Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 130785 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 12

ตั้งแต่พี่เนย์เขาเห็นรูปที่ผมเคยวาดเมื่อตอนยังเด็ก พี่เขาก็ดูนิ่งๆเงียบๆ จนผมรู้สึกว่ามันผิดปกติ แต่ถ้าหากผมเข้าใจผิดไปเอง มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า พี่เขาคงจะเหนื่อยจากการเตรียมสัมมนา จากนั้นก็ต้องหันมาทุ่มให้กับการสอบปลายภาค และเมื่อการสอบดังกล่าวผ่านพ้นไป พี่เนย์ก็ยังต้องมาเตรียมตัวสำหรับการพรีเซ็นต์สัมมนาอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งวันสุดท้ายของการสอบ พวกรุ่นพี่ต่างสาขาก็พากันยกโขยงมาปักหลักที่ห้องของพี่เนย์ จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาซ้อมพรีเซ็นต์ พร้อมกับการยกเคสขึ้นมาพูด อีกทั้งยังต้องฝึกเอ็นเตอร์เทรนผู้ฟังให้เป็นด้วย ส่วนผมที่หมดห่วงทุกอย่างแล้ว ก็ได้แต่นอนแผ่อยู่บนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทุ่มอ่านหนังสือติดๆกันเป็นระยะเวลาอันยาวนาน อีกทั้งความสัมพันธ์ของผมกับน้องรหัส ก็แลจะมีช่องโหว่เกิดขึ้นยังไงก็ไม่รู้ เพราะน้องไม่ได้ติดต่อมาหาผม เพื่อคุยเล่นเหมือนปกติ แถมเรายังเรียนอยู่คณะเดียวกันด้วย แต่ก็ดันไม่ค่อยได้เจอหน้าค่าตาสักเท่าไหร่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าน้องตั้งใจหลบหน้า หรือว่ามันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว ผมจึงได้แต่ปล่อยผ่าน
เพราะถึงยังไงเรื่องทุกอย่างมันก็ต้องลงเอยแบบนี้อยู่ดี

“ทำไมท้องฟ้า..วันนี้มันดู..เศร้าๆชะมัด..ดาวก็ไม่มี..สักดวง” ผมอดจะบ่นออกมาไม่ได้ หลังจากเฝ้ามองท้องฟ้าอยู่ตรงริมระเบียงห้องมาเนิ่นนานแล้ว ส่วนคนตัวโต ตั้งแต่กลับมาจากพรีเซ็นต์งานสัมมนาก็น็อคคาหมอนแทบจะทันที ข้าวยงข้าวเย็นพี่เขาไม่สนใจจะกินหรอก เพราะคนอดนอนมาทั้งคืนเขาต้องการเตียงมากกว่า
“เป็นอะไร?” พี่เนย์ที่ไม่รู้ว่าตื่นนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ ดันเอากระป๋องเบียร์เย็นๆมาทาบแก้มผม ก่อนที่จะส่งเสียงถามไถ่กันซะอีก

“ไม่รู้สิครับ” ผมขยับตัวไปทางขวามือ เพื่อแบ่งพื้นที่ให้คนตัวโตเข้ามายืนเกาะระเบียงห้องเพื่อดูบรรยากาศด้านนอกด้วยกัน
“พี่เหนื่อย..หรือว่า..ยังรู้สึกไม่ดี..เรื่องของผม..เหรอครับ?” ผมมองตรงไปข้างหน้า ขณะที่ริมฝีปากก็สอบถามอีกฝ่าย ถึงเรื่องที่ค้างคาใจมาหลายเดือน

“อาจจะทั้งสองอย่างมั้ง” รุ่นพี่ด้านข้างพอตอบคำถามเสร็จ เขาก็รีบยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม อึกแล้วอึกเล่า
“ทำไมเหรอครับ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงติดสั่น เพราะผมไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บกับเรื่องในอดีตของตัวเอง ในเมื่อตอนนี้ผมก้าวผ่านมันมาได้แล้ว ผมก็อยากให้มันกลายเป็นเงาที่คอยไล่ตามผม แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางไล่ตามได้ทัน

“ตั้งแต่เห็นรูปนั้น กูแทบไม่อยากจะไปฝึกงานที่กรุงเทพเลย” พี่เนย์พูดพลางสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด จากนั้นมือซ้ายของอีกฝ่ายก็รีบยกขึ้นปัดป่ายตรงปลายจมูก คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังหักห้ามไม่ให้ความอ่อนไหวออกมาเพ่นพ่านข้างนอก
“แต่มันคงจะดี..นะครับ..ถ้าหากพี่ทำได้..แค่คิด” ผมตอบพลางก้มหน้าลงมองฝ่ามือของตัวเอง และอดคิดไปถึงภาพๆนั้นไม่ได้ เพราะมันเป็นภาพที่น่าหดหู่ใจ ผมรู้ดี ในเมื่อเหตุการณ์จริงในวันนั้น พ่อกับแม่ท่านก็อยู่ข้างๆผมในกระเช้าชิงช้าแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนขังให้อยู่ในนั้นเพียงลำพัง ดังนั้นความหวาดกลัวและความเศร้าโศกของผมจึงถูกแทนที่ด้วยสีดำอันมืดมิด ที่กำลังรายล้อมอยู่รอบๆกายของตัวเอง ที่ได้ถูกแทนที่ด้วยสีขาวอันว่างเปล่า อีกทั้งรูปหน้าที่ไร้อวัยวะในการมองเห็น การสูดดม หรือแม้กระทั่งการได้กลิ่น และการลิ้มรส มันก็แสดงออกถึงการถูกบีบบังคับจากมือที่มองไม่เห็น เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดจากคำพูดข่มขู่ จากคนสองคนที่กำลังยืนมองตัวผมอยู่ด้านล่าง

“ทำไม?”
“การฝึกงานมัน..คืออนาคต..ของพี่ไม่ใช่..เหรอครับ” ผมจิกปลายเล็บลงบนราวระเบียงใกล้ๆมือ ขณะที่ปลายจมูกก็ต้องคอยซูดน้ำมูกเป็นระยะๆ เมื่อจู่ๆ หน่วยตามันเริ่มจะขังคลอไปด้วยหยาดน้ำแห่งความอ่อนแอ

“มันก็ใช่ แต่..”
“แต่ถ้า..พี่ไม่ไป..ฝึกงานที่..กรุงเทพ..มันก็เท่ากับผม..ทำลาย..อนาคตของพี่” ผมรีบพูดตัดหน้าอีกฝ่าย พลางเม้มปากแน่นเป็นระยะๆ เพราะเหตุผลที่ได้พูดออกไป มันคงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเจ็บปวด ถ้าหากมันเกิดขึ้นจริง

“อืม มึงสบายใจได้ ที่ผ่านมากูก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อกูดำเนินเรื่องจนเรียบร้อยหมดแล้ว มึงเองก็ต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้นะ เพราะมึงก็คืออนาคตของกูเหมือนกัน” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงที่เอาแต่กระดกเบียร์ไม่หยุดหย่อน ทั้งๆที่ตั้งแต่เจ้าตัวกลับมา ก็ยังไม่ได้ทานข้าวเลยแม้แต่นิด จนนี่ก็ปาเข้าไปจะสี่ทุ่มแล้วด้วย แต่เพราะคำพูดของพี่เนย์ที่บอกว่าผมคือ ‘อนาคต’ ของเขา มันกลับทำให้ผมลืมสิ้นแล้วทุกอย่าง
จนได้แต่ปล่อยให้ม่านสายตา มีแต่ใบหน้าของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ ปรากฏอยู่ในนั้น

“ถ้ามึงรู้สึกโดดเดี่ยว มึงโทรหากูได้เสมอนะรัน หรือไม่ ถ้ามึงกลัวว่ากูจะไม่ว่าง มึงก็วาดรูปส่งมาให้กูดูก็ได้ กูจะได้รู้ว่ากูควรต้องปลอบมึงยังไง” พี่เนย์หันมายิ้มให้ พลางยกมือข้างที่ว่าง โยกศีรษะของผมไปมาเบาๆ จนผมที่น้ำตาซึมอยู่แล้ว ก็ยิ่งกลั้นความอ่อนไหวของตัวเองได้ยากขึ้นไปอีก
เพราะในที่สุด วันที่เราจะต้องห่างกัน มันก็ขยับเข้ามาใกล้เพียงแค่เอื้อม

“กูจะไม่สัญญานะ แต่ในระหว่างที่กูไม่ได้อยู่ใกล้ๆมึง กูจะพยายามทำให้มึงไม่รู้จักคำว่า ‘โดดเดี่ยว’ ที่มึงเคยได้สัมผัสอีกแล้ว” พี่เนย์พูด พลางตั้งท่าจะเดินกลับเข้าไปในห้อง
“อันที่จริง..ตั้งแต่ผม..มาเรียนที่นี่..จนผมได้มาเจอ..กับพี่..ผมก็ไม่เคยได้รู้จัก..กับคำนั้นอีกเลย..แม้แต่ความ..กลัว..ความเศร้า..ผมก็แทบ..จะไม่รู้จักมันอยู่แล้ว..เพราะพี่..นะ..เอ..ทำให้ผมลืมเรื่องทุกอย่าง..และพร้อมที่จะสู้กับมัน..อนาคต..ถึงแม้พี่..จะไม่ได้อยู่..ข้างๆผม..ตรงนี้แต่ผม..ก็คิดว่า..ผมคงจะไม่มีทาง..ได้สัมผัสคำ..นั้นเหมือนเดิม”

“อืม กูเชื่อมึง” เจ้าของห้องเขายกยิ้มอันสดใสให้ผมเป็นครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน เพราะเจ้าตัวคงมัวแต่คิดลังเลเกี่ยวกับสถานที่ฝึกงานของตัวเอง หรือไม่บางทีพี่เขาก็อาจจะนำไปปรึกษาอาจารย์มาแล้ว แต่ทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามที่หวัง พี่อาคเนย์ถึงได้เงียบๆ นิ่งๆ จนผิดปกติ ขณะที่ผมผู้ที่ได้รับรอยยิ้มแบบนั้น อีกทั้งยังได้รับคำพูดตอบกลับอันแสนเรียบง่าย แต่กลับทำให้ใจของผมสั่นอย่างแรงกล้า เพราะคำว่า ‘เชื่อ’ มันคือคำที่ดูมีค่ามากกับบริบทที่เราสองคนกำลังพูดคุยกัน
“เราจะอยู่ด้วยกันนานๆเป็นคืนสุดท้ายแล้ว ดื่มดิ ไว้พรุ่งนี้ค่อยเก็บของ กว่าพ่อแม่กูจะมาช่วยขนของก็คงมืด” พี่เนย์ยื่นขวดฟูลมูนที่เปิดฝามาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นอีกฝ่ายก็ยกมือข้างที่ถือเบียร์กระป๋องที่สองขึ้นกลางอากาศ ราวกับจะชวนผมชนก่อนดื่ม ขณะที่มือซ้ายของเจ้าตัว ก็ถือแซนวิสง่ายๆจากเซเว่นเอาไว้

“ที่ผ่านมากูไม่เคยเห็นด้วยกับคำพูดอันสวยหรู ที่เพื่อนๆกูชอบแชร์เกี่ยวกับเรื่องความรักเลยนะ เพราะตอนนั้นกูคงยังไม่รู้จักความรักดีพอก็ได้มั้ง” หลังจากเราชนเครื่องดื่มกันเพียงเบาๆ พี่เนย์ก็ยืนดื่มสลับกับกินแซนวิสไปเรื่อยๆ จนหมด จากนั้นคนตัวสูงข้างๆ ก็พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ขณะที่ดวงตาคมคู่นั้นก็จ้องมองออกไปยังที่ๆไกลแสนไกล ผมจึงหันไปมองยังจุดๆหนึ่ง ที่คิดว่ามันกำลังตกเป็นเป้าสายตาของพี่เนย์
“ถ้ากูพูดไป มันอาจดูไม่ดี แต่กูรู้สึกว่ากูสมควรพูดมันในตอนนี้ว่ะ เพราะที่ผ่านมา ถึงกูจะคบกับใครอยู่ แต่กูก็ไม่เคยเข้าใจคำพูดพวกนั้นเลย แต่ถ้าหากกูเห็นคนแชร์ข้อความที่ว่า Sometimes all you need is one person that shows you that it’s okay to let  your guard down, be yourself, and love with no regrets (by heartfeltquotes) อีกครั้ง กูก็คงจะเห็นด้วย เพราะตอนนี้กูเจอคำตอบของมันแล้ว” พี่เนย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่ดวงตาคมคู่นั้น ก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนโฟกัสมาเป็นใบหน้าของผม

“พี่บอกว่า..พี่ไม่เชื่อ..แต่ผมกลับ..มองตรงกันข้าม..นะครับ” ผมยกยิ้มพลางอธิบายความคิดของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง
“ลึกๆแล้ว..พี่คงหวัง..ว่าจะมีใคร..สักคน..ที่ทำให้..พี่เข้าใจ..คำพูดพวกนั้น..เพราะไม่อย่าง..นั้น..พี่คงไม่มีทาง..จำข้อความ..ยาวๆแบบนี้..ได้แม่นหรอก..ผมถึงได้บอกว่า..มันคือสิ่งที่พี่หวัง..เพียงแต่พี่อาจจะ..ไม่รู้ตัว”

“ก็คงใช่ เพราะที่ผ่านมา ไม่ว่ากูจะคบกับใคร กูก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าคนเรามันจะสามารถรักใครสักคนได้โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย หรือแม้กระทั่งการเป็นตัวของตัวเอง กูก็ไม่เคยได้เป็น พูดง่ายๆคือ กูไม่ค่อยรู้จักความรักในแบบที่กูอยากจะมีเลยจริงๆ แต่พอกูได้เจอมึง ประโยคนี้มันก็แว๊บขึ้นมาในหัว ทั้งๆที่กูยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าสมองของกูมันไปจดจำคำพูดพวกนั้นที่กูแค่อ่านผ่านๆได้ยังไง”
“รันมึงรู้ใช่มั้ยว่าคำตอบที่กูพูด มันหมายถึงมึง” พี่เนย์หันกลับไปมองยังเบื้องหน้า ขณะที่เจ้าตัวก็กระดกเบียร์กระป๋องขึ้นดื่ม พลางถามผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลหากแต่หนักแน่นในความรู้สึก

“ครับ” ผมได้แต่ตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่มือขวาก็ต้องยกฟูลมูนขึ้นดื่มแก้เก้อ ส่วนพี่เนย์เขาก็ทำได้แค่หลุดหัวเราะในลำคอเพียงเท่านั้น คล้ายกับว่า เจ้าตัวเขาชื่นชอบในคำตอบที่ได้รับอยู่มาก เพียงแต่ไม่กล้าจะแสดงออกให้ผมรู้อย่างโจ่งแจ้ง    
เพราะในตอนนี้ ผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ เขากำลังหน้าแดง หูแดง แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เราต่างพากันดื่มต่อไปเรื่อยๆ ขวดแล้วขวดเล่า กระป๋องแล้วกระป๋องเล่า แต่ก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุด มิหนำซ้ำยุงน่ารำคาญก็ยังขับไล่เราสองคนที่กำลังอยากจะใช้เวลาร่วมกันเงียบๆไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกที ต่างคนก็ต่างเมาจนสติเริ่มพร่าเบลอ จนต้องพากันหอบสารรูปที่มันคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอลล์ กลับมายังเตียงนอนหลังใหญ่ ที่ได้ถูกเพิกเฉยมาเป็นเวลานาน

“รัน” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงของคนที่กำลังมึนงงไปกับของมึนเมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอ่อนโยนกับผมเสมอ เพราะเนื้อแท้ของผู้ชายคนนี้ เขาไม่ใช่คนแข็งกระด้างเหมือนที่ชอบแสดงออก แต่กลับเป็นคนอบอุ่น อ่อนโยน เหมือนกับคุณพ่อและคุณแม่ของเจ้าตัว
“ครับ” ผมขานรับ พลางหันไปมองคนหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ แต่กลับถูกความมืดมิดจากแสงไฟบดบังจนแทบมองไม่ออก เพราะภายในห้องของเรา มันมีเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์ที่ส่องเข้ามาตรงปากประตูบริเวณที่ยังไม่ได้ปิดผ้าม่านเท่านั้น

“เวลาที่กูได้ศึกษาเคสแต่ละเคส กูไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง นอกจากน้ำตาซึมไปบ้างกับเรื่องราวที่พวกเขาพบเจอ แต่พอเป็นเคสที่เกิดจากคนใกล้ตัว แถมเขายังเป็นคนที่กูรัก มันทำเอากูรู้สึกเหมือนถูกดูดกลืนลงไปในความรู้สึกของเขาด้วย เพราะเวลาที่กูวิเคราะห์ ความรู้สึกที่มันแฝงอยู่ในภาพวาด กลับพุ่งเข้าใส่กูจากทุกทิศทุกทาง จนกูตั้งรับไม่ทัน กูเพิ่งรู้ก็ตอนนั้นเองว่ากูเป็นคนเก็บสีหน้าไม่เก่ง ทำตัวให้ปกติก็ยังไม่เป็น มึงถึงจับสังเกตได้ แต่กูก็ดีใจนะ ที่มึงมองเห็นความผิดปกติของกู เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครใส่ใจกูว่าชอบอะไร กลัวอะไร หรือแม้กระทั่งกูกำลังรู้สึกยังไง พวกเขารอแค่กูพูด แต่บางเรื่องมันไม่ใช่เรื่องที่กูควรจะพูด กูก็พูดไม่ได้ แต่กับมึงแค่กูเป็นตัวของตัวเอง กูกลับได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่กูเคยไขว่คว้า มันเลยทำให้กูเข้าใจว่า คนเราไม่ต้องการคนที่ดีพอ แต่กลับต้องการคนที่พอดีต่างหาก ดังนั้นกูสามารถเป็นคนที่อ่อนแอได้ ถ้าหากใครคนนั้นคือมึง” พี่เนย์ฉวยเอาข้อมือของผมไปจูบซ้ำๆ จนผมได้แต่เสมองไปทางอื่น
เพราะความร้อนมันเริ่มลามไล้จากใบหูมาสู่ใบหน้า

“รันกูหวงมึงนะ กูถึงพยายามไม่ให้มึงใส่ขาสั้นตัวนั้น เพราะมันชอบมีคนแอบมองขาของมึง ขนาดกูยืนอยู่ด้วยแท้ๆ แต่มึงมันก็ดื้อเงียบไง กูเผลอเมื่อไหร่ มึงก็ชอบใส่ออกไปเดินนอกห้องตลอด จนบางทีกูนี่อยากจะหยิกขามึงให้เนื้อเขียวเลย แต่กูก็บ้า เพราะกูกลัวมึงเจ็บ มึงทำกูแพ้ทางให้มึงทุกอย่างขนาดนี้ได้ยังไงวะ โคตรไม่ยุติธรรมเลย” พี่เนย์พลิกตัวขึ้นมาคล่อมผมไว้ทั้งร่าง จากนั้นดวงตาคมคู่นั้นก็เริ่มวางอำนาจร่ายมนต์ให้ผมไม่อาจวอกแว่กไปสนใจสิ่งอื่นใดได้ นอกจากร่างสูงตรงหน้า

“นี่กูลงโทษมึงย้อนหลังได้มั้ยน่ะ?” พี่เนย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า คล้ายกับแอลกอฮอลล์มันกำลังทำปฏิกิริยากับร่างกายให้เริ่มไวต่อความรู้สึกและการสัมผัส จากนั้นข้อมือทั้งสองข้างของผม ก็ถูกรวบไว้เหนือศีรษะด้วยฝ่ามือใหญ่เพียงข้างเดียว
“พี่จะหยิกผม..เหรอครับ” ผมแกล้งถามอย่างเฉไฉ แม้ผมจะรู้ดีว่า สถานการณ์ในตอนนี้ มันควรจะต้องดำเนินไปในทิศทางไหน

“ไม่.. พี่จะทำให้รันแพ้ทางพี่บ้าง” ริมฝีปากหนานุ่มกระซิบชิดริมหู จนทำเอาผมขนลุกซู่ เพราะความจักจี้จากลมร้อนที่อีกฝ่ายเป่าออกมาในยามที่กำลังพูดคุยสื่อสารกัน
“…”

“แพ้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องบนเตียง” หัวใจของผมเต้นตึกตักหนักกว่าที่เคย เมื่ออีกฝ่ายเขาลั่นวาจาออกมาอย่างนั้น โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้เลยว่า
ผมน่ะ.. แพ้ทางในแบบที่พี่เขาต้องการมาตั้งนานแล้ว

“อือ” ผมส่งเสียงงืมงำในลำคออย่างไม่ได้ศัพท์ เมื่อความชื้นแฉะเริ่มเข้ามาทักทายตั้งแต่ใบหูจวบจนถึงสันคอ เรื่อยมาจนถึงลำคอและปลายคาง จากนั้นก็ไล้ไปยังข้างแก้มที่เริ่มป่องนิดๆ เพราะช่วงนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงเจริญอาหาร กระทั่งดวงตาทั้งสองข้างก็ยังได้รับความหวามไหวอย่างเท่าเทียม และปิดท้ายด้วยริมฝีปากอันซุกซนคู่นั้น ที่ค่อยๆแนบชิดกับริมฝีปากของผม
ส่งผลให้สถานการณ์ในตอนนี้ มันเริ่มส่อเค้าอันตรายมากขึ้นทุกที แต่ผมก็ยังไม่มีทีท่าจะร้องห้ามอีกฝ่ายแต่อย่างใด และที่มันเป็นอย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ที่นานๆจะดื่ม หรือว่ามันคือความต้องการในส่วนลึกของจิตใจกันแน่ ในเมื่อตอนนี้ ร่างกายของผม มันเริ่มไม่ใช่ร่างกายของผมอีกครั้ง ความรู้สึกที่เคยถูกกักเก็บไว้ในใจตรงส่วนที่ลึกที่สุด ขณะนี้มันกลับค่อยๆผุดผาดออกมาเรื่อยๆ รวมไปถึงสมองที่มันค่อยๆขาวโพลนจนน่ากลัว เพราะมันทำให้ผมมองหาทางออกไม่เจอ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันกลมกลืนจนเป็นเนื้อเดียวกัน

“อ๊ะ” ผมแอ่นตัวขึ้นด้วยความเสียวกระสัน เมื่อปลายลิ้นร้อนเริ่มแตะแต้มไปทั่วผิวกายภายใต้ร่มผ้า ที่ไม่รู้ว่ามันถูกดึงรั้งไปวางแหมะไว้ตรงใต้ปลายคางเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีร่างทั้งร่างของผมก็ถูกใครบางคนบงการไปซะแล้ว
ผมเริ่มหอบหายใจหนักขึ้น เมื่อส่วนไวสัมผัสบริเวณหน้าอกเริ่มถูกปรนเปรอจนหนักหน่วง ขณะที่ร่างกายทุกสัดส่วนก็เริ่มมีปฏิกิริยามากกว่าที่เคย ส่งผลให้ช่วงล่างเริ่มมีอาการน่าเป็นห่วง แต่เพราะอีกฝ่ายทาบทับอยู่บนตัวของผม จึงทำให้ผมไม่อาจหลีกหนีจากความทรมานของอาการวูบวาบราวกับถูกไฟช็อตไปได้

“พ..พี่เนย์” ผมสะดุ้งโหยง เมื่อความชื้นแฉะเริ่มลามไล้ในส่วนที่ต่ำลงเรื่อยๆ จนทำเอาสมองเริ่มไม่จดจำแล้วว่าผม อยากจะเก็บการเอื้อนเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย เอาไว้เป็นของขวัญในวันที่พี่เขาประสบความสำเร็จ ซึ่งก็คือวันรับปริญญา เพราะมันคือวันที่พี่เขาและครอบครัวน่าจะมีความสุขที่สุด ดังนั้นผมจึงอยากให้ของขวัญที่ไม่ได้มีค่าเป็นรูปธรรม แต่กลับมีคุณค่าทางจิตใจ เนื่องจากผมทราบมาตลอดว่าพี่เขามักจะน้อยใจเสมอ ที่ผมสามารถร้องเรียกชื่อของคนอื่นได้อย่างชัดเจน แต่กลับมีเพียงแค่เจ้าตัวเท่านั้นที่ผมยังคงพูดไม่ได้ ซึ่งถ้าหากพี่อาคเนย์ได้ยินผมเรียกชื่อของเขาในวันรับปริญญา มันคงทำให้พี่เขามีความสุขมากขึ้นไปอีก ผมจึงอยากเก็บมันไว้ เพื่อที่จะพูดในวันนั้น แต่กลับกลายเป็นว่า ในวันนี้ ดันเป็นวันที่ความลับของผมแตกกระจายโดยสมบูรณ์ เพราะอีกฝ่ายกลับมีสติมากกว่าที่คิด เนื่องจากริมฝีปากอันซุกซนคู่นั้น จู่ๆก็รีบเอื้อนเอ่ยออกมาว่า
“รันลองเรียกชื่อพี่อีกสิ ไม่ชัดก็ไม่เป็นไร” ตั้งแต่นั้น คนเจ้าเล่ห์เขาก็เริ่มใช้เล่ห์เหลี่ยมจนเต็มที่ ทำเอาผมเผลอเอื้อนเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าบัดนี้ ตัวเองกำลังเปลือยกายอยู่ใต้ล่างของคนมากเล่ห์เข้าให้แล้ว

สัมผัสของพี่เนย์ในวันนี้ ไม่เหมือนกับคืนนั้นที่ไฟทุกดวงดับสนิท อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ที่มันทำให้ ผู้ชายที่อ่อนโยนกับผมไม่ว่าเวลาไหน ค่อยๆจางหายไปกับสายลม จะหลงเหลือก็แต่เพียงผู้ชาย ที่มาพร้อมกับสัมผัสอันรุนแรงจนผมอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองจะช้ำมือไปก่อนหรือเปล่า
“อื้อ..พี่เนย์..พี่” ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมา พลางขยุ้มเรือนผมของอีกฝ่าย เมื่อสองมือถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เพราะคนมากเล่ห์เขากำลังไล้จูบไปทั่วเรียวขาของผม ที่เจ้าตัวหวงแหน ซ้ำยังแอบสร้างร่องรอยเอาไว้ที่ต้นขาด้านในอีก จากนั้นปลายจมูกรวมไปถึงริมฝีปากของอีกฝ่ายก็เอาแต่ปัดป่ายผ่านส่วนอ่อนไหวของผม จนมันได้แต่ร้องประท้วงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พี่เนย์ก็หาได้เห็นใจไม่
คนที่ต้องทรมานจึงกลายเป็นผมแค่คนเดียว

“รัน อยากให้พี่จูบตรงไหน หืม?” เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยถาม ขณะที่ริมฝีปากของพี่เนย์ก็เฝ้าจูบไล้ปลายเท้าของผมอย่างไม่นึกรังเกียจ
“ตะ..ตรง..น..นี้” ผมพูดอย่างตะกุกตะกัก พลางเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของอีกฝ่าย มาแตะต้องบริเวณส่วนอ่อนไหวของตัวเอง ที่มันอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว ขณะที่ผมก็ต้องใช้ข้างแขนของตัวเองในการปกปิดดวงตา เพื่อไม่ให้มองเห็นใบหน้าอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มของอีกฝ่าย หรือแม้กระทั่งดวงตาที่มักจะมองผมด้วยความปรารถนาอันปิดไม่มิด แม้ว่าแสงจันทร์จะสาดส่องความสว่างเข้ามาในห้องก็ตาม

“ตรงนี้นะ” พี่เนย์ถามย้ำอย่างขี้เล่น แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะตอบอะไรกลับไปแล้ว เพราะตอนนี้ผมกำลังอายมาก เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นวิธีการช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากความทรมาน หรือว่าการเลือกให้พี่เนย์ช่วย
ทั้งสองทางมันก็ล้วนแต่จะทำให้ผมไม่กล้ามองหน้าของพี่เนย์แทบทั้งนั้น
แต่ในเมื่อตอนนี้ ผมมาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับแล้ว ผมจึงทำให้ได้แค่ข่มความอายให้มิดชิดเท่านั้น

“พี่เนย์..ทำไม..ครับ” ผมลุกขึ้นนั่งพลางชะโงกหน้ามองอีกฝ่าย ที่จู่ๆก็ทิ้งขว้างให้ผมค้างคา ส่วนตัวเองดันลุกมาค้นหาอะไรบางอย่างในลิ้นชักตรงข้างเตียง
“วันนี้เราต้องใช้ตัวช่วยนะ” พี่เขาว่าอย่างนั้น ผมก็เข้าใจได้ทันที เพราะผมเองก็ใช่ว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ยากเย็นนัก จึงได้แต่เหม่อมองอีกฝ่าย ที่เอาแต่รื้อค้นข้าวของจนมันกระจุยกระจาย

“ต่อนะรัน มันอาจจะเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ แต่ไม่ต้องกลัวนะ” พี่เนย์ว่าพลางจัดแจงให้ผมนอนคว่ำไปกับที่นอนนุ่ม ผมจึงได้แต่สังเกตการณ์ผ่านเงาที่สะท้อนอยู่บนกำแพง จึงทำให้ทราบความเป็นไปของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะกำลังเทอะไรบางอย่างใส่ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่ง จากนั้นเงาร่างของพี่เนย์ก็ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เงาร่างของผม จนมันกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
“พี่” ผมได้แต่อุทานเรียกพี่เนย์ด้วยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะจู่ๆพี่เขาก็ยกสะโพกของผมให้สูงขึ้น จากนั้นความอุ่นร้อนก็เข้ามาทักทายภายในตัวผมเพียงครู่ ส่งผลให้หน้าท้องเริ่มกระอักกระอล่วน ขณะที่ช่วงล่างเริ่มไหวระริกจากการถูกรุกราน

“อืม..อ่า..พี่เนย์” ผมครางเสียงแหบพร่า เมื่อความเย็นจากสิ่งแปลกปลอมที่พี่เขาชโลมไว้ที่ฝ่ามือ กำลังไล้ช่องทางอ่อนไหวของผมจนภายในเต้นเร่าราวกับจะประท้วง เพราะสัมผัสนั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของร่างคุ้นเคย กระทั่งปลายนิ้วแทรกซึมเข้าไปยังส่วนนั้น ร่างกายของผมก็เกร็งแน่น ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างก็ได้แต่กำผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ ส่วนริมฝีปากก็ได้ขบเม้มเอาไว้อย่างอัดอั้น
เนื่องจากร่างกายมันค่อยๆกลายเป็นของพี่เนย์อย่างสมบูรณ์แบบ

ขณะที่ความรู้สึกนึกคิดของผมก็เริ่มล่องลอยออกไปไกลแสนไกล เมื่อความรู้สึกแปลกใหม่ กำลังทำให้ผมสูญเสียความเป็นตัวเองยิ่งกว่าที่เคย อีกทั้งเสียงหอบหายใจก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงครางแผ่วของความสุขสม เมื่อปลายนิ้วเรียวกำลังไล้วนสร้างความคุ้นชินได้เป็นอย่างดี จนผู้ควบคุมค่อยๆหันมาปลุกเร้าผมด้วยวิธีอื่น ซึ่งมันก็เป็นวิธีที่ทำเอาขนอ่อนตั้งชันแทบทั้งร่าง เมื่อริมฝีปากหนาเอาแต่พรมจูบไปตามแนวกระดูกสันหลัง ส่งผลให้ส่วนอ่อนไหวเริ่มฉ่ำชื้น แต่ภายในเวลาไม่นาน คนตัวโตก็เริ่มหันมาให้ความใส่ใจกับส่วนนั้น ผมที่ต้องรับศึกหนักทั้งหน้าและหลัง จึงได้แต่ครวญครางให้อีกฝ่ายเชยชมจนสมใจ
 “พี่ใจเย็นต่อไปไม่ไหวแล้วรัน” สิ้นคำพูดนั้น ทุกอย่างก็พลันหยุดนิ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคล้ายกับพลาสติกกำลังถูกฉีกแยกออกจากกัน ผมจึงค่อยๆลืมตาขึ้น พลางลอบสังเกตเงาร่างสูงใหญ่ของพี่เนย์ กระทั่งรู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังสวมเครื่องป้องกันอยู่ ผมก็รีบมุดหน้าลงกับที่นอนทันที เพราะไม่อยากให้ภาพมันติดตา จนตัวเองเก็บเอาไปคิดเป็นตุเป็นตะแบบแต่ก่อน
ความเย็นฉ่ำชโลมไล้ด้านหลังของผมอีกครั้ง คล้ายกับผู้ที่กำลังจะถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของร่างกายของผม เขาหวาดกลัวว่าผมจะเจ็บปวดจากการกระทำของตัวเอง ตัวช่วยจึงถูกใช้มากมายเป็นพิเศษ จนผมรู้สึกเหนอะหนะ จากนั้นไม่นาน เงาร่างของเราก็หลอมรวมกันอีกครั้ง โดยที่ในความเป็นจริง มันก็ไม่ต่างจากเงาสะท้อนเหล่านั้นแม้แต่นิด

ร่างกายของเราต่างไหวเอนไปตามจังหวะการสอดแทรก ราวกับต้นไผ่ที่กำลังลิ่วลม ทำเอาผมสั่นสะท้านจนแทบรับมือไม่ไหว ซ้ำยังต้องทนฟังเสียงหอบหายใจสลับกับเสียงทุ้มนุ่มที่ดังคลออยู่ข้างใบหูตลอดกิจกรรมนี้ ไหนจะยังเสียงโยกไหวของเตียงนอนหลังกว้างที่รองรับเราทั้งคู่อีก ทำเอาผมแทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เสียให้ได้ ดีที่ว่าพวกพี่ทีม พี่บอส เพิ่งจะกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่รู้จะมองหน้าพวกพี่เขายังไง
และจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังอยากจะยืนยันคำเดิมว่า..
พี่เนย์คือคนที่ผมไม่ควรจะปล่อยให้หลุดมือ ไม่ว่าจะในตอนนี้หรือแม้แต่อนาคตข้างหน้าก็ตาม

“พี่รักรันนะ รู้ใช่มั้ย?” กระทั่งทุกอย่างในคืนนี้เริ่มกลับสู่เหตุการณ์ปกติ พี่เนย์ก็ทอดถอนกายออกจากตัวผม จากนั้นใบหน้าชื้นเหงื่อหากแต่เปื้อนรอยยิ้ม กลับถามผมด้วยเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเมื่อครู่ คล้ายกับพี่เขากำลังพยายามสร้างสถานการณ์ไม่ให้ผมแตกตื่นไปกับความสัมพันธ์ของเรา ที่มันพัฒนาไปจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว
“รู้ครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม หากแต่สายตาก็ยังไม่กล้าจะมองเสี้ยวหน้าที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนท่ามกลางความมืดสลัว

“แล้วพี่ก็รู้ใช่มั้ย..ว่าผมก็รัก..พี่” ผมตัดสินใจถามอีกฝ่ายคืนบ้าง โดยไม่รู้ว่าอะไรมันโดนใจให้ถามออกไปอย่างนั้น
“รู้สิ” พี่เนย์ตอบเพียงเบาๆ ขณะที่ฝ่ามือหนาที่ไม่ได้เปรอะเปื้อนคราบอะไรต่อมิอะไร ก็เอื้อมมาปัดปอยผมอันชื้นเหงื่อเพียงเบาๆ จนทำเอาผมเริ่มจะเคลิ้มหลับ

“ฝันดีครับ” ผมทำได้เพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น เพราะม่านตาของผมเริ่มหนักอึ้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความเหนื่อย หรือมันเป็นเพราะสัมผัสจากพี่เนย์ที่กำลังลูบไล้ปอยผมตรงหน้าผากให้เม็ดเหงื่อมันอันตรธานหายไปกันแน่
แต่ที่รู้ๆ ก็คือ..
ตอนนี้ผมได้พี่เนย์คนที่อบอุ่นและอ่อนโยน กลับคืนมาแล้ว



-----------------------------------------------------------------------
[edit 09/12/2017 แก้คำเกิน]
จริงๆ เราชอบฉากริมระเบียงมากเลย แม้ในความเป็นจริง ยุงคงหามไปแดรกก็เถอะ 555
แต่มันทำให้ต่างคนต่างดูโตขึ้น และน้องก็จะเข้มแข็งขึ้นด้วย เพราะเป้าหมายของน้องรันยังเหมือนอยู่ไกลเกินเอื้อม แต่ถ้าไม่มีพี่เนย์แล้ว มันอาจจะเป็นแรงผลักดันให้น้องก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อความฝันของตัวเอง เราว่าแบบนี้มันน่าภาคภูมิใจมากกว่า สปอยเรื่องเฉย 555
ต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้เราไม่ได้เน้นดราม่า ไม่ได้เน้นให้ตื่นเต้น หรือตื่นตาตื่นใจ แต่อีกหนึ่งอย่างที่เราอยากเน้นคือการที่คนสองคนเข้าใจกัน และรักกัน โดยที่ต่างคนต่างก็มีโลกเป็นของตัวเอง อุปสรรคของเรื่องมันเลยกลายเป็นว่า น้องรันต้องก้าวผ่านความกลัวของตัวเองให้ได้ เพราะความกลัวในใจของมนุษย์มันคือสิ่งที่ก้าวข้ามไปได้ยากที่สุด ยิ่งน้องเคยป่วย น้องจะยิ่งก้าวเดินไปได้ยากขึ้น รวมไปถึงการพูดที่เหมือนจะคืบหน้าด้วยเช่นกัน ทุกอย่างสำหรับน้องมันจึงยากไปหมด และชวนให้ท้อแท้ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2017 14:16:40 โดย Chomin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
โอยยยย อบอุ่นจนร้อนเบอร์นี้

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
น้องงงงง ยอมเลยถ้าจะหวานได้ขนาดนี้นะพี่เนย์ เขินแทนน้องเลย

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
กรี๊ดดดดดดดด :m25:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 13

ผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งอาทิตย์ หากแต่เรื่องราวที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำ ก็ดูจะหนีไม่พ้นเรื่องราวในคืนนั้น คืนที่เรากลายเป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์ จำได้ว่าวันรุ่งขึ้น ผมแทบไม่กล้ามองหน้าพี่เนย์แม้แต่ปลายหางตา ซึ่งพี่เขาก็เหมือนจะรับรู้ได้ แต่เจ้าตัวก็ทำเป็นเมินเฉย เอาแต่เก็บของใส่กล่องพลาสติกขนาดใหญ่ ที่เจ้าตัวเพิ่งออกไปหาซื้อเมื่อตอนสาย ส่วนผมก็ทำเพียงแค่เก็บเสื้อผ้าที่ใส่แล้วยัดใส่กระเป๋า และหอบผ้านวมของตัวเองกลับบ้าน เพื่อเอาไปซัก เพราะข้าวของส่วนใหญ่ ผมได้ทยอยขนไปไว้ที่หอในบ้างแล้ว ผมจึงช่วยพี่เนย์เก็บของแทบทั้งวัน เพราะอีกฝ่ายสมบัติเขาเยอะมาก
ดีหน่อยที่ไม่ถึงขนาดต้องขนตู้อื่นๆกลับ เพราะแค่ไมโครเวฟ โต๊ะญี่ปุ่นสองตัว ที่คว่ำจาน และชั้นวางรองเท้าก็เยอะมากพอแล้ว ไหนจะยังมีหนังสือเรียนที่พี่เขาตั้งใจจะเก็บเอาไว้ เพราะมันมีประโยชน์ต่อวิชาชีพของตัวเองในอนาคตอีกตั้งหลายเล่ม แต่ที่หนักสุด ก็เห็นจะเป็นตู้เลี้ยงเจ้าเขี้ยวกุดนี่แหละ เพราะระบบอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้มันเยอะแยะเหลือเกิน

กระทั่งคุณพ่อกับคุณแม่ของพี่เนย์เดินทางมาถึง ลูกชายตัวโตก็รีบเดินรี่เข้าไปหา พร้อมกับโอบกอดท่านไว้เป็นอันดับแรก จากนั้นพี่เขาก็จูบปากคุณแม่ของตัวเองไปหนึ่งที ฝ่ายคุณแม่ก็รีบคว้าใบหน้าของลูกชายสุดที่รักมาหอมจนแก้มย้วย ส่วนคุณพ่อดูเหมือนท่านจะเขินๆ ที่ผมมายืนมองอยู่ตรงนี้ ท่านก็เลยไม่ยอมให้ลูกชายแสดงความรักในแบบที่เคย
อาจเป็นไปได้ว่า เพราะคราวก่อนผมยืนแอบอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ขณะที่สมาชิกในครอบครัวเขากำลังแสดงความรักกันอยู่ คุณพ่อท่านก็เลยไม่ทันเห็นผม วันนี้จึงทำให้ลูกชายตัวดีต้องเปลี่ยนมากอดเอวท่าน เพื่อพาไปยังตู้ของเจ้าเขี้ยวกุด จากนั้นสองพ่อลูกก็ช่วยกันม้วนสายอะไรต่อมิอะไรเงียบๆ ผมกับคุณแม่ก็เลยแยกย้ายกันไปเก็บของลงกล่องพลาสติกราคาหลายบาทจนเสร็จ แต่กว่าจะเดินทางไปถึงบ้านของพี่เนย์ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร อีกทั้งเรายังต้องแวะทานมื้อเย็นที่ค่อนไปทางดึกอีก มันก็เลยเสียเวลากว่าที่คิดไปมาก ผมจึงตัดสินใจโทรบอกแม่ว่าผมจะกลับบ้านในเช้าวันพรุ่งนี้แทน
คืนนั้นจึงเป็นคืนแรก ที่ผมได้นอนค้างที่บ้านของพี่เนย์ 

กระทั่งวันรุ่งขึ้น พี่เขาก็พาผมมาส่งที่บ้าน ตามที่ได้ลั่นวาจาไว้กับคุณแม่ แต่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ให้กำลังใจผมในการเปิดใจให้กับพ่อแม่ของตัวเอง เพราะเนื่องจากพี่เนย์ต้องกลับไปจัดการธุระเรื่องคอนโด เห็นเจ้าตัวเขาบอกว่า ช่วงที่ยังไม่มีเงินเดือนคุณพ่อกับคุณแม่จะเป็นฝ่ายออกให้ก่อน แต่ถ้าหากได้เงินเดือนเมื่อไหร่ พี่เนย์จะต้องผ่อนคืนให้ครบ ฝ่ายรุ่นพี่ที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้คิดจะต่อรองอะไร เพราะพี่เขาตั้งใจไว้แล้วว่า หลังจากนี้คงต้องค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่ออนาคต
ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้ม เพราะเรื่องแบบนั้นมันยังแลห่างไกลจากตัวผมนัก
 
วันนี้ผมจัดการซักผ้า ตากผ้า ให้กับทุกคนในบ้านจนเหงื่อตก ดีหน่อยที่แม่ซื้อน้ำแดงกับโซดาติดบ้านเอาไว้ ผมจึงตั้งเป้าหมายว่าจะออกไปนั่งเล่นตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างหลังบ้าน แถวๆพื้นที่ซักล้างนั่นแหละ เพราะบริเวณนั้นเป็นบริเวณเดียวที่ร่มเย็นที่สุดท่ามกลางแสงแดดจ้าๆ

“เย็นนี้..จับแก..อาบน้ำ..สักหน่อย..ดีมั้ย” ผมเกาคางเจ้าแชมเปญที่เอาแต่เดินนวยนาดตามหลังผมมาติดๆ จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นมาบนโต๊ะม้าหินอ่อนตัวที่ผมจับจองไว้ พร้อมกับค่อยๆนอนอืดอยู่ข้างๆหนังสือที่ผมตั้งใจจะเอามาฝึกอ่านแก้เบื่อ ผมจึงต้องขยับหนังสือและแก้วน้ำแดงโซดาฝีมือของตัวเองให้ออกห่างจากเจ้าตัวยุ่ง
“ไหนมาให้หอม..หน่อย” ผมอุ้มเจ้าแชมเปญขนปุยโดยจงใจให้สองขาหลังของมันวางแหมะอยู่บนตัก ส่วนสองขาหน้าก็วางแหมะเอาไว้ที่อกของตัวเอง จากนั้นก็ก้มลงไปฟัดเจ้าแมวหน้ากลมด้วยความหมั่นเขี้ยว

“อยู่นี่เอง กูเกือบจะกลับแล้ว ดีนะโทรไปถามแม่มึงก่อน ทำไมไม่พกโทรศัพท์วะ” พี่เนย์ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนทางฝั่งตรงข้าม
“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากยกยิ้มแก้ตัวใส่คนหน้าบูด เพราะเรื่องของเรื่อง ผมก็ตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์ลงมาด้วยนั่นแหละ แต่ดันเผลอเลือกหนังสือนานไปหน่อย ทีนี้พอได้เรื่องที่ต้องการแล้ว ผมก็รีบวิ่งตึงตังลงไปข้างล่าง เพื่อชงน้ำแดงมาดื่มแก้กระหาย

“ดีนะแม่มึงรับสาย ไม่งั้นวันนี้กูคงไม่ได้เจอมึงหรอก” พี่เขายังคงบ่นอุบ
“อ่า..ใช่..พรุ่งนี้พี่ต้อง..เริ่มฝึกงาน..แล้ว” ผมพูดพลางวางเจ้าแชมเปญลงบนโต๊ะ

“เออดิ” ร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีขาวแซมด้วยลวดลายแนวขวางตั้งแต่ช่วงหัวไหล่จนถึงหน้าอก พร้อมด้วยกางเกงยีนส์ขายาวง่ายๆหนึ่งตัว เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะเคืองนิดๆ พลางถอดแว่นกันแดดสีดำวางลงบนโต๊ะ
“หงุดหงิดทำไม..ครับ อยากเจอผม..ขนาดนั้นเลย..เหรอ” ผมเอื้อมไปคว้ามือใหญ่ๆ ของพี่เขามากุมไว้ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบด้วยความง้องอน อย่างที่ไม่เคยคิดจะทำต่อกันมาก่อน

“อืม” ฝ่ายคนกำลังถูกง้อ เขากลับทำเป็นนิ่งเฉย แถมยังเสหน้ามองไปทางอื่นอีก แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้ทำตัวเย็นชามากนัก เพราะคำตอบรับในลำคอเบาๆ มันบ่งบอกให้ผมรู้ว่า อีกฝ่ายเขาอยากเจอหน้าผมมากแค่ไหน เขาถึงได้ลงทุนขับรถมาจากกรุงเทพ เพียงเพื่อที่จะได้เจอหน้าผม ก่อนที่เราจะหาโอกาสมาเจอกันได้ยาก
“แต่ตอนนี้ก็เจอผม..แล้วไงครับ..หายโกรธกันนะ” ผมยังคงง้องอนอีกฝ่าย แม้ว่าจะเก้อเขินมากแค่ไหน แต่ก็ต้องทำ เพราะตอนนี้คนตัวโตเขากลายร่างเป็นคนขี้งอนไปแล้ว

“กูไม่ได้โกรธ แต่แค่เซ็งนิดหน่อย ถ้าเกิดมาเสียเที่ยว” พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง โดยที่ดวงตาคู่นั้น ก็ยอมหันมาโฟกัสที่ใบหน้าของผมสักที
“…” ผมยังคงจับมือพี่เนย์ไว้ พลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย จนพี่เขาต้องยอมหลุดยิ้มออกมา

“มึงนี่มันจริงๆเลย” พี่เนย์บ่นอุบ คล้ายกับว่าเจ้าตัวเขายอมแพ้ให้กับผมแล้ว
“…” ผู้ชนะอย่างผมจึงได้แต่ยิ้มแป้นจนตาปิด อีกฝ่ายจึงเอื้อมมือมาดันหัวผมจนแทบหงายหลัง แต่ผมก็ยังคงยิ้มจนดวงตาเริ่มกลายเป็นเส้นตรง

เราพากันนั่งอยู่ตรงใต้ร่มไม้จนเกือบๆจะสามโมง ก็ต้องกลับขึ้นไปนั่งตากแอร์เย็นๆบนห้องนอนแทน เพราะว่าแสงแดดมันเริ่มไล่ที่เราจนไม่สามารถนั่งอยู่ตรงนั้นได้อีก เวลานี้พี่เนย์เขาเลยถือโอกาสเดินสำรวจห้อง โดยมีเจ้าแชมเปญคอยเดินตามไม่ห่าง ราวกับมันหวาดระแวงว่าพี่เนย์จะมาขโมยของผมอย่างนั้นล่ะ

“นั่นสมุดอะไร?” ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่เอามาฝึกอ่าน พลางมองตรงไปยังร่างสูงที่กำลังเขย่งเท้ามองหาอะไรบางอย่าง ที่มันถูกวางทิ้งเอาไว้บนหลังตู้หนังสือ โดยที่โผล่ชิ้นส่วนบางเสี้ยวของมันถึงได้โผล่พ้นตรงขอบตู้จนเป็นที่สะดุดตา
“ไม่รู้สิครับ” ผมตอบอย่างเฉไฉ เพราะผมรู้ดีว่าอะไรบางอย่างที่พี่เขากำลังสนใจอยู่นั้น มันเปรียบเสมือนห้องแห่งความลับของตัวเอง

“ขอดูได้ไหม?” ร่างสูงสมส่วนหันมาสอบถามผมที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง
“ครับ” ผมนิ่งคิดไปพักใหญ่ เพราะยังลังเลอยู่ไม่น้อย เนื่องจากผมยังจำวันที่พี่เนย์ได้เห็นภาพวาดที่ผมเก็บซ่อนไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้ดี แต่ที่ตัดสินใจให้อีกฝ่ายดูก็เพราะว่า มันไม่ได้มีแค่เพียงรูปที่ผมเคยวาดในตอนเด็ก แต่กลับมีรูปที่ผมวาดในตอนโต ช่วงสมัยปิดเทอมตอนปีหนึ่ง

“นั่นแมวเหรอ?” พี่เนย์เปิดสมุดวาดภาพ พลางพิจารณารูปที่ผมวาดอยู่นาน จากนั้นริมฝีปากหนาก็เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับปลายนิ้วที่ชี้ไปยังภาพของสัตว์ตัวเล็กๆ ที่มันมองแทบจะไม่ออกว่าคือตัวอะไร เมื่อจิตรกรคือเด็กอายุ 5 ขวบในอดีต แต่ที่ยังพอจะเดาได้ว่ามันเป็น ‘แมว’ ก็เพราะผมได้วาดหูของมันเป็นรูปสามเหลี่ยม และใบหน้ากลมๆของมันก็มีเส้นตรงสั้นๆข้างละสามเส้นแปะอยู่
“แชมเปญ” ผมตอบโดยไม่ต้องขยายความอะไรมากมาย พี่เนย์ก็สามารถเข้าใจได้ว่าเจ้าสัตว์ตัวนั้นมันคือตัวอะไร ส่วนเจ้าของชื่อ เมื่อได้ยินผมเรียก มันก็รีบวิ่งรี่เข้ามาหา พลางกระโดดขึ้นมานั่งบนเตียง พร้อมกับมองหน้าผมอย่างสงสัย ราวกับอยากจะถามว่า เมื่อครู่ผมเรียกชื่อมันทำไม ผมก็เลยเอื้อมมือไปลูบหัวมันเบาๆ

“แชมเปญโผล่หน้ารอดประตูออกมาแค่ครึ่งตัว ทั้งๆที่ประตูยังปิดอยู่?” พี่เนย์บ่นพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง ขณะที่ผมก็เริ่มไม่มีสมาธิจะอ่านหนังสือ
“พื้นหลังถูกระบายด้วยสีดำ ส่วนตัวของแชมเปญเป็นสีขาว..” พี่เนย์เหลือบมองไปยังแชมเปญที่กำลังนอนพิงตัวผม พลางกระดิกหางอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นสายตาคู่คมก็หันกลับมาสนใจภาพวาด ภาพเดิมอีกครั้ง กระทั่งเสียงกระดาษขูดกับเสื้อยืดของพี่เขา แสดงถึงการเปลี่ยนหน้าหนังสือ ผมจึงเหลือบมองไปยังภาพที่ปรากฏอยู่ในมือของอีกฝ่าย

“ทุกอย่างว่างเปล่า มีแค่แชมเปญอยู่ตรงกลาง ส่วนพื้นหลังถูกระบายด้วยสีดำ.. สามรูปเลยแฮะ” ผมเหลือบมองอีกฝ่ายที่เอาแต่บ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเปิดสมุดวาดรูปในหน้าถัดไปอีกสามหน้า ก็พบว่ารูปที่ผมวาดยังคงเป็นรูปเดิม แสดงให้เห็นถึงการเดินทางอันแสนยาวนานของแชมเปญ ตั้งแต่มันเริ่มลักลอบมุดประตูเข้ามาในห้องๆหนึ่ง
“เด็ก..กอดเข่าตรงมุมห้อง..ใบหน้าเป็นสีดำ..พื้นหลังเป็นเส้นขยุกขยุย” เสียงของพี่เนย์เบาหวิว เมื่อหน้ากระดาษที่มันถัดจากรูปของแชมเปญคือภาพๆหนึ่ง ที่เริ่มสร้างความสะเทือนใจให้กับอีกฝ่าย โดยเฉพาะพื้นหลังที่มันแสดงออกถึงความว้าวุ่นใจของผู้วาด

“พี่เนย์” ผมเรียกพี่เขา พลางยกยิ้มให้
“…” ฝ่ายคนถูกเรียกก็ทำได้แค่หันมาฝืนส่งยิ้มให้ พลางเปิดสมุดวาดรูปหน้าต่อไป ที่เริ่มมีแชมเปญโผล่เข้ามาใกล้กับเด็กชายไร้รูปหน้า ที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้อง

“ทำไมจู่ๆ แชมเปญถึงสวมปลอกคอล่ะ?” พี่เนย์ตั้งคำถามกับตัวเอง พลางมองจ้องภาพของแชมเปญที่จู่ๆก็มีปลอกคอ ขณะที่ภาพพื้นหลังกลับเต็มไปด้วยเส้นขยุกขยุยเหมือนกับภาพของเด็กชายไร้ใบหน้าไม่มีผิด บ่งบอกได้ว่าตอนนี้ เจ้าแมวตัวดังกล่าวได้ก้าวเดินเข้ามายังอาณาเขตของเด็กชายคนนั้นเรียบร้อยแล้ว
“ผู้หญิงถือเชือก? หมายถึงพี่สาวข้างบ้าน? แต่ทำไมถึงต้องเป็นเชือกล่ะ”

“เข้าใจแล้ว แชมเปญสวมปลอกคอที่ถูกเชื่อมด้วยสายจูงจากผู้หญิงคนนี้.. ส่วนพื้นหลังเริ่มมีสีขาวแซมเล็กน้อย” พอเจ้าตัวเขาวิเคราะห์จบ ริมฝีปากที่ไร้รอยยิ้มก็ค่อยๆขยับยิ้มบางๆ จนผมที่แอบมองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ ก็เผลอยิ้มตามคนตัวโตไปด้วย ขณะที่ในหัวใจของผมมันกลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น โดยที่พี่เขาไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไร
“เส้นตรง? หมายถึงถึงอะไรนะ ระยะห่างของแชมเปญที่สวมปลอกคอโดยมีผู้หญิงคนนั้นจับจูง หรือว่าระยะห่างของทั้งคู่ที่มันห่างไกลจากเด็กผู้ชายคนนั้น?” พี่เขาขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง พลางเปิดกลับหน้าไปมา เพื่อวิเคราะห์ภาพที่วาดต่อเนื่องกัน โดยที่อีกฝ่ายไม่คิดจะถามความเห็นจากผม คล้ายกับเจ้าตัวไม่กล้าที่จะเอ่ย และพี่เนย์ก็น่าจะไม่รู้ตัวด้วยว่า ทุกครั้งที่พี่เขาวิเคราะห์ ริมฝีปากอบอุ่นคู่นั้นก็มักจะเอื้อนเอ่ยออกมาเพียงแผ่วเบา ซึ่งถ้าหากไม่ตั้งใจฟัง ก็จะฟังไม่รู้เรื่อง

“แชมเปญนั่งมองเด็กชายไร้หน้า ที่กำลังนั่งก้มหน้ากอดเข่า ทั้งๆที่ยังมีสายจูง? ส่วนพื้นหลังไม่มีสีขาวอีกแล้ว”
“…” พี่เนย์นิ่งเงียบไปนานมาก โดยที่ดวงตาคมคู่นั้นไม่ได้ละสายตาไปจากภาพที่ผมวาดเลย ซึ่งผมเข้าใจดีว่าคนที่ตีความภาพวาดที่มันสะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดของใครสักคนเป็น เขาคนนั้นจะต้องสะเทือนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นแน่ๆ แต่จะมากหรือน้อย มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของภาพวาดเขาเป็นคนใกล้ตัวหรือเปล่า
เพราะอันที่จริงแล้ว สมุดเล่มนี้ แม้แต่พ่อกับแม่ก็ยังต้องเสียน้ำตาให้มัน ผมถึงต้องเอามาแอบไว้บนหลังตู้หนังสือ โดยที่ลืมนึกไปว่าบางทีพวกท่านก็อาจจะทราบการมีอยู่ของมัน จึงทำให้เสี้ยวหนึ่งของสมุดวาดรูปมันโผล่พ้นออกมาจากขอบตู้แบบนั้น แสดงว่าใครสักคนคงจะหยิบยืมมันไปดู ซึ่งก็ไม่น่าจะพ้นคุณนายระพี ที่เพิ่งจะได้คุยกับพี่เนย์ถึงเรื่องนี้ไปหมาดๆ ผมจึงได้แต่หวังว่าหน้าสุดท้ายของสมุดภาพเล่มนั้น มันจะทำให้พ่อกับแม่สบายใจได้บ้าง

“ขีดๆเส้นเล็กๆนั่นคืออะไร” พี่เนย์เริ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง เมื่อรูปที่ผมวาดมันมักจะมาพร้อมกับปริศนา
“ฝน” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทำเอาคนที่กำลังนั่งจ้องสมุดภาพถึงกับหันมามอง

“พ่อกับแม่ยืนตากฝน” ผมพูดพลางเปิดสมุดภาพหน้าถัดไป
“ทำไม?” พี่เนย์ถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ขณะที่ขอบตาของผมก็เริ่มปริ่มไปด้วยน้ำใสๆทีละนิด

“ฝนคือน้ำตา” ทันทีที่พูดจบ น้ำตาของผมก็หยดแหมะ เพราะผมเพิ่งจะเข้าใจก็วันนี้ ว่าจริงๆแล้ว อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมเปิดใจยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น คือ ‘พ่อกับแม่’ ไม่ใช่แชมเปญ
“เด็กคนนั้น..คือผม” ผมอธิบาย พลางพลิกหน้ากระดาษไปยังหน้าถัดไป ซึ่งเป็นภาพของเด็กชายกำลังเงยหน้ามองตรงไปยังที่ไหนสักที่ โดยพื้นหลังรอบๆตัวเขา ค่อยๆกลายเป็นเส้นตรง ไร้ความยุ่งเหยิง ขณะที่แชมเปญก็เข้ามาคลอเคลียเด็กชายคนนั้น เพื่อให้เขาไม่รู้สึกเศร้า

ผมค่อยๆไถลตัวลงนอนราบ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้า พลางร้องไห้จนตัวโยน เพราะทุกความรู้สึกในตอนนั้น ผมยังคงจดจำมันได้ชัดเจน ขณะที่ผมก็เพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้ว่า ‘อคติ’ มันเป็นอะไรที่น่ากลัว ทั้งๆที่จิตใต้สำนึกของเราจริงๆ มันกลับไม่ได้คิดเห็นแบบนั้น ซึ่งก็เท่ากับว่า ในใจลึกๆของผม ไม่เคยคิดจะโกรธหรือโทษพวกท่านเลย แต่ที่ผ่านมา สิ่งที่ผมทำลงไปก็แค่ปกป้องจิตใจอันอ่อนแอของตัวเอง โดยลืมนึกไปถึงความรู้สึกของคนอื่น
ซึ่งคนอื่นที่ว่าก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นพ่อกับแม่ของผมเอง

“พี่เนย์” ผมอุทานเสียงแผ่ว เมื่อสัมผัสอุ่นๆจากคนข้างๆ แตะแต้มลงบนศีรษะของผม
“ไม่เป็นไรนะ.. ตอนนั้นรันยังไม่เข้าใจความคิดของตัวเอง.. อะไรที่มันผ่านมาแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไป.. ดีไหม? พี่ขอโทษที่เป็นคนขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีก รันยกโทษให้พี่นะ” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ขณะที่ผมก็ได้แต่สะอื้น พลางพยายามเอาผ้านวมเช็ดหน้าเช็ดตาให้แห้ง

“ไม่เป็นไรครับ..ผมต้องขอบคุณ..พี่ด้วยซ้ำที่..หยิบสมุดวาดรูปมาดู..เพราะไม่อย่างนั้น..ผมคงไม่มีทางเข้าใจว่า..จริงๆแล้ว..ผม..ไม่เคยโกรธพ่อกับแม่เลย..กลับกัน..ผมเสียใจ..ต่างหากที่ทำให้..ท่านร้องไห้..แล้วผมก็เกลียดตัวเอง..ที่..พูดไม่ได้..ส่วนที่ไม่ยอมไปรักษา..เพราะว่า..ผมกลัว..การใช้ชีวิตในสังคมปกติ..ผมเลยยอมที่จะเป็นแบบนี้..เท่ากับว่าผมยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น..ได้..ก็เพราะสถานการณ์..บังคับ..ให้ผมต้องยอมรับมัน” ผมลุกขึ้นนั่ง พลางเปิดไปยังหน้าที่เด็กชายในภาพวาดเริ่มมีคิ้ว ดวงตา จมูก และริมฝีปากประดับใบหน้า ขณะที่พื้นหลังก็ยังคงเต็มไปด้วยเส้นตรงอันไร้ซึ่งความซับซ้อน จากนั้นผมก็เปิดข้ามไปยังเด็กชายในชุดนักเรียนที่ถูกผู้คนรุมล้อมจนแทบไม่มีพื้นที่ให้หายใจ เปรียบได้กับการที่ผมถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนรังแกทางคำพูด ถัดมาก็เป็นรูปที่เด็กชายคนนั้น ใบหน้าของเขาเริ่มไม่มีอวัยวะต่างๆบนรูปหน้าอีกครั้ง โดยเนื้อตัวของเขาประดับด้วยเครื่องแต่งกายที่เรียกกันว่า ‘ชุดนักเรียน’ แต่เมื่อเปิดไปยังหน้าถัดไป เด็กชายในชุดนักเรียนคนนั้น กลับมีดวงตา จมูก ปาก จนครบถ้วน และเมื่อพลิกหน้ากระดาษไปยังหน้าถัดไป ก็จะพบกับ ‘บ้าน’ ที่เป็นตัวแปรที่ทำให้เด็กชายคนนั้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่พออยู่ที่โรงเรียน เขากลับไร้รูปหน้าเหมือนอย่างเคย
ซึ่งมันก็วนลูปไปแบบนี้ จนกระทั่งเด็กคนนั้นเติบโตขึ้น

“ทำไมผมต้องเพิ่งมา..เข้าใจรูปที่ตัวเอง..วาดเอาตอนนี้..ด้วย” ผมกอดพี่เนย์พลางต่อว่าตัวเองอย่างเสียใจ ที่ปล่อยให้อะไรๆ มันกลายเป็นแบบนี้ จนเกิดเป็นช่องโหว่ใหญ่ๆ โดยไม่ทันจะรู้ตัว

“ตอนนั้นมึงยังเด็ก มึงอาจจะกำลังสับสนไง เลยทำให้ไม่เข้าใจภาพที่ตัวเองต้องการจะสื่อ แต่กูคิดว่าบางทีพ่อกับแม่มึงเขาน่าจะเข้าใจความคิดของมึงนะ เพียงแต่สิ่งที่มึงแสดงออกมันสวนทางกัน พวกท่านก็เลยไม่แน่ใจ แต่ว่าวันนั้นที่มึงกลับถึงบ้าน มึงก็ทำตามคำแนะนำของกูไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“อื้อ” ผมส่งเสียงตอบในลำคอพลางพยักหน้าขึ้นลงเบาๆตรงลาดไหล่ของอีกฝ่าย

“ในเมื่ออดีตมันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ มึงก็แค่ต้องทำวันนี้และอนาคตให้ดีที่สุด เช่น การที่มึงประสบความสำเร็จในเป้าหมายของตัวเอง กูคิดว่าพวกท่านจะต้องดีใจแน่ๆ ดูอย่างตอนนี้สิ มึงเริ่มพูดได้ตั้งเยอะ พ่อกับแม่ของมึงท่านพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ กูเห็นเต็มสองตาเลยนะ”
“ครับ” ผมผละตัวออกจากอ้อมกอดของพี่เนย์ พลางยกยิ้มและพยักหน้ารับคำของอีกฝ่ายอย่างแข็งขัน

“ในที่สุด มึงก็ยิ้มในแบบที่กูชอบได้สักที” พี่เนย์พูดพลางใช้ปลายนิ้วโป้งไล้มุมปากของผมเบาๆ ขณะที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง หากแต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับฉายแววเศร้าสร้อยไปกับเรื่องราวของผมเหมือนอย่างเคย

ฟู่ววว!

“ได้โปรดลืม..เรื่องในอดีต..ของผมไป..เถอะนะครับ” ผมกล่าวพลางจูบลงบนเปลือกตาของพี่เนย์ทีละข้าง คล้ายกับว่าถ้าหากทำแบบนั้นแล้ว ความทรงจำทั้งหมดมันจะย้อนคืนกลับมาที่ผม
“ผมไม่ชอบ..ดวงตาเศร้าๆ..ของพี่เลย” ผมผละออกห่างจากพี่เนย์ พลางยกยิ้มให้อีกฝ่าย พร้อมกับบอกความในใจที่กักเก็บไว้ ตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นท่าทางและแววตาของพี่เนย์ที่ค่อยๆเปลี่ยนไป
เพียงเพราะรูปวาดเพียงรูปเดียว


----------------------------------------------------------
[edit 09/12/2017 แก้คำสลับ
25/08/2018 แก้ช่วงที่เรียกชื่อพี่เนย์]
รูปสุดท้ายที่น้องรันวาดคือรูปอะไรรรรรร >.<
ตอนนี้อาจมีเศร้าปนหวานนิดหน่อย ทำให้ทราบอดีตอันยากลำบากของน้องเนอะ
ว่าแต่ว่าเถอะ ตอนพิเศษอาจจบที่ไม่เกิน 20 ตอนจริงๆค่ะ ยังไม่ได้เคลียร์ปมอื่นเลย เนื้อหาเยอะไปหน่อย 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2018 09:54:58 โดย Chomin »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 14

ภาคเรียนใหม่ แต่ทุกอย่างยังคงเดิม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือแม้กระทั่งสถานที่ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่ผมได้เห็นจนคุ้นเคย ต่างกันก็แค่เพียง ไม่ว่าจะวันนี้ หรือวันไหนๆ ต่อให้ผมเดินอยู่บนแนวเส้นขอบถนนสักกี่พันครั้ง ณ ปลายทางตรงนั้น ก็ไม่มีวันปรากฏรูปร่างของผู้ชายที่แสนอบอุ่นคนหนึ่ง
และเราก็ไม่มีวันได้บังเอิญมาเดินชนกันอีกแล้ว

ท้องฟ้าวันนี้ แม้ว่ามันจะสดใส แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันกำลังหม่นเศร้า อาจเป็นเพราะผมรู้สึกเคว้งคว้างที่ในวันนี้และวันต่อๆไป ผมจะไม่ได้เห็นหน้าของพี่เนย์ทุกวัน และจะไม่ได้พูดคุยกันเหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนอย่างเคย ความรู้สึกแบบนี้มันถึงได้เล่นงานผมที่ยังคงปรับตัวไม่ได้ เพราะการที่เราต้องทนอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่เคยมีด้วยกัน มันทำให้ผมอดคิดไปถึงวันเวลาเหล่านั้น จนในอกมันจุกเสียด แต่ทุกครั้งที่ภาพเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความนึกคิด ริมฝีปากของผมก็มักจะคลี่ยิ้มอยู่เสมอ

Akane Akarawin added 1 new photo with Neran P.
เดี๋ยวนี้เขี้ยวกุดตื่นเช้าเป็นแล้วนะ

ผมวางช้อนส้อม พลางโน้มตัวลงไปดูโนติตรงหน้าจอโทรศัพท์ จากนั้นก็สไลด์หน้าจอเข้าไปยังเฟซบุ๊ก เพื่ออ่านรายละเอียดที่ชายหนุ่มจากกรุงเทพเขานึกอยากจะแบ่งปัน ซึ่งก็ไม่พ้นการอัพเดตเรื่องราวของเจ้าลูกชายตัวดี ที่ตอนนี้ได้มาอยู่ห้องใหม่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนผมก็ต้องทนเห็นแค่วอลเปเปอร์ บนฝาผนังห้องของพี่เนย์ต่อไป

ผมอมยิ้ม พลางกดไลก์ข้อความดังกล่าว ก่อนจะนั่งกินข้าวตรงโต๊ะตัวใหม่ ที่อยู่ด้านนอกโรงอาหารกลาง และสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างชัดเจน ซึ่งโต๊ะตัวนั้นก็เป็นตัวเดียวกับตอนที่ผมย้ายมานั่งมองฝน แล้วพี่เนย์เขาบังเอิญมาส่งเพื่อนที่มหาลัยในวันหยุด เราสองคนก็เลยได้ทานมื้อเช้าด้วยกันเหมือนทุกวัน

“พี่รันนนน” ผมเงยหน้ามองต้นเสียงด้วยความตกใจ เพราะกำลังหวนคิดอะไรเพลินๆ แต่พอเห็นเป้าหมาย ผมก็ได้แต่ยกยิ้มบางๆให้น้องโบว์ ที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดตรงหน้าโรงอาหารทางประตูฝั่งขวามือ ตามด้วยเพื่อนๆของเธอ ที่พากันยกมือไหว้ผม ก่อนจะส่งซิกกับน้องรหัสผมในทำนองที่ว่า ถ้าเสร็จธุระแล้ว ก็ให้โทรหา
“หนูฝึกพร้อมแล้วนะคะ อัดวันนี้เลยก็ได้” น้องโบว์ทิ้งตัวลงนั่ง พลางพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น

“แล้วปาล์มล่ะ รายนั้น..พร้อมแล้วเหรอ?” ผมย้อนถามไปถึงน้องรหัสอีกคน เพราะไม่มั่นใจว่าช่วงปิดเทอมน้องเขาจะว่างฝึกภาษามือหรือเปล่า
“เดี๋ยวหนูถามให้ค่ะ” น้องโบว์ว่า พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายรูปลักษณ์ทันสมัย พลางก้มหน้าก้มตาพิมพ์แชทไปถึงใครบางคนที่เจ้าตัวรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี และดูท่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ได้ดีพอสมควร เพราะผมเคยได้ยินไอ้หมอกมันบ่นอิจฉาน้องปาล์มอยู่บ้าง

“ปาล์มโอเคนะคะพี่รัน” น้องโบว์พูดขึ้นพลางเก็บโทรศัพท์ จากนั้นก็ยกยิ้มแฉ่งใส่ผม จนผมทำตัวไม่ถูก เพราะหลายๆอย่างมันยังคงค้างคาอยู่ในใจ
“โบว์รับได้มั้ย เรื่องของ..พี่กับพี่เนย์?” ผมถามพลางก้มหน้าเขี่ยข้าวในจานเล่น

“พี่เนย์ใส่ใจพี่รันมากเลยนะคะ ทำไมหนูถึงจะรับไม่ได้ อีกอย่างเพื่อนเมทมันก็ชอบพูดกรอกหูอยู่บ่อยๆ จริงๆหนูก็พอจะเข้าใจนะคะ แต่ที่ทำเป็นไม่เข้าใจ เพราะหนูคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง หนูก็เลยไม่อยากพูดอะไรมาก เดี๋ยวจะเสียเพื่อนด้วย เพราะพี่รันดูเท่มากๆ แถมยังเป็นสุภาพบุรุษในสายตาของหนูเลยนะ หนูก็เลยคิดว่าพี่รันน่าจะชอบผู้หญิง แถมยังใจดีมากๆด้วย ที่สำคัญพี่ชอบยิ้มให้หนู พี่ชอบเอ็นดูหนูเหมือนเด็กๆ จนทำให้หนูรู้สึกเหมือนกับมีพี่เป็นพี่ชายจริงๆ และถ้าหนูจะมีแฟน หนูก็อยากได้แฟนนิสัยแบบพี่รันนะ แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะคนๆนั้นที่หนูชอบ มีนิสัยต่างกับพี่รันสุดๆ ที่เห็นเงียบๆน่ะ จริงๆโคตรกวนตีนเลยพี่รัน” น้องโบว์ยิ้มบางๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น อีกทั้งแววตาของเจ้าตัวก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เธอมองผมเป็นพี่ชายที่เธอนับถือจริงๆ
“แล้วทำไม..โบว์ถึง..เงียบหายไป”

“หนูเครียดเรื่องสอบน่ะสิคะ ฮือออ มหาลัยมันปรับตัวยากชะมัด เกรดหนูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไฟนอลหนูเลยต้องทุ่มสุดพลัง ปาล์มมันติวเข้มหนูจนแทบอ้วก” น้องโบว์พูดพลางทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ จนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปยีหัวอีกฝ่าย
“พี่รันทำผมหนูยุ่งอีกแล้ว” เจ้าน้องรหัสตัวดีบ่นอุบ จนต้องเปลี่ยนมาจัดทรงผมของเธอให้เข้าที่เข้าทาง

“ฮือ หนูจะกินข้าวไม่ทันแล้ว หนูไปก่อนนะคะ พี่รันอย่าลืมไลน์มานัดเวลากันอีกทีนะคะ” น้องโบว์ลุกขึ้นจากโต๊ะพลางวิ่งพรวดพราดเข้าไปยังด้านในของโรงอาหาร ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มกับตัวเอง เพราะอันที่จริงแล้ว เรื่องของน้องโบว์มันแทบไม่มีอะไรให้น่ากังวลใจเลย แต่ที่ผ่านมา ผมกังวลกลัวว่าน้องจะรับไม่ได้กับความรักของผม จนทำให้เธอผิดหวังในตัวของพี่ชายคนนี้ ผมก็เลยคิดมาก แต่ก็พยายามจะปลอบใจตัวเองให้ปล่อยวาง ซึ่งถ้าหากผมปล่อยวางได้จริงๆ ผมจะมองเห็นว่า
อันที่จริงผมกับน้องโบว์ หรือแม้กระทั่งปาล์ม พวกเราก็ไม่ได้พูดคุยแชทกันบ่อยๆ เป็นปกติอยู่แล้ว

“เฮ้ย ใบ้!” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อไอ้มอส เพื่อนจากโรงเรียนเดียวกัน มันเดินเข้ามาทักทาย พร้อมกับกอดคอผมอย่างสนิทสนม
“…” ผมเงียบ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความไม่ชอบใจที่มันค่อยๆ ประทุ พร้อมกับนึกหงุดหงิดใจไปด้วย ที่ตัวเองดันลงทะเบียนวิชาเลือกวิชาเดียวกับพวกไอ้หมอก ไอ้คิน ไม่ทัน ผมก็เลยต้องซวยมาเจอคนแบบนี้

“กูนึกว่าจะไม่มีเพื่อนแล้ว ค่อยโล่งอกหน่อย” ไอ้เด็กนิเทศมันว่าอย่างนั้น ส่วนผมก็พยายามคิดไปถึงคำบอกกล่าวของพี่เนย์ว่า ถ้าหากผมอยากประสบความสำเร็จ โดยที่เป้าหมายคือการเป็น ‘ล่ามภาษามือ’ ผมจะต้องกำจัดอคติต่างๆของตัวเองออกไปให้หมด ผมถึงจะสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้โดยไม่อึดอัด อีกทั้งพี่เนย์ยังเคยบอกว่า ป่านนี้เพื่อนในสมัยมัธยม มันก็คงจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันไปหมดแล้ว เพราะพวกเราต่างก็เติบโตขึ้นไปตามกาลเวลา วุฒิภาวะก็เริ่มมากขึ้นตามไปด้วย
“กูชื่อรัน” ผมเอาแขนของมันออกจากลาดไหล่ของตัวเอง พลางพูดชื่อของตัวเองให้มันรู้กลายๆ ว่าผมไม่ชอบให้มันเรียกผมอย่างนั้น

“อ้อ” ไอ้เด็กนิเทศ มันทำได้แค่ตอบรับในลำคอเพียงเท่านั้น ผมจึงยิ่งต้องกำมือของตัวเองแน่น เพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์โมโห
ไอ้ใบ้เป็นคำที่..มึงไม่ควร..ไปเรียกใครแบบ..นั้นอีก เพราะมันจะ..ทำให้เขา..รู้สึกไม่ดี” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วก็เดินเข้าห้องบรรยายลักษณะสโลปในทันที

“กูขอโทษนะเว้ยรัน กูไม่ได้ตั้งใจให้มึงรู้สึกไม่ดี” ไอ้มอสมันรีบเดินจ้ำอ้าวมาแก้ตัวยกใหญ่
“งั้นทำไม..มึงถึงต้อง..เรียกกูแบบนั้น” ผมหันไปย้อนถามไอ้เด็กนิเทศด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

“กู..จำชื่อมึงไม่ได้” มันตอบพลางก้มหน้าลงมองปลายเท้าของตัวเอง ส่วนผมก็ได้แต่แสยะยิ้มมุมปาก ด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง ที่ใครต่อใครต่างก็พากันเรียกผมว่า ‘ไอ้ใบ้’ จนไม่มีใครจดจำชื่อจริงๆของผมได้เลย
“แต่ที่ผ่านมา..มึงไม่ใช่..จำชื่อกูไม่ได้นะ..แต่มึงกำลังสนุก..กับการล้อเลียน..ปมด้อยของคนอื่นต่างหาก!!!” ผมผลักอีกฝ่าย พลางเดินจ้ำอ้าวไปนั่งยังชั้นเกือบๆท้ายสุด ขณะที่แขนก็ต้องคอยยกขึ้นปาดน้ำตาที่มันไหลรินไม่มีทีท่าจะหยุด พร้อมด้วยภาพคืนวันเก่าๆ ที่มันค่อยๆฉายชัดในความรู้สึก แรงสะอื้นของผมจึงมีมากขึ้น กระทั่งอาจารย์เข้าสอน ผมก็ยังเรียนไม่รู้เรื่อง โชคดีที่รอบๆตัวผมไม่มีใครมาจับจอง คงเพราะกิริยาเกรี้ยวกราดของผมเมื่อครู่ มันคงทำให้ใครหลายๆคนเข็ดขยาด

ผมจึงได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ในห้องเรียนอย่างเงียบๆ เพราะภาพคืนวันเก่าๆ ที่เพื่อนร่วมชั้นพากันรุมรังแก มันทำให้ผมอดทนเข้มแข็งต่อไปไม่ไหว ไม่จะเป็นเหตุการณ์ที่ผมถูกแกล้งโดยการเอารองเท้ากับสมุดการบ้านไปซ่อน หรือแม้กระทั่งการปาชอล์กใส่ เพื่อหลอกล่อให้ผมยอมพูดออกมา ทั้งๆที่พวกเขาก็รู้ว่าผมพูดไม่ได้ และเมื่อผมไม่ยอมพูด พวกเขาก็จะพากันสาดคำล้อเลียนว่า ‘ไอ้ใบ้’ จนผมแทบอยากจะหายไปจากตรงนั้น เพราะในใจลึกๆ มันยังไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้
จนกระทั่งความอดทนของผมหมดลง ผมจึงต่อยคนเหล่านั้นจนน่วม ไม่ว่าจะชายหรือหญิงผมก็สู้เขาหมด เพราะเขาทำร้ายผม จากนั้นมา ผมก็เริ่มเก็บตัว แต่ถึงอย่างนั้น พวกที่มันนึกอยากจะลองดี มันก็ยังไม่ไปผุดไปเกิด ผมเลยจำเป็นต้องเข้มแข็งและยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ได้ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด และทำเป็นหูทวนลมได้อย่างตลอดรอดฝั่ง เพราะถึงยังไง ผมก็คลุกคลีอยู่กับสังคมแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เพียงแต่ระดับความรุนแรง มันจะค่อยๆมากขึ้นไปตามวัย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่ผมจะปรับเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง ต่อกลุ่มคนที่ไม่มีความบกพร่อง
แต่พอได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ผมก็เริ่มรู้จักผู้คนที่หลากหลาย มุมมองต่างๆของผมจึงเริ่มเปลี่ยนไป
เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง มันก็อาจปรับเปลี่ยนได้ยากเย็นไปสักหน่อย

“พี่เนย์” หลังเลิกคลาส ผมตัดสินใจนั่งรถราง เพื่อไปยังริมทะเลสาบ แม้ว่าแดดในเวลาเที่ยงตรงมันจะร้อนมากมายแค่ไหน แต่สถานที่นั้นในเวลาแบบนี้ คงเป็นสถานที่เดียวที่สามารถเป็นหลุมหลบภัยให้ตัวเองได้ กระทั่งทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ผมก็รีบกดโทรหานักจิตบำบัดฝึกหัดในทันที ซึ่งก็รอสายเพียงไม่นาน
“มึงเป็นอะไร ทำไมน้ำเสียงแลไม่ค่อยโอเค?” ทันทีที่พี่เขาถามไถ่อย่างเป็นห่วง ทั้งๆที่ผมแค่เอ่ยปากเรียกชื่อของพี่เขาเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของผม น้ำตาที่เริ่มเหือดแห้งไป ก็เริ่มปริ่มอยู่เต็มขอบตาอีกครั้ง จนผมต้องกะพริบตาปริบๆ เพื่อบังคับไม่ให้มันไหลออกมา เพราะต่อหน้าพี่เนย์ ในช่วงระหว่างที่เราอยู่ห่างไกลกันแบบนี้ ผมอยากเป็นคนที่เข้มแข็งให้สมกับคำพูดที่เคยลั่นวาจาไว้

“ผมลองทำตาม..คำแนะนำของ..พี่แล้วนะครับ”
“…”

“แต่ทำไมความ..จริงที่ได้รู้มัน..ถึงทำให้ผม..เจ็บปวด” ผมพูดพลางสูดน้ำมูกเป็นระยะ หากแต่น้ำตา กลับยังคลออยู่แค่ตรงหน่วยตา
“…”

“อันที่จริงแล้ว..ที่ไอ้มอสมัน..เรียกผมว่า..ไอ้ใบ้..เป็นเพราะมันจำ..ชื่อของผมไม่ได้..ทั้งๆที่มันฝากบาดแผลใน..ใจผมเอาไว้..ตั้งมากมาย ทำไมโลกถึง..ไม่ยุติธรรม..กับผมเลยครับพี่เนย์” ผมกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เพราะการที่คนๆนึงต้องทนอยู่กับการล้อเลียนปมด้อยมาตลอดชีวิต กลับมีเพียงแค่เหตุผลโง่ๆ เช่นว่า..
กูจำชื่อมึงไม่ได้
ก็ใช่สิ ใครมันจะมาจำชื่อของผมได้ ในเมื่อผมถูกเรียกว่า ‘ไอ้ใบ้’ มาตลอดชีวิต

“ผมคิดถึงพี่..ผมอยากให้พี่อยู่..ข้างๆผม” ผมก้มหน้าลงพลางชันเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นแรงสะอื้นทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับหยดน้ำตา
“…”

“ผมรับปากพี่ว่า..ผมจะเข้มแข็งให้..มากกว่านี้..แต่ว่า..แค่วันแรก..ผมก็ทำไม่ได้..แล้ว”
“รันฟังพี่นะ คนที่เข้มแข็งไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เคยร้องไห้ และคนที่ร้องไห้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังอ่อนแอ มันก็เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้านนั่นแหละ บางคนเขาอาจร้องไห้ในวันนี้ เพื่อให้เข้มแข็งในวันหน้า หรือบางคนอาจจะเข้มแข็งในวันนี้ แล้ววันข้างหน้าเขาก็ร้องไห้เพราะอดทนต่อไปไม่ไหว ทีนี้รันก็เห็นแล้วใช่ไหม ว่าคนเราสามารถกลับมาหยัดยืนได้ใหม่เสมอ”

“พี่ครับ”
“หืม?”

“ผมรักพี่นะครับ” ผมพูดพลางยกยิ้มทั้งน้ำตา
“พี่ก็รักรันนะ แล้วพี่ก็อยากบอกให้รันรู้ด้วยว่า จริงๆแล้ววันนี้เราเก่งมาก ที่เปิดใจคุยกับเพื่อนคนนั้นได้บ้างแล้ว ถึงแม้ผลลัพธ์ที่ได้ มันอาจจะไม่ตรงใจเรานัก แต่ความฝันของรัน มันเริ่มใกล้เข้ามาแล้วนะ เพราะปกติรันไม่เคยพูดกับคนอื่นที่ไม่ได้อยู่สาขาเดียวกัน หรือว่าไม่ใช่เพื่อนของพี่เลย” ผมใจเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพี่เนย์เขาเตือนสติว่า ความฝันของผมในตอนนี้ มันเริ่มขยับเข้ามาใกล้อีกขั้นแล้ว

“วันนี้แฟนพี่เป็นคนเข้มแข็งนะ ไม่ใช่คนอ่อนแอ”


--------------------------------------------------------------------
[edit 09/12/2017 แก้คำตกหล่น]
วันนี้มาลงเร็วหน่อย เพราะปั่นเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนเลยค่ะ อาจจะสั้นมาก เพราะอยากให้จบตอนแบบนี้ 555
ตอนแต่งก็เศร้านิดหน่อย แต่คนอ่านจะเศร้ามั้ยก็อีกเรื่อง สำหรับประเด็นของน้องรัน จะเห็นได้ว่าเกิดขึ้นในโรงเรียนบ่อยๆนะคะ แต่อาจจะไม่หนักเท่าก็ได้ เพราะบางคนอาจเจอล้อเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก หรือบางคนอาจโดนล้อเพียงแค่เพราะเราชอบกินอะไรสักอย่างบ่อยๆ หรือบางทีเราเป็นคนไม่ค่อยพูด ก็มากดดันให้เราพูด หรือบางทีแค่เราหัวเราะกับอะไรสักอย่างที่ทำให้มีความสุข ก็มักจะมีคนประเภทที่ชอบพูดเสียดสี  ซึ่งบางครั้งเราไม่ชอบ เราไม่ได้สนุกด้วย แต่พอเรามีปฏิกิริยาตอบโต้ ก็มักจะทำให้คนเหล่านั้นสนุกสนาน หรือไม่พอใจ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เจ็บปวดสำหรับคนที่ต้องรับมือมากจริงๆ แต่น้องรันเนี่ย มาเจอล้อเรื่องที่ ลึกๆแล้วตัวเองยังไม่สามารถยอมรับมันได้ น้องก็เลยเจ็บปวดกับมันมาเยอะ ขนาดเรายังเคยโดยแกล้งถีบเก้าอี้ใส่ หรือว่าหยิกแขนในห้องเรียนเลยค่ะ ตอนนั้นนิ้วเท้าเราห้อเลือดไปเลยมั้ง ถ้าจำไม่ผิด คือเดินลงบันไดไม่ได้ ร้องไห้จนต้องให้ที่บ้านขึ้นมาอุ้มถึงห้องเรียนเลยค่ะ โชคดีที่เกิดเรื่องตอนใกล้จะเลิกเรียน 5555 แล้วสุดท้ายคนที่ทำก็บอกเพียงแค่ไม่ได้ตั้งใจ และขอโทษ ซึ่งมันก็โอเค แต่ควรต้องเจ็บตัวขนาดนี้รึ ? นั่นล่ะค่ะ น้องถึงได้คิดว่าโลกไม่ยุติธรรม
ปล. หวังว่าทุกครั้งที่อ่านเรื่องนี้ คนอ่านจะได้อะไรที่มันมากกว่าความฟินและความหวือหวาของเรื่องนะคะ >.<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2017 18:09:25 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เอาใจช่วยนะรัญ ให้ก้าวพ้นทุกปัญหาให้ได้

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เข้าใจรันนะฮื่อออกอดปลอบคนเก่งของเรา(โดนพี่เนย์ตบ) o13 :กอด1:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
รันเก่งมากค่ะอีกนิดเดียวจะก้าวผ่านปมทั้งหมดในใจแล้ว

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 15

‘กำลังใจ’ ใครว่าไม่สำคัญ แต่สำหรับผมมันสำคัญมาก ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม มันก็สามารถทำให้ผมล้มแล้วลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง แต่ถ้าหากกำลังใจนั้น มาจากผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ มันก็น่าแปลกมาก ที่พี่เขาทำให้ผมล้มแล้วลุกขึ้นวิ่งออกไปได้อีกไกล ราวกับเส้นชัยมันอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม
ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว เส้นชัยของผม มันก็ยังคงห่างไกล
เพียงแต่ไม่ได้ ‘ไกล’มากเท่าแต่ก่อน

“ช่วงนี้มึงเป็นอะไรของมึงวะ จิตใจดูไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย” ไอ้คินถาม ขณะที่สถาปนาตัวเองมาเป็นช่างเป่าผม เพราะไม่ว่ายังไง นิสัยเดิมของผมมันก็ยังแก้ไม่หาย ไอ้เพื่อนรักมันก็เลยต้องบีบบังคับให้มาเป่าผมก่อนที่จะล้มตัวลงนอน
แต่ถ้าหากผมอยู่กับพี่เนย์น่ะเหรอ เราต่างคนต่างก็นอนกันทั้งๆที่ผมยังคงชื้นอยู่นั่นแหละ
“…” ผมส่ายหัว เพราะขี้เกียจจะเล่า และไม่อยากให้พวกมันรู้สึกไม่ดีไปด้วย อีกอย่างไอ้หมอกมันเองก็เหมือนผม ถ้าหากผมเล่าออกไป ไอ้ตัวที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง มันจะเผลอคิดไปถึงเรื่องของตัวเองเข้าให้หรือเปล่า
“เออ ไอ้เชี่ย พรุ่งนี้เรียนคหกรรมนี่หว่า” ไอ้หมอกขยับตัวเอี๊ยดอ๊าดอยู่บนเตียง บ่งบอกได้ว่าไอ้เพื่อนซี้มันกำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากที่นอน ทันทีที่มันนึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้ จะมีเรียนวิชาที่มันไม่ชอบ แถมยังไม่ถนัดเอามากๆ

“แล้ว?” ไอ้คิน ย้อนถาม ขณะกำลังถอดปลั๊กออกจากเต้าเสียบ จากนั้นมันก็จัดการม้วนสายเก็บให้เรียบร้อย ส่วนผมก็ลุกเดินไปนั่งยังเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง โดยหันหน้าไปยังเตียงของไอ้หมอก

“ก็กูทำอาหารไม่เป็นไงล่ะ สาดดด” ไอ้เพื่อนตัวดีมันขยับตัวเล็กน้อย เพื่อสอดขาระหว่างซี่เหล็กกั้นของเตียงสองชั้น พลางแกว่งไกวไปมา ราวกับมันกำลังนั่งไกวชิงช้าที่สนามเด็กเล่น
“ไอ้รันแม่งก็ทำไม่เป็น ไม่เห็นมันจะบ่นมากเหมือนมึงเลย?” ไอ้คินมันว่า พลางเดินไปหยิบน้ำดื่มของส่วนกลาง ขึ้นมาเปิดฝาและกระดกดื่มอย่างหิวกระหาย

“โห่ เพื่อนคิน มึงพูดเหมือนกูกับมันเป็นคนๆเดียวกันเลยเนอะ” ไอ้หมอกบ่นอุบ พลางเอี้ยวตัวไปข้างหลัง จากนั้นมันก็ขว้างหมอนข้างใส่ไอ้คินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือข้างๆผม
“อ้าว เดี๋ยวนี้มึงไม่ติดหมอนข้างแล้วเหรอวะ ขอบคุณนะ” พอไอ้คินมันคว้าหมับเข้าให้ ร่างสูงโย่งของมันก็ลุกขึ้นยืน พลางโยนหมอนข้างของไอ้หมอกไปไว้บนเตียงที่อยู่ข้างบนโต๊ะหนังสือ

“ไอ้เชี่ยยยยย เอาคืนกูมา!” ไอ้หมอกมันเคลื่อนไหวตัวเองอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวมันก็ลงมายื้อแย่งหมอนข้างกับไอ้คินซะแล้ว ผมจึงได้แต่ส่ายหัวให้กับความวุ่นวายที่มีให้เห็นทุกครั้ง เมื่อผมมาค้างที่หอใน

ครืด ครืด

ผมละความสนใจจากไอ้เพื่อนซี้ทั้งสอง จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู กระทั่งเห็นว่าใครเป็นคนโทรมา ผมก็แอบอมยิ้ม พลางกดรับสายและเดินออกไปยืนคุยด้านนอกระเบียง โดยไม่ลืมที่จะปิดประตูกระจกให้มิดชิด แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังไม่ได้ยินสุ้มเสียงของอีกฝ่ายเล็ดลอดออกมา
เพราะขณะนี้ เสียงบรรเลงกีตาร์ มันกำลังโดดเด่นอยู่ในปลายสาย

“เครียดว่ะมึง” สักพักเสียงตะกุกตะกักก็ดังมาตามสาย จากนั้นเสียงทุ้มนุ่มที่ผมมักจะคุ้นเคยก็ค่อยๆเข้ามาแทนที่
“ทำไมครับ..ฝึกงานมีปัญหา..เหรอ?” ผมย้อนถามอย่างเป็นกังวลตามไปด้วย

“ไม่เชิงว่ะ แต่กูแค่ไม่เข้าใจคนไข้ คงเพราะเป็นเด็กเล็กด้วยแหละ” พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“แต่พี่เนย์เก่ง..อยู่แล้ว..ต้องรับมือได้..แน่ๆ” ผมยืนพิงกำแพง พลางมองออกไปยังพื้นที่ด้านนอกระเบียง ที่มีเพียงแค่สนามหญ้าขนาดย่อม และรั้วกั้นอาณาเขต

“มึงพูดชื่อกูได้นานหรือยัง?” ผมสะดุดใจไปพักใหญ่ เพราะจู่ๆ คนกรุงเทพเขาก็ตั้งคำถามใหม่อย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายคงไม่อยากจะเปิดเผยข้อมูลของคนไข้มากนักก็เป็นได้
“นานแล้วครับ” ผมตัดสินใจตอบไปตามความจริง เพราะถึงยังไงความลับมันก็แตกไปแล้ว

“เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่ช่วง..ปิดเทอมใหญ่..ตอนจะขึ้นปีสอง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่ใจกลับลุ้นระทึกในผลตอบรับของอีกฝ่ายอย่างมากมาย

“นานขนาดนั้นเลย? แต่ทำไมมึงถึงเพิ่งมาหลุดเอาตอนนี้ หรือว่ามึงวางแผนจะแกล้งอะไรกู?” พี่เนย์ทำเสียงเข้ม ราวกับจะข่มขู่ แต่กลับไม่ได้ทำให้ผมหวาดกลัวเลย
“ผมรู้ว่าพี่น้อยใจ..ที่ผมยังพูดชื่อ..ของพี่ไม่ได้แค่..คนเดียว..แต่ในความจริง..แล้ว..พี่คือคนที่สามลองจาก..พ่อกับแม่..ที่ผมสามารถพูดชื่อ..ออกมาได้” ผมอธิบาย ขณะที่ในใจมันก็เต้นระรัวด้วยความเก้อเขิน เพราะการที่ต้องมาพูดสาธยายถึงสิ่งที่ตัวเองทำ โดยที่อีกฝ่ายเขาก็ตั้งใจรับฟังเป็นอย่างดี มันจึงทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เขาให้ความสำคัญกับตัวผมมากแค่ไหน

“ผมอยากจะ..เก็บมันไว้เป็น..ของขวัญ..วันที่พี่รับปริญญา..เพราะมันเป็นวันที่พี่ประสบ..ความสำเร็จ..แถมครอบครัวของ..พี่ก็ยังภูมิใจในตัวพี่..ผมเลยคิดว่า..ถ้าหากผมพูดชื่อของพี่..ในวันนั้น..มันอาจจะทำให้พี่..มีความสุขมากกว่าเดิม”
“มึงนี่คิดอะไรซับซ้อนดีเนอะ” พี่เนย์ค่อนแคะเพียงเล็กน้อย ขณะที่ผมก็ได้แต่หัวเราะทั้งความคิดของตัวเอง และอีกฝ่ายที่กำลังเก้อเขิน แต่กลับทำเป็นไม่รับรู้อะไร

“ผมเคยแอบอวยพรให้พี่ฝันดี..พร้อมกับพูดชื่อของพี่..ต่อหน้าพี่..ตั้งแต่ช่วงเปิดเรียนใหม่ๆแล้ว..แต่เป็นเพราะพี่หลับ..พี่ก็เลยไม่ได้ยิน”
“…”

“ผมเคยเผลอ..ทำความลับแตก..ในวันนั้นที่เรากอดกัน..ท่ามกลางความมืด..ในห้องน้ำ” ผมเม้มปากแน่น ขณะที่กำลังเอื้อนเอ่ยไปถึงเรื่องราวในคืนนั้น ที่พี่เขาเคยบอกว่าจะเก็บมันไว้ในความทรงจำให้ลึกจนสุดใจ
“…”

“แต่สุดท้ายพี่ก็จับได้..ในคืนวันที่เรา..กอดกัน..หลังจากพากันดื่ม..จนกลิ่นแอลกอฮอลล์..มันคลุ้งไปหมด”
“มึงรู้มั้ย จนป่านนี้กูยังคิดถึงเรื่องในวันนั้นอยู่เลย เพราะกูรู้สึกว่า วันนั้นเป็นวันที่มึงดูมีเสน่ห์มากกว่าทุกวัน ไม่ว่าท่าทาง และน้ำเสียง ไม่สิ สำหรับกู ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมึงในตอนนั้น มันค่อยๆ ทำให้กูคิดถึงเรื่องของเรา ตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งปัจจุบัน รัน.. มึงคิดดูสิ แค่กูคิดถึงมึง มันก็ทำให้กูมีความสุขแล้ว ทีนี้เป็นไงล่ะ ผลสุดท้ายความยุติธรรมก็ไม่ยอมอยู่ข้างๆกูเหมือนเดิม”

“…” ผมอมยิ้มจนเริ่มปวดแก้ม เพราะถ้อยคำธรรมดาๆ มันกลับทำให้รู้สึกใจเต้น เมื่อผู้พูดเขาพูดมันออกมาจากความคิดและหัวใจ
“กูคิดถึงมึงมาก จริงๆนะรัน จากที่เคยได้นอนกอดมึง ตอนนี้กลับต้องมานอนกอดหมอนข้าง ซึ่งมันแย่ว่ะ ไม่ได้อุ่นไม่ได้หอมเหมือนตอนที่กอดมึงเลย” ผมเขินมากกับคำบอกเล่าของอีกฝ่าย จึงได้แต่ขบเม้มริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น

“เวลาฝนตก แล้วมีฟ้าแล่บ หรือแม้แต่ตอนที่ฟ้าผ่า มันก็ยังทำให้กูคิดถึงมึง เพราะถ้าหากกูอยู่กับมึง คนอ่อนโยนแบบมึงก็จะตลบผ้าห่มขึ้นมาคุมโปงเราทั้งคู่ จากนั้นมึงก็จะเอามือทั้งสองข้างของตัวเองมาปิดหูกู”
“แต่พี่เคยบ่นว่า..มันไม่ช่วยอะไร” ผมเถียงแก้เก้อ ซึ่งมันไม่ได้ผิดไปจากความจริงนัก เพราะพี่เนย์เขาบ่นอุบทันทีที่ผมทำแบบนั้น ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรสักนิด เพราะเสียงฟ้าผ่าก็ยังดังมากเท่าเดิม จะมีก็แต่ฟ้าแล่บเท่านั้นล่ะ ที่ผ้าห่มยังช่วยเอาไว้ได้

“แต่กูก็ไม่เคยปฏิเสธเลยไม่ใช่หรือไง” อีกฝ่ายเถียงกลับมาทันควัน
“…”

“รัน”
“ครับ?”

“คิดถึงพี่มั้ย?” พี่ฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงติดจะอ้อนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาผมใจเต้นเพราะหนุ่มกรุงเทพคนนี้อีกแล้ว
“คิดถึงสิครับ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล

“อื้ม แค่นี้ก็พอแล้ว” พี่เนย์ตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใส ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย
เพราะแค่เรายังคงคิดถึงกัน
เพียงแค่นั้น มันก็พอแล้วจริงๆ

ระหว่างคุยกับพี่เนย์ ไอ้หมอกมันก็แกล้งมาเคาะประตูกระจกอยู่หลายครั้ง ผมก็ทำได้แค่ยกนิ้วกลางให้อย่างละมุนละม่อม เท่านั้นล่ะ ไอ้เพื่อนตัวกวนมันก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี จากนั้นมันก็เดินไปปิดไฟ เพื่อเตรียมตัวเข้านอนอย่างรวดเร็ว ผมจึงค่อยๆ เลื่อนโทรศัพท์ออกห่างจากหู เพื่อดูเวลา กระทั่งเห็นว่ามันดึกมากแล้ว ผมจึงเป็นฝ่ายบอกให้พี่เนย์วางสาย เพราะพรุ่งนี้พวกเราต่างก็ต้องตื่นกันแต่เช้า เพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเอง
คืนนี้จึงเป็นคืนแรก ที่ผมอวยพรให้พี่เนย์ฝันดี พร้อมกับเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายอย่างชัดถ้อยชัดคำ

คลิปโปรเจคของกลุ่มผมถูกปล่อยออกมาในเช้าวันใหม่ ผมจึงกดแชร์ไปที่เฟซบุ๊กของตัวเอง แม้ว่าภายในคลิปนั้นจะไม่มีภาพหรือแม้แต่ชื่อของผมปรากฏอยู่ในนั้นก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า โปรเจคของสาขาในครั้งนี้ น่าจะเจาะกลุ่มเป้าหมายไม่ตรง แต่ถ้าพูดถึงประโยชน์ของมัน ผมกล้ารับรองได้เลยว่า นิทานแต่ละเรื่อง สามารถสร้างความสุขให้กับกลุ่มคนที่มีข้อบกพร่องอย่างแน่นอน
ฉะนั้นโอเพ่นเฮ้าส์ในครั้งนี้ อาจจะไม่ได้รับความสนใจอย่างมากมายนัก

วันนี้แม้จะมีเรียนคาบคหกรรม แต่ผมก็ยังต้องตื่นแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวไปทานข้าวที่โรงอาหารกลาง เนื่องจากว่าคาบนี้อาจารย์ท่านจะสอนทำขนมไทยประยุกต์ ผมจึงต้องตุนอาหารไว้รองท้องให้อิ่ม เพราะเมนูดูถ้าจะไม่เหมาะกับการแอบกินในคาบเรียน
“ฝนตก” ผมยื่นมือออกไปรองรับละอองฝนที่ค่อยๆโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากตัวอาคารหอพัก เพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารกลาง ด้วยความที่วันนี้ไม่มีแสงแดดอ่อนๆ แต่กลับมีเม็ดฝนโปรยปราย ผมจึงต้องรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าปกติ กระทั่งมาถึงโรงอาหาร ผมก็มุ่งตรงไปยังร้านข้าวแกงเจ้าประจำ จากนั้นก็จ่ายเงินและรับข้าวยำไข่ดาวกับหมูแหนมทอดมาถือไว้ ก่อนจะเดินตรงไปยังร้านขายน้ำ เพื่อซื้อน้ำเปล่าสักขวด และเมื่อได้ทุกอย่างครบ ผมก็มุ่งหน้าเดินไปยังที่นั่งมุมประจำในยามเช้าของตัวเอง

Neran P. added 1 new photo
Rainy days makes me think about you a lot

ผมถ่ายภาพสายฝนพรำตรงหน้าโรงอาหาร พลางโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน เพราะยิ่งนั่งมองฝนอยู่เงียบๆแบบนี้ ผมก็ยิ่งคิดไปถึงวันที่ผมติดฝนอยู่ที่ร้านกาแฟตรงแถวหอพี่เนย์ วันนั้นพี่เขารีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหา จากนั้นเราก็นั่งมองฝนด้วยกันเงียบๆ กระทั่งฝนไม่มีทีท่าจะตก ผมจึงต้องอาศัยห้องของอีกฝ่ายเป็นที่พักพิงชั่วคราว
อีกทั้งในคืนนั้น ก็เป็นคืนที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรา ไม่ใช่แค่เพียงรุ่นพี่และรุ่นน้องอีกต่อไป

หลังจากวันนั้น ไม่ว่าจะเห็นฝนตกในระดับไหน เรื่องราวในวันนั้นก็มักจะลอยวนเวียนอยู่ในความนึกคิดเสมอ และผมก็หวังว่าพี่เนย์จะยังคงคิดเห็นแบบเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง
“อ้าว รันมานั่งอยู่นี่เอง เราก็ว่า ทำไมตั้งแต่เปิดเทอมไม่เห็นรันมากินข้าวเช้าที่โรงอาหารกลางเลย” สาวๆคณะบัญชีเดินเข้ามาทักทายผม
“เปลี่ยนบรรยากาศน่ะ” ผมตอบสั้นๆ พลางยกยิ้มให้ทั้งสามสาว

“งั้นเดี๋ยวเรามานั่งด้วย ขอไปซื้อข้าวก่อน” นิ้งพูดพลางวางกระเป๋าและหนังสือเรียนไว้ทางฝั่งตรงข้าม ทันทีที่ผมพยักหน้าอนุญาต จากนั้นแอ้มกับอิ๋มก็ทยอยกันเอาของมาวางบ้าง และก่อนจะเดินไปซื้อข้าว หนึ่งในสามสาวก็ไม่ลืมฝากให้ผมดูแลสัมภาระให้พวกเธอด้วย

Akane Akarawin recently liked your photo

“รันนั่งยิ้มอะไร?” อิ๋มเดินมาถึงโต๊ะเป็นคนแรก จากนั้นเธอก็หรี่ตามองผมอย่างหยอกล้อ
“…” ผมไม่ตอบ แต่กลับยิ้มจนตาปิดให้อิ๋ม ฝ่ายนั้นก็หัวเราะเบาๆ คล้ายกับรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร

“พี่เนย์สบายดีมั้ย?” แอ้มที่ย้ายตัวเองมานั่งข้างๆ เอ่ยถามไปถึงว่าที่นักจิตบำบัดคนไกล
“อื้อ แต่ก็มีบ่น..ว่าเครียดๆเรื่อง..งานบ้างน่ะ” ผมตอบพลางตักข้าวเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน เพราะตอนนี้ยังไม่สายมากนัก ส่วนแอ้มก็พยักหน้ารับ จากนั้นเราต่างคนต่างก็ก้มหน้าทานข้าวเช้าของตัวเอง สลับกับพูดคุยเรื่องทั่วๆไปบ้าง ก่อนจะแยกย้ายกันไปเข้าเรียน เมื่อท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่ง

“สำหรับส่วนผสมของทาร์ตสาคูมะพร้าวอ่อน จะประกอบด้วยแครกเกอร์ เนยเค็มละลาย สาคู น้ำเปล่า น้ำตาลทราย น้ำใบเตยคั้นเข้ม ข้าวโพดสุก เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นชิ้น ใบเตยมัดรวมกันประมาณ 2-3 ใบ” อาจารย์อธิบายส่วนผสมที่ต้องใช้ในวันนี้อยู่ตรงหน้าห้องเรียน ส่วนพวกผมที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อน ซ้ำยังใส่หมวกคลุมผมอย่างถูกสุขอนามัย ก็ได้แต่มองไปที่อาจารย์ผู้ให้ความรู้ ส่วนด้านข้างก็มีพี่ล่ามมาคอยถอดความจากภาษาพูดให้กลายเป็นภาษามือ เพื่อที่เพื่อนๆ ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน จะได้เข้าใจเนื้อหาการเรียนการสอนในวันนี้ด้วย
“ต่อมาเป็นส่วนผสมของหน้ากะทินะคะ จะประกอบไปด้วย กะทิ เกลือป่นหยาบ น้ำตาลทราย และแป้งข้าวเจ้า” ผมเหลือบมองไปยังพี่ล่าม ก็เห็นพี่เขาสื่อสารเป็นภาษามือของคำว่า ‘เกลือ’ เข้าพอดี โดยพี่ล่ามสุดหล่อของเรา เขายกมือขวาคล้ายกับกำลังหยิบจับอะไรสักอย่างขึ้นมาจรดที่ริมฝีปาก หรือถ้าหากคนทั่วไปมองก็คงจะคล้ายกับท่าทางของคนที่กำลังจะเป่านกหวีด ขณะที่สีหน้าของพี่เขาก็แสดงออกถึงความเค็มปี๋ ดวงตาทั้งสองข้างถึงได้หรี่ปรือจนเป็นเส้นตรง จากนั้นก็เลื่อนปลายนิ้วชี้ไปยังข้างลำตัวในระดับหัวไหล่ พร้อมกับลากปลายนิ้วเป็นเส้นตรงจากบนลงล่างกลางอากาศ

“มึงรู้ป่ะ พี่เขาเป็นไอดอลกูเลย” ไอ้หมอกมันทำเนียนพาดแขนขึ้นบนลาดไหล่ผม จากนั้นมันก็ค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับกระซิบบอกความลับของตัวเองให้ผมทราบ
“…” ผมพยักหน้ารับรู้

“แถมยังป๊อปในโรงเรียนของคนที่มีข้อบกพร่องด้วยนะมึง” พอไอ้หมอกมันพูด ผมเองก็ทำได้แค่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะพี่ล่ามเขาหน้าตาดีมากจริงๆ แถมยังสุภาพมากๆ ด้วย สาวๆสาขาผมนี่ พากันหลงใหลได้ปลื้ม ‘พี่อั้ม’ กันเป็นแถว
และถ้าจำไม่ผิด พี่เขาน่าจะเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ตั้งแต่ต้นปีเองมั้ง

จากนั้นไม่นาน พวกเราต่างก็ต้องแยกย้ายไปรวมกลุ่มที่ได้จับจองกันไว้ตั้งแต่คาบที่แล้ว ซึ่งจำนวนนักศึกษาในแต่ละกลุ่ม จะขึ้นอยู่กับหัวข้อความยากง่ายในการเรียนการสอน ขณะที่อาจารย์ท่านก็ค่อยๆอธิบายวิธีการทำอย่างละเอียด
แต่ถ้าหากยังจำไม่ได้ก็พอจะมีชีทอันเป็นสมบัติล้ำค่าให้ได้เปิดดู

“มึงไปบดแครกเกอร์ไปไอ้หมอก ส่วนมึงไอ้พีทมาช่วยกูเหมือนเดิม” ผมผู้ที่ไม่มีหน้าที่ใดๆ ก็เลยถือโอกาสไปช่วยไอ้หมอกผสมแครกเกอร์กับเนยสดละลาย แล้วก็คนให้เข้ากัน จากนั้นก็ช่วยกันเอาแครกเกอร์ที่ผ่านการคลุกเคล้าเรียบร้อย มาอัดไว้ตรงก้นภาชนะสำหรับใส่สาคู กระทั่งพวกไอ้คินและไอ้พีทช่วยกันต้มสาคูจนสุก รวมไปถึงการปรุงรสพร้อมเสิร์ฟ พวกมันก็ช่วยกันยกหม้อสาคูมาวางพักไว้ให้คลายความร้อน ก่อนที่พวกมันจะไปช่วยกันเตรียมหน้ากะทิเป็นรายการต่อไป
“ไม่จืดไปเหรอวะมึง?” ไอ้หมอกย้ายตัวเองเข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ตรงหน้าหม้อบรรจุสาคู พลางเอ่ยถามความคิดเห็นหลังจากถือวิสาสะชิมฝีมือนักศึกษาหนุ่มทั้งสอง

“เดี๋ยวถ้าราดด้วยกะทิ มันจะพอดีเว้ยมึง” พอไอ้พีทมันการันตีอย่างนั้น คนทำอาหารไม่เป็นอย่างไอ้หมอกจึงทำได้แค่พยักหน้า ขณะที่ผมก็คอยเช็คความร้อนว่ามันคลายตัวลงหรือยัง จะได้รีบตักสาคูใส่ลงในแก้วพลาสติกขนาดเหมาะมือ เพราะเดี๋ยวเราต้องเอาไปแช่เย็น ก่อนจะต้องออกไปเร่ขาย เพื่อหาเงินมาเป็นกองกลางสำหรับซื้อวัตถุดิบในคาบต่อไป
ระหว่างรอให้สาคูเย็นตัวลง อาจารย์ก็เรียกพวกเรามายืนรวมกันตรงหน้าห้องเรียน จากนั้นก็แจ้งถึงเมนูที่เราจะต้องทำกันในคาบต่อไป และให้พวกเราจับกลุ่มกันประมาณหกถึงเจ็ดคน กระทั่งการเรียนการสอนในวันนี้จบสิ้นลง พวกเราทั้งหมดก็ต้องนำทาร์ตสาคูมะพร้าวอ่อนไปเร่ขายตามคณะต่างๆ โดยอาจารย์เป็นคนกำหนดให้เอง เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ไปซ้ำคณะกัน โชคดีที่กลุ่มผมได้ขายให้กับคณะของตัวเอง ก็เลยเบาใจหน่อย เพราะถ้าหากบังเอิญเจอรุ่นพี่กับรุ่นน้องประจำสาขา ขนมของพวกเราก็คงจะขายหมดเร็วกว่าใครเพื่อน

“พี่รัน ขายอะไรเอ่ย สาคูมะพร้าวอ่อนเหรอคะ?” น้องโบว์เดินมาพร้อมกับปาล์ม พลางยกยิ้มอย่างสดใสเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็น จากนั้นทั้งสองคนก็ยกมือไหว้พวกผมจนครบถ้วน
“ทาร์ต..สาคูมะพร้าวอ่อน” ผมยิ้มพลางตอบลูกค้ารายแรก

“หนูเอาสองค่ะ” ทันทีที่น้องโบว์สั่ง ไอ้หมอกที่ยืนอยู่ข้างๆก็เป็นคนหยิบแก้วพลาสติกบรรจุสาคู พร้อมกับช้อนพลาสติกใส่ลงในถุง และแลกเปลี่ยนสินค้ากับเงินอย่างชำนาญ ขณะที่พวกไอ้คินกับไอ้พีทเองก็ไปเดินเร่ขายให้กับพวกพี่ๆน้องๆ ที่นั่งกันตามโต๊ะม้าหินอ่อนนอกอาคารเรียน หรือไม่ก็กลุ่มคนที่พากันเดินไปมาอย่างขวักไขว่ในเวลาเที่ยงตรง
“หนูไปกินข้าวก่อนนะคะพี่รัน พี่หมอก” น้องโบว์โบกมือให้ผม พลางหันไปไหว้ไอ้หมอก ขณะที่ปาล์มก็ยังทำตัวนิ่งๆตามสไตล์ แต่ถึงอย่างนั้นน้องมันก็ยังไหว้ทักทายพวกเราทุกครั้ง

“เฮ้ย นั่นพี่รหัสกู เดี๋ยวมา” กระทั่งคนเริ่มซา เราก็ยังขายไม่ค่อยได้ เพราะมันเป็นขนมหวานด้วยแหละ แถมเวลานี้คนส่วนใหญ่ก็ต้องรีบไปกินข้าวกันทั้งนั้น ดีหน่อยที่เจอรุ่นน้องเข้ามาช่วยอุดหนุน ส่วนรุ่นพี่ผมยังมองไม่เห็นสักคน แต่โชคดีที่ไอ้หมอกมันตาไว มันจึงหอบขนมเข้าไปสะกัดเป้าหมายไว้ได้ทัน
“รัน” ผมตัวแข็งเกร็งทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกอันไม่พึงประสงค์

“ขายขนมเหรอ เท่าไหร่?” ไอ้เด็กนิเทศเดินเข้ามาทักทายผมพร้อมกับเพื่อนอีกสี่ห้าคน
“ห้าสิบ” ผมตอบเกินราคา เพื่อที่จะไล่มันไปให้พ้นทาง เพราะผมไม่อยากจะยุ่งกับมันแล้ว

“งั้นกูเอาสี่แก้ว” ไอ้มอสมันรีบตอบอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นมองมันทันควัน ส่วนเพื่อนคนอื่นๆของมันก็ได้แต่ส่งยิ้มมาให้ผม เมื่อเราบังเอิญเผลอสบตากัน
“อืม” ผมตอบรับเพียงเบาๆ พร้อมกับพาตัวเองไปยังโต๊ะว่างใกล้ๆ เพื่อที่จะได้หยิบจับอะไรได้สะดวก

“ที่ผ่านมากูขอโทษจริงๆ กูจะไม่แก้ตัว เพราะกูผิดจริงๆ รัน” ทันทีที่ไอ้มอสมันแก้ตัว มือของผมที่กำลังเคลื่อนไหวก็หยุดชะงักแน่นิ่ง แต่หลังจากนั้น ผมก็จัดแจงเอาขนมใส่ลงในถุง พร้อมกับหยิบช้อนใส่ลงไปให้ครบตามจำนวน
“สองร้อยบาท” ผมยื่นถุงให้มัน พร้อมกับแบมือรอรับเงินอย่างเย็นชา

“มึงต้องขายให้หมดนั่นเลยใช่ไหม?” พอเสร็จธุระ และผมกำลังจะเดินเข้าไปเร่ขายให้กับพวกพี่ทีม ไอ้มอสมันก็เข้ามาขวางทางเสียก่อน จึงทำให้พวกพี่เขาไม่เห็นผม เลยทำให้พลาดโอกาสในการขาย
“มอส..กูว่ามึงไปกิน..ข้าวเถอะ” ผมหันกลับมาสนใจไอ้มอสอีกครั้ง พร้อมกับออกปากไล่ไปตรงๆ

“เฮ้ยพวกมึง มาช่วยกันขายทาร์ตสาคูหน่อยดิ ถือว่าช่วยเพื่อนกูหน่อย มันจะได้รีบไปกินข้าว” ไอ้มอสกลับไม่สนใจ ซ้ำยังคว้าข้อมือของผมไว้ ทำให้ผมหลีกหนีจากมันไม่พ้น ครั้นจะสะบัดให้หลุด ผมก็เกรงว่าขนมจะเละจนขายไม่ได้ ทีนี้คงทำให้กลุ่มเราต้องเดือดร้อนแน่ๆ
“เราต่างคนต่าง..อยู่กันไม่ได้..เหรอวะ..สิ่งที่มึงเคยทำ..กับสิ่งที่มึงพยายาม..จะทดแทน..มันไม่ช่วยให้กูกับมึง..เข้าหน้ากันติดหรอก” ผมพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ แม้ว่าไอ้เด็กนิเทศมันจะกำลังช่วยผมขายของอยู่ก็ตาม แต่เพราะอคติของผมมันยังไม่หมดไป ผมถึงได้ค้านจนหัวชนฝา เพื่อแสดงความจำนงว่าผมจะไม่ยอมรับข้อเสนอใดๆของมัน
ทั้งๆที่ผลประโยชน์มันจะตกอยู่ที่ตัวผมเองแท้ๆ

“กูรู้ แต่ถึงอย่างนั้นกูก็ยังอยากจะทำ เพราะว่ามันก็ยังดีกว่ากูปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป โดยที่มึงไม่รู้ว่าตอนนี้กูรู้สึกผิดมากแค่ไหน จะว่ากูเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่กูอยากให้มึงรับรู้ไว้เฉยๆ ว่ากูรู้สึกผิดจริงๆ” ไอ้มอสมันพูด พลางหยิบทาร์ตสาคูไปเร่ขายให้กับสาวๆคณะผม จากนั้นไม่นานมันก็ได้เงินสดกลับมา รวมถึงเพื่อนๆของมันด้วย
“ทุกคนฝากบาดแผล..เอาไว้ในใจกู..มากเกินไป..จนกูเข้ากับคนอื่นไม่ได้..แม้แต่การจะขายของ..ให้คนกับคณะเดียวกัน..แต่แค่ต่างสาขา..กูยัง..ทำไม่ได้เลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว พลางกำขอบถาดแน่ ด้วยความขุ่นหมองปนโมโห
ที่เรื่องราวในอดีตมันส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน

-อ่านต่อด้านล่าง-

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
“รัน” ผมหันไปตามเสียงเรียงของไอ้หมอกที่วิ่งเข้ามาหา โดยไม่ได้สนใจไอ้มอสอีกเลย
“มึง!” ไอ้หมอกทำตาโตด้วยความตกตะลึง เพราะมันไม่คิดว่าแค่เวลาเพียงไม่นาน ในระหว่างที่มันไปขายขนมให้พี่รหัส ผมจะสามารถขายขนมที่เหลือบอยู่จนเกือบหมด

“นี่เงิน” ไอ้มอสมันเดินเข้ามาหา พร้อมกับยื่นเงินให้ ทำให้ไอ้หมอกมันเข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมผมถึงขายขนมได้จนเกือบหมด ทั้งๆที่วันนี้พวกรุ่นน้องหรือแม้กระทั่งรุ่นพี่ของสาขาก็แทบจะไม่โผล่หน้ามาให้เห็น
“ใครวะ” ผมละสายตาจากไอ้มอส เพื่อมองไปยังไอ้หมอกที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ เท่านั้นมันก็เข้าใจได้แล้วว่าผมไม่อยากจะพูดถึง ไอ้หมอกมันเลยคว้าถาดในมือผม เข้าไปเร่ขายให้กับสาวๆสาขาอื่นที่เดินผ่านเข้ามาพอดี

ผมจึงได้แต่มองดูเพื่อนสนิทของตัวเองด้วยความอิจฉา เพราะตั้งแต่มันได้รู้จักกับเพื่อนของพี่เนย์ รวมไปถึงเพื่อนของแอ้ม อคติของมันก็ค่อยๆจางหายไปกับสายลม
จะเหลือก็เพียงแค่ผม ที่ยังคงถูกกักตัวเอาไว้ในม่านหมอกแห่งความหวาดกลัว

ช่วงเย็นวันหยุดแบบนี้ อยู่ๆผมก็นึกอยากจะกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่อยู่ใกล้กับหอที่พี่เนย์เคยอยู่ ผมจึงออกปากชวนไอ้สองเพื่อนซี้ให้ไปกินเป็นเพื่อน แต่ดันกลายเป็นว่าพวกมันไม่อยากกิน แต่ผมคิดถึงรสชาติและบรรยากาศของนั้นร้าน ผมจึงตัดสินใจเดินทางไปที่ร้านนั้นคนเดียว ทั้งๆที่พวกมันก็ไกล่เกลี่ยแล้วว่า พรุ่งนี้จะยอมไปกินด้วย แต่อารมณ์ผมในตอนนี้ มันบอกได้แค่ว่า ผมต้องได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวเจ้านั้นในวันนี้ และด้วยความที่ผมเป็นคนดื้อเงียบเป็นทุนเดิม ผมจึงไม่ลังเลที่จะไป
ผมเลือกนั่งปักหลักในคาเฟ่ก่อน เพราะตอนนี้มันยังไม่ทันจะหกโมง จากนั้นผมก็เลือกจับจองที่นั่งตรงมุมเดิมที่ผมเคยนั่งติดฝนกับพี่เนย์ กระทั่งสัญญาณเรียกคิวดังขึ้น ผมก็เดินไปรับเครื่องดื่มพร้อมกับชำระค่าเสียหาย และย้อนกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง ผมนั่งแช่อยู่อย่างนั้นด้วยความเพลิดเพลิน หรือเรียกง่ายๆว่าผมกำลังนั่งเหม่อมองรถราที่กำลังวิ่งสวนกันไปมาตรงหน้าร้าน จนกระทั่งท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใส กลับค่อยๆมืดสนิทลง จากนั้นดวงจันทร์และดวงดาวนับร้อย ก็ค่อยๆโดดเด่นอยู่บนฟากฟ้า เวลานั้นผมถึงได้รู้ตัวว่า เป้าหมายของตัวเองในตอนแรกคืออะไร ผมจึงเลือกที่จะเดินออกจากคาเฟ่ที่บลูเลม่อนรสชาติยังคงอร่อยไม่เปลี่ยน เพื่อมุ่งตรงไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้มากนัก

“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มากินเลยนะ อีกคนที่มาด้วยกันบ่อยๆ หายไปไหนซะแล้วล่ะ?” คุณป้าเจ้าของร้านดูท่าจะจดจำพวกเราสองคนได้ พอวันนี้เห็นผมมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวคนเดียว ท่านจึงเอ่ยทัก
“ไปฝึกงานแล้วครับ” ผมตอบ พลางเอื้อมมือไปหยิบกระติกน้ำมารินใส่แก้วบรรจุน้ำแข็ง ที่คุณป้าเป็นคนนำเสิร์ฟ

“พ่อหนุ่มนั่นจะเรียนจบแล้วเหรอเนี่ย เร็วจริงๆ แล้วเราล่ะอีกกี่ปีถึงจะเรียนจบ” คุณป้าชวนผมคุยอีกครั้ง
“อีกสามปีครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม

“ยังไงก็แวะมากินบ่อยๆเลยนะ เดี๋ยวป้าจะให้ลุงแถมเกี๊ยวให้เยอะๆ”
“ครับ” ผมตอบรับพลางยิ้มให้คุณป้าอีกครั้ง ขณะที่ท่านก็ยิ้มตอบและเดินกลับไปง่วนอยู่กับการเสิร์ฟอาหารให้กับลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ส่วนผมก็ได้แต่มองตามท่าน พลางครุ่นคิดกับตัวเองว่าเมื่อครู่ ทำไมผมถึงสามารถเปิดใจคุยกับคุณป้าโดยที่ไม่อึดอัดใจเลยแม้แต่น้อย
แสดงว่าผมกำลังขยับก้าวเข้าไปใกล้เส้นชัยอีกขั้นแล้วหรือเปล่า?

ผมยกยิ้มจนตาปิด พลางหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งถ้าหากใครกำลังแอบมองผมอยู่ เขาจะต้องนินทาว่าผมเป็นบ้าแน่ๆ ที่จู่ๆก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว กระทั่งก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ ซึ่งคราวนี้ผมได้เกี๊ยวเยอะกว่าปกติจริงๆ ผมจึงถ่ายรูปและส่งไปอวดพี่เนย์ เพื่อให้เจ้าตัวเขาอิจฉาเล่น เพราะทันทีที่พี่เขาหายหน้าหายตาไป คุณป้าก็ปลอบใจผมด้วยการแถมเกี๊ยวให้ตั้งเยอะ คนชอบกินเกี๊ยวอย่างพี่เนย์ต้องบ่นอุบแน่ๆ

ติ้ง!

‘อะไรวะ กูกินของกูมาตั้งนาน ป้าไม่เคยแถมให้กูเลย’
‘หึหึหึ’

ผมหลุดยิ้มออกมาอีกแล้ว เพราะปฏิกิริยาของพี่เนย์มันไม่ต่างไปจากที่ผมคิดไว้สักนิด ซึ่งถ้าหากให้ผมนึกถึงใบหน้าของอีกฝ่ายล่ะก็ ป่านนี้หน้าหล่อๆของพี่เขาคงจะหงิกงอมากแน่ๆ

‘มึงเดินไปบอกป้าเลย ว่าถ้ากูมากินที่ร้านอีกเมื่อไหร่ ป้าต้องแถมให้กูมากกว่ามึงด้วย กูเป็นลูกค้ามาสี่ปีเลยนะเว้ย ไหงลำเอียงกันแบบนี้’
‘พี่ก็ ผมจะกล้าไปบอกได้ยังไงครับ ของซื้อของขาย’

‘วู้ว! มึงนี่ไม่ได้ดั่งใจเลย’
‘เดี๋ยวดึกๆค่อยคุยกันใหม่นะครับ ขอผมกลับถึงหอก่อน’

‘เออๆ กูก็กำลังขับรถอยู่ รถแม่งโคตรติด อย่างเซ็ง’

ผมไม่ตอบอะไรกลับไป นอกจากปล่อยให้ข้อความนั้นของพี่เนย์มันขึ้น ‘Read’ ต่อไป แค่นั้นอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าผมไม่ได้ละเลย เพียงแต่ไม่อยากจะรบกวนเวลาขับรถของพี่เขามากกว่า และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อบังคับไม่ให้อีกฝ่ายเล่นโทรศัพท์ขณะที่กำลังขับรถไปด้วยในตัว กระทั่งจ่ายค่าเสียหายเรียบร้อย ผมก็เดินออกมาจากร้าน และมุ่งตรงไปยังสะพานลอยที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้
แต่แล้วเรื่องที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น   

ผมถูกโจรชิงทรัพย์ บนสะพานลอยอันร้างไร้พูดคน แต่ด้วยความไม่ยอมแพ้ ผมจึงรีบวิ่งไล่มันไปอย่างขาดสติ เพื่อหวังจะเอากระเป๋าสะพายที่เต็มไปด้วยข้าวของอันมีค่ากลับคืนมา และด้วยความที่ผมเตะต่อยได้แค่งูๆปลาๆ ผมจึงพลาดท่าถูกมันแทงเข้าให้

“เจ็บชะมัด” ผมได้แต่บ่นกับตัวเอง พลางกัดปากจนห้อเลือด เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวผมไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง ดังนั้นผมคงทำได้แค่ช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นไปจากสถานการณ์นี้ให้ได้ แม้ว่าความเจ็บมันจะตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆก็ตาม
บันไดข้ามสะพานลอยที่เคยรู้สึกว่ามันไม่เยอะขั้นมากนัก พอร่างกายได้รับบาดเจ็บ มันก็ชักจะกลายเป็นอุปสรรค จากนั้นความคิดมันก็หวนนึกไปถึงคำเตือนของพี่เนย์ เมื่อตอนที่เรายังอยู่ด้วยกัน ผมถึงเข้าใจว่าเวลาแบบนี้ ผมไม่ควรจะเดินข้ามสะพานลอยคนเดียว เพราะรอบๆตัวผมก็ยังไม่มีใครกล้าเฉียดเข้ามาใกล้สถานที่แห่งนี้ในยามมืดค่ำ เนื่องจากพวกเขาต่างพากันเสี่ยงชีวิตโดยการข้ามถนนใหญ่กันเสียมากกว่า เพราะอย่างน้อย มันก็อาจจะมีความปลอดภัยมากกว่าการข้ามสะพานลอยในยามวิกาล

“ช่วยด้วย” ผมพูดอย่างอ่อนแรง พลางทรุดตัวลงใส่คนตรงหน้า ที่กว่าจะรู้ว่าเป็นไอ้มอส มันก็สายไปแล้ว แต่ถึงผมจะรู้ล่วงหน้า ผมก็คงต้องขอความช่วยเหลือจากมันอยู่ดี เพราะผมไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหยัดยืนอีกต่อไป เนื่องจากผมใช้พลังทั้งหมดไปกับการพาตัวเองให้หลุดพ้นจากหนทางอันยาวไกลของสะพานลอยอันแสนอันตรายนั่น
“เฮ้ย ไอ้รัน! มึง! ลืมตาดิ!” ไอ้มอสตบหน้าของผมอยู่หลายครั้ง พร้อมกับร้องเรียกด้วยความตื่นตระหนก จนกระทั่งเพื่อนของมันออกปากเตือนให้พาผมไปส่งโรงพยาบาล มันถึงได้สติ ส่วนผมเองก็ฝืนลืมตาต่อไปไม่ไหวแล้ว
เพราะว่าแผลมันเจ็บมาก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ามันจะลึกสักแค่ไหน
กลางดึกคืนนี้ ดันกลายเป็นคืนที่ทำให้ผมไม่ได้คุยโทรศัพท์กับพี่เนย์เหมือนเคยซะแล้ว

-----------------------------------------------------------------
หากเจอคำผิด คำสลับ รบกวนแจ้งทีนะคะ บางทีอาจจะอ่านเพลินจนข้ามคำนั้นไป 555
สามารถติดแท็ก #ฟอลอินยู ได้นะคะ
คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2017 20:13:40 โดย Chomin »

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ฮือออ น้องงงงง

ค้างมากเลยอะ

ออฟไลน์ iiamerror_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องรันลูก อย่าเป็นอะไรมากนะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 16

ผมฟื้นขึ้นมา ก็ตอนที่พยาบาลกำลังทำความสะอาดบาดแผล บริเวณหน้าท้องข้างซ้ายด้านล่าง ขนาดแผลของผมกว้างประมาณสองเซ็นเห็นจะได้ เลือดสีแดงจึงไหลซึมออกมาด้านนอก รวมไปถึงผ้าก๊อซที่ปิดแผลไว้ โชคดีที่ไอ้โจรนั่นไม่ได้แทงโดนจุดสำคัญ ไม่อย่างนั้นผมคงจะอาการแย่กว่านี้มาก
แต่ถึงอย่างนั้น บาดแผลที่มันฝากไว้ ก็สร้างความร้าวรานให้กับผมเป็นอย่างดี

“เป็นยังไงบ้างวะรัน?” ทันทีที่บุรุษพยาบาลเข็นผมออกมาจากห้องฉุกเฉิน ไอ้มอสและเพื่อนของมันก็รีบวิ่งเข้ามาดูอาการผมกันใหญ่ ส่วนบุรุษพยาบาลก็แยกตัวไปเดินเรื่องเพื่อติดต่อรับยาให้แทน
“เจ็บ” ผมตอบเบาๆ พลางนั่งตัวยืดตรง เพื่อไม่ให้แผลมันกดทับ ซึ่งเป็นการนั่งที่เมื่อยมาก

“แล้วเจ็บมากมั้ย?” ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามโง่ๆ แต่พอเห็นสีหน้าเป็นห่วงของมันแล้ว ผมก็จำต้องตอบคำถามแต่โดยดี
“อืม”

“แล้วทำไมเข้าไปแป๊บเดียวเองวะ เขาไม่ได้เย็บแผลให้มึงเหรอ?” ไอ้มอสทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของโรงพยาบาล ขณะที่ผมกำลังถูกล็อคตัวด้วยรถเข็นสำหรับคนไข้
“เปล่า” ผมตอบพลางส่ายหน้า

“ได้ไงวะ มึงโดนแทงจนสลบเลยนะเว้ย แค่ล้างแผลอย่างเดียวเนี่ยนะ?” ไอ้มอสย้อนถามอย่างมีน้ำโห
“อืม กูยืมโทรศัพท์หน่อย” ทันทีที่ไอ้มอสมันส่งโทรศัพท์มาให้ มันก็ลุกเดินออกไป ผมจึงไม่ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะกะจะโทรหาพวกไอ้หมอก คาดว่าป่านนี้พวกมันน่าจะเป็นห่วงผมจะแย่แล้ว
ไหนจะพี่เนย์ที่คืนนี้ดันติดต่อผมไม่ได้อีก
ป่านนี้ทุกคนคงจะวิ่งเต้นกันน่าดู

“บ้าชะมัด..จำเบอร์ใคร..ไม่ได้เลย” ผมลูบหน้าตัวเองอย่างหงุดหงิด เพราะความไม่ได้ดั่งใจ
“หมอ! เพื่อนผมมันโดนแทงจนสลบเลยนะครับ แต่พยาบาลของคุณกลับแค่ทำแผลให้ จริงๆมันควรต้องเย็บแผลด้วยหรือเปล่า พวกคุณบริการประชาชนกันยังไง ทำไมไม่ใส่ใจกันเลยครับ นั่นเขาถูกแทงจนถึงกับสลบไปเลยนะ” ผมหันไปให้ความสนใจกับไอ้มอส ที่กำลังตะโกนโวยวายจนลั่นโรงพยาบาล โดยมีเพื่อนของมันสองคนเข้าไปห้ามปรามไว้ เพื่อไม่ให้มันพุ่งตัวเข้าใส่คุณหมอเวรฉุกเฉิน

“ใจเย็นๆก่อนนะครับคุณ”
“จะให้ผมใจเย็นยังไง หมอดูเพื่อนผม หน้าตามันซีดเซียวแค่ไหน แถมมันยังเจ็บแผลมากด้วยนะหมอ แล้วนี่อะไร คุณปล่อยให้มันกลับบ้านเลยเนี่ยนะ หมอครับ ที่มันเจ็บแผล อาจเป็นเพราะแผลของมันฉีกขาดก็ได้ พยาบาลของคุณเล่นไม่ยอมเย็บแผลให้มันแบบนี้น่ะ ทีนี้คุณเห็นถึงความผิดพลาดหรือยัง?” ผมได้แต่มองไปที่ไอ้มอสแน่นิ่ง เพราะไม่ทันได้คิดว่ามันจะเป็นห่วงผมมากขนาดนี้ อีกอย่างมันดันสงสัยในสิ่งที่ผมไม่เคยสงสัย เนื่องจากพยาบาลบอกมาว่ายังไง ผมก็เชื่ออย่างนั้น
แต่มันเป็นใครกัน กลับมารักษาสิทธิ์ให้ผม

“คุณครับ เบื้องต้นหมอได้ทำการตรวจร่างกายของคนไข้เรียบร้อยแล้ว และอาการของคนไข้ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติครับ แขนขาไม่หัก อีกทั้งบาดแผล ก็ไม่ได้ลึกจนถึงขั้นต้องเย็บแผล และไม่ได้โดนอวัยวะที่สำคัญด้วยนะครับ ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ประสงค์จะไม่นอนที่โรงพยาบาลก็ได้ครับ แต่ถ้าหากญาติไม่สบายใจ จะให้ผู้ป่วยนอนสังเกตอาการสัก 1 คืนก็ได้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนไข้หมดสติ เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ”
“กลับเถอะ..ผมขอโทษแทนเพื่อน..ด้วยนะครับ..หมอ” ผมไสรถเข็นเข้าไปใกล้ พลางดึงแขนไอ้มอสไว้ จากนั้นก็หันไปก้มหน้าขอโทษขอโพยคุณหมอผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องออกมารับหน้าแทนพยาบาลที่เป็นคนดูแลบาดแผลของผม จากนั้นบุรุษพยาบาลก็ยื่นยามาให้ แต่เพราะผมไม่มีเงินสดเหลือติดตัวสักบาท เพื่อนของไอ้มอสที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผม จึงเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายให้ และนั่นก็ทำให้ผมชะงักอีกครั้ง เพราะการที่คนๆนึง ไม่ได้รู้จักอะไรกับเราเลย แต่เวลาที่เราเดือดร้อน เขากลับมีน้ำใจยื่นมือเข้ามาช่วย ขณะที่อีกคน อดีตเคยเป็นหัวโจกในการสร้างบาดแผลเอาไว้ในใจของผมตั้งมากมาย บัดนี้เขากลับรักษาสิทธิ์ให้ผมเป็นอย่างดี แล้วไหนจะเพื่อนอีกคนของไอ้มอสที่ผมไม่รู้จักชื่ออีก มันเป็นฝ่ายอาสาจะเข็นรถเข็น พาผมออกไปจากที่นี่ เมื่อจัดการธุระต่างๆเรียบร้อยแล้ว
จากเหตุการณ์นี้ ผมควรจะเปิดใจ และมองข้ามอคติทั้งหมดไปใช่ไหม?
เพราะถ้าหากไม่ได้พวกมัน บางทีผมอาจจะต้องนอนตายอยู่ตรงหน้าป้ายมหาวิทยาลัยก็ได้

“จริงๆมึงไม่ต้อง..มาออกเงิน..ค่ารักษา..ให้กูก็ได้นะ” ผมหันไปพูดกับคนที่กำลังพยุงผมขึ้นบันไดหอ หลังจากโดยสารรถยนต์ส่วนตัวของมันกลับมายังมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว โดยมีเพื่อนมันอีกสองคนเดินตามหลัง ซึ่งคนหนึ่งถือถุงยาให้ผมโดยไม่ปริปากพูดอะไร
“ถือว่ากูไถ่โทษกับเรื่องที่กูเคยทำไว้กับมึงก็แล้วกัน” ไอ้มอสมันเอ่ยปากอย่างหนักแน่น หลังจากมันเอาเงินของตัวเองให้กับเพื่อนคนนั้นแทนผมที่เป็นต้นเรื่อง
“อืม”
“เฮ้ย ไอ้รัน เป็นอะไรวะ?” ไอ้โชคเพื่อนร่วมสาขาที่อยู่ข้างๆห้องเอ่ยถาม เมื่อมันบังเอิญเดินลงมาเจอผมในสภาพหอยทากกำลังคลานขึ้นบันได

“โดนแทง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงเต็มที
“ชิบหาย! มึงรีบโทรบอกเพื่อนมึงเลย มันสองตัวยืมมอไซค์กูไปตามหามึงข้างนอกโน่น” ไอ้โชคที่กำลังกอดขวดพลาสติกเพื่อเตรียมมากรอกน้ำข้างล่าง รีบล้วงกระเป๋ากางเกงและยื่นโทรศัพท์ส่งมาให้

“มึงมีเบอร์..พวกมันใช่..ป่ะ..โทรบอกให้กู..ที” ผมขอร้องให้อีกฝ่ายเป็นธุระให้ เพราะแค่เดินขึ้นบันได ผมก็สะเทือนจะแย่แล้ว
“เออๆ” ไอ้โชคมันว่า พลางเดินย้อนขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง ขณะที่มันก็กำลังโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนของผมด้วย

“ไอ้เชี่ยคิน ไอ้รันมันกลับมาหอแล้วนะเว้ย มึงแว้นมาด่วนเลย แม่งโดนแทงมาเนี่ย.. น่าจะไปหาหมอมาแล้วนะ กูเห็นมันหิ้วถุงยากลับมาด้วย เออๆ เดี๋ยวกูถามแม่งก่อน ไอ้คินมันถามว่ามึงไปเดินทะเร่อทะร่าให้โจรปล้นมาใช่มั้ย แล้วก็แผลเป็นไงบ้าง ลึกหรือเปล่า?”
“เออ..แผลประมาณ..สองเซ็น”

“ถูกต้องครับ เพื่อนมึงโดนโจรปล้น ไม่มีข้าวของติดตัวมาสักอย่าง นอกจากถุงยาหนึ่งใบ กับแผลอีกสองเซ็น เออ เดี๋ยวกูให้แม่งเข้าไปรอในห้องกูก่อน มึงไม่ต้องห่วง” พอไอ้โชคคุยกับไอ้คินเรียบร้อย มันก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงทันที
“ไอ้รัน มึงโดนไอ้เชี่ยคินสับเละแน่ เสียงแม่งยังกับนักฆ่า ไอ้สัส กูล่ะขนลุก”

“อืม กูไม่ระวังเอง..แหละ..ก็สมควรให้..มันบ่น”
“ว่าแต่มึงไปโดนจี้แถวสะพานลอยหน้ามอป่ะวะ อาทิตย์ก่อนเพิ่งจะมีคนโดนไปแหม่บๆ เห็นว่ารายนั้นถูกแทงจนเสียชีวิตเลยนะเว้ย ถือว่ามึงยังดวงดี ทีหลังก็อย่าไปคนเดียวเลยมึง เออ เมื่อกี้ไอ้คินแม่งร้อนใจมากเลยมึงรู้ป่ะ เสือกด่ากูแทนมึงไปยกนึงเนี่ย”

“โทษทีว่ะ”
“ไม่เป็นไรเว้ย ทีหลังมึงก็อย่าไปข้างนอกมืดๆคนเดียว มันอันตรายจะตายห่า เป็นผู้ชายก็ใช่ว่าจะพลาดไม่ได้นะมึง ทีหลังจะออกไปข้างนอกก็มายืมรถกูนี่”

“คร๊าบบบบ” ผมแกล้งรับปากด้วยน้ำเสียงยานคาง
“มึงแม่ง ยังจะมีอารมณ์มากวนตีนกูอีก” ผมยิ้มบางๆ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จนกระทั่งถึงหน้าประตูห้องของไอ้โชค ซึ่งพวกเราก็เสียเวลายืนรอให้คนข้างในมาเปิดประตูให้อยู่พักใหญ่ และปฏิกิริยาของใครคนนั้นก็ไม่ต่างจากไอ้โชคตอนเห็นสภาพของผมนัก

‘เป็นอะไรรัน?’ ไอ้ทูผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน รีบสอบถามผมยกใหญ่
‘โดนแทง’ ผมตอบเป็นภาษามือ โดยใช้มือข้างขวาทำท่าเหมือนกำลังถือมีด จากนั้นก็ดันกำปั้นออกไปข้างหน้า เหมือนกับลักษณะของไอ้โจรนั่นที่กำลังหันปลายมืดเข้าหาผม ขณะที่ใบหน้าก็ทำให้มันขึงขังเข้าไว้
เท่านั้นแหละ ไอ้ทูมันก็ยิ่งทำหน้าตาตื่นตระหนกมากกว่าเดิม

ส่วนไอ้โชคพอเข้ามาในห้องได้ มันก็รีบคว้าเก้าอี้ออกมาวางไว้ตรงกลางห้อง เพื่อให้ผมนั่งระหว่างรอเพื่อนสนิทมารับ ขณะที่ไอ้ทูกำลังอธิบายให้ไอ้อิฐเพื่อนผู้มีความบกพร่องอีกคนเข้าใจ ผมจึงต้องเป็นฝ่ายบอกพวกมันด้วยตัวเองว่าผมได้จัดการไปหาหมอและได้ยามารักษาเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเลย

“รัน กูกลับก่อนนะ หอใกล้ปิดแล้วว่ะ” ผมหันกลับมาให้ความสนใจกับไอ้มอสอีกครั้ง เมื่อมันพูดแสดงการมีตัวตน
“ขอบคุณ” ผมพูดกับมันสั้นๆ แค่นั้นก็ทำเอาไอ้เด็กนิเทศถึงกับยกยิ้มจนเต็มแก้ม

“ทั้งสองคนด้วยนะ..ถ้าไม่ได้พวกมึง..วันนี้กูคงแย่” ผมเอี้ยวตัวไปมองเพื่อนอีกสองคนของไอ้มอส พลางยกยิ้มให้พวกมันเป็นครั้งแรก
“ไม่เป็นไร” พวกมันตอบรับเพียงแค่นั้น ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะยื่นถุงยามาให้ แล้วก็พากันทยอยเดินออกไป กระทั่งทั้งห้องเหลือเพียงแค่เพื่อนร่วมสาขา ทั้งหมดต่างก็เข้ามาสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดยิบ

ก๊อก ก๊อก

ครู่ใหญ่ เสียงเคาะประตูตรงหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูให้คนที่ผมก็รู้ว่าใคร เพื่อที่จะได้กลับห้องของตัวเองสักที เพราะผมรบกวนพวกไอ้โชคมานานมากแล้ว

“ไอ้เชี่ยยยย!” ทันทีที่ไอ้หมอกเห็นหน้าผม มันก็สาดคำด่าเข้าใส่พร้อมด้วยการโผเข้ามากอดพร้อมกับร้องไห้อย่างไม่อายใคร แต่ผมนี่สิ เจ็บชิบหายเลย แต่ไม่กล้าแม้แต่จะผลักมันออกจากตัว
“ไอ้เชี่ยหมอก! ไอ้รันมันเจ็บตัวอยู่นะเว้ย มึงไปกระโจนใส่แบบนั้น เกิดแผลมันปริขึ้นมาล่ะวะ” ไอ้คินมันลากคอเสื้อของไอ้เพื่อนตัวดีให้รีบออกห่างจากผมอย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าตัวก็ยินยอมให้ลากแต่โดยดี จากนั้นเพื่อนหน้าบูดของผมก็แทรกตัวผ่านผมเพื่อยื่นกุญแจรถคืนให้ไอ้โชค ขณะที่ไอ้หมอกกำลังเลี่ยงไปไขกุญแจห้องข้างๆ

“มึงแม่งดื้อ!” พอผมเข้ามาในห้อง ไอ้หมอกก็รีบเปิดฉากต่อว่าทันที ซึ่งผมก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพราะผมดื้ออย่างที่มันว่า แถมยังประมาทและไม่รู้ลิมิตตัวเองด้วย
“มึงไม่รู้หรือไงว่าพวกกู กลัวว่ามันจะเป็นแบบนี้ พวกกูถึงได้บอกให้มึงรอไปกินพรุ่งนี้พร้อมกัน จะได้ยืมรถไอ้โชคไป” ไอ้หมอกพูดอีกประโยค จากนั้นมันก็เดินเข้ามากอดผมพลางร้องไห้อีกระลอก ส่วนไอ้คินที่ยืนนิ่งเงียบมานาน มันเองก็เดินเข้ามากอดผมกับไอ้หมอกอีกที
ทำเอาผมสะเทือนใจมาก ที่ตัวเองทั้งวู่วามและประมาท

“ขอโทษ” ผมยกมือขึ้นกอดพวกมันคนละข้าง พลางเอ่ยปากขอโทษเพียงเบาๆ หากแต่ความรู้สึกผิดที่ทำให้พวกมันเป็นห่วง กลับหนักอึ้งไปทั้งใจ ยิ่งตอนที่ไอ้คินมันบอกให้ผมโทรไปรายงานความคืบหน้าให้พ่อกับแม่และพี่เนย์ทราบ ผมก็ยิ่งใจหาย และพยายามบังคับตัวเองไม่ร้องไห้ ทันทีที่ได้ยินเสียงของแม่ถามไถ่ทั้งน้ำตาด้วยความเป็นห่วง ตามด้วยน้ำเสียงร้อนรนของพ่อ จากนั้นท่านทั้งสองก็ไม่ลืมจะย้ำเตือนให้ผมโทรไปหาพี่เนย์
เพราะอีกฝ่ายร้อนใจมาก และยังเป็นคนแรกที่ทราบข่าวจากไอ้คินด้วยว่าผมได้รับบาดเจ็บ

ผมโยนถุงยาวางไว้บนโต๊ะ พลางเดินเลี่ยงออกไปข้างนอกระเบียงพร้อมกับเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของพี่เนย์จากเครื่องของไอ้คิน แล้วก็รอเพียงไม่นาน อีกฝ่ายก็รีบกรอกเสียงมาตามสายด้วยความร้อนรน จนผมฟังคำถามแทบไม่ทัน เลยต้องเอ่ยย้ำให้อีกฝ่ายค่อยๆถามทีละประโยค ซึ่งอีกฝ่ายก็ถึงชะงักงันไปพักใหญ่ คงเพราะพี่เขาไม่ทันได้คิดว่าผมจะเป็นฝ่ายใช้โทรศัพท์ของไอ้คินในการติดต่อสื่อสาร

“มึงมันดื้อ” ผมเงียบและยอมรับฟังแต่โดยดี แม้ว่าจะฟังคำนี้มาจากไอ้หมอกแล้วก็ตาม
“…”

“กูเคยบอกมึงแล้วไม่ใช่เหรอว่าแถวสะพานลอยมันมีคนถูกชิงทรัพย์อยู่บ่อยๆ ทำไมมึงไม่รอไปพรุ่งนี้”
“…”

“กูถาม” พี่เนย์ใช้น้ำเสียงแข็งกร้าว จนน้ำตาเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะผมไม่รู้จะบอกอีกฝ่ายยังไง
“…”

“ตอบดิ” น้ำเสียงเย็นชาของพี่เนย์ ทำเอาผมอ้าปากพูดไม่ออก แต่ถ้าหากผมยังคงเงียบอยู่แบบนี้ อีกฝ่ายต้องดุมากขึ้นแน่ๆ
“ผมคิดถึง..ก๋วยเตี๋ยวร้าน..นั้น..ก็เลยต้องไปกิน..วันนี้ให้ได้” ผมเม้มปากแน่น เพราะเหตุผลของผมมันไร้สาระมาก ยิ่งอีกฝ่ายถอนหายใจคล้ายกับหงุดหงิด น้ำตาของผมก็ยิ่งคลอเบ้าหนักขึ้น

“มึงประมาทเกินไปนะรัน มึงรู้มั้ยว่าใครต่อใครเขาเป็นห่วงมึงมากแค่ไหน อ่อ แล้วก่อนหน้านี้กูก็จัดการด่าเพื่อนมึงสองตัวไปแล้วเรียบร้อย ถือว่ามีความผิดร่วมกัน ที่สุดท้ายก็ยังปล่อยมึงไปคนเดียว ทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันอันตราย” ผมเม้มปากแน่น ซ้ำยังรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ที่ทำให้เพื่อนสนิทถูกพี่เนย์ต่อว่า ทั้งๆที่คนที่ผิดคือผมเต็มๆ
“แล้วแผลมึงสองเซ็นนี่ลึกหรือเปล่า?” ขณะที่ถาม น้ำเสียงของพี่เนย์ก็เริ่มอ่อนโยนขึ้นบ้างแล้ว

“ไม่ลึกครับ..หมอบอกว่าให้..ไปทำแผลทุกวัน..แล้วก็ต้องฉีดบาดทะยักอีกสามเข็ม..ประมาณอาทิตย์หรือ..สองอาทิตย์ก็น่าจะหาย” ผมชิงอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องถาม
“แล้วมึงเจ็บมากมั้ย?” น้ำเสียงของพี่เขาแผ่วเบาเสียจน ใจของผมมันเริ่มหวิวไหว

“ครับ” ผมเน้นย้ำทีละคำอย่างตรงไปตรงมา เพราะผมไม่อยากโกหก เกิดมาจับได้ทีหลัง พี่เนย์ได้ดุผมอีกแน่
“แต่กูเจ็บมากกว่าสองเท่า เพราะกูไม่ได้อยู่ใกล้มึง กูต้องรอฟังข่าวอยู่ที่ห้อง ได้แต่เดินวนไปวนมา สลับกับดูนาฬิกาทุกวินาที ความรู้สึกแบบนี้มันไม่สนุกเลยนะมึง ดูแลตัวเองหน่อยดิวะ”

“ผมขอโทษ”
“กูไม่ได้ต้องการคำขอโทษ กูต้องการให้มึงรับปากว่าจะดูแลตัวเอง” พี่เนย์ย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ครับ ผมจะระวังตัวเอง..ให้มากกว่านี้”
“มึงรับปากกับกูแล้วนะ”

“ครับ” ผมรับปากเสียงอ่อย เพราะพี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชามากๆ ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้แค่ให้ผมรับปากส่งๆเท่านั้น แต่พี่เขากำลังจดจำและบันทึกเอาไว้ในหัวเลยว่า เราเคยสัญญากันไว้แบบนี้ หากเกิดเรื่องเมื่อไหร่ ผมได้เจอดีแน่

“แล้วของมีค่าหายหมดเลยหรือเปล่า?”
“ก็หายหมดเลยครับ”

“แล้วพ่อกับแม่มึงว่ายังไงบ้าง?”
“เดี๋ยวท่านจะโอนเงิน..มาให้ใหม่ครับ..น่าจะประมาณ..พรุ่งนี้ช่วงเที่ยงๆ”

“งั้นมึงไปนอนพักได้แล้วไป ถ้าพรุ่งนี้มีเรียนแล้วไปเรียนไม่ไหว มึงก็ไปหาหมอเอาใบรับรองแพทย์ซะ”
“พรุ่งนี้ผมหยุด..ครับ”

“ถ้างั้นก็ดี มึงจะได้นอนพักผ่อนให้เยอะๆ”
“อ้อ แล้วกูก็จะไม่รับสายหรือโทรหามึงสองอาทิตย์ พร้อมกับล้มเลิกแผนที่จะไปหามึงในวันหยุดด้วย”
“…”

“มึงรู้ใช่มั้ยว่าเพราะอะไร?” พี่เนย์ย้อนถาม
“รู้ครับ” ผมตอบเสียงอ่อย

“ที่กูลงโทษ นี่ยังถือว่าน้อยไป กับการที่มึงทำให้พ่อกับแม่ของมึงต้องเป็นกังวล และทำให้กูต้องเป็นห่วงเพราะความประมาทของมึงเอง”

----------------------------------------------------------------
[11/12/2017 เพิ่มจุดบางประโยคที่ลืมใส่]
วันนี้มาช้ามากกกก พอดีติดธุระถึงบ้านดึกไปหน่อยค่ะ แล้วก็ให้น้องที่เป็นพยาบาลเช็คข้อมูลด้วยว่ามันถูกต้องมั้ย ทั้งนี้ต้องบอกก่อนว่า จริงๆแล้ว รพ ที่น้องเราทำเนี่ย แผลแค่ 0.5 เซ็นเขาก็เย็บให้แล้วค่ะ แต่ที่เราเขียนแบบนี้ เพราะเราเจอกระทู้นึง เขาไม่เย็บให้ เพราะแผลไม่ได้ลึกและไม่โดนจุดสำคัญ เราเลยเอามาเป็นทางลงให้กับคุณมอสและผองเพื่อน ให้น้องเริ่มมองคนที่ไร้ข้อบกพร่องในแง่ที่ดีขึ้น โดยยึดหลักที่อีกฝ่ายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญอะไรในชีวิตของรัน และมันก็ดูสมเหตุสมผลที่จะทำเป็นมองข้ามเรื่องที่ผ่านมาได้ เพราะว่าถ้าหากไม่ได้พวกมอส น้องก็ต้องเสียเลือดมาก บวกกับการรักษาสิทธิ์ให้ตัวเอง น้องก็เลยเริ่มมองเพื่อนคนนี้ในแง่ใหม่ แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าเพื่อนหัวโจกคนอื่นๆจะคิดได้แบบมอสทุกคนเนอะ 

ปล. พี่เนย์โหดมาก เพราะพี่เขาเป็นคนจริงจังค่ะ ดูได้จากคำพูดคำจา และการใช้ชีวิตของเขาเนอะ ซึ่งคนที่ผ่านการหน้ามืดตามัว เพราะความหลงมาแล้ว ก็ต้องคิดได้กันนิดนึง เรียกว่าใช้ชีวิตแบบมีสติดีกว่า 5555

คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2017 12:45:39 โดย Chomin »

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 17

“ไอ้รันน่ะเหรอพี่” ผมเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากที่วางสายกับพี่เนย์ไปพักใหญ่ ไอ้หมอกมันก็รีบทำไม้ทำมือให้ผมเงียบเสียงที่สุด ผมจึงได้แต่เลิกคิ้วใส่ด้วยความสงสัย พลางส่งโทรศัพท์คืนไอ้คินที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ
“มันกำลังอาบน้ำ” ผมชะงักการก้าวเดิน พลางหันไปมองไอ้หมอกด้วยความสงสัย เพราะมันก็เห็นๆอยู่ ว่าผมยังอยู่ในสภาพเน่าๆเหมือนเดิม แต่กลับบอกปลายสายว่าผมกำลังอาบน้ำซะงั้น

“อะไรของพี่วะ เป็นห่วงมันแล้วทำไมไม่คุยกันให้จบๆไปเลยล่ะ” ไอ้หมอกมันบ่นอุบด้วยสีหน้ากวนประสาทยังไงชอบกล
“โห โดนเล่นข้อหานี้ คนมีชนักติดหลังอย่างผม ก็ต้องยอมดิ สักครู่ครับ.. ไอ้รันเว้ย อาบน้ำระวังแผลโดนน้ำนะ” ผมจ้องไอ้หมอกที่ทำเป็นตะโกนใส่ผม ส่วนฝ่ายถูกจ้อง ก็รีบขยับปากแบบไม่มีเสียงพูดว่าปลายสายที่คุยกับมันคือ ‘พี่อาคเนย์’ คนที่เพิ่งจะดุและทำโทษผมไปเมื่อครู่

‘มึงตะโกนตอบรับดิวะ’ ไอ้หมอกมันทำการใหญ่โดยเปิดลำโพงโทรศัพท์ พลางวางเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของผม พร้อมกับใช้ภาษามือสั่งผมด้วย
“เออ!”

“ไอ้หมอก”
“ครับ” เจ้าของชื่อรีบเสนอหน้าเข้าไปจุ่มใส่โทรศัพท์ เพื่อพูดคุยกับรุ่นพี่ต่างสาขาอย่างรวดเร็ว

“พรุ่งนี้มึงรีบพามันไปแจ้งความเลยนะ”
“ครับผม!”

“ส่วนเรื่องค่ากิน เดี๋ยวกูจะช่วยออกให้มัน จนกว่าจะหาย เพราะว่าช่วงนี้ มันน่าจะต้องจ่ายค่าทำแผลเยอะอยู่”
“แล้วไงพี่ จะเอาบัญชีธนาคารของไอ้รันเหรอ?” ไอ้หมอกยังคงรับหน้าต่อไป ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มกับคนโหดไม่จริง ที่สุดท้ายก็แอบใจอ่อนให้ผมอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้น ผมเองก็ไม่ได้คิดว่าความใจดีของพี่เขามันคู่ควรกับผมในเวลานี้หรอก
เพราะผมทำผิดจริงๆ ผมถึงได้ไม่คิดว่า พี่เขาทำเกินกว่าเหตุ

“เดี๋ยวกูโอนเข้าบัญชีมึง แล้วมึงไปซื้อ เออ อย่าลืมเตือนเพื่อนมึงให้ไปอายัดบัตรด้วยล่ะ เมื่อกี้กูก็ลืมเตือนมันไปเลย”
“อ้อได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกมันให้ ส่วนของกินนี่คือพี่จะให้ผมทำทีเป็นคนซื้อมาให้งี้เหรอ แล้วถ้ามันเกิดมันเกรงใจไม่ยอมรับของล่ะพี่” ไอ้หมอกถาม พลางหันมาขยิบตาใส่ผม

“นั่นเป็นปัญหาของมึง อย่าลืมพามันไปแจ้งความกับไปล้างแผลนะเว้ย”
“ครับผม” หลังจากวางสายแล้ว ไอ้หมอกมันก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองมายัดใส่มือผมพลางยักคิ้ว ก่อนจะปีนขึ้นไปนอนเล่นบนที่นอน ส่วนผมก็รีบจัดการอายัดบัตรให้เรียบร้อย ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้ไอ้หมอก พลางบอกมันว่าพรุ่งนี้หลังจากไปโรงพักให้มันแวะพาผมไปธนาคารด้วย เพราะแม่จะโอนเงินมาให้พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ดังนั้นผมต้องรีบดำเนินเรื่องให้เสร็จก่อนที่แม่จะพักกลางวัน ไม่อย่างนั้นแม่ต้องเสียเวลาลางานเพื่อไปทำธุระให้ผมแน่ จากนั้นผมก็ถือโอกาสเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เพื่อหยิบเอาชุดนอนที่ใส่สบายๆ มาสักตัว แล้วก็เดินเข้าไปยังห้องน้ำ เพื่อเอาน้ำลูบๆเนื้อตัวสักหน่อย เพราะพยาบาลบอกผมว่า แผลต้องห้ามโดนน้ำ
ช่วงนี้ผมก็อาจจะต้อง อยู่อย่างซกมกไปก่อน

หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ผมก็เดินเยื้องย่างออกมาจากห้องน้ำ และพอหันไปมองยังบริเวณเตียงนอนของตัวเอง ก็พบว่าฟูกที่นอนที่เคยอยู่ด้านบน บัดนี้มันถูกระเห็จมากองอยู่ข้างล่างไปซะแล้ว
“มึงนอนข้างล่างนั่นแหละ รอให้แผลหายก่อนค่อยย้ายขึ้นไปนอนข้างบน” ไอ้คินมันว่าอย่างนั้น ผมจึงได้แต่พยักหน้ารับ พร้อมกับตอบรับในลำคอเพียงเบาๆ จากนั้นไม่นานโทรศัพท์ของไอ้เพื่อนคนนั้นก็สั่นครืดคราด ผมจึงมองจ้องไปที่มันซึ่งนอนห่มผ้าแล้วเรียบร้อย

“ว่าไงแอ้ม” ทันทีที่ได้ยินว่าปลายสายคือใคร ผมก็เดินไปปิดไฟ และกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนฟูกที่นอน ที่น้ำหนักไม่ใช่น้อยๆเลย พวกมันสองคนคงต้องช่วยกันเคลื่อนย้ายลงมาแน่ๆ ผมจึงแอบอมยิ้มให้กับความใส่ใจของเพื่อนทั้งสองคน พร้อมกับนึกไปถึงบทสนทนาที่พี่เนย์ฝากฝังเอาไว้กับไอ้หมอกด้วย ซึ่งผมตั้งใจว่าผมจะเก็บเงินของพี่เขาไว้ แล้วถ้ามีโอกาสก็อยากจะคืนให้ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าพี่เขาจะรู้ว่าไอ้หมอกมันคิดการใหญ่ ทีนี้เพื่อนของผมคงได้โดนด่าอีกกระทงแน่
ที่ทำให้การลงโทษของอีกฝ่ายไม่มีประสิทธิภาพมากเท่าที่ควร

“มันโดนจี้ชิงทรัพย์น่ะสิ แถมยังถูกแทงมาด้วย อืม มันไปหาหมอมาแล้ว เห็นบอกพ่อกับแม่ว่าต้องไปล้างแผลทุกวัน แล้วก็ฉีดยากันบาดทะยักสามเข็ม เราคงต้องพาไปช่วงหลังเลิกเรียนน่ะ พี่เนย์น่ะเหรอ ด่ายับจนไม่กล้าบ่นมันต่อเลยเนี่ย เพราะเราก็ผิดจริงที่ปล่อยให้มันไปคนเดียว ทั้งๆที่ก็รู้ว่าโอกาสที่มันจะถูกจี้แม่งมีสูงขนาดไหน”
“…”

“จะเหลือเหรอ ไอ้หมอกแม่งก็โดน ขวัญใจเธอโคตรโหด เสียงเหมือนนักฆ่ายิ่งกว่าเวลาเราโมโหสักร้อยเท่าได้ ฮ่าๆ” ผมแอบหลุดขำกับคำเปรียบเปรยของไอ้คินที่มีให้กับพี่เนย์ ซึ่งผมยังไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแบบนั้น และก็ไม่ได้ประสงค์อยากจะได้ยินด้วย เพราะแค่พี่เนย์ทำน้ำเสียงเย็นชาใส่ ใจของผมมันก็เจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
“เออแอ้ม พรุ่งนี้โทรปลุกเราหน่อยดิ ว่าจะไปซื้อข้าวต้มมาให้ไอ้รันมันทานตอนเช้าสักหน่อย ไอ้นี่มันติดกินข้าวเช้าทุกวันไง ครับ ฝันดีนะ” ไอ้คินวางสายไปแล้ว เพราะตอนนี้ห้องทั้งห้องกำลังมืดสนิท เพราะไอ้หมอกมันน่าจะหลับไปนานแล้ว มันถึงได้ไม่เอ่ยปากแซวหรือกวนตีนใส่ไอ้คินเวลาคุยโทรศัพท์กับแฟน ผมจึงได้แต่นอนลืมตามองด้านบนที่เป็นเตียงชั้นสอง ส่วนด้านข้างก็ติดกับตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเขียนหนังสือ โดยสองเพื่อนซี้ได้ทำการลากเก้าอี้ของผมไปวางสุมไว้กับเก้าอี้ตรงบริเวณโต๊ะเขียนหนังสือของไอ้หมอก เพื่อให้มีพื้นที่ในการวางที่นอนตรงพื้นที่ส่วนตัวของผม
จากนั้นผมก็นอนคิดอะไรเพลินๆ แล้วก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปในที่สุด

ช่วงนี้หลายๆคณะต่างก็ยุ่งกับการจัดงานโอเพ่นเฮ้าส์ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดการแล้ว อีกทั้งช่วงสอบมิดเทอมก็เริ่มใกล้เข้ามาทุกที โดยการสอบภาษามือของเราก็ยังคงมีการสอบนอกตารางเหมือนอย่างเคย และเป็นการสอบตามคำบอก โดยกั้นเป็นห้องๆ ทำให้ไม่มีโอกาสได้ชำเลืองมองกันเลยแม้แต่นิด
ส่วนผมนับว่าเทอมนี้เริ่มมีสติมากขึ้นหน่อย ก็เลยไม่ได้กังวลเรื่องภาษามือมากมายแล้ว เพราะช่วงนี้ส่วนใหญ่เราจะอาศัยการฝึกฝนผ่านการพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้เริ่มคุ้นชินไปในตัว  ซึ่งเดี๋ยวนี้พวกผมแทบจะไม่คุยกันผ่านทางคำพูด มีแต่คุยกันผ่านภาษามือแทน จนพวกแอ้มต้องออกปากบ่นอยู่หลายครั้ง ว่าพวกเธอไม่เข้าใจที่พวกผมสื่อสารกันเลย ดังนั้นกฎใหม่จึงเกิดขึ้นว่า ถ้าหากพวกเรามาทานข้าวพร้อมกับสาวๆคณะบัญชี พวกเราจะต้องหยุดฝึกภาษามือกันสักครู่ หรือไม่ก็ให้ใช้ภาษามือไปด้วย แล้วก็พูดออกเสียงไปด้วย เล่นเอาพวกเราสามเพื่อนซี้ถึงกับหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะเข้าใจกันดีว่าการสื่อสารด้วยวิธีการทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน มันสามารถสร้างความงงงวยและความเครียดให้กับผู้ใช้เป็นอย่างมาก
ดังนั้นพวกเราจึงรีบตอบรับข้อตกลงอันแรก ว่าจะพูดคุยกันด้วยคำพูดอย่างพร้อมเพียง

“รัน” ผมหันไปตามเสียงเรียกของใครบางคน พอเห็นว่าเป็นไอ้มอส ผมจึงตัดสินใจยกยิ้มให้มันเป็นครั้งแรก
“วันนี้กูนั่งด้วยคนดิ” ไอ้เด็กนิเทศมันเอ่ยปากถามอย่างกล้าๆกลัวๆ พลางเดินขึ้นบันไดไปยังห้องบรรยายของวิชาที่พวกเราบังเอิญลงเรียนไว้เหมือนกัน

“อืม”
“แล้วแผลเป็นไงมั่ง กูว่าจะถามข่าวมึง ก็ไม่รู้จะถามจากใคร” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะถึงจะเรียนมหาลัยเดียวกัน แต่ว่าคนละคณะก็ยิ่งเจอกันได้ยาก

“ก็ดีขึ้นแล้ว..นี่มันผ่านมาจะ..อาทิตย์นึงแล้ว..นะเว้ย” ผมตอบพลางหันไปมองหน้าคู่สนทนา จึงเห็นว่ามันกำลังพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ
“เออจริง ช่วงนี้โคตรยุ่งเลย จนกูแม่งลืมวันลืมคืนไปหมดแล้ว” ไอ้เด็กนิเทศเอ่ยปากชวนคุยขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงพยักหน้า เพราะเข้าใจว่าตอนนี้มันเองก็คงยุ่งกับการช่วยน้องปีหนึ่งเตรียมงานโอเพ่นเฮ้าส์ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อีกทั้งยังใกล้จะสอบแล้วด้วย จึงทำให้เทอมนี้รับบทหนักมากกว่าเทอมแรก ส่วนผมดีหน่อยที่ทั้งเพื่อนๆและพี่ๆ บังคับไม่ให้ผมเข้ามายุ่งกับงานสาขา เพราะผมกำลังเจ็บตัวอยู่ อีกทั้งยังลุกลามไปถึงวันงานด้วย เนื่องจากทุกคนเกรงว่าถ้าหากคนเยอะๆ แล้วมาเบียดโดนแผลผมเข้า ก็อาจจะซวยจนถึงขั้นแผลปริได้ ผมจึงอาศัยช่วงนี้ไปหลบอ่านหนังสือเตรียมสอบที่คาเฟ่ในมหาลัยเจ้าเดิมเพียงลำพัง ในเมื่อไอ้หมอกกับไอ้คินมันไม่ว่าง เพราะต้องไปช่วยน้องๆปีหนึ่งเตรียมงานนั่นแหละ

พอนึกถึงน้องปีหนึ่ง ผมก็อดนึกไปถึงน้องโบว์กับปาล์มไม่ได้ ทั้งสองคนพอทราบข่าวก็ออกอาการห่วงผมกันยกใหญ่ โดยเฉพาะหญิงสาวตัวแสบ ถึงกับร้องไห้จนตาบวมไปหมด เดือดร้อนถึงผมต้องเข้าไปปลอบ จากนั้นทั้งสองคนก็หาซื้อนมมาบำรุงผมใหญ่ เรียกได้ว่าใจปล้ำแข่งกับพี่เนย์ จนผมมีของกินมากมายเกินไปด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้นเงินของผมก็แทบเกลี้ยง เพราะต้องเอาไปจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาล

“เออนี่ ไว้ถ้ามึงต้องขายของในคาบคหกรรมอีก มึงเรียกใช้กูได้เลยนะ สนุกดี”
“ไม่เป็นไร..แล้วมึงไม่มี..เรียนหรือไง?” ผมย้อนถาม

“อ้อ วันนั้นกูหยุด” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“อืม งั้นเอาเป็นว่า..ถ้ามึงบังเอิญ..มาเจอกู..มึงก็ค่อยเข้ามาช่วยกู..แล้วกัน” ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะผมยังเปิดใจให้มันได้ไม่เต็มที่

“หลังมิดเทอมโรงเรียนเราจะจัดงานเลี้ยงศิษย์เก่า ไปกันไหม?” พอเข้ามาหาที่นั่งให้ตัวเองได้ ระหว่างรออาจารย์ ผมก็นั่งไถหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ กระทั่งไอ้มอสมันเอ่ยชวน ผมถึงได้เงยหน้าขึ้นไปสนใจมัน
“มึงคิดว่าโรงเรียน..เป็นความทรงจำ..ดีๆของกู..เหรอวะ?” ผมย้อนถาม พลางหัวเราะเย้ยหยันตัวเองไปสักหนึ่งที

“กูรู้ แต่ที่กูชวน เพราะกูแค่อยากทำให้โรงเรียนมันกลายเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับมึงในปีนี้เว้ย”
“ด้วยการไป..งานศิษย์เก่า..เนี่ยนะ” ผมย้อนถามอย่างไม่เข้าใจไอ้มอสนัก

“เออดิ มึงเชื่อใจกูหรือเปล่าล่ะ ถ้าเชื่อมึงก็แค่ตอบตกลง หรือถ้าไม่เชื่อมันก็สิทธิ์ของมึง กูไม่มีสิทธิ์ไปเรียกร้องอะไรอยู่แล้ว”
“ถ้าให้พูดตรงๆ..กูบอกได้เลยว่า..ตอนนี้กูยังไม่เชื่อใจมึง” ผมตอบอย่างหนักแน่น เพื่อให้มันเข้าใจในจุดยืนของตัวเองด้วย

“แต่กูอยากให้มึงไปนะ มึงอาจจะได้รับอะไรดีๆกลับมาก็ได้ ขนาดกูยังเปลี่ยนไปแล้วเลย” ไอ้มอสมันพูดได้แค่นั้น แล้วอาจารย์ก็เข้ามาสอน ผมจึงไม่มีโอกาสได้ครุ่นคิดหรือตัดสินใจอะไรอีก
ก็เลยได้แต่นิ่งเงียบคล้ายกับเราไม่เคยพูดคุยกันด้วยหัวข้อนั้นมาก่อน

ในที่สุดวันงานโอเพ่นเฮ้าส์ก็มาถึง วันนี้ผมจึงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงพยาบาล เพราะช่วงสายไอ้หมอกกับไอ้คินมันต้องลงไปช่วยน้องดูบูธ เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกของงานดังกล่าว อีกทั้งสาขาของเราก็ไม่ได้มีนักศึกษามากมายเท่าสาขาอื่น ดังนั้นอะไรที่ช่วยกันได้ ก็คงต้องช่วยกันไป ส่วนผมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและถูกสั่งห้ามไม่ให้มาเดินเพ่นพ่าน หลังจากหาหมอและทานข้าวเรียบร้อย ก็ต้องนอนซมอยู่บนห้องเพียงลำพัง
จนสุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว เพราะผมเบื่อ ในเมื่อนั่งนานๆ มันก็เจ็บ จะนอนแผ่อยู่ตลอดเวลา มันก็เซ็ง ผมเลยตัดสินใจไปเดินเล่นรอบๆมอแทน โดยผมเลือกจะไม่เดินเข้าไปใกล้ๆ กับส่วนจัดงาน เพราะวันนี้มีผู้มาเข้าร่วมงานเยอะมากๆ เนื่องจากไม่ได้มีแค่นักศึกษา แต่ยังมีนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ อีกทั้งยังมีคุณครู ผู้ปกครอง รวมไปถึงบุคคลภายนอกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านวิชาการ เช่น แฟนคลับของดารานักแสดงที่กำลังศึกษาอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อครู่ผมเห็นพวกเขาพกกล้องถ่ายรูปมาด้วย
ก็อย่างว่า ปีนี้งานมันมีวันเสาร์กับอาทิตย์นี่เนอะ มันเลยดูวุ่นวายเป็นพิเศษ

เวลาสามโมงเย็น อีกประมาณหนึ่งชั่วโมง งานโอเพ่นเฮ้าส์ในวันนี้ก็จะจบลงแล้ว ดีหน่อยที่แดดร่มลมตก ทำให้การก้าวเดินไปตามแนวเส้นสีขาวของริมขอบถนนเป็นไปอย่างง่ายดาย โดยวันนี้ผมไม่ได้คิดจินตนาการใดๆ เพียงแต่เดินไปเรื่อยๆ ด้วยความคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่ทำให้ผมได้เจอกับพี่เนย์เท่านั้น
เพราะการที่เราไม่ได้เจอ และไม่ได้ยินเสียงของกันและกัน
มันก็มีทางแก้แค่เพียง ผมต้องคิดถึงเรื่องเก่าๆ เพื่อปลอบใจตัวเองเท่านั้น

“พี่เนย์” ผมหยุดการก้าวเดิน พลางร้องเรียกใครอีกคนที่ผมบังเอิญเจอโดยไม่ทันคาดคิด จากนั้นริมฝีปากที่ไม่ค่อยได้คลี่ยิ้มด้วยความดีใจ ก็ค่อยๆปรากฏขึ้น อีกทั้งดวงตาทั้งสองข้างของผมก็ยังกลายเป็นเส้นตรงแบบทุกครั้งที่ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ดีขึ้นหรือยัง?” พี่เนย์เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา พลางถามไถ่อาการของผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่จากการที่พี่เขาโทรไปหาไอ้หมอกหรือไม่ก็ไอ้คินทุกวัน โดยที่พวกมันก็ได้กระทำการใหญ่ แอบเปิดลำโพงให้ผมฟังความห่วงใยของพี่เนย์ทุกครั้ง ผมจึงรู้ว่า ในเวลาแบบนี้พี่เนย์ต้องทำใจแข็งมากแค่ไหน ที่จะไม่ยิ้ม และไม่ใช้น้ำเสียงแบบที่ผมเคยได้ฟังมันบ่อยๆ

“ดีขึ้นแล้วครับ..แต่เวลานั่งเรียนนานๆ..ก็จะลำบากหน่อย”
“อืม” พี่เนย์ส่งเสียงตอบในลำคอ พลางพยักหน้ารับ จากนั้นเราก็ต่างคนต่างนิ่งไป โดยที่ยังคงยืนประชันหน้ากันอยู่

“เราไปนั่งเล่นที่..สนามเด็กเล่น..กันดีไหมครับ?” ผมลองเอ่ยปากถามอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงกลั้นใจถาม เพราะผมอยากต่อเวลาในการอยู่ใกล้ๆ กับพี่เนย์อีกสักนิด
“อืม” ทันทีที่พี่เขาตอบ ผมก็เป็นฝ่ายเดินออกจากแนวเส้นสีขาวตรงริมขอบถนน เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามเด็กเล่นที่ต้องใช้เวลาเดินอีกสักพักใหญ่

“ไปรถกูดิ” พี่เนย์คว้าแขนของผมไว้ พลางออกปากชวน ผมจึงพยักหน้ารับพร้อมยกยิ้มจนตาปิด ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังคงทำหน้านิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ฝ่ามือใหญ่ก็ยังคงกำรอบข้อมือของผมไว้ตลอดทาง
จนกระทั่งเรามาถึงรถญี่ปุ่นคันสีดำอันคุ้นเคย
ฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นก็ค่อยๆจางหายไป

ผมนั่งยืดตัวนิดๆ พลางไสเท้าไกวชิงช้าเบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆ จนความเงียบปกคลุมอยู่รอบกายเราทั้งสองคน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดทำลายมันลง

“มึงน้อยใจหรือเปล่า ที่กูลงโทษไปแบบนั้น?” ผมหันไปมองผู้ถามแน่นิ่ง จากนั้นก็อมยิ้มเพียงเล็กน้อย
“ไม่หรอกครับ..ผมเข้าใจ..พี่เนย์นะ..แล้วผมก็..ผิดเต็มๆด้วย”

“กูไม่อยากให้มันมีครั้งที่สอง สาม หรือสี่ตามมา เพราะถ้าหากกูปล่อยผ่าน แล้วพอเวลาผ่านไปนานๆเข้า มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าตัวเองต้องเผลอทำเหมือนเดิมแน่”
“ที่จริง..ผมโดนแทงครั้งนี้..ผมก็เข็ดเหมือนกัน..นะครับ..ตอนนั้นถึงกับตกใจ..จนหมดสติเลยด้วยซ้ำ..แต่ที่น่ากลัวกว่า..คือการที่ผมทำให้คนอื่น..เป็นห่วง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เพราะผมรู้ตัวดีว่าความผิดครั้งนี้มันทำให้ผมสะเทือนใจแค่ไหน แล้วยิ่งมาเจอพี่เนย์ทำโทษ ผมก็ยิ่งไม่กล้าประมาทในการใช้ชีวิตอีกแล้ว

“อืม กูยกโทษให้มึง” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและแผ่วเบา จากนั้นคนตัวสูงก็ลุกขึ้นยืน พลางก้าวเดินไปข้างหน้า ส่วนผมก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยอาการนิ่งงัน เพราะทันทีที่ประมวลผลลัพธ์ที่ได้ ความยินดีมันก็จุกอกเสียจนผมพูดอะไรไม่ออก
เพราะนี่มันก็อาทิตย์กว่าๆแล้ว ที่เราไม่ได้ติดต่อหากันเลย

“รัน” ผมหลุดออกจากภวังค์แห่งความคิด ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของพี่เนย์ พร้อมกับอ้อมแขนที่อ้าออก คล้ายกับจะให้ผมพาตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดนั้น ผมจึงค่อยๆลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินเยื้องย่างเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ เนื่องจากผมไม่มั่นใจว่าผมคิดถูกหรือเปล่า ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะใจเย็นเสียเหลือเกิน เพราะกว่าผมจะเอาตัวเองเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นแบบนั้นได้ ก็ใช้เวลานานพอสมควร
“ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ กูก็แพ้ทางมึงตลอดเลย” พี่เนย์ฝังใบหน้าของตัวเองลงกับลาดไหล่ของผมที่ตัวเตี้ยกว่า ขณะที่วงแขนของอีกฝ่ายก็โอบกอดผมไว้อย่างแผ่วเบาราวกับปุยนุ่น ส่วนริมฝีปากของผู้ที่ผมไม่ได้เจอหน้า และไม่ได้ยินเสียงมาเป็นเวลานาน ก็ค่อยๆเลื่อนเข้ามาแตะตรงข้างแก้มของผมอย่างแรง
เหมือนกับตอนที่เจ้าตัวเขาถูกคุณแม่หอม จนแก้มยุบลงไปข้างนึงนั่นแหละ


-----------------------------------------------------------------
พี่เนย์ผู้แพ้ทางน้องรันยังไงก็ยังคงแพ้ทางอย่างนั้นนะคะ 555
และการมีเพื่อนดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง 5555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด