วลุกไปรับกล่องเค้กมาจากพ่อ

"ภูผาชอบ"   

ผมไม่ปฏิเสธว่าเค้กไอติมเป็นของกินอย่างหนึ่งที่ผมชื่นชอบ แต่คนข้างๆ ดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่าตอนที่เปิดกล่องออกแล้วทำตาลุกวาวตอนเห็นเค้กไอติมรสช็อกโกแลต ประดับหน้าด้วยสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตสลับกับคุ้กกี้แอนด์ครีม แม่นาวีจัดการตัดแบ่งให้ แม่นาวีก็รู้ว่าผมชอบกินเลยตัดชิ้นของผมใหญ่เป็นสองเท่าของนาวี แต่สตรอว์เบอร์รี่หน้าเค้กถูกคนข้างๆ ฉวยตัดหน้าไปก่อน นาวีหันมาหัวเราะใส่ผมตอนที่แย่งสตรอว์เบอร์รี่ไปได้ ผมใช้จังหวะที่นาวีมองหน้าผมอยู่ เลื่อนมือไปแย่งสตรอร์เบอร์รี่ที่ชิ้นของเขาบ้าง เจ้าของรู้ตัวก็โวยลั่นบ้านทันที

"เฮ้ย! แย่งอะ!"

"ก็แย่งก่อนอะ"

"คายออกมาเลย!"

"คายให้แล้วจะกินต่อป่ะ"

ผมถามพลางใช้ลิ้นดันสตรอว์เบอร์รี่ในปากออกมาใช้ฟันกัดไว้เบาๆ รอให้นาวีมาเอาคืน อีกคนเหลือบตามองพ่อกับแม่ที่ไม่ทันได้สนใจเรา แล้วยื่นหน้ามาชิงเอาของในปากผมไปด้วยริมฝีปากของเขา ครู่เดียวที่ริมฝีปากแตะกันก็ทำให้ทั้งผมและเขาหลุดยิ้มออกมาอย่างเคอะเขิน

"ไปเอาน้ำดีกว่า" นาวีพูดแค่นั้นแล้วลุกออกไป ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะแลบลิ้นเลียความหวานจากครีมที่ติดอยู่ที่มุมปาก ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในกระเป๋าของนาวีจึงหันไปเรียก

"นาวี โทรศัพท์"

"ใครอะ ดูให้หน่อย"

ผมหยิบกระเป๋าเขาที่วางอยู่กับพื้นมาเปิดหาโทรศัพท์ ขณะล้วงลงไปหยิบแต่มือผมคว้าบางอย่างขึ้นมาแทนโทรศัพท์ สายตาผมมองซองบุหรี่ที่อยู่ในมือ ก่อนหันมองหน้านาวีที่เดินเข้ามาพอดี ผมจึงทิ้งซองบุหรี่ไว้ที่เดิมแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ ไม่ทันได้พูดชื่อที่มองเห็น นาวีก็เดินเข้ามาถึงพอดีแล้วหยิบไปกดรับ  ผมหันมองทางอื่นขณะที่นาวีนั่งลงข้างๆ เพื่อคุยโทรศัพท์ ผมจึงได้ยินบทสนทนานั่นไปด้วย

"ว่าไงมึง กูอยู่บ้านดิ ไรนะ!"

เสียงดังของนาวีดึงความสนใจทั้งผมและพ่อแม่ให้หันไปมอง เจ้าของเสียงที่แสดงสีหน้าตื่นตกใจก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วคุยโทรศัพท์ต่อ 

"เออ เดี๋ยวกูกลับไปเลยก็ได้ เชี่ยเอ๊ย ซวยชิบหาย!" นาวีสบถคำหยาบแล้วกดวางสาย 

"มีอะไรลูก"

"งานที่ส่งไปมีปัญหาอะพ่อ ต้องส่งวันนี้วันสุดท้ายด้วย ไม่รู้ว่าไฟล์ยังอยู่เปล่าเดี๋ยวต้องรีบกลับไปดู ถ้าไฟล์ไม่อยู่แล้วนี่คือซวยสุดๆ"

"นี่จะกลับเลยเหรอ"

"ครับ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าถ้าไม่ติดงานอะไรจะกลับมาละกัน" นาวีว่าขณะเก็บงานใส่กระเป๋า ผมเสียใจนิดหน่อย เพราะรอนาวีกลับบ้านมาเป็นเดือน เพื่อได้อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ด้วยความจำเป็นทั้งหมดผมจึงเรียกร้องอะไรไม่ได้ นอกจากช่วยเขาเก็บของใส่กระเป๋าแล้วเป็นคนมาส่งที่ท่ารถตู้ 

"โทษทีนะภูผา พรุ่งนี้อดไปดูหนังด้วยเลยอะ"

"ไม่เป็นไร รีบกลับไปทำงานเหอะ"

"อาทิตย์หน้าอาจกลับนะ"

"อือ รอนะ"

"โอเค ตั้งใจเรียนด้วยนะ"

"มึงก็เหมือนกัน กินข้าวให้ตรงเวลา นอนให้พอ"

"ครับผม งั้นไปนะ" นาวีโบกมือให้ผมทีหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปที่จุดซื้อตั๋ว ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยกมือดึงกระเป๋าเป้เขาเอาไว้ก่อน อีกคนจึงหันขวับมามอง

"มีอะไรภูผา"

ผมไม่ได้พูดอะไร นอกจากเปิดกระเป๋านาวีแล้วหยิบซองบุหรี่ที่อยู่ในนั้นออกมา ทันทีที่นาวีหันมาเห็นก็ดูตกใจเพียงครู่หนึ่ง ก่อนแสร้งหันมองไปทางอื่น

"อันนี้ขอนะ"

"ไม่ได้ติดนะเว้ย แค่..."

"ขอเรื่องหนึ่ง"

"..."

"อย่าเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ไม่ดี อย่าทำอะไรให้เป็นห่วง"

"โอเค ขอโทษ ไม่ทำแล้ว" นาวีรับคำแล้วปลดเป้ออก ล้วงเข้าไปในกระเป๋า แล้วส่งไฟแช็กที่หยิบมาจากในนั้นส่งให้ พอผมยื่นมือไปรับนาวีก็กำมือพร้อมไฟแช็กนั่นแล้วยื่นนิ้วก้อยออกมาแทนพร้อมคำหนึ่งคำ   

"สัญญา"

ผมพยักหน้ารับแล้วยกนิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวนิ้วนาวีไว้ แล้วรับเอาไฟแช็กนั่นมา ก่อนนาวีเดินออกไป ผมยืนอยู่ตรงนั้นกระทั่งรถตู้คันที่เขาขึ้นจะขับออกไป พอนาวีออกไปจากตรงนี้ความคิดถึงก็เข้ามาแทนที่ทันที มากมายจนไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง

 

คิดถึงอีกแล้ว ทำยังไงดี...

 

 

...

 

 

ผมกลับมาที่บ้านหลังจากส่งนาวีขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว คิ้วขมวดเข้าหากันตอนที่เดินมาถึงหน้าบ้านแล้วเห็นรถของลุงวุธจอดอยู่พอดี ผมยืนอยู่ห่างๆ มองลุงวุธกับแม่ที่เดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน ใจอยากเดินหนีออกไป แต่ผมก็หนีมามากพอจนเข้าใจว่าการหันหลังให้สิ่งที่ไม่อยากเจอ มันไม่ใช่ทางออก วันหนึ่งก็ต้องวนมาเจอกันอีก ผมไม่มีทางหนีพ้น จึงเดินเข้าบ้านไปด้วย ตอนที่ลุงวุธหันมามอง ผมทำได้เพียงยกมือไหว้แล้วตั้งใจจะเดินขึ้นห้อง แต่แม่เรียกผมเอาไว้ก่อน

"ภูผา"

ผมไม่ได้ขานรับ แต่หันมอง

"มากินข้าวด้วยกันสิ"

"กินมาแล้วครับ" ผมตอบแค่นั้นแล้วเดินขึ้นห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์กับซองบุหรี่ออกจากกระเป๋ากางเกงออกมาวางไว้บนโต๊ะ จิตใจคิดถึงแต่เรื่องอื่นจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าแม่เดินตามขึ้นมาด้วย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แม่มาเรียกอยู่หน้าประตูแล้ว

"ภูผา"

ผมหันมองแม่ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเสียนิสัย รู้ตัวจึงรีบคลายหัวคิ้วออกแล้วหันไปตอบรับ

"แม่มีอะไร"

"แม่กับลุงวุธมีเรื่องอยากจะคุยด้วย..." แม่เว้นประโยคแล้วเงียบไปตอนที่สายตาหันไปมองของที่อยู่บนโต๊ะ ซองบุหรี่ที่แม่เห็นทำให้สีหน้าของแม่เปลี่ยนไป

"นี่มันอะไร"

"ไม่ใช่ของภู"

"แล้วของใคร"

"ไม่ใช่ของภูก็แล้วกัน"

ผมพูดแค่นั้นแล้วดึงซองบุหรี่กลับมา

"ของนาวีใช่ไหม"

"แม่ก็เอานาวีมาเกี่ยวทุกทีอะ"

"ก็มีแต่นาวี ที่ทำให้ภูผาเปลี่ยนไปแบบนี้ นี่โตแล้วนะควรจะรู้ว่าอะไรดีไม่ดี นี่มันชักจะเกินไปแล้วนะ จะทำตัวแบบนี้ใช่ไหม"

"แล้วแม่สนใจด้วยเหรอ"

"ว่าไงนะ"

"แม่สนใจภูด้วยเหรอ เคยสนใจด้วยเหรอ"

แม่แสร้งมองไปทางอื่นพร้อมเสียงถอนหายใจ ครู่หนึ่งจึงหันกลับมา 

"ที่แม่ไม่สนใจเพราะพูดอะไรไปก็ไม่เคยฟังไง"

"..."

"ภูเลือกนาวี ไม่เลือกแม่"

"แม่ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่นาวีหรอก แต่แม่ไม่ยอมรับในสิ่งที่ภูเป็นต่างหาก"

"แต่นาวีทำให้ภูเปลี่ยนไป ตั้งแต่รู้จักกับเขาก็ดื้อกับแม่ตลอด เมื่อไรจะเลิกๆ กันไปสักที"

"แม่ไม่มีสิทธิ์มาบอกให้ภูเลิกกับนาวี"

"ภูผา!"

"แล้วตอนที่ภูขอให้แม่เลิกกับลุงวุธ แม่ทำได้ไหมล่ะ"

"..."

"แม่คิดว่าการที่ภูชอบผู้ชาย มันน่าอายกว่าสิ่งที่แม่กำลังเป็นเหรอ เรื่องของแม่มันทุเรศกว่าอีก" 

"เพี๊ยะ!"

มือของแม่ฟาดใส่หน้าผมด้วยความโกรธ ผมรู้ดีว่าพูดออกไปก็จะทำให้แม่โกรธมากกว่าเดิม แต่ผมหยุดไม่ได้แล้ว ความในใจของผมมันปะทุออกไปไม่สนแม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นแม่ของผม

"ภูผา อย่าทำตัวมีปัญหาได้ไหม!"

"ภูก็เป็นปัญหาของแม่มาตั้งแต่เกิดแล้วนี่"

"ภูผา!"

"มีอะไรกันหรือเปล่า"

ทั้งผมและแม่หันมองลุงวุธที่เดินขึ้นมาเรียก แม่ปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วหันกลับไปยิ้มให้ลุงวุธก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ

"ไม่มีอะไรค่ะ ลงไปกินข้าวกันเถอะ"

"ภูผาล่ะ ไม่ลงไปด้วยกันเหรอ"

"ไม่ครับ"

ผมพูดแค่นั้นแล้วดึงประตูห้องปิดและล็อก ก่อนเดินกลับไปทิ้งตัวเองลงบนเตียง เกิดคำถามในหัวมากมายจนยุ่งเหยิง แต่คำตอบกลับว่างเปล่า ผมไม่รู้ว่าทำไมในบรรดาคนที่ไม่ยอมรับผม ทำไมหนึ่งคนนั้นต้องเป็นแม่ด้วย ลุงวุธคือความสุขของแม่ นาวีก็คือความสุขของผม แม่น่าจะเข้าใจ แม่ควรจะเข้าใจ

 

ผมอ่อนแออีกครั้ง และอยากให้นาวีอยู่ใกล้ๆ ผมชั่งใจอยู่นานก่อนหยิบมือถือขึ้นมาโทรหานาวี เสียงรอสายดังอยู่นานก่อนจบลงด้วยการที่เขาไม่รับสาย สายที่สอง สายที่สามจนผมยอมแพ้ โลกของนาวีอาจมีผู้คนมากมายอยู่ในนั้น มีแสงสว่าง มีแต่เรื่องดีๆ แต่โลกของผมมีแค่นาวีคนเดียว...ผมควรจะทำยังไง

 

ผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ผมยังคงนอนไม่หลับเพราะเรื่องกังวลใจที่ค้างคาอยู่ในใจ นั่งมองมือถือกระทั่งแสงสว่างและเสียงจะดังขึ้นบ่งบอกว่านาวีโทรกลับมา ในแทบจะทันทีที่ผมหยิบมันมารับสาย

(มีอะไรเปล่าภูผา กูยุ่งๆ ไม่ได้จับมือถือเลย)

"ถึงแล้วใช่เปล่า"

(ถึงนานแล้ว)

"แล้วทำอะไรอยู่อะ จะนอนยัง"

(ยังทำงานอยู่เลย เฮ้ยมึง หยิบอันนั้นให้กูหน่อย...)

ผมเงียบเพราะประโยคที่นาวีคุยกับเพื่อนไม่ใช่กับผม ก่อนเสียงเพื่อนเขาจะตอบโต้กลับมา อีกคนก็โต้ตอบกลับไปต่อบทสนทนานั้นอยู่ครู่หนึ่ง จึงกลับมาคุยกับผม

(แล้วมีอะไรเปล่าอะ เห็นโทรมาตั้งหลายสาย)

"ไม่มีอะไรแล้วแหละ"

(คิดถึงกูอะดิ)

"อือ คิดถึง"

(อ้าว กะจะล้อเล่น)

"คิดถึงจริงๆ ว่ะ"

(เป็นอะไรเปล่าภูผา... ไอ้วี! มึงจะเอาอันไหนเนี่ย มาหยิบไปดิ!)

ผมจำเป็นต้องเงียบไปอีกทีเพราะนาวีไปคุยกับเพื่อน คราวนี้นานเสียจนผมคิดว่าเขาลืมว่าคุยอยู่กับผม จึงเอ่ยเรียกเบาๆ

"นาวี"

(...)

"นาวี!"

(เออ ฟังอยู่ๆ พูดต่อดิ)

"ยังไม่ได้พูดอะไรเลย"

(อ้าว...)

"มึงทำงานเหอะ ไม่กวนแล้ว"

(โทษทีนะ งานเยอะโคตร)

ผมตอบรับแล้วกดวางสายไป แม้อยากเล่าบางเรื่องให้เขาฟัง แม้อยากได้เพียงคำปลอบใจ แต่ไม่เป็นไร นาวีเหนื่อยอยู่แล้ว ผมจึงไม่อยากทำให้เขาเหนื่อยเพิ่ม ปัญหามีเยอะอยู่แล้ว ผมจึงไม่อยากทำตัวมีปัญหาอีก

 

...

 

เข็มวินาทีของผมเชื่องช้าอีกครั้งหลังจากต้องรอคอยใครสักคน ผมพยายามอย่างมากเพื่อจัดการตัวเองให้อยู่ในจุดที่พอดี ที่ผ่านมาความสุขกับความกังวลใจมันสมดุลกัน ในตอนที่มีความสุขก็มักมีเรื่องให้กังวลใจ ในตอนที่กังวลใจความสุขก็ฉุดรั้งให้ความรู้สึกมันเสมอกัน แต่ในวันนี้ใจผมเอนเอียงไปทางความกังวลใจมากกว่า

 

ผมไม่ใช่คนงี่เง่า

 

ผมบอกตัวเองให้เชื่อแบบนั้นเสมอว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งผมกลับต้องมานั่งทบทวนตัวเองเพราะความไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจตัวเอง ผมไม่เข้าใจนาวี ผมไม่เข้าใจความห่างไกล ผมมักประนีประนอมความรู้สึกของตัวเองด้วยคำว่า ไม่เป็นไร แต่ความจริงมันสวนทางกัน ผมเป็น และเป็นมากขึ้นทุกที เพียงเพราะนาวีไม่มีเวลาให้ผม นาวีไม่กลับบ้านเลย นาวีโทรหาผมน้อยลง ขณะเดียวกันก็มักไม่รับสายผม นาวีไม่เคยอยู่ด้วยเลยในวันที่ผมต้องการ  นาวีปล่อยให้ผมคิดถึง...และทำได้แค่คิดถึง

 

เสียงมือถือผมดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ใจคิดว่าเป็นนาวีเลยรีบหยิบมันมา แต่ปรากฏว่าเป็นเพื่อนที่โรงเรียนแทน ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์มากนัก แต่คราวนี้น้ำเสียงผิดหวังของผมมันคงแสดงออกไปชัดเจนจนปลายสายถึงกับฟังออก 

"ว่าไงมึง..."

(ทำไมทำเสียงแบบนั้นวะ ผิดหวังเหรอที่เป็นกูโทรมา)

"เปล่า แล้วมีอะไร"

(วันนี้วันเกิดไอ้นัทไง มึงลืมเปล่า ไหนบอกจะมา)

"เออว่ะ"

(เชี่ย! ลืมเพื่อนเลยนะมึงอะ รีบมาเลย นี่มากันครบแล้ว)

"ที่บ้านมันใช่ไหม"

(เออ เอาเสื้อผ้ามานอนนี่เลยก็ได้นะมึง)

"เออๆ เดี๋ยวไป" ผมบอกกับมันแล้วลุกจากที่นอน มองชุดนักเรียนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนหลังจากกลับจากโรงเรียนซึ่งตอนนี้ยับยู่ยี่ แต่ก็ขี้เกียจเกินจะเปลี่ยนชุดเลยตั้งใจจะออกไปทั้งอย่างนั้น หยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งใส่เป้ ขณะเดินออกไปนอกบ้าน แม่ก็เดินสวนเข้ามาพอดี

"จะไปไหน"

"บ้านเพื่อน"

"บ้านใคร นาวีเหรอ"

"ไม่ใช่" 

"อย่ามาโกหกแม่นะภู"

"นาวีมันไปเรียน ภูจะไปบ้านมันทำไม บอกว่าไปบ้านเพื่อนก็บ้านเพื่อนดิ"

"แล้วจะกลับกี่โมง" 

"ไม่กลับ" 

"ภูผา! นี่จะเอาใหญ่แล้วนะ!"

ผมถอนหายใจทีหนึ่งแล้วหันกลับไปหาแม่

"ทำไมดื้อแบบนี้นะภูผา"

"ก็ตบเลยดิ"

"ภูผา!"

"แม่ถนัดอยู่แล้วนี่"

"จะไปไหนก็ไป!" แม่พูดปัดๆ แล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป ผมเองก็เดินออกมาจากบ้าน ผมไม่อยากทะเลาะกับแม่แล้วแต่ก็เป็นแบบนี้ทุกที ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่แย่ลงเรื่อยๆ ผมนึกโกรธตัวเองทุกครั้งที่ความคิดผิดบาปเกิดขึ้นในหัวผมอยู่หลายครั้ง 

 

หากว่าไม่มีแม่...

 

...

 

ผมมาอยู่ที่บ้านไอ้นัท เพื่อนกว่าครึ่งห้องก็มารวมกันอยู่ที่นี่ในงานวันเกิดของมัน เสียงเพลงที่เปิดเบาๆ ดังคลอกับเสียงพูดคุยของเพื่อนๆ ผมก็ยังเป็นคนฟังมากกว่าคนพูด เรื่องราวของเพื่อนผ่านหูไปอย่างไม่ได้สนใจอะไรนัก ยกแก้วเบียร์ขึ้นกระดกเข้าปากสองสามครั้งก็หมดแก้ว ผมคุ้นชินกับแอลกอฮอล์รสชาติประหลาดในวันนั้น แต่ไม่กล้าบอกว่ามันอร่อยหรือดียังไง เพราะผมก็แค่เด็กม.ปลายที่เพียงอยากรู้อยากลองรสชาติของมัน เมามายไปกับมัน แล้วท้ายที่สุดก็ทรมานเพราะมัน

"ไอ้ภู มือถือมึงร้องอะ"

ผมวางแก้วเบียร์แล้วรับกระเป๋าจากเพื่อนที่โยนมาให้ทั้งใบ ล้วงหาโทรศัพท์ในนั้น เห็นว่าเป็นนาวีเลยรีบเดินออกมากดรับ 

"ว่าไงนาวี"

(อยู่ไหนอะ เสียงดังจัง)

"บ้านเพื่อนอะ"

(อ๋อ เออ กูจะโทรมาบอกว่า...)

"มึงกลับบ้านเหรอ ถึงไหนแล้ว ให้ไปรับเปล่า"

(เปล่าๆ ใจเย็นๆ กูไม่ได้กลับ)

"อ้าว...เหรอ"

(จะโทรมาบอกว่าไม่ได้กลับนี่แหละ)

"งานเยอะ?"

(อือ โทษทีว่ะ งานเยอะจริงๆ ไม่มีเวลาเลย)

"อือ"

(มึงโกรธกูปะเนี่ย)

"กูโกรธได้ป่ะล่ะ"

(ภูผา...)

"กูทำอะไรได้ป่ะล่ะ"

(ไม่เอางี้ดิวะ ไม่ได้คุยกันตั้งหลายวัน กูไม่ได้โทรมาเพื่อชวนทะเลาะนะเว้ย)

"กูก็ไม่ได้ชวนทะเลาะ กูแค่อยากรู้ว่ากูจะทำอะไรบ้าง นอกจากทนคิดถึงมึงอยู่ที่นี่ กูจะทำอะไรได้บ้าง"

(ภูผา)

"แล้วมึงคิดถึงกูบ้างไหม"

(มึงอยากให้กูตอบว่าไงวะ)

"มึงก็แค่ตอบมาว่าคิดถึงไง โกหกกูก็ได้"

(ภูผา มึงก็รู้ว่ากูงานเยอะ กูไม่ได้หายไปเพราะอย่างอื่นเลยนะ มึงน่าจะเข้าใจ มึงอย่ามางี่เง่าว่ะ)

"..."

(เฮ้ย...ขอโทษ...กูไม่ได้ตั้งใจ)

ผมไม่มีอะไรจะพูดหลังจากคำว่างี่เง่ามันออกมาจากปากเขา แต่ผมไม่เถียง เพราะผมกำลังเป็นแบบนั้น กำลังวุ่นวายกับเขามากไป กำลังทำตัวติดเขาจนไม่ยอมเข้าใจเขา รักกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมจนมองข้ามสิ่งอื่นไป มีหลายอย่างพุ่งชนเข้ามาจนความหนักแน่นของผมสั่นคลอน ความห่างไกลของเรา การไม่ยอมรับของแม่ และความงี่เง่าของตัวเอง ผมรับมือกับหลายสิ่งเหล่านี้ไม่ไหว  เพราะผมกลัวผมจึงกลายเป็นคนอ่อนแอ

 

เพราะตอนนี้ชีวิตผมไม่มีอะไรเลย นอกจากนาวี...

 

(ภูผา เอาไว้คุยกันทีหลังนะ) 

"เมื่อไร"

(ก็วันหลังไง เดี๋ยวว่างๆ ค่อยคุยกัน)

"แล้วมันเมื่อไรล่ะ"

(ก็ตอนที่กูว่างไง!)

"ก็แค่บอกมาว่าเมื่อไร บอกมาว่ากูต้องรอไปถึงเมื่อไร"

(ภูผา รอหน่อยได้ไหม แค่รอมันจะตายหรือไง!)

 

นาวีกดวางสายไปก่อนที่จะฟังคำตอบจากผม นาวีไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องรอ นาวีคงไม่รู้  การรอคอยมันไม่ทำให้ตายหรอก…

 

 

แต่มันทรมาน

 

To be continued.


หมดความหวานแล้วค่ะสังคม  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ภูผาไม่มีที่พึ่งทางใจเลย เหมือนทั้งชีวิตมีแค่นาวี
ฮือ สู้ๆนะภูผา จะต้องผ่านมันไปให้ได้

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากจะร้อง :m15: สู้นะภูผา

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
สุดท้ายแล้วอย่าเอาใจตัวเองไปผูกไว้ที่เท้าใคร

เราหวังว่าภูผาจะทำใจแล้วยืนคนเดียวให้ได้นะคะ :katai1:


มา edit ถามค่ะว่า season 2 นี่ season 1 คือเรื่องไหนคะ แฮ่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2017 13:55:39 โดย suck_love »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นี่แหละ ความห่างไกล มักเป็นปัญหาของความรัก

นาวี น่าจะมีงานจริง
แต่ในความจริงงานจะมากมาย
จนลืมคิดถึงคนรัก จนลืมโทรหาคนรัก ก็น่าคิด
แล้วแม้บ้านไม่ค่อยกลับ โทรไปไม่รับ
เวลาโทรหาภูผา มีความรำคาญใส่ให้ภูผารับรู้ด้วย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ความห่างไกล สังคมใหม่
จะนำพาคนใหม่ๆมาหานาวีเช่นกัน
เป็นห่วงความรักของทั้งคู่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
ทรมานแทนอ่ะ เหนื่อย เข้าใจความรู้สึกของภูผาเลย มันทรมานจริงๆนะ รอทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ตรงไหน กลัวใจนาวีด้วย อยากอ่านทางมุมของนาวี :z10:

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กลัวอ่ะ นาวีอย่าทิ้งภูผานะภูผารักนาวีมากจริงๆน้องอาจจะอ่อนแอไปบ้างเพราะทั้งโลกของภูผามีแค่นาวีประคับประคองกันไปนะเราขอร้อง

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เชียร์ธงทัพ×ภูผาค่ะ  :mew3:

รอธงทัพมาดามใจภูผา

ออฟไลน์ windwrite

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
เศร้าอะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด