Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 130449 ครั้ง)

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เข้าใจน้องรันน๊าาา กอดปลอบด้วยคนโอ๋ๆ  :oo1:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่เนย์ชัดเจน //ปรบมือ  :katai2-1: :katai2-1:
เอาใจช่วยน้องรัน ซักวันน้องต้องพูดได้แน่นอน  :กอด1:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
ตอน 20



พี่อาคเนย์เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดหรือแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่ถ้าหากเจ้าตัวได้พูดมันออกมาเมื่อไหร่ คำพูดที่สุดแสนจะธรรมดา ก็จะสามารถกลายเป็นระเบิดเวลาได้ เหมือนกับเมื่อค่ำคืนวานและวันอื่นๆที่ผ่านมา ที่พี่เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าเฉยชา ขณะที่ผมกลับหน้าร้อนเห่อทุกครั้งที่กำลังถูกระเบิดเวลาลูกนี้ค่อยๆเล่นงาน
อีกทั้งหลายวันก่อน ผมยังจูบเปิดปากไม่เป็น แต่เมื่อวานในวันที่ฝนกำลังตก ระหว่างที่เรากำลังเดินทางกลับจากร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางในมื้อดึก ท้องฟ้าที่จู่ๆก็ร่ำไห้ออกมา ทำให้เราสองคนจำต้องวิ่งฝ่าฝนกลับหอจนเนื้อตัวเปียกปอน และทุกครั้งที่ฟากฟ้าประดับไปด้วยแสงสว่างจากธรรมชาติ ฝ่ามือของพี่เนย์ก็จะกอบกุบกับฝ่ามือของผมแน่น

มันเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเราสองคนก้าวเข้ามายังห้องพักด้วยกัน เสียงหอบหายใจจากความเหนื่อยล้าเพราะการวิ่งเป็นระยะทางที่จะเรียกว่ายาวนาน มันก็ยาวนาน แต่จะเรียกว่าสั้นมันก็สั้น เพราะร้านก๋วยเตี๋ยวที่เรามากินด้วยกันนี้ มันเป็นร้านที่อยู่ตรงหน้าเซเว่นปากซอยทางเข้าหอของพี่เนย์นี่เอง และด้วยเพราะความอุ่นชื้นจากร่างกายของเราที่ยืนอยู่ข้างๆกัน อีกทั้งฝ่ามือของเราที่เคยจับกุมกันมาตั้งแต่ต้น จนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่หลุดลอยออกจากกัน จึงทำให้เราต่างก็หันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ขณะที่แผ่นอกก็ยังคงกระเพื่อมด้วยความอ่อนล้า แต่ก็เป็นในระดับที่ไม่มากมายเท่าวินาทีแรกที่ได้หลบซ่อนตัวอยู่ภายในห้องๆนี้
ท่ามกลางความมืด ใบหน้าของพี่เนย์ค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้โฟกัสตรงหน้าของผมมันพร่าเบลอ ผมจึงต้องหาวิธีแก้ความน่ารำคาญใจนั้นด้วยการหลับตา แล้วจากนั้นริมฝีปากที่ครั้งหนึ่งเคยฉวยโอกาสกับผมมาแล้ว ครั้งนี้ริมฝีปากคู่นั้นกลับค่อยๆแตะต้องริมฝีปากของผมอย่างละมุนละม่อม จนผมค่อยๆเปิดปากรับสัมผัสแปลกใหม่โดยไม่รู้ตัว
และวินาทีนั้น เหล่าผีเสื้อต่างก็พากันสยายปีกอย่างเริงร่าในอก
ไม่ต่างจากความรู้สึกของผมที่กำลังติดใจในรสจูบของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’

“รอบนี้กูเตรียมตัวมาดี เห็นไหมกูสั่งต้มเลือดหมูใส่แค่ตับกับหมูให้มึงเนี่ย กินดิ เหม่ออะไร?” พี่เนย์พูดขึ้นระหว่างอาหารมื้อเช้า ทำเอาผมที่กำลังนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนเริ่มได้สติ ก่อนจะยกยิ้มให้อีกฝ่ายแบบขอไปที และเริ่มปรุงต้มเลือดหมูที่ไม่มีเลือดหมูสักก้อน
ขณะที่ระหว่างเรากำลังนั่งอยู่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม ผมก็เลือกที่จะก้มหน้ากินข้าวเพียงอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นแล้ว สายตาของผมมันก็มักจะเผลอไปหยุดมองที่ริมฝีปากคู่นั้นที่เคยจูบผมท่ามกลางความมืดเมื่อกลางดึกวานนี้

“มึงจะเขี่ยข้าวอีกนานมั้ยนั่น จนกูกินเสร็จนานแล้วเนี่ย เดี๋ยวต้มเลือดหมูมึงก็หายร้อนหมดหรอก อีกอย่างก็จะสายแล้ว มึงดูนาฬิกาด้วยครับ วันนี้กูเรียนตัวโหดนะเว้ย สายล็อคห้อง” พี่เนย์ท้าวคางมองผมที่กำลังเล็มข้าว พลางบ่นออกมายาวยืด หลังจากที่คงสังเกตผมมานานแล้ว
“…” ผมจึงรีบยัดข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โกยน้ำต้มเลือดหมูมาซดจนสาแก่ใจ จากนั้นก็ส่งสัญญาณเรียกเจ้าของร้านให้มาคิดเงิน แต่เพราะผมติดจะกินน้ำด้วย แล้วก็อยากจะควักเงินมาจ่ายด้วย มันเลยทุลักทุเลมาก พี่เนย์เลยถือโอกาสจ่ายให้ก่อน จากนั้นเมื่อเข้ามาในรถผมก็วางเงินค่าข้าวเช้าไว้ให้อีกฝ่ายตรงช่องที่พี่เขาชอบหย่อนเศษเหรียญเอาไว้

หลังจากแยกย้ายกับพี่เนย์ที่ลานจอดรถอย่างรีบร้อน ผมก็รีบวิ่งกระเซอะกระเซิงมายังห้องบรรยายของวิชาอาจารย์ฤดี และด้วยความที่ห้องมันเป็นลักษณะสโลป แถมนักศึกษายังนั่งกันหน้าสลอน ผมจึงต้องใช้เวลาเพ่งมองไอ้หมอกไอ้คินอยู่นาน
“มาซะเกือบสายเลยนะมึง” ไอ้หมอกมันทัก เมื่อผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่มันจองไว้ให้

“หนักกว่านั้น พวกกูเกือบจะพนันกันแล้ว ว่าวันนี้มึงจะหยุดเรียนหรือเปล่า” พอไอ้คินมันชะโงกหน้ามาพูด พลางยักคิ้วเท่านั้นแหละ ผมก็รู้เลยว่าพวกมันกำลังคิดทะลึ่งอะไรกันอยู่ ผมจึงยกนิ้วกลางส่งให้พวกมันที่กำลังหัวเราะอย่างชอบใจ
“ฮั่นแน่ มึงรู้ว่ากูกำลังคิดอะไรอยู่ แสดงว่ามึงก็คิดทะลึ่งด้วยเหมือนกันนะเนี่ย” ไอ้หมอกมันเอาปลายนิ้วชี้ของมันมาเขี่ยข้างแขนของผมอย่างหยอกเย้า จนผมต้องขยับแขนตัวเองออกมาให้พ้นจากรัศมีการแกล้งของไอ้หมอก จากนั้นก็ทำเป็นตั้งใจเรียนหนักมาก

ครืด ครืด

‘เย็นนี้ไปตีแบดกัน เพื่อนกูนัดฟอร์มทีม ใครแพ้เลี้ยงข้าว’ ผมหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดอยู่ในกระเป๋าสะพายที่วางเอาไว้ตรงปลายเท้าขึ้นมาดู จึงเห็นว่าเป็นพี่เนย์ที่ส่งมา
‘แต่ผมไม่มีไม้แบด’

‘ไอ้เอ้มันมีสองอัน เดี๋ยวมันให้ยืม’
‘ครับ เจอกันกี่โมง?’

‘หกโมงมึงมารอหน้าหอเลย ยังไม่ต้องไปกินข้าวล่ะ เดี๋ยวตีแบดเสร็จค่อยไปกินพร้อมพวกกู’
‘ครับ แล้วใครจะให้อาหารไอ้เขี้ยวกุด’

‘ก็เดี๋ยวเลิกเรียนแล้ว กูจะกลับไปเปิดเครื่องทำความชื้นในตู้ไอ้เขี้ยวกุดแล้วก็ให้อาหาร เปลี่ยนเสื้อผ้าอีก กว่าจะเสร็จก็ถึงเวลามารับมึงพอดี’
‘ครับ’ ผมส่งกลับไปแค่นั้น แล้วก็เลิกให้ความสนใจกับเครื่องมือสื่อสารชนิดนี้ โดยหันมาให้ความสนใจกับเนื้อหาของการเรียนแทน เพราะวิชานี้จะมาเรียนๆ เล่นๆ หลับๆ ไม่ได้ อาจารย์แกชอบสุ่มเรียกตอบคำถาม

ผมเลือกใส่เสื้อยืดสีขาว กับกางเกงเล่นกีฬาขาสั้นที่ผมชอบเอาไว้ใส่นอน เพราะเนื้อผ้ามันเบาสบาย ใส่แล้วไม่อึดอัด ส่วนรองเท้านี่ก็ต้องบอกว่าโชคดีที่ผมชอบใส่ผ้าใบอยู่แล้ว เลยไม่ต้องวุ่นวายในการเตรียมตัว ขาดก็แค่ไม้แบดที่ต้องรอเอาจากพี่เอ้
“วันนี้มึงจะกลับหอป่ะ?” ไอ้หมอกมันหันมาถามผม หลังจากที่ผมกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ระหว่างรอเวลานัดหมาย

‘มึงก็ถามแปลก แล้วทำไมกูต้องไม่กลับหอด้วยวะ?’
“อ้าว ใครจะรู้ เผื่อวันนี้พี่เนย์ไม่อยากให้มึงกลับ มึงก็กลับไม่ได้

‘ส้นตีนเถอะ เกี่ยวอะไรกันวะ จะกลับหรือไม่กลับมันก็ขึ้นอยู่กับกูเว้ย ทำไมมึงจะเอาอะไร?’
“โบโลน่าพริก”

‘มึงไม่ลงไปซื้อเองวะ วันนี้กูไม่แน่ใจว่าจะกลับกี่โมง’
“นั่นไง! เมื่อกี้มึงพึ่งจะพูดแหม่บๆว่าจะกลับหรือไม่กลับมันก็ขึ้นอยู่กับมึง แล้วยังไงวะ ทำไมถึงไม่แน่ใจว่าจะกลับมากี่โมง?” ไอ้หมอกมันลุกขึ้นยืน พลางเดินเข้ามายืนพิงเสาค้ำของเตียงสองชั้น พลางชี้หน้าผมยิกๆ

‘ก็วันนี้พวกเพื่อนพี่เนย์เขาพนันกันว่า ถ้าใครแข่งตีแบดแพ้ ต้องเลี้ยงข้าว ก็กูไม่รู้ไงว่าเกมส์จะจบกี่โมง จะให้กูตอบมึงว่ายังไงวะ เกิดบอกไปแล้วมึงรอกู จนหิวตายในห้องนี่แย่เลยนะ
“ทำไมมึงเป็นคนร้ายๆแบบนี้วะ ฮึ!” ไอ้หมอกมันเข้ามาล็อคคอผม พลางเค้นเสียงดุ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวเลย เพราะผมคงจะตายก่อนจะกลัว ในเมื่อมันกอดรัดรอบคอผมจนแน่นขนาดนี้

“มึงนี่ก็วอแวมันจริงๆ” ไอ้คินมันบ่นพลางเดินเข้ามาลากคอไอ้หมอก จนผมสามารถหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น
“ช่างเถอะๆ เดี๋ยวกูไปซื้อกินเองก็ได้ จะไปไหนก็ไปไป๊” ไอ้หมอกมันว่าพลางโบกมือไล่ ผมเลยเดินเข้าไปขยี้หัวมัน จากนั้นก็รีบวิ่งออกจากห้องแทบไม่ทัน เพราะมันด่าสาปส่งไม่พอยังจะทำร้ายร่างกายกันอีก ดีที่ไอ้คินมันล็อคตัวไว้นะ ไม่งั้นไอ้หมอกแม่งได้วิ่งอู้ลงบันไดเพื่อมากระโดดถีบผมแน่
ก็เรามันไม้เบื่อไม้เมากันนี่หว่า

“มึงวิ่งหนีอะไรมา” ทันทีที่ขึ้นมาบนรถ พี่เนย์ก็ถามด้วยความสงสัย ก่อนจะค่อยๆขับรถออกจากบริเวณหน้าหอ จากนั้นคนตัวโตก็เอื้อมมือมาจัดผมหน้าม้าที่ชื่นเหงื่อของผมให้เข้าที่เข้าทาง
“…” ผมยิ้มให้อีกฝ่าย พลางยกมือจัดแต่งทรงผมด้วยตัวเองบ้าง
ดูเอาเถอะ ยังไม่ทันได้ออกกำลังกาย หัวผมแม่งก็เปียกจนฟีบแล้วว่ะ

พอมาถึงสนามแบดมินตันของมหาลัย พวกพี่เอ้ก็รีบโบกมือเรียกพวกเราสองคนทันที พี่เนย์เลยโบกมือตอบ พลางเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ต้องพากันนั่งรอคิวเพื่อจับฉลากว่าใครจะแข่งคู่กับใคร แต่ด้วยความที่กลุ่มของพี่เนย์มีกันอยู่ห้าคนรวมผมด้วยก็เป็นหก ดังนั้นการแข่งขัน จะต้องมีสองคนที่ได้แข่งเดี่ยว
พวกที่แพ้ก็หารเงินกันจ่ายค่าข้าวมื้อนี้

“โหย แข่งกับไอ้เนย์ ไอ้เปรม กูตายแน่” พี่เอ้โอดครวญยกใหญ่
“งั้นเอางี้ กูต่อให้มึงเต็มที่เลยเอ้ แข่งทีมละสามไปเลย ถ้ารู้ตัวว่าใครเอาไม่อยู่มึงก็เปลี่ยนตัวกัน โอเค๊” พี่เนย์ยักคิ้ว พลางวอร์มร่างกายอย่างเป็นต่อ

“ไม่ได้ช่วยกูเล้ย ทีมกูมีไอ้บาสก็จบเห่ละ แม่งเล่นหมาไม่แดกเลย ส่วนน้องรันก็ตัวผอมชิบ แขนเล็กกว่ากูอีกเนี่ย จะเอาอะไรไปสู้” พี่เอ้บ่นหลังจากที่เธอเป่ายิงฉุบแพ้พี่เนย์ เราก็เลยได้พี่บาสแฟนแกมาร่วมทีม
“แต่ก่อนมันผอมน่ะใช่ แต่เดี๋ยวนี้มึงใช้อะไรดูไม่ทราบว่าไอ้นี่มันผอม” พี่เนย์ว่าพลางจับผมหมุนตัวหนึ่งรอบ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับพี่เนย์นะ เพราะตั้งแต่ผมคบกับพี่เนย์ ผมก็เริ่มมีพุงแล้วด้วย แต่เพราะกินเท่าไหร่มันก็ไม่อ้วนสักทีไง น้ำหนักมันก็เลยเดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวลดอยู่นั่น
พุงที่เคยมีก็เลยหายหมด

“…” ผมยื่นแขนออกไปให้พี่เอ้ดู พลางชี้เส้นเลือดที่เห็นได้ชัดของตัวเอง เพื่อแสดงออกว่าผมน่ะจริงๆก็แข็งแรงนะ เพียงแต่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายไง แล้วแต่ก่อน ผมก็สอบตีแบดได้คะแนนดีด้วย
“มึงเริ่มก่อนเลย” พี่เนย์ผายมือมาทางทีมผมกับพี่เอ้ ผมที่ตัวสูงกว่าพี่เอ้ จึงประจำตำแหน่งอยู่ข้างหลัง และลูกแรกผมก็เป็นคนเสิร์ฟก่อนด้วย

ลูกขนไก่ฝีมือของผมมันลอยละลิ่วไปยังเขตแดนของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่พี่เนย์ก็ยังตีโต้กลับมาได้ โชคดีที่พี่เอ้ดักทางไว้ทัน จึงตีโต้ข้ามฝั่งกลับไป แต่แล้วพี่เปรมก็หวดลูกขนไก่หย่อนลงมาตรงหน้าตาข่ายในระดับที่นิ่มนวล จนพี่เอ้ไม่ทันตั้งรับ ดีที่ผมตัดสินใจก้าวขึ้นไปเพื่อเตรียมรับมือ ลูกขนไก่สีขาวจึงหล่นแหมะลงตรงหน้าตาข่ายทางฝั่งของพี่เนย์
ผมอมยิ้ม พลางยักคิ้วให้พี่เนย์ ก่อนจะเสยผมหน้าม้าที่เริ่มฟีบลง เพราะเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้ามันเริ่มมีแต่เหงื่อ

ต้องยอมรับจริงๆว่าพี่เปรมกับพี่เนย์ตีแบดเก่งมาก ฝีมือสูสีกันจนรับมือได้ยาก แต่ก็อย่างที่บอกว่าแบดมินตัน เป็นกีฬาชนิดเดียวที่ผมเล่น และก็เล่นได้ดีมากด้วย เพราะจริงๆแล้ว ครอบครัวของผมก็ชอบตีแบดอยู่เหมือนกัน ถ้ามีเวลาว่างเราก็จะตีกันตรงหน้าบ้าน
 
“ไหนบอกฝั่งมึงเสียเปรียบไงวะ ไอ้เอ้” พี่เปรมตีโต้ พลางตะโกนถามเพื่อนผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่ม
“ก็ใครจะรู้วะว่าน้องรันเล่นเก่งขนาดนี้ มึงเตรียมตัวเลี้ยงพวกกูได้เลยเว้ย กูจะกินให้อ้วก ไม่อ้วกไม่กลับหอ!” พี่เอ้โต้ตอบอย่างเกรี้ยวกราด จนบางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่เอ้น่ะ เป็นผู้หญิงจริงๆเหรอ

“หว้า แย่จัง พวกมึงเสียคะแนนอีกแล้วอ่ะ” ทันทีที่ลูกขนไก่ตกลงบนพื้นที่ของฝ่ายตรงข้าม โดยที่ผู้เล่นมือฉมังของกลุ่มตั้งรับไม่ทัน พี่เอ้ก็หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข ราวกับรอเวลาแก้แค้นมานานแสนนาน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยชนะพวกพี่เปรมกับพี่เนย์ได้เลย ส่วนผมหลังจากที่ได้คะแนนนำก็เดินไปไฮไฟว์กับพี่เอ้
และยักคิ้วให้พี่เนย์พลางยกยิ้มตรงมุมปาก จนพี่เขาเริ่มจะชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง

กระทั่งการแข่งขันจบลง โดยที่พี่เอ้เปลี่ยนตัวกับพี่บาสในช่วงหลัง ส่วนพี่เปรมเปลี่ยนตัวกับพี่ตี๋บาส จึงทำให้คะแนนของเราห่างกันไม่มากนักคือ 27 ต่อ 25 แต่ถึงอย่างนั้นฝั่งผมก็ยังได้รางวัลกินฟรีไปครอบครอง
“แขนก็แค่เนี้ย แต่แรงควายเหรอมึง?” พี่เนย์ถามอย่างกวนประสาท พลางยกแขนผมเหวี่ยงขึ้นลงราวกับจะทดลองน้ำหนักแขน ผมจึงยักคิ้วให้พี่เนย์ พร้อมกับอมยิ้มนิดๆ

“เดี๋ยวกูจับหักแขนแม่ง!” พี่เนย์บ่นพลางเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆพี่เอ้ พลางแบมือไปรับขวดน้ำมาดื่มแก้กระหาย
“…” ผมเดินเข้าไปรับขวดน้ำจากพี่เอ้บ้าง จากนั้นก็นั่งยองๆตรงหน้าพี่ๆทั้งสอง ส่วนพี่คนอื่นๆก็ทยอยมานั่งรวมกลุ่มกันเพื่อพักเหนื่อย ก่อนจะไปหาอะไรทานกันตามที่ตกลงไว้

“รันพี่เพิ่งแอดเฟรนไป กดรับแอดพี่หน่อยครับ พลีสสส” พี่เอ้บอกพลางยกมือขึ้นมากุมกันไว้ จากนั้นก็กระพริบตาปริบๆส่งมาให้ ผมก็เลยอมยิ้มและพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพายใบเก่ง

Sirinya R. sent you a friend request

เมื่อเห็นแจ้งเตือนปรากฏบนหน้าจอ ผมก็รีบเข้าแอปพลิเคชันดังกล่าวพลางกดรับแอด ก่อนจะวางมือถือเอาไว้บนกระเป๋าและหยิบน้ำขึ้นมาดื่มแทน
   
Sirinya R. added 1 new photo with Akane Akarawin and 4 others at สนามแบดมินตัน
ตัวละครลับ! ผู้ที่ทำให้เราได้แดกฟรีในคืนนี้ด้วยสกอว์ 27 ต่อ 25

ผมเลือกกดถูกใจสเตตัสของพี่เอ้ที่แท็กมา ก่อนจะเลื่อนไปดูรูปตัวเองอีกครั้งอย่างพิจารณา เพราะตัวผมไม่ทราบจริงๆว่าพี่เอ้แอบถ่ายรูปของผมไว้ แถมในรูปนะ หัวผมเปียกจนฟีบแล้วฟีบอีก เหงื่อก็โทรมจนต้องสละมือข้างหนึ่งขึ้นมากระพือเสื้อระหว่างที่กำลังจดจ้องลูกขนไก่ในสนามแข่งอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ถึงอย่างนั้นริมฝีปากก็ยังคงคลี่ยิ้มด้วยความสนุกสนานไปกับเกมส์ตรงหน้า
“มึงเลือกรูปที่ดีกว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ กางเกงล่นจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” พี่เนย์บ่นออกมาเบาๆ

“สัสเนย์! มีแต่มึงคนเดียวอ่ะที่มองขาน้องมัน คนอื่นเขาเห็นแต่รอยยิ้มมั้ยมึง” พี่เอ้บ่นพลางฟาดหัวพี่เนย์ไม่เบานัก
“เจ็บนะเว้ย มึงนี่!” พี่เนย์บ่นอุบ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรพี่เอ้ได้

Kin Pakorn and Channarong M. commented on a post that you’re tagged in.

ผมนั่งฟังพวกพี่เขาถกเถียงกันเรื่องร้านอาหารอยู่พักใหญ่ โทรศัพท์ในมือก็สว่างวาบขึ้น เมื่อสไลด์หน้าจอก็พบว่าไอ้หมอกกับไอ้คินเข้ามาคอมเมนต์ในสเตตัสที่พี่เอ้แท็กมาถึงผม

Channarong M. ไอ้รัน แห้งอย่างมึงนี่เป็นตัวละครลับได้ด้วยเหรอวะ ประหลาดใจจัง

ผมว่าถ้าผมจะเกลียดไอ้หมอก ก็เพราะวรรคหลังของประโยคนี่แหละว่ะ เป็นคำธรรมดาที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกน่ากระทืบอย่างบอกไม่ถูก เพราะแค่อ่านข้อความผ่านตัวหนังสือ ผมก็สามารถนึกถึงใบหน้าอันกวนประสาทของมันได้

Kin Pakorn รัน สาหร่ายแปะหัวมึงเหรอ?

นอกจากผมจะมีโอกาสได้เกลียดไอ้หมอกจนสูงมากๆแล้ว ไอ้คินแม่งก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย ทำเอาผมเสียความมั่นใจไปซะงั้น เพราะผมเองก็ไม่ได้หน้าตาดีเด่อะไรมากมาย ถ้าหัวเปียกจนฟีบถึงขนาดเพื่อนยังบอกว่าเหมือนมีสาหร่ายมาแปะหัว นี่ก็แอบใจเสียนิดๆนะ

Neran P. ไอ้เชี่ยคิน กูยิ่งไม่มั่นใจอยู่

หลังจากพิมพ์ด่าพวกแม่งไปในคอมเมนต์เรียบร้อยแล้ว ผมก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับทรงผมของตัวเอง เพราะความมั่นใจมันเหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์แล้วจริงๆ

ป๊อก!

“เป็นอะไรของมึง ลุกเร็ว เขาจะไปหาอะไรกินกันแล้วเนี่ย” พี่เนย์อาศัยจังหวะที่ผมเสยหน้าม้าของตัวเอง จนเผยให้เห็นหน้าผากเหม่งๆ อีกฝ่ายก็จัดการดีดแบบไม่ออมแรง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนรอผม ขณะที่พี่คนอื่นๆ กำลังเดินคุยเล่นหยอกล้อกันจนเกือบจะถึงประตูทางออกอยู่แล้ว

‘ไอ้คินมันบอกว่าหัวผมเหมือนมีสาหร่ายมาแปะไว้ โคตรเสียความมั่นใจเลยพี่’ ผมพิมพ์ข้อความส่งไปให้พี่เนย์ที่เดินอยู่ข้างๆอ่าน
“เหมือนตรงไหนวะ มึงก็ไปบ้าจี้ตามมันเนอะ” พี่เนย์ว่าพลางยกมือขึ้นมาจัดทรงผมของผมให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นก็เนียนเอาแขนมาท้าวไหล่ผมเฉย



------------------------------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 แอพพลิเคชั่น > แอปพลิเคชัน
เลิฟซีนกรุบกริบพอเนอะ คึคึคึ เห็นคนอ่านเอ็นดูรัน เราเองก็ปลื้มค่ะ ชอบบบ น้องน่ารัก ร้องไห้แล้วน่าสงสาร
เป็นเด็กเงียบๆ แต่ยิ้มน่ารัก แถมเดี๋ยวนี้ยิ้มบ่อยด้วย เท่านั้นไม่พอยังเป็นม้ามืดด้านกีฬาแม้จะแค่อย่างเดียวก็เถอะ เอ็นดู
ส่วนพี่เนย์ก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ในความเงียบ 5555 จัดการ!! แอบส่องขาอ่อนน้องได้ไง
ปล. อีก 7 ตอนจบแล้วค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 19:11:29 โดย Chomin »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :-[

เขิลกันเบา

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น่ารักดี

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ก็ไม่คิดว่ามันจะดราม่าอะไรหรอกแต่ก็แอบคิดกังวลไปพร้อมน้องด้วย

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
น้องรันเริ่มเปิดใจให้กับคนอื่นๆมากขึ้นแล้ว น่ารักมากเลย

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
หุยยย จะจบแล้วหรอ ยังเพลินๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
ตอน 21


“กล้องมึงพร้อมหรือยังล่ะ” ไอ้หมอกมันถาม พลางตั้งท่านั่งหลังตรงอย่างดี เมื่อพรุ่งนี้จะถึงคิวของมันทำแคมเปญของสาขาแล้ว เที่ยงนี้ไอ้หมอกมันเลยถือโอกาสถ่ายคลิปวีดิโอเสียเลย
“กูตั้งท่านานแล้วเนี่ย ก็รอมึงส่งสัญญาณ จะเริ่มหรือยังล่ะ” ไอ้คินมันย้อนถาม กระทั่งไอ้หมอกมันพยักหน้า ตากล้องฝีมือดีที่สุดในกลุ่มก็เริ่มนับตัวเลขถอยหลังทีละตัวจากสาม สอง กระทั่งหนึ่ง ไอ้หมอกมันก็เริ่มชี้นิ้วไปที่หน้ากล้อง ก่อนจะชี้กลับมาที่ตัวเองบริเวณกลางอกพร้อมกับปรายตามองตามทิศทางของฝ่ามือ จากนั้นก็ชูสองนิ้วโดยหันหลังมือออกข้างนอกและขยับมือเข้าหาตัวหนึ่งครั้งก่อนจะดันออกไปค้างไว้กลางอากาศ แล้วจึงหงายฝ่ามือที่ยังคงชูสองนิ้วขึ้นในแนวราบ พร้อมกับงอนิ้วโป้งเข้ามาชิดกับนิ้วนาง ก่อนจะขยับปลายนิ้วมาชนกันเบาๆสักสองที จากนั้นก็ขยุ้มมือเหมือนกำลังหยิบข้าวกินไว้ตรงระดับปากพร้อมกับขยับมือประมาณสองที จากนั้นก็ม้วนฝ่ามือแล้วสะบัดออกจากตัวทั้งห้านิ้ว ขณะที่ใบหน้าก็ต้องขยับตามจังหวะการสะบัดข้อมือด้วย

“ไหนกูดูดิ๊ หน้ากูหล่อพอยัง” ไอ้หมอกมันว่าอย่างนั้น พลางเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาจากมือไอ้คิน
“ยากจัง จำกันได้ยังไงเนี่ย” แอ้มสาวจากคณะบัญชีพูดขึ้น หลังจากที่ไอ้หมอกอัดคลิปวีดิโอภาษามือเสร็จแล้ว

“เราเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้วน่ะ.. อีเมลที่ต้องส่งมันอีเมลอะไรวะ กูทำโพยหาย” ไอ้หมอกมันตอบแอ้ม พลางหันมาถามพวกผม
“กูขยำทิ้งไปละ ไอ้รันมึงเอาโพยมามั้ย” ไอ้คินมันตอบพลางหันมาถามผมที่กำลังดูดน้ำแก้กระหาย

‘…’ ผมเปิดซิปช่องเล็กข้างในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง พลางหยิบโพยออกมากางไว้กลางโต๊ะ โดยที่ผมก็ลืมไปเลยว่าจริงๆเปิดเอาจากในโทรศัพท์ผมก็ได้ เพราะผมเคยส่งคลิปไปให้พี่ทีมผ่านทางอีเมลที่พี่เขาให้มาแล้ว
“รันได้ประโยคที่บอกว่า ‘เป็นแฟนกันนะ’ ใช่ป่ะ เราจำได้ แต่จำภาษามือไม่ได้แล้ว มันทำยังไงนะ” นิ้งพูดขึ้น พลางถามด้วยความกระตือรือร้น

“ไอ้คินมึงทำให้สาวๆเขาดูหน่อยสิวะ ไอ้รันมันหัวไม่ดี จำไม่ค่อยได้หรอก” ผมถลึงตาใส่ไอ้หมอกทันทีที่มันปรามาสใส่แบบนั้น ไอ้หมอกมันเลยแอบขยิบตาให้ พลางบุ้ยปากไปทางไอ้คินกับแอ้ม ผมถึงได้เข้าใจเจตนารมณ์ของมัน
ก็นะ ผมลืมไปเลย.. ว่าเพื่อนผมมันกำลังจีบสาวอยู่ เห็นทีผมคงต้องยอมเป็นคนขี้ลืมสินะ

แต่พูดก็พูดเถอะ แม้อีกฝ่ายดูท่าจะใจตรงกัน แต่ไอ้คินแม่งก็นิ่งยังกับหิน แล้วจะจีบติดชาติไหนวะนั่น ไหนใครกันนะที่เคยบอกผมว่า ถ้าหากอีกฝ่ายแสดงออกจนชัดเจนขนาดนี้ เป็นกูนะไม่ปล่อยไว้หรอก ?
หึ คำแบบพูดนั้นมันใช่คำพูดของคนที่กำลังนั่งหน้านิ่งแน่เหรอเนี่ย!

Akane Akarawin added 1 new photo with Neran P.

ระหว่างนั่งรอสาวๆกินข้าวให้หมด ผมก็นั่งเหม่อไปเรื่อย แต่แล้วพี่เนย์ก็แท็กรูปไอ้เขี้ยวกุดกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในน้ำที่โผล่ออกมาแค่ดวงตาสีส้มอมแดงอันเป็นเอกลักษณ์ โดยไม่มีแคปชั่นใดๆกำกับ
เหมือนกับว่าเจ้าตัวแค่อยากจะแชร์ชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าเขี้ยวกุดให้ผมดูเท่านั้น

ประมาณว่าถ้าอันไหนพี่เขาประเมินแล้วว่าเจ้าลูกชายตัวโปรดมันดูน่ารัก พี่เนย์ถึงจะแท็กมาหาผม ส่วนชีวิตประจำวันเช่น การกิน การนอนของเจ้าลูกชายนั้น พี่เนย์เขาก็โพสต์ลงในเฟซบุ๊กของตัวเองรัวๆตามปกติ จนตอนนี้ผมเกือบจะเข้าใจไปแล้วว่าเฟซของพี่เนย์ถูกไอ้เขี้ยวกุดบุกยึด!

“สมกับเป็นพี่อาคเนย์เลยเนอะ ลงทุกอย่างยกเว้นรูปตัวเอง” อิ๋มพูดขึ้นพลางส่งยิ้มมาให้ผม จนผมอดจะหัวเราะเพราะเห็นด้วยกับคำพูดของเธอไม่ได้
‘แต่ก็ยังมีคนกดถูกใจเยอะอยู่ดีนะ แล้วหนึ่งในนั้นก็ต้องมีอิ๋มด้วยแน่ๆ’ ผมพิมพ์ข้อความให้อิ๋มอ่าน พลางยกยิ้มอย่างแปลกใจ ก่อนจะล้อหญิงสาวอย่างไม่จริงจังนัก

“ฮ่าๆ ก็นั่นแหละจ๊ะ ตามที่เราเคยเล่าให้ฟังไง ว่าแต่ก่อนพี่อาคเนย์เขาดังมาก แล้วตอนนี้คนก็ยังให้ความสนใจกันอยู่”
‘แต่ก็ไม่เห็นจะมีใครเข้ามายุ่งวุ่นวายกับพี่เขาเลยนะ แล้วปกติถ้าเป็นคนดังประมาณเน็ตไอดอล ก็น่าจะมีคนชอบมาขอถ่ายรูปด้วย แต่พี่เนย์นี่ไม่มีเลย’

“ก็พี่อาคเนย์เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวไงรัน ทุกคนก็เลยไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้ง แถมแต่ก่อนนะ กว่าจะมีคนกล้ากดถูกใจ สเตตัสของพี่อาคเนย์ได้ ก็คิดแล้วคิดอีก แต่พอมีคนทำแล้วไม่โดนว่า ตอนนี้ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”
“…” ผมพยักหน้าทำนองว่าเข้าใจแล้ว

“แล้วนี่ถ้าเป็นแต่ก่อนนะ เวลาพี่อาคเนย์จะไปไหน ทำอะไร เพจ Fall in love กับแฟนคลับคู่วายก็จะเอาโมเมนต์มาแชร์กันแล้วล่ะ แต่พอเห็นพี่อาคเนย์กับแฟนเก่าต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องพวกนี้ พวกเราก็เลยต้องระวังกันมากขึ้นน่ะ แล้วอีกอย่างเท่าที่ได้ข่าวมา เขาว่ากันว่าพี่อาคเนย์เลิกกับแฟนเก่าเพราะเรื่องโซเชียล ทั้งจากแฟนเก่าของตัวเองแล้วก็แฟนคลับคู่วายด้วยส่วนนึงน่ะ ทีนี้พอพี่เขาเริ่มทำตัวเหมือนจีบรันอยู่ ทุกคนก็เลยยิ่งต้องระวังกันมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่อยากให้ต้องมีปัญหากันจนถึงขั้นนั้นอีก แถมพี่อาคเนย์เขาดูจะชอบรันมากๆด้วย”
‘เรารู้สึกโชคดีจังที่ทุกคนเริ่มระวังเรื่องนี้กันมากขึ้นน่ะ เพราะแค่เราทำแคมเปญของสาขา แล้วมีคนมาสนใจเรื่องของเราเยอะ เราก็วางตัวไม่ถูกแล้ว คือเรามีอคติกับคนทั่วไปที่ไม่มีข้อบกพร่องแบบเราน่ะ ว่าแต่พี่เนย์แสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?’ ผมตัดสินใจพูดออกไปตามตรง เพราะหนึ่งในพวกเธอ มีคนที่ไอ้คินแอบชอบ ยังไงก็คงไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันแล้ว ผมก็ควรต้องเปิดใจให้มากขึ้น

“ง..งั้นเหรอ.. เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย.. แต่รันสบายใจได้นะ เราสามคนน่ะช่วยกันเตือนตลอดแหละ เพราะรันเป็นเพื่อนของพวกเราไง อีกอย่างนะ คนที่ชอบรันกับพี่อาคเนย์เขาก็แอบหวีดกันในเพจลับอย่างเดียวน่ะ”
‘ยังไงเหรอ?’

“โหยยย ไม่บอกได้ไหมล่ะ” นิ้งทำหน้าโอดครวญราวกับโลกจะถล่ม คงเพราะผมพูดเรื่องที่ตัวเองมีอคติกับคนอื่นๆที่ไม่ได้มีข้อบกพร่องแน่ๆ เธอก็เลยเลือกที่จะปิดบังเพื่อไม่ให้ผมรู้สึกไม่ดี
‘แต่ถ้าอยู่ในขอบเขตที่แบบว่า.. เราไม่รู้ เราก็พอจะรับได้อยู่นะ บอกมาเถอะ ขนาดเรื่องที่มีคนสร้างเพจให้เราหลังจากได้เปิดตัวสู่สาธารณะชนแล้วน่ะนะ เรายังรู้เลย แต่เราไม่ได้เข้าไปดูเองหรอก พี่เนย์เป็นคนบอกน่ะ อีกอย่างเราก็ไม่ชอบส่องเรื่องของตัวเองอยู่แล้วด้วย เพราะเราไม่อยากรับรู้ว่าใครเขาพูดถึงเรายังไง แล้วส่วนใหญ่เราก็จะรู้แค่เรื่องที่มีคนบอกเท่านั้น

“ก็ประมาณว่า พวกเขาแอบถ่ายโมเมนต์น่ารักๆมาแชร์กันเยอะแยะเลยน่ะ เช่นรูปนี้” อิ๋มยอมเปิดรูปๆหนึ่งให้ผมดู โดยไม่ยอมให้เห็นชื่อเพจที่ว่าแม้แต่น้อย รวมถึงไม่ให้เห็นแม้กระทั่งคอมเมนต์ใดๆทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นรูปตอนที่พี่เนย์กำลังโยนแขนผมเล่น เหมือนกับต้องการจะชั่งน้ำหนักแขนว่ามันหนักสักแค่ไหน ทำไมถึงได้แรงเยอะจนเป็นฝ่ายชนะในการแข่งขันแบดมินตันซะได้
‘แล้วไม่กลัวพี่เนย์บังเอิญหาเจอเหรอ? หมายถึงเพจลับน่ะ’ ผมพยักหน้าพลางย้อนถาม ขณะที่ในใจก็ยังรู้สึกแปลกๆและเกร็งๆอยู่นิดหน่อย ที่มีคนมาแอบถ่ายรูปโดยไม่รู้ตัวแบบนี้ เพราะคาดเดาได้เลยว่ารูปของผมกับพี่เนย์มันคงต้องถูกแอบถ่ายเยอะกว่ารูปเดี่ยวของผมแน่

“เราว่าพี่อาคเนย์กับรันไม่น่าจะหาเจอนะ แต่ถึงหาเจอก็เข้าไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นกลุ่มปิดจ๊ะ ต้องผ่านการแสกนก่อนนะ” แอ้มหันมาตอบ พลางยกยิ้มแหย เหมือนกับอยากจะเลิกพูดเรื่องนี้เต็มทน ผมก็เลยทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ซะ
เพราะผมเองก็ไม่อยากจะต้องมากังวลเรื่องที่มีคนมาคอยสอดส่องช่วงชีวิตของเราแบบนี้

ถ้าอย่างนั้นผมจะถือซะว่า การที่ผมวางเฉย ก็เพื่อเปิดใจให้เพื่อนใหม่เท่าๆ กับเพื่อนของพี่อาคเนย์ก็แล้วกัน อีกทั้งโลกใบนี้มันก็ไม่ได้หมุนรอบตัวผมอยู่แล้ว ฉะนั้นผมก็คงไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะกลุ่มคนดังกล่าวคงมีอยู่เยอะ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไปควบคุมความคิดของพวกเขาน่ะ
เพราะขนาดคนอื่นยังมาลบอคติของผมไม่ได้เลย ถ้าหากผมไม่เปิดใจ

“มึงก็เป็นซะอย่างนี้ อึดอัดหรือไม่อยากให้ทำ ก็น่าจะบอกเขาไปตรงๆ ทำมาพูดแบ่งรับแบ่งสู้เหมือนตอนที่พี่ทีมมาขอให้ทำแคมเปญของสาขาเฉย” หลังจากแยกกับสามสาว ไอ้หมอกมันก็บ่นผมออกมาเป็นชุด เพราะตั้งแต่หัวข้อดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาพูด ไอ้เพื่อนซี้ทั้งสองของผม มันก็นั่งเงียบเก็บข้อมูลอย่างเดียว
‘มันไม่มีอะไรได้ดั่งใจไปหมดทุกอย่างหรอกมึง แล้วอีกอย่างพวกเธอก็บอกแล้วว่าเห็นกูเป็นเพื่อน ที่สำคัญไอ้คินมันเองก็ชอบแอ้มด้วย กูก็ควรต้องเปิดใจให้มากขึ้นไม่ใช่เหรอ’

“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกันเว้ยรัน มึงไม่ต้องเห็นแก่ว่ากูกำลังชอบแอ้มอยู่หรอก”
“แหมมม ทีตอนนี้ล่ะพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ แต่พออยู่ต่อหน้าเขาล่ะก็นะ นิ่งยังกับหลักศิลาจารึกเลยนะมึง” ไอ้หมอกพูดแกมเหน็บจนเห็นภาพ

‘พี่เนย์เคยบอกให้กูเปิดใจ เพื่อลบอคติที่กูเป็น อนาคตกูจะได้ไม่ลำบากถ้าหากต้องทำงานร่วมกับคนอื่น’
‘กูจำได้แม่นเลย พี่เขาบอกให้กูเริ่มจากคนใกล้ตัว ก็คือเพื่อนของพี่เขา แล้วก็เพราะคำพูดของเขาด้วย กูถึงได้ยอมไปติวหนังสือกับพวกแอ้มในวันนั้น’

‘แล้วพี่เขาก็ทำให้กูรู้เว้ย ว่าโลกใบนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวกู เพราะงั้นก็ย่อมไม่มีอะไรได้ดั่งใจไปหมดทุกอย่าง แถมใครจะดีหรือไม่ดี พี่เขาก็บอกให้กูเปิดใจ แล้วกูจะรับรู้ได้เองว่าเขาเป็นยังไง ประมาณว่าอย่าไปแบ่งแยกตามที่ใจอคติ เพราะไม่ว่าจะบกพร่องหรือไม่บกพร่องก็ย่อมต้องมีคนในแบบที่กูเกลียด ซึ่งพอลองเปิดใจดู กูก็คิดนะว่าที่พี่เนย์พูดน่ะมันถูก เพียงแต่ใจกูยังมีกำแพงกับคนอื่นที่กูยังไม่รู้จักเฉยๆ ซึ่งคนอื่นๆที่ว่านั่น มันก็เทียบได้กับเพื่อนร่วมงานในอนาคตน่ะแหละ กูถึงเลือกที่จะปล่อยวางเรื่องนั้น แล้วทำใจให้ชิน เพราะยังไงกูก็ไม่บ้าไปนั่งขุดเรื่องของตัวเองตามโซเชียลมั้ยมึง ขนาดคอมเมนต์ตอนทำแคมเปญสาขากูยังไม่ส่องเลย มีแต่พวกมึงมาพูดกรอกหูกูเนี่ย แล้วอีกอย่างใครจะแอบมองแอบถ่ายก็ช่างเขาเถอะ ในเมื่อที่ผ่านมากูก็ไม่เคยรู้ตัวเลยนี่หว่า เดี๋ยวก็ลืมมันไปเองนั่นแหละ กูมันคนความจำไม่ค่อยดี ไม่ใช่หรือไง’ ผมยอมรับนะว่าในใจก็ยังแอบกลัวนิดๆ แต่พอคิดตามที่พี่เนย์ชักนำ มันก็ทำให้ผมเห็นความเป็นจริงมากขึ้น และทำใจให้ยอมรับสภาพได้มากขึ้น
“สัสรัน! นั่นกูพูดเพื่อช่วยให้ไอ้คิน มันได้โอกาสโชว์พาวน์ต่อหน้าสาวๆหรอกเว้ย”

“ไอ้เชี่ย ยังไงมันก็คนละเรื่องกันอยู่ดีมั้ย เปิดใจก็ส่วนเปิดใจ แอบถ่ายก็ส่วนแอบถ่าย มึงได้แกทแพทเชื่อมโยงคะแนนเต็มเหรอวะรัน” ไอ้คินมันย้อน

‘เอาเป็นว่าที่กูพูดก็คือกูกำลังเปิดใจกับทุกคนและทุกเรื่องอยู่เว้ย แล้วก่อนหน้านี้พี่เนย์ก็เคยเอาเพจของกูมาให้ดูนานแล้วด้วย ขืนห้ามอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่ทันมั้งมึง ขนาดพี่เนย์ไม่ชอบให้คนยุ่งเรื่องส่วนตัว ยังห้ามไม่ได้เลย มึงก็เห็นหนิ’
“เชื่องเว่อร์ มีหางหรือเปล่าเนี่ย ไหนกระดิกหางให้ดูหน่อยซิ” ไอ้หมอกมันพูดพลางเหลือบมองก้นผมราวกับจะสำรวจว่าผมมีหางจริงหรือเปล่า
ไอ้เวรเอ้ย นี่กูเพื่อนมึงนะ!

“มึงคิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว เพราะกูก็เห็นด้วยกับที่พี่เนย์บอกมึงทุกอย่าง”
“อืม ใช่ กูก็เห็นด้วยกับพี่เนย์เหมือนกัน” ไอ้หมอกมันสมทบ พลางกอดคอผมที่เดินอยู่ระหว่างกลางอย่างให้กำลังใจกับเรื่องที่ผมคิดจะทำ โดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ

“ว่าแต่แฟนมึงเนี่ย สมกับเรียนจิตวิทยาจริงๆ พูดอะไรมึงก็เชื่อ เพราะมึงเชื่องนี่เนอะ” ตรรกะอะไรของไอ้หมอกแม่งวะเนี่ย
ผมล่ะปวดกบาลกับมันจริงๆ

หลังเลิกเรียนในคาบบ่าย พี่เนย์ก็มายืนดักรอผมที่ใต้ตึกคณะ เพราะเจ้าตัวจะชวนผมไปซื้ออาหารให้ไอ้เขี้ยวกุด แต่เนื่องจากผมนัดกับพวกไอ้หมอกไอ้คินไว้แล้วว่าวันนี้เราจะไปเดินตลาดนัดในมอด้วยกัน ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะตัดสินนัดซ้อนนัดแบบนี้อย่างไรดี ในเมื่อผมนัดกับเพื่อนก่อน ส่วนพี่เนย์น่ะ วันนี้ไม่ยอมไลน์มาบอกด้วย แต่มาดักรอรับผมเลย ข้ามขั้นตอนมาก
“ตอนนี้สี่โมง ใช้เวลาเดินทางไปกลับก็ราวๆชั่วโมงนึง ทันถมเถ พวกมึงก็ไปเดินสักมืดๆหน่อยสิวะ เดินตอนนี้ก็ร้อนแดดเปล่าๆ” พี่เนย์ก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางเอานิ้วแตะหน้าปัดขณะที่กำลังคำนวณว่าจะใช้เวลาสักเท่าไหร่ในการพาผมมาส่งคืนเพื่อนๆ

“เฮ้ยตามสบายเลยพี่ นัดพวกผมเมื่อไหร่ก็ได้ ยังไงก็เจอหน้ากันจนเบื่อจะแย่อยู่แล้ว” ไอ้หมอกมันพูดแกมหยอก ทำเอารุ่นพี่ต่างสาขาถึงกับหลุดหัวเราะ
“งั้นก็ตามนั้น ไปเร็วรัน เผื่อกลับมาทันจะได้ไปเดินตลาดนัดกับเพื่อนมึงไง” พี่เนย์พยักหน้ารับคำของไอ้หมอก แต่สุดท้ายก็ไม่วายมาเอาใจผมด้วยการเดินกันคนละครึ่งทาง ผมจึงได้แต่อมยิ้ม ก่อนจะเดินตามพี่เนย์ที่เดินควงกุญแจรถด้วยปลายนิ้วชี้เล่นอย่างอารมณ์ดี

หลังจากไปซื้ออาหารให้เจ้าเขี้ยวกุดเรียบร้อยแล้ว พี่เนย์ก็ขอแวะเอาอาหารไปให้เจ้าลูกชายตัวดีก่อน อีกทั้งยังต้องกลับไปเปิดเครื่องทำความชื้นให้เจ้าเขี้ยวกุดด้วย เพราะแม้ว่าจะมีน้ำตกเล็กๆไหลเอื่อยอยู่ในนั้นแล้วก็ตาม แต่ต้นไม้ต้นอื่นก็ยังต้องได้รับการดูแลอยู่ดี และอุณหภูมิก็ยังต้องได้ตามที่กำหนดด้วย ยิ่งวันทั้งวันพี่เนย์ไปเรียน แอร์ก็ไม่ได้เปิด ภายในตู้เลี้ยงก็จะได้รับไอเย็นแค่จากน้ำตกเล็กๆเท่านั้น
เห็นแบบนี้แล้วไอ้แชมเปญยังเลี้ยงง่ายกว่าเยอะ!

“ตกลงเพื่อนมึงว่าไง ยังจะไปตลาดนัดมอกันอยู่มั้ย” พี่เนย์ถามขณะที่กำลังคีบไส้เดือนไปวางไว้ในตู้ของเขี้ยวกุด
‘พวกมันทิ้งผมไปกับสาวบัญชีจนกลับมานอนหอแล้วครับ’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด

“งั้นหาอะไรกินแถวนี้ก่อนค่อยไปส่งที่หอนะ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก พลางจ้องมองเข้าไปในตู้กระจกที่ไอ้เขี้ยวกุดกำลังยืนจ้องไส้เดือนตัวยาวอยู่พักใหญ่ จากนั้นไม่นานเจ้าเขี้ยวกุดมันก็งับไส้เดือนตัวยาวเข้าปาก และเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ไส้เดือนตัวยาวก็หายวับไปกับตา
‘อวดลูกชายอีกแล้ว’ ผมบ่นอุบ เมื่อพี่เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเขี้ยวกุด จากนั้นก็อัพลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว

“ก็ไม่อยากอวดแฟนนี่ อยากเก็บไว้ดูคนเดียว” ทันทีที่พี่เนย์พูดจบใบหน้าของผมก็ร้อนวูบวาบเหมือนทุกครั้ง ขณะที่หัวใจก็สั่นไหวในจังหวะแปลกๆ ผมจึงยืดตัวขึ้นจากระดับที่กำลังส่องดูเจ้าเขี้ยวกุด
ขณะที่ฝ่ามือก็จับยึดขอบตู้ที่ใช้วางป่าจำลองของเจ้าลูกชายตัวโปรดที่เจ้าของห้องไม่ได้ให้ความสนใจมันอีกแล้ว เพราะพี่อาคเนย์กำลังจับจ้องมาที่ผม ที่กำลังยืนอยู่ข้างๆกัน

“รัน”
“ค..คะอับ” ผมเผลอตอบรับด้วยความประหม่า พร้อมหันหน้าไปจ้องมองต้นเหตุของการกระทำนั้น ส่งผลให้เจ้าของห้องได้โอกาสโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้กัน จากนั้นโฟกัสทางสายตาก็เลือนหาย และจบลงที่ริมฝีปากอันคุ้นชิน แตะสัมผัสลงบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา แต่หลังจากเสี้ยววินาทีนั้น พี่เนย์ก็เริ่มชักนำจังหวะการขบเม้มให้หนักหน่วงขึ้น กระทั่งผมเปิดปากอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามากวาดต้อนหาสัมผัสที่ครั้งนึงเคยติดใจ จนเสียงจูบของเรามันดังก้องท่ามกลางห้องเงียบๆห้องนี้
ขณะที่หัวใจมันก็กู่ร้อง ราวกับเสียงของมือกลอง ที่กำลังขยับไม้กลองไปตามจังหวะของเสียงเพลง
จนเสียงนั้นมันดัง ตึก ตึก ตึก อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงง่ายๆ

“กูบอกแล้วไงว่ากูแพ้ทางเวลาที่มึงพูด มึงมันคนใจร้าย ชอบทำให้กูตกหลุมรักซ้ำๆอยู่เรื่อย



--------------------------------------------------------------------------------

ภาษามือของตอนนี้คือคำว่า 'ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย' ที่หมอกจับฉลากได้เมื่อคราวก่อน ถ้าหากใครนึกภาพไม่ออกตามที่เราเขียน สามารถไปดูคลิปได้ที่สารบัญภาษามือที่เราทำไว้ในเด็กดีได้เลยจ้า > จิ้ม

อ่านคอมเมนต์แล้วก็สงสารคุณอาคเนย์เค้านะคะ มีคนลืมว่าเค้าเป็นพระเอกด้วย 55555 เอาจริงหมอกกับคินก็เด่นกว่าแหละค่ะ แต่ทุกคนล้วนมีส่วนทำให้รันค่อยๆเปิดใจทั้งนั้น สำคัญเท่ากันหมดค่ะ เข้าคอนเซ็ปที่เราอยากเขียนคือความรักแบบเพื่อน แบบคนรัก และแบบรุ่นพี่ที่อาจจะโผล่มาน้อยนิด แต่ก็เป็นส่วนสำคัญกลุ่มแรกๆที่ทำให้รันเปิดใจลบอคติ ส่วนสังคมโซเชียลนั้นอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้รันกล้าที่จะออกมาจากกำแพงของตัวเอง เพราะมันชี้ให้เห็นได้ชัดเลยว่า โลกไม่ได้หมุนรอบตัวรัน ดังนั้นไม่สามารถไปกะเกณฑ์อะไรได้ เพราะขนาดพี่เนย์ที่ไม่ชอบสถานะของตัวเองในโลกโซเชียลก็ยังห้ามอะไรไม่ได้เลย ทั้งสองคนเลยต้องปล่อยวางถึงจะเป็นของตัวเองได้ ส่วนสังคมครอบครัวก็เดี๋ยวจะมีให้เห็นอีกในช่วงท้ายๆค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามและชอบนิยายเรื่องนี้เช่นเดิมค่ะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จงรักจงหลงน้องให้มากๆ หาทางขึ้นไม่ได้เลย  :call:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
ตอน 22



หลังจากเปิดใจให้เพื่อนของพี่เนย์จนแทบหมดเปลือกแล้ว ผมก็จำต้องจับไม้แบดเพื่อไปตีโต้กับพวกพี่เขาอยู่เรื่อย มีทั้งแพ้บ้างชนะบ้าง แล้วแต่ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย อีกอย่างเราไม่ได้แข่งกันจริงจังด้วย เราแค่เล่นกันสนุกๆเฉยๆ ใครเหนื่อยก็เปลี่ยนตัว พอหายเหนื่อยก็ค่อยกลับเข้าสนามแข่งใหม่ อ้อ แล้วผมก็รู้ชื่อหมาของพี่เอ้แล้วด้วย มันชื่อว่าเจ้า ‘มูฟ’ เพราะมันชอบเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นั่งนิ่งๆ หรือยืนอยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยจะเป็น เรียกง่ายๆว่า ดื้อนั่นแหละ แล้วทุกครั้งที่พี่เอ้พาเจ้ามูฟมาด้วย พี่เนย์ก็มักจะชอบไปไล่ปล้ำจูบเจ้านั่นอยู่เรื่อย
แต่เจ้ามูฟมันก็ยังไม่ยอมเหมือนเดิมนะ ท่าทางจะชอบเล่นตัวไม่เบา!

สถานการณ์แลดูชิวๆ ใช่ไหม แต่ไม่เลย เพราะตอนนี้ ‘ไฟนอลเทส อีส คอลลิ่งมี’ ซะแล้ว ช่วงนี้ก็เลยต้องพักกิจกรรมต่างๆไว้ก่อน เพื่อมาติวหนังสือกับเพื่อนคนอื่นๆ ในสาขา เพราะหลังจากคะแนนมิดเทอมออก พวกเราก็เริ่มเรียนรู้แล้วล่ะว่าควรจะต้องใช้ชีวิตอย่างไรเพื่อให้อยู่รอดในช่วงสอบของระดับชั้นมหาวิทยาลัย อีกทั้งรอบนี้เรายังถ่ายโพยของรุ่นพี่ระดับท็อป ที่ได้ทำการเก็งข้อสอบเอาไว้พร้อมแล้ว
การเตรียมตัวในครั้งนี้จึงไม่กระทันหันเหมือนช่วงมิดเทอมที่ผ่านมา

‘พวกพี่เนย์ชวนไปเที่ยวตอนช่วงปิดเทอมว่ะ’ ผมส่งข้อความลงในแชทไลน์ ขณะที่กำลังพักอ่านหนังสือในช่วงเวลาเที่ยงคืน
“พี่เขาชวนแค่มึงคนเดียว หรือว่าชวนพวกกูด้วยวะ?” ไอ้หมอกมันถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เหมือนเบื่อเต็มทีที่จะต้องมาย้อนถามผมด้วยคำถามนี้
“แต่กูคงไม่ต้องรอคำตอบหรอกมั้ง เพราะสุดท้ายก็คงเหมือนเดิม มึงก็ไปเถอะ ถ้าใจมึงอยากไป ไม่ต้องเอาพวกกูไปเป็นก้าง” ไอ้หมอกหันหน้าออกจากโต๊ะหนังสือ พลางจับจ้องมาที่ผม
“ตามนั้นครับมึง” ไอ้คินเองก็หันมามองผมพลางพยักหน้าสนับสนุน ก่อนจะหันไปอ่านหนังสือต่อ

‘แต่รอบนี้พี่เนย์เขาชวนพวกมึงจริงๆนะเว้ย เพื่อนๆพี่เขาก็ไปด้วย’
“แต่พวกกูไม่รู้จักเพื่อนของพี่เนย์สักคนเลยนะเว้ย ถ้าไปแล้วพวกพี่เขาจะสนุกเหรอวะ” ไอ้หมอกค้าน

‘ทำไมมึงจะไม่รู้จัก พี่บอสกับพี่ทีมสายรหัสพวกมึงสองคนก็ไปด้วย’
“แล้วพวกพี่เขาจะไปที่ไหนกันวะ นานหรือเปล่า กูอยากกลับไปอยู่บ้านนานๆหน่อย” ไอ้หมอกถามขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อมีคนที่มันรู้จักเพิ่มขึ้นในทริปนี้

‘กาญจนบุรี แค่สามวันสองคืนเท่านั้นแหละ’
“อ้าวเฮ้ย ไปบ้านกูเฉย” ไอ้หมอกมันบ่นอุบ เมื่อทริปที่ว่ากลายเป็นทริปที่วนเวียนอยู่ในจังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง

“ถ้างั้นกูไป” เมื่อได้ทราบชื่อจังหวัดที่ต้องไป ไอ้คินก็รีบหันมาให้คำตอบผมอย่างรวดเร็ว
“สัสคิน มึงนี่แม่ง ไม่ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กูเลย”

“มึงพูดเหมือนเรามีอำนาจในการตัดสินใจมากเลยนะ”
“อ้าวมึง อย่าลืมสิครับว่าเรามีใครเป็นพวก.. เนรันนะครับมึง ยังไงมันก็ต้องช่วยพูดให้พวกเราได้แน่ๆ” ไอ้หมอกมันว่าพลางผายมือมายังผมที่นั่งหันหน้าออกจากโต๊ะหนังสือของตัวเองไปทางโต๊ะหนังสือของมันที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

‘กูเนี่ยนะจะช่วยพูดให้มึงได้ มึงจะบ้าเหรอวะ กูไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงขนาดนั้น เพื่อนพี่เขาตั้งเยอะแยะ’ ผมเถียงแบบไม่ต้องคิดเลย เพราะถึงผมจะเปิดใจให้พวกพี่เขาได้มากที่สุดเท่าที่จะเคยเปิดใจให้ใครสักคนได้ โดยไม่นับพี่เนย์กับไอ้หมอกไอ้คินแล้ว ผมก็ถือว่าทำได้สำเร็จในขั้นที่น่าพอใจ แต่หากจะให้ไปต่อรองหรือร้องขออะไร ผมก็ทำไม่ได้หรอก แล้วถึงจะให้พี่เนย์ช่วยพูดให้ ผมก็ยังทำไม่ได้เหมือนเดิม เพราะ ทริปนี้เป็นความคิดของพี่เปรม แต่ถ้าหากเป็นความคิดของพี่เนย์ บางทีผมก็อาจจะกล้าพูดให้พวกมันก็ได้
เพราะถึงผมจะสนิทกับเพื่อนของพี่เนย์ก็จริง แต่เราก็ยังไม่ได้สนิทกันจนถึงขนาดไปออกความคิดเห็นใดๆได้
 
“โว๊ะ มึงนี่ ไปก็ไป กูเองก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวในจังหวัดบ้านเกิดของตัวเองเหมือนกัน” ไอ้หมอกมันทำเป็นบ่น แต่ก็ยอมรับปากว่าจะไปด้วยกัน จากนั้นมันก็หันกลับไปให้ความสนใจกับหนังสือเรียนที่เปิดค้างไว้บนโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือต่อ ทั้งห้องจึงกลับเข้าสู่สภาวะเงียบสงบเหมือนเดิม
เพราะทุกคนกำลังใช้สมาธิกันอย่างเต็มที่

หลังจากสอบไปได้ครึ่งนึงของตารางสอบ ผมก็ไลน์ไปบอกพ่อกับแม่ว่าผมจะไปเที่ยวกาญประมาณสามวัน และจะกลับบ้านอีกทีก็น่าจะประมาณวันศุกร์ เพราะเราจะออกเดินทางกันวันจันทร์ ผมเลยกะว่าจะพักสักวันนึงค่อยกลับบ้าน แต่แม่ก็บอกว่ายังไงพ่อกับแม่ก็ต้องไปรับอยู่แล้ว จะกลับวันพฤหัสเลยก็ยังได้ เพราะพ่อก็เดย์ออฟวันนั้นพอดี ผมก็เลยตอบตกลงไป เพราะไม่อยากให้พวกท่านวุ่นวายมากนัก นี่ถ้าแม่ยอมให้ผมนั่งรถกลับเองคงจะสะดวกกว่านี้
แต่ก็นั่นแหละ ท่านเป็นห่วง ผมเองก็เข้าใจในข้อนี้อยู่

“ทริปนี้เราเอารถไปกันเองสามคัน แต่เรามีทั้งหมดสิบคน” พี่เนย์พูดขึ้นขณะทานมื้อเช้าก่อนจะต้องไปใช้สมองในห้องสอบ
“…” ผมพยักหน้าตอบ พลางตักหมูทอดเข้าปาก

“แต่คือเพื่อนกู ไอ้บอสกับไอ้ทีมน่ะ ก็อย่างที่กูเคยเล่าให้มึงฟัง ว่าไอ้บอสมันไม่เก่งเท่ามึง..” พี่เนย์พูดขึ้น จากนั้นก็เงียบไปพักนึง เหมือนกับอีกฝ่ายกำลังลอบมองปฏิกิริยาของผมอยู่
“…” ผมพยักหน้าพลางยิ้มให้อีกฝ่ายเล่าต่อ

“ปัญหาก็คือรถกูมันนั่งไม่พอไง เพราะไอ้บอสแม่งไม่ยอมไปนั่งกับไอ้ตี๋บาส แล้วไอ้เปรมมันก็นั่งไปกับไอ้บาสด้วยไง แล้วอีกอย่างคือเพื่อนกูสองคนมันก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนอีกกลุ่มของกูด้วย สำหรับไอ้ทีมมันก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไรหรอก ติดแค่ไอ้บอสนี่แหละ” พี่เนย์พูดพลางท้าวคางมองผมด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะขยับปากเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างอยู่หลายครั้ง แต่ก็เหมือนยังตัดใจพูดออกมาไม่ได้
“…” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายรีบๆพูดออกมา

“รัน.. เพื่อนมึงไปนั่งรถไอ้ตี๋บาสได้มั้ย?” พี่เขาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงเบาหวิว จากนั้นก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ต้องการออกมา
“กูไม่รู้ว่าเพื่อนมึงที่ชื่อหมอกจะเป็นเหมือนไอ้บอสมันหรือเปล่า กว่ากูจะตัดสินใจมาถามมึงได้น่ะ กูต้องนอนคิดมาก มาหลายวันแล้ว”

“…” ผมยิ้มบางๆไปให้พี่เขา พลางรู้สึกประทับใจคนตรงหน้ามากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะพี่เขาไม่ได้ห่วงแค่ผม หรือแค่เพื่อนของตัวเอง แต่พี่เนย์ยังเผื่อแผ่ความห่วงใยนั้นมาถึงเพื่อนของผมด้วย
‘ไอ้หมอกมันเคยบอกผมว่า ที่มันเลือกเรียนสาขาหูหนวกศึกษา มันต้องการซื้อความสบายใจให้ตัวเอง เพราะมันก็กลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนหรือรุ่นพี่จากสาขาอื่นเหมือนแบบที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้’

“เครียดเลยกู” พี่เนย์เงยหน้าพลางยกมือขึ้นกุมศีรษะทั้งสองข้างขณะที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
‘จริงๆพี่ให้ผมไปนั่งรถของพี่ตี๋บาสเป็นเพื่อนพวกมันก็ได้นะ’ ผมวางช้อนส้อม เมื่อทานมื้อเช้าจนหมดแล้ว จากนั้นก็ก้มหน้าพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ผ่านทางแชทไลน์ ก่อนจะนั่งท้าวคางรอฟังความคิดเห็นจากคนที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด

“เอางั้นเหรอ?” พี่เขาถามย้ำคล้ายกับไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินคำตอบแบบนั้นจากผม
“…” ผมพยักหน้าพลางยิ้ม

“ถามจริง” พี่เนย์ย้ำถามอีกครั้ง พลางยกยิ้มในแบบที่มองยังไงก็เขินจนไม่อาจต้านทานได้
“คะ..อับ” ผมพยักหน้าอย่างแข็งขัน จากนั้นก็ตั้งใจพูดสำทับให้ดูจริงจังขึ้น

พี่เนย์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นร่างสูงในชุดนักศึกษาถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะวางแขนซ้ายให้คว่ำขนานในแนวราบ ส่วนมือขวาก็ตีเข้าที่ฝ่ามือซ้าย จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาชูนิ้วโป้งเหมือนกับที่หลายๆคนชอบบอกใครสักคนว่า ‘เยี่ยมมาก’ แต่ในความหมายของภาษามือไทยแล้วมันแปลว่า‘เก่ง’
“ไปเร็ว จะได้ไปนั่งเตรียมตัวที่หน้าห้องสอบ” พี่เนย์สะพายกระเป๋าเป้ที่ปกติไม่ค่อยจะใช้สักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่ช่วงสอบ จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบจานตรงหน้า ก่อนจะเงยขึ้นมาพยักหน้ากับผม
แล้วเราสองคนก็ลุกเดินออกจากโต๊ะทานข้าวไปพร้อมๆกัน

หลังจากที่คร่ำเคร่งอยู่กับการสอบจนกระทั่งถึงตัวสุดท้าย วันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ไอ้หมอกนี่ จากทีแรกแลจะมีปัญหาเยอะ พอเอาเข้าจริง มันนั่นแหละที่กระตือรือร้นกับทริปในครั้งนี้ที่สุดแล้ว
พวกพี่เขาจองที่พักไว้เป็นบ้านแพริมน้ำ อีกทั้งยังเป็นบ้านแฝดที่มีประตูคอนเนคติ้งถึงกันได้ และมีห้องนอนทั้งหมดสี่ห้อง คือชั้นล่างสอง และชั้นบนใต้หลังคาอีกสอง โดยผมกับไอ้หมอกไอ้คินได้พักอยู่ที่ห้องใต้หลังคาทางฝั่งซ้ายมือ ส่วนพี่เอ้กับพี่บาสก็พักอยู่ที่ห้องใต้หลังคาทางฝั่งขวามือ พี่เนย์กับพี่ทีมพี่บอสอยู่ชั้นล่างฝั่งซ้ายมือ ส่วนพี่บาสกับพี่เปรมอยู่ชั้นล่างทางฝั่งขวามือ

“เดี๋ยวสี่โมงครึ่งเขามีไปล่องแพ มึงไม่ไปเล่นน้ำด้วยกันเลยวะ” ไอ้หมอกมันยืนกอดอกพลางถามผมที่กำลังยืนมองบรรยากาศด้านนอกหน้าต่างอยู่เงียบๆ
‘กูว่ายน้ำไม่เป็น’ ผมพิมพ์ข้อความ พลางหันกลับมาสนใจเพื่อนซี้ที่ยังไม่ยอมไปเล่นน้ำตามที่ตั้งใจไว้ ก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือให้มันอ่าน

“เฮ้ยมันมีชูชีพเว้ยมึง” ไอ้หมอกรีบตอบแทบจะทันที
‘มึงไปเล่นกับไอ้คินเถอะ’ ผมพิมพ์ตอบมันพลางยกยิ้ม ก่อนจะล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงที่ในวันนี้จะต้องนอนอัดกันถึงสามคน

“อ้าวแล้วล่องแพล่ะ มึงจะไม่ไป?” ไอ้หมอกมันรีบถามขึ้นมาอีกหน เหมือนมันอยากให้ผมได้เล่นน้ำให้คุ้มค่ากับการดั้นด้นมาถึงที่นี่มากๆ
‘อื้อ’ ผมพยักหน้าตอบ เพราะอันที่จริงแล้ว ที่ผมตัดสินใจมาเที่ยวกับพวกพี่เนย์ก็เพราะพวกพี่เขาชวนมาก็แค่นั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย

“อะไรวะมึง มาถึงกาญแต่ไม่เล่นน้ำ” ไอ้หมอกยังคงบ่นอุบไม่เลิก จนไอ้คินต้องลากมันออกไปจากห้อง ส่วนผมก็นอนแผ่อยู่ที่เดิม ด้วยรู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางพอสมควร เพราะก่อนหน้าที่จะเข้าที่พัก เราแวะไปที่น้ำตกเอราวัณมาด้วย

ก๊อก ก๊อก

“ไม่ไปเล่นน้ำล่ะ?” พี่เนย์เปิดประตูเข้ามา พลางยืนพิงขอบประตูห้องและถามด้วยคำถามที่ไอ้หมอกมันเพิ่งจะถามผมแหม่บๆ
‘ผมว่ายน้ำไม่เป็นครับ’ ผมพิมพ์ข้อความแชทพลางส่งไปถึงอีกฝ่ายที่กำลังล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ชูชีพไง ว่ายเป็นไม่เป็นยังไงก็ต้องใส่อยู่แล้ว” พี่เนย์ว่าพลางปิดประตูห้องและเดินเข้ามานั่งบนเตียงข้างๆผมที่ยังคงนอนแผ่
“…” ผมส่ายหัว

“ไปเถอะ มากาญทั้งทีจะอยู่แต่ในห้องได้ไง ถ้ามึงกลัวเดี๋ยวกูให้เกาะ” พี่เนย์ว่าพลางเอื้อมมาจับมือผมและเขย่าเล่นเบาๆ
“เร็วๆรัน เอาแต่ยิ้มอยู่นั่น กูก็บ้าจี้ยิ้มตามมึงอีก” พี่เนย์บ่นพลางหันหน้าไปยังประตูห้อง หากแต่มือใหญ่คู่นั้นก็ยังคงจับมือของผมไม่ยอมปล่อย ขณะที่ริมฝีปากของเจ้าตัวก็ขยับยิ้มออกมาอย่างที่พูดจริงๆ

ติ้ง!

‘รอผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึงครับ’ หลังจากพิมพ์ข้อความด้วยมือเดียวอยู่นาน ผมก็สามารถส่งประโยคที่ต้องการจะบอกอีกฝ่ายได้สำเร็จ จากนั้นผมก็ดึงมือข้างขวาของตัวเองออกจากการกอบกุมของชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีดำสนิท ก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปคุ้ยหาเสื้อผ้าในกระเป๋าเป้ ที่วางพิงเอาไว้ตรงข้างกำแพง
นี่ถ้าไอ้หมอกมันเห็นผมยอมออกไปเล่นน้ำล่ะก็นะ มันต้องปรามาสขึ้นมาอีกแน่ๆว่าผมน่ะ ‘เชื่อง’ จริงๆ   

แล้วก็จริงอย่างที่คิด เพราะทันทีที่ผมเดินออกไปตรงนอกระเบียงบ้าน ไอ้หมอกที่กำลังลอยคออยู่ในน้ำก็พูดแบบไม่มีเสียงใส่ผมว่า ‘เชื้องเชื่อง’ แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ คอยว้าวุ่นอยู่กับการใส่เสื้อชูชีพ โดยมีคนที่ให้สัญญาไว้ว่าจะยอมให้ผมเกาะถ้าหากผมกลัว มาคอยตามประกบอยู่ไม่ห่าง
“ลงมาเร็วๆมึง ไปเดินบนโฟมกัน กูอยากไปเล่นสไลเดอร์” ไอ้หมอกมันกวักมือเรียกผมที่กำลังหย่อนขาลงบันไดตรงท่าน้ำริมระเบียง

“ไม่จมหรอกน่า” ไอ้คินมันพูดขึ้น เมื่อเห็นผมลังเล
“…” ผมมองหน้าเพื่อนสองคน จากนั้นก็หันไปมองพี่เนย์ อีกฝ่ายก็พยักหน้าสนับสนุน

ทันทีที่ผมลงไปลอยคออยู่ในน้ำ มือข้างหนึ่งของผมก็ยังคงจับอยู่ที่ราวบันไดบริเวณใต้น้ำ ส่วนอีกข้างก็จับยึดฝ่ามือใหญ่ของคนตัวโตที่กำลังค่อยๆทิ้งตัวลงในน้ำเอาไว้แน่น กระทั่งเราทั้งคู่ลอยคออยู่ในน้ำ พี่เนย์ก็บอกให้ผมตีขาตามไปด้วย ขณะที่ไอ้คินกับไอ้หมอกก็ปีนขึ้นไปนั่งรออยู่บนโฟมแผ่นใหญ่คนละแผ่น
พอผมว่ายเข้าไปใกล้ พวกมันก็ค่อยๆยืนทรงตัวบนโฟมแผ่นนั้น ก่อนจะเดินทรงตัวบนโฟมหนาทีละแผ่นอย่างรวดเร็วจนผมคิดว่าผมคงไล่ตามพวกมันไม่ทันแน่

“ไม่จมหรอก แป้บเดียวให้พี่ปีนขึ้นโฟมก่อน” พี่เนย์บอกพลางปล่อยมือที่กอบกุมกันไว้ วินาทีนั้นทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ผมก็มีสติมากพอที่จะเกาะโฟมแผ่นที่พี่เนย์ปีนขึ้นไปนั่ง
 “ปืนขึ้นมาเลยรัน” พี่เนย์ใช้เวลาสักพักในการยืนทรงตัว จากนั้นอีกฝ่ายก็ส่งมือมาให้ผมจับยึด ผมจึงค่อยๆปืนขึ้นอย่างทุลักทุเล ซึ่งพอผมขึ้นมาบนโฟมแผ่นเดียวกันแล้ว โฟมแผ่นนั้นก็โคลงเคลงไปมาจนผมกลัว เพราะมันจมไปกว่าครึ่ง พี่เนย์เลยต้องเดินไปยืนที่โฟมอีกแผ่นข้างๆกัน

“ยืนขึ้นเร็ว” พี่เนย์พูดพยักหน้าเบาๆ ผมจึงค่อยลุกขึ้นยืนด้วยอาการเกร็งไปทุกส่วน กว่าจะขยับขาได้แต่ละก้าวผมก็ต้องทำใจอยู่หลายนาที แต่ทีนี้พอผมจะเดินไปที่โฟมอีกแผ่น ความโคลงเคลงมันก็กลับมาอีก ผมจึงรีบส่ายหน้าให้พี่เนย์ที่ตอนนี้ขยับไปที่โฟมแผ่นใหม่แล้ว
“จะไปแล้วนะ ตามมาเร็วๆรัน ทรงตัวดีๆด้วย ไม่ล้มหรอก” พี่เนย์พูดพลางเดินห่างจากผมไปอีกหนึ่งแผ่นโฟม ผมจึงตัดสินใจก้าวข้ามโฟมแผ่นเดิมเพื่อมายืนยังแผ่นใหม่ กระทั่งผมเริ่มชินแล้ว จังหวะการก้าวเดินบนโฟมของผมก็เริ่มเร็วขึ้น พี่เนย์จึงเดินนำหน้าไปไกลลิบ ส่วนผมก็เดินตามอีกฝ่ายไปจนถึงตรงที่ที่ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ ก็คือสไลเดอร์

“ขึ้นมาเร็วๆรัน” พี่เอ้ที่กำลังปีนขึ้นไปยังสไลเดอร์ขนาดใหญ่ หันมาโบกมือเรียก ผมจึงส่ายหน้าเพราะผมกลัว ยิ่งว่ายน้ำไม่เป็นด้วยแล้ว ผมก็ไม่กล้าขึ้นไปหรอก ดูพี่ๆแต่ละคนสิ ลงน้ำทีตูมๆ จนน่าหวาดเสียว
“งั้นไปเล่นนี่กัน” พี่เอ้ปีนลงมาหาผมที่ยืนอยู่บนโฟม จากนั้นเธอก็จูงมือพาผมเดินไปยังแป้นกระโดดที่ลอยอยู่ในน้ำ โดยขณะที่เดินทรงตัวอยู่บนโฟม เธอจะต้องเดินนำหน้าผมด้วยโฟมหนึ่งแผ่น กระทั่งมาจนถึงโฟมแผ่นสุดท้ายที่หยุดอยู่ตรงหน้าแป้นกระโดด พี่เอ้ก็ก้มลงดึงเชือกที่ห้อยต่องแต่งอยู่ในน้ำ เพื่อลากแป้นกระโดดที่อยู่ไกลออกไปให้เข้ามาชิดแผ่นโฟม จากนั้นเธอก็ปีนขึ้นไปข้างบน

“ขึ้นมาเร็วๆรัน” พี่เอ้กวักมือเรียกผม พลางกระโดดโหยงเหยง จนทำให้แป้นกระโดดค่อยๆลอยห่างจากโฟมแผ่นสุดท้ายที่ผมยืนอยู่ ผมจึงก้มลงดึงเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกติดกับแป้นกระโดดให้เข้ามาใกล้ตัว
‘เอ้ มึงก็หยุดกระโดดก่อนดิ น้องมันกลัว’ ผมหันไปมองยังต้นเสียง เพราะไม่รู้ว่าพี่เนย์เดินผ่านมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในเมื่อก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเพิ่งจะเล่นสไลเดอร์มาหมาดๆ

“…” เมื่อผมมองพี่เนย์ในชุดเล่นน้ำที่เป็นแค่เสื้อยืดสีดำคลุมทับด้วยเสื้อชูชีพสีส้มแสดกับกางเกงขาสั้นสีครีม อีกฝ่ายจึงพยักหน้าสนับสนุน ผมเลยค่อยๆปีนขึ้นไปบนแป้นกระโดดได้สำเร็จ จากนั้นพี่เอ้ก็กระโดดโหยงเหยงยกใหญ่ แต่พอเธอเห็นผมไม่ยอมกระโดด เธอก็หันมาพยักหน้าพลางสะบัดมือขึ้นลงไปด้วย ผมจึงค่อยๆกระโดดด้วยจังหวะที่ไม่สูงมากนัก กระทั่งคุ้นแล้วผมถึงได้กระโดดสูงขึ้น ซึ่งพี่เอ้ก็จับมือผมไว้ แล้วเราก็กระโดดโลดเต้นอยู่บนนั้นด้วยกันราวกับเด็ก พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน แม้กระทั่งผมที่ทำได้แค่หัวเราะในลำคอก็ตาม แต่เสียงนั้นมันก็บ่งบอกได้ว่าผมรู้สึกสนุกมากแค่ไหน

“เฮ้ยๆ สี่โมงแล้ว เขามาตามให้ไปขึ้นรถ” ผมหยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นก็หันไปมองยังต้นเสียง ก็เห็นว่าพี่เนย์กำลังยืนปรบมืออยู่ตรงหน้าระเบียงบ้าน พลางตะโกนเรียกพวกเราให้ไปรวมพล ซึ่งพี่ๆคนอื่นที่ว่ายน้ำเป็นก็รีบกระโดดน้ำกันตูมตาม แป้บเดียวก็ว่ายไปจนถึงตัวพี่เนย์แล้ว แม้กระทั่งพี่บอสกับพี่ทีมที่ไม่ค่อยสนิทสนมกับเพื่อนอีกกลุ่มของพี่เนย์ ในตอนนี้กลับเข้าขากันได้ดีเพราะได้ร่วมทำกิจกรรมร่วมกัน
“ไอ้รัน มึงโดดลงมาเลย” ไอ้หมอกที่ว่ายน้ำมาพร้อมกับไอ้คินผ่านตรงหน้าผม มันก็รีบตะโกนบอกพลางกวักมือเรียก

“…” ผมหันไปมองพี่เอ้ ก็เห็นว่าเธอมองผมอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเธอก็พยักหน้าสนับสนุน ก่อนจะเอื้อมมือมาจับกับมือผม
“ถ้าพี่นับถึงสาม รันกระโดดเลยนะ” พี่เอ้ว่าอย่างนั้น แล้วก็เริ่มนับถอยหลัง โดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาทำใจเลย เพราะนับแค่ไม่กี่เลขผมก็ต้องกระโดดลงน้ำแล้ว

ตู้ม!!!!!!!

ตอนนี้ผมกับพี่เอ้คงจะเหมือนลูกหมาตกน้ำแน่ๆ เพราะพวกเราต่างก็เปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า กว่าจะว่ายมาจนถึงบันไดริมระเบียงบ้านก็เล่นเอาหอบ แต่ก็ไม่มีเวลาเหนื่อยนานนัก ในเมื่อใกล้เวลาต้องไปเล่นแพเปียกแล้ว ซึ่งผมก็นึกกลัวอีกนั่นแหละ
“ประมาณห้าโมงนะครับ รีสอร์ทที่โควกับทางเราไว้ เขาจะประกาศเรียกให้ขึ้นแพเปียก ถ้าหากใครขึ้นไม่ทันก็คือพลาดเลยนะครับ และระหว่างนี้ทุกท่านสามารถเล่นเครื่องเล่นได้ทุกอย่างครับ” ทันทีที่รถขับมาจนถึงรีสอร์ทที่ว่าแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ย้ำกับพวกเราให้รักษาเรื่องเวลา ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้พวกเราคงไม่ต้องห่วง เพราะเรามีมนุษย์ผู้ตรงต่อเวลาอย่างพี่เนย์อยู่ทั้งคน พี่เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครเถลไถลแน่ๆ

“คนเยอะชิบ” พี่เปรมบ่น พลางเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงปากทางเข้าสู่ลานเครื่องเล่นกลางน้ำที่อยู่ข้างๆห้องอาหารของทางรีสอร์ท
“ไปเล่นกันเลย เดี๋ยวกูถ่ายรูปให้” พี่บาสแฟนพี่เอ้เสนอ จากนั้นทุกคนก็เริ่มทยอยลงไปเดินบนแผ่นโฟมอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้พวกพี่เขาทำเพียงแค่เดินเล่นไปเรื่อยๆเท่านั้น แต่ผมคงพักก่อนดีกว่า เมื่อกี้ตอนเดินบนโฟมก็หอบจะแย่ เพราะต้องทรงตัวให้ดีไม่งั้นมีพลิกคว่ำ

“มึงไม่เล่นต่อเหรอวะ?” ไอ้หมอกมันเดินไปยืนบนแผ่นโฟมเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์จะหันมาถาม ผมจึงส่ายหน้าพลางโบกมือให้มันเล่นได้ตามสบาย ช่วงขายาวๆของมันจึงจ้ำเอาๆ เพื่อที่จะไล่ตามไอ้คินที่เดินทิ้งระยะห่างไปไกลแล้ว ครั้นเมื่อมันไล่ตามเพื่อนร่างสูงของตัวเองได้ทัน ไอ้หมอกมันก็รีบยืนอยู่บนโฟมแผ่นเดียวกัน ก่อนจะก้าวข้ามไปยังโฟมอีกแผ่นเพื่อแซงคิวไอ้คิน ที่ตรงนี้ก็เลยเหลือแค่ผม พี่เนย์ พี่บาสที่กำลังถ่ายรูปอยู่เท่านั้น

‘เอาโทรศัพท์มาด้วย ไม่กลัวมันโดนน้ำเหรอครับ’ ผมแบมือขอโทรศัพท์จากพี่เนย์ จากนั้นก็พิมพ์ข้อความให้อีกฝ่ายอ่าน
“ไอ้บาสมันมีกระเป๋ากันน้ำ เพราะต้องเอากล้องไปถ่ายรูปตอนล่องแพเปียกไง” ผมพยักหน้ารับ จากนั้นก็มองไปยังพวกพี่ๆ กับไอ้เพื่อนซี้ที่กำลังเดินเล่นบนโฟมกันอย่างสนุกสนาน แถมยังมีแกล้งกันจนล่วงลงน้ำตั้งหลายคนแล้ว ดีนะที่ผมไม่ไปเล่นด้วย
ไม่งั้นผมคงไม่พลาดที่จะโดนแกล้งแน่ๆ

พวกพี่เขามีเวลาเล่นกันสักพักใหญ่ ทางรีสอร์ทก็ประกาศเรียกคนที่สนใจจะไปล่องแพเปียกให้ไปรวมตัวกันตรงด้านหลังของห้องอาหาร เราทั้งหมดจึงยกโขยงเดินไปพร้อมกัน เมื่อมาถึงท่าขึ้นแพเปียกก็ต้องตกใจกับจำนวนคนที่เยอะมากๆ แต่แพก็แลใหญ่และดูแข็งแรงพอสมควร ผมจึงคลายความกังวลไปได้เยอะ เพราะนี่เป็นการล่องแพครั้งแรกในชีวิต
“ถ้าเป็นแพไม้ไผ่จะโคลงเคลงแล้วก็เดินลำบากด้วย อันนี้ไม่น่ากลัวหรอก” พี่เนย์พูดขึ้นคล้ายกับอ่านความคิดของผมออก ผมจึงหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินตามพี่คนอื่นๆที่ค่อยๆทยอยลงไปบนแพ จากนั้นถึงค่อยทิ้งตัวลงนั่งในตำแหน่งที่พวกพี่เขาจับจองไว้ โดยการนั่งห้อยขาละไปกับผืนน้ำอันกว้างใหญ่

“หันมาถ่ายรูปเร็ว” พี่บาสลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ประคองกล้องเอาไว้ในมือ ทำให้พวกเราทุกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาตีขาเล่นน้ำ ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน ไม่นานเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาถ่ายรูปเดี่ยวให้กับทุกคน
“หันมาถ่ายรูปคู่เร็ว” หลังจากถ่ายให้ทุกคนจนครบ ระหว่างรอเวลาให้พนักงานลากแพออกมาจากจุดเดิม พี่บาสก็เดินมาหาผมกับพี่เนย์ที่กำลังนั่งคุยกันเรื่องเจ้าเขี้ยวกุดว่าใครเป็นคนมาช่วยดูแลให้ในระหว่างนี้ เพราะกว่าพี่เนย์จะกลับถึงหอมันก็นานพอสมควรสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีคนดูแล พี่เขาเลยเฉลยว่าตอนนี้ได้จ้างให้เตที่เป็นหลานรหัส มารับช่วงแทนในระหว่างปิดเทอม เพราะเจ้าตัวเป็นเด็กพื้นที่ เลยไปมาที่หอพี่เนย์ได้สะดวก แล้วอีกอย่างจริงๆแล้วเขี้ยวกุดก็ให้อาหารแค่อาทิตย์ละสองครั้งเท่านั้น แต่ตัวพี่เนย์เองเขาอยากจะให้ทุกวันทีละน้อยๆมากกว่า เพราะยังไงก็แค่จับเหยื่อหย่อนลงไปในตู้ แล้วเขี้ยวกุดมันก็จะหากินเองอยู่แล้ว

“ยิ้มด้วยสิ” พี่บาสสั่ง ผมจึงค่อยๆคลี่ยิ้มอย่างเกร็งๆ เพราะผมเป็นคนที่ยิ้มแบบตั้งใจจะยิ้มไม่เป็น ทั้งๆที่หลายๆคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าผมยิ้มเก่งแล้วก็ยิ้มสวย แต่พอต้องบังคับตัวเองให้ยิ้มใส่กล้อง ผมก็มักจะยิ้มออกมาแบบเกร็งๆจนน่าตลกทุกครั้ง
“รันยิ้มแค่มุมปากก็ได้ เอาใหม่” พี่บาสนี่ถือเป็นตากล้องที่ดีใช้ได้ มีการให้ถ่ายแก้ตัวใหม่ด้วย

แชะ!

“รัน” หลังจากได้ยินเสียงชัตเตอร์ลั่นแล้วเรียบร้อย พี่อาคเนย์ก็ร้องเรียก ผมจึงหันไปหาบุคคลต้นเสียงที่นั่งอยู่ข้างๆกัน ก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจว่าจะเรียกผมทำไม ถ้ามัวแต่จะมานั่งจ้องหน้ากันแบบนี้
“…” พี่เนย์ไม่ยอมเฉลยคำตอบใดๆ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่เริ่มลากแพออกจากท่า แต่กว่าที่ช่วงแพของเราจะขยับก็นานหน่อย เพราะแพของรีสอร์ทยาวมาก แต่แล้วผมก็ต้องปรายสายตาไปมองยังคนตัวโตที่สวมเสื้อชูชีพสีแสดข้างๆกัน เมื่ออีกฝ่ายวางฝ่ามือหนาลงบนมือของผมที่เกาะขอบแพเอาไว้ และด้วยช่องว่างระหว่างเราที่มันไม่มี จึงไม่มีใครสังเกตได้ว่า ตอนนี้พี่อาคเนย์กำลังแอบจับมือของผมอยู่
ผมจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ก่อนจะหันหน้ามองออกไปทางอื่นด้วยความเก้อเขิน



-------------------------------------------------------

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเหมือนเดิมนะคะ >  จิ้ม
ใครเหม็นความรักก็ต้องทนกันต่อไปนะคะ 5555 เค้าจะเต๊าะกันเรื่อยๆค่ะ
ส่วนตอนนี้ก็มีหลายๆคนที่เปิดใจเลยเนอะ ไม่ว่าจะเป็นรัน พี่บอส หมอก
อารมณ์คล้ายๆกับการมาเข้าค่ายละลายพฤติกรรมค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น่ารักๆ ดูแลกันไปดีๆ นะครับ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
ตอน 23



ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับการถูกไอ้หมอกไอ้คินปลุกแต่เช้า เมื่อพวกมันอยากจะไปพายเรือคายักเล่น ผมที่พายเรือก็ไม่เป็น ว่ายน้ำก็ไม่เป็น เลยต้องยอมขุดตัวเองออกจากที่นอน เพราะพวกมันไม่ยอมปล่อยให้ผมได้นอนจนสมใจ
ขนาดเมื่อคืนนั่งดื่มกันตั้งนานกว่าจะเข้านอน พวกแม่งก็ยังตื่นกันไหว!

“ไปนั่งรับอากาศดีๆยามเช้านี่ พายไม่เป็นมึงก็ถ่ายรูปให้พวกกูสิครับ ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยสิเพื่อน” ไอ้หมอกมันว่าอย่างนั้น พลางหยิบโทรศัพท์มายัดมือผม ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ผมจึงต้องจำใจเดินเข้าไปล้างหน้าและบ้วนปากให้เรียบร้อยถึงค่อยตามพวกมันออกไป

ผมค่อยๆเดินลงบันไดอย่างเงียบเชียบ เพราะไม่อยากจะรบกวนพวกพี่ๆที่อยู่ข้างล่างสักเท่าไหร่ ในเมื่อห้องของอีกฝ่ายยังคงปิดไฟปิดผ้าม่านจนทั้งห้องมืดสลัว เพราะยังคงมีช่องผ้าม่านแง้มพอให้แสงสว่างจากข้างนอกเล็ดลอดเข้ามาบ้าง และเมื่อผมกำลังเดินผ่านเตียงนอนขนาดใหญ่ ผมก็แอบลอบยิ้มกับตัวเอง เมื่อเห็นพี่อาคเนย์กำลังนอนหลับสบายจนผมยุ่งไม่เป็นทรง
คาดว่าอีกนานกว่าเจ้าตัวจะตื่น เพราะเมื่อคืนก็ดื่มไปเยอะเหมือนกัน

ผมเดินออกมาข้างนอกบ้านตรงบริเวณริมระเบียง อากาศข้างนอกเย็นนิดๆ เพราะว่านี่เพิ่งจะหกโมงเช้าเท่านั้น ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นไม้ และเอาขาแช่น้ำตรงบันไดเรียบท่าน้ำ จากนั้นผมก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์ เพื่อเตรียมตัวจะถ่ายรูปไอ้เพื่อนสองคนที่มันพายเรือมาวนเวียนอยู่ตรงหน้าผมพอดี
แต่แล้วก็มีอะไรบางอย่างมาดึงความสนใจไปจากผมเสียก่อน

Akane Akarawin added 1 new photo
That’s a really nice photo

พี่อาคเนย์เขาโพสต์รูปภาพลงในเฟซบุ๊คส่วนตัว โดยที่ไม่ได้แท็กถึงใครทั้งนั้น เหมือนกับว่าเจ้าตัวเขาแค่อยากจะโพสต์ตามความรู้สึกของตัวเองเฉยๆ เพียงแต่ภาพนั้น มันเป็นภาพของผมกับพี่เอ้ ที่หันหลังให้กล้องขณะกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนแป้นกระโดดกลางน้ำ โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาขนาดเล็กซ้อนทับกันเป็นทิวเขาที่สวยงามตัดกับท้องฟ้าสีอ่อนที่แต่งแต้มด้วยสีขาวของเมฆก้อนใหญ่ จึงทำให้ภาพนั้นมองดูแล้วสวยงามขึ้นอีกเท่าตัว จนสมกับแคปชั่นของพี่เนย์ที่เขียนเอาไว้ว่า ‘นั่นเป็นรูปที่ดีจริงๆนะ’
ผมกดถูกใจภาพนั้น ก่อนจะเข้าสู่โหมดถ่ายภาพให้เพื่อนสองคน ที่กำลังพายเรือเล่นอย่างสนุกสนาน คล้ายกับว่าพวกมันกำลังปลดปล่อยความเครียดจากการอ่านหนังสือสอบมานานแสนนานจนหมดสิ้น

“ตื่นนานแล้วเหรอ?” พี่เนย์วางฝ่ามือลงบนหัวของผม พลางท้าวแขนข้างหนึ่งไว้กับราวระเบียงบ้าน ขณะที่ปากก็ถามไถ่ทันทีที่เจอหน้ากัน
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็นั่งมองเพื่อนทั้งสองคน ที่ดูเหมือนจะพายเรือเป็น แต่จริงๆแล้วพวกมันพายไม่เป็นเลยครับ ที่เห็นพายวนอยู่ตรงหน้าผมนั้น แท้ที่จริงแล้วพวกมันกำลังกลับลำเรือให้ไปยังทิศทางที่ต้องการ เพราะอีกนิดเดียวเรือลำนั้นก็จะชนเข้ากับขอนไม้เล็กๆ ที่ทางบ้านพักเขาผูกเชือกเพื่อกั้นเขต แต่ดูเหมือนเรือคายักลำนั้นจะไม่เชื่อฟัง เพราะเมื่อเพื่อนผมมันอยากจะพายไปทางซ้าย เรือก็ดันไปทางขวา

“มึงอยากพายเรือแบบเขาบ้างมั้ย?” พี่เนย์ยืนท้าวแขนกับราวระเบียงพลางหันหน้ามาทางผม ที่นั่งอยู่ตรงพื้นไม้ด้านล่าง   
“…” ผมส่ายหน้า

“ทำไม ? มึงพายไม่เป็น?”
“…” ผมไม่ตอบแต่กลับใช้ภาษามือในการสื่อสาร โดยแบมือซ้ายขึ้น ในระดับทแยงมุมน่าจะสัก 45 องศา ส่วนมือขวาก็ชูแค่นิ้วก้อยเพียงนิ้วเดียว จากนั้นก็แตะปลายนิ้วข้างที่ว่าลงบนฝ่ามือซ้ายและดันขึ้นกลางอากาศคล้ายกับขีดเส้นตรง ส่วนริมฝีปากก็ต้องเม้มแน่น แสดงถึงความมั่นใจ
เพื่อสำทับท่าทางนั้นที่แปลความหมายได้ว่า ‘ถูกต้อง’

“เดี๋ยวกูพายให้ มึงแค่นั่งเฉยๆก็พอ”

หลังจากตกลงกับพี่เนย์แล้วว่าเราจะไปพายเรือเล่นกัน เราสองคนก็แยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เล่นน้ำเมื่อวาน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแบกเสื้อเปียกหลายตัวนัก ก่อนจะลงมาใส่เสื้อชูชีพที่แขวนเอาไว้ที่ราวระเบียงบ้าน จากนั้นเราก็เปิดประตูหลังบ้านและเดินออกไปสูดอากาศข้างนอกพร้อมกัน
พี่เนย์ให้ผมหยิบไม้พาย ส่วนอีกฝ่ายก็ลากเรือคายักที่เจ้าหน้าที่เขาลากไปเก็บรวมกันไว้ตรงมุมหนึ่งของแพสำหรับให้บริการอุปกรณ์ดังกล่าวลงน้ำ แต่ด้วยความที่เรือมันหนักพอสมควร ก็เลยทุลักทุเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่เกินความสามารถของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ มากนัก

“มึงไม่ได้พายเรือก็นั่งหันหน้ามาหากูดิ” พี่เนย์ให้ผมเป็นฝ่ายลงเรือคนแรก เพราะเจ้าตัวจะคอยจับเรือไว้ให้ เพื่อที่มันจะได้ไม่โคลงเคลงมากนัก กระทั่งผมนั่งในท่าทางที่สะดวกขึ้น ผู้ชายผมยุ่งคนนั้นก็ส่งไม้พายขึ้นมาบนเรือก่อน จากนั้นถึงค่อยพาตัวเองมานั่งบนเรือลำเดียวกัน

“มึงเพิ่งเคยมาเที่ยวกับคนเยอะๆ แบบนี้ เป็นครั้งแรกใช่มั้ย?” พี่เนย์ถามขณะที่กำลังพายเรือวนรอบเครื่องเล่นแบบเป่าลมที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
“…” ผมหันมามองคนที่อยู่ตรงหน้า พลางพยักหน้าตอบรับ

“จริงๆมึงน่าจะลองตอบรับเป็นคำพูด เช่น ครับ ใช่ แบบที่มึงเคยพูดก็ได้”
“…”

“ถึงกูจะแพ้ทาง แต่มันคงดี ถ้ามึงได้ลองฝึกพูดเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง” พี่เนย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ราบเรียบ แต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่น ไร้ความกดดัน เหมือนว่าสุดท้ายแล้ว ผมเลือกจะทำตามหรือไม่ มันก็แล้วแต่ความต้องการของผมอยู่ดี
“คะ..อับ” ผมยิ้มพลางพยายามพูดตอบรับตามที่อีกฝ่ายแนะนำ เพียงเท่านั้นพี่เนย์ก็ยกยิ้มกว้างในแบบที่เจ้าตัวไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นเลย เพราะที่ผ่านมาพี่เขาเพียงแค่ยิ้มอย่างอบอุ่นเท่านั้น แต่ว่าครั้งนี้รอยยิ้มตรงหน้ากลับเป็นรอยยิ้มอันสดใส ที่ผมเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผมไม่ชอบรอยยิ้มนั้น

“ที่จริงมึงไม่ใช่คนตาตี่นะ แต่เวลามึงยิ้มทีไร ตามึงจะเรียบหายกลายเป็นขีดไปหมดเลย”
“…” ผมหัวเราะออกมากับคำเปรียบเทียบของอีกฝ่าย ด้วยรู้ตัวว่าหนังตาของผมมันเยอะเวลายิ้มจึงทำให้เนื้อตาข้างบนมันหย่อนลงมาด้วย จนทำให้ดวงตาจากที่เคยกลมโตกลายเป็นเส้นขีดยาวๆประดับใบหน้า

“แต่มันก็เป็นข้อดีตรงที่ว่า เวลามึงยิ้ม ตาของมึงก็จะยิ้มไปด้วย”
“…”

“นั่นเลยเป็นเหตุว่าทำไมมึงถึงยิ้มสวย” พอได้ยินคนตรงหน้าพูดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะเสมองไปทางอื่น และทำเหมือนกับว่าพี่เนย์ไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว สายตาของใครคนนั้นก็ยังคงจับจ้องมาที่ผมอยู่ดี

ด้วยความที่พวกพี่เขาจัดทริปไว้ที่สามวันสองคืนก็เลยต้องจองที่พักเอาไว้สองแห่ง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ในช่วงสายของวันนี้พวกเราเลยออกเดินทางกันเร็วหน่อย แม้จะยังไม่ถึงเวลาเช็คเอาท์ก็ตาม เพราะพี่เอ้อยากจะแวะเที่ยวน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นก่อน ซึ่งก็หนีไม่พ้นการแช่ตัวในน้ำเย็นเฉียบอีกตามเคย ดีหน่อยที่น้ำตกที่นี่ไม่มีปลามากนัก ไม่เหมือนกับน้ำตกเอราวัณ ขนาดว่าพวกพี่เขาเลือกไปแช่ตัวที่ชั้นสามแล้วนะ ปลาก็ยังรุมตอดอยู่ดี ส่วนผมวันแรกก็นั่งอยู่ริมฝั่งเพราะว่ายน้ำไม่เป็นและกลัวน้ำมันลึกด้วย แต่พอมาวันที่สอง ผมก็ยอมลงเล่นน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นแต่โดยดี เพราะไอ้หมอกมันยืนยันแล้วว่ามันไม่ลึกจริงๆ ด้วยการยืนให้ผมดู ซึ่งระดับน้ำก็อยู่แค่ต้นขาจนเกือบจะถึงเอวเท่านั้น
เรียกได้ว่าทริปนี้เรามาเพื่ออยู่กับน้ำจริงๆ เพราะทันทีที่มาถึงที่พัก พวกพี่บางคนรวมถึงเพื่อนผมด้วย ก็พากันไปเล่นน้ำในแม่น้ำอีกรอบ ส่วนพี่เปรมก็ยืนตกปลาอยู่ตรงริมระเบียงบ้านแฝด เนื่องจากที่พักของเราในคืนนี้เป็นโฮมสเตย์อยู่เรียบริมแม่น้ำแควใหญ่ ส่วนที่พักของเมื่อวานนี้อยู่ในเขื่อนศรีนครินทร์

บ้านพักหลังใหญ่ของที่นี่สามารถรองรับได้แค่สองถึงสี่คน แต่เพราะเราจ่ายเงินเพิ่มห้องละคน จึงทำให้พวกเราสามารถอัดแบ่งจำนวนคนในการเข้าพักของแต่ละบ้านออกเป็นฝั่งละห้าคน ซึ่งก็แบ่งกันตามสาขาที่เรียน เพื่อตัดปัญหาเรื่องพี่บอสออกไป แต่เอาเข้าจริง ผมว่าตอนนี้ไม่น่าจะมีปัญหาแล้วล่ะ เพราะผมเห็นพี่บอสกับพี่ทีมก็ไปเล่นน้ำกับพวกพี่บาส พี่เอ้ เรียบร้อยแล้ว แถมยังมีช่วงนึงที่พวกพี่เขากวนประสาทใส่พี่เปรมด้วยนะ คือพี่เปรมเขาตกปลาอยู่ใช่ไหมล่ะ แต่ทุกคนก็ดันไปเล่นน้ำตรงที่พี่เขาตกปลากันหมดเลย
แล้วปลาที่ไหนจะมาติดเบ็ดล่ะ

เมื่อบ้านพักไม่มีมื้อเย็นให้บริการ พวกเราทั้งหมดจึงต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปหาอะไรกินให้เรียบร้อย จากนั้นพวกพี่เขาก็แวะเซเว่นเพื่อซื้อเครื่องดื่มและกับแกล้มกลับที่พัก ส่วนพวกผมที่โดยสารรถของพี่ตี๋บาสออกมาข้างนอกก็ต้องกลับที่พักก่อนใคร เพราะว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายไปจัดสถานที่ เคลียร์พวกโต๊ะ เก้าอี้ให้หลบเข้ามุมซะก่อน จะได้นั่งตั้งวงที่พื้นได้

“มึงเอากีตาร์มาป่ะ?” พี่เปรมหันไปถามพี่เนย์ที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
“เปล่า” พี่เนย์ตอบพลางยกแก้วเหล้าขึ้นจิบเล็กน้อย

“ไอ้สัสเนย์! กูแม่งก็เตือนแล้วเตือนอีก มึงก็ยังลืมจนได้” พี่เปรมบ่น
“กูก็เปิดเพลงสร้างบรรยากาศให้มึงอยู่นี่ไง แค่นี้มึงก็น่าจะแดกแบบชิวๆได้แล้วนะ” พี่บาสแฟนพี่เอ้พูดขึ้นบ้าง

“โห่ว ไอ้เชี่ยบาสมึงแม่งไม่เข้าใจกูเลย มาเที่ยวทั้งที กูก็อยากจะนั่งจิบเหล้าชิวๆ เกากีตาร์เพลินๆ แล้วก็นั่งทอดอารมณ์ไปกับการชื่นชมธรรมชาติบ้างอะไรบ้าง” พี่เปรมสาธยายออกมาเป็นฉากๆ แต่สุดท้ายความหวังก็ต้องพังทลายเมื่อพี่เนย์ไม่ได้เอากีตาร์มาด้วย
“ไอ้บอสมันบอกว่ากีตาร์อยู่หลังรถ ไอ้เนย์มันโกหก” พี่ทีมถอดความภาษามือของพี่บอสให้พี่เปรมรับรู้ ทำเอาพี่เนย์จากที่นั่งชิวๆอารมณ์ดีเพราะได้อำเพื่อน ก็ถึงคราวต้องรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนีพี่เปรมอย่างรวดเร็ว เพราะอีกฝ่ายตั้งท่าจะหิ้วปีกพี่เนย์ไปโยนทิ้งน้ำ โชคดีที่พี่เนย์ไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นคงได้เล่นน้ำกลางดึกแน่ๆ เพราะพี่เปรมตัวใหญ่กว่าพี่เนย์มาก เรียกได้ว่าหุ่นนักกีฬาเลยแหละ เพราะรายนี้เขาออกกำลังกายบ่อย แล้วก็เป็นตัวตั้งตัวตีในการชักชวนเพื่อนคนอื่นๆไปตีแบดหรือไปวิ่งอยู่บ่อยๆ

“ไอ้บอส มึงนะมึง! ขากลับกูจะเนรเทศมึงไปนั่งรถไอ้ตี๋บาส” พี่เนย์ที่วิ่งหนีจนพ้นรัศมีของพี่เปรมแล้วก็รีบหันไปชี้หน้าเพื่อนอีกกลุ่มของตัวเองอย่างเหลืออด เพราะดูท่าแล้วพี่บอสคงจะเปิดใจให้เพื่อนของอีกฝ่ายมากกว่าที่คิด
“…” พี่บอสยักไหล่พลางยกยิ้มราวกับไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น มิหนำซ้ำยังจะดื่มโชว์พี่เนย์อย่างสบายอารมณ์ซะอีก

“เชี่ยเปรม รับ!” พี่เนย์เดินหายเข้าไปหยิบกุญแจรถ จากในห้องนอนของบ้านทางฝั่งซ้ายมือ ก่อนจะร้องเรียกพี่เปรมและโยนกุญแจรถไปให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับได้ทันพอดิบพอดี
หลังจากพี่เปรมหายไปเอากีตาร์ พี่ๆทุกคนก็นั่งจิบเหล้าไปพลาง แกะเมล็ดแตงโมกินไปพลาง มีหยุดพูดคุยกันบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่ก็ไม่บ่อยนัก เพราะทุกคนดูเหมือนจะกำลังดำดิ่งไปกับธรรมชาติเงียบๆรอบด้านที่มืดมิด ขณะที่ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ดื่มฟูลมูน ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่รสชาติออกหวานๆขมๆปะปนกัน เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยดื่มแอลกอฮอลล์มาก่อน พี่เอ้เลยสละฟลูมูนให้ผม ส่วนเธอก็ดื่มเหล้าเหมือนคนอื่นๆ ส่วนไอ้หมอกไอ้คินนี่ถือว่าลาภปากครั้งใหญ่เลย ในเมื่อที่ผ่านมาพวกมันไม่เคยออกไปดื่มที่ไหน ทั้งๆที่พวกมันนี่ก็คอแข็งมาก ผมเพิ่งจะมารู้ก็เมื่อวานนี้เอง ว่ามันเคยแอบดื่มเหล้าตอบช่วงสมัยมอปลาย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะมีความพยายามอะไรขนาดนั้นในเรื่องแบบนี้

การมาออกทริปในครั้งนี้ ผมคิดว่าตัวเองได้เปิดประสบการณ์อะไรหลายๆอย่างมาก เรื่องแรกเลยคือผมไม่เคยมาเที่ยวอะไรแบบนี้หรอก เพราะแม่กับพ่อผมท่านทำงานโรงแรม ซึ่งงานโรงแรมมักจะไม่ได้หยุดในวันที่คนอื่นเขาหยุดกัน อีกทั้งพ่อก็ยังเข้างานไม่เป็นเวลา โทรศัพท์บางทีก็รับไม่ได้ด้วย กิจกรรมเดียวที่พวกเราสามคนสามารถทำร่วมกันได้ก็คือการตีแบดและการทานข้าวร่วมกันทุกมื้อที่มีโอกาส
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นคนเงียบๆ และไม่ค่อยร่าเริงก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ด้วย ไม่ใช่แค่เพราะผมพูดไม่ได้เพียงอย่างเดียว ผมถึงได้บอกว่าแชมเปญน่ะ มันคือเพื่อนซี้ของผม และมันก็ทำให้ผมยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ นอกจากนี้ที่ผมไม่ยอมรักษาก็เพราะผมโกรธพ่อกับแม่ด้วยส่วนหนึ่ง แต่มันก็เป็นเพียงแค่เสี้ยวเล็กๆในใจ ที่ผมพยายามจะปกปิดมันไว้ก็เท่านั้น และนั่นคือสาเหตุที่พวกท่านไม่ได้บังคับให้ผมไปรักษา

เมื่อโตขึ้นผมก็เริ่มคิดอะไรได้มากขึ้น ความโกรธที่มีมันก็ค่อยๆจางหายไป และถูกแทนที่ด้วยอคติต่างๆจากอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียน จนลุกลามไปถึงมนุษย์ทุกคนที่มีแต่ความสมบูรณ์แบบ กระทั่งมาเจอพี่เนย์ที่ชี้นำให้ผมลองมองในมุมใหม่ โลกใบเดิมของผมมันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะผมมีทั้งเพื่อนที่ดี คนรักที่ดี พ่อแม่ที่รักผมอย่างไม่มีข้อแม้ อีกทั้งยังมีรุ่นพี่ทั้งจากในสาขา และนอกสาขาที่ตัวตนของพวกเขา ทำให้ผมยอมปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองต่างๆโดยที่พวกเขาก็เป็นตัวของตัวเองและไม่ต้องพยายามอะไรมากมาย
พอพี่เปรมเดินกลับมา พี่บาสก็ปิดเพลง เพื่อให้อีกฝ่ายได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันเป็นธรรมชาติ เคล้าเสียงเกากีตาร์ ตามที่ได้จินตนาการเอาไว้ให้สมใจ ส่วนพี่คนอื่นๆก็ยังคงมีปฏิกิริยาเหมือนเดิม ซึ่งผมชอบบรรยากาศแบบนี้ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ ที่เราต่างก็รู้สึกดี ทั้งๆที่ไม่ต้องพูดอะไรกันสักคำ
เพราะมันเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษ ที่เรารับรู้ได้ด้วยใจ
 
ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนถึงขนาดทุกคนทยอยกันไปเข้านอนก็ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว และกว่าจะรู้ ที่ตรงนี้ก็เหลือเพียงแค่ผมกับพี่เนย์ที่ไม่ค่อยได้ดื่มของมึนเมามากเท่าคนอื่น คนตัวสูงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่สามารถเอนตัวลงนอนได้ พร้อมกับกีตาร์หนึ่งตัว
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงทำนองเพลงที่เกิดจากการเกากีตาร์ก็ดังขึ้นเบาๆ

รักแท้ ไม่ใช่เพียงจะมองกันแค่หน้าตา
ไม่ใช่รอเวลาเพียงลมพัดมา
ก็จะได้พบรักที่แท้ข้างใน


ผู้ชายคนนั้น คนที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะร้องเพลงเพราะ ในตอนนี้เขากำลังขับร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล อีกทั้งเนื้อเพลงก็ยังชวนให้เก้อเขิน ร่วมกับบรรยากาศอันเงียบสงบที่มีเพียงแค่เรา หัวใจของผมมันก็เต้นระรัวอย่างไม่อาจบังคับจังหวะที่รัวกระหน่ำนั้นได้

มันต้องมีอารมณ์ที่อุ่นใจ
ยืนมือสัมผัส แล้วอุ่นกาย
มันต้องมีมวล ความรัก
กระจายอยู่ในทุกส่วน


เรียวนิ้วยาวของพี่อาคเนย์ยังคงกรีดกรายอยู่บนสายกีตาร์ ส่วนสายตาของพี่เขาบางทีก็จับจ้องไปที่โทรศัพท์ คล้ายกับจะดูคอร์ดเพลงที่เปิดหาเอาจากเว็บไซต์ตามอินเตอร์เน็ต และบางครั้งดวงตาคมเฉี่ยวคู่นั้นก็จับจ้องมาที่ผม ที่ทำได้แค่ยกขวดฟูลมูนที่ยังเหลืออยู่ขึ้นจิบแก้เก้อ เพราะอีกฝ่ายเวลาจ้องกันแต่ละที ก็มักจะจ้องเป็นเวลานานๆ

รักแท้ แบบของฉัน ก็คือจะทำเพื่อเธอ
เติมความหอม ละมุน ในความรักเธอ
ให้เธอรู้ว่ารักที่แท้แค่ไหน   
พร้อมให้ไออุ่นตอนตื่นนอน
ฉันจะคอยกอดเธอตลอดไป
ขอแค่เพียงเธอ เปิดใจมองมาที่ฉัน


เสียงเพราะๆของพี่อาคเนย์ในตอนนี้ กลับทำให้ผมดื่มได้ฝืดคอมากกว่าที่คิด เพราะจิตใจของผมมันเอาแต่โฟกัสไปที่อีกฝ่าย แม้จะทำเป็นไม่สนใจ หากแต่ทุกครั้งที่คนกำลังเล่นกีตาร์เขามองจ้องมา ผมก็รับรู้ได้ถึงสายตาคมลึก หากแต่หวานฉ่ำของอีกฝ่ายได้ ซึ่งมันเป็นสายตาที่ผมไม่เคยได้เห็น แต่ก็อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ที่ทำให้พี่เขาแสดงออกมาแบบนั้น

เธอจะพบ รักจริง อยู่ตรงนี้ ไม่ไกล
จับซิเธอ หัวใจฉัน ได้ยินไหม


(แฟ – วัชราวลี)

ผมเริ่มจะแยกไม่ออกแล้วว่าสิ่งที่ใครคนนั้นพร่ำร้องออกมา มันเป็นแค่เพียงเนื้อเพลงๆหนึ่งเท่านั้น หรือว่ามันมีความหมายอะไรที่ต้องการจะสื่อ เพราะถ้าหากมันเป็นเพียงแค่เนื้อเพลงที่ไม่ได้มีความหมายอะไร มันก็แสดงให้เห็นถึงความหวั่นไหวของผม ที่เริ่มจะชอบพี่เขามากกว่าที่เคย และมันก็คงจะมากกว่าที่อีกฝ่ายให้ความรู้สึกเหล่านั้นตอบกลับมา แต่ถ้าหากเพลงๆนี้ มันแฝงความหมายที่ออกมาจากความรู้สึก มันก็แปลได้ว่า..
ความรู้สึกของเราสองคน มันค่อยๆพัฒนาขึ้น พร้อมๆกัน

“รัน” ผมหันไปมองอีกฝ่าย จึงเห็นว่าพี่เนย์วางกีตาร์ลงบนเก้าอี้ และกำลังเดินมาหาผมที่นั่งอยู่บนพื้นตรงกลางระเบียงบ้าน
“…”

“แบมือมาดิ” พี่เขาพูดขึ้นพลางเอื้อมมือคล้ายกับจะหยิบอะไรสักอย่างที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง
“…” เมื่อผมยื่นมือออกไปตรงหน้าของอีกฝ่ายตามที่ร้องขอ ฝ่ามือใหญ่ที่กำอะไรเอาไว้สักอย่าง ก็ค่อยๆวางวัตถุเย็นๆรูปทรงคล้ายกับกุญแจลงบนฝ่ามือของผม ที่ถูกจับประคองด้วยมือใหญ่อีกข้างของพี่เนย์

“เก็บไว้” อีกฝ่ายพูดออกมาเพียงแค่นั้น แล้วก็เดินกลับไปหยิบกีตาร์ที่เก้าอี้ไม้ จากนั้นก็เดินเข้าไปยังบ้านพักของตัวเองอย่างเงียบเชียบ โดยไม่คิดจะอธิบายอะไรให้เข้าใจมากขึ้นเลย ผมจึงได้แต่ก้มลงมองกุญแจที่วางอยู่บนฝ่ามือแน่นิ่ง
แต่แล้วเนื้อเพลงที่พี่เขาเพิ่งจะร้องออกมาเมื่อครู่ มันก็สะกิดใจผม..

พร้อมให้ไออุ่นตอนตื่นนอน
ฉันจะคอยกอดเธอตลอดไป
ขอแค่เพียงเธอ เปิดใจมองมาที่ฉัน


บางทีกุญแจที่อีกฝ่ายมอบให้ มันก็อาจจะหมายถึงการชักชวนให้ไปอยู่ด้วยกันก็เป็นได้..

-----------------------------------------------------------------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 เกลากีตาร์ > เกากีตาร์
สำหรับตอนนี้พี่เนย์ก็จะมีความอ้อมโลกหน่อยๆ และธีมเพลงบอกความในใจของพี่เนย์ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงของวัชราวลีซะเยอะ เพราะชอบโดยส่วนตัวค่ะ และมันก็ดูเข้ากับพี่เนย์ด้วย เพราะคุณพระเอกของเราลึกๆแล้วเค้าเป็นคนอบอุ่น อ่อนโยนอ่ะเนอะ อีกอย่างเนื้อเพลงของวงนี้เค้าก็สละสลวยมาก แถมจังหวะเย็นๆ สบายๆ คล้ายกับแนวบัลลาดเกาหลีของเพลงต้นฉบับที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยค่ะ (คล้ายแค่จังหวะนะ แต่เนื้อเพลงบัลลาดนั้นเศร้ากระจายเป็นส่วนมาก) จริงๆเราก็รู้จักเพลงไทยไม่เยอะ เลยเลือกเอาเพลงที่ชอบมาสื่อความหมายแทนค่ะ และมันก็เข้ากันได้ดีมาก 555
ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 19:15:19 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
โรแมนติกอ่ะ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
ตอน 24


ผมกลับมาอยู่ที่บ้านโดยใช้ชีวิตกับเจ้าแชมเปญจนเหม็นเบื่อ เพราะเจ้านี้มันเอาแต่ร้องจะกินอย่างเดียว ซึ่งผมก็นะ แพ้ทางมันไง ถึงจะยกมือขึ้นชี้หน้าพลางถลึงตาใส่ แต่สักพักก็ต้องหันไปหยิบถุงอาหารแมวแบบเหลว ก่อนจะเอากรรไกรตัดเพื่อเปิดปากถุง จากนั้นก็เทใส่ลงในจานให้เรียบร้อย เท่านั้นไม่พอ ผมยังต้องสำรวจน้ำดื่มอีกว่าคุณชายแชมเปญเขามีพอจะกินหรือไม่ ซึ่งถ้ามันใกล้จะหมด ผมก็ต้องรีบเติมให้อย่างไม่มีข้อแม้
เพราะผมคือทาสครับ ‘ทาสแมว’   

ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน ผมก็ถือโอกาสพาแมวอ้วนไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ซึ่งมันก็ไม่ค่อยอยากจะวิ่งสักเท่าไหร่หรอก เพราะเผลอแป๊บเดียวเจ้าอ้วนนั่น มันก็นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้าอย่างขี้เกียจ แม้กระทั่งจะลุกขึ้นมายืนแต่ละที เจ้าแชมเปญมันก็ยังบิดขี้เกียจจนหลังโก่ง
แบบนี้จะไม่อ้วนยังไงไหว ?

พอกลับมาอยู่บ้าน ผมกับพี่เนย์ส่วนใหญ่ก็จะคุยกันผ่านทางตัวหนังสือเหมือนทุกที หรือไม่ก็ส่งคลิปเสียงที่เป็นบรรยากาศรอบข้างให้กันบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแค่ผมล่ะนะที่ได้ยินเสียงของพี่เนย์ข้างเดียว เพราะอีกฝ่ายเขาชอบส่งคลิปเสียงตอนที่ตัวเองกำลังคุยกับเจ้าเขี้ยวกุดลูกรักมาให้ฟังบ่อยๆ ซึ่งก็เป็นคลิปเก่าๆที่พี่เขาเคยถ่ายไว้นั่นแหละ เพราะเจ้าตัวไม่สามารถหอบเอาลูกรักกลับบ้านได้ แถมทุกวันนี้ก็ยังชอบลงรูปเจ้าเขี้ยวกุดที่ยังไงก็ไม่ยอมหมดสต๊อกลงในเฟซบุ๊กมากกว่ารูปของตัวเองอยู่ดี
พี่เนย์เขาไม่คิดบ้างหรือไงว่าบ้างทีผมก็อยากให้พี่เขาลงรูปของตัวเองบ้าง!

ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจกับตัวเอง ที่คิดถึงอีกฝ่ายแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกว่า ‘คิดถึง’ ช่วงหลังๆมานี้ ผมเลยมักจะขอติดรถพ่อออกมาข้างนอกด้วย เพราะกะว่าจะไปหาร้านกาแฟนั่งชิวๆแก้เบื่อ แต่กลับกลายเป็นว่า ผมดันเบื่อกว่าเดิม เพราะขณะที่จิบบลูเลม่อน กิจกรรมอย่างเดียวที่ผมสามารถทำได้ก็คือ ‘การเล่นโซเชียล’
แต่เพราะโซเชียลไหนๆก็ไม่สามารถดึงดูดใจผมได้จนตลอดรอดฝั่ง สุดท้ายผมก็ได้แต่เลื่อนดูบทสนทนาระหว่างผมกับพี่เนย์ผ่านทางแชทไลน์ซ้ำๆ แต่ครั้นจะนั่งดูบทสนทนาเดิมๆทุกวันก็เห็นทีจะเข้าขั้นอาการหนัก
หมายถึง ‘ความคิดถึง’ ของผมนี่แหละที่อาการหนัก

วันนี้ก่อนไปที่ร้านกาแฟเจ้าประจำผมเลยให้พ่อแวะส่งที่ห้างสรรพสินค้าติดชายทะเลของเมืองแห่งการท่องเที่ยว เพื่อไปซื้อหนังสือ โดยเลือกเป็นหนังสือที่คล้ายกับหนังสือภาพ ที่ใช้ตัวอักษรเล่าเรื่องเพียงเล็กน้อย เพราะผมกะจะลองฝึกอ่านจากหนังสือเล่มที่ผมเลือกดู

ติ้ง!

‘ทำอะไรอยู่’ พี่เนย์ส่งข้อความมาหา ขณะที่ผมกำลังจะนั่งรถสองแถวไปยังร้านกาแฟร้านเดิมที่ผมชอบ เพราะบรรยากาศของร้านมันดีมากๆ สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ไกลจนสุดลูกหูลูกตา แต่ก็นั่นแหละ อาหารไม่แพง แถมวิวก็ดี อีกทั้งยังมีคนรีวิวเยอะ ลูกค้าก็เลยมากมายอลังการ แล้วกว่าผมจะเดินทางไปถึง ก็ไม่รู้ว่าที่นั่งดีๆจะยังเหลืออยู่อีกหรือเปล่า ในเมื่อเวลานี้มันก็เริ่มจะใกล้เวลาเลิกงานขึ้นมาเต็มทีแล้ว อีกทั้งร้านนี้ก็ยังเป็นแหล่งรวมตัวของชาวต่างชาติ คนพื้นที่ และคนกรุงเทพซะด้วย

‘ออกมาซื้อหนังสือครับ กะว่าจะไปนั่งอ่านที่ร้านกาแฟริมทะเลร้านเดิม’ ผมพิมพ์ข้อความตอบอีกฝ่าย จากนั้นก็มองวิวทิวทัศน์ด้านนอก เพื่อที่ผมจะได้รู้ว่าควรกดสัญญาณตอนไหน กระทั่งถึงหน้าวัดแห่งหนึ่ง ผมก็ตัดสินใจลงไปนั่งวินมอเตอร์ไซค์แทน เพราะว่าการจะเดินทางไปที่ร้านนั้นได้ ถ้าหากไม่มีรถส่วนตัวก็ออกจะลำบากสักหน่อย
ค่าเดินทางในวันนี้ ทำเอากระเป๋าผมฉีกแน่ๆ

‘แล้วพี่ทำอะไรอยู่ครับ?’ แต่พออีกฝ่ายเงียบหายไป ผมก็เริ่มหาบทสนทนามารั้งเขาไว้ ทั้งๆที่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้อำนวยเลย
‘เล่นเกมส์’

‘ผมต้องนั่งวินมอไซค์แล้ว ไว้คุยกันใหม่นะครับ’
‘ครับ’ หลังจากอ่านข้อความนั้นจบ ผมก็อมยิ้มให้กับคำตอบรับที่อีกฝ่ายตอบกลับมา เพราะมันเป็นคำที่จะว่ายังไงดี มันฟังดูน่ารัก ทั้งๆที่มันก็เป็นเพียงแค่คำธรรมดาๆคำหนึ่ง

หนังสือที่ผมซื้อเป็นหนังสือที่มีชื่อว่า ‘การเดินทางของชิ้นส่วนที่หายไป’ เหตุผลที่ผมตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ก็เพราะชื่อหนังสือมันสะดุดตาจนทำให้ผมสนใจที่จะหยิบมันขึ้นมาพิจารณา และพร้อมที่จะควักเงินออกจากกระเป๋าได้ง่ายๆ เพราะมันตรงกับคอนเซ็ปที่ผมตั้งใจไว้ ก็คือผมอยากได้หนังสือที่เป็นเหมือนสมุดภาพ ที่มีการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรเพียงน้อยนิด เพื่อที่มันจะได้เหมาะกับคนที่กำลังหัดอ่านอย่างผม
 
ติ้ง!

ผมที่กำลังจะเปิดหนังสือหลังจากแกะซีลออก ก็ต้องหยิบโทรศัพท์ที่วางเอาไว้บนโต๊ะข้างๆแก้วบลูเลม่อนขึ้นมาดู ก็เห็นว่าเป็นพี่เนย์ที่ส่งรูปมาหา โดยไม่ได้ส่งข้อความอะไรมาเพิ่มเติม ผมจึงสไลด์หน้าจอเพื่อเข้าไปดูภาพดังกล่าว

‘กูโดนแม่ตีเพราะเอารูปเจ้าเขี้ยวกุดให้ดู ก็กูคิดถึงของกูนี่หว่า แต่แม่กูเขาไม่ชอบสัตว์เลื้อยคลาน แถมยังว่ากูอีกว่าเลี้ยงอะไรไม่เข้าท่า ใจร้ายกับกูมาก นั่นลูกกูเลยนะ ไม่ชอบลูกกูได้ยังไง’ พอรูปดังกล่าวขึ้นว่า ‘Read’ โดยที่ผมยังไม่ทันได้พิจารณารูปที่ว่านั่นแม้แต่นิดเดียว พี่เนย์ก็ส่งข้อความอันเป็นใจความสำคัญมาให้อย่างรวดเร็ว ผมก็เลยเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงส่งรูปแขนของตัวเองมาให้ผมดู ในเมื่อผมอยากเห็นหน้านะ ไม่ได้อยากเห็นแขนเลย
‘อะไรที่มันน่ารักในสายตาของพี่ ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะน่ารักในสายตาของทุกคนนี่ครับ ถ้าพี่ยังไม่ลืม เขี้ยวกุดก็ไม่ได้น่ารักสำหรับผมนะ’ ผมพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนข้อความนั้นจะเป็นข้อความแทงใจดำของอีกฝ่ายน่าดู เจ้าตัวถึงได้ทำเพียงแค่เปิดอ่านข้อความนั้น เพื่อให้มันขึ้น ‘Read’ แล้วก็หายไปเลย
ไม่ใช่ว่าน้อยใจเหรอนั่น ?

‘แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจเจ้าเขี้ยวกุดนะ พี่ก็รู้’ ผมรีบพิมพ์ข้อความถึงอีกฝ่ายในเชิงง้อเล็กน้อย จากนั้นก็ตั้งมั่นไว้ว่าผมจะตั้งใจอ่านหนังสือที่อุตส่าห์ลงทุนไปหาซื้อมา แถมผมยังดั้นด้นจะมาอ่านนั่งถึงที่นี่ด้วย
ความตั้งใจในวันนี้ของผมมันต้องไม่เสียเปล่าสิ!

ติ้ง!

‘ครับ’ ผมอ่านข้อความผ่านทางโนติจากหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะสไลด์เข้าไปให้มันขึ้น ‘Read’ เพื่อที่อีกคนจะได้ไม่คิดว่าผมกำลังละเลยเขาสักหน่อย จากนั้นผมก็เริ่มเปิดหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะไม้มาเนิ่นนาน
“สะอ่วน..ทะอิ..ที่..หะอาย..ปะไป..นะอั่ง..สะ..เศร้า..” ผมเอนตัวลงบนเบาะนั่งนุ่มๆอันใหญ่ที่ใช้แทนเก้าอี้ จากนั้นก็เริ่มฝึกอ่านด้วยตัวเองช้าๆ แต่ดูเหมือนว่าผมจะอ่านออกเสียงไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ 
กับอีแค่ประโยคที่ว่า ‘ส่วนที่หายไปนั่งเศร้าเพียงลำพัง’ แค่นั้น ทำไมมันถึงยากเย็น

“ระ..รอ..คะออย..คะ..ไอ..” ผมยังคงอ่านไปเรื่อยๆ แม้ว่ามันจะไม่เป็นคำจนน่ารำคาญก็ตาม เพราะสุดท้ายแค่ประโยคง่ายๆที่ว่า ‘รอคอยใครสักคนที่จะมาหา และพามันไปที่ไหนสักแห่ง’ ก็ช่างยากเย็นจนน่าโมโห ผมเลยวางหนังสือเล่มดังกล่าว ก่อนจะหยิบบลูเลม่อนขึ้นมาจิบ และสุดท้ายผมเลยตัดสินใจที่จะอ่านออกเสียงเพียงแค่ในใจอย่างยอมแพ้

ติ้ง!

ผมเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดู จึงเห็นว่าพี่เนย์ส่งไฟล์เสียงมาให้ ผมเลยกดฟังอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าอีกฝ่ายส่งคลิปเสียงที่ตัวเองกำลังเรอมาให้ผมซะนี่ เลยทำให้รู้ว่าเวลานี้มันก็เย็นมากแล้ว และมันก็เป็นเวลามื้อเย็นของใครหลายๆคนด้วย แต่ว่าผมกำลังรอแม่เลิกงานอยู่ อีกสักพักก็น่าจะถึง เพราะแม่เลิกงานหกโมงเย็น แต่กว่าจะขับรถออกมาหาที่จอดของร้านได้ ก็น่าจะสักทุ่มนึงโดยประมาณ

ติ้ง!

‘พี่เนย์โคตรน่าเกลียด! ส่วนผมยังไม่ได้กินครับ กำลังรอแม่เลิกงานอยู่’ ผมส่งไฟล์เสียงที่ตัวเองกำลังดูดน้ำจนเสียงดังเบาๆ ไปให้อีกฝ่าย จากนั้นก็พิมพ์ข้อความส่งไปอีกหนึ่งประโยคยาวๆ
‘น่าเกลียดแล้วไง?’ อีกฝ่ายย้อนถามราวกับต้องการจะกวนประสาท ผมเลยไม่ตอบอะไรกลับไป นอกจากปล่อยให้ข้อความนั้นมันขึ้นว่า ‘Read’ ต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าในใจจริงๆจะอยากบอกกับอีกฝ่ายว่า..
ถึงพี่จะแกล้งทำอะไรน่าเกลียดแบบนั้น แต่ผมก็ยังชอบพี่อยู่ดี..

ผมทานมื้อเย็นกับแม่จนถึงสามทุ่ม เพราะแม่ขอเวลานั่งชิวบ้าง เนื่องจากงานเข้าคุณนายระพีจนเธอแทบไม่มีเวลาจะพักเลยแม้แต่นิด เพราะคุณนายเธอเจอออดิทเข้าตรวจ ทำเอาหัวปั่นไปหมด เพราะออดิทเวลาต้องการข้อมูลเช่นแฟ้มประวัติเขาจะสุ่มชื่อเอาสักสิบคน คละกันทุกแผนก ฝ่ายบุคคลก็ต้องรีบตรวจเช็คเอกสารก่อนหนึ่งรอบ เผื่อว่ามีอะไรผิดพลาดจะได้แก้ไขได้ทัน เช่นว่าบัตรประชาชนหมดอายุ โดยที่ฝ่ายบุคคลก็ทวงแล้วทวงอีกแต่พนักงานก็ยังไม่ยอมเอามาให้ นั่นล่ะ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้วุ่นวาย แม้ว่ามันจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่ก็ใช่ว่าคนเราจะปฏิบัติตาม

Rrrrrrr

ผมเดินเช็ดหัวหลังจากอาบน้ำสระผมเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะมาหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดอย่างเอาเป็นเอาตาย และทันทีที่ผมกดรับสาย เสียงทุ้มนุ่มของใครอีกคนที่ตลอดระยะเวลาของการปิดเทอม ผมแทบจะไม่ได้ยินเลย ถ้าหากเจ้าตัวไม่ได้อัดคลิปเสียงที่กำลังคุยกับเจ้าเขี้ยวกุดส่งมาให้

“ทำอะไรอยู่วะ กูโทรหาจนมือจะหงิกละ”
“…” ผมเงียบไปสักพัก เพราะยังอึ้งอยู่ ที่อีกฝ่ายเขาบอกว่าโทรหาผมจนมือหงิก

“อาบน้ำยัง?”
“อะอือ” ผมเค้นเสียงตอบ พลางเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปแขวนตรงราวตาก ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงขณะที่มือก็ประคองโทรศัพท์ไม่ปล่อย

“ร้องเพลงให้ฟังเอาป่ะ?” อีกฝ่ายถาม จนผมอยากจะถามกลับไปเหลือเกินว่า.. อารมณ์ไหนของพี่เนี่ย!
ติดก็แต่ผม พูดคุยยังไม่ค่อยสะดวกนัก..

เสียงเกากีตาร์ดังขึ้นเงียบๆ ผ่านทางสายโทรศัพท์ ก่อนจะตามด้วยเสียงทุ้มนุ่มของคนที่บอกว่าจะร้องเพลงให้ฟัง ขณะที่ผมก็เปลี่ยนมานอนตะแคงกอดหมอนข้าง ส่วนโทรศัพท์ก็เอาวางพิงไว้ที่หูโดยไม่ต้องถือให้เมื่อยมือ 

ฉันก้าวเดินขึ้นไป บนขบวนสุดท้าย
และหาที่นั่งดีๆ เผื่อจะมีคนข้างกาย
เวลานี้ ก็มีเพียง ฟ้าที่เปลี่ยน สี ไป
ทอดยาว เหลือเกิน หัวใจ

รถเคลื่อนไปบนทาง จนใครบางคนผ่านมา
เขาขึ้นและเดินเขยิบจนติดเกือบชิดหน้าตา
เวลานี้ก็มีเพียง เราที่อยู่ใกล้กัน
เกือบชิดจนสัมผัส เธอ นั้น


ผมฟังเสียงทุ้มนุ่มร้องเพลงไปเพลินๆ โดยที่ไม่ได้คิดว่าบทเพลงนี้จะมีความหมายใดแอบแฝง เพราะจากที่ได้ฟังมาจนถึงท่อนนี้ เพลงๆนี้ก็ไม่ได้ตรงตามความรู้สึกหรือว่าสถานการณ์ที่เรากำลังเป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย
คาดว่าพี่เนย์คงจะอยากร้องเพลงให้ฟังเท่านั้นจริงๆ

ฉันคิดว่ามันคงดีถ้าเราได้ยืนห่างๆ
โดยไม่ชิดจนเกินไป อาจทำให้ใจลอย
ไปถึงไหน ถึงแดนดินใด ที่ไหน
ก็ไม่ได้เตรียมดวงใจ กับเหตุการณ์นี้

ฉันคิดว่าคงดีถ้าเราได้ลองรู้จัก
พูด ทักและทายกัน เบาๆข้างกายเธอ
คนที่ไหน เธอไม่มีแฟนใช่ไหม
มันคงพูดยากเกินไป โอว โอว เธอ เธอ


(สถานีดวงจันทร์ – วัชราวลี)

“รัน” พี่เนย์เรียกผม พลางเงียบไปพักใหญ่
“…” ขณะที่โทรศัพท์ของผมมันหล่นตุบใส่ที่นอน เมื่อผมเคลิ้มจะหลับเพราะน้ำเสียงทุ้มนุ่มของอีกฝ่ายที่ในวันนี้ได้มีโอกาสพิจารณาแล้วว่ามันเพราะและทำให้หลับสบายอย่างบอกไม่ถูก

“จริงๆแล้วเพลงนี้ มันตรงกับความรู้สึกของพี่ ตอนที่เราได้เจอกันครั้งแรกบนเส้นขอบถนน”  พอผมนำเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง ก็พอดีกับพี่เนย์ที่พูดทิ้งทายไว้เพียงแค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็วางสายไป เพราะว่าพี่เขาคงจะคิดว่าผมได้เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว
หากแต่ผมที่ก่อนหน้านี้กำลังเคลิ้มจะหลับ ก็ถึงกับตาสว่าง เพราะคำพูดของอีกฝ่าย

ถ้าหากบทเพลงนี้มันตรงกับความรู้สึกของพี่เนย์ในตอนที่เราได้เจอกันครั้งแรก ก็เท่ากับว่าตอนนั้นที่เราบังเอิญชนกันบนเส้นขอบถนน ใจนึงพี่เขาก็อยากจะรู้จักผมให้มากกว่านี้ และอีกใจนึงพี่เขาก็อยากทำเพียงแค่มองห่างๆ ตามเนื้อเพลงสินะ
แล้วพอมาเจอกันอีกทีในห้องน้ำที่ตึกคณะ พี่เขาถึงได้ชวนผมคุย โดยการพูดเตือนไม่ให้ผมไปเดินอยู่บนเส้นขอบถนน เพราะมันอันตราย ทั้งๆที่ตัวเองก็ทำแบบนั้น ซึ่งอันที่จริงแล้วอีกฝ่ายอาจจะแค่อยากหาเรื่องมาพูดคุยกับผม เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกันให้มากกว่านี้ เพราะไม่อย่างนั้นก่อนที่จะจากกัน พี่เนย์คงไม่เลือกที่จะแนะนำตัวกับผมหรอกจริงไหม?
แบบนี้มันก็เท่ากับว่าพี่เนย์เขาชอบผมมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยน่ะสิ ?
ไม่หรอก ตอนนั้นพี่เขาน่าจะแค่รู้สึกสนใจ เพราะเจ้าตัวไม่ได้พยายามไขว้คว้าที่จะหาเรื่องมาเจอผมเหมือนกับที่คนทั่วๆไปเขาทำกัน

----------------------------------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 เกลากีตาร์ > เกากีตาร์
วันนี้มาดึกหน่อยเนอะ พอดีมีธุระค่ะ ส่วนพรุ่งนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะอัพได้มั้ยนะคะ
สำหรับตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเค้าจีบกันอีกแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 19:16:11 โดย Chomin »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ละมุน

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you ♥
ตอน 25



“ลงทะเบียนสำเร็จแล้วโว้ย ไอ้เชี่ยเอ้ย กูแม่งลุ้นชิบหาย นึกว่าเว็บจะล่มอีกรอบแล้ว” ไอ้คินมันบ่นออกมาหลังจากที่เราต้องมาขลุกตัวเพื่อนั่งรอลงทะเบียนที่ห้องคอมของมหาลัย ที่เปิดให้บริการแทบจะตลอดเวลา เพราะห้องคอมมีความจำเป็นต่อนักศึกษาผู้ที่ไม่มีโน๊ตบุ๊กส่วนตัวใช้
“กูนี่แทบพนมมือก้มลงกราบคอมเลยเว้ย กลัวเหลือเกินว่าไอ้วิชาเลือกดีๆเพียงตัวเดียวของเราแม่งจะเต็ม” ไอ้หมอกมันพูดเสริมขึ้นมาบ้าง ส่วนผมก็นั่งอยู่หน้าจอคอมริมขวาสุดข้างไอ้หมอกเงียบๆ เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราก็สามารถลงเรียนวิชาเลือกตัวเดียวกันได้

“เออ ไอ้คิน เปิดเทอมมาก็ตามึงทำแคมเปญแล้วไม่ใช่เหรอวะ ได้ถ่ายยัง?” หลังจากทำเรื่องยกเลิกการใช้คอมเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็พากันเดินออกจากห้องคอม ก่อนจะลงบันไดที่เชื่อมต่อกับห้องสมุด เพื่อเดินออกไปจากตัวอาคารที่เต็มไปด้วยหนังสือ และอุปกรณ์เทคโนโลยีส่วนกลางต่างๆ
“ยัง กูรอให้พวกมึงถ่ายให้” ไอ้คินตอบ พลางก้าวเดินไปตามร่มไม้

“งั้นอัดเลยมั้ยมึง อีกไม่กี่วันจะก็เปิดเทอมแล้ว”
“เอาดิ แต่มึงต้องทำให้กูดูก่อนว่ะ กูลืมแล้ว” ไอ้คินพยักหน้า พลางหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู จากนั้นก็ยกยิ้มให้หน้าจอสี่เหลี่ยมอย่างน่าสงสัย

“แอ้มเหรอ?” ไอ้หมอกมันชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในหน้าจอโทรศัพท์ยกใหญ่ แต่ไอ้คินมันก็ไหวตัวทันรีบเก็บเครื่องมือสื่อสารดังกล่าวลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม พร้อมบ่นเบาๆพอให้ได้ยินแบบชัดแจ้งว่า ‘ไม่เสือกสิครับ’
“กูไม่ได้เสือก กูแค่อยากรอบรู้” ไอ้เพื่อนคู่ปรับที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้มีโอกาสสู้รบกับมันมากนัก พูดให้คำจำกัดความของวิถีคนเสือก ให้กลายเป็นระดับซอฟท์ เหลือเพียงแค่ ‘วิถีคนอยากรอบรู้’
เอากับมันสิ! ภาษาดูสุภาพขึ้นสิบระดับ!

“ว่าแต่แฟนมึงกลับมาวันไหนวะรัน?” พอวอแวกับไอ้คินไม่ได้ ไอ้หมอกมันก็เริ่มจะหันมาวอแวผมอีกคน
“…” ผมไม่ตอบเป็นคำพูด และไม่คิดจะตอบผ่านทางแชทด้วย เพราะผมขี้เกียจพิมพ์ แต่เลือกที่จะใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับไอ้เพื่อนผู้อยากรอบรู้ โดยการแบมือคล้ายกับกำลังรองน้ำจากก๊อกทั้งสองข้างออกมาข้างหน้า ซึ่งเป็นท่าทางในภาษามือของคำว่า ‘วันนี้’ 

“ตอนเย็นเหรอวะ?” ไอ้หมอกยังคงอยากรอบรู้ต่อไป ผมจึงพยักหน้าสงเคราะห์ให้
“เออเว้ย เพื่อนกูแม่งหนีไปมีแฟนกันหมด เหลือแต่กูที่โสดสนิทอยู่คนเดียวแล้วเหรอวะ กูล่ะเปลี่ยวใจเหลือเกิน”

“กูมีแฟนเชี่ยไรล่ะ ยังจีบไม่ติดเว้ย” ทันทีที่ไอ้หมอกพูดจบไอ้คินมันก็โวยวายเข้าให้
“มึงนี่แม่ง ไม่มีน้ำยาเรื่องจีบหญิงเลยเหรอวะ นานสัสๆ ไหนใครแม่งคุยโวไว้วะ” ไอ้หมอกยังคงพูดอย่างอวดดี ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่เคยเจอคนที่ชอบมากๆ จนยากที่จะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาแท้ๆ

“กับคนที่จริงจังมันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปหน่อยสิวะ” ไอ้คินมันเถียง ซึ่งก็ฟังดูเข้าท่า ส่วนไอ้หมอกมันก็ยักไหล่คล้ายกับไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะเอาเข้าจริงๆ พวกเราก็ไม่ค่อยแซ็วเรื่องนี้สักเท่าไหร่หรอก มีแค่ครั้งนั้นแหละที่ไอ้หมอกแม่งเล่นใหญ่ถึงกับไม่ยอมให้ไอ้คินไปปลดทุกข์ นึกแล้วก็ทั้งขำ ทั้งสงสารไอ้คินมันเหลือเกิน 
มีเพื่อนแบบไอ้หมอกนี่ปวดกบาลจริงๆ ผมคอนเฟิร์ม

หลังจากเข้ามานั่งในคาเฟ่ใกล้หอแล้ว พวกเราก็สั่งเครื่องดื่มกับเมนูสำหรับกินเล่นเล็กๆน้อยๆ จากนั้นไอ้หมอกกับไอ้คินก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการอัดคลิปภาษามือตามแคมเปญที่ได้ตกลงไว้กับรุ่นพี่ตั้งแต่ช่วงภาคเรียนก่อน โชคดีที่ช่วงบ่ายของวันนี้ไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก การถ่ายคลิปจึงน่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะถ้าหากจะให้ไปถ่ายข้างนอก แดดก็ร้อนมากๆ แต่ครั้นจะให้กลับหอ พวกเราก็ขี้เกียจเดินลงมาที่คาเฟ่ใหม่อีกรอบ

“มึงได้คำว่าอะไรนะ?” กระทั่งรับเครื่องดื่มมาเรียบร้อยแล้ว ไอ้หมอกมันถึงเริ่มเป็นการเป็นงานขึ้นมา
“เมื่อไหร่จะเลิกกับแฟน” ทันทีที่ไอ้คินมันตอบ ไอ้หมอกก็เริ่มออกท่าทางในภาษามือช้าๆ เพื่อให้เพื่อนของมันสามารถจดจำได้ โดยการชี้นิ้วตรงไปข้างหน้า แล้วก็ทำมือเหมือนกรรไกรกำลังตัดกระดาษ จากนั้นก็นำมือทั้งสองข้างมาประกบกันเหมือนตอนจะเล่นนางเงือกน้อยเมื่อตอนสมัยยังเด็ก ก่อนจะแยกฝ่ามือทั้งสองข้างออกจากกัน แสดงออกถึงการแยกทาง แล้วก็ยกมือขวาขึ้นแตะขมับแล้วค่อยบิดฝ่ามือเข้าหาตัว โดยงอนิ้วทั้งสี่ให้ติดกัน ส่วนนิ้วโป้งก็แตะลงที่ข้อนิ้วชี้

“ยากชิบ” ไอ้หมอกมันลองทำตามไอ้คิน แล้วไม่นานมือแม่งก็พันกันยุ่งสิครับ ท่าทางปิดเทอมก็ลืมไปหมดแล้วมั้ง ส่วนผมเองนี่ก็ท่าทางจะลืมไม่ต่างกัน

ระหว่างที่ไอ้หมอกกำลังสอนไอ้คิน ผมก็ลองทำตามที่มันสอนด้วย เพราะคำพวกนี้ก็ถือว่ามีประโยชน์อยู่เหมือนกัน เผลอๆถ้ามีเวลาผมคงอาจจะต้องไปคุ้ยดูคลิปวีดิโอสำหรับแคมเปญที่สองดูตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นภาษามือของผมคงจะไม่พัฒนา ไหนจะของเก่าที่กลัวจะลืมอีก ไม่ใช่ง่ายๆเลย
กระทั่งเรากินกันจนอิ่มแปล้ และไอ้คินมันอัดคลิปเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ตรงกลับหอ เพื่อไปนอน เพราะไหนๆเราก็มีเวลานอนกันเต็มที่แล้ว ก็ต้องนอนให้มันเยอะเข้าไว้ ในเมื่อไม่รู้ว่าเปิดเทอมแล้วพวกเราจะยังสามารถนอนชิวๆแบบนี้ได้อีกไหม เห็นพี่รหัสของไอ้คินไอ้หมอกบอกว่างานเริ่มเยอะแล้ว ไหนจะมีโอเพ่นเฮ้าส์ที่ต้องเตรียมหาข้อมูลและจัดเตรียมนำเสนออีก
ว่ากันว่า ตั้งแต่เทอมนี้นี่แหละ ‘ของจริง’

Rrrrrrr

“อื้อ” ผมสะลึมสะลือควานหาต้นเสียงของการสั่นไหวที่ดูเหมือนจะวางอยู่ใต้หมอน จากนั้นเมื่อหยิบเครื่องสื่อสารดังกล่าวได้ ผมก็รีบกดรับสาย และส่งเสียงตอบรับไปในลำคอแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“กูถึงหอแล้วนะ” ผมกระพริบตาปริบๆ ขณะที่สมองก็กำลังนึกอยู่ว่าไอ้ ‘กู’ ที่ว่าน่ะมันใคร ครั้นเมื่อนึกออกผมก็รีบลุกขึ้นนั่ง พลางยกมือขึ้นขยี้ตาเพื่อปัดเป่าความง่วงนอนให้จางหายไป

“อื้อ” ผมเค้นเสียงตอบเบาๆ จากนั้นก็นำโทรศัพท์ออกห่างจากหูเพื่อดูเวลา ก็พบว่านี่มันหกโมงเย็นแล้ว
“กินข้าวยัง ออกมากินข้าวกัน”

“จะ..เออ..เจอ” ผมพยายามเค้นเสียงเพื่อพูดให้เป็นคำอย่างยากลำบาก แต่ในที่สุดก็พูดได้แล้วหนึ่งคำ
“หน้าหอก็ได้ แต่รอกูพักนึง กูขอเวลาจัดการกับเจ้าเขี้ยวกุดมันก่อน”

“อื้อ”

หลังจากนัดแนะกับอีกฝ่ายจนเป็นมั่นเป็นเหมาะ ผมก็ปีนลงจากเตียงชั้นสอง เพื่อไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น พร้อมกับบ้วนปากด้วย ก่อนจะมายืนจัดแต่งเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง โชคดีที่วันนี้ใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีครีม ก็เลยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ ขืนใส่เชิ้ตแบบที่ชอบใส่เป็นประจำคงต้องเปลี่ยนตัวใหม่แน่ เพราะมันคงจะยับจนดูไม่ได้
ก่อนจะออกจากห้อง ผมตัดสินใจเขียนโน้ตทิ้งไว้ เพราะไม่อยากปลุกพวกมันที่กำลังหลับสบายจนไม่รู้เลยว่าเวลามันล่วงเลยมาจนจะมืดค่ำอยู่แล้ว

ปริ้นๆ

ผมนั่งเอาเท้าเขี่ยพื้นเล่นระหว่างรอพี่เนย์ตรงที่นั่งสำหรับรอรถราง แต่เพราะตอนนี้รถรางไม่ทำงานแล้ว ผมก็เลยไม่ต้องคอยกังวลว่าลุงคนขับจะเข้าใจผิดว่าผมกำลังรอรถรางอยู่หรือเปล่า
เมื่อเปิดประตูรถข้างคนขับ ผมก็เตรียมตัวจะนั่งลงบนเบาะนุ่ม แต่พอดีว่าบนที่นั่งตรงนั้นมีถุงกระดาษวางอยู่ ผมเลยต้องหยิบมันขึ้นก่อนจะสอดตัวเข้าไปนั่ง จากนั้นก็วางถุงกระดาษนั่นลงบนตัก

“แม่กูทำข้าวกล่องมาให้คนละกล่อง” พี่เนย์เฉลย ผมจึงพยักหน้าตอบรับ
“กูบอกแม่ว่าจะมากินข้าวพร้อมมึง เลยไม่กินมาจากบ้าน แม่ก็เลยทำข้าวกล่องให้” ผมหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย เมื่อพี่เขาจ้องมองมา จากนั้นผมก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความลงในแชท ก่อนจะกดส่งออก แล้วจึงหันไปส่ายหน้าให้พี่เนย์ที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านว่าผมอยากจะพูดอะไรทั้งๆที่กำลังขับรถอยู่

หลังจากพี่เนย์จอดรถเอาไว้ที่ลานจอดรถของสนามเด็กเล่นในมหาลัย พี่เขาถึงได้มีโอกาสหยิบโทรศัพท์ขึ้นอ่านข้อความที่ค้างคาใจมาพักใหญ่ โดยมีใจความว่า ‘ฝากขอบคุณ คุณแม่ของพี่ด้วยนะครับ’
“ต้องเอารูปไปยืนยัน คุณนายเธอถึงจะเชื่อว่าอร่อยจริง” พี่เนย์ว่าพลางยกยิ้ม ก่อนจะดึงกุญแจรถออกจากเต้าเสียบและลุกออกจากตัวรถ ผมเลยรีบเปิดประตูออกมายืนข้างนอกบ้าง
แต่ก็ไม่ลืมจะหยิบมื้อเย็น ฝีมือของคุณแม่พี่เนย์ติดมือมาด้วย

พี่เขาเดินนำผมมานั่งที่เก้าอี้แบบม้านั่งยาวที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเครื่องเล่นมากนัก จากนั้นผมก็หยิบข้าวกล่องออกจากถุงกระดาษส่งให้พี่เนย์หนึ่งกล่อง และเก็บไว้ที่ตัวเองหนึ่งกล่อง ส่วนอีกกล่องนึงยังคงวางแน่นิ่งอยู่ในถุงกระดาษ
ทันทีที่เปิดฝากล่องข้าวออกมา ผมก็ต้องตกตะลึงกับอาหารหน้าตาน่ารักตรงหน้า เพราะว่าคุณแม่ของพี่เนย์เขาจัดข้าวกล่องให้เรายังกับกล่องเบนโตะของญี่ปุ่นเลย ขนาดข้าวยังปั้นเป็นรูปร่างของลูกหมาพันธุ์บีเกิ้ล แถมตรงตา จมูก อุ้งเท้า คุณแม่เขาก็เอาสาหร่ายมาตัดเป็นรูปร่างตามที่ต้องการ แล้วก็แปะไปยังตำแหน่งที่หมายตาไว้ ส่วนลิ้น คุณแม่ใช้แฮมตัดให้เป็นรูปทรงดังกล่าว และนอกจากนี้ก็ยังมีผัก แล้วก็พวกอาหารชุบแป้งทอด ไส้กรอก ไข่ม้วนก้อนบางๆ วางประดับไว้ข้างๆกล่องอย่างสวยงาม ส่วนอีกกล่องของพี่เนย์เป็นรูปแมวครับ ลักษณะการตกแต่งกล่องข้าวก็คล้ายกันเลย น่ารักมากๆ ขณะที่อีกกล่องที่ผมเพิ่งจะหยิบออกมาจากถุงก็เป็นกุ้งอบวุ้นเส้นหน้าตาธรรมดาๆเท่านั้น

ผมขยับลงมานั่งยองๆกับพื้น และวางกล่องข้าวบนม้านั่ง ส่วนพี่เนย์พอเห็นผมทำอย่างนั้นเจ้าตัวก็ทำตามบ้าง เราก็เลยนั่งยองๆอยู่ใกล้ๆกัน เพื่อที่จะได้แบ่งกันกินกุ้งอบวุ้นเส้นที่ยังร้อนๆ ได้ถนัด

“จริงๆที่กูมาช้าไม่ใช่เพราะเจ้าเขี้ยวกุดหรอก แต่เพราะกูรออบข้าวกล่องใหม่ให้นี่แหละ” พี่เนย์ว่าพลางตักข้าวเข้าปากคำใหญ่ แต่เหมือนเจ้าตัวจะนึกอะไรออกถึงได้รีบเคี้ยวแล้วก็กลืนใหญ่เลย
“อย่าเพิ่งกินหมด ถ่ายรูปรายงานแม่กูก่อน” คุณลูกชายของสปอนเซอร์มื้อนี้ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ ก่อนจะสไลด์หน้าจอและเข้าสู่โหมดถ่ายภาพอย่างรวดเร็ว จากนั้นผู้ชายร่างสูงที่ไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไรแบบนี้ก็ตั้งท่าเตรียมถ่ายรูปให้กับคุณแม่อย่างตั้งใจ ผมจึงหยิบกล่องข้าวขึ้นมาก่อนจะก้มหน้าลงไปใกล้ๆ แล้วก็ยกยิ้มให้กล้องอย่างสดใส

แชะ!

“กินเลยเดี๋ยวกูรายงานแม่ก่อน” พี่เนย์ว่าอย่างนั้นแล้วก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความ และส่งภาพอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยคนข้างๆก็รีบตักข้าวเข้าปากอย่างหิวกระหาย ผมก็เลยก้มหน้าก้มตากินข้าวกล่องของตัวเองบ้าง
กระทั่งกินกันจนหมดเกลี้ยง ก็อิ่มแป้ลขึ้นมาเลย จากนั้นพี่เนย์ก็บอกให้ผมนั่งรอแถวๆนี้ เพราะพี่เขาจะไปหาซื้อน้ำเปล่ามาให้ ผมก็พยักหน้ารับ จากนั้นก็นั่งมองโน่นมองนี่ไปเรื่อย เพราะบรรยากาศมันเงียบสงบมาก
จะมีก็แต่เสียงร้องของแมลงเท่านั้นที่ดังระงมอยู่ในตอนนี้

ผมย้ายตัวเองไปนั่งไกวชิงช้าเล่นระหว่างรอพี่เนย์ ทำเอานึกย้อนไปถึงวัยเด็กตอนที่ยังพูดได้ ผมน่ะชอบเหลือเกินกับการมาเล่นอะไรแบบนี้ แล้ววันไหนถ้าแม่ไม่ยอมพามาเล่นนะ ก็จะร้องไห้จนจ้าละหวั่น
คิดแล้วก็ตลกดี เรื่องแค่นี้เอง ไม่รู้จะร้องไห้ทำไม

“น้ำ” พี่เนย์เปิดฝาขวดให้ก่อนจะเสียบหลอดแล้วก็ส่งให้ผมที่กำลังนั่งเหม่อ ผมจึงยิ้มขอบคุณก่อนจะรับมาดื่มแก้กระหาย ส่วนอีกฝ่ายก็ทิ้งตัวลงนั่งดื่มน้ำอีกขวดบนชิงช้าอีกตัวที่อยู่ข้างๆกัน
“คิดถึงตอนเด็กเลยเนอะ ใครๆก็ต้องเคยมาเล่นเครื่องเล่นแบบนี้” พี่เนย์วางขวดน้ำลงใกล้กับเสาที่ยึดชิงช้าทั้งสองตัวไว้ พลางไกวเล่นเบาๆ ก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่ผมก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะเมื่อครู่ผมก็เพิ่งจะคิดถึงช่วงเวลานั้นอยู่พอดี

“มึงยังเก็บกุญแจที่กูให้ไว้อยู่หรือเปล่า?” พี่เขาไกวชิงช้าพลางถาม ขณะที่สายตาก็หันมามองผมอย่างรอคอยคำตอบ
“คะอับ” ผมพยักหน้าพลางส่งเสียงในลำคอให้ได้มากที่สุด ตามที่พี่เขาเคยอยากให้ทำ

“รู้มั้ยว่าพี่ให้กุญแจรันทำไม?” อีกฝ่ายเปลี่ยนมาใช้คำแทนตัวว่าพี่ซะแล้ว ทำเอาผมรู้สึกพ่ายแพ้
“…” ผมทำเป็นนิ่งไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ แม้ว่าจะเข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ เพียงแต่ว่าผมก็ยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่คาดเดาไว้มันจะถูกต้องหรือเปล่า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่กลับใช้บทเพลงในการสื่อความหมายว่าอยากจะนอนกอดผมในตอนตื่นนอน ซึ่งก็มีทางเดียวที่จะทำได้ ก็คือผมต้องไปค้างคืนที่นั่น แล้วไหนจะกุญแจที่ให้มานี่อีก คงไม่ใช่ค้างคืนแค่ชั่วคราวแน่ๆ
ซึ่งผมก็เข้าใจ แต่แค่ไม่มั่นใจว่าตัวเองแปลความหมายที่พี่เขาต้องการจะสื่อได้ถูกต้องหรือเปล่า..

“พี่อยากให้รันมาอยู่ด้วยกัน..”
“…” ทันทีที่พูดจบ มืออุ่นๆของพี่เนย์ก็เอื้อมมากอบกุมฝ่ามือของผมที่กำลังจับยึดโซ่คล้องชิงช้าเอาไว้

“ได้มั้ย?”


---------------------------------------------------------------------

(edit : ขอแก้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนบางส่วนค่ะ พอดีเราสับสนช่วงเรียนซัมเมอร์นิดหน่อย เลยลองไปเปิดใบทรานสคริปดูเพื่อความชัวร์ กลายเป็นว่ามันมีเปิดเรียนซัมเมอร์แค่หลังภาคเรียนที่ 2  //// ปล. จบมานานแล้วเลยมึนงงนิดหน่อย ขออภัยค่ะ T_T)

ตอนนี้สองเพื่อนซี้อาจจะเด่นหน่อย 555 แต่ก็แอบมีมุมหวานเบาๆของพี่เนย์กับรันอยู่บ้าง แล้วก็พัฒนาจนถึงขั้นคุณแม่ฝากกล่องข้าวมาให้รันแล้วด้วย ทีนี้ก็อยู่ที่คุณพ่อกับคุณแม่รันแล้วว่าจะคิดเห็นยังไง ซึ่งคำชวนของพี่เนย์นี่แหละจะทำให้ไปกระตุ้นในส่วนนั้น คึคึคึ

ปล. เรื่องนี้จะจบแล้ว เหลืออีกแค่ 2 ตอนเท่านั้นเอง T[]T

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2017 17:07:42 โดย Chomin »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด