Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 130756 ครั้ง)

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 3


การไปกินเลี้ยงสายรหัสเพื่อต้อนรับน้องใหม่ป้ายแดง โดยที่สายของผม ถ้าจะพูดกันอย่างเป็นทางการ ก็น่าจะถือว่าเป็นสายโคว เพราะจริงๆแล้ว ผมไม่มีพี่รหัส แต่กลับได้รับความเมตตา เห็นอกเห็นใจ จากพี่ๆสายรหัสของเพื่อนสนิท จึงทำให้ในปีนี้มันเลยกลายเป็นว่า ผมคือพี่โตสุดของสาย เพราะทั้งสายก็มีกันอยู่แค่สามคน
ซึ่งในปีนี้ เรื่องการเดินทางไม่ค่อยลำบากนัก จึงไม่ต้องรบกวนรุ่นพี่ต่างสาขาเหมือนปีก่อน เพราะน้องๆปีหนึ่งต่างก็มีรถยนต์ส่วนตัวใช้กัน พวกเราจึงอาศัยรถของพวกน้องๆ ทั้งขาไปและขากลับจากคาเฟ่ อันขึ้นชื่อของมหาลัยที่อยู่แถวๆคณะดุริยางคศาสตร์ โดยที่ตลอดทางโบว์มักจะชวนผมคุยอยู่เสมอ เพราะน้องบอกว่าน้องดีใจที่มีพี่รหัสเป็นผู้ชาย เนื่องจากน้องอยากมีพี่ชายมานานแล้ว ส่วนสารถีจำเป็นอย่างปาล์มผู้เป็นเจ้าของรถ ก็ทำหน้าที่พลขับอย่างดีเยี่ยม โดยไม่เสียสมาธิวอกแวกไปกับเรื่องไหน

Rrrrrr

“จะกลับยัง?” ทันทีที่ผมรับสาย พี่เนย์ก็รีบยิงคำถามใส่เหมือนทุกครั้ง
“กำ..ลัง..จะ..กลับ” ผมตอบพลางพยายามคุยให้เบาเสียงที่สุด เพราะรู้สึกเกรงใจน้องปาล์มผู้เป็นเจ้าของรถ ที่นั่งเงียบตั้งแต่กินเลี้ยงยันกลับจากกินเลี้ยง

“งั้นมึงรออยู่ที่ร้านดิ กูก็กำลังจะกลับเหมือนกัน” เมื่อพี่เนย์พูดแบบนั้น ผมเองก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะเจ้าตัวเขาก็มักจะมีนัดออกกำลังกายกับเพื่อนอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ปีนี้อาจจะไม่บ่อยเท่าปีก่อน เพราะใกล้จะเรียนจบแล้ว แถมยังต้องเตรียมทำสัมมนาด้วย จึงทำให้ไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นมากนัก เนื่องจากช่วงเทอมสอง พี่เนย์จะต้องไปฝึกงาน ซึ่งสาขาที่พี่เนย์เลือกเรียน เป็นเพียงสาขาย่อยสาขาเดียวที่มีการบังคับให้ฝึกงานอย่างเป็นกิจลักษณะ เพราะเป็นสาขาที่จะต้องคลุกคลีอยู่กับคนไข้และบุคลากรแพทย์
“ผม..ออก..จาก..ร้าน..มา..แล้ว”

“ถ้างั้นมึงรอกูแถวๆหน้าโรงอาหารกลางแล้วกัน” ทันทีที่พี่เนย์พูด ผมก็รีบหันไปมองบรรยากาศด้านนอกตัวรถอย่างรวดเร็ว เพราะเป้าหมายของผมคือหน้ามอ ซึ่งปาล์มก็ตอบตกลงที่จะขับไปส่ง ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องถ่อไปจนถึงหน้ามอเสียด้วยซ้ำ แต่สาเหตุที่ทำให้ผมเลือกที่จะเจรจากับน้องอีกครั้ง ก็เพราะพี่เนย์เคยบอกว่า ไม่อยากให้ผมไปยืนรอตรงหน้ามอคนเดียวนานๆ มันอันตราย แต่บางครั้งที่พี่เนย์ยอม ก็เพราะเพื่อนสนิทของผมทั้งสองคน มันจะคอยมองตามจนกระทั่งผมเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งแล้ว เนื่องจากช่วงนี้มักจะเกิดเหตุชิงทรัพย์แถวๆสะพานลอยอยู่บ่อยๆ อีกทั้งวันนี้เพื่อนสนิททั้งสองคนก็ต้องแยกกันเดินทางกลับหอ โดยการอาศัยรถของน้องรหัสประจำสาย ตามไอเดียของพี่ทีมที่ต้องการจะให้สมาชิกในแต่ละสายรหัสสนิทสนมกันเข้าไว้ โดยเฉพาะสายของผม
“ปะ..ปาล์ม” ผมหันไปเรียกน้องรหัสผู้เงียบขรึม เจ้าตัวจึงหันหน้ามามองผมพักนึง คล้ายกับเป็นสัญญาณรับรู้ว่า พูดได้เลย กำลังรอฟังอยู่

“ส่ง..พี่..ตรง..หน้า..โรง..อา..หาร..ได้..ไหม” ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะรถเพิ่งจะเลี้ยวไปยังทางที่มุ่งตรงไปที่หน้ามอ
“…” ด้วยความกังวล ผมจึงเม้มปากเข้าหากัน พร้อมกับทำคิ้วขมวดมุ่น เพราะถ้าให้พูดกันตรงๆ ผมเองก็ยังเกร็งๆน้องอยู่ แต่ไม่นานจากนั้น อีกฝ่ายก็พยักหน้าพลางยกยิ้มบางๆ จนผมแทบจะมองไม่ออกว่านั่นน้องกำลังยิ้มอยู่ เพราะเจ้าตัวเล่นยิ้มตรงมุมปากซะงั้น

“น้อง..โอเค..ครับ..” พอสารถีเขายินยอม ผมก็รีบบอกให้คนปลายสายรับรู้ ก่อนจะวางสายไป

ผมนั่งรอพี่เนย์อยู่ตรงม้านั่งริมถนนเพียงไม่นาน อีกฝ่ายก็ขับรถมารับ ซึ่งคาดเดาได้ว่า ก่อนหน้านั้นพี่เนย์คงจะแวะหอพี่เปรม เพื่อไปอาบน้ำหลังออกกำลังกายเหมือนปกติ ซึ่งพี่เปรมเขาอยู่หอใน ดังนั้นการจะเข้าหอในของอีกฝ่ายก็คือการต้องตีเนียน และคงจะทำแบบนี้มานานแล้ว จึงทำให้ลุงยามคิดว่าเจ้าตัวคือนักศึกษาที่พักอยู่หอนั้น
“เดี๋ยวแวะหาอะไรกินกันก่อนนะ เพราะตอนนี้กูหิวมาก ไอ้สัสเปรมแม่งบ้าพลัง ตบเอาๆ จนกูต้องใช้แรงเยอะเลยเนี่ย” พี่เนย์เล่าถึงกิจกรรมที่ตัวเองได้ทำในวันนี้ พลางหันมายิ้มให้ ผมจึงยิ้มตอบและพยักหน้าในเชิงอนุญาต

‘มึงอิ่มยัง?’ ทันทีที่หาที่จอดรถได้ ระหว่างทางเดินไปที่ร้านข้าวต้มปลาไม่ใกล้ไม่ไกลจากหอ พี่เนย์ก็ใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับผม แบบเป็นประโยคเป็นครั้งแรก
“อิ่ม” ผมพูดออกเสียง พร้อมกับพยักหน้าสำทับและไม่วายจะสื่อสารผ่านภาษามือไปด้วย โดยยกมือขวาขึ้นในแนวราบระดับอก จากนั้นก็เลื่อนฝ่ามือข้างดังกล่าวขึ้นไปจนถึงปลายคาง พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆและหลับตาไปด้วย เพื่อแสดงออกถึงความอิ่มที่ไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่มันเป็นระดับที่มากจนท้องจะแตกอยู่แล้ว

“เว่อร์จริงๆเลยมึงนี่” พี่เขาผลักหัวผม เมื่อผมทำสีหน้าที่มันโอเว่อร์จนเกินเหตุ ซึ่งจริงๆแล้ว มันก็เป็นลักษณะเด่นของภาษามือล่ะนะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เวลาที่ผมคุยกับเพื่อน ประมาณว่าต้องการจะหยอกล้อกัน ผมก็มักจะทำสีหน้าให้มันโอเว่อร์เข้าไว้ ดูได้จากไอ้หมอก ที่วันนั้นมันแสดงสีหน้า ‘เหม็นความรัก’ จนผมถึงกับหลุดหัวเราะ
“มัน..คือ..ลัก..ษ..ณะ..เด่น..ของ..ภา..ษา..มือ..เลย..นะ” ผมแก้ตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับโดยการยักไหล่ จากนั้นเราก็เลือกโต๊ะนั่งเมื่อเดินมาจนถึงร้านข้าวต้มปลาแล้ว

“ข้าวต้มปลาสองกับปลาลวกจิ้มหนึ่งครับ กูสั่งเผื่อมึงด้วย” พอสั่งเมนูกับพนักงานเรียบร้อยแล้ว พี่เนย์ก็หันมาพูดกับผม ที่เมื่อครู่เพิ่งจะบอกไปหยกๆว่าอิ่มแล้ว
“ผม..อิ่ม..แล้ว” ผมพูดพลางใช้ภาษามือสื่อสารไปด้วย เพราะพี่เนย์เองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ผมสามารถใช้ฝึกฝนเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้

“ไม่เป็นไร มึงกินไม่หมด เดี๋ยวกูกินต่อเอง มึงจะมานั่งมองกูกินอย่างเดียวได้ไง”
“แบบ..นั้น..ข้าว..ต้ม..ก็..หาย..ร้อน..หมด.. แล้ว..อีก..อย่าง..ให้..ผม..กิน..ปลา..ลวก..จิ้ม..แทน..ก็..ได้” ผมร่ายยาวพร้อมด้วยภาษามือ

“มึงใช้ภาษามือสลับกันแล้ว” พี่เนย์ทัก เมื่อผมใช้ผิด เพราะเมื่อครู่ผมดันลืมตัวไปเรียงโครงสร้างประโยคตามคำพูดของตัวเอง ซึ่งบ่อยครั้งเลยแหละที่ผมเป็นแบบนี้ เพราะผมยังคงสับสน จึงทำให้ส่วนมากประโยคที่ผมใช้ภาษามือได้ถูกต้อง จะเป็นเพียงแค่ประโยคสั้นๆ ขนาดเมื่อวานที่ผมใช้ภาษามือคุยกับพี่บอสพี่ทีมตอนมาส่งตรงหน้าปากซอยหอพี่เนย์ ผมยังใช้ผิดเลย ที่รู้ตัวก็เพราะว่า พี่ทีมบอกผมตอนช่วงเลี้ยงสายของวันนี้ อีกทั้งยังมีไอ้หมอกที่คอยเสริมเป็นระยะๆ ว่าบางทีที่มันเข้าใจภาษามือของผม ก็เป็นเพราะว่ามันรู้ไวยากรณ์ของภาษาไทยในแบบที่คนทั่วไปใช้ ซึ่งในบางสถานการณ์ มันก็ไม่ได้เอื้อต่อการจะแก้ความเข้าใจผิดหรือมาคอยอธิบายให้ฟัง

“กูจะยกตัวอย่างง่ายๆนะ ในภาษาไทยเรา ประโยคที่ว่า ‘ฉันกินข้าว’ ในภาษามือมันจะเป็น ‘ฉันข้าวกิน’ ใช่มั้ยล่ะ มึงต้องยังไงล่ะ แยกประสาทให้ได้ เพราะไวยากรณ์ไทยที่เราเรียนกันมันเป็น ประธาน กริยา กรรม แต่ในภาษามือ มันดันเป็น ประธาน กรรม กิริยา” พี่เนย์อธิบายอย่างฉะฉาน ซึ่งผมก็เข้าใจ แต่ที่ยังใช้ผิดเพราะผมมึนนี่แหละ ยิ่งตอนจำชื่อภาษามือของเพื่อนนะ ให้ตายเถอะ ผมโคตรปวดประสาท เพราะการตั้งชื่อในภาษามือเนี่ย เขาจะเอาลักษณะเด่นมาใช้ อย่างเช่นไอ้หมอก มันตัวสูงและมีขี้แมลงวัน ส่วนไอ้คิน มันก็ตัวสูงและคิ้วเข้ม ขณะที่ผม ขาวและยิ้ม แล้วไหนจะเพื่อนในห้องอีก บางคนก็มีทั้ง เตี้ยและตาตี่ บ้างก็สูงกับลักยิ้ม
คือแบบ ผมต้องจำลักษณะเด่นของพวกมันทั้งรุ่น เพื่อใช้ในการเรียกชื่อนี่แหละ ซึ่งผมขอสารภาพเลย ว่าผมจำได้ไม่หมด เพราะที่จำได้แม่นๆก็มีแค่ไอ้หมอกไอ้คินกับตัวเองแค่นั้น

“ผม..ก็..เข้า..ใจ..นะ..พี่..นะ..เอ..แต่..ว่า..ความ..สับ..สน..ก็..ยัง..มี..อยู่..มาก”
“กูถึงบอกให้มึงแยกประสาทให้ได้ไง สมองมึงต้องประมวลผลให้เร็วและจดจำโครงสร้างให้ขึ้นใจและขึ้นสมองด้วยครับ แต่ก็นะ กูเข้าใจว่ามันยาก เพราะกูก็ผ่านอาการแบบมึงมาก่อน” พี่เนย์ว่าพลางยกยิ้ม แล้วไม่นานข้าวต้มปลาและปลาลวกจิ้มก็มาเสิร์ฟ บทสนทนาของเราจึงหยุดลงแค่นั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้กินแบบเป็นจริงเป็นจังนัก ในเมื่ออีกฝ่ายออกปากไว้แล้วว่าแค่ให้นั่งกินเป็นเพื่อน ถ้ากินไม่หมดเดี๋ยวเจ้าตัวจะกินต่อเอง ไม่ร้อนก็ช่างมัน

“กูวางแผนจะไปฝึกงานที่กรุงเทพนะ” ทันทีพี่เนย์พูดขึ้น ทำเอาผมชะงักตะเกียบที่กำลังจะคีบปลาลวกจิ้มตรงหน้า
“อ้อ..ครับ” ผมพยักหน้าเข้าใจ

“คือ.. กูคิดเผื่ออนาคตว่าการฝึกงานที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ มันอาจจะทำให้กูได้งานที่นั่นด้วย มึงก็รู้ว่าบ้านกูอยู่กรุงเทพ” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่เจ้าตัวก็แอบเหลือบสายตามองปฏิกิริยาของผมด้วย
“ผม..เข้า..ใจ..ครับ” ผมตอบพลางใช้ภาษามือที่แสดงถึงคำว่า ‘เข้าใจ’ โดยกำมือข้างขวาหลวมๆ ตรงข้างขมับ จากนั้นก็พยักหน้าลงก่อนจะชูนิ้วชี้ขึ้น และเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

“อืม”
“…”

“เพราะแบบนั้น กูถึงอยากให้เราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะหาโอกาสได้ยาก” พี่เนย์ว่าพลางคีบเนื้อปลาลวกตรงหน้า ก่อนจะจิ้มน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวและเอาเข้าปาก
“…” ผมยิ้ม แม้ว่าจะรู้สึกใจหาย เพราะที่ผ่านมา เราสองคนต่างก็มีความสุขกับการได้ทำอะไรร่วมกันจนกลายเป็นความเคยชิน จึงทำให้ลืมไปว่า อนาคตเราจะต้องโตเป็นผู้ใหญ่ และบางสิ่งบางอย่างที่เราอยากจะทำ มันก็มักจะมีข้อจำกัด
ซึ่งข้อจำกัดระหว่างผมกับพี่เนย์ ก็คือระยะทาง เนื่องจากผมยังต้องเรียนอยู่ที่นี่จนกระทั่งขึ้นปีห้า

ทันทีที่พี่เนย์จอดรถเรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายก็รีบเดินนำหน้าผม พลางขึ้นบันไดทีเดียวถึงสองขั้น เพราะเจ้าตัวต้องการไปเปิดเครื่องทำความชื้นให้กับเขี้ยวกุด ส่วนอาหารพี่เขาได้ให้ลูกชายไปแล้วตั้งแต่ก่อนไปออกกำลังกาย   ผมที่ไม่ได้รีบร้อนหรือมีธุระอะไรก็เลยเดินขึ้นห้องตามปกติ กระทั่งมาถึงที่หมาย ผมก็จัดการถอดรองเท้าเอาไว้ตรงมุมปากประตูห้องที่เป็นมุมประจำของผม

“มึงจะทำหน้าเศร้าทำไมวะรัน กูแค่จะไปฝึกงาน แล้วก็ใกล้จะเรียนจบ ถึงยังไงเราก็ต้องได้เจอกันอยู่ดี เพราะเราไม่ได้เลิกกันนี่หว่า” พี่เนย์หันมาพูดกับผม ที่กำลังยืนมองเจ้าเขี้ยวกุดเดินเล่นอยู่ในตู้กระจก ที่ภายในนั้นมันเต็มไปด้วยละอองฝ้าจากเครื่องทำความชื้น
“ผม..แค่..ใจ..หาย..ครับ..เพราะ..ที่..ผ่าน..มา..ผม..ทำ..เป็น..มอง..ข้าม..เรื่อง..นี้..มา..ตลอด..แล้ว..ก็..เพราะ..ผม..มี..ความ..สุข..มาก.. จน..ไม่..ได้..คิด..ถึง..ตอน..ที่..จะ..ไม่..มี..พี่..อยู่..ข้างๆ” ผมพูดพลางตัดสินใจใช้ภาษามือเพราะอีกฝ่ายเองก็มองผมอยู่ ซึ่งขณะที่กำลังสื่อสาร ผมก็มองตรงยังใครคนนั้น ที่เป็นเจ้าของห้องๆนี้ และยังเป็นเจ้าของความสุขของผมด้วย

“มึงใช้ภาษามือผิด ต้องโดนทำโทษ” พี่เนย์พูดแค่นั้น แล้วก็รั้งตัวผมเข้ามาใกล้ จนทำให้ปลายเท้าของผมเกยอยู่บนฝ่าเท้าของอีกฝ่าย ส่งผลให้ช่วงใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน จากนั้นริมฝีปากอันคุ้นเคย ก็ประทับลงบนริมฝีปากของผม ในลักษณะที่พวกไอ้หมอกไอ้คินมันชอบให้คำจำกัดความว่า..
เราสองคนกำลัง ‘ทาลิปมัน’  ยี่ห้อเดียวกัน

ซึ่งผมก็ยินยอมพร้อมใจที่จะทาลิปมันยี่ห้อเดียวกับรุ่นพี่จากสาขาจิตวิทยาแต่โดยดี จนถึงขนาดเผลอไผลเอื้อมแขนไปคล้องคอเจ้าของสัมผัสนั้นไว้ พร้อมกับตอบรับบทจูบอันเคล้าคลออย่างเพลิดเพลิน
เพราะลึกๆแล้ว ผมก็อดปฏิเสธไม่ได้ ว่าผมเองก็คิดถึงรสจูบของพี่เนย์

“ทำไมรันมองพี่ด้วยสายตาแบบนี้” เมื่อเราผละออกจากกัน พี่เนย์ก็รีบดุผมทันที ซึ่งผมไม่รู้ว่าผมกำลังมองอีกฝ่ายในลักษณะไหน แต่ถ้าให้เดาก็คงไม่ยาก
เพราะผมรู้สึกว่า การจูบเมื่อครู่นี้ มันยังไม่เพียงพอ

“มึงอยากให้กูต่อจากเมื่อกี้?” คนกำลังจะได้เปรียบ รีบเอ่ยปากถาม พร้อมกับหรี่ตาเพื่อคอยจับผิด
“อื้อ” ผมหันหน้าหนีสายตาของอีกฝ่าย ที่กำลังมองจ้องในลักษณะที่เป็นประกายจนหัวใจของผมมันเริ่มเต้นระรัวหนักขึ้น

“อะไรของมึง อารมณ์ไหนวะเนี่ย ทำเอากูไปไม่เป็นเลย” ดูเอาเถอะ คนกำลังไปไม่เป็นที่ไหนเขาจะยิ้มกว้าง แถมสายตายังเป็นประกายขนาดนี้ แต่ในเมื่อเวลาที่เราจะได้อยู่ใกล้ชิดกัน มันก็เริ่มจะเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ผมเองก็จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง โดยต้องบังคับไม่ให้ความเขิน เข้ามาเป็นอุปสรรค
“เรา..มี..วะ..เว..ลา..อยู่..ด้วย..กัน..แค่..ทะ..เทอม..นี้.. ผม..ก็..เลย..คิด..ว่า.. ผม..ควร..ต้อง..สะ..แสดง..ความ..รู้..สึก..ของ..ตะ..ตัว..เอง..อย่าง..ตรง..ไป..ตะ..ตรง..มา..บ้าง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าปกติ อีกทั้งยังออกเสียงได้กระท่อนกระแท่นกว่าทุกครั้ง เพราะใบหน้าของผมกำลังร้อนเห่อ และริมฝีปากมันก็ยังรู้สึกชาๆ ขณะที่หัวใจมันก็เต้นรัวในระดับที่มีแต่จะมากขึ้น จนผมอดจะนึกสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ ผมจะกลายเป็นโรคหัวใจไปเลยหรือเปล่า ก็เล่นเต้นจนผิดจังหวะขนาดนี้

“มึงพลาดมากนะ ที่พูดออกมาแบบนี้” ผมเหลือบมองพี่เนย์ด้วยความไม่เข้าใจ ว่าผมไปพลาดที่ตรงไหน ซึ่งกว่าจะรู้ตัว แผ่นหลังของผมก็จมลงกับฝูกที่นอน ขณะที่ริมฝีปากของผมก็ถูกจับจองเป็นเจ้าของอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้คนที่ทาบทับอยู่บนร่างของผม เขาก็มอบบทจูบที่ลึกล้ำขึ้น โดยการบดคลึงกลีบปากทั้งบนและล่าง ก่อนจะลากไล้เรียวลิ้นไปจนถ้วนทั่วอย่างเชื่องช้า จากนั้นถึงค่อยหันมากวาดต้อนปลายลิ้นของผมราวกับท่าทีของ ‘แมวที่กำลังไล่จับหนู’ พร้อมกับเกี่ยวกระหวัดรัดแน่นจนเหยื่อไม่สามารถหนีรอดไปได้ ผมจึงต้องเอื้อมมือไปรั้งลาดไหล่ของอีกฝ่ายไว้ ขณะที่ดวงตาก็หลับสนิท เพราะผมไม่มีความกล้าพอที่จะมองใบหน้าของพี่เขาได้
ในเมื่อครั้งนี้ มันก็ไม่ต่างจากการที่ผมเป็นฝ่ายเชิญชวน

“อ๊ะ” ผมสะดุ้งจนสุดแรง พลางลูบต้นคอด้วยความตกใจ หลังจากที่สภาพจิตใจมันได้กลายร่างเป็นก้อนปุยนุ่นอันไร้น้ำหนัก ที่กำลังลอยคว้างอยู่ในอากาศอย่างไร้ทิศทาง แต่แล้วลมกรรโชกแรงก็พัดเข้ามาฮวบใหญ่ ปุยนุ่นก้อนที่ว่าจึงร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน ณ จุดๆเดิม สติสัมปชัญญะของผม ถึงรับรู้ได้ต่อการกระทำอันอุกอาจของรุ่นพี่ตรงหน้า ที่จู่ๆก็มาแสดงความเป็นเจ้าของ
โดยการ ‘ตีตราจอง’ หรือที่คนทั่วไปชอบเรียกกันจนติดปากว่า ‘คิสมาร์ก’

“…” ผมมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเหวอๆ เพราะกำลังตกใจ และไม่คิดว่าพี่เขาจะชอบทำอะไรแบบนี้ด้วย
“พอแค่นี้แหละ เดี๋ยวกูหยุดตัวเองไม่ได้ เพราะกูชอบมึงมาก กูถึงไม่อยากรีบร้อนเหมือนที่ผ่านๆมา” ใบหน้าของคนที่กระทำการอุกอาจเมื่อครู่ กำลังแดงเป็นเปื้อน คล้ายกับเจ้าตัวกำลังขัดเขิน จนไม่สามารถมองตรงมาที่ผมได้ ทั้งๆที่เรายังคงอยู่ใกล้กันมาก อีกทั้งพี่เขาก็ยังใช้วงแขนในการจำกัดอิสรภาพของผมอยู่

“กูจะไปอาบน้ำแล้ว” พี่เนย์หันหน้ามามองผม ที่อยู่ใต้วงแขนของเจ้าตัวอีกครั้ง จากนั้นริมฝีปากที่เคยจูบผม ก็เอื้อนเอ่ยเอาตัวรอด พลางขยับตัวให้ออกห่างจากกัน แต่มือใหญ่ก็ยังไม่วายจะเอื้อมมายีหัวผมอีก
ขณะที่ผม ก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของร่างสูง ที่ค่อยๆหายลับเข้าไปในห้องน้ำจนสุดสายตา..
เพราะรอบนี้มันไม่ใช่แค่การ ‘ทาลิปมัน’ ยี่ห้อเดียวกันแล้ว แต่นี่พี่เขาเล่น ‘แทะ’ กันแบบนี้ แล้วผมจะกล้ามองหน้าอีกฝ่ายโดยไม่คิดลึกได้ยังไง?

-----------------------------------------------------------------

สำหรับตอนนี้น้องรันก็น่ารักเพราะภาษามืออีกแล้ว ลองนึกภาพตามตอนที่น้องบอกว่าอิ่มสิคะ เอ็นดูวววว
ส่วนพี่เนย์ก็แบบ นี่แหละ อาการไสๆ ของคนไม่เนียน จีบไม่เป็น ตามที่พี่เขาว่ามาตั้งแต่ต้นเรื่อง 5555
ตอนนี้ก็แอบแฝงความรู้เรื่องภาษามืออีกนิดเนอะ หลายคนจะได้เข้าใจความงงงวยของน้องรัน ว่ามันเข้าใจยากแค่ไหน
กับการที่จะต้องใช้ภาษามือ ทั้งๆที่กำลังฝึกพูดไปด้วย แล้วก็ถ้าใครเจอคำผิด รบกวนเมนต์บอกเราทีนะคะ จะได้มาตามแก้
เพิ่มเติมอีกนิด พี่เนย์เรียนจิตวิทยา สาขาคลินิกนะคะ ดังนั้นจบออกมาจะเป็นนักจิตบำบัด ไม่ใช่จิตแพทย์ ซึ่งนักจิตบำบัดจะทำงานโดยการพูดคุยกับผู้ป่วย หรือให้ผู้ป่วยทำแบบทดสอบ แต่จิตแพทย์ จะเน้นที่การใช้ยารักษาเป็นหลัก และจิตแพทย์จะต้องเรียนแพทย์ และต่อเฉพาะทางจิตเวชด้วย แต่พี่เนย์เป็นแค่นักจิตบำบัด

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มากับความรู้เสมอ  o13

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
แค่ " แทะ " ยังหน้าแดง ถ้าได้กินพี่เนย์จะเป็นยังไงหนอ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 4

ตามที่เคยตกลงกันไว้ หากวันไหนเป็นวันหยุด ผมจะกลับไปนอนค้างที่หอในกับเพื่อน ซึ่งวันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ผมไม่รู้สึกประดักประเดิดต่อเรื่องเมื่อวาน เพราะเช้าวันนี้ พี่อาคเนย์เขามีเรียนตั้งแต่แปดโมง เห็นทิ้งข้อความเอาไว้ว่า อาจารย์มีนัดสอนเพิ่ม โดยที่เจ้าตัวก็ลืมบอกผมไปเสียสนิทใจ จึงทำให้เราไม่ได้เจอหน้ากัน
ซึ่งผมก็คิดว่ามัน เป็นเรื่องที่ดีแล้ว

เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่เราต่างนอนหันหลังให้กัน เหตุเพราะความเก้อเขิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเราจะหลับสนิท ด้วยต่างคนต่างก็พลิกตัวไปมา จนกระทั่งบังเอิญหันหน้าเข้าหากัน เราจึงแกล้งทำเป็นหลับตา เพื่อให้ดูสมจริงว่า ที่เอาแต่พลิกตัวไปมาอยู่นั้น สาเหตุของมัน ก็มาจากการนอนที่ไม่สบายตัว หาใช่การนอนไม่หลับ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้
“จะ..แดก..อะไร..มั้ย” ผมโทรหาไอ้คิน เพราะไอ้นี่มันตื่นเช้าที่สุด

“โจ๊กได้ป่ะ กูอยาก”
“ได้..แล้ว..ไอ้..หมอก..ล่ะ” ผมถามถึงเพื่อนอีกคน จะได้ซื้อเข้ามาให้ทีเดียว

“แดกเหมือนกันน่ะแหละ มึงเองก็มากินพร้อมกันดิ พี่เนย์มีเรียนวันนี้ไม่ใช่เหรอ”
“เออ..แล้ว..เจอ..กัน” ผมกดวางสาย จากนั้นก็ยืนมองความเรียบร้อยของตัวเองตรงหน้ากระจกอีกครั้ง โดยวันนี้ผมเลือกที่จะใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน เพื่ออำพลางร่องรอยไม่พึงประสงค์ให้ผู้อื่นพบเห็น ซึ่งมันก็น่าจะรอดจากสายตาเหยี่ยวข่าวผู้รอบรู้อย่างไอ้หมอกไอ้คินได้มาก อยู่ เพราะปกติแล้ว ผมจะชอบใส่เสื้อเชิ้ตคู่กับกางเกงขาสามส่วน พร้อมด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาวที่มันเริ่มจะมอซอ เพราะไม่ได้โอกาสซักสักที เนื่องจากผมเป็นพวกชอบใช้รองเท้าจนมันพังก่อน ถึงจะยอมซื้อคู่ใหม่ ก็เลยทำให้มีรองเท้าไม่เยอะ

ผมกำลังจะเดินออกจากห้อง หลังจากตรวจตราดูความเรียบร้อยจนมั่นใจแล้ว แต่ที่ต้องหยุดชะงักการกระทำนั้นลง ก็เพราะเจ้าเขี้ยวกุดกำลังออกมาวิ่งไล่จับจิ้งหรีด ที่พี่เนย์หย่อนไว้เป็นอาหาร ผมเลยถือโอกาสเปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดอีกสักครั้ง เพราะพี่เนย์เคยบอกว่าวันหยุดก่อนที่ผมจะกลับหอ ถ้าเป็นไปได้ ให้เปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดอีกสักรอบ ส่วนช่วงอื่นๆ พี่เขาจะรับหน้าที่ดูแลเองทั้งหมด
“นี่..แก..น่า..รัก..ตั้ง..แต่..เมื่อ..ไหร่..นะ..เจ้า..เขี้ยว..กุด” ผมโน้มตัวลงดูเจ้าเขี้ยวกุดที่กำลังล่าเหยื่อ โดยที่จิ้งหรีดตัวเล็กก็พยายามจะดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ดูเหมือนการปีนขึ้นไปยืนอยู่บนปลายจมูกของเจ้าเขี้ยวกุด จะกลายเป็นความคิดที่ผิดมหันต์

แชะ!

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา พลางกดถ่ายรูปเจ้าเขี้ยวกุดกำลังพยายามจะขย้ำเหยื่อ แต่จนแล้วจนเล่ามันก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะจิ้งหรีดตัวนั้นเหมือนจะรู้เท่าทันชะตากรรมของตัวเองดี มันจึงปีนป่ายไปยังส่วนหัวของเจ้าเขี้ยวกุดอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่ผมถ่ายรูปตอนที่เจ้าเขี้ยวกุดถูกจิ้งหรีดเหยียบจมูกได้ ไม่งั้นคงเสียดายแย่ เพราะมันเป็นภาพที่น่ารักและน่าตลกดี ซึ่งผมก็ทึกทักเอาเองว่าพี่เนย์น่าจะชอบ ผมจึงส่งรูปนั้นให้อีกฝ่าย ผ่านทางแอพพลิเคชั่นสำหรับการแชท
พร้อมแนบข้อความสั้นๆว่า ‘พี่น่าจะชอบรูปนี้นะครับ’

เช้าวันนี้หยาดฝนโปรยปรายเล็กน้อย ผมเลยเดินกลับขึ้นไปบนห้อง เพื่อไปเอาเสื้อแขนยาวแบบมีฮู้ดมาใส่ ละอองฝนจะได้ไม่ทำให้ผมป่วย ซึ่งครั้งนี้ผมตัดสินใจเสียบหูฟังและเปิดเพลงจังหวะเบาๆ เย็นๆ ที่เหมาะกับยามเช้าในวันที่ฝนตก
และบทเพลงเหล่านั้น ก็คงจะหนีไม่พ้น เพลงที่พี่อาคเนย์เขาชอบหยิบยกมันขึ้นมาใช้แทนความรู้สึก

กระทั่งได้ทุกอย่างตามที่ต้องการภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากผมเอาแต่เดินทอดอารมณ์ตั้งแต่ออกจากห้อง จนไปถึงร้านโจ๊กที่พี่เนย์เคยพาไป จากนั้นผมก็เดินเอื่อยเฉื่อยมาขึ้นสะพานลอยที่ในช่วงสายไม่ค่อยอันตรายสักเท่าไหร่ จนเมื่อเข้ามาในเขตรั้วมหาวิทยาลัย ผมก็เริ่มก้าวเดินไปตามเส้นขอบสีขาวริมถนน พร้อมกับจินตนาการว่า พื้นที่นอกเหนือจากเส้นสีขาว คือน้ำทะเลที่ข้างล่างชุกชุมไปด้วยฉลาม แบบที่ชอบทำเป็นประจำ เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองตามลำพัง

“อ้าว” ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อตัวเองเผลอไปชนกับใครสักคนเข้า
“จะ..ไป..ไหน..เหรอ..ครับ?” ผมเอาหูฟังออกข้างหนึ่ง พร้อมกับดึงฮู้ดลง พลางถามอีกฝ่ายที่ถูกผมชน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพี่อาคเนย์ คนที่มีนิสัยชอบจินตนาการเป็นเด็กๆ เหมือนกับผม

“โรงอาหาร อาจารย์ให้ทำงานกลุ่ม แต่เมื่อเช้ากูไม่ได้กินข้าวไง เลยขอแว๊บมาหาอะไรกิน พอดีเพื่อนอนุญาตด้วยแหละ ไม่งั้นวันนี้แม่งต้องเป็นวันเหี้ยๆของกูแน่” อีกฝ่ายว่า พลางหลบทางให้ผมได้ก้าวเดินต่อไปบนแนวเส้นสีขาว ขณะที่รุ่นพี่ผู้ไม่ได้กินข้าวเช้า ก็เดินทอดน่องอยู่ข้างๆ ผมจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับคำบอกเล่าของเจ้าตัว เพราะว่าผมเองก็เข้าใจดี ว่าคนเคยกินข้าวเช้าทุกวัน อยู่มาวันนึงเกิดไม่ได้กินข้าวขึ้นมา ท้องคงร้องโครกครากจนไม่มีสมาธิแน่ๆ แถมยังพาลจะหงุดหงิดไปทั้งวันด้วย
“มอง..อะไร..ครับ” ผมใช้ภาษามือถาม พลางฝึกพูดไปด้วย เมื่อแอบเห็นว่าอีกฝ่ายเขาพยายามจะเหลือบมองมาที่ผมอยู่บ่อยครั้ง

“กูแค่จะสำรวจว่ามึงแต่งตัวเรียบร้อยดีมั้ย กูไม่อยากให้ใครเห็น” พี่เขาพูดพลางมองออกไปยังถนนอีกฟาก ซึ่งประโยคเมื่อครู่ มันก็ทำเอาผมหน้าร้อนผ่าว เพราะถึงแม้ว่าประโยคเรียบๆนั่น จะฟังดูไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้ว มันมีเต็มๆ เพราะ ‘ร่องรอย’ ที่เกิดขึ้นจากเมื่อค่ำคืนวาน มันคือสิ่งที่ทำให้พี่เขา เริ่มต้นสำรวจการแต่งตัวของผม พร้อมกับออกปากว่าไม่อยากให้ใครเห็น
“…” ผมกระชับคอเสื้อให้แนบชิดลำคอมากขึ้น เมื่อความรู้สึกประหม่ามันเริ่มหวนกลับมา

“กูไม่อยากให้ใครมองมึงไม่ดี แต่ก็นั่นแหละ กูห้ามตัวเองไม่ได้ไง” ตัวต้นเหตุพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“…” ผมเสสายตามองไปทางต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ข้างทาง พลางนึกโทษระยะทางที่วันนี้มันยาวไกลกว่าปกติ

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้” พี่เขาโยกหัวผม พลางวิ่งเหยาะๆไปยังโรงอาหารกลาง เพื่อหาอะไรใส่ท้อง ขณะที่ผมก็ได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ที่ค่อยๆหายลับไปจากประตูทางเข้าโรงอาหารกลาง
บ้าชะมัด! จู่ๆก็โผล่หน้ามาทำให้ผมคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืนจนได้
 
หลังจากกินโจ๊กเรียบร้อยแล้ว โดยที่ตัวเองไม่ต้องเป็นฝ่ายล้างจาน ผมก็รีบปีนขึ้นมานอนเก็บตัวบนชั้นสอง เพื่อป้องการสายตาของเหยี่ยวข่าวอันไม่พึงประสงค์ จากนั้นผมก็อาศัยโอกาสนี้ เสิร์จหาบทความที่ตัวเองชอบ เพื่อลองฝึกอ่านอีกครั้ง

“นัก..บวช..ใน..สมัย..อี..ยิปต์..โบ..ราณ” ผมนอนตะแคงข้าง ขณะที่วางโทรศัพท์พิงกับหมอนข้าง เพื่อที่จะได้ไม่เมื่อยเวลาที่ต้องฝึกอ่านเป็นระยะเวลานาน
“นัก..บวช..จะ..สืบ..เชื้อ..สาย..มา..จาก..ครอบ..ครัว..ที่..ทำ..งาน..อยู่..ใน..วิหาร”

“ไอ้เชี่ยคิน มึงนี่ไอเดียดี แต่กูจะบอกให้นะครับ ว่ามึงใช้ภาษามือมั่วกว่าไอ้รันอีก ประโยคเมื่อกี้ที่ไอ้รันมันอ่าน ในภาษามือมันต้องเรียงแบบนี้เว้ย มึงอย่าคิดถึงไวยากรณ์ภาษาไทยดิวะ” ผมที่กำลังจะอ้าปากอ่านข้อความในประโยคต่อไป ก็มีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อเสียงโต้เถียงกันในเชิงวิชาการของเพื่อน กลับดังขึ้นขัดจังหวะ ผมจึงชะโงกหน้าลงไปดู เลยเห็นว่าไอ้หมอก ไอ้คิน มันกำลังนั่งฝึกภาษามือจากเรื่องที่ผมอ่าน ซึ่งก็ตรงตามหัวเรื่องที่พวกเราเรียนอยู่ และอีกไม่นานก็จะถึงช่วงสอบนอกตารางเกี่ยวกับการเล่าข่าวแล้ว
“ก็สมองกูยังแยกไม่ได้นี่หว่า เออ.. ว่าแต่จะสอบอยู่แล้ว กูยังไม่ได้เลือกข่าวที่จะเล่าเลยว่ะ ไหนจะงานสาขาอีก ที่พี่ทีมบอกให้สายรหัสเลือกทำคลิปภาษามือจากรายการโทรทัศน์ ข่าวสาร หนังสั้น หรือนิทาน อะไรก็ได้น่ะ แต่สายกูแม่งยังเงียบกริบอยู่เลยจ้า ชิวมากเว่อร์ ไม่ใช่มาเร่งตอนกูจะสอบภาษามือนะมึง”

“สายกูก็ยังกริบเหมือนกัน เป็นตัวตั้งตัวตีด้วยนะมึงสายกูเนี่ย แต่เห็นพี่ทีมบอกว่าจะให้น้องปีหนึ่งเป็นคนเล่าเรื่อง แล้วพวกเราก็คอยช่วยเรื่องภาษามือไม่ใช่เหรอวะ คนที่รับบทหนักคือโน่นครับ น้องปีหนึ่ง
“แคม..เปญ..นี้..จะ..เริ่ม..ทำ..กัน..เมื่อ..ไหร่” ผมที่กำลังโน้มตัวข้ามราวกั้นก็รีบถามไอ้สองเพื่อนซี้ที่นั่งอยู่ข้างล่าง

“เออ กูลืมบอกมึงไปเลยว่ะ พี่ทีมบอกว่าจะเริ่มหลังจากสอบมิดเทอมยาวไปจนถึงโอเพ่นเฮ้าส์ของปีนี้เลย แล้วจากนั้นก็จะเอาคลิปโปรเจคของปีนี้ ไปใส่ในแอพพลิเคชั่นที่คณะของเราร่วมทำกับคณะไอทีเหมือนเดิม เพราะในแอพนั้นมันมีแต่เล่านิทานให้คนตาบอดฟัง โปรเจคที่เอื้อต่อคนหูหนวกเลยเกิดขึ้นในปีนี้แหละ”
“มึงพี่โตสุดของสาย กูว่ามึงใช้อภิสิทธิ์ในการตัดสินใจ เลือกทำโปรเจคเป็นข่าวเดียวกับที่จะสอบนอกตารางไปเลยเว้ย กูว่าทุ่นแรงมึงได้เยอะเลย” ไอ้คินมันแนะนำพลางใช้ภาษามือ

“แต่..มัน..จะ..ยาก..สำ..หรับ..น้อง..เกิน..ไป..น่ะ..สิ.. กู..คง..ให้..น้อง..เล่า..นิ..ทาน” ผมตอบพวกมันแค่นั้น ก่อนจะกลิ้งตัวลงนอนตามเดิม จากนั้นก็เริ่มค้นหาข่าวและนิทานสักเรื่อง เพื่อเตรียมตัวสำหรับเอาไปใช้ในการสอบนอกตาราง และโปรเจคของสาขาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อที่ผมจะได้มีเวลาในการสอนภาษามือให้กับโบว์และปาล์มมากขึ้น เพราะขนาดตัวผมเองตอนปีหนึ่ง ยังต้องใช้เวลาตั้งนานกว่าจะคล่องคาราโอเกะภาษามือสักเพลง แล้วนี่ดันข้ามขั้นมาเล่านิทานเลยนะ สำหรับน้องใหม่ก็ต้องรู้สึกว่ายากอยู่แล้ว ในเมื่อปีหนึ่งจะเรียนภาษามือเป็นคำๆ ส่วนปีสองนี่ปกติจะมีการสอบย่อยเกี่ยวกับการเล่านิทานสั้นๆอยู่บ่อยๆ ซึ่งตามธรรมเนียมแล้ว มันก็ต้องมีการฝึกฝนอย่างหนักถูกไหมล่ะ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ทำการสอบได้ดี แต่เวลาคุยกันตามปกติ ก็ยังมีความสับสนกันต่อไป
ดังนั้นแคมเปญนี้จึงไม่ถือว่ายากมากนัก เรียกได้ว่าพี่ทีมเมตตาพวกเรามากแล้วที่ให้ทำงานกันเป็นกลุ่ม

‘โบว์ ปาล์ม พี่เลือกนิทานที่จะใช้ทำโปรเจคได้แล้วนะ ถ้าว่างเมื่อไหร่เรานัดเจอกันเลยก็ได้นะ เพราะว่าเดี๋ยวพี่จะมีสอบนอกตารางอีก ปีเราก็มีสอบนอกตารางเหมือนกันหนิ พี่ว่าถ้าเราทำโปรเจคกันตั้งแต่อาทิตย์นี้ เราจะได้มีเวลาเตรียมตัวสอบภาษามือด้วย’ ผมไลน์ไปบอกน้องๆ เพื่อให้ทั้งสองคนเตรียมตัว เพราะผมไม่แน่ใจว่าน้องๆพอจะทราบข่าวนี้กันแล้วหรือยัง
‘นิทานเรื่องอะไรคะพี่รัน’

‘นกเค้าแมวผู้รอบรู้’ ผมบอกชื่อและแนบลิงค์ลงในกรุ๊ปแชทของสายรหัสทันที
‘วันพฤหัสนี้พวกหนูไม่มีเรียนค่ะ พี่รันว่างไหมคะ เราจะได้นัดเจอกันที่คาเฟ่แถวมหาลัยหรือนอกมหาลัยก็ได้ค่ะ’ โบว์ตอบอย่างกระตือรือร้น ซึ่งผมก็เบาใจไปเปราะนึง จะเหลือก็แต่ปาล์มที่ยังไม่ได้อ่านข้อความของผมนี่แหละ

‘พวกพี่มีเรียนน่ะสิ แต่แค่ครึ่งวัน ช่วงบ่ายเราค่อยไปหาที่นั่งคุยกันตามที่โบว์ว่าก็ได้ ยังไงพี่ฝากบอกปาล์มด้วยนะ เผื่อเขาไม่ค่อยได้เล่นไลน์น่ะ’ ผมตกลงกับโบว์เป็นที่เรียบร้อย เหลือก็แต่ปาล์มที่ยังคงเงียบกริบ
‘อ๋อ ได้ค่ะ พี่รันไม่ต้องห่วง เดี๋ยวหนูจะตามจิกปาล์มมาหาพี่เอง!’

‘หนูเพิ่งรู้ว่าพี่รันก็เป็นคนดังกับเขาด้วย! เมทหนูชอบพี่มากเลย กับพี่อีกคนนึงที่ชื่อ..’ ผมกำลังจะสลับโหมดมายังซาฟารี เพื่อที่จะได้ค้นหาข้อมูลสำหรับการสอบนอกตารางของตัวเองอยู่แล้ว แต่น้องโบว์กลับส่งข้อความมาอีกหนึ่งประโยคเสียก่อน
‘อาคเนย์ค่ะ หนูไปถามมันเมื่อกี้’ ผมอมยิ้ม เพราะเข้าใจดีว่าเมทของน้องโบว์ชื่นชอบผมเพราะอะไร
ก็เล่นมีชื่อพี่เนย์เอ่ยออกมาด้วยขนาดนี้

‘หนูเลยไปเจอคลิปที่พี่รันสอนภาษามือ โหแบบ คนคอมเมนต์เพียบเลย แชร์ก็เยอะด้วย’ โบว์ดูตื่นเต้นจริงๆ ที่รู้ว่าคนให้ความสนใจในตัวผมเยอะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ผมตัดสินใจพูดกับสามสาวจากคณะบัญชี เรื่องความกลัวของผม ก็ทำให้กลุ่มคนที่ชื่นชอบผมและพี่เนย์ต่างก็พากันเก็บตัวเงียบยิ่งกว่าเดิม
‘แต่พี่ไม่ชอบเลยนะ’

หนูก็ไม่ชอบ! พี่รันทำอะไรก็น่ารักจนหนูหวงเลย ถ้าจะมีแฟน ต้องผ่านด่านหนูก่อน เพราะหนูสถาปนาตัวเองเป็นน้องสาวของพี่แล้ว’ ผมขำกับคำพูดของน้องรหัส ที่ตอนกลับจากงานเลี้ยงสาย เจ้าตัวก็ได้สถาปนาตัวเองเป็นน้องสาวของผมอย่างแน่วแน่ ดูท่าคงจะอยากมีพี่ชายจริงๆ ขนาดปาล์มที่ว่านิ่งๆ ยังต้องหลุดหัวเราะกับคำพูดและท่าทางของเธอเลย
‘มาตรฐานเราสูงหรือเปล่า ถ้าใช่ พี่ก็คงต้องขึ้นคานแน่ๆ’ ผมพูดแกมหยอก เพราะดูท่าแล้ว โบว์คงจะไม่รู้ว่าเพื่อนเมทของเธอนั้น ที่บอกว่าชอบผมกับพี่เนย์น่ะ เป็นการชอบในลักษณะที่เฉพาะกลุ่มมากๆ
ซึ่งโบว์คงจะไม่ใช่ สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับสาวๆ คณะบัญชี ที่มักจะเรียกตัวเองว่า ‘สาววาย’ หรอก

‘ต้องสูงค่ะ แต่ว่าห้ามสูงเกินพี่รัน แล้วก็ต้องสวยด้วย ห้ามหยิ่งนะคะ เพราะหนูไม่ชอบผู้หญิงแบบนั้น’ ทันทีที่น้องรหัสตอบผมมาแบบนั้น ผมก็ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อ ‘แฟน’ ตัวจริงเสียงจริงของผม ไม่ได้สวย แล้วก็ยังสูงกว่าผมด้วย แถมยังไม่ใช่ผู้หญิงด้วย
มีอย่างเดียวที่น่าจะถูกสเปคคือ ‘ไม่หยิ่ง’
แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าถึงได้ง่ายๆ

‘แล้วถ้าเขาไม่ตรงสเปคเลยล่ะ น้องสาวพี่จะให้ผ่านไหม?’
‘อย่างนี้ก็ต้องดูกันที่นิสัยอื่นๆประกอบค่ะ หนูไปเรียนแล้วนะ หมดเวลาพักเบรกแล้ว’

Akane Akarawin added 1 new photo with Neran P.

พี่เนย์โพสต์รูปที่ผมส่งไปให้เมื่อเช้าลงในเฟซบุ๊ก ราวกับต้องการจะตอบคำถาม โดยที่ไม่ต้องใช้ข้อความในการสื่อสาร แต่แสดงให้เห็นกันแบบชัดๆไปเลยว่าชอบหรือไม่ชอบ
เพราะถ้าถึงขนาดเอารูปที่ผมถ่ายมาลงเฟซเนี่ย..
ก็แสดงว่าพ่อของเจ้าเขี้ยวกุดเขาชอบภาพนั้นอยู่นะ


----------------------------------------------
[edit 22/11/2017 คำผิด พักเบรค > พักเบรก / เมด > เมท (รูมเมท)]
ตอนแรกเราว่าจะเขียนตอนทำโปรเจคเลย แต่เราว่าควรต้องมีตอนนี้สักหน่อย จะได้เห็นสายสัมพันธ์ของสายรหัสรันบ้าง พี่เนย์ก็กลับมาเป็นตัวประกอบต่อไปนะ 5555

แล้วก็ตอนหน้า พูดได้เลยว่านานแน่ๆค่ะกว่าจะเขียนได้ เพราะเรายังงงกับภาษามือที่จะใช้สำหรับตอนหน้าอยู่เลย มันจะพีคขึ้นจากเดิม เพราะคือการเล่านิทาน ซึ่งเรากำลังงงในงงในงง T___T

แต่ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณ ผู้ให้ข้อมูลจริงๆค่ะ รบกวนหลายอย่างมากๆ จนเรารู้สึกเกรงใจจริงๆ ก่อนหน้าที่จะถามเรื่องเล่านิทาน เราคิดแล้วคิดอีก เปิดดูคลิปก็มีแต่ภาษามือ ไม่มีคำพูดประกอบเลย เราก็นั่งงง จนสุดท้ายต้องตัดสินใจรบกวนอีกรอบ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลยค่ะ แต่เราอยากเขียนให้สมจริงให้มากที่สุด T[]T

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 4
ไอคุปต์พันทาวน์. “นักบวชในอียิปต์และแถบเมโสโปเตเมีย”. (Detectiveoat13). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  iyakoop.pantown.com. [16 พ.ค. 2554].
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2017 21:55:54 โดย Chomin »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ashita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากเลยค่ะ นึกถึงละครช่วงหลายปีก่อนที่พี่จุ๋ย วรัทยาเล่นเลย แสดงเป็นคนที่ไม่ยอมพูดจนคนอื่นคิดว่าเป็นใบ้ และหูหนวก ในเรื่องใช้ภาษามือด้วย ตอนนั้นเพื่อนดูแล้วอินมาก จนไปหัดเรียนภาษามือ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อยากรู้จังว่าถ้าน้องโบว์รู้ว่าแฟนพี่รันคือพี่เนย์จะเป็นยังไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ +pEnGuIn+

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ดีใจที่น้องพูดได้แล้วเป็นคำๆ ถึงจะยังไม่คล่อง
แต่มันก็ดีมากเลย น่ารัก ละมุนมากค่าาาาา :katai2-1:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
น้องโบว์ต้องเซอร์ไพรส์แน่ๆ พี่เนย์น้องรันเค้าไม่ใช่แค่คู่จิ้น เค้าคู่เรียลนะเออ  :-[

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
พี่เนน้องรันน่ารัก

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 5


ก่อนหน้านี้ผมได้ไลน์ไปหาพี่ทีม เพื่อบอกหัวข้อเรื่องที่จะใช้ทำโปรเจค ซึ่งปรากฏว่า พวกเราได้คิวเกือบท้ายๆ เพราะว่ารุ่นพี่ปีสี่เขาได้มีการจับฉลากกันไปแล้ว ว่าใครจะได้คิวที่เท่าไหร่ ส่วนสายรหัสไหนที่มีแค่รุ่นพี่ปีสอง พี่ปีสี่เขาก็เสียสละให้เป็นคิวท้ายๆ เพื่อที่น้องๆ จะได้มีเวลาเตรียมตัวกันมากขึ้น
ก็เท่ากับว่ากลุ่มของผม มีเวลาเตรียมตัวจนเกือบจะถึงงานโอเพ่นเฮ้าส์
แต่ยังไง ผมก็คิดว่าหากเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นผลดีต่อเรามากกว่า..

“มึง..อา..จารย์..งด..เรียน” ผมจัดการโทรหาเพื่อนสนิท เพื่อบอกข่าวการงดเรียนวิชาจิตวิทยาสำหรับคนหูหนวกในวันนี้ ซึ่งมันคงจะเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอน แต่สำหรับผมที่อาบน้ำแต่งตัว กินข้าวจนเสร็จตั้งแต่เช้าตรู่ เหตุเพราะวันนี้ พี่เนย์จะไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยอื่น พร้อมกับพวกพี่เอ้และเพื่อนคนอื่นๆในสาขา ก็เลยต้องเข้ามารับเพื่อนที่พักอยู่ที่หอใน ผมจึงถือโอกาสติดรถมาด้วย
แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอแจ็กพอตอะไรแบบนี้

“แล้วเพื่อนคนอื่นรู้กันยัง?” ไอ้คินถามกลับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย เพราะเวลานี้มันเพิ่งจะเจ็ดโมงสี่สิบห้าเท่านั้น
“น่า..จะ..ยัง”

“เออๆ งั้นเดี๋ยวกูโทรบอกให้” ไอ้คินวางสายไปแล้ว ส่วนผมก็ตัดสินใจเดินลงบันไดทีละขั้น พลางคิดลำดับกิจกรรมที่ควรจะทำในวันว่างๆอย่างนี้ กระทั่งเดินออกจากอาคารเรียนมาจนถึงห้องสมุดโดยไม่รู้ตัว ผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งเล่นในนั้น และก็รอจนกว่าเวลาจะล่วงเลยมาถึงตอนเก้าโมง ผมถึงค่อยส่งข้อความไปบอกน้องๆ ว่าเช้าวันนี้ผมว่าง

‘เช้าวันนี้พี่ว่างนะ พอดีอาจารย์งดสอน ถ้าจะนัดเจอกันตอนนี้ก็ได้ หรือว่าจะเจอกันตอนบ่ายก็แล้วแต่เลย’ เมื่อช่วงเวลาที่หมายตาเดินทางมาถึง ผมก็พักการอ่านหนังสือเอาไว้ก่อน เพื่อที่จะได้ส่งไลน์บอกน้องๆ
แต่ดูเหมือนว่า เวลาเช้าๆอย่างนี้ น้องๆอาจจะยังไม่ตื่น หรือไม่ก็อาจจะยังซักผ้า ตากผ้าอยู่ก็ได้

จะว่าไปพอนึกถึงเรื่องงานบ้านงานเรือนแบบนี้ขึ้นมา ผมก็อดคิดถึงเรื่องๆหนึ่งไม่ได้ คือทุกช่วงวันหยุดที่ผมต้องกลับไปค้างที่หอในตั้งแต่สมัยปีหนึ่งเทอมสอง พี่เนย์จะชอบแอบมาซักผ้าให้ผมประจำเลย ผมเคยบอกตั้งหลายทีแล้วว่าไม่ต้อง แต่คนขยันก็ทำเพียงแค่รับปากไปงั้นๆ แล้วพอวันหยุดเวียนมาอีกครั้ง เสื้อผ้าที่ใส่แล้วของผม ก็มักจะถูกซักจนสะอาด พร้อมกับพับเก็บไว้ในตู้อย่างดี
จนตอนนี้ผมก็คร้านที่จะพูด
เพราะเมื่อพูดไปแล้ว พี่เนย์ก็ไม่ยอมฟังที่ผมพูดเลย

หากถามว่าประทับใจมั้ย ก็ตอบได้เลยว่าผมประทับใจมาก ที่พี่เนย์มาทำอะไรแบบนี้ให้ คือพูดตรงๆเลยว่า อยู่กับพี่เนย์ ผมสบายจริงๆ แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะล้างห้องน้ำ ล้างจาน ซักผ้า ตากผ้า เพราะพี่เนย์เขาทำของเขาเองหมด แล้วก็ไม่เคยจะบ่นด้วย
เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียวที่บ่นเยอะหน่อย ก็คือช่วงที่ผมแอบไปฝึกบริหารปากแล้วอีกฝ่ายไม่เห็น จนเข้าใจผิดไปนั่นแหละ

ติ้ง!

‘ผมโอเคนะพี่รัน ยังไงวันนี้ก็ว่างทั้งวันอยู่แล้ว’
‘ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอโบว์ให้คำตอบก่อน ไม่รู้ว่าติดธุระอะไรหรือเปล่าถึงยังไม่อ่านไลน์ จะโทรไปหาพี่ก็ไม่มีเบอร์ แล้วก็เกรงใจด้วย’

‘เดี๋ยวผมโทรตามให้’ ปาล์มบอกแค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็หายเงียบไป ผมจึงกลับมาอ่านหนังสือฆ่าเวลาอีกครั้ง

ติ้ง!

‘หนูตากผ้าเสร็จแล้ว ขออาบน้ำแป๊บเดียวค่ะ พี่รันเราจะนัดเจอกันที่ไหนดีคะ?’ เมื่อน้องโบว์ก็ส่งข้อความแสดงการมีตัวตนกลับมา ผมจึงอ่านข้อความนั้นผ่านทางโนติตรงหน้าจอโทรศัพท์
‘ตอนนี้พี่อยู่ห้องสมุด นัดเจอกันที่โรงอาหารกลางมั้ย?’ ผมสไลด์หน้าจอโทรศัพท์เพื่อเข้าไปตอบข้อความ

‘งั้นพี่รันรออยู่หน้าหอสมุดเลยนะคะ เดี๋ยวหนูกับปาล์มไปหาเอง สักประมาณสิบโมงครึ่งเนอะ’
‘โอเคครับ’

หลังจากตกลงกับน้องรหัสเรียบร้อยแล้ว ผมก็เหลือบตามองเวลา ก็พบว่าตอนนี้มันใกล้จะสิบโมงแล้ว ผมจึงนั่งอ่านหนังสือสลับกับดูเวลาผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ จนกระทั่งน้องโบว์ไลน์มาบอกว่าตอนนี้กำลังรออยู่ที่หน้าห้องสมุด ซึ่งทั้งสองคนมารับผมก่อนเวลานัดหมายเกือบๆ จะสิบนาที
เป็นแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าเด็กๆ เขาหายไปอาบน้ำหรือว่าวิ่งผ่านน้ำกันแน่

“ทำ..ไม..มา..กัน..เร็ว..จัง.. อาบ..น้ำ..จริง..หรือ..เปล่า..เนี่ย” ทันทีที่ขึ้นมานั่งตรงเบาะหลัง ผมก็รีบเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“ก็หนูกลัวพี่รันรอนานนี่คะ ก็เลยรีบสุดชีวิต.. นี่.. หนูรีบจนไม่ทันได้แต่งหน้าด้วย” ผมขำน้องโบว์ที่หันมาโชว์หน้าสดให้ดู ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่ค่อยออกจากบ้านในขณะที่ยังไม่ได้แต่งหน้า หรือไม่ก็มีอีกกรณีนึง คือแฟนไม่ชอบให้แต่งหน้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฝ่ายหญิงก็ต้องหน้าเป๊ะในระดับนึง

“พี่รันเมื่อกี้ปาล์มมันล้อหนูด้วย นิสัยไม่ดีเนอะ” โบว์ว่าพลางหันไปเหน็บแนมสารถีที่ยังคงชอบอยู่ในความเงียบงันเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน
“ก็โบว์เร่งคนอื่น แต่ตัวเองดันชักช้าทำไมล่ะ?” ปาล์มเริ่มต่อล้อต่อเถียงขึ้น จนผมยังนึกแปลกใจ

“ก็แล้วยังไงล่ะ ทางนี้ก็รีบสุดๆแล้ว! อ้อ ที่หน้าเรามันตลก ก็เพราะเราไม่ทันได้แต่งหน้าไง ใครผิด ปาล์มนั่นแหละ รู้มั้ยว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติสำหรับผู้หญิงแค่ไหน?” โบว์ยังคงเถียงคอเป็นเอ็นใส่ปาล์มที่เป็นน้องรหัสอีกคนของผม
“…” ปาล์มไม่ตอบแต่ท่าทางจะแอบแสดงปฏิกิริยาอะไรสักอย่าง โบว์ถึงได้บ่นงุ้งงิ้งอยู่คนเดียว ขณะที่เจ้าตัวก็แต่งหน้าให้ตัวเองไปด้วย ส่วนผมที่รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นส่วนเกิน ก็ได้แต่แอบอมยิ้ม เพราะดูเหมือนน้องรหัสทั้งสองของผมจะสนิทสนมกันดี แถมยังมีแนวโน้มจะแอบชอบกันด้วยหรือเปล่า อันนี้ผมยังไม่แน่ใจ แต่ผมก็คิดว่าน่าจะใช่

“เห้อ~ ขี้เกียจพูดละ พี่รันคะ เดี๋ยวเราไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟนอกมหาลัยกันนะ ร้านนี้บรรยากาศดีมากเลยค่ะ แล้วก็เงียบสงบดีด้วย” พอโบว์เถียงกับสารถี จนอีกฝ่ายพ่ายแพ้ไปแล้ว น้องก็หันมาบอกข้อมูลของร้านที่เจ้าตัวหมายตาไว้
“อื้อ” ผมจึงส่งเสียงตอบกลับไปในลำคอ เพราะผมไม่ได้หมายตาร้านไหนเป็นพิเศษอยู่แล้ว จากนั้นผมก็นั่งเอนตัวลงแนบกับประตูด้านข้าง เพื่อมองบรรยากาศด้านนอกตัวรถ
จนกระทั่งผมตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงันไปตลอดทาง

คาเฟ่ที่โบว์เลือก บรรยากาศของร้านจะออกแนวสวนสไตล์อังกฤษ ซึ่งวินาทีแรกที่เข้ามาในร้าน ก็สามารถรับรู้ได้ถึงบรรยากาศร่มรื่นแบบเต็มๆ เพราะตั้งแต่พวกเราเดินผ่านรั้วเหล็กเข้ามา ก็จะมีต้นไม้หลากหลายชนิด มาคอยต้อนรับการมาเยือนของพวกเราอย่างแน่นขนัด จนเต็มทั้งสองข้างทาง และเมื่อเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะพบกับรูปปั้นประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ และสิ่งของสำหรับประดับตกแต่งอื่นๆ อีกมากมาย ที่มองดูแล้วก็แลเข้ากันได้ดีกับสวนสไตล์นี้
หลังจากเดินชมร้านจนเกือบจะครบทุกซอกทุกมุมแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจเลือกที่นั่งในห้องแอร์ ที่เป็นบ้านกระจกหลังเล็กๆ แซมเนื้อไม้สีขาวสะอาดตา ที่สามารถมองเห็นบรรยากาศด้านนอกจนเกือบจะรอบทิศทาง อีกทั้งวันนี้อากาศก็ยังร้อนตามปกติของประเทศไทย และเราก็มีจุดประสงค์ที่จะต้องใช้พื้นที่ของร้านเป็นเวลานานด้วย
ห้องแอร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเราในเวลานี้

“เราจะทานของหนักกันเลย หรือว่าจะเป็นของหวานเบาๆก่อนดีคะ” โบว์หันมาถามความเห็นจากผม เมื่ออีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าก็จะเที่ยงตรงแล้ว
“พี่..แล้ว..แต่..โบว์..เลย” ผมตอบ พลางเปิดเมนูที่พนักงานเอามาให้ ไปที่หน้าเมนูเครื่องดื่ม จากนั้นก็ไล่สายตามองหาบลูเลม่อนที่ผมโปรดปราน แต่แล้วผมกับพบเมนูใหม่ที่น่าสนใจ

“ลา..เวน..เดอร์..เลม่อน..โซดา” ผมหันไปสั่งกับพนักงานที่มารอรับออร์เดอร์ โดยพยายามจะรวบคำให้กระชับอย่างยากลำบาก ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร นอกจากยกยิ้มให้และก้มหน้าก้มตาจดออร์เดอร์
“โรสโซดาค่ะ” โบว์ก้มหน้าดูเมนูอยู่ครู่ใหญ่ ไม่นานน้องก็เงยหน้าขึ้นมาสั่งเครื่องดื่ม พลางยกยิ้มให้กับพนักงาน จากนั้นน้องก็พลิกเมนูไปยังหน้าเมนูของหวาน
“ผมเอาบลูเลม่อนโซดาครับ” ฝ่ายคนพูดน้อยที่สุดของกลุ่ม ก็ได้ฤกษ์สั่งเครื่องดื่มอย่างคนอื่นเขาบ้าง แต่เมนูที่เจ้าตัวสั่ง ดันทำเอาผมต้องรีบหันไปจ้องหน้า
ก็เพราะว่า มันเป็นเมนูเดียวที่ผมชอบ แล้วก็ชอบมากๆด้วย

“เอาฮันนี่โทสต์มั้ยคะ หนูกลัวจะไม่ชอบเค้กกันน่ะค่ะ” น้องโบว์เงยหน้าขึ้นมาถามความเห็นพลางยิ้มแหยๆ บ่งบอกให้รู้ว่าใจจริงแล้ว เจ้าตัวคงจะอยากสั่งเค้กมาก แต่เพราะวันนี้เธอมากับผู้ชายถึงสองคน เธอก็เลยไม่กล้าจะสั่งของหวานที่มีแนวโน้มว่าผมหรือปาล์มอาจจะไม่ชอบ ซึ่งผมก็ไม่ชอบแหละ แต่ก็กินได้

“แล้วแต่โบว์เลย”
“ฮันนี่โทสต์นั่นแหละ” ผมพูดยังไม่ทันขาดคำ ปาล์มก็แสดงความคิดเห็นต่อทันที นั่นจึงเป็นการตัดสินอันเด็ดขาด
สุดท้ายแล้วของหวานสำหรับเราในวันนี้ก็คือ ‘ฮันนี่โทสต์’

“ปะ..ปาล์ม..ชอบ..บลู..เล..ม่อน..เหมือน..กัน..เหรอ?” พอได้โอกาส ผมก็รีบหาเรื่องคุยกับน้องรหัสแสนจะพูดน้อยทันที
“ครับ” รุ่นน้องตรงหน้าตอบเพียงสั้นๆ จากนั้นก็ยกยิ้มนิดๆ แตกต่างจากตอนที่คุยกับสาวหมวยตาตี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ

“พี่..ก็..ชอบ..ไว้..พี่..จะ..กลับ..ไป..นั่ง..ลิสต์..ราย..ชื่อ..ร้าน..แล้ว..ส่ง..ให้..เอา..มั้ย” ผมเสนอตัวอย่างกระตือรือร้น เพราะผมอยากจะมีส่วนร่วมที่ทำให้ปาล์มรู้สึกดีกับสาขาวิชาของเรา จนกระทั่งเขาไม่คิดอยากจะโอนย้ายไปยังสาขาอื่น
“ถ้าไม่ลำบากพี่ ผมก็โอเคครับ” พอน้องเปิดทางให้ ผมก็รีบยกยิ้มด้วยความดีใจ

“หนูอ่านนิทานแล้วนะคะพี่รัน สั้นดีค่ะ” หลังจากเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ และโบว์ก็ได้จิบนิดๆจนสมใจ น้องก็เริ่มเกริ่นถึงประเด็นสำคัญ ที่ทำให้พวกเราสายรหัสมารวมตัวกันในวันนี้
“…” ผมหัวเราะให้กับคำวิพากษณ์วิจารณ์นั้นด้วยความเอ็นดูนิดๆ เพราะน้องยังไม่รู้ว่า ในความสั้นมันซ่อนความยากสำหรับเด็กปีหนึ่งเอาไว้มากมาย

“วันนั้นพี่ทีมบอกว่า ปีหนึ่งต้องเป็นคนเล่าเรื่องใช่มั้ยครับ แล้วเราจะแบ่งกันยังไงดี” ปาล์มถามอย่างเป็นการเป็นงาน
“พี่..ว่า..จะ..แบ่ง..กัน..คน..ละ..ครึ่ง..เรื่อง” ผมออกความคิดเห็น พลางมองหน้าน้องๆทั้งสองคน ซึ่งมันเป็นความคิดเห็นที่แฟร์ๆดี น้องก็เลยไม่คัดค้านอะไร

“กลุ่ม..เรา..มี..เวลา..ทำ..จน..จะ..ถึง..ช่วง..งาน..โอเพ่น..เฮ้าส์.. แต่..พี่..คิด..ว่า.. ถ้า..เรา..เริ่ม..ต้น..ได้..เร็ว.. เรา..ก็..จะ..มี..เวลา..ฝึก..ได้..นาน..กว่า..คน..อื่น” ผมค่อยๆพูดออกมาอย่างช้าๆ ชัดๆ จนคนฟังต้องคอยพยักหน้าเป็นระยะ เหมือนเขากำลังคอยลุ้นให้ผมพูดจนจบประโยค ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกดี เพราะว่าพี่เนย์ก็ไม่ได้มีท่าทางแบบนี้ในตอนที่ผมพูด แม้กระทั่งไอ้หมอก ไอ้คิน คุณพ่อ คุณแม่ ก็ด้วย
เพราะทุกคนต่างก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเองที่ทำให้ผมอุ่นใจ

“ก็ดีครับ เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าเทอมสองจะงานเยอะหรือเปล่าด้วย อีกอย่างสอบไฟนอลก็ท่าทางจะหนักอยู่เหมือนกัน” ปาล์มพยักหน้าพลางตอบเป็นประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา
“งั้น..เรา..เริ่ม..แปล..ภาษา..มือ..กัน..เลย..ดี..ไหม” ผมถามพลางหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า เพื่อเตรียมจะสไลด์หน้าจอและเปิดไปยังคลังรูปภาพที่ผมได้ทำการแคปนิทานเรื่อง ‘นกเค้าแมวผู้รอบรู้’ เอาไว้

“งั้นหนูจองตั้งแต่สามบรรทัดแรก สิ้นสุดตรงประโยคที่ว่าไม่มีใครเชื่อเลย” โบว์วางโทรศัพท์ของตัวเองลงกลางโต๊ะ จากนั้นก็ชี้ประโยคที่เธอจับจอง ฝ่ายปาล์มก็นิ่งเงียบ ไม่มีปากมีเสียง มติจึงเป็นเอกฉันท์

“ปาล์มฝึกพร้อมเราด้วยนะ จะได้พัฒนาภาษามือไปด้วย” พอฮันนี่โทสต์มาเสิร์ฟขัดจังหวะการเอาจริงเอาจังของเรา โบว์ก็รีบประเดิมของหวานเมนูนั้นก่อนคนแรก พร้อมกับหันไปขอความร่วมมือจากแฝดรหัสของตัวเองอย่างมีนัยยะ
“ไม่ใช่ว่าโบว์ความจำไม่ค่อยดี แล้วจะให้เราช่วยจำที่พี่รันสอนหรอกนะ” ปาล์มพูดนิ่งๆ แต่กลับทำเอาน้องโบว์เด็กหมวยถึงกับเบะปากบ่นงุบงิบอยู่คนเดียว จนผมอดจะยิ้มให้กับท่าทางน่ารักของน้องรหัสตัวเองไม่ได้

“เด็กๆ..อย่า..ทะ..เลาะ..กัน” ผมห้ามปรามแกมหัวเราะ เพราะดูท่าทางแล้ว เด็กๆจะชอบลับฝีปากใส่กันบ่อยมาก
“เริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ หนูพร้อมแล้ว!” น้องโบว์ย่นจมูกใส่ผม จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มแสดงท่าทางกระตือรือร้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงเริ่มเป็นจริงเป็นจังขึ้น

“งั้น..เริ่ม..ที่..ประ..โยค..ณ..ป่า..แห่ง..หนึ่ง..ก่อน..นะ” ผมพูดขึ้น พลางทำท่า ‘ณ ป่าแห่งหนึ่ง’ ให้น้องๆดู
“พี่รันนนนน โหยยยย ยากอ่ะ สอนแยกคำเถอะค่ะ หนูมึน” โบว์ร้องโหยหวนออกมาทันทีที่ผมทำภาษามือของประโยคเมื่อครู่ให้ดู ซึ่งมันยังไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่ของเนื้อเรื่องทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ

“ประ..โยค..นี้.. ถ้า..เป็น..การ..เล่า..นิ..ทาน.. ก็..จะ..ใช้..ท่ามือ..ท้อง..ฟ้า.. ท่ามือ..แผ่น..ดิน.. ท่ามือ..ป่า.. เพราะ..การ..เล่า..นิ..ทาน..เรา..จะ..ต้อง..เล่า..ถึง..สภาพ..แวด..ล้อม..ด้วย.. แล้ว..ก็..ต้อง..โอ..เว่อร์..แอค..ติ้ง..นิด..นึง” ผมอธิบาย พลางหันไปควานหากระดาษโน้ตกับปากกาในกระเป๋าสะพายใบโปรดของตัวเอง จากนั้นก็เขียนอธิบายให้น้องเข้าใจว่า
‘ณ ป่าแห่งหนึ่ง = ท่ามือท้องฟ้า + ท่ามือแผ่นดิน + ท่ามือป่า’

“ท่ามือ..ท้อง..ฟ้า” ผมพูดพลางทำมือจับจีบเหมือนรำไทยทั้งสองข้างในระดับอก จากนั้นก็เลื่อนมือทั้งสองข้างให้สวนทางกันเป็นครึ่งวงกลม โดยมือที่เคยจับจีบไว้ ต้องค่อยๆแบออกจนครบทั้งห้านิ้ว ซึ่งก็จะพอดีกับจังหวะการวาดมือให้สวนทางกัน จนกลายเป็นครึ่งวงกลม ขณะที่สายตาก็ต้องมองตามจังหวะการเลื่อนฝ่ามือของเราไปด้วย โดยผมได้เพิ่มแอคติ้งเข้าไปอีกหน่อย ด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ยกยิ้มแบบไม่เห็นฟัน
“ลอง..ทำ..ดู” ผมออกคำสั่งกับน้องๆทั้งสอง พลางมองแต่ละคนอย่างจดๆจ้องๆสลับกัน แต่เพราะการมองทั้งสองคนพร้อมกันมันทำให้ผมมองได้ไม่ละเอียด ผมก็เลยให้น้องทำให้ดูทีละคน

“โบว์..ก่อน” หลังจากผมออกปากให้โบว์เริ่มทำเป็นคนแรก น้องก็โชว์ภาษามือของตัวเองให้ผมดูอย่างคล่องแคล่ว เพียงแต่น้องยังไม่กล้าเล่นสีหน้ามากมายนัก คงเพราะยังอยู่ปีหนึ่งด้วยแหละ ซึ่งช่วงนั้นผมเองก็เป็น เพิ่งจะมากล้าทำแบบโอเว่อร์หน่อยก็ตอนขึ้นปีสอง เพราะต้องเล่านิทานอยู่บ่อยๆ
“ปาล์ม..ต่อ..เลย” หลังจากปาล์มทำท่า ‘ท้องฟ้า’ ให้ดูแล้ว ผมก็เข้าใจแหละว่า น้องยังไม่กล้าออกสเต็ปอะไรมาก เพราะขนาดน้องโบว์ที่เป็นผู้หญิงยังไม่กล้าทำท่าทางแบบโอเว่อร์ซักเท่าไหร่เลย

“คำ..ต่อ..ไป..เป็น..ท่ามือ..แผ่น..ดิน” ผมพูดพลางหงายข้อมือข้างขวาออกมาตรงหน้า พร้อมกับกำมือเหมือนกำลังขยำอะไรสักอย่าง จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างนั้นให้คว่ำลง ก่อนจะขยับปลายนิ้วทั้งห้าขึ้นลงเหมือนกำลังพิมพ์แชทบนแป้นคีย์บอร์ด โดยองศาของการเลื่อนมือนั้นให้เป็นครึ่งวงกลมสั้นๆ
“อันนี้ง่าย หนูทำได้” โบว์ว่าอย่างนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้จริงๆ ส่วนปาล์มเองก็ไม่มีปัญหา

“ต่อ..ไป..เป็น..ท่ามือ..ป่า” ผมพูดพลางทำมือเหมือนรูปดอกบัว โดยปลายนิ้วโป้งจะต้องแตะกับปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้าง จากนั้นก็เลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นสลับกันกลางอากาศ พร้อมกับปล่อยปลายนิ้วโป้งให้ออกห่างจากปลายนิ้วชี้ คล้ายกับท่าทางของดอกไม้กำลังเบ่งบาน ซึ่งเราจะต้องทำวนอยู่แบบนั้นประมาณสี่ห้าครั้ง เพื่อแสดงถึงการเกิดของต้นไม้ที่มีอยู่มากมายในป่า พร้อมกับอมลมไว้ในแก้มด้วย
แต่สำหรับคนทั่วไป ถ้าได้เห็นท่ามือของคำว่า ‘ป่า’ ก็จะนึกถึงตัวตลกโบโซ่ ตอนกำลังเลี้ยงลูกบอลอยู่กลางอากาศ

“ท่านี้ก็ง่าย เหมือนตัวตลกโบโซ่กำลังเลี้ยงลูกบอลเลย” น้องโบว์ใช้ภาษามือตามผม จากนั้นก็ออกปากพูดในแบบที่ผมคิดเป๊ะๆ
“ที..นี้..ลอง..ทำ..แบบ..รวบ..ทุก..คำ..เลย..นะ..โบว์..เริ่ม..ก่อน” ผมว่า พลางหันไปมองน้องโบว์ ซึ่งเธอดูเหมือนจะไม่มั่นใจนัก แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ทำได้สำเร็จ แม้ว่าจะกระท่อนกระแท่นเต็มที เพราะประโยคๆนึง ดันรวมภาษามือของคำอื่นๆถึงสามคำด้วยกัน

“ต่อ..ไป..เป็น..นก..เค้า..แมว..นะ” ผมพูด พลางทำให้น้องๆดูก่อน จากนั้นก็ฉีกกระดาษโน้ตใบแรก แปะไว้บนโต๊ะ แล้วก็เริ่มเขียนแยกคำให้น้องๆดู ว่า ‘นกเค้าแมว = ท่ามือนก + ท่ามือตาโต’
“ท่ามือ..นก” ผมพูดพลางยกมือข้างขวาขึ้น โดยชูแค่นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้ตั้งฉากกันในระดับปาก จากนั้นก็เลื่อนนิ้วชี้ลงมาจรดกับนิ้วโป้งจนมีลักษณะคล้ายกับ ‘ปากนก’ แล้วค่อยกางมือทั้งสองข้างเป็นวงแคบๆ เหมือน ‘ปีก’ ก่อนจะสะบัดข้อมือทั้งสองข้างสักหนึ่งที แสดงถึงท่าทางของการ ‘บิน’

“ท่ามือ..ตาโต” ผมพูดพลางทำมือกลมๆ เหมือนท่าที่เด็กๆชอบทำเมื่อใช้กล้องส่องทางไกล จากนั้นผมก็ให้น้องรหัสทั้งสองคนลองใช้ภาษามือแบบรวบคำ ที่มันแปลความหมายได้ว่า ‘นกเค้าแมว’

กระทั่งทั้งสองคนทำได้แล้ว ผมก็ให้เริ่มทำใหม่ตั้งแต่ประโยคแรกยันคำสุดท้ายที่ผมสอน ซึ่งครั้งแรกๆ น้องๆ ก็มึนกันไปตามระเบียบ แต่พอผมทำให้ดูแบบรวบรัดอีกครั้ง น้องก็เริ่มประติดประต่อได้ ผมจึงให้ทั้งสองคนพักทานของหวานและดื่มน้ำกันก่อน เพราะเดี๋ยวมันจะเย็นชืดไปมากกว่านี้ และอีกไม่นานก็จะเที่ยงแล้วด้วย
“พี่..ไป..เข้า..ห้อง..น้ำ..ก่อน..นะ” ผมพูดพลางยกยิ้ม และเดินออกจากโต๊ะ โดยทิ้งกระเป๋าสะพายเอาไว้ ซึ่งผมก็ลืมถามโบว์ไปเลยว่าห้องน้ำอยู่ไหน ผมจึงต้องเดินไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า ที่ลูกค้าสามารถเดินเข้ามาสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มเองได้ เพราะจะมีพนักงานคอยรับรองอยู่ตลอดเวลา

“ห้องน้ำ..ไปทาง..ไหน..ครับ” ผมพยายามจะพูดกับพนักงาน โดยการรวบคำให้กระชับอีกครั้ง แม้ว่ามันจะยากลำบากมากๆ แต่ที่ต้องทำ ก็เพราะผมต้องการจะปกป้องตัวเองจากความหวาดกลัวในส่วนลึกที่ยังคงมีอยู่
“เดินเลยบ้านเรือนกระจกไปจนสุด จากนั้นนั้นก็เลี้ยวซ้ายค่ะ” พนักงานฉีกยิ้มพลางให้คำแนะนำอย่างดี จนผมต้องยิ้มตอบและก้าวเดินออกมาด้วยความโล่งใจ พลางอดคิดไม่ได้ว่า อนาคตผมจะเป็นล่ามภาษามือได้จริงๆน่ะเหรอ

“โดดเรียนเหรอ?” หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย จนจะเดินออกมาล้างมือข้างนอก ผมก็สะดุ้งด้วยความตกใจ เพราะไม่ทันเห็นว่ามีคนมายืนรออยู่ตรงหน้าทางเข้าห้องน้ำ ซึ่งใครคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากผู้ชายที่เมื่อเช้าทำหน้าที่เป็นสารถีมาส่งผมจนถึงโรงอาหาร ส่วนเจ้าตัวเขาก็เลยไปรับเพื่อนที่อยู่หอใน
“อาจารย์..งด” ผมส่ายหัวพลางตอบคำถามพี่เนย์ ที่ไม่รู้ว่าทราบได้ยังไงว่าผมกำลังอยู่ในห้องน้ำ

“มึงเอาแต่เหม่อ เลยไม่เห็นกู” พี่เนย์พูดขึ้น ราวกับอ่านใจผมได้ ขณะที่ผมก็ทำได้แค่ส่งยิ้มให้คนในกระจก ขณะที่กำลังล้างมือข้างนอก

“แล้วตอนกลับ จะกลับพร้อมกันมั้ย?” พี่เนย์ถาม เมื่อผมกำลังดึงกระดาษทิชชู่มาซับฝ่ามือให้แห้ง
“ยัง..ไม่รู้..เลย..ครับ..ว่า..จะ..เสร็จ..เมื่อ..ไหร่” ผมตอบพลางทิ้งกระดาษทิชชู่ลงถังขยะใกล้ๆมือ

“แสดงว่าต่างคนต่างกลับ.. ถ้างั้นก็เจอกันที่ห้อง” พี่เขาพูดพลางยกมือขึ้นยีหัวผม จากนั้นก็เดินนำหน้าไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่ผมก็เดินตามแผ่นของอีกฝ่ายไปเงียบๆ

“แล้วมึงมายังไง?” จู่ๆพี่เนย์ก็หยุดเดิน จนผมแทบจะเบรกฝีเท้าของตัวเองไม่ทัน
“น้อง..รหัส..เอา..รถ..ยนต์..มา”

“อืม” ผู้ชายที่ผมเจอโดยบังเอิญ เขาพูดเพียงแค่นั้น แล้วก็เดินหายลับไปกับสวนสวยๆของคาเฟ่แห่งนี้ทันที

ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย โปรเจคของสาขาก็ยังย่ำอยู่กับที่ เพราะถ้าหากผมยัดน้องมากไป น้องก็จะสับสน ผมเลยให้พวกเขาทบทวนภาษามือแค่สองประโยคแรกก่อน เนื่องจากรายละเอียดของมันก็เยอะมากพอสมควร ซึ่งระหว่างนั้นผมก็ถือโอกาสไปเดินเล่นรอบๆร้าน ทำให้ผมไปเจอมุมนั่งเล่นริมแม่น้ำท่าจีน ที่ทั้งร่มรื่นและเงียบสงบ ผมจึงนั่งเล่นอยู่แถวนั้นประมาณชั่วโมงนึง ถึงค่อยกลับไปดูน้องๆ ว่าซักซ้อมกันไปถึงไหน จากนั้นผมก็เริ่มสอนประโยคต่อไปอีกสามประโยค ก่อนจะให้สายรหัสทั้งสองได้เริ่มทบทวนภาษามือตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงประโยคสุดท้าย แต่พอน้องยังดูสับสนและไม่ค่อยคล่อง ผมก็ให้เวลาพวกเขาได้ทบทวนในสิ่งที่ผมสอนกันตามลำพังอีกสักหนึ่งชั่วโมง โดยครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินไปสั่ง ‘บลูเลม่อน’ ที่ปาล์มออกปากว่าอร่อย ซึ่งอร่อยที่ว่า รสชาติของมันจะต้องเข้มข้นเท่าเทียมกัน ไม่ใช่มีเพียงรสใดรสหนึ่งที่โดดเด่น แถมส่วนมาก รสที่โดดออกมาก็มักจะเป็นรสเปรี้ยว ของเลม่อนเพียงอย่างเดียว มันจึงทำให้เมนูนี้ ไม่อร่อยเท่าที่ควร แต่สำหรับร้านนี้ ผมให้คะแนนเต็มสิบ เพราะว่ามันอร่อยอย่างที่ปาล์มว่าจริงๆ

ผมถือแก้วบลูเลม่อนแบบที่ใช้สำหรับนำกลับบ้าน เดินผ่านโซนบ้านไม้ที่ถูกตกแต่งด้วยข้าวของสไตล์วินเทจ เรื่อยมาจนถึงม้านั่งยาวใต้ร่มไม้ บริเวณริมแม่น้ำท่าจีน ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งปักหลักอยู่ที่นี่อีกหน
ตอนนี้เวลาประมาณห้าโมงเย็นแล้ว เพราะเมื่อครู่ผมใช้เวลาสอนน้องไปนานพอสมควร ทำให้ท้องฟ้าขณะนี้เริ่มมองดูแล้วสบายตา จากนั้นผมก็ขยับตัวเพื่อหยิบโทรศัพท์ที่เอายัดไว้ที่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะสไลด์หน้าจอเข้าสู่แอพพลิเคชั่นสำหรับการแชท และส่งข้อความไปหาใครบางคนที่เจอกันเมื่อตอนเที่ยง
‘ไว้เรามาฝึกอ่านออกเสียงที่นี่ด้วยกันดีไหมครับ’ 

ติ้ง!

‘อืม ตอนนี้กูอยู่หอแล้วนะ’
‘อ้อ’

‘มึงจะหาอะไรกินเข้ามาเลย หรือว่าจะรอกินพร้อมกัน’
‘ผมกินไปเลยดีกว่าครับ ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับเมื่อไหร่’

‘ครับ’

ประมาณสามทุ่มตรง ผมก็มาถึงหอพี่เนย์โดยสวัสดิภาพ เพราะปาล์มอาสาจะขับรถมาส่งให้ถึงที่ เนื่องจากไฟฟ้าแถวๆนั้น จู่ๆก็ดับมืดตลอดทาง จนน้องเกรงว่าจะอันตรายหากทิ้งผมลงตรงหน้าปากซอยตามที่เอ่ยปาก ด้วยความที่วันนี้น่าจะเป็นคืนเดือนมืด ขณะที่ผมเดินเข้าไปในหอ ผมก็ต้องใช้แสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์ และต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ตัวเองพลาดท่าตกบันได หรือไปชนอะไรเข้า
กระทั่งมาถึงห้องพัก ผมก็ตั้งท่าจะเคาะประตู แต่ก็แอบกลัวว่าพี่เนย์อาจจะหลับไปแล้ว เพราะอีกฝ่ายคงไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำนอกจากการนอน ระหว่างรอให้ไฟติดแน่ๆ ผมก็เลยตัดสินใจไขกุญแจเข้าไปเงียบๆ ก่อนจะถอดรองเท้าให้เบาที่สุด และทำตัวให้ชินกับความมืด โดยการค่อยๆก้าวเดินไปยังที่วางกระเป๋า ซึ่งก็คือหลังตู้ใส่หนังสือจนแทบจะเหมือนโจรย่องเบาอยู่แล้ว

“ค่อย..ยัง..ชั่ว” หลังจากนั้นผมก็ลองเดินไปเปิดก๊อกน้ำตรงริมระเบียงที่พี่เนย์เปิดประตูอ้าเอาไว้ เพื่อทดสอบว่ามีน้ำหรือไม่
เพราะถ้าไม่มี ผมคงต้องยอมนอนเน่าแบบไม่สบายตัวทั้งคืน

เมื่อเตรียมเสื้อผ้าและหยิบผ้าเช็ดตัวจนครบแล้ว ผมก็เดินตรงไปยังห้องน้ำ จากนั้นก็ล็อคประตูอย่างแน่นหนา พลางถอดเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว เพราะผมคิดถึงเตียงนอนจะแย่แล้ว

“รัน” ผมชะงักการก้าวเดิน เมื่อได้ยินเสียงของพี่เนย์ดังก้องอยู่ในห้องน้ำอันมืดมิด
“พี่..อยู่..ใน..นี้..เหรอ..ครับ?” ผมถามด้วยความไม่มั่นใจ หรืออีกนัยน์นึงก็หมายความว่า ผมวาดหวังว่าอย่าให้เป็นแบบนั้น

“อยู่ดิ มึงน่ะเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือเลย” พี่เนย์พูดขึ้นท่ามกลางความมืด
“…” ผมจึงได้แต่นิ่งเงียบ เพราะสิ่งที่ผมหวัง มันกลับไม่กลายเป็นจริง จนพาลอยากจะโทษพี่เนย์ที่ไม่ยอมจุดเทียนให้แสงสว่างขณะอาบน้ำ

“ไฟแม่งดับตั้งแต่ทุ่มนึง เห็นว่าหม้อแปลงระเบิด มึงคิดดูว่ากูอยู่กับความมืดมานานแค่ไหน” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ที่มันฟังดูแล้วให้ความรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้ง เพราะเนื้อเสียงของอีกฝ่าย มันฟังดูแหบพร่าเป็นพิเศษ
“…” ผมเงียบ ขณะที่สมองกำลังประมวลคำพูดอ้อมโลกของพี่เนย์ ที่บอกว่าไฟดับนานแล้ว และเจ้าตัวก็อยู่กับความมืดมานานเหมือนกัน ดังนั้นการที่เราอยู่ท่ามกลางความมืด มันก็จะทำให้เราชินกับความมืดนั้น
และ..
มองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้ชัดเจน


--------------------------------------------------------

ตอนนี้ปั่นเสร็จเร็วกว่าที่คิดไปซะงั้น เราใช้เวลานั่งงมอยู่หนึ่งวันเต็มๆ เพราะมันยากมากกับการตีความ คำบรรยาย เราเลยไปหาวีดิโอดู แล้วค่อยเขียนให้ผู้รู้ตรวจอีกที ซึ่งครั้งนี้ทำให้เราก็รับรู้ได้ถึงความยากของการจินตนาการจากการเขียนบรรยายเป็นรูปภาพภาษามือหนักมาก เพราะขนาดเราบางคำยังจินตนาการไม่ออก แล้วคนอ่านจะมองภาพออกมั้ย คือเราพยายามจะใช้คำเปรียบเปรยโดยเอาสิ่งที่คนทั่วไปใช้กัน มาบรรยาย แต่บางทีเราก็นึกไม่ออกว่าท่าทางนั้นมันควรเรียกว่าอะไร สรุปว่ายากมากจริงๆค่ะ

ปล. 1 พี่เนย์ใสๆ อาบน้ำไม่จุดเทียน อิอิ  ให้ซีนเค้าหน่อยเนอะ ช่างเป็นพระเอกที่มีบทน้อยมาก
ปล. 2 ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
2 คนในห้องน้ำโดยที่ไม่มีเสื้อผ้า :z1: :z1: :z1: :z1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
กรี๊ดดดดดดด
แบบนี้พี่เนย์ก็เห็นน้องชัดแจ๋วเลยสิ
 :jul1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 6

คืนนั้นในวันที่ไฟดับ ทุกอย่างรอบกายมืดมิด แต่ความรู้สึกของผมกลับชัดเจน จำได้ว่าตอนนั้น คำถามต่อมาของผม หลังจากที่พี่เนย์พูดอ้อมโลกเสียยืดยาว ก็คือ ‘จะอาบน้ำ แล้วทำไมพี่ถึงไม่จุดเทียน หรือว่าล็อกประตูล่ะครับ’ จากนั้นฝ่ายที่กำลังสระผมอยู่ท่ามกลางความมืดและเงียบสงบ ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ จนดังก้องห้องน้ำว่า..
‘ก็อย่างที่บอก กูชินกับความมืดแล้วไง อีกอย่างเทียนที่ซื้อไว้ แม่งก็ไม่รู้ว่าเอาไปเก็บไว้ที่ไหน แล้วใครจะคิดวะ ว่ามึงจะรีบจนไม่ดูตาม้าตาเรือ’ 

ผมจึงรีบเถียงกลับ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า ยังไงซะ ภาพที่พี่เขาเห็น มันก็ไม่น่าจะแตกต่างจากผมที่เริ่มคุ้นชินกับความมืดมิดมากนัก ซึ่งภาพๆนั้น มันก็เป็นเพียงเงาดำลางๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างชัดเจน
ในเมื่อห้องน้ำของเรา มีหน้าต่างระบายอากาศอยู่เพียงแค่ช่องเดียว อีกทั้งไฟฟ้าก็ยังดับจนทั่วซอย แถมโชคยังเข้าข้างที่วันนั้นเป็นคืนเดือนมืด
ผมจึงไม่ได้คิดที่จะแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ ว่าตัวเองกำลัง ‘เขินอาย’ มากแค่ไหน

‘แล้วมึงเป็นอะไร ทำไมถึงรีบขนาดนั้น’
‘ผม..ง่วง’

‘งั้นก็รีบมาอาบน้ำ จะได้รีบไปนอน’

และนั่น ก็คือที่มาของความรู้สึกอันหลากหลาย

เราต่างคน ต่างก็สระผมอยู่เคียงข้างกัน ภายใต้ฝักบัวอันเล็ก ขณะที่ผมในเวลานั้น ไม่ได้มีใจคิดอยากจะสระผมสักเท่าไหร่ แต่เพราะการกระทำมันพาไป ทุกอย่างมันถึงได้ลงเอยแบบนี้ จากนั้นบทสนทนาอันเรียบง่ายก็ดำเนินต่อไป
ในรูปแบบที่ไม่มีความเงอะๆงะๆ เข้ามาแทรกแซง

‘งานมึงคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว’
‘จะ..ว่า..คืบ..หน้า..มัน..ก็..คืบ..หน้า..ครับ แต่..จะ..ว่า..ไม่..คืบ..หน้า..มัน..ก็..ไม่..คืบ..หน้า’

‘ตอบอะไรของมึงวะ เพี้ยนๆนะ’

คนตัวสูงท่ามกลางความมืดมิด เขาอาศัยจังหวะทีเผลอ เอื้อมมือมาเฉดหัวผมจนเซหงาย จากนั้นเราต่างก็ยืนถูสบู่อยู่เคียงข้างกัน ขณะที่ข้างแขน ก็พาลแต่จะสัมผัสกันโดยบังเอิญอยู่หลายครั้ง เพราะระยะห่างระหว่างเรา ดูท่าจะเหลือเพียงน้อยนิด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม เราถึงต้องมายืนใกล้ๆกัน ทั้งๆที่ห้องน้ำ มันก็ไม่ได้คับแคบอะไรขนาดนั้น

‘ผม..อยาก..เป็น..ล่าม..ภา..ษา..มือ’
‘ก็ดีแล้วหนิ’

‘แต่..ผม..คิด..ว่า ผม..คง..เป็น..ไม่..ได้..แน่ๆ’

คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมเปิดใจกับพี่เนย์ว่าผมอยากจะเป็น ‘ล่ามภาษามือ’ เหมือนกับที่พี่เขาเคยบอกกับผมว่า สาเหตุที่อีกฝ่ายเลือกเรียนจิตวิทยา จริงๆแล้วมันเป็นเพราะว่า เจ้าตัวไม่ได้หัวดีเหมือนกับคุณพ่อหรือคุณแม่ ที่ต่างก็ทำอาชีพเป็นคุณหมอและพยาบาลทั้งคู่
ซึ่งการเรียน ‘จิตวิทยา สาขาคลินิก’ มันก็ทำให้พี่เขารู้สึกว่า ถึงแม้ตัวเองจะไม่ได้เรียนหมอ แต่ก็น่าจะทำให้พวกท่านรู้สึกภูมิใจได้บ้าง แต่ไปๆมาๆ พี่เขาก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับสาขาที่ตัวเองเลือก และเริ่มมีความคิดอยากจะเป็น ‘นักจิตบำบัด’ เพราะว่าเจ้าตัวรู้สึกมีความสุข กับการได้ล้วงลึกไปถึงปัญหาภายในของจิตใจมนุษย์ จนกระทั่งช่วยบำบัดให้เขามีความสุขกับชีวิตของตัวเอง เลิกหวาดกลัวในสิ่งที่กังวล หรืออาจจะช่วยบรรเทาความทรมานภายในจิตใจของอีกฝ่ายให้ลดน้อยลง
และนอกจากนี้พี่เขายังเคยบอกอีกว่า… เคสของผม ทำให้เจ้าตัวมั่นใจ ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดในทางทฤษฎี มันคือเรื่องที่ถูกต้อง

‘กูเคยอ่านข้อความนึง เขาบอกว่า Feelings are much like waves, we can't stop them from coming but we can choose which one to surf. (by Jonatan Martensson)
‘กูเชื่อว่ามึงจะรับมือกับความหวาดกลัวพวกนั้นได้ เพราะมึงก็ข้ามผ่านมันมาได้แล้วตั้งครึ่งทาง เพราะตอนนี้ มึงก็มีทั้งเพื่อนสนิท รุ่นพี่ทั้งในสาขาและนอกสาขา ไหนจะน้องรหัสของมึงอีก แถมยังมีเพื่อนต่างสาขาอีกตั้งสามคน นอกจากนั้นมึงยังมีกู ที่เป็นแฟนคนแรก แถมก่อนหน้านี้กูยังเคยบอกกับมึงว่า คนที่ไร้ข้อบกพร่อง ใช่ว่าเขาจะใจร้ายต่อกลุ่มคนที่มีข้อบกพร่องเสมอไป มึงเองก็เคยเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ว่าสิ่งที่กูพูดมันคือความจริงหรือเรื่องหลอกลวง มึงอย่าเอาคนแค่กลุ่มเดียวที่มึงเจอ มาตัดสินคนอีกหลายๆกลุ่มเลย อีกอย่างนะ คนเราพอโตขึ้น ความคิดก็เริ่มเปลี่ยน กูเชื่อว่าสังคมที่เคยทำให้มึงมีอคติ ป่านนี้มันก็น่าจะเปลี่ยนไปแล้ว เพราะทุกคนต่างเติบโตขึ้น เริ่มมีวิจารณญาณกันมากขึ้น ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว ว่าจะรับมือกับสิ่งเหล่านั้นยังไง แต่ถ้ามึงคิดว่ามันรับมือยาก มึงก็เลือกมองพวกเขาเป็นแค่หนังสือเล่มนึง ที่มึงบังเอิญเปิดอ่านก็ได้นี่ ถ้าชอบก็เก็บเข้าลิสต์ ไม่ชอบก็ปล่อยทิ้งไป กูเชื่อว่าสักวัน มึงต้องได้เป็นล่ามภาษามือแน่ๆ และวันนั้น วันที่มึงประสบความสำเร็จ จนสามารถเอาชนะความกลัวในใจของตัวเองได้ กูจะส่งยิ้มให้มึงอยู่ตรงนี้ ตรงที่เดิม

หัวใจของผมในตอนนั้น รู้สึกเหมือนกำลังถูกสั่นคลอน ด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจ จนความไม่มั่นใจ ความกังวล ความอ่อนแอ ที่เคยกักเก็บไว้ ถูกเติมเต็มด้วยกำลังใจที่มีมากมายมหาศาล ผมจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปหาไออุ่น ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่กลับรับรู้ได้ด้วยใจอย่างไม่ลังเล

‘รู้มั้ยว่าพี่เริ่มชอบรันเพราะอะไร?’
‘ไม่..รู้..สิ..ครับ’

‘เพราะเราชอบเดินบนเส้นขอบถนน แล้วก็ชอบจินตนาการเป็นเด็กๆเหมือนกัน จากนั้นพี่ก็เริ่มชอบบทสนทนาของเรา แล้วก็กลายเป็นว่า พี่เคยชอบรันเพราะรอยยิ้ม’
‘เคย..ชอบ?’

‘ใช่ พี่เคยชอบ เพราะตอนนี้ พี่รักรอยยิ้มของรัน จากนั้นพี่ก็เริ่มหลงรักทุกอย่างที่เป็นรัน’
‘พี่เน..นะ..เอ’

ค่ำคืนนั้นผมเกือบจะทำแผนเซอร์ไพรส์พี่เนย์ในอนาคต ที่ตัวเองวางเอาไว้จนพังยับเยิน เพราะจู่ๆ คนปากหนักที่มักจะแสดงความรู้สึกผ่านทางบทเพลง สายตา และการกระทำ กลับใช้คำพูดที่มันหาฟังได้ยากในเวลาแบบนั้น
จนผมไม่ต้องมาคอยนั่งจินตนาการเอาเองว่า สิ่งที่พี่เขาแสดงออก มันหมายความแบบนั้น หรือว่าหมายความแบบนี้
เพราะอีกฝ่าย ได้พูดมันออกมาอย่างชัดเจนแล้ว

‘ให้ทาย ตอนนี้กูกำลังคิดอะไรอยู่..’
‘คำ..ถาม..ตอบ..ยาก..ครับ ขอ..ใช้..ตัว..ช่วย’

‘เรื่องใต้สะดือ กับ จินตนาการในความมืด’
‘…’

‘กูเฉลยเลยแล้วกัน..’
‘…’

‘ทั้งสองอย่าง’
‘เพราะฉะนั้น ถ้าหากรันอยากให้พี่หยุดคิด ก็ต้องหยุดกอดพี่ แล้วรีบอาบน้ำให้เสร็จและเดินออกไป’

‘แต่ถ้าไม่..’
‘เรื่องคืนนี้ พี่จะเก็บซ่อนไว้ในความทรงจำให้ลึกที่สุด เพื่อที่รันจะได้ไม่ต้องวางตัวลำบากในวันพรุ่งนี้’

คำพูดหว่านล้อมและน้ำเสียงแหบพร่าของอีกฝ่าย เอาแต่ดังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่สัมผัสนุ่มชื้น ก็เอาแต่ไล้วนอยู่ข้างๆใบหู จนส่งผลให้ขนอ่อนตั้งชันแทบทั้งร่าง ขณะที่ฝ่ามืออันซุกซนของชายหนุ่มท่ามกลางความมืด ก็เริ่มลากไล้แปะป่ายไปจนถ้วนทั่วแผ่นหลังของผมที่กำลังถูกล็อกตัวอยู่ภายใต้อ้อมกอดที่ตัวเองไขว่คว้า
ซึ่งสมองของผมในเวลานั้น มันขาวโพลนจนไม่สามารถคิดตริตรองอะไรได้ นอกจากคอยโอนอ่อนไปตามน้ำเสียงที่ชวนลุ่มหลง และวาบหวามไปกับสัมผัสเคล้าคลอ ที่คนในความมืดหยิบยกให้ จากนั้นทุกอย่างก็เหมือนจะกลับตาลปัตร เมื่ออารมณ์เริ่มถูกปลุกเร้ามากขึ้นๆ จนส่งผลให้ภาพในจินตนาการค่อยๆออกมาโลดแล่นสู่ภายนอก เวลานั้น ผมจึงมองเห็นรูปร่างของพี่เนย์อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเห็นภาพของตัวเอง ที่กำลังถูกอีกฝ่ายปลุกเร้าอย่างง่ายดาย
ทั้งๆที่ความมืดยังคงเกาะกินอยู่รอบๆกายเราไม่แปรเปลี่ยน..

‘ผม..จะ..ไม่..ออก..ไป’

เราจูบกันท่ามกลางความมืด ขณะที่อ้อมกอดก็ยังคงไม่ห่างหายไปไหน ส่งผลให้ผิวกายของเราสัมผัสเสียดสีกันอย่างวาบไหว หัวใจของผมมันเต้นระรัวจนอกแทบระเบิด ฝ่ามือของผมมันสั่นจนเกือบจะควบคุมไม่ได้ เพราะเราสองคน แทบจะไม่เคยเกินเลยกันในลักษณะที่เป็นอยู่ ดังนั้นการจูบที่เคยคุ้นชิน มันจึงเป็นการจูบที่แปลกใหม่
ฟองแชมพูที่ยังคงฟูฟ่องอยู่เต็มหัว จู่ๆก็เริ่มกลายเป็นอุปสรรค พี่เขาจึงต้องเปิดฝักบัวเพื่อชำระล้างทุกสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ให้หมดไป ขณะที่เจ้าตัว ก็ดันแผ่นหลังของผมให้แนบชิดกำแพงกระเบื้องเรียบรื่นและเยือกเย็น จากนั้นโฟกัสทางสายตาของผมก็เริ่มพร่าเลือน จนไม่อาจคาดเดาได้ว่า สาเหตุมันเป็นเพราะอีกฝ่ายโน้มใบหน้าเข้ามาแลกเปลี่ยนบทจูบระหว่างกันของเรา หรือว่าเป็นเพราะกระแสน้ำที่ยังคงร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกกันแน่
แต่ที่แน่ๆ ผมกำลังรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
เพราะจูบของพี่เนย์ มันไม่เหมือนกับจูบที่เคยผ่านมา..

ในเวลานั้นเสียงหอบหายใจของผม มันกลับดังก้องไปทั่วห้องน้ำ หลังจากที่พี่เนย์ปิดฝักบัวจนผมนึกอาย ขณะที่ใบหน้า ก็เริ่มจะบิดเบี้ยว เมื่อพี่เขาลากไล้ปลายลิ้นไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย ราวกับจะสำรวจว่า ส่วนใดบ้างที่พี่เขาสมควรจะแสดงความเป็นเจ้าของ และส่วนใดบ้างที่พี่เขาจะสัมผัสเร้าอย่างหยอกเอิน ผมจึงได้แต่บิดกายไปมาอย่างหวามไหว เมื่อสมองมันกำลังจินตนาไปถึง ใบหน้า รวมไปถึงลักษณะท่าทางของอีกฝ่าย ราวกับภาพระดับฟูลเฮชดี ที่เต็มไปด้วยสีสันและความคมชัด
เดิมที ผมเคยนึกว่าความมืดจะเป็นตัวช่วยอำพรางที่ดี
แต่เปล่าเลย ความมืดนั่นแหละ คือ ‘ตัวอันตราย’

‘พี่อยากให้รันคิดว่ามันคือการ ‘เมคเลิฟ’ ไม่ใช่การทำรักเพราะความอยาก อย่าเกร็ง อย่ากังวลไปเลยนะ’

พี่เนย์ในเวลานั้น ทั้งอ่อนโยนและร้อนแรง แต่ถึงอย่างนั้น ความรักที่อีกฝ่ายมีให้ผม ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ผ่านทางสัมผัสอันกระชับแน่น ที่เกิดจากฝ่ามือของเรา ที่กอบกุมกันไว้ข้างหนึ่ง รวมไปถึงรอยยิ้มของพี่เนย์ ที่สว่างสดใสอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ที่แม้แต่แสงจันทร์ก็ยังเล็ดลอดเข้ามาไม่ถึง
จากนั้นไม่นานลมพายุก็โหมกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อปลายลิ้นร้อนของพี่เขากำลังโลมไล้ยอดอกของผมจนชิ้นแฉะ ส่งผลให้ร่างทั้งร่างคล้ายกับถูกไฟช็อตทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงอารมณ์ของผู้ชักนำ แผ่นอกของผมจึงกระเพื่อมไหวอย่างถี่กระชั้น เสียงหอบหายใจดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมไม่คิดจะสนใจ เพราะตอนนั้นร่างกายของผม มันเหมือนกับไม่ใช่ของผม อีกทั้งช่วงล่างก็เริ่มมีอาการที่ผมเองก็รู้ดีว่ามันคืออาการของอะไร

‘พี่เนย์’

แต่แล้ว ความก็แตกจนได้ เพราะในตอนนั้น จู่ๆ ผมก็เผลอครางเรียกชื่อของพี่เนย์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อความเสียวกระสันกำลังพุ่งตรงเข้าเล่นงาน เหตุก็เพราะริมฝีปากหนานุ่ม ที่เคยมอบรสจูบที่อ่อนโยนบ้าง ร้อนแรงบ้าง กำลังปรนเปรอช่วงล่างของผมอย่างชำนาญ
จนผมรู้สึกดี..
และมันก็ดีกว่าตอนที่ผมเคยปรนเปรอให้ตัวเอง

พี่เนย์เปลี่ยนมาโอบกอดผมไว้จากทางด้านหลัง โดยที่เจ้าตัวเขาจับผมให้ยืนซ้อนกันไว้ ขณะที่วงแขนแข็งแรงข้างหนึ่งก็คอยโอบล้อมรอบเอวผม ส่วนฝ่ามืออีกข้างกลับสร้างความเสียวซ่านให้กับส่วนอ่อนไหวไม่เคยขาด พร้อมด้วยริมฝีปากหนาที่ตอนนี้เอาแต่จะวนเวียนข้างๆหู จนทำเอาร่างกายของผมคล้ายกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านแบบอันลิมิต ผมจึงได้แต่กำฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเอง เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์อันมากมายที่แม้แต่ผมก็อธิบายไม่ถูก ขณะที่เสียงหอบหายใจ สลับกับเสียงครางเบาๆของเรา ก็ยังคงดังเคล้าคลอกันไม่แปรเปลี่ยน

‘รันทำให้พี่บ้าง’

เสียงทุ้มกระซิบเป็นการชักชวน เพียงแต่ฝ่ามือหนากลับกระทำการอุกอาจ เมื่ออีกฝ่ายเขาถือโอกาสชักจูงให้ผมทำบางสิ่งบางอย่างโดยที่ผมก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะทั้งเนื้อทั้งตัว กำลังถูกใครบางคนที่กำลังปลุกเร้าโอบกอดเอาไว้ จนไม่มีหนทางให้หลีกหนี
‘ความมืด’ ผมเคยบอกแล้วว่ามันน่ากลัว และในเวลาแบบนั้น มันก็น่ากลัวขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อความอุ่นร้อนจากส่วนแข็งแกร่งของอีกฝ่ายมันกำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผม แต่จากนั้นเพียงไม่นาน พี่เนย์ก็เริ่มชักจูงอย่างเชื่องช้า และถ้าหากผมไม่ยอมทำตาม พี่เขาก็จะลงโทษโดยการแกล้งให้ผมทรมานกับอาการค้างคา จนผมต้องยอมขยับไหวฝ่ามือสั่นๆของตัวเอง ไปตามจังหวะที่ฝ่ามือใหญ่ก้าวนำ และเมื่อแรงอารมณ์ปะทุ จังหวะการปรนเปรอก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ช่วงล่างของผมจึงเริ่มอุ่นชื้นจนหยาดเยิ้ม หากแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ราวกับต้องการจะให้ผมปลดปล่อยออกมาอีกรอบพร้อมๆกัน
จนครั้งนี้ ผมเองก็เกือบจะแย่
เพราะสัมผัสของพี่เนย์ มันเร่าร้อน จนผมไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ใดๆได้อีก

ตุ้บ!

“เชี่ยรัน!” ผมสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อไอ้หมอกมันทุบโต๊ะจนเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงกลัวเลยว่าเรากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด
“เมื่อกี้มึงได้ฟังที่พวกกูติวมั้ยวะ?” ไอ้คินถามพลางเหล่มองอย่างจับผิด

“ฟัง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อมันไม่ใช่เรื่องจริง ในเมื่อตั้งแต่ต้น ผมก็เอาแต่นึกไปถึงเรื่องราวในคืนนั้น แม้ว่ามันจะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ผมก็ยังจดจำทุกอย่างได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือแม้แต่สัมผัสที่เกิดขึ้น ขณะที่พี่เนย์เขากลับใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ แต่ผมกลับไม่กล้ามองหน้าพี่เนย์ จนผมต้องทำเนียนมานอนค้างที่หอในเพื่อใช้เวลาทั้งหมดไปกับการติวหนังสือสำหรับการสอบมิดเทอม
“ฟังเชี่ยไร โกหกโคตรๆ กูถามนั่น มึงก็ตอบอื้อ กูถามนี่ มึงก็ตอบอื้อ กูลองเรียกชื่อ มึงก็ตอบอื้อ ไอ้สัส ฟังห่าไรวะ ใจลอยไปถึงไหนต่อไหนละ จะสอบอยู่วันสองวันแล้วมั้ย ตั้งใจติวหนังสือสิ” ไอ้หมอกยังคงบ่นไม่หยุด ซึ่งผมก็ได้แต่ก้มหน้ายอมฟังคำตักเตือนแต่โดยดี เพราะผมมันบ้าบอ คิดอะไรไม่เข้าท่า ทั้งๆที่จะสอบอยู่แล้ว มันก็ควรแหละ ที่เพื่อนจะดุอย่างเป็นห่วง

“มึงไม่ได้แค่ท่าลิปมันยี่ห้อเดียวกับพี่เนย์แล้วแน่ๆ ถูกป่ะ?” ไอ้คินมันถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง คล้ายกับว่ามันไม่ได้อยากจะละลาบละล้วง เมื่อฝ่ามือของมัน ดันกำคอเสื้อเชิ้ตของตัวเองหนึ่งที ราวกับต้องการจะบอกอะไรสักอย่าง ผมจึงเผลอกำคอเสื้อเชิ้ตของตัวเองบ้าง เพราะเมื่อครู่มันคงจะแหวกไปจนเห็นร่องรอยที่ใครอีกคนฝากไว้
“เห้อ ถ้างั้นกูก็พอจะเข้าใจอยู่ แต่มึงต้องอย่าไปทะลึ่งคิดถึง ‘เรื่องนั้น’ ให้มากนัก เดี๋ยวผลสอบมึงจะแย่” ไอ้หมอกมันว่า ผมจึงได้แต่ยกมือขึ้นปิดใบหน้าของตัวเอง เพราะผมกำลังหน้าร้อนจนแทบระเบิด จนไม่อาจกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ได้อีกต่อไป

“คราวหลังถ้าจะแทะกัน มึงอย่าแทะตอนใกล้จะสอบ โอเค๊”

----------------------------------------
[edit คำผิด 24/11/2017 ถูกอย่าว > ทุกอย่าง / ละลาบละล่วง > ละลาบละล้วง
edit คำผิด 25/11/2017 เคล้อคลอ > เคล้าคลอ / จนจึง > ผมจึง
edit เพิ่มจุดในประโยคคำพูดของรัน 28/11/2017]
เราขอถามหน่อย สำหรับความคิดของรัน ควรปล่อยให้มันไม่มีจุดแบบนี้ต่อไป หรือว่าควรเพิ่มคะ ตามความคิดเราแล้ว คิดว่าไม่น่าจะต้องมี เพราะว่ามันคือความคิด ที่ไม่ได้กระท่อนกระแท่นเหมือนการออกเสียงค่ะ
ปล. ใช้เวลาเขียนนานกว่าภาษามืออีกค่ะ เพราะว่าเราไม่ได้เขียนฉากแบบนี้นานมากแล้ว กลัวเขียนไม่ดีด้วย แต่ที่ต้องเขียนเพราะมันคือการพัฒนาความรักในรูปแบบหนึ่งค่ะ อยากให้มองมันเป็นส่วนประกอบมากกว่า และเราพยายามจะเขียนให้มันสวยงาม อีโรติคนิดๆ แต่ไม่รู้จะใช่มั้ย 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2017 09:28:40 โดย Chomin »

ออฟไลน์ benceii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น้องรันของพี่โดนแทะแล้ววววว // ไม่ต้องจุดก็ได้ค่ะ เวลาอ่านจะได้ไม่สะดุด

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 7

“วัน..นี้..พี่..สอบ..เสร็จ..กี่..โมง..ครับ” ผมถาม ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาตักถั่วฝักยาวใส่ในจานของพี่เนย์ ตามที่อีกฝ่ายเคยบอกไว้ว่า ถ้าหากผมไม่กินอะไร ก็ให้ตักมาให้พี่เขาให้หมด
ทุกวันนี้อีกฝ่ายก็เลยกลายเป็นเจ้าหน้าที่เทศบาล คอยจัดการสิ่งที่ผมไม่พึงประสงค์

“สี่โมง ทำไม? วันนี้มึงจะมาค้างกับกูเหรอ?” ผมชะงักกับคำถามของรุ่นพี่ตรงหน้า ขณะที่อีกฝ่าย กลับสวาปามมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อย
“ผม..จะ..แวะ..ไป..เอา..ชีท..ของ..พี่ทีม..ให้..ไอ้หมอก..ก็..เลย..จะ..ให้..พี่..รอ” ผมเงยหน้า พลางเสตามองโต๊ะ และตอบคำถามอย่างใจเย็น

“อืม ได้เดี๋ยวกูรอ” พี่เนย์ตอบเรียบๆ พลางพยักหน้า จากนั้นเจ้าตัวก็ก้มหน้าก้มตาทานมื้อเช้าของตัวเองต่อ โดยไม่คิดที่จะทักท้วงอาการพูดแล้วไม่ยอมมองหน้าของผมแต่อย่างใด
คล้ายกับเจ้าตัวกำลังปฏิบัติหน้าที่ ผู้รักษาสัญญาอย่างดีเยี่ยม

กระทั่งมื้อเช้าผ่านพ้นไป เราสองคนจึงเดินทางออกจากโรงอาหารกลาง เพื่อมายังคณะศิลปศาสตร์ อันเป็นตึกที่ใช้สำหรับการสอบของเราทั้งคู่ในวันนี้

“ถ้ามึงเสร็จก่อน มึงก็นั่งรอที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตึกก็แล้วกัน” พี่เนย์พูดขึ้น หลังจากที่เรากำลังเดินลัดเลาะจากลานจอดรถ เพื่อมายังหน้าตึกคณะ กระทั่งสายตาของอีกฝ่าย มองไปเห็นม้าหินอ่อนหน้าคณะเข้าพอดี เจ้าตัวก็เลยถือโอกาสนัดแนะให้เป็นกิจจะลักษณะ
“ครับ”

“มึงสอบชั้นไหน”
“สาม..ฝั่ง..ขวา..มือ” ผมตอบพลางเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ จึงทำให้ทราบว่า ขณะที่ผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตา เพื่อหลีกเลี่ยงใบหน้า และสายตาของคนข้างๆ พี่เขากลับเอาแต่จ้องมองผมไม่วางตา ซึ่งพอผมหันไปมองสบเข้าโดยบังเอิญ พี่เนย์ก็มักจะทำเป็นหันหน้าหนีแบบเนียนๆ เพื่อไม่ให้ผิดสัญญาที่เคยให้ไว้ในค่ำคืนนั้น
แต่ดูท่า มันคงทำได้ยาก..

“กูสอบชั้นสอง โชคดี” พี่เนย์ตอบ ขณะที่เราก็เดินมาจนถึงชั้นสองเข้าพอดี อีกฝ่ายจึงอวยพรด้วยคำสั้นๆ พร้อมกับใช้ภาษามือประกอบ โดยการทำมือเหมือนกับท่า ‘โอเค’ ที่คนทั่วไปชอบใช้ จากนั้นก็ขยับมือไปข้างหน้าสองครั้ง พร้อมกับยกยิ้มตรงมุมปาก ขณะที่สายตาก็เป็นประกายในแบบที่ใครเห็นก็เป็นต้องใจสั่น
“ช..โชค..ดี” ผมที่พูดคุยออกเสียงได้ยากอยู่แล้ว ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เมื่ออีกฝ่ายเล่นส่งสายตาแบบนั้นอย่างเปิดเผย ขณะที่มือของผมที่กำลังใช้ภาษามือในการตอบโต้ก็สั่นระริก จากนั้นผมก็รีบเดินแทรกอีกฝ่าย เพื่อหนีไปยังห้องสอบของตัวเอง

“รัน” แต่แล้วผมก็ชะงักฝีเท้าในการวิ่งขึ้นบันได เพราะใครคนนั้นเขากำลังร้องเรียกอยู่ที่ชั้นสอง
“…” ผมชะโงกหน้ามองลงไปตรงช่องบันได เลยทำให้เห็นพี่เนย์ที่ก็เงยหน้ามองขึ้นมาข้างบน ผ่านทางช่องบันไดเดียวกัน

“มึงเริ่มพูดเก่งแล้ว ตอนเย็นมึงลองฝึกพูดเป็นประโยคดิ ถ้าพูดไม่ได้ กูจะทิ้งมึงไว้ที่คณะนี่แหละ” พี่เนย์พูดพลางยักคิ้วอย่างท้าทาย
“กล้า ?” ผมพูดพลางพยักหน้าท้าทายอีกฝ่ายราวกับว่าตัวเองน่ะถือไพ่เหนือกว่า

“…” พี่เขากำมือขวา พลางเคาะไปที่หน้าอกข้างซ้าย จากนั้นก็แบมือออกมาตรงหน้า พร้อมกับส่ายหัว และแสดงสีหน้าขึงขังใส่ เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายน่ะ ‘กล้า’ แค่ไหน
“…” ผมอมยิ้ม พลางย่นจมูกใส่อีกฝ่ายผ่านทางช่องบันไดแคบๆนั่น ที่มันกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเราเป็นการชั่วคราว เพราะเนื่องจากเวลานี้ มันยังเช้าอยู่มาก นักศึกษาจึงยังไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่
จากนั้นผมก็รีบผละตัวเองออกจากบริเวณนั้น เพื่อมุ่งตรงไปยังห้องสอบที่อยู่ริมสุดทางฝั่งขวามือ

กระทั่งสอบตัวสุดท้ายเสร็จ ผมก็เดินลงบันไดมาพร้อมกับพวกไอ้หมอกไอ้คิน ที่กำลังเปิดชีทเพื่อหาคำตอบ ว่าไอ้สิ่งที่ตัวเองทำไปมั่วๆ เมื่อครู่มันถูกต้องสักข้อไหม
“ไอ้สัส กูไม่ดูเฉลยแม่งละ ตายเป็นตาย” ไอ้หมอกยัดชีทลงในกระเป๋าเป้ของตัวเอง พลางบ่นออกมาอย่างเหลืออด เมื่อคำตอบที่มั่วไป ดูท่าจะไม่ถูกจนใจเริ่มเสีย

“ไอ้นี่ก็เงียบ ออกจากห้องคนสุดท้าย ถามจริง ตอนพวกกูนอนนี่มึงแอบมาซุ่มอ่านหนังสือป่ะวะ” ไอ้คินเองก็เก็บชีทอย่างอารมณ์เสียเช่นกัน จากนั้นมันก็หันมาไล่บี้ผม
“ตลกแดก..แล้วมึง” ผมกำลังจะพูดตามปกติ แต่พอนึกไปถึงคำสั่งของพี่เนย์ ผมก็ลองพูดควบประโยคเหมือนตอนสั่งเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน

“ทีเวลาด่าล่ะพูดรัวๆได้ มึงนะมึง” ไอ้หมอกมันล็อกคอผม จนแทบจะหายใจไม่ออก แถมยังต้องลำบากเดินลงบันไดทั้งสภาพนั้นอีก
“เดี๋ยวมันก็หายใจไม่ออกตาย หรือไม่ก็มึงสองคน คงจะตกบันไดจนคอหักนี่แหละวะ” ไอ้คินมันบ่น แต่มันน่ะตัวดีเลย ดันมาล็อกคอพวกผมไว้ตรงใต้รักแร้ของตัวเองคนละข้าง แต่ดีนะที่เราเดินมาจนถึงใต้ถุนตึกแล้วน่ะ

“แล้วเจอกันโว้ย” พอมาถึงหน้าตึก พวกมันก็รีบบอกลาผม และทำท่าจะเดินกอดคอกันไปยังพื้นที่สำหรับจอดรถจักรยาน ส่วนผมก็ตั้งท่าจะเดินเข้าไปหาพี่เนย์ที่กำลังนั่งรอผมอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าคณะ พร้อมกับพวกพี่เอ้
“เออไอ้รัน” ไอ้หมอกมันเรียกผมไว้ ผมจึงหันหลังกลับไปมอง

“อย่าไปแอบแทะกันนะมึง กูรอเอาชีทอยู่”
“ไอ้สัส” ผมด่าไอ้หมอก พลางวิ่งไล่เตะไอ้เพื่อนกวนประสาทเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน

“เนี่ย! มึงเวลาด่าล่ะโปรมาก” ไอ้หมอกมันยังพูดไม่หยุด พร้อมกับวิ่งอ้อมหน้าอ้อมหลังไอ้คินยกใหญ่ ผมเลยได้แต่ก้าวซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ตามการหลอกล่อของไอ้เพื่อนบ้านั่น
“พอเลย พวกมึงนี่” ไอ้คินพูดเสียงเข้ม หากแต่การกระทำของมันกลับไม่ได้เข้มตามไปด้วย เพราะแม่งเจ็บชิบหาย ไอ้เวรนี่ก็อีกคน เวลาจะห้ามทัพทีไร แม่งไม่ค่อยจะห้ามแบบปกติหรอก แต่ชอบห้ามแบบตบกะโหลกจนแทบร้าว
แล้วพวกผมจะทำอะไรได้ นอกจากต้องหยุดน่ะสิ เพราะมันเจ็บ!

“ปกติเวลามึงทะเลาะกันแบบคนนึงพูดมาก อีกคนไม่พูด กูก็ปวดหัวจะแย่ แต่พอพวกมึงพูดทั้งสองตัว ไอ้สัส กูล่ะปวดกะบาล แยกย้ายเว้ย มึงไปหาพ่อมึงนู่น ส่วนมึงมากับกูนี่ รู้ว่ามันเขินก็ยังจะล้อไม่เลิก” ไอ้คินว่า พลางลากคอเสื้อไอ้หมอกให้เดินแยกตัวไปยังสถานที่สำหรับจอดรถจักรยานอย่างรวดเร็ว ผมก็เลยต้องเดินเลี่ยงไปหาพี่เนย์ที่กำลังนั่งรออยู่
“เอาไว้มึงได้แทะ กูก็ล้อ ไม่ต้องน้อยใจ” ผมถึงกับหลุดขำ เมื่อแอบได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากเพื่อนทั้งสองคน ที่ยังเดินไปไม่ไกลนัก

“มึงแกล้งอะไรเพื่อนมึงน่ะ?” พี่เนย์ลุกขึ้น พลางเดินเข้ามาถาม พร้อมกับล็อกหัวผมเอาไว้ด้วย
“ผมไม่ได้..แกล้ง” ผมส่ายหน้า พลางเอื้อมไปดึงมือกาวของอีกฝ่ายที่วางแปะอยู่บนหัว ก่อนจะเค้นเสียงพูดจนมันกลายเป็นประโยคที่ไม่ตะกุกตะกักนัก

“สอบเต็มเวลาเลยนะรัน กะดึงมีนเลยใช่มั้ย” หลังจากผมยกมือไหว้พี่ๆทุกคนและทิ้งตัวลงลงนั่งแทนที่พี่เนย์ พี่เอ้ก็ถามกึ่งแซ็วๆ ส่วนพี่เนย์ก็ยืนเอามือท้าวหัวผม เพราะเจ้าตัวไม่มีที่นั่ง
“ทำไม่ได้..มากกว่า..ครับ..ก็เลยคิด..นาน” ผมพยายามพูดให้เป็นประโยคโดยไม่ติดขัดอะไร แต่เพราะประโยคนี้มันยาว ก็เลยกระท่อนแท่นไปสักหน่อย
แต่พี่เนย์ไม่ได้ว่าอะไรก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ

“โห ไม่ได้เจอกันพักเดียว พูดเก่งขึ้นเยอะเลย แบบนี้แหละเนอะ เขาถึงได้กล่าวว่า Success is the sum of small efforts, repeated day in and day out (by Robert Collier)” พี่เอ้ท้าวคางพลางยกยิ้ม คล้ายกับว่าความสำเร็จของผมในครั้งนี้ ทำให้เธอมีความสุข เพราะหนึ่งในความสำเร็จนั้น ก็มีเธอคอยช่วยเหลือ แม้ว่าจะไม่มากมาย แต่การซื้อหนังสือมาให้ผมอ่าน ทั้งๆที่ไม่จำเป็น ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่แล้ว ในเมื่อหนังสือเล่มนึง ราคาไม่ใช่ถูกๆเลย
“…” ผมยิ้มให้พี่เอ้ ก่อนจะยิ้มให้พี่ๆทุกคนที่ก็ยิ้มตามคำพูดของผู้หญิงหนึ่งเดียวของกลุ่ม

“ว่าแต่..ทำไมรอบ..นี้..พวกพี่ถึง..ออก..ก่อนหมดเวลา..ได้ล่ะครับ” ผมถามอย่างสงสัย
“ก็ทำกันไม่ได้ไง เลยต้องออกเร็ว” พี่เปรมพูดขึ้นพลางแอบถอนหายใจอย่างปลงตก ดูท่าวิชานี้คงจะโหดสำหรับพวกพี่เขามาก แม้แต่พี่เนย์ที่ชอบจองคิวออกคนสุดท้ายยังต้องยอมแพ้

“พี่..นะ..เอ ก็ด้วย..เหรอ..ครับ...แปลก..”
“ไอ้ห่านั่นน่ะนะ แม่งก็บ่นว่าทำไม่ได้ตลอดแหละ แต่พอผลออกมา อ้าวมึงนี่มันตัวดึงมีนชัดๆ สาดดดด” พี่ตี๋บาสพูดขึ้น พลางหันไปพูดคำสุดท้ายใส่หน้าคนตัวสูงที่กำลังใช้หัวผมเป็นที่วางแขน

“ของแบบนี้มันอยู่ที่มันสมองเว้ยมึง” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“สัส กวนตีน สอบเสร็จมึงมาดวนกันหน่อยมั้ย เผอิญหมั่นไส้นิดหน่อย” พี่บาสแฟนพี่เอ้ถึงกับด่าเพื่อนตัวเองยกใหญ่ แต่ดูเหมือนตัวดึงมีนที่ว่า จะไม่ได้สะทกสะท้านอะไร

“เอาดิ แต่กูเอาไอ้เด็กนี่อยู่ทีมกู” พี่เนย์ผละออกห่างจากผมครู่เดียว เจ้าตัวก็เอาแขนแข็งๆมาเกี่ยวคอผม เพื่อบังคับให้อยู่ทีมเดียวกัน
“โห ไอ้สัสเนย์ แค่มึงคนเดียวกูก็แย่แล้วป่ะวะ แต่เดี๋ยวนะ ที่กูบอกว่าจะดวนกัน คือกูหมายถึงต่อยครับมึง ไม่ได้หมายถึงแบด สาดดดด” พี่บาสบ่นอุบ เพราะเจ้าตัวเล่นแบดไม่เก่ง

“เอาๆ ตกลงตามนี้นะคะ ไปๆ แยกย้าย” พี่เอ้พูดแทรกขึ้น พลางปรบมืออย่างสนุกสนาน พร้อมกับหัวเราะคิกคักไปด้วย ท่าทางว่าจะกำลังสนุกที่ได้แกล้งแฟนตัวเองไม่น้อย
“โห่ เอ้ ไม่ตลก” พี่บาสบ่น พลางเดินตามแฟนสาวของตัวเองพร้อมกับใบหน้าบึ้งๆ พวกเราที่เหลือก็เลยถือโอกาสแยกย้ายกันกลับหอใครหอมัน

“มึงจะแวะกินอะไรก่อนมั้ย?” พี่เนย์ถามขณะที่เรากำลังเดินตรงไปยังลานจอดรถ
“แซลม่อน..บลูเลม่อน..เลี้ยงด้วย” ผมพูดพลางหันไปมองพี่เนย์อย่างคาดหวัง

“แดกของแพง เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรไม่ทราบ?” พี่เนย์ย้อนถามพลางดันหัวผมจนเซ
“ค่าตัว..ไปเล่นแบด” ผมตอบพลางกลั้วหัวเราะ

“ค่าตัวสูงเนอะ”
“…” ผมยิ้มไม่ปฏิเสธ เพราะวันหน้าผมต้องใช้แรงเยอะนะ จู่ๆเล่นมาทาบทามกึ่งบังคับแบบนี้ ผมก็ต้องเรียกร้องสิทธิของตัวเองบ้าง

“ทีแบบนี้ล่ะทำมามองหน้ากู”
“…” ผมหุบยิ้มแทบจะทันที เมื่ออีกฝ่ายพูดประโยคนั้นออกมา ขณะที่รอบกายก็เริ่มเงียบสงบ เพราะสิ่งๆที่เดียวผมรับรู้ได้ ก็คือความเก้อเขิน

“กูต้องจัดการกับมึงยังไงดี หืม?
“…” พี่เนย์ลงท้ายคำถาม ด้วยคำว่า ‘หืม’ พร้อมด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มในแบบที่ผมมักจะแพ้ทาง จนผมนึกอยากจะบอกกับเจ้าตัวว่า พี่ไม่ต้องลงมือจัดการอะไรอีกแล้ว เพราะตอนนี้ขนาดพี่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร ผมก็แทบจะแย่ ในเมื่อคำลงท้ายเมื่อครู่ มันเป็นคำที่ให้อารมณ์ไม่ต่างจาก ‘ครับ’ ที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่
ซึ่งมันก็เป็นคำที่ไม่ได้หวือหวาอะไร
แต่ผมกลับชอบฟังเป็นพิเศษ

---------------------------------------------------
วันนี้ปั่นได้เร็ว เพราะไม่มีฉากยากอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้ามีฉากยากๆ ก็นานหน่อย สำหรับตอนนี้เพื่อนพี่เนย์กลับมาแล้วค่ะ เค้ายังมีตัวตนกันอยู่ 5555 คาดว่าตอนพิเศษน่าจะยืดมากกว่า 10 ตอนรึเปล่าไม่รู้ค่ะ นี่เพิ่งได้ครึ่งทางเอง 5555
ปล. จริงๆเค้ายังไม่ได้แทะกันครบทุกขั้นตอนนะคะ เห็นมีบางคนตีความผิด เค้าแค่ช่วยเหลือกันในความมืดนิดหน่อย เราไม่อยากเร่งเขียนฉากนี้เร็วนัก เอาแบบค่อยเป็นค่อยไปดีกว่าค่ะ ถ้ามันงงๆ ก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ ไม่ถนัดซีนแบบนั้นเลย

คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
น้องจะพูดยาวๆได้แล้วว

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
น้องรันพูดเก่งขึ้นเยอะเลย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด