พิมพ์หน้านี้ - Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Chomin ที่ 18-10-2017 20:33:13

หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 18-10-2017 20:33:13
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

♥ Fall in you ♥
-chomin-

ตอนเด็กๆ ผมมักจะถูกเรียกว่า
'ไอ้ใบ้' ตั้งแต่นั้นอคติทั้งหลายก็ประเดประดังเข้ามา
แต่เมื่อผมย้ายมาเรียนที่มหาลัยแห่งนี้ ทัศนคติต่างๆก็เปลี่ยนไป..
(https://i.imgur.com/jnmwjXP.png)

ร่วมติด Hashtag : #ฟอลอินยู ในทวิตได้นะคะ

♥ สารบัญ ♥

คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี) (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
ตอน 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3722231#msg3722231) ♥ ตอน 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3722621#msg3722621) ♥ ตอน 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3723074#msg3723074) ♥ ตอน 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3723078#msg3723078) ♥ ตอน 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3723081#msg3723081) ♥ ตอน 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3724834#msg3724834) ♥ ตอน 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3725251#msg3725251) ♥ ตอน 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3725662#msg3725662) ♥ ตอน 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3726380#msg3726380) ♥ ตอน 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3726784#msg3726784) ♥ ตอน 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3727537#msg3727537)
ตอน 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3728030#msg3728030) ♥ ตอน 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3728575#msg3728575) ♥ ตอน 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3729163#msg3729163) ♥ ตอน 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3729672#msg3729672) ♥ ตอน 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3730309#msg3730309) ♥ ตอน 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3730817#msg3730817) ♥ ตอน 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3731614#msg3731614) ♥ ตอน 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3731977#msg3731977) ♥ ตอน 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3732602#msg3732602) ♥ ตอน 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3733119#msg3733119)
ตอน 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3733727#msg3733727) ♥ ตอน 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3734213#msg3734213) ♥ ตอน 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3735040#msg3735040) ♥ ตอน 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3736046#msg3736046) ♥ ตอน 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3736756#msg3736756) ♥ ตอน 27 (End) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3737286#msg3737286)
ตอนพิเศษ 1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3737883#msg3737883) ♥ ตอนพิเศษ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3738622#msg3738622) ♥ ตอนพิเศษ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3739608#msg3739608) ♥ ตอนพิเศษ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3740258#msg3740258) ♥ ตอนพิเศษ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3741176#msg3741176) ♥ ตอนพิเศษ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3742604#msg3742604) ♥ ตอนพิเศษ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3743104#msg3743104) ♥ ตอนพิเศษ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3744555#msg3744555) ♥ ตอนพิเศษ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3745673#msg3745673) ♥ ตอนพิเศษ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3748163#msg3748163) ♥ ตอนพิเศษ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3748610#msg3748610) ♥ ตอนพิเศษ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3749095#msg3749095) ♥ ตอนพิเศษ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3749741#msg3749741) ♥ ตอนพิเศษ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3750053#msg3750053) ♥ ตอนพิเศษ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3750894#msg3750894) ♥ ตอนพิเศษ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3751617#msg3751617) ♥ ตอนพิเศษ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3751923#msg3751923) ♥ ตอนพิเศษ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3752746#msg3752746) ♥ ตอนพิเศษ 19 (http://hhttps://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3753536#msg3753536) ♥ ตอนพิเศษ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3754193#msg3754193) ♥ ตอนพิเศษ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3754821#msg3754821) ♥ ตอนพิเศษ 22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3755812#msg3755812) ♥ ตอนพิเศษ 23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3758230#msg3758230) ♥ ตอนพิเศษ 24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3759316#msg3759316) ♥ ตอนพิเศษ 25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3760404#msg3760404) ♥ ตอนพิเศษ 26 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3761635#msg3761635) ♥ ตอนพิเศษ 27 (Real End) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3762703#msg3762703)
ตอนพิเศษ (And we) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62956.msg3768179#msg3768179)

--------------------------------------------------------

♥ ผลงานอื่นๆ ♥
(เรื่องสั้น) บันทึกรักนักเดินทาง (End)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65492.0)
(เรื่องสั้น) Cloud9 Diary (End)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68572.0)
(เรื่องยาว) Again and again (End)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67182.0)
(เรื่องยาว) ในป่าสน (End)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65693.0)
(เรื่องยาว) มหาบุรุษแห่งครีตัน (End)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69870.0)
(เรื่องยาว) ความลับของช่างตัดเสื้อ ✁ BDSM (Onair)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71181.0)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 1 [up 18/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 18-10-2017 20:44:03
♥ Fall in you ♥
-ตอน 1-


“อ๊ะ”

ผมเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆก็ปะทะเข้ากับร่างของใครสักคน เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินให้มันตรงกับแนวเส้นสีขาวบริเวณริมขอบถนนในเขตรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยจินตนาการอันเต็มเปี่ยมคล้ายกับวัยเด็ก ที่ชอบคิดว่าแนวเส้นตรงหรือพื้นที่แคบๆ มันคือสะพานไม้เล็กๆ ที่ข้างล่างเต็มไปด้วยฝูงฉลาม
ซึ่งถ้าหากเดินไม่ตรงล่ะก็..ศพคงไม่สวย

ด้วยเพราะแรงปะทะนั่น ผมจึงยืนนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ก็พบกับคู่กรณีที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในระยะประชิด เลยได้แต่ก้มหัวขอโทษขอโพย ก่อนจะรีบวิ่งออกมาให้ห่างจากจุดเกิดเหตุ
เพียงเพราะผม..
‘พูดไม่ได้’
   
ผมชื่อ ‘เนรัน’ เรียกง่ายๆว่า ‘รัน’ เพิ่งจะเลื่อนขั้นจากเด็กมัธยมขึ้นมาเป็นเด็กมหาลัยเมื่อไม่นานนี้ ผมเลือกเรียนคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาหูหนวกศึกษา ซึ่งเป็นสาขาวิชาน้องใหม่ที่เพิ่งจะเปิดมาได้แค่เพียงสามปีเท่านั้น โดยปีนี้เปิดรับนักศึกษาที่มีการได้ยิน 35 คน ส่วนอีก 65 คน จะเป็นนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
อันที่จริงแล้ว ผมสามารถเลือกเรียนคณะและสาขาวิชาอื่นๆได้ เพราะประสาทสัมผัสทางการได้ยินของผม มันยังครบถ้วนสมบูรณ์ดี ติดก็ตรงที่ผมไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้ เลยเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ผมตัดสินใจเลือกเรียนสาขาวิชานี้

“ทำไมวันนี้มึงมาช้าจังวะรัน?” ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะม้าหินอ่อน ไอ้คินมันก็รีบถามยกใหญ่ ต้องบอกก่อนว่า เพื่อนของผมคนนี้เป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี
พวกเราเป็นรูมเมทกัน แต่ที่ไม่ได้มาพร้อมกัน ก็เพราะว่าผมเป็นเด็กอนามัย ติดนิสัยชอบกินข้าวเช้าทุกวัน ผมเลยต้องยอมฉายเดี่ยว ทั้งๆ ที่ปกติ ผมจะไม่ชอบเข้าสังคมใหญ่ๆแบบนั้นคนเดียว

‘กูแม่งกินจนลืมดูเวลาน่ะสิ’ ผมรีบพิมพ์คำตอบเพียงครึ่งเดียวลงในกรุ๊ปแชท เพราะกลัวว่าจะถูกพวกมันรุมประณามที่มัวแต่เถลไถลจนมาสาย แถมยังเซ่อซ่าเดินไปชนคนอื่นเขาอีก
ส่วนสาเหตุที่พวกผมต้องคุยกันด้วยวิธีนี้ ก็เพราะพวกเราไม่เคยเรียนภาษามือกันมาก่อน จะมีก็แต่ไอ้หมอกที่เคยเรียนมา แต่ก็แทบไม่ช่วยอะไร เพราะมันไม่ค่อยจะใช้ภาษามือสักเท่าไหร่ ในเมื่อตอนนี้ไอ้หมอกมันใส่เครื่องช่วยฟังแล้ว จึงทำให้มันสามารถพูดคุยโต้ตอบกับเพื่อนคนอื่นๆ ได้ เพียงแต่มันจะตอบดีเลย์สักเล็กน้อย
เพราะฉะนั้นในกลุ่ม ก็เห็นจะมีแค่ผมนี่แหละที่ลำบากกว่าใครเพื่อน

“เด๋อในเด๋อ พ่อแม่มึงเขากล้าปล่อยมึงมาเรียนถึงนี่ได้ยังไงวะ” พอได้ที ไอ้หมอกก็รีบดุผมใหญ่ ราวกับมันกลัวว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้ดุผมอีกแล้ว ผมจึงแยกเขี้ยวใส่ไอ้เพื่อนบ้า ที่มันนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อนทางด้านขวามือ
‘เพราะกูมีเหตุผลที่ดีไงวะ’ พอพิมพ์ข้อความเสร็จ ผมก็ยักคิ้วให้ไอ้หมอกสักสองสามที

ต้องบอกก่อนว่า กว่าแม่จะยอมให้ผมมาเรียนที่มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดได้ ก็แทบลากเลือดเลยทีเดียว ดีที่พวกท่านเข้าใจในเหตุผลที่ว่า มหาลัยอื่นเขาไม่มีสาขาวิชานี้เปิดสอน ผมถึงต้องเลือกมาเรียนที่นี่ แม่ก็เลยบังคับให้ผมอยู่ที่หอในจนกว่าจะเรียนจบ

“เป็นกูนะ กูไม่ยอมปล่อยมึงมาหรอก เด๋อขนาดนี้” ไอ้หมอกมันยังไม่ยอมจบ มีการมาผลักหัวผมด้วย

แหม่.. เพิ่งจะเปิดเทอมได้ไม่กี่อาทิตย์ มึงก็คิดจะทำศึกสงครามกับกูแล้ว?

“ตีกันตลอดเลยพวกมึงเนี่ย!” ไอ้คินส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“เชี่ย! ใกล้จะได้เวลาเข้าเรียนแล้วว่ะ ไปกันเถอะ” พอไอ้คินมันยื่นมือเข้ามาสงบศึก ไอ้หมอกก็รีบก้มหน้ามองนาฬิกา ก่อนจะอุทานออกมาอย่างตกใจ..
แค่นั้นแหละ.. วงก็แตกสิครับ!

“ดีนะที่อาจารย์ยังไม่มา” ไอ้คินทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะเก้าอี้นุ่มๆ คล้ายกับเก้าอี้ในโรงหนัง พลางหอบหายใจแฮ่กๆ ยกใหญ่ เพราะเมื่อครู่พวกเราต้องวิ่งขึ้นบันไดมาตั้งสองชั้น
“เหนื่อยเชี่ยๆ” ไอ้หมอกเองก็หอบแฮ่กไม่ต่างกัน มันเอาแต่สะบัดเสื้อเชิ้ตนักศึกษาของตัวเองไปมา ส่วนผมก็ทำได้แค่เหนื่อยเงียบๆ ข้างๆ พวกมัน

ในส่วนของวิชาที่พวกเราต้องลงเรียนในเทอมแรก ดูเหมือนจะหนักไปทางคลาสบรรยาย เพราะเป็นวิชาพื้นฐานสำหรับปีหนึ่ง แล้วก็มีวิชาภาษามือที่เป็นภาษาเฉพาะของสาขาเราด้วยอีกหนึ่งตัว ซึ่งวิชาภาษามือนี้ ถ้ายิ่งเรียนสูงขึ้น ระดับความยากก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอาจารย์ที่ให้ความรู้กับพวกเรา ก็มีทั้งอาจารย์ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและไม่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เพราะเนื่องจากภาควิชาของเรา จะต้องเรียนรวมกันทั้งกลุ่มคนที่มีความได้ยินและไม่ได้ยิน จึงทำให้ในแต่ละคลาสของวิชาบรรยาย จะต้องมีล่ามผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษามือมาร่วมด้วย ส่วนถ้าหากรายวิชาไหนเป็นวิชาที่จะต้องเรียนรวมกับคณะอื่น นักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยินก็จะต้องแยกออกไปเรียนรวมในคลาสเดียวกัน

“นักศึกษาพอจะทราบวัฒนธรรมของคนหูหนวกหรือไม่คะ?” อาจารย์ฤดีพูดออกไมค์ พลางเดินไปเดินมาอยู่หน้าชั้นเรียนที่มีลักษณะสโลป
 
ไม่ควรล้อเลียนหรือขบขัน เมื่อเห็นคนหูหนวกใช้ภาษามือ.. ถูกต้องค่ะ” แน็ตเพื่อนร่วมรุ่นที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและไม่สามารถพูดคุยออกเสียงได้ เป็นหน่วยกล้าตายคนแรกที่ยกมือขึ้น พออาจารย์อนุญาตให้ตอบคำถาม เธอก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และใช้ภาษามือในการสื่อสารกับอาจารย์ จากนั้นอาจารย์ก็แปลคำตอบของเธอให้พวกเราทราบ

‘กูเกลียดมึง’ ผมรีบพิมพ์ข้อความลงในกรุ๊ปแชท เมื่อไอ้หมอกมันโชว์สกิลการแปลภาษามือพร้อมๆ กับอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าคลาสให้พวกเราฟังเบาๆ
“เอ๊า เกลียดกูทำเชี่ยไรครับ?” ไอ้หมอกมันกระซิบถาม

‘เวลากูถาม เสือกไม่แปล แต่เวลาที่กูไม่ถาม มึงเสือกแปล โคตรเกลียด!’ ผมก้มหน้าก้มตาพิมพ์แชทซะยืดยาว เพราะเรื่องของเรื่อง ตอนเราเรียนวิชาภาษามือในคลาสแรก ผมที่ไม่เข้าใจและยังตามอาจารย์ไม่ค่อยทัน ดันถูกเรียกให้ตอบคำถาม ผมเลยหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากไอ้หมอก แต่ปรากฏว่ามันกวนตีนผมไง ทำเป็นลอยหน้าลอยตา ไม่เข้าใจความนัยที่ผมต้องการจะสื่อ!

“ถ้ากูช่วย มึงก็ไม่คิดจะจำน่ะสิวะ นี่แหละจะได้ตั้งใจเรียน ไม่แอบหลับ” ดูมัน ผมไม่ได้แอบหลับสักหน่อย อีกอย่างผมก็ยังใหม่กับเรื่องนี้มาก ใครจะกล้าหลับลงวะ!
‘เกลียดมึง กูจะไม่ไปกินข้าวกับมึง’ ผมส่งแชทคุยกับมันเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นก็หันกลับมาสนใจอาจารย์ต่อ ซึ่งเพื่อนๆ ก็ยังคงถูกเรียกให้ตอบคำถามอยู่เรื่อยๆ

“นายปกรณ์”
“ไม่ควรบังคับคนหูหนวกให้พูดด้วยปาก” ไอ้คินยกมือแสดงตัว พลางลุกขึ้นยืนและตอบคำถาม เพราะถูกอาจารย์สุ่มเรียกชื่อ

“นายเนรัน” สิ้นเสียงของอาจารย์ ผมก็สะดุ้งอย่างตกใจ เพราะถ้าผมถูกสุ่มเรียกชื่อ ก็ต้องสื่อสารกันด้วยภาษาเขียน และนั่นก็แสดงว่าผมจะต้องตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนร่วมรุ่น

“อาจารย์ครับ! ขอเวลาให้เพื่อนผมมันเขียนคำตอบแป๊บนึงครับ คือมันไม่สะดวกจะตอบคำถามด้วยวิธีพูดน่ะครับ” ไอ้หมอกมันยกมือพลางลุกขึ้นยืนและตะโกนบอกอาจารย์ที่อยู่หน้าชั้นเรียน เนื่องจากพวกเราได้ที่นั่งในแถวที่ห้าทางฝั่งซ้ายมือ ใกล้กับประตูทางออก
“ไอ้รัน รีบเขียนดิมึง” พออาจารย์พยักหน้าอนุญาต ไอ้หมอกมันก็เอาแขนมาสะกิดแขนผมหยิกๆ จนผมเขียนไม่เป็นตัวหนังสือ แต่พอเขียนคำตอบเสร็จ ผมก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับแอบกระทืบเท้าไอ้หมอกไปด้วยหนึ่งที จากนั้นก็รีบเดินออกจากแถวที่นั่ง และวิ่งลงบันไดเพื่อไปหาอาจารย์ที่หน้าห้องบรรยายลักษณะสโลป

ไม่ควรเรียกคนหูหนวกว่า ‘ไอ้ใบ้’ ถูกต้องค่ะ ข้อนี้ถือเป็นข้อแรกๆ ที่พวกเราควรคำนึงถึงมากที่สุด เพราะคำๆ นี้ เป็นคำที่กระทบกระเทือนทางด้านความรู้สึกของกลุ่มคนเหล่านี้ เนื่องจากคำว่า ‘ใบ้’ อาจจะตีความหมายได้ว่า บ้าใบ้ โง่ ทึบ ไร้สมอง”

หลังจากอาจารย์อ่านคำตอบของผมเสร็จ ผมก็ยกมือไหว้ ก่อนจะรับสมุดกลับคืนมา จากนั้นผมก็รีบเดินกลับมายังที่นั่งของตัวเอง อันที่จริงคำตอบนี้น่ะ ผมแอบลุ้นอยู่นานเลยล่ะ ว่าจะมีใครเอามาตอบหรือเปล่า เพราะมันเป็นคำตอบที่ตรงกับใจผมมากที่สุด อาจด้วยเพราะผมอยู่กับคำพูดแบบนี้มานาน มันก็เลยฝังใจ เพราะต่อให้ได้ยินอีกกี่ครั้ง มันก็ทำเอาเลือดขึ้นหน้าได้ตลอด
แต่ก็อย่างว่า ช่วงที่ผมโดนเรียกแบบนั้น มันก็เป็นช่วงสมัยประถม ส่วนมัธยมก็พอมีบ้าง แต่ตอนนั้นผมสู้คนแล้วไง ผมเลยต่อยแม่งเลือดกบปาก จนต้องเข้าห้องปกครองอยู่ตลอด

‘กูไปเข้าห้องน้ำนะ’ ไม่นานอาจารย์ก็ปล่อยพักสิบนาที พวกไอ้คิน ไอ้หมอก มันก็รีบมุดหัวเข้าสู่โลกโซเชียลอย่างไว เหลือก็แต่ผม ที่ต้องปลีกวิเวกไปปลดทุกข์
“เออๆ”

ผมกึ่งเดิน กึ่งวิ่งขึ้นบันไดไปอีกชั้น พลางนึกก่นด่าตัวเองที่กินน้ำมาเยอะจนปวดฉี่ พร้อมกับภาวนาไม่ให้มีคนมาเข้าห้องน้ำเยอะ เพราะผมอุตส่าห์ลงทุนวิ่งขึ้นมาฉี่ถึงชั้นบนสุด
“มึงจะรีบอะไรขนาดนั้นวะ” พอวิ่งมาถึงห้องน้ำ ผมก็รีบพุ่งตัวเข้าไป ทำให้สวนทางกับใครสักคน ที่กำลังจะเดินออกมา โชคดีที่เขาหลบทัน ไม่อย่างนั้นผมคงชนเข้าเต็มเปา กระทั่งได้ยินอีกฝ่ายบ่น ผมถึงได้หันกลับไปมอง เลยทันได้เห็น ว่าเขาเองก็มองมาทางผมเหมือนกัน ผมจึงก้มหัวขอโทษขอโพยอย่างรวดเร็ว เพราะวันนี้ผมชนเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว และท่าทางเขาก็น่าจะจำผมได้

“ทีหลังมึงก็หัดวิ่งให้มันดูทางบ้างสิวะ เกิดมึงหกล้มไปก็เป็นเรื่องอีก” ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นลอยๆ แต่เจตนาคงไม่ได้ลอยๆ เหมือนคำพูด เพราะตอนนี้มีแค่ผมกับเขาที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง
ซึ่งเขาอยู่ในโซนของอ่างล้างมือ ส่วนผมอยู่ในโซนสำหรับทำธุระส่วนตัว ครั้นพอฉี่เสร็จ ผมก็เดินออกมาตรงอ่างล้างมือ เลยทำให้เห็นว่าใครคนนั้น กำลังทิ้งตัวลงนั่งบนเคาน์เตอร์หินอ่อน จากนั้นเขาก็เริ่มใช้ภาษามือในการสื่อสาร
ท่าทางว่าเขาน่าจะเข้าใจว่าผมคือหนึ่งในผู้บกพร่องทางการได้ยินล่ะมั้ง..

“…” ผมได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายตาแป๋ว เพราะผมยังไม่เข้าใจภาษามือมากนัก ผมเลยตัดสินใจเดินไปล้างมือ จากนั้นก็เช็ดกับกางเกงตามความเคยชิน ก่อนจะแบมือขอโทรศัพท์จากอีกฝ่ายเพราะผมไม่ได้เอาโทรศัพท์ของตัวเองมาด้วย
“อะไรของมึงวะ” ผู้ชายร่างสูงนัยตาคมกริบที่ท่าทางจะเป็นรุ่นพี่ กำลังเกาหัวแกรกๆ ด้วยความมึนงง ผมจึงขยับมือไปมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่เข้าใจผมอยู่ดี เลยนึกขึ้นได้ว่า ผมควรจะทำมือเหมือนรูปโทรศัพท์ แล้วก็ยกขึ้นแนบหู

“โทรศัพท์?” อีกฝ่ายถามอย่างไม่แน่ใจ ผมจึงพยักหน้าตอบ
“มึงหลอกขโมยมือถือกูป่ะเนี่ย?” ผู้ชายคนนั้นหรี่ตามองผม แต่ก็ยอมหยิบโทรศัพท์ส่งมาให้

‘เมื่อกี้ตอนที่ใช้ภาษามือ กำลังถามว่าอะไรเหรอครับ พอดีผมเพิ่งเรียนไปแค่สองคลาสเอง’ พอพิมพ์เสร็จ ผมก็ยื่นให้เจ้าของโทรศัพท์อ่าน
“กูถามว่ามึงเข้าใจไหม ที่บอกว่าให้วิ่งดูทางน่ะ เมื่อเช้าก็ทีนึงละ นึกบ้าอะไรขึ้นมา ถึงไปเดินริมถนน มึงไม่ได้โชคดีเสมอไปหรอกนะ เผลอๆ รถอาจจะวิ่งชนมึง หรือไม่ก็มึง อาจจะเดินไปชนรถเข้าก็ได้ ใครจะรู้” ผู้ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่สายตาของเขา กำลังมองมาที่ผม ราวกับต้องการจะอบรมบ่มนิสัย

“…” ผมพยักหน้า แต่ก็แอบนึกค้านในใจนิดหน่อย เพราะว่าเขากับผม ดันชนกันที่ริมขอบถนนด้วยไง ถ้าจะดุกัน เขาก็น่าจะดุตัวเองด้วยไหม?
“เข้าใจก็ดี กูไปเรียนละ” เมื่อได้คำตอบอันถูกใจ ผู้ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นยืน พร้อมจะก้าวเดินออกจากห้องน้ำ

“กูชื่ออาคเนย์ อยู่ปีสาม” พี่เขายกยิ้มให้ จากนั้นก็เดินออกจากห้องน้ำ โดยไม่รอฟังคำแนะนำตัวจากผม แต่ก็นะ พี่เขาน่าจะเรียนอยู่สาขาเดียวกับผม เพราะเขารู้ภาษามือในระดับที่ดีมาก
ไม่ช้าก็เร็ว พี่เขาก็คงจะได้รู้จักกับผมอย่างเป็นทางการอยู่ดี..

“หิวเว้ย! กินอะไรดีวะ” พออาจารย์กล่าวปิดคลาส เพื่อนๆ ก็เริ่มทยอยกันเก็บของ ส่วนไอ้หมอก ก็รีบบ่นหิวขึ้นมาทันที
“กะเพราไข่ดาวมั้ยมึง?” ไอ้คินเสนอความเห็น ขณะที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างสบายใจเฉิบ

“ถุย! เมนูโคตรสิ้นคิด”
‘เรื่องมากไอ้สัส!’ ผมรีบพิมพ์ใส่กรุ๊ปแชทด้วยความหมั่นไส้

“โถถถถ ทำมาด่ากู แต่พอจะแดกแต่ละที มึงก็ลอกกูตลอด” ไอ้หมอกหันมาเบะปากใส่ผม พลางมองแรงแถมมาให้อีกดอก
‘อะไร! กูไม่ให้มึงไปกินด้วยนะเว้ย!’ ผมรีบพิมพ์ลงไปในแชทเพื่อตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้

“ไปเว้ยไอ้คิน ไปกินข้าวกัน” ไอ้หมอกมันทำเป็นไม่สนใจผม แล้วก็รีบหันไปฉุดแขนไอ้คินที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์เงียบๆ โดยที่มันก็เป็นอีกคนที่ไม่ยอมอ่านแชทกลุ่ม
แบบนี้ก็แสดงว่าพวกแม่งรวมหัวกันแกล้งผมน่ะสิ!

ผมที่กำลังตกอยู่ในสถานะหมาหัวเน่า ก็ต้องรีบรูดซิบปิดกระเป๋า และสะพายมันไว้กับตัว จากนั้นจึงรีบพุ่งตัวออกจากห้องบรรยาย ด้วยความเร็วที่คิดว่าน่าจะมากที่สุดในชีวิต และพอใกล้จะถึงเป้าหมาย ผมก็รีบกระโดดคว้าคอพวกมันสองคน ที่สูงกว่าผมเกือบๆสิบเซ็น พร้อมกับแทรกตัวเองให้ยืนอยู่ระหว่างกลางของกลุ่มเพื่อน

“เหี้ย!” พวกมันสองคนถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะเมื่อครู่พวกมันเกือบจะหน้าคว่ำเข้าให้
“…” แล้วพอพวกมันหันมามองหน้าแบบเอาเรื่อง ผมก็รีบหันไปยิ้มให้ทางซ้ายที ขวาที อย่างเอาใจ

“ไอ้รัน มึงเล่นเชี่ยไรเนี่ย?” ไอ้คินมันทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงแข็งโป๊ก
“…” ผมยิ้มให้พวกมันอีกคนละที พร้อมกับกระชับวงแขนให้รัดคอพวกมันแน่นขึ้น

“ยังอีก! ยังจะเสือกยิ้มโง่ๆ ใส่กูอีก! เชี่ย!” ผมตีหัวไอ้หมอกทันทีที่มันเริ่มส่อแววจะอ้อนตีน ไอ้เพื่อนรักมันก็เลยสบถใส่หน้าผมเต็มๆ น้ำลงน้ำลายงี้ซ่านกระเซ็นเป็นฝอยๆ

ตุบ ตุบ!

“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว” ไอ้คินที่เอาแต่ปิดปากเงียบมานาน เริ่มออกหน้าห้ามศึกอีกครั้ง ด้วยการตบหัวพวกผมคนละที และพอโดนฝ่ามือพิฆาต ผมกับไอ้หมอกก็รีบสามัคคีกันอย่างว่านอนสอนง่าย บรรยากาศรอบๆตัวก็เลยมีแต่เสียงเซ็งแซ่ของเพื่อนๆ ร่วมคณะ

“มึงไปซ้อนไอ้คินโน่นเลยไป!” ไอ้หมอกรีบเบรค เมื่อผมกำลังตั้งท่าจะซ้อนท้ายจักรยานของมัน ต้องบอกก่อนว่า มหาลัยของเรามีพื้นที่กว้างขวางมาก เลยเหมาะกับการใช้เป็นสถานที่ในการออกกำลังกาย จึงมีบริการหยิบยืมจักรยานอยู่หลายจุด โดยคนนอกจะต้องใช้บัตรประชาชนในการหยิบยืม ส่วนนักศึกษาสามารถใช้บัตรนักศึกษามาหยิบยืมได้เลย แต่จะต้องยืมคืนภายในวันต่อวันเท่านั้น
“…” แต่แล้วผมก็ถูกผลักจนตัวปลิว เรื่องของเรื่อง เพราะผมไม่ทันตั้งตัว ไม่ใช่ว่าผมเป็นผู้ชายบอบบางแต่อย่างใด ในเมื่อผมสูงตั้ง 175 เตี้ยกว่าพวกมันแค่เกือบๆ 10 เซ็นเท่านั้นเอง

“…” ผมทำเป็นยืนนิ่ง จนไอ้หมอกมันตายใจ พอสบโอกาสเหมาะ ผมก็รีบกระโดดขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานของมันทันที
“เจ้าเล่ห์นะมึง” ไอ้หมอกมันหันมาต่อว่า จากนั้นมันก็ทำท่าจะเอาหัวมาโหม่งหน้าผากผม

แต่ขอโทษที กูไหวตัวทัน!

“พวกมึงนี่เก่งเนอะ อีกคนพูดมาก ส่วนอีกคนไม่พูด แต่กลับทะเลาะกันได้เป็นเรื่องเป็นราว” ไอ้คินมันว่าขำๆ พลางถอยจักรยานออกจากซองจอด ก่อนจะวาดขาขึ้นไปนั่งบนเบาะ แล้วมันก็รีบปั่นออกไป
“รอพวกกูด้วยสิวะ ไอ้รัน มึงก็ทำตัวให้มันเบาๆ ดิ๊” ไอ้หมอกตะโกนเรียกไอ้คิน พลางลุกขึ้นยืนและถีบจักรยานอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ยังไม่วายจะกวนตีนผมอีก ผมเลยจัดการมอบฝ่ามือพิฆาตให้มันด้วยความรักและเอ็นดู..

เพี๊ยะ!

“มึงแม่ง! จำไว้! จำไว้เลย!” ไอ้หมอกมันพูดด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พร้อมกับลงเสียงกระแทกกระทั้นแทบทุกประโยค ส่วนผมก็เอาแต่นั่งเงียบๆ ขณะที่ริมฝีปากกำลังฉีกยิ้มจนแทบจะถึงใบหู
เพราะนี่แหละ.. คือชีวิตวัยเรียนที่ผมใฝ่หา..


------------------------------------------
edit 28/11/2017 คำผิด กระเพรา > กะเพรา / แขกเขี้ยว > แยกเขี้ยว
หากมีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยนะคะ
ในส่วนของนายเอกของเราที่พูดไม่ได้ จะเป็นเชิงลิ้นแข็งเพราะไม่ได้พูดเป็นเวลานาน
เลยยังสามารถออกเสียงได้บ้าง แต่พูดเป็นคำไม่ได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 1 [up 18/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 18-10-2017 23:52:50
น่าอ่านมากค่ะ
จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ

ปล แอบอีดิทนิดนึง คุณพระเอกคือพี่อาคเนย์ใช่มั้ยยย :-[
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 1 [up 18/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 19-10-2017 07:40:01
เริ่มเรื่องมาก็น่าสนใจเลยครับ :katai2-1:
เข้ามาติดตาม+ให้กำลังใจคนเขียนนะครับ :กอด1: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 2 [up 19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 19-10-2017 16:37:15
♥ Fall in you ♥
-ตอน 2-



ตั้งแต่ผมขึ้นมหาลัยและเลือกเรียนภาควิชาหูหนวกศึกษา บอกตรงๆ ว่าทัศนคติของผมที่มีต่อกลุ่มคนที่ไม่ได้มีความบกพร่องใดๆ ก็เริ่มดีขึ้น ทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้เพื่อนๆร่วมสาขา เพราะทุกคนต่างก็ยอมรับได้ในสิ่งที่เราเป็น ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่พวกรุ่นพี่เริ่มเข้ามามีบทบาทด้วยแล้ว พวกเราทั้งหมดจึงสามารถจดจำชื่อเสียงเรียงนามของรุ่นพี่ในแต่ละชั้นปีได้ เพราะว่ารุ่นแรก ก็มีกันอยู่ไม่เกินยี่สิบคน ส่วนรุ่นที่สองก็มีมากขึ้นมาอีกหน่อย ประมาณสามสิบคนเห็นจะได้ ส่วนรุ่นผม ปีนี้มีการเปิดรับเยอะที่สุด แต่รวมๆ แล้วก็ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้หรอก
และด้วยความที่ภาควิขาของเรามีจำนวนคนไม่มากเท่าภาควิชาอื่นของคณะ พวกเราทั้งหมดจึงสามารถดูแลช่วยเหลือกันได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่มีความบกพร่อง เราจะต้องทำให้เขาไม่รู้สึกแปลกแยก

สำหรับวันนี้ หลังเลิกเรียน รุ่นพี่ได้มีการนัดหมายให้มารวมตัวกันที่ลานน้ำพุที่อยู่ตรงหน้าตึกคณะศิลปศาสตร์ เพราะกิจกรรมของวันนี้คือการจับสายรหัส และตอนนี้พวกรุ่นพี่จากทุกชั้นปี ก็มารวมตัวกันหมดแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ ก็คือผมยังไม่เห็นพี่อาคเนย์มารวมตัวอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นเลย

หรือว่า.. การคาดเดาของผมจะผิดพลาด ?

แต่ถ้าเรียนสาขาอื่น ทำไมพี่เขาถึงรู้ภาษามือล่ะ ?

“…” ผมนั่งรอเพื่อนๆ ทยอยกันออกไปจับฉลากเลือกสายรหัส คนแล้วคนเล่า ก็ยังไม่ถึงคิว เพราะว่าผมตั้งใจจะรอให้ทุกคนออกไปจับกันก่อน จะได้ไม่ต้องไปเบียดไปแย่งกัน
“กูอยากได้พี่เมย์เป็นพี่รหัสว่ะ พี่เขาแม่งสวยชิบหาย ยิ่งเวลาใช้ภาษามือคุยกับเพื่อนนะก็ยิ่งน่ารัก” ไอ้หมอกพูดอย่างเพ้อๆ

“ท่าทางจะฝันสลาย มึงดูโน่น ไอ้เบลจับได้พี่แกไปละ” ไอ้คินพูดพลางกลั้วหัวเราะ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน พร้อมกับปัดเศษหญ้าใส่พวกผม

เพี๊ยะ!

“กูเป็นมนุษย์กินข้าว ไม่ใช่มนุษย์กินหญ้า ไอ้สัส ไม่ต้องเผื่อแผ่” ไอ้หมอกฟาดไปที่ก้นไอ้คินเต็มแรง จากนั้นก็รีบกุลีกุจอปัดเศษหญ้าออกจากปาก
“หึ” ส่วนไอ้คินมันก็หัวเราะทิ้งท้ายไว้ให้เจ็บใจเล่น ก่อนจะเดินไปจับฉลาก ซึ่งมันจับได้พี่อาร์ตเดือนสาขาของภาควิชาเรา ที่มีโอกาสได้เป็นถึงเดือนคณะ เพราะเจ้าตัวเล่นสูงชะลูดซะขนาดนั้น แถมยังหน้าตาดี อารมณ์ประมาณคิ้วเข้มๆ หน้าตาตี๋ๆแบบพิมพ์นิยม แต่พอยิ้มแล้วโคตรจะน่ามองน่ะแหละ

และหลังจากที่สังเกตการณ์มานาน ผมก็รีบลุกขึ้น กะว่าจะเดินเข้าไปจับฉลากกับเขาบ้าง เพราะเหลือคนที่ยังไม่มีพี่รหัสไม่มากแล้ว แถมเมื่อกี้พี่ปีสามยังประกาศอีกว่า ตอนนี้เหลือฉลากว่างเปล่าอีกตั้งหลายใบ แบบนี้ก็แสดงว่าหลายๆ คนที่ยังไม่ได้จับฉลาก ก็มีโอกาสสูงที่จะไม่มีสายรหัสเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
“เสียสละให้พี่เถอะน้อง!” คือผมกำลังจะเดินไปถึงคิวต่อแถวอยู่แล้ว แต่ไอ้หมอกแม่งก็รีบแทรกตัวเองเข้ามาในแถวซะก่อน
มันน่ากระโดดถีบไหมล่ะนั่น!

เพี๊ยะ!

ผมทั้งตี ทั้งหยิก เพราะขืนกระโดดถีบ เกรงว่าจะอลังการเกินไป แต่ไอ้เพื่อนคู่ปรับก็หาได้สะทกสะท้านไม่ ผมเลยต้องจำใจปล่อยให้แม่งแทรกไปนั่นแหละ จากนั้นผมก็ยืนมองจนกระทั่งมันจับฉลากได้พี่เฟรม ซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพี่อาร์ต ผมจึงรีบยิ้มเยาะใส่ เพราะไอ้นี่มันหมายมั่นปั้นมืออยากจะได้พี่รหัสสาวสวยนักหนา
แล้วเป็นไงล่ะมึง ได้หนุ่มหล่อกล้ามโต แถมยังตัวสูงชะลูดเลยนะนั่น

สมน้ำหน้า!

พอรุ่นพี่ส่งสัญญาณเรียก ผมก็รีบเดินไปยืนด้านหน้าของพี่ปีสามที่กำลังถือกล่องกระดาษสี่เหลี่ยม ที่ภายในบรรจุกระดาษใบเล็กๆ ที่เหลือจำนวนไม่มากแล้ว

“สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เลยไอ้น้อง ณ จุดๆ นี้เอ็งต้องทำใจแล้วล่ะ” หลังจากผมจับฉลากเรียบร้อย พี่ทีมก็พูดหยอกเหมือนทุกคนก่อนหน้านี้..
แต่ปรากฏว่า..

กระดาษที่ผมจับได้ แม่งว่างเปล่า!

แล้วมันจะหมายความว่ายังไงล่ะ ?

ก็หมายความว่าผมไม่มีพี่รหัสน่ะสิวะ!

อึ้งไปสิ ชีวิตกูนี่จะแจ๊คพ็อตไปไหน แถมพอหันหน้ากลับมาข้างหลังยังเห็นไอ้หมอกมันแสยะยิ้มสมน้ำหน้าใส่ชนิดที่ว่า ไงล่ะ หัวเราะที่หลังดังกว่าขนาดไหน ผมเลยถลึงตาใส่แม่งซะเลย พลางนึกพาลในใจว่า ถ้าหากไอ้เพื่อนตัวกวนประสาทนั่น มันไม่เข้ามาแทรกแถวล่ะก็..
บางทีผมอาจจะจับฉลากได้ใบอื่นก็ได้

“เอาน่า.. เดี๋ยวกูแบ่งพี่รหัสให้มึงเลยก็ได้ กูเสียสละแค่ไหน มึงคิดดูสิ” พอผมเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งตรงกลางระหว่างพวกมันสองคน ไอ้หมอกก็รีบหันมาโยกหัวผมอย่างปลอบโยน
แต่มันคงจะละมุนกว่านี้ ถ้าหากมันไม่โยกจนหัวผมแทบหลุด!

“เดี๋ยววันนี้พวกกูมีเลี้ยงสาย มึงก็ไปด้วยกันเลยเนี่ย” ไอ้คินเองก็รีบเข้ามากอดคอผม ก่อนจะออกปากชวน

แต่คือแบบ.. พวกมึงช่วยเข้าใจอารมณ์กูหน่อยสิวะ กูเป็นคนนอกน่ะเว้ย จะไปได้ไงล่ะ!

“เออๆ เดี๋ยวกูมัดมือชกพวกพี่มันเอง มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ไอ้หมอกกอดคอผมด้วยอีกคน ก็พอดีกับกิจกรรมการจับสายรหัสได้สิ้นสุดลง ทุกๆ คนก็เริ่มแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ขณะที่สายรหัสของไอ้เพื่อนสองตัว ก็เริ่มทยอยเข้ามาพูดคุยทำความรู้จักกับพวกมัน โดยที่ผมก็ได้แต่นั่งโง่ๆ อยู่ท่ามกลางวงล้อมนั่น เพราะไอ้เพื่อนสองตัวแม่งไม่ยอมปล่อยแขนผมเลย ซึ่งท่าทางแบบนั้นของพวกมัน ก็ทำให้ผมแอบขอบอกขอบใจอยู่ลึกๆ ที่พวกมันยังคงนึกถึงผมที่เพิ่งจะสนิทกันได้ไม่นาน
แต่แล้วจู่ๆ ผมก็ได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงสายรหัสของพวกมันเฉย

ตอนนี้พวกผมก็เลยออกมายืนแกล่วรอที่หน้าตึกคณะ เพราะพวกพี่ทีมที่เป็นพี่ใหญ่สุด บอกว่าสายของเราคนเยอะ เพราะเป็นสายสายโค เลยต้องนั่งรถใหญ่ไปถึงจะสะดวก ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อพี่เขาใช้คำว่า ‘สายของเรา’ อย่างงงๆ
คืออยู่ดีๆ กูมีสายรหัสเหมือนคนอื่นเขาแล้ว ถูกไหม?

“รอนานมั้ยมึง พอดีวันนี้อาจารย์สอนเกินเวลาว่ะ กูแม่งโคตรหิว” ผมหันกลับไปมองยังต้นเสียง ก็เห็นว่าผู้มาใหม่ที่เรากำลังรอ มีอยู่ด้วยกันสองคน แต่คนที่สะดุดตาผมที่สุดก็คือคนที่เดินรั้งท้าย
“…” ผมยืนมองพวกพี่เขาพูดคุยทักทายกัน ก่อนจะพากันตกลงว่าจะไปเลี้ยงกันที่ไหน จากนั้นก็แยกย้ายกันจับจองรถคนละคัน ซึ่งตลอดเวลาที่พี่อาคเนย์ยืนอยู่ตรงนี้ พี่เขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำตัวเหมือนรู้จักกับผม ผมก็เลยไม่กล้าทัก เพราะกลัวว่าพี่เขาอาจจะลืมว่าเราเคยเจอกันสองครั้ง ซึ่งมันก็ผ่านมาแล้วประมาณอาทิตย์นึงเห็นจะได้

แต่พอพวกพี่ๆ เริ่มแยกย้ายกันไปจับจองรถคันละสองคน พี่อาคเนย์ก็หันมายักคิ้วให้ ก่อนจะเดินแยกไปที่รถของตัวเอง ขณะที่ปีหนึ่งอย่างเรา ก็ต้องวงแตกไปนั่งรวมกับรุ่นพี่คนอื่นๆ
“พวกกูไปนั่งกับพี่รหัสนะ” ไอ้หมอกกอดคอกับไอ้คิน พลางชี้ไปทางรถของพี่บาสที่มาพร้อมกับพี่อาคเนย์ ผมก็เลยต้องเดินไปที่รถคันสีดำของพี่เขา ที่มีแต่รุ่นพี่ปีสูงๆ ซึ่งตอนแรกผมกะจะนั่งข้างหลัง แต่ปรากฏว่าพี่ทีมกับพี่บอสได้จับจองไปก่อนแล้ว ผมก็เลยต้องนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอย่างจำใจ

ตลอดทางพวกพี่เขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ด้วยความที่พี่บอส เป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มรุ่นพี่ ที่ไม่สามารถพูดคุยและได้ยินเสียงใดๆ ได้ พี่ทีมจึงรับหน้าที่แปลถ้อยความ แล้วบอกเล่าให้พี่อาคเนย์ฟัง ผมก็เลยได้รับรู้ไปด้วย เลยเข้าใจได้เองว่าพวกพี่สามคนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยม พอขึ้นมหาลัย ก็ยังตามมาเรียนที่เดียวกันอีก เพียงแต่คนละสาขา
พี่ทีมเล่าว่า ที่พี่เขาเลือกเรียนสาขานี้ เพราะว่าพี่เขาต้องการจะสื่อสารกับพี่บอส แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพี่เขาอยากให้คนกลุ่มนี้ ได้รับข่าวสารเหมือนอย่างคนอื่น เนื่องจากบุคลากรทางด้านนี้น่ะมีน้อย แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี

“ใจหล่อมากครับ ไอ้สัส” พี่อาคเนย์เอ่ยแซว
“อยู่แล้วครับ คนอย่างกูจะหล่อไปวันๆ ไม่ได้”

“หึ” พอผมหลุดหัวเราะออกมา ก็เลยทำให้เสียงพูดคุยเงียบลงไป ผมจึงได้แต่เกาหัวแก้เก้ออย่างวางตัวไม่ถูก หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือผมออกแนวเขินนิดๆ ที่จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบลงเพราะเสียงหัวเราะของตัวเอง

“ไอ้เชี่ยทีม มึงไม่อายกู ก็อายน้องมันบ้างเถอะว่ะ” แต่แล้วพี่อาคเนย์ ก็ทำลายความเงียบทั้งหมดลง
“อายทำไม รันมันเข้าใจหรอกว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ใช่ป่ะ?” พี่ทีมยื่นหน้าออกมาระหว่างกลางที่นั่งด้านหน้า และถามผมอย่างไม่จริงจังนัก แต่ผมก็เลือกที่จะพยักหน้าเออออตามพี่เขาไป
   
ตอนแรกพวกพี่เขาจะพาไปเลี้ยงร้านที่อยู่หน้ามหาลัย แต่ไปๆมาๆ ไม่รู้ยังไงถึงได้เปลี่ยนมาเลี้ยงต้อนรับที่คาเฟ่ในมหาลัย ใกล้ๆ กับหอพักนักศึกษาไปได้
รู้งี้ผมให้พวกไอ้คินเอาจักรยานไปคืนซะก่อนก็ดี

บรรยากาศของร้าน ถือว่าดูดีและน่ารักพอสมควร เพราะการตกแต่งออกแนวเรียบง่ายและอบอุ่น มีทั้งขนมเค้ก เครื่องดื่ม รวมทั้งของคาว พี่บอสบอกว่าร้านนี้สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมากับสเต๊กหมูนุ่มอร่อย พวกเราจึงตัดสินใจสั่งมาทานร่วมกัน เพราะจะได้สั่งได้หลายๆ เมนู ส่วนเครื่องดื่มเราก็สั่งแยกกัน

‘บลูเลม่อนโซดา’ ผมพิมพ์ข้อความแล้วก็ยื่นโทรศัพท์ให้กับพี่ทีม ที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือเพื่อสั่งออร์เดอร์ ต้องบอกก่อนว่าเมนูนี้เป็นเมนูโปรดของผม หากร้านไหนที่ใครเขาว่าอร่อย ผมจะไม่เชื่อคำโฆษณา จนกว่าผมจะได้กินบลูเลม่อนโซดาของร้านนั้นก่อน และถ้าหากลองแล้วผ่าน ผมถึงจะให้คะแนนเต็มสิบ แต่ถ้าหากไม่ผ่าน ผมก็จะให้แค่ครึ่งคะแนน เพราะว่าผมชอบบลูเลม่อนไง ทุกคะแนนก็เลยขึ้นอยู่กับเมนูนี้
พวกไอ้คินไอ้หมอกงี้ผมบ่นชิบหาย หาว่าผมกินยากและเป็นบ้า!

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรน่ะเรา?” พี่เฟรมถามผม พลางยิ้มขำ
“บลูเลม่อนถูกใจมันน่ะพี่ แสดงว่าร้านนี้สอบผ่าน” ไอ้หมอกเสนอหน้าตอบพี่รหัสของมัน ซึ่งพอได้ฟังคำตอบแล้ว พี่เฟรมก็พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะหันไปแปลข้อความด้วยภาษามือให้กับพี่บอสที่เป็นพี่รหัสของตัวเองได้เข้าใจถึงบทสนทนาบนโต๊ะนี้ด้วย

“ไอ้บอสมันบอกว่า ร้านนี้อะไรก็อร่อยหมดน่ะแหละ มันแนะนำซะอย่าง ไม่มีผิดหวัง” พี่ทีมแปลข้อความให้ผมกับไอ้คินเข้าใจถ้อยความที่พี่บอสต้องการจะสื่อ ผมก็เลยยิ้มจนเต็มแก้มส่งไปให้เจ้าของคำพูดนั้น
“กูขอชิมหน่อยดิ๊” จู่ๆพี่อาคเนย์ก็พูดขึ้นกลางโต๊ะ แล้วก็น่าจะใช้ภาษามือในการสื่อสารกับพี่บอสด้วย เพราะทันทีที่พี่เขาพูดจบ แก้วบลูเลม่อนของพี่บอสก็ถูกเลื่อนออกมาข้างหน้า

“เออ อร่อยดีว่ะ” พี่อาคเนย์หยิบหลอดของตัวเองมาจุ่มลงในแก้วบลูเลม่อนของพี่บอส แล้วก็ดูดขึ้นอึกนึง ก่อนจะส่งคืนให้เจ้าของ จากนั้นไม่นาน เมนูอาหารที่เราสั่งก็เริ่มทยอยมาส่ง แต่ผมรอคอยแค่ยำแซลม่อนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูโปรด เพราะผมชอบทุกอย่างที่เป็นแซลม่อน กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ เสียอย่างเดียว มันแพงเหลือจะกล่าว ก็เลยไม่ค่อยจะสั่งมากิน แต่พอได้ฤกษ์สั่งกินแต่ละที ผมก็จะสั่งแบบจัดเต็ม แต่ในวันนี้ผมทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะรุ่นพี่เขาพาสายรหัสของเขามาเลี้ยง ผมก็เลยเกรงใจ
 
“แดกคนเดียว ท้องเสียจู๊ดๆ นะมึง” ไอ้หมอกที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพี่ทีมพูดกับผมที่นั่งอยู่อีกฝั่งด้านในสุด
‘แล้วไง?’ ผมก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ เพื่อเปิดศึกกับคู่ปรับตัวฉกาจ

“ไม่แล้วไง แต่ขอกินบ้างดิ มึงน่ะกินซะน่าอร่อย ถึงคนอื่นจะไม่กล้าแย่ง แต่กูกล้านะเว้ย” ไอ้หมอกมันลุกขึ้นยืน พลางโน้มตัวลงมาใกล้ๆ จานยำแซลม่อน ก่อนจะหยิบส้อมที่วางพาดอยู่ตรงขอบจานมาจิ้มเนื้อแซลม่อนนุ่มๆ เข้าปาก
   
“สั่งอีกจานก็ได้นะ” พี่บาสรุ่นพี่ต่างสาขารีบเสนอ สงสัยจะทนดูสภาพน่าอนาถของรุ่นน้องอย่างไอ้หมอกไม่ไหว
“ไม่เอาอ่ะพี่ ผมไม่ค่อยจะถูกกับปลาดิบสักเท่าไหร่” ไอ้หมอกส่ายหน้าพรืด เพราะมันไม่ค่อยชอบกินของดิบ บอกว่ากลัวพยาธิ แต่ที่เมื่อกี้มันกิน เพราะมันแค่จะแกล้งผมเล่นเฉยๆ
ก็แลลงทุนดี

“สลัดมั้ยมึง?” ไอ้คินถาม เมื่อเห็นว่าผมนั่งอยู่ริมสุดน่าจะตักสลัดไม่ถึง แต่มึงครับ มึงเองก็นั่งอยู่ตรงข้ามกูแท้ๆ มั้ย เลวจริงอะไรจริง รู้ว่ากูไม่ชอบรสชาติน้ำสลัด แม่งก็ระริกระรี้เสนอหน้าบริการเชียว
“…” ผมเลยแยกเขี้ยวใส่ไอ้เพื่อนหน้าตาเจ้าเล่ห์แม่งซะ ก่อนจะรีบส่ายหน้าพรืดใส่รุ่นพี่ที่กำลังจะไสจานสลัดมาให้

“น้องรันเป็นเด็กไม่กินผักเหยอครับ?” ไอ้หมอกได้ทีก็กวนตีนขึ้นมาเลย แล้วนั่นจะทำเป็นลิ้นเปลี้ยทำไมไม่ทราบ?
‘เกลียดมึง!’ ผมรีบพิมพ์ข้อความลงในกรุ๊ปแชทอีกครั้ง

‘เกลียดแล้วได้อารายยยยย~~’ ดูความกวนตีนของไอ้หมอกมันครับ ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย กวนตีนยังไงก็ยังกวนอย่างนั้น
“…” ผมเบะปากใส่มัน แล้วก็หันไปสะกิดพี่ทีม เพื่อให้ตักสปาเก็ตตี้ให้สักคำ แต่ปรากฏว่าพี่อาคเนย์ที่นั่งถัดจากพี่ทีมดันส่งจานสปาเก็ตตี้มาให้ผมทั้งจาน พร้อมกับบอกให้ผมกินให้หมดเลย เพราะฝั่งพวกพี่เขาทานกันหมดแล้ว ผมก็เลยสลับจานยำแซลม่อนไปแลก

ไม่นานเวลาของการปาร์ตี้ก็จบลง เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว พี่ๆ ทุกคนก็เลยช่วยกันออกค่าเสียหายในจำนวนที่ไม่มากนัก โดยเรียกเก็บเงินจากพี่อาคเนย์และพี่บาสน้อยที่สุด เพราะพวกพี่เขาอยู่คนละสาขากับพวกเรา จากนั้นก็แยกย้ายกันตรงหน้าร้าน เพราะพวกพี่ๆ บ้างก็อยู่หอใน บ้างก็อยู่หอนอก
"ขอบคุณนะครับ” ผมไหว้ขอบคุณพวกพี่ๆ ตามพวกไอ้คินที่ส่งสัญญาณเป็นคำพูด จากนั้นพวกผมก็รีบแยกตัวไปเอาจักรยานที่จอดทิ้งไว้ที่คณะก่อนจะพากันกลับไปพักที่หอ
และวันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวัน ที่สังคมเล็กๆ แห่งนี้ ทำให้ผมมีความสุข..

---------------------------
[edit คำผิด - สูงชะรูด > สูงชะลูด 17/11/2017  / 27/01/2018 ศิลปะศาสตร์ > ศิลปศาสตร์]
ตอนที่แล้วในช่วงการเรียนการสอนไม่แน่ใจว่าหลายคนอ่านจะตีความได้มั้ยว่าในคลาสบรรยายจะมีอาจารย์อยู่ในห้องสองท่าน
คืออาจารย์ที่สามารถพูดได้ และอาจารย์อีกท่านคืออาจารย์ที่ใช้ภาษามือเพื่อถอดความจากคำพูดของอาจารย์อีกท่านให้นักศึกษาที่มีความบกพร่องอีกทีค่ะ ภาษามือยังคงไม่โผล่ค่ะ แต่ตอนหน้าเจอแน่ ทุกคนอาจจะมึนในภาษาบรรยายของเราได้

หมายเหตุ : ถ้าหากการแบ่งย่อหน้าทำให้ดูอ่านยากบอกเรานะคะจะได้แก้ให้ เพราะเราถนัดเขียนสองย่อหน้าให้ติดกัน เราลงนิยายเรื่องนี้ไว้ที่เด็กดีอีกที่นึงค่ะ เผื่อใครไม่สะดวกอ่านในนี้ > http://myurl.la/86pIkK (http://myurl.la/86pIkK)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 2 [up 19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 19-10-2017 22:37:53
ทำไมพี่ถึงรู้ภาษามืออ มีซัมติงอะไรรึเปล่าาา
รันน่ารักนะะะ //กอออ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 2 [up 19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 19-10-2017 23:46:14
ตามจ้าาา น่าสนใจมาก อาคเนย์เนาะ พระเอกของน้องรัน ><
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3 [up 20/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-10-2017 12:37:47
♥ Fall in you ♥
-ตอน 3-

วันนี้มีเรียนแต่เช้าอีกแล้ว แต่เพราะผมต้องไปทานมื้อเช้าที่โรงอาหารกลาง ก็เลยต้องตื่นเช้ากว่าใครเขาเพื่อน เพราะหนทางจากโรงอาหารมาถึงคณะศิลปศาสตร์ มันก็ออกจะไกลพอสมควร แต่ด้วยความที่ช่วงเช้าอากาศมันดี แถมบรรยากาศในมหาลัยก็ร่มรื่น เลยไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ไม่มียานพาหนะ
ต้องบอกก่อนว่า ที่ผมไม่ยอมหยิบยืมจักรยานมาขี่ ก็เพราะผมจะรอซ้อนท้ายไอ้หมอกอย่างเดียว ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเมื่อย สบายจะตาย ผมจะยืมมาขี่เองทำไม ยอมเดินแค่ช่วงเช้า แต่สบายไปทั้งวัน เป็นความคิดที่คนฉลาดคู่ควรจะตาย

“ไง” ผมสวนทางกับพี่อาคเนย์ที่โรงอาหาร อีกฝ่ายก็เลยทักทาย
“…” ผมก้มหัวพลางยิ้มรับ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์มือถือของตัวเองแล้วส่งให้อีกฝ่ายอ่าน

‘มาหาอะไรทานแต่เช้าเลยนะครับ’
“อ่าฮะ” อีกฝ่ายพยักหน้าพลางส่งเสียงตอบ จากนั้นก็เกิดเดดแอร์ขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ อาจเพราะเราไม่ได้สนิทกันมากมายแถมคำทักทายของผม มันก็ออกจะไม่เข้าท่าซะด้วย

‘ไปกินข้าวกันไหมครับ?’ ผมพิมพ์ถามอีกฝ่าย เพราะไม่รู้จะหยิบยกอะไรมาคุยกันดี แต่ใครจะรู้ว่าคำกล่าวนั้นมันเป็นความคิดที่โคตรจะผิด เพราะยังไงความเงียบก็ยังคงอยู่คู่กับพวกเราอยู่ดี

“ไม่กินถั่วฝักยาวเหรอ?” พี่เขาถามขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เขี่ยถั่วฝักยาวไปไว้ข้างๆ จาน
“…” ผมพยักหน้า

“เสียดาย” พี่เขายื่นช้อนส้อมออกมาตักบรรดากองถั่วฝักยาวออกจากจานผมไปใส่ที่จานของตัวเอง พร้อมกับบอกเหตุผลให้ผมฟังหน้าตาเฉย ผมจึงได้แต่ก้มหน้ากินผัดพริกแกงงุดๆ

“ก็เพราะไม่กินผักนี่ไง ตัวถึงได้เล็กแบบนี้น่ะ” จู่ๆพี่เขาเปรยขึ้นมาเบาๆ ผมจึงรีบเงยหน้าขึ้น ก่อนจะควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง
‘สูงตั้ง 175 ไม่ได้เรียกว่าตัวเล็กสักหน่อย’ ผมพิมพ์ข้อความเถียงอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว บอกเลยว่าเรื่องความสูง ไม่แก้ตัวไม่ได้จริงๆ และที่ผมเป็นแบบนี้ ก็เพราะตั้งแต่ผมได้มาสนิทสนมกับพวกไอ้หมอกไอ้คินน่ะแหละ แม่งชอบหาว่าผมเตี้ย ไม่ได้ดูเลยว่าตัวเองน่ะสูงยังกับเสาไฟ
มาตรฐานความสูงมันถึงได้ผิดเพี้ยนแบบนี้ไง!

“รู้จักเถียง แสดงว่าก็สู้คน แล้วเมื่อกี้กูก็หมายถึงมึงผอมไม่ได้หมายถึงมึงเตี้ย” พี่อาคเนย์โคลงหัว พลางยิ้มอย่างพึงพอใจ ผมเลยรีบจ้วงข้าวเข้าปาก เพราะไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอะไรต่อไปดี ในเมื่อผมเผลอปล่อยไก่ออกไปซะตัวเบอเริ่ม แถมพี่เขาก็ยังยิ้มแบบที่ผมไม่เข้าใจว่าการที่ผมสู้คน มันน่าดีใจตรงไหน
หรือว่าพี่บอสก็ไม่สู้คน? พี่เขาก็เลยเป็นห่วงกลัวว่าผมจะเป็นแบบนั้นด้วย?

อ่า.. คิดอะไรแปลกๆ ซะแล้ว..

ห่วงเหรอ? พี่เขาจะห่วงผมทำไมเล่า!

หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ พี่อาคเนย์ก็อาสามาส่ง เพราะว่าไหนๆ เราก็เรียนคณะเดียวกันแล้ว ไปด้วยกันมันก็ประหยัดทั้งแรงและน้ำมันจะตาย ด้วยความที่เหตุผลของพี่เขามันก็เข้าท่า ผมก็เลยปฏิเสธไม่ได้ เราสองคนเลยได้โอกาสแยกตัวตรงที่จอดรถของคณะ
และสุดท้าย ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าพี่เขาเรียนอยู่สาขาไหน..

วันนี้เรามีคลาสเรียนภาษามือเป็นครั้งที่สามแล้ว แต่ก่อนจะเริ่มเรียนในบทต่อไป อาจารย์พิศมัยจะทำการทบทวนบทเรียน ด้วยการสุ่มคำ โดยเขียนบนกระดานไวท์บอร์ด สำหรับสองหมวดแรกที่ได้เรียนไป ก็คือหมวดพยัญชนะและสระ
‘ก’ คือคำที่อาจารย์เขียน เพราะว่าในรุ่นของเราจะต้องเรียนรวมกันทั้งคนที่มีความได้ยินและไม่ได้ยิน ดังนั้นการเขียนจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายและสะดวก อีกทั้งอาจารย์พิศมัยก็ยังเป็นอาจารย์ที่เป็นที่รู้จักในวงการของล่ามภาษามือไทยด้วย เราจะเห็นหน้าค่าตาของอาจารย์ได้ตามหน้าจอโทรทัศน์ ในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ ด้านล่างบ่อยๆ

แต่ว่าก่อนจะมาเรียนคลาสภาษามือได้ พวกผมจะต้องมีการติวคำศัพท์อยู่เสมอ อารมณ์เหมือนคนอื่นเวลาเรียนคลาสภาษาจีนและญี่ปุ่น น่ะแหละ พอต้องมาทบทวนบทเรียนในคาบ ผมกับไอ้คินก็เลยคล่อง ส่วนไอ้หมอกมันก็จำได้จนขึ้นใจแล้ว มันเคยบ่นๆ ให้พวกผมฟังว่า บทเรียนของปีหนึ่ง เป็นบทเรียนที่มันเคยเรียนผ่านมาแล้วทั้งนั้น จึงไม่ใช่ความรู้ใหม่อะไร มันก็เลยไม่ต้องพยายามมากมาย เพราะทุกอย่างถูกฝังอยู่ในหัว

แต่ก็นะ ถ้าไม่ได้มันช่วยติว พูดตรงๆ ว่าก็จำยาก เพราะเพื่อนคนอื่นๆ จากที่ไปถามๆ มา พวกเขาต้องเข้าเว็บคณะ เพื่อศึกษาผ่านวีดิโอคลิปที่อาจารย์อัพโหลดไว้เป็นหมวดๆ เพราะของแบบนี้ แค่ศึกษาจากในชั้นเรียน ยังไงก็ไม่พอหรอก ส่วนพวกผม ก็สบายหน่อย เรียนรู้เอาจากไอ้หมอก จำคำไหนไม่ได้ ก็ใช้ให้มันทำให้ดู วันละหลายๆ สิบรอบ
ก็มีทั้งแกล้งลืมบ้าง ลืมจริงบ้างสลับกันไป..

หลังจากทบทวนบทเรียนกันไปแล้ว อาจารย์ก็เริ่มเข้าสู่หมวด ‘สิ่งของ’ โดยอาจารย์จะเปิดให้พวกเราดูทีละคำว่ามีคำไหนบ้าง ซึ่งพวกเราก็สามารถดูคำที่ต้องเรียนได้จากในหนังสือ และมันก็มีภาพประกอบ แต่สำหรับมือใหม่อย่างเรา ต่อให้มีรูปก็ทำความเข้าใจได้ยาก
อาจารย์กดเลื่อนสไลท์มายังคำแรก จากนั้นท่านก็เริ่มบรรยายท่าทางให้เราเข้าใจ ว่าท่าทางแบบนี้ ในภาษามือไทยมันหมายความว่า ‘กบเหลาดินสอ’ นักศึกษาทั้งคลาสจึงเริ่มทำตามที่ท่านสอน โดยการยกมือข้างซ้ายทำท่าเหมือนกับจับอะไรสักอย่าง ส่วนข้างขวาก็ทำเหมือนกำลังหมุนอะไรสักอย่าง ซึ่งท่าทางแบบนั้นมันก็คล้ายกับตอนที่เรากำลังเหลาดินสอโดยใช้กบเหลาขนาดใหญ่

“ตีกันไปหมด งงเด้! งงเด้!” พออาจารย์ปล่อยพัก ไอ้คินก็เดินออกมาจากห้องพร้อมพวกผม จากนั้นมันก็บ่นอย่างระบายอารมณ์พลางขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด สภาพของมันในตอนนี้ เลยคล้ายกับคนเพิ่งตื่นนอนแล้วไม่ยอมหวีผม เห็นอย่างนั้น ผมจึงหันไปพยักหน้ากับไอ้คิน เพราะเราเองก็ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ไม่ต่างกัน

“เอาน่า พวกมึง สู้ๆสิวะ” ไอ้หมอกตบบ่าของผมกับไอ้คินสักแปะสองแปะ
“ยากว่ะ วิชานี้กูจนมุมตลอด” ไอ้คินยังคงบ่นกระปอดกระแปด ส่วนผมก็พยักหน้าสำทับอย่างรวดเร็ว

แต่ท้ายที่สุด เราก็มีเวลาบ่นและพักหายใจหายคอกับวิชาหินๆ ได้ไม่นาน ก็ต้องเข้าเรียนอีกแล้วครับ และคราวนี้พวกผมก็ต้องใช้สมาธิให้มากขึ้น เพราะกว่าจะหมดคาบ ท้องก็ร้องแล้วร้องอีก
เพราะเวลาหิว มันเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่องนี่หว่า..   

“กินไร?” พอเลิกเรียน คำแรกที่ออกมาจากปากไอ้หมอก ก็ไม่พ้นเรื่องปากเรื่องท้อง
‘กูอยากกินสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมา’ ผมพิมพ์ข้อความบอกไอ้เพื่อนสองตัว

“ไอ้รันมึงพูดผิดพูดใหม่ได้นะ” ไอ้หมอกมันย้อน
“…” ผมเลิกคิ้ว พลางทำหน้างง ขณะที่มือก็กำสายกระเป๋าที่สะพายพาดไหล่ไว้แน่น พร้อมกับเดินลงบันไดทีละก้าว

“มึงอยากบลูเลม่อนหรือสปาเก็ตตี้ เอาดีๆ ?”
“...” ผมฉีกยิ้มเป็นคำตอบ เท่านั้นพวกมันก็รู้แล้วว่าเป้าหมายของผมคืออะไร

“มันเขี้ยวมึงว่ะ” ไอ้หมอกมันว่า พลางขยี้หัวผมจนยุ่งไปหมด
“มึงอย่าไปทำตัวแบบนี้ใส่ใครนะเว้ย” ไอ้คินมันว่า พลางเดินกอดคอผมที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกมัน

“…” ผมหันไปมองมัน เพราะอยากจะถามว่าทำไม
“ก็มึงทำแล้วน่าเกลียด เดี๋ยวคนอื่นเขาจะกลัวมึงซะก่อน” หลังจากนั้นไอ้หมอกมันก็รีบเสนอหน้าตอบขึ้นมาทันที ผมเลยหันไปแยกเขี้ยวใส่มันซะ ไม่รู้ว่ามันเป็นโรคบ้าอะไร ชอบหาเรื่องผมอยู่เรื่อย

เมื่อเดินมาจนถึงลานจอดรถจักรยาน ผมก็ยืนกอดอกมองไอ้สองเพื่อนซี้มันถอยรถ กระทั่งเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมถึงได้ตั้งท่าจะซ้อนท้ายไอ้เพื่อนรักคู่อาฆาต
“อ๊ะ” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อผมเกือบจะหน้าคะมำ เพราะไอ้หมอกมันแกล้งไสจักรยานไปข้างหน้า ทำให้ผมก้าวพลาด
ดีนะกูหน้าไม่ทิ่มพื้นน่ะ

“ฮ่าๆ ขึ้นมาเร็วๆ กูไม่แกล้งมึงละ” ไอ้หมอกมันหันมายิ้มกวนตีนให้ แถมยังหัวเราะใส่ผมอีก จากนั้นมันก็กวักมือเรียกให้ผมมาซ้อนท้าย แต่ขอโทษที กูงอนแม่งละ ไปซ้อนท้ายไอ้คินดีกว่า สบายใจดี
“งอนเหรอมึง?” พอไอ้คินมันเริ่มปั่นจักรยานออกจากเขตรั้วคณะศิลปศาสตร์ ไอ้หมอกแม่งก็รีบปั่นเข้ามาใกล้แล้ววอแวไม่เลิก

“งอนไมหว้า ดีกันเห๊อะ” ไอ้หมอกมันทำเสียงตะแง้วๆ เหมือนลูกแมว แต่ไม่ได้น่ารักเลยสักนิด ติดจะน่าถีบด้วยซ้ำ
“ไอ้สัส เดี๋ยวล้ม!” ไอ้คินถึงกับว๊ากขึ้นมาทันที เมื่อไอ้หมอกมันเอาขามาเตะๆ พวกผมจนรถส่ายไปส่ายมา ส่วนผมก็รีบคว้าชายเสื้อของไอ้คินเอาไว้แน่นเพื่อความปลอดภัย

“ฮ่าๆ สนุกอ่ะเด้!” ไอ้หมอกยังคงเล่นกวนตีนไม่เลิก แต่ก็ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาจนได้
“สนุกบ้านมึงดิ ไอ้รันมึงรีบถีบแม่งคืนเลย!” พอไอ้คินมันหันมาบอก ผมก็เลยจัดให้ ไอ้หมอกแม่งก็โวยวายสลับกับหัวเราะใหญ่

“เหนื่อย ไอ้สัส พอ!” ไอ้คินมันว่า พลางจอดรถข้างทาง ก่อนจะหอบแฮ่กๆ
“เออ!” ไอ้หมอกมันตอบตกลง พร้อมกับหอบแฮ่กพอกัน จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่สบายสุด

“สบายเลยนะมึงน่ะ”
“…” ผมทำหน้ามุ่ย เมื่อไอ้หมอกและไอ้คิน มันหันมารวมหัวกันขยี้หัวจนเส้นผมงี้กระจาย!

 วันนี้เรามีเรียนทั้งวัน ครึ่งบ่ายเป็นคลาสบรรยาย ก็เรียนบ้างหลับบ้างตามประสา เพราะคลาสนี้เป็นวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนรวมกับนักศึกษาต่างสาขา หรือบางทีก็อาจจะต่างคณะด้วย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรนะ ต้องบอกก่อนว่า สังคมเล็กๆ เริ่มทำให้ผมมองโลกในแง่ที่ดีขึ้น จนเริ่มมองข้ามอดีตต่างๆ ไป เพราะอย่างน้อย ในโลกที่มันเริ่มกว้างใหญ่ ผมก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิด..
แต่จะว่าไปก็เสียดายเหมือนกัน ที่วิชาเรียนรวม เพื่อนๆที่ไม่มีการได้ยินจะถูกจับแยกไปไว้อีกคลาส

“ไอ้รัน ไอ้ห่านี่ นั่งลงเด้ กูเกร็ง!” หลังเลิกเรียน ไอ้หมอกมันอยากปั่นจักรยานเล่นรอบมหาลัย ผมที่ซ้อนท้ายมัน จู่ๆ ก็นึกสนุกลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างก็วางเอาไว้บนไหล่ของไอ้หมอก
“…” ผมดื้อ ดื้อกว่าที่ใครคิด เพราะฉะนั้นเวลานี้ผมจึงไม่ฟังที่ไอ้หมอกมันโวยวาย
นี่ถ้าผมพูดได้ ป่านนี้ผมคงหัวเราะจนเสียงดังลั่นไปแล้ว

“ไอ้เชี่ยนี่ ดื้อกว่าที่กูคิดไปอีก” ไอ้หมอกมันบ่น จากนั้นมันก็เริ่มปั่นให้ช้าลง ท่าทางจะเกร็งจริง ผมก็เลยนั่งซ้อนท้ายมันดีๆ มันถึงได้เริ่มผ่อนคลายขึ้น

แต่ก่อนเนี่ย ผมไม่ใช่คนสดใสอะไรแบบนี้หรอก วันๆแทบจะไม่เคยหัวเราะ ยิ่งเวลาอยู่โรงเรียน ผมจะยิ่งเก็บตัว เพราะผมเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ก็เพราะไอ้หัวโจกของห้องน่ะแหละ มันชอบล้อว่าผมเป็น ‘ไอ้ใบ้’ ทำให้ผมมีอคติต่อเพื่อนคนอื่นๆ ไปด้วย แต่พอมาอยู่ที่นี่ เพื่อนๆ ทุกคนไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแปลกแยก ผมก็เลยยิ้มและหัวเราะได้แบบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

จุดเริ่มต้นที่บกพร่องของผม มันเริ่มจากวันที่พ่อกับแม่พาผมไปนั่งชิงช้าสวรรค์ แถมยังแจ๊คพ็อตเจอชิงช้ามันค้างอยู่ตรงจุดสูงสุด ผมงี้กลัวจนหัวหด ร้องไห้และกรีดร้องจนแทบจะหมดแรง พ่อกับแม่ก็เลยทั้งดุทั้งปลอบแกมขู่ไม่ให้ส่งเสียง ว่าถ้าผมยังเอาแต่ดิ้นและกรีดร้องอยู่แบบนี้ บางทีเราอาจจะล่วงลงไปข้างล่างกันหมด
จากนั้นมาผมก็พูดไม่ได้อีกเลย แถมยังดื้อไม่ยอมไปรักษาด้วย

จำได้ว่าตอนเกิดเรื่องผมน่าจะอายุประมาณ 4 ขวบ และเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคกลัวความสูง เหตุการณ์แบบนั้นมันจึงเป็นเรื่องราวอันแสนโหดร้าย ที่พอเล่าให้ใครฟังแล้ว พวกเขาต่างก็หาว่าผมน่ะกลัวอะไรไม่เข้าท่า ซึ่งพวกเขาคงจะลืมไปว่า แต่ละคนน่ะ มีความหวาดกลัวไม่เท่ากัน อีกทั้งวุฒิภาวะในตอนนั้นก็นับได้ว่าผมยังเด็กมากๆ
ลองว่าเรื่องเกิดขึ้นในตอนนี้สิ ผมคงไม่กลัวจนพูดไม่ได้หรอก

“กูเจ็บไอ้เชี่ยรัน ปล่อยกู กูผิดไปแล้ววว!” ไอ้หมอกโวยวายยกใหญ่ จนผมเริ่มรู้สึกตัวว่าเมื่อกี้ ผมแอบลงไม้ลงมือกับมันเพราะเผลอไปนึกถึงเรื่องในอดีตที่ไม่ค่อยจะโอเคนัก
“…” ผมรีบไล่ความคิดหม่นๆของตัวเอง แล้วก็เอื้อมมือไปยีหัวไอ้หมอกจนอีกฝ่ายโวยวายออกมาอีกคำรบใหญ่ จากนั้นเราก็ตกลงกันว่าจะฝากท้องไว้ที่โรงอาหารก่อนจะกลับหอพักในเวลาต่อมา

“มึงอาบก่อนเลย กูจะส่องเฟซก่อน” พอไอ้หมอกมันได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก มันก็ชะโงกหน้าลงมาจากเตียงชั้นสอง ผมก็เลยต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะหนังสือที่อยู่ใต้เตียง เพื่อขยับมาเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบสัมภาระไปอาบน้ำ เพราะไอ้พวกนี้มันไม่ชอบให้ผมออกมาแต่งตัวข้างนอก มันบอกว่าอุจาดลูกตา แต่ทีพวกมันนะ เดินแก้ผ้าโทงๆอยู่ในห้องก็ได้
โคตรไม่ยุติธรรม ลำบากลำบนกูอีก

พออาบน้ำเสร็จ ผมก็รีบแต่งตัวแล้วเอาผ้าขนหนูพาดบ่า ก่อนจะหยิบสัมภาระตัวเก่าออกมาโยนใส่ตระกร้าข้างๆเตียง จากนั้นก็เริ่มเช็ดผมอย่างจริงๆ จังๆ พอไอ้หมอกมันลุกไปอาบน้ำ ไอ้คินก็เป่าไดร์ฟให้หัวตัวเองแห้งพอดี ทีนี้มันก็กวักมือเรียกผม
“…” ผมส่ายหน้า เพราะไม่ชอบเป่าไดร์ฟ ก็มันร้อนจนแสบหนังหัวนี่หว่า ปล่อยให้มันแห้งเองตามธรรมชาติก็ดีจะตาย

“ดื้อตลอดอ่ะมึง นอนทั้งหัวชื้นๆ ใช้ได้ที่ไหนวะ” ไอ้คินมันบ่นอย่างไม่ยอมแพ้ จากนั้นมันก็ดึงปลั๊กออกจากเต้าเสียบตรงโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง แล้วก็ย้ายมาเสียบที่โต๊ะเขียนหนังสือของผม ก่อนจะลงมือเป่าผมอย่างไม่สนใจฟังคำทัดทานใดๆ

ไอ้พวกห่านี่ แม่งต้องแอบไปเป็นลูกน้องของคุณนายแม่แน่ๆ ซึ่งผมก็เข้าใจอยู่หรอกว่าคนประเภทที่ไม่สมบูรณ์แบบอย่างผมน่ะ ต้องเอาใจใส่ดูแลกันเป็นพิเศษ
แต่แบบนี้มันก็พิเศษเกินไปนิด จนกูจะกลายเป็นง่อยอยู่แล้ว!

ผมเคยถามพวกมันนะ ว่าทำไมถึงต้องมาทำดีกับผมจนเกินหน้าเกินตาขนาดนี้ พวกมันก็เลยให้คำตอบมาว่า ผมน่ะ เหมือนเป็นทั้งน้อง ทั้งเพื่อน พวกมันก็เลยต้องดูแล อีกทั้งสาขาของเรายังสอนให้เพื่อน พี่ น้อง คอยดูแลกันและกันให้ดี โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีความบกพร่องอะไร จะต้องคอยดูแลเอาใจใส่กลุ่มคนที่มีความบกพร่องไม่ให้พวกเขารู้สึกแปลกแยก พูดง่ายๆก็คือพวกเขาจะต้องคอยเป็นหลักยึดให้กับคนที่ขาด ดังนั้นในแต่ละห้องพักจึงมีนักศึกษาที่มีความบกพร่อง 2 คนต่อคนที่ไม่มีความบกพร่อง 1 คน

“เชี่ยหมอก มึงนี่ก็อีกคน มานี่เลย อย่าเพิ่งไปนอน มาเป่าผมก่อนสิไอ้สัส”

----------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 หมั่นเขี้ยว > มันเขี้ยว
เราจะลงให้ 3 ตอนรวดเลยนะคะ เพราะเราจะไปต่างจังหวัด เลยจะลงไว้ให้อ่านก่อน เพราะตั้งใจว่าจะลงวันละตอนจนจบเรื่อง
ส่วนภาษามือคำไหนที่เราบรรยายแล้วนึกภาพไม่ออก ทิ้งข้อความไว้ก็ได้ค่ะ เราจะได้เอาคลิปวิดิโอมาแปะให้ดู
สำหรับเหตุผลที่รันพูดไม่ได้ อันนี้เราหาข้อมูลมา มันเคยเกิดขึ้นจริง ถึงแม้เหตุผลมันจะดูเล็กน้อย แต่สำหรับคนทีเจอไม่ถือว่าเล็กน้อยเลย
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 4 [up 20/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-10-2017 12:42:29
♥ Fall in you ♥
-ตอน 4-


‘ผมว่าจะถามหลายทีแล้ว ทำไมพี่มากินข้าวเช้าคนเดียวตลอดเลย?’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์มือถือ แล้วส่งให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จาได้อ่าน
“แล้วมึงล่ะ ?” พี่อาคเนย์ไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม

‘เพื่อนผมมันไม่กินข้าวเช้า มันบอกเสียเวลานอน’
“ฝั่งนี้ก็เหมือนกัน” พี่อาคเนย์ตอบแล้วก็ยกยิ้ม ผมเลยส่งยิ้มกลับไปก่อนจะก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้าบ้าง

จะว่าไปอาทิตย์นี้ เกือบจะทั้งอาทิตย์แล้วนะ ที่ผมบังเอิญเจอพี่อาคเนย์ตอนแปดโมงเช้าที่โรงอาหาร แล้วไปๆ มาๆ เราสองคนก็มานั่งกินข้าวเช้าด้วยกันตลอด
“ไหนๆ ก็เจอกันทุกวันละ แลกไลน์กันมั้ย ใครมาถึงก่อนจะได้เป็นคนสั่งข้าว” พี่อาคเนย์เสนอความเห็น

“…” ผมพยักหน้ารัวอย่างเห็นด้วย เพราะวันนี้ผมมาสายไปครึ่งชั่วโมง แถมยังต้องเสียเวลาไปต่อคิวซื้อข้าวอีก วันนี้ก็แอบคิดว่าจะต้องนั่งกินข้าวคนเดียวแล้ว แต่บังเอิญพี่เขาดันมาสายกว่า ก็เลยรีบตามมาสมทบที่โต๊ะตัวเดิม มุมเดิมของโรงอาหารกลาง

“ยิ้มไร?” พี่อาคเนย์ถามเสียงแข็ง เมื่อเราต่างก็มีไลน์ของกันและกันแล้ว แต่ผมก็ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตายิ้มกับโทรศัพท์ แต่พอพี่เขาทัก ผมก็รีบกลั้นยิ้มทันที
ก็ดูสิ ผู้ชายตัวสูง ไหล่กว้าง หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาคมเฉี่ยว อีกทั้งจมูกยังโด่งเป็นสัน แถมผิวยังสีขาวออร่าซะขนาดนั้น แต่ดันมีชื่อเล่นจริงๆ ว่า ‘ฮ่องเต้’
ช่างไม่เหมาะกับพี่เขาเลย
เรียกพี่อาคเนย์ ยังจะเหมาะกว่าอีก

“เดี๋ยวกูเท ไม่เอามึงไปคณะด้วยซะเลยนี่ สายแล้วเนี่ย” รุ่นพี่ตรงหน้าว่าพลางลุกขึ้นยืน พร้อมหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ด้วยมือข้างนึง ส่วนอีกข้างก็ถือจานไปเก็บตรงภาชนะเก็บล้าง ผมก็เลยรีบสะพายกระเป๋าแล้วถือจานตามพี่เขาไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเราก็แยกกันตรงที่จอดรถคณะศิลปศาสตร์ จำได้ว่าก่อนลงจากรถ พี่เขาควานหาหนังสือจิตวิทยาที่เบาะหลัง จากนั้นก็ถือติดมือไปด้วย
และในวันนี้ ผมก็ได้รู้สักทีว่าพี่อาคเนย์เลือกเรียนสาขาอะไร..

“วันนี้กูแม่งโคตรขี้เกียจอ่ะ พูดตรงๆ” ไอ้หมอกบ่นกระปอดกระแปด หลังจากอาจารย์ปล่อยคลาส เพื่อให้เวลาพวกเราไปหาข้อมูลมาทำรายงานเรื่องสิทธิของเด็กหูหนวกที่จะเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่ใช้ภาษาได้สองภาษา ซึ่งภาษาที่ว่าก็คือภาษาสำหรับคนหูหนวกหรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็คือภาษามือ และภาษาไทยในรูปแบบของภาษาเขียนและภาษาพูด
“กูงีบก่อนได้ป่ะ” ไอ้หมอกมันถามความเห็น ขณะที่ผมกำลังเดินนำหน้า ส่วนสายตาก็มองสอดส่องหาหมวดหมู่ของหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เป็นหัวข้อที่อาจารย์มอบให้

“เออ กูก็คิดว่างั้นว่ะ คนอื่นเขาเข้าวัดแล้วร้อน แต่กูเข้าห้องสมุดแล้วง่วง” ไอ้คินมันก็เห็นดีเห็นงามไปกับไอ้หมอกด้วย ผมจึงหันไปทำตาดุใส่พวกมัน แต่พวกมันก็หาได้กลัวไม่ แถมยังพากันเดินลัดเลาะชั้นหนังสือออกไปหามุมเพื่อหลับนอนอีกต่างหาก
นี่ถ้างานของมันไม่เสร็จ ผมจะหัวเราะสมน้ำหน้าให้สะใจเลย

พอเดินไปถึงหมวดหนังสือต่างประเทศ ผมก็นึกลังเลว่าจะเปลี่ยนแผนดีไหม แต่พอส่องไปส่องมาก็พบว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่ผมสามารถพบเจอเขาได้ทุกเช้าที่โรงอาหารคณะ และเราก็เคยกินข้าวด้วยกันหลายครั้ง แถมยังแลกไอดีไลน์กันแล้วด้วย ผมจึงย่อตัวลงนั่ง พลางเอาปลายนิ้วชี้จิ้มข้างแขนของรุ่นพี่ต่างสาขาเบาๆ เพื่อให้เขาขยับตัวไปนอนอีกด้านหนึ่ง ผมจะได้สะดวกในการหาหนังสือหนังหาที่ต้องการ

‘หลับสบายเลยนะครับ’ ผมยิ้มพลางส่งข้อความไปให้อีกคนอ่าน
“จะสบายกว่านี้ ถ้าไม่มีใครมาปลุกเนี่ย” พี่เขาทำหน้ามุ่ยพร้อมกับขยับไปนั่งชิดมุมด้านขวามือ ผมก็เลยอมยิ้มก่อนจะหันไปสนใจจุดประสงค์หลักของการมาห้องสมุดอีกครั้ง กระทั่งได้หนังสือเล่มที่ต้องการ ผมจึงเขย่งปลายเท้าให้สูงขึ้น ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือมาด้วย พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ รุ่นพี่ต่างสาขาอย่างถือวิสาสะ เพื่อควานหาเนื้อหาที่ตรงประเด็นให้ได้ ก่อนที่จะไปรวมกลุ่มกับเพื่อน

“เล่นใหญ่ ใช้หนังสือภาษาอังกฤษทำรายงานเลยเหรอมึง?” คนที่ผมคิดว่าน่าจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว จู่ๆ ก็ถามขึ้นหลังจากที่ผมนั่งปักหลักกลั่นกรองข้อมูลอยู่ข้างๆ
‘ครับ พอดีหมวดที่เป็นภาษาไทย เพื่อนๆไปออกันเยอะมาก ผมเลยไม่อยากเข้าไปเบียด’ ผมพิมพ์ตอบลงในแชท โดยที่อีกฝ่ายก็อ่านข้อความจากหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง จากนั้นบทสนทนาของเราก็จบลงแค่นั้น

“ขนตามึงแลยาวดีเนอะ”

เดดแอร์..
บอกได้คำเดียวว่า เดดแอร์!

ไอ้พี่อาคเนย์แม่งต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ อยู่ๆ ก็มานั่งพิจารณาขนตาผมเฉย เล่นเอาผมทำงานไม่รู้เรื่องไปเลย โชคดีที่พวกไอ้คินมันไลน์มาตาม ผมเลยถือโอกาสรีบแยกตัวกับอีกฝ่ายซะ
   
พอมาถึงโต๊ะที่ไอ้เพื่อนสองคนมันจับจอง ผมก็รีบก้มหน้าก้มตาแปลภาษาอังกฤษในเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ส่วนไอ้เพื่อนสองตัว มันก็นอนเอกเขนกอย่างสบายใจเฉิบ
“โห ไอ้เชี่ย มึงจะเมพไปไหน เล่นแปลเองเลยเหรอวะ โหดสาด” หลังจากไอ้คินมันชะโงกหน้ามาสอดส่องการทำงานของผม มันก็รีบอุทานออกมา พร้อมกับทำหน้าทำตาซะโอเว่อร์
 “เชรดดดด” ไอ้หมอกมันรีบเงยหน้าขึ้นจากข้างแขนของตัวเอง จากนั้นก็ชะโงกหน้ามาดูเนื้อหาที่ผมจะใช้ประกอบงานที่อาจารย์สั่ง

‘กูไม่ได้เก่ง กูแค่ขี้เกียจไปแย่งหนังสือกับเพื่อนคนอื่น แม่งวุ่นวายเกิน’ ผมเข้าสู่โหมดแชท แล้วพิมพ์ข้อความลงไปในกรุ๊ป
“เป็นการขี้เกียจที่ยิ่งใหญ่มาก ไอ้สัส ต่างกับกู ที่ขี้เกียจแล้วก็นอนแม่งเลย” ไอ้หมอกมันว่า พลางพยักหน้าหงึกหงัก ส่วนไอ้คินก็ยกนิ้วโป้งทำท่ากดไลท์อย่างเห็นด้วย ผมเลยขี้คร้านจะสนใจพวกมัน รีบหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ

พอนั่งทำงานเพลินๆ เผลอแป้ปเดียวก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ไอ้หมอกมันเลยทำท่าบิดขี้เกียจ ส่วนไอ้คินก็รีบเอาหนังสือไปเก็บที่ชั้นวางหนังสือ เพราะหลังจากที่มันนอนจนสาแก่ใจ ไอ้เพื่อนสองตัวมันก็รีบตั้งอกตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายขึ้นมาบ้าง 
“กูไปห้องน้ำแป๊ป พวกมึงก็รีบๆ เลย กูแม่งหิวสัสๆ” ไอ้หมอกมันหันมาบอกผมที่กำลังเก็บเครื่องเขียนลงในกระเป๋าเครื่องเขียน จากนั้นก็ลุกเอาหนังสือไปเก็บที่ชั้นวาง เนื่องจากผมแปลเนื้อหาที่ต้องการได้ครบถ้วนแล้ว เหลือแค่เรียบเรียงอีกนิดหน่อยก็น่าจะเสร็จ

เที่ยงนี้พวกเราตกลงจะไปกินร้านใกล้ๆ คณะ เนื่องจากมีเรียนในช่วงบ่าย อีกทั้งรสชาติอาหารก็ดีด้วย ที่สำคัญร้านนี้แอบเก๋นิดนึง ตรงที่มีช้อยส์ให้เลือกสั่งเป็นเมนูตามใจเชฟ เวลาสั่งก็ต้องเสี่ยงดวงกันหน่อยว่ามันจะเป็นเมนูไหน อร่อยหรือเปล่า แต่เท่าที่เคยสั่ง ก็ไม่เคยผิดหวังนะ

“เหมือนเดิม?” ทันทีที่ก้นแตะลงบนเก้าอี้ตรงมุมประจำ ไอ้หมอกก็หันมาถามความเห็น ผมกับไอ้คินเลยพยักหน้า
“เมนูตามใจเชฟเหมือนเดิมพี่ น้ำเปล่าสองขวด”

“นับวันอากาศยิ่งร้อนเหี้ยๆนะประเทศไทย” ไอ้คินเริ่มบ่นพลางขยับเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองไม่หยุด แถมร้านยังเป็นโอเพ่นแอร์แบบธรรมชาติอีกต่างหาก
“สุดๆ กูแม่งอยากจะโดดบ่อน้ำพุตรงหน้าทางเข้าคณะชิบ” ไอ้หมอกมันโอดครวญพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
 ‘เอาดิ โดดเลยมึง’
“กวนนะมึงไอ้เตี้ย!” ไอ้หมอกที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับส่งมะเหงกมาเขกหัวผมแบบไม่ออมแรง

‘สาดดด เจ็บนะเว้ย’ ผมเบ้ปาก พลางก้มหน้าก้มตาพิมพ์เถียงกับไอ้เพื่อนซี้คู่อาฆาตราวกับเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน
“หราาาา” พอมันทำลอยหน้าลอยตา ผมก็ถึงกับชักสีหน้าใส่ไอ้หมอกอย่างเอาเรื่อง เพราะเวลามันกวนตีนทีไร เล่นเอาผมหงุดหงิดทุกที คิดแล้วก็เซ็ง ถ้าผมพูดได้นะ ป่านนี้ผมด่ามันเปิดเปิงไปแล้ว
เสียเปรียบชะมัด!

แต่แล้ว เราสองเพื่อนซี้ก็มีโอกาสเถียงกันเป็นเรื่องเป็นราวในแบบของตัวเองได้ไม่นาน อาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ พวกผมก็พากันชื่นชมเมนูที่เขานำเสิร์ฟ ที่มีทั้งข้าวอบสับปะรด ข้าวหมูก้อนทอดไข่เจียว โรตีแกงเขียวหวาน
“แย่งกู” ไอ้หมอกทำหน้างอ เมื่อผมเอื้อมมือไปหยิบข้าวอบสับปะรด เรื่องของเรื่อง มันเป็นเมนูที่เราสามคนยังไม่เคยสั่ง และไม่แน่ว่าเมนูนี้อาจจะเป็นเมนูลับของร้านก็ได้

“…” ผมยักไหล่ และตั้งท่าจะกินให้หนำใจ แต่ปรากฏว่าโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ครัว กำลังถามหาเมนูข้าวอบสับปะรด เพราะว่ากลุ่มของเขาได้สั่งล่วงหน้าไว้แล้ว
คงจะเป็นลูกค้าประจำล่ะมั้งน่ะ..

“เมื่อกี้มึงเอาไปเสิร์ฟโต๊ะไหนวะนั่น?” พี่เจ้าของร้านรีบหันไปถามพนักงานเสิร์ฟ ส่วนไอ้เด็กนั่นก็เกาหัวงงๆ พลางกวาดตามองไปรอบๆ ร้าน ก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะของผม ขณะที่ลูกค้าคนดังกล่าวก็ค่อยๆ หันหน้ามาทางนี้ด้วย
อ่า.. พี่อาคเนย์ หรือพี่ฮ่องเต้นี่เอง..

“เพื่อนผมมันยังไม่ได้กิน พี่จะเอาคืนไปก็ได้นะ?” ผมเอาเท้าสะกิดไอ้หมอก จนมันเงยหน้าขึ้นจากข้าวหมูก้อนทอดไข่เจียว แต่ก็ไม่ได้เข้าใจเอาซะเลยว่าผมต้องการอะไร ผมเลยต้องเอาเท้าเตะขามันอีกรอบ มันถึงได้ตะโกนบอกรุ่นพี่ต่างสาขาให้ผม
“ไม่เป็นไร แลกเมนูกันก็ได้” พี่เขาว่าอย่างนั้น แล้วก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็เลยก้มหน้าก้มตาทานเมนูของเขาต่อ
แต่จะว่าไป เมนูนี้ก็อร่อยดีนะ..

หลังเลิกเรียนไอ้หมอกไอ้คินมันชวนผมปั่นจักรยานรอบมหาลัยเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้พวกมันมีเป้าหมายใหม่ มันบอกว่ามันอยากจะแวะไปให้อาหารปลาที่คณะดุริยางคศาสตร์ พร้อมกับนั่งชิวๆฟังเขาซักซ้อมวงดุริยางค์ที่แอบเปิดหน้าต่างแง้มๆไว้ จากนั้นก็ค่อยไปหาอะไรกินตรงร้านหมูย่างหน้ามหาลัย

“มึงรู้ป่ะ ทำไมกูถึงเลือกเรียนสาขานี้ ?” ไอ้คินมันโยนอาหารปลาลงในบ่อ ก่อนจะหันมาตั้งคำถามใส่พวกผมสองคน
“กูจะรู้มึงเรอะ ได้ข่าวว่าเราเพิ่งรู้จักกันมั้ยมึง” ไอ้หมอกรีบย้อนความทันควัน

“กูอ่ะ เห็นอาจารย์ทำหน้าที่ล่ามภาษามือในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้วคิดว่าโคตรเท่ แถมยังทำประโยชน์ให้สังคมด้วยนะเว้ย กูเลยตัดสินใจเลือกเรียน” ไอ้คินมันตอบพลางยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจกับการตัดสินใจของมัน
“ส่วนกู เลือกเรียนสาขานี้เพราะมันให้ประโยชน์กับคนประเภทกูว่ะ อีกอย่างกูซื้อความสบายใจของตัวเองด้วย คือมันก็อดกลัวไม่ได้นะเว้ย ว่ากูที่เป็นแบบนี้จะไปเรียนสาขาอื่น คณะอื่นแล้วจะได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ กับรุ่นพี่แบบนี้มั้ย เพราะกูน่ะ ถ้าถอดเครื่องช่วยฟังซะ ก็จบเห่” ไอ้หมอกมันพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ ผมเลยตบไหล่มันเบาๆ ในสถานะคนหัวอกเดียวกัน

“อืม กูเข้าใจ”
‘กูเองก็คิดเหมือนไอ้หมอกนะ ยิ่งตอนเด็กกูเคยถูกเพื่อนเอาเรื่องที่กูพูดไม่ได้มาล้อเลียน กูเลยยิ่งมีอคติกับคนไร้ข้อบกพร่องไปใหญ่ แถมพอตอนแม่งรู้สาเหตุที่ทำให้กูพูดไม่ได้นะ แม่งก็หาว่ากูไร้สาระ ไอ้สัสเอ้ย ถ้าพวกแม่งมาเป็นกู แม่งจะไม่คิดว่ามันไร้สาระเลย’

“ยังไงวะ?” ไอ้คินมันย้อนถาม ทำเอาผมชะงักขึ้นมาทันที
“ถ้ามึงไม่สะดวกจะเปิดใจเล่า ก็ไม่ต้องเล่าแม่ง” ไอ้หมอกมันว่าพลางบีบไหล่ผมที่นั่งอยู่ระหว่างกลางพวกมัน

“หาไรแดกกันเหอะว่ะ ทิ้งเรื่องดราม่าไว้แม่งตรงนี้แหละ ต่อไปพวกมึงจะมีแต่ความสุข เชื่อกู!” ไอ้คินมันลุกขึ้นยืนพลางยีหัวผมกับไอ้หมอกคนละที พวกผมก็เลยยกยิ้มให้มันแทนคำสัญญา ก่อนจะเดินตามไอ้เพื่อนตัวสูงที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงนำหน้าออกไปยังลานจอดรถของคณะดุริยางคศาสตร์ จึงทำให้พวกเราค่อยๆมองเห็นรูปทรงของตัวอาคารที่ประดับด้วยโน้ตดนตรีหลากประเภท

พวกเราจัดการคืนจักรยานที่ประตูหน้ามอ ก่อนจะข้ามสะพานลอยเพื่อข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม เดินเรียบข้างทางไปอีกหน่อยก็เจอกับร้านหมูย่างสไตล์เกาหลี แต่พวกเราจะเปรี้ยวสั่งแต่เนื้อย่างมาแดกให้พุงกาง
“เฮ้ย บังเอิญว่ะ รวมโต๊ะกันเลยมั้ยพวกมึง?” หลังจากทักทายพวกพี่ทีมกับพี่อาคเนย์เรียบร้อยแล้ว พี่ทีมก็รีบกดดันชักชวนพวกเราทันที เพราะพนักงานกำลังรอคอยคำตอบจากเราอยู่

“โอเคพี่ เลี้ยงด้วยนะ” ไอ้คินมันว่า พลางยักคิ้วให้รุ่นพี่สายรหัสของตัวเอง
“แดกตีนกูนี่ รอบนี้หารกันครับมึง” พี่ทีมว่าพลางลากคอไอ้คินให้เดินตามพนักงานไปพร้อมแก

ผมปล่อยหน้าที่การสั่งอาหารให้คนอื่นๆ ส่วนตัวเองก็พิมพ์แชทไปบอกแม่ว่ากำลังจะกินมื้อเย็น จากนั้นก็นั่งไถโทรศัพท์เงียบๆ คนเดียว ซึ่งแอปพลิเคชันที่ผมเข้าไปส่องนั่นส่องนี่บ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็นทวิตเตอร์นี่แหละครับ ความบันเทิงหลากหลายดี แถมบ่นคนเดียวก็ไม่มีใครมาว่าแดกด้วย
‘วันนี้นึกยังไงมากินซะไกล?’ หลังจากนั้นพี่อาคเนย์ก็ทักมา ผมเลยเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แวบนึง จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ตอบอีกฝ่าย

‘คนเรามันก็ต้องมีอารมณ์อยากเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนเมนูกันบ้างสิครับ ใจคอพี่จะให้พวกผมฝากท้องกับโรงอาหารอย่างเดียวเลย?’ ประโยคอันยาวเหยียดถูกส่งออกไปภายในเวลาไม่กี่อึดใจ เพราะผมเป็นเซียนเรื่องการพิมพ์ อีกทั้งผมก็เปิดใจในการพูดคุยกับรุ่นพี่ตรงหน้าแล้ว ตั้งแต่รับรู้ว่าพี่เขาไปแอบเรียนภาษามือจนแทบจะเป็นมือโปรอยู่แล้ว

‘เออ’
‘ว่าแต่แถวนี้มีคาเฟ่ที่ทำบลูเลม่อนอร่อยๆอีกหรือเปล่าครับ’

‘ก็มีนะ เดินลงจากสะพานลอยก็เจอเลย ร้านขึ้นชื่ออยู่ ไอ้บอสถึงกับตกเป็นทาส’
‘ถ้าพี่บอสถึงกับตกเป็นทาส แสดงว่าผมก็ไม่น่าจะรอด’ หลังจากพิมพ์เสร็จผมก็เงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ซึ่งพี่เขาก็ส่งยิ้มบางๆมาให้ ผมจึงยิ้มตอบ

‘ว่าแต่พี่ใช้เวลาเรียนภาษามือนานมั้ยครับ คือพี่ดูคล่องมาก’
‘ถ้าเอาแบบจริงๆจังๆก็ช่วงเข้ามหาลัยนี่แหละ อาศัยความรู้จากไอ้ทีม ไอ้บอสน่ะ ไม่งั้นเกิดพวกแม่งได้รวมหัวกันด่า กูก็ตายพอดี’

‘ไว้มึงคล่องภาษามือเมื่อไหร่ มาลองภูมิกับกูนี่’
‘ได้เลยครับพี่ฮ่องเต้’ ผมเงยหน้าพลางยักคิ้วรับคำท้า ส่วนอีกฝ่ายก็ทำถลึงตาใส่ เพราะผมดันเรียกชื่อต้องห้ามเข้าให้ แต่จากนั้นบทสนทนาของพวกเราก็จำต้องหยุดลง เมื่อคนอื่นๆ เริ่มงัดหัวข้อมาพูดคุยกันเพื่อสร้างความสนิทสนม ซึ่งผมกับพี่บอสก็ได้แต่ยิ้มรับบ้าง พยักหน้าตอบบ้าง กระทั่งอาหารเย็นของพวกเราเริ่มพร่องได้ช้าลง จึงพากันฝืนกินให้หมดจนท้องแทบแตก ก่อนจะแยกย้ายกันที่หน้าร้านเหมือนเดิม เพราะหอพักของรุ่นพี่ทั้งสามอยู่ตรงซอยถัดจากร้านหมูย่างนี่เอง

“ไว้เจอกันพี่”
“เออ”

ติ้ง!

ผมเปิดกระเป๋าเป้ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ขณะที่สองขาก็ก้าวเดินตามการนำทางของไอ้เพื่อนทั้งสองคนที่กำลังมุ่งตรงไปยังสะพานลอยที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรานัก

‘พรุ่งนี้จะกินอะไร?’
‘พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนครับ พี่ไม่ต้องสั่งเผื่อผมก็ได้’

‘เออว่ะ พรุ่งนี้วันพฤหัสนี่หว่า กูก็ลืมไปเลย’
‘อะไรกันพี่ ยังไม่ทันจะแก่เลย ขี้ลืมซะแล้วเหรอ’

‘วอนละมึง มะเหงกนี่’
‘กูถึงหอละ บาย’

ผมยังไม่ทันได้พิมพ์ต่อล้อต่อเถียงอะไรกลับไป อีกฝ่ายก็รีบชิ่งหนีซะแล้ว ผมเลยได้แต่เก็บเครื่องมือสื่อสารลงในกระเป๋าใบโปรด ก่อนจะค้นพบว่าตัวเองเอาแต่อมยิ้มจนปวดแก้มไปหมด

--------------------------------------
27/01/2018 แอพพลิเคชัน > แอปพลิเคชัน
คุณอาคเนย์ค่าตัวไม่แพงแล้วนะคะ 555
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 5 [up 20/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-10-2017 12:48:55
♥ Fall in you ♥
-ตอน 5-



เนื่องจากวันนี้ผมไม่มีเรียนจึงตื่นสายกว่าปกติอยู่หลายชั่วโมง เรียกได้ว่ามื้อเช้าไม่ต้องกิน มากินมื้อเที่ยงแม่งเลย เพราะอีกชั่วโมงเดียวก็จะเที่ยงแล้ว ด้วยความที่วันนี้ว่างจัด จะอยู่แต่ที่หอก็น่าเบื่อ ผมเลยหอบงานมาทำที่ห้องสมุด ส่วนไอ้เพื่อนสองตัวมันขอบาย เพราะห้องสมุดกับมันไม่ค่อยถูกโฉลกกันเท่าไหร่

ติ้ง!

ผมเปิดกระเป๋าสะพายพลางควานหาโทรศัพท์โดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าใครเป็นต้นเหตุผมก็รีบสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปยังแอปพลิเคชันอันคุ้นเคย ก็พบว่าพี่ฮ่องเต้ส่งข้อความเสียงมาให้ โชคดีที่ผมยังเดินไปไม่ถึงห้องสมุดก็เลยสามารถเปิดฟังได้อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร
   
‘เสียงเปิดหนังสือ ?’ ผมขมวดคิ้ว พลางพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

‘เยส ให้ทาย กูอยู่ไหน?’
‘ก็ต้องห้องเรียนสิครับ เพราะมีเสียงอาจารย์แว่วเข้ามาด้วย’

‘เก่งใช้ได้ แล้วมึงล่ะอยู่ที่ไหน’ พออีกฝ่ายย้อนถาม ผมก็รีบทำแบบเดียวกัน โดยการอัดเสียงรอบด้านส่งไปให้
‘มีเสียงนกร้อง มีเสียงรถวิ่ง แสดงว่ามึงกำลังอยู่ริมถนนในมอ’

‘ครับ’ ผมส่งข้อความตอบโต้อีกฝ่ายไม่ถึงนาที พี่เขาก็ส่งข้อความเสียงกลับมาอีกครั้ง
‘เสียงเก้าอี้.. พี่กำลังจะเลิกเรียน ?’

‘เก่งนี่’ พออีกฝ่ายออกปากชม ผมก็เริ่มอัดเสียงรอบข้าง ก่อนจะส่งไปให้พี่เขาทายอีกหน
‘ตอนนี้มึงอยู่ป่าช้าเหรอ ทำไมถึงเงียบสนิทขนาดนั้น’ ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่อ่านข้อความของอีกฝ่ายจบ

‘จะบ้าเหรอครับ นั่นก็ขั้นแอดวานซ์เกิน ห้องสมุดก็พอครับ’
‘อื้อ งั้นกูไปหาข้าวกินก่อน’

‘ครับ’

ว่าแต่..
บทสนทนาระหว่างเราก็จบลงไปแล้ว แต่รอยยิ้มของผม ทำไมมันถึงไม่จบลงไปด้วย?

พอเคลียร์งานจนเสร็จ ผมก็ปลีกวิเวกอีกครั้ง โดยครั้งนี้ผมเลือกที่จะยืมจักรยานมาปั่น เพราะตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะไปนั่งเล่นที่ริมทะเลสาบเล็กๆแถวหอประชุมที่เพิ่งสร้างใหม่ เพราะอากาศเย็นๆแบบนี้มันช่วยจรรโลงให้มีอารมณ์อยากจะทบทวนภาษามือขึ้นมา
กระทั่งได้ที่จอดรถผมก็เดินตัวเปล่าไปนั่งรับลม เพราะตั้งใจว่าจะเปิดคลิปสอนภาษามือแล้วทำท่าทางตามในคลิปเอา ซึ่งรอบๆบริเวณต่างก็เต็มไปด้วยนักศึกษาที่พากันมานั่งจับกลุ่มพูดคุยหรือปิกนิกกัน แซมด้วยบุคคลภายนอกประมาณหยิบมือหนึ่งในบริเวณนี้ แต่ถ้าหากมองออกไปตรงถนนจะเห็นบุคคลภายนอกมาออกกำลังกายกันเยอะมาก
คำแรกที่ผมเริ่มทบทวนในหมวดสิ่งของ ก็คือคำว่า ‘กาว’ โดยผมยกมือทำท่าจับจีบเหมือนรำไทยทั้งสองข้าง และหันตรงส่วนจีบเข้าหากัน พร้อมกับขยับนิ้วชี้ขึ้นลงสองครั้ง จากนั้นก็เปิดคลิปเพื่อดูเฉลย พอตอบถูก ผมก็เริ่มทายคำต่อไปทันที
ผมยกแขนซ้ายขึ้นตั้งฉากโดยหันท้องแขนเข้าหาตัว พลางกำมือไว้หลวมๆ ส่วนมือขวาก็ทำเหมือนผมกำลังบรรเลงปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ด จากนั้นก็กดดูเฉลยของคำว่า ‘คอมพิวเตอร์’ อีกหน
ซึ่งครั้งนี้ผมก็ตอบถูกอีกเช่นเคย

การทบทวนบทเรียนของผมยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดง เพราะดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ผมจึงถือโอกาสนั้นพักจากตำราเรียน เพื่อค่อยๆมองความเปลี่ยนไปของธรรมชาติตรงหน้า กว่าจะรู้ตัว บริเวณรอบๆกายก็เริ่มถูกชดเชยด้วยแสงสว่างที่มนุษย์เป็นผู้ควบคุม

ติ้ง!

‘มึงอยู่ไหน แดกข้าวยัง?’ ไอ้คินทักมาอย่างตรงเวลา เพราะปกติเราจะทานมื้อเย็นกันเวลาที่ฟ้ามืดสนิท
‘ริมทะเลสาบ สั่งข้าวผัดต้มยำให้กูหน่อย’

‘กูว่าจะออกไปกินนอกมอว่ะ’
‘งั้นมึงก็ไปกินกับไอ้หมอกแล้วกัน กูอยากกินข้าวผัดต้มยำว่ะ’ ผมเดินไปยังลานจอดรถ พลางพิมพ์ข้อความไปด้วยอย่างชำนาญ แต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองรอบกายบ่อยๆเพื่อความปลอดภัย

‘แดกโรงอาหารก็ได้ กินข้างนอกติดๆกันมันก็เปลืองเงิน’ คราวนี้เป็นไอ้หมอกที่คล้อยตามผม สรุปวันนี้พวกเราทั้งหมดเลยฝากท้องกับโรงอาหารเหมือนทุกครั้ง แต่กว่าผมจะไปถึงที่หมาย ก็ต้องแวะซื้อบลูเลม่อนร้านเด็ดซะก่อน ซึ่งก็ต้องใช้สกิลการประคองจักรยานด้วยมือข้างเดียวให้ยุ่งยาก จากนั้นถึงค่อยทำเรื่องคืนจักรยานตรงจุดบริการใกล้โรงอาหาร ก่อนจะไลน์ไปถามที่สิงสถิตกับพวกมัน

ปึ่ก!

“นานสัส กูจะแดกหมดแล้วเนี่ย” พอพวกมันได้ยินเสียงผมวางแก้ว ก็รีบเงยหน้าขึ้นจากมื้อเย็นอันโอชะ แล้วก็เป็นไอ้หมอกที่โอดครวญออกมา
“เออนี่ มึงรู้ตัวมั้ยว่ามึงกำลังเป็นที่สนใจในสังคมโซเชียลเนี่ย” ไอ้คินมันเริ่มถามเปิดประเด็น เมื่อมื้อเย็นตรงหน้ามันได้หมดเกลี้ยงแล้ว

“…” ผมส่ายหน้าตอบ พลางตักข้าวเข้าปาก ส่วนตาก็จ้องมองมันเพื่อส่งสัญญาณให้มันพูดต่อ
“เรื่องของเรื่องเนี่ย ไอ้มินท์มันแชร์มา กูเลยเห็นเข้าพอดี คืองี้ มีคนถ่ายคลิปตอนมึงกำลังฝึกภาษามือไว้ด้วยเว้ย แต่มันไม่ธรรมดาตรงที่เขาเอาไปลงในเพจอะไรวะ ที่เขาลงแต่รูปพวกตัวท็อปหล่อๆของมหาลัยน่ะ” ไอ้คินระริกระรี้อธิบายด้วยความตื่นเต้น จากนั้นมันก็ยื่นโทรศัพท์ของมันมาให้ผมดูหลักฐาน

“…” พอดูจบผมก็ส่งคืนมันไป ก่อนจะจ้องหน้าเพื่อให้มันพูดต่อ
“ประเด็นคือมึงก็ไม่ได้หล่ออะไรนะ แต่แอดมินดันตาถั่วเอาคลิปมึงไปลงซะงั้น โห่วว กูล่ะเซ็ง” ไอ้ห่าคินแม่ง กูก็หลงฟังมาได้ตั้งนาน สรุปคือมึงจะตัดพ้อที่ตัวเองไม่ได้ลงเพจอะไรนั่น งั้นดิ ?

‘สัส’ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋า ก่อนจะพิมพ์คำเดียวสั้นๆ แต่ได้ใจความเน้นๆ
“อยู่เฉยๆ กูก็เหมือนกูโดนด่าไปด้วยเลยวุ้ย” ไอ้หมอกมันบ่น จากนั้นมันก็ตบหัวไอ้คินที่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ

‘มีเชี่ยไรอีก?’ หลังจากก้มหน้าก้มตากินข้าวจนหมดเกลี้ยง ผมก็เงยหน้ามาสบกับไอ้หมอกที่มองมาที่ผมอย่างพินิจพิจารณา
“กูกำลังสงสัยว่าทำไมพวกนั้นถึงชมว่ามึงน่ารัก เพราะความขาวงั้นดิ โห่ว อิจสุดไรสุด”

“นี่เว้ยๆ มีคนมาไขข้อสงสัยแล้ว เขาบอกว่าไอ้รันมันดูน่ารักเวลาที่ใช้ภาษามือ สรุปว่าไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตานะครับ จบๆ แยกย้ายได้” ผมส่ายหน้าหลังจากฟังไอ้เพื่อนซี้มันถกเถียงกันเรื่องหน้าตาของผม ซึ่งผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะรู้ว่าพวกมันกำลังแกล้งแซวที่จู่ๆผมก็ได้ไปลงในเพจอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นแต่ก่อน ผมคงซัดไอ้คนพูดจนร่วงไปแล้ว เพราะในตอนนั้นคนที่วิจารณ์เขาไม่ได้พูดเพื่อแกล้งแซวเล่นๆอย่างพวกมันสองคนแน่นอน

‘รีบกินเถอะว่ะ จะได้รีบกลับหอ’ ผมพิมพ์ข้อความตัดบท เพื่อลากตัวเองออกมาจากบทสนทนาอันแสนวุ่นวายนั่น บอกตามตรงว่า ยิ่งมีคนให้ความสนใจมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
เพราะว่าอคติต่างๆ มันเริ่มส่งผลในแง่ลบมากกว่าแง่บวก

เช้านี้ผมต้องนั่งทานข้าวคนเดียว เพราะพี่อาคเนย์ไม่มีเรียน อีกทั้งวันนี้ยังมีเรียนวิชาภาษาอังกฤษอีกต่างหาก ผมจึงต้องรีบทานข้าวให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ไปจองที่เงียบๆ สำหรับกลุ่มของผม และผมจะได้มีสิทธิ์จองที่นั่งที่ไม่ต้องอยู่ติดกับใคร
นั่งรอได้สักพักใหญ่ ไอ้หมอก ไอ้คินมันก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาจารย์ประจำรายวิชาภาษาอังกฤษ เราก็เลยไม่มีโอกาสได้พูดคุยทักทายกัน รอจนกระทั่งเลิกเรียนนั่นแหละ ถึงได้เปิดปากสอบถามกันว่าจะไปกบดานที่ไหนต่อ เพราะบ่ายวันนี้เราไม่มีเรียน อีกทั้งยังว่างมากๆ รายงานอะไรก็ไม่มี ส่วนการบ้านก็ไว้ค่อยทำเอาตอนใกล้จะถึงเวลาต้องเรียนในคาบถัดไป

“รัน!” ผมกำลังจะเดินออกจากอาคารเรียนอยู่แล้ว แต่เผอิญว่ารุ่นพี่ปีสามตะโกนเรียกเข้าเสียก่อน พวกผมเลยต้องเดินเข้าไปหาพี่ทีมที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างบันได
“สวัสดีครับ ว่าแต่เรียกไอ้รันมันทำไมวะพี่” ไอ้คินเป็นฝ่ายออกหน้า หลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้ว

“คืองี้ พวกพี่เห็นคลิปที่รันใช้ภาษามือแล้วได้รับความนิยมมาก ก็เลยกะจะให้มาทำแคมเปญเผยแพร่ภาษามือของสาขาน่ะ” พี่ทีมอธิบายพลางยกยิ้ม
“แคมเปญรอบนี้ พวกพี่คิดไว้ว่าจะทำเป็นคลิปคาราโอเกะภาษามือ โอเคมั้ยรัน ไม่ยากหรอก” ผมยิ้มอย่างแบ่งรักแบ่งสู้ เพราะไม่กล้าจะปฏิเสธพี่เขาเท่าไหร่ แม้ว่าใจจะไม่อยากทำเอาซะเลย
แต่ก็นะ มันงานของสาขานี่หว่า

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้มาซ้อมที่หอของพี่ก่อนแล้วกัน สักทุ่มนึงเนอะ”
“…” ผมพยักหน้ารับ

“งั้นพี่ขอไลน์เราหน่อย”

หลังจากแจกไลน์ให้รุ่นพี่ร่วมสาขาเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็ร่ำลากับรุ่นพี่กลุ่มดังกล่าว ซึ่งในขณะที่เรากำลังจะเดินไปยังที่จอดรถจักรยาน พวกไอ้คินมันก็บ่นผมใหญ่ที่ไม่อยากทำ แต่ก็ไม่ยอมปฏิเสธออกไป

‘ก็มันงานสาขานี่หว่า กูจะกล้าปฏิเสธได้ยังไงวะ’ ผมพิมพ์เถียงพวกมัน
‘งั้นก็เรื่องของมึงแล้วครับ ไปเว้ย จะได้มาคุยกันว่าบ่ายนี้จะไปไหนต่อ’ ไอ้หมอกมันว่า พลางเอื้อมมือมายีหัวผม ก่อนจะไปจัดการถอยรถออกจากซองจอด

บ่ายวันนี้พวกผมตัดสินใจแล้วว่าจะไปนั่งเล่นกันที่คาเฟ่ตรงข้ามมหาลัย ก็ร้านที่พี่อาคเนย์เคยบอกว่าบลูเลม่อนมันเด็ดน่ะแหละ แล้วจากนั้นมื้อเย็นเราก็จะไปทานมาม่าหม้อไฟด้วยกัน ก่อนจะกลับมาเตรียมตัวสำหรับบทเรียนในวิชาภาษามือที่จะต้องเรียนในวันพรุ่งนี้

“ไหนๆก็ว่างยาวแล้ว กูว่ามาติวภาษามือกันดีกว่ามั้ย” หลังจากสั่งเมนูที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ไอ้คินมันก็ออกความเห็นที่ดูเป็นงานเป็นการขึ้นมา
“โห ไอ้สัส ว่างๆทั้งทีมึงยังจะติวภาษามืออีกเหรอวะ” ไอ้หมอกรีบโอดครวญอย่างรวดเร็ว

‘แน่นอนสิวะ พวกกูไม่ได้ลอยตัวเหมือนมึงนะเว้ย’ ผมรีบเสริมไอ้คินทันควัน ทำเอาไอ้หมอกทำหน้ายุ่งเข้าไปใหญ่ เพราะมันน่ะเคยบอกว่าแค่เรียนในห้องเรียนก็เบื่อจะแย่แล้ว มันก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า ปีหนึ่งก็ต้องเริ่มเรียนจากอะไรที่มันเป็นพื้นฐาน จะให้ไปขั้นแอดวานซ์อย่างที่มันต้องการได้ไง
“งั้นเชิญพวกมึงตามสบาย กูขอนั่งชิวๆส่องเฟซ ส่องไอจีดีกว่า”

เมื่อไอ้เพื่อนซี้มันออกตัวซะขนาดนั้น พวกผมก็เลยต้องอาศัยศึกษาเอาจากเว็บไซต์ของคณะแทน ไว้ตอนนาทีสุดท้ายของการทบทวนบทเรียน ค่อยไปกระตุ้นไอ้หมอกมันทีหลัง เพราะยังไงบทเรียนพวกนี้มันก็ลอยตัวจะแย่แล้ว

ติ้ง!

พอนั่งเรียนภาษามือกันจนเบื่อ ผมกับไอ้คินก็เลยเปลี่ยนมานั่งคุยกันแทน ไอ้หมอกมันเลยสามารถหลุดออกจากโลกโซเชียลได้ แต่กลายเป็นผมแทน ที่ต้องเข้าสู่โลกโซเชียล เพราะรุ่นพี่ต่างสาขาที่วันนี้ไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าเป็นคนส่งข้อความแชทมาหา

‘ทำอะไรอยู่ เลิกเรียนยัง?’ ทันทีที่อ่านข้อความจบ ผมก็อมยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะวาดสายตาไปมองนาฬิกาที่อยู่ด้านบนสุดของหน้าจอโทรศัพท์
‘เพิ่งจะสามโมงเองครับ ยังไม่ทันเลิกเรียนหรอก’ ผมตอบอย่างยียวน แต่ก็รีบอัดเสียงบรรยากาศโดยรอบส่งไปให้อีกฝ่ายทีหลัง
‘อ้อ ไม่มีเรียน? สรุปอยู่คาเฟ่?’
‘ครับ’

‘ร้านไหน?’
‘ทำไมครับ พี่จะตามมาเหรอ?’

‘กูจะตามไปเพื่อ?’ พออีกฝ่ายย้อนใส่เสร็จ ก็รีบส่งข้อความเสียงมาให้ผมเป็นการตบหัวแล้วลูบหลังเหมือนอย่างที่ผมทำก่อนหน้า

‘อ้อ.. อยู่ห้าง เข้าไปในเมืองนี่เอง’
‘อืม’

‘ตอนนี้ผมอยู่คาเฟ่ ร้านที่พี่บอกว่าบลูเลม่อนอร่อยจนพี่บอสยังต้องตกเป็นทาสน่ะแหละ’
 
‘แล้วเป็นไง อร่อยสมคำร่ำลือมั้ย?’ พอพี่เขาย้อนถาม ผมก็เลยอัดคลิปเสียงดูดน้ำจนดังลั่นไปให้อีกฝ่าย
‘จริงๆเลย ส่งมาได้’ พออีกฝ่ายส่งสติ๊กเกอร์หมีหันหน้าเข้ากำแพงกลับมาให้ ผมก็รัวสติ๊กเกอร์หัวเราะแทบจะทุกรูปแบบที่มีกลับไป
และวันนี้ ก็ยังเป็นวันที่ดีๆอีกหนึ่งวันสำหรับผม..

--------------------------------
[edit 30/11/2017 แก้คำผิด ทะเลสาป > ทะเลสาบ / กบดาล > กบดาน / 27/01/2018 แอพพลิเคชัน > แอปพลิเคชัน]
ปิดท้ายด้วยความสัมพันธ์ที่คืบหน้าเนอะ
เราตั้งใจให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเอื่อยๆ เจอกันบ้าง ไม่เจอบ้าง
เพราะเวลาเรียนเอาจริงๆ แม้แต่เพื่อนจากโรงเรียนเดียวกันยังไม่ค่อยเจอเลยค่ะ 555
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ รู้สึกมีกำลังใจเยอะเลย เพราะที่ผ่านมาแล้วนอยด์ๆงานเขียนของตัวเองอยู่
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3-5 [up 20/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 20-10-2017 15:29:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3-5 [up 20/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-10-2017 04:24:00
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3-5 [up 20/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-10-2017 13:31:57
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3-5 [up 20/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-10-2017 15:26:39
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 3-5 [up 20/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 21-10-2017 15:30:28
น้องน่ารัก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 6 [up 23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 23-10-2017 21:49:24
♥ Fall in you ♥
-ตอน 6-


วันนี้เป็นวันนัดหมายสำหรับการร่วมงานทำแคมเปญของสาขา พี่ทีมนัดให้เรามาเจอกันที่โรงอาหารเพื่อทานข้าวทานอะไรให้เรียบร้อย จากนั้นก็จะนั่งรถที่มีพี่อาคเนย์เป็นสารถีจำเป็น เพื่อไปเรียนงานที่หอพักของรุ่นพี่ร่วมสาขา ส่วนเพื่อนของผมมันขอตัวกลับหอไปนอนอืดที่ห้องอย่างไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้น
มันน่าโมโหจริงๆ

“พี่เลือกเพลงของขวัญของ Musketeers ไว้นะ จะลองฟังดูก่อนมั้ย หรือจะเริ่มฝึกกันเลย” พอไขกุญแจเข้ามานั่งปักหลักในห้องได้ พี่ทีมก็ถามความเห็นผม ส่วนพี่บอสก็เดินไปเปิดแอร์ ขณะที่พี่อาคเนย์หรือคุณฮ่องเต้ เขาก็นั่งหลังตรงอยู่บนที่นอนประหนึ่งท่านเจ้าคุณเสียอย่างนั้น ส่วนผมก็ทิ้งตัวลงนอนที่พื้น ตามพี่ทีมที่บังเอิญหาจุดยืนให้กับผมเพื่อรับมือในสถานการณ์อันไม่คุ้นชินนี้

‘ซ้อมเลยก็ได้ครับ’ ผมก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความเพื่อสื่อสารกับพี่ทีมอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากจะรบกวนพี่เขานานๆ แถมขากลับพวกพี่เขายังต้องไปส่งผมที่หออีก เดี๋ยวจะดึกซะเปล่าๆ
“งั้นฝึกวันละสองท่อนก็แล้วกัน จะได้ไม่หนักเกิน” พี่ทีมเสนออย่างใจดี ผมก็เลยยิ้มให้พี่เขาแทนคำตอบ

“ไอ้เนย์ มึงไปเอากีตาร์มาดิ พอน้องมันคล่องจะได้ลองฝึกเลย” พี่ทีมก็ยังคงเป็นพี่ทีมคนเดิมที่ไม่ว่าจะพูดอะไรกับใคร พี่เขาก็มักจะใช้ภาษามือโดยอัตโนมัติ พร้อมกับออกปากพูดไปด้วย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเพื่อนรักอีกหนึ่งคน
“เออๆ” ผมมองตามรุ่นพี่ต่างสาขาอย่างสงสัย เมื่ออีกฝ่ายเดินออกไปจากห้อง
 
“ไอ้บอสมันบอกว่า ไอ้เนย์มันอยู่ห้องข้างๆน่ะ”
“…” ผมยิ้มพลางเกาหัวแก้เก้อที่มีคนจับความสงสัยของผมได้

“เอาล่ะ เริ่มเลยแล้วกันเนอะ ไอ้บอสมึงหยิบเนื้อเพลงตรงหัวเตียงให้กูที” พี่ทีมใช้ภาษามือสื่อสารกับพี่บอส และนำกระดาษแผ่นดังกล่าวมากางไว้กลางวง ขณะที่คนที่เดินกลับห้องตัวเองเมื่อครู่ก็หิ้วกีตาร์เข้ามาในห้อง แล้วก็ปักหลักอยู่บนที่นอนพร้อมกับเกากีตาร์เล่นโดยไม่ได้สนใจพวกเราทั้งสามคนที่นั่งออกันอยู่บนพื้น

มีเรื่องราวมากมาย ที่ไม่มีใครได้ฟัง
คำพูดนับร้อยพัน ที่ต้องการเอื้อนเอ่ย
ไม่ว่าจะนานสักเท่าไร
ยังยืนยันคำเดิมเสมอ ไม่เคยเปลี่ยน


พี่บอสเป็นคนสอนภาษามือให้ผม โดยเริ่มจากท่อนแรกอย่างช้าๆ แต่เพราะมันเป็นประโยคยาวๆ ผมเลยยังจำไม่ค่อยได้ พี่ทีมเลยเสนอให้ค่อยๆสอนทีละวรรค เพราะรายละเอียดมันเยอะ แถมผมยังฝึกแบบก้าวกระโดดอีกต่างหาก
“เริ่มจากวรรค.. มีเรื่องราวมากมาย ที่ไม่มีใครได้ฟัง” พี่ทีมร้องเพลงในวรรคแรกแบบช้าๆ พร้อมกับทำภาษามือประกอบ เริ่มจากการใช้มือขวาแตะที่ไหล่ขวา แล้วก็ทำมือจับจีบเหมือนรำไทยทั้งสองข้าง โดยนำปลายจีบจรดเข้ามาใกล้กัน ก่อนจะวาดห่างออกจากกัน จากนั้นก็ยกแขนขึ้นตั้งฉากทั้งสองข้าง จากนั้นก็นำนิ้วชี้ข้างขวาไปแตะที่ปลายนิ้วชี้ข้างซ้าย วาดเป็นรูปครึ่งวงกลมจนสุดก่อนจะจรดปลายนิ้วโป้งกับฝ่ามือให้คล้ายกับท่าของปอบหยิบ ก็เป็นอันจบประโยคแรก
แค่วรรคแรก ผมก็จะตายแล้วว่ะ งานนี้กีตาร์พี่อาคเนย์คงได้เป็นหมัน เพราะผมมันหัวช้ากว่าที่พวกพี่เขาคิดน่ะสิ
 
“ใจเย็นมั้ยพวกมึง น้องมันจะอ้วกแตกแล้วนั่น” การฝึกซ้อมสำหรับแคมเปญสุดหินก็มีอันต้องหยุดชะงักลง เมื่อพี่อาคเนย์เป็นฝ่ายพยักพเยิดให้รุ่นพี่ร่วมสาขาหันหน้ามาดูหน้าผมที่กำลังงงแดกจนได้ที่ จากนั้นก็ใช้ภาษามือสื่อสารกับพี่บอสด้วยอีกทาง
เพราะจนแล้วจนรอด ผมก็ตายสนิทกับภาษามือไทย

“กูก็สอนทีละวรรคแล้วนะเว้ย” พี่ทีมเกาหัวแกรกๆ พลางหันไปแก้ตัวกับเพื่อนตัวเอง
“เออ กูรู้ แต่มึงอย่าลืมว่านี่มันขั้นแอควานซ์ของน้องมันนะเว้ย จากชั้นอนุบาลก้าวมามหาลัยเลยนะนั่น ใจเย็นเว้ย” อืมนะ พี่อาคเนย์ก็เปรียบเทียบซะเห็นภาพเลย แต่ก็ต้องขอบคุณพี่เขามากที่ทักท้วงขึ้นมา เพราะหลังจากนั้นพี่ทีมกับพี่บอสก็เปลี่ยนเป็นสอนวรรคนึงซ้ำๆจนผมจำได้แม่น ถึงค่อยย้ายไปอีกวรรค
แต่กว่าจะจำได้จนจบเพลง กูจะงงตายก่อนมั้ย ?

ถึงจะซ้อมกันจนดึกดื่น แต่แคมเปญนี้ก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน วันนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อน เพราะว่านี่ก็ดึกแล้ว พวกพี่เขากลัวผมเข้าหอในไม่ได้ และสารถีจำเป็นตั้งแต่เมื่อเย็นก็ถูกเนรเทศให้มาส่งผมในตอนค่ำอีกหน ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ สักนิด แต่ก็นั่นล่ะ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีการโต้เถียง นอกจากออกปากขอยืมมอเตอร์ไซค์ของพี่ทีมเท่านั้น หน้าที่นี่ก็เลยยังตกเป็นของพี่อาคเนย์ต่อไป
“…” ก่อนที่ประตูห้องจะถูกปิดลง ผมก็ยกมือไหว้ลาพี่ทีมกับพี่บอส แล้วถึงค่อยก้าวเดินตามร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อบอลและกางเกงบอลราวกับจะออกไปเตะบอลในกลางดึก

“มึงหิวป่ะ?” จู่ๆ คนที่เดินนำหน้าก็หันมาถามความเห็นจากผม ขณะที่กำลังเดินลงบันไดหออย่างช้าๆ
“…” ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอ ผมก็คงต้องสนองสักหน่อย อีกอย่างท้องผมก็เริ่มร้องแล้วด้วย คาดว่าวันนี้ใช้สมองเยอะไปหน่อย มันก็เลยเปลืองพลังงานอย่างที่เห็น

‘กูจะแวะกินเตี๋ยว พวกมึงจะกินมั้ย?’ ระหว่างนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่มีสารถีจำเป็นนำทาง ผมก็ทักแชทไปถามไอ้เพื่อนซี้ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้มันนอนตายไปแล้วหรือยัง
‘เอาๆ บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงสอง’ ไอ้หมอกเป็นคนตอบกลับมา

‘แล้วไอ้คินอ่ะ มึงเอาอะไร’
‘สองถุงนั่นล่ะ กูสั่งเผื่อมันแล้ว’

เมื่อตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ผมก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าตามเดิม ซึ่งก็พอดีกับรถที่จอดถึงที่หมาย พี่อาคเนย์เดินนำหน้าไปยังโต๊ะติดกำแพง ก่อนจะเขียนเมนูของตัวเองลงไป จากนั้นก็เลื่อนสมุดจดมาให้ผมเขียนเป็นรายถัดมา
“มึงไปตักน้ำไป เดี๋ยวกูเอาไปให้เฮียแกเอง” พอคนอายุมากกว่าออกความเห็นแบบนั้น ผมก็เลยเลี่ยงไปตักน้ำตรงจุดบริการอย่างไม่มีข้อแม้

ด้วยความที่แม้ว่าจะเป็นมื้อดึก แต่คิวก็ยังยาวเหยียด รุ่นพี่ตรงหน้าก็เลยก้มหน้าไถจอโทรศัพท์อย่างเมามัน ส่วนผมที่ไม่ได้ติดโซเชียลอะไรขนาดนั้นก็ได้แต่ลูบไอน้ำเย็นๆข้างๆแก้วในความเงียบ

“พรุ่งนี้จะกินอะไร?” ผมเงยหน้าขึ้น เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็เลิกสนใจโลกภายนอกมาให้ความสนใจกับคู่สนทนาอย่างผมแทน
‘เจอกันแต่ละที เราจะคุยกันแค่เรื่องของกินเหรอครับ?’ ผมย้อนถามด้วยถ้อยความที่กะจะล้ออีกฝ่ายเต็มที่ แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองไปซะงั้น

“มึงอยากคุยกับกูเรื่องอื่นด้วยว่างั้น” สายตาแพรวพราวพร้อมกับคำถามที่สาดเข้าใส่ ทำเอาผมต้องก้มหน้าดูดน้ำจากปลายหลอดใสแก้เก้อ
“เออ แล้วมึงเป็นคนจังหวัดไหน?” อีกฝ่ายเริ่มตั้งคำถาม เมื่อผมยังคงเงียบต่อไป

‘ชลบุรี’
“กูคนกรุงเทพ” ผมพยักหน้ารับรู้อย่างไม่แปลกใจนัก เพราะจังหวัดที่เราสอบติดก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเท่าไหร่เลย

“แล้วทำไมมึงถึงเลือกมาเรียนที่นี่ล่ะ?” ถึงก๋วยเตี๋ยวจะมาเสิร์ฟแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เลิกทำตัวเป็นเหยี่ยวข่าว
‘เพราะที่นี่มีสาขาที่ผมอยากเรียนน่ะครับ’ ผมวางตะเกียบทั้งที่ยังปรุงเครื่องไม่เสร็จ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาก้มหน้าก้มตาตอบคำถามของอีกฝ่าย โดยที่คนอายุมากกว่าก็ไม่ยอมเสียเวลาในการกินแม้แต่นาทีเดียว ผมก็เลยต้องยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปให้พี่เขาอ่านแทน

‘พี่เล่นกีตาร์มานานหรือยังครับ?’
“เอาจริงป่ะ กูเพิ่งหัดเล่นว่ะ ไอ้ทีมแม่งบังคับ” พี่เขาตอบพลางหัวเราะ

‘แต่ก็แลเก่งดีนะครับ เล่นเป็นเพลงได้แล้ว’
“ถุย! เก่งเกิ่งอะไรล่ะ กูก็เล่นเป็นเพลงเดียวนี่แหละ มึงมัวแต่ฝึกภาษามือจนไม่ได้สนใจฟังที่กูดีดล่ะสิ

“เอ้านี่ กินเยอะๆ จะได้ฉลาด ความจำจะได้ดีๆ” พี่เขาว่าอย่างนั้นพลางตักเกี๊ยวหมูมาให้
‘แอบด่าผมเหรอ?’ ผมพิมพ์ข้อความยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน พลางทำหน้าทำตาหมั่นไส้อีกฝ่ายเสียเต็มประดา

“ไม่ได้แอบ แต่กูพูดตรงๆเลยนะนั่น” พี่เขาเถียงพลางยักคิ้วให้ผม พร้อมกับจ้วงบะหมี่เหลืองเข้าปากเป็นการปิดกั้นบทสนทนา
‘อ้อ ที่แท้พี่ฮ่องเต้ก็เป็นคนตรงๆ’

โป๊ก!

หลังจากพี่เขาอ่านข้อความตอบโต้ของผมจบ อีกฝ่ายก็เขกหัวผมอย่างแรง พลางทำหน้ายักษ์ใส่ไม่หยุด เพราะผมดันไปเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อไม่เข้าหู

“ยังจะแอบยิ้มอีก มื้อนี้ไม่เลี้ยงซะดีมั้ย” พี่เขาบ่นพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกงเพื่อรอจ่ายเงิน
‘ไม่เอาพี่ ส่วนของผมเดี๋ยวจ่ายเอง’ ผมรีบวางทุกสิ่งทุกอย่างลงทันที เมื่อพี่เขาทำท่าจะเลี้ยงขนานใหญ่

“เออน่า” พอพูดจบพี่อาคเนย์ก็เดินไปจ่ายเงินกับเถ้าแก่ พร้อมกับถือถุงก๋วยเตี๋ยวของเพื่อนผมมาให้ด้วย
‘ตั้งแต่พรุ่งนี้ เดี๋ยวผมเลี้ยงคืนจนกว่าจะครบ โอเคมั้ย?’ พอเดินมาจนถึงที่จอดรถ ผมก็ยังไม่ยอมซ้อนท้ายอีกฝ่ายที่ติดเครื่องรอเรียบร้อยแล้ว แต่กลับยื่นโทรศัพท์ให้อ่านแทน

“เอาดิ ขึ้นมาได้แล้วจะสี่ทุ่มแล้วเนี่ย”

พี่เขาจอดรถตรงหน้าป้อมยาม ผมไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายพลางรับถุงก๋วยเตี๋ยวมาถือไว้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋า และตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์อย่างรวดเร็ว

‘เมนูพรุ่งนี้พี่ไม่มีสิทธิ์เลือกนะครับ เพราะผมจ่าย’
“ตามใจดิ กูกินง่ายอยู่ง่าย” ผมยิ้มกับคำพูดโฆษณาชวนเชื่อของรุ่นพี่ตรงหน้า ก่อนจะตัดบทอำลาด้วยการโบกมือบ้ายบายให้พี่เขาสองสามที ถึงได้เดินหายเข้าไปในลานจอดรถหลังป้อมยาม แต่เมื่อหันกลับมาก็ยังเห็นพี่เขารออยู่ที่เดิม ผมเลยหันมาโบกมือให้อีกฝ่ายอีกครั้ง ด้วยความกังวลว่าพี่อาคเนย์จะไม่เข้าใจ

ติ้ง!

ผมรีบพลิกหน้าจอโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาดู ก่อนจะยกยิ้มจนเต็มแก้มเมื่ออีกฝ่ายเขาตอบกลับมาด้วยถ้อยความเชิงรำคาญและขับไล่ แต่ทำไมมันถึงได้แฝงความน่ารักก็ไม่รู้

‘ขึ้นไปได้แล้ว กูจะได้รีบกลับ ง่วงแล้วเนี่ย’

“โห กูนึกว่าจะไม่ได้แดกซะละ” พอเปิดประตูห้อง เสียงไอ้หมอกก็ดังแหวกอากาศขึ้นมาทันที
“เชี่ย! ร้อนๆ” ด้วยความหมั่นไส้ ผมเลยเอาถุงก๋วยเตี๋ยวไปวางบนหน้าขาของมันที่กำลังนั่งเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นห้องเพื่อทำอะไรสักอย่าง

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ถ้าไม่ติดว่ากูหิวอยู่นะ มึงโดนแน่” ไอ้หมอกมันว่า ก่อนจะขยับตัวเองไปจัดการตรงมุมสำหรับคว่ำจาน จากนั้นไม่นานไอ้คินก็เดินออกมาจากห้องน้ำและตามไปสมทบ ผมก็เลยถือโอกาสนี้ไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน
“…” หลังจากเดินไปตากผ้าเช็ดตัวแล้ว ผมก็เดินไปดูว่าไอ้หมอกมันทำอะไรของมัน พอมันรู้ตัวก็ขยับให้ผมได้ดูผลงานของมันได้เต็มที่ จึงเห็นว่ามันลงทุนวาดรูปภาษามือของเพลงที่ผมต้องฝึก
เดาเอาว่ามันคงจะไลน์ถามชื่อเพลงกับพี่ทีมหรือไม่ก็พี่บอสแน่ๆ

“นี่เดี๋ยวกูจะเขียนคำอธิบายให้ด้วย แต่ลายมือกูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ มึงต้องทำใจ” ผมยิ้มพลางนั่งมองไอ้หมอกอย่างสนใจ เพราะมันวาดรูปเก่งมาก มีทำลูกศรชี้เข้าออกตามทิศทางที่ต้องเคลื่อนไหวด้วย
“เดี๋ยวกูช่วยเขียนให้ก็ได้ มึงแค่อธิบายให้กูฟังก็พอ เห็นว่าพี่ทีมจะเอาไปลงเพจด้วย”

“เออได้ ส่วนมึงไอ้รัน ไปนอนได้แล้วไป กูรู้ว่ามึงลืมหมดแล้วที่พี่เขาสอนวันนี้น่ะ” ผมยกยิ้มพลางเอามือประกบกันและเอียงหัวแนบไว้ตรงข้างแก้มแบบมั่วๆ เป็นเชิงว่าฝันดีนะมึง
แต่ถ้าพวกมึงไม่เข้าใจก็เรื่องของพวกมึงแล้ว

ติ้ง!

‘กูถึงหอละ ฝันดี’
‘ฝันดีเหมือนกันครับ พี่ฮ่องเต้’

‘เดี๋ยวพรุ่งนี้ กูจะเขกหัวให้’
‘ครับๆ ไปนอนจริงๆแล้วนะ’

‘เออๆ ไปสักทีเถอะ’

-------------------------------------------------
[27/01/2018 แก้คำผิด เกลากีตาร์ > เกากีตาร์]
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ภาษามือพอเขียนเป็นคำบรรยายชวนงงยิ่งนัก 555
เขียนยากจริงๆค่ะ ไม่รู้จะนึกภาพออกมั้ย
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 6 [up 23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-10-2017 08:03:12
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 6 [up 23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-10-2017 08:36:01
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 6 [up 23/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 24-10-2017 09:06:17
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 7 [up 24/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 24-10-2017 19:18:14
♥ Fall in you ♥
-ตอน 7-


โป๊ก!

“ทักทายๆ ไหนดูซิ มึงซื้ออะไรมาให้กูกิน” หลังจากประเคนกำปั้นใส่หัวตามคำสัญญาที่ผมไม่เคยอยากได้ตั้งแต่เมื่อวาน ร่างสูงของรุ่นพี่ต่างคณะคนนั้นก็รีบทิ้งตัวลงข้างๆผม ซึ่งไม่ใช่ที่นั่งปกติของเจ้าตัว
“ปลาดุกผัดเผ็ดทอดกรอบ” พี่อาคเนย์ลากจานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมาไว้ด้านหน้าตัวเอง

“กินเผ็ดแต่เช้าเลยเหรอวะ แสบท้องกันพอดี” อีกฝ่ายบ่นอุบ แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตากินเอาๆ จนผมอดกลัวไม่ได้ว่าข้าวจะติดคอเข้าให้เสียก่อน

ติ้ง!

‘วันนี้ผมเลี้ยงคืนไงครับ พี่ไม่มีสิทธิ์เลือกนะ’
“ขนาดอ่านแค่ข้อความยังน่าหมั่นไส้ นี่ถ้าได้ยินเสียงจะน่าตีแค่ไหนวะเนี่ย” พี่เขาบ่นพึมพำคล้ายกับพูดคนเดียว แต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจน แต่ก็ต้องทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินไปซะ เพราะถึงยังไงผมก็พูดไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประโยคเมื่อครู่มันคงไม่สามารถเพิ่มความน่าหมั่นไส้ไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว

“เจอกันเย็นนี้” หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ พี่เขาก็ขับรถมาส่งผมตามธรรมเนียม แต่ก่อนที่เราจะแยกย้ายกัน อีกฝ่ายก็รั้งผมไว้ด้วยคำพูดที่แสดงให้เห็นว่าเย็นนี้หรือเย็นต่อๆไป เราสองคนจะเพิ่มเวลาพบเจอกันอีกหลายชั่วโมง
“…” ผมหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายเป็นการปิดท้าย ก่อนจะเดินเข้าอาคารเรียนแบบไม่รีรอ ใครอีกคนเหมือนทุกครั้ง

“รอด้วยดิ เรียนชั้นไหน?” คนตัวสูงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาเดินข้างๆ จนผมต้องลดจังหวะการเดินลง
“…” ผมหันไปชูเลขสามให้อีกฝ่าย จากนั้นคนตัวสูงก็พยักหน้ารับ

“ชั้นเดียวกัน ฝั่งไหน?”
“…” ผมชี้ไปทางขวามือ

“กูซ้ายว่ะ งั้นคงแยกกันตรงนี้ แล้วเจอกัน” พี่เขาว่าอย่างนั้น แถมก่อนจะผละตัวจากไป ก็ยังไม่วายจะยีหัวผมจนไม่เป็นทรงซะอีก ให้ตายสิ มือซนจริงๆเลย
‘ตัดมือทิ้งซะดีมั้ยครับ ผมยุ่งหมด’ หลังจากปัดผมให้เข้าที่เข้าทาง โดยการหยิบโทรศัพท์มาส่องไปด้วยว่าทรงผมตอนนี้มันโอเคเหมือนเดิมแล้วหรือยัง จากนั้นผมก็รีบไลน์ไปหาคนตัวโตที่เรียนอยู่อีกฟากหนึ่งของตัวตึก

‘เอาดิ ตามมาตัดเลย กูเรียนห้อง 10304’ พอเจอคำท้าแบบนั้น ผมก็ไปต่อไม่เป็น ก็เลยอ่านข้อความแล้วก็เงียบๆ ทำเป็นลืมๆไปซะ

กว่าที่การเรียนการสอนในคาบวิชาสถิติจะจบลง ผมก็แทบจะสำลอกออกมาเป็นตัวเลขให้ได้ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวิชาหินๆ มันจะเพิ่มวิชานี้ไปด้วยอีกตัว เพราะว่าบทแรกๆมันยังง่าย แต่บทถัดๆมามันเริ่มสำแดงฤทธิ์จนน่ากลัว
“กูอยากกินก๋วยเตี๋ยวป้าไก่ว่ะ ไปกินกัน” ไอ้หมอกเอ่ยชวน ขณะที่เรากำลังเก็บอุปกรณ์การเรียนใส่กระเป๋า

“เอาดิ” คำตอบของไอ้คินถือเป็นตัวตัดสิน ต่อให้ผมไม่อยากกินก๋วยเตี๋ยวแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะขัดขืนได้
“ไอ้รัน!!” ผมชะงักขาที่กำลังจะเดินลงบันไดตรงหน้าตึกคณะ เพื่อหันไปมองข้างหลังที่มีใครบางคนตะโกนเรียกผมซะดังลั่น

“พวกมึงจะไปกินอะไรกัน” เมื่อรุ่นพี่ต่างสาขาเดินมาถึงก็รีบถามคำถามที่ต้องการ
“เตี๋ยวป้าไก่พี่ ไปด้วยกันมั้ย” ไอ้คินอาสาตอบ เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เจาะจงจะเอาคำตอบจากผมนัก

“ไปมั้ยมึงไอ้บาส เดี๋ยวมื้อนี้กูเลี้ยงมึงเอง”
“โอ้โห มึงแดกข้าวผิดสำแดงหรือเปล่าครับเพื่อน” พี่บาสยกมือขึ้นประกบสองข้างแก้มของเพื่อนตัวโต พลางบีบเข้าหากันจนท่าทางน่าตลก ผมเลยอดไม่ได้ต้องแอบหัวเราะ

“สัส เดี๋ยวกูไม่เลี้ยงแม่ง” พี่อาคเนย์บ่นพลางสะบัดมือเพื่อนตัวเองออกอย่างแรง
“พวกผมว่าจะเดินกันไปนะพี่ ชิวๆ” ไอ้หมอกมันเสนอหน้าออกความเห็น ซึ่งเป็นความเห็นที่ผมโคตรไม่พอใจ เพราะวันนี้อยู่ๆพวกมันสองคนก็ไม่ยอมยืมจักรยานมาขี่ซะงั้น แถมยังเสือกไปกินตั้งไกล
มันน่าประเคนฝ่าตีนให้นัก

“เอาดิ กูไม่ได้เดินเล่นนานละ คาบบ่ายไม่มีเรียนซะด้วย” พี่บาสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่พี่อาคเนย์กลับแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายแทบจะทันที
“ทำไมไอ้เนย์ ถ้ามึงอยากซิ่งไป ก็เอาดิ กูไม่ได้บังคับมึงซะหน่อย”

‘เดินไปกันเถอะครับ ถือว่าไปเดินเล่นกันไง’ ผมกดส่งข้อความหาอีกฝ่ายที่ไม่มีใครเข้าข้าง
“เออๆ” หลังจากพี่อาคเนย์อ่านข้อความจบ พี่เขาก็ตอบตกลงแบบส่งๆ จนผมอดคิดไม่ได้ว่าคำคะยั้นคะยอของผมทำไมมันได้ผลขนาดนี้

โชคดีที่วันนี้อากาศมันครึ้มฟ้าครึ้มฝน จึงทำให้ไม่ร้อนมากมายนัก การเดินทางไปร้านก๋วยเตี๋ยวป้าไก่ด้วยเท้าทั้งสองข้างจึงเป็นไปอย่างราบรื่น โดยที่เพื่อนทั้งสองคนของผมมันเดินกอดคอกันนำหน้า ส่วนผมย้ายตัวเองลงไปเดินอยู่ตรงริมเส้นขอบถนนคนเดียว เพราะคนอื่นเขาเดินอยู่บนฟุตปาธตามปกติ

 ติ้ง!

เพราะมีเสียงโทรศัพท์ดังเรียกร้องความสนใจขึ้นมา จึงทำให้ผมเสียสมาธิในการเดินให้ตรงเส้นจนขาข้างนึงเกือบจะหล่นออกจากกรอบเส้นตรงอยู่แล้ว ถ้าหากใครอีกคนไม่เคาะหัวผมเสียก่อน สติที่เคยมีก็เลยกลับคืนมา
“ถ้าตกลงไปมึงโดนแท่งน้ำแข็งเสียบทะลุแน่” พอผมหันกลับไปมอง อีกฝ่ายก็พูดแบบไม่มีเสียงให้รู้กันแค่สองคน

“เดินดิ” พอถูกอีกฝ่ายกระตุ้นอย่างนั้น ผมก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่มือก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดอ่านข้อความ ซึ่งก็พบว่าเป็นคนที่เดินอยู่ข้างหลังนั่นแหละที่เป็นคนส่งมา

‘มึงนี่เล่นอะไรเป็นเด็กๆ เตือนไม่เคยจะฟัง’
‘ว่าแต่ผม แล้วพี่มาเดินตามทำไมครับ ไม่ใช่ว่าเราก็ชอบเล่นเป็นเด็กๆเหมือนกันเหรอ?’

‘มึงเสียรู้กูแล้ว กูแค่ส่งข้อความมาทำลายสมาธิ มึงจะได้เป็นหนี้ที่กูช่วยไม่ให้มึงโดนน้ำแข็งเสียบ ฉะนั้นค่าข้าวเมื่อเช้าโมฆะนะ’ หลังจากอ่านจบ ผมก็หยุดการก้าวเดินทันที พร้อมกับหันไปจ้องรุ่นพี่แสนขี้โกง
“…”

“ตามนั้น” อีกฝ่ายว่า พลางยักคิ้วส่งมาให้พร้อมกับเดินหนีขึ้นไปบนฟุตปาธ เพื่อไปวอแวกับเพื่อนตัวเองที่กำลังเดินคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่

“อะไรของมึงเนี่ย!” ด้วยความเจ็บใจที่การชดใช้หนี้ไม่เป็นไปตามที่หวัง ผมก็เลยหมายมั่นปั้นมือว่ามื้อกลางวันนี้ผมจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงพี่เขาเอง หนี้จะได้ลดลง ซึ่งพอคิดจนสบายใจแล้ว ผมก็รีบวิ่งเข้าไปกระโดดกอดคอแทรกกลางระหว่างเพื่อนทั้งสองอย่างร่าเริง แต่ทำเอาพวกมันเกือบหน้าทิ่ม จนโดนพวกมันเหวี่ยงเข้าให้ เท่านั้นไม่พอ ยังจะมาตบหัวผมจนสะเทือนไปถึงขี้เลื่อยข้างในอีก
“มึงนี่นะ” ไอ้คินมันส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายร่างกายกันอีก

ก๋วยเตี๋ยวร้านที่ว่านี้มีจุดเด่นแตกต่างจากร้านอื่นตรงที่ บรรยากาศภายในร้านจะให้อารมณ์แบบไทยจ๋า ภาชนะสำหรับใส่อาหารประเภทแห้งก็คือใบตอง ส่วนประเภทน้ำก็จะใส่ถ้วยรูปทรงกะลามะพร้าว ส่วนเรื่องรสชาติและราคาก็ดีเสียจนสามารถจับจ่ายอย่างไม่เสียดายเงินสักบาท ลำบากหน่อยก็ตรงที่ร้านนี้มันไกลจากคณะของผม เพราะถึงจะมีจักรยานแต่ยังไงก็ต้องออกแรงปั่นจนน่องโตอยู่ดี ดังนั้นการจะมากินที่ร้านนี้ ใจจะต้องมีความมุมานะที่จะกินมากถึงมากที่สุด
“เหมือนเดิมนะ?” ทันทีที่นั่งบนเก้าอี้ไม้ทรงกลม ไอ้หมอกก็หันมาถามผมกับไอ้คิน พวกเราสองคนเลยพยักหน้า ไอ้เพื่อนตัวดีมันเลยจดเมนูอาหารลงในกระดาษโน้ต

“พวกพี่จะกินอะไรกันครับ ?” ไอ้คินอาศัยจังหวะนั่งว่างๆ สอบถามสองหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังนั่งอ่านเมนูอาหารอย่างใจจดใจจ่อด้วยอารามนึกไม่ออกว่าในวันนี้จะเลือกกินเมนูไหนดี
“กูบะหมี่หมูแดงแห้งเหมือนเดิมแล้วกัน มึงล่ะ” พี่อาคเนย์หันมาบอกไอ้หมอกให้เขียนเมนูเพิ่ม จากนั้นก็หันไปถามเพื่อนสนิท

“งั้นเอาเหมือนไอ้เนย์แล้วกัน”
“สรุปว่าบะหมี่หมูแดงห้า น้ำล่ะพี่ พวกผมเอาเก๊กฮวย” ไอ้หมอกขีดฆ่าตัวเลขในกระดาษอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปถามความเห็นรุ่นพี่ต่างสาขาตรงหน้าเพิ่มเติม

“เอาเหมือนพวกมึงเลย”

บทสนทนาของพวกเราจบลงแค่นั้นจริงๆครับ ดีที่อาหารมาเสิร์ฟเสียก่อน พวกเราเลยมีกิจกรรมต้านทานความเงียบงันได้บ้าง สำหรับตัวผมไม่ได้อึดอัดอะไรหรอกครับ เพราะกับพี่อาคเนย์เราก็เจอกันหลายครั้งแล้ว แถมยังคุยไลน์กันนับครั้งไม่ถ้วนอีก แต่ที่ไม่ได้คุยด้วยก็เพราะข้อจำกัดบางอย่างของผมนั่นแหละ ส่วนเพื่อนอีกสองคน ว่ากันตามตรง พวกมันก็แทบจะไม่เคยได้คุยกับพี่อาคเนย์และพี่บาสสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากการเลี้ยงสายเมื่อคราวนั้น พวกมันก็เจอรุ่นพี่สองคนนี้แทบนับครั้งได้ คนปากเก่งอย่างพวกมันก็เลยนั่งสงบเสงี่ยมจนผิดหูผิดตา ส่วนพี่บาสเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับพวกเรานัก บรรยากาศมื้อนี้ก็เลยเงียบสงัดอย่างที่เห็น

“มึงอารมณ์ไหนวะเนี่ย ไปเลี้ยงพี่เขาเฉย” หลังจากแยกทางกับรุ่นพี่ทั้งสองที่วางแผนจะไปนั่งให้อาหารปลาที่บ่อใต้ตึกคณะดุริยางคศาสตร์ ไอ้หมอกมันก็ถามขึ้นราวกับอดใจรอโอกาสนี้มานาน
‘ก็เมื่อวานพี่เขาจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวให้พวกมึงไง กูเลยต้องเลี้ยงใช้หนี้’

“มิน่าล่ะ จู่ๆมึงแม่งก็ไม่ทวงค่าก๋วยเตี๋ยวพวกกู เล่นเอากูนอนไม่หลับด้วยความตกตะลึง” ไอ้หมอกพูดจบแม่งก็หัวเราะลั่น ท่าทางดูมีความสุขมากจนน่าหมั่นไส้
‘งั้นจ่ายมาเลยครับพวกมึง’ พอพิมพ์เสร็จผมก็แบมือขอเงินจากพวกมันสองคน ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่เก็บเงินเพราะเห็นว่าเมื่อคืน พวกมันช่วยวาดการ์ตูนเป็นภาษามือให้ แม้ว่าสาเหตุที่พวกมันทำจะเป็นเพราะงานสาขาก็เถอะ แต่อย่างน้อยมันก็ส่งผลประโยชน์ต่อผมอยู่บ้างก็เลยอยากจะเลี้ยงพวกมันตอบแทน

“ของกูมึงไปเช็คบิลกับไอ้หมอกเลยนะเพื่อน” ไอ้คินมันวาดแขนโอบไหล่ผม พลางตบเบาๆ พร้อมกับพยักพเยิดไปทางไอ้หมอก ทำเอาเจ้าตัวถึงกับโวยวายไล่เตะอย่างเกรี้ยวกราด
‘กูล้อเล่นมั้ย เลิกตีกันได้แล้ว’

“โห่ เรื่องกินมึงเป็นคนบอกกูเองว่าอย่าเอามาล้อเล่น ไหงมึงทำกันได้ลงคอวะ”
“เออไอ้รัน พวกกูช่วยทำสื่อท่องจำให้มึงทั้งคืนเลยนะเว้ย มึงดูใต้ตาพวกกู ดำยังกับหมีแพนด้า” ไอ้คินมันเดินเข้ามาชี้เปลือกตาของตัวเองให้ผมดู ไอ้หมอกมันเองก็ทำตามบ้าง
   
‘ที่กูพูดไม่ได้’ ผมก้มลงพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ของตัวเอง จากนั้นก็ยื่นออกไปให้พวกมันอ่าน เพราะผมตัดสินใจจะเอาความลับของตัวเองไปแลกกับการกระทำของพวกมันที่ส่งผลถึงใต้ตาอันดำคล้ำ
“อะไรวะ” เพื่อนสองคนดูเหมือนจะยังงงๆที่จู่ๆผมก็คิดอยากจะเปิดปากเล่าเรื่องของตัวเองตอนนี้

‘ตอนเด็กแม่กูพาไปเล่นชิงช้าสวรรค์ แต่เพราะว่ามันสูงมาก กูเลยกลัวมาก ร้องไห้จนแทบขาดใจ แถมแม่ยังขู่กูอีกว่า ถ้าไม่หยุดร้องจะตกลงไปข้างล่าง จากนั้นมา กูก็พูดไม่ได้อีกเลย และกูก็ไม่คิดจะไปรักษาด้วย มึงว่าสาเหตุแบบนี้มันตลกมากมั้ย?’
“…” ผมเงยหน้ามองพวกมันสองคนอย่างคาดหวัง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเปิดใจพูดถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองมีความบกพร่อง แถมยังพูดกับคนที่เพิ่งจะสนิทกันได้ไม่นานอีกด้วย

“ความกลัวของคนเรามันไม่ใช่เรื่องตลกเว้ยมึง” ไอ้คินพูดขึ้นมาเป็นคนแรก
“ใช่ๆ คนเรามีเรื่องที่กลัวแตกต่างกันจะตาย อย่างกูนะ เห็นมาดหล่อขนาดนี้ ที่จริงกูกลัวแมลงสาบชิบหาย เจอเมื่อไหร่กูพร้อมกรีดร้องอย่างเสียจริตเสมอ”

“ส่วนกูนี่ กลัวเหี้ยไรไม่กลัว เสือกกลัวเลือด เจอแต่ละทีกูแม่งจะเป็นลมซะให้ได้” ผมหันไปยิ้มให้พวกมันจนแก้มแทบจะแตกเสียให้ได้ ที่พวกมันไม่ได้เห็นว่าความกลัวของผมมันเป็นเรื่องไม่เข้าท่า
“ทีหลังพวกมึงกลัวอะไร ไม่ชอบอะไร หรือชอบอะไรก็เอาแลกเปลี่ยนกันดีมั้ยวะ”

“อื้อ” เมื่อไอ้คินตอบรับ ผมก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ก็เป็นอันจบข้อตกลงที่แสนสมบูรณ์ของเรา

และแล้ววันนี้ ก็เป็นวันที่ขาของผมได้ก้าวออกมาจากโลกใบเดิมไปสู่โลกใบใหม่ได้อีกก้าว..

------------------------------------------------
[27/01/2018 แก้คำผิด ฟุตบาธ > ฟุตปาธ]
เป็นความรักในรูปแบบที่เรียบง่ายมากสำหรับคู่นี้
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ 
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 7 [up 24/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 24-10-2017 19:57:12
ติดตามค่ะ เป็นเรื่องที่สร้างสรรมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 7 [up 24/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-10-2017 19:59:55
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 7 [up 24/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 25-10-2017 14:10:30
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 25-10-2017 18:41:12
♥ Fall in you ♥
ตอน 8

นี่ก็หลายอาทิตย์แล้วที่ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน ผมจะต้องไปทำงานให้สาขาด้วยการซ้อมภาษามือเพื่อประกอบเนื้อเพลงลงในเพจสาขาให้คล่อง ซึ่งระหว่างที่กำลังเตรียมการกันอยู่นี้ พวกพี่เขาก็ค่อยๆทยอยลงคลิปวีดิโอในช่วงซ้อม ลงเพจสาขาเรื่อยๆ พร้อมกับเปิดรีเควชเพลงที่อยากให้ทำคาราโอเกะภาษามืออีกด้วย
แต่สาเหตุที่ทำให้กิจกรรมกลายเป็นที่สนใจก็เพราะเพจเดิมที่เพื่อนผมเคยพูดถึง ได้ทำการแชร์ข้อมูลนั้นไป คลิปดังกล่าวก็เลยแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนหลายๆคน จากที่สนใจแค่ตัวผมที่อยู่ในคลิป ก็เริ่มให้ความสนใจกับภาษามือเป็นจำนวนมาก และรูปวาดของพวกไอ้หมอกไอ้คินก็กลายเป็นสื่อชั้นดีสำหรับมือใหม่ที่ให้ความสนใจ

เรียกได้ว่าแคมเปญนี้ช่วยรณรงค์จนได้ผลดีเกินคาดหมาย และผมก็เริ่มสะดวกใจที่จะทำกิจกรรมนี้มากขึ้นด้วย เพราะทุกคนไม่ได้เอาแต่สนใจผม หรือบางคนไม่ได้สนใจผมเลยด้วยซ้ำว่าหน้าตาดีเหมาะสมกับการอวยของเพจดังที่แชร์ข้อมูลด้วยหรือไม่ แต่บางคนก็มีวิพากษ์วิจารณ์ทำนองว่า

‘เพิ่งได้เห็นหน้าชัดๆก็คลิปนี้เองเนอะ เวลายิ้มน่ารักชะมัด เขาชื่ออะไรหนอ’

‘คลิปก่อนเราก็มึนไปเลยเว้ย อยู่ๆก็หวีดกันเป็นอุปทานหมู่ พอเจอคลิปนี้เข้าไป โอ้ย นั่นเนื้อคู่หรือเปล่าว้า’

‘ขอยืนยันคำเดิมนะ พอใช้ภาษามือแล้วน้องเค้ามีเสน่ห์มากกก’

‘แคมเปญนี้อยากให้ทำเรื่อยๆค่ะ ได้ความรู้ด้วย ได้ส่องผู้ชายด้วย’

‘กว่าจะใช้ภาษามือจบเพลง ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ มือแม่งพันกันจนกูงง’

‘อยากให้ทำภาษามือเพลงรักเธอ ของพี่โต๋จังครับ จะเอาไปทำให้แฟนดูบ้าง’

“คนเม้นท์เยอะสัส กูขี้เกียจขุดละ ส่วนใหญ่รีเควสเพลงกันแล้วว่ะ”
“กูว่าแคมเปญนี้ยากไปว่ะ น่าจะทำเป็นสอนทีละคำ ง่ายกว่าเยอะ” ไอ้คินมันออกความคิดเห็นระหว่างมื้อกลางวันในวันที่ไม่มีการเรียนการสอน

“แต่ถ้าทำเป็นคาราโอเกะมันตื่นตาตื่นใจกว่าไง”
“เออ กูก็ว่างั้น แล้วนี่มึงจำได้ครบเพลงยัง?” หลังจากโต้วาทีกันจนจบ ไอ้หมอกก็หันมาสอบถามความคืบหน้าของงานสาขาที่กำลังเป็นที่จับตามอง เพราะมันกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เด็กวัยรุ่นยุคใหม่สนใจกับเรื่องภาษามือที่มักจะถูกมองข้าม หรือไม่แพร่หลายมากนัก สื่อหลายสำนักก็เริ่มนำข่าวไปลงแล้วด้วย จนเมื่อวานแม่ถึงกับโทรมาแซวผมยกใหญ่ แต่ก็เพราะแม่พูดให้ผมคิดที่จะเต็มใจทำกิจกรรมนี้ด้วยแหละ ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกไม่โอเคกับการที่มีคนไร้ข้อบกพร่องที่ผมยังไม่ไว้วางใจ มาให้ความสนใจกันมากมายขนาดนี้

“เลี้ยง” ผมเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารเมื่อเห็นแก้วบลูเลม่อนสามแก้ววางอยู่กลางวง เพราะรุ่นพี่ต่างสาขาจู่ๆก็เกิดใจดีขึ้นมาอีกแล้ว หนี้สิ้นของเราเลยยังไม่หมดกันสักที เพราะเวลาที่ผมจะใช้คืน พี่เนย์ก็ชอบเลี้ยงนั่นนี่กลับมาตลอด จากแค่เลี้ยงมื้อดึก ก็ลามมาเป็นมื้อเช้า กลางวัน เหลือเย็นอีกมื้อก็ครบแล้ว เลยทำให้หนี้สิ้นจำนวนไม่มาก งอกเงยจนผมจำยอดไม่ได้แล้ว เพราะระยะเวลาของการติดหนี้กันไปมาก็หลายอาทิตย์พอสมควร
“โว๊ะ วันนี้ก็มาว่ะ นี่ถ้าพวกผมไม่รู้ว่าพี่กับไอ้รันกำลังเจรจากันตามประสาเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ผมจะคิดว่าพี่จีบไอ้รันมันแล้วนะ”

“…” พี่เนย์มันไม่พูดอะไรเลย นอกจากยิ้มส่งท้ายแล้วก็จากไป
“พี่มันจีบมึงจริงๆดิวะ” ไอ้หมอกมันรีบหันมามองผมอย่างรวดเร็วด้วยอารามตกอกตกใจเพราะคาดไม่ถึง

‘ไม่ได้จีบเว้ย’ ผมรีบพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเองก็ตาม เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับไอ้พี่เนย์ พี่มันไม่ได้พูดเพราะ ไม่ได้ใส่ใจอะไรผมมากนัก แต่ก็ไม่ได้ละเลย เราคุยไลน์กันบ่อย แต่ก็มีแค่ถามว่าอยู่ไหน ทำอะไร มื้อต่อไปกินเมนูไหน ซึ่งบทสนทนาต่างๆระหว่างเรา มันก็เกิดขึ้นและจบลงด้วยช่วงเวลาสั้นๆ
สิ่งเดียวที่ส่งเสริมคำพูดของไอ้หมอก ก็คงมีแค่สายตาระยิบระยับเท่านั้น แล้วก็มีหลักฐานจากคลิปเบื้องหลังแคมเปญใหญ่นั่นด้วย เพราะคนถ่ายก็คือพี่เนย์ ไม่ว่าผมจะเปลี่ยนอิริยาบถไหนก็มีหมด ขนาดตอนผมแอบไปยืนสั่งขี้มูกยังมี แถมทุกวันนี้ภาพนั้นพี่มันยังเอามาใช้แหย่ผมให้ของขึ้นตลอด แล้วพอยุขึ้นหน่อยก็จะอารมณ์ดีมาก นั่งผิวปากจนผมอยากจะต่อยให้ปากแตกจนผิวไม่ออกไปเลย

ที่แปลกคือ ทั้งๆที่พฤติกรรมของไอ้พี่เนย์มันออกจะแหย่ในเชิงที่ไม่ต่างกับเพื่อนสมัยเด็ก แต่ดันกลายเป็นว่า เพราะเป็นพี่มัน ผมถึงไม่คิดอคติ ถึงกับยอมนั่งให้แหย่แล้วหลุดยิ้มทุกครั้งจนต้องหาทางออกด้วยการหันมองรอบกายที่มันเจริญตากว่า
แต่ในใจมันกลับสั่นๆมากขึ้นทุกวันๆ

ติ้ง!

‘วันนี้จะซ้อมมั้ย พอดีพวกพี่ไม่ว่าง ถ้าจะซ้อมพี่จะให้ไอ้เนย์ไปรับ’ หลังจากอ่านข้อความของพี่ทีมจบ ผมก็หยุดคิดสักพัก แล้วก็ก้มหน้าตอบกลับไปว่า
‘ถ้าพี่เนย์สะดวก ผมยังไงก็ได้ครับ’

‘งั้นเอาเป็นว่าซ้อมนะ’
‘ครับ’


ติ้ง!

‘สี่โมงครึ่งลงมารอหน้าหอเลย’
‘ครับ’

หลังจากทานมื้อกลางวันจนอิ่ม พวกเราก็กลับขึ้นห้องเพื่อทำการบ้านกันต่อ จะได้มีเวลาทบทวนบทเรียนก่อนๆของวิชาภาษามือด้วยส่วนนึง และเวลาที่เหลือจะได้ช่วยกันติวแคมเปญของสาขาด้วย พวกพี่ทีมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก

“จริงๆมึงก็ทำได้นี่หว่า แล้วมึงติดอะไรวะ หรือมึงแกล้งทำไม่ได้?” ไอ้หมอกมันโวยวายออกมาเมื่อค้นพบความจริง
‘กูก็ไม่รู้ว่ะ พอไปทำต่อหน้าพวกพี่เขาแล้ว กูแม่งไม่ตายตอนจบก็กลางทางต้นทางตลอด’ ผมเลือกจะบอกความจริงไปเพียงครึ่งเดียว เพราะผมรู้ดีว่าที่ผ่านมาอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวเอง หรือทำได้ไม่เต็มที่ ทั้งๆที่ก็ผมมั่นใจดีว่าทำได้แน่ๆ

“มึงคงตื่นกล้องแล้วก็กดดันนั่นแหละ กูว่าเลิกซ้อมแล้วพักสมองเหอะ”
เมื่อใกล้ถึงเวลานัด ผมก็ลงมารอรุ่นพี่ต่างสาขาที่หน้าหอพักชาย ไม่นานนักรถคันคุ้นเคยก็เข้ามาจอดเทียบริมฟุตปาธ ผมจึงเปิดประตูและรีบขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยววันนี้กูพาไปกินร้านไกลหน่อยแล้วกัน ปลอบใจก่อนจะโดนเชือด” สารถีจำเป็นเขาว่าแกมขู่

‘ผมเลี้ยงนะ’ ผมพิมพ์ข้อความแล้วยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน
“ตามสบายเลยครับ ร้านนี้ราคาจัดหนักนะมึง” พอได้ยินอีกฝ่ายตอบแบบนั้น ผมก็นึกอำลาค่าขนมของเดือนนี้ไว้ล่วงหน้าเลยแล้วกัน เพราะการใช้จ่ายมื้อนี้มันต้องมีการเลี้ยงคืนในมื้อต่อไปที่คงสร้างความงุนงงให้มากขึ้น ว่าสรุปแล้วใครติดหนี้ใคร และใครควรชำระหนี้ด้วยยอดที่มากกว่า เพราะหลังๆมา เหมือนผมกับพี่เขาจะผลัดกันใช้หนี้ไปแล้ว

“ร้านนี้ซิกเนเจอร์คือเราสามารถนั่งห้อยขาริมน้ำได้”
“…” ผมยิ้มรับพลางหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

“กูว่ามึงน่าจะชอบ แต่คนมันเยอะ ไปถึงมึงอาจจะไม่ชอบก็ได้มั้ง”
“…” ผมหันกลับมามองรุ่นพี่คนข้างๆอีกครั้ง ด้วยความฉงนว่าสรุปแล้วผมควรจะรู้สึกแบบไหนกันแน่ สงสัยคงต้องรอไปถึงที่ร้านเสียก่อน ถึงจะได้คำตอบ

ร้านดังกล่าวคนเยอะอย่างที่พี่เขาว่าจริงๆ แต่ด้วยความที่เรามากันเร็ว ที่นั่งที่สามารถห้อยขาลงน้ำได้จึงยังไม่เต็ม เราก็เลยได้ที่นั่งทำเลดีคือบริเวณด้านในสุดของที่นั่งแบบแถวหน้ากระดานแนวนอน เพราะไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมาเท่าไหร่ ในเมื่อด้านหลังคือระเบียง ด้านซ้ายคือน้ำ ด้านหน้าก็น้ำ และด้านขวาก็เป็นที่นั่งของลูกค้าท่านอื่น
 
‘ชามะนาวครับ’
“มึงเบื่อบลูเลม่อนแล้วเหรอวะ?”

‘ถ้าวันนี้ก็ใช่ครับ ผมเบื่อแล้ว แต่ถ้าพรุ่งนี้ถามใหม่ จะได้คำตอบอีกอย่าง’
“แล้วของคาวจะกินอะไร มึงชอบยำแซลม่อน เอามั้ย?” ผมพยักหน้าตอบพลางดูเมนูที่อีกฝ่ายเปิดไปด้วย

“เอาชามะนาว แตงโมปั่น ยำแซลม่อน ปลาดุกฟู สเต๊กหมูมั้ย?”
“…” ผมพยักหน้าเพราะไม่รู้จะสั่งอะไรดี

ติ้ง!

‘พี่ชอบน้ำแตงโมปั่นเหรอครับ?’
‘อื้อ อร่อยดี ไหนๆมึงก็ถามละ คราวหน้าจะใช้หนี้กูห้ามเอาน้ำลำใยนะมึง’

‘คนไม่ได้จ่ายเงินไม่มีสิทธิ์เลือกนี่ครับ’
“เผด็จการจริงๆเลยมึงนี่” พี่เนย์หันมาต่อว่าผมที่นั่งอยู่ด้านในสุด ซึ่งจากระยะห่างที่มันใกล้กว่าทุกครั้งทำเอาผมหน้าร้อนเห่อ จนต้องเลือกหันหน้าไปมองน้ำ มองต้นไม้ รอบๆแทน

“มึงคิดว่าที่กูทำ แปลว่ากูจีบมึงป่ะ?”
‘…’ ผมหันหน้ากลับไปมองคนข้างๆอย่างตกใจ ที่จู่ๆอีกฝ่ายก็ถามออกมาแบบนั้น แต่เมื่อได้สติผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ตอบ

ติ้ง!

‘ไม่มั้งครับ’
“เหรอวะ” พี่เขาขมวดคิ้วจากนั้นก็หันไปให้ความสนใจกับเมนูที่เราสั่ง เมื่อบริกรนำมาเสิร์ฟ

“ไว้ถ้าแม่ขึ้นมาหา กูพามาที่ร้านนี้ดีกว่า” พี่เขาว่าพลางจัดองศาเครื่องดื่มสองแก้วเพื่อจะถ่ายเก็บไว้ตามสมัยนิยม
“มึงรู้ป่ะ ทุกครั้งที่กูกลับบ้าน กูจะชอบจูบปากพ่อกับแม่ตลอด ใครรู้ใครก็ล้อกูกันหมด แต่กูว่ามันน่ารักดีออก ไม่เห็นน่าล้อตรงไหนเลย” พี่เขาเล่าไปพร้อมกับยิ้มไป จนผมอดใจเต้นระส่ำไม่ได้ เพราะรอยยิ้มของพี่เนย์ในตอนนี้ มันอ่อนโยนมากกว่าทุกรอยยิ้มที่ผมเคยเห็น

“มึงไม่เชื่อที่กูพูดเหรอวะ?” พอพี่เขาถ่ายรูปเสร็จ ก็เลื่อนแก้วมาหาผม พร้อมกับคาดคั้นเอาคำตอบ
‘ไม่ได้ไม่เชื่อครับ แค่คาดไม่ถึง’ ผมพิมพ์ตอบ พลางยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน โดยละเอาไว้ในใจว่าไม่ใช่แค่คาดไม่ถึง
แต่มันน่ารักจนใจสั่นต่างหากล่ะ

“กูว่าเรามาซ้อมงานที่ไอ้ทีมมันฝากไว้ ฆ่าเวลาดีมั้ย”
“…” ผมพยักหน้าตอบ แม้ว่าใจจะยังไม่อยากให้ถึงเวลานั้นก็ตาม เพราะขนาดมีพวกพี่ทีม พี่บอสอยู่ด้วยผมยังแย่ นี่มีแต่พี่เนย์ ผมไม่ลนยิ่งกว่าเดิมเหรอ
ก็ในเมื่อ ไอ้พี่คนนี้นี่แหละที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง

“กูจำภาษามือเพลงนี้ได้หมดละ ถ้าพลาดตรงไหน มึงเชื่อใจกูได้เลยว่ากูจะไม่ปล่อยให้มึงตีเนียนแน่ๆ” พี่เขาขู่ไว้อย่างนั้นพลางหยิบหูฟังออกมาจากกระเป๋ากางเกง
‘แก้หน่อยดีไหมครับ ขมวดซะปมหนาเชียว’ ผมรีบท้วงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมคืนสภาพหูฟังให้มันอยู่ในรูปเดิม
แบบนี้ก็ใกล้กันแย่เลยสิ

“ไม่ต้องเลย มึงอย่ามาเนียน กูจะเปิดเพลงแล้ว” สิ้นคำพูดนั้น ผมก็ทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม และใช้ภาษามืออย่างเงอะงะ แต่ก็ไปไม่รอด เพราะผมมัวแต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมองจ้องกันเหมือนทุกครั้ง แต่ปรากฏว่าพอหันไปมอง ผมกลับเห็นอีกฝ่ายกำลังใช้ภาษามือสื่อสารไปตามความหมายของเพลงที่กำลังบรรเลง เห็นอย่างนั้นผมก็เลยลองตั้งใจฝึกซ้อมอย่างจริงจังดูบ้าง
และเมื่อในหัวไม่ได้คอยแต่นึกว่าอีกฝ่ายจะมองอยู่ ผมก็สามารถใช้ภาษามือสื่อความหมายได้จนจบเพลง

“มึงก็ทำได้นี่หว่า” พอผมหันหน้าไปทางคนชม ผมถึงได้รู้ตัวว่าเมื่อครู่การกระทำของตัวเองก็ยังคงอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายเหมือนทุกที

“กินเถอะ อาหารมาเสิร์ฟพักนึงละ” พี่เขายิ้มแบบที่ยิ้มเหมือนกับตอนพูดเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของตัวเอง จนผมรู้สึกตาพร่าอย่างบอกไม่ถูก เลยได้แต่จัดเรียงจานให้เข้าที่เข้าทางแก้เก้อ
ดูเอาเถอะ อาหารมาเสิร์ฟตอนไหนผมก็ยังไม่รู้เลย

อาการหนักเกินไปแล้ว


--------------------------------------------------
[27/01/2018 แก้คำผิด ฟุตบาธ > ฟุตปาธ]
พรุ่งนี้ของดอัพนิยายนะคะ และสำหรับตอนนี้ก็เริ่มมีกุ๊กกิ๊กบ้างนิดหน่อย 555 ตามแพลนเดิมเรื่องนี้มีทั้งหมด 10 ตอน เท่ากับว่าตอนนี้เหลืออีกแค่ 2 ตอนเท่านั้น เรายังลังเลอยู่ระหว่าง จะเลือกให้จบ 10 ตอน ตามคอนเซ็ปเดิมที่เราวางเอาไว้ดีมั้ย แล้วที่เหลือคือตอนพิเศษที่มาในคอนเซ็ปใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่ตอน กับจะเปลี่ยนตอนพิเศษในคอนเซ็ปใหม่ที่ว่าเป็นตอนที่ 11,12, 13 ดี เพราะยังไงเนื้อเรื่องก็ต่อกันอยู่แล้ว เลือกไม่ถูกจริงๆ สองจิตสองใจมากค่ะ
และสุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ชอบนิยายของเรานะคะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-10-2017 19:49:00
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 25-10-2017 20:08:37
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-10-2017 20:19:34
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-10-2017 21:59:40
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 8 [up 25/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 25-10-2017 22:43:27
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 27-10-2017 17:02:59
♥ Fall in you ♥
ตอน 9

‘วันนี้กูไม่อยู่ อัดจริงคงราบรื่นดีเนอะ’ หลังจากอ่านข้อความจบ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ใจของผมมันก็ห่อเหี่ยวลง
‘ไปไหนครับ?’ ผมพิมพ์แล้วก็ลบเพราะประโยคนี้อยู่หลายครั้ง เมื่อไม่กล้าตัดสินใจส่งไปถาม แต่มาเสียท่ากดส่งไปก็เพราะความตกใจกลัวว่าพี่ทีมจะเห็นแท้ๆ
ประโยคที่ไม่เคยกล้าส่งก็ถูกส่งออกไปได้อย่างง่ายดาย

“สะดุ้งอะไรขนาดนั้น พี่ไม่ใช่ผีนะเว้ย” พี่ทีมพูดแกมขำ แต่ผมขำไม่ออก เพราะเมื่อครู่ใจผมล่วงลงไปอยู่ตรงปลายเท้าแล้ว
‘ขึ้นห้องเถอะ ฝนจะตกแล้ว’ โชคดีที่พี่บอสเข้ามาใช้ภาษามือสื่อสารกับเราเสียก่อน พี่ทีมจึงต้องมาถอดความภาษามือให้ผมฟัง ผมจึงหายใจหายคอได้โล่งขึ้น

อย่างที่ทราบกันดีว่าวันนี้พี่อาคเนย์ไม่ว่าง ผมเลยต้องซ้อนสามมากับพี่บอสและพี่ทีม ซึ่งท้องฟ้าเบื้องบนก็มืดสนิทจนไม่สามารถแวะไปทานอะไรลองท้องได้เลย พวกเราทั้งหมดเลยเลือกจะกลับมาตั้งหลักที่ห้องก่อน ถ้าหิวจนทนไม่ไหวค่อยหาอะไรในตู้เย็นมาทำกินกัน

“หรือจะทำอะไรกินกันก่อนดีวะ” พี่ทีมวางข้าวของลงบนที่นอนพลางถามเพื่อนสนิทที่ล้มตัวลงนอนกับเตียงไปแล้วด้วยภาษามือ แต่ที่ต้องพูด ก็เพื่อให้ผมเข้าใจบทสนทนานั้นด้วย
“ไอ้บอสมันจะกิน งั้นกินก่อนแล้วกันเนอะรัน” ผมยิ้มพลางพยักหน้ารับ เพราะสิทธิ์ในการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ผม

“มึงไปเปิดแอร์ให้น้องดิ เดี๋ยวกูจะไปเข้าครัว” ร่างสูงของรุ่นพี่ประธานปีสามใช้ภาษามืออย่างรวดเร็วแล้วก็เดินออกไปจากห้องราวกับจรวด ท่าทางว่าเจ้าตัวคงจะหิวมากจริงๆนั่นแหละ

ติ้ง!

‘ร้านเหล้า’ ทันทีที่มีเสียงข้อความเข้า ผมก็รีบค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋า จากนั้นก็เปิดอ่านเมื่อเห็นว่าคนที่รอส่งกลับมา ซึ่งคำตอบนั้นก็ทำเอาผมคิดได้ว่าพี่เนย์เองก็ต้องมีสังคมอีกสังคมหนึ่ง ที่ผมไม่คุ้นเคย จู่ๆใจมันก็ห่อเหี่ยวลงแปลกๆ เพราะผมคงไม่กล้าจะเข้าไปในสังคมนั้น แม้ว่าพี่เขาจะเชื้อเชิญอย่างดีก็ตาม แต่ก็ไม่รู้ว่าเวลานั้นมันจะมาถึงเมื่อไหร่
‘มึงติดหนี้กูนะรัน’

‘หนี้อะไรครับ?’
‘วันนี้กูลงทุนชวนเพื่อนมาเลี้ยงเหล้า เพราะมึงเลย

‘ยังไงครับ?’
‘มึงนี่เข้าใจยากจริง เวลากูอยู่ด้วย มึงก็เงอะๆงะๆ ผิดๆถูกๆจนกูสงสาร ยังไงวันนี้ก็ทำให้สำเร็จแล้วกัน กูโม้ไว้เยอะ อย่าให้กูเสียหน้า’

ผมอ่านบทสนทนาที่โต้ตอบกันเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเผลอคิดตีความไปได้ว่าความลับของตัวเองที่ไม่ยอมบอกเพื่อนกลับถูกอีกฝ่ายมองออกจนหมด

‘เป็นอะไรล่ะนั่น นั่งหน้าแดงหูแดงไปหมด’ พี่บอสยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผมอ่านข้อความทั้งๆที่ตัวเองกำลังนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียง
“…” ผมยิ้มพลางส่ายหน้า

‘เห็นไอ้เนย์มันบอกว่าเมื่อวานเราทำได้คล่องมาก วันนี้อัดรอบเดียวก็ผ่าน’
‘อัดรอบเดียวผ่านก็เกินไปครับ แล้วเมื่อวานก็มีทำผิดเยอะด้วย’ ผมแก้ตัวผ่านทางไลน์โดยสนทนากันด้วยการพิมพ์และไม่เงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนาเลยสักนิด

‘แต่มันชมเราหลายรอบมากเลยนะ ว่าทำได้คล่องแบบไม่ต้องหยุดทีละท่อนเลย’
‘อ่า’

‘แล้วมันก็ชมอีกอย่างนึงด้วย’
‘อะไรครับ’

‘รันน่ารัก’
‘แปลกๆนะครับมาชมผมว่าน่ารักเนี่ย’ ผมพิมพ์ไปใจก็สั่นไป ส่วนมือนี่ไม่ต้องพูดถึง จิ้มผิดจิ้มถูกจนน่าโมโห

‘สำหรับไอ้เนย์ การชมผู้ชายไม่แปลกหรอก’
‘??’ คำตอบของพี่บอสทำเอาผมไม่รู้จะพิมพ์อะไรต่อไปดี นอกจากส่งเครื่องหมายคำถามกลับไป

“มาม่าผัดเสร็จแล้ว มากินเร็ว”

‘ไอ้ทีมเรียกแล้ว ไปกันเถอะ’
‘ครับ’ ผมจำต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าใจจะยังไม่อยากจบบทสนทนาเมื่อครู่ลงก็ตาม

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผมสามารถทำสำเร็จได้ภายในเทคเดียว พวกพี่ๆพากันตื่นเต้นยกใหญ่ รีบเร่งจะช่วยกันทำคลิปวีดิโอให้เสร็จภายในคืนนี้เลย ไม่แน่ว่าคลิปอาจจะปล่อยก่อนเที่ยงคืนก็เป็นได้ เพราะนี่เพิ่งจะสามทุ่ม ผมเลยขอกลับเอง ไม่อยากจะเป็นภาระ และอยากให้งานมันเดิน เพราะเราเสียเวลากันมาหลายอาทิตย์แล้ว
แต่สงสัยจะเป็นคราวซวยของผม เพราะยังเดินไม่ทันจะพ้นซอยดี ฝนก็เทลงมายกใหญ่ ผมเลยต้องวิ่งเข้ามานั่งหลบในร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุดแทน

ผมเลือกสั่งชาผลไม้แบบร้อนมาทานแก้หนาว เพราะเนื้อตัวเปียกปอนบวกกับแอร์เย็นๆก็ทำให้เริ่มครั่นเนื้อครั่นตัว และเมื่อได้อยู่กับตัวเอง ผมก็นั่งครุ่นคิดไปถึงเรื่องที่พี่บอสพูด เพราะผมยังไม่เข้าใจนักว่ามันไม่แปลกยังไง
‘ฝนแม่งตก กูคงติดฝนอีกนานเลยว่ะ จะเดินฝ่าไปก็ไกลเกิน’ ผมไลน์ไปแจ้งเพื่อนๆทั้งสองคน เพื่อไม่ให้พวกมันเป็นห่วงที่ผมอาจจะกลับผิดเวลา

‘ให้กูยืมมอไซค์ไอ้โชคไปรับมั้ย?’ ไอ้คินถาม
‘ไม่ต้องหรอกมึง เกรงใจว่ะ ฝนหยุดเมื่อไหร่ก็กลับเมื่อนั้น’

‘เกิดมันหยุดตอนหอปิดมึงจะทำไงวะ’ ไอ้หมอกแย้ง
‘กูก็บอกว่าติดฝนกลับไม่ได้ไง ป้ายามแกคงไม่ใจร้ายหรอกมั้ง’

‘เออ ถ้าจะให้ไปรับก็บอกนะเว้ย’
‘อื้อ’

‘มึง’
‘ว่า?’

‘ผู้ชายชมผู้ชายว่าน่ารัก มึงว่าแปลกมั้ย’
‘แปลก’ ไอ้คินว่า

‘แต่กูว่าไม่แปลก’ ไอ้หมอกเสริม
‘สรุปแปลกหรือไม่แปลก’ ผมพิมพ์เร่ง จากนั้นก็เดินไปรับเครื่องดื่มเมื่อถึงคิวรับเครื่องดื่มของผมแล้ว

‘สำหรับกู ต่อให้ผู้ชายคนนั้นมันหน้าตาดีแบบที่ไม่ใช่แนวเข้มๆอ่ะมึง กูอธิบายไม่ถูก ให้ตายกูก็ไม่ชมเขาว่าน่ารักนะเว้ย เพราะคงไม่มีผู้ชายคนไหนชอบให้คนชมว่าน่ารักมากกว่าหล่อหรอกว่ะ’
‘เออจริง ถ้าเป็นกูโดนชมงั้นนะ กูกระโดดถีบขาคู่ละ’ ไอ้หมอกพลิกลิ้นขึ้นมาแล้ว คราวนี้ยิ่งทำให้ผมเทคะแนนไปที่คำว่า ‘แปลก’ ไปกันใหญ่

‘พี่เนย์ชมมึงเหรอ?’
‘เปล่า’ ผมเลือกที่จะตอบความจริงเพียงครึ่งเดียวอีกแล้ว เพราะพี่เขาไม่ได้บอกกับผมจริงๆ แต่ดันไปบอกกับพี่บอสนั่นไง

‘เอาจริงๆ กูว่าพี่เขาจีบมึงว่ะ’
‘ทำไมคิดงั้นวะ’ ผมย้อนถามไอ้หมอกด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม

‘โอ้โหมึง พี่มันวนเวียนรอบตัวมึงเยอะสัส เช้า กลางวัน เย็น ค่ำ’
‘มึงก็พูดเว่อร์ อย่างมากก็เจอแค่สามครั้งต่อวันเท่านั้นแหละ’

‘มึงครับ เจอกันสามครั้งนี่เยอะเหี้ยๆเลยนะ’ ณ ตอนนี้ หัวใจผมเต้นหนักกว่าเดิมแล้ว เพราะทุกอย่างในหัวมันกำลังเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยยะสำคัญมากๆ
‘มึงไม่คิดว่าผู้ชายกับผู้ชายมันแปลกๆเหรอวะ’

‘แปลกยังไงวะ สมัยนี้นะมึง เดินจูงมือกันจนมดแทบขึ้นยิ่งกว่าคู่ชายหญิงอีก แถมละคงละครแนวนี้ก็เยอะมั้ยมึง กูเห็นเพื่อนเราแม่งหวีดกันเต็มเฟซ’
‘กูว่าถ้าพี่เขาจีบแล้วมึงชอบ มึงก็ไม่ต้องสนอะไรแม่งหรอก’ ไอ้คินเสริม จนทำเอาความรู้สึกหวั่นไหวมันเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างได้ชัดเจนขึ้น

Rrrrr

“มึงนั่งอยู่ร้านกาแฟหน้าปากซอยหอกูป่ะ?” ทันทีที่ผมรับสาย อีกฝ่ายก็รัวคำพูดใส่ผมอย่างรวดเร็ว
“เอ้า กูนี่ก็บ้าเว้ย ดันกดโทรหามึงซะงั้น ถ้ามึงอยู่ มึงกดเลขอะไรก็ได้มาสองที” ผมเลยกดตามคำแนะนำ จากนั้นสายก็ตัดไป ผมจึงได้แต่มองโทรศัพท์ด้วยความงุนงง
แต่ไม่นานเจ้าตัวก็โผล่มาให้เห็นด้วยสภาพที่เปียกซก

“เพื่อนกูมันมาสั่งกาแฟดำเลยเจอมึง” พี่เขาบอกทั้งๆที่ผมยังไม่ทันได้ถามคล้ายกับอ่านใจกันออก จากนั้นคนเปียกปอนของจริงก็เดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์

“ทำไมไม่ให้พวกนั้นไปส่งล่ะ?”
‘เกรงใจครับ’

“แล้วถ้ากูจะไปส่งมึงยังจะเกรงใจอยู่มั้ย?” คำถามตอบยากมีมาอีกแล้ว
‘ไม่ครับ’ แต่สุดท้ายผมก็กลั้นใจตอบเมื่อคิดได้ว่าจะลองทำให้ความรู้สึกของตัวเองมันชัดเจนขึ้นอีกหน่อย

“ถ้าหมดแคมเปญนี้แล้ว กูกับมึงยังมากินข้าวเย็นด้วยกันได้มั้ย เพราะหนี้มึงยังเหลืออีกเยอะเลยนะเว้ย” คนตัวเปียกพูดพลางถูมือตัวเองไปมา ไม่รู้ว่ากำลังวางตัวไม่ถูกหรือว่ากำลังหนาวอยู่กันแน่
‘ครับ’ ผมพิมพ์ข้อความแล้วเลื่อนโทรศัพท์ไปให้อีกฝ่ายอ่าน ขณะที่ตัวเองก็จ้องมองสายฝนข้างนอกอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ยิ้มอะไรมึง กูยิ้มตามเลยเนี่ย” พออีกฝ่ายกล่าวอย่างนั้น ผมก็เหลือบมองไปที่กระจกตรงส่วนที่อยู่ข้างหน้าของพี่เนย์ก็ทันเห็นว่าเจ้าตัวกำลังยิ้มอยู่จริงๆ จากนั้นสายตามันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองใบหน้าจริงๆของผู้พูด จากนั้นผมก็ก้มหน้าพิมพ์ข้อความตอบอีกฝ่ายด้วยจังหวะที่เชื่องช้ากว่าทุกที
‘ไม่รู้สิครับ ไม่มีสาเหตุมั้ง’

ถึงตอนนี้ ฝนก็ยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย แต่ผมก็ยังคงนั่งมองได้ไม่มีเบื่อ ขณะที่เครื่องดื่มมันก็เย็นจนชืดหมดแล้ว แต่ผมก็ยังคงดื่มมันได้ และความเงียบระหว่างเราทั้งคู่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

“หอปิดแล้วว่ะ มึงจะเอาไง”
‘ผมว่าจะลองขอป้ายามดู ฝนตกหนักแกคงไม่น่าจะใจร้าย’

“ป้ายามหอมึงชื่ออะไร”
‘ผมจำไม่ได้’ ผมยอมตอบแม้จะไม่เข้าใจว่าพี่เขาจะถามไปทำไม

“ถ้าป้าเพ็ญศรีนะมึง เถรตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด”
‘ผมจะดวงซวยขนาดนั้นเลยเหรอครับ’

“ก็ถ้ามึงดวงดีจะมานั่งติดฝนอยู่นี่เหรอ”
‘ฮ่าๆ ถ้าผมจะซวยจนกลับหอไม่ได้ ผมก็คงต้องนอนใต้สะพานลอยหรือไม่ก็แย่งที่ไอ้ด่างนอนมั้งครับ’

“มึงถือคติ จะอนาถทั้งที ต้องอนาถให้สุดว่างั้น”
“…” ผมไม่ตอบอะไร แต่เลือกที่จะยิ้มแทน

“ถ้างั้นมึงไปค้างห้องกูเถอะ”
“…” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเจอมุกสุดท้ายเข้าไป

‘ล้อเล่นหรือเปล่าครับ?’
“ล้อเล่นบ้าอะไรวะ นี่กูจริงจังนะเว้ย”

“ใครจะกล้าปล่อยให้มึงไปลำบากลำบนขนาดนั้นวะ หื้ม?”
“…” ผมยิ่งพูดไม่ออกไปใหญ่ เมื่ออีกฝ่ายลงท้ายคำพูดคำจาในลักษณะที่มันชวนเก้อเขินเพราะน้ำเสียงทุ้มอ่อนๆที่เปล่งออกมา

“ไปไม่ไป?”
‘ไปก็ได้ครับ’

ในเมื่อไม่มีทางเลือก ผมก็ต้องเลือกทางเดียวที่มีนี่แหละ

--------------------------------------------------------

จีบกันเบาๆ เนอะ เลยต่างคนต่างเฉไฉความรู้สึกของตัวเองมาตั้งนาน
เรื่องนี้เราได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง Fall in you ของคยูฮยอนค่ะ อารมณ์ของเพลงมันจะเป็นความรักที่ขัดเขิน และทำเป็นไม่รับรู้ว่าใจตรงกัน จุดเด่นจะอยู่ที่รอยยิ้มและบทสนทนาที่พูดคุยกันด้วยเรื่องธรรมดา แต่ทำให้ใจเต้น และหน้าแดง มันคือการจีบกันแบบเรียบง่ายค่ะ บรรยากาศของเรื่องก็เลยออกมาทำนองนี้ 55555
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ หวังว่าจะไม่เบื่อกันไปซะก่อน เราพยายามจะเขียนรันออกมาให้ดูน่ารักทั้งๆที่เขาไม่สามารถพูดได้ ประมาณว่าให้ดูน่ารักที่นิสัย ส่วนพี่เนย์ก็เป็นฝ่ายที่สามารถพึ่งพาได้ ในพาร์ทนี้อาจจะยังไม่เห็น แต่พาร์ทสเปจะได้เห็นกันค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 27-10-2017 18:30:56
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 27-10-2017 19:52:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-10-2017 19:58:06
‘สำหรับไอ้เนย์ การชมผู้ชายไม่แปลกหรอก’
หมายความว่าจะใด๋

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 27-10-2017 21:12:50
หน่อววววววววววว
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 27-10-2017 21:58:41
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-10-2017 22:02:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 28-10-2017 15:26:42
♥ Fall in you ♥
ตอน 10



“มึงว่าฟ้าจะผ่าไหมวะ แลตกหนักขึ้นเรื่อยๆเลยว่ะ” เจ้าของห้องที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว พูดขึ้นอย่างหวาดๆระหว่างที่กำลังหาเสื้อผ้าให้ผมใส่
“กูกลัวฟ้าผ่ากับฟ้าแลบมาตั้งแต่เด็กแล้ว” ผมเงยหน้าขึ้นจากการรายงานความเป็นไปของตัวเองว่าจะไม่กลับหอให้เพื่อนๆรับรู้ จากนั้นก็แอบอมยิ้ม เมื่ออีกฝ่ายเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง

“ถ้ามีของอะไรอยู่ในมือนะมึงเอ้ย กูเขวี้ยงแม่งทิ้งหมดแหละ”
“นึกถึงตอนนั้นแล้วโคตรตลก กูโยนถ้วยทิ้งเลยเว้ย ป๊อปคอร์นงี้หล่นกระจายเต็มพื้นจนแม่ด่า.. กูว่ามึงน่าจะใส่ได้นะ ตัวเล็กสุดละ เพราะกูซื้อให้ไอ้บอสแต่ดันซื้อผิดทีมไง แถมยังเคราะห์ดีอีก ซื้อทีมไหนไม่ซื้อครับ กูดันไปซื้อทีมคู่แข่งของทีมที่แม่งเชียร์ แถมเงินก็ไม่ได้คืน คิดๆดูแล้วกูไม่น่าออกเงินให้มันก่อนเลย” ผมขำพลางรับเสื้อบอลทีมแมนยูมาถือ และเดินเข้าไปอาบน้ำเป็นรายต่อมา

“คืนนี้กูไม่ปิดไฟนะมึง ประสาทจะแดก ฟ้าแม่งก็แล่บอยู่นั่น กูก็เกร็งไปดิ แต่แม่งก็ไม่ได้ผ่าแรงๆแบบที่กูกลัวสักทีไง”
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้าตอบ ก่อนจะชูผ้าเช็ดตัวให้อีกฝ่ายในเชิงถามว่าจะตากได้ตรงไหน

‘ตอนเด็กผมก็กลัวชิงช้าสวรรค์พอๆกับที่พี่กลัวฟ้าฝ่าเลยครับ’ พอพี่เขาเปิดใจเล่าเรื่องของตัวเองพร้อมกับแสดงออกว่าตัวเองกลัวสิ่งที่ว่านั่นจริงๆ ผมก็เลยคิดอยากจะบอกให้อีกฝ่ายได้รู้เรื่องที่ผมกลัวบ้าง
“แสดงว่าตอนที่มึงกลัว มึงต้องร้องไห้ด้วยดิ?” อีกฝ่ายเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเล่าต่อ

‘ร้องสิครับ ร้องจนเหมือนจะขาดใจตาย จนแม่ต้องขู่ไม่ให้ผมร้อง จากนั้นมาผมก็…’ หลังจากตากผ้าเช็ดตัวที่ราวตากผ้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินกลับมาหยิบโทรศัพท์ที่วางเอาไว้บนเตียงนอนขึ้นมาพิมพ์ต่อ แต่ก็พิมพ์ๆลบๆในประโยคหลังอยู่หลายครั้ง
“เวลาฟ้าผ่ากูก็ร้องไห้นะ แต่พอโตมาสักสิบขวบก็ไม่ร้องแล้ว แต่เปลี่ยนมาโยนทุกสิ่งอย่างที่ถือไว้ในมือแทน” พี่เขาว่าอย่างนั้น แล้วก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนทางฝั่งซ้ายมือ
และสุดท้ายคำบอกเล่าของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมตัดสินใจพิมพ์ข้อความที่ค้างไว้ให้จบ

ติ้ง!

‘ร้องสิครับ ร้องจนเหมือนจะขาดใจตาย ร้องจนแม่ต้องขู่ไม่ให้ผมร้อง จากนั้นมาผมก็…พูดไม่ได้

หลังจากส่งข้อความผ่านทางแชทไลน์เรียบร้อยแล้ว เสียงแจ้งเตือนก็เป็นเสียงแรกที่ผมได้ยิน ส่วนเสียงที่สองก็คือเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังเปิดเอาไว้ในอุณหภูมิยี่สิบห้าองศา จนทำให้วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะหยุดหมุน ซ้ำแรงโน้มถ่วงของโลกก็ยังคล้ายกับหยุดทำงานไปอีก และถ้าหากผมไม่อาจรับรู้ได้ถึงลมหายใจของตัวเอง ผมก็คงจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้น มันได้เกิดขึ้นจริงเข้าให้แล้ว

“เอาไว้มึงเรียนภาษามือจนคล่องแล้ว เรามาลองใช้ภาษามือคุยกันดีกว่า” พี่เขาพูดขึ้นมาเป็นประโยคแรกหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบงันเข้ายึดอาณาเขตในห้องของตัวเองมานาน
‘ครับ’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป พร้อมพยักหน้าและยกยิ้มให้กับคนที่กำลังนอนแผ่อยู่บนเตียง แต่แล้วรอยยิ้มกว้างๆของผมก็ต้องหุบลง เพราะใบหน้าของผมมันร้อนเห่อ อีกทั้งในใจก็ยังรู้สึกเก้อเขินที่อีกฝ่ายมองมาที่ผมอย่างใจจดใจจ่อคล้ายกับต้องการจะสำรวจว่าใบหน้าของผมมันมีสิ่งใดผิดปกติอยู่บ้าง

“ไอ้ทีมมันลงคลิปแล้วนี่หว่า” ผมนึกขอบคุณเหลือเกินที่อีกฝ่ายไม่ได้ทักท้วงใดๆออกมา เพราะว่าพี่เขากำลังมีเรื่องที่น่าให้ความสนใจมากกว่านั้น ซึ่งเรื่องใหม่ที่รุ่นพี่ตรงหน้ากำลังให้ความสนใจอยู่
ก็แลจะเรียกความเก้อเขินให้ผมได้ไม่หยอก

คือเมื่อวานตอนที่กำลังถ่ายวีดิโออยู่นั้น พวกพี่ทีมให้ผมยิ้มออกมากว้างๆ เพราะรอยยิ้มของผมมันเป็นจุดขายที่จะโปรโมทให้ใครหลายๆคนยอมเสียเวลามานั่งดูคลิปวีดิโอตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นพวกเขาก็อาจจะเกิดความสนใจในภาษามือที่เราใช้ สื่อการสอนที่พวกไอ้หมอกและไอ้คินเป็นคนทำก็จะช่วยเสริมได้อีกส่วนนึง

หลังจากที่รุ่นพี่เจ้าของห้องเปิดคลิปดังกล่าวแล้ว พี่เขาก็เอาแต่จ้องมองหน้าจอสี่เหลี่ยมๆนั่น แล้วก็ยิ้มมุมปากน้อยๆ กระทั่งเนื้อเพลงดำเนินมาจนถึงท่อนที่สอง ที่มีใจความว่า…

เธอทำให้ฉันรู้และเข้าใจคำว่าสองเรา
ไม่ว่าจะร้อนหรือว่าจะหนาวก็ไม่กลัว
มีเธอที่รักข้างในจิตใจ
ให้ฉันก้าวเดินต่อไป ต่อจากนี้


รุ่นพี่ผู้ไม่ได้เรียนภาควิชาเดียวกัน กลับค่อยๆใช้ภาษามืออย่างคล่องแคล่ว โดยการผายมือขวามาข้างหน้าซึ่งก็คือบริเวณที่ผมกำลังยืนอยู่จากนั้นก็รั้งฝ่ามือเข้ามาแนบตรงหน้าอกข้างซ้าย ก่อนจะยกมือขึ้นมาชูสองนิ้วเหมือนที่หลายๆคนชอบโพสถ่ายรูป และแตะที่ข้างขมับพร้อมกับเอียงหัวส่วนปลายนิ้วคู่นั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นท่าทางเหมือนกับตอนสั่งข้าว ที่เวลาป้าถามว่าเอากี่จาน และเราอยากกินแค่จานเดียว ก็ชูไปแค่เลขหนึ่ง แต่การชูเลขหนึ่งในที่นี้จะต้องหันหน้ามือเข้าหาตัวเอง จากนั้นก็หมุนกลับมาชูเลขสอง เข้าทำนองที่แสดงถึง ‘เราสองคน’

เธอและฉัน จับมือเคียงกันนับจากนี้
ผ่านความเดียวดายที่สองเรานั้นเคยมี
เมื่อมีเธอที่แสนดีอยู่ตรงนี้

มากกว่านั้น ยิ่งมีกันและกันมากแค่ไหน
มีเพียงคำว่ารักที่สองเรานั้นเข้าใจ
รักเพียงเธอและตลอดไป แค่เธอกับฉัน


(ของขวัญ - Musketeers)

มนุษย์ร่างสูงในชุดนอนคนนั้นยังคงใช้ภาษามือไปพร้อมๆกับผมในหน้าจอสี่เหลี่ยมอย่างสนุกสนาน เพราะตลอดเวลาที่เจ้าตัวกำลังใช้ภาษามืออยู่นั้น รอยยิ้มเล็กๆมักจะติดอยู่ที่มุมปากเสมอ จนสมองของผมมันชักจะเบลอๆ ไม่รับรู้ว่าเพลงมันเล่นไปถึงท่อนไหนแล้ว และอีกฝ่ายกำลังใช้ภาษามืออย่างถูกต้องหรือไม่ ในเมื่อหัวใจของผมมันกำลังดังแข่งกับเสียงเพลง อีกทั้งสายตาของผม มันก็กลายเป็นฝ่ายที่กำลังจ้องมองพี่อาคเนย์ไปซะแล้ว
พี่เขาจะรู้ตัวไหมว่า.. ท่าทางของเขา มันทำให้ผมรู้สึกเหมือน..

กำลังตกหลุมรัก..

“เป็นอะไร?” ผมสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมา และสอบถามด้วยความสงสัย
“…” ผมส่ายหัวด้วยสีหน้าที่เรียกได้ว่าตื่นตระหนกเต็มที่

“ว่าแต่.. ทำไมเวลากูอยู่ด้วย มึงชอบทำผิดบ่อยนักวะ?” อีกฝ่ายยิงคำถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ที่มองดูจากดาวอังคารก็รู้ว่าพี่อาคเนย์คนนี้ เขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ต้องมาคาดคั้นกันแบบนี้
“มึงเขิน เกร็ง หรือว่าไม่มีสมาธิ?” ริมฝีปากหนาขยับสาดคำถามเข้ามาสำทับอีกระลอก จนผมรู้สึกเหมือนจะล้มทั้งยืนให้ได้ เพราะดูเหมือนว่า การตัดสินใจที่จะเปิดใจ จนนำพาไปสู่การตกหลุมรักอันเต็มรูปแบบ จะทำให้ผมแสดงออกไปโดยที่อีกฝ่ายก็สามารถมองจากดาวอังคาร แล้วยังรู้ลึกไปถึงความรู้สึกข้างใน..

“หรือว่า.. รวมๆกัน” รุ่นพี่ตรงหน้าลุกขึ้นมานั่งเพื่อทอดสายตามองผมให้ถนัดขึ้น และจะได้คาดคั้นเอาคำตอบอย่างเต็มรูปแบบ
“…” ผมกลายเป็นเป้านิ่งที่ใจคิดอยากจะหนี แต่ร่างกายไม่ยอมทำตามที่คิด ทำเอาใบหน้าร้อนเห่อจนเหมือนกับผมได้สารภาพออกมาแล้วว่า ตลอดระยะเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน ผมค่อยๆซึมลึกในความเป็น ‘พี่อาคเนย์’ ที่เอาใจใส่ความรู้สึกของผมด้วยการไม่ถามไถ่ว่าทำไมผมถึงพูดไม่ได้ หรือการที่พี่เขามักจะใช้วิธีการอัดเสียงรอบๆข้างเพื่อบอกกล่าวว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน จนผมต้องเป็นฝ่ายตอบกลับในรูปแบบเดียวกัน เพื่อความเท่าเทียม อีกทั้งรุ่นพี่คนนี้ก็ยังคอยกระตุ้นให้ผมใช้ภาษามือให้เป็นเร็วๆ เพราะมันคือสิ่งจำเป็นที่จะอำนวยความสะดวกให้กับผมได้มากมาย ในเมื่อผู้คนรอบๆตัวผม พวกเขาต่างก็ทราบความหมายของภาษามือกันดีอยู่แล้ว

“ถ้ามึงรู้สึกรวมๆกัน แสดงว่าเราก็ใจตรงกันน่ะสิ”
“…” ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจที่จู่ๆก็ได้ยินประโยคดังกล่าว

“พี่ไม่รู้หรอกนะ ว่าเผลอไปตกหลุมรักรันเอาตอนไหน.. เมื่อไหร่.. รู้อีกทีมันก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
“…”

“ถึงตอนนี้มันจะยังเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้มากมายรุนแรงอะไร แต่วันข้างหน้าพี่คงไปไหนไม่รอด
“…” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน ด้วยไม่รู้ว่าจะเอาเรี่ยวแรงจากที่ไหนไปยืนนิ่งๆเหมือนเดิม เพราะการที่เราเพิ่งจะเตรียมเปิดใจและค้นพบได้ไม่นานว่า เรากำลังรู้สึกนึกคิดอะไรด้วยระยะเวลาเพียงสั้นๆ จึงไม่อาจตั้งรับกับความรู้สึกที่ดูเหมือนจะมากมายของอีกฝ่ายได้ทัน

“ถ้ารู้สึกเหมือนกัน ก็ทำอะไรหน่อยสิ อย่าทำให้ใจหายใจคว่ำได้มั้ยวะ” ดูเอาเถอะ รุ่นพี่คนนี้อ่อนโยนได้ไม่ทันจะถึงนาทีก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาอีกแล้ว
“…”

“ที่ร้านกาแฟ มึงสร้างความหวังให้กูมากนะ จู่ๆมึงจะพังมันลงภายในเวลาไม่ทันจะข้ามวันเลยเหรอ ใจร้ายเกินไปแล้ว”
“…”

เมื่ออีกฝ่ายต่อว่าขึ้นมาแบบนั้น ผมที่กำลังไม่เป็นตัวของตัวเองมากถึงมากที่สุด ก็ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งกลับไปให้อีกฝ่ายอ่านเพื่อความเท่าเทียม

ติ้ง!

‘ผมก็รู้สึกเหมือนพี่ครับ และคิดว่าวันหน้า ก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน..’

 -------------------------------------------------------
[27/01/2018 แก้คำผิด ฟ้าแล่บ > ฟ้าแลบ]
จริงๆแล้ว ตอนนี้จะเป็นตอนจบจริงๆของเรื่องนี้ตามที่วางเอาไว้ค่ะ เพราะชื่อเรื่องคือ 'Fall in you' แสดงถึงการตกหลุมรัก ส่วนที่เหลือจะเป็นสเปที่คาดว่าคงยาวกว่าเนื้อเรื่องหลักเยอะ แต่เราคิดไปคิดมาอีกที เรารวบสเปเป็นตอนที่ 11 12 13 ดีกว่า แต่เนื้อเรื่องก็ยังคงคอนเซ็ปเหมือนเดิมตามที่ตั้งใจไว้ เราแต่งไปล่วงหน้าได้เยอะพอสมควรแล้ว อาจจะลงได้ทุกวันเหมือนเดิม แต่ถ้าหากหมดสต๊อกก็คงต้องรอกันนิดนึงเนอะ เพราะถึงตอนนึงจะสั้นแต่เราก็ใช้เวลาในการเขียนนานมากๆ ต้องอ่านจากในคอมแล้วก็มาอ่านทวนในโทรศัพท์อีกรอบด้วย ถ้าคำผิดยังหลงเหลืออยู่ก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ ตาลายหาไม่เจอจริงๆ สุดท้ายนี้ก็หวังว่าทุกคนจะชอบนิยายเรื่องนี้เช่นกันค่ะ มันอาจจะเรียบจนเอื่อย และน่าเบื่อ แต่เราก็หวังว่าทุกคนจะชอบนิยายแนวนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 28-10-2017 16:03:21
สเป สเป สเป
เขินจริง ><
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-10-2017 16:55:39
  :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-10-2017 17:55:13
อมยิ้มตามเลยนี่
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-10-2017 18:47:25
ชอบเรื่องนี้มากขนาดที่ทำให้เรานั่งดูวีดีโอฝึกภาษามือเลย
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องดีดี

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 29-10-2017 20:05:23
♥ Fall in you ♥
ตอน 11



“รันวันนี้มีเรียนกี่โมง” ผมขยับตัวเล็กน้อยเมื่อกำลังถูกรบกวนเวลานอน แต่พอหันหน้าไปอีกทางก็กลายเป็นว่าแสงจากทางหน้าต่างมันส่องสะท้อนจนต้องยอมแพ้ ผมจึงหรี่ตามองคนถามด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น
“…” ผมชูเลขเก้าเป็นเชิงตอบโต้ แต่พฤติกรรมอื่นๆกลับนิ่งสนิท เนื้อตัวยังคงจมอยู่บนที่นอนหลังใหญ่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง

“ไปอาบน้ำดิ จะได้รีบไปกินข้าว ต้องกลับไปเปลี่ยนชุดที่หออีกไม่ใช่เหรอ” ผมจำต้องลุกจากที่นอนอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็ควานหาโทรศัพท์ที่เมื่อคืนหย่อนลงในกระเป๋าสะพายที่วางเอาไว้ข้างๆเตียงนอนเพื่อดูเวลา
“อึนเวอร์ เอ้าผ้าเช็ดตัว” ผู้ชายที่เมื่อคืนทำเอาผมใจเต้น ยื่นผ้าเช็ดตัวมาให้พร้อมกับตีหน้ายักษ์ ขณะที่ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขาก็เรียบร้อยดีแล้ว

ให้ตายเถอะตื่นเร็วชะมัด! แสดงว่าเมื่อคืนหลับสบายเลยสิท่า ทีผมนี่กว่าจะได้นอนก็ต้องจัดการตากเสื้อผ้าให้เรียบร้อยระหว่างทำใจไม่ให้เขินจนตัวแตกตายไปซะก่อน แต่วินาทีที่ล้มตัวลงนอนข้างๆที่อีกฝ่ายเว้นเอาไว้ให้ก็ทำให้ผมทราบคำตอบเป็นอย่างดีว่า การทำใจเมื่อครู่ ช่างไม่มีประโยชน์อะไรเอาเสียเลย
แถมพอตื่นขึ้นมา คนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เป็นปกติได้ ก็มีแค่ผมคนเดียว!

“กินโจ๊กนะ เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึง” หลังจากล็อคห้องเรียบร้อยแล้ว คนตัวโตในสภาพพร้อมจะเรียนก็หันมาเสนอความคิดเห็น ซึ่งผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว ขอแค่ได้ทานมื้อเช้าก็พอ เพราะผมติดนิสัยต้องกินข้าวเช้ามาจากตอนที่อยู่บ้าน ถ้าวันไหนไม่ได้กินจะรู้สึกหิวเหมือนไปใช้แรงงานมาสักครึ่งวัน
‘พี่ครับแถวนี้มีพวกน้ำเต้าหู้หรือเปล่า’ หลังจากพิมพ์ข้อความส่งไปถามเพื่อนรักทั้งสองอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบ พวกเราก็เดินจนพ้นเขตรั้วของหอพักแล้ว ผมเลยตัดสินใจเอาเองว่าจะซื้อไปฝากพวกมัน

“มี เดินไปอีกนิดก็เจอแล้ว จะซื้อไปฝากเพื่อนเหรอ?” ผมพยักหน้าตอบ พลางสังเกตระยะห่างระหว่างเราขึ้นมา ก็พบว่ามันลดน้อยลงไปมาก เพราะปกติเราจะไม่เดินใกล้กันจนหลังฝ่ามือสัมผัสกันได้แบบนี้
“ไว้ค่อยซื้อตอนขากลับแล้วกัน จะได้ไม่เย็นก่อน” พี่เนย์หันมาตกลงกับผมเรื่องน้ำเต้าหู้อีกรอบ ผมจึงพยักหน้าแสดงความคิดเห็นกลับไป จากนั้นคนที่ได้คำตอบเขาก็ยกยิ้มมาให้ ผมก็เลยยิ้มตอบ ก่อนจะเสสายตามองหลังมือของเราที่ยังคงสัมผัสกันเบาๆ

“เรากินโจ๊กไม่ใส่อะไรบ้าง” พี่เขาถามเมื่อมองเห็นร้านดังกล่าวอยู่ไม่ไกล
‘เครื่องในครับ’

“ของอร่อยเลยนะนั่น ไม่กินได้ไงวะ” อีกฝ่ายประท้วงราวกับกลัวว่าผมจะเสียผลประโยชน์ที่ไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสชาติเครื่องในหมู แต่ขอเถอะเรื่องนี้ ต่อให้ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด ผมก็ไม่เชื่อหรอก คนมันไม่ชอบ ยังไงก็ไม่ชอบนั่นแหละ

“ยิ่งผัดกะเพราเครื่องในนะมึงเอ้ย อร่อยสุดๆ พูดแล้วซี๊ดปาก มื้อกลางวันกูได้เมนูละ” อีกฝ่ายพูดต้อยๆ แล้วก็ยกยิ้มเรี่ยราดไปทั่ว แต่ผมก็รู้สึกชอบมองรอยยิ้มแบบนี้ของอีกฝ่ายอยู่ดี
“มึงไปตักน้ำ จองโต๊ะ เดี๋ยวกูสั่งให้” เมื่อเดินมาจนถึงปากประตูของร้านขายโจ๊กที่เป็นตึกแถวไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวหอมากนัก พี่เนย์ก็หันมาสั่ง ก่อนจะเดินไปหาป้าคนขายที่กำลังวุ่นอยู่กับหม้อใบใหญ่

เมื่อสั่งเสร็จรุ่นพี่ต่างสาขาก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม ซึ่งสามารถมองเห็นหน้าค่าตากันได้อย่างชัดเจน จนผมนึกอยากจะย้ายตัวเองไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆอีกฝ่าย หรือไม่ก็ไปนั่งตรงมุมโต๊ะอีกข้างนึงก็ได้

“มึงกินเลือดหมูมั้ย?” พี่เขาถามขณะที่สายตาได้ย้ายมาให้ความสนใจกับโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้ว ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ ที่ไม่เอาแต่นั่งจ้องกัน
‘ทำไมครับ?’ ผมย้อนถามกลับไปในหน้าแชท เพราะอยากจะทราบเจตนาของผู้ชายตรงหน้าว่าจะมาไม้ไหนต่อ

“ไว้คราวหน้าจะได้ไปกินด้วยกันอีก” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไร เหมือนการทานข้าวเช้าด้วยกันระหว่างเรามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่หลังจากคืนเมื่อวาน ทุกการกระทำ และทุกคำพูดของอีกฝ่าย ผมกลับไม่อาจตีความได้ว่าไม่มีนัยยะสำคัญ ก็ในเมื่อผมไม่ได้อยู่ที่นี่ และแน่นอนว่าเรื่องที่จะมาค้างคืนเพราะเหตุสุดวิสัยมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ

‘จะชวนผมกินข้าวเช้าด้วยหรือไงครับ?’
‘กูไม่ได้จะชวนกินข้าว เราก็กินด้วยกันเป็นปกติอยู่แล้วนี่ แต่ที่กูพูด กูจะชวนเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนรสชาติอาหาร’

‘อ้อ ครับ’
‘ครับคือไรมึง ตอบอย่ากำกวม’

‘ก็ถ้าวันไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ก็นัดมาแล้วกันครับ ที่สำคัญต้องมารับผมนะ ผมไม่ลงทุนเดินไปถึงหน้ามอ เพื่อกินข้าวข้างนอกแน่’
‘รู้แล้วน่า ว่าแต่มึงยังไม่ตอบกูเลยว่ากินเลือดหมูมั้ย’

‘ไม่กินครับ กินแต่หมู หรือไม่ก็ตือฮวน’
‘กินแต่หมู มันจะเรียกว่าต้มเลือดหมูได้ยังไงวะ’

เราต่างถกเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระอยู่ครู่เดียว โจ๊กที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมจึงหยิบช้อนส่งให้กับคนตัวโตที่กำลังถือกระดาษทิชชู่ไว้รอเพื่อเช็ดทำความสะอาด จากนั้นผมจึงหยิบช้อนให้ตัวเองบ้าง

“มานี่เช็ดให้” วันนี้ท่าทางพี่เนย์จะอารมณ์ดีมากจนถึงขนาดเช็ดช้อนให้ผมด้วย เพราะปกติเวลามากินข้าวด้วยกัน เราต่างก็บริการตัวเอง ซึ่งผมก็รู้สึกโอเคกับทั้งสองแบบ เพราะคงไม่มีใครไม่ชอบการถูกบริการอย่างเอาใจใส่ และคงไม่มีใครที่ทำอะไรไม่เป็นจนถึงขั้นต้องคอยพึ่งพาการบริการจากอีกฝ่ายอยู่อย่างเดียว ในเมื่อมือและแขนของผมยังปกติดี ผมก็โอเคที่จะบริการตัวเองด้วย และถูกดูแลด้วยในบางครั้งคราว

‘ทำไมกินโจ๊กต้องใส่น้ำส้มกับพริกด้วยครับ ผมว่าไม่เห็นจะเข้ากันเลย’
‘เอ้า มันเป็นเรื่องของรสนิยมการกินครับคุณรัน’ อีกฝ่ายวางมือจากการคนโจ๊กให้เข้ากัน เพื่อมาถกเถียงกับผมต่อ

‘ไม่เห็นมีตับเลยพี่’ หลังจากปรุงรสด้วยซอสพอให้มีรสชาติแล้ว ผมก็คนโจ๊กให้เข้ากันพร้อมกับควานหาตับยกใหญ่
“ตับมันก็เครื่องในมั้ยมึง” พี่เขาตอบกลับมา จากนั้นก็ตักตับจากในจานของตัวเองมาให้

‘นั่นแหละ ผมกิน’ ผมพิมพ์ตอบเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นก็ตักตับขึ้นมากิน แต่ก็ไม่ค่อยจะปลื้มเท่าไหร่นัก เพราะว่ารสชาติความเปรี้ยวและเผ็ดมันฟุ้งกระจายไปทั่วปาก ซึ่งผมเกลียดรสชาติความเปรี้ยวในก๋วยเตี๋ยวและโจ๊กมาก

ก่อนกลับหอเราแวะซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก จากนั้นรุ่นพี่สายเปย์ก็เดินนำผมไปที่รถ และขับออกมาส่งผมที่หอใน

“เย็นนี้ไปเดินตลาดนัดกัน” ก่อนลงจากรถ พี่อาคเนย์ก็รั้งผมไว้ด้วยคำเชิญชวน
“…” ผมพยักหน้าตกลง พลางชี้ไปที่นาฬิกาเพื่อสอบถามว่าจะมาเจอกันตอนกี่โมง

“หกโมง” อีกฝ่ายเหลือบมองนาฬิกาในรถ จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบออกมา ผมเลยพยักหน้าตอบตกลงและปิดประตูรถ แล้วรีบเดินเข้าไปยังหอพัก เพราะเกรงว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันจะกินกันไม่ทัน

ผมก้าวท้าวขึ้นบันไดทีละขั้น แต่ดูเหมือนจะไม่ทันใจเท่าไหร่ เลยตัดสินใจก้าวทีละสองขั้น เพราะห้องของผมอยู่ชั้นที่สามทางฝั่งซ้าย ซึ่งเป็นฝั่งของห้องพักที่มีเครื่องปรับอากาศให้บริการ
เมื่อถึงที่หมาย ผมก็หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าสะพาย พอไขเข้าไปเจอเพื่อนทั้งสองคนกำลังแต่งตัวอยู่ข้างใน ผมก็ชูถุงน้ำเต้าหู้ขึ้น จากนั้นก็เอาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นที่คาดว่าพวกมันน่าจะแอบไปซื้อกันเมื่อวาน ในเมื่อที่ผ่านมาผมไม่เคยเห็นโต๊ะตัวนี้มาก่อน

“พี่เนย์เลี้ยง ?” ไอ้คินถาม พลางหรี่ตามองผม
“…” ผมพยักหน้าส่งๆ จากนั้นก็เดินถอดกระเป๋าเอาไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ และเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเอาชุดนักศึกษาที่รีดเตรียมเอาไว้แล้ว แต่เห็นทีว่าวันนี้กลับมาคงต้องรีบรีดตุนเอาไว้อีก เพราะนี่ก็เหลือเสื้อที่เคยรีดไว้ตัวสุดท้ายแล้ว และคาดว่าวันหยุดที่ใกล้จะถึงนี้ ผมคงต้องรีบซักผ้าด้วย

“มึงไม่คิดจะอัพเดตอะไรเลย ?” ไอ้หมอกที่กำลังเดินไปหยิบแก้วน้ำที่โต๊ะเขียนหนังสือของตัวเองถามขึ้น
“…” ผมพยักหน้า จากนั้นก็จัดการถอดเสื้อตัวเมื่อวานออก และใส่ชุดนักศึกษาตัวใหม่แทน เพราะว่าผมอาบน้ำมาจากห้องของพี่เนย์เรียบร้อยแล้ว
“สรุปยังไง ทำไมจู่ๆ ถึงได้ไปค้างห้องพี่เขา ?” ไอ้หมอกยังคงถามไม่เลิก แต่ผมก็เงียบท่าเดียว บอกตามตรง ผมไม่เคยรู้สึกชอบการพูดไม่ได้ของตัวเองมากขนาดนี้มาก่อนเลย
“ไม่เล่าก็ไม่ได้อยากรู้เว้ย” ไอ้หมอกมันว่าอย่างนั้น พลางยักไหล่ ซึ่งผมเองก็ยินดีด้วยที่มันคิดแบบนั้น

เมื่อหมดเรื่องพูดคุย ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ไอ้เพื่อนสองคนรวมหัวกันนั่งกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่ผมซื้อมาฝาก ส่วนผมก็กำลังหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันช่วงล่างเพื่อผลัดเปลี่ยนกางเกงสแลคสีดำตัวใหม่ ผมใช้เวลาในการแต่งตัวรวดเร็วพอๆกับที่สองเพื่อนซี้มันกินได้พอดิบพอดี พวกเราเลยรีบออกจากห้องกันอย่างเร่งด่วน เพราะเหลือเวลาอีกไม่นานนักก็จะถึงเวลาเรียนแล้ว แถมวันนี้เรายังมีเรียนที่ตึกไอทีอีก เพราะว่าวิชาที่เราลงเรียนเอาไว้มันเกี่ยวข้องกับพวกคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับคนหูหนวก

‘เออ พวกมึง’
‘เย็นนี้พี่เขาชวนกูไปตลาดนัด พวกมึงไปด้วยกันดิ’ เมื่อฟังอาจารย์สอนไปได้สักพัก อาจารย์ก็สั่งงานให้เราทำส่งท้ายคาบตามที่ได้สอนไปเมื่อต้นชั่วโมง ผมเลยถือโอกาสนี้ชักชวนให้เพื่อนทั้งสองไปด้วยกัน
   
‘ชวนพวกกูทำเชี่ยอะไรครับ ไอ้สัส มึงไม่มีความรู้ในเรื่องความรักเลยเหรอ?’ ไอ้คินมันย้อนถาม
‘ก็ไม่นะ กูไม่เคยมีแฟน ขนาดเพื่อนกูยังเพิ่งมามีเอาตอนนี้เลย’

‘งั้นกูถามหน่อย พี่เขาได้ออกปากให้มึงชวนพวกกู หรือไม่ก็พูดทำนองว่าเพื่อนเขาเองก็ไปด้วยมั้ย?’
‘ก็ไม่’

‘มึงครับ เขาชวนมึงเพราะอยากไปกับมึงแค่สองคน’ ผมก็รู้อยู่หรอกว่าพี่เขาชวนเพราะอยากจะไปกับผมแค่สองคน แต่ที่ผมชวนพวกมัน ก็เพราะผมไม่อยากให้พวกมันคิดว่าผมทิ้งมันเพราะเห็นคนอื่นดีกว่า
ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น

‘ไปเหอะน่า มึงชอบพี่เขานี่หว่า พวกกูจะไปเป็นก้างทำไม’ ไอ้หมอกมันรบเร้า
   
หลังเลิกเรียน เราตัดสินใจไปทานข้าวที่โรงอาหารกลาง เพราะช่วงบ่ายยังมีเรียนต่ออีกตัว ระหว่างทานข้าวพวกรุ่นพี่ก็พากันส่งข่าวผ่านทางสายรหัสของตัวเอง ทำนองว่าคณะเรากับคณะเทคโนโลยีสารสนเทศมีโปรเจคนึงที่ทำร่วมกันอยู่ เป็นโปรเจคเขียนแอปพลิเคชันที่เอื้อประโยชน์ต่อบุคคลที่มีข้อบกพร่อง คร่าวๆว่ารายละเอียดของแอปตัวนี้จะเป็นแหล่งที่ให้พวกเราช่วยกันเข้าไปอ่านหนังสือให้กับคนตาบอดฟัง หรือไม่ก็อัดวีดิโอที่เราถอดความจากคำพูดเป็นภาษามือแล้วอัพโหลดผ่านแอป เพราะรายการโทรทัศน์ไม่ว่าจะเป็นด้านบันเทิง สารคดี หรือด้านอื่นๆ ยังไม่ค่อยอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลกลุ่มนี้
ถ้าหากแอปพลิเคชันนี้เสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ พวกอาจารย์เขาอยากจะขอแรงพวกเราให้ความร่วมมือกับโครงการนี้ จากนั้นถึงค่อยประชาสัมพันธ์ให้กับคณะอื่นๆได้ทราบ แล้วถึงค่อยขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ

‘เมื่อเช้าผมลืมถาม เราจะไปเจอกันที่ไหนดีครับ หน้าหอผม?’ หลังจากนั่งจดตามที่อาจารย์บรรยายมาจนเกือบจะหมดคาบแล้ว ผมก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเรายังไม่ได้นัดสถานที่กันเลย
‘หน้าโรงอาหารกลางแล้วกัน พอดีวันนี้กูมีนัดออกกำลังกายกับเพื่อนช่วงเย็นว่ะ’

‘โอเคครับ’

ปริ้นๆ

ผมยืนเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มาตามนัด แต่พอไม่ได้ใส่ใจจะมองไปตรงถนนเท่านั้นแหละ บุคคลที่ผมกำลังรอคอยก็เลยต้องบีบแตรเรียกอยู่หลายที

“โทษทีว่ะ กูรีบสุดๆแล้ว” ผมหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อสื่อว่าผมไม่ได้ถือสาอะไร
“กูลงทุนขนาดไม่ไปอาบน้ำที่หอไอ้เปรมเลยนะเว้ย เหม็นเหงื่อชิบหาย” พี่เขาบ่น พลางสะบัดเสื้อกีฬาโชว์กล้ามแขนของตัวเองไปมา ส่วนเส้นผมของอีกฝ่ายเองก็เปียกซกไม่ต่างกัน

ผมนั่งเงียบไปตลอดทาง เพราะผมไม่ค่อยอยากชวนอีกฝ่ายคุยนัก เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ แต่พอรถติดไฟแดงเมื่อไหร่ รุ่นพี่ในมาดหนุ่มรักสุขภาพก็ชอบหันมาชวนผมคุยทุกที และเรื่องที่คุยส่วนใหญ่ก็สัพเพเหระมากๆ
ถ้าหากว่าเมื่อวาน พวกเราไม่เคยพูดคุยกัน ว่าเราต่างก็ตกหลุมรักกันเข้าให้แล้ว ผมคงไม่มีทางคิดหรอกว่าพี่เขาจะชอบผม และก็คงไม่คิดที่จะเปิดปากพูดความรู้สึกของตัวเองด้วย

“ฟังเพลงมั้ยมึง?”
“…” ผมส่ายหน้าตอบ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันมามอง

“อืม กูกลัวมึงจะเบื่อเฉยๆ”
“…” ผมอมยิ้มขณะมองออกไปตรงนอกหน้าต่าง

ผมอยากบอกอีกฝ่ายว่า ผมไม่เบื่อหรอกเพราะผมชินกับการนั่งเงียบๆแบบนี้แล้ว แต่อีกฝ่ายน่าจะเบื่อ เพราะความไม่คุ้นชินกับสถานการณ์อย่างนี้ ในเมื่อรอบๆตัวของพี่เนย์สามารถพูดคุยโต้ตอบกับพี่เขาได้ แม้กระทั่งพี่บอสก็ด้วย
   
“เมื่อคืนกว่ากูจะหลับก็เกือบเช้า” ผมหันไปมองอีกฝ่ายทันทีด้วยเพราะคิดไม่ถึง ในเมื่อตอนเช้ารุ่นพี่ข้างๆยังทำตัวปกติสุดๆใส่ผมอยู่เลย
“…” ตอนนี้ใจผมเต้นแรงมากจริงๆ แต่ก็ต้องทำตัวให้ปกติเข้าไว้

“กูไม่เคยชอบฝน เพราะฝนมักจะมาคู่กับฟ้าแลบและฟ้าร้อง แต่เมื่อวานเป็นวันแรกที่กูชอบ และนึกอยากให้มันตกนานๆ กูจะได้อยู่กับมึงได้นานกว่าทุกครั้ง” ผมขยับตัวและหันหน้าเข้าหากระจกจนคอเกร็งไปหมด ส่วนริมฝีปากก็ขบเม้มกันไว้แน่น
แต่พอรถหยุดการเคลื่อนตัว ผมก็หันกลับไปมองกระจกด้านหน้า หางตาจึงเหลือบไปเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองผมอยู่ และเมื่อผมหันไปมองตอบ พี่เขาก็ส่งยิ้มกลับมาให้ ซึ่งเป็นยิ้มที่เห็นทีไร ผมก็ต้องยอมแพ้ตลอด
และสุดท้ายผมก็อดยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้
   
ตลาดนัดที่คนชำนาญพื้นที่พาผมมานั้น อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ มันเป็นตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เรียกได้ว่าใครๆก็ต้องมาเช็คอินที่นี่ เพราะตลาดแห่งนี้กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของจังหวัดที่ผมเรียนอยู่ คาดว่าที่นี่นอกจากจะเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมนักศึกษาจากมหาลัยผมด้วย

“กูไม่ถ่ายนะรูปน่ะ แล้วก็ไม่เช็คอินด้วย” ระหว่างที่เรากำลังเดินผ่านจุดที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
‘ผมก็ด้วย ไม่ชอบเหมือนกัน’ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่งและพิมพ์ข้อความก่อนส่งให้คนข้างๆอ่าน พร้อมกับสองขาของเราที่ค่อยๆก้าวเดินผ่านรถที่คล้ายกับรถทหารขนาดใหญ่จำนวนสองคันที่จอดเอาไว้เพื่อเป็นฐานให้กับเครื่องบินที่อยู่ด้านบน ซึ่งเป็นจุดเด่นตามชื่อของตลาดแห่งนี้
   
“กิน” เมื่อเดินเข้ามาในตลาด ก็รู้สึกได้ว่าของกินละลานตามาก ซึ่งคงเรียกน้ำย่อยของคนข้างๆได้ดี เจ้าตัวถึงได้แวะซื้อหมึกย่างมากินอย่างไม่รีรอ และก็ยังไม่ลืมเอื้อเฟื้อมาถึงผมด้วย
“แตงโมปั่นหนึ่งครับ” คนรักสุขภาพพอเจอของกินละลานตาก็ถึงกับสติแตก จับจ่ายใช้สอยอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรทั้งนั้น เราเดินกินกันไปเรื่อยๆ โดยซื้อมาแบ่งกันกินอย่างละนิดละหน่อย

หลังจากจ่ายเงินซื้อน้ำแตงโมปั่นของโปรดจนสบายใจแล้ว คนชำนาญพื้นที่ก็ทั้งตักทั้งดูดอย่างเอร็ดอร่อย ที่แอบเก๋ก็คือภาชนะใส่น้ำแตงโมของร้านนี้ก็คือแตงโมที่คว้านไส้ออกแล้วนี่แหละ แต่ใช้ลูกเล็กนะ ถ้าใช้ลูกใหญ่ก็คงจะน่าสงสารคนซื้อไม่น้อย
‘ผมเคยอ่านเจอมา เขาบอกว่าแตงโมเป็นผลไม้ที่ฉีดยาฆ่าแมลงเยอะที่สุด เคยมีคนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะมันแล้วด้วย’ ผมพิมพ์ข้อความให้คนอารมณ์ดีอ่าน เมื่อเขายื่นน้ำแตงโมปั่นมาให้กินบ้าง

“แล้วไง หรือจะไม่กิน?” อีกฝ่ายย้อนถามหน้าตาเฉย เหมือนรู้ว่ามีอันตรายแต่เห็นทีคงจะไม่สน
“…” ผมพยักหน้าตอบ อีกฝ่ายเลยเอื้อมมือมาขยี้หัว

“มึงนี่นะ” ผมยิ้มขำ ก่อนจะเอื้อมมือไปประคองผลแตงโมและดูดสักอึกสองอึกพอให้ชื่นใจ
“สมัยนี้กูว่ากินอะไรก็อันตรายทั้งนั้นมั้ย กล้วยทอดเอย ลูกชิ้นทอดเอย”

“ไอ้ใบ้” จังหวะการก้าวเดินของผมสะดุดลง เมื่อจู่ๆประสาทการรับรู้ก็ได้ยินใครสักคนใช้คำต้องห้าม ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเรียกใคร เพราะผมมั่นใจว่าที่นี่ไม่น่าจะมีคนที่ผมรู้จักหรอก แต่พอกวาดสายตามองจนทั่วแล้ว ผมก็พบกับเพื่อนสมัยมอต้นที่ชอบล้อผม ซึ่งก็คือไอ้หัวโจกนั่น
สีหน้ายิ้มแย้มของผมหงิกงอทันที เพราะผมหมายหัวมันไว้แล้วว่าไอ้นี่แหละคือศัตรูของผม

“ไงวะมึง ช่วงนี้ดังใหญ่เลยนะ” อีกฝ่ายยกยิ้มพูดคุยราวกับเราไม่เคยแลกหมัดกันมาก่อนเพราะคำๆนั้น
“เพื่อนมึงเหรอ?” ผมหันไปมองคนถาม จึงเห็นว่าคนข้างๆ กำลังตีหน้าบึ้งเต็มที่

‘เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน’
“กูเรียนอยู่นิเทศ เห็นมึงจากเพจสาขามึงน่ะ ไม่นึกว่าจะย้ายมาเรียนที่เดียวกัน” ผมยิ้มแบบขอไปที เพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร และกำลังพยายามข่มใจตัวเองไม่ให้ระเบิดเพราะท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของมันด้วย

“กูขอตัวเพื่อนมึงก่อนนะ พอดีรีบน่ะ มีนัดต่อ” พี่อาคเนย์ออกหน้าให้ จึงทำให้ไอ้มอสมันยอมล่าถอยไป แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่วายจะเรียกผมว่า ‘ไอ้ใบ้’ อยู่ดี
“มึงจะกำมืออีกนานมั้ยรัน ถ้าไม่เลิกพี่จะได้เดินไปต่อยมันให้” พอพี่เนย์พูด ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอกำมือกันจนแน่น

"ถ้าให้กูเดา มึงคงไม่ชอบที่มันเรียกมึงอย่างนั้น เพราะดูจากท่าทางของมันก็แลจะนิสัยโอเคอยู่”
‘โอเคที่ไหนกันครับ มันล้อผมจนผมคิดอคติกับคนอื่นๆไปหมด เพราะพอมันล้อคนนึง อีกหลายๆคนก็เริ่มทำตามๆกัน’ ผมพิมพ์อย่างรวดเร็วลงในห้องแชทของพี่เนย์ จากนั้นก็เดินนำหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์

“เออๆ นิสัยไม่ดีก็ไม่ดี” พี่เขาว่าอย่างนั้น ก็เอาแขนมาวางบนศีรษะผม ก่อนจะโยกไปมาเบาๆ คล้ายกับปลอบใจ
“…” ท่าทางอบอุ่นในแบบฉบับของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ ทำเอาผมอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก
และแล้วในวันนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเพราะผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ อีกครั้ง

ความใกล้ชิดที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมเริ่มจะชินกับการที่พี่เนย์เอามือมาท้าวไหล่ ท้าวหัว มากขึ้นแล้ว เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของเราขยับก้าวขึ้นมาอีกขั้น แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลา แต่ทุกมื้อเช้าเราก็ยังคงเจอกันเหมือนที่ผ่านมา ส่วนตอนเย็น บางทีเราต่างก็มีกิจกรรมเป็นของตัวเอง มีโลกเป็นของตัวเอง เพียงแต่ไม่ได้ขลุกอยู่แต่ในโลกของตัวเองกันอย่างเดียว เพราะเรามักจะแบ่งเวลาไว้ใช้ร่วมกันบ้าง

“ถ้าเบื่อมึงก็นั่งเล่นโทรศัพท์หรือจะทำอะไรก็ได้ตามใจมึง” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนอัฒจรรย์ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสนามบาสที่พวกพี่เขานัดแข่งขัน แต่ไม่ได้แข่งกันอย่างจริงจังนัก เพราะการแข่งนัดนี้จริงๆก็เหมือนกับการนัดเจอเพื่อนเก่าเท่านั้น พี่เขาบอกว่าวันนี้เด็กสายศิลป์นัดแข่งกับพวกสายวิทย์
“…” ผมพยักหน้า พลางแอบนึกค้านในใจว่า แล้วอีกฝ่ายจะให้ผมมาทำไม หรือแค่มาให้เห็นหน้าเท่านั้นก็พอแล้ว พอคิดได้แบบนี้ ผมก็นึกย้อนไปถึงตอนที่พี่เขาบอกว่าชอบให้ฝนตกเป็นครั้งแรกเพราะอยากจะอยู่กับผมนานๆ
วันนี้ความนัยที่ซ่อนอยู่ในการกระทำของคนๆนั้น ก็คงไม่ต่างไปจากเหตุผลเดิมๆ

ผมนั่งดูอีกฝ่ายเล่นบาสได้ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มเบื่อ เพราะผมไม่ค่อยถูกโฉลกกับกีฬาอื่นๆนอกจากแบดมินตันมากนัก ดูก็ไม่ค่อยจะเป็น มองพี่เขาวิ่งไปวิ่งมาในสนามแค่ไม่กี่วินาที ผมก็พอใจแล้ว เลยคิดว่าจะนั่งทบทวนภาษามือไปพลางๆด้วย เพราะกว่าพี่เขาจะแข่งเสร็จก็น่าจะอีกนาน เพราะนักกีฬาในสนามเล่นแข่งไปก็คุยกันไปแบบนี้ ทำให้ลืมผลคะแนน ก็ต้องเริ่มนับใหม่ไปเรื่อยๆ ขนาดผมนั่งดูเป็นพักๆยังเหนื่อยใจแทนเลยน่ะ
เพราะการแข่งขันครั้งนี้แลจะป่วงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

ผมเลือกทบทวนบทเรียนในหมวดของ ‘โรค’ เป็นหมวดแรก เพราะถึงจะเรียนผ่านไปแล้ว แต่หมวดนี้เป็นหมวดที่ผมจำได้ห่วยที่สุด โรคแรกที่ผมเลือกคือ ‘อาการปวดฟัน’ เพราะภาษามือของคำนี้ง่ายพอที่ผมจะจดจำใส่สมองน้อยๆ ของตัวเอง โดยผมใช้นิ้วชี้ข้างขวาชี้ไปที่ฟัน แล้วก็ยกฝ่ามือข้างนั้นขึ้นมาขยุ้มอยู่ตรงข้างแก้มสักทีสองที ขณะที่ใบหน้าก็ต้องแสดงออกถึงอาการปวดด้วย
คำที่สองที่ผมเลือกคือ ‘เป็นลม’ ซึ่งผมต้องเปิดคลิปดูถึงสามสี่รอบ เพราะภาษามือของคำนี้ยากมากจริงๆ ขั้นแรกผมต้องยกมือขวาขึ้นและใช้ปลายนิ้วโป้งแตะลงตรงหางคิ้ว พร้อมกับทำหน้าเหมือนคนกำลังจะเป็นลมด้วย จากนั้นก็เอียงคอไปทางซ้ายและหลับตาลงพร้อมกับเลื่อนปลายนิ้วทั้งสี่มาบรรจบกับนิ้วโป้ง ก่อนจะแบมือข้างซ้าย และข้างขวาทำมือเหมือนเขาควาย แต่ปลายนิ้วก้อยข้างนั้นจะต้องแตะลงบนฝ่ามือที่แบไว้ จากนั้นก็พลิกมือข้างที่ทำเหมือนเขาควายให้วางราบไปกับฝ่ามือ ขณะที่หัวผมก็ต้องเอียงไปทางซ้ายด้วย
   
ผมลองทำคำนี้อยู่หลายครั้ง จนกว่าจะคล่อง แล้วก็เลือกทบทวนคำว่า ‘เป็นหวัด’ ผมเปิดคลิปดูครั้งเดียวก็จำได้ จึงเริ่มยกมือข้างขวาขึ้น โดยใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแตะตรงปลายจมูก จากนั้นก็พองแก้มนิดนึง ก่อนจะขยับปลายนิ้วทั้งสองขึ้นลง
คำที่หินไม่ต่างจากอาการเป็นลม ก็คือ ‘การแพ้ยา’ คำนี้ผมก็เปิดดูคลิปอยู่หลายรอบ จากนั้นก็เริ่มทำไปพร้อมกับอาจารย์ด้วย โดยแบมือข้างซ้ายขึ้น ส่วนมือข้างขวาให้ทำเหมือนท่าทางที่คนทั่วไปชอบใช้บอกไอเลิฟยู แต่ปลายนิ้วชี้จะต้องแตะที่กลางมือข้างซ้าย จากนั้นก็เลื่อนมือออกมาตั้งขนานกัน โดยที่ปลายนิ้วชี้จะต้องหุบลงไป กลายเป็นรูปเหมือนเขาควาย จากนั้นมือทั้งสองก็กำไว้และเลื่อนเข้ามาใกล้กับบริเวณใบหน้าและแบออกเหมือนอะไรสักอย่างระเบิดกระจายไปแล้ว ส่วนปากก็ขยับเป็นคำว่า ‘ปั้ง!’ แถมสีหน้าก็ยังต้องเน้นด้วย จนผมรู้สึกอยากจะกัดลิ้นตายซะให้ได้ เมื่อรายละเอียดมันเยอะมาก
ผมจึงเกิดอาการ จำคำนั้นได้ คำนี้ก็ลืม

ปวดประสาทชะมัด ผมว่าผมต้องไม่รอดแน่ๆ ขนาดผมทบทวนบ่อยอยู่นะ แล้วก็ทบทวนตั้งแต่หมวดแรกเลยด้วย แต่ความยากก็ยังไม่บรรเทาลง ผมขยี้หัวตัวเองอย่างโมโห เพราะไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จากนั้นก็เอนตัวลงกับพนักพิงด้านหลังและหลับตาลงเพื่อสงบจิตสงบใจ เพราะเดี๋ยวอาทิตย์หน้า ผมก็ต้องสอบเก็บคะแนนแล้วด้วย

“เครียดเหรอวะ” พี่เขามายืนเช็ดหน้าเช็ดตาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย ถ้าหากไม่ทักขึ้นมา ผมก็คงจมลงอยู่กับความไม่ได้ดั่งใจของตัวเองนี่แหละ
“…” ผมพยักหน้า

“สู้ๆ” อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็หยิบขวดน้ำดื่มที่วางอยู่ข้างๆผมไปกระดก และก่อนผละจากกันเพื่อลงสนามแข่ง ฝ่ามือใหญ่ๆ ก็ขยี้หัวของผมจนเส้นผมฟุ้งกระจายราวกับให้กำลังใจทางกาย และไม่วายจะให้กำลังใจทางคำพูดด้วย
ผมยกมือขึ้นจัดแต่งทรงผมของตัวเอง พลางส่ายหัว แล้วก็เริ่มตั้งสมาธิเพื่อทบทวนบทเรียนอีกครั้ง ส่วนพี่เนย์ก็กลับลงไปโลดแล่นอยู่บนคอร์ดบาสอีกหน

“แฮ่กๆ เมื่อยชิบ” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว การแข่งขันถึงได้จบลง จนคนในสนามพากันแยกย้ายกลับหอ ส่วนคนที่ชักชวนผมมาเชียร์ก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆกัน ก่อนจะยืดแข้งยืดขาเพื่อเอายามานวดคลายกล้ามเนื้อจนกลิ่นฟุ้งเข้าจมูก
“มึงทำกูเสียสมาธิ แพ้เลยเนี่ย” อีกฝ่ายกล่าวโทษ เมื่อเห็นผมเลิกสนใจกิจกรรมของตัวเองแล้ว

‘แบบนี้เขาเรียกว่าแพ้แล้วพาลหรือเปล่าครับ’ ผมย้อน
“ไม่ได้พาล กูพูดความจริง”

‘ยังไงครับ’ ผมพิมพ์แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้อีกฝ่ายอ่านอีกครั้ง
“สายตากูแม่ง มองแต่มึงเลยเนี่ย”

----------------------------------------------
[edit 28/11/2017 คำผิด กระเพรา > กะเพรา / 27/01/2018 แอพพลิเคชัน > แอปพลิเคชัน / แอพ > แอป / ฟ้าแล่บ > ฟ้าแลบ]
สรุปสเปเปลี่ยนเป็นตอน 11 นะคะ มีให้อ่านกันเรื่อยๆต่อไป
สำหรับตอนนี้จะยาวหน่อย แต่ตอนต่อไปก็น่าจะสั้นเหมือนเดิม 555
เราตัดตามประโยคจบที่อยากให้ปิดตอนค่ะ มันเลยสั้นๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-10-2017 20:40:19
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-10-2017 20:56:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-10-2017 21:43:54
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-10-2017 07:55:38
ชอบมากเลย น้องรันน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 30-10-2017 09:14:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 30-10-2017 17:43:44
♥ Fall in you ♥
ตอน 12


สอบเก็บคะแนนวันนี้ ผมยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร คาบหน้าผมจะต้องมาสอบแก้มืออีกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อนๆที่มีปัญหาแบบเดียวกันจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่เคยมีพื้นฐานของภาษามือมาก่อน ตอนนี้ผมเลยกังวลมาก เพราะถ้าหากผมเกิดซวยติดเอฟวิชาภาษามือขึ้นมา ผมก็ต้องเสียเวลาเรียนไปอีกหนึ่งปี เพื่อรอให้วิชานี้เปิดให้ลงเรียนใหม่อีกครั้ง ถึงจะเรียนตัวต่อๆไปของวิชาภาษามือได้ 

‘หรือกูจะชิวเกินไปวะ เลยสอบไม่ผ่าน’ ผมพิมพ์บ่นถึงการสอบเก็บคะแนนที่มีเพียงครั้งเดียวลงในกรุ๊ปแชท ยิ่งการสอบในครั้งนี้เป็นการสอบนอกตารางมิดเทอม ผมก็ยิ่งเครียดหนักขึ้น
‘กูว่าเราก็ทำเต็มที่แล้วนะ ทบทวนบทเรียนก็บ่อย’ ไอ้คินค้านอย่างมีเหตุผล เพราะมันเองก็สอบไม่ผ่านเหมือนกัน

“งั้นเอางี้ ช่วงก่อนสอบแก้ตัวครั้งสุดท้าย พวกมึงก็ไปหามุมสงบติวให้ตัวเองดีมั้ย ในเมื่อติวเป็นกลุ่มแล้วไปไม่รอดแบบนี้น่ะ” ไอ้หมอกออกความเห็นอย่างใส่ใจเราสองคนเต็มที่ เพราะทั้งกลุ่มมีมันคนเดียวที่หายห่วงกับวิชานี้ ส่วนวิชาอื่นผมกับไอ้คินก็ผลัดกันช่วยเคี่ยวเข็ญอยู่บ่อยๆ

เมื่อตกลงทางเลือกให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ผมก็แยกตัวกับสองเพื่อนซี้ เพราะตั้งใจจะไปนั่งอ่านทบทวนภาษามือเพื่อเตรียมสอบสำหรับครั้งหน้าตรงริมทะเลสาบใกล้หอประชุม
“แล้วมึงจะไปยังไง ให้พวกกูไปส่งมึงก่อนจะไปคืนจักรยานดีมั้ย?” ไอ้คินถาม เมื่อเราต่างพากันเดินมาที่ลานจอดรถจักรยานตรงหน้าตึกเรียน ซึ่งคราคร่ำไปด้วยเหล่านักศึกษาที่เลิกเรียนในช่วงเวลาเดียวกัน

‘พี่เนย์ให้กูรอเจอก่อนว่ะ เดี๋ยวกูคงวานให้พี่แกไปส่งอีกทีน่ะ’ ทันทีที่ไอ้คินกับไอ้หมอกมันอ่านข้อความของผมจบ พวกมันก็ถึงกับหยุดการเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพียง
“ตกลงยังไงวะ เรื่องมึงกับพี่เขาน่ะ คบกันยัง?” ไอ้หมอกถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นได้ยินมากนัก

‘ก็ทำนองนั้นมั้ง’
“ตอบแบบขอไปทีมากไอ้สัส แถมยังต้องให้กูตีความจากไทยเป็นไทยอีก แต่เอาจริงคบไม่คบก็เหมือนคบอยู่ดี” ไอ้คินมันว่าอย่างนั้น จนผมนึกสงสัย

‘ทำไมวะ ?’
“มึงครับ งานจบแต่คนไม่จบ มีพาไปกินข้าว พาไปเดินตลาดนัด แชทหากันก็บ่อย ถ้าไม่เรียกว่าใจตรงกันจะเรียกว่าอะไร แถมวันก่อนมึงก็ไปนั่งเชียร์พี่เขาแข่งบาสถึงขอบสนาม เพราะอีกฝ่ายขอร้องทั้งๆที่มึงกำลังนั่งติวภาษามือกับพวกกู”

“เป็นกูนะ ถ้าแสดงออกจนถึงขนาดนี้ กูไม่ปล่อยไว้นานหรอก” ไอ้คินมันแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็ตรงกับการกระทำของรุ่นพี่ต่างสาขาที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาอันน่าสนใจ
“กูก็ด้วย” พอไอ้หมอกมันเสริมขึ้นมาอีกคน ใบหน้าของผมก็เริ่มร้อนฉ่ามากกว่าเดิมแล้ว

ติ้ง!

‘กูรออยู่หน้าตึกแล้ว มึงอยู่ไหน?’ ผมแอบถอนหายใจ พลางก้มหน้าพิมพ์ข้อความเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรออยู่ที่เดิม เพราะผมจะเดินไปหาพี่เขาเอง
ขืนปล่อยให้เดินมาตรงนี้ล่ะก็ ผมคงตกเป็นเป้าหมายในการหยอกล้อของไอ้สองเพื่อนซี้แน่ๆ

‘พี่เขามารอแล้วว่ะ กูไปก่อนนะ’
“เออๆ แล้วเจอกันที่ห้องเว้ย” ไอ้หมอกไอ้คินมันพยักหน้ารับรู้ พลางอมยิ้มกรุ้มกริ่มเพื่อล้อเลียน จนผมหน้าแดงเห่อไปหมดแล้ว

‘ไม่ว่าเรื่องของกูกับพี่เขาจะคืบหน้าไปมากแค่ไหน แต่พวกมึงสองคนก็ยังเป็นเพื่อนคนสำคัญของกูนะเว้ย’ผมก้มหน้าก้มตาพิมพ์ ขณะที่กำลังเดินไปหาคนสำคัญอีกคน ที่ช่วงนี้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมมากมายเหลือเกิน
‘เออ กูรู้น่า’ ไอ้คินตอบกลับมาเป็นคนแรก

‘โห วลีเด็ดก็มาว่ะ กูต้องเขินมั้ยวะ?’ ไอ้หมอกก็ยังคงเป็นไอ้หมอก ที่สุดท้ายก็ทำเอาอารมณ์ซึ้งระหว่างกันหดหายไปหมด แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ดี

“ยิ้มอะไร ?” ผมหยุดการก้าวเดินลง เมื่อได้ยินเสียงของคนที่เป็นเจ้าของการนัดหมายในวันนี้
“…” ผมไม่ตอบอะไร แต่กลับยื่นหน้าต่างแชทระหว่างผมกับเพื่อนไปให้ใครอีกคนอ่าน

“แล้วกูล่ะ ไม่สำคัญสำหรับมึงเหรอ?” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จนผมใจแกว่ง
‘สำคัญคนละอย่างกันครับ’

“ยังไง?”
‘ไอ้หมอก ไอ้คิน มันก็สำคัญในแง่ของเพื่อน แต่พี่.. สำคัญในแง่ของ..’ ผมพิมพ์ข้อความแชทอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกดส่งไปหาอีกฝ่าย เพื่อให้ตัวเองได้มีเวลาหายใจสำหรับคำสุดท้ายที่ยังไม่ได้พิมพ์ออกไป

“แฟน?”เมื่อพี่เนย์อ่านจบ พี่เขาก็พูดต่อประโยคของผมจนครบถ้วน ก่อนจะยิ้มแบบที่ผมมักจะแพ้ทางอยู่เสมอ ผมจึงยิ้มพลางพยักหน้ายืนยันว่าคำที่พี่เขาพูดออกมาคือคำที่ผมอยากจะเขียน ขณะที่สองของขาของผมก็ค่อยๆก้าวเดินนำหน้าไปยังลานจอดรถของคณะที่เดี๋ยวนี้ผมมักจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“วันนี้กูไม่ได้เอารถมาว่ะ” เมื่ออีกฝ่ายรั้งข้อมือผมไว้พลางอธิบายพร้อมกับเปลี่ยนทิศทาง พาผมเดินออกจากบริเวณคณะด้วยสองขาของตัวเอง
“ที่กูนัดมึงกะทันหัน เพราะกูกำลังซื้อเวลาทำใจ”

‘ยังไงครับ ?’ ผมเดินพิมพ์ข้อความอยู่บนริมฟุตปาธข้างถนน ส่วนอีกคนก็อ่านข้อความของผมขณะที่กำลังเดินไปตามแนวเส้นสีขาวของถนนลาดยาวในมหาลัย
“ไอ้ทีมกับไอ้บอสน่ะสิ แม่งคาดคั้นจะเอาคำตอบจากกูให้ได้ ว่าสรุปเป็นแฟนกับมึงหรือยัง กับเพื่อนคนอื่นๆกูไม่เขินนะเว้ย ถ้ามันถามกูก็ตอบไปตามตรง แต่กับพวกมันสองคน กูเขินว่ะ มึงเก่งกว่ากูอีก” พี่เนย์เก็บโทรศัพท์ของตัวเองลงในกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็อธิบายให้ผมเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย พร้อมกับฝ่ามือหนาที่เอื้อมมือมาจับข้อมือผมไว้ เพื่อให้ตัวเองทรงตัวอยู่บนแนวเส้นของขอบถนนที่จะมุ่งหน้าไปสู่ทะเลสาบเล็กๆในมหาลัย

“วันนี้กูเลยนัดมึงกะทันหัน แล้วก็ไม่ได้เอารถมาจากหอนี่ไง”
‘พี่กลัวพวกพี่เขาจะไปดักรอ แล้วโดนล้อเอาเหรอครับ?’ ผมอมยิ้มขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความนี้ และเมื่อส่งไปให้อีกฝ่ายอ่านผมก็ยังมีรอยยิ้มติดใบหน้า

“เออดิ แม่งล้อที กูเสียศูนย์เลยนะเว้ย”
‘ทำไมครับ พี่ไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลยเหรอ?’

“มีดิ แต่กูไม่เคยจีบใครก่อน มีแต่มึงนี่แหละ ที่กูเริ่มก่อน พวกมันถึงได้จ้องจะล้อกูอยู่นี่”
‘ผมหมายถึงแฟนผู้ชายนะ’ ขณะที่พิมพ์ข้อความ ผมก็ใจเสีย เพราะจู่ๆ ก็ดันคิดว่าที่พี่เขาอาย มันอาจจะเป็นเพราะพี่เขามีแฟนเป็นผู้ชายเป็นคนแรก แถมยังลงทุนจีบเองด้วยหรือเปล่า

“กูไม่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงนะ” คำตอบของพี่เนย์ ทำเอาผมหยุดการก้าวเดินลงจนนิ่งสนิท
“กูพูดจริงๆ มึงสบายใจได้ ที่กูเขินเพราะกูจีบมึงก่อน แถมยังใช้วิธีเสนอหน้าเข้ามายุ่งกับงานสาขาของพวกมึงด้วย มึงจะไม่ให้กูเขินได้ไงวะ ก็กูดันเล่นใหญ่ขนาดนั้น เพราะกูจีบใครไม่เป็น มันเลยไม่เนียน

“มึงจำได้มั้ย ตอนนั้นกูเคยบอกมึงว่ากูเล่นกีตาร์ไม่เป็น จริงๆแล้วกูเล่นเป็น กูเลยอาสาจะช่วยพวกมึงซ้อม แต่ไอ้ทีม ไอ้บอส มันไม่เห็นด้วย มันบอกว่าเปิดเพลงเอาน่าจะง่ายกว่า แต่กูก็ตื้อจนพวกมันจับได้ว่ากูคิดยังไงกับมึง หลังจากซ้อมเสร็จกูถึงได้มีโอกาสไปส่งมึงที่หอทุกวัน” พี่เขาปล่อยมือผม จากนั้นก็พาตัวเองเดินตัวตรงเพื่อไม่ให้เสียการทรงตัวจนหล่นออกจากเส้นขอบถนน
“หลังๆมึงก็เห็นว่ากูแทบไม่ได้โชว์เท่ต่อหน้ามึงเลย เพราะรุ่นพี่มึงน่ะ เอาแต่ใช้ให้กูถ่ายเบื้องหลังให้ วันนั้นกูถึงได้บอกมึงไง ว่าถ้ามึงรู้สึกเขิน เกร็ง ไม่มีสมาธิ แสดงว่ามึงก็รู้สึกแบบเดียวกับกู เพราะกูเองก็ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย รุ่นพี่สาขามึงถึงได้สนุกกับการกลั่นแกล้งกู โดยที่มึงก็ไม่ได้รับรู้อะไรเลย” หัวใจผมเต้นแรงมาก เพราะผมไม่เคยรู้ในมุมนี้ของอีกฝ่ายมาก่อน และตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วด้วยว่าทำไมพี่บอสถึงได้บอกว่า การชมใครสักคนว่าน่ารักของพี่เนย์ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะพี่เนย์เขาชอบผู้ชาย ดังนั้นการคิดชื่นชมผู้ชายด้วยกันมันจึงไม่แปลก 

‘พี่บอกว่าพี่จีบใครไม่เป็น ทำอะไรไม่เนียน แต่ผมกลับคิดว่าเรื่องพวกนี้น่ะ พี่เข้าขั้นเซียนเลยนะ’
“มึงก็พูดเกินไป เซียนเซินอะไร ในหัวกูตอนนั้นคิดแค่ว่าทำอะไรแล้วมึงและตัวกูมีความสุข ก็ให้จีบไปแบบนั้น” อีกฝ่ายเดินขึ้นมาบนฟุตปาธพร้อมกับดีดหน้าผากผมเข้าอย่างจัง จนเสียงดังลั่น

“…” ผมลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ พลางแอบบ่นอีกฝ่ายในใจ แต่สุดท้ายเรื่องขุ่นมัวทั้งหลายก็ต้องจางหายไป เมื่อคนตัวสูงเขาขยับขึ้นมาเดินบนริมฟุตปาธและกอดคอผมพร้อมกับก้าวเดินไปด้วยกัน
ขณะที่คำพูดเมื่อครู่ ก็ยังคงลอยล่องอยู่รอบๆ ตัวผม ไม่หายไปไหน คล้ายกับโสตประสาทมันบันทึกเอาไว้แล้วว่า คำกล่าวนั้นมันน่าประทับใจจนผมอยากจะฟังแล้วฟังอีกไม่มีเบื่อ

“แล้ววันนี้เป็นไง สอบผ่านไหม?”
“…” ผมส่ายหัว พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย

‘คาบหน้าผมต้องรอสอบแก้ตัวครั้งสุดท้ายครับ วันนี้เลยกะว่าจะหามุมเงียบๆติวคนเดียว’
“แบบนี้กูก็กวนมึงน่ะสิ” ผมไม่ได้ตอบ แต่กลับยิ้มให้อีกฝ่ายตีความเอาเอง

เมื่อมาถึงที่หมาย พี่อาคเนย์ก็ปล่อยให้ผมทบทวนภาษามือของตัวเองคนเดียว โดยที่พี่เขาก็นั่งสรุปบทเรียนของวันนี้จากไฟล์เสียงออกมาเป็นขุมทรัพย์ลายแทงที่เจ้าตัวโอ้อวดเอาไว้ว่า ช่วงใกล้สอบเพื่อนๆในสาขามักจะเอาสรุปของเจ้าตัวไปถ่ายเอกสารและส่งต่อกันเป็นทอดๆ ทำเอาผมเริ่มจะคาดเดาได้เองว่า อีกฝ่ายน่าจะเรียนเก่งไม่เบา
“เอ้า ไอ้เอ้ มึงเอาหมามาขี้เหรอ?” ผมหันไปมองยังทิศทางที่พี่เนย์กำลังมองตรงไป จากนั้นก็เห็นลูกหมาพันธุ์มอลทีสสีขาวปุกปุยเดินมากับเจ้าของ

“เออ ขี้ใส่หน้ามึงได้มั้ย?” พี่ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของหมาเดินเข้ามาพูดคุยกับพี่เนย์ด้วยความเป็นกันเอง ท่าทางทั้งสองคนจะสนิทสนมกันมาก พอๆกับพี่บาสที่อยู่สาขาเดียวกัน

“ลองดิ มิดเทอมนี้กูไม่ให้มึงเอาสรุปกูไปถ่ายเอกสารแน่ๆ” พี่เนย์พูดอย่างเหนือกว่า จากนั้นก็อุ้มเจ้าลูกหมาตัวนั้นมาเล่นด้วยการปล้ำจูบอยู่นาน แต่ลูกหมาสีขาวตัวนั้นก็ไม่ยอม
“ไอ้สัสเนย์ พอเลยลูกกูมันกลัวมึงจนหัวหดแล้ว มันไม่คุ้นคนแปลกหน้า” พี่ผู้หญิงที่ชื่อเอ้ ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าใกล้ๆกับพี่เนย์ จากนั้นก็อุ้มลูกหมาของตัวเองเข้ามากอด และจุ๊บเบาๆราวกับปลอบใจ

“นั่นใครวะ มึงไม่แนะนำหน่อยเหรอ?”
“คนที่มึงก็รู้ว่าใครนั่นแหละ อย่ากวนมันดิวะ มันกำลังท่องหนังสือ” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง เมื่อรู้ตัวว่าที่ตรงนี้ยังมีผมอีกคนที่กำลังใช้สมาธิในการทบทวนบทเรียน

“เออๆ งั้นกูไม่กวนละ บายมึง บายน้องรัน ไว้ค่อยทักทายกันอย่างเป็นทางการอีกทีเนอะ” หญิงสาวหนึ่งเดียวกล่าวพร้อมกับยกยิ้มสดใสที่ทำเอาใครเห็นก็น่าจะพากันหลงใหลในรอยยิ้มนั้น เพราะพี่เอ้เป็นผู้หญิงที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า พี่เขายิ้มสวยมากๆ
“แล้วมึงกลับหอยังไง ไอ้เชี่ยบาสล่ะ?”

“มันไปวิ่ง เห็นว่าเหลือรอบสุดท้ายก็ครบโควต้าละ” พี่เนย์พยักหน้ารับรู้ จากนั้นพี่เอ้ก็เดินจากไปพร้อมกับน้องหมาหน้าตาน่ารักที่ผมยังไม่รู้ชื่อ

“เพื่อนสนิทอีกกลุ่มของกูเอง เห็นสวยๆอย่างนั้น แดกเหล้ายังกับอาบ เวลาไปกินด้วยกันที แม่งต้องคอยแบกไอ้บาสกลับบ้านทุกที เพราะตลกร้าย แม่งเสือกคอแข็งกว่าแฟนตัวเอง”
“กลุ่มกูมีบาสสองคน ไม่ใช่บาสคนที่มึงเคยเจอหรอก ไว้หาโอกาสเหมาะๆได้ กูจะพามึงไปแนะนำให้รู้จักอีกทีแล้วกัน” ผมพยักหน้าตอบ แม้ใจนึงจะไม่ค่อยอยากรู้จักใครเพิ่มนัก แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเพื่อนของพี่เนย์ อีกใจของผมก็เลยอยากจะลองทำความรู้จักพวกเขาไว้ แต่ผมก็อดกลัวไม่ได้ว่า เพื่อนกลุ่มนี้จะรังเกียจผมไหม เพราะว่าพวกเขาต่างก็แตกต่างจากเพื่อนอีกกลุ่มของเนย์ราวสีขาวกับสีดำ
ซึ่งสีขาวคือฝั่งเพื่อนที่ไร้ข้อบกพร่อง และสีดำก็คือฝั่งเพื่อนที่มีความบกพร่อง

‘ถ้าหาวันเหมาะๆได้แล้ว พี่ช่วยบอกให้ผมรู้ล่วงหน้าสักสามสี่วันนะครับ’ ผมขอร้องอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
“ได้ดิ ว่าแต่ทำไมวะ มึงตื่นเต้นเหรอ?”

‘จำได้ไหมครับ วันที่ผมเจอไอ้มอสที่ตลาดนัด ผมเคยไม่พอใจมันมาก และเถียงจะเอาชนะพี่ให้ได้ว่ามันนิสัยไม่ดี เพราะผมเคยถูกมันกับเพื่อนเกือบทั้งห้องล้อว่าเป็นไอ้ใบ้อยู่หลายปี ตอนนั้นผมเข้ากับใครไม่ได้เลย และตั้งแต่นั้นผมก็ไม่เคยมีความสุขกับการไปโรงเรียน ทุกวันนี้ผมก็เลยมีอคติกับคนไร้ข้อบกพร่อง นี่คือสาเหตุจริงๆที่ผมเลือกเรียนสาขานี้ เพราะผมคิดว่าเพื่อนๆที่นี่คงจะไม่มีใครมองผมเป็นตัวตลกเหมือนเดิมอีก’
“แต่กูมั่นใจว่าเพื่อนกูไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ เพราะตอนที่กูบอกพวกมันเรื่องของมึง พวกมันก็ยินดีกับกูนะ”

‘พวกพี่เขาอาจจะไม่รู้หรือเปล่าครับว่าผมคือใคร ก็เลยไม่ได้พูดอะไร แต่ถ้ารู้ว่าผมเป็นแบบนี้..’
“รันมึงฟังกูนะ.. ตอนนี้ใครๆเขาก็รู้จักมึงกันทั้งนั้น แถมมึงยังมีแฟนคลับเยอะด้วยนะ ไอ้เอ้มันเอาเพจมาให้กูดู เขาถ่ายรูปมึงไว้เยอะเลย ทีนี้มึงเห็นมั้ย คนไร้ข้อบกพร่องเขาไม่ได้ใจแคบกันทุกคน” พี่เนย์เปิดเฟซบุ๊กหน้าเพจที่เกี่ยวกับผมให้ดู พร้อมกับเลื่อนไทม์ไลน์ของเพจนั้นอย่างช้าๆ จึงทำให้ผมได้เปิดโลกทัศน์แคบๆของตัวเอง เพราะตลอดมาผมเข้าใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นที่สนใจมากมายอะไร เมื่อจบแคมเปญทุกกระแสก็คงจะเงียบลง แต่เปล่าเลย ผมเพิ่งจะรู้ก็วันนี้ ว่ามีคนชื่นชอบผมทั้งๆที่ผมไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนอย่างคนอื่นมันมีอยู่จริง
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความชื่นชอบที่น่ากลัวสำหรับผมอยู่ดี

“รัน.. ถึงมึงจะมีโลกเป็นของตัวเองแล้ว แต่นอกจากนี้ สังคมอื่นๆก็สำคัญเหมือนกันนะมึง ที่กูพูดไม่ได้หมายความว่ามึงต้องไปทำความรู้จักกับทุกคน แต่กูหมายถึงให้มึงเปิดใจให้มากกว่านี้ เพราะอนาคตพอมึงต้องทำงาน มึงก็จะพบเจอกับผู้คนที่หลากหลาย และถ้ามึงเข้ากับคนอื่นไม่ได้ มึงก็จะอึดอัด กดดัน เพราะการทำงานมันต้องอาศัยความเป็นทีมเวิร์ค แม้กระทั่งงานกลุ่มก็ด้วย เท่าที่กูจำได้ มึงน่าจะไม่ได้เรียนแค่กับเพื่อนร่วมสาขาอย่างเดียว แต่บางวิชามึงต้องเรียนรวมกับสาขาอื่นด้วย หรือบางทีมึงอาจจะต้องเรียนรวมกับคณะอื่นด้วยไม่ใช่เหรอวะ แล้วถ้ามีงานกลุ่มล่ะ มึงจะทำยังไง? ขอทำเดี่ยวงั้นเหรอ?”
“มึงต้องค่อยๆเปิดใจ เริ่มจากเข้ามาทำความรู้จักกับคนไร้ข้อบกพร่องในโลกของกูก่อน แล้วจากนั้นมึงก็ค่อยๆขยับเข้าไปทำความรู้จักกับคนอื่นเมื่อมึงพร้อม เวลาที่มึงจำเป็นต้องพึ่งพวกเขา มึงจะได้ไม่ลำบากเพราะอคติของมึงเอง รันกูเชื่อว่ามึงทำได้ เพราะคนไร้ข้อบกพร่องในโลกของมึง เขายังทลายกำแพงที่มึงสร้างเอาไว้ได้เลย แล้วไหนจะกูอีก ที่มึงยอมเปิดใจพูดคุยด้วย ตัวอย่างก็มีให้เห็นตั้งมากขนาดนี้ มึงต้องทำได้สิ” พี่เนย์ว่าพลางขยี้หัวผมและยิ้มในลักษณะที่อ่อนโยนกว่าทุกครั้ง จนผมเริ่มมีกำลังใจ และมีความคิดใหม่ๆ ที่จะคล้อยตามอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

‘ครับ ผมจะลองเปิดใจตามที่พี่แนะนำ’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป พร้อมยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน จนกระทั่งพี่เขาพยักหน้ารับรู้ ผมก็เอื้อมมือไปจับมือใหญ่ๆของอีกฝ่ายมาบีบไว้ เพื่อทำสัญญาที่เป็นรูปธรรม
“มึงเข้มแข็งกว่าไอ้บอสอีก รายนั้นนะกูพูดจนปากจะฉีก มันก็เอาแต่กลัวท่าเดียว คงเพราะมันเคยเรียนแต่โรงเรียนที่สอนกลุ่มคนพิเศษแบบมันด้วย มันก็เลยไม่ค่อยมั่นใจกับสังคมที่ไม่เคยเจอ แต่กูก็เข้าใจมันนะ เลยไม่ค่อยกล้าพูดอะไรมาก มีแต่ไอ้ทีมแหละที่กล้าพูด โชคดีที่ไอ้บอสมันเชื่อคำพูดของไอ้ทีมมากกว่ากูด้วยแหละ แต่กับมึงนี่ ถ้ามึงไม่เชื่อคำพูดของกูเหมือนมันนะ กูคงเครียดแย่เลยว่ะ เพราะกูอยากเป็นที่พึ่งอีกที่ของมึง” พี่เขาเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายกอบกุมมือของผมไว้และบีบเบาๆ
ความรู้สึกอุ่นใจจึงค่อยๆไหลบ่าเข้ามาจนแทบรับไว้ไม่ทัน

---------------------------------------
[แก้คำผิด 27/01/2018 ฟุตบาธ > ฟุตปาธ]
ตอนนี้เป็นตอนที่จริงจังมากอีกตอนนึงของเรื่องนี้เลย 555
มาค่ะ มาสู้ไปกับรันเนอะ เพราะน้องอยู่กับคำล้อเลียนปมด้อยของตัวเองมานาน มันก็เลยต้องค่อยๆเริ่มต้น
และตอนนี้ก็เฉลยคำพูดของพี่บอสแล้วว่าทำไมการชมผู้ชายของพี่เนย์มันถึงไม่แปลก คึคึคึ
ไม่รู้ว่าเราเขียนอืดเกินไปมั้ย แต่เราอยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป และอยากเขียนถึงมุมมองอื่นๆที่ไม่ใช่แค่ความรักแบบแฟนอย่างเดียว
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-10-2017 18:23:00
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-10-2017 21:15:38
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 31-10-2017 01:28:39
น้องรันสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 31-10-2017 01:48:00
ค่อยๆเปิดใจไปนะ สู้ๆนะรัน
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 31-10-2017 16:49:56
♥ Fall in you ♥
ตอน 13


ผมผ่านการสอบภาษามือเรียบร้อยแล้ว และมันก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาของการสอบมิดเทอม ซึ่งมันทำให้เวลาระหว่างผมกับพี่อาคเนย์ค่อยๆลดน้อยถอยลงไป เพราะเราต่างก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทุกวันนี้ได้เจอหน้ากันแค่ตอนมื้อเช้าที่โรงอาหารกลางเท่านั้น ส่วนเรื่องที่พี่เขาเคยพูดว่าจะนัดมาเจอเพื่อนอีกกลุ่มของตัวเอง ผมได้บอกปัดออกไปตั้งแต่ช่วงสอบภาษามือเสร็จใหม่ๆแล้ว เพราะว่าผมไม่ต้องการคิดเรื่องอื่นนอกจากการสอบ
ฤกษ์งามยามดีที่ผมกับพี่เขาตกลงกันไว้ ก็คือช่วงหลังสอบมิดเทอม เพราะเราต่างก็ไม่ได้กลับบ้านหรือมีกิจกรรมอะไรที่ไหนอีก เพราะทันทีที่สอบเสร็จ วันรุ่งขึ้นก็ยังต้องมาเรียนตามปกติ

“ไอ้เชี่ย กูประสาทจะแดก ไอ้สิ่งที่มึงติวให้กูเมื่อคืนไม่ได้ทะลุเข้าแกนสมองของกูเลย แม่ง เกือบได้ส่งสมุดเปล่าแล้ว” ไอ้หมอกมันบ่นโวยวายออกมา เมื่อเราทั้งกลุ่มออกมาจากห้องกันครบแล้ว และเริ่มเดินลงจากอาคารเรียนที่ขณะนี้แปรสภาพเป็นอาคารสำหรับการสอบมิดเทอม
เรื่องของเรื่องวันนี้สาขาของเรามีสอบวิชาคณิตศาสตร์ขั้นปรับพื้นฐานเป็นวิชาแรก ซึ่งเป็นวิชาโหดสำหรับไอ้หมอกผู้รั้งตำแหน่งท็อปประจำวิชาภาษามือไทย แถมอาจารย์ยังออกข้อสอบได้โหดสุดๆ เพราะให้โจทย์มาสิบข้อใหญ่ แต่นักศึกษาสามารถเลือกทำได้ห้าข้อ แต่ถ้าใครสามารถทำได้มากกว่านั้นก็ให้ทำมา เพราะอาจารย์จะได้เลือกข้อที่ได้คะแนนมากที่สุดมาคิดคำนวณ ฟังดูแล้วเหมือนอาจารย์จะใจดีใช่ไหมล่ะ แต่เปล่าเลย ให้มาสิบข้อก็โหดแม่งทุกข้อ สมุดเขียนหนึ่งเล่มที่แจกให้แทบไม่มีความหมาย เพราะหลายๆคนต่างก็พากันเขียนแค่โจทย์เพื่อแบ่งหน้าสมุดเอาไว้ ทำนองว่า เดี๋ยวกูจะทำข้อนี้ในหน้านี้แหละ
แต่สุดท้ายก็อาจไม่ได้แสดงความสามารถใดๆ นอกจากลอกโจทย์ทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า

“แดกข้าวกันดีกว่าว่ะ จะได้รีบกลับไปอ่านหนังสือต่อ” ไอ้คินมันออกความคิดเห็นเมื่อเดินมาจนถึงลานจอดรถจักรยาน
“เออ เอาดิ เครียดๆอย่างนี้ต้องแดกเท่านั้นถึงจะช่วยได้”

‘พวกมึงสั่งเนื้อผัดน้ำมันหอยใส่เห็ดฟางให้กูด้วย กูจะไปซื้อบลูเลม่อน’ ผมก้มหน้าพิมพ์ข้อความแล้วยื่นให้พวกมันสองคนอ่าน
“งั้นเอางี้ มึงขี่จักรยานกูไป ส่วนกูจะไปซ้อนท้ายไอ้คิน พอกินข้าวเสร็จแล้วเราค่อยเอาคันนั้นไปคืน”

เมื่อตกลงกันได้ ผมก็รีบปั่นจักรยานสีขาวที่มักจะใช้เป็นประจำอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผมเองก็หิวข้าวมากแล้ว แต่อยากกินบลูเลม่อนก่อน เพราะช่วงนี้ผมไม่ค่อยจะได้กินสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะหนักไปทางกาแฟ เพื่อให้ตัวเองสามารถอยู่อ่านหนังสือได้นานๆ
“รัน!” หลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จ ผมก็มานั่งหลบมุมอยู่ตรงโต๊ะข้างๆเคาน์เตอร์ แต่กลับมีคนรู้จักร้องเรียกความสนใจ จนผมต้องเงยหน้าขึ้น และมองไปรอบๆ แต่เพราะที่นั่งที่ผมเลือกมันอยู่ตรงมุมลับตาคน ผมเลยต้องเดินออกไปยืนตรงแถวๆหน้าเคาน์เตอร์ เลยเห็นพี่เนย์นั่งอยู่กับเพื่อนคนอื่นๆ กำลังติวหนังสือกันอย่างจริงจังทีเดียว ผมจึงเดินเข้าไปหาและยกมือไหว้รอบโต๊ะอย่างเลี่ยงไม่ได้

“สอบวันนี้ทำได้ไหม ?” พี่เขาเปิดปากถามเป็นอย่างแรก
‘น่าจะพอได้นะครับ’ ผมพิมพ์ตอบก่อนจะยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน

“แล้วนี่ยังไง มาสั่งบลูเลม่อนย้อมใจเหรอวะ?”
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้า

‘ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลยเนอะ คิดถึง’ พี่เนย์พิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ของผมที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังไม่ได้คืนให้ ทำเอาผมที่เพิ่งอ่านข้อความจบถึงกับหน้าแดง เพราะจู่ๆ พี่เขาก็มาบอกว่าคิดถึงกัน แถมยังบอกต่อหน้าเพื่อนๆคนอื่นที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือด้วย
‘มื้อเช้าที่โรงอาหารก็เจอนี่ครับ ทำไมยังคิดถึงอยู่อีก’ ผมย้อนถามไปอย่างนั้น เพื่อเอาตัวรอดจากอาการเก้อเขินที่แทรกซึมเข้ามา

‘เจอกันแค่วันละรอบ มันไม่หายคิดถึงหรอก’ พี่เขาส่งโทรศัพท์มือถือของผมคืน พร้อมกับข้อความในเชิงอ้อนนิดๆ ที่ปรากฏอยู่ในนั้น
“…” ผมยกยิ้มไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากชูเครื่องเรียกคิวในมือที่กำลังสั่นกระพริบจนเห็นไฟสีแดง พร้อมกับโบกมือลาอีกฝ่ายและแยกตัวกลับไปยังเคาน์เตอร์เพื่อรับเครื่องดื่มที่สั่งไว้ พร้อมกับรีบจ่ายเงินให้เรียบร้อย เพราะกลัวว่าใครอีกคนจะเข้ามาชิงตัดหน้าจ่ายให้ผมก่อน ซึ่งก็โชคดีที่ผมรู้ทัน ไม่อย่างนั้นพี่อาคเนย์ต้องออกเงินให้ผมอีกแน่ แค่ทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน พี่เขาก็มักจะออกให้อยู่บ่อยๆ จนบางทีผมต้องยื่นคำขาดให้หารกัน ถ้าไม่ยอมหาร ผมจะไม่มากินด้วย พี่เขาถึงยอม แต่ถ้าผมลืมดักคอไว้ อีกฝ่ายก็มักจะหาเรื่องเลี้ยงผมอยู่ร่ำไป

“รู้ทันตลอด แล้วนี่กลับยังไง?” พี่เขาถาม พลางเดินตามประกบจนออกมาจากตัวร้าน
“…” ผมชี้ไปทางจักรยาน พลางยื่นแก้วบลูเลม่อนให้อีกฝ่ายถือ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายและก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน

‘ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะครับ ขอให้มิดเทอมผ่านมีนเยอะๆ จะได้ A ตอนปลายภาคเยอะๆ’
“สมพรปากเถอะมึง” พี่เขาว่าพลางเอื้อมมือมาลูบหัวจนเส้นผมกระจุยกระจายไปหมด

“มึงเองก็ขอให้มิดเทอมผ่านมีนเยอะๆ จะได้ A ตอนปลายภาคเยอะๆ เหมือนกัน”
“…” ผมพยักหน้าพลางยิ้มกว้าง แสดงออกอย่างเต็มที่ว่าอยากได้ A มากแค่ไหน

‘ผมฝากลาเพื่อนๆพี่ด้วยนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมเห็นพวกพี่เขากำลังอ่านหนังสือกันอยู่ ก็เลยไม่กล้ารบกวน’
“อืมได้ ขี่ดีๆนะมึง ระวังรถใหญ่ด้วย” พี่เขาเดินมาส่งผมที่ลานจอดรถสำหรับจักรยานและมอเตอร์ไซค์ พลางกล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง ผมจึงตะเบ๊ะรับอย่างแข็งขัน ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะอย่างชอบใจ ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเงยหน้าขึ้นไปเห็นเพื่อนๆของพี่เขา ที่กำลังมองพวกเราผ่านทางกระจกใสของร้านเข้าพอดี

ท่าทางทะเล้นๆแบบเมื่อครู่ จึงค่อยๆหายไป เมื่อทุกคนกำลังหันมาให้ความสนใจจนผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง พี่เนย์เลยหันไปมองตามสายตาของผม ก็เลยเห็นเพื่อนๆของตัวเองกำลังมองมาทางนี้ อีกฝ่ายเลยโบกไม้โบกมือให้เพื่อนของตัวเองหันไปมองทางอื่น แต่กลับไม่ได้รับปฏิกิริยาอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะเพื่อนๆของพี่เนย์เริ่มล้อเลียนท่าทางของผมตอนที่ตะเบ๊ะรับคำสั่ง และตอนที่พี่เนย์กำลังขยี้หัวผมด้วยความมันเขี้ยว จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ทำท่าเหมือนกับจะอ้วกให้กับความหวานของพวกเราสองคนที่ไม่ได้ตั้งใจทำต่อกันแต่อย่างใด
ผมก็เลยหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ไปได้แล้ว พวกมันล้อใหญ่แล้วเนี่ย” พี่เนย์ออกปากไล่ จากนั้นก็ช่วยผมขยับรถจักรยานออกจากซองจอด พร้อมกับไสออกไปจากรั้วบริเวณของร้าน และยืนรอจนผมถีบจักรยานออกไปจนไกลจากรัศมีของร้าน พี่เขาถึงจะยอมเดินกลับเข้าไปข้างในร้านอีกครั้ง
ขณะที่ผมที่กำลังปั่นจักรยานอยู่นั้น มือนึงก็ยกแก้วบลูเลม่อนขึ้นจิบผ่านทางปลายหลอดใส ส่วนปากที่ว่างจากการคาบหลอดดูดน้ำก็ยกยิ้มขึ้นอย่างสดใส
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบลูเลม่อน หรือเพราะเมื่อครู่ผมถูกพี่ๆคนอื่นแซ็ว จนพี่อาคเนย์เป็นฝ่ายเขินเสียเองกันแน่

ติ้ง!

‘เพื่อนกูแม่งแบล็คเมล์ แอบถ่ายรูปเราไว้ แต่กูชอบ มึงตั้งเป็นหน้าล็อคสกรีนด้วยนะ’ หลังจากปั่นจักรยานจนมาถึงโรงอาหารเรียบร้อยแล้ว ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูข้อความ เพราะระหว่างทางผมได้ยินเสียงแจ้งเตือน พอเปิดไลน์ดูจึงเห็นว่าอีกฝ่ายแบ่งปันรูปภาพที่ผมกำลังตะเบ๊ะรับคำอย่างแข็งขันหนึ่งรูป กับอีกรูปหนึ่งคือภาพที่พี่อาคเนย์เอื้อมมือมาลูบหัวผม
ซึ่งทุกรูปที่ส่งมา มันก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแทบทั้งนั้น

ผมไม่ตอบอะไรกลับไป นอกจากปล่อยให้มันขึ้น ‘Read’ เอาไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ในการกระทำจริงๆ ผมก็ยอมเปลี่ยนรูปหน้าล็อคสกินของตัวเองตามที่อีกฝ่ายแนะนำ จากนั้นผมก็ไลน์ไปถามที่นั่งกับเพื่อนตัวเอง เพราะเมื่อเข้ามาในโรงอาหารแล้ว ผมกลับมองไม่เห็นพวกมันสองคน

Rrrrrr

“กูนั่งอยู่ใกล้ๆเวที ตรงทางเข้าโรงอาหารขวามือน่ะ” ทันทีที่ผมรับสาย ไอ้คินมันก็รัวสถานที่ที่มันสิงสถิตอย่างรวดเร็ว ผมจึงเดินมุ่งตรงไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องหยุดชะงักการก้าวเดินเมื่อพบว่าที่โต๊ะมีสาวๆที่เรียนอิ้งเซคเดียวกันนั่งรวมอยู่ด้วย
“พวกแอ้มจะติวอิ้งให้ มึงจะอยู่ติวมั้ย?” เมื่อผมทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ข้างๆไอ้หมอก ไอ้คินก็ถามความคิดเห็น

“ถ้าตกลง เดี๋ยวกินเสร็จเราจะได้ย้ายออกไปนั่งตรงนั้น พวกเราจองโต๊ะไว้แล้ว” แอ้มสาวจากคณะบัญชีหันมากล่าวกับผมด้วยน้ำเสียงสดใส พลางชี้ออกไปที่โต๊ะตัวข้างนอก ซึ่งเหมาะกับการติวหนังสือ เพราะเสียงไม่ดังมากเท่าข้างในนี้
“…” ผมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าตกลง เพราะคำพูดของพี่เนย์ที่เคยบอกให้ผมลองเปิดใจเรียนรู้สังคมใหม่ๆ ที่ไม่ได้มีแค่กลุ่มคนที่ผมคุ้นเคย

“พี่เต้ยกับพี่เบสนี่ มากินข้าวด้วยกันอีกแล้ว” ผมหันไปมองตามทิศทางที่สามสาวกำลังนั่งมอง แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเธอกำลังพูดถึงใคร เพราะผมก็ไม่ได้มีเพื่อนมากมายอะไร
“ซีรีส์กำลังดังก็ต้องสร้างกระแสกันหน่อยสิ” อิ๋มหญิงสาวอีกหนึ่งคนกล่าวขึ้น จึงทำให้ผมได้คำตอบแล้วว่าบุคคลที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึง คงจะเป็นดารานักแสดงจากสังกัดไหนสักช่อง เพราะผมเองก็ทราบมาว่ามหาลัยของเรามีดารานักแสดงวัยรุ่นเรียนกันเยอะพอสมควร 
ดังนั้นการจะพบเจอกับคนในอาชีพนี้ จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่

“แต่เราว่าพี่เขาดูเฟคๆเกินไปหน่อย เล่นดีก็จริงแหละ แต่เฟคในชีวิตจริงเราก็ไม่ค่อยจะอินว่ะ ดูดิทำเหมือนคบกันนอกจอเลยน่ะ” นิ้งสาวสวยที่มีดีกรีเป็นถึงดาวคณะบัญชีแสดงความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง ซึ่งพวกเราสามหนุ่มก็ได้แต่นั่งเงียบกันไป เพราะไม่สามารถเข้าร่วมวงสนทนานี้ได้
“คนอื่นอาจจะฟิน แต่เราไม่ฟินว่ะ เพราะเราได้ข่าวว่าพี่เต้ยจริงๆชอบผู้หญิงนะ มีแฟนแล้วด้วยอยู่บัญชีนี่แหละ แต่ไม่รู้ว่าใคร พี่เขาไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวเท่าไหร่ ส่วนพี่เบสตอนยังไม่เข้าวงการ ก็สร้างกระแสจนแฟนตัวเองทนไม่ไหวถึงกับขอเลิก เพราะชอบเอาเรื่องของตัวเองไปทำให้คนสนใจ พอมีคนสนใจมากๆก็ต้องเซอร์วิสจนแทบไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวเลย เพราะมีแต่เรื่องของส่วนรวม แต่พูดก็พูดเถอะ เพราะทำแบบนั้นไง ถึงได้มีแมวมองมาชวนเข้าวงการนี่แหละ สำหรับเรานะ เซย์โนเรื่องส่วนตัวว่ะ แต่เรื่องผลงานต้องยอมรับว่าเล่นดีมาก เล่นดีจนเกือบจะอินจนมาเชียร์ให้ชอบกันนอกจออยู่แล้ว แต่พอรู้ความจริงก็เชียร์ไม่ลงว่ะ มันไม่สุด” พอสาวๆพูดมาถึงตรงนี้ ผมก็ทราบได้ทันทีว่าซีรีส์เรื่องที่ว่าเป็นแนวเฉพาะกลุ่มที่คงจะดังไม่น้อย เพราะจากตอนแรกที่ผมไม่รู้ว่าบุคคลที่สาวๆต่างคณะกำลังพูดถึงเป็นใคร มาตอนนี้ผมทราบแล้ว เนื่องจากหลายๆคนต่างก็ยกมือถือออกมาถ่ายรูปกันใหญ่ และบางคนก็ถึงกับเข้าไปขอถ่ายรูปก็มี

‘กูไปซื้อน้ำก่อนนะ’ หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็พิมพ์ข้อความบอกเพื่อนตัวเอง พร้อมกับชี้ไปที่ขวดน้ำเปล่าเพื่อบอกเพื่อนใหม่และลุกออกจากโต๊ะมายังร้านขายน้ำ
“สองขวดครับ” ไม่รู้ว่าพี่เนย์มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมยังรีบสั่งน้ำพร้อมกับชี้นิ้วให้คิดเงินรวมกับของผม ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้จ่ายเงินค่าน้ำให้ผมอีก

‘คนละครึ่งนะ’ ผมแบมือขอโทรศัพท์จากอีกฝ่ายมาพิมพ์ข้อความแชทเพื่อโต้เถียง
“คนละครึ่งได้ไงล่ะ”

‘ถ้าอย่างนั้นผมเลี้ยงเอง’ ผมส่งโทรศัพท์คืนพร้อมกับข้อความที่ต้องการเอาชนะ จากนั้นก็หยิบเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเอื้อมไปคว้ามือของอีกฝ่ายให้แบออก เพื่อรับค่าเสียหายที่ในวันนี้ผมเป็นคนจ่ายทั้งหมด
“ก็ได้ๆ ดุจริง เดี๋ยวเดินไปส่ง” พี่เขาถอนหายใจอย่างยอมแพ้ จากนั้นก็นำเศษเหรียญที่ผมจ่ายคืน ใส่ลงในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะรุนหลังผมให้เดินนำไปที่โต๊ะ

‘ไปส่งทำไมครับ แค่นี้เอง ผมเดินไปได้น่า’ ผมหันไปคว้าโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายถือเอาไว้ ก่อนจะรีบพิมพ์ส่งให้พี่เขาอ่าน
“อยากไปส่ง มีอะไรมั้ย?” พี่เขาย้อน พลางรุนหลังผมให้เดินมั่วๆอีกหน จนผมต้องตีมืออีกฝ่าย และเริ่มนำทางไปยังโต๊ะที่เพื่อนผมกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่

แต่พอเดินมาถึง และได้เห็นจำนวนคนที่นั่งอยู่ พี่เนย์ก็หันมาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ที่ผมทำตามที่อีกฝ่ายพูดได้รวดเร็วทันใจ เพราะสาวๆคณะบัญชีเขาห้อยป้ายชื่อสำหรับเข้ากิจกรรมรับน้องตามระเบียบของคณะตัวเอง พี่เนย์ก็เลยทราบว่าสาวๆกลุ่มนี้คือเพื่อนกลุ่มใหม่ที่ผมเริ่มเปิดใจตามคำแนะนำของเจ้าตัว

“ฝากติวเข้มเลยนะ” พี่เขากดตัวผมให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ จากนั้นก็ฝากฝังผมอย่างกระตือรือร้นกับสาวๆกลุ่มนี้ ทั้งยังหันไปพยักหน้าให้กับพวกไอ้คินไอ้หมอกอย่างอารมณ์ดีอีก
“กูไปกินข้าวก่อน ไว้เจอกันมะรืนนี้ เพราะพรุ่งนี้กูไม่มีสอบ” ร่างสูงของรุ่นพี่ที่ยืนค้ำหัวพูดให้ได้ยินกันเพียงเบาๆ จากนั้นก็จากไปพร้อมกับสัมผัสอุ่นๆที่ขยี้เรือนผมอย่างที่เจ้าตัวมักจะชอบทำเป็นประจำ จนผมต้องหันกลับไปมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ค่อยๆเดินกลับไปนั่งยังโต๊ะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากร้านขายน้ำที่ผมไปซื้อ
ก็เท่ากับว่า เหตุการณ์เมื่อครู่ได้อยู่ในสายตาของเพื่อนๆพี่เนย์อีกแล้วน่ะสิ!

“ถ้ากินกันอิ่มแล้ว ย้ายไปโต๊ะนั้นได้เลยนะ” สาวๆจากคณะบัญชีลุกเอาจานไปเก็บ พร้อมกับชี้ไปที่โต๊ะเดิมที่พวกเธอวางหนังสือจองที่เอาไว้ ผมจึงเปิดฝาขวดน้ำและเทลงในอดีตแก้วบลูเลม่อนที่ยังคงมีน้ำแข็งหลงเหลืออยู่บ้าง จากนั้นก็รีบดื่มแก้กระหาย พร้อมกับลุกขึ้นจากโต๊ะและสะพายกระเป๋าไว้ข้างตัว ก่อนจะถือจานข้างหนึ่ง ถือแก้วอีกข้างหนึ่ง ส่วนขวดน้ำผมก็ใช้ให้ไอ้หมอกมันถือ เพราะสัมภาระของมันไม่รุงรังมากนัก และเมื่อเดินไปยังโต๊ะดังกล่าว พวกเราก็เริ่มติวกันอย่างรวดเร็ว ใครมีทริกอะไรดีๆ ก็เอามาแลกเปลี่ยนกันจนหมดไส้หมดพุง เพราะวิชานี้เราจะสอบกันในวันพรุ่งนี้ แต่ด้วยความที่ผมอ่านล่วงหน้ามาบ้างแล้ว ก็เลยพอที่จะแลกเปลี่ยนกับเพื่อนคนอื่นได้บ้าง

Rrrrrr

“มึงยังอยู่โรงอาหารหรือเปล่า? กูกำลังจะกลับแล้ว” ไม่รู้พี่เนย์นึกยังไงถึงได้โทรมาหาผม ทั้งๆที่ก็รู้นะว่าผมไม่สะดวกที่ใช้ฟังก์ชั่นนี้สักเท่าไหร่
“ถ้ายังอยู่ กดเลขอะไรก็ได้มาหนึ่งครั้ง แต่ถ้ากลับหอแล้วให้กดสองครั้ง” ผมกดเลขหนึ่งไปตามคำแนะนำของอีกฝ่าย

“กูกลับแล้วนะ อย่ากลับดึกนักล่ะ พรุ่งนี้สอบเช้าด้วยนี่”
“อ..อะ” ผมตัดสินใจส่งเสียงเพื่อที่จะตอบรับให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ฝันดีนะรัน” พี่เขาวางสายไปแล้ว ผมเลยทักแชทไปบอกอีกฝ่ายว่า ถ้าถึงแล้วให้ไลน์มาบอกด้วย ก่อนจะตบท้ายด้วยคำว่า ‘ฝันดี’ เหมือนกับใครบางคน ที่ตอนนี้คงจะกำลังขับรถเลยไม่มีเวลามาอ่านข้อความจากผม

ติ้ง!

‘กูถึงแล้วนะ กำลังจะอ่านหนังสือต่อ’ ประมาณยี่สิบนาทีหลังจากนั้น พี่เนย์ก็ส่งข้อความมารายงานตัว ผมจึงยกยิ้มและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า เพราะผมเองก็จะเลิกติวแล้วเช่นกัน

“พรุ่งนี้ขอให้โชคดีเหมือนกันนะ บาย” สาวๆคณะบัญชีอวยพรพวกผม ก่อนจะแยกตัวไปเป็นกลุ่มแรก ส่วนพวกผมกะจะแวะเซเว่นเพื่อซื้อขนมหรือไม่ก็พวกลูกอม หมากฝรั่ง และกาแฟ ขึ้นไปเป็นเสบียงสำหรับยับยั้งความง่วงนอน เพื่อที่เราจะได้อ่านหนังสือได้นานขึ้นอีกหน่อย เพราะเรายังมีอีกหลายวิชาให้ต้องฝ่าฟัน
 “พอพวกแอ้มมาติวให้ กูว่ากูฉลาดขึ้นเยอะเลย” ไอ้หมอกกล่าวพลางตีหัวตัวเองราวกับจะเคาะให้ดูว่าในนี้ไม่มีขี้เลื่อยแล้วนะ

“ไอ้สัส ตั้งใจเพราะสาว กูนี่อยากจะโบกมึงสักที” ไอ้คินบ่นอุบ จนผมต้องหัวเราะ เพราะก็จริงของมัน ก็ไอ้หมอกน่ะ เวลาที่พวกผมติวให้ มันไม่ค่อยจะตั้งใจฟังแบบนี้หรอก เพราะเดี๋ยวมันก็บ่นง่วง บ่นนู่น บ่นนี่ไม่หยุด
นี่ถ้าเกิดมันไม่ได้หัวดีอยู่แล้วนะ ผมว่าพวกเราคงหนักใจที่จะเคี่ยวเข็ญมันน่าดู
แต่ก็นะ ถึงแม้จะยากเย็นสักแค่ไหน ผมก็ปล่อยมันไปตามยถากรรมไม่ได้หรอก


-------------------------------------------------------------
[แก้คำผิด 27/01/2018 หมั่นเขี้ยว > มันเขี้ยว]
สำหรับตอนนี้อาจจะยังไม่มีรายละเอียดอะไรมาก แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการเปิดใจเนอะ
แล้วก็ถือว่าเปิดใจได้เยอะด้วย เพราะตอนแรกๆเวลาเรียนอิ้ง รันจะรีบกินข้าวแล้วจะได้รีบไปจองที่นั่งที่ไม่ต้องนั่งกับติดใคร
ปล. นี่พี่เนย์เป็นพระเอกหรือตัวประกอบ 555555
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-10-2017 17:17:24
คงไม่ใช่ว่าพี่เบสเป็นแฟนเก่าพี่อาคเนย์นะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-10-2017 17:26:42
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 31-10-2017 17:33:41
น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-10-2017 20:18:20
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 31-10-2017 22:40:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-11-2017 00:55:37
จะรออ่านนะคะ สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-11-2017 13:09:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 14 ♥ หน้า 3 (up 01/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 01-11-2017 13:10:53
♥ Fall in you ♥
ตอน 14


การสอบในครั้งนี้ ถึงผมจะไม่ได้รับมรดกตกทอดมาจากพี่รหัสเหมือนพวกไอ้คิน ไอ้หมอก หรือเพื่อนคนอื่นๆ แต่ผมก็ยังได้ชีทสรุปสมัยปีหนึ่งของพี่บอสกับพี่ทีมที่เป็นเพื่อนสนิทของพี่เนย์ ผมก็เลยได้ข้อมูลในส่วนนั้นมาอ่านเสริม และแบ่งเพื่อนอีกสองคนไปถ่ายเอกสาร เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทำคะแนนในวิชาที่ยังเหลืออยู่
แต่ไปๆมาๆ โพยเหล่านั้นก็ถูกส่งต่อไปถึงเพื่อนคนอื่นๆในสาขาด้วย

‘ก็พอทำได้บ้างครับแม่’ ผมไลน์บอกแม่ที่มักจะถามไถ่อยู่เสมอว่าผมกินอยู่สบายดีมั้ย การเรียนหนักไปหรือเปล่า เข้ากับเพื่อนได้มั้ย พอถึงช่วงสอบแม่ก็มักจะเตือนให้ผมอ่านหนังสือ และทบทวนให้เยอะๆ เพราะการเรียนในระดับมหาลัยมันไม่เหมือนกับการเรียนในระดับมัธยม ซึ่งผมก็ได้บอกให้ท่านได้สบายใจไปแล้ว ว่าตอนนี้ผมแทบจะกินนอนอยู่กับหนังสือจนแทบจะรวมร่างให้ได้อยู่แล้ว
‘วันศุกร์นี้แม่กำลังจะเข้ากรุงเทพพอดี ถ้าเสร็จงานแล้วแม่จะเลยไปหาที่มหาลัยนะ’

‘นัดเจอกันที่ไหนดีครับ หน้าหอผม หรือว่าคาเฟ่ในมหาลัย แต่จริงๆก็มีร้านนึงที่บรรยากาศดีมากเลยครับ สามารถนั่งห้อยขาริมน้ำได้ด้วย แต่อยู่ไกลจากมหาลัยพอควรเลยครับ’ ผมกระตือร้นที่จะเสนอสถานที่เพื่อนัดเจอกับแม่อย่างตื่นเต้น เพราะผมไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว
‘รันเลือกเลย เอาร้านที่รันอยากไปนั่นแหละ แล้วเจอกันนะ ถ้าพ่อว่างแม่จะให้พ่อตามมาตอนช่วงบ่ายแล้วกันเนอะ’

‘ครับ’

แม่ของผมท่านเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลของทางโรงแรมในจังหวัดชลบุรีที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต่างชาตินิยมมาเที่ยวอย่าง ‘เมืองพัทยา’ ส่วนพ่อท่านมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายบริการส่วนหน้าของโรงแรมเดียวกัน และด้วยลักษณะงานของพ่อที่ไม่ค่อยจะเป็นเวลา เพราะต้องเข้ากะสลับกันไปทุกๆเดือน เช่นเดือนนี้เข้างานเช้า เดือนหน้าเข้างานบ่าย อะไรทำนองนี้ ผมจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสพูดคุยอะไรกับพ่อมากนัก มีแต่ส่งสติ๊กเกอร์ดีเลย์กันไปมาอยู่บ่อยๆ ส่วนคุณแม่ท่านทำงานเหมือนระบบออฟฟิศ ก็เลยมีเวลามาพูดคุยกับผมแบบไม่ขาดตอน

“พวกมึงได้สรุปวิชาอาจารย์ฤดีของพี่รหัสไอ้ต้อมมันหรือยัง กูได้ข่าวมาว่าแกท็อปเซค” ไอ้โชคมาเคาะห้องพวกผม พลางชูเอกสารในมือให้พวกเราดู
“ยังว่ะ กูยืมไปถ่ายหน่อยดิ” ไอ้คินตอบ

“ไอ้ต้อมมันเอาทิ้งไว้ที่ร้านถ่ายเอกสารตรงโรงอาหารกลางแล้ว มึงไปสั่งได้เลย กูจะรีบไปอ่านต่อแล้วว่ะ เดี๋ยวไม่ทัน”
“เออๆ ขอบใจมึงว่ะโชค” ไอ้คินพยักหน้าพลางยกยิ้มให้เพื่อนร่วมสาขา ผมกับไอ้หมอกเลยผงกหัวทักทายมันกลับไปในเชิงขอบคุณบ้าง

“ไปโรงอาหารกันพวกมึง กูว่าจะไปลองส่องดูวิชาอื่นด้วย” ผมพยักหน้าพลางลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ และกุญแจห้อง เพราะไอ้เพื่อนสองคนนี้มันไม่ค่อยยอมพก
กะจะเอาสบายอย่างเดียวเลย

ช่วงสอบชีทอะไรต่อมิอะไร มักจะถูกเอามาวางไว้ที่ร้านถ่ายเอกสารเยอะแยะเต็มไปหมด แรกๆ พวกเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีขุมสมบัติแบบนี้ด้วย แต่เพราะพี่เฟรมกับพี่อาร์ต พี่รหัสของไอ้สองเพื่อนซี้แนะนำให้พวกเราไปดูที่ร้านถ่ายเอกสารเมื่อวันก่อน ซึ่งมันก็เกือบจะไม่ทันการณ์ เพราะพวกเราได้สอบไปบางวิชาแล้ว ดังนั้นวิชาที่ยังไม่ได้สอบ เราจึงต้องพึ่งสรุปอื่นๆด้วย เพราะส่วนใหญ่สรุปพวกนั้นจะเป็นของพวกเด็กท็อปปีก่อนๆเขาทำไว้

“สรุป Man and Culture มีอยู่ที่ร้านถ่ายเอกสารคณะเรานะ เมื่อกี้พวกกูก็เพิ่งจะไปถ่ายมา” พอมาถึงร้านถ่ายเอกสาร ก็เจอกับพวกไอ้เก่ง มันเลยบอกให้เราไปที่ร้านถ่ายเอกสารอีกที่นึง เพื่อไปเอาสรุปวิชาด้านสังคมศาสตร์ที่เป็นวิชาเรียนรวมมาอ่าน
“งั้นเอางี้ พวกมึงสองคนไปเอาสรุปที่คณะเรา ส่วนกูจะรอที่ร้านนี้แล้วก็ส่งข่าวพวกไอ้โชคมันด้วย เผื่อมันไม่รู้ เสร็จแล้วก็เจอกันที่ห้องเลย” ไอ้คินสรุปอย่างรวดเร็ว เพราะเราจะเสียเวลาไม่ได้

“เออๆ แต่คงช้าหน่อยว่ะ กูไม่ได้เอาบัตรนักศึกษามาด้วย คงต้องเดินเอา” ไอ้หมอกหันไปรับปากไอ้คิน ก่อนจะหันมาพูดให้ผมเตรียมใจเดินไปที่ตึกคณะ ซึ่งผมไม่ได้หนักใจอะไร แต่เพราะตอนนี้มันเป็นเวลาเร่งด่วน ผมเลยต้องก้มหน้าก้มตาเดิน พร้อมกับค้นกระเป๋าสตางค์เพื่อหาบัตรนักศึกษาของตัวเอง เพราะผมมักจะเก็บไว้ในช่องใส่บัตรของกระเป๋าสตางค์เสมอ

“อะไร? อ้าวมึงเอามาด้วยเหรอ ก็ดีจะได้ไม่เสียเวลา” ไอ้หมอกมันว่า พร้อมกับเอาบัตรของผมไปทำเรื่องยืมจักรยาน ก่อนจะปั่นไปยังตึกคณะที่ตอนนี้ผู้คนคงจะกำลังพลุกพล่านเพราะหมดเวลาในการสอบเข้าพอดี
“Man and Culture สามชุดครับ” ไอ้หมอกเป็นคนสั่ง จากนั้นมันก็ชวนผมไปนั่งรอที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตึกคณะใต้ร่มไม้ใหญ่

‘กูไปซื้อน้ำนะ มึงจะเอาอะไรมั้ย?’
“แดงมะนาวโซดาก็ได้มึง”

พอไปถึงร้านผมก็สั่งแดงมะนาวโซดาให้ไอ้หมอกก่อน ส่วนช็อคโก้บานาน่าปั่นผมสั่งให้ตัวเอง เพราะที่ร้านไม่มีบลูเลม่อน และระหว่างรอเมนูที่สั่ง ผมก็นั่งรออยู่ตรงเคาน์เตอร์หน้าร้านนั่นแหละ เพราะร้านนี้ไม่ได้เป็นร้านที่หรูหราอะไรนัก แถมราคาก็ไม่แพงด้วย ที่นั่งก็มีแค่ไม่กี่โต๊ะ นักศึกษาจึงไม่ได้นิยมมานั่งแช่เพื่อติวหนังสือกันเหมือนร้านอื่นๆ

“ไง” พี่เนย์ทักด้วยการวางมือไว้บนลาดไหล่ของผมไม่เบานัก จากนั้นถึงค่อยส่งเสียงเพื่อบอกให้ผมรู้ว่าใครเป็นคนแกล้งกันแบบนี้
‘สอบเสร็จแล้วเหรอครับ’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ และยื่นส่งไปให้อีกฝ่ายอ่าน จากนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นพี่คนอื่นๆ กำลังยืนออกันอยู่ตรงหน้าร้านถ่ายเอกสารที่อยู่ข้างๆร้านกาแฟ ผมจึงยกมือไหว้รุ่นพี่ต่างสาขาทั้งสามคนนั้นโดยอัตโนมัติ

“เสร็จแล้ว กูใช้เวลาอย่างคุ้มค่าจนหยดสุดท้ายเลยเว้ย”
‘แสดงว่าพี่ก็ทำข้อสอบได้น่ะสิ’
“แน่นอนกูกะเอา A พี่ครับเอาน้ำแตงโมปั่นแก้วนึง” พี่เนย์หันมาตอบพลางยักคิ้วให้ผม ก่อนจะหันไปสั่งเมนูของตัวเองกับเจ้าของร้านบ้าง
‘ราคาคุยหรือเปล่าครับนั่น’ ผมแกล้งหยอกเจ้าของเมนูน้ำแตงโมปั่นด้วยความหมั่นไส้

“คนอย่างอาคเนย์ไม่เคยมีคำว่าราคาคุยหรอกครับคุณเนรัน” พี่เนย์ดีดหน้าผากผมดังป๊อก จนผมต้องลูบหน้าผากตัวเองด้วยความเจ็บ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ออมแรงเลย
“ผลสอบปลายภาคออกเมื่อไหร่ มึงเลี้ยงเลยนะ”   

‘เพิ่งจะสอบมิดเทอมเองครับ พี่ให้เวลาผมเตรียมตัวล้างท้องนานเกินไปนะ’
“มึงจะล้างท้องทำไม กูนี่สิที่ต้องล้างท้องรอ”

‘ก็ถ้าพี่ไม่ได้ A ตามที่พูด พี่ก็ต้องเลี้ยงผมสิ’
“สำหรับมึง ถึงกูจะได้ A กูก็ยอมเลี้ยงมึงอยู่ดีมั้ย”

‘ไม่เอางั้นดิ ระหว่างทำข้อตกลง พี่ห้ามเลี้ยงผมทุกกรณี แถมจ่ายคนละครึ่งก็ไม่ได้’ ผมถือโอกาสยื่นคำขาด เพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่า เครื่องดื่มมื้อนี้เดี๋ยวเผลอๆ พี่เขาต้องเนียนเลี้ยงผมกับไอ้หมอกแน่
“หัวหมอ อะไรจะไม่อยากให้เลี้ยงขนาดนั้น ไม่เคยเจอเลยคนที่ไม่ชอบให้เทคแคร์เนี่ย” พี่เนย์บ่นอุบ

‘พี่เทคแคร์ผมก็ชอบครับ แต่ที่ไม่อยากให้เลี้ยงเพราะเราเองก็ยังต้องขอเงินพ่อแม่เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นค่ากินถ้าหากเราไปกินด้วยกัน ผมอยากให้เราหารกัน’
“เหตุผลมึงดี มีน้ำหนัก เอาเป็นว่ากูจะเลี้ยงมึงตามแต่โอกาสที่เหมาะสม ส่วนมื้ออื่นก็หารกัน”

‘แต่ต้องเป็นโอกาสพิเศษจริงๆนะครับ’
“รู้แล้วน่า” พี่เขาย่นจมูกพลางยีหัวผม จากนั้นไม่นานเมนูที่ผมสั่งก็ได้ครบ ผมเลยร่ำลากับพี่เนย์ตั้งแต่หน้าร้านกาแฟ เพราะพี่เนย์เองก็มีติวหนังสือกับเพื่อนต่อ แต่ที่สามารถเนียนมาสั่งน้ำเพื่อเถลไถลมาคุยกับผมได้ ก็เพราะว่าพี่เนย์กำลังรอให้เพื่อนเอาสรุปของตัวเองไปถ่ายเอกสาร

ผมกับไอ้หมอกนั่งรอชีทสรุปที่โต๊ะม้าหินอ่อนอีกประมาณสิบนาที ก็พากันลุกเข้าไปถามหาชีทของตัวเอง เพราะเมื่อครู่กลุ่มที่มาพร้อมกับผม ได้รับชีทไปเรียบร้อยแล้ว

“ถึงคิวยัง?” พี่เนย์ทัก เมื่อผมมายืนรอชีทสรุปอยู่ใกล้ๆกับกลุ่มของพี่เขาที่ก็ยังคงยืนรอชีทสรุปของตัวเองเหมือนกัน
“ได้พอดีเลยพี่” ไอ้หมอกมันหันมาตอบแทน พลางยกกระดาษปึกหนึ่งให้รุ่นพี่ต่างสาขาดู

“อ้อ กูขอให้โชคดีกับการสอบเว้ยมึง”

“ขอบคุณครับ ผมก็หวังว่ามันสมองอันปราดเปรื่องของพี่ทีมเพื่อนพี่ จะออสโมซิสเข้าหัวผมบ้างนะ” ไอ้หมอกมันพูดแกมทะเล้น จนผมถึงกับกุมขมับ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ กูคงต้มหนังสือกินไปนานแล้ว.. ไอ้หมอก เพื่อนมึงเครียดใหญ่แล้วนั่น” พี่เนย์ว่าพลางยิ้มขำกับคำพูดของไอ้หมอก ก่อนจะหันมาเห็นผม ที่ทำหน้าหนักใจกับอากัปกิริยาของเพื่อนตัวเอง ที่ดูไม่ค่อยจะสมประกอบสักเท่าไหร่
คาดว่าคงจะอ่านหนังสือมากเกินไป จนอาการเริ่มน่าเป็นห่วง

“ไอ้เชี่ยรันมันไม่ได้เครียดหรอกพี่ แต่แม่งกำลังกระแนะกระแหนผมอยู่ ไม่รู้ว่าแอบด่าในใจไปกี่ตลบแล้ว ยังไงผมก็ฝากพี่ช่วยอบรมมันหน่อยนะ”

ป๊าป!

ผมฟาดแขนเพื่อนคู่ปรับของตัวเองเต็มแรง ไม่มีการออมมือใดๆทั้งสิ้น โทษฐานของมันมีเพียงอย่างเดียวคือการลงไม้ลงมือ เพราะมันชอบกวนประสาทผม จะมีก็แค่ช่วงสอบ กับช่วงที่มันให้คำแนะนำเรื่องพี่เนย์เท่านั้น ที่มันไม่กวนประสาทจนน่าปวดหัว

“ไอ้รันมึงตีกูทำไม กูยังฝากฝังมึงไม่เสร็จเลย.. ดูสิพี่ คนของพี่มันร้ายแค่ไหน”
“ร้ายตรงไหนวะ มันออกจะน่ารัก”

“โห่ววววววว กระโถนหน่อยเร็ว กูจะอ้วก” สิ้นคำพูดของรุ่นพี่ต่างสาขาที่มีดีกรีเป็นถึงคนรักของผม เพื่อนๆของเจ้าตัวก็พากันโห่แซ็วจนคนที่อยู่รอบๆเริ่มให้ความสนใจ
แต่โชคดีที่ประโยคเด็ดเมื่อครู่ พี่เนย์พูดแบบไม่มีเสียง ไม่อย่างนั้นผมคงต้องอายยิ่งกว่านี้
เนี่ยเหรอ คนที่เคยบอกว่าจีบใครไม่เป็น แลไม่น่าเชื่อถือสักนิดเลย!

ตึง ตึง!
ตึง ตึง ตึง ตึง!

เมื่อเดินมาจนถึงหอพัก ไอ้หมอกมันก็รีบวิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนการก้าวขาเพียงหนึ่งขั้นของบันไดจะยังไม่ทันใจ ไอ้หมอกมันเลยก้าวทีเดียวสองขั้น จนรองเท้าแตะหูหนีบของมันดังสะท้านลั่นพื้นจนเสียงก้องไปหมด
ไม่รู้ว่ามันจะรีบอะไรของมันนักหนา

ปัง ปัง!

พอมาถึงหน้าห้อง ด้วยความที่มันไม่ค่อยชอบพกกุญแจห้อง มันจึงทุบประตูอยู่นาน จนไอ้คินมันต้องรีบเปิดประตูออกมาด่า เพราะเสียงทุบประตูรัวๆแบบนั้น มันรบกวนเพื่อนห้องข้างๆ

“รีบเหี้ยไรของมึงเนี่ย ไอ้รันมันก็เอากุญแจไปไม่ใช่รึไง” ตอนผมเดินเข้ามาในห้อง ก็พอดีกับช่วงที่ไอ้คินกำลังยืนกอดอกเพื่ออบรมไอ้เพื่อนรักอีกคนให้อยู่ในโอวาส
“ก็ไอ้รันมันชักช้านี่หว่า” ไอ้หมอกมันกระพือเสื้อยืดสีขาวของตัวเองยกใหญ่ เพราะความเหนื่อยจากการวิ่งขึ้นบันได

“ท่าทางจะอ่านหนังสือจนเพี้ยนนะมึงเนี่ย” ไอ้คินบ่นพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้กับประตูห้อง แต่ปรากฏว่าไอ้หมอกมันรั้งเอาไว้จนสุดแรง
“อะไรมึง กูปวดขี้”

“ไอ้สัส มาปวดขี้อะไรตอนนี้”
“อ้าวเชี่ย แล้วมึงจะมาปวดอะไรพร้อมกูวะ”

 “กูไม่ได้ปวดเว้ย แต่กูคันปากยิบๆอยากจะเล่า คือเมื่อกี้กูเจอไอ้พี่เนย์ที่ร้านถ่ายเอกสาร กูเลยใส่ไฟไอ้รันมันสักหน่อย ประมาณว่าไอ้เตี้ยนี่เห็นใสๆ แบบนี้ แต่จริงๆมันร้าย! แล้วมึงรู้มั้ยว่าพี่มันตอบว่าไง ไอ้สัสเอ้ย โคตรจั๊กจี้
“พี่มันตอบว่าอะไร มึงเล่ามาเร็วๆ อย่าลีลา กูขอเนื้อๆ ไม่เอาน้ำนะ กูจะไม่ไหวแล้วโว้ย”

“ไอ้พี่เนย์มันบอกว่า ‘ร้ายตรงไหนวะ มันออกจะน่ารัก’ ไอ้เชี่ยยยย กูนี่มือหงิกเลย” ไอ้หมอกมันยกมือหงิกๆของมันขึ้นมาประกอบคำพูด ซ้ำยังใช้น้ำเสียงกระซิบกระซาบและเลียนแบบท่าทางของพี่เนย์ตอนที่พูดประโยคนั้นออกมาอีก จนผมนึกอยากจะทำเรื่องขอย้ายไอ้หมอกให้ไปเรียนคณะนิเทศซะเลยแม่ง
เพราะท่าทางมันน่าจะเล่นละครเก่งไม่หยอก

“ไอ้สัส เรื่องแค่นี้ มึงรอกูขี้เสร็จ แล้วค่อยเล่าก็ยังได้” ไอ้คินมันด่าอย่างไม่ไว้หน้า พลางรีบเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปทำธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ผมเลยหัวเราะเยาะไอ้หมอกที่ออกอาการโอเว่อร์จนผมอดคิดไม่ได้ว่า
ตกลงแล้ว พี่เนย์ชมผมหรือชมมันกันแน่วะ



 -----------------------------------------------------

วันนี้มาลงเร็วหน่อย ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนิยายของเรามากๆเลยค่ะ
สำหรับตอนนี้ก็หวานกันเบาๆ ไปก่อนเนอะ ส่วนพระเอกของเราก็ยังคงเป็นตัวประกอบต่อไปปปป
และตั้งแต่ตอนหน้าพี่เนย์จะเริ่มแสดงออร่าพระเอกแล้วค่ะ 555
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 14 ♥ หน้า 3 (up 01/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-11-2017 13:48:42
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 14 ♥ หน้า 3 (up 01/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 01-11-2017 18:02:15
น้องรันน่ารัก น้องรันน่ารัก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 14 ♥ หน้า 3 (up 01/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-11-2017 19:56:01
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 14 ♥ หน้า 3 (up 01/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-11-2017 22:21:37
หมอกนี่ขี้เว่อร์จริงๆ 555555
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 15 ♥ หน้า 3 (up 02/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 02-11-2017 12:57:01
♥ Fall in you ♥
ตอน 15


เมื่อฤดูของการสอบมิดเทอมผ่านพ้นไป วันที่ผมรอคอยก็เดินทางมาถึง คุณแม่บอกว่าวันนี้ท่าทางจะเดินเรื่องวีซ่าได้ช้า เพราะคิวเยอะมาก พลางบ่นอุบว่าถ้าไม่ใช่กรณีเร่งด่วนคงจะยื่นเรื่องสบายไปแล้ว ส่วนคุณพ่อก็กำลังขับรถตามมาในช่วงบ่าย แต่เห็นแม่บอกว่าพ่อจะแวะไปรับแม่ก่อน เพราะวันนี้แม่มาพร้อมกับชาวต่างชาติที่เป็นเพื่อนร่วมงานในโรงแรมเดียวกัน แถมยังเอารถของโรงแรมมาด้วย ก็เลยไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรก เพราะเพื่อนร่วมงานของแม่เขายกเลิกอบรมที่กรุงเทพพอดี ทาง GM เลยอนุมัติให้นั่งรถไปพร้อมกันเลย

“ทำไมมานั่งอยู่นี่คนเดียวล่ะ?” พี่เนย์เดินเข้ามาทัก เมื่อเห็นผมนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตึกคณะ
‘รอพ่อกับแม่ครับ พอดีท่านจะขึ้นมาหา เลยนัดเจอกันที่นี่จะได้หาเจอง่ายๆหน่อย แล้วพี่ล่ะครับ ทำไมวันนี้เลิกช้า’ ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้คนตรงหน้าอ่านข้อความ เพราะเจ้าตัวไม่มีทีท่าจะขยับเขยื้อนทำอะไรทั้งสิ้น นอกจากกระพริบตาระหว่างที่กำลังนั่งมองผมอยู่

“รอส่งงานกลุ่มน่ะ”
‘ผมจะพาพ่อกับแม่ไปร้านที่เราเคยไปด้วยกันเมื่อคราวก่อน ขากลับพี่ไปรับผมได้มั้ย ผมไม่อยากให้ท่านเสียเวลาวนรถมาส่งผมที่หออีก เพราะกว่าท่านจะกลับถึงบ้านก็ดึกแล้วด้วย’

“ยังไงใกล้จะกลับมึงก็ไลน์มาบอกกูแล้วกัน หรือว่ามึงจะให้กูไปด้วยเลยก็ได้นะ แนะนำตัวกับพ่อแม่อะไรงี้” พี่เขาพูดแกมหยอก
‘พี่ไม่โกรธจริงๆใช่มั้ยเนี่ย ที่ผมยังไม่พร้อมจะบอกพวกท่านน่ะ’

“โกรธทำไมวะ ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องโกรธ เอาไว้มึงพร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอกพวกท่านก็ได้นี่ กูไม่ซีเรียส อีกอย่างเราก็เพิ่งคบกันเอง แต่ถ้าพ่อแม่กูขึ้นมาหา มึงต้องไปเจอท่านนะ เพราะกูเล่าเรื่องของมึงไปเยอะเลย”
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้า

พี่เขานั่งรอเป็นเพื่อนผม จนกระทั่งพ่อโทรมาบอกว่ารออยู่ที่ลานจอดรถของคณะแล้ว ผมก็เลยแยกตัวออกมาจากโต๊ะม้าหินอ่อน ส่วนพี่เนย์ก็เดินกลับเข้าไปในตึกอีกครั้ง เพื่อไปดูว่าตอนนี้ถึงคิวส่งงานของกลุ่มตัวเองหรือยัง    
เมื่อขึ้นมาบนรถ ผมก็เสิร์จหาแผนที่ พร้อมกับส่งให้พ่อดู ขณะที่แม่ก็บ่นอุบว่าผมซูบลงไปมาก จนแม่ออกปากว่ามื้อนี้แม่จะขุนผมให้กลายเป็นหมู ผมก็เลยได้แต่ขำ เพราะผมแอบนึกไปแล้วว่าตัวเองน่าจะเลี้ยงพยาธิไว้เยอะ เพราะกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนสักที
อีกอย่างนะ แม่ไม่เคยขุนผมจนกลายเป็นหมูได้สำเร็จสักที

วันนี้เรามาถึงร้านช้ากว่าครั้งก่อนมาก จึงทำให้ที่นั่งริมน้ำถูกจับจองจนเต็มหมดแล้ว ผมเลยอดจะเฟลไม่ได้ แต่แม่ก็ปลอบใจว่าแม่น่ะนั่งตรงไหนก็ได้ แค่เจอหน้าผมก็โอเคที่สุดแล้ว
“เฮ้ยไอ้รัน มายังไงวะ” ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ก็พบกับเพื่อนร่วมสาขา เลยส่งยิ้มทักทายพวกมัน แล้วก็ชี้ไปที่พ่อกับแม่ พวกมันก็เลยยกมือไหว้กันทั้งแก๊งค์ จากนั้นผมจึงขอตัวพาพ่อกับแม่ไปนั่งในมุมที่สงบๆสักหน่อย

ผมเปิดโอกาสให้แม่ได้ขุนผมเต็มที่ ส่วนพ่อก็นั่งเงียบๆตามสไตล์คนพูดน้อย เมนูสำหรับมื้อเย็นในวันนี้จึงมาจากการคัดสรรของคุณนายระพีล้วนๆ จากนั้นแม่ก็ออกปากชมบรรยากาศของร้านไม่หยุด ก็แน่ล่ะที่แม่ต้องออกปากชม เพราะเราบังเอิญได้ที่นั่งที่ดีที่เป็นระเบียงยื่นออกมากลางน้ำเล็กน้อย และวิวจากตรงนี้ยังมองเห็นริ้วสีม่วง แดง ของพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าตัดกับสีเขียวเข้มของต้นไม้อีกด้วย แถมที่นั่งยังเป็นโซฟาเนื้อดี ที่นุ่มสบายก้นไม่หยอก อีกทั้งบนโต๊ะยังจุดเทียนหอมให้ความสว่างสลัวๆ จนการทานอาหารมื้อนี้แลเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“เสียดายไม่ได้พาเจ้าแชมเปญมาด้วย มันคิดถึงรันจะแย่” แม่บ่นอุบ ขณะที่เปิดรูปเจ้าแชมเปญ แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ หน้าอ้วนๆ ตัวกลมๆ จนบางทีก็น่าบีบให้แตก เพราะชีวิตมันดีมาก แถมเวลาจะนอนก็ต้องนอนบนเตียงไม้ที่สั่งทำพิเศษสำหรับแมว

‘จะเป็นหมูตอนแล้ว ไม่มีใครพาไปวิ่งเลยใช่ไหมครับ’ ผมพิมพ์ข้อความแล้วยื่นส่งให้แม่ จากนั้นก็ทำหน้างอ เพราะปกติถ้าหากผมยังอยู่ที่บ้าน ผมจะพามันออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านบ่อยๆ เพราะแชมเปญมันชอบกินแล้วนอน ใครเดินผ่านไม่ได้ เป็นต้องร้องขออาหาร ทั้งๆที่บางทีตัวเองก็ไม่ได้หิวอะไรขนาดนั้น
“ใครชวนมันก็ไม่ยอมวิ่งทั้งนั้นแหละ ท่าทางจะรอแต่รัน” แม่มุ่ยหน้าเมื่อพูดถึงเจ้าแชมเปญสุดดื้อ ที่ดูเหมือนจะเชื่อฟังผมมากกว่าใครเพื่อน เพราะผมกับมันนี่เมื่อก่อนเป็นเพื่อนซี้กันเลยนะ ตัวติดกันสุดๆ ตอนที่ผมเพิ่งจะพูดไม่ได้ ผมก็ได้เจ้าแชมเปญนี่แหละที่ช่วยเยียวยาให้ค่อยๆทำใจยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ได้

‘กลับไปแม่อุ้มไอ้แชมเปญมาวีดิโอคอลเลย เดี๋ยวผมดุมันเอง จะดุให้หัวหดเลย’
“เอ.. จะดุหรือจะร้องไห้เพราะคิดถึงเจ้าแชมเปญกันแน่ เพราะใครแถวๆนี้ก็ไม่รู้ ไม่ยอมให้แม่พูดถึง ไม่ยอมให้แม่ส่งรูปมาให้ดู เนอะพ่อเนอะ” แม่ว่าพลางหันไปพยักพเยิดกับพ่ออย่างสนุกสนาน    

“นั่นสิแม่ สงสัยไอ้เด็กที่ว่านั่น คงเป็นคนที่กำลังนั่งหน้ามึนอยู่ตรงหน้าเราแน่ๆ” ดูเอาเถอะ สองสามีภรรยาเขาหัวเราะคิกคักสนุกสนานเหลือเกินที่สามารถล้อลูกชายคนเดียวของตัวเองได้

เราสามคนพ่อแม่ลูกใช้เวลาไปกับการพูดคุยและทานอาหารเย็น หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาสักพักใหญ่ เผลอแป๊ปเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงทุ่มกว่าๆแล้ว ผมเลยไลน์ไปหาพี่เนย์ พี่เขาจะได้มาถึงก่อนที่พ่อกับแม่จะกลับ ประการหนึ่งคือผมตั้งใจให้พ่อกับแม่ได้เจอพี่เนย์โดยที่ยังไม่บอกสถานะระหว่างเราให้พวกท่านทราบ และอีกประการหนึ่งคือผมไม่อยากให้พ่อกับแม่รอ เพราะมันจะทำให้พวกท่านกลับถึงบ้านดึก
“เอาบานอฟฟี่เหมือนเดิมใช่มั้ยรัน ?” พอทานของคาวจบ แม่ก็จัดของหวานต่อให้เลย ซึ่งผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะมื้อนี้ผมไม่ต้องควักเงินสักแดง ผมจึงพยักหน้าตอบรับอย่างไม่คิดลังเล

“อ้าวไอ้เชี่ยเนย์ ไหนมึงบอกว่าไม่ว่างไงวะ แล้วทำไมมึงมาโผล่หัวอยู่นี่” ผมหันไปมองยังต้นเสียง จึงเห็นสารถีจำเป็นที่ผมส่งข้อความไปบอกได้สักครึ่งชั่วโมงแล้ว มาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มชายหนุ่มและหญิงสาวที่น่าจะอยู่สาขาเดียวกัน และอาจจะเป็นสายรหัสของพี่เขาด้วย เพราะผมเห็นพี่เนย์ยกมือไหว้พี่คนหนึ่ง ส่วนคนที่เหลือก็เป็นฝ่ายไหว้พี่เนย์
“ผมมารับแฟนว่ะพี่”

“ไหนวะแฟนมึง กูได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานานละ”
“เขาคุยกับพ่อแม่ของเขาอยู่ว่ะพี่ ยังพามาเจอไม่ได้” พี่เนย์ขยับตัวไปนั่งยังเก้าอี้ที่พนักงานนำมาเสริมให้ ซึ่งเก้าอี้ตัวนั้นองศาของมันถูกกำแพงบังเอาไว้จนมิด ผมจึงมองเข้าไปในร้านไม่เห็น แต่กลับได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
และจากคำพูดนั้น ถ้าหากผมทำตามความตั้งใจเดิม พ่อกับแม่คงรู้ได้ทันทีเลยว่าใครคือแฟนของพี่ผู้ชายในกลุ่มนั้น ที่คุยกันเสียงดังที่สุดในบริเวณนี้

“คนนี้ไงเฮีย”
“เด็กคณะเรานี่หว่า เหมือนเคยเดินสวนกันอยู่”

“รอบนี้มาสไตล์ใหม่เหรอมึง ปกติเด็กมึงไม่ใช่แนวนี้นี่หว่า”
“แนวนี้คือแนวไหนวะไอ้พี่เจต พูดให้มันดีๆนะเว้ย”

“เด็กใหม่มึงมาแนวเรียบร้อยเลยว่ะ แต่เด็กเก่ามึงไอ้เบสที่เป็นดาราอะไรนั่นน่ะ มาแนวราชินีเลยสัส เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว แม้กระทั่งคนรับใช้ ชีวิตออนทัวร์ชิบหาย”
“มันก็ต้องคนละสไตล์กันอยู่แล้ว เพราะคนนี้ผมจีบเอง ส่วนคนที่พี่ไม่ชอบเขามาจีบผม”

“จะบอกว่าคนนี้มึงจริงจังว่างั้น”
“จริงจังดิพี่ ไม่งั้นผมจะลงทุนจีบทำเพื่อ เออพี่ แต่แฟนผมคนนี้เขาไม่เหมือนคนอื่นนิดหน่อยว่ะ คือเขาพูดไม่ได้ ถ้าผมพาเขามาแนะนำให้รู้จัก พี่อย่าทำให้เขารู้สึกแย่นะเว้ยไม่งั้นผมเอาตายแน่”

“พวกกูก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นมั้ย”
“เออดิพี่ เห็นพวกผมเลวร้ายได้ไงวะเนี่ย ออกจะเรียบร้อยขนาดนี้”

“เรียบร้อยแบบผ้ายับพับไว้น่ะเหรอไอ้เต”
“โว้ พี่แก้วนี่ก็..”

“ผมก็ต้องพูดเผื่อไว้ก่อนดิ”

“เพื่อนเราจะมารับเมื่อไหร่น่ะ แม่ว่าจะเช็คบิลแล้ว” แม่ดูนาฬิกาพลางถามผม
‘เช็คบิลเลยก็ได้ครับ เขามาถึงนานแล้วแหละ’ ผมส่งข้อความแชทบอกแม่ พร้อมกับเข้าหน้าต่างแชทอันใหม่ที่เป็นของพี่เนย์ ก่อนจะส่งไปบอกว่าแม่จะกลับแล้ว พี่เขาเลยปลีกตัวออกมาจากกลุ่มนั้น แต่พอเดินออกมาข้างนอกระเบียงแล้วเจอโต๊ะของผมเข้า พี่เนย์ก็ชะงักทันที คงเพราะนึกขึ้นได้แล้วว่า เมื่อครู่นี้ตัวเองพูดคุยอะไรออกไปบ้าง เจ้าตัวถึงได้เกาท้ายทอยแก้เก้ออยู่แบบนั้น

“สวัสดีครับ ผมชื่ออาคเนย์ครับ” ผมลุกเดินเข้าไปเรียกพี่เนย์ ให้เดินมาที่โต๊ะ พร้อมกับเปิดโอกาสให้พี่เขาแนะนำตัวกับพ่อแม่ผม เพราะยังไงก็คงไม่มีเวลาให้ทำใจอีกแล้ว ในเมื่อทั้งพ่อและแม่ก็น่าจะได้ยินบทสนทนาเมื่อสักครู่ทั้งหมด เนื่องจากโต๊ะของเราอยู่ไม่ไกลกันมากเท่าไหร่ เพราะโต๊ะของพวกผมอยู่ในโซนระเบียงร้าน ส่วนโต๊ะของพวกพี่เขาอยู่ข้างในร้าน ซึ่งมันสามารถมองเห็นกันได้ผ่านทางช่องหน้าต่าง แต่พี่เขาคงไม่ทันได้มองออกมาข้างนอก แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้บอกด้วยว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงไหน
“สวัสดีจ๊ะ” แม่ยิ้มทักทายพลางหยิบเงินทอนเก็บใส่กระเป๋า โดยเลือกไม่เก็บแบงค์ยี่สิบเพื่อเอาไว้เป็นธิปให้กับพนักงาน จากนั้นพ่อกับแม่ของผมก็เดินนำหน้าไปยังลานจอดรถ

“พ่อกับแม่ฝากรันด้วยนะ”
“ไม่มีปัญหาครับ” พี่เนย์ยกยิ้ม พลางเอามือมากุมกันไว้ข้างหน้าด้วยท่าทางเกร็งๆ

“พ่อกับแม่ไปก่อนนะรัน เอาไว้แม่จะไลน์ไปหาบ่อยๆ” แม่ดึงผมเข้าไปกอด พลางผละออกมาหอมแก้มซ้ายขวาฟอดใหญ่ราวกับจะตักตวงช่วงเวลานี้ไว้ให้นานที่สุด จากนั้นผมก็เดินเข้าไปกอดพ่อที่ยืนมองเรานิ่งๆ

“แม่ฝากรันด้วยนะ แล้วก็ขับรถระวังๆด้วยล่ะ” ก่อนที่แม่จะยอมขึ้นรถตามคุณพ่อไปอีกคน แม่ก็หันมาย้ำกับพี่เนย์อีกหนึ่งรอบ
“ครับแม่” พี่เนย์ยิ้มรับคำฝากฝังของคุณแม่เป็นมั่นเป็นเหมาะ พลางยกมือไหว้แม่ผมที่อยู่ข้างนอก และก้มตัวลงไปไหว้พ่อที่นั่งอยู่ในรถ จนกระทั่งมั่นใจแล้ว แม่ผมถึงได้ยอมขึ้นรถไป ส่วนผมกับพี่เนย์ก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เพื่อรอจนไฟท้ายรถคันดังกล่าวค่อยๆเลือนหายไปจากกรอบสายตา

“พี่นึกว่าท่านจะซักฟอกพี่จนขาวสะอาดซะอีก เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะไม่ได้ยินที่พี่คุยกับสายรหัสเมื่อกี้” พี่เนย์ถอนหายใจออกมา ราวกับยกภูเขาออกจากอกได้แล้ว
‘ท่านอาจต้องการเวลาทำใจก่อนมั้งครับ’ ผมอมยิ้มพลางพูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ แม้ว่าตัวเองจะกำลังหนักใจอยู่ก็ตาม เพราะผมไม่รู้เลยว่าพ่อกับแม่มีความคิดเห็นอย่างไร ในเมื่อพวกท่านไม่แม้แต่จะซักถามใดๆออกมา แต่อย่างน้อยผมก็พอจะวางใจได้บ้าง เพราะคุณแม่ได้กล่าวฝากฝังผมกับพี่เขาถึงสองครั้ง แสดงว่าท่านก็อาจจะต้องการเวลาทำใจอย่างที่ผมว่าจริงๆ

“คงงั้น พ่อกับแม่พี่แรกๆท่านก็ต้องใช้เวลาทำใจยอมรับอยู่นานเหมือนกัน” พี่เขาพูด พลางเดินนำผมเหมือนจะกลับเข้าไปในร้าน
“ไหนๆก็มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ไปลาสายรหัสกับกูก่อน” พี่เขาหันมาบอก และยืนนิ่งอยู่ตรงปากทางเข้าตัวร้าน คล้ายกับรอฟังคำตอบจากผมก่อน พี่เขาถึงจะค่อยพาผมเข้าไปด้านใน

ผมพยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย เพราะผมทราบความคิดของพวกเขาแล้วว่าไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกับที่ผมมีอคติด้วย และผมก็ได้รับบทเรียนที่ดีเมื่อครั้งเปิดใจให้กับสามสาวจากคณะบัญชี เพราะในวันสอบ พวกเธอก็ยังเข้ามาพูดคุยทักทายกับพวกเราอย่างเป็นกันเองอยู่เลย

“ผมกลับก่อนนะ ไว้โอกาสหน้าจะมาให้เลี้ยงแน่นอน” พี่เนย์ไหว้พี่สายรหัสของตัวเอง พลางพยักหน้ารับไหว้น้องสายรหัสอีกสองคน ส่วนผมก็ได้แต่ยกมือไหว้รอบวง เพราะไม่รู้จักใครเลย
“ส่วนนี่แฟนผม ชื่อรันอยู่สาขาหูหนวกศึกษา คณะเดียวกัน น่าจะเคยเห็นๆกันอยู่.. รันนั่นพี่เจตพี่รหัสพี่ ส่วนนั่นยัยแก้วน้องรหัสพี่ แล้วก็นั่นไอ้เตหลานรหัสพี่” ผมยกมือไหว้รุ่นพี่ต่างสาขาอีกครั้ง จากนั้นก็พยักหน้าให้กับเตที่อยู่ปีเดียวกัน

“…” ผมยิ้มให้ทุกคน เมื่อพวกเขาก็เอาแต่ส่งยิ้มมาให้ผม คาดว่าคงจะวางตัวกันไม่ถูก
“ถ้างั้นผมลาเลยแล้วกันครับ” พี่เนย์ไหว้ร่ำลาพี่เจตอีกครั้ง พร้อมส่งยิ้มให้กับน้องๆร่วมสายรหัส ผมจึงทำตามอีกฝ่ายและเดินออกมาพร้อมกัน

 “เป็นไง น่ากลัวเหมือนอย่างที่เคยกังวลมั้ย?” พี่เขาเดินกอดคอผม พลางสอบถามราวกับจะติดตามผลลัพธ์ของคำแนะนำที่เคยให้ไว้
“…” ผมส่ายหัว

“ใช่ไหมล่ะ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย แค่เริ่มต้นด้วยการเปิดใจเท่านั้น พวกเขาถึงจะยอมเปิดใจให้เราด้วย”
“…”

“ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อีกสักพักเราจะรู้ได้เอง ว่าคนประเภทไหนที่น่าคบหา และคนประเภทไหนที่ไม่น่าคบหา เพราะคนดีๆที่เขาไม่มีข้อบกพร่องก็ยังมีอีกเยอะ และบางทีคนไม่ดีก็อาจจะรวมอยู่ในกลุ่มคนที่มีข้อบกพร่องก็ได้ ของอย่างนี้มันไม่มีอะไรตายตัวหรอก เพราะมันขึ้นอยู่กับสันดานคน ถ้าหากปล่อยวางอคติได้ พี่เชื่อว่ารันจะมีเพื่อนอีกเยอะเลยแหละ เพราะรันเป็นคนน่ารักที่นิสัย”
“…” ผมยิ้มพลางเดินเข้าไปนั่งในรถ เมื่ออีกฝ่ายปลดล็อค

ผมยอมรับว่าคำแนะนำของพี่เนย์เป็นคำแนะนำที่ดี และมาพร้อมกับความอบอุ่นในหัวใจเสมอ อีกทั้งคำแนะนำนั้น ยังทำให้ผมได้รู้จักกับคนมากหน้าหลายตา ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้มีพฤติกรรมในแบบที่ผมฝังใจ และผมเองก็รู้สึกดีที่ได้รู้จักกับพวกเขา แต่มันก็มีความจริงอีกด้านหนึ่งที่ผมยังไม่ลืม ว่าที่ผมยอมเปิดใจมันเป็นเพราะทุกคนที่ก้าวเข้ามาในโลกของผม แท้ที่จริงพวกเขาอยู่ในโลกของเพื่อนสนิทผม และอยู่ในโลกของแฟนผม
ซึ่งผมเชื่อใจพวกเขา

ดังนั้นถึงยังไงแล้ว ผมก็ยังคงมีอคติต่อคนที่ไร้ข้อบกพร่องคนอื่นๆอยู่ดี และเมื่ออนาคตผมต้องไปทำงานที่ไหนสักแห่ง ผมก็คิดว่าผมคงจะหนีจากความอึดอัดเหล่านั้นไม่พ้น เพราะขนาดคนอื่นๆ เริ่มรู้จักผมมากขึ้นและชื่นชอบผมมากขึ้น ผมยังรู้สึกกลัวและไม่ไว้วางใจพวกเขา ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
และทุกครั้งที่ผมคิดจะเปิดใจให้กับคนที่ไม่ได้มีตัวแปรสำคัญอะไร ผมก็มักจะนึกถึงช่วงเวลาที่ผมต้องทนทุกข์อยู่กับคำว่า ‘ไอ้ใบ้’ และต้องกลายเป็นตัวตลกของกลุ่มคนที่เคยเป็นเพื่อร่วมชั้นเรียนจนผมไม่คิดอยากจะไปรักษาให้หายขาด เพราะผมเชื่อว่าถ้าหากใครหวังดีกับผม หรืออยากรู้จักกับผมจริงๆ เขาจะมีวิธีในการเข้าหาที่ดี และทำให้ผมค่อยๆเปิดใจเหมือนกับพี่เนย์ ที่เพียงแค่รู้ภาษามือ ผมก็ยอมเปิดใจที่จะยอมรับพี่เขาให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของตัวเอง

แต่แล้วความเชื่ออันสวยหรูของผมมันก็ถูกข้อจำกัดหนึ่งที่ว่า‘โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเราเสมอไป’เข้ามาขวางกั้น ซึ่งมุมมองในส่วนนี้ผมสามารถวิเคราะห์ได้จากคำพูดของพี่เนย์ ที่พยายามจะช่วยให้ผมเติบโตขึ้น โดยการบอกกล่าวอยู่เสมอว่าผมต้องค่อยๆเปิดใจให้พวกเขาเห็น จากนั้นพวกเขาถึงจะยอมเปิดใจให้เราเห็นด้วย เพราะถ้าหากผมไม่ยอมเปิดใจ ก็จะไม่มีใครเข้าใจผม หรือบางทีเราอาจจะเปิดใจแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเข้าใจเราในแบบที่เราต้องการให้เข้าใจเสมอไป พี่เขาถึงได้ย้ำเสมอว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป   
ทั้งๆที่ผมทราบดี แต่ใจของผมมันก็ยังมีกำแพงบางๆ ที่พี่เนย์ไม่อาจมองเห็น..
จนบางที ผมก็อดกลัวไม่ได้ว่าพี่เนย์อาจจะต้องเหนื่อยใจไปกับผมเสียเปล่าๆ

ในวันที่ฝน เปลี่ยนเป็นเมฆขาว
อากาศเช้าๆ สวยงามกว่าใคร
มือเธอและฉัน จับจูงกันไป
เดินด้วยกันนะ


ผมที่กำลังนั่งเหม่อลอยระหว่างใช้ความคิด จนจิตใจมันล่องลอยออกไปนอกรถ เริ่มได้สติขึ้นมา เมื่อสารถีประจำตัวเขาเปิดเพลงๆหนึ่งขึ้น และเมื่อตั้งใจฟังดีๆ หัวใจของผมก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

ยังจำได้ไหม ตอนที่เธอท้อ
ตอนที่เธอล้า หัวใจแทบหมดแรง
คำพูดของฉัน บอกเธอวันนั้น
ให้เธอโปรดเข้มแข็ง
เมื่อเธอทุกข์ใจ ให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ
ปล่อยความทุกข์ลอยไปกับทะเลและฟ้าสีคราม

(Jeep – วัชราวลี)

ผมหันไปมองคนตัวสูงที่กำลังกดปุ่มเพิ่มเสียงเพื่อเน้นในท่อนที่เขาต้องการจะสื่อความหมายด้วยสายตาแน่นิ่ง ขณะที่หัวใจก็เต้นรัวจนแทบระเบิด ความอุ่นร้อนในม่านตาก็ค่อยๆเพิ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายทำนบน้ำตาก็พังยับเยินไม่เป็นท่า เมื่อฝ่ามือใหญ่ๆ เลื่อนเข้ามากอบกุมกับฝ่ามือของผมอย่างแนบแน่น คล้ายกับพี่เขารู้ว่ากำแพงบางๆที่ผมนึกถึง มันยังคงไม่หายไปไหน
เหมือนกับผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ ที่ยังคงอยู่ข้างๆผมไม่จากไปไหน..
จนผมอดสงสัยไม่ได้ ว่ากำแพงที่ผมสร้าง หรือพี่อาคเนย์กันแน่ ที่จะสูญหายไปก่อนกัน..


--------------------------------------------------------------

ตอนนี้มันก็จะสีเทาๆนิดนึงเนอะ ส่วนตอนหน้าพี่เนย์ก็ยังสมกับเป็นพระเอกอยู่ ไม่ได้มาแบบโผล่ๆแล้ว 555 ช่วงนี้เราปั่นไปได้ 23 ตอนแล้ว ยังมีสต๊อกลงได้อีกนานค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะว่างปั่นเหมือนตอนนี้ไปถึงเมื่อไหร่ แต่จะพยายามปั่นให้จบก่อนที่จะไม่ว่างนะคะ จะได้ลงได้ไม่ขาดตอน และก็หวังว่าทุกคนจะชอบเหมือนเดิม เรากลัวจะเบื่อซะก่อน เพราะเรื่องมันเรื่อยๆเอื่อยๆมาก T[]T แต่เราชอบนิยายสไตล์นี้ค่ะ เลยเขียนออกมาแบบนี้
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 15 ♥ หน้า 3 (up 02/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-11-2017 13:47:15
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 15 ♥ หน้า 3 (up 02/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 03-11-2017 01:47:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 15 ♥ หน้า 3 (up 02/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-11-2017 08:35:48
พี่เนย์ได้เจอพ่อตาแม่ยายแล้ว ส่วนรันก็สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 03-11-2017 15:13:22
♥ Fall in you ♥
ตอน 1ุ6


หลังจบแคมเปญภาษามืออันเป็นโปรเจคแรกสำหรับปีนี้ พี่ทีมก็แจ้งว่าจะทำโปรเจคที่สองต่อเลย แต่ในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ผมที่จะเข้าร่วมแคมเปญนี้อย่างเดียว เพราะพี่ทีมจะให้น้องๆและเพื่อนๆ ทุกคนได้เข้าร่วม สำหรับรายละเอียดของแคมเปญนี้จะเป็นเพียงแค่การแนะนำคำศัพท์หรือประโยคง่ายๆเท่านั้น ซึ่งพวกพี่เขาได้ทำรีเสิร์จออกมาแล้วว่าคำไหนหรือประโยคไหนที่น่าจะมีคนให้ความสนใจกันเยอะ และสามารถนำไปใช้ได้จริง ซึ่งพี่ทีมผู้เป็นประธานรุ่นของปีสามได้บอกเอาไว้ว่า แคมเปญนี้เราจะทำลากยาวกันจนกว่าจะถึงช่วงงานโอเพ่นเฮ้าส์ในปีนี้ เพื่อกระตุ้นให้เด็กรุ่นใหม่มีความสนใจในสาขาวิชาน้องใหม่ที่หลายๆคนแทบจะไม่เคยรู้ว่ามันก็มีอยู่ในโลกใบนี้ด้วย

“จับฉลากคนละใบเลยครับ ใครได้คำไหนให้บอกพี่ฟางที่ยืนสวยๆอยู่ตรงนั้น” พี่ทีมพูดพลางเขย่ากล่องสี่เหลี่ยมที่ภายในบรรจุประโยคสำหรับการทำแคมเปญที่ต้องขอความร่วมมือจากทุกคน ซึ่งพวกพี่เขาให้ออกไปจับฉลากตามแถวที่นั่งในห้องเรียน กว่าจะถึงผมก็คงอีกพักใหญ่ เพราะผมนั่งตรงแถวกลางๆ

“มึงได้คำว่าอะไรกันบ้างวะ” หลังจากเดินกลับมาจากการจับฉลาก ไอ้หมอกมันก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“กูได้ประโยคนี้ว่ะ ‘เมื่อไหร่จะเลิกกับแฟน’” ไอ้คินตอบ พลางคลี่กระดาษให้ดูด้วยสีหน้าที่ผมก็บอกไม่ถูก

“พีคเหี้ยๆ เทียบกับของกูนี่เด๋อในเด๋อ ไม่เท่เลยว่ะ ‘ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย’” ไอ้หมอกมันบ่นอุบพลางคลี่กระดาษของมันให้พวกผมดู
“แล้วมึงล่ะ?” ไอ้คินพยักหน้าถามผม

“…” ผมจึงยื่นกระดาษที่ตัวเองจับฉลากได้วางเอาไว้ที่โต๊ะของไอ้หมอกที่นั่งอยู่ตรงกลาง
“เป็นแฟนกันนะ”

“โอ้โห พีคในพีค เข้ากับสถานการณ์ไปอีก”

“หมายเลขที่อยู่ในกระดาษที่น้องๆจับฉลากได้ คือลำดับของการส่งคลิปวีดิโอนะครับ น้องๆสามารถส่งมาตามอีเมลที่อยู่ด้านล่างของกระดาษในมือน้องเลย แต่พี่มีข้อแม้อยู่หนึ่งอย่างคือน้องๆจะต้องส่งมาให้พี่ล่วงหน้าหนึ่งวัน เพื่อที่พี่จะได้มีเวลาทำการตัดต่อหรือใส่เอฟเฟคอื่นๆด้วย แคมเปญนี้เราจะเปิดตัวในวันพุธที่ 27 นี้นะครับ หากน้องๆไม่ทราบว่าประโยคที่น้องๆจับฉลากได้ต้องใช้ภาษามืออย่างไร น้องๆสามารถสอบถามเพื่อนๆ หรือพี่ๆ ได้เสมอ”

ติ้ง!

‘รันทำไมประชุมนานจังวะ จะเลยเวลานัดกูแล้วเนี่ย’
‘เลิกแล้วครับ เดี๋ยวจะรีบลงไป’ หลังจากพิมพ์ข้อความเสร็จ พี่ๆก็ทยอยออกจากห้องเรียนจนหมด ผมจึงหันไปโบกมือลาไอ้คินกับไอ้หมอกอย่างรวดเร็ว เพราะนัดในวันนี้พี่เนย์ได้บอกผมล่วงหน้ามาตั้งสามวันแล้ว

เรื่องของเรื่องพี่เขาอยากเลี้ยงตัวอะไรก็ไม่รู้ แลจะหาซื้อยาก เพราะผมเห็นพี่เนย์ติดต่อไปหลายร้านแล้ว กว่าจะหาซื้อได้ก็ใช้เวลาอยู่หลายวัน จนกระทั่งวันนี้ทางร้านเขานัดให้ไปรับของที่ตลาดนัดแถวๆมหาลัยชื่อดังอีกแห่งหนึ่ง พี่เขาเลยชวนให้ผมไปเป็นเพื่อน

“ไอ้เชี่ยทีม มึงแม่งประชุมโคตรนาน จะเลยเวลานัดกูแล้วเนี่ย.. เกี่ยวดิวะ ก็กูพาไอ้รันมันไปด้วย เอ้า! ไอ้สัส มันแฟนกูหนิ กูก็ต้องพามันไปด้วยสิ แค่นี้! ไอ้สัส ล้ออยู่นั่นอย่าให้มึงมีบ้างนะ” ระหว่างขับรถพี่เนย์ก็โทรไปต่อว่าเพื่อนของตัวเองยกใหญ่ แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นเจ้าตัวเสียเอง ที่ถูกเพื่อนล้อกลับมา
“…” ผมเอื้อมมือไปลูบข้างแขนของอีกฝ่าย เมื่อพี่เขาขับรถเร็วจนเกินความจำเป็น

“กูไม่อยากผิดเวลา เรื่องนี้กูถือ กูไม่ชอบและไม่คิดว่าตัวเองจะมาทำซะเอง” พี่เขาพูดพลางลดความเร็วในการเหยียบคันเร่งลง
“…” ผมอยากจะบอกว่าเรื่องนี้มันสุดวิสัย อีกอย่างทางร้านก็น่าจะรอได้ แต่ก็นะ พี่เขาไม่สะดวกจะอ่านข้อความของผมนี่หว่า

‘อย่าขับรถเร็วแบบนี้อีกนะครับ มันอันตราย’ กว่าจะมาถึงร้านผมก็ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก เพราะผมเป็นห่วงอีกฝ่าย ไม่อยากจะให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆขึ้น และเมื่อสบโอกาสเหมาะ ผมก็ไม่ลืมที่จะตักเตือนพี่เขาด้วย
“เป็นห่วงเหรอ?” ทันทีที่อ่านจบ อีกฝ่ายก็ยกมือข้างขวาขึ้นมาชูทั้งห้านิ้ว พร้อมกับพยักหน้าขึ้นลงสองครั้ง คล้ายกับจะให้ ‘คำสัญญา’ ว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก ก่อนจะย้อนถามผมบ้าง

“…” ผมจึงกำมือข้างขวาขึ้น พลางสะบัดข้อมือเหมือนกำลังเคาะประตู และพยักหน้าขึ้นลงตามจังหวะการเคลื่อนไหวของฝ่ามือ เพื่อสื่อเป็นคำว่า ‘ใช่’ในภาษามือไทย
จากนั้นเราสองคนก็ยกยิ้มให้กัน
เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เราสามารถใช้ภาษามือสื่อสารถึงกันได้

ร้านที่พี่เนย์พาผมมา เป็นร้านนำเข้าสัตว์เลี้ยงแทบจะทุกประเภท มีตั้งแต่กิ้งก่า เต่า งู แมงมุม กบ และอีกมากมายที่ล้วนไม่ใช่สไตล์ของสัตว์ที่ผมจะเลี้ยง ผมจึงเดินดูสัตว์แต่ละประเภทที่อยู่ในตู้กระจกไปเรื่อยๆ โดยปล่อยให้พี่เนย์จัดการเรื่องของตัวเองต่อไป เพราะได้ยินแว่วๆ ว่าพี่เขาไม่ได้มารับแค่สัตว์เลี้ยงที่ต้องการเพียงอย่างเดียว ไหนจะมีเรื่องตู้กระจกที่สั่งทำแบบเสร็จสมบูรณ์ รวมไปถึงข้อมูลต่างๆที่ควรรู้หากต้องการจะเลี้ยง ‘เรดอายสกิ้งค์’
พอเดินไปเรื่อยๆ ก็เจอกับจระเข้สีดำตัวเล็กที่มีป้ายแปะสายพันธุ์เอาไว้ว่า ‘เรดอายสกิ้งค์’ สองขาของผมจึงหยุดการก้าวเดินและยืนจ้องมองเข้าไปยังตู้กระจกใสในลักษณะเหมือนตู้ปลา เพียงแต่ภายในถูกเนรมิตให้เหมือนกับป่าชื้น อีกทั้งยังมีสระน้ำเล็กๆให้เจ้าพวกนี้ได้ลงเล่น และยังมีพื้นดินชื้นๆให้ได้คลุกตัว   

เจ้า ‘เรดอายสกิ้งค์’ ที่ผมกำลังยืนสำรวจอยู่นี้ มีลักษณะคล้ายกับจระเข้มาก เพราะลำตัวของมันมีหนามแหลม และมีส่วนหัวเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ส่วนสีสันของมันค่อนข้างจะเป็นสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำ แต่ขอบตาของมันกลับเป็นสีส้มอมแดง จึงทำให้ดวงตาของมันดูโดดเด่น

“น่ารักมั้ย?” พี่เนย์เดินเข้ามาถาม พลางยิ้มรอคอยคำตอบ
“…” ผมส่ายหัว เพราะคำว่าน่ารักสำหรับสัตว์เลี้ยง ผมขอยกให้ ‘แมว’ เท่านั้น

‘พี่จะเลี้ยงจระเข้เหรอครับ มันจะดุเกินไปหรือเปล่า’ ผมพิมพ์ข้อความส่งให้ชายหนุ่มผู้ที่ไม่เคยมีวี่แววเลยว่าจะชอบสัตว์เลี้ยงประเภทนี้
“จระเข้ที่ไหน นี่มันจิ้งเหลน” พี่เขาตอบพลางกลั้วหัวเราะ

‘จิ้งเหลนเหรอครับ ไม่เห็นจะเหมือน’
“เจ้านี่มันก็แปลกอย่างนี้แหละ เป็นถึงจิ้งเหลนแต่กลับทำตัวเหมือนกิ้งก่า มิหนำซ้ำดันมีรูปร่างเหมือนจระเข้ เขาเลยเรียกกันว่า ‘กิ้งก่าจระเข้’ ชื่อเต็มๆของมันคือ ‘เรดอาย ครอกโกไดล สกิ้งค์’ คนจะเข้าใจผิดว่าเป็นจระเข้หรือกิ้งก่าก็ไม่แปลก แถมยังมีความประหลาดอีกอย่างก็คือมันออกลูกเป็นไข่ ทั้งๆที่จิ้งเหลนมันออกลูกเป็นตัว”

ผมกับพี่เนย์ยืนดูเจ้า ‘เรดอายสกิ้งค์’ ในตู้ของทางร้านอยู่พักใหญ่ จากนั้นเจ้าของร้านเขาก็มาตามพี่เนย์ให้ไปตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายและทำการขนย้ายตู้กระจกขนาดกลางที่คล้ายกับตู้เลี้ยงปลามาไว้ที่รถ โดยในตู้นั้นได้ตกแต่งให้คล้ายคลึงกับธรรมชาติมาเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าในตู้นั้นมีทั้งต้นไม้สีเขียวสดต้นเล็กๆจัดรวมกันเป็นกลุ่มกระจัดกระจายเหมือนป่าชื้น มีขอนไม้ขนาดย่อมพอให้ปีนเล่นและหลบซ่อนตัวได้ ส่วนพื้นด้านล่างถูกรองด้วยขุยมะพร้าวหนาประมาณสองนิ้วและปูทับด้วยหญ้ามอสเล็กน้อย ขณะที่ในส่วนของพื้นดินชื้นๆก็โรยด้วยดินสีน้ำตาลค่อนไปทางดำ ส่วนทางซ้ายมือที่มีพื้นที่น้อยกว่าเป็นพื้นที่สำหรับผืนน้ำที่ด้านล่างถูกโรยด้วยก้อนหินสีขาวผสมเนื้อดินสีดำ ตามแบบฉบับที่เจ้าจิ้งเหลนจระเข้ชอบ ปิดท้ายด้วยพื้นหลังที่ถูกบุด้วยดินชื้นๆ มีไม้เลื้อยและหญ้ามอสใช้เป็นหลักยึด ส่วนฝั่งซ้ายที่อยู่ในส่วนของผืนน้ำได้ถูกประดับด้วยก้อนหินทรงกลมเก่าๆ คล้ายกับต้นทางของน้ำตกขนาดย่อม
“รันมึงไปนั่งข้างหลังไป กูกลัวเวลาเบรกแล้วตู้มันคว่ำว่ะ”

“มึงหิวยัง?” พี่เขาถามขึ้น เมื่อขับรถออกจากร้านได้ประมาณหนึ่งแล้ว ท้องฟ้าข้างนอก จากที่เคยสว่างไสวก็มืดสนิทลง ข้างทางถูกแทนที่ด้วยแสงสีตามร้านรวงต่างๆ
‘นิดหน่อยครับ’ ผมพิมพ์ลงในหน้าต่างแชทของอีกฝ่าย

“จัดการนี่เสร็จ เดี๋ยวกูพาไปกิน” ผมพยักหน้ารับรู้แม้จะไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นหรือไม่ แต่มันคือทางเลือกที่ดีที่สุดที่ผมสามารถทำได้

เมื่อมาถึงหอ ผมกับพี่เนย์ก็ต้องช่วยกันขนย้ายตู้เลี้ยงกิ้งก่าจระเข้ออกจากเบาะหลังอย่างทุลักทุเล สุดท้ายพี่เขาเลยโทรเรียกพวกพี่ทีมพี่บอสให้มาช่วยกันยก เพราะกลัวว่าภายในตู้จะเละเทะซะก่อน และอาจจะเป็นอันตรายกับลูกรักที่พี่เขากำลังเห่อเอาได้
“รันมึงอย่าลืมถืออาหารแล้วก็ล็อครถให้กูด้วย” พวกพี่สามคนช่วยกันยกตู้กระจกขึ้นหอไปแล้ว ส่วนผมก็ต้องเดินไปหยิบกล่อง ‘อาหาร’ ที่ไม่ใช่อาหารเม็ดแบบสัตว์เลี้ยงทั่วไป แต่ดันเป็น ‘ไส้เดือน’ ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดตรงเบาะข้างคนขับ
บอกตรงๆ ถึงผมจะไม่ได้กลัว แต่ก็ใช่ว่าจะชอบ

ผมจัดการล็อครถให้เรียบร้อยแล้วก็เดินขึ้นไปยังหอพักของพี่เนย์ที่ผมเคยมาแล้วครั้งนึง เมื่อเข้ามาในห้องก็พบว่าสามหนุ่มเขากำลังช่วยกันต่อสายอะไรต่อมิอะไรอยู่ กระทั่งเรียบร้อย พี่เนย์ก็เดินไปหยิบฟ็อกกี้เข้าไปยังห้องน้ำ จากนั้นก็นำมาฉีดพรมทุกสิ่งอย่างภายในตู้นั้นจนเกิดฝ้า เพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้สมกับบรรยากาศของป่าชื้นที่เป็นต้นกำเนิดของสัตว์ชนิดนี้

“มึงแน่ใจนะว่าลูกมึงไม่ใช่จระเข้” พี่ทีมทักขึ้นมาอีกคนแล้ว เห็นไหมล่ะ ใครจะเชื่อว่าเจ้านี่มันคือจิ้งเหลน
“เออดิ.. กูจะโกหกมึงทำเพื่อ ไม่เชื่อมึงก็เสิร์จหาข้อมูลในกูเกิ้ลได้เลย” พี่เนย์เถียงกับพี่ทีมพลางก้มๆมองๆ ลูกรักตัวสีดำขอบตาสีแดงอมส้ม ที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ต้นไม้ขนาดเล็ก

“…” ผมสะกิดแขนพี่เนย์ พลางยื่น ‘อาหาร’ ของเจ้าตัวที่อยู่ในตู้กระจกไปให้ จากนั้นพี่เนย์ก็เริ่มให้อาหารโดยการใช้แหนบคีบไส้เดือนใส่ลงไปในตู้ แล้วก็เลื่อนประตูกระจกปิดให้สนิทอย่างไม่ต้องกังวลว่าอากาศจะไม่ถ่ายเท เพราะว่าข้างบนของตัวตู้จะเป็นมุ้งลวดซี่เล็กๆ สามารถให้อากาศเล็ดรอดผ่านได้
“เออรัน เราเริ่มแคมเปญคนแรกนี่ อย่าลืมส่งคลิปให้พี่ล่ะ”

“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้ารับ
“แคมเปญอะไรอีกวะ” พี่เนย์หันมาถามอย่างสนใจ

“ภาษามือเหมือนเดิมแหละ แต่ไม่ยากเท่าคราวก่อนแล้ว ถ้ามึงว่างก็ช่วยบอกภาษามือแล้วถ่ายคลิปให้น้องมันเลยก็ได้ เสร็จแล้วกูจะได้แวะมาเอาที่ห้องมึง” พี่ทีมเสนอ
“เออๆ เดี๋ยวกูขอหลังจากไปแดกข้าวก่อนนะเว้ย ยังไม่ได้กินเลยเนี่ย” พี่เขาพยักหน้าส่งๆ จากนั้นก็แบมือขอกุญแจรถจากผม คล้ายกับส่งสัญญาณว่าได้เวลากินข้าวแล้ว

“เย็นนี้กินข้าวต้มแล้วกัน มึงว่าไง?” พี่เนย์เดินนำผมออกมาจากรั้วบริเวณของหอพัก คาดว่าร้านที่เราสองคนจะไปฝากท้องคงจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
“…” ผมยักไหล่ประมาณว่ายังไงก็ได้

ข้าวต้มมื้อดึกร้านที่ว่าอยู่ตรงหน้าปากซอย เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือก็ถึงแล้ว และเมื่อมาถึงผมก็เปิดโอกาสให้ลูกค้าประจำเขาสั่งอาหารได้เต็มที่ ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟพี่เนย์ก็เล่าข้อมูลการเลี้ยงจิ้งเหลนจระเข้ให้ผมฟัง ดูท่าทางจะเห่อไม่หยอก

‘ผมว่าเรดอายสกิ้งค์ มันเหมือนไอ้เขี้ยวกุด มังกรจากหนังเรื่อง How To Train Your Dragon เลยนะครับ’ ผมพิมพ์ข้อความลงในหน้าต่างแชทของคนช่างเห่อ จากนั้นก็รีบเข้ากูเกิ้ลเพื่อเสิร์จหารูปเจ้าเขี้ยวกุดให้อีกฝ่ายดู เพราะพี่เขาทำท่าเหมือนจะไม่เคยดูหนังเรื่องนี้
“ลูกชายกูออกจะเท่ ไอ้เชี้ยวกุดอะไรของมึงนี่โคตรแบ๊วเลย”

‘เขี้ยวกุด’
‘อะไรมึง’ พี่เขาพิมพ์ข้อความส่งกลับมา คงเพราะเดาออกว่าผมกำลังจะล้อลูกชายตัวโปรด จากนั้นก็เอามือไปลูบๆอังๆ ไอน้ำข้างแก้ว แล้วสะบัดละอองน้ำใส่ผมในทีเผลอ แต่ดูเหมือนพี่เขาจะยังไม่สะใจมากนัก เจ้าตัวถึงได้จัดการหันไปเทน้ำใส่มือราวกับต้องการจะล้างมือ แต่ขอโทษทีมือไม่ได้เลอะสักนิด แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมไหวตัวทันได้ยังไง
 
‘ลูกพี่ชื่อเขี้ยวกุด’ ผมแกล้งแหย่คนตัวโตอีกหนอย่างนึกสนุก เพราะอีกฝ่ายดันออกอาการไม่สบอารมณ์ ที่มองดูแล้วตลกดี
“…” พี่เนย์สะบัดมือที่ยังคงเปียกน้ำใส่หน้าผมอีกครั้ง ทำเอาละอองน้ำลอยมาเกาะใบหน้าจนเต็มไปหมด แต่ผมก็หาได้สนใจไม่

‘พ่อชื่อฮ่องเต้ ลูกชื่อเขี้ยวกุด เข้ากันดีเนอะ’
“…” พี่เนย์ขมวดคิ้วยกใหญ่ ดูเหมือนในหัวคงกำลังคิดหาวิธีมารับมือกับไอ้รันคนนี้อยู่แน่ๆ แต่ก็ต้องขอโทษทีนะครับ เพราะผมได้รับการฝึกปรือเรื่องการกวนประสาทชาวบ้านมาจากไอ้หมอกเป็นอย่างดี
เห็นทีพี่เนย์คงจะรับมือยาก!

“เออดี ส่วนแม่มันให้ชื่อเนรัน”


---------------------------------------------

สำหรับตอนนี้มาแบบเรื่อยๆมาเรียงๆ แต่ก็มีความกวนประสาทกันเบาๆ เพราะเริ่มจะคุ้นกันมากขึ้นแล้วเนอะ
พระเอกบทเยอะแล้วค่า ดีใจ 555
หมายเหตุ : ถ้าใครอยากให้หน้าตาลูกชายพี่เนย์ว่าเป็นยังไง เราลงไว้ในเด็กดีแล้ว >จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=16)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-11-2017 15:54:41
สุขสันต์วันลอยกระทง

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 03-11-2017 21:13:43
เหมือนเขี้ยวกุดจริงๆ เราชอบเขี้ยวกุด  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-11-2017 21:41:49
เอ... ก็ไม่คล้ายจระเข้เท่าไหร่นะ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-11-2017 09:42:34
เหมือนเขี้ยวกุดจริงๆ 55555 น้องรันกลายเป็นแม่เขี้ยวกุดแล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 16 ♥ หน้า 3 (up 03/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 04-11-2017 11:52:40
ว้ายๆ พ่อฮ่องเต้ แม่เนรันน้องเขี้ยวกุด
แฮปปี้แฟมิลี่ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 17 ♥ หน้า 3 (up 04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 04-11-2017 13:51:50
♥ Fall in you ♥
ตอน 1ุ7


แพ้ครับ!
ผมแพ้อย่างราบคาบจริงๆ กับผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’

“กูนึกว่ามึงจะไม่กลับหอแล้วนะนั่น” ทันทีที่เปิดประตูและเดินเข้ามาในห้อง ไอ้หมอกก็ปรามาสใส่อย่างรวดเร็ว ผมเลยชูนิ้วกลางใส่แม่งซะ
“ทำไมถึงกลับเร็ววะ?” ไอ้คินถามอย่างแปลกใจ เพราะตอนแรกผมไลน์ไปบอกมันว่าจะกลับสักสามทุ่ม เพราะพี่เขาจะช่วยอัดคลิปสำหรับทำแคมเปญของสาขาให้เลย

‘กูเปลี่ยนใจ วันนี้ขี้เกียจ’ ผมแก้ตัวข้างๆคูๆ จากนั้นก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเตรียมไว้ใส่หลังอาบน้ำ

เรื่องของเรื่องที่ผมเกเรไม่ยอมกลับหอพี่เนย์เพื่อไปอัดคลิปในวันนี้ มันเป็นเพราะคำพูดสุดท้ายของพี่เนย์นั่นแหละ อยู่ๆก็มายกให้ผมเป็นแม่ไอ้เขี้ยวกุดเฉย โคตรกวนประสาท ทำเอาหน้าร้อนเห่อไปหมด
แล้วผมก็เป็นผู้ชายด้วย จะให้เป็นแม่ได้ไงวะ!

ติ้ง!

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็จัดการตากผ้าเช็ดตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะโยนเสื้อผ้าที่ใส่แล้วลงในตระกร้า ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของผมก็มีการแจ้งเตือน แต่ผมไม่คิดจะเปิดหรอก เพราะเดาได้เลยว่าพี่อาคเนย์ต้องหาเรื่องมาล้อผมแน่ๆ เพราะตลอดทางที่มาส่งผม สารถีตัวดีเอาแต่พูดอยู่นั่นแหละว่า ไอ้เขี้ยวกุดน่ารักอย่างนั้น น่ารักอย่างนี้ สงสัยจะได้เชื้อแม่มันมา!
ดูสิ.. ดูพูดเข้าสิ!
นี่ถ้าผมกล้าลงไม้ลงมือกับพี่อาคเนย์นะ ผมต่อยคว่ำไปแล้ว!

Akane Akarawin sent you a friend request

ผมพยายามข่มตานอน แต่สุดท้ายก็นอนไม่หลับ เลยต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น และเมื่อหน้าจอสว่างวาบขึ้น แจ้งเตือนต่างๆก็เด้งขึ้นมาเป็นทิวแถว ด้วยความที่แจ้งเตือนจากเฟซบุ๊กคือแจ้งเตือนล่าสุด ผมจึงเลือกกดไปที่แอปพลิเคชันนั้น และกดรับคุณ ‘อาคเนย์ อัครวินท์’ ตามที่ขอมา จากนั้นผมก็เลื่อนดูทามไลน์ของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ เพราะผมเองก็เพิ่งจะทราบว่าพี่เขามีเฟซบุ๊กด้วย
ที่สำคัญคนไม่ค่อยเล่นโซเชียลทำไมถึงลงทุนมาขุดหาเฟซบุ๊กของผมได้
 
พ่อไอ้เขี้ยวกุดนี่ขี้เห่อมากจริงๆครับ ภายในวันเดียวพี่เขาอวดลูกชายตัวโปรดไปแล้วห้าครั้ง ทั้งๆที่เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่ชอบเล่นโซเชียลสักเท่าไหร่ และที่แปลกคือมีคนมากดถูกใจเยอะซะด้วย ผมจึงเลื่อนไปดูจำนวนเพื่อนของอีกฝ่าย แต่ปรากฏว่ามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น พอหมดจากช่วงอวดลูกชาย ส่วนใหญ่ก็เป็นรูปที่พี่ๆเพื่อนๆของเจ้าตัวแท็กมา แล้วพอเลื่อนลงมาอีก ผมก็เจอกับรูปของพี่อาคเนย์กับใครสักคนที่ถ้าหากผมจำไม่ผิด ก็น่าจะเป็น ‘พี่เบส’ แฟนเก่าของพี่เขาที่ถ่ายคู่กันอย่างอิงแอบแนบชิด โดยฝ่ายพี่เนย์กำลังทำหน้าบึ้งบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ชอบถ่ายรูป ส่วนพี่เบสก็กำลังยิ้มแป้นให้กล้องอย่างน่ามอง สายตาของผมจึงเลื่อนมาดูที่จำนวนคนกดถูกใจ ก็ถึงกับแปลกใจมากที่มีคนให้ความสนใจกันเยอะและเมื่ออ่านคอมเมนต์ก็รู้สึกได้ว่าทั้งสองคนในภาพน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนหนึ่งและพวกเขาต่างก็ยินดีในความรักของคนทั้งคู่ สายตาของผมจึงเลื่อนขึ้นมาดูวันเวลาของสถานการณ์นั้น เพราะคนโพสต์อย่างพี่เบสเขาไม่ได้ใส่แคปชั่นอะไร
ตั้งแต่ปลายปี 2015
แสดงว่าก็น่าเลิกกันได้ปีกว่าๆแล้วสินะ เพราะรูปนั้นเป็นรูปสุดท้ายในหน้าเฟซของพี่เนย์

Akane Akarawin tagged you in a post

ผมหยุดส่องไทม์ไลน์เก่าๆของพี่เนย์ทันที เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็โพสต์เฟซและแท็กมาถึงผมในยามวิกาล ซึ่งเมื่อผมเลื่อนขึ้นไปดูการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุด ก็พบว่าพี่เนย์อัพคลิปวีดิโอ ผมจึงกดคลิปนั้นดู ปรากฏว่าคนขี้เห่อก็ยังเป็นคนขี้เห่ออยู่ดี เพราะสิ่งที่พี่เขาถ่ายอยู่นั้นก็คือเจ้าเขี้ยวกุด

“เขี้ยวกุด” พี่เนย์จับเจ้าเขี้ยวกุดออกมาจากตู้ พลางเรียกเจ้าลูกชายตัวโปรดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มสุดจะเอ็นดู

“เขี้ยวกุดหันไปบอกฝันดีแม่แกก่อนเร็วๆ” พี่เนย์เรียกเจ้าเขี้ยวกุดอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ไม่ยอมหันมามองกล้อง จนพี่เขาต้องพูดแกมบังคับ พร้อมใช้มืออีกข้างดันหน้าเจ้าเขี้ยวกุดให้ยอมหันมามองกล้อง

“ฝันดีครับแม่” ผมกลั้นขำจนปวดท้องไปหมด ให้ตายสิ ทำไมพี่เนย์ทำตัวน่าจั๊กจี้ขนาดนี้

‘ผมไม่ใช่แม่ของไอ้เขี้ยวกุดนะเว้ยพี่เนย์ มาแท็กผมทำไม’ ผมทักไลน์อีกฝ่ายไปทันที เพราะมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าพี่เนย์คงยังไม่นอน
‘นั่นก็เรื่องของมึงครับ ส่วนกูจะให้มึงเป็นและจะแท็กมึงด้วย มันก็เรื่องของกูอีก’
‘กวนประสาท’
‘ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ากูก็มีสกิลการกวนประสาทชาวบ้านเขาด้วย ความรู้ใหม่มากๆเลยมึง’

‘ไหนว่าไม่ชอบโพสต์นู่นโพสต์นี่ไงครับ แล้วนึกยังไงมานั่งขุดหาเฟซผมได้’ ผมย้อนกลับเข้าเรื่องที่จะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบก่อนดีกว่า
‘กูบอกตอนไหนว่ากูไม่ชอบโพสต์’

‘ที่ตลาดนัดเครื่องบินไงครับ พี่เคยบอกว่า ‘กูไม่ถ่ายรูป แล้วก็ไม่เช็คอินด้วย’ ก็น่าจะไม่ชอบโพสต์ ไม่ชอบเล่นโซเชียล ไม่ใช่เหรอ?’
‘แล้วไงวะ กูไม่ชอบถ่ายรูป ไม่ชอบเช็คอิน ไม่ชอบโพสต์ ก็ไม่ได้แปลว่ากูจะไม่เล่นโซเชียลนี่หว่า’

‘แล้วนึกยังไงถึงแอดมาครับ ดูท่าทางน่าจะแอบส่องเฟซผมมานานแล้วด้วยมั้ง’
‘ก็มึงไม่อ่านไลน์กูหนิ ทีหลังถ้าไม่อ่านไลน์ กูจะมาตามมึงในนี้’

‘งั้นถ้าพี่อยากบอกผมให้ฝันดี ก็ไม่เห็นต้องใช้เจ้าเขี้ยวกุดมาอ้างเลย’ ผมเถียง เพราะคลิปวีดิโอจากทางเฟซและไลน์ก็เหมือนกันเด๊ะ

Rrrrrr

“อะไรวะ กูอุตส่าห์ใช้วิธีซอฟท์ๆเพราะกลัวว่ามึงจะเขินจนตัวแตกเลยนะเว้ย มึงไม่เห็นความดีของกูเลยเหรอ ฮึ แม่ไอ้เขี้ยวกุด” ดูเอาเถอะ ไม่รู้จะชอบอะไรหนักหนากับสถานะนี้ของผมเนี่ย!
ถ้าจะเห่อลูกชายก็อย่าเอาผมเข้าไปเอี่ยวสิ!

“รัน”

“หลับยัง?”
“ยะ..อัง” ผมเผลอตอบอีกฝ่ายแบบไม่เป็นคำพูด แต่ดูเหมือนคนขี้เห่อเขาจะเข้าใจคำที่ผมต้องการจะสื่อ

“ฝันดี”
“ฝะ..ฝาน..ด..อิ” หัวใจผมเต้นแรงมาก เมื่อพยายามจะพูดคุยสื่อสารกับอีกฝ่าย โดยที่ใครคนนั้นก็ตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ และเมื่อผมพูดจบพี่เนย์ก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าพี่เขาไม่ได้หัวเราะในเชิงที่ไม่ดี
เพราะเสียงหัวเราะของพี่เนย์ มันฟังแล้วให้อารมณ์อบอุ่นในใจ

ผมนอนฟังเสียงลมหายใจของพี่เนย์อยู่นานสองนาน เพราะผมไม่กล้าวางสายจากอีกฝ่ายก่อน จึงได้แต่รอว่าเมื่อไหร่ฮีตเตอร์ส่วนตัวเครื่องนี้จะถึงเวลาหยุดทำงานเสียที

มือของเธอนั้นจะอุ่นไหม
ฝนแถวนั้นจะยังตกไหม
มืดสว่างอากาศก็ร้อนตั้งมากมาย
ใจดวงนี้คิดถึงเธอ
เธอคงยังมีความสุขนะ
ถ้าลดไปฉันพร้อมแบ่งนะ
ยื่นให้เธอส่งใจของฉันที่มีค่า
ฝากไปให้พร้อมความห่วงใย


จู่ๆ พี่เนย์ก็เปิดเพลงกล่อมผมเข้านอนซะแล้ว ผมก็ได้แต่ฟังไปแล้วก็อมยิ้มไป เพราะเพลงที่พี่เขาเลือกใช้ มันแฝงความอบอุ่นไว้ทุกอณูของเนื้อเพลง ราวกับพี่เขารู้ว่าการพูดคุยออกเสียงของผมเมื่อครู่ มันต้องผ่านการเค้นเสียงมากถึงมากที่สุด จนพี่เขาอาจกลัวว่าผมจะคิดมากกับข้อบกพร่องของตัวเอง

หอบเอาความรักที่มีในใจ
ที่เต็มด้วยความรู้สึก
ความคิดถึงไม่เหงา มีแต่อุ่นหัวใจ
ไปให้เธอนะคนดี ได้อุ่นเอนข้างกาย
ขอให้เธอเก็บเอาไว้

และต่อจากนั้น
ลองเอาดวงใจของเธอที่มีความสุข
หมดความทุกข์ เลิกเหงามีแต่อุ่นหัวใจ
ยื่นให้คนที่เดินเคียง ได้อุ่นเอนข้างกาย
ชีวิตช่างดูมีความหมาย ที่มากกว่านั้น


(Forward – วัชราวลี)

ไม่สิ ผมคิดว่าพี่เนย์อาจต้องการบอกผมผ่านทางเสียงเพลงว่า พี่เขาจะอยู่ข้างๆผม ถ้าหากผมอยากจะลองฝึกพูด หรืออยากจะลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ผมไม่มีความกล้า โดยที่พี่เขาจะใช้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อผม ส่งผ่านเป็นกำลังใจให้กัน เพื่อที่ผมจะได้ส่งผ่านความต้องการเหล่านั้นให้กลายเป็นความสำเร็จ
หรือเปล่านะ?

“นอนได้แล้ว แค่นี้” ผมนอนอมยิ้มมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ค่อยๆหม่นแสงลง เมื่อพี่อาคเนย์คนที่เคยทำตัวเหมือนกับฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น เขาได้กลับมาเป็นพี่อาคเนย์คนที่พูดความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง และนานๆครั้งถึงจะยอมพูดความรู้สึกออกมาตรงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบพี่เนย์ จะครองตัวเป็นโสดจนกระทั่งมาเจอผมได้เลย เพราะพี่เขาทั้งหน้าตาก็ดี เรียนก็น่าจะเก่ง เพราะเพื่อนๆ ชอบยืมช็อตโน้ตของพี่เนย์ไปอ่านก่อนสอบ แถมความคิดความอ่านของพี่เขาก็ดีมากๆด้วย
แล้วทำไมพี่เบสถึงกล้าปล่อยมือจากพี่เนย์ได้ล่ะ
เพราะถ้าหากเป็นผม ผมคงไม่มีทางปล่อยมือจากพี่เนย์แน่ๆ

วันนี้ผมไม่มีเรียนก็เลยตกลงกับไอ้หมอกไอ้คินว่าจะให้มันช่วยอัดคลิปวีดิโอให้ ซึ่งแน่นอนว่าประโยคที่ผมจับฉลากได้ ผมไม่รู้หรอกว่าภาษามือเขาใช้กันแบบไหน จึงต้องให้ไอ้หมอกมันช่วยทำให้ดูสักรอบสองรอบ ผมก็จำได้แล้ว เพราะว่ามันไม่ยากเลย
“อัดเลยเหรอมึง ?” ไอ้คินมันถาม ผมจึงพยักหน้าตอบ
“หมอกมึงไปปิดแอร์ดิ เดี๋ยวเสียงมันเข้า”

“จำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้เลย อัดเร็วๆนะมึง กูร้อน” ไอ้หมอกมันบ่น แต่ก็ยอมเดินไปปิดแอร์ ส่วนไอ้คินมันก็ส่งสัญญาณความพร้อมโดยชูนิ้วเพื่อนับหนึ่ง สอง และสาม จากนั้นผมก็ใช้มือขวาชี้ไปที่หน้ากล้องของโทรศัพท์มือถือ และชี้กลับมาที่ตัวเอง แล้วก็ยื่นนิ้วชี้กับนิ้วกลางออกมา ก่อนจะขยับมาชิดกันสองครั้งเหมือนท่าทางของกรรไกรที่กำลังตัดกระดาษ ขณะที่ใบหน้าก็ทำอ้อนๆเข้าไว้และต้องพยักหน้าขึ้นลงด้วย
“คัท!” ไอ้หมอกมันยื่นมือออกมาตบกันตรงหน้ากล้อง พร้อมส่งเสียงราวกับผู้กำกับหนัง
เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้วว่าไอ้นี่มันควรไปเรียนนิเทศ

‘พี่ทีมครับ ผมส่งคลิปภาษามือให้ทางอีเมลแล้วนะครับ’ หลังจากจัดการส่งอีเมลเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไลน์ไปบอกพี่ทีม จากนั้นผมก็หันมานั่งทบทวนภาษามือตั้งแต่บทแรกเหมือนที่ทำเป็นประจำ
กระทั่งใกล้เวลาเลิกเรียนพี่เนย์ก็ไลน์มาหา เพื่อนัดให้ไปเจอกันที่คาเฟ่ใกล้หอพัก เพราะวันนี้พี่เขาจะทานมื้อเย็นเร็วกว่าปกติ เนื่องจากต้องรีบกลับไปให้อาหารเจ้าลูกชายตัวโปรด และคงต้องนั่งประคบประหงมอีกนาน นาฬิกาชีวิตก็เลยต้องปรับเปลี่ยน

‘พี่เนย์ชวนไปคาเฟ่ข้างหอ พวกมึงจะไปด้วยกันมั้ย?’ ผมพิมพ์ลงในกรุ๊ปแชท
“เอาดีๆ พี่เขาชวนมึงคนเดียว หรือชวนพวกกูไปด้วยไม่ทราบ” ไอ้หมอกมันย้อนถาม

‘ชวนกูคนเดียว’
“เออไง แล้วมึงจะชวนพวกกูทำเพื่อ ไปไหนก็ไปไป๊” ไอ้หมอกมันพูดพร้อมกับโบกมือไล่

ติ้ง!

ผมเดินออกมาจากหอได้สักพัก พี่เนย์ก็ส่งข้อความเสียงมาให้ และเมื่อกดฟังก็พบว่าอีกฝ่ายน่าจะถึงสถานที่นัดหมายแล้ว เพราะว่าตอนที่พี่เขาบอกให้ผมเตรียมตัวก็เกือบจะสี่โมงแล้ว ผมจึงอัดเสียงรอบข้างส่งกลับไปบอกคนที่กำลังรออยู่ที่คาเฟ่บ้าง

‘ให้กูสั่งบลูเลม่อนเลยมั้ย?’
‘ครับ ยำแซลม่อนด้วยนะ’

‘อืม รีบๆมา เดี๋ยวน้ำจะละลายก่อน’
‘จะถึงแล้วครับ ไม่ต้องห่วงสั่งได้เลย’

พอผมเดินเข้ามาในร้านและทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะ อาหารละลานตาก็วางเสิร์ฟไว้รออยู่ก่อนแล้ว ผมจึงเหลือบไปมองแก้วบลูเลม่อน จึงเห็นว่าน้ำแข็งยังไม่ละลาย แสดงว่าพี่เขาน่าจะเพิ่งสั่ง หลังจากที่พวกเราเลิกพูดคุยสนทนากันทางแชทไลน์
“เมื่อเช้ากูลองเอาจิ้งหรีดให้เขี้ยวกุดกิน มึงดูลูกกู เป็นนักล่าที่โคตรเท่” พี่เนย์เปิดคลิปวีดิโอในโทรศัพท์ตัวเองพลางยื่นมาให้ผมดูเจ้าเขี้ยวกุดที่กำลังล่าจิ้งหรีดกินเป็นอาหาร

‘ผมว่าเหมือนคลิปทรมานสัตว์มากกว่า’ ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วก็พิมพ์ส่งกลับไปให้อีกฝ่ายอ่าน
“มันคือห่วงโซ่อาหารเว้ยมึง ธรรมชาติเขากำหนดมาแล้ว” พี่เนย์ว่าอย่างนั้น พลางเปิดอีกคลิปให้ผมดูต่อ ซึ่งคลิปดังกล่าวเป็นคลิปที่เจ้าเขี้ยวกุดกำลังมุดตัวอยู่ใต้โพรงไม้เล็กๆ โผล่ออกมาแค่ดวงตาสีแดงอมส้มที่โดดเด่นเท่านั้น

“ลูกกูนอกจากจะมีมุมเท่ๆแล้วยังมีมุมน่ารักด้วยเห็นมั้ยล่ะ”
“…” ผมส่ายหัวเถียง เพราะยังไงผมก็ยังมองไม่ออกว่าไอ้เขี้ยวกุดมันน่ารักตรงไหน
ในเมื่อนิยามคำว่า ‘น่ารัก’ ในแบบของผม มันคือแมวทุกชนิด

“ถ้างั้นแบบไหน ถึงจะเรียกว่าน่ารักสำหรับมึง?” พี่เนย์ถามพลางตักซีซาร์สลัดเข้าปาก
“…” ผมเปิดวีดิโอของเจ้าแชมเปญแมวของตัวเองให้พี่เนย์ดู โดยเลือกคลิปที่คิดว่าน่ารักที่สุดเท่าที่ผมจะมี จำได้ว่าตอนนั้นหลังจากหยุดถ่ายคลิปแล้ว ผมก็เข้าไปฟัดมันยกใหญ่ ก็ใครใช้ให้เจ้าอ้วนมันเอียงคอไปมา ขณะที่กำลังใช้สายตาอ้อนๆมองผมล่ะ

“น่ารักในแบบของมึงนี่ โคตรน่ารำคาญสำหรับกูเลย”
‘เหมือนกันครับ น่ารักในแบบของพี่ก็ไม่ได้น่ารักสำหรับผม เพราะเราสองคนชอบอะไรไม่เหมือนกันนี่ครับ’ ผมพิมพ์ข้อความส่งไปในห้องแชทของอีกฝ่าย ก่อนจะวางโทรศัพท์เอาไว้ข้างๆตัว และเริ่มลงมือกินยำแซลม่อน พร้อมกับดูดบลูเลม่อนแก้ฝืดคอ

“เข้าใจพูด” พี่เนย์ว่าอย่างนั้นพลางท้าวคางมองผม ก่อนจะยิ้มออกมา
“อ้าวรัน” ผมละความสนใจจากพี่เนย์ หันไปมองยังทิศทางของต้นเสียงที่ร้องเรียกผม พอเห็นว่าเป็นพวกแอ้มสามสาวจากคณะบัญชี ผมเลยโบกมือกลับไป

“ไม่ได้มากับคินเหรอ?” แอ้มเดินเข้ามาถามผมพลางยกมือไหว้พี่เนย์ ขณะที่อีกสองสาวหลังจากที่โบกมือทักทายผมแล้วก็เดินไปหาที่นั่งในมุมสงบของตัวเอง
“…” ผมส่ายหน้าตอบ

“เสียดายจัง งั้นเราไปก่อนนะ ไม่กวนแล้วจ๊ะ” แอ้มยกยิ้มพลางโบกมือให้ ก่อนจะหันไปไหว้พี่เนย์ที่กำลังนั่งเงียบๆอยู่ตรงข้ามผม
“…” พอหันหน้ากลับเข้ามาที่โต๊ะ ก็เห็นพี่เนย์นั่งท้าวคางพร้อมกับอมยิ้มอะไรก็ไม่รู้ ผมเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ไม่มีอะไรหรอก กินเถอะ” พี่เนย์ว่าอย่างนั้น พลางชี้ไปที่อาหารละลานตาที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมก็เลยพยักหน้าและหันมาใส่ใจกับมื้อเย็นของตัวเองตามที่อีกฝ่ายชักนำ ขณะที่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า อีกฝ่ายน่ะออกอาการมากเกินไปหรือเปล่า
แล้วตกลงนี่พี่เนย์มีเพื่อนใหม่ หรือเป็นผมที่มีเพื่อนใหม่กันแน่!

เช้าวันนี้ผมไม่ได้เจอพี่เนย์ เพราะว่าพี่เขาไม่มีเรียน ได้เจออีกทีก็ช่วงเย็น เพราะพี่เนย์ให้ผมซื้อข้าวเข้ามากินด้วยกันที่ห้อง ซึ่งผมก็ต้องวานให้ไอ้หมอกช่วยขี่จักรยานไปส่งตรงหน้ามหาลัย จากนั้นผมก็ต้องเดินหิ้วข้าวกล่องจำนวนสองกล่อง ข้ามสะพานลอยเพื่อไปยังหอพักของพี่เนย์

‘บลูเลม่อนครับ’ ผมยื่นกระดาษโน้ตไปให้พนักงานเพื่อสั่งเครื่องดื่ม จากนั้นผมก็เดินมานั่งตรงโต๊ะติดกระจกที่เป็นที่นั่งแบบเคาน์เตอร์บาร์ แล้วผมก็ไลน์ไปถามพี่เนย์ว่าจะเอาอะไรหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าพี่เขาไม่สั่งอะไร เพราะเอาแต่บ่นผมลูกเดียวว่าจะเดินตากแดดมาให้เสียเวลาทำไม ปล่อยให้พี่เขาไปรับเสียก็จบ
‘เดินแค่นี้เองครับ สบายมาก’ หลังจากได้รับเครื่องดื่มแล้ว ผมก็เดินเลี้ยวเข้าซอยข้างๆระหว่างร้านปิ้งย่างและข้าวต้มรอบดึก กระทั่งมาถึงรั้วบริเวณของหอพักพี่เนย์ ผมก็เดินตรงไปที่บันได และขึ้นไปยังชั้นที่อีกฝ่ายพักอยู่

“…” ขณะที่ผมกำลังจะเดินเลี้ยวออกจากบันไดมายังชั้นที่หมายตา ผมก็เดินสวนกับพี่เบสที่ก็หยุดชะงักการก้าวเดิน เมื่อเห็นผมอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด แต่จากนั้นไม่นาน อีกฝ่ายก็รีบวิ่งลงบันไดไป ผมจึงได้แต่มองตามแผ่นหลังบางๆของรุ่นพี่ต่างคณะ ที่หน้าตาน่ารักเหมาะกับซีรีส์ที่เจ้าตัวเล่น แถมผิวก็ยังขาวพอๆกับผมด้วย ช่วงขาของพี่เขาก็ยาวพอๆกัน รวมๆแล้วเราน่าจะสูงไม่มากไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ต่างกันที่ความโดดเด่นล้วนๆ เพราะพี่เบสมีดีกรีเป็นถึงดาราที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น ที่ขนาดเพื่อนใหม่ที่เป็นสาวคณะบัญชียังรู้จัก แล้วไหนจะสาวๆจากคณะอื่นอีก กิจกรรมของเจ้าตัวคงจะโดดเด่นน่าดู 
โปรไฟล์ของพี่เบสออกจะดีเลิศขนาดนั้น ถ้าหากเขาอยากจะทวงคืนพี่เนย์ขึ้นมา ผมคงไม่มีอะไรจะไปสู้พี่เขาแน่

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าที่เริ่มประเดประดังเข้ามา เพียงเพราะผมแค่ได้ยินเรื่องราวความสัมพันธ์ของพี่เนย์กับพี่เบสโดยบังเอิญ ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มารู้ก็ตอนที่พี่เนย์แอดเฟซบุ๊กมาหา และผมขุดไปเจอรูปถ่ายคู่กันของทั้งสองคนที่มีอยู่มากมาย กระทั่งวันนี้ผมได้บังเอิญเดินสวนทางกับพี่เบสที่หอพี่เนย์
แต่บางทีพี่เบสอาจจะพักอยู่ที่หอนี้อยู่แล้วก็ได้   

“เห้อ~” ผมเผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะคำพูดปลอบใจของตัวเองมันไม่ได้ช่วยให้เลิกคิดอะไรไม่เข้าท่าเลย

ก๊อก ก๊อก

“ตกลง”ผมยืนงงอยู่หน้าประตู เมื่อเจ้าของห้องเขาเปิดประตูต้อนรับด้วยคำว่า ‘ตกลง’ ที่ผมไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
“นี่ไง ตกลง” พี่เขาเบี่ยงตัวให้ผมเข้ามาในห้อง และขณะที่ผมปิดประตูและกำลังถอดรองเท้า พี่เนย์ก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู ซึ่งภายในหน้าจอสี่เหลี่ยมนั้น เป็นคลิปวีดิโอที่ผมกำลังสอนภาษามือเป็นคำว่า ‘เป็นแฟนกันนะ’

‘แต่เราก็คบกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ?’ ผมเดินเข้าไปในห้อง พลางวางข้าวกล่องเอาไว้บนหลังตู้ใส่หนังสือ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาพิมพ์ลงในหน้าต่างแชทของอีกฝ่าย
“ซื้ออะไรมา” พี่เขายักไหล่ จากนั้นก็เดินเข้ามายืนข้างๆผม พร้อมกับหยิบข้าวกล่องออกมา

“อะไร? ซื้อมาเหมือนกันเลยเหรอ?” พี่เขาหันมาถาม เมื่อผมรั้งข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่ให้รื้อข้าวอีกกล่องออกมาดู
“อ..อือ” ผมพยักหน้าพลางเค้นเสียงออกมาด้วย

ปึก!

ผมเบิกตาโตอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆคนข้างๆ ก็พลิกตัวผมให้หันหลังเพื่อยืนพิงกับตู้หนังสือ จากนั้นอีกฝ่ายก็ขยับตัวเข้ามาคล่อมทับผมไว้ โดยใช้วงแขนเป็นกรงขัง และใช้ฝ่ามือจับยืดข้อมือทั้งสองข้างของผม ส่วนริมฝีปากหนาคู่นั้นก็ประทับลงบนริมฝีปากของผม พลางขบเม้มอย่างเร่าร้อน จนสติของผมกระเจิดกระเจิง หากแต่สายตาของผมก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงพี่เขาได้ เพราะผมกำลังวางตัวไม่ถูก และไม่รู้ว่าในสถานการณ์อย่างนี้ผมควรต้องทำอย่างไร
อาจต้องกำจัดผีเสื้อนับร้อยที่บินว่อนอยู่ในอกก่อนดี หรือว่าจะไปตามหาสติที่มันหลุดลอยหายไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แทน
   
“ต่อไปเวลาที่เราจูบกัน มึงต้องอ้าปากด้วย”


-----------------------------------------------------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 แอพพลิเคชั่น > แอปพลิเคชัน
ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าผสมผสานทุกอารมณ์เนอะ ทั้งหวาน อบอุ่น แล้วก็หม่นๆ
เขามีจูบแรกต่อกันแล้วค่า 555 ไม่ได้เขียนเลิฟซีนมานาน ก็เลยเขียนได้ประมาณนี้แหละค่ะ 5555
ส่วนพี่เนย์ก็จะขี้อวดและมีมุมเด็กๆออกมาบ้าง เพราะถึงเจ้าตัวจะโตแล้วแต่ยังจูบปากพ่อแม่อยู่นะคะ อิอิ
ภาษามือสำหรับตอนนี้สามารถดูได้ที่สารบัญรวมภาษามือที่เราทำเอาไว้ในเด็กดีค่ะ > จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)

และหากใครชื่นชอบเรื่องนี้ สามารถติดแท็กในทวิตเตอร์ได้เลยค่ะ เราไปสิงอยู่ที่นั่นบ่อย #ฟอลอินยู
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 17 ♥ หน้า 3 (up 04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-11-2017 18:43:32
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 17 ♥ หน้า 3 (up 04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 04-11-2017 22:25:42
พี่เนย์เล่นทีเผลอ :-[ โอยยย ฟินก็ฟิน แต่ก็แอบหวงน้องรัน :serius2: ว่าแต่เบสนี่ไหงโผล่มาหอนี้ได้ล่ะ อยุ่หอนี้อยุ่แล้วหรือแวะมาหาพี่เนย์หว่า กลัวว่าเบสนี่จะสร้างปัญหาในอนาคตจัง  :hao5:

รอตอนต่อไปนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 17 ♥ หน้า 3 (up 04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 05-11-2017 00:46:18
ร้ายยยนะเน
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 17 ♥ หน้า 3 (up 04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-11-2017 00:58:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 17 ♥ หน้า 3 (up 04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-11-2017 03:38:26
สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 18 ♥ หน้า 3 (up 05/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 05-11-2017 19:49:38
♥ Fall in you ♥
ตอน 18



“เป็นบ้าเหรอมึง ?” ระหว่างเรียนวิชาภาษาไทยด้านการเขียน ไอ้หมอกมันก็กระซิบกระซาบถามผมด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
‘..?..’ ผมจึงหันไปเขียนเครื่องหมายคำถามใส่ลงในสมุดจดเลคเชอร์ของมันด้วยความไม่เข้าใจว่าใครกันแน่ที่เป็นบ้า

“ก็มึงนั่งเหม่อจนอาจารย์เขาเริ่มสอนชีทหน้าใหม่แล้ว มือน่ะก็ลูบปากเข้าไปสิ เป็นเชี่ยไรปากแตกเหรอ?” ไอ้หมอกมันย้อนถามมาเป็นชุด ทำเอาผมลอบกลืนน้ำลายแทบไม่ทัน เลยต้องเฉไฉเปิดชีทไปยังหน้าถัดไป แล้วก็ก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียนให้มากกว่าที่เป็นอยู่
“เพื่อนมึงอาจจะปากไม่แตก แต่คงทาลิปมันยี่ห้อเดียวกับคนที่เรียนเอกจิตวิทยาล่ะมั้ง” ทันทีที่ไอ้คินพูดจบ ไอ้หมอกที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับไอ้คินก็ถึงกับหันควับมามองอย่างรวดเร็ว

“อ้อ.. กูเข้าใจละ พยายามตั้งใจเรียนเข้านะมึง” ไอ้หมอกมันเอาปากกาเหน็บตรงข้างหู พลางเอื้อมมือมาตบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจ พร้อมกับกลั้นขำเต็มที่ แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยให้ผมไม่รู้สึกอายน้อยลงเลย
เชี่ยเถอะ! ทำไมผมถึงไม่สามารถปิดบังพวกมันได้เลยเนี่ย!

ตั้งแต่วันนั้นวันที่เราจูบกัน ผมก็มั่นใจได้เลยว่าความรู้สึกทางใจมันพัฒนาไปมาก มากจนรวดเร็วเหมือนกับตอนที่เสือชีตาร์กำลังวิ่ง แต่ความสัมพันธ์ทางกายกลับมีความเร็วเท่าเต่าคลาน ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเราดูไม่บาลานซ์กันเลย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกชื่นชอบความสัมพันธ์ของเราไม่ว่าจะในรูปแบบไหนอยู่ดี

“วันนี้จะไปกินร้านไหนกันดีวะ?” ระหว่างเดินลงบันไดหลังจากเลิกคลาสไอ้หมอกมันก็หันมาถามความคิดเห็น
“ไปกินร้านแถวๆคณะวิศวะมั้ยมึง เรายังไม่เคยไปกันเลยนี่หว่า” ไอ้คินเสนอ

“ไปแย่งกับพวกวิศวะเนี่ยนะ มึงครับ คณะเขาคนเยอะที่สุดในมหาลัยเลยมั้ง จะได้แดกเมื่อไหร่ล่ะนั่น” ไอ้หมอกมันแย้งแบบไม่เห็นด้วย
“เฮ้ยคณะเขาก็มีทั้งโรงอาหารกับร้านแถวๆนั้นด้วยนะมึง มันก็น่าจะถัวเฉลี่ยกันไหม อีกอย่างพวกวิศวะมันก็อาจจะไปกินข้าวที่โรงอาหารกลางเพื่อไปเปิดหูเปิดตาก็ได้นี่หว่า ไปเหอะอย่าเรื่องมากเลยครับมึง กูคิดออกแค่นี้” ไอ้คินมันว่าพลางกอดคอพวกผมให้รีบวิ่งลงบันไดเร็วๆ เพราะช่วงบ่ายมีเรียนกันอีกตัว

“อ้าวแอ้ม อิ๋ม นิ้ง มาทำอะไรเนี่ย?” ไอ้คินทักทายหญิงสาวต่างคณะอย่างเป็นกันเอง
“ฮั่นแน่ ติดใจอะไรที่คณะเราหรือเปล่าเนี่ย” ไอ้หมอกได้ทีก็รีบล้อหญิงสาวทั้งสามคนยกใหญ่ ส่วนผมก็ได้แต่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆพวกมัน

“พอดีเรามาหาเพื่อนน่ะ แล้วนี่จะไปไหนกันเหรอ?” นิ้งตอบพลางถามกลับมา
“กินข้าวดิ เที่ยงแล้วเนี่ย” ไอ้คินตอบพลางชี้ไปที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือของตัวเอง

“ไปด้วยกันไหมล่ะ เราว่าจะไปกินแถวคณะวิศวะ” ไอ้หมอกถือโอกาสชวน พลางหันไปขยิบตาให้ไอ้คินหนึ่งที จนผมถึงกับหรี่ตามองเพื่อนตัวสูงอีกคนทันที
ท่าทางว่าผมจะตกข่าวอะไรหรือเปล่านั่น

“ไปสิ แอ้มมันก็บ่นอยากไปกินข้าวแถวๆนั้นพอดีเลย ใช่มั้ย?” อิ๋มว่าพลางหันไปกระทุ้งสีข้างของเพื่อนสาวอีกคนที่เธอเอ่ยชื่อ
“อ..อื้อ” ทันทีที่เธอตอบอย่างเอียงอาย ผมก็หันไปมองไอ้คินบ้าง จนทันได้เห็นเสือยิ้มยากอย่างมันหลุดยิ้มออกมา จากนั้นสายตาผมก็หันไปสบเข้ากับไอ้หมอกพอดี มันเลยยักคิ้วให้
แสดงว่าการติวข้อสอบในวันนั้น ที่แท้มันก็มีนัยยะสำคัญแบบนี้นี่เอง

“เป็นเชี่ยไรไอ้รัน” ขณะที่กำลังจะเดินลงบันไดขั้นเล็กตรงหน้าตึกคณะ ผมก็หันไปเห็นพี่เบสกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าคณะ จังหวะการก้าวเดินของผมจึงสะดุดไป
“…” ผมยิ้มให้ไอ้หมอก จากนั้นก็วิ่งเข้าไปกอดคอและเดินไปพร้อมกับมัน ขณะที่หางตาของผมก็มองไปที่ใครคนนั้นที่สาวๆหลายคนต่างก็ให้ความสนใจอย่างมากมาย ด้วยเพราะเขาเป็นดารานักแสดง และยังโดดเด่นจนน่ามอง

Rrrrrrr

“เย็นนี้ไปเป็นเพื่อนกูซื้ออาหารไอ้เขี้ยวกุดหน่อย” ทันทีที่ผมรับสาย พี่เนย์ก็รีบพูดขึ้นมาราวกับกลัวว่าจะไม่ได้พูดเสียอย่างนั้น
“อ..อือ”

“ตามนั้น แล้วเจอกัน” พี่เนย์วางสายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อได้คำตอบ ทำเอาผมได้แต่มองโทรศัพท์ในมือของตัวเองแน่นิ่งด้วยความรู้สึกกังวล กลัวว่าที่พี่เขารีบวางสาย มันจะเป็นเพราะพี่เบสหรือเปล่า เล่นมานั่งรอที่หน้าคณะขนาดนั้น
แต่ว่า.. พี่เนย์ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว มาเร็วไปเร็วเสมอ ไม่โรแมนติก ไม่ได้ตัวติดกัน ทุกอย่างที่พี่เขาทำยังเหมือนเดิม มีแต่ผมที่กังวลไปเอง เพราะผมไม่มีอะไรที่จะเทียบกับใครคนนั้นได้เลยสักอย่าง

“นั่นน้องรันแฟนไอ้เนย์ใช่ไหมน่ะ?” เมื่อมาถึงร้านผมก็เลือกที่นั่งด้านในสุดตามความเคยชิน แต่ก็ได้ยินเสียงของใครสักคนดูเหมือนจะพูดถึงผมอยู่
“ไหนๆ อ้าวรัน บังเอิญจัง” ผมยกมือไหว้พี่เอ้ เพื่อนพี่เนย์ ซึ่งพี่เขาก็รับไหว้และยิ้มอย่างดีใจ

“ขอตัวเพื่อนแป๊ปนึงนะคะ” พี่เอ้หันไปพูดกับเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มผม จากนั้นก็เดินมาจูงมือผมให้ไปยังโต๊ะของตัวเองที่อยู่ตรงกันข้าม
“คนนี้แหละ บาสยังไม่เคยเจอน้องนี่” ผมยกมือไหว้พี่บาสคนที่เป็นแฟนพี่เอ้ พลางยิ้มบางๆ ให้พี่เขา

“อืม ใช่คลาดกันตลอด” ระหว่างที่พี่เขาพูด ผมก็นึกไปถึงวันที่ผมบังเอิญเจอเพื่อนพี่เนย์ที่คาเฟ่แถวหอพักตอนช่วงสอบ คาดว่าในร้านกาแฟวันนั้นอาจจะมีเพื่อนร่วมสาขาอยู่ด้วย จึงทำให้ผมไม่ได้เอะใจว่ายังเจอเพื่อนของพี่เนย์ไม่ครบ แถมวันที่เจอกันตรงหน้าร้านถ่ายเอกสารก็มากันไม่ครบกลุ่มด้วย
แต่เอาเข้าจริง ผมก็ยังไม่ทราบว่ากลุ่มของพี่เนย์มีกันอยู่กี่คนด้วยน่ะแหละ

“แฟนเราแม่งบ้าเห่อมาก อวดไอ้เขี้ยวกุดทั้งวันจนพี่จะเป็นบ้าตาย” พี่บาสพูดขึ้น ทำเอาผมหลุดขำออกมาเพราะนึกออกเลยว่าอีกฝ่ายจะออกอาการแบบไหน ขนาดกับผมยังอวดลูกชายตัวโปรดอยู่บ่อยๆเลย แล้วนี่เพื่อนสนิททั้งคนพี่เขาต้องไม่พลาดที่จะอวดไอ้เขี้ยวกุดอยู่แล้ว
“ไอ้บาสมันกลัวสัตว์เลื้อยคลานน่ะ ไอ้เนย์มันเลยชอบเปิดรูปให้ดูบ่อยๆ ตามประสาคนกวนประสาทไง” พี่เอ้แอบนินทาทั้งพี่เนย์และแฟนตัวเอง โดยการกระซิบกระซาบกับผมอย่างออกรส

“ปล่อยน้องมันไปกินข้าวก่อนดีมั้ยเอ้ ไม่รู้น้องมันมีเรียนต่อหรือเปล่า”
“เออใช่ โทษทีนะรัน เชิญตามสบายจ้า” พอพี่เอ้ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมจึงไหว้ลาพวกพี่ทั้งสองคน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าจะถามเรื่องพี่เนย์สักหน่อย

‘พี่เนย์กับพี่บาสอีกคนไปไหนเหรอครับ ทำไมถึงมากินกันสองคน’ ผมเดินไปสะกิดขอโทรศัพท์จากไอ้คิน จากนั้นก็ยืนพิมพ์ข้อความอยู่สักพักจึงยื่นไปให้พี่เอ้อ่าน
“อ๋อ ไอ้เนย์มันซื้ออาหารกล่องเข้าไปกินที่หอน่ะ ส่วนไอ้ตี๋บาสมันไปกินกับไอ้เปรม ประมาณว่าเพื่อนพี่มันมีคู่อริอยู่คณะวิศวะน่ะ เราเลยต้องแยกกันไปคนละทิศละทาง” พี่เอ้อธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วนพลางขยิบตาให้ผม เมื่อได้เผาเพื่อนตัวเอง

ผมยิ้มทิ้งท้าย จากนั้นก็เดินกลับมายังที่นั่งของตัวเอง และคืนโทรศัพท์ให้ไอ้คิน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความไปแซ็วคนขี้เห่อ ที่เดี๋ยวนี้มื้อกลางวันต้องซื้อข้าวกล่องเข้าไปกินเพราะต้องให้อาหารไอ้เขี้ยวกุด
ท่าทางว่าปากท้องของเจ้าลูกชายจะสำคัญกว่าปากท้องของตัวเองไปแล้ว

‘กินข้าวกับเขี้ยวกุดอร่อยไหมครับ’
‘มึงรู้ได้ไงวะ’ พี่เนย์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

‘พอดีผมเจอพี่เอ้กับพี่บาสครับ มากินข้าวร้านเดียวกัน’
‘อ้อ มันเลยถือโอกาสเผากูกับมึงเลยว่างั้น’

‘ก็ประมาณนั้นครับ’
‘แล้วเป็นไง ได้คุยกับเพื่อนกูแล้ว’

‘ก็น่ารักดีครับ’
‘แล้วถ้ากูจะพามึงไปแนะนำกับพวกมันวันศุกร์นี้ มึงจะว่าไง?’

‘ไม่มีปัญหาครับ’ ผมนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจตอบตกลง เพราะผมคิดว่ากำแพงเล็กๆที่ผมสร้างเอาไว้ไม่ได้แน่นหนานัก เพื่อนของพี่เนย์จึงค่อยๆก้าวเข้ามาในโลกของผมได้อย่างแยบยล ไม่ต่างกับสาวๆจากคณะบัญชี ที่ตอนนี้ผมเริ่มพูดคุยตอบโต้กับพวกเธอมากขึ้นแล้ว

หากเปรียบจิตใจของผมเหมือนกับผ้าขาว ที่เคยมีรอยเปรอะเปื้อนจนซักไม่ออก เพราะเลือกใช้ผงซักฟอกที่ไม่ได้มาตราฐาน หรือไม่ก็อาจจะใช้เครื่องซักผ้าที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ กระทั่งวันนี้วันที่ผมมีผู้จัดการส่วนตัวอย่างพี่อาคเนย์เป็นคนเลือกสรรเครื่องซักผ้าอย่างดีมาให้ และยังเลือกใช้ผงซักฟอกที่มาพร้อมกับเครื่องซักผ้าเครื่องนั้นอีก ผ้าขาวที่ไม่เคยซักออก ก็ค่อยๆได้รับการดูแลเป็นอย่างดี จนคราบเปรอะเปื้อนมันเริ่มจางหายไปทีละน้อย ซ้ำยังมีฮีตเตอร์อย่างดีที่คอยให้ความอบอุ่น ผ้าขาวที่กำลังเปียกปอนเพราะการซักล้าง ก็ค่อยๆแห้งหมาดอย่างรวดเร็ว

“ไม่ชอบก็ต้องกินนะมึง กูสั่งไปแล้ว เสียดายของ” ไอ้หมอกมันสะกิดพลางพยักพเยิดให้ผมรีบกินข้าว ผมจึงหยุดคิดเรื่องที่พี่เนย์เคยพูดไว้ว่าให้ผมค่อยๆเปิดใจเรียนรู้เพื่อนร่วมโลกในสังคมที่เป็นของเรา
“ขอโทษนะ เราถามได้หรือเปล่า คือเมื่อกี้เราได้ยินว่ารันเป็นแฟนกับพี่เนย์ ใช่พี่อาคเนย์เอกจิตวิทยาหรือเปล่า?” ขณะที่ผมเริ่มลงมือกินข้าว นิ้งก็ถามถึงเรื่องส่วนตัวของผมขึ้นมา

“…” ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนต่างคณะ จากนั้นก็พยักหน้าขึ้นลง เมื่อตัดสินใจดีแล้ว
“ก็ว่าอยู่ ทำไมพี่เนย์ถึงแชร์คลิปที่รันทำแคมเปญของสาขาลงเฟซ”

‘ไม่คิดว่าพี่เขาแชร์เพราะอยากช่วยเผยแพร่สาขาของเราหรือไม่ก็ภาษามือบ้างเหรอ?’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ของตัวเอง พลางยื่นไปตรงหน้าของสามสาวต่างคณะ
“ตอนแรกก็คิดอย่างนั้นแหละ แต่เห็นพี่เนย์ลงคลิปเขี้ยวกุดแล้วแท็กรันด้วยไง แถมยังชอบเห็นอยู่ด้วยกันบ่อยๆอีก ก็เลย.. อ่า.. นั่นแหละ” อิ๋มเป็นฝ่ายตอบพลางยิ้มอายๆ เมื่อเธอกำลังสารภาพกับผมกลายๆว่าแอบส่องเฟซของแฟนผม

‘เราถามหน่อยสิ พี่เนย์ดังมากเลยเหรอ?’ ผมยิ้มพลางตั้งถามที่นึกสงสัย แม้ว่าจะเคยได้เห็นด้วยตาตัวเองผ่านทางข้อความจากในเฟซแล้วก็ตาม
“ดังสิ แต่ดังเพราะเคยเป็นคู่วายที่คนชอบเยอะมากๆน่ะ”

‘ประมาณเน็ตไอดอลอย่างนั้นน่ะเหรอ?’
“ก็ทำนองนั้น” นิ้งพยักหน้า ส่วนผมก็จมลงสู่ห้วงแห่งความคิด

เพราะถึงแม้ผมจะไม่เข้าใจคำว่า ‘คู่วาย’ อะไรนั่นก็เถอะ แต่ผมก็พอจะเดาได้จากบทสนทนาของสามสาวต่างคณะที่เคยพูดถึงเมื่อครั้งเจอหน้ากันครั้งแรกที่โรงอาหารกลาง ทำนองว่าพี่เนย์เลิกกับพี่เบสเพราะทำให้เรื่องส่วนตัวกลายเป็นเรื่องส่วนรวม แล้วจากนั้นพี่เบสก็ได้เล่นซีรีส์เฉพาะกลุ่ม ซึ่งก็ดังและเป็นที่รู้จักของวัยรุ่นสาวๆที่ชื่นชอบอะไรแบบนี้
ถ้าอย่างนั้น มันจะเป็นไปได้ไหมว่า..
ความจริงแล้วที่พวกเขาเลิกกัน อาจเพราะไม่ได้เต็มใจที่จะเลิก ตอนนี้ถึงได้ยังติดต่อกันอยู่ แถมบางที เรื่องที่ทุกคนรู้ มันก็อาจจะเป็นแค่ข่าวลือก็ได้

-------------------------------------------------------------

วันนี้มาลงช้าหน่อย พอดีติดธุระค่ะ แถมตอนนี้ยังสั้นอีก T[]T
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามกันอย่างต่อเนื่องค่ะ ส่วนใครคิดถึงคุณพระเอกนั้น ตอนหน้านะคะ 555
ทาลิปมัน.. จะทากันอีกเมื่อไหร่ดี ?_?
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 18 ♥ หน้า 3 (up 05/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-11-2017 20:03:25
ทำไมน้องรันคิดเยอะ แถมดึงไปดราม่าเองด้วย เรายังไม่เห็นประเด็นตรงไหนเลย นอกจากเขาเคยเป็นแฟนกันอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 18 ♥ หน้า 3 (up 05/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 05-11-2017 20:24:21
น้องรัน อย่าคิดมากกกก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 18 ♥ หน้า 3 (up 05/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-11-2017 20:31:13
อย่าคิดมากซิ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 18 ♥ หน้า 3 (up 05/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-11-2017 23:14:02
 :L2: :L1: :pig4:

ปมในใจ เห็นอะไรก็คิด
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 18 ♥ หน้า 3 (up 05/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-11-2017 23:55:59
อย่าคิดมากสิรันเอ้ยยย
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 18 ♥ หน้า 3 (up 05/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 06-11-2017 10:41:14
น้องรันอย่าคิดมากนะ โอ๋ๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 19 ♥ หน้า 3 (up 06/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 06-11-2017 13:17:19
♥ Fall in you ♥
ตอน 19



ผมยอมรับว่าผมซึมลงไปเยอะ เพราะผมคิดไปเอง อีกทั้งการกระทำของพี่เบสก็ยังชวนให้คิด เพราะผมเจอพี่เบสที่หน้าตึกคณะช่วงพักกลางวันบ่อยมาก จนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า บางทีการให้อิสระกันมากเกินไป มันก็ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกันได้ และผมก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบถามซอกแซก ความหน่วงในอกมันก็เลยฟุ้งกระจายเต็มไปหมด
“มึงจะดูทำไมวะไอ้รัน มันก็แค่การตลาด แค่ความคิดเห็นของคนน่ะมึง” ไอ้คินมันทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อช่วงนี้ผมเอาแต่ไถทามไลน์ในเฟซบุ๊กของตัวเอง เพียงเพื่อจะดูว่าเพื่อนๆของผมได้แชร์รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับพี่เนย์และพี่เบสอีกหรือไม่ เพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้จะมีรูปทำนองนั้นออกมาเยอะมาก ถึงจะเป็นรูปเก่าๆก็เถอะ

จากที่อ่านคร่าวๆ ตอนนี้เหมือนจะมีการเปิดแคสนักแสดงของซีรีส์เรื่องใหม่ แฟนคลับของนิยายเรื่องนั้น ซึ่งก็คือพวกเพื่อนๆผู้หญิงในสาขาของผม บางคนก็ร่วมแชร์ความคิดเห็นด้วย จนลุกลามไปถึงเรื่องราวส่วนตัวเมื่อครั้งนั้นของคนสองคนที่พวกเขาอยากให้ได้เล่นซีรีส์คู่กัน
“พวกเขาสองคนจะเคยคบกันหรือไม่เคยคบ กูว่ามันก็ไม่ใช่ประเด็นมั้ยมึง ตอนนี้มึงคือแฟนของพี่เนย์ พี่เขาเลือกมึง มันสำคัญแค่นั้น แต่ถ้ามึงกลัวว่าเขาจะกลับมาคุยกัน กูก็บอกมึงได้แค่ว่า ‘ทำใจ’ ซะ เพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะถ้าคนจะไป ยังไงมันก็ไป กูไม่ได้จะพูดเพื่อตอกย้ำนะ แต่กูพูดเพื่อให้มึงลองมองในอีกมุม หรือไม่มึงก็ถามพี่เนย์ไปเลยว่าตกลงแล้วพี่เขาอยากกลับไปคืนดีด้วยหรือเปล่า เผื่อบางทีไอ้พี่เบสอะไรนั่น มันอาจจะแค่ไปคุยเรื่องงานที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ก็ได้”

“อืม ใช่ กูได้ยินมาจากแอ้มประมาณว่าซีรีส์เรื่องใหม่เขาอยากได้พี่เนย์ไปเล่น ก็เลยให้พี่เบสช่วยติดต่อให้ เพราะหาทางนั้นเขาติดต่อพี่เนย์ไม่ได้ มึงอย่าคิดมากดิวะ”
“…” ผมพยักหน้าพลางลุกขึ้นมาอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปตามนัด เพราะวันนี้พี่เนย์จะพาผมไปแนะนำกับเพื่อนของเขา

“รันช่วงนี้มึงเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า?” เมื่อขึ้นมาบนรถ พี่เนย์ก็ถามผมพลางยกมือขึ้นอังหน้าผาก
“…” ผมส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธว่าผมไม่ได้เป็นอะไร อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง

Rrrrr

“มีอะไร” พี่เนย์รับสายเสียงห้วน ขณะขับรถไปตามเส้นทางที่มุ่งไปยังร้านอันเป็นที่นัดหมายของกลุ่มเพื่อน
“เบส ตอนนี้กูไม่ว่าง และกูก็บอกมึงไปแล้วนะว่าไม่ ทำไมไม่จบวะ แค่นี้” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงกระชาก จากนั้นก็วางสาย และบรรยากาศภายในรถก็เริ่มรู้สึกอึมครึมอย่างบอกไม่ถูก

Rrrrr
Rrrrr Rrrrr

โทรศัพท์ของพี่เนย์สั่นไหวอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเรามาถึงร้านอาหารทะเลอันเป็นที่นัดหมาย จากนั้นพี่เนย์ก็โทรหาเพื่อน เพื่อพาผมไปยังโต๊ะที่ได้จับจองไว้ ก่อนจะแนะนำให้ผมรู้จักกับเพื่อนของพี่เนย์อย่างเป็นทางการ ซึ่งกลุ่มของพี่เขามีอยู่ด้วยกันห้าคน
ก็คือพี่เนย์ พี่เอ้ พี่บาสแฟนพี่เอ้ พี่บาสที่ผมเจอบ่อยๆ แต่ในกลุ่มเพื่อนจะเรียกว่าไอ้ตี๋บาส แล้วก็พี่เปรมคนที่ผมเคยได้ยินแต่ชื่อ จนเกือบจะลืมไปแล้ว

“หงุดหงิดอะไรวะ หน้าหงิกเลย” พี่ตี๋บาสถามด้วยความสงสัย เมื่อพี่เนย์ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างที่เพื่อนเว้นไว้ให้สองตัว

Rrrrr Rrrrr

“เชี่ยเอ้ย เดี๋ยวกูมา” พี่เนย์สบถ จากนั้นก็เดินออกไปจากโต๊ะพร้อมกับรับโทรศัพท์ด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ พี่ๆคนอื่นก็เลยหันมายิ้มให้ผม พลางสอบถามว่าจะทานน้ำอัดลมหรือน้ำเปล่า ก่อนจะหยิบเมนูอาหารมาให้ผมเลือกเพิ่ม เพราะพวกพี่เขาบอกว่ามื้อนี้จะเลี้ยงผม และไม่ต้องเกรงใจ
“กูว่าเรื่องไอ้เบสแน่ๆเลยว่ะ” พี่เปรมพยักหน้าไปทางคนตัวโตที่กำลังเดินกลับมาที่โต๊ะ ก่อนจะกระซิบเบาๆกับเพื่อนคนอื่นๆ

“ไอ้เชี่ยเปรม” พี่เอ้ถลึงตาใส่เจ้าของชื่อ พลางพยักพเยิดมาทางผม ผมจึงได้แต่ยกยิ้มแก้เก้อ
“เดี๋ยวกูมา พวกมึงกินกันไปก่อนเลย” พี่เนย์บอกเพื่อนตัวเอง พลางเอื้อมมือมาลูบหัวผมก่อนจะเดินจากไป
เพราะคนจากปลายสายเมื่อสักครู่แน่ๆ

“เชี่ยแม่ง อารมณ์เสีย” พี่เอ้พิงพนักเก้าอี้ด้วยไม่สบอารมณ์
“พวกมึงดูนะ ขนาดเลิกกันแล้ว แม่งยังเอาแต่ใจกับไอ้เนย์อยู่ได้”

“เบสมันอาจจะเรียกไปคุยเรื่องซีรีส์อะไรนั่นก็ได้มั้งมึง” พี่ตี๋บาสเอ่ยขึ้น
“…” ผมนั่งฟังพวกพี่เขาพูดคุยกันได้สักพัก ก็รู้สึกเหมือนกับก้อนอะไรสักอย่างมันจุกอยู่ในลำคอ อีกทั้งขอบตาก็เริ่มจะร้อนผ่าว เมื่อพี่เนย์เลือกที่จะเดินไปหาคนที่เคยเป็นแฟนเก่า ทั้งๆที่ตัวเองหงุดหงิดมากแค่ไหน แต่ก็ยังเลือกที่จะไป โดยทิ้งผมไว้กับเพื่อนของตัวเอง ในวันที่พวกเรานัดหมายกันว่า วันนี้จะเป็นวันที่ผมเปิดใจให้เพื่อนๆของพี่เนย์ก้าวเข้ามาในโลกของผม
ทั้งๆที่ผมต้องการกำลังใจ ต้องการให้พี่เขาอยู่ข้างๆ ในช่วงเวลาอย่างนี้แท้ๆ
แต่สุดท้าย พี่เนย์ก็ทิ้งผมไปอย่างไม่ใยดี

“มะ..อึง..มา..ระ..อับ” ทันทีที่ผมแยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนของพี่เนย์เพราะกล่าวอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ผมก็หลบออกมาข้างนอกร้านตรงลานจอดรถมืดๆ และโทรหาไอ้คิน ด้วยไม่ทันคิดให้รอบคอบว่าวิธีนี้มันเป็นวิธีที่ตัวเองไม่สะดวกเลยสักนิด เพราะขณะที่กำลังพูดน้ำตาของผมก็ยิ่งไหล การเค้นเสียงที่ว่ายากอยู่แล้ว ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ในเมื่อผมกำลังร้องไห้จนตัวโยนด้วยความกลัว กังวล และน้อยใจ
“…” ผมทรุดตัวนั่งลงร้องไห้เงียบๆ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตัวเองดี เพราะทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง
เพราะแม้แต่จะพูดผมก็ยังพูดให้เป็นคำไม่ได้

ติ้ง!
ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง!

‘พวกมึงมารับกูเดี๋ยวนี้เลยได้ไหม กูอยากกลับหอแล้ว มาเร็วๆนะ’ ผมตัดสินใจเช็ดหน้าเช็ดตา พลางนั่งคุดคู้พิมพ์ข้อความแชทส่งไปให้เพื่อนสนิททั้งสองคนหลังจากที่พวกมันรัวแชทมาหาผมจนโทรศัพท์ผมแทบค้าง ขณะที่น้ำตาก็ยังคงไหลเป็นทางโดยไม่มีทีท่าที่จะหยุด
‘ได้ดิ มึงแชร์โลเกชั่นมา เดี๋ยวกูไปยืมรถไอ้โชคมารับ’

Rrrrr Rrrrr

“รัน มึงได้ยินกูมั้ย”
“…” ผมเลือกที่จะกดปุ่มไหนสักปุ่มเพื่อบอกให้ไอ้หมอกมันรู้ว่าผมกำลังฟังอยู่

“ไอ้คินมันกำลังไปยืมรถไอ้โชคอยู่ เดี๋ยวมันคงออกไปแล้วแหละ มึงรอก่อน”
“…”

“นี่ถ้าพวกกูรู้จักใครสักคนที่มีรถใหญ่ พวกกูคงยกโขยงกันไปรับมึงแล้วเนี่ย” ผมอมยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อไอ้หมอกมันพูดแกมหยอก แต่ก็แฝงให้รู้ว่าถึงมันจะไม่ได้นั่งรถมากับไอ้คิน แต่มันก็เป็นห่วงผมเหมือนกัน
แต่ด้วยความที่ร้านที่พวกพี่เนย์พาผมมา มันอยู่ไกลจากมหาลัย จึงต้องใช้เวลาในการเดินทาง ผมเลยเลือกที่จะกดวางสาย และไลน์ไปบอกไอ้หมอกว่าผมรอได้ เพื่อไม่ให้มันต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้ เพราะยิ่งมันอยู่กับผมในสาย ผมก็ยิ่งร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เพราะผมรู้ว่าถ้าหากผมร้องในตอนนี้ ผมก็ยังมีเพื่อนที่คอยปลอบใจผมอยู่

“รัน” ผมเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง ก็เห็นว่าเป็นคนที่เขาเพิ่งจะทิ้งผม เพื่อไปหาใครอีกคนเมื่อครู่ ทำนบน้ำตาของผมก็ไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก เพราะผมโล่งใจที่พี่เขากลับมาอยู่ตรงนี้แล้ว
“กูขอโทษ” พี่เขาย่อตัวลงนั่งยองๆในระดับเดียวกัน พลางวางฝ่ามือหนาลงบนศีรษะของผมก่อนจะลูบเบาๆ

“กูไม่รู้ว่ามึงกำลังคิดมากเรื่องนี้ กูคงคิดน้อยไปเองแหละ” พี่เขารวบตัวผมเข้ามากอดไว้ จากนั้นก็กระซิบเสียงแผ่วข้างใบหู
“…” ผมกอดพี่เขาแน่น พลางซุกหน้าลงกับลาดไหล่ของอีกฝ่าย ขณะที่น้ำตาก็ยังคงไหลไม่ขาดสาย เพราะผมดีใจที่พี่เขาไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมกังวล

“เรื่องของกูกับเขามันจบไปแล้ว แต่ที่กูต้องไป เพราะเขานัดผู้จัดมาคุยกับกูเรื่องซีรีส์อะไรนั่น ซึ่งกูไม่สนใจ และกูต้องการให้มันจบ กูถึงต้องไปคุย” พี่เขาผละผมออกจากอ้อมกอด จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือใหญ่ๆของเจ้าตัว เช็ดใบหน้าของผมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา

“ณ ตอนนี้ คนที่พี่เลือกคือรัน เข้าใจไหม?” พี่เนย์ยกยิ้มเหมือนกับตอนที่พูดคุยเรื่องของครอบครัวตัวเองอีกครั้ง ทำเอาผมต้องพยักหน้าและยิ้มตามอย่างห้ามไม่อยู่
“งั้นก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว คนเก่งของกูไม่ใช่คนขี้แยนี่หว่า” พี่เขาประคองใบหน้าของผมไว้ พลางพูดแกมหยอก จากนั้นริมฝีปากคู่นั้นก็แตะกับริมฝีปากของผมอยู่หลายที ราวกับกำลังหยอกเย้าผมเล่น

“กลับไปกินบะหมี่ข้างทางแถวหอกูดีกว่า เดี๋ยวไว้ค่อยนัดเจอกับเพื่อนกูใหม่วันหลังดีไหม?”
“…” ผมพยักหน้า พลางหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา เพื่อที่จะให้พี่เนย์โทรไปสอบถามไอ้คินว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหนแล้ว เพราะว่านี่มันนานพอสมควรแล้ว แต่ไอ้คินก็ยังมาไม่ถึง ผมกลัวว่ามันจะประสบอุบัติเหตุ เพราะมันขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาที่ถนนใหญ่คนเดียว แถมยังดึกมาแล้วด้วย

“จะให้กูโทรหาไอ้คินเหรอ?” พี่เขาถาม เมื่อผมค้างหน้าจอโทรศัพท์เอาไว้ที่สมุดรายชื่อที่เมมไว้ในเครื่อง ซึ่งเป็นเบอร์โทรของไอ้คิน
“…” ผมพยักหน้า

“มันเป็นคนโทรบอกให้กูรีบมาหามึงเอง มันอยากให้มึงเคลียร์กับกูให้เข้าใจภายในคืนนี้” พี่เขาอธิบาย จากนั้นก็กดโทรหาไอ้คินตามที่ผมขอร้อง
“กูเอง.. เข้าใจผิดกันนิดหน่อย แต่ตอนนี้คืนดีกันแล้ว เออ.. แต่คืนนี้คงกลับไม่ทันหอปิดหรอกว่ะ มันอาจจะต้องค้างหอกู เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอามาคืน” ทันทีที่พี่เนย์พูดจบก็รีบวางสายและคืนโทรศัพท์กลับมาให้

“ไป.. ไปลาเพื่อนกูก่อน มันตกใจกันใหญ่ที่มึงหายไป” พี่เนย์ลุกขึ้นยืน พลางยื่นมือออกมาให้ผมจับ และทันทีที่ผมยื่นมือออกไปจับฝ่ามือคู่นั้น คนตัวโตก็ออกแรงฉุดให้ผมลุกขึ้น และเดินเข้าไปข้างในร้านด้วยกัน และทันทีที่เพื่อนพี่เนย์เห็นหน้าผม พี่เขาก็ถอนหายใจกันเป็นแถว ทำเอาผมรู้สึกผิดที่ก่อความวุ่นวายให้พวกพี่เขา
“อย่าคิดมากนะรัน เชื่อพี่.. ตอนนี้ไอ้เนย์กับดารานั่น จบกันแล้วแน่นอนพันเปอร์เซ็นต์” พี่เอ้เดินเข้ามาจูงมือผมให้นั่งที่เก้าอี้ตัวที่เธอนั่ง จากนั้นก็ลูบแก้มผมยกใหญ่ จนผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ เมื่อครั้งที่พ่อกับแม่ต้องปลอบใจครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อผมกลัวและรับไม่ได้กับข้อบกพร่องของตัวเอง

“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้าตอบรับคำพูดของพี่เอ้
“พวกพี่เองก็ผิด ที่พูดเรื่องเบสขึ้นมาด้วย”

“…” ผมส่ายหน้าให้พี่เปรม เพราะความจริงแล้วพวกพี่เขาไม่ได้ผิดอะไร ในเมื่อความเป็นจริงของเรื่องนี้มันก็ไม่มีอะไรเลย พวกพี่เขาถึงไม่ได้คาดคิดว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกคิดมาก จนกลายเป็นบ่อเกิดของความน้อยใจที่มีต่อพี่เนย์
“ขะ..ออ..” ผมขยับปากอย่างช้าๆ เมื่อผมต้องการจะบอกคำๆหนึ่งให้พวกพี่เขาทราบ

“พิมพ์เอาสิรัน” พี่เนย์ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผม พลางวางมือลงบนไหล่ของผมทั้งสองข้าง
“…” ผมส่ายหัว

“ขะ..ออ..ทะ..โอท”
“ขอโทษ ?” พี่ตี๋บาสแปลถ้อยคำของผมในเชิงซักถาม ผมจึงพยักหน้าพลางยิ้มให้พวกพี่ๆทุกคนด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ต้องวุ่นวาย

“ขอโทษทำไมกัน เราไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย” พี่บาสแฟนพี่เอ้พูดขึ้นมาบ้าง พี่เอ้จึงรีบพยักหน้าสำทับ
“งั้นกูกลับก่อนดีกว่าว่ะ ไว้ค่อยนัดกันใหม่”

“เออๆ ไม่มีปัญหา เคลียร์กันให้เข้าใจนะมึง”
“อืม ไปนะ” พี่เขาร่ำลากับเพื่อนพักใหญ่ จากนั้นก็จูงมือผมเดินออกจากร้าน โดยมีเป้าหมายว่ามื้อค่ำวันนี้เราจะไปกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เราเคยไปกินด้วยกันตอนช่วงที่กำลังทำแคมเปญภาษามือของสาขา

“ต่อไป ถ้ามึงสงสัยหรือระแวงอะไรในตัวกู มึงถามได้ทุกเรื่องเลย เข้าใจไหม เพราะมึงคือแฟนกู มึงมีสิทธิที่จะถาม”
“…” ผมพยักหน้ารับ

“กลับกัน ถ้ากูมีเรื่องที่สงสัยเกี่ยวกับมึง กูก็จะถามมึงเหมือนกัน”
“คะ..อับ”

“ฝึกพูดกับกูมากๆ เดี๋ยวกูก็จูบมึงอีกหรอก ไม่รู้หรือไงว่ากูแพ้ทางตอนที่มึงพูด กับตอนที่มึงใช้ภาษามือ”


----------------------------------------------------------------------

ใครที่กลัวว่าจะดราม่า ก็สบายใจได้แล้วเนอะ คือรันเองก็รู้ตัวแหละว่าคิดมากไปเอง แต่น้องไม่ใช่คนชอบซักชอบถาม ก็เลยเป็นแบบนี้ แถมยังมีปมในใจที่เปิดออกยากด้วย เลยทำให้เป็นคนคิดมาก
แล้วคือเรื่องนี้เราอยากจะเน้นให้พี่เนย์ทำให้รันเปิดใจให้คนอื่นให้ได้ค่ะ เพราะถ้าไม่เริ่มตอนนี้รันต้องลำบากแน่ในอนาคต แต่อาจจะยังไม่ใช่คนทั่วไป เอาเป็นแค่กลุ่มเพื่อนของพี่เนย์ก่อน แล้วจากนั้นมันก็จะส่งผลกระทบต่อสาวๆคณะบัญชีที่เพื่อนคินแอบปลื้ม เพราะสาวๆกลุ่มนี้ถึงรันจะเปิดใจได้เยอะ แต่ก็ยังไม่สุด ส่วนสังคมอื่นๆ เราอาจจะไปเขียนเพิ่มในสเปเอาค่ะ
ปล. มันคือนิยายฟีลกู๊ดค่ะ ดราม่าเราไม่ค่อยถนัด 555 หรือถ้ามีเราไม่เคยเขียนได้นานเกิน เพราะเราสงสารตัวละครค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 19 ♥ หน้า 3 (up 06/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-11-2017 14:32:46
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 19 ♥ หน้า 3 (up 06/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 06-11-2017 15:28:31
เข้าใจน้องรันน๊าาา กอดปลอบด้วยคนโอ๋ๆ  :oo1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 19 ♥ หน้า 3 (up 06/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 06-11-2017 15:59:14
พี่เนย์ชัดเจน //ปรบมือ  :katai2-1: :katai2-1:
เอาใจช่วยน้องรัน ซักวันน้องต้องพูดได้แน่นอน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 20 ♥ หน้า 4 (up 07/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 07-11-2017 14:34:45
♥ Fall in you ♥
ตอน 20



พี่อาคเนย์เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดหรือแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่ถ้าหากเจ้าตัวได้พูดมันออกมาเมื่อไหร่ คำพูดที่สุดแสนจะธรรมดา ก็จะสามารถกลายเป็นระเบิดเวลาได้ เหมือนกับเมื่อค่ำคืนวานและวันอื่นๆที่ผ่านมา ที่พี่เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าเฉยชา ขณะที่ผมกลับหน้าร้อนเห่อทุกครั้งที่กำลังถูกระเบิดเวลาลูกนี้ค่อยๆเล่นงาน
อีกทั้งหลายวันก่อน ผมยังจูบเปิดปากไม่เป็น แต่เมื่อวานในวันที่ฝนกำลังตก ระหว่างที่เรากำลังเดินทางกลับจากร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางในมื้อดึก ท้องฟ้าที่จู่ๆก็ร่ำไห้ออกมา ทำให้เราสองคนจำต้องวิ่งฝ่าฝนกลับหอจนเนื้อตัวเปียกปอน และทุกครั้งที่ฟากฟ้าประดับไปด้วยแสงสว่างจากธรรมชาติ ฝ่ามือของพี่เนย์ก็จะกอบกุบกับฝ่ามือของผมแน่น

มันเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเราสองคนก้าวเข้ามายังห้องพักด้วยกัน เสียงหอบหายใจจากความเหนื่อยล้าเพราะการวิ่งเป็นระยะทางที่จะเรียกว่ายาวนาน มันก็ยาวนาน แต่จะเรียกว่าสั้นมันก็สั้น เพราะร้านก๋วยเตี๋ยวที่เรามากินด้วยกันนี้ มันเป็นร้านที่อยู่ตรงหน้าเซเว่นปากซอยทางเข้าหอของพี่เนย์นี่เอง และด้วยเพราะความอุ่นชื้นจากร่างกายของเราที่ยืนอยู่ข้างๆกัน อีกทั้งฝ่ามือของเราที่เคยจับกุมกันมาตั้งแต่ต้น จนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่หลุดลอยออกจากกัน จึงทำให้เราต่างก็หันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ขณะที่แผ่นอกก็ยังคงกระเพื่อมด้วยความอ่อนล้า แต่ก็เป็นในระดับที่ไม่มากมายเท่าวินาทีแรกที่ได้หลบซ่อนตัวอยู่ภายในห้องๆนี้
ท่ามกลางความมืด ใบหน้าของพี่เนย์ค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้โฟกัสตรงหน้าของผมมันพร่าเบลอ ผมจึงต้องหาวิธีแก้ความน่ารำคาญใจนั้นด้วยการหลับตา แล้วจากนั้นริมฝีปากที่ครั้งหนึ่งเคยฉวยโอกาสกับผมมาแล้ว ครั้งนี้ริมฝีปากคู่นั้นกลับค่อยๆแตะต้องริมฝีปากของผมอย่างละมุนละม่อม จนผมค่อยๆเปิดปากรับสัมผัสแปลกใหม่โดยไม่รู้ตัว
และวินาทีนั้น เหล่าผีเสื้อต่างก็พากันสยายปีกอย่างเริงร่าในอก
ไม่ต่างจากความรู้สึกของผมที่กำลังติดใจในรสจูบของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’

“รอบนี้กูเตรียมตัวมาดี เห็นไหมกูสั่งต้มเลือดหมูใส่แค่ตับกับหมูให้มึงเนี่ย กินดิ เหม่ออะไร?” พี่เนย์พูดขึ้นระหว่างอาหารมื้อเช้า ทำเอาผมที่กำลังนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนเริ่มได้สติ ก่อนจะยกยิ้มให้อีกฝ่ายแบบขอไปที และเริ่มปรุงต้มเลือดหมูที่ไม่มีเลือดหมูสักก้อน
ขณะที่ระหว่างเรากำลังนั่งอยู่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม ผมก็เลือกที่จะก้มหน้ากินข้าวเพียงอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นแล้ว สายตาของผมมันก็มักจะเผลอไปหยุดมองที่ริมฝีปากคู่นั้นที่เคยจูบผมท่ามกลางความมืดเมื่อกลางดึกวานนี้

“มึงจะเขี่ยข้าวอีกนานมั้ยนั่น จนกูกินเสร็จนานแล้วเนี่ย เดี๋ยวต้มเลือดหมูมึงก็หายร้อนหมดหรอก อีกอย่างก็จะสายแล้ว มึงดูนาฬิกาด้วยครับ วันนี้กูเรียนตัวโหดนะเว้ย สายล็อคห้อง” พี่เนย์ท้าวคางมองผมที่กำลังเล็มข้าว พลางบ่นออกมายาวยืด หลังจากที่คงสังเกตผมมานานแล้ว
“…” ผมจึงรีบยัดข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โกยน้ำต้มเลือดหมูมาซดจนสาแก่ใจ จากนั้นก็ส่งสัญญาณเรียกเจ้าของร้านให้มาคิดเงิน แต่เพราะผมติดจะกินน้ำด้วย แล้วก็อยากจะควักเงินมาจ่ายด้วย มันเลยทุลักทุเลมาก พี่เนย์เลยถือโอกาสจ่ายให้ก่อน จากนั้นเมื่อเข้ามาในรถผมก็วางเงินค่าข้าวเช้าไว้ให้อีกฝ่ายตรงช่องที่พี่เขาชอบหย่อนเศษเหรียญเอาไว้

หลังจากแยกย้ายกับพี่เนย์ที่ลานจอดรถอย่างรีบร้อน ผมก็รีบวิ่งกระเซอะกระเซิงมายังห้องบรรยายของวิชาอาจารย์ฤดี และด้วยความที่ห้องมันเป็นลักษณะสโลป แถมนักศึกษายังนั่งกันหน้าสลอน ผมจึงต้องใช้เวลาเพ่งมองไอ้หมอกไอ้คินอยู่นาน
“มาซะเกือบสายเลยนะมึง” ไอ้หมอกมันทัก เมื่อผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่มันจองไว้ให้

“หนักกว่านั้น พวกกูเกือบจะพนันกันแล้ว ว่าวันนี้มึงจะหยุดเรียนหรือเปล่า” พอไอ้คินมันชะโงกหน้ามาพูด พลางยักคิ้วเท่านั้นแหละ ผมก็รู้เลยว่าพวกมันกำลังคิดทะลึ่งอะไรกันอยู่ ผมจึงยกนิ้วกลางส่งให้พวกมันที่กำลังหัวเราะอย่างชอบใจ
“ฮั่นแน่ มึงรู้ว่ากูกำลังคิดอะไรอยู่ แสดงว่ามึงก็คิดทะลึ่งด้วยเหมือนกันนะเนี่ย” ไอ้หมอกมันเอาปลายนิ้วชี้ของมันมาเขี่ยข้างแขนของผมอย่างหยอกเย้า จนผมต้องขยับแขนตัวเองออกมาให้พ้นจากรัศมีการแกล้งของไอ้หมอก จากนั้นก็ทำเป็นตั้งใจเรียนหนักมาก

ครืด ครืด

‘เย็นนี้ไปตีแบดกัน เพื่อนกูนัดฟอร์มทีม ใครแพ้เลี้ยงข้าว’ ผมหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดอยู่ในกระเป๋าสะพายที่วางเอาไว้ตรงปลายเท้าขึ้นมาดู จึงเห็นว่าเป็นพี่เนย์ที่ส่งมา
‘แต่ผมไม่มีไม้แบด’

‘ไอ้เอ้มันมีสองอัน เดี๋ยวมันให้ยืม’
‘ครับ เจอกันกี่โมง?’

‘หกโมงมึงมารอหน้าหอเลย ยังไม่ต้องไปกินข้าวล่ะ เดี๋ยวตีแบดเสร็จค่อยไปกินพร้อมพวกกู’
‘ครับ แล้วใครจะให้อาหารไอ้เขี้ยวกุด’

‘ก็เดี๋ยวเลิกเรียนแล้ว กูจะกลับไปเปิดเครื่องทำความชื้นในตู้ไอ้เขี้ยวกุดแล้วก็ให้อาหาร เปลี่ยนเสื้อผ้าอีก กว่าจะเสร็จก็ถึงเวลามารับมึงพอดี’
‘ครับ’ ผมส่งกลับไปแค่นั้น แล้วก็เลิกให้ความสนใจกับเครื่องมือสื่อสารชนิดนี้ โดยหันมาให้ความสนใจกับเนื้อหาของการเรียนแทน เพราะวิชานี้จะมาเรียนๆ เล่นๆ หลับๆ ไม่ได้ อาจารย์แกชอบสุ่มเรียกตอบคำถาม

ผมเลือกใส่เสื้อยืดสีขาว กับกางเกงเล่นกีฬาขาสั้นที่ผมชอบเอาไว้ใส่นอน เพราะเนื้อผ้ามันเบาสบาย ใส่แล้วไม่อึดอัด ส่วนรองเท้านี่ก็ต้องบอกว่าโชคดีที่ผมชอบใส่ผ้าใบอยู่แล้ว เลยไม่ต้องวุ่นวายในการเตรียมตัว ขาดก็แค่ไม้แบดที่ต้องรอเอาจากพี่เอ้
“วันนี้มึงจะกลับหอป่ะ?” ไอ้หมอกมันหันมาถามผม หลังจากที่ผมกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ระหว่างรอเวลานัดหมาย

‘มึงก็ถามแปลก แล้วทำไมกูต้องไม่กลับหอด้วยวะ?’
“อ้าว ใครจะรู้ เผื่อวันนี้พี่เนย์ไม่อยากให้มึงกลับ มึงก็กลับไม่ได้

‘ส้นตีนเถอะ เกี่ยวอะไรกันวะ จะกลับหรือไม่กลับมันก็ขึ้นอยู่กับกูเว้ย ทำไมมึงจะเอาอะไร?’
“โบโลน่าพริก”

‘มึงไม่ลงไปซื้อเองวะ วันนี้กูไม่แน่ใจว่าจะกลับกี่โมง’
“นั่นไง! เมื่อกี้มึงพึ่งจะพูดแหม่บๆว่าจะกลับหรือไม่กลับมันก็ขึ้นอยู่กับมึง แล้วยังไงวะ ทำไมถึงไม่แน่ใจว่าจะกลับมากี่โมง?” ไอ้หมอกมันลุกขึ้นยืน พลางเดินเข้ามายืนพิงเสาค้ำของเตียงสองชั้น พลางชี้หน้าผมยิกๆ

‘ก็วันนี้พวกเพื่อนพี่เนย์เขาพนันกันว่า ถ้าใครแข่งตีแบดแพ้ ต้องเลี้ยงข้าว ก็กูไม่รู้ไงว่าเกมส์จะจบกี่โมง จะให้กูตอบมึงว่ายังไงวะ เกิดบอกไปแล้วมึงรอกู จนหิวตายในห้องนี่แย่เลยนะ
“ทำไมมึงเป็นคนร้ายๆแบบนี้วะ ฮึ!” ไอ้หมอกมันเข้ามาล็อคคอผม พลางเค้นเสียงดุ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวเลย เพราะผมคงจะตายก่อนจะกลัว ในเมื่อมันกอดรัดรอบคอผมจนแน่นขนาดนี้

“มึงนี่ก็วอแวมันจริงๆ” ไอ้คินมันบ่นพลางเดินเข้ามาลากคอไอ้หมอก จนผมสามารถหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น
“ช่างเถอะๆ เดี๋ยวกูไปซื้อกินเองก็ได้ จะไปไหนก็ไปไป๊” ไอ้หมอกมันว่าพลางโบกมือไล่ ผมเลยเดินเข้าไปขยี้หัวมัน จากนั้นก็รีบวิ่งออกจากห้องแทบไม่ทัน เพราะมันด่าสาปส่งไม่พอยังจะทำร้ายร่างกายกันอีก ดีที่ไอ้คินมันล็อคตัวไว้นะ ไม่งั้นไอ้หมอกแม่งได้วิ่งอู้ลงบันไดเพื่อมากระโดดถีบผมแน่
ก็เรามันไม้เบื่อไม้เมากันนี่หว่า

“มึงวิ่งหนีอะไรมา” ทันทีที่ขึ้นมาบนรถ พี่เนย์ก็ถามด้วยความสงสัย ก่อนจะค่อยๆขับรถออกจากบริเวณหน้าหอ จากนั้นคนตัวโตก็เอื้อมมือมาจัดผมหน้าม้าที่ชื่นเหงื่อของผมให้เข้าที่เข้าทาง
“…” ผมยิ้มให้อีกฝ่าย พลางยกมือจัดแต่งทรงผมด้วยตัวเองบ้าง
ดูเอาเถอะ ยังไม่ทันได้ออกกำลังกาย หัวผมแม่งก็เปียกจนฟีบแล้วว่ะ

พอมาถึงสนามแบดมินตันของมหาลัย พวกพี่เอ้ก็รีบโบกมือเรียกพวกเราสองคนทันที พี่เนย์เลยโบกมือตอบ พลางเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ต้องพากันนั่งรอคิวเพื่อจับฉลากว่าใครจะแข่งคู่กับใคร แต่ด้วยความที่กลุ่มของพี่เนย์มีกันอยู่ห้าคนรวมผมด้วยก็เป็นหก ดังนั้นการแข่งขัน จะต้องมีสองคนที่ได้แข่งเดี่ยว
พวกที่แพ้ก็หารเงินกันจ่ายค่าข้าวมื้อนี้

“โหย แข่งกับไอ้เนย์ ไอ้เปรม กูตายแน่” พี่เอ้โอดครวญยกใหญ่
“งั้นเอางี้ กูต่อให้มึงเต็มที่เลยเอ้ แข่งทีมละสามไปเลย ถ้ารู้ตัวว่าใครเอาไม่อยู่มึงก็เปลี่ยนตัวกัน โอเค๊” พี่เนย์ยักคิ้ว พลางวอร์มร่างกายอย่างเป็นต่อ

“ไม่ได้ช่วยกูเล้ย ทีมกูมีไอ้บาสก็จบเห่ละ แม่งเล่นหมาไม่แดกเลย ส่วนน้องรันก็ตัวผอมชิบ แขนเล็กกว่ากูอีกเนี่ย จะเอาอะไรไปสู้” พี่เอ้บ่นหลังจากที่เธอเป่ายิงฉุบแพ้พี่เนย์ เราก็เลยได้พี่บาสแฟนแกมาร่วมทีม
“แต่ก่อนมันผอมน่ะใช่ แต่เดี๋ยวนี้มึงใช้อะไรดูไม่ทราบว่าไอ้นี่มันผอม” พี่เนย์ว่าพลางจับผมหมุนตัวหนึ่งรอบ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับพี่เนย์นะ เพราะตั้งแต่ผมคบกับพี่เนย์ ผมก็เริ่มมีพุงแล้วด้วย แต่เพราะกินเท่าไหร่มันก็ไม่อ้วนสักทีไง น้ำหนักมันก็เลยเดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวลดอยู่นั่น
พุงที่เคยมีก็เลยหายหมด

“…” ผมยื่นแขนออกไปให้พี่เอ้ดู พลางชี้เส้นเลือดที่เห็นได้ชัดของตัวเอง เพื่อแสดงออกว่าผมน่ะจริงๆก็แข็งแรงนะ เพียงแต่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายไง แล้วแต่ก่อน ผมก็สอบตีแบดได้คะแนนดีด้วย
“มึงเริ่มก่อนเลย” พี่เนย์ผายมือมาทางทีมผมกับพี่เอ้ ผมที่ตัวสูงกว่าพี่เอ้ จึงประจำตำแหน่งอยู่ข้างหลัง และลูกแรกผมก็เป็นคนเสิร์ฟก่อนด้วย

ลูกขนไก่ฝีมือของผมมันลอยละลิ่วไปยังเขตแดนของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่พี่เนย์ก็ยังตีโต้กลับมาได้ โชคดีที่พี่เอ้ดักทางไว้ทัน จึงตีโต้ข้ามฝั่งกลับไป แต่แล้วพี่เปรมก็หวดลูกขนไก่หย่อนลงมาตรงหน้าตาข่ายในระดับที่นิ่มนวล จนพี่เอ้ไม่ทันตั้งรับ ดีที่ผมตัดสินใจก้าวขึ้นไปเพื่อเตรียมรับมือ ลูกขนไก่สีขาวจึงหล่นแหมะลงตรงหน้าตาข่ายทางฝั่งของพี่เนย์
ผมอมยิ้ม พลางยักคิ้วให้พี่เนย์ ก่อนจะเสยผมหน้าม้าที่เริ่มฟีบลง เพราะเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้ามันเริ่มมีแต่เหงื่อ

ต้องยอมรับจริงๆว่าพี่เปรมกับพี่เนย์ตีแบดเก่งมาก ฝีมือสูสีกันจนรับมือได้ยาก แต่ก็อย่างที่บอกว่าแบดมินตัน เป็นกีฬาชนิดเดียวที่ผมเล่น และก็เล่นได้ดีมากด้วย เพราะจริงๆแล้ว ครอบครัวของผมก็ชอบตีแบดอยู่เหมือนกัน ถ้ามีเวลาว่างเราก็จะตีกันตรงหน้าบ้าน
 
“ไหนบอกฝั่งมึงเสียเปรียบไงวะ ไอ้เอ้” พี่เปรมตีโต้ พลางตะโกนถามเพื่อนผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่ม
“ก็ใครจะรู้วะว่าน้องรันเล่นเก่งขนาดนี้ มึงเตรียมตัวเลี้ยงพวกกูได้เลยเว้ย กูจะกินให้อ้วก ไม่อ้วกไม่กลับหอ!” พี่เอ้โต้ตอบอย่างเกรี้ยวกราด จนบางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่เอ้น่ะ เป็นผู้หญิงจริงๆเหรอ

“หว้า แย่จัง พวกมึงเสียคะแนนอีกแล้วอ่ะ” ทันทีที่ลูกขนไก่ตกลงบนพื้นที่ของฝ่ายตรงข้าม โดยที่ผู้เล่นมือฉมังของกลุ่มตั้งรับไม่ทัน พี่เอ้ก็หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข ราวกับรอเวลาแก้แค้นมานานแสนนาน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยชนะพวกพี่เปรมกับพี่เนย์ได้เลย ส่วนผมหลังจากที่ได้คะแนนนำก็เดินไปไฮไฟว์กับพี่เอ้
และยักคิ้วให้พี่เนย์พลางยกยิ้มตรงมุมปาก จนพี่เขาเริ่มจะชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง

กระทั่งการแข่งขันจบลง โดยที่พี่เอ้เปลี่ยนตัวกับพี่บาสในช่วงหลัง ส่วนพี่เปรมเปลี่ยนตัวกับพี่ตี๋บาส จึงทำให้คะแนนของเราห่างกันไม่มากนักคือ 27 ต่อ 25 แต่ถึงอย่างนั้นฝั่งผมก็ยังได้รางวัลกินฟรีไปครอบครอง
“แขนก็แค่เนี้ย แต่แรงควายเหรอมึง?” พี่เนย์ถามอย่างกวนประสาท พลางยกแขนผมเหวี่ยงขึ้นลงราวกับจะทดลองน้ำหนักแขน ผมจึงยักคิ้วให้พี่เนย์ พร้อมกับอมยิ้มนิดๆ

“เดี๋ยวกูจับหักแขนแม่ง!” พี่เนย์บ่นพลางเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆพี่เอ้ พลางแบมือไปรับขวดน้ำมาดื่มแก้กระหาย
“…” ผมเดินเข้าไปรับขวดน้ำจากพี่เอ้บ้าง จากนั้นก็นั่งยองๆตรงหน้าพี่ๆทั้งสอง ส่วนพี่คนอื่นๆก็ทยอยมานั่งรวมกลุ่มกันเพื่อพักเหนื่อย ก่อนจะไปหาอะไรทานกันตามที่ตกลงไว้

“รันพี่เพิ่งแอดเฟรนไป กดรับแอดพี่หน่อยครับ พลีสสส” พี่เอ้บอกพลางยกมือขึ้นมากุมกันไว้ จากนั้นก็กระพริบตาปริบๆส่งมาให้ ผมก็เลยอมยิ้มและพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสะพายใบเก่ง

Sirinya R. sent you a friend request

เมื่อเห็นแจ้งเตือนปรากฏบนหน้าจอ ผมก็รีบเข้าแอปพลิเคชันดังกล่าวพลางกดรับแอด ก่อนจะวางมือถือเอาไว้บนกระเป๋าและหยิบน้ำขึ้นมาดื่มแทน
   
Sirinya R. added 1 new photo with Akane Akarawin and 4 others at สนามแบดมินตัน
ตัวละครลับ! ผู้ที่ทำให้เราได้แดกฟรีในคืนนี้ด้วยสกอว์ 27 ต่อ 25

ผมเลือกกดถูกใจสเตตัสของพี่เอ้ที่แท็กมา ก่อนจะเลื่อนไปดูรูปตัวเองอีกครั้งอย่างพิจารณา เพราะตัวผมไม่ทราบจริงๆว่าพี่เอ้แอบถ่ายรูปของผมไว้ แถมในรูปนะ หัวผมเปียกจนฟีบแล้วฟีบอีก เหงื่อก็โทรมจนต้องสละมือข้างหนึ่งขึ้นมากระพือเสื้อระหว่างที่กำลังจดจ้องลูกขนไก่ในสนามแข่งอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ถึงอย่างนั้นริมฝีปากก็ยังคงคลี่ยิ้มด้วยความสนุกสนานไปกับเกมส์ตรงหน้า
“มึงเลือกรูปที่ดีกว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ กางเกงล่นจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” พี่เนย์บ่นออกมาเบาๆ

“สัสเนย์! มีแต่มึงคนเดียวอ่ะที่มองขาน้องมัน คนอื่นเขาเห็นแต่รอยยิ้มมั้ยมึง” พี่เอ้บ่นพลางฟาดหัวพี่เนย์ไม่เบานัก
“เจ็บนะเว้ย มึงนี่!” พี่เนย์บ่นอุบ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรพี่เอ้ได้

Kin Pakorn and Channarong M. commented on a post that you’re tagged in.

ผมนั่งฟังพวกพี่เขาถกเถียงกันเรื่องร้านอาหารอยู่พักใหญ่ โทรศัพท์ในมือก็สว่างวาบขึ้น เมื่อสไลด์หน้าจอก็พบว่าไอ้หมอกกับไอ้คินเข้ามาคอมเมนต์ในสเตตัสที่พี่เอ้แท็กมาถึงผม

Channarong M. ไอ้รัน แห้งอย่างมึงนี่เป็นตัวละครลับได้ด้วยเหรอวะ ประหลาดใจจัง

ผมว่าถ้าผมจะเกลียดไอ้หมอก ก็เพราะวรรคหลังของประโยคนี่แหละว่ะ เป็นคำธรรมดาที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกน่ากระทืบอย่างบอกไม่ถูก เพราะแค่อ่านข้อความผ่านตัวหนังสือ ผมก็สามารถนึกถึงใบหน้าอันกวนประสาทของมันได้

Kin Pakorn รัน สาหร่ายแปะหัวมึงเหรอ?

นอกจากผมจะมีโอกาสได้เกลียดไอ้หมอกจนสูงมากๆแล้ว ไอ้คินแม่งก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย ทำเอาผมเสียความมั่นใจไปซะงั้น เพราะผมเองก็ไม่ได้หน้าตาดีเด่อะไรมากมาย ถ้าหัวเปียกจนฟีบถึงขนาดเพื่อนยังบอกว่าเหมือนมีสาหร่ายมาแปะหัว นี่ก็แอบใจเสียนิดๆนะ

Neran P. ไอ้เชี่ยคิน กูยิ่งไม่มั่นใจอยู่

หลังจากพิมพ์ด่าพวกแม่งไปในคอมเมนต์เรียบร้อยแล้ว ผมก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับทรงผมของตัวเอง เพราะความมั่นใจมันเหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์แล้วจริงๆ

ป๊อก!

“เป็นอะไรของมึง ลุกเร็ว เขาจะไปหาอะไรกินกันแล้วเนี่ย” พี่เนย์อาศัยจังหวะที่ผมเสยหน้าม้าของตัวเอง จนเผยให้เห็นหน้าผากเหม่งๆ อีกฝ่ายก็จัดการดีดแบบไม่ออมแรง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนรอผม ขณะที่พี่คนอื่นๆ กำลังเดินคุยเล่นหยอกล้อกันจนเกือบจะถึงประตูทางออกอยู่แล้ว

‘ไอ้คินมันบอกว่าหัวผมเหมือนมีสาหร่ายมาแปะไว้ โคตรเสียความมั่นใจเลยพี่’ ผมพิมพ์ข้อความส่งไปให้พี่เนย์ที่เดินอยู่ข้างๆอ่าน
“เหมือนตรงไหนวะ มึงก็ไปบ้าจี้ตามมันเนอะ” พี่เนย์ว่าพลางยกมือขึ้นมาจัดทรงผมของผมให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นก็เนียนเอาแขนมาท้าวไหล่ผมเฉย



------------------------------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 แอพพลิเคชั่น > แอปพลิเคชัน
เลิฟซีนกรุบกริบพอเนอะ คึคึคึ เห็นคนอ่านเอ็นดูรัน เราเองก็ปลื้มค่ะ ชอบบบ น้องน่ารัก ร้องไห้แล้วน่าสงสาร
เป็นเด็กเงียบๆ แต่ยิ้มน่ารัก แถมเดี๋ยวนี้ยิ้มบ่อยด้วย เท่านั้นไม่พอยังเป็นม้ามืดด้านกีฬาแม้จะแค่อย่างเดียวก็เถอะ เอ็นดู
ส่วนพี่เนย์ก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ในความเงียบ 5555 จัดการ!! แอบส่องขาอ่อนน้องได้ไง
ปล. อีก 7 ตอนจบแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 20 ♥ หน้า 4 (up 07/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-11-2017 15:15:01
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 20 ♥ หน้า 4 (up 07/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-11-2017 15:22:56
 :-[

เขิลกันเบา
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 20 ♥ หน้า 4 (up 07/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-11-2017 15:27:04
น่ารักดี
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 20 ♥ หน้า 4 (up 07/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-11-2017 15:34:09
ก็ไม่คิดว่ามันจะดราม่าอะไรหรอกแต่ก็แอบคิดกังวลไปพร้อมน้องด้วย
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 20 ♥ หน้า 4 (up 07/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 07-11-2017 15:47:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 20 ♥ หน้า 4 (up 07/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-11-2017 23:16:44
น้องรันเริ่มเปิดใจให้กับคนอื่นๆมากขึ้นแล้ว น่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 20 ♥ หน้า 4 (up 07/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 08-11-2017 00:24:47
หุยยย จะจบแล้วหรอ ยังเพลินๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 21 ♥ หน้า 4 (up 08/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 08-11-2017 14:49:52
♥ Fall in you ♥
ตอน 21


“กล้องมึงพร้อมหรือยังล่ะ” ไอ้หมอกมันถาม พลางตั้งท่านั่งหลังตรงอย่างดี เมื่อพรุ่งนี้จะถึงคิวของมันทำแคมเปญของสาขาแล้ว เที่ยงนี้ไอ้หมอกมันเลยถือโอกาสถ่ายคลิปวีดิโอเสียเลย
“กูตั้งท่านานแล้วเนี่ย ก็รอมึงส่งสัญญาณ จะเริ่มหรือยังล่ะ” ไอ้คินมันย้อนถาม กระทั่งไอ้หมอกมันพยักหน้า ตากล้องฝีมือดีที่สุดในกลุ่มก็เริ่มนับตัวเลขถอยหลังทีละตัวจากสาม สอง กระทั่งหนึ่ง ไอ้หมอกมันก็เริ่มชี้นิ้วไปที่หน้ากล้อง ก่อนจะชี้กลับมาที่ตัวเองบริเวณกลางอกพร้อมกับปรายตามองตามทิศทางของฝ่ามือ จากนั้นก็ชูสองนิ้วโดยหันหลังมือออกข้างนอกและขยับมือเข้าหาตัวหนึ่งครั้งก่อนจะดันออกไปค้างไว้กลางอากาศ แล้วจึงหงายฝ่ามือที่ยังคงชูสองนิ้วขึ้นในแนวราบ พร้อมกับงอนิ้วโป้งเข้ามาชิดกับนิ้วนาง ก่อนจะขยับปลายนิ้วมาชนกันเบาๆสักสองที จากนั้นก็ขยุ้มมือเหมือนกำลังหยิบข้าวกินไว้ตรงระดับปากพร้อมกับขยับมือประมาณสองที จากนั้นก็ม้วนฝ่ามือแล้วสะบัดออกจากตัวทั้งห้านิ้ว ขณะที่ใบหน้าก็ต้องขยับตามจังหวะการสะบัดข้อมือด้วย

“ไหนกูดูดิ๊ หน้ากูหล่อพอยัง” ไอ้หมอกมันว่าอย่างนั้น พลางเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาจากมือไอ้คิน
“ยากจัง จำกันได้ยังไงเนี่ย” แอ้มสาวจากคณะบัญชีพูดขึ้น หลังจากที่ไอ้หมอกอัดคลิปวีดิโอภาษามือเสร็จแล้ว

“เราเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้วน่ะ.. อีเมลที่ต้องส่งมันอีเมลอะไรวะ กูทำโพยหาย” ไอ้หมอกมันตอบแอ้ม พลางหันมาถามพวกผม
“กูขยำทิ้งไปละ ไอ้รันมึงเอาโพยมามั้ย” ไอ้คินมันตอบพลางหันมาถามผมที่กำลังดูดน้ำแก้กระหาย

‘…’ ผมเปิดซิปช่องเล็กข้างในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง พลางหยิบโพยออกมากางไว้กลางโต๊ะ โดยที่ผมก็ลืมไปเลยว่าจริงๆเปิดเอาจากในโทรศัพท์ผมก็ได้ เพราะผมเคยส่งคลิปไปให้พี่ทีมผ่านทางอีเมลที่พี่เขาให้มาแล้ว
“รันได้ประโยคที่บอกว่า ‘เป็นแฟนกันนะ’ ใช่ป่ะ เราจำได้ แต่จำภาษามือไม่ได้แล้ว มันทำยังไงนะ” นิ้งพูดขึ้น พลางถามด้วยความกระตือรือร้น

“ไอ้คินมึงทำให้สาวๆเขาดูหน่อยสิวะ ไอ้รันมันหัวไม่ดี จำไม่ค่อยได้หรอก” ผมถลึงตาใส่ไอ้หมอกทันทีที่มันปรามาสใส่แบบนั้น ไอ้หมอกมันเลยแอบขยิบตาให้ พลางบุ้ยปากไปทางไอ้คินกับแอ้ม ผมถึงได้เข้าใจเจตนารมณ์ของมัน
ก็นะ ผมลืมไปเลย.. ว่าเพื่อนผมมันกำลังจีบสาวอยู่ เห็นทีผมคงต้องยอมเป็นคนขี้ลืมสินะ

แต่พูดก็พูดเถอะ แม้อีกฝ่ายดูท่าจะใจตรงกัน แต่ไอ้คินแม่งก็นิ่งยังกับหิน แล้วจะจีบติดชาติไหนวะนั่น ไหนใครกันนะที่เคยบอกผมว่า ถ้าหากอีกฝ่ายแสดงออกจนชัดเจนขนาดนี้ เป็นกูนะไม่ปล่อยไว้หรอก ?
หึ คำแบบพูดนั้นมันใช่คำพูดของคนที่กำลังนั่งหน้านิ่งแน่เหรอเนี่ย!

Akane Akarawin added 1 new photo with Neran P.

ระหว่างนั่งรอสาวๆกินข้าวให้หมด ผมก็นั่งเหม่อไปเรื่อย แต่แล้วพี่เนย์ก็แท็กรูปไอ้เขี้ยวกุดกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในน้ำที่โผล่ออกมาแค่ดวงตาสีส้มอมแดงอันเป็นเอกลักษณ์ โดยไม่มีแคปชั่นใดๆกำกับ
เหมือนกับว่าเจ้าตัวแค่อยากจะแชร์ชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าเขี้ยวกุดให้ผมดูเท่านั้น

ประมาณว่าถ้าอันไหนพี่เขาประเมินแล้วว่าเจ้าลูกชายตัวโปรดมันดูน่ารัก พี่เนย์ถึงจะแท็กมาหาผม ส่วนชีวิตประจำวันเช่น การกิน การนอนของเจ้าลูกชายนั้น พี่เนย์เขาก็โพสต์ลงในเฟซบุ๊กของตัวเองรัวๆตามปกติ จนตอนนี้ผมเกือบจะเข้าใจไปแล้วว่าเฟซของพี่เนย์ถูกไอ้เขี้ยวกุดบุกยึด!

“สมกับเป็นพี่อาคเนย์เลยเนอะ ลงทุกอย่างยกเว้นรูปตัวเอง” อิ๋มพูดขึ้นพลางส่งยิ้มมาให้ผม จนผมอดจะหัวเราะเพราะเห็นด้วยกับคำพูดของเธอไม่ได้
‘แต่ก็ยังมีคนกดถูกใจเยอะอยู่ดีนะ แล้วหนึ่งในนั้นก็ต้องมีอิ๋มด้วยแน่ๆ’ ผมพิมพ์ข้อความให้อิ๋มอ่าน พลางยกยิ้มอย่างแปลกใจ ก่อนจะล้อหญิงสาวอย่างไม่จริงจังนัก

“ฮ่าๆ ก็นั่นแหละจ๊ะ ตามที่เราเคยเล่าให้ฟังไง ว่าแต่ก่อนพี่อาคเนย์เขาดังมาก แล้วตอนนี้คนก็ยังให้ความสนใจกันอยู่”
‘แต่ก็ไม่เห็นจะมีใครเข้ามายุ่งวุ่นวายกับพี่เขาเลยนะ แล้วปกติถ้าเป็นคนดังประมาณเน็ตไอดอล ก็น่าจะมีคนชอบมาขอถ่ายรูปด้วย แต่พี่เนย์นี่ไม่มีเลย’

“ก็พี่อาคเนย์เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวไงรัน ทุกคนก็เลยไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้ง แถมแต่ก่อนนะ กว่าจะมีคนกล้ากดถูกใจ สเตตัสของพี่อาคเนย์ได้ ก็คิดแล้วคิดอีก แต่พอมีคนทำแล้วไม่โดนว่า ตอนนี้ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”
“…” ผมพยักหน้าทำนองว่าเข้าใจแล้ว

“แล้วนี่ถ้าเป็นแต่ก่อนนะ เวลาพี่อาคเนย์จะไปไหน ทำอะไร เพจ Fall in love กับแฟนคลับคู่วายก็จะเอาโมเมนต์มาแชร์กันแล้วล่ะ แต่พอเห็นพี่อาคเนย์กับแฟนเก่าต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องพวกนี้ พวกเราก็เลยต้องระวังกันมากขึ้นน่ะ แล้วอีกอย่างเท่าที่ได้ข่าวมา เขาว่ากันว่าพี่อาคเนย์เลิกกับแฟนเก่าเพราะเรื่องโซเชียล ทั้งจากแฟนเก่าของตัวเองแล้วก็แฟนคลับคู่วายด้วยส่วนนึงน่ะ ทีนี้พอพี่เขาเริ่มทำตัวเหมือนจีบรันอยู่ ทุกคนก็เลยยิ่งต้องระวังกันมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่อยากให้ต้องมีปัญหากันจนถึงขั้นนั้นอีก แถมพี่อาคเนย์เขาดูจะชอบรันมากๆด้วย”
‘เรารู้สึกโชคดีจังที่ทุกคนเริ่มระวังเรื่องนี้กันมากขึ้นน่ะ เพราะแค่เราทำแคมเปญของสาขา แล้วมีคนมาสนใจเรื่องของเราเยอะ เราก็วางตัวไม่ถูกแล้ว คือเรามีอคติกับคนทั่วไปที่ไม่มีข้อบกพร่องแบบเราน่ะ ว่าแต่พี่เนย์แสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?’ ผมตัดสินใจพูดออกไปตามตรง เพราะหนึ่งในพวกเธอ มีคนที่ไอ้คินแอบชอบ ยังไงก็คงไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันแล้ว ผมก็ควรต้องเปิดใจให้มากขึ้น

“ง..งั้นเหรอ.. เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย.. แต่รันสบายใจได้นะ เราสามคนน่ะช่วยกันเตือนตลอดแหละ เพราะรันเป็นเพื่อนของพวกเราไง อีกอย่างนะ คนที่ชอบรันกับพี่อาคเนย์เขาก็แอบหวีดกันในเพจลับอย่างเดียวน่ะ”
‘ยังไงเหรอ?’

“โหยยย ไม่บอกได้ไหมล่ะ” นิ้งทำหน้าโอดครวญราวกับโลกจะถล่ม คงเพราะผมพูดเรื่องที่ตัวเองมีอคติกับคนอื่นๆที่ไม่ได้มีข้อบกพร่องแน่ๆ เธอก็เลยเลือกที่จะปิดบังเพื่อไม่ให้ผมรู้สึกไม่ดี
‘แต่ถ้าอยู่ในขอบเขตที่แบบว่า.. เราไม่รู้ เราก็พอจะรับได้อยู่นะ บอกมาเถอะ ขนาดเรื่องที่มีคนสร้างเพจให้เราหลังจากได้เปิดตัวสู่สาธารณะชนแล้วน่ะนะ เรายังรู้เลย แต่เราไม่ได้เข้าไปดูเองหรอก พี่เนย์เป็นคนบอกน่ะ อีกอย่างเราก็ไม่ชอบส่องเรื่องของตัวเองอยู่แล้วด้วย เพราะเราไม่อยากรับรู้ว่าใครเขาพูดถึงเรายังไง แล้วส่วนใหญ่เราก็จะรู้แค่เรื่องที่มีคนบอกเท่านั้น

“ก็ประมาณว่า พวกเขาแอบถ่ายโมเมนต์น่ารักๆมาแชร์กันเยอะแยะเลยน่ะ เช่นรูปนี้” อิ๋มยอมเปิดรูปๆหนึ่งให้ผมดู โดยไม่ยอมให้เห็นชื่อเพจที่ว่าแม้แต่น้อย รวมถึงไม่ให้เห็นแม้กระทั่งคอมเมนต์ใดๆทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นรูปตอนที่พี่เนย์กำลังโยนแขนผมเล่น เหมือนกับต้องการจะชั่งน้ำหนักแขนว่ามันหนักสักแค่ไหน ทำไมถึงได้แรงเยอะจนเป็นฝ่ายชนะในการแข่งขันแบดมินตันซะได้
‘แล้วไม่กลัวพี่เนย์บังเอิญหาเจอเหรอ? หมายถึงเพจลับน่ะ’ ผมพยักหน้าพลางย้อนถาม ขณะที่ในใจก็ยังรู้สึกแปลกๆและเกร็งๆอยู่นิดหน่อย ที่มีคนมาแอบถ่ายรูปโดยไม่รู้ตัวแบบนี้ เพราะคาดเดาได้เลยว่ารูปของผมกับพี่เนย์มันคงต้องถูกแอบถ่ายเยอะกว่ารูปเดี่ยวของผมแน่

“เราว่าพี่อาคเนย์กับรันไม่น่าจะหาเจอนะ แต่ถึงหาเจอก็เข้าไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นกลุ่มปิดจ๊ะ ต้องผ่านการแสกนก่อนนะ” แอ้มหันมาตอบ พลางยกยิ้มแหย เหมือนกับอยากจะเลิกพูดเรื่องนี้เต็มทน ผมก็เลยทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ซะ
เพราะผมเองก็ไม่อยากจะต้องมากังวลเรื่องที่มีคนมาคอยสอดส่องช่วงชีวิตของเราแบบนี้

ถ้าอย่างนั้นผมจะถือซะว่า การที่ผมวางเฉย ก็เพื่อเปิดใจให้เพื่อนใหม่เท่าๆ กับเพื่อนของพี่อาคเนย์ก็แล้วกัน อีกทั้งโลกใบนี้มันก็ไม่ได้หมุนรอบตัวผมอยู่แล้ว ฉะนั้นผมก็คงไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะกลุ่มคนดังกล่าวคงมีอยู่เยอะ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไปควบคุมความคิดของพวกเขาน่ะ
เพราะขนาดคนอื่นยังมาลบอคติของผมไม่ได้เลย ถ้าหากผมไม่เปิดใจ

“มึงก็เป็นซะอย่างนี้ อึดอัดหรือไม่อยากให้ทำ ก็น่าจะบอกเขาไปตรงๆ ทำมาพูดแบ่งรับแบ่งสู้เหมือนตอนที่พี่ทีมมาขอให้ทำแคมเปญของสาขาเฉย” หลังจากแยกกับสามสาว ไอ้หมอกมันก็บ่นผมออกมาเป็นชุด เพราะตั้งแต่หัวข้อดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาพูด ไอ้เพื่อนซี้ทั้งสองของผม มันก็นั่งเงียบเก็บข้อมูลอย่างเดียว
‘มันไม่มีอะไรได้ดั่งใจไปหมดทุกอย่างหรอกมึง แล้วอีกอย่างพวกเธอก็บอกแล้วว่าเห็นกูเป็นเพื่อน ที่สำคัญไอ้คินมันเองก็ชอบแอ้มด้วย กูก็ควรต้องเปิดใจให้มากขึ้นไม่ใช่เหรอ’

“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกันเว้ยรัน มึงไม่ต้องเห็นแก่ว่ากูกำลังชอบแอ้มอยู่หรอก”
“แหมมม ทีตอนนี้ล่ะพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ แต่พออยู่ต่อหน้าเขาล่ะก็นะ นิ่งยังกับหลักศิลาจารึกเลยนะมึง” ไอ้หมอกพูดแกมเหน็บจนเห็นภาพ

‘พี่เนย์เคยบอกให้กูเปิดใจ เพื่อลบอคติที่กูเป็น อนาคตกูจะได้ไม่ลำบากถ้าหากต้องทำงานร่วมกับคนอื่น’
‘กูจำได้แม่นเลย พี่เขาบอกให้กูเริ่มจากคนใกล้ตัว ก็คือเพื่อนของพี่เขา แล้วก็เพราะคำพูดของเขาด้วย กูถึงได้ยอมไปติวหนังสือกับพวกแอ้มในวันนั้น’

‘แล้วพี่เขาก็ทำให้กูรู้เว้ย ว่าโลกใบนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวกู เพราะงั้นก็ย่อมไม่มีอะไรได้ดั่งใจไปหมดทุกอย่าง แถมใครจะดีหรือไม่ดี พี่เขาก็บอกให้กูเปิดใจ แล้วกูจะรับรู้ได้เองว่าเขาเป็นยังไง ประมาณว่าอย่าไปแบ่งแยกตามที่ใจอคติ เพราะไม่ว่าจะบกพร่องหรือไม่บกพร่องก็ย่อมต้องมีคนในแบบที่กูเกลียด ซึ่งพอลองเปิดใจดู กูก็คิดนะว่าที่พี่เนย์พูดน่ะมันถูก เพียงแต่ใจกูยังมีกำแพงกับคนอื่นที่กูยังไม่รู้จักเฉยๆ ซึ่งคนอื่นๆที่ว่านั่น มันก็เทียบได้กับเพื่อนร่วมงานในอนาคตน่ะแหละ กูถึงเลือกที่จะปล่อยวางเรื่องนั้น แล้วทำใจให้ชิน เพราะยังไงกูก็ไม่บ้าไปนั่งขุดเรื่องของตัวเองตามโซเชียลมั้ยมึง ขนาดคอมเมนต์ตอนทำแคมเปญสาขากูยังไม่ส่องเลย มีแต่พวกมึงมาพูดกรอกหูกูเนี่ย แล้วอีกอย่างใครจะแอบมองแอบถ่ายก็ช่างเขาเถอะ ในเมื่อที่ผ่านมากูก็ไม่เคยรู้ตัวเลยนี่หว่า เดี๋ยวก็ลืมมันไปเองนั่นแหละ กูมันคนความจำไม่ค่อยดี ไม่ใช่หรือไง’ ผมยอมรับนะว่าในใจก็ยังแอบกลัวนิดๆ แต่พอคิดตามที่พี่เนย์ชักนำ มันก็ทำให้ผมเห็นความเป็นจริงมากขึ้น และทำใจให้ยอมรับสภาพได้มากขึ้น
“สัสรัน! นั่นกูพูดเพื่อช่วยให้ไอ้คิน มันได้โอกาสโชว์พาวน์ต่อหน้าสาวๆหรอกเว้ย”

“ไอ้เชี่ย ยังไงมันก็คนละเรื่องกันอยู่ดีมั้ย เปิดใจก็ส่วนเปิดใจ แอบถ่ายก็ส่วนแอบถ่าย มึงได้แกทแพทเชื่อมโยงคะแนนเต็มเหรอวะรัน” ไอ้คินมันย้อน

‘เอาเป็นว่าที่กูพูดก็คือกูกำลังเปิดใจกับทุกคนและทุกเรื่องอยู่เว้ย แล้วก่อนหน้านี้พี่เนย์ก็เคยเอาเพจของกูมาให้ดูนานแล้วด้วย ขืนห้ามอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่ทันมั้งมึง ขนาดพี่เนย์ไม่ชอบให้คนยุ่งเรื่องส่วนตัว ยังห้ามไม่ได้เลย มึงก็เห็นหนิ’
“เชื่องเว่อร์ มีหางหรือเปล่าเนี่ย ไหนกระดิกหางให้ดูหน่อยซิ” ไอ้หมอกมันพูดพลางเหลือบมองก้นผมราวกับจะสำรวจว่าผมมีหางจริงหรือเปล่า
ไอ้เวรเอ้ย นี่กูเพื่อนมึงนะ!

“มึงคิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว เพราะกูก็เห็นด้วยกับที่พี่เนย์บอกมึงทุกอย่าง”
“อืม ใช่ กูก็เห็นด้วยกับพี่เนย์เหมือนกัน” ไอ้หมอกมันสมทบ พลางกอดคอผมที่เดินอยู่ระหว่างกลางอย่างให้กำลังใจกับเรื่องที่ผมคิดจะทำ โดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ

“ว่าแต่แฟนมึงเนี่ย สมกับเรียนจิตวิทยาจริงๆ พูดอะไรมึงก็เชื่อ เพราะมึงเชื่องนี่เนอะ” ตรรกะอะไรของไอ้หมอกแม่งวะเนี่ย
ผมล่ะปวดกบาลกับมันจริงๆ

หลังเลิกเรียนในคาบบ่าย พี่เนย์ก็มายืนดักรอผมที่ใต้ตึกคณะ เพราะเจ้าตัวจะชวนผมไปซื้ออาหารให้ไอ้เขี้ยวกุด แต่เนื่องจากผมนัดกับพวกไอ้หมอกไอ้คินไว้แล้วว่าวันนี้เราจะไปเดินตลาดนัดในมอด้วยกัน ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะตัดสินนัดซ้อนนัดแบบนี้อย่างไรดี ในเมื่อผมนัดกับเพื่อนก่อน ส่วนพี่เนย์น่ะ วันนี้ไม่ยอมไลน์มาบอกด้วย แต่มาดักรอรับผมเลย ข้ามขั้นตอนมาก
“ตอนนี้สี่โมง ใช้เวลาเดินทางไปกลับก็ราวๆชั่วโมงนึง ทันถมเถ พวกมึงก็ไปเดินสักมืดๆหน่อยสิวะ เดินตอนนี้ก็ร้อนแดดเปล่าๆ” พี่เนย์ก้มมองนาฬิกาข้อมือพลางเอานิ้วแตะหน้าปัดขณะที่กำลังคำนวณว่าจะใช้เวลาสักเท่าไหร่ในการพาผมมาส่งคืนเพื่อนๆ

“เฮ้ยตามสบายเลยพี่ นัดพวกผมเมื่อไหร่ก็ได้ ยังไงก็เจอหน้ากันจนเบื่อจะแย่อยู่แล้ว” ไอ้หมอกมันพูดแกมหยอก ทำเอารุ่นพี่ต่างสาขาถึงกับหลุดหัวเราะ
“งั้นก็ตามนั้น ไปเร็วรัน เผื่อกลับมาทันจะได้ไปเดินตลาดนัดกับเพื่อนมึงไง” พี่เนย์พยักหน้ารับคำของไอ้หมอก แต่สุดท้ายก็ไม่วายมาเอาใจผมด้วยการเดินกันคนละครึ่งทาง ผมจึงได้แต่อมยิ้ม ก่อนจะเดินตามพี่เนย์ที่เดินควงกุญแจรถด้วยปลายนิ้วชี้เล่นอย่างอารมณ์ดี

หลังจากไปซื้ออาหารให้เจ้าเขี้ยวกุดเรียบร้อยแล้ว พี่เนย์ก็ขอแวะเอาอาหารไปให้เจ้าลูกชายตัวดีก่อน อีกทั้งยังต้องกลับไปเปิดเครื่องทำความชื้นให้เจ้าเขี้ยวกุดด้วย เพราะแม้ว่าจะมีน้ำตกเล็กๆไหลเอื่อยอยู่ในนั้นแล้วก็ตาม แต่ต้นไม้ต้นอื่นก็ยังต้องได้รับการดูแลอยู่ดี และอุณหภูมิก็ยังต้องได้ตามที่กำหนดด้วย ยิ่งวันทั้งวันพี่เนย์ไปเรียน แอร์ก็ไม่ได้เปิด ภายในตู้เลี้ยงก็จะได้รับไอเย็นแค่จากน้ำตกเล็กๆเท่านั้น
เห็นแบบนี้แล้วไอ้แชมเปญยังเลี้ยงง่ายกว่าเยอะ!

“ตกลงเพื่อนมึงว่าไง ยังจะไปตลาดนัดมอกันอยู่มั้ย” พี่เนย์ถามขณะที่กำลังคีบไส้เดือนไปวางไว้ในตู้ของเขี้ยวกุด
‘พวกมันทิ้งผมไปกับสาวบัญชีจนกลับมานอนหอแล้วครับ’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด

“งั้นหาอะไรกินแถวนี้ก่อนค่อยไปส่งที่หอนะ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก พลางจ้องมองเข้าไปในตู้กระจกที่ไอ้เขี้ยวกุดกำลังยืนจ้องไส้เดือนตัวยาวอยู่พักใหญ่ จากนั้นไม่นานเจ้าเขี้ยวกุดมันก็งับไส้เดือนตัวยาวเข้าปาก และเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ไส้เดือนตัวยาวก็หายวับไปกับตา
‘อวดลูกชายอีกแล้ว’ ผมบ่นอุบ เมื่อพี่เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเขี้ยวกุด จากนั้นก็อัพลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว

“ก็ไม่อยากอวดแฟนนี่ อยากเก็บไว้ดูคนเดียว” ทันทีที่พี่เนย์พูดจบใบหน้าของผมก็ร้อนวูบวาบเหมือนทุกครั้ง ขณะที่หัวใจก็สั่นไหวในจังหวะแปลกๆ ผมจึงยืดตัวขึ้นจากระดับที่กำลังส่องดูเจ้าเขี้ยวกุด
ขณะที่ฝ่ามือก็จับยึดขอบตู้ที่ใช้วางป่าจำลองของเจ้าลูกชายตัวโปรดที่เจ้าของห้องไม่ได้ให้ความสนใจมันอีกแล้ว เพราะพี่อาคเนย์กำลังจับจ้องมาที่ผม ที่กำลังยืนอยู่ข้างๆกัน

“รัน”
“ค..คะอับ” ผมเผลอตอบรับด้วยความประหม่า พร้อมหันหน้าไปจ้องมองต้นเหตุของการกระทำนั้น ส่งผลให้เจ้าของห้องได้โอกาสโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้กัน จากนั้นโฟกัสทางสายตาก็เลือนหาย และจบลงที่ริมฝีปากอันคุ้นชิน แตะสัมผัสลงบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา แต่หลังจากเสี้ยววินาทีนั้น พี่เนย์ก็เริ่มชักนำจังหวะการขบเม้มให้หนักหน่วงขึ้น กระทั่งผมเปิดปากอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามากวาดต้อนหาสัมผัสที่ครั้งนึงเคยติดใจ จนเสียงจูบของเรามันดังก้องท่ามกลางห้องเงียบๆห้องนี้
ขณะที่หัวใจมันก็กู่ร้อง ราวกับเสียงของมือกลอง ที่กำลังขยับไม้กลองไปตามจังหวะของเสียงเพลง
จนเสียงนั้นมันดัง ตึก ตึก ตึก อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงง่ายๆ

“กูบอกแล้วไงว่ากูแพ้ทางเวลาที่มึงพูด มึงมันคนใจร้าย ชอบทำให้กูตกหลุมรักซ้ำๆอยู่เรื่อย



--------------------------------------------------------------------------------

ภาษามือของตอนนี้คือคำว่า 'ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย' ที่หมอกจับฉลากได้เมื่อคราวก่อน ถ้าหากใครนึกภาพไม่ออกตามที่เราเขียน สามารถไปดูคลิปได้ที่สารบัญภาษามือที่เราทำไว้ในเด็กดีได้เลยจ้า > จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)

อ่านคอมเมนต์แล้วก็สงสารคุณอาคเนย์เค้านะคะ มีคนลืมว่าเค้าเป็นพระเอกด้วย 55555 เอาจริงหมอกกับคินก็เด่นกว่าแหละค่ะ แต่ทุกคนล้วนมีส่วนทำให้รันค่อยๆเปิดใจทั้งนั้น สำคัญเท่ากันหมดค่ะ เข้าคอนเซ็ปที่เราอยากเขียนคือความรักแบบเพื่อน แบบคนรัก และแบบรุ่นพี่ที่อาจจะโผล่มาน้อยนิด แต่ก็เป็นส่วนสำคัญกลุ่มแรกๆที่ทำให้รันเปิดใจลบอคติ ส่วนสังคมโซเชียลนั้นอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้รันกล้าที่จะออกมาจากกำแพงของตัวเอง เพราะมันชี้ให้เห็นได้ชัดเลยว่า โลกไม่ได้หมุนรอบตัวรัน ดังนั้นไม่สามารถไปกะเกณฑ์อะไรได้ เพราะขนาดพี่เนย์ที่ไม่ชอบสถานะของตัวเองในโลกโซเชียลก็ยังห้ามอะไรไม่ได้เลย ทั้งสองคนเลยต้องปล่อยวางถึงจะเป็นของตัวเองได้ ส่วนสังคมครอบครัวก็เดี๋ยวจะมีให้เห็นอีกในช่วงท้ายๆค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามและชอบนิยายเรื่องนี้เช่นเดิมค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 21 ♥ หน้า 4 (up 08/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-11-2017 15:28:42
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 21 ♥ หน้า 4 (up 08/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-11-2017 16:16:03
จงรักจงหลงน้องให้มากๆ หาทางขึ้นไม่ได้เลย  :call:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 22 ♥ หน้า 4 (up 09/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 09-11-2017 15:12:13
♥ Fall in you ♥
ตอน 22



หลังจากเปิดใจให้เพื่อนของพี่เนย์จนแทบหมดเปลือกแล้ว ผมก็จำต้องจับไม้แบดเพื่อไปตีโต้กับพวกพี่เขาอยู่เรื่อย มีทั้งแพ้บ้างชนะบ้าง แล้วแต่ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย อีกอย่างเราไม่ได้แข่งกันจริงจังด้วย เราแค่เล่นกันสนุกๆเฉยๆ ใครเหนื่อยก็เปลี่ยนตัว พอหายเหนื่อยก็ค่อยกลับเข้าสนามแข่งใหม่ อ้อ แล้วผมก็รู้ชื่อหมาของพี่เอ้แล้วด้วย มันชื่อว่าเจ้า ‘มูฟ’ เพราะมันชอบเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นั่งนิ่งๆ หรือยืนอยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยจะเป็น เรียกง่ายๆว่า ดื้อนั่นแหละ แล้วทุกครั้งที่พี่เอ้พาเจ้ามูฟมาด้วย พี่เนย์ก็มักจะชอบไปไล่ปล้ำจูบเจ้านั่นอยู่เรื่อย
แต่เจ้ามูฟมันก็ยังไม่ยอมเหมือนเดิมนะ ท่าทางจะชอบเล่นตัวไม่เบา!

สถานการณ์แลดูชิวๆ ใช่ไหม แต่ไม่เลย เพราะตอนนี้ ‘ไฟนอลเทส อีส คอลลิ่งมี’ ซะแล้ว ช่วงนี้ก็เลยต้องพักกิจกรรมต่างๆไว้ก่อน เพื่อมาติวหนังสือกับเพื่อนคนอื่นๆ ในสาขา เพราะหลังจากคะแนนมิดเทอมออก พวกเราก็เริ่มเรียนรู้แล้วล่ะว่าควรจะต้องใช้ชีวิตอย่างไรเพื่อให้อยู่รอดในช่วงสอบของระดับชั้นมหาวิทยาลัย อีกทั้งรอบนี้เรายังถ่ายโพยของรุ่นพี่ระดับท็อป ที่ได้ทำการเก็งข้อสอบเอาไว้พร้อมแล้ว
การเตรียมตัวในครั้งนี้จึงไม่กระทันหันเหมือนช่วงมิดเทอมที่ผ่านมา

‘พวกพี่เนย์ชวนไปเที่ยวตอนช่วงปิดเทอมว่ะ’ ผมส่งข้อความลงในแชทไลน์ ขณะที่กำลังพักอ่านหนังสือในช่วงเวลาเที่ยงคืน
“พี่เขาชวนแค่มึงคนเดียว หรือว่าชวนพวกกูด้วยวะ?” ไอ้หมอกมันถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เหมือนเบื่อเต็มทีที่จะต้องมาย้อนถามผมด้วยคำถามนี้
“แต่กูคงไม่ต้องรอคำตอบหรอกมั้ง เพราะสุดท้ายก็คงเหมือนเดิม มึงก็ไปเถอะ ถ้าใจมึงอยากไป ไม่ต้องเอาพวกกูไปเป็นก้าง” ไอ้หมอกหันหน้าออกจากโต๊ะหนังสือ พลางจับจ้องมาที่ผม
“ตามนั้นครับมึง” ไอ้คินเองก็หันมามองผมพลางพยักหน้าสนับสนุน ก่อนจะหันไปอ่านหนังสือต่อ

‘แต่รอบนี้พี่เนย์เขาชวนพวกมึงจริงๆนะเว้ย เพื่อนๆพี่เขาก็ไปด้วย’
“แต่พวกกูไม่รู้จักเพื่อนของพี่เนย์สักคนเลยนะเว้ย ถ้าไปแล้วพวกพี่เขาจะสนุกเหรอวะ” ไอ้หมอกค้าน

‘ทำไมมึงจะไม่รู้จัก พี่บอสกับพี่ทีมสายรหัสพวกมึงสองคนก็ไปด้วย’
“แล้วพวกพี่เขาจะไปที่ไหนกันวะ นานหรือเปล่า กูอยากกลับไปอยู่บ้านนานๆหน่อย” ไอ้หมอกถามขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อมีคนที่มันรู้จักเพิ่มขึ้นในทริปนี้

‘กาญจนบุรี แค่สามวันสองคืนเท่านั้นแหละ’
“อ้าวเฮ้ย ไปบ้านกูเฉย” ไอ้หมอกมันบ่นอุบ เมื่อทริปที่ว่ากลายเป็นทริปที่วนเวียนอยู่ในจังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง

“ถ้างั้นกูไป” เมื่อได้ทราบชื่อจังหวัดที่ต้องไป ไอ้คินก็รีบหันมาให้คำตอบผมอย่างรวดเร็ว
“สัสคิน มึงนี่แม่ง ไม่ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กูเลย”

“มึงพูดเหมือนเรามีอำนาจในการตัดสินใจมากเลยนะ”
“อ้าวมึง อย่าลืมสิครับว่าเรามีใครเป็นพวก.. เนรันนะครับมึง ยังไงมันก็ต้องช่วยพูดให้พวกเราได้แน่ๆ” ไอ้หมอกมันว่าพลางผายมือมายังผมที่นั่งหันหน้าออกจากโต๊ะหนังสือของตัวเองไปทางโต๊ะหนังสือของมันที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

‘กูเนี่ยนะจะช่วยพูดให้มึงได้ มึงจะบ้าเหรอวะ กูไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงขนาดนั้น เพื่อนพี่เขาตั้งเยอะแยะ’ ผมเถียงแบบไม่ต้องคิดเลย เพราะถึงผมจะเปิดใจให้พวกพี่เขาได้มากที่สุดเท่าที่จะเคยเปิดใจให้ใครสักคนได้ โดยไม่นับพี่เนย์กับไอ้หมอกไอ้คินแล้ว ผมก็ถือว่าทำได้สำเร็จในขั้นที่น่าพอใจ แต่หากจะให้ไปต่อรองหรือร้องขออะไร ผมก็ทำไม่ได้หรอก แล้วถึงจะให้พี่เนย์ช่วยพูดให้ ผมก็ยังทำไม่ได้เหมือนเดิม เพราะ ทริปนี้เป็นความคิดของพี่เปรม แต่ถ้าหากเป็นความคิดของพี่เนย์ บางทีผมก็อาจจะกล้าพูดให้พวกมันก็ได้
เพราะถึงผมจะสนิทกับเพื่อนของพี่เนย์ก็จริง แต่เราก็ยังไม่ได้สนิทกันจนถึงขนาดไปออกความคิดเห็นใดๆได้
 
“โว๊ะ มึงนี่ ไปก็ไป กูเองก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวในจังหวัดบ้านเกิดของตัวเองเหมือนกัน” ไอ้หมอกมันทำเป็นบ่น แต่ก็ยอมรับปากว่าจะไปด้วยกัน จากนั้นมันก็หันกลับไปให้ความสนใจกับหนังสือเรียนที่เปิดค้างไว้บนโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือต่อ ทั้งห้องจึงกลับเข้าสู่สภาวะเงียบสงบเหมือนเดิม
เพราะทุกคนกำลังใช้สมาธิกันอย่างเต็มที่

หลังจากสอบไปได้ครึ่งนึงของตารางสอบ ผมก็ไลน์ไปบอกพ่อกับแม่ว่าผมจะไปเที่ยวกาญประมาณสามวัน และจะกลับบ้านอีกทีก็น่าจะประมาณวันศุกร์ เพราะเราจะออกเดินทางกันวันจันทร์ ผมเลยกะว่าจะพักสักวันนึงค่อยกลับบ้าน แต่แม่ก็บอกว่ายังไงพ่อกับแม่ก็ต้องไปรับอยู่แล้ว จะกลับวันพฤหัสเลยก็ยังได้ เพราะพ่อก็เดย์ออฟวันนั้นพอดี ผมก็เลยตอบตกลงไป เพราะไม่อยากให้พวกท่านวุ่นวายมากนัก นี่ถ้าแม่ยอมให้ผมนั่งรถกลับเองคงจะสะดวกกว่านี้
แต่ก็นั่นแหละ ท่านเป็นห่วง ผมเองก็เข้าใจในข้อนี้อยู่

“ทริปนี้เราเอารถไปกันเองสามคัน แต่เรามีทั้งหมดสิบคน” พี่เนย์พูดขึ้นขณะทานมื้อเช้าก่อนจะต้องไปใช้สมองในห้องสอบ
“…” ผมพยักหน้าตอบ พลางตักหมูทอดเข้าปาก

“แต่คือเพื่อนกู ไอ้บอสกับไอ้ทีมน่ะ ก็อย่างที่กูเคยเล่าให้มึงฟัง ว่าไอ้บอสมันไม่เก่งเท่ามึง..” พี่เนย์พูดขึ้น จากนั้นก็เงียบไปพักนึง เหมือนกับอีกฝ่ายกำลังลอบมองปฏิกิริยาของผมอยู่
“…” ผมพยักหน้าพลางยิ้มให้อีกฝ่ายเล่าต่อ

“ปัญหาก็คือรถกูมันนั่งไม่พอไง เพราะไอ้บอสแม่งไม่ยอมไปนั่งกับไอ้ตี๋บาส แล้วไอ้เปรมมันก็นั่งไปกับไอ้บาสด้วยไง แล้วอีกอย่างคือเพื่อนกูสองคนมันก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนอีกกลุ่มของกูด้วย สำหรับไอ้ทีมมันก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไรหรอก ติดแค่ไอ้บอสนี่แหละ” พี่เนย์พูดพลางท้าวคางมองผมด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะขยับปากเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างอยู่หลายครั้ง แต่ก็เหมือนยังตัดใจพูดออกมาไม่ได้
“…” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายรีบๆพูดออกมา

“รัน.. เพื่อนมึงไปนั่งรถไอ้ตี๋บาสได้มั้ย?” พี่เขาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงเบาหวิว จากนั้นก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ต้องการออกมา
“กูไม่รู้ว่าเพื่อนมึงที่ชื่อหมอกจะเป็นเหมือนไอ้บอสมันหรือเปล่า กว่ากูจะตัดสินใจมาถามมึงได้น่ะ กูต้องนอนคิดมาก มาหลายวันแล้ว”

“…” ผมยิ้มบางๆไปให้พี่เขา พลางรู้สึกประทับใจคนตรงหน้ามากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะพี่เขาไม่ได้ห่วงแค่ผม หรือแค่เพื่อนของตัวเอง แต่พี่เนย์ยังเผื่อแผ่ความห่วงใยนั้นมาถึงเพื่อนของผมด้วย
‘ไอ้หมอกมันเคยบอกผมว่า ที่มันเลือกเรียนสาขาหูหนวกศึกษา มันต้องการซื้อความสบายใจให้ตัวเอง เพราะมันก็กลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนหรือรุ่นพี่จากสาขาอื่นเหมือนแบบที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้’

“เครียดเลยกู” พี่เนย์เงยหน้าพลางยกมือขึ้นกุมศีรษะทั้งสองข้างขณะที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
‘จริงๆพี่ให้ผมไปนั่งรถของพี่ตี๋บาสเป็นเพื่อนพวกมันก็ได้นะ’ ผมวางช้อนส้อม เมื่อทานมื้อเช้าจนหมดแล้ว จากนั้นก็ก้มหน้าพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ผ่านทางแชทไลน์ ก่อนจะนั่งท้าวคางรอฟังความคิดเห็นจากคนที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด

“เอางั้นเหรอ?” พี่เขาถามย้ำคล้ายกับไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินคำตอบแบบนั้นจากผม
“…” ผมพยักหน้าพลางยิ้ม

“ถามจริง” พี่เนย์ย้ำถามอีกครั้ง พลางยกยิ้มในแบบที่มองยังไงก็เขินจนไม่อาจต้านทานได้
“คะ..อับ” ผมพยักหน้าอย่างแข็งขัน จากนั้นก็ตั้งใจพูดสำทับให้ดูจริงจังขึ้น

พี่เนย์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นร่างสูงในชุดนักศึกษาถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะวางแขนซ้ายให้คว่ำขนานในแนวราบ ส่วนมือขวาก็ตีเข้าที่ฝ่ามือซ้าย จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาชูนิ้วโป้งเหมือนกับที่หลายๆคนชอบบอกใครสักคนว่า ‘เยี่ยมมาก’ แต่ในความหมายของภาษามือไทยแล้วมันแปลว่า‘เก่ง’
“ไปเร็ว จะได้ไปนั่งเตรียมตัวที่หน้าห้องสอบ” พี่เนย์สะพายกระเป๋าเป้ที่ปกติไม่ค่อยจะใช้สักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่ช่วงสอบ จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบจานตรงหน้า ก่อนจะเงยขึ้นมาพยักหน้ากับผม
แล้วเราสองคนก็ลุกเดินออกจากโต๊ะทานข้าวไปพร้อมๆกัน

หลังจากที่คร่ำเคร่งอยู่กับการสอบจนกระทั่งถึงตัวสุดท้าย วันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ไอ้หมอกนี่ จากทีแรกแลจะมีปัญหาเยอะ พอเอาเข้าจริง มันนั่นแหละที่กระตือรือร้นกับทริปในครั้งนี้ที่สุดแล้ว
พวกพี่เขาจองที่พักไว้เป็นบ้านแพริมน้ำ อีกทั้งยังเป็นบ้านแฝดที่มีประตูคอนเนคติ้งถึงกันได้ และมีห้องนอนทั้งหมดสี่ห้อง คือชั้นล่างสอง และชั้นบนใต้หลังคาอีกสอง โดยผมกับไอ้หมอกไอ้คินได้พักอยู่ที่ห้องใต้หลังคาทางฝั่งซ้ายมือ ส่วนพี่เอ้กับพี่บาสก็พักอยู่ที่ห้องใต้หลังคาทางฝั่งขวามือ พี่เนย์กับพี่ทีมพี่บอสอยู่ชั้นล่างฝั่งซ้ายมือ ส่วนพี่บาสกับพี่เปรมอยู่ชั้นล่างทางฝั่งขวามือ

“เดี๋ยวสี่โมงครึ่งเขามีไปล่องแพ มึงไม่ไปเล่นน้ำด้วยกันเลยวะ” ไอ้หมอกมันยืนกอดอกพลางถามผมที่กำลังยืนมองบรรยากาศด้านนอกหน้าต่างอยู่เงียบๆ
‘กูว่ายน้ำไม่เป็น’ ผมพิมพ์ข้อความ พลางหันกลับมาสนใจเพื่อนซี้ที่ยังไม่ยอมไปเล่นน้ำตามที่ตั้งใจไว้ ก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือให้มันอ่าน

“เฮ้ยมันมีชูชีพเว้ยมึง” ไอ้หมอกรีบตอบแทบจะทันที
‘มึงไปเล่นกับไอ้คินเถอะ’ ผมพิมพ์ตอบมันพลางยกยิ้ม ก่อนจะล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงที่ในวันนี้จะต้องนอนอัดกันถึงสามคน

“อ้าวแล้วล่องแพล่ะ มึงจะไม่ไป?” ไอ้หมอกมันรีบถามขึ้นมาอีกหน เหมือนมันอยากให้ผมได้เล่นน้ำให้คุ้มค่ากับการดั้นด้นมาถึงที่นี่มากๆ
‘อื้อ’ ผมพยักหน้าตอบ เพราะอันที่จริงแล้ว ที่ผมตัดสินใจมาเที่ยวกับพวกพี่เนย์ก็เพราะพวกพี่เขาชวนมาก็แค่นั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย

“อะไรวะมึง มาถึงกาญแต่ไม่เล่นน้ำ” ไอ้หมอกยังคงบ่นอุบไม่เลิก จนไอ้คินต้องลากมันออกไปจากห้อง ส่วนผมก็นอนแผ่อยู่ที่เดิม ด้วยรู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางพอสมควร เพราะก่อนหน้าที่จะเข้าที่พัก เราแวะไปที่น้ำตกเอราวัณมาด้วย

ก๊อก ก๊อก

“ไม่ไปเล่นน้ำล่ะ?” พี่เนย์เปิดประตูเข้ามา พลางยืนพิงขอบประตูห้องและถามด้วยคำถามที่ไอ้หมอกมันเพิ่งจะถามผมแหม่บๆ
‘ผมว่ายน้ำไม่เป็นครับ’ ผมพิมพ์ข้อความแชทพลางส่งไปถึงอีกฝ่ายที่กำลังล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ชูชีพไง ว่ายเป็นไม่เป็นยังไงก็ต้องใส่อยู่แล้ว” พี่เนย์ว่าพลางปิดประตูห้องและเดินเข้ามานั่งบนเตียงข้างๆผมที่ยังคงนอนแผ่
“…” ผมส่ายหัว

“ไปเถอะ มากาญทั้งทีจะอยู่แต่ในห้องได้ไง ถ้ามึงกลัวเดี๋ยวกูให้เกาะ” พี่เนย์ว่าพลางเอื้อมมาจับมือผมและเขย่าเล่นเบาๆ
“เร็วๆรัน เอาแต่ยิ้มอยู่นั่น กูก็บ้าจี้ยิ้มตามมึงอีก” พี่เนย์บ่นพลางหันหน้าไปยังประตูห้อง หากแต่มือใหญ่คู่นั้นก็ยังคงจับมือของผมไม่ยอมปล่อย ขณะที่ริมฝีปากของเจ้าตัวก็ขยับยิ้มออกมาอย่างที่พูดจริงๆ

ติ้ง!

‘รอผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึงครับ’ หลังจากพิมพ์ข้อความด้วยมือเดียวอยู่นาน ผมก็สามารถส่งประโยคที่ต้องการจะบอกอีกฝ่ายได้สำเร็จ จากนั้นผมก็ดึงมือข้างขวาของตัวเองออกจากการกอบกุมของชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีดำสนิท ก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปคุ้ยหาเสื้อผ้าในกระเป๋าเป้ ที่วางพิงเอาไว้ตรงข้างกำแพง
นี่ถ้าไอ้หมอกมันเห็นผมยอมออกไปเล่นน้ำล่ะก็นะ มันต้องปรามาสขึ้นมาอีกแน่ๆว่าผมน่ะ ‘เชื่อง’ จริงๆ   

แล้วก็จริงอย่างที่คิด เพราะทันทีที่ผมเดินออกไปตรงนอกระเบียงบ้าน ไอ้หมอกที่กำลังลอยคออยู่ในน้ำก็พูดแบบไม่มีเสียงใส่ผมว่า ‘เชื้องเชื่อง’ แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ คอยว้าวุ่นอยู่กับการใส่เสื้อชูชีพ โดยมีคนที่ให้สัญญาไว้ว่าจะยอมให้ผมเกาะถ้าหากผมกลัว มาคอยตามประกบอยู่ไม่ห่าง
“ลงมาเร็วๆมึง ไปเดินบนโฟมกัน กูอยากไปเล่นสไลเดอร์” ไอ้หมอกมันกวักมือเรียกผมที่กำลังหย่อนขาลงบันไดตรงท่าน้ำริมระเบียง

“ไม่จมหรอกน่า” ไอ้คินมันพูดขึ้น เมื่อเห็นผมลังเล
“…” ผมมองหน้าเพื่อนสองคน จากนั้นก็หันไปมองพี่เนย์ อีกฝ่ายก็พยักหน้าสนับสนุน

ทันทีที่ผมลงไปลอยคออยู่ในน้ำ มือข้างหนึ่งของผมก็ยังคงจับอยู่ที่ราวบันไดบริเวณใต้น้ำ ส่วนอีกข้างก็จับยึดฝ่ามือใหญ่ของคนตัวโตที่กำลังค่อยๆทิ้งตัวลงในน้ำเอาไว้แน่น กระทั่งเราทั้งคู่ลอยคออยู่ในน้ำ พี่เนย์ก็บอกให้ผมตีขาตามไปด้วย ขณะที่ไอ้คินกับไอ้หมอกก็ปีนขึ้นไปนั่งรออยู่บนโฟมแผ่นใหญ่คนละแผ่น
พอผมว่ายเข้าไปใกล้ พวกมันก็ค่อยๆยืนทรงตัวบนโฟมแผ่นนั้น ก่อนจะเดินทรงตัวบนโฟมหนาทีละแผ่นอย่างรวดเร็วจนผมคิดว่าผมคงไล่ตามพวกมันไม่ทันแน่

“ไม่จมหรอก แป้บเดียวให้พี่ปีนขึ้นโฟมก่อน” พี่เนย์บอกพลางปล่อยมือที่กอบกุมกันไว้ วินาทีนั้นทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ผมก็มีสติมากพอที่จะเกาะโฟมแผ่นที่พี่เนย์ปีนขึ้นไปนั่ง
 “ปืนขึ้นมาเลยรัน” พี่เนย์ใช้เวลาสักพักในการยืนทรงตัว จากนั้นอีกฝ่ายก็ส่งมือมาให้ผมจับยึด ผมจึงค่อยๆปืนขึ้นอย่างทุลักทุเล ซึ่งพอผมขึ้นมาบนโฟมแผ่นเดียวกันแล้ว โฟมแผ่นนั้นก็โคลงเคลงไปมาจนผมกลัว เพราะมันจมไปกว่าครึ่ง พี่เนย์เลยต้องเดินไปยืนที่โฟมอีกแผ่นข้างๆกัน

“ยืนขึ้นเร็ว” พี่เนย์พูดพยักหน้าเบาๆ ผมจึงค่อยลุกขึ้นยืนด้วยอาการเกร็งไปทุกส่วน กว่าจะขยับขาได้แต่ละก้าวผมก็ต้องทำใจอยู่หลายนาที แต่ทีนี้พอผมจะเดินไปที่โฟมอีกแผ่น ความโคลงเคลงมันก็กลับมาอีก ผมจึงรีบส่ายหน้าให้พี่เนย์ที่ตอนนี้ขยับไปที่โฟมแผ่นใหม่แล้ว
“จะไปแล้วนะ ตามมาเร็วๆรัน ทรงตัวดีๆด้วย ไม่ล้มหรอก” พี่เนย์พูดพลางเดินห่างจากผมไปอีกหนึ่งแผ่นโฟม ผมจึงตัดสินใจก้าวข้ามโฟมแผ่นเดิมเพื่อมายืนยังแผ่นใหม่ กระทั่งผมเริ่มชินแล้ว จังหวะการก้าวเดินบนโฟมของผมก็เริ่มเร็วขึ้น พี่เนย์จึงเดินนำหน้าไปไกลลิบ ส่วนผมก็เดินตามอีกฝ่ายไปจนถึงตรงที่ที่ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ ก็คือสไลเดอร์

“ขึ้นมาเร็วๆรัน” พี่เอ้ที่กำลังปีนขึ้นไปยังสไลเดอร์ขนาดใหญ่ หันมาโบกมือเรียก ผมจึงส่ายหน้าเพราะผมกลัว ยิ่งว่ายน้ำไม่เป็นด้วยแล้ว ผมก็ไม่กล้าขึ้นไปหรอก ดูพี่ๆแต่ละคนสิ ลงน้ำทีตูมๆ จนน่าหวาดเสียว
“งั้นไปเล่นนี่กัน” พี่เอ้ปีนลงมาหาผมที่ยืนอยู่บนโฟม จากนั้นเธอก็จูงมือพาผมเดินไปยังแป้นกระโดดที่ลอยอยู่ในน้ำ โดยขณะที่เดินทรงตัวอยู่บนโฟม เธอจะต้องเดินนำหน้าผมด้วยโฟมหนึ่งแผ่น กระทั่งมาจนถึงโฟมแผ่นสุดท้ายที่หยุดอยู่ตรงหน้าแป้นกระโดด พี่เอ้ก็ก้มลงดึงเชือกที่ห้อยต่องแต่งอยู่ในน้ำ เพื่อลากแป้นกระโดดที่อยู่ไกลออกไปให้เข้ามาชิดแผ่นโฟม จากนั้นเธอก็ปีนขึ้นไปข้างบน

“ขึ้นมาเร็วๆรัน” พี่เอ้กวักมือเรียกผม พลางกระโดดโหยงเหยง จนทำให้แป้นกระโดดค่อยๆลอยห่างจากโฟมแผ่นสุดท้ายที่ผมยืนอยู่ ผมจึงก้มลงดึงเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกติดกับแป้นกระโดดให้เข้ามาใกล้ตัว
‘เอ้ มึงก็หยุดกระโดดก่อนดิ น้องมันกลัว’ ผมหันไปมองยังต้นเสียง เพราะไม่รู้ว่าพี่เนย์เดินผ่านมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในเมื่อก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเพิ่งจะเล่นสไลเดอร์มาหมาดๆ

“…” เมื่อผมมองพี่เนย์ในชุดเล่นน้ำที่เป็นแค่เสื้อยืดสีดำคลุมทับด้วยเสื้อชูชีพสีส้มแสดกับกางเกงขาสั้นสีครีม อีกฝ่ายจึงพยักหน้าสนับสนุน ผมเลยค่อยๆปีนขึ้นไปบนแป้นกระโดดได้สำเร็จ จากนั้นพี่เอ้ก็กระโดดโหยงเหยงยกใหญ่ แต่พอเธอเห็นผมไม่ยอมกระโดด เธอก็หันมาพยักหน้าพลางสะบัดมือขึ้นลงไปด้วย ผมจึงค่อยๆกระโดดด้วยจังหวะที่ไม่สูงมากนัก กระทั่งคุ้นแล้วผมถึงได้กระโดดสูงขึ้น ซึ่งพี่เอ้ก็จับมือผมไว้ แล้วเราก็กระโดดโลดเต้นอยู่บนนั้นด้วยกันราวกับเด็ก พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน แม้กระทั่งผมที่ทำได้แค่หัวเราะในลำคอก็ตาม แต่เสียงนั้นมันก็บ่งบอกได้ว่าผมรู้สึกสนุกมากแค่ไหน

“เฮ้ยๆ สี่โมงแล้ว เขามาตามให้ไปขึ้นรถ” ผมหยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นก็หันไปมองยังต้นเสียง ก็เห็นว่าพี่เนย์กำลังยืนปรบมืออยู่ตรงหน้าระเบียงบ้าน พลางตะโกนเรียกพวกเราให้ไปรวมพล ซึ่งพี่ๆคนอื่นที่ว่ายน้ำเป็นก็รีบกระโดดน้ำกันตูมตาม แป้บเดียวก็ว่ายไปจนถึงตัวพี่เนย์แล้ว แม้กระทั่งพี่บอสกับพี่ทีมที่ไม่ค่อยสนิทสนมกับเพื่อนอีกกลุ่มของพี่เนย์ ในตอนนี้กลับเข้าขากันได้ดีเพราะได้ร่วมทำกิจกรรมร่วมกัน
“ไอ้รัน มึงโดดลงมาเลย” ไอ้หมอกที่ว่ายน้ำมาพร้อมกับไอ้คินผ่านตรงหน้าผม มันก็รีบตะโกนบอกพลางกวักมือเรียก

“…” ผมหันไปมองพี่เอ้ ก็เห็นว่าเธอมองผมอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเธอก็พยักหน้าสนับสนุน ก่อนจะเอื้อมมือมาจับกับมือผม
“ถ้าพี่นับถึงสาม รันกระโดดเลยนะ” พี่เอ้ว่าอย่างนั้น แล้วก็เริ่มนับถอยหลัง โดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาทำใจเลย เพราะนับแค่ไม่กี่เลขผมก็ต้องกระโดดลงน้ำแล้ว

ตู้ม!!!!!!!

ตอนนี้ผมกับพี่เอ้คงจะเหมือนลูกหมาตกน้ำแน่ๆ เพราะพวกเราต่างก็เปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า กว่าจะว่ายมาจนถึงบันไดริมระเบียงบ้านก็เล่นเอาหอบ แต่ก็ไม่มีเวลาเหนื่อยนานนัก ในเมื่อใกล้เวลาต้องไปเล่นแพเปียกแล้ว ซึ่งผมก็นึกกลัวอีกนั่นแหละ
“ประมาณห้าโมงนะครับ รีสอร์ทที่โควกับทางเราไว้ เขาจะประกาศเรียกให้ขึ้นแพเปียก ถ้าหากใครขึ้นไม่ทันก็คือพลาดเลยนะครับ และระหว่างนี้ทุกท่านสามารถเล่นเครื่องเล่นได้ทุกอย่างครับ” ทันทีที่รถขับมาจนถึงรีสอร์ทที่ว่าแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ย้ำกับพวกเราให้รักษาเรื่องเวลา ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้พวกเราคงไม่ต้องห่วง เพราะเรามีมนุษย์ผู้ตรงต่อเวลาอย่างพี่เนย์อยู่ทั้งคน พี่เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครเถลไถลแน่ๆ

“คนเยอะชิบ” พี่เปรมบ่น พลางเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงปากทางเข้าสู่ลานเครื่องเล่นกลางน้ำที่อยู่ข้างๆห้องอาหารของทางรีสอร์ท
“ไปเล่นกันเลย เดี๋ยวกูถ่ายรูปให้” พี่บาสแฟนพี่เอ้เสนอ จากนั้นทุกคนก็เริ่มทยอยลงไปเดินบนแผ่นโฟมอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้พวกพี่เขาทำเพียงแค่เดินเล่นไปเรื่อยๆเท่านั้น แต่ผมคงพักก่อนดีกว่า เมื่อกี้ตอนเดินบนโฟมก็หอบจะแย่ เพราะต้องทรงตัวให้ดีไม่งั้นมีพลิกคว่ำ

“มึงไม่เล่นต่อเหรอวะ?” ไอ้หมอกมันเดินไปยืนบนแผ่นโฟมเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์จะหันมาถาม ผมจึงส่ายหน้าพลางโบกมือให้มันเล่นได้ตามสบาย ช่วงขายาวๆของมันจึงจ้ำเอาๆ เพื่อที่จะไล่ตามไอ้คินที่เดินทิ้งระยะห่างไปไกลแล้ว ครั้นเมื่อมันไล่ตามเพื่อนร่างสูงของตัวเองได้ทัน ไอ้หมอกมันก็รีบยืนอยู่บนโฟมแผ่นเดียวกัน ก่อนจะก้าวข้ามไปยังโฟมอีกแผ่นเพื่อแซงคิวไอ้คิน ที่ตรงนี้ก็เลยเหลือแค่ผม พี่เนย์ พี่บาสที่กำลังถ่ายรูปอยู่เท่านั้น

‘เอาโทรศัพท์มาด้วย ไม่กลัวมันโดนน้ำเหรอครับ’ ผมแบมือขอโทรศัพท์จากพี่เนย์ จากนั้นก็พิมพ์ข้อความให้อีกฝ่ายอ่าน
“ไอ้บาสมันมีกระเป๋ากันน้ำ เพราะต้องเอากล้องไปถ่ายรูปตอนล่องแพเปียกไง” ผมพยักหน้ารับ จากนั้นก็มองไปยังพวกพี่ๆ กับไอ้เพื่อนซี้ที่กำลังเดินเล่นบนโฟมกันอย่างสนุกสนาน แถมยังมีแกล้งกันจนล่วงลงน้ำตั้งหลายคนแล้ว ดีนะที่ผมไม่ไปเล่นด้วย
ไม่งั้นผมคงไม่พลาดที่จะโดนแกล้งแน่ๆ

พวกพี่เขามีเวลาเล่นกันสักพักใหญ่ ทางรีสอร์ทก็ประกาศเรียกคนที่สนใจจะไปล่องแพเปียกให้ไปรวมตัวกันตรงด้านหลังของห้องอาหาร เราทั้งหมดจึงยกโขยงเดินไปพร้อมกัน เมื่อมาถึงท่าขึ้นแพเปียกก็ต้องตกใจกับจำนวนคนที่เยอะมากๆ แต่แพก็แลใหญ่และดูแข็งแรงพอสมควร ผมจึงคลายความกังวลไปได้เยอะ เพราะนี่เป็นการล่องแพครั้งแรกในชีวิต
“ถ้าเป็นแพไม้ไผ่จะโคลงเคลงแล้วก็เดินลำบากด้วย อันนี้ไม่น่ากลัวหรอก” พี่เนย์พูดขึ้นคล้ายกับอ่านความคิดของผมออก ผมจึงหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินตามพี่คนอื่นๆที่ค่อยๆทยอยลงไปบนแพ จากนั้นถึงค่อยทิ้งตัวลงนั่งในตำแหน่งที่พวกพี่เขาจับจองไว้ โดยการนั่งห้อยขาละไปกับผืนน้ำอันกว้างใหญ่

“หันมาถ่ายรูปเร็ว” พี่บาสลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ประคองกล้องเอาไว้ในมือ ทำให้พวกเราทุกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาตีขาเล่นน้ำ ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน ไม่นานเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาถ่ายรูปเดี่ยวให้กับทุกคน
“หันมาถ่ายรูปคู่เร็ว” หลังจากถ่ายให้ทุกคนจนครบ ระหว่างรอเวลาให้พนักงานลากแพออกมาจากจุดเดิม พี่บาสก็เดินมาหาผมกับพี่เนย์ที่กำลังนั่งคุยกันเรื่องเจ้าเขี้ยวกุดว่าใครเป็นคนมาช่วยดูแลให้ในระหว่างนี้ เพราะกว่าพี่เนย์จะกลับถึงหอมันก็นานพอสมควรสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีคนดูแล พี่เขาเลยเฉลยว่าตอนนี้ได้จ้างให้เตที่เป็นหลานรหัส มารับช่วงแทนในระหว่างปิดเทอม เพราะเจ้าตัวเป็นเด็กพื้นที่ เลยไปมาที่หอพี่เนย์ได้สะดวก แล้วอีกอย่างจริงๆแล้วเขี้ยวกุดก็ให้อาหารแค่อาทิตย์ละสองครั้งเท่านั้น แต่ตัวพี่เนย์เองเขาอยากจะให้ทุกวันทีละน้อยๆมากกว่า เพราะยังไงก็แค่จับเหยื่อหย่อนลงไปในตู้ แล้วเขี้ยวกุดมันก็จะหากินเองอยู่แล้ว

“ยิ้มด้วยสิ” พี่บาสสั่ง ผมจึงค่อยๆคลี่ยิ้มอย่างเกร็งๆ เพราะผมเป็นคนที่ยิ้มแบบตั้งใจจะยิ้มไม่เป็น ทั้งๆที่หลายๆคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าผมยิ้มเก่งแล้วก็ยิ้มสวย แต่พอต้องบังคับตัวเองให้ยิ้มใส่กล้อง ผมก็มักจะยิ้มออกมาแบบเกร็งๆจนน่าตลกทุกครั้ง
“รันยิ้มแค่มุมปากก็ได้ เอาใหม่” พี่บาสนี่ถือเป็นตากล้องที่ดีใช้ได้ มีการให้ถ่ายแก้ตัวใหม่ด้วย

แชะ!

“รัน” หลังจากได้ยินเสียงชัตเตอร์ลั่นแล้วเรียบร้อย พี่อาคเนย์ก็ร้องเรียก ผมจึงหันไปหาบุคคลต้นเสียงที่นั่งอยู่ข้างๆกัน ก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจว่าจะเรียกผมทำไม ถ้ามัวแต่จะมานั่งจ้องหน้ากันแบบนี้
“…” พี่เนย์ไม่ยอมเฉลยคำตอบใดๆ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่เริ่มลากแพออกจากท่า แต่กว่าที่ช่วงแพของเราจะขยับก็นานหน่อย เพราะแพของรีสอร์ทยาวมาก แต่แล้วผมก็ต้องปรายสายตาไปมองยังคนตัวโตที่สวมเสื้อชูชีพสีแสดข้างๆกัน เมื่ออีกฝ่ายวางฝ่ามือหนาลงบนมือของผมที่เกาะขอบแพเอาไว้ และด้วยช่องว่างระหว่างเราที่มันไม่มี จึงไม่มีใครสังเกตได้ว่า ตอนนี้พี่อาคเนย์กำลังแอบจับมือของผมอยู่
ผมจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ก่อนจะหันหน้ามองออกไปทางอื่นด้วยความเก้อเขิน



-------------------------------------------------------

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเหมือนเดิมนะคะ >  จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
ใครเหม็นความรักก็ต้องทนกันต่อไปนะคะ 5555 เค้าจะเต๊าะกันเรื่อยๆค่ะ
ส่วนตอนนี้ก็มีหลายๆคนที่เปิดใจเลยเนอะ ไม่ว่าจะเป็นรัน พี่บอส หมอก
อารมณ์คล้ายๆกับการมาเข้าค่ายละลายพฤติกรรมค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 22 ♥ หน้า 4 (up 09/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-11-2017 15:23:34
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 22 ♥ หน้า 4 (up 09/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-11-2017 15:37:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 22 ♥ หน้า 4 (up 09/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-11-2017 15:56:30
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 22 ♥ หน้า 4 (up 09/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-11-2017 17:03:30
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 22 ♥ หน้า 4 (up 09/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 09-11-2017 21:11:19
น่ารักๆ ดูแลกันไปดีๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 23 ♥ หน้า 4 (up 10/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 10-11-2017 14:22:29
♥ Fall in you ♥
ตอน 23



ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับการถูกไอ้หมอกไอ้คินปลุกแต่เช้า เมื่อพวกมันอยากจะไปพายเรือคายักเล่น ผมที่พายเรือก็ไม่เป็น ว่ายน้ำก็ไม่เป็น เลยต้องยอมขุดตัวเองออกจากที่นอน เพราะพวกมันไม่ยอมปล่อยให้ผมได้นอนจนสมใจ
ขนาดเมื่อคืนนั่งดื่มกันตั้งนานกว่าจะเข้านอน พวกแม่งก็ยังตื่นกันไหว!

“ไปนั่งรับอากาศดีๆยามเช้านี่ พายไม่เป็นมึงก็ถ่ายรูปให้พวกกูสิครับ ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยสิเพื่อน” ไอ้หมอกมันว่าอย่างนั้น พลางหยิบโทรศัพท์มายัดมือผม ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ผมจึงต้องจำใจเดินเข้าไปล้างหน้าและบ้วนปากให้เรียบร้อยถึงค่อยตามพวกมันออกไป

ผมค่อยๆเดินลงบันไดอย่างเงียบเชียบ เพราะไม่อยากจะรบกวนพวกพี่ๆที่อยู่ข้างล่างสักเท่าไหร่ ในเมื่อห้องของอีกฝ่ายยังคงปิดไฟปิดผ้าม่านจนทั้งห้องมืดสลัว เพราะยังคงมีช่องผ้าม่านแง้มพอให้แสงสว่างจากข้างนอกเล็ดลอดเข้ามาบ้าง และเมื่อผมกำลังเดินผ่านเตียงนอนขนาดใหญ่ ผมก็แอบลอบยิ้มกับตัวเอง เมื่อเห็นพี่อาคเนย์กำลังนอนหลับสบายจนผมยุ่งไม่เป็นทรง
คาดว่าอีกนานกว่าเจ้าตัวจะตื่น เพราะเมื่อคืนก็ดื่มไปเยอะเหมือนกัน

ผมเดินออกมาข้างนอกบ้านตรงบริเวณริมระเบียง อากาศข้างนอกเย็นนิดๆ เพราะว่านี่เพิ่งจะหกโมงเช้าเท่านั้น ผมจึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นไม้ และเอาขาแช่น้ำตรงบันไดเรียบท่าน้ำ จากนั้นผมก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์ เพื่อเตรียมตัวจะถ่ายรูปไอ้เพื่อนสองคนที่มันพายเรือมาวนเวียนอยู่ตรงหน้าผมพอดี
แต่แล้วก็มีอะไรบางอย่างมาดึงความสนใจไปจากผมเสียก่อน

Akane Akarawin added 1 new photo
That’s a really nice photo

พี่อาคเนย์เขาโพสต์รูปภาพลงในเฟซบุ๊คส่วนตัว โดยที่ไม่ได้แท็กถึงใครทั้งนั้น เหมือนกับว่าเจ้าตัวเขาแค่อยากจะโพสต์ตามความรู้สึกของตัวเองเฉยๆ เพียงแต่ภาพนั้น มันเป็นภาพของผมกับพี่เอ้ ที่หันหลังให้กล้องขณะกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนแป้นกระโดดกลางน้ำ โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาขนาดเล็กซ้อนทับกันเป็นทิวเขาที่สวยงามตัดกับท้องฟ้าสีอ่อนที่แต่งแต้มด้วยสีขาวของเมฆก้อนใหญ่ จึงทำให้ภาพนั้นมองดูแล้วสวยงามขึ้นอีกเท่าตัว จนสมกับแคปชั่นของพี่เนย์ที่เขียนเอาไว้ว่า ‘นั่นเป็นรูปที่ดีจริงๆนะ’
ผมกดถูกใจภาพนั้น ก่อนจะเข้าสู่โหมดถ่ายภาพให้เพื่อนสองคน ที่กำลังพายเรือเล่นอย่างสนุกสนาน คล้ายกับว่าพวกมันกำลังปลดปล่อยความเครียดจากการอ่านหนังสือสอบมานานแสนนานจนหมดสิ้น

“ตื่นนานแล้วเหรอ?” พี่เนย์วางฝ่ามือลงบนหัวของผม พลางท้าวแขนข้างหนึ่งไว้กับราวระเบียงบ้าน ขณะที่ปากก็ถามไถ่ทันทีที่เจอหน้ากัน
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็นั่งมองเพื่อนทั้งสองคน ที่ดูเหมือนจะพายเรือเป็น แต่จริงๆแล้วพวกมันพายไม่เป็นเลยครับ ที่เห็นพายวนอยู่ตรงหน้าผมนั้น แท้ที่จริงแล้วพวกมันกำลังกลับลำเรือให้ไปยังทิศทางที่ต้องการ เพราะอีกนิดเดียวเรือลำนั้นก็จะชนเข้ากับขอนไม้เล็กๆ ที่ทางบ้านพักเขาผูกเชือกเพื่อกั้นเขต แต่ดูเหมือนเรือคายักลำนั้นจะไม่เชื่อฟัง เพราะเมื่อเพื่อนผมมันอยากจะพายไปทางซ้าย เรือก็ดันไปทางขวา

“มึงอยากพายเรือแบบเขาบ้างมั้ย?” พี่เนย์ยืนท้าวแขนกับราวระเบียงพลางหันหน้ามาทางผม ที่นั่งอยู่ตรงพื้นไม้ด้านล่าง   
“…” ผมส่ายหน้า

“ทำไม ? มึงพายไม่เป็น?”
“…” ผมไม่ตอบแต่กลับใช้ภาษามือในการสื่อสาร โดยแบมือซ้ายขึ้น ในระดับทแยงมุมน่าจะสัก 45 องศา ส่วนมือขวาก็ชูแค่นิ้วก้อยเพียงนิ้วเดียว จากนั้นก็แตะปลายนิ้วข้างที่ว่าลงบนฝ่ามือซ้ายและดันขึ้นกลางอากาศคล้ายกับขีดเส้นตรง ส่วนริมฝีปากก็ต้องเม้มแน่น แสดงถึงความมั่นใจ
เพื่อสำทับท่าทางนั้นที่แปลความหมายได้ว่า ‘ถูกต้อง’

“เดี๋ยวกูพายให้ มึงแค่นั่งเฉยๆก็พอ”

หลังจากตกลงกับพี่เนย์แล้วว่าเราจะไปพายเรือเล่นกัน เราสองคนก็แยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เล่นน้ำเมื่อวาน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแบกเสื้อเปียกหลายตัวนัก ก่อนจะลงมาใส่เสื้อชูชีพที่แขวนเอาไว้ที่ราวระเบียงบ้าน จากนั้นเราก็เปิดประตูหลังบ้านและเดินออกไปสูดอากาศข้างนอกพร้อมกัน
พี่เนย์ให้ผมหยิบไม้พาย ส่วนอีกฝ่ายก็ลากเรือคายักที่เจ้าหน้าที่เขาลากไปเก็บรวมกันไว้ตรงมุมหนึ่งของแพสำหรับให้บริการอุปกรณ์ดังกล่าวลงน้ำ แต่ด้วยความที่เรือมันหนักพอสมควร ก็เลยทุลักทุเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่เกินความสามารถของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ มากนัก

“มึงไม่ได้พายเรือก็นั่งหันหน้ามาหากูดิ” พี่เนย์ให้ผมเป็นฝ่ายลงเรือคนแรก เพราะเจ้าตัวจะคอยจับเรือไว้ให้ เพื่อที่มันจะได้ไม่โคลงเคลงมากนัก กระทั่งผมนั่งในท่าทางที่สะดวกขึ้น ผู้ชายผมยุ่งคนนั้นก็ส่งไม้พายขึ้นมาบนเรือก่อน จากนั้นถึงค่อยพาตัวเองมานั่งบนเรือลำเดียวกัน

“มึงเพิ่งเคยมาเที่ยวกับคนเยอะๆ แบบนี้ เป็นครั้งแรกใช่มั้ย?” พี่เนย์ถามขณะที่กำลังพายเรือวนรอบเครื่องเล่นแบบเป่าลมที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
“…” ผมหันมามองคนที่อยู่ตรงหน้า พลางพยักหน้าตอบรับ

“จริงๆมึงน่าจะลองตอบรับเป็นคำพูด เช่น ครับ ใช่ แบบที่มึงเคยพูดก็ได้”
“…”

“ถึงกูจะแพ้ทาง แต่มันคงดี ถ้ามึงได้ลองฝึกพูดเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง” พี่เนย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ราบเรียบ แต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่น ไร้ความกดดัน เหมือนว่าสุดท้ายแล้ว ผมเลือกจะทำตามหรือไม่ มันก็แล้วแต่ความต้องการของผมอยู่ดี
“คะ..อับ” ผมยิ้มพลางพยายามพูดตอบรับตามที่อีกฝ่ายแนะนำ เพียงเท่านั้นพี่เนย์ก็ยกยิ้มกว้างในแบบที่เจ้าตัวไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นเลย เพราะที่ผ่านมาพี่เขาเพียงแค่ยิ้มอย่างอบอุ่นเท่านั้น แต่ว่าครั้งนี้รอยยิ้มตรงหน้ากลับเป็นรอยยิ้มอันสดใส ที่ผมเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผมไม่ชอบรอยยิ้มนั้น

“ที่จริงมึงไม่ใช่คนตาตี่นะ แต่เวลามึงยิ้มทีไร ตามึงจะเรียบหายกลายเป็นขีดไปหมดเลย”
“…” ผมหัวเราะออกมากับคำเปรียบเทียบของอีกฝ่าย ด้วยรู้ตัวว่าหนังตาของผมมันเยอะเวลายิ้มจึงทำให้เนื้อตาข้างบนมันหย่อนลงมาด้วย จนทำให้ดวงตาจากที่เคยกลมโตกลายเป็นเส้นขีดยาวๆประดับใบหน้า

“แต่มันก็เป็นข้อดีตรงที่ว่า เวลามึงยิ้ม ตาของมึงก็จะยิ้มไปด้วย”
“…”

“นั่นเลยเป็นเหตุว่าทำไมมึงถึงยิ้มสวย” พอได้ยินคนตรงหน้าพูดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะเสมองไปทางอื่น และทำเหมือนกับว่าพี่เนย์ไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว สายตาของใครคนนั้นก็ยังคงจับจ้องมาที่ผมอยู่ดี

ด้วยความที่พวกพี่เขาจัดทริปไว้ที่สามวันสองคืนก็เลยต้องจองที่พักเอาไว้สองแห่ง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ในช่วงสายของวันนี้พวกเราเลยออกเดินทางกันเร็วหน่อย แม้จะยังไม่ถึงเวลาเช็คเอาท์ก็ตาม เพราะพี่เอ้อยากจะแวะเที่ยวน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นก่อน ซึ่งก็หนีไม่พ้นการแช่ตัวในน้ำเย็นเฉียบอีกตามเคย ดีหน่อยที่น้ำตกที่นี่ไม่มีปลามากนัก ไม่เหมือนกับน้ำตกเอราวัณ ขนาดว่าพวกพี่เขาเลือกไปแช่ตัวที่ชั้นสามแล้วนะ ปลาก็ยังรุมตอดอยู่ดี ส่วนผมวันแรกก็นั่งอยู่ริมฝั่งเพราะว่ายน้ำไม่เป็นและกลัวน้ำมันลึกด้วย แต่พอมาวันที่สอง ผมก็ยอมลงเล่นน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นแต่โดยดี เพราะไอ้หมอกมันยืนยันแล้วว่ามันไม่ลึกจริงๆ ด้วยการยืนให้ผมดู ซึ่งระดับน้ำก็อยู่แค่ต้นขาจนเกือบจะถึงเอวเท่านั้น
เรียกได้ว่าทริปนี้เรามาเพื่ออยู่กับน้ำจริงๆ เพราะทันทีที่มาถึงที่พัก พวกพี่บางคนรวมถึงเพื่อนผมด้วย ก็พากันไปเล่นน้ำในแม่น้ำอีกรอบ ส่วนพี่เปรมก็ยืนตกปลาอยู่ตรงริมระเบียงบ้านแฝด เนื่องจากที่พักของเราในคืนนี้เป็นโฮมสเตย์อยู่เรียบริมแม่น้ำแควใหญ่ ส่วนที่พักของเมื่อวานนี้อยู่ในเขื่อนศรีนครินทร์

บ้านพักหลังใหญ่ของที่นี่สามารถรองรับได้แค่สองถึงสี่คน แต่เพราะเราจ่ายเงินเพิ่มห้องละคน จึงทำให้พวกเราสามารถอัดแบ่งจำนวนคนในการเข้าพักของแต่ละบ้านออกเป็นฝั่งละห้าคน ซึ่งก็แบ่งกันตามสาขาที่เรียน เพื่อตัดปัญหาเรื่องพี่บอสออกไป แต่เอาเข้าจริง ผมว่าตอนนี้ไม่น่าจะมีปัญหาแล้วล่ะ เพราะผมเห็นพี่บอสกับพี่ทีมก็ไปเล่นน้ำกับพวกพี่บาส พี่เอ้ เรียบร้อยแล้ว แถมยังมีช่วงนึงที่พวกพี่เขากวนประสาทใส่พี่เปรมด้วยนะ คือพี่เปรมเขาตกปลาอยู่ใช่ไหมล่ะ แต่ทุกคนก็ดันไปเล่นน้ำตรงที่พี่เขาตกปลากันหมดเลย
แล้วปลาที่ไหนจะมาติดเบ็ดล่ะ

เมื่อบ้านพักไม่มีมื้อเย็นให้บริการ พวกเราทั้งหมดจึงต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปหาอะไรกินให้เรียบร้อย จากนั้นพวกพี่เขาก็แวะเซเว่นเพื่อซื้อเครื่องดื่มและกับแกล้มกลับที่พัก ส่วนพวกผมที่โดยสารรถของพี่ตี๋บาสออกมาข้างนอกก็ต้องกลับที่พักก่อนใคร เพราะว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายไปจัดสถานที่ เคลียร์พวกโต๊ะ เก้าอี้ให้หลบเข้ามุมซะก่อน จะได้นั่งตั้งวงที่พื้นได้

“มึงเอากีตาร์มาป่ะ?” พี่เปรมหันไปถามพี่เนย์ที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
“เปล่า” พี่เนย์ตอบพลางยกแก้วเหล้าขึ้นจิบเล็กน้อย

“ไอ้สัสเนย์! กูแม่งก็เตือนแล้วเตือนอีก มึงก็ยังลืมจนได้” พี่เปรมบ่น
“กูก็เปิดเพลงสร้างบรรยากาศให้มึงอยู่นี่ไง แค่นี้มึงก็น่าจะแดกแบบชิวๆได้แล้วนะ” พี่บาสแฟนพี่เอ้พูดขึ้นบ้าง

“โห่ว ไอ้เชี่ยบาสมึงแม่งไม่เข้าใจกูเลย มาเที่ยวทั้งที กูก็อยากจะนั่งจิบเหล้าชิวๆ เกากีตาร์เพลินๆ แล้วก็นั่งทอดอารมณ์ไปกับการชื่นชมธรรมชาติบ้างอะไรบ้าง” พี่เปรมสาธยายออกมาเป็นฉากๆ แต่สุดท้ายความหวังก็ต้องพังทลายเมื่อพี่เนย์ไม่ได้เอากีตาร์มาด้วย
“ไอ้บอสมันบอกว่ากีตาร์อยู่หลังรถ ไอ้เนย์มันโกหก” พี่ทีมถอดความภาษามือของพี่บอสให้พี่เปรมรับรู้ ทำเอาพี่เนย์จากที่นั่งชิวๆอารมณ์ดีเพราะได้อำเพื่อน ก็ถึงคราวต้องรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนีพี่เปรมอย่างรวดเร็ว เพราะอีกฝ่ายตั้งท่าจะหิ้วปีกพี่เนย์ไปโยนทิ้งน้ำ โชคดีที่พี่เนย์ไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นคงได้เล่นน้ำกลางดึกแน่ๆ เพราะพี่เปรมตัวใหญ่กว่าพี่เนย์มาก เรียกได้ว่าหุ่นนักกีฬาเลยแหละ เพราะรายนี้เขาออกกำลังกายบ่อย แล้วก็เป็นตัวตั้งตัวตีในการชักชวนเพื่อนคนอื่นๆไปตีแบดหรือไปวิ่งอยู่บ่อยๆ

“ไอ้บอส มึงนะมึง! ขากลับกูจะเนรเทศมึงไปนั่งรถไอ้ตี๋บาส” พี่เนย์ที่วิ่งหนีจนพ้นรัศมีของพี่เปรมแล้วก็รีบหันไปชี้หน้าเพื่อนอีกกลุ่มของตัวเองอย่างเหลืออด เพราะดูท่าแล้วพี่บอสคงจะเปิดใจให้เพื่อนของอีกฝ่ายมากกว่าที่คิด
“…” พี่บอสยักไหล่พลางยกยิ้มราวกับไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น มิหนำซ้ำยังจะดื่มโชว์พี่เนย์อย่างสบายอารมณ์ซะอีก

“เชี่ยเปรม รับ!” พี่เนย์เดินหายเข้าไปหยิบกุญแจรถ จากในห้องนอนของบ้านทางฝั่งซ้ายมือ ก่อนจะร้องเรียกพี่เปรมและโยนกุญแจรถไปให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับได้ทันพอดิบพอดี
หลังจากพี่เปรมหายไปเอากีตาร์ พี่ๆทุกคนก็นั่งจิบเหล้าไปพลาง แกะเมล็ดแตงโมกินไปพลาง มีหยุดพูดคุยกันบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่ก็ไม่บ่อยนัก เพราะทุกคนดูเหมือนจะกำลังดำดิ่งไปกับธรรมชาติเงียบๆรอบด้านที่มืดมิด ขณะที่ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ดื่มฟูลมูน ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่รสชาติออกหวานๆขมๆปะปนกัน เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยดื่มแอลกอฮอลล์มาก่อน พี่เอ้เลยสละฟลูมูนให้ผม ส่วนเธอก็ดื่มเหล้าเหมือนคนอื่นๆ ส่วนไอ้หมอกไอ้คินนี่ถือว่าลาภปากครั้งใหญ่เลย ในเมื่อที่ผ่านมาพวกมันไม่เคยออกไปดื่มที่ไหน ทั้งๆที่พวกมันนี่ก็คอแข็งมาก ผมเพิ่งจะมารู้ก็เมื่อวานนี้เอง ว่ามันเคยแอบดื่มเหล้าตอบช่วงสมัยมอปลาย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะมีความพยายามอะไรขนาดนั้นในเรื่องแบบนี้

การมาออกทริปในครั้งนี้ ผมคิดว่าตัวเองได้เปิดประสบการณ์อะไรหลายๆอย่างมาก เรื่องแรกเลยคือผมไม่เคยมาเที่ยวอะไรแบบนี้หรอก เพราะแม่กับพ่อผมท่านทำงานโรงแรม ซึ่งงานโรงแรมมักจะไม่ได้หยุดในวันที่คนอื่นเขาหยุดกัน อีกทั้งพ่อก็ยังเข้างานไม่เป็นเวลา โทรศัพท์บางทีก็รับไม่ได้ด้วย กิจกรรมเดียวที่พวกเราสามคนสามารถทำร่วมกันได้ก็คือการตีแบดและการทานข้าวร่วมกันทุกมื้อที่มีโอกาส
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นคนเงียบๆ และไม่ค่อยร่าเริงก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ด้วย ไม่ใช่แค่เพราะผมพูดไม่ได้เพียงอย่างเดียว ผมถึงได้บอกว่าแชมเปญน่ะ มันคือเพื่อนซี้ของผม และมันก็ทำให้ผมยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ นอกจากนี้ที่ผมไม่ยอมรักษาก็เพราะผมโกรธพ่อกับแม่ด้วยส่วนหนึ่ง แต่มันก็เป็นเพียงแค่เสี้ยวเล็กๆในใจ ที่ผมพยายามจะปกปิดมันไว้ก็เท่านั้น และนั่นคือสาเหตุที่พวกท่านไม่ได้บังคับให้ผมไปรักษา

เมื่อโตขึ้นผมก็เริ่มคิดอะไรได้มากขึ้น ความโกรธที่มีมันก็ค่อยๆจางหายไป และถูกแทนที่ด้วยอคติต่างๆจากอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียน จนลุกลามไปถึงมนุษย์ทุกคนที่มีแต่ความสมบูรณ์แบบ กระทั่งมาเจอพี่เนย์ที่ชี้นำให้ผมลองมองในมุมใหม่ โลกใบเดิมของผมมันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะผมมีทั้งเพื่อนที่ดี คนรักที่ดี พ่อแม่ที่รักผมอย่างไม่มีข้อแม้ อีกทั้งยังมีรุ่นพี่ทั้งจากในสาขา และนอกสาขาที่ตัวตนของพวกเขา ทำให้ผมยอมปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองต่างๆโดยที่พวกเขาก็เป็นตัวของตัวเองและไม่ต้องพยายามอะไรมากมาย
พอพี่เปรมเดินกลับมา พี่บาสก็ปิดเพลง เพื่อให้อีกฝ่ายได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันเป็นธรรมชาติ เคล้าเสียงเกากีตาร์ ตามที่ได้จินตนาการเอาไว้ให้สมใจ ส่วนพี่คนอื่นๆก็ยังคงมีปฏิกิริยาเหมือนเดิม ซึ่งผมชอบบรรยากาศแบบนี้ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ ที่เราต่างก็รู้สึกดี ทั้งๆที่ไม่ต้องพูดอะไรกันสักคำ
เพราะมันเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษ ที่เรารับรู้ได้ด้วยใจ
 
ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนถึงขนาดทุกคนทยอยกันไปเข้านอนก็ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว และกว่าจะรู้ ที่ตรงนี้ก็เหลือเพียงแค่ผมกับพี่เนย์ที่ไม่ค่อยได้ดื่มของมึนเมามากเท่าคนอื่น คนตัวสูงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่สามารถเอนตัวลงนอนได้ พร้อมกับกีตาร์หนึ่งตัว
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงทำนองเพลงที่เกิดจากการเกากีตาร์ก็ดังขึ้นเบาๆ

รักแท้ ไม่ใช่เพียงจะมองกันแค่หน้าตา
ไม่ใช่รอเวลาเพียงลมพัดมา
ก็จะได้พบรักที่แท้ข้างใน


ผู้ชายคนนั้น คนที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะร้องเพลงเพราะ ในตอนนี้เขากำลังขับร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล อีกทั้งเนื้อเพลงก็ยังชวนให้เก้อเขิน ร่วมกับบรรยากาศอันเงียบสงบที่มีเพียงแค่เรา หัวใจของผมมันก็เต้นระรัวอย่างไม่อาจบังคับจังหวะที่รัวกระหน่ำนั้นได้

มันต้องมีอารมณ์ที่อุ่นใจ
ยืนมือสัมผัส แล้วอุ่นกาย
มันต้องมีมวล ความรัก
กระจายอยู่ในทุกส่วน


เรียวนิ้วยาวของพี่อาคเนย์ยังคงกรีดกรายอยู่บนสายกีตาร์ ส่วนสายตาของพี่เขาบางทีก็จับจ้องไปที่โทรศัพท์ คล้ายกับจะดูคอร์ดเพลงที่เปิดหาเอาจากเว็บไซต์ตามอินเตอร์เน็ต และบางครั้งดวงตาคมเฉี่ยวคู่นั้นก็จับจ้องมาที่ผม ที่ทำได้แค่ยกขวดฟูลมูนที่ยังเหลืออยู่ขึ้นจิบแก้เก้อ เพราะอีกฝ่ายเวลาจ้องกันแต่ละที ก็มักจะจ้องเป็นเวลานานๆ

รักแท้ แบบของฉัน ก็คือจะทำเพื่อเธอ
เติมความหอม ละมุน ในความรักเธอ
ให้เธอรู้ว่ารักที่แท้แค่ไหน   
พร้อมให้ไออุ่นตอนตื่นนอน
ฉันจะคอยกอดเธอตลอดไป
ขอแค่เพียงเธอ เปิดใจมองมาที่ฉัน


เสียงเพราะๆของพี่อาคเนย์ในตอนนี้ กลับทำให้ผมดื่มได้ฝืดคอมากกว่าที่คิด เพราะจิตใจของผมมันเอาแต่โฟกัสไปที่อีกฝ่าย แม้จะทำเป็นไม่สนใจ หากแต่ทุกครั้งที่คนกำลังเล่นกีตาร์เขามองจ้องมา ผมก็รับรู้ได้ถึงสายตาคมลึก หากแต่หวานฉ่ำของอีกฝ่ายได้ ซึ่งมันเป็นสายตาที่ผมไม่เคยได้เห็น แต่ก็อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ที่ทำให้พี่เขาแสดงออกมาแบบนั้น

เธอจะพบ รักจริง อยู่ตรงนี้ ไม่ไกล
จับซิเธอ หัวใจฉัน ได้ยินไหม


(แฟ – วัชราวลี)

ผมเริ่มจะแยกไม่ออกแล้วว่าสิ่งที่ใครคนนั้นพร่ำร้องออกมา มันเป็นแค่เพียงเนื้อเพลงๆหนึ่งเท่านั้น หรือว่ามันมีความหมายอะไรที่ต้องการจะสื่อ เพราะถ้าหากมันเป็นเพียงแค่เนื้อเพลงที่ไม่ได้มีความหมายอะไร มันก็แสดงให้เห็นถึงความหวั่นไหวของผม ที่เริ่มจะชอบพี่เขามากกว่าที่เคย และมันก็คงจะมากกว่าที่อีกฝ่ายให้ความรู้สึกเหล่านั้นตอบกลับมา แต่ถ้าหากเพลงๆนี้ มันแฝงความหมายที่ออกมาจากความรู้สึก มันก็แปลได้ว่า..
ความรู้สึกของเราสองคน มันค่อยๆพัฒนาขึ้น พร้อมๆกัน

“รัน” ผมหันไปมองอีกฝ่าย จึงเห็นว่าพี่เนย์วางกีตาร์ลงบนเก้าอี้ และกำลังเดินมาหาผมที่นั่งอยู่บนพื้นตรงกลางระเบียงบ้าน
“…”

“แบมือมาดิ” พี่เขาพูดขึ้นพลางเอื้อมมือคล้ายกับจะหยิบอะไรสักอย่างที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง
“…” เมื่อผมยื่นมือออกไปตรงหน้าของอีกฝ่ายตามที่ร้องขอ ฝ่ามือใหญ่ที่กำอะไรเอาไว้สักอย่าง ก็ค่อยๆวางวัตถุเย็นๆรูปทรงคล้ายกับกุญแจลงบนฝ่ามือของผม ที่ถูกจับประคองด้วยมือใหญ่อีกข้างของพี่เนย์

“เก็บไว้” อีกฝ่ายพูดออกมาเพียงแค่นั้น แล้วก็เดินกลับไปหยิบกีตาร์ที่เก้าอี้ไม้ จากนั้นก็เดินเข้าไปยังบ้านพักของตัวเองอย่างเงียบเชียบ โดยไม่คิดจะอธิบายอะไรให้เข้าใจมากขึ้นเลย ผมจึงได้แต่ก้มลงมองกุญแจที่วางอยู่บนฝ่ามือแน่นิ่ง
แต่แล้วเนื้อเพลงที่พี่เขาเพิ่งจะร้องออกมาเมื่อครู่ มันก็สะกิดใจผม..

พร้อมให้ไออุ่นตอนตื่นนอน
ฉันจะคอยกอดเธอตลอดไป
ขอแค่เพียงเธอ เปิดใจมองมาที่ฉัน


บางทีกุญแจที่อีกฝ่ายมอบให้ มันก็อาจจะหมายถึงการชักชวนให้ไปอยู่ด้วยกันก็เป็นได้..

-----------------------------------------------------------------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 เกลากีตาร์ > เกากีตาร์
สำหรับตอนนี้พี่เนย์ก็จะมีความอ้อมโลกหน่อยๆ และธีมเพลงบอกความในใจของพี่เนย์ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงของวัชราวลีซะเยอะ เพราะชอบโดยส่วนตัวค่ะ และมันก็ดูเข้ากับพี่เนย์ด้วย เพราะคุณพระเอกของเราลึกๆแล้วเค้าเป็นคนอบอุ่น อ่อนโยนอ่ะเนอะ อีกอย่างเนื้อเพลงของวงนี้เค้าก็สละสลวยมาก แถมจังหวะเย็นๆ สบายๆ คล้ายกับแนวบัลลาดเกาหลีของเพลงต้นฉบับที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยค่ะ (คล้ายแค่จังหวะนะ แต่เนื้อเพลงบัลลาดนั้นเศร้ากระจายเป็นส่วนมาก) จริงๆเราก็รู้จักเพลงไทยไม่เยอะ เลยเลือกเอาเพลงที่ชอบมาสื่อความหมายแทนค่ะ และมันก็เข้ากันได้ดีมาก 555
ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 23 ♥ หน้า 4 (up 10/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-11-2017 15:19:15
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 23 ♥ หน้า 4 (up 10/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-11-2017 16:18:13
โรแมนติกอ่ะ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 23 ♥ หน้า 4 (up 10/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-11-2017 09:55:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 24 ♥ หน้า 4 (up 11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 11-11-2017 20:12:41
♥ Fall in you ♥
ตอน 24


ผมกลับมาอยู่ที่บ้านโดยใช้ชีวิตกับเจ้าแชมเปญจนเหม็นเบื่อ เพราะเจ้านี้มันเอาแต่ร้องจะกินอย่างเดียว ซึ่งผมก็นะ แพ้ทางมันไง ถึงจะยกมือขึ้นชี้หน้าพลางถลึงตาใส่ แต่สักพักก็ต้องหันไปหยิบถุงอาหารแมวแบบเหลว ก่อนจะเอากรรไกรตัดเพื่อเปิดปากถุง จากนั้นก็เทใส่ลงในจานให้เรียบร้อย เท่านั้นไม่พอ ผมยังต้องสำรวจน้ำดื่มอีกว่าคุณชายแชมเปญเขามีพอจะกินหรือไม่ ซึ่งถ้ามันใกล้จะหมด ผมก็ต้องรีบเติมให้อย่างไม่มีข้อแม้
เพราะผมคือทาสครับ ‘ทาสแมว’   

ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน ผมก็ถือโอกาสพาแมวอ้วนไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ซึ่งมันก็ไม่ค่อยอยากจะวิ่งสักเท่าไหร่หรอก เพราะเผลอแป๊บเดียวเจ้าอ้วนนั่น มันก็นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้าอย่างขี้เกียจ แม้กระทั่งจะลุกขึ้นมายืนแต่ละที เจ้าแชมเปญมันก็ยังบิดขี้เกียจจนหลังโก่ง
แบบนี้จะไม่อ้วนยังไงไหว ?

พอกลับมาอยู่บ้าน ผมกับพี่เนย์ส่วนใหญ่ก็จะคุยกันผ่านทางตัวหนังสือเหมือนทุกที หรือไม่ก็ส่งคลิปเสียงที่เป็นบรรยากาศรอบข้างให้กันบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแค่ผมล่ะนะที่ได้ยินเสียงของพี่เนย์ข้างเดียว เพราะอีกฝ่ายเขาชอบส่งคลิปเสียงตอนที่ตัวเองกำลังคุยกับเจ้าเขี้ยวกุดลูกรักมาให้ฟังบ่อยๆ ซึ่งก็เป็นคลิปเก่าๆที่พี่เขาเคยถ่ายไว้นั่นแหละ เพราะเจ้าตัวไม่สามารถหอบเอาลูกรักกลับบ้านได้ แถมทุกวันนี้ก็ยังชอบลงรูปเจ้าเขี้ยวกุดที่ยังไงก็ไม่ยอมหมดสต๊อกลงในเฟซบุ๊กมากกว่ารูปของตัวเองอยู่ดี
พี่เนย์เขาไม่คิดบ้างหรือไงว่าบ้างทีผมก็อยากให้พี่เขาลงรูปของตัวเองบ้าง!

ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจกับตัวเอง ที่คิดถึงอีกฝ่ายแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกว่า ‘คิดถึง’ ช่วงหลังๆมานี้ ผมเลยมักจะขอติดรถพ่อออกมาข้างนอกด้วย เพราะกะว่าจะไปหาร้านกาแฟนั่งชิวๆแก้เบื่อ แต่กลับกลายเป็นว่า ผมดันเบื่อกว่าเดิม เพราะขณะที่จิบบลูเลม่อน กิจกรรมอย่างเดียวที่ผมสามารถทำได้ก็คือ ‘การเล่นโซเชียล’
แต่เพราะโซเชียลไหนๆก็ไม่สามารถดึงดูดใจผมได้จนตลอดรอดฝั่ง สุดท้ายผมก็ได้แต่เลื่อนดูบทสนทนาระหว่างผมกับพี่เนย์ผ่านทางแชทไลน์ซ้ำๆ แต่ครั้นจะนั่งดูบทสนทนาเดิมๆทุกวันก็เห็นทีจะเข้าขั้นอาการหนัก
หมายถึง ‘ความคิดถึง’ ของผมนี่แหละที่อาการหนัก

วันนี้ก่อนไปที่ร้านกาแฟเจ้าประจำผมเลยให้พ่อแวะส่งที่ห้างสรรพสินค้าติดชายทะเลของเมืองแห่งการท่องเที่ยว เพื่อไปซื้อหนังสือ โดยเลือกเป็นหนังสือที่คล้ายกับหนังสือภาพ ที่ใช้ตัวอักษรเล่าเรื่องเพียงเล็กน้อย เพราะผมกะจะลองฝึกอ่านจากหนังสือเล่มที่ผมเลือกดู

ติ้ง!

‘ทำอะไรอยู่’ พี่เนย์ส่งข้อความมาหา ขณะที่ผมกำลังจะนั่งรถสองแถวไปยังร้านกาแฟร้านเดิมที่ผมชอบ เพราะบรรยากาศของร้านมันดีมากๆ สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ไกลจนสุดลูกหูลูกตา แต่ก็นั่นแหละ อาหารไม่แพง แถมวิวก็ดี อีกทั้งยังมีคนรีวิวเยอะ ลูกค้าก็เลยมากมายอลังการ แล้วกว่าผมจะเดินทางไปถึง ก็ไม่รู้ว่าที่นั่งดีๆจะยังเหลืออยู่อีกหรือเปล่า ในเมื่อเวลานี้มันก็เริ่มจะใกล้เวลาเลิกงานขึ้นมาเต็มทีแล้ว อีกทั้งร้านนี้ก็ยังเป็นแหล่งรวมตัวของชาวต่างชาติ คนพื้นที่ และคนกรุงเทพซะด้วย

‘ออกมาซื้อหนังสือครับ กะว่าจะไปนั่งอ่านที่ร้านกาแฟริมทะเลร้านเดิม’ ผมพิมพ์ข้อความตอบอีกฝ่าย จากนั้นก็มองวิวทิวทัศน์ด้านนอก เพื่อที่ผมจะได้รู้ว่าควรกดสัญญาณตอนไหน กระทั่งถึงหน้าวัดแห่งหนึ่ง ผมก็ตัดสินใจลงไปนั่งวินมอเตอร์ไซค์แทน เพราะว่าการจะเดินทางไปที่ร้านนั้นได้ ถ้าหากไม่มีรถส่วนตัวก็ออกจะลำบากสักหน่อย
ค่าเดินทางในวันนี้ ทำเอากระเป๋าผมฉีกแน่ๆ

‘แล้วพี่ทำอะไรอยู่ครับ?’ แต่พออีกฝ่ายเงียบหายไป ผมก็เริ่มหาบทสนทนามารั้งเขาไว้ ทั้งๆที่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้อำนวยเลย
‘เล่นเกมส์’

‘ผมต้องนั่งวินมอไซค์แล้ว ไว้คุยกันใหม่นะครับ’
‘ครับ’ หลังจากอ่านข้อความนั้นจบ ผมก็อมยิ้มให้กับคำตอบรับที่อีกฝ่ายตอบกลับมา เพราะมันเป็นคำที่จะว่ายังไงดี มันฟังดูน่ารัก ทั้งๆที่มันก็เป็นเพียงแค่คำธรรมดาๆคำหนึ่ง

หนังสือที่ผมซื้อเป็นหนังสือที่มีชื่อว่า ‘การเดินทางของชิ้นส่วนที่หายไป’ เหตุผลที่ผมตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ก็เพราะชื่อหนังสือมันสะดุดตาจนทำให้ผมสนใจที่จะหยิบมันขึ้นมาพิจารณา และพร้อมที่จะควักเงินออกจากกระเป๋าได้ง่ายๆ เพราะมันตรงกับคอนเซ็ปที่ผมตั้งใจไว้ ก็คือผมอยากได้หนังสือที่เป็นเหมือนสมุดภาพ ที่มีการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรเพียงน้อยนิด เพื่อที่มันจะได้เหมาะกับคนที่กำลังหัดอ่านอย่างผม
 
ติ้ง!

ผมที่กำลังจะเปิดหนังสือหลังจากแกะซีลออก ก็ต้องหยิบโทรศัพท์ที่วางเอาไว้บนโต๊ะข้างๆแก้วบลูเลม่อนขึ้นมาดู ก็เห็นว่าเป็นพี่เนย์ที่ส่งรูปมาหา โดยไม่ได้ส่งข้อความอะไรมาเพิ่มเติม ผมจึงสไลด์หน้าจอเพื่อเข้าไปดูภาพดังกล่าว

‘กูโดนแม่ตีเพราะเอารูปเจ้าเขี้ยวกุดให้ดู ก็กูคิดถึงของกูนี่หว่า แต่แม่กูเขาไม่ชอบสัตว์เลื้อยคลาน แถมยังว่ากูอีกว่าเลี้ยงอะไรไม่เข้าท่า ใจร้ายกับกูมาก นั่นลูกกูเลยนะ ไม่ชอบลูกกูได้ยังไง’ พอรูปดังกล่าวขึ้นว่า ‘Read’ โดยที่ผมยังไม่ทันได้พิจารณารูปที่ว่านั่นแม้แต่นิดเดียว พี่เนย์ก็ส่งข้อความอันเป็นใจความสำคัญมาให้อย่างรวดเร็ว ผมก็เลยเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงส่งรูปแขนของตัวเองมาให้ผมดู ในเมื่อผมอยากเห็นหน้านะ ไม่ได้อยากเห็นแขนเลย
‘อะไรที่มันน่ารักในสายตาของพี่ ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะน่ารักในสายตาของทุกคนนี่ครับ ถ้าพี่ยังไม่ลืม เขี้ยวกุดก็ไม่ได้น่ารักสำหรับผมนะ’ ผมพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนข้อความนั้นจะเป็นข้อความแทงใจดำของอีกฝ่ายน่าดู เจ้าตัวถึงได้ทำเพียงแค่เปิดอ่านข้อความนั้น เพื่อให้มันขึ้น ‘Read’ แล้วก็หายไปเลย
ไม่ใช่ว่าน้อยใจเหรอนั่น ?

‘แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจเจ้าเขี้ยวกุดนะ พี่ก็รู้’ ผมรีบพิมพ์ข้อความถึงอีกฝ่ายในเชิงง้อเล็กน้อย จากนั้นก็ตั้งมั่นไว้ว่าผมจะตั้งใจอ่านหนังสือที่อุตส่าห์ลงทุนไปหาซื้อมา แถมผมยังดั้นด้นจะมาอ่านนั่งถึงที่นี่ด้วย
ความตั้งใจในวันนี้ของผมมันต้องไม่เสียเปล่าสิ!

ติ้ง!

‘ครับ’ ผมอ่านข้อความผ่านทางโนติจากหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะสไลด์เข้าไปให้มันขึ้น ‘Read’ เพื่อที่อีกคนจะได้ไม่คิดว่าผมกำลังละเลยเขาสักหน่อย จากนั้นผมก็เริ่มเปิดหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะไม้มาเนิ่นนาน
“สะอ่วน..ทะอิ..ที่..หะอาย..ปะไป..นะอั่ง..สะ..เศร้า..” ผมเอนตัวลงบนเบาะนั่งนุ่มๆอันใหญ่ที่ใช้แทนเก้าอี้ จากนั้นก็เริ่มฝึกอ่านด้วยตัวเองช้าๆ แต่ดูเหมือนว่าผมจะอ่านออกเสียงไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ 
กับอีแค่ประโยคที่ว่า ‘ส่วนที่หายไปนั่งเศร้าเพียงลำพัง’ แค่นั้น ทำไมมันถึงยากเย็น

“ระ..รอ..คะออย..คะ..ไอ..” ผมยังคงอ่านไปเรื่อยๆ แม้ว่ามันจะไม่เป็นคำจนน่ารำคาญก็ตาม เพราะสุดท้ายแค่ประโยคง่ายๆที่ว่า ‘รอคอยใครสักคนที่จะมาหา และพามันไปที่ไหนสักแห่ง’ ก็ช่างยากเย็นจนน่าโมโห ผมเลยวางหนังสือเล่มดังกล่าว ก่อนจะหยิบบลูเลม่อนขึ้นมาจิบ และสุดท้ายผมเลยตัดสินใจที่จะอ่านออกเสียงเพียงแค่ในใจอย่างยอมแพ้

ติ้ง!

ผมเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดู จึงเห็นว่าพี่เนย์ส่งไฟล์เสียงมาให้ ผมเลยกดฟังอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าอีกฝ่ายส่งคลิปเสียงที่ตัวเองกำลังเรอมาให้ผมซะนี่ เลยทำให้รู้ว่าเวลานี้มันก็เย็นมากแล้ว และมันก็เป็นเวลามื้อเย็นของใครหลายๆคนด้วย แต่ว่าผมกำลังรอแม่เลิกงานอยู่ อีกสักพักก็น่าจะถึง เพราะแม่เลิกงานหกโมงเย็น แต่กว่าจะขับรถออกมาหาที่จอดของร้านได้ ก็น่าจะสักทุ่มนึงโดยประมาณ

ติ้ง!

‘พี่เนย์โคตรน่าเกลียด! ส่วนผมยังไม่ได้กินครับ กำลังรอแม่เลิกงานอยู่’ ผมส่งไฟล์เสียงที่ตัวเองกำลังดูดน้ำจนเสียงดังเบาๆ ไปให้อีกฝ่าย จากนั้นก็พิมพ์ข้อความส่งไปอีกหนึ่งประโยคยาวๆ
‘น่าเกลียดแล้วไง?’ อีกฝ่ายย้อนถามราวกับต้องการจะกวนประสาท ผมเลยไม่ตอบอะไรกลับไป นอกจากปล่อยให้ข้อความนั้นมันขึ้นว่า ‘Read’ ต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าในใจจริงๆจะอยากบอกกับอีกฝ่ายว่า..
ถึงพี่จะแกล้งทำอะไรน่าเกลียดแบบนั้น แต่ผมก็ยังชอบพี่อยู่ดี..

ผมทานมื้อเย็นกับแม่จนถึงสามทุ่ม เพราะแม่ขอเวลานั่งชิวบ้าง เนื่องจากงานเข้าคุณนายระพีจนเธอแทบไม่มีเวลาจะพักเลยแม้แต่นิด เพราะคุณนายเธอเจอออดิทเข้าตรวจ ทำเอาหัวปั่นไปหมด เพราะออดิทเวลาต้องการข้อมูลเช่นแฟ้มประวัติเขาจะสุ่มชื่อเอาสักสิบคน คละกันทุกแผนก ฝ่ายบุคคลก็ต้องรีบตรวจเช็คเอกสารก่อนหนึ่งรอบ เผื่อว่ามีอะไรผิดพลาดจะได้แก้ไขได้ทัน เช่นว่าบัตรประชาชนหมดอายุ โดยที่ฝ่ายบุคคลก็ทวงแล้วทวงอีกแต่พนักงานก็ยังไม่ยอมเอามาให้ นั่นล่ะ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้วุ่นวาย แม้ว่ามันจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่ก็ใช่ว่าคนเราจะปฏิบัติตาม

Rrrrrrr

ผมเดินเช็ดหัวหลังจากอาบน้ำสระผมเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะมาหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดอย่างเอาเป็นเอาตาย และทันทีที่ผมกดรับสาย เสียงทุ้มนุ่มของใครอีกคนที่ตลอดระยะเวลาของการปิดเทอม ผมแทบจะไม่ได้ยินเลย ถ้าหากเจ้าตัวไม่ได้อัดคลิปเสียงที่กำลังคุยกับเจ้าเขี้ยวกุดส่งมาให้

“ทำอะไรอยู่วะ กูโทรหาจนมือจะหงิกละ”
“…” ผมเงียบไปสักพัก เพราะยังอึ้งอยู่ ที่อีกฝ่ายเขาบอกว่าโทรหาผมจนมือหงิก

“อาบน้ำยัง?”
“อะอือ” ผมเค้นเสียงตอบ พลางเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปแขวนตรงราวตาก ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงขณะที่มือก็ประคองโทรศัพท์ไม่ปล่อย

“ร้องเพลงให้ฟังเอาป่ะ?” อีกฝ่ายถาม จนผมอยากจะถามกลับไปเหลือเกินว่า.. อารมณ์ไหนของพี่เนี่ย!
ติดก็แต่ผม พูดคุยยังไม่ค่อยสะดวกนัก..

เสียงเกากีตาร์ดังขึ้นเงียบๆ ผ่านทางสายโทรศัพท์ ก่อนจะตามด้วยเสียงทุ้มนุ่มของคนที่บอกว่าจะร้องเพลงให้ฟัง ขณะที่ผมก็เปลี่ยนมานอนตะแคงกอดหมอนข้าง ส่วนโทรศัพท์ก็เอาวางพิงไว้ที่หูโดยไม่ต้องถือให้เมื่อยมือ 

ฉันก้าวเดินขึ้นไป บนขบวนสุดท้าย
และหาที่นั่งดีๆ เผื่อจะมีคนข้างกาย
เวลานี้ ก็มีเพียง ฟ้าที่เปลี่ยน สี ไป
ทอดยาว เหลือเกิน หัวใจ

รถเคลื่อนไปบนทาง จนใครบางคนผ่านมา
เขาขึ้นและเดินเขยิบจนติดเกือบชิดหน้าตา
เวลานี้ก็มีเพียง เราที่อยู่ใกล้กัน
เกือบชิดจนสัมผัส เธอ นั้น


ผมฟังเสียงทุ้มนุ่มร้องเพลงไปเพลินๆ โดยที่ไม่ได้คิดว่าบทเพลงนี้จะมีความหมายใดแอบแฝง เพราะจากที่ได้ฟังมาจนถึงท่อนนี้ เพลงๆนี้ก็ไม่ได้ตรงตามความรู้สึกหรือว่าสถานการณ์ที่เรากำลังเป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย
คาดว่าพี่เนย์คงจะอยากร้องเพลงให้ฟังเท่านั้นจริงๆ

ฉันคิดว่ามันคงดีถ้าเราได้ยืนห่างๆ
โดยไม่ชิดจนเกินไป อาจทำให้ใจลอย
ไปถึงไหน ถึงแดนดินใด ที่ไหน
ก็ไม่ได้เตรียมดวงใจ กับเหตุการณ์นี้

ฉันคิดว่าคงดีถ้าเราได้ลองรู้จัก
พูด ทักและทายกัน เบาๆข้างกายเธอ
คนที่ไหน เธอไม่มีแฟนใช่ไหม
มันคงพูดยากเกินไป โอว โอว เธอ เธอ


(สถานีดวงจันทร์ – วัชราวลี)

“รัน” พี่เนย์เรียกผม พลางเงียบไปพักใหญ่
“…” ขณะที่โทรศัพท์ของผมมันหล่นตุบใส่ที่นอน เมื่อผมเคลิ้มจะหลับเพราะน้ำเสียงทุ้มนุ่มของอีกฝ่ายที่ในวันนี้ได้มีโอกาสพิจารณาแล้วว่ามันเพราะและทำให้หลับสบายอย่างบอกไม่ถูก

“จริงๆแล้วเพลงนี้ มันตรงกับความรู้สึกของพี่ ตอนที่เราได้เจอกันครั้งแรกบนเส้นขอบถนน”  พอผมนำเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง ก็พอดีกับพี่เนย์ที่พูดทิ้งทายไว้เพียงแค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็วางสายไป เพราะว่าพี่เขาคงจะคิดว่าผมได้เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว
หากแต่ผมที่ก่อนหน้านี้กำลังเคลิ้มจะหลับ ก็ถึงกับตาสว่าง เพราะคำพูดของอีกฝ่าย

ถ้าหากบทเพลงนี้มันตรงกับความรู้สึกของพี่เนย์ในตอนที่เราได้เจอกันครั้งแรก ก็เท่ากับว่าตอนนั้นที่เราบังเอิญชนกันบนเส้นขอบถนน ใจนึงพี่เขาก็อยากจะรู้จักผมให้มากกว่านี้ และอีกใจนึงพี่เขาก็อยากทำเพียงแค่มองห่างๆ ตามเนื้อเพลงสินะ
แล้วพอมาเจอกันอีกทีในห้องน้ำที่ตึกคณะ พี่เขาถึงได้ชวนผมคุย โดยการพูดเตือนไม่ให้ผมไปเดินอยู่บนเส้นขอบถนน เพราะมันอันตราย ทั้งๆที่ตัวเองก็ทำแบบนั้น ซึ่งอันที่จริงแล้วอีกฝ่ายอาจจะแค่อยากหาเรื่องมาพูดคุยกับผม เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกันให้มากกว่านี้ เพราะไม่อย่างนั้นก่อนที่จะจากกัน พี่เนย์คงไม่เลือกที่จะแนะนำตัวกับผมหรอกจริงไหม?
แบบนี้มันก็เท่ากับว่าพี่เนย์เขาชอบผมมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยน่ะสิ ?
ไม่หรอก ตอนนั้นพี่เขาน่าจะแค่รู้สึกสนใจ เพราะเจ้าตัวไม่ได้พยายามไขว้คว้าที่จะหาเรื่องมาเจอผมเหมือนกับที่คนทั่วๆไปเขาทำกัน

----------------------------------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 เกลากีตาร์ > เกากีตาร์
วันนี้มาดึกหน่อยเนอะ พอดีมีธุระค่ะ ส่วนพรุ่งนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะอัพได้มั้ยนะคะ
สำหรับตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเค้าจีบกันอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 24 ♥ หน้า 4 (up 11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-11-2017 20:33:15
 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 24 ♥ หน้า 4 (up 11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 11-11-2017 20:47:02
><
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 24 ♥ หน้า 4 (up 11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-11-2017 21:24:13
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 24 ♥ หน้า 4 (up 11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-11-2017 22:32:11
ละมุน
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 24 ♥ หน้า 4 (up 11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-11-2017 14:30:55
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 25 ♥ หน้า 4 (up 13/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 13-11-2017 12:24:00
♥ Fall in you ♥
ตอน 25



“ลงทะเบียนสำเร็จแล้วโว้ย ไอ้เชี่ยเอ้ย กูแม่งลุ้นชิบหาย นึกว่าเว็บจะล่มอีกรอบแล้ว” ไอ้คินมันบ่นออกมาหลังจากที่เราต้องมาขลุกตัวเพื่อนั่งรอลงทะเบียนที่ห้องคอมของมหาลัย ที่เปิดให้บริการแทบจะตลอดเวลา เพราะห้องคอมมีความจำเป็นต่อนักศึกษาผู้ที่ไม่มีโน๊ตบุ๊กส่วนตัวใช้
“กูนี่แทบพนมมือก้มลงกราบคอมเลยเว้ย กลัวเหลือเกินว่าไอ้วิชาเลือกดีๆเพียงตัวเดียวของเราแม่งจะเต็ม” ไอ้หมอกมันพูดเสริมขึ้นมาบ้าง ส่วนผมก็นั่งอยู่หน้าจอคอมริมขวาสุดข้างไอ้หมอกเงียบๆ เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราก็สามารถลงเรียนวิชาเลือกตัวเดียวกันได้

“เออ ไอ้คิน เปิดเทอมมาก็ตามึงทำแคมเปญแล้วไม่ใช่เหรอวะ ได้ถ่ายยัง?” หลังจากทำเรื่องยกเลิกการใช้คอมเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็พากันเดินออกจากห้องคอม ก่อนจะลงบันไดที่เชื่อมต่อกับห้องสมุด เพื่อเดินออกไปจากตัวอาคารที่เต็มไปด้วยหนังสือ และอุปกรณ์เทคโนโลยีส่วนกลางต่างๆ
“ยัง กูรอให้พวกมึงถ่ายให้” ไอ้คินตอบ พลางก้าวเดินไปตามร่มไม้

“งั้นอัดเลยมั้ยมึง อีกไม่กี่วันจะก็เปิดเทอมแล้ว”
“เอาดิ แต่มึงต้องทำให้กูดูก่อนว่ะ กูลืมแล้ว” ไอ้คินพยักหน้า พลางหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู จากนั้นก็ยกยิ้มให้หน้าจอสี่เหลี่ยมอย่างน่าสงสัย

“แอ้มเหรอ?” ไอ้หมอกมันชะเง้อชะแง้มองเข้าไปในหน้าจอโทรศัพท์ยกใหญ่ แต่ไอ้คินมันก็ไหวตัวทันรีบเก็บเครื่องมือสื่อสารดังกล่าวลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม พร้อมบ่นเบาๆพอให้ได้ยินแบบชัดแจ้งว่า ‘ไม่เสือกสิครับ’
“กูไม่ได้เสือก กูแค่อยากรอบรู้” ไอ้เพื่อนคู่ปรับที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้มีโอกาสสู้รบกับมันมากนัก พูดให้คำจำกัดความของวิถีคนเสือก ให้กลายเป็นระดับซอฟท์ เหลือเพียงแค่ ‘วิถีคนอยากรอบรู้’
เอากับมันสิ! ภาษาดูสุภาพขึ้นสิบระดับ!

“ว่าแต่แฟนมึงกลับมาวันไหนวะรัน?” พอวอแวกับไอ้คินไม่ได้ ไอ้หมอกมันก็เริ่มจะหันมาวอแวผมอีกคน
“…” ผมไม่ตอบเป็นคำพูด และไม่คิดจะตอบผ่านทางแชทด้วย เพราะผมขี้เกียจพิมพ์ แต่เลือกที่จะใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับไอ้เพื่อนผู้อยากรอบรู้ โดยการแบมือคล้ายกับกำลังรองน้ำจากก๊อกทั้งสองข้างออกมาข้างหน้า ซึ่งเป็นท่าทางในภาษามือของคำว่า ‘วันนี้’ 

“ตอนเย็นเหรอวะ?” ไอ้หมอกยังคงอยากรอบรู้ต่อไป ผมจึงพยักหน้าสงเคราะห์ให้
“เออเว้ย เพื่อนกูแม่งหนีไปมีแฟนกันหมด เหลือแต่กูที่โสดสนิทอยู่คนเดียวแล้วเหรอวะ กูล่ะเปลี่ยวใจเหลือเกิน”

“กูมีแฟนเชี่ยไรล่ะ ยังจีบไม่ติดเว้ย” ทันทีที่ไอ้หมอกพูดจบไอ้คินมันก็โวยวายเข้าให้
“มึงนี่แม่ง ไม่มีน้ำยาเรื่องจีบหญิงเลยเหรอวะ นานสัสๆ ไหนใครแม่งคุยโวไว้วะ” ไอ้หมอกยังคงพูดอย่างอวดดี ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่เคยเจอคนที่ชอบมากๆ จนยากที่จะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาแท้ๆ

“กับคนที่จริงจังมันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปหน่อยสิวะ” ไอ้คินมันเถียง ซึ่งก็ฟังดูเข้าท่า ส่วนไอ้หมอกมันก็ยักไหล่คล้ายกับไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะเอาเข้าจริงๆ พวกเราก็ไม่ค่อยแซ็วเรื่องนี้สักเท่าไหร่หรอก มีแค่ครั้งนั้นแหละที่ไอ้หมอกแม่งเล่นใหญ่ถึงกับไม่ยอมให้ไอ้คินไปปลดทุกข์ นึกแล้วก็ทั้งขำ ทั้งสงสารไอ้คินมันเหลือเกิน 
มีเพื่อนแบบไอ้หมอกนี่ปวดกบาลจริงๆ ผมคอนเฟิร์ม

หลังจากเข้ามานั่งในคาเฟ่ใกล้หอแล้ว พวกเราก็สั่งเครื่องดื่มกับเมนูสำหรับกินเล่นเล็กๆน้อยๆ จากนั้นไอ้หมอกกับไอ้คินก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการอัดคลิปภาษามือตามแคมเปญที่ได้ตกลงไว้กับรุ่นพี่ตั้งแต่ช่วงภาคเรียนก่อน โชคดีที่ช่วงบ่ายของวันนี้ไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก การถ่ายคลิปจึงน่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะถ้าหากจะให้ไปถ่ายข้างนอก แดดก็ร้อนมากๆ แต่ครั้นจะให้กลับหอ พวกเราก็ขี้เกียจเดินลงมาที่คาเฟ่ใหม่อีกรอบ

“มึงได้คำว่าอะไรนะ?” กระทั่งรับเครื่องดื่มมาเรียบร้อยแล้ว ไอ้หมอกมันถึงเริ่มเป็นการเป็นงานขึ้นมา
“เมื่อไหร่จะเลิกกับแฟน” ทันทีที่ไอ้คินมันตอบ ไอ้หมอกก็เริ่มออกท่าทางในภาษามือช้าๆ เพื่อให้เพื่อนของมันสามารถจดจำได้ โดยการชี้นิ้วตรงไปข้างหน้า แล้วก็ทำมือเหมือนกรรไกรกำลังตัดกระดาษ จากนั้นก็นำมือทั้งสองข้างมาประกบกันเหมือนตอนจะเล่นนางเงือกน้อยเมื่อตอนสมัยยังเด็ก ก่อนจะแยกฝ่ามือทั้งสองข้างออกจากกัน แสดงออกถึงการแยกทาง แล้วก็ยกมือขวาขึ้นแตะขมับแล้วค่อยบิดฝ่ามือเข้าหาตัว โดยงอนิ้วทั้งสี่ให้ติดกัน ส่วนนิ้วโป้งก็แตะลงที่ข้อนิ้วชี้

“ยากชิบ” ไอ้หมอกมันลองทำตามไอ้คิน แล้วไม่นานมือแม่งก็พันกันยุ่งสิครับ ท่าทางปิดเทอมก็ลืมไปหมดแล้วมั้ง ส่วนผมเองนี่ก็ท่าทางจะลืมไม่ต่างกัน

ระหว่างที่ไอ้หมอกกำลังสอนไอ้คิน ผมก็ลองทำตามที่มันสอนด้วย เพราะคำพวกนี้ก็ถือว่ามีประโยชน์อยู่เหมือนกัน เผลอๆถ้ามีเวลาผมคงอาจจะต้องไปคุ้ยดูคลิปวีดิโอสำหรับแคมเปญที่สองดูตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นภาษามือของผมคงจะไม่พัฒนา ไหนจะของเก่าที่กลัวจะลืมอีก ไม่ใช่ง่ายๆเลย
กระทั่งเรากินกันจนอิ่มแปล้ และไอ้คินมันอัดคลิปเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ตรงกลับหอ เพื่อไปนอน เพราะไหนๆเราก็มีเวลานอนกันเต็มที่แล้ว ก็ต้องนอนให้มันเยอะเข้าไว้ ในเมื่อไม่รู้ว่าเปิดเทอมแล้วพวกเราจะยังสามารถนอนชิวๆแบบนี้ได้อีกไหม เห็นพี่รหัสของไอ้คินไอ้หมอกบอกว่างานเริ่มเยอะแล้ว ไหนจะมีโอเพ่นเฮ้าส์ที่ต้องเตรียมหาข้อมูลและจัดเตรียมนำเสนออีก
ว่ากันว่า ตั้งแต่เทอมนี้นี่แหละ ‘ของจริง’

Rrrrrrr

“อื้อ” ผมสะลึมสะลือควานหาต้นเสียงของการสั่นไหวที่ดูเหมือนจะวางอยู่ใต้หมอน จากนั้นเมื่อหยิบเครื่องสื่อสารดังกล่าวได้ ผมก็รีบกดรับสาย และส่งเสียงตอบรับไปในลำคอแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“กูถึงหอแล้วนะ” ผมกระพริบตาปริบๆ ขณะที่สมองก็กำลังนึกอยู่ว่าไอ้ ‘กู’ ที่ว่าน่ะมันใคร ครั้นเมื่อนึกออกผมก็รีบลุกขึ้นนั่ง พลางยกมือขึ้นขยี้ตาเพื่อปัดเป่าความง่วงนอนให้จางหายไป

“อื้อ” ผมเค้นเสียงตอบเบาๆ จากนั้นก็นำโทรศัพท์ออกห่างจากหูเพื่อดูเวลา ก็พบว่านี่มันหกโมงเย็นแล้ว
“กินข้าวยัง ออกมากินข้าวกัน”

“จะ..เออ..เจอ” ผมพยายามเค้นเสียงเพื่อพูดให้เป็นคำอย่างยากลำบาก แต่ในที่สุดก็พูดได้แล้วหนึ่งคำ
“หน้าหอก็ได้ แต่รอกูพักนึง กูขอเวลาจัดการกับเจ้าเขี้ยวกุดมันก่อน”

“อื้อ”

หลังจากนัดแนะกับอีกฝ่ายจนเป็นมั่นเป็นเหมาะ ผมก็ปีนลงจากเตียงชั้นสอง เพื่อไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น พร้อมกับบ้วนปากด้วย ก่อนจะมายืนจัดแต่งเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง โชคดีที่วันนี้ใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีครีม ก็เลยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ ขืนใส่เชิ้ตแบบที่ชอบใส่เป็นประจำคงต้องเปลี่ยนตัวใหม่แน่ เพราะมันคงจะยับจนดูไม่ได้
ก่อนจะออกจากห้อง ผมตัดสินใจเขียนโน้ตทิ้งไว้ เพราะไม่อยากปลุกพวกมันที่กำลังหลับสบายจนไม่รู้เลยว่าเวลามันล่วงเลยมาจนจะมืดค่ำอยู่แล้ว

ปริ้นๆ

ผมนั่งเอาเท้าเขี่ยพื้นเล่นระหว่างรอพี่เนย์ตรงที่นั่งสำหรับรอรถราง แต่เพราะตอนนี้รถรางไม่ทำงานแล้ว ผมก็เลยไม่ต้องคอยกังวลว่าลุงคนขับจะเข้าใจผิดว่าผมกำลังรอรถรางอยู่หรือเปล่า
เมื่อเปิดประตูรถข้างคนขับ ผมก็เตรียมตัวจะนั่งลงบนเบาะนุ่ม แต่พอดีว่าบนที่นั่งตรงนั้นมีถุงกระดาษวางอยู่ ผมเลยต้องหยิบมันขึ้นก่อนจะสอดตัวเข้าไปนั่ง จากนั้นก็วางถุงกระดาษนั่นลงบนตัก

“แม่กูทำข้าวกล่องมาให้คนละกล่อง” พี่เนย์เฉลย ผมจึงพยักหน้าตอบรับ
“กูบอกแม่ว่าจะมากินข้าวพร้อมมึง เลยไม่กินมาจากบ้าน แม่ก็เลยทำข้าวกล่องให้” ผมหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย เมื่อพี่เขาจ้องมองมา จากนั้นผมก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความลงในแชท ก่อนจะกดส่งออก แล้วจึงหันไปส่ายหน้าให้พี่เนย์ที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านว่าผมอยากจะพูดอะไรทั้งๆที่กำลังขับรถอยู่

หลังจากพี่เนย์จอดรถเอาไว้ที่ลานจอดรถของสนามเด็กเล่นในมหาลัย พี่เขาถึงได้มีโอกาสหยิบโทรศัพท์ขึ้นอ่านข้อความที่ค้างคาใจมาพักใหญ่ โดยมีใจความว่า ‘ฝากขอบคุณ คุณแม่ของพี่ด้วยนะครับ’
“ต้องเอารูปไปยืนยัน คุณนายเธอถึงจะเชื่อว่าอร่อยจริง” พี่เนย์ว่าพลางยกยิ้ม ก่อนจะดึงกุญแจรถออกจากเต้าเสียบและลุกออกจากตัวรถ ผมเลยรีบเปิดประตูออกมายืนข้างนอกบ้าง
แต่ก็ไม่ลืมจะหยิบมื้อเย็น ฝีมือของคุณแม่พี่เนย์ติดมือมาด้วย

พี่เขาเดินนำผมมานั่งที่เก้าอี้แบบม้านั่งยาวที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเครื่องเล่นมากนัก จากนั้นผมก็หยิบข้าวกล่องออกจากถุงกระดาษส่งให้พี่เนย์หนึ่งกล่อง และเก็บไว้ที่ตัวเองหนึ่งกล่อง ส่วนอีกกล่องนึงยังคงวางแน่นิ่งอยู่ในถุงกระดาษ
ทันทีที่เปิดฝากล่องข้าวออกมา ผมก็ต้องตกตะลึงกับอาหารหน้าตาน่ารักตรงหน้า เพราะว่าคุณแม่ของพี่เนย์เขาจัดข้าวกล่องให้เรายังกับกล่องเบนโตะของญี่ปุ่นเลย ขนาดข้าวยังปั้นเป็นรูปร่างของลูกหมาพันธุ์บีเกิ้ล แถมตรงตา จมูก อุ้งเท้า คุณแม่เขาก็เอาสาหร่ายมาตัดเป็นรูปร่างตามที่ต้องการ แล้วก็แปะไปยังตำแหน่งที่หมายตาไว้ ส่วนลิ้น คุณแม่ใช้แฮมตัดให้เป็นรูปทรงดังกล่าว และนอกจากนี้ก็ยังมีผัก แล้วก็พวกอาหารชุบแป้งทอด ไส้กรอก ไข่ม้วนก้อนบางๆ วางประดับไว้ข้างๆกล่องอย่างสวยงาม ส่วนอีกกล่องของพี่เนย์เป็นรูปแมวครับ ลักษณะการตกแต่งกล่องข้าวก็คล้ายกันเลย น่ารักมากๆ ขณะที่อีกกล่องที่ผมเพิ่งจะหยิบออกมาจากถุงก็เป็นกุ้งอบวุ้นเส้นหน้าตาธรรมดาๆเท่านั้น

ผมขยับลงมานั่งยองๆกับพื้น และวางกล่องข้าวบนม้านั่ง ส่วนพี่เนย์พอเห็นผมทำอย่างนั้นเจ้าตัวก็ทำตามบ้าง เราก็เลยนั่งยองๆอยู่ใกล้ๆกัน เพื่อที่จะได้แบ่งกันกินกุ้งอบวุ้นเส้นที่ยังร้อนๆ ได้ถนัด

“จริงๆที่กูมาช้าไม่ใช่เพราะเจ้าเขี้ยวกุดหรอก แต่เพราะกูรออบข้าวกล่องใหม่ให้นี่แหละ” พี่เนย์ว่าพลางตักข้าวเข้าปากคำใหญ่ แต่เหมือนเจ้าตัวจะนึกอะไรออกถึงได้รีบเคี้ยวแล้วก็กลืนใหญ่เลย
“อย่าเพิ่งกินหมด ถ่ายรูปรายงานแม่กูก่อน” คุณลูกชายของสปอนเซอร์มื้อนี้ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ ก่อนจะสไลด์หน้าจอและเข้าสู่โหมดถ่ายภาพอย่างรวดเร็ว จากนั้นผู้ชายร่างสูงที่ไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไรแบบนี้ก็ตั้งท่าเตรียมถ่ายรูปให้กับคุณแม่อย่างตั้งใจ ผมจึงหยิบกล่องข้าวขึ้นมาก่อนจะก้มหน้าลงไปใกล้ๆ แล้วก็ยกยิ้มให้กล้องอย่างสดใส

แชะ!

“กินเลยเดี๋ยวกูรายงานแม่ก่อน” พี่เนย์ว่าอย่างนั้นแล้วก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความ และส่งภาพอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยคนข้างๆก็รีบตักข้าวเข้าปากอย่างหิวกระหาย ผมก็เลยก้มหน้าก้มตากินข้าวกล่องของตัวเองบ้าง
กระทั่งกินกันจนหมดเกลี้ยง ก็อิ่มแป้ลขึ้นมาเลย จากนั้นพี่เนย์ก็บอกให้ผมนั่งรอแถวๆนี้ เพราะพี่เขาจะไปหาซื้อน้ำเปล่ามาให้ ผมก็พยักหน้ารับ จากนั้นก็นั่งมองโน่นมองนี่ไปเรื่อย เพราะบรรยากาศมันเงียบสงบมาก
จะมีก็แต่เสียงร้องของแมลงเท่านั้นที่ดังระงมอยู่ในตอนนี้

ผมย้ายตัวเองไปนั่งไกวชิงช้าเล่นระหว่างรอพี่เนย์ ทำเอานึกย้อนไปถึงวัยเด็กตอนที่ยังพูดได้ ผมน่ะชอบเหลือเกินกับการมาเล่นอะไรแบบนี้ แล้ววันไหนถ้าแม่ไม่ยอมพามาเล่นนะ ก็จะร้องไห้จนจ้าละหวั่น
คิดแล้วก็ตลกดี เรื่องแค่นี้เอง ไม่รู้จะร้องไห้ทำไม

“น้ำ” พี่เนย์เปิดฝาขวดให้ก่อนจะเสียบหลอดแล้วก็ส่งให้ผมที่กำลังนั่งเหม่อ ผมจึงยิ้มขอบคุณก่อนจะรับมาดื่มแก้กระหาย ส่วนอีกฝ่ายก็ทิ้งตัวลงนั่งดื่มน้ำอีกขวดบนชิงช้าอีกตัวที่อยู่ข้างๆกัน
“คิดถึงตอนเด็กเลยเนอะ ใครๆก็ต้องเคยมาเล่นเครื่องเล่นแบบนี้” พี่เนย์วางขวดน้ำลงใกล้กับเสาที่ยึดชิงช้าทั้งสองตัวไว้ พลางไกวเล่นเบาๆ ก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่ผมก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะเมื่อครู่ผมก็เพิ่งจะคิดถึงช่วงเวลานั้นอยู่พอดี

“มึงยังเก็บกุญแจที่กูให้ไว้อยู่หรือเปล่า?” พี่เขาไกวชิงช้าพลางถาม ขณะที่สายตาก็หันมามองผมอย่างรอคอยคำตอบ
“คะอับ” ผมพยักหน้าพลางส่งเสียงในลำคอให้ได้มากที่สุด ตามที่พี่เขาเคยอยากให้ทำ

“รู้มั้ยว่าพี่ให้กุญแจรันทำไม?” อีกฝ่ายเปลี่ยนมาใช้คำแทนตัวว่าพี่ซะแล้ว ทำเอาผมรู้สึกพ่ายแพ้
“…” ผมทำเป็นนิ่งไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ แม้ว่าจะเข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ เพียงแต่ว่าผมก็ยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่คาดเดาไว้มันจะถูกต้องหรือเปล่า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่กลับใช้บทเพลงในการสื่อความหมายว่าอยากจะนอนกอดผมในตอนตื่นนอน ซึ่งก็มีทางเดียวที่จะทำได้ ก็คือผมต้องไปค้างคืนที่นั่น แล้วไหนจะกุญแจที่ให้มานี่อีก คงไม่ใช่ค้างคืนแค่ชั่วคราวแน่ๆ
ซึ่งผมก็เข้าใจ แต่แค่ไม่มั่นใจว่าตัวเองแปลความหมายที่พี่เขาต้องการจะสื่อได้ถูกต้องหรือเปล่า..

“พี่อยากให้รันมาอยู่ด้วยกัน..”
“…” ทันทีที่พูดจบ มืออุ่นๆของพี่เนย์ก็เอื้อมมากอบกุมฝ่ามือของผมที่กำลังจับยึดโซ่คล้องชิงช้าเอาไว้

“ได้มั้ย?”


---------------------------------------------------------------------

(edit : ขอแก้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนบางส่วนค่ะ พอดีเราสับสนช่วงเรียนซัมเมอร์นิดหน่อย เลยลองไปเปิดใบทรานสคริปดูเพื่อความชัวร์ กลายเป็นว่ามันมีเปิดเรียนซัมเมอร์แค่หลังภาคเรียนที่ 2  //// ปล. จบมานานแล้วเลยมึนงงนิดหน่อย ขออภัยค่ะ T_T)

ตอนนี้สองเพื่อนซี้อาจจะเด่นหน่อย 555 แต่ก็แอบมีมุมหวานเบาๆของพี่เนย์กับรันอยู่บ้าง แล้วก็พัฒนาจนถึงขั้นคุณแม่ฝากกล่องข้าวมาให้รันแล้วด้วย ทีนี้ก็อยู่ที่คุณพ่อกับคุณแม่รันแล้วว่าจะคิดเห็นยังไง ซึ่งคำชวนของพี่เนย์นี่แหละจะทำให้ไปกระตุ้นในส่วนนั้น คึคึคึ

ปล. เรื่องนี้จะจบแล้ว เหลืออีกแค่ 2 ตอนเท่านั้นเอง T[]T

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 25 ♥ หน้า 4 (up 13/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-11-2017 15:44:11
เร็วไปไหมที่จะอยู่ด้วยกัน ไปมาหาสู่กันแบบนี้ไม่ดีเหรอ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 25 ♥ หน้า 4 (up 13/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 13-11-2017 20:20:19
 :pig4: หวานๆ ชอบความรักที่ค่อยๆ มีการพัฒนาขึ้น
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 25 ♥ หน้า 4 (up 13/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-11-2017 21:40:02
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 25 ♥ หน้า 4 (up 13/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 13-11-2017 22:04:41
เฮ้ยยย จะจบแล้วว
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 25 ♥ หน้า 4 (up 13/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-11-2017 01:05:38
น้องรันจะยอมไปอยู่กับพี่เนย์ไหมนะ  :-[
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 26 ♥ หน้า 5 (up 14/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 14-11-2017 14:55:41
♥ Fall in you ♥
ตอน 26



“เป็นเชี่ยไรของมึงอีกเนี่ย?” ไอ้หมอกที่ยังไม่หลับถึงกับตะโกนถาม เมื่อผมเอาแต่พลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง
‘นอนไม่หลับว่ะ มึงล่ะ เหมือนกันเหรอ?’ ทันทีที่ผมสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ แสงสว่างก็สว่างวาบขึ้นจนแสบตา เพราะความไม่ชิน เนื่องจากเราปิดไฟเตรียมเข้านอนมาได้หลายชั่วโมงแล้ว

‘ทำไมวะ? ส่วนกูนอนไม่หลับเพราะมึงนี่แหละ แม่ง! พลิกไปพลิกมาอยู่นั่น’ ไอ้หมอกเปลี่ยนมาใช้วิธีการคุยกันผ่านทางแชทแทน เพื่อไม่ให้เสียงพูดคุยมันรบกวนไอ้คินที่เพิ่งจะเข้านอนเมื่อครู่ หลังจากออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกเป็นนานสองนาน ตามประสาคนกำลังอินเลิฟ แต่ไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าตัวเองพูดคุยอะไรกับสาวคนนั้นบ้าง
‘โทษทีว่ะมึง คืองี้ พี่เนย์ชวนกูไปอยู่ด้วยว่ะ’

‘มันก็เรื่องปกติของคนเป็นแฟนกันมั้ยล่ะมึง’ ผมจ้องข้อความของไอ้เพื่อนสุดจะกวนประสาทแน่นิ่ง เพราะผมเองก็รู้แหละว่ามันเป็นเรื่องปกติของคนเป็นแฟนกัน แต่อย่าลืมสิว่าพ่อกับแม่ผมอยากให้อยู่หอในน่ะ แถมยังให้อยู่จนเรียนจบเลยด้วย
‘แต่พ่อกับแม่กูอยากให้อยู่ที่หอในนะเว้ย’ ผมรีบแย้งทันที แต่ที่ต้องมานั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวัน ก็เพราะผมให้คำตอบพี่เนย์ไปว่า ผมขอเวลาบอกเพื่อนกับเคลียร์งานกลุ่มก่อน เนื่องจากการอยู่หอในช่วงนี้มันสะดวกต่อการทำงานกลุ่มในช่วงกลางคืนมาก เพราะเราอยู่ห้องเดียวกัน ไม่ต้องไปนัดทำที่อื่น
แต่ก็นั่นแหละ เหตุผลที่ว่านั่น เรียกง่ายๆว่ามันก็คือการแถจนสีข้างถลอกแล้วถลอกอีก

‘โห่วเพื่อนครับ! มึงก็ยังอยู่ที่หอในต่อไปสิวะ ส่วนตัวมึงก็แค่ย้ายไปอยู่กับพี่เนย์ ง่ายจะตาย!’
‘แบบนี้ก็เท่ากับว่ากูโกหกดิวะ’

‘งั้นมึงก็ไลน์ไปบอกพ่อกับแม่เลยจบ’ ที่พูดออกมานี่ ไอ้หมอกมันแนะนำวิธีฆ่าตัวตายให้ผมชัดๆเลยนะเว้ย
‘มึงจะบ้าเหรอ หาเรื่องให้กูอีก เขาจะรับได้หรือเปล่ากูก็ยังไม่รู้เลย’ เรื่องพ่อกับแม่ผมเคยเล่าให้ไอ้พวกนี้มันฟังตอนช่วงปิดเทอม เพราะผมนึกสงสัยว่าสรุปแล้ว พ่อกับแม่ได้ยินที่พี่เนย์พูดในวันนั้นแน่หรือเปล่า ทำไมถึงได้ทำนิ่งเฉยแบบนั้น เพราะจริงๆ ผมกะไว้ว่าต้องถูกซักฟอกตอนช่วงปิดเทอมแน่ๆ เพราะเรื่องนี้มันก็ทิ้งช่วงมานานแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครสรุปคำตอบที่ผมอยากจะรู้ได้อยู่ดี
ผมก็เลยได้แต่ปล่อยเบลอ เพราะผมเองก็ยังไม่พร้อมที่จะให้พ่อกับแม่รับรู้ในตอนนี้

‘ถามจริง มึงมีอะไรที่กลัวมากกว่านั้นป่ะ? แลลนอยู่นะมึงเนี่ย’ ไอ้หมอกเงียบไปสักพักแล้วมันก็พิมพ์ประโยคจี้ใจดำใส่จนผมถึงกับหายใจติดขัด
‘สงสัยไอ้รันมันจะกลัวได้ทาลิปมันบ่อยๆล่ะมั้งมึง’ ไอ้คิน ไอ้เพื่อนเวรนี่เว้ย ผมก็นึกว่าหลับไปแล้ว ที่ไหนได้แม่งยังไม่หลับ และดันโผล่หัวมาตอนจังหวะดีซะด้วย
นี่มึงเป็นคนรอบรู้ผ่านทางโนติบนหน้าจอใช่มั้ย พวกกูถึงได้ไม่รู้ตัวเลยว่ามึงน่ะตื่นแล้ว

‘ยังไม่ชินอีกเหรอเพื่อน!’ เกลียดแม่งจริงๆ ผมไม่น่าคิดจะปรึกษาพวกมันเลย มีแต่ต้องอายกับอายทั้งนั้น
‘ไอ้พวกทะลึ่ง!’ พอด่ามันเสร็จ ผมก็จัดการคว่ำโทรศัพท์ไว้กับที่นอนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พยายามข่มตาหลับให้ได้ แม้ว่าโทรศัพท์มันจะสั่นรัวราวกับเจ้าเข้าก็ตาม หรือแม้กระทั่งเสียงหัวเราะคิกคักของคนสองคนในห้องที่ดังขึ้นท่ามกลางความมืดในเวลาตีหนึ่ง
ผมก็ปล่อยเบลอให้หมด

วันนี้ฝนพรำตั้งแต่เช้าเลย แต่ผมเป็นคนชอบฝนนะ เพราะทุกครั้งที่ฝนตกก็จะได้กลิ่นไอดินลอยขึ้นมาแตะจมูกอยู่ตลอด ทำให้รู้สึกสดชื่นไปกับธรรมชาติ และรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ชอบแค่ในระดับที่เป็นฝนพรำเท่านั้น ไม่ได้ชอบฝนในทุกระดับ
แล้วยิ่งฝนมันเทลงมาหนัก ตอนช่วงที่ผมไม่มีร่มนะ ผมก็จะยิ่งไม่ชอบ
มีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมชอบ ก็คือตอนที่ผมกับพี่เนย์นั่งติดฝนอยู่ด้วยกันที่ร้านกาแฟ   

วันนี้ผมเลือกนั่งทานมื้อเช้าที่โต๊ะด้านนอกโรงอาหาร เพื่อที่ผมจะได้นั่งมองสายฝนได้ และอีกอย่างวันนี้พี่เนย์เขาไม่มีเรียน ผมก็เลยถือโอกาสย้ายโต๊ะได้ตามใจชอบ

Rrrrrrrr

“รันนั่งอยู่ตรงไหนน่ะ?” ทันทีที่ผมรับสาย พี่เนย์ก็รีบสอบถามเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว
‘ขะ..อ้าง..นะ..นอก’ ผมใช้เวลาเค้นเสียงอยู่นาน แต่คนปลายสายก็ไม่ได้แสดงท่าทีฮึดฮัดอะไร

“ข้างนอก?”
“อ..อือ”

“ถ่ายรูปส่งมาให้ดูหน่อย อยู่ตรงไหน” อีกฝ่ายว่าอย่างนั้น แล้วก็วางสายไป ผมเลยได้แต่มองหน้าจอโทรศัพท์อย่างงงๆ แต่ก็ยอมถ่ายรูปตามที่พี่เนย์ขอ และทันทีที่ผมส่งรูปไปทางแชท อีกฝ่ายก็รีบอ่านอย่างรวดเร็ว
“พอดีฝนตกเลยต้องออกมาส่งไอ้บอสไอ้ทีมน่ะ เลยแวะมากินข้าวเช้าที่นี่เลย เผื่อเจอ” พี่เนย์เฉลยข้อสงสัยของผมทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ถาม จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งทางฝั่งตรงกันข้าม

“ทำไมย้ายที่นั่งล่ะ?” พี่เนย์ตักข้าวเข้าปากพลางถามด้วยความสงสัย
“…” ผมยิ้ม พลางยกมือขึ้นในระดับศีรษะ จากนั้นก็ขยุ้มมือแล้วปล่อยประมาณสองที เพื่อตอบคำถามของคนตรงหน้าว่าเป็นเพราะ ‘ฝน’ ผมถึงได้ย้ายออกมานั่งตรงนี้

“มานั่งดูฝนเนี่ยนะ” พี่เขาถาม ขณะเปิดฝาขวดน้ำก่อนจะกระดกขึ้นดื่มรวดเดียว
“อ..อือ” ผมยิ้มพลางพยักหน้า พร้อมกับส่งเสียงในลำคอไปด้วย

“ชอบหรือไง”
“ค..ครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม โดยไม่ขยายความใดๆ ว่าอีกฝ่ายเองก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมชอบฝน

“วันนี้เรียนตึกไหน เดี๋ยวไปส่ง” หลังจากพี่เขารีบยัดข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็วจนหมดเกลี้ยง อีกฝ่ายก็รีบอาสาเป็นสารถีให้ผมทันที เพราะปกติแล้วโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆในวันที่เจ้าตัวเขาหยุดเรียน
‘ตึกเรียนรวมครับ มีเรียนอิ้งสอง’ ผมเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ของพี่เนย์ที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์อย่างง่ายดาย เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งพาสเวิร์ดเอาไว้ แล้วก็เข้าไปที่โหมดแชทเพื่อพิมพ์ข้อความตอบคนตรงหน้า

“ตอนเย็นแวะมาหาด้วย เดี๋ยวทำเห็ดเข็มทองอบชีสให้กิน” พี่เนย์พูดขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ในรถระหว่างทางที่กำลังจะไปตึกเรียน ซึ่งฝนก็ยังโปรยปรายลงมาไม่หยุด เสื้อผ้าทั้งของผมกับอีกฝ่ายก็เปียกเป็นดวงๆ เต็มไปหมด เพราะเราต้องวิ่งฝ่าฝนออกมาจากโรงอาหาร
“ไอ้บอสมันบังคับให้ทำน่ะสิ แต่สูตรไมโครเวฟนะ ไม่ได้อร่อยอะไรขนาดนั้น อย่าคาดหวังมาก” พี่เนย์พูดขึ้นพลางหันมามองหน้า ผมจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่าย

‘ทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ?’ ผมพิมพ์ข้อความเตรียมไว้ และเมื่อรถจอดตรงลานจอดรถของอาคารเรียนรวม ผมก็ยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน
“เป็น แต่ส่วนใหญ่จะขี้เกียจ เพราะฉะนั้นพลาดแล้วพลาดเลย รู้ไว้ซะ” พี่เนย์ว่าพลางยักคิ้วใส่อย่างกวนประสาท

‘ราคาคุยเยอะจัง’ ผมอดจะเหน็บแนมอีกฝ่ายไม่ได้ ดูเอาเถอะ มีการมาถ่อมตัวว่าไม่ได้อร่อยอะไรขนาดนั้น แต่ว่าถ้าพลาดแล้วพลาดเลย เพราะเจ้าตัวขี้เกียจ ดังนั้นมื้อเย็นวันนี้ถือเป็นมื้อที่หากินได้ยาก หากพลาดแล้วต้องเสียใจแน่นอน
“ลงไปได้แล้ว” พี่เนย์ท้าวแขนกับพวงมาลัยรถพลางยักไหล่ จากนั้นก็ไล่ผมให้ลงจากรถ

‘จะรอชิมฝีมือนะครับ’ พอผมพิมพ์ข้อความจนเสร็จ ก็รีบกดส่งให้อีกฝ่ายอ่านผ่านทางแชท จากนั้นผมก็รีบลงจากรถและวิ่งเข้าไปในอาคารเรียนด้วยความรวดเร็ว
แต่ไม่ใช่เพราะกลัวฝนนะ
เพราะอันที่จริงแล้ว ผมกลัวพี่เนย์จะได้ใจมากกว่า ที่ผมแสดงความดีใจที่ถูกชักชวนจนออกนอกหน้า

“มีชวนไปกินมื้อเย็นที่ห้องด้วย เอาแล้วๆ คืนนี้เพื่อนกูจะได้กลับหอหรือเปล่าหว่า” ทันทีที่ผมออกปากบอกให้พวกมันไปส่งผมที่หน้ามอ ไอ้หมอกมันก็แซ็วยกใหญ่ ทำเอาผมต้องเก็บอาการเก้อเขินแทบเป็นแทบตาย
“หูแดงนะมึง ไปๆ ขึ้นมาครับ กูจะพามึงไปประเคนให้พี่เนย์เอง” ไอ้หมอกมันยังไม่เลิกแซ็ว แต่พอผมทำท่าจะชกมันเท่านั้นแหละ เจ้าตัวก็รีบพูดตัดบทแล้วชวนผมขึ้นซ้อนท้ายทันที

“พรุ่งนี้เรียนภาษามือนะมึง อย่าไปนั่งเหม่อเพราะทาลิปรอบใหม่อีกล่ะ” ไอ้คินจากที่นิ่งเงียบมานาน พอผมกำลังจะเดินพ้นหน้าประตูรั้วมหาลัยเท่านั้นแหละ มันก็เปิดปากแซ็วผมขึ้นมาอีกคน
แม่งเอ้ย! กูอุตส่าห์ทำเป็นลืมเรื่องนั้นได้แล้วนะ   

ผมแวะซื้อบลูเลม่อนเหมือนครั้งก่อน และก็ไม่ลืมที่จะสอบถามพี่เนย์ด้วยว่าจะดื่มอะไรไหม แต่รอบนี้เจ้าตัวเขาออร์เดอร์กลับมาถึงสามแก้ว ที่คงจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากพี่เนย์ พี่ทีม พี่บอส
เมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกมาจากร้านพร้อมด้วยถุงที่สามารถใส่แก้วกาแฟได้ถึงสองแก้วต่อหนึ่งถุงจนเต็มสองไม้สองมือ ขณะที่สองขาก็ก้าวเดินเข้าไปยังซอยเล็กๆ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างร้านปิ้งย่างกับข้าวต้มรอบดึก

ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะประตูอยู่ไม่นาน คนด้านในก็เปิดประตูออกมาต้อนรับ แต่กลับไม่ใช่เจ้าของห้อง ผมจึงยกมือไหว้พี่ทีมก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้องและหยุดถอดรองเท้าไว้ตรงมุมปากประตู
“เงินบนโต๊ะนะรัน” พี่ทีมบอกกับผม จากนั้นเจ้าตัวก็เลือกเมนูที่ตัวเองกับพี่บอสสั่ง ผมจึงหยิบมอคค่าปั่นของพี่เนย์ไปให้คนตัวสูงที่กำลังนั่งวุ่นวายอยู่กับพื้น เพราะต้องเตรียมของสดสำหรับทำมื้อเย็นอยู่ตรงโต๊ะญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่เอาไว้วางเครื่องครัวต่างๆ และไมโครเวฟ เพราะที่หอของพี่เนย์ไม่ได้มีห้องครัวแยกเป็นสัดส่วน อีกทั้งเจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจจะจัดแบ่งโซนแต่อย่างใด ขณะที่ห้องของพี่บอสกับพี่ทีมนั้นมีการแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจนว่าตรงไหนจะใช้เป็นที่ทำครัว เพราะพวกพี่เขาชอบทำอาหารกินกันเอง

“อีกพักนึงก็เสร็จแล้ว หิวยัง?” พี่เนย์หันมาถาม เมื่อผมทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นข้างๆอีกฝ่าย
“…” ผมจึงยักไหล่พลางส่ายหน้า

“งั้นให้ไอ้สองคนนั้นมันก่อนแล้วกัน” พี่เนย์พูดทิ้งทายไว้แค่นั้น เจ้าตัวก็เริ่มจัดของสดแบบจานต่อจาน เพราะพี่เขาทำในปริมาณที่ไม่มากนัก แต่กะให้หน้าตามันออกมาดูน่ากิน ก็เลยเลือกทำแบบจานต่อจานล่ะมั้ง ผมคิดว่างั้น
ผมเลือกจะลุกขึ้นไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกพี่ทีมและพี่บอส เมื่อเห็นว่าพี่เนย์กำลังวุ่นวายได้ที่ พี่ทีมเลยเปิดเพจของสาขาให้ผมดูเป็นการฆ่าเวลา แล้วก็พูดถึงแอปพลิเคชันที่เคยส่งข่าวต่อๆกันตอนช่วงเทอมหนึ่งว่าตอนนี้เขากำลังทดสอบกันอยู่ เริ่มจะใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว อีกทั้งแคมเปญของเราก็ยังถูกนำไปใส่ไว้ในแอปนั้นด้วย เนื่องจากมันเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้

“ไอ้บอสมันบอกว่าไอ้เนย์ทำเค้กอร่อยด้วย” พี่บอสใช้ภาษามือสื่อสารกับผม จากนั้นพี่ทีมก็ถอดความผ่านคำพูด
‘จริงเหรอครับ?’ ผมย้อนถาม พลางปรายตามองไปที่พี่เนย์อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เรื่องทำอาหารกับขนมด้วยไมโครเวฟนี่ไอ้เนย์มันเก่ง แต่มันขี้เกียจ” พี่ทีมว่าเหน็บครึ่งนึงและชมอีกครึ่งนึง จนผมอดจะขำไม่ได้
‘ไม่น่าเชื่อเลย’

‘อยู่คนเดียวเปลี่ยวๆไง มันก็เลยฝึกทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ส่วนพวกพี่ก็หนูทดลองดีๆนี่เอง’ เราสามคนสุมหัวกันดูโทรศัพท์เครื่องเดียวที่วางอยู่ตรงกลางวง จากนั้นก็สื่อสารกันผ่านการพิมพ์ตัวหนังสือลงในโน้ต
“…” ผมแอบขำเบาๆ เพราะพี่เนย์น่ะแปลกคน

ถ้าเป็นคนอื่น เวลาที่เขาเหงาก็อาจจะเปิดเพลงฟัง ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ร้องคาราโอเกะ อ่านหนังสือ เล่นโซเชียล หรือที่ฮิตกันสุดๆก็ไม่พ้นหาแฟนมาคลายเหงา แต่อีกฝ่ายกลับไม่ทำแบบนั้น
ซึ่งมันก็แลสมกับความเป็นพี่เนย์ผู้รักสงบนั่นแหละนะ

‘ไอ้เนย์น่ะนะ พอได้เป็นโสด มันก็หวงความโสดสุดๆ’ พี่บอสหยิบโทรศัพท์ของผมไปพิมพ์ จากนั้นก็เลื่อนออกมากลางวง
‘ทำไมล่ะครับ?’ ผมถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

‘มันบ้าไง เวลามีแฟนก็ยอมเขาทุกอย่าง จนหาความสุขของตัวเองไม่เจอ’ พี่ทีมเอาโทรศัพท์ของผมไปพิมพ์ข้อความบ้าง
‘อาจจะเพราะรักมากมั้งครับ’ ผมแสดงความคิดเห็น ทั้งๆที่ในใจก็หวิวไหวอย่างบอกไม่ถูก แต่จะทำอะไรได้ ในเมื่อมันเป็นเรื่องของอดีต อีกทั้งตอนนี้พี่เขาก็บอกอย่างชัดเจนว่ามันจบลงไปแล้ว และตอนนี้คนที่พี่เขาเลือกก็คือผม

‘หลงมากกว่า’ พอพี่ทีมพิมพ์กลับมาแบบนั้น ผมก็หันไปมองแผ่นหลังของพี่เนย์ด้วยสายตาแน่นิ่ง ขณะที่ในหัวก็วาดภาพของผู้ชายตรงหน้าที่กำลังหลงระเริงไปกับความรัก แต่ไม่ว่าจะพยายามวาดมันยังไง ผมก็วาดไม่ออก เพราะพี่เนย์ในตอนที่อยู่กับผม เขาแสดงความรักผ่านความจริงใจออกมาจนหมดสิ้น แม้ว่าเจ้าตัวจะพูดตรงบ้างอ้อมบ้าง แต่นั่นก็คือความจริงใจที่ตรงไปตรงมาที่สุดของผู้ชายที่ชื่ออาคเนย์
‘พี่ดีใจนะที่รันคบกับมันน่ะ’ พี่บอสพิมพ์ข้อความ พลางเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม

‘ทำไมครับ’
‘ตั้งแต่มันคบกับรัน มันยิ้มเยอะขึ้น มันได้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และมันก็แสดงออกเยอะขึ้นว่าอยากทำอย่างนั้น อยากทำอย่างนี้ เพราะที่ผ่านมามันเป็นพวกอะไรก็ได้ ว่าไงก็ว่าตามกัน จนสุดท้ายก็เผลอทำร้ายตัวเองไม่รู้ตัว เพราะยอมมากไปทั้งๆที่ตัวเองไม่ชอบเป็นจุดสนใจ สุดท้ายก็อึดอัดกับชีวิตแบบนั้นจนทนไม่ไหว’ พี่บอสพิมพ์ข้อความได้รวดเร็วพอๆกับผม คงเพราะบางทีพี่เขาก็อาจจะต้องใช้การแชทเพื่อสื่อสารกับคนอื่นๆที่ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องแบบนี้เหมือนกับผม

พวกเราคุยกันได้สักพัก พี่เนย์ผู้เป็นต้นเรื่องของการสนทนา ก็มายืนกระแอมไอเหนือหัวพวกเราอยู่หลายที เราก็เลยต้องจบบทสนทนาลงแค่นั้น และหันมาสนใจกับเมนูที่วันนี้เจ้าของห้องเขาโชว์ฝีมืออย่างเชี่ยวชาญ

“วันหลังมึงลองทำขนมให้รันกินดิ น้องน่าจะชอบ” พี่ทีมตักเห็ดเข็มทองอบชีสฝีมือพี่เนย์เข้าปากพลางแนะนำให้อีกฝ่ายรู้จักบริการผมซะบ้าง
“ถ้าไม่ขี้เกียจจะลองทำดูแล้วกัน” พี่เนย์ตอบรับแบบที่ไม่สามารถทึกทักเอาได้เลยว่าผมจะมีโอกาสได้กินจริงๆ เพราะดูอีกฝ่ายจะรับคำแบบขอไปทีมาก บ่งบอกว่าเจ้าตัวมีความขี้เกียจในเรื่องนี้สูง

“เป็นไงอร่อยมั้ย?” พี่ทีมยังคงถามความเห็นผม ราวกับจะพรีเซ็นต์เพื่อนตัวเองเต็มที่
“…” ผมพยักหน้าให้พี่ทีม จากนั้นก็ตักอาหารฝรั่งฝีมือพี่เนย์เข้าปากอีกคำ

“ฝนตกอีกละ ตกอะไรนักหนาวะเนี่ย กูยิ่งไม่ถูกกับฟ้าอยู่” ขณะที่เรากำลังทานมื้อเย็นด้วยกัน ท้องฟ้าข้างนอกจากที่เคยสดใสก็เต็มไปด้วยน้ำฝนโปรยปรายลงมา ประกอบกับเสียงฟ้าร้องเบาๆคลอไปด้วย อีกฝ่ายก็เลยบ่นออกมา
“ตายแน่มึง คืนนี้ได้นอนคุมโปงแบบป๊อดๆชัวร์” พี่ทีมว่าพลางหัวเราะอย่างสะใจที่เห็นเพื่อนตัวเองทำหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะเริ่มจะคาดเดาเหตุการณ์ต่อจากนี้ได้ หากว่าฝนมันยังคงตกอยู่เรื่อยๆ และฟ้าก็ยังคงร้องโครมครามไม่หยุด

“ถ้าร้องแบบนี้กูไม่กลัวหรอกเว้ย”
“แต่ส่วนใหญ่ฝนตกฟ้าร้อง กูก็ไม่เคยจะเห็นว่ามันจะไม่ผ่านะมึง” พี่ทีมว่าพลางเอาจานของตัวเองไปซ้อนกับจานของพี่เนย์ที่ทานจนหมดเกลี้ยงแล้ว จากนั้นพี่บอสก็ทำตามบ้าง

“กูไปละ วันนี้อิ่มมากเว้ยเพื่อน ประหยัดเงินกูได้อีกมื้อเลยนะ” พี่ทีมลุกขึ้นยืนพลางตบบ่าพี่เนย์แปะๆ จากนั้นก็ขอตัวลากลับห้อง โดยที่เจ้าของห้องก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากลุกขึ้นยืนและก้มลงเก็บจานทั้งหมดที่วางอยู่บนโต๊ะ เพื่อเอาไปเก็บล้างด้านนอกที่เป็นส่วนซักล้าง
ผมที่ไม่มีอะไรทำก็หยิบแก้วบลูเลม่อนที่เหลือน้ำแข็งอยู่เพียงแค่ก้นแก้วขึ้นมากระดกจนหมด จากนั้นก็ลุกขึ้นไปดูเจ้าเขี้ยวกุดระหว่างรอให้ใครอีกคนล้างจานให้เสร็จ
ว่าแต่ว่า พี่เขาจะไม่โดยฝนสาดเหรอนั่น

‘ไม่ล้างวันหลังล่ะครับ ฝนมันสาดนะ’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ พลางยื่นไปให้อีกคนที่กำลังล้างจานอ่าน
“ไม่เป็นไร กูยอมเปียกดีกว่าต้องทนเหม็นทั้งคืน เข้าไปรอในห้องไป” พอพี่เนย์ไล่ให้เข้ามารอในห้อง ผมก็เดินไปเมียงมองเจ้าเขี้ยวกุดที่อยู่ในตู้กระจก แต่ก็มองไม่เห็น คาดว่ามันคงจะหลบซ่อนตัวอยู่
จะมีก็แต่จิ้งหรีดตัวเป็นๆผู้ตกอยู่ในสถานะของ ‘เหยื่อ’ ที่เกาะอยู่เหนือยอดหญ้าในตู้นั่นประมาณสี่ห้าตัว

เปรี้ยง!

เพล้ง!

ทันทีที่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น พี่เนย์ที่กำลังถือจานเพื่อออกมาเก็บยังชั้นสำหรับคว่ำจาน ก็ถึงกับปล่อยทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในมือด้วยความตกใจ โดยที่เจ้าตัวก็คงจะลืมไปแล้วว่าในตอนนี้ตัวเองกำลังถืออะไรอยู่
และเมื่อจานกระเบื้องทั้งสี่ใบนั้นล่วงลงกับพื้น ชิ้นส่วนของมันก็แตกกระจายไปทั่วบริเวณ

“โอ้ย! เชี่ยเอ้ย!” พี่เขาร้องโอดโอยเมื่อได้สติ เพราะแสงสว่างวาบที่เกิดจากฟ้าแลบ ทำเอาสติของอีกฝ่ายให้ย้อนกลับมาหาตัว ถึงได้รู้ว่าเท้าของตัวเองกำลังบาดเจ็บ อีกทั้งร่างของคนตรงหน้าก็ยังแข็งเกร็งจนน่าสงสาร ด้วยอารามตกใจกลัวในสิ่งที่ตัวเองฝังใจ
“…” ผมที่ยืนอึ้งด้วยเพราะทำอะไรไม่ถูก จึงตั้งสติและเดินไปหยิบไม้กวาดกับที่โกยขยะมาตรงจุดเกิดเหตุ ส่วนคนมีแผลเขาก็หลีกทางให้โดยอัตโนมัติ ก่อนจะไปทิ้งตัวลงนั่งอยู่บนเตียง เพื่อรอให้ผมจัดการกับเศษกระเบื้องให้เรียบร้อย จนกระทั่งทั้งห้องปราศจากเศษกระเบื้องแล้ว พี่เนย์ก็เดินเขย่งๆไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่ซ่อนเอาไว้ในตู้หนังสือ

พอคนเจ็บเดินมานั่งบนที่นอนอีกครั้ง ผมก็ยึดกล่องปฐมพยาบาลมาไว้ในครอบครอง ส่วนอีกฝ่ายก็ยินยอมตามใจผมแต่โดยดี ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผมทำความสะอาดแผล พี่เนย์ก็นั่งนิ่งไร้ปฏิกิริยาของความเจ็บปวดอย่างสิ้นเชิง แต่ถ้าฟ้าแลบเตรียมจะผ่าเมื่อไหร่ พี่เขาจะเกร็งตัวเองทันที จนผมได้แต่แอบอมยิ้มคนเดียว เพราะจู่ๆก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายก็แลน่าเอ็นดูไม่หยอก

“รัน” พี่เนย์เรียกผม พลางซบหน้าลงกับเข่าข้างที่เจ็บของตัวเอง เมื่อผมทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นคนเจ็บก็จับยึดฝ่ามือของผมไว้
“ค..ครับ” ผมยิ้มพลางใช้มืออีกข้างที่ว่างเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่ลงในกล่องปฐมพยาบาล

“เรื่องกุญแจ.. อย่าปล่อยให้รอนานนักนะ”
“…”

“พี่อยากเจอรันตลอดเวลา ไม่ได้อยากเจอแค่บางช่วงเวลาอีกแล้ว..”


-----------------------------------------------------------------------
แก้คำผิด 27/01/2018 แอพพลิเคชั่น> แอปพลิเคชัน / ฟ้าแล่บ > ฟ้าแลบ / แอพ > แอป
การชวนมาอยู่ด้วยกัน มันเป็นแค่ความพร้อมที่จะพัฒนาสถานะระหว่างกันให้ลึกซึ้งขึ้นเท่านั้นค่ะ
ซึ่งคำว่าลึกซึ้งนี่ก็รวมได้หลายอย่างเช่น ได้เห็นอีกฝ่ายในมุมที่ไม่เคยเห็น อะไรแบบนี้ 555
ไม่ใช่ว่าพี่เนย์มีแผนการร้ายจะขย้ำอะไรเล้ยยยย พี่เค้าไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ (เหรอ) 

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 26 ♥ หน้า 5 (up 14/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-11-2017 16:02:17
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 26 ♥ หน้า 5 (up 14/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-11-2017 16:18:46
อาการพี่เนย์ตอนฟ้าร้องนี่อยากให้น้องตอบตกลงมาอยู่ด้วยเร็วๆจัง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 26 ♥ หน้า 5 (up 14/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-11-2017 18:57:19
เขียนดีมากค่ะะะะ ชอบความค่อยๆเป็นค่อยไปของเรื่อง คาแรกเตอร์ตัวละครและสิ่งแวดล้อมแบบนี้ไม่ค่อยเจอเลย โดยเฉพาะตัวน้องรันที่เรียนสาขานี้ อ่านแล้วได้ความรู้เรื่องภาษามือด้วย บางทีอ่านไปทำมือตามไป ข้อมูลละเอียดมากด้วย ชอบมาก สนุกมากเลยค่ะ ยิ่งพอรู้ว่าคนเขียนได้แรงบันดาลใจมาจาก fall in you เราก็ชอบเพลงนี้ ละมุนแล้วก็เขินๆมากเลยยย เสียดายมาเจอช้าไป ถ้ามาไวกว่านี้คงได้คอมเม้นท์ตอนต่อตอน ฮาา ยังไงก็ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ เป็นกำลังใจให้สำหรับตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 26 ♥ หน้า 5 (up 14/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 15-11-2017 12:00:01
feel good และน่าสนใจมาก ไม่เคยอ่านเรื่อง ภาษามือมาก่อน ติดตามค่าา :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 27 (The end) ♥ หน้า 5 (up 15/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 15-11-2017 14:11:08
♥ Fall in you ♥
ตอน 27



‘ใจบาง’คำศัพท์ที่ผมมักจะได้ยินเพื่อนผู้หญิงพูดกันบ่อยๆ ดูท่าจะเหมาะกับความรู้สึกของผมในตอนนี้ เพราะทันทีที่พี่เนย์สารภาพอย่างตรงไปตรงมา ผมที่เคยใจแข็งก็ถึงกับใจอ่อนยวบยาบไม่เป็นท่า แต่ผมก็ยังทำนิ่งไม่แสดงออกมาให้อีกฝ่ายรู้ หากแต่ใบหน้าร้อนๆ มันจะลุกลามไปจนถึงใบหูหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พี่เนย์ต้องจับสังเกตุได้แน่ๆ
ผมชอบพี่เนย์ และผมเองก็ไม่ได้อยากเจอพี่เนย์แค่บางช่วงเวลาเหมือนกัน แต่ที่ผมยังลังเล มันเป็นเพราะว่าผมกำลังวางตัวไม่ถูก ในเมื่อทุกครั้งที่ผมก้าวเข้าไปในห้องของพี่เนย์ ใจของผมไม่เคยเต้นในจังหวะที่ปกติเลย อีกทั้งเมื่อคราวจำเป็นต้องนอนค้างที่นั่น ผมก็มักจะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเราสองคนนอนใกล้ชิดกันมาก แม้จะไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกัน แต่การที่ต้องนอนบนเตียงเดียวกัน มันก็อดที่จะคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ แถมเราสองคนก็เคยจูบกันตั้งสองครั้งแล้ว และทุกครั้งก็ทำเอาผมแทบเป็นบ้า

แล้วถ้าหาก ผมต้องย้ายไปอยู่กับพี่เนย์ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันจะพัฒนาไปจนถึงขั้นที่ลึกซึ้งในตอนไหน ลึกๆผมก็นึกกังวลว่าความสัมพันธ์ของเรามันจะทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังหรือเปล่า ท่านจะรับได้ไหม ถ้าหากรับไม่ได้ ผมจะทำยังไง ผมคิดมากไปหมด เพราะขนาดพูด ผมก็ยังพูดไม่ได้ แล้วยังจะมาชอบผู้ชายด้วยกันอีก
พ่อกับแม่จะต้องผิดหวังในเรื่องของผมไปอีกนานเท่าไหร่ มาตอนนี้ผมนึกเสียใจที่ไม่ยอมไปรักษา เพราะเอาแต่นึกโกรธพวกท่าน ทั้งๆที่หลังจากเกิดเรื่อง พวกท่านก็ดูแลผมอย่างดี ตอนนั้นแม่ถึงขนาดลาออกจากงานแบบไม่มีกำหนดเลยด้วยซ้ำ ส่วนพ่อก็ต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวเพียงคนเดียว
นึกๆแล้วก็เสียใจ ที่ผมเลือกจะสนใจแต่ตัวเอง โดยลืมสนใจความรู้สึกของพวกท่านไป

“รีบขึ้นไปเถอะรัน หอจะปิดแล้วนี่” ผมยกยิ้มให้พี่ทีม เมื่อพี่ทีมเป็นฝ่ายออกมาส่งผมที่หอตามคำขอร้องของพี่เนย์ จากนั้นผมก็ยกมือไหว้ลาประธานรุ่นปีสาม พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมารายงานให้คนเจ็บรู้ว่าผมมาถึงหอพักอย่างปลอดภัยแล้ว
“กูก็นึกว่ามึงจะไม่ได้กลับมาที่หอซะแล้ว” ไอ้หมอกมันพูดขึ้น เมื่อผมไขกุญแจและเดินเข้ามาในห้อง

“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากส่งยิ้มให้ไอ้เพื่อนช่างแซ็ว จากนั้นก็เอากระเป๋าใบเก่งไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ และเตรียมเสื้อผ้าสำหรับใส่นอน ก่อนจะไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเดินเข้าห้องน้ำ ครั้นเมื่อเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์จนหมดสิ้น ผมก็เปิดฝักบัว และเอาตัวเองเข้าไปยืนอยู่ภายใต้สายน้ำ โดยที่ผมก็ลืมไปว่า ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสระผม
แต่เพราะในหัวของผมมันกลับเต็มไปด้วยความคิด ผมจึงไม่ทันได้ใส่ใจในเรื่องนั้น

บางทีมันคงถึงเวลาที่ผมจะต้องเป็นฝ่ายบอกพ่อกับแม่ให้ท่านทราบเรื่องของพี่เนย์แล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีทางไปอยู่กับอีกฝ่ายได้อย่างสบายใจ เพราะผมไม่อยากโกหก และถ้าหากผลลัพธ์มันออกมาแย่ ผมก็คิดข้อต่อรองไว้แล้วว่า ผมจะยอมไปรักษา ซึ่งถ้าหากผมทำได้ ผมก็หวังว่าพ่อกับแม่จะยอมรับเรื่องของผมกับพี่เนย์
สิ่งที่ผมทำได้ มันก็มีแค่นี้.. แค่นี้จริงๆ

หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็แต่งตัวและเดินออกมาตากผ้าเช็ดตัวที่ราวตาก จากนั้นผมก็ปีนขึ้นเตียงชั้นสองอย่างทุลักทุเล เพราะห้องทั้งห้องมันมืดสนิทแล้ว คาดว่าไอ้เพื่อนซี้สองคนมันคงสลบเหมือดไปแล้วแน่ๆ แต่ผมยังปีนได้ไม่ถึงขั้นสุดท้าย ก็ต้องปีนกลับลงมาข้างล่างใหม่ เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือติดไปด้วย และเมื่อทิ้งตัวลงนอนได้ ผมก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์จนแสงสว่างส่องใบหน้า ทำให้ผมต้องหรี่ตามองเพราะยังไม่คุ้นชิน

‘มึงทะเลาะกับพี่เนย์เหรอ ทำไมซึมๆ’ ไอ้คินเป็นฝ่ายส่งข้อความมาถามผ่านทางแชทกลุ่ม
‘พวกกูจะปิดไฟนอนแล้ว ถ้ามึงอยากจะร้องไห้ก็ร้องได้ตามสบาย แต่พรุ่งนี้มึงต้องยิ้มกว้างๆด้วย เพราะมึงหน้าตาก็ไม่ดี ถ้ายิ่งเศร้ามันก็จะยิ่งน่าเกลียดนะเตี้ย’ ไอ้หมอกเองก็ส่งข้อความมาเช่นกัน ผมจึงได้แต่น้ำตาซึมกับการให้กำลังใจของพวกมัน   

‘กูไม่ได้ทะเลาะกับพี่เนย์หรอก แค่เผลอคิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้น พวกมึงสบายใจได้’ ผมตัดสินใจส่งข้อความลงในแชทกรุ๊ป จากนั้นก็เลื่อนหาแชทของพ่อกับแม่ ก่อนจะนอนจ้องดิสเพลย์ของพวกท่านทั้งสองที่ห้องแชทมันบังเอิญอยู่ติดกัน
‘แม่ครับ.. แม่จำพี่อาคเนย์ได้ไหม พี่ผู้ชายที่มารับผมในวันนั้นน่ะ จริงๆแล้ว.. เขาเป็นแฟนผมครับ พี่เขาใจดีแล้วก็อบอุ่นมากๆเลย สอนให้ผมกล้าทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดที่จะทำตั้งหลายอย่าง จนตอนนี้ผมเข้ากับคนที่ไม่ได้มีข้อบกพร่องบางคนได้แล้วนะครับ.. ผมอยากให้แม่รับรู้เรื่องของเราไว้ เพราะผมไม่อยากโกหกแม่.. ผมชอบพี่เขาครับแม่ ชอบมากจริงๆ’ ผมพิมพ์ไปก็น้ำตาไหลไปด้วยความหวาดกลัวที่มันเกาะกินไปทั่วทั้งสี่ห้องหัวใจ

‘พ่อครับ.. พ่อจำพี่อาคเนย์ได้ไหม พี่ผู้ชายที่มารับผมเมื่อวันนั้น จริงๆแล้วเขาเป็นแฟนผม พี่เขานิสัยดีมากๆเลยครับ แถมยังเรียนเก่งมากๆด้วย แล้วก็เป็นคนที่มีความคิดในแง่บวกสุดๆไปเลยครับ พ่อคิดเหมือนผมไหม ว่าคนดีๆแบบพี่เนย์ ไม่น่าจะอยู่รอดจนกระทั่งมาเจอผมเลย เขาสอนให้ผมรู้จักมองอะไรบางอย่างในมุมมองใหม่ๆด้วยล่ะ พ่อเองก็รู้ดีว่าผมไม่ชอบคนที่ไม่มีข้อบกพร่อง เพราะเพื่อนสมัยเรียนมัธยม แต่ว่าพี่เนย์สอนให้ผมเปิดใจมองโลกในมุมใหม่ ผมถึงได้รู้ครับว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวผม และคนที่ไม่มีข้อบกพร่องก็ไม่ได้ใจร้ายทุกคน เขาดีขนาดนี้ พ่อเองก็คิดใช่ไหมว่าผมไม่ควรปล่อยพี่เนย์ให้หลุดมือ.. ผมชอบพี่เขาครับ ชอบมากจริงๆ ถ้าหากความสัมพันธ์ของผมกับพี่เนย์ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ ผมขอแลกกับการรักษาตัวเองให้กลับมาพูดได้นะครับ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่พ่อกับแม่จะดีใจที่สุด’ ผมน้ำตาไหลอาบแก้มจนเผลอหลุดสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ อีกทั้งมือของผมก็ยังสั่นจนแทบจะพิมพ์ไม่ได้
ทั้งๆที่ผมเก่งเรื่องพิมพ์แชทจะตาย

เช้านี้ผมมาทานข้าวที่โรงอาหารในเวลาที่เร็วกว่าปกติ เพราะพี่เนย์เขาต้องเผื่อเวลาในการเดินลงบันไดหอ และยังต้องขับรถมาเรียนอย่างยากลำบาก ซึ่งผมก็อดบ่นอีกฝ่ายไม่ได้ที่ไม่ยอมรอเพื่อนมารับ ทั้งๆที่แผลที่เท้าก็มีตั้งหลายจุด ก็เล่นทำจานกระเบื้องตกใส่เท้าตัวเอง แถมยังไปเหยียบซ้ำจะไม่ให้เดินลำบากก็แย่แล้ว
อันที่จริงก็เพราะพี่เนย์เจ็บตัวด้วยส่วนนึงน่ะแหละครับ ถึงทำให้ผมเริ่มคิดเรื่องที่พี่เขาขออย่างจริงจัง และตอนนี้ผมเองก็เครียดมาก เพราะพวกท่านทั้งสองอ่านข้อความของผมแล้ว แต่ยังไม่ได้ตอบกลับมา ดังนั้นคำว่า ‘Read’ จึงเป็นอะไรที่ทำให้น้ำตาของผมจะไหล และเจ็บอยู่ในอกลึกๆ เพราะผมเผลอคิดไปแล้วว่า พ่อกับแม่คงจะยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ

“ต้มจืดเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นจากการเขี่ยข้าว เมื่อพี่เนย์มาถึงก็ถามถึงเมนูที่เจ้าตัวจะได้กินในวันนี้
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้า ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ คงเพราะเข้าใจกติกากันดีว่าถ้าหากใครเป็นคนสั่ง อีกคนก็ต้องจำใจกิน เพราะไม่มีสิทธิ์จะคัดค้าน

“ร้องไห้เหรอ ทำไมตาบวม” พี่เนย์ก้มหน้าลงเพื่อให้อยู่ในระดับที่มองเห็นตาบวมๆของผมที่พยายามจะก้มหลบ แต่สุดท้ายก็ไม่พ้น
“เพราะพี่หรือเปล่า? เรื่องที่พูดเมื่อวาน” พี่เนย์ถามพลางตักต้มจืดเต้าหู้ไข่ที่ผมซื้อ ใส่ลงในจานข้าวของตัวเอง

‘แค่ส่วนนึงครับ’ ผมเลือกที่จะบอกไปตามความเป็นจริง
“พี่เข้าใจ เพราะการย้ายมาอยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์มันก็ต้องพัฒนาไปในทางที่.. อืม.. ลึกซึ้งขึ้น” พี่เนย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่จริงจัง ทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมานิดหน่อย เมื่อสิ่งที่ผมคิดมันตรงกับสิ่งที่พี่เนย์เองก็คิด
ในเมื่อเวลาที่เราอยู่ใกล้กันตามลำพังในห้องนั้นทีไร มันก็คล้ายกับเราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว..

หลังจากทานข้าวเสร็จ พี่เนย์ก็ยังคงเป็นสารถีที่ดีเหมือนเคย จนผมอดจะถามไม่ได้ว่าเจ็บมากหรือเปล่า เพราะพี่เขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเลย เดิมทีผมก็พอจะทราบว่าพี่เขาเป็นคนที่กลัวฟ้าแลบและฟ้าผ่ามากจนถึงขั้นปล่อยทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในมือ แต่ผมก็ไม่ทันได้คิดถึงกรณีที่ว่าสิ่งที่อยู่ในมือมันอาจจะทำให้เจ้าตัวบาดเจ็บ ซึ่งพอเห็นพี่เนย์ต้องมาใส่รองเท้าแตะเดินกระเผลกๆแบบนี้ ผมจึงอดห่วงอีกฝ่ายจนถึงขั้นไม่อยากปล่อยให้อยู่คนเดียว

‘พี่เจ็บตัวแบบนี้ทุกครั้งหรือเปล่าครับ เวลาที่ตกใจเรื่องฟ้าแลบฟ้าผ่าน่ะ’ วันนี้เราสองคนเดินเข้ามาที่ตึกคณะพร้อมกัน ผมจึงมีเวลาคุยกับเจ้าตัวเพิ่มอีกหน่อย ก็เลยไม่รอช้าที่จะพิมพ์ข้อความถามอย่างสงสัยและเป็นห่วง
“ถ้าใครรู้จักพี่ เขาจะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติเลยแหละ”
“เป็นห่วงเหรอ แผลแค่นี้เอง” พี่เขาว่าพลางยกยิ้มและไม่วายจะเอื้อมมือมายีหัวผมจนยุ่ง จากนั้นวงแขนแน่นๆของคนที่ออกกำลังกายบ้าง แต่ไม่ได้ออกแบบหนักหนาอะไร ก็วางพาดลงมาบนไหล่ผม กระทั่งเดินขึ้นมาบนชั้นสอง เราสองคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเรียน เพราะวันนี้ผมเรียนที่ชั้นสาม แต่พี่เนย์เรียนที่ชั้นสอง ผมจึงหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไปอีกขั้น จนไม่สามารถมองเห็นผู้ชายตัวสูงที่ในวันนี้เดินไม่ค่อยจะสะดวกอีกแล้ว

วันนี้ทั้งวันผมเรียนแต่ตัวหนักๆทั้งนั้น เวลาก็เลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกไอ้หมอกไอ้คินมันเองก็เหมือนกับจะไม่ค่อยกล้าพูดเล่นเฮฮาอะไรนัก คงเพราะมันรู้ว่าผมกำลังเครียด ในเมื่อจนเย็นป่านนี้แล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ยังเงียบไร้ปฏิกิริยาตอบรับอยู่เลย
“พี่เนย์จะมารับไปกินข้าวด้วย หรือว่าจะไปกินกับพวกกู?” ไอ้คินถามเมื่อเรากำลังเดินลงจากอาคารเรียน

‘ไม่รู้ว่ะ วันนี้ยังไม่มีเวลาจะคุยกันเลย’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป พลางเปิดหน้าต่างแชทของพี่เนย์เพื่อจะสอบถามอีกฝ่าย ซึ่งได้ใจความว่าเจ้าตัวมีเรียนแค่ครึ่งวัน ตอนนี้นอนตีพุงอยู่หอเรียบร้อยแล้ว และจะฝากท้องกับพี่ทีมพี่บอส เพราะวันนี้เดินจนล้า เลยไม่อยากจะออกไปหาอะไรกินเอง ผมก็เลยคิดว่าวันนี้ผมควรจะไปกินข้าวกับพวกไอ้คิน พี่เนย์จะได้พักผ่อนเยอะๆ และจะได้หายเร็วๆ เพื่อที่ผมจะได้หายห่วงขึ้นบ้าง
‘ไปกับพวกมึง.. แต่จะเปลี่ยนเสื้อก่อน หรือว่าจะไปกินกันเลย’ ระหว่างซ้อนจักรยานผมก็สะกิดไอ้หมอกให้หยุดปั่น เพื่อให้คำตอบกับอีกฝ่าย

“กูว่าจะไปกินกันเลยนะ มึงว่าไงไอ้คิน?” ไอ้หมอกหันไปถามไอ้คินที่จอดรถจักรยานอยู่ด้านหน้า
“กินเลยดีกว่าเข้าห้องจะได้นอนเลย วันนี้กูเพลียสมองเหี้ยๆ” พอไอ้คินมันสรุปแบบนั้น พวกเราทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปที่โรงอาหารกลาง

หลังจากทำเรื่องคืนจักรยานเรียบร้อย เราก็เดินเข้ามาในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยนักศึกษาจากหลากหลายคณะ เพราะเนื่องจากเวลานี้มันเป็นช่วงพีคที่ทุกคนต้องมารวมตัวกันด้วยความหิวโหย
“นั่นแอ้มนี่ ไปขอนั่งกับสาวบัญชีเลยแล้วกัน” หลังจากกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณแล้ว ไอ้หมอกมันก็มองไปเห็นสามสาวจากคณะบัญชีเข้าพอดี มันเลยเป็นหน่วยกล้าบ้าบิ่น รีบออกตัวประเคนเพื่อนให้กับหนึ่งในสาวสวยคณะบัญชีทันที

“พวกเราขอนั่งด้วยนะ” ไอ้หมอกมันว่าพลางยิ้มแป้น หลังจากนั้นนิ้งก็พยักหน้ารับพลางเชื้อเชิญให้นั่งอย่างยินดี ขณะที่ไอ้คินและแอ้มต่างก็พากันนิ่งเงียบและแอบยิ้มให้กันเบาๆ ผมก็เลยอดจะยิ้มตามไม่ได้ เพราะมันทำให้ผมนึกไปถึงช่วงที่ผมกับพี่เนย์แอบยิ้มให้กัน หลังจากมาเจอกันในครั้งที่สาม วันที่พี่ทีมกับพี่บอสพาสายรหัสไปเลี้ยงต้อนรับ
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารในวันนี้เป็นไปอย่างสนุกสนานมาก แต่เพราะผมมัวแต่กังวลเรื่องพ่อกับแม่ก็เลยไม่ได้ฟังคนอื่นๆเท่าไหร่ กว่าจะรู้ตัวอีกที ไอ้หมอกมันก็ต้องสะกิดแล้วสะกิดอีก เพราะพวกมันถามว่าจะไปเดินเล่นตลาดนัดในมอกับพวกสาวๆไหม ผมจึงได้แต่ยิ้มบางๆ แล้วปฏิเสธไปอย่างเกรงใจ เนื่องจากกลัวว่าตัวเองจะทำให้บรรยากาศกร่อยเสียเปล่าๆ ซึ่งไอ้หมอกกับไอ้คินมันก็เข้าใจเลยไม่เซ้าซี้อะไร มิหนำซ้ำพวกมันยังบีบไหล่ให้กำลังใจผมคนละทีสองที ก่อนจะเดินไปเก็บจานพร้อมสามสาว จากนั้นเราต่างก็แยกย้ายไปยังทิศทางที่เป็นเป้าหมายของตัวเอง

‘อย่าลืมทำแผลนะครับ’ ผมส่งข้อความแชทไปหาพี่เนย์ ระหว่างกำลังเดินกลับหอพัก
‘ครับ’ อีกฝ่ายตอบมาแค่นั้น แต่ก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้

ติ้ง!

‘แค่รันเป็นเด็กดี พ่อกับแม่ก็ไม่คิดจะเสียใจหรอกรู้ไหม ส่วนเรื่องไปรักษาถ้าหากว่าอยากจะทำแบบนั้นจริงๆ ไว้เราค่อยมาคุยรายละเอียดกันดีมั้ย?’ ทันทีที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วเห็นว่าเป็นข้อความจากแม่ ผมก็อ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ขณะที่น้ำตาก็ไหลออกมา จนผมต้องยกมือขึ้นปาดมันออกบ่อยๆ และเดินก้มหน้าเพื่อซ่อนไม่ให้ใครเห็น
‘รันอาจจะไม่รู้ แต่สังคมโรงแรมก็มีอะไรแบบนี้เยอะ พ่อเจอจนชินแล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกว่าผิดหวังอะไร ถ้าหากว่ารันจะชอบผู้ชายด้วยกัน ขอแค่รันเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนให้จบ ได้งานดีๆทำ มีชีวิตที่สุขสบาย นั่นคือสิ่งที่พ่อหวัง ส่วนเรื่องความรักพ่อกับแม่ก็ไม่ได้คิดจะยุ่งอยู่แล้ว เพราะพ่อกับแม่รู้ว่ารันเองก็เป็นคนที่ชอบปิดกั้นตัวเองพอสมควร ดังนั้นถ้าหากใครเขาทำลายกำแพงของรันได้ ก็แสดงว่ารันคิดดีแล้ว ส่วนเรื่องรักษาพ่อกับแม่ลองคุยกันแล้ว ถ้าหากเราอยากจะรักษาจริงๆ ก็ค่อยนัดมาคุยกัน เอาวันที่เราสะดวก พ่อกับแม่จะได้เตรียมลางานล่วงหน้า หรือไม่ระหว่างนี้ก็ลองฝึกพูดเอาก็ได้ เพราะพ่อเคยถามๆหมออยู่เหมือนกัน การฝึกอ่านออกเสียง มันจะช่วยให้เรามีพัฒนาการด้านการพูดได้ดี มันต้องอาศัยการฝึกและการอดทน ไม่ใช่ว่าทำแป้บๆก็เลิก แบบนั้นไม่มีทางสำเร็จหรอก’

‘ขอบคุณครับ ขอบคุณที่เข้าใจผม ส่วนเรื่องการรักษา ผมจะลองฝึกด้วยตัวเองก่อนก็ได้ครับ พอปิดเทอมก็ค่อยไปหาหมอ’
‘ดีจ๊ะ ระหว่างนี้แม่จะได้เตรียมหาข้อมูลเอาไว้รอเนอะ’ ผมยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อแม่กับพ่อตอบผมมาแบบนั้น ทำเอาความอัดแน่นที่อยู่ในอกมาตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งวันนี้ มลายหายไปจนหมดสิ้น

‘พ่อครับ ผมบอกแม่แล้วว่าจะรักษาตอนปิดเทอม ระหว่างนี้ผมจะลองฝึกด้วยตัวเองดู และผมก็ขอบคุณที่พ่อเข้าใจผม รักพ่อนะครับ’ ผมทิ้งข้อความไว้ให้พ่ออ่าน เพราะคาดเดาเอาไว้ว่า พ่อน่าจะเริ่มปฏิบัติงานแล้ว
หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางที่กำลังจะเดินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับต่อสายไปหาพี่เนย์ โดยที่ผมก็ลืมไปว่าตัวเองไม่ควรใช้ฟังก์ชั่นนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายรับสายแล้ว และผมเองก็กำลังดีใจมากๆ
ดีใจจนร้องไห้ไปด้วย แล้วก็ยิ้มหน้าบานไปด้วยเลย

“พะ..อี้..”
“ว่าไง” พี่เนย์ทอดเสียงถามทันทีที่ผมเรียกเรียก

“แฮ่กๆ..พะอี้” ขณะที่พูดกับพี่เนย์ ผมก็ออกตัววิ่งจนสุดแรงเกิด จนกระทั่งมาถึงหน้ามหาลัย ถึงแม้ว่าจะหอบจนเหนื่อย แต่ผมก็ยังคงวิ่งไม่ยอมหยุด ส่วนพี่เนย์เองก็เหมือนจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก คาดว่าอีกฝ่ายคงจะกำลังงง เพราะร้อยวันพันปี ผมไม่เคยโทรหาพี่เขาเลย และไม่เคยพูดเยอะเท่าวันนี้มาก่อน เนื่องจากตลอดทาง ผมพยายามเรียกพี่เนย์สลับกับหอบหายใจด้วยความเหนื่อย
“เป็นอะไรหรือเปล่ารัน นี่อยู่ไหนเนี่ย ทำไมเหมือนได้ยินเสียงรถเต็มไปหมด” อีกฝ่ายถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ม..มอ” ผมวิ่งขึ้นบันไดสะพานลอยแบบไม่หยุดพัก เรียกได้ว่ามีแรงเท่าไหร่ ผมใช้ออกไปจนหมด เพียงเพื่อที่จะไปให้ถึงหอของพี่เนย์ให้เร็วที่สุด จากนั้นผมจะได้บอกข่าวดีนี้ให้กับอีกฝ่ายได้รู้ด้วยตัวเอง
“มอ? หมายถึงหน้ามอน่ะเหรอ? เราจะไปไหน” พี่เนย์ถามออกมาเป็นชุด

“ร..รอ” ผมบอกอีกฝ่าย จากนั้นก็รีบวางสาย และออกแรงวิ่งให้มากขึ้น แม้ว่าขาจะล้ามากเลยก็ตาม กระทั่งหอพักของพี่เนย์ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมถึงได้หยุดหายใจและหอบอย่างหนัก ก่อนจะกัดฟันวิ่งเข้าไปข้างใน และจ้ำพรวดขึ้นบันไดทีละสองขั้น โดยไม่กลัวเลยว่าจะพลาดท่าจนตกลงมาบาดเจ็บ

ก๊อกๆๆๆ

“เฮ้ย!” ทันทีที่พี่เนย์เปิดประตูออกมาต้อนรับ ผมก็กระโดดเข้าไปกอดอีกฝ่ายด้วยความดีใจจนฉุดไม่อยู่ พี่เนย์เลยถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะเกือบจะล้มคว่ำไปด้วยกัน
“งงนะเนี่ย” พี่เนย์ว่าพลางขำน้อยๆ ก่อนจะแงะผมออก แล้วจึงเบี่ยงตัวเองเล็กน้อยเพื่อให้ผมเข้ามาข้างในได้

“ด..ดู” ผมพูดพลางสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ และเข้าไปยังหน้าต่างแชทของแม่เป็นคนแรก จากนั้นก็ส่งให้พี่เนย์อ่าน ระหว่างนั้นผมก็ยืนพิงประตูพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ไม่อยากจะเชื่อเลย ดีใจว่ะ” หลังจากอ่านจบ พี่เนย์ก็พูดแสดงความคิดเห็นทั้งที่ใบหน้าของอีกฝ่ายมันเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ผมจึงกลั้นยิ้มและพยักหน้าตอบรับ ว่าผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ก่อนจะรับโทรศัพท์คืนกลับมา จากนั้นก็เปิดหน้าต่างแชทของพ่อให้พี่เนย์ดู 

“รันพูดซะพี่เขินเลยว่ะ รีบๆดึงไว้เลย เดี๋ยวจะลอยไปขึ้นติดอยู่บนเพดานซะก่อน” พี่เนย์ว่าพลางเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อข้างนึง ส่วนอีกข้างก็ดึงมือของผมให้มากำชายเสื้อตัวเองไว้
“…” ผมแกะมือออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย จากนั้นผมก็ใช้ภาษามือเพื่อสื่อสาร โดยการการยืดตัวขึ้นและสะบัดมือทั้งสองข้างไปมาสามครั้งในระดับอก ก่อนจะเปลี่ยนมาชูนิ้วโป้งเหมือนท่าทางของคำว่าเยี่ยมที่คนทั่วไปชอบใช้กัน

“ด..ดี..จะ..ไอ” ผมพยายามเค้นเสียงเพื่อแปลความหมายของภาษามือที่ผมใช้ พลางยกยิ้มให้พี่เนย์จนตาปิด
“เหมือนกัน”

“อ่ะ” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจที่จู่ๆพี่เนย์ก็อุ้มผมแล้วเดินไปยังกลางห้อง ก่อนจะเหวี่ยงตัวผมหมุนไปรอบๆจนมึนหัวไปหมด ผมเลยต้องเกาะอีกฝ่ายไว้แน่น เพื่อกันไม่ให้ตกลงมาเจ็บตัว ขณะที่เจ้าตัวดูเหมือนจะสนุกเหลือเกิน เพราะเอาแต่หัวเราะไม่ยอมหยุด
ท่าทางว่าพี่เนย์คงจะลืมไปแล้วมั้งว่าตัวเองกำลังเจ็บเท้าอยู่

“โอ้ย!” นั่นไง คิดยังไม่ทันขาดคำ คนที่กำลังดีใจก็เสียหลัก ดีนะที่พากันมาล้มลงบนเตียง ไม่อย่างนั้นผมไม่อยากจะคิดเลยว่าจะได้แผลเพิ่มที่ตรงไหน

“เลือดออกเลยว่ะ ดีใจไปหน่อย” พี่เนย์กับผมค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมานั่งดีๆ จากนั้นคนเจ็บเขาก็ยิ้มแห้ง พลางเดินโขยกเขยกไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลเพื่อมาเตรียมทำแผลอีกรอบ
“เดี๋ยวทำเอง” พี่เนย์ห้ามผมไว้ จากนั้นผมก็นั่งมองอีกฝ่ายทำแผลอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ แสดงออกถึงการบาดเจ็บที่เจ้าตัวบอกว่ามันเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติ เลยส่งผลให้การทำแผลเองก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติด้วยเช่นกัน

กระทั่งพี่เขาลุกขึ้นเอากล่องปฐมพยาบาลไปเก็บที่เดิม ผมก็มองตามแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายที่กำลังเดินไปยังห้องน้ำเพื่อล้างมือ แต่พออีกฝ่ายกำลังจะเดินออกมา ผมก็เปลี่ยนเป็นก้มลงมองฝ่ามือของตัวเอง เพราะหัวใจกำลังสั่นรัวอย่างบ้าคลั่ง ในเมื่อผมกำลังจะให้คำตอบอีกฝ่าย ในเรื่องที่พี่เขาเคยพูดไว้เมื่อวานนี้

“รัน” ผมที่กำลังทำใจ ก็ถึงกับสะดุ้งจนสุดตัว และยิ่งใจกระตุกไปกันใหญ่ เมื่อพี่เนย์เดินเข้ามานั่งยองๆ ตรงหน้า เลยทำให้เราสองคนต้องมองตากันในระยะประชิด
“พี่ก็ชอบรันมากๆเหมือนกัน”พี่อาคเนย์เขาจับมือผมไว้ จากนั้นพี่เขาก็ลูบหลังมือของผมเบาๆ พลางยกยิ้มอย่างอบอุ่น และมองเข้ามานัยน์ตาของผม จนผมนึกอยากจะเสสายตาไปมองทางอื่น แต่เพราะตัวเองได้ตกอยู่ในวังวนของอีกฝ่ายแล้ว ดังนั้นสิ่งที่คิดอยากจะทำก็เลยไม่อาจทำได้

“ช..ออบ..ช..ชอบ..พ..พี่..นะ..เอ” พอพี่เขาค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ผมก็ตัดสินใจบอกความรู้สึกกลับไปบ้าง ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับชะงัก และหยุดค้างใบหน้าเอาไว้ในระยะที่ลมหายใจลอดผ่าน
ขณะที่ผมกำลังนึกโทษตัวเองว่าการทำแบบนี้ มันเหมือนกับการฆ่าตัวตายทางอ้อมชัดๆ

“ทำไมรันถึงชอบทำให้พี่ตกหลุมรักซ้ำๆนักนะ” พี่เนย์พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็เคลื่อนใบหน้าเข้ามาแนบชิดกับใบหน้าของผม ส่งผลให้ริมฝีปากของเราแตะสัมผัสกันบางเบา จากนั้นพี่เนย์ก็เริ่มขบเม้มริมฝีปากล่างอย่างเชื่องช้า ก่อนจะสับเปลี่ยนไปเคล้าคลอริมฝีปากบนเป็นบางเวลา ขณะที่ผมผู้ซึ่งกำลังเผลอไผลไปกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายชักจูง ก็ค่อยๆเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มอบรสจูบที่ลึกซึ้งขึ้น ไม่นานจากนั้นเรียวลิ้นของเรา ต่างก็เกี่ยวกระหวัดกันแน่น แม้ว่าผมจะไม่เก่งในเรื่องแบบนี้ แต่พี่เนย์ก็สามารถชักนำให้ผมกล้าที่จะตอบสนอง โดยที่ไม่มีเวลาให้รู้สึกเก้อเขิน และกว่าจะรู้ตัวแผ่นหลังของผมก็แนบสนิทไปกับเตียงนอนกว้าง ขณะที่พี่อาคเนย์ก็คร่อมทับอยู่เบื้องบนด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม จนผมอดจะยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้เหมือนทุกที
และแล้วบทจูบของเราก็ดำเนินขึ้นใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งเราต่างก็ตักตวงในรสสัมผัสของกันและกันจนเพียงพอ

“รันพร้อมจะตื่นขึ้นมาเจอกันในทุกวันๆแล้วใช่ไหม?” พี่เนย์ถาม พลางทิ้งตัวลงนอนบนพื้นที่ว่างๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวผม ก่อนจะพลิกตัวตะแคงข้างเพื่อหันหน้าเข้าหากัน
“พะ..อ้อม..” ผมขยับตัวให้หันหน้าเข้าหาพี่เนย์ พลางพยายามเค้นเสียงตอบด้วยความเก้อเขินไม่แพ้กัน

“…” พี่เนย์พยักหน้ารับ พลางเอาปลายนิ้วปัดปลายจมูกของตัวเองแก้เก้อ ส่วนผมก็ได้แต่มองปลายคางของอีกฝ่ายแทน เพราะตอนนี้บรรยากาศรอบๆตัวเรา มันดูเหมือนจะมีแต่ความเก้อเขินเต็มไปหมด
“งั้น.. ฝันดีนะ”

“…” ผมไม่ตอบแต่กลับใช้ภาษามือในการสื่อสาร โดยการเอานิ้วโป้งขวาวางแนบกับนิ้วชี้ข้างเดียวกัน ขณะที่อีกสี่นิ้วที่เหลือก็ต้องแนบชิดติดกัน ส่วนมือซ้ายให้ทำเหมือนกันแต่ปลายนิ้วทั้งสี่ต้องวางเอาไว้บนหลังมือข้างซ้าย ก่อนจะแบมือทั้งสองข้างประกบกันและเอียงคอไปทางซ้ายจนเหมือนกับท่าทางของการนอนพร้อมกับหลับตาไปด้วย จากนั้นก็เอาปลายนิ้วชี้ข้างขวาแตะเข้าที่ขมับขวาและหมุนวนเป็นเกลียวขึ้นในอากาศ ก่อนจะเปลี่ยนมาชูนิ้วโป้ง ที่เป็นสัญลักษณ์ของคำว่าเยี่ยมตามที่คนทั่วไปใช้กัน

ทำเอาพี่เนย์หลุดหัวเราะและยกยิ้มให้กับการตอบรับด้วยภาษามือ ที่เจ้าตัวเคยพูดแล้วพูดอีกว่า พี่เขามักจะแพ้ทางให้ผมทุกครั้ง ที่สื่อสารกันด้วยภาษามือ อันเป็นอวัจนภาษาอย่างหนึ่งที่งดงามในตัวของมัน
ซึ่งผมก็ไม่ลืม ว่าการพูดก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ที่สามารถทำให้พี่เนย์แพ้ทางได้เช่นกัน

“ฝะ..อัน..ดะ..ดี”



♥ THE END ♥


-----------------------------------------------------------------
[edit แก้คำผิดและคำเกิน / กล่องปฐมพยายาม > กล่องปฐมพยาบาล / ตัดคำเบิ้ล 'กระหวัด' ออก / 27/01/2018  ฟ้าแล่บ > ฟ้าแลบ]
ในที่สุดฟอลอินยูก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้วเนอะ เราใช้เวลาแต่งเรื่องนี้แบบจริงจังตั้งแต่ช่วงสิงหาคมจนกระทั่งทยอยลงเว็บ ก็หลายเดือนอยู่เหมือนกัน แต่ถือว่าจบเร็วที่สุดเท่าที่เคยเขียนแล้วค่ะ  แต่ตอนจบของเราจะออกแนวๆ ตรงกับคอนเซ็ปของชื่อเรื่องค่ะ มันเลยดูเหมือนจะคืบหน้าก็ไม่คืบหน้า แต่เราสามารถติดตามพัฒนาการกันต่อได้ในสเปค่ะ ต้องอธิบายก่อนว่า แนวการเขียนของเราจะเป็นสเปในสเป ประมาณว่า End > Real End > Final ประมาณนี้ค่ะ สำหรับสเปที่กำลังเขียนอยู่ในตอนนี้ จะเป็นช่วงรันอยู่ปีสอง และ พี่เนย์อยู่ปี 4 นะคะ จะไม่ยาวถึงขนาด 20 ตอน อาจจะสักประมาณ 10 ตอน หรือน้อยกว่านั้น แต่ในส่วนนี้ทุกคนจะได้เห็นรันฝึกพูด และมีพี่เนย์คอยช่วยเหลืออยู่ เราอาจจะลงได้ช้านะคะในส่วนของสเป ยังแต่งไม่ถึงไหนเลยจ้า ได้มาสองแผ่นถ้วน 555 เพราะมัวแต่ไปปั่นฟิคอยู่ แต่ฟิคจบแล้ว เราจะมาทุ่มให้สเปของเรื่องนี้ต่อค่ะ ขอเวลาหาข้อมูลเพิ่มอีกนิดเนอะ ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากเลยค่ะ และขอบคุณทุกคนที่รีวิวให้เราด้วยค่ะ ทุกคนฉุดเราจากการคิดจะหยุดเขียนนิยายหรือฟิคได้จริงๆ เราเคยพยายามแล้วแต่ไม่ค่อยรอด ส่วนที่รอดก็เพราะเรารักคู่ที่เราเขียน แต่สุดท้ายเราก็ยังตันอยู่หลายเดือน พอมาเขียนเรื่องนี้แล้วทุกคนชอบ เราเลยปั่นต่อได้ตั้งแต่นิยายยันฟิคเลยค่ะ สำหรับเรื่องนี้เรากังวลเรื่องข้อมูลมากเลยค่ะ เพราะเราหาข้อมูลจากพี่กูเกิ้ลทั้งหมดผสมกับมโนด้วยนิดหน่อย แต่พอเห็นคนบอกว่าข้อมูลหามาได้ดีและตรงกับความเป็นจริง เราเองก็โล่งใจค่ะ ในส่วนสเป เราอาจจะไปหาข้อมูลเพิ่มจากคนที่เรียนสาขานี้จริงๆ เพราะเราเจอตัวแล้ว 5555

ปล. เห็นมีคนอ่านชอบเพลง fall in you ของคยูเหมือนกัน เราก็ดีใจค่ะ เพลงเพราะมากและเป็นเพลงที่ทำให้เราคิดจะเขียนนิยายหรือฟิคต่อไปด้วยค่ะ เพราะเราเคยมีความคิดจะหยุดเขียนนิยายหรือฟิคแบบถาวร T[]T

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 27 (The end) ♥ หน้า 5 (up 15/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-11-2017 14:30:28
 :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 27 (The end) ♥ หน้า 5 (up 15/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: yanaanay ที่ 15-11-2017 15:14:05
ดีงามม~~~   o13 :katai2-1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 27 (The end) ♥ หน้า 5 (up 15/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 15-11-2017 15:28:43
สนุกมากเลยค่ะ น้องรันน่ารักมากกกก ชอบที่มีอธิบายภาษามือด้วยค่ะ อ่านแล้วทำลองทำตามด้วย ^^
เป็นกำลังให้เรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 27 (The end) ♥ หน้า 5 (up 15/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-11-2017 16:49:59
มันฟูๆในอกทุกครั้งที่อ่านเรื่องนี้ เรืรองนี้ถึงจะไม่ใช่นิยายที่ดีที่สุดสำหรับดิฉัน แต่มันสร้างความประทับใจให้หลายเรื่องทีเดียว  o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 27 (The end) ♥ หน้า 5 (up 15/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: jazumine ที่ 15-11-2017 17:55:05
สนุกมากเลยะ จะรอสเปนะคะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 27 (The end) ♥ หน้า 5 (up 15/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 15-11-2017 21:38:35
ฮือ เพิ่งเห็นและตามมาอ่านค่ะ รวดเดียวจบเลย
หลงน้องรันมากเลย พี่เนย์ก็งานดีมาก
ชอบตอนที่น้องพยายามพูดมากเลยค่ะ เพราะรู้เลยว่าน้องเปิดใจจริงๆกับคนคนนี้
เคยได้ไปทำอาสาสมัครเกี่ยวกับภาษามือ ก็รู้เลยว่ายากมากที่จะสื่อกันได้หากเราไม่รู้ภาษามือเลย แต่มันก็สื่อกันได้ค่ะ
ได้มีโอกาสร้องเพลงเป็นภาษามือให้น้องตอนทำอาสาเหมือนกัน อ่านแล้วนึกถึงช่วงเวลานั้นเลย มันอิ่มเอมใจอ่ะ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้นะคะ อ่านแล้วมีความสุขมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 27 (The end) ♥ หน้า 5 (up 15/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-11-2017 01:17:46
เป็นนิยายดีๆอีกเรื่องนึงเลย ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 27 (The end) ♥ หน้า 5 (up 15/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 16-11-2017 03:46:00
ดีใจที่พ่อแม่ของน้องรันไม่ว่าอะไรที่คบกับพี่เนย์
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอน 27 (The end) ♥ หน้า 5 (up 15/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 16-11-2017 05:19:36
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ จะรอติดตามตอนสเป
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 1 ♥ หน้า 5 (up 16/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 16-11-2017 15:39:17
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 1


‘รุ่นพี่’ คือสถานะที่ครั้งหนึ่ง ผมเคยต้องให้คำจำกัดความกับพี่ปีสองและปีสาม แต่ในปีนี้ ปีที่ผมเลื่อนระดับจาก ‘รุ่นน้องปีหนึ่ง’ กลายมาเป็น ‘รุ่นพี่ปีสอง’ ก็อดทำให้รู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เพราะตลอดมา ผมคือลูกคนเดียวของครอบครัว อีกทั้งยังไม่เคยมีสังคมที่จะต้องผูกพันกับคำนิยามเหล่านี้ แต่พอผมได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด ผมกลับมีสังคมที่แตกต่างออกไปจากเดิม
เพราะผมมีทั้งสังคมของเพื่อนร่วมสาขา รุ่นพี่ร่วมสาขา รุ่นพี่ต่างสาขา และเพื่อนต่างสาขาที่อาจจะยังมีไม่มาก แต่ก็เป็นเพื่อนที่ผมให้การยอมรับมากที่สุดในชีวิต

อีกทั้งช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ก็ได้เกิดเรื่องราวมากมายขึ้นในชีวิต ซึ่งเรื่องราวที่ว่านั้น ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ดี เพียงแต่มันดีมาก จนผมรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่า หลังจากที่พ่อกับแม่ให้การยอมรับความรักของผมในครั้งนี้ ผมก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่กับพี่เนย์ แต่อาจจะไม่ใช่การย้ายอย่างเป็นทางการนัก เพราะว่าผมก็ยังไปๆมาๆระหว่างหอพี่เนย์กับหอในจนถึงตอนนี้ ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าผมไม่อยากจะทำตัวห่างเหินกับเพื่อนทั้งสองคนที่ดีกับผมมาก ดีจนผมไม่รู้ว่า ชาตินี้ผมจะมีเพื่อนอย่างพวกมันได้อีกหรือเปล่า และก็โชคดีพี่เนย์เข้าใจ พี่เขาถึงได้ให้ผมกลับไปค้างที่หอใน ตอนช่วงวันหยุด ส่วนวันไหนที่มีเรียน เราสองคนก็จะอยู่ด้วยกัน
สำหรับการใช้ชีวิตร่วมกันในช่วงแรกๆ ผมเองก็รู้สึกขัดเขิน เพราะมันทำให้ผมต้องเผชิญหน้ากับการที่ต้องมาเห็นพี่เนย์เดินโทงๆ โดยพันผ้าเช็ดตัวปิดบังท่อนล่างเอาไว้แค่ผืนเดียว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชาย แต่ที่มันไม่ปกติ ก็เพราะผมไม่เคยเห็นพี่เนย์ในรูปลักษณ์แบบนี้ อีกทั้งเจ้าตัวก็ยังเป็นคนพิเศษ ทำเอาใบหน้าของผมมันร้อนเห่อไปหมด ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะจับสังเกตได้ เพราะเจ้าตัวเขาเล่นเดินว่อนไปทั่วห้อง หรือไม่ก็ไปยืนเล่นกับเจ้าเขี้ยวกุดซะก่อน คล้ายกับรอให้เนื้อตัวมันแห้งไปเองตามธรรมชาติ ถึงค่อยจะได้ฤกษ์ไปแต่งตัว
ลองถ้าเป็นไอ้หมอกไอ้คินมันทำแบบนี้สิ ผมนี่นอนตีพุงสบายใจไปแล้ว

“เดี๋ยวรันอย่าเพิ่งนอน” พี่เนย์ที่เพิ่งจะเดินออกจากห้องน้ำ รีบปาดเข้ามาคว้าแขนผมที่กำลังจะล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ต้องเปียกปอนเพราะละอองน้ำจากอีกฝ่าย
“หือ?” ผมลุกขึ้นนั่ง พลางส่งเสียงถามในลำคอ โดยเป็นการทำตามคำแนะนำจากคุณหมอที่ผมได้ไปหาในช่วงปิดเทอม ซึ่งวันนั้นพี่เนย์เองก็มีโอกาสได้ไปให้กำลังใจผมด้วย เพราะตอนกลับบ้านในช่วงปิดเทอมสุดท้ายของการเป็นเฟรชชี่ พี่เนย์เขาก็อาสาจะขับรถไปส่งผมที่บ้าน ผมจึงต้องโทรไปรายงานคุณแม่ เพราะปกติท่านจะมารับผมกลับบ้านเองตลอด แต่ปรากฏว่าแม่อนุญาตแบบที่ผมไม่ต้องขอร้องอ้อนวอนอะไรเลย ซึ่งมันต่างกับตอนที่ผมขอนั่งรถตู้มาที่มหาลัยด้วยตัวเองเอามากๆ

มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมได้เจอกับคุณพ่อคุณแม่ของพี่เนย์ เพราะอีกฝ่ายเขาขอแวะเอาของเข้าไปเก็บที่บ้านก่อน ซึ่งทันทีที่เจอคุณพ่อกับคุณแม่ พี่เนย์เขาก็รีบเดินเข้าไปจูบปากท่านทั้งสองอย่างที่เคยพูดไว้ ขณะที่คุณแม่ก็หอมลูกชายจนแก้มย้วย
ทำเอาผมแอบยิ้มจนปวดแก้มไปหมด
เพราะว่า ‘พี่อาคเนย์’ แฟนของผม เป็นผู้ชายที่มีนิสัยน่ารักเอามากๆ

“หมอบอกว่ามึงต้องเคลื่อนไหวอวัยวะที่เกี่ยวกับการพูดทุกวันไม่ใช่เหรอ?”
“อื้อ” ผมพยักหน้าตอบ เพราะผมลองอ้าปาก ยิงฟัน ทำปากจู๋ และเผยอปาก ที่หน้ากระจกในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว
ไม่ได้เกเร และไม่ได้ลืมอย่างที่อีกฝ่ายกำลังตั้งท่าจะกล่าวหากันแต่อย่างใด

“มึงโกหกกูป่ะ ตั้งแต่เปิดเรียนมากูยังไม่เคยเห็นมึงทำตามที่หมอบอกเลย กูว่าจะบ่นมึงหลายทีละ แต่งานกูแม่งก็วุ่นตั้งแต่ขึ้นปีสี่” พี่เนย์หรี่ตามอง พลางเดินเลี่ยงไปแต่งตัวให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่วายจะบ่นผมต่อ
“ไม่” พออีกฝ่ายทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน ผมก็ส่ายหน้าพลางพูดปฏิเสธ โดยที่เดี๋ยวนี้ผมไม่ต้องเค้นเสียงมากเท่าเมื่อก่อน อาจเพราะช่วงภาคเรียนที่สองผมได้ลองฝึกอ่านด้วยตัวเองบ้าง แล้วพอถึงช่วงปิดเทอม ผมก็ได้มีโอกาสไปหาคุณหมอและได้รับคำแนะนำมาว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะช่วยให้การออกเสียงพูดเป็นไปอย่างง่ายดาย ซึ่งในช่วงนั้นผมก็ลองฝึกการเคลื่อนไหวอวัยวะสำหรับการพูดอย่าง ‘ปาก’ พร้อมกับอ่านออกเสียงข้อความจากหนังสือเล่มเดิมที่ผมเคยซื้อตั้งแต่ปิดเทอมช่วงภาคเรียนที่หนึ่ง

“มึงอายกูเหรอ ถึงไม่ยอมฝึกให้กูเห็น?” เจ้าของคำถามเขายิ้มมุมปาก คล้ายกับถูกใจในเหตุผลที่ผมต้องแอบไปฝึกการเคลื่อนไหวอวัยวะสำคัญสำหรับการพูดอยู่คนเดียวในห้องน้ำ 
“อายทำไมวะ ทำตามที่หมอบอกไม่เห็นจะมีอะไรให้มึงต้องอายเลย” พี่เนย์ว่าพลางโยกศีรษะของผมไปมา จนผมเริ่มรู้สึกเหมือนน้ำกำลังจะท่วมปาก เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมอาย มันไม่ใช่การฝึกอ้าปาก ยิงฟัน หรือเผยอปาก
แต่มันคือการทำปากจู๋ ที่มันทำเอาผมไม่กล้าไปฝึกในที่สาธารณะอีกเลย
เพราะแค่ไอ้หมอกไอ้คินมันบังเอิญมาเห็น แม่งก็หัวเราะจนผมหน้าชาจะแย่

“ไอ้..หมอก..ไอ้..คิน..มัน..บ..บอก..ต..ตลก” ผมพูดอย่างเชื่องช้า แต่มันก็ฟังดูเป็นประโยคมากที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะพูดได้ ทั้งนี้คงต้องขอบคุณพี่เอ้ด้วยส่วนนึง เพราะช่วงเทอมสองเธอเป็นคนสรรหาหนังสือมาให้ผมลองฝึกอ่าน ทันทีที่ทราบข่าวว่าผมกำลังอยู่ในขั้นตอนของการสู้ชีวิตเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนพี่เนย์ก็มักจะชอบพาผมออกไปนั่งร้านกาแฟนอกมหาลัย เพื่อให้ผมไม่รู้สึกเบื่อในการฝึกอ่านหนังสือ อีกทั้งพี่เขายังไม่รู้สึกอาย เวลาที่ผมอ่านออกเสียงเบาๆ แล้วเสียงที่ออกมานั้น มันฟังไม่ได้ศัพท์แม้แต่นิด
“เดี๋ยวกูยืมมอไซค์ไอ้ทีมแล้วแว๊นไปตบกะโหลกพวกมันเลยดีมั้ย” พี่เนย์ทำท่าจะเดินออกไปจากห้องจริงๆ จนผมอดจะหัวเราะและส่ายหน้าเพื่อห้ามปรามไม่ได้

“ม..มัน..ก..แกล้ง” ผมแก้ตัวแทนเพื่อน พลางลุกไปลากแขนพี่เนย์ให้เดินกลับมานั่งบนเตียงเหมือนเดิม เพราะพวกมันไม่ได้มีเจตนาจะล้อเลียนผมเลย มันก็แค่แกล้งผมเล่น เพื่อไม่ให้ผมเครียดเท่านั้น
ซึ่งพวกมันคงไม่รู้ว่าผมไม่ได้เครียดอะไร ในเมื่อผมตั้งใจเอาไว้แล้ว ว่าผมจะพยายามเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้สุดความสามารถ

นั่นไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง แต่มันเพื่อความสุขของพ่อกับแม่ ผมถึงต้องยอมรับบทหนักเป็นเท่าตัว เพราะแค่เรื่องเรียนก็หนักมากพออยู่แล้ว ไหนผมยังจะต้องแบ่งเวลามาเพื่อฝึกพูด จากการอ่านหนังสืออีก แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับพี่เนย์ที่ตอนนี้ก็อยู่ตั้งปีสี่แล้ว แถมอีกแค่ไม่เท่าไหร่พี่เขาก็จะกลายเป็นบัณฑิตที่น่าภาคภูมิใจ ซึ่งมันก็ส่งผลให้รายงานยิบย่อยต่างๆ ประเดประดังเข้ามา แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่วายจะคอยแอบสังเกตพฤติกรรมของผมอยู่ตลอด เพียงแต่เจ้าตัวแค่ไม่ได้พูดมันออกมาเท่านั้น

“เอาเถอะ เรื่องการฝึกเคลื่อนไหวปากอะไรนั่น กูจะถือซะว่ามึงรู้จักหน้าที่ของตัวเองดี แต่กับการฝึกอ่านออกเสียง ถึงมึงจะฝึกคนเดียวไปแล้ว หรือก่อนหน้านั้นมึงจะไปฝึกอ่านให้ใครฟังก็ตามเถอะ กูอยากให้มึงลองฝึกอีกครั้งในตอนที่มีกูอยู่ด้วย กูจะได้คอยฟังว่ามึงออกเสียงเป็นยังไง ส่วนคำไหนออกเสียงยาก กูจะได้ลองอ่านให้มึงฟังสักรอบนึงก่อน” ทันทีที่พี่เนย์พูดออกมาแบบนั้น ผมก็ได้แต่ยิ้มพลางพยักหน้ารับ เพราะส่วนนึงคงต้องบอกเลยว่า ผมคาดไม่ถึง ว่าพี่เขาจะใส่ใจในรายละเอียดมากขนาดนี้
ในเมื่อที่ผ่านมาไม่ว่าผมจะลองอ่านให้พ่อกับแม่ฟัง หรือแม้กระทั่งไอ้หมอกไอ้คินเองก็ตาม ทุกคนจะทำเพียงแค่นั่งรับฟังเพียงเงียบๆอย่างเอาใจช่วยผมเท่านั้น แต่กับพี่เนย์ พี่เขามองลึกลงไปในส่วนที่ใครหลายคงต่างมองข้าม
ซึ่งก็สมกับนิสัยของผู้ชายที่ชอบเอาจริงเอาจังอย่าง ‘พี่อาคเนย์’ เขานั่นแหละ

“เสิร์จหาเรื่องที่มึงสนใจแล้วอ่านให้กูฟังดิ” พี่เนย์เขาลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาส่งให้ผม จากนั้นเจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงนอน โดยการเอามือสอดเข้าใต้ศีรษะ แต่แล้วคนข้างๆก็ต้องเอื้อมมือหนึ่งไปตวัดผ้าห่มให้มาคลุมตัวเองจนมิด พลางหลับตาคล้ายกับรอฟังเรื่องราวที่ผมให้ความสนใจอย่างมีสมาธิ
“ระ..บบ..ก..การ..ค้า..น..ใน..สะ..สมัย..อี..ยิปต์..โบ..ราณ” ผมเข้าเว็บไซต์หนึ่งที่มักจะเข้าบ่อยๆ ตอนช่วงปิดเทอม เพราะหลังจากที่ฝึกอ่านหนังสือเรื่อง ‘การเดินทางของชิ้นส่วนที่หายไป’ ได้ประมาณสิบกว่ารอบ ผมก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เลยคิดจะหาบทความหรืออะไรสักอย่างที่น่าสนใจจากในอินเตอร์เน็ต ซึ่งผมก็ได้ไปเจอเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘อารยธรรมของอียิปต์โบราณ’ จากนั้นกิจกรรมการฝึกอ่านตามที่คุณหมอสั่ง ก็กลายเป็นเพียงแค่การหาข้อมูลในเรื่องราวที่ผมชอบ จนผมลืมไปเลยว่าทั้งหมดที่ผมกำลังทำอยู่ มันคือขั้นตอนของการรักษา
นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผม สามารถอ่านเป็นคำๆได้เร็วขึ้น   
เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง หากอาศัยความชอบเป็นแรงขับเคลื่อน ผลที่ดีก็มักจะตามมาเสมอ

“ส..สมัย..ก่อน..ไม่..มี..การ..ช..ใช้..เงิน..ระ..เหรีย..หรือ..ธ..ธน..บัตร..” ผมอ่านออกเสียงด้วยความไม่คล่องปากอยู่มาก แต่ผมก็พยายามที่จะอ่านให้เป็นประโยคให้ได้มากที่สุด แต่บางคำที่มันอ่านออกเสียงยากๆ ผมก็เผลอตกหลุมพรางของมันจนได้
“หมายถึงเหรียญหรือเปล่า” คนที่กำลังนอนหลับตารีบพูดแทรกขึ้น เมื่อเจอคำบางคำที่ผมออกเสียงไม่ถูกต้อง

“ช..ใช่”
“เหรียญ” พี่เนย์กระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง พลางหันหน้าเข้าหาผม พร้อมกับชี้ไปที่ริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะพูดคำๆนั้นที่ผมออกเสียงไม่ถูก

“ดูปากกู แล้วมึงลองพูดตาม” คุณครูจำเป็นเขาออกคำสั่ง ก่อนจะเริ่มพูดคำว่า ‘เหรียญ’ อีกครั้ง แต่ผมกลับเป็นนักเรียนที่ไม่ดี เพราะดันเผลอไปแอบมองริมฝีปากของคุณครู พร้อมกับคิดไปถึงเรื่องอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง อย่างเช่นว่า..
เราสองคน ไม่ได้จูบกันมานานแค่ไหนแล้ว?
ครั้งล่าสุดก็เมื่อตอนที่ฟ้ามันผ่า แล้วผมก็ยกมือขึ้นมาปิดหูคนที่กำลังนอนคุมโปง อยู่ท่ามกลางความมืดมิดหรือเปล่า..

ป๊อก!

“คิดอะไร?” คุณครูสุดโหดเขาดีดหน้าผากผมอย่างแรง เมื่อนักเรียนในความดูแลเริ่มจะเกเร ทำเอาผมที่ถูกทำร้ายร่างกาย ได้แต่ลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธแบบเนียนๆ
ซึ่งมันก็คงจะเนียน ถ้าหากใบหน้าของผม มันไม่กลายเป็นสีแดงระเรื่อ

“มึงคิดทะลึ่งกับกูใช่มั้ยเนี่ย ฮึ?” พี่เนย์ถามเสียงเข้ม จากนั้นวงแขนแข็งแรงก็เคลื่อนเข้ามาล็อคคอผม จนผมจำต้องโน้มใบหน้าเข้าไปฝังกับแผงอกของอีกฝ่าย

ตึก ตึก ตึก
ตึก ตึก ตึก ตึก

เสียงหัวใจของพี่เนย์ ยังคงดังก้องในจังหวะที่คุ้นเคย ทำเอาผมได้แต่แอบลอบยิ้ม แม้ว่าจะกำลังถูกคุณครูจำเป็นดุอยู่ก็ตาม เพราะหัวใจที่มันเต้นระรัวแบบนั้น มันเป็นเสียงเดียวกันกับจังหวะการเต้นของหัวใจผม
เพราะตั้งแต่วันนั้น จนกระทั่งวันนี้ จังหวะการเต้นของหัวใจของเรา มันไม่เคยเปลี่ยนไป

“ตั้งใจดิวะ ไอ้นี่หนิ” พี่เนย์ดุ พลางเขย่าศีรษะผมราวกับเจ้าตัวกำลังมันเขี้ยว ที่ลูกศิษย์คนนี้ทำตัวดื้อดึง เพราะขนาดถูกดุ ก็ยังไม่รู้จักสำนึก
“เอาใหม่ วันนี้พูดคำนี้ไม่ได้ กูไม่ให้มึงนอนจริงๆ เรียนเช้าก็เรื่องของมึง” พี่เนย์ทำสีหน้าจริงจัง จนผมอดไม่ได้ที่จะแอบหยิกเอวของตัวเอง เพื่อเป็นการลงโทษที่บังอาจเกเรกับคุณครูพิเศษคนนี้

“เหรียญ” พี่เนย์พูดโดยการขยับปากให้ช้าๆและชัดๆ เพื่อให้ผมสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของอวัยวะสำหรับการพูดและจังหวะของการกระดกลิ้น
“ระ..เรียน..เหรียญ?” ผมขยับปากพูดตามพี่เนย์ ขณะที่ดวงตาก็มองจ้องริมฝีปากคู่นั้น โดยที่ในหัวก็โฟกัสไปที่เรื่องของการฝึกฝน กระทั่งเสียงที่เปล่งออกมา มันเริ่มคล้ายคลึงกับเสียงที่คุณครูจำเป็นเขาพูด ผมก็เลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าคนสอน ที่ดูเอาจริงเอาจังและทุ่มเท

“อืม” พี่เนย์พึมพำตอบแค่ในลำคอ จากนั้นพี่เขาก็ล้มตัวลงนอนในท่าเดิม ผมจึงเริ่มอ่านบทความเกี่ยวกับ ‘ระบบการค้าในสมัยอียิปต์โบราณ’ อีกครั้ง
“สมัย..ก่อน..ไม่มี..การ..ใช้..เหรียญ..หรือ..ธน..บัตร..แต่..จะ..ใช้..เป็น..การ..แลก..ปะ..เปลี่ยน..สิ่ง..ของ..หรือ..ไม่..ก็..ค้า..ขาย..กันโดย..ใช้..ทอง..คำ” ครั้งนี้ผมตั้งใจอ่านออกเสียงมากขึ้น จึงทำให้ทุกคำที่ผมพูดออกมานั้น ดูเป็นคำที่ฟังแล้วจับใจความจนเป็นรูปประโยคได้ เพียงแต่ผมไม่สามารถอ่านควบทีเดียวทั้งประโยค
ซึ่งขณะที่ผมกำลังอ่านคำว่า ‘เหรียญ’ อีกครั้ง ผมก็เสสายตากลับไปมองยังคุณครูจำเป็น ที่กำลังนอนหลับตาฟังในสิ่งที่ผมอ่าน อย่างตั้งใจ

“สะ..กุล..เงิน..ดี..เบน..จึง..เป็น..นะ..หน่วย..ของ..น้ำ..หนัก..ไม่..ใช่..หน่วย..ของ..เงิน” ผมอ่านต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่สายตาก็คอยลอบมองคุณครูที่กำลังนอนหลับตา เพื่อตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมกำลังฝึกอ่านอยู่เป็นระยะ ซึ่งการแอบมองในครั้งนี้ มันก็ทำเอาผมต้องหลุบสายตากลับมายังตัวหนังสือ ในหน้าจอสี่เหลี่ยมตามเดิม เพราะว่าพี่อาคเนย์ที่เคยนอนหลับตา เพื่อฟังเสียงพูดของผม เวลานี้ เขากำลังนอนลืมตาและอมยิ้มไปกับเรื่องราวที่ผมกำลังอ่าน
โดยที่ผมก็รู้ว่ารอยยิ้มพวกนั้น มันไม่ได้เกิดจากการที่ พี่เขาให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวของอียิปต์โบราณเหมือนกับผม เพราะรอยยิ้มอบอุ่นแบบนั้น แท้ที่จริงมันมีไว้ให้กับ ความพยายามของผมที่ทำให้อีกฝ่ายภูมิใจ?

“ทำ..ให้..การ..แลก..เปลี่ยน..สิ่ง..ของ..กับ..ต่าง..เมือง..ต้อง..มี..การ..ชะ..ชั่ง..น้ำ..หนัก..ทอง..คำ..เป็น..หน่วย..ดี..เบน” กระทั่งผมอ่านจบไปเพียงเสี้ยวหนึ่ง ผมก็หันกลับไปมองใครบางคน ที่ตอนนี้ได้เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว อีกทั้งยังแอบกรนเบาๆให้ได้ยินอีกด้วย ผมจึงเลิกฝึกอ่าน และลุกขึ้นไปปิดไฟ ก่อนจะกลับมาซุกตัวลงนอนภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
พร้อมกับเอื้อนเอ่ยเพียงเบาๆให้เป็นประโยค ที่ใช้เวลาในการฝึกตอนช่วงปิดเทอมอย่างยาวนาน..

“ฝันดีครับ..พี่อาคเนย์”

--------------------------------------------------------------------
[edit แก้คำผิด หมั่นเขี้ยว > มันเขี้ยว]
ขอสอบถามนิดนึงค่ะ คือว่าช่วงที่รันพูด เราควรเขียนให้เป็นประโยคไปเลย หรือใส่จุดแบบนี้ดี
ตามความคิดเรา เราจะใส่จุดแค่ช่วงแรก แต่ช่วงหลังๆ เราจะขยายความด้วยการบรรยายแทนว่ารันอ่านได้ดีในระดับไหน
เพราะเราคิดว่าถ้าใส่จุดน่าจะยากทั้งกับคนอ่านและคนเขียน

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 1
ไอคุปต์พันทาวน์. “สกุลเงินในสมัยโบราณ”. (Detectiveoat13). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  iyakoop.pantown.com.  [27 พ.ย. 2551].
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 1 ♥ หน้า 5 (up 16/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-11-2017 16:28:52
 :z13:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 1 ♥ หน้า 5 (up 16/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 16-11-2017 17:44:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 1 ♥ หน้า 5 (up 16/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-11-2017 19:35:40
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 1 ♥ หน้า 5 (up 16/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 17-11-2017 00:19:40
ชอบบบบ  :-[

ปล. ประโยคที่น้องรันพูด ส่วนตัวคิดว่าตอนที่น้องยังฝึกพูดอยู่ใส่จุดแบบนี้มันอ่านแล้วก็จะเข้าใจไปในตัวว่าน้องยังพูดไม่คล่องค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 2 ♥ หน้า 5 (up 17/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 17-11-2017 20:44:03
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 2


“เย็นนี้ไอ้เจ๋งมันนัดจับสายรหัสใช่ป่ะ?” ไอ้คินถามขึ้นขณะกำลังเก็บข้าวของ เพื่อเตรียมตัวไปกินข้าวกลางวัน หลังจากเลิกเรียนวิชาจรรยาบรรณล่าม
“ใช่” ผมตอบพลางพยักหน้า ขณะที่กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋าใบเก่ง ส่วนไอ้หมอกมันออกไปรอตรงหน้าห้องแล้ว เพราะมันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน เห็นว่าแอร์เย็นจัด ระบบขับถ่ายเลยทำงานดีไปหน่อย

“เผลอแป๊บเดียวก็กลายเป็นรุ่นพี่กับเขาแล้วว่ะ” ไอ้คินเดินแทรกตัวออกจากแถวเก้าอี้ ขณะที่ปากก็พูดกับผมที่กำลังเดินตามกัน
“นั่น..ดิ”

“ว่า?” ผมหันไปถามเพื่อนสักคนหนึ่งที่เดินเข้ามาสะกิดเรียก ก่อนที่ผมกับไอ้คินจะเดินออกไปจากห้องเรียน จากนั้น ‘ตั้ม’ เพื่อนร่วมรุ่นที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ก็ใช้ภาษามือในการสื่อสาร ผมที่ยังไม่ค่อยจะคล่องในเรื่องนี้มากนัก ก็ต้องรีบหันไปดึงชายเสื้อไอ้คินอย่างแรง จนมันแทบจะเซถลามาล้มใส่ ดีที่มันทรงตัวได้ทัน ไม่อย่างนั้นเราทั้งหมดอาจจะหน้าคว่ำลงตรงนี้
“เชี่ยเถอะ มึงช่วยเรียกกูด้วยท่าทางปกติสักทีนะ หน้ากูจะแหกก็เพราะมึงมาหลายทีแล้ว”

“ฟัง” ผมพูดพลางบุ้ยปากไปที่เพื่อนร่วมสาขา ขณะที่ตอนนั้นก็ใช้ภาษามือประกอบคำพูด เพื่อให้ตั้มได้รู้ด้วยว่า พวกเรากำลังสื่อสารอะไรกันอยู่ โดยยกมือขวาขึ้นมาป้องตรงใบหู ซึ่งเป็นลักษณะท่าทางของการ ‘ฟัง’ ตามคำที่ผมได้พูดออกไป
“เย็นนี้เจอกันตอนห้าโมงเย็นที่ลานน้ำพุ?” ไอ้คินมันแปลภาษามือที่เพื่อนร่วมสาขาใช้ ก่อนจะหันมาถามความเห็น ผมจึงพยักหน้าตอบประมาณว่า ‘น่าจะใช่’ เพราะเมื่อครู่ผมเห็นคำว่า ‘น้ำพุ’ โดยตั้มได้ทำมือเหมือนเขากำลังชูสองนิ้ว แต่งอเก็บไว้ตรงข้างแก้ม จากนั้นก็งอฝ่ามือให้เป็นรูปทรงสามเหลี่ยม คล้ายกับภูเขาทั้งสองข้าง โดยที่ปลายนิ้วโป้งจะต้องจรดกับข้อแรกของนิ้วชี้ในแนวตั้งฉาก จากนั้นก็เลื่อนมือข้างขวาขึ้น โดยแบมือทั้งห้ากลางอากาศในลักษณะเส้นตรง ส่วนอีกข้างก็ทำแบบเดียวกันเป๊ะ จนคล้ายกับภาพของน้ำพุที่กำลังพุ่งขึ้นสูง
ผมจึงพอจะเดาได้ว่า อีกฝ่ายคงจะหมายถึง สถานที่และเวลานัดหมายในการเข้าร่วมกิจกรรมจับสายรหัส เพราะนอกจากคำว่า ‘น้ำพุ’ ไอ้ตั้มมันยังแบมือเป็นเลขห้า ซึ่งในภาษามือของคำว่า ‘เลขห้า’ ก็ใช้แบบเดียวกับภาษามือที่คนทั่วไปเข้าใจ

“โอเค” ด้วยความที่ผมพูดคำนี้จนคล่องปาก เพราะเป็นคำที่ใช้บ่อยที่สุด มันก็เลยไม่กระท่อนกระแท่นเหมือนคำอื่น พร้อมกับทำมือเป็นสัญลักษณ์ที่รู้กันทั่วไปว่า ท่าทางของการงอนิ้วชี้ให้จรดกับนิ้วโป้ง โดยที่สามนิ้วที่เหลือก็ต้องกางออก มันแปลได้ว่า ‘โอเค’
“อะไรวะ?” ไอ้หมอกเดินเข้ามาถาม เมื่อมันหันมาเห็นพวกผมคุยกับเพื่อนร่วมสาขา ที่มาช่วยกระจายข่าวถึงกำหนดการในวันนี้ เพราะว่าด้วยความที่เป็นมือใหม่สำหรับตำแหน่งประธานรุ่น ไอ้เจ๋งมันเลยยังไม่คล่องนัก ทำให้พลาดโอกาสแจ้งข่าวให้เพื่อนๆทราบในตอนที่ยังไม่ทันจะแยกย้ายกันไปกินข้าว เพราะช่วงบ่ายเรามีเรียนวิชาภาษาไทยตัวที่สอง ซึ่งวิชานี้จะเรียนแยกกันระหว่างคนที่มีความบกพร่องและคนที่ไม่มีความบกพร่อง ซึ่งก็หมายความว่าตั้งแต่คาบบ่ายเป็นต้นไป ไอ้หมอกต้องแยกไปเรียนคนเดียวแบบเปลี่ยวเหงา
แต่ดูเหมือนช่วงนี้มันจะมีเพื่อนกลุ่มอื่นคอยคบค้าสมาคมด้วย เพราะได้ไปเจอกันในคาบเรียนวิชาภาษาไทยเพื่อการอ่าน

“เจ๋ง..บอก..ว่า..เย็น..นี้..เจอ..กัน..ตอน..ห้า..โมง..ที่..ลาน..น้ำ..พุ” ผมค่อยๆพูดทีละคำ พร้อมกับใช้ภาษามือในการสื่อสารไปด้วย เพื่อที่ว่าถ้าหากผมเรียงไวยากรณ์ผิด ไอ้หมอกมันจะได้ช่วยแก้ให้ เนื่องจากภาษามือสำหรับปีสองนั้น จะเริ่มเรียนเกี่ยวกับการเล่าเรื่องและการเรียงประโยคตามไวยากรณ์ของภาษามือ ซึ่งจะแตกต่างจากการเรียงประโยคในภาษาไทยแบบที่เราๆเข้าใจกัน ทำให้ผมกับไอ้คินแทบจะตีหัวตัวเองเพื่อเอาขี้เลื่อยออกมาให้หมด เนื่องจากพวกผมโคตรจะสับสนและงุนงงกับไวยากรณ์ของภาษามือ เพราะชอบเอาไปปนกับไวยากรณ์ของไทยที่เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก จะมีก็แต่ไอ้หมอกที่มันลอยตัวแล้ว เพราะก็อย่างที่บอก ว่ามันเคยเรียนภาษามือมาก่อน อีกทั้งมันยังอ่านออกและเขียนได้ในแบบที่คนปกติทั่วไปใช้ จึงทำให้การเรียนของมันแทบจะไม่มีปัญหา
กระทั่งมันเห็นพวกผมกำลังท้อ กับการเรียนภาษามือในระดับที่ยากขึ้น มันก็เล่าให้พวกผมฟังว่า กว่าที่มันจะมาได้ไกลขนาดนี้ มันเองก็เรียนมาเยอะ จนถึงขนาดที่พ่อกับแม่ต้องจ้างอาจารย์พิเศษมาสอนที่บ้าน เพราะการเขียนและการอ่านแบบที่คนทั่วไปใช้ สำหรับผู้ที่มีความบกพร่องอย่างมันแล้ว ก็ไม่ต่างกับต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ในวัยอนุบาล และในทางกลับกัน การเรียนไวยากรณ์ภาษามือสำหรับคนที่ไม่ได้มีความบกพร่องแล้ว ก็เท่ากับต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ เหมือนตอนที่ผู้ที่มีความบกพร่องต้องเรียนการอ่านและเขียนแบบที่เราใช้กัน

“กูได้ข่าวมาว่าปีนี้รุ่นน้องมีเยอะกว่าปีเราอีกว่ะ บางคนอาจจะได้น้องแฝด เห็นเขาว่ากันว่าแคมเปญที่เราทำกันเมื่อปีที่แล้วมันได้ผลมาก ช่วงงานโอเพ่นเฮ้าส์คนก็เลยมาที่ซุ้มเราเยอะ แต่ก่อนหน้านั้นพวกรุ่นพี่ก็บอกให้ทำใจไว้ใช่ป่ะ ว่ามันอาจจะไม่เป็นอย่างที่หวัง” ผมพยักหน้ารับคำไอ้หมอก เพราะผมยังจำได้ดีว่าในงานโอเพ่นเฮ้าส์ กิจกรรมฝึกภาษามือของสาขาได้รับความนิยมมาก ซึ่งรุ่นพี่ก็ยังบอกอีกด้วยว่ามากในที่นี้ ไม่ใช่มากแบบธรรมดา แต่มากกกว่าปีก่อนๆเยอะ 
“แต่สุดท้าย ผลมันก็ออกมาดีเกินคาด แม้จะไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่กูเองก็ดีใจนะเว้ย ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านๆมา กูกล้าพูดได้เลยว่า แทบจะถูกลืมเลือนอยู่แล้ว” ไอ้หมอกมันเน้นในประโยคสุดท้าย ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะทุกวันนี้ เวลาที่ญาติๆถามว่าผมเรียนคณะอะไร สาขาอะไร เขามักจะทำหน้างงตลอด เหมือนกับไม่เคยรู้ว่าในประเทศไทยก็มีสาขานี้อยู่ด้วย ซึ่งนักศึกษาในวันนี้ ต่างก็เป็นอนาคตบุคลากรอันเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เพราะเท่าที่ผมทราบมา เห็นพวกบทความเขาเขียนกันว่า ปัจจุบันนี้กลุ่มคนที่มีความบกพร่องเริ่มมีมากขึ้น แต่บุคลากรที่จะอำนวยความสะดวกในด้านนี้กลับไม่เพียงพอ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากจะเป็นล่ามภาษามือด้วยใจจริง แต่กว่าจะถึงวันนั้น ผมคิดว่าผมควรจะต้องกำจัดความหวาดกลัวของตัวเองให้หมดเสียก่อน เพราะการจะเป็นล่ามภาษามือ มันไม่ใช่แค่เราต้องร่วมงานกับคนที่มีความบกพร่องเพียงอย่างเดียว ซึ่งผมในตอนนี้ยังไม่สามารถก้าวไปถึงจุดที่สามารถเปิดใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะกับคนอื่นๆที่ผมไม่รู้จัก ผมจะไม่กล้าแม้แต่พูดคุย หรือแสดงออกใดๆทั้งสิ้น

“คิน!” เมื่อปั่นจักรยานมาจอดยังที่จอดสำหรับจักรยานบริเวณโรงอาหารกลางเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินเข้าไปด้านใน แต่เพราะเดี๋ยวนี้ช่วงกลางวัน พวกเรามักจะมีนัดกับสาวๆคณะบัญชี ที่ซึ่งหนึ่งในนั้นได้กลายเป็นคนรักของไอ้คินไปเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าตกลงเป็นแฟนกันตอนช่วงปิดเทอม และด้วยความที่ทั้งคู่อยู่กรุงเทพเหมือนๆกัน ทำให้ช่วงนั้นความรักได้งอกเงยขึ้น เพราะมีการนัดเดทอยู่บ่อยครั้ง
“แปลก” ไอ้คินมันเดินเข้าไปหาแอ้ม จากนั้นหัวคิ้วของมันก็ขมวดมุ่น

“แปลกอะไร?” แอ้มถามด้วยความงุนงง
“ปกติเห็นแต่งหน้าตลอด ไหงวันนี้ไม่แต่ง หรือว่าเพราะไม่มีเรียน แต่เท่าที่จำได้ ถึงไม่มีเรียนแอ้มก็แต่ง” ไอ้คินมันร่ายยาว จนผมต้องหันไปสังเกตใบหน้าของแอ้มบ้าง เพราะปกติรายนี้เขาก็สวยของเขาอยู่แล้ว ผมเลยไม่ได้สนใจอะไร

“ก็คินไม่ชอบนี่” แอ้มตอบแกมเก้อเขิน เพราะหลังจากนั้น เธอก็โดนแซวยับจากเพื่อนของเธอเอง รวมถึงไอ้หมอกด้วย ที่เอาแต่ไอค่อกแค่ก ก่อนจะลากแขนผมจนตัวปลิว เพื่อเดินออกไปซื้อข้าวกลางวันกินด้วยกัน

“ทำ..ไม?” ผมถามไอ้หมอก พลางใช้ภาษามือไปด้วย โดยการยกมือข้างขวาขึ้น ในระดับหน้าผากและสะบัดปลายนิ้วทั้งสี่เข้าหาตัว พลางทำสีหน้าประมาณว่ากำลังสงสัยใคร่รู้ เมื่อเห็นว่ามันเอาแต่ลูบข้างแขนของตัวเองไม่หยุด
“เหม็นความรัก” ไอ้หมอกมันพูดช้าๆชัดๆ พร้อมกับใช้ภาษามือประกอบคำพูด โดยยกมือข้างขวาขึ้น และหันฝ่ามือให้คว่ำลง ขณะที่สันของนิ้วชี้ ก็จะต้องแตะลงตรงกลางระหว่างจมูกและปาก พร้อมกับขยับนิ้วมือทั้งสี่ขึ้นลง และแสดงสีหน้ายี้ๆ พลางเบะปากเบอร์แรง จนผมอดจะหัวเราะกับท่าทางโอเว่อร์แอ็คติ้งของมันไม่ได้

“แล้ว..ทำ..ไม..มึง..ไม่..มี..บ้าง..ล่ะ” ผมย้อนถาม พลางฝึกใช้ภาษามือไปด้วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ไอ้หมอกมันจะต้องคอยมองเวลาที่ผมกับไอ้คินพูดคุยตอบโต้ เพราะมันรู้ว่าพวกเราจะต้องใช้ภาษามือในการฝึกฝนกับปรมาจารย์อย่างมันแน่
“มึงใช้สลับกัน มันต้องแบบนี้ก่อน.. ถ้ามันมีเข้ามาล่ะก็นะ กูก็คงจะไม่โสดไหมวะ” ไอ้หมอกมันว่า พลางเดินนำไปต่อแถวร้านราดหน้า ซึ่งผมก็เดินตามมันไปติดๆ เพราะขี้เกียจจะคิดเมนู

“อยู่..แต่..กับ..พวก..กู..ไง..มึง..เลย..ไม่..มี” ผมว่าพลางเอื้อมมือไปยีหัวเพื่อนตัวสูงเบาๆ
“วอนโดนตีนกูละมึงหนิ” ไอ้คินมันว่าพลางปัดมือของผมออกจากหัว

Rrrrr

“ครับ”
“พอดีพวกไอ้เอ้มันมาสิงทำรายงานที่ห้อง ก็เลยว่าจะทำอาหารเย็นกินกัน เพราะจะได้ทำงานไปด้วยกินไปด้วยเลย หวังว่ามึงจะยังไม่มีนัดที่ไหน” พี่เนย์ร่ายยาวทันทีที่ผมตอบรับ ซึ่งสาเหตุที่อีกฝ่ายต้องโทรมาบอกก็เพราะว่าบางทีผมก็มีนัดไปหาอะไรกินกับพวกไอ้หมอกไอ้คิน และสามสาวจากคณะบัญชี ดังนั้นหากพี่เขาต้องการจะจองตัวผม ก็ต้องรีบโทรมาตั้งแต่เนิ่นๆ

“ผม..มี..จับ..สาย..ระ..รหัส..อาจ..จะ..มี..เลี้ยง..น้อง..ต่อ..เลย” ผมว่าพลางสะกิดเรียกไอ้หมอกและส่งซิกให้มันสั่งราดหน้าเส้นใหญ่ให้ผมด้วย เพราะผมไม่สะดวกที่จะสั่งด้วยตัวเองในเวลานี้
“งั้นก็เมื่อเป็นไร ไว้เจอกันที่ห้อง” พี่เนย์ว่าอย่างนั้น พร้อมกับขอตัววางสาย ผมจึงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายข้าง และเดินเลี่ยงมาปรุงราดหน้าข้างๆไอ้หมอก ขณะที่ในหัวก็เอาแต่คิดวนเวียนไปถึงน้ำเสียงของใครบางคนตอนก่อนจะวางสายจากกัน
นี่พี่เขาแอบวางแผนอะไรไว้หรือเปล่า?
ทำไมน้ำเสียงถึงได้ฟังดูละห้อยขนาดนั้น

กระทั่งหมดคาบเรียนภาษาไทย ที่ผมกับไอ้คินต้องไปเรียนที่ตึกเรียนรวมอันไกลโพ้น ทำให้มาช้ากว่าเพื่อนๆที่มีความบกพร่องที่เรียนอยู่ที่ตึกคณะ จึงทำให้กว่าที่พวกเราจะมาถึง น้องๆและพี่ๆก็มารวมตัวกันครบแล้ว พวกผมจึงยกมือไหว้รัวตลอดทาง จากนั้นก็พากันสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาไอ้หมอก ว่ามันไปมุดหัวอยู่ตรงไหน
“นั่น!” ผมหันไปสะกิดเรียกไอ้คิน พลางชี้ไปที่ไอ้หมอกที่กำลังโบกไม้โบกมือพลางเขย่งขาราวกับกลัวว่าความสูงในระดับเสาไฟอย่างมัน อาจจะทำให้พวกผมมองไม่เห็น

“หวัดดีพี่” ไอ้คินมันทักสายรหัสทั้งของมันและของไอ้หมอก ผมก็เลยเนียนไหว้ตามบ้าง
“ปีนี้กูเล็งน้องโบว์เลย” ไอ้หมอกมันหันมากระซิบกระซาบกับผม ทำเอาผมหลุดขำ เพราะยังจำเหตุการณ์เมื่อปีก่อนได้

“มึงขำเชี่ยไรเนี่ย?” ไอ้หมอกรีบสวนขึ้นมาทันควัน
“กู..แค่..นึก..ถึง..ปี..ก่อน” ผมพูดพลางใช้ภาษามือประกอบ

“ฮ่าๆ ไอ้หมอก กูแนะนำมึงเลยนะว่าอย่าเล็งใครเอาไว้ เดี๋ยวจะเป็นอาถรรพ์” พี่เฟรมพี่รหัสของไอ้หมอกพูดแทรกขึ้น ราวกับแอบฟังบทสนทนาของเราสองคนมานานแล้ว
“โห่ พี่ รู้ตัวป่ะว่าตอนนั้นทำผมฝันสลายแค่ไหน” ไอ้หมอกมันโอดครวญไม่เลิก

“มึงจะได้ฝันสลายเพิ่มอีกสองเท่า เพราะกูคบกับเมย์แล้ว” พี่เฟรมพูดพลางยักคิ้วแบบกวนประสาท
“โห่ ผมจะเกลียดพี่ก็ตอนนี้แหละวะ ไม่ได้พี่เมย์เป็นพี่รหัส แต่ดันได้เป็นพี่สะใภ้ของสายรหัสเฉย แถมมาอวดกันด้วย ร้ายจริงๆ” ไอ้หมอกมันว่า พลางส่ายหน้าใส่พี่รหัสของมัน ก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เพราะที่พูดไปมันก็เพ้อเจ้อไปงั้น

สักพักใหญ่น้องๆก็เริ่มทยอยมาจับฉลากกันจนจะครบแล้ว แต่กลุ่มของเราก็ยังไม่มีใครจับได้ เลยพากันยืนคุยเรื่องราวไร้สาระกันต่อ ซึ่งขณะที่กำลังเผลอ ก็มีรุ่นน้องคนหนึ่งจับฉลากได้ไอ้คิน และเห็นเขาบอกกันว่า น้องผู้ชายคนนี้ชื่อบิ๊ก เป็นผู้มีความบกพร่องลักษณะคล้ายกับไอ้หมอก จึงสามารถใส่เครื่องช่วยฟังได้
ต่อมาก็มีน้องจับฉลากได้ผม และจากที่ไอ้หมอกไปสืบมาให้ มันบอกว่าน้องผู้ชายคนนี้ชื่อปาล์ม และดูเหมือนน้องจะเป็นที่สนอกสนใจของเพื่อนร่วมสาขามาก เพราะหน้าตาของเขาจัดไปในทางที่ดีมาก แถมยังตัวสูงอีก เลยทำให้ดูโดดเด่น

“แต่เห็นแป้งบอกมาว่าน้องมันไม่ได้ตั้งใจจะมาเรียนที่สาขาเรา ว่ากันว่าอีกไม่นานคงจะซิ่วหรือไม่ก็ทำเรื่องย้ายสาขา” ผมพยักหน้ารับและมองตรงไปยังน้องคนนั้น ขณะที่ในใจก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้ ว่าน้องเขาจะต่อต้านผมที่เป็นผู้บกพร่องทางการพูดด้วยหรือเปล่า เพราะใจของเขาไม่ได้เต็มใจจะมาเรียนที่สาขาของเรา ดังนั้นทัศนคติก็ย่อมคาดเดาได้ยาก

“โอ้โห ใจคอไม่คิดจะมีน้องผู้หญิงหลุดรอดเข้ามาในสายกูเลยเหรอ วอท แฮปเพ่น” ไอ้หมอกเริ่มโอดครวญอีกครั้ง เมื่อมีน้องผู้ชายจับฉลากได้มัน แต่ถึงจะบ่นแบบออกตัวแรงอย่างนั้น มันก็รีบไปสืบข่าวทันทีว่าน้องของมันชื่ออะไร

ปั่ก!

“เหี้ย!” ผมหันไปด่าอย่างชัดถ้อยชัดคำ ชนิดที่ว่าชัดกว่านี้ก็คงจะฟูลเฮชดีแล้ว เพราะอยู่ดีๆก็โดนเตะเฉย
“เรื่องด่านี่แบบ โปรมากอะไรมาก” ไอ้เพื่อนคู่ปรับมันพูดเหน็บแนม พลางเอี้ยวตัวหลบเมื่อผมจะถีบมันคืนบ้าง

“เป็น..บ้า..อะ..ไย..ของ..มึง” ผมพูดแบบตะกุกกัก แต่ก็รัวเร็วในแบบที่ลิ้นสามารถพันกันได้
“น้องโบว์จับได้มึงไงไอ้สัส ไม่ได้ฟังประกาศหรือไงวะ กูอิจฉานะรู้มั้ย” ไอ้หมอกมันตบหัวผม พลางเหน็บแนมเบอร์แรงอีกครั้ง เพราะจู่ๆ น้องที่มันหมายปอง ก็มากลายเป็นน้องรหัสผม มิหนำซ้ำ รุ่นพี่ที่มันหมายปอง ก็ยังกลายมาเป็นแฟนของพี่รหัสตัวเองอีก
ประวัติศาสตร์ถึงกับซ้ำรอยตั้งสองปีซ้อน
ถ้าชีช้ำกว่านี้ก็คงต้องแดกน้ำใบบัวบกแล้วล่ะนะเพื่อนรัก

หลังจากทำความรู้จักกับสายรหัสเป็นอย่างดีแล้ว พวกเราก็ตกลงกันว่าจะพาน้องไปเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ เพราะส่วนใหญ่แล้วพี่ปีสูงๆเขาไม่ว่าง เช่นพี่ทีมกับพี่บอส สองรายนี้เขาต้องรีบกลับไปคิดแคมเปญในการโปรโมทสาขาอีกครั้ง และต้องเป็นแคมเปญที่สามารถให้ความร่วมมือกันได้ทุกชั้นปี อีกทั้งต้องไม่ซ้ำซากจำเจ เพราะอาจารย์เริ่มจะเร่งๆมาแล้ว
สำหรับสายของผม กับน้องโบว์ เราสามารถเข้ากันได้ดี เพราะน้องอยากทำอาชีพล่ามภาษามือ ทำให้เราได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในส่วนนี้ เพราะผมเองก็เริ่มคิดอยากจะทำอาชีพนี้เหมือนกัน ส่วนปาล์มเราคุยกันแค่ตอนแนะนำตัว จากนั้นน้องก็นั่งฟังผมกับโบว์คุยกันอย่างเดียว กระทั่งสายรหัสของพวกไอ้หมอกไอ้คินเริ่มนัดแนะกำหนดการในวันพรุ่งนี้ ปาล์มถึงได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าน้องก็น่าจะมีใจให้กับสาขาของเราอยู่นะ ไม่อย่างนั้นน้องคงจะทำตัวไม่สนโลกไปแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้หลายๆคนมองไปในทิศทางนั้น อาจจะเป็นไปได้ว่าเจ้าตัวคงเป็นคนที่เข้าสังคมไม่เก่ง แล้วก็ยังพูดไม่เก่งซะมากกว่า

“ไม่ไปกินข้าวด้วยกันก่อนเหรอ?” พี่ทีมถามพลางใช้ภาษามือ หลังจากที่ผมอาศัยรถพี่แกเพื่อกลับมาหอพี่เนย์ โดยพวกพี่เขาจอดส่งผมตรงหน้าปากซอย ตามที่ผมบอก
“เห็น..พี่เนย์..บอก..ว่า..จะ..ทำ..อา..หาร..ครับ..โทร..มา..จอง..มื้อ..เย็น..ตั้ง..แต่..ช่วง..เที่ยง..แล้ว” ผมลงจากมอไซค์ก่อนจะตอบพลางใช้ภาษามือในการสื่อสารไปด้วย เพื่อที่พี่บอสจะได้เข้าใจ และผมจะได้ฝึกภาษามือไปในตัว

“โอเค งั้นพี่ไปก่อนนะ โคตรหิวเลยว่ะ” พี่ทีมพยักหน้าพลางเอ่ยขอตัว ผมจึงยกมือไหว้พี่ๆทั้งสอง และส่งยิ้มให้พลางยืนรอจนอีกฝ่ายขับรถจนหายลับตาไป ผมถึงค่อยเดินตรงไปยังร้านกาแฟเพื่อสั่งบลูเลม่อนจำนวนสองแก้ว เพราะผมจะบังคับให้พี่เนย์กินเหมือนกัน
โทษฐานที่ทำให้ผมต้องหิ้วท้องรอ

ก๊อก ก๊อก

“กลับ..กัน..ไป..หมด..แล้ว..เหรอ..ครับ..พี่..นะ..เอ” ทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูต้อนรับ ผมก็ส่งบลูเลม่อนแก้วหนึ่งให้ จากนั้นก็ออกปากถามเมื่อเห็นห้องเงียบๆ พร้อมกับถอดรองเท้าไว้ตรงปากประตู โดยไม่ยอมเรียกชื่อพี่เนย์ให้ชัดเจน ทั้งๆที่ผมก็พูดได้
เพราะผมมีเหตุผลบางอย่าง ที่วางแผนเอาไว้แล้ว

“กลับไปแล้ว กินข้าวมายัง อ้อ.. แล้วกูก็ชื่อเนย์ครับมึง อาคเนย์” พี่เนย์เดินนำหน้าพลางเอ่ยถาม แต่ก็ยังไม่วายจะทักท้วง เมื่อผมยังคงพูดชื่อของเจ้าตัวไม่ชัด ทั้งๆที่ชื่อของคนอื่น ผมสามารถพูดได้ชัดเจนแล้ว เพียงแต่จะพูดเร็วมากไม่ได้
คนที่กำลังรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมอย่างพี่เนย์ ก็เลยออกปากประท้วงจนถึงขนาดที่เจ้าตัวต้องรีบวางแก้วบลูเลม่อนทั้งของตัวเองและของผม ไว้ตรงโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะคว้าตัวผมให้ไปยืนตรงหน้า และชี้ไปที่ริมฝีปากของตัวเอง พลางพูดให้มันช้าๆชัดๆ เพื่อให้ผมสังเกตการกระดกลิ้นหรือการขยับปากในระยะใกล้ชิดแบบวีไอพี

“พี่..นะ..เอ.. อะ..อา..คะ..นะ..เอ” ผมทำเป็นจ้องมองริมฝีปากของอีกฝ่ายเขม็ง พลางพยายามพูดให้มันช้าๆชัดๆ โดยที่ฟังดูแล้ว ถ้าไม่พูดก็น่าจะดีกว่า
เพราะหากใครได้ยิน ก็คงจะงงเป็นไก่ตาแตก ว่านั่นเป็นชื่อคนจริงๆน่ะเหรอ

“มึงนี่ มันน่าจับหักแขนหักขาจริงๆ พูดชื่อคนอื่นได้ก่อนกูที่เป็นแฟนมึงอีก” พี่เนย์ว่าพลางคว้าคอผมมาล็อคไว้ตรงช่วงอก จากนั้นเจ้าตัวก็ทำการอุกอาจยีหัวผมจนกระเซอะกระเซิง ทำเอาผมที่ตัวเตี้ยกว่าไม่มาก ต้องรีบถอยหลังเพื่อหาระยะห่างให้ตัวเอง เพราะท่าทางเมื่อครู่มันออกจะลำบากต่อสุขภาพคอไปสักหน่อย
“อิจ..ฉา?” ผมถามแกมล้อเลียน เมื่ออีกฝ่ายปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระแล้ว

ป๊อก!

“เปล่า กูหมั่นไส้ ตกลงกินข้าวมายัง กูไม่ได้ทำเผื่อนะ เห็นมึงบอกอาจมีเลี้ยงสาย กูเลยนึกว่าวันนี้มึงจะกลับดึก” รุ่นพี่ผู้เกรี้ยวกราด ดีดหน้าผากผมจนเต็มแรง พร้อมกับถามถึงมื้อเย็นของวันนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
“ยัง” ผมส่ายหน้า

“แล้วก็ไม่โทรมาบอกกูหรอกนะ จะได้ไปรับแล้วแวะกินข้าว” พี่เนย์บ่น พลางเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะเดินมาลากข้อมือผมให้ออกจากห้อง โดยที่บลูเลม่อนสองแก้ว ก็ยังคงวางนิ่งอยู่ที่เดิม
ผมจึงได้แต่มองตาละห้อย
เพราะนึกเสียดายที่คงต้องปล่อยให้มันเย็นชืด จนกินไม่อร่อย


--------------------------------------------------------------

ตอนนี้บรรยายเยอะ แถมยังเป็นเชิงวิชาการนิดหน่อย พอดีว่าเราเห็นมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจดี เราเลยหยิบมาเขียนเพื่อความสมจริง และคาดว่าคงมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบในส่วนยิบย่อยของกลุ่มคนที่มีข้อบกพร่องล่ะเนอะ ทั้งนี้เราต้องขอบคุณผู้ให้คำปรึกษาที่เราเพิ่งได้มาเจอกันเพราะนิยายเรื่องนี้ด้วยค่ะ ได้ข้อมูลดีๆเยอะแยะเลย
ปล 1. เราอาจจะเขียนได้ช้าและไม่มีสต๊อกเก็บนะคะ เพราะว่าข้อมูลบางส่วนเราต้องปรึกษาผู้ที่ทราบจริงๆก่อน จะได้ละเอียดขึ้น ทั้งนี้หากยังมีความผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ
ปล 2. ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เราต้องขอบอกตรงๆว่า หายากมากมายค่ะ ก่อนหน้านี้เราทั้งอ่านบทความ อ่านกระทู้มากมายไปหมด แต่ก็ยังได้ข้อมูลแค่หยิบมือเอง T^T

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 2 ♥ หน้า 5 (up 17/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-11-2017 21:02:39
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 2 ♥ หน้า 5 (up 17/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-11-2017 21:39:00
 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 2 ♥ หน้า 5 (up 17/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-11-2017 21:41:15
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 2 ♥ หน้า 5 (up 17/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 17-11-2017 22:31:32
น่ารักกก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 2 ♥ หน้า 5 (up 17/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 17-11-2017 23:24:15
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 3 ♥ หน้า 6 (up 19/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 19-11-2017 16:36:53
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 3


การไปกินเลี้ยงสายรหัสเพื่อต้อนรับน้องใหม่ป้ายแดง โดยที่สายของผม ถ้าจะพูดกันอย่างเป็นทางการ ก็น่าจะถือว่าเป็นสายโคว เพราะจริงๆแล้ว ผมไม่มีพี่รหัส แต่กลับได้รับความเมตตา เห็นอกเห็นใจ จากพี่ๆสายรหัสของเพื่อนสนิท จึงทำให้ในปีนี้มันเลยกลายเป็นว่า ผมคือพี่โตสุดของสาย เพราะทั้งสายก็มีกันอยู่แค่สามคน
ซึ่งในปีนี้ เรื่องการเดินทางไม่ค่อยลำบากนัก จึงไม่ต้องรบกวนรุ่นพี่ต่างสาขาเหมือนปีก่อน เพราะน้องๆปีหนึ่งต่างก็มีรถยนต์ส่วนตัวใช้กัน พวกเราจึงอาศัยรถของพวกน้องๆ ทั้งขาไปและขากลับจากคาเฟ่ อันขึ้นชื่อของมหาลัยที่อยู่แถวๆคณะดุริยางคศาสตร์ โดยที่ตลอดทางโบว์มักจะชวนผมคุยอยู่เสมอ เพราะน้องบอกว่าน้องดีใจที่มีพี่รหัสเป็นผู้ชาย เนื่องจากน้องอยากมีพี่ชายมานานแล้ว ส่วนสารถีจำเป็นอย่างปาล์มผู้เป็นเจ้าของรถ ก็ทำหน้าที่พลขับอย่างดีเยี่ยม โดยไม่เสียสมาธิวอกแวกไปกับเรื่องไหน

Rrrrrr

“จะกลับยัง?” ทันทีที่ผมรับสาย พี่เนย์ก็รีบยิงคำถามใส่เหมือนทุกครั้ง
“กำ..ลัง..จะ..กลับ” ผมตอบพลางพยายามคุยให้เบาเสียงที่สุด เพราะรู้สึกเกรงใจน้องปาล์มผู้เป็นเจ้าของรถ ที่นั่งเงียบตั้งแต่กินเลี้ยงยันกลับจากกินเลี้ยง

“งั้นมึงรออยู่ที่ร้านดิ กูก็กำลังจะกลับเหมือนกัน” เมื่อพี่เนย์พูดแบบนั้น ผมเองก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะเจ้าตัวเขาก็มักจะมีนัดออกกำลังกายกับเพื่อนอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ปีนี้อาจจะไม่บ่อยเท่าปีก่อน เพราะใกล้จะเรียนจบแล้ว แถมยังต้องเตรียมทำสัมมนาด้วย จึงทำให้ไม่มีเวลามาเที่ยวเล่นมากนัก เนื่องจากช่วงเทอมสอง พี่เนย์จะต้องไปฝึกงาน ซึ่งสาขาที่พี่เนย์เลือกเรียน เป็นเพียงสาขาย่อยสาขาเดียวที่มีการบังคับให้ฝึกงานอย่างเป็นกิจลักษณะ เพราะเป็นสาขาที่จะต้องคลุกคลีอยู่กับคนไข้และบุคลากรแพทย์
“ผม..ออก..จาก..ร้าน..มา..แล้ว”

“ถ้างั้นมึงรอกูแถวๆหน้าโรงอาหารกลางแล้วกัน” ทันทีที่พี่เนย์พูด ผมก็รีบหันไปมองบรรยากาศด้านนอกตัวรถอย่างรวดเร็ว เพราะเป้าหมายของผมคือหน้ามอ ซึ่งปาล์มก็ตอบตกลงที่จะขับไปส่ง ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องถ่อไปจนถึงหน้ามอเสียด้วยซ้ำ แต่สาเหตุที่ทำให้ผมเลือกที่จะเจรจากับน้องอีกครั้ง ก็เพราะพี่เนย์เคยบอกว่า ไม่อยากให้ผมไปยืนรอตรงหน้ามอคนเดียวนานๆ มันอันตราย แต่บางครั้งที่พี่เนย์ยอม ก็เพราะเพื่อนสนิทของผมทั้งสองคน มันจะคอยมองตามจนกระทั่งผมเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งแล้ว เนื่องจากช่วงนี้มักจะเกิดเหตุชิงทรัพย์แถวๆสะพานลอยอยู่บ่อยๆ อีกทั้งวันนี้เพื่อนสนิททั้งสองคนก็ต้องแยกกันเดินทางกลับหอ โดยการอาศัยรถของน้องรหัสประจำสาย ตามไอเดียของพี่ทีมที่ต้องการจะให้สมาชิกในแต่ละสายรหัสสนิทสนมกันเข้าไว้ โดยเฉพาะสายของผม
“ปะ..ปาล์ม” ผมหันไปเรียกน้องรหัสผู้เงียบขรึม เจ้าตัวจึงหันหน้ามามองผมพักนึง คล้ายกับเป็นสัญญาณรับรู้ว่า พูดได้เลย กำลังรอฟังอยู่

“ส่ง..พี่..ตรง..หน้า..โรง..อา..หาร..ได้..ไหม” ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะรถเพิ่งจะเลี้ยวไปยังทางที่มุ่งตรงไปที่หน้ามอ
“…” ด้วยความกังวล ผมจึงเม้มปากเข้าหากัน พร้อมกับทำคิ้วขมวดมุ่น เพราะถ้าให้พูดกันตรงๆ ผมเองก็ยังเกร็งๆน้องอยู่ แต่ไม่นานจากนั้น อีกฝ่ายก็พยักหน้าพลางยกยิ้มบางๆ จนผมแทบจะมองไม่ออกว่านั่นน้องกำลังยิ้มอยู่ เพราะเจ้าตัวเล่นยิ้มตรงมุมปากซะงั้น

“น้อง..โอเค..ครับ..” พอสารถีเขายินยอม ผมก็รีบบอกให้คนปลายสายรับรู้ ก่อนจะวางสายไป

ผมนั่งรอพี่เนย์อยู่ตรงม้านั่งริมถนนเพียงไม่นาน อีกฝ่ายก็ขับรถมารับ ซึ่งคาดเดาได้ว่า ก่อนหน้านั้นพี่เนย์คงจะแวะหอพี่เปรม เพื่อไปอาบน้ำหลังออกกำลังกายเหมือนปกติ ซึ่งพี่เปรมเขาอยู่หอใน ดังนั้นการจะเข้าหอในของอีกฝ่ายก็คือการต้องตีเนียน และคงจะทำแบบนี้มานานแล้ว จึงทำให้ลุงยามคิดว่าเจ้าตัวคือนักศึกษาที่พักอยู่หอนั้น
“เดี๋ยวแวะหาอะไรกินกันก่อนนะ เพราะตอนนี้กูหิวมาก ไอ้สัสเปรมแม่งบ้าพลัง ตบเอาๆ จนกูต้องใช้แรงเยอะเลยเนี่ย” พี่เนย์เล่าถึงกิจกรรมที่ตัวเองได้ทำในวันนี้ พลางหันมายิ้มให้ ผมจึงยิ้มตอบและพยักหน้าในเชิงอนุญาต

‘มึงอิ่มยัง?’ ทันทีที่หาที่จอดรถได้ ระหว่างทางเดินไปที่ร้านข้าวต้มปลาไม่ใกล้ไม่ไกลจากหอ พี่เนย์ก็ใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับผม แบบเป็นประโยคเป็นครั้งแรก
“อิ่ม” ผมพูดออกเสียง พร้อมกับพยักหน้าสำทับและไม่วายจะสื่อสารผ่านภาษามือไปด้วย โดยยกมือขวาขึ้นในแนวราบระดับอก จากนั้นก็เลื่อนฝ่ามือข้างดังกล่าวขึ้นไปจนถึงปลายคาง พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆและหลับตาไปด้วย เพื่อแสดงออกถึงความอิ่มที่ไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่มันเป็นระดับที่มากจนท้องจะแตกอยู่แล้ว

“เว่อร์จริงๆเลยมึงนี่” พี่เขาผลักหัวผม เมื่อผมทำสีหน้าที่มันโอเว่อร์จนเกินเหตุ ซึ่งจริงๆแล้ว มันก็เป็นลักษณะเด่นของภาษามือล่ะนะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เวลาที่ผมคุยกับเพื่อน ประมาณว่าต้องการจะหยอกล้อกัน ผมก็มักจะทำสีหน้าให้มันโอเว่อร์เข้าไว้ ดูได้จากไอ้หมอก ที่วันนั้นมันแสดงสีหน้า ‘เหม็นความรัก’ จนผมถึงกับหลุดหัวเราะ
“มัน..คือ..ลัก..ษ..ณะ..เด่น..ของ..ภา..ษา..มือ..เลย..นะ” ผมแก้ตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับโดยการยักไหล่ จากนั้นเราก็เลือกโต๊ะนั่งเมื่อเดินมาจนถึงร้านข้าวต้มปลาแล้ว

“ข้าวต้มปลาสองกับปลาลวกจิ้มหนึ่งครับ กูสั่งเผื่อมึงด้วย” พอสั่งเมนูกับพนักงานเรียบร้อยแล้ว พี่เนย์ก็หันมาพูดกับผม ที่เมื่อครู่เพิ่งจะบอกไปหยกๆว่าอิ่มแล้ว
“ผม..อิ่ม..แล้ว” ผมพูดพลางใช้ภาษามือสื่อสารไปด้วย เพราะพี่เนย์เองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ผมสามารถใช้ฝึกฝนเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้

“ไม่เป็นไร มึงกินไม่หมด เดี๋ยวกูกินต่อเอง มึงจะมานั่งมองกูกินอย่างเดียวได้ไง”
“แบบ..นั้น..ข้าว..ต้ม..ก็..หาย..ร้อน..หมด.. แล้ว..อีก..อย่าง..ให้..ผม..กิน..ปลา..ลวก..จิ้ม..แทน..ก็..ได้” ผมร่ายยาวพร้อมด้วยภาษามือ

“มึงใช้ภาษามือสลับกันแล้ว” พี่เนย์ทัก เมื่อผมใช้ผิด เพราะเมื่อครู่ผมดันลืมตัวไปเรียงโครงสร้างประโยคตามคำพูดของตัวเอง ซึ่งบ่อยครั้งเลยแหละที่ผมเป็นแบบนี้ เพราะผมยังคงสับสน จึงทำให้ส่วนมากประโยคที่ผมใช้ภาษามือได้ถูกต้อง จะเป็นเพียงแค่ประโยคสั้นๆ ขนาดเมื่อวานที่ผมใช้ภาษามือคุยกับพี่บอสพี่ทีมตอนมาส่งตรงหน้าปากซอยหอพี่เนย์ ผมยังใช้ผิดเลย ที่รู้ตัวก็เพราะว่า พี่ทีมบอกผมตอนช่วงเลี้ยงสายของวันนี้ อีกทั้งยังมีไอ้หมอกที่คอยเสริมเป็นระยะๆ ว่าบางทีที่มันเข้าใจภาษามือของผม ก็เป็นเพราะว่ามันรู้ไวยากรณ์ของภาษาไทยในแบบที่คนทั่วไปใช้ ซึ่งในบางสถานการณ์ มันก็ไม่ได้เอื้อต่อการจะแก้ความเข้าใจผิดหรือมาคอยอธิบายให้ฟัง

“กูจะยกตัวอย่างง่ายๆนะ ในภาษาไทยเรา ประโยคที่ว่า ‘ฉันกินข้าว’ ในภาษามือมันจะเป็น ‘ฉันข้าวกิน’ ใช่มั้ยล่ะ มึงต้องยังไงล่ะ แยกประสาทให้ได้ เพราะไวยากรณ์ไทยที่เราเรียนกันมันเป็น ประธาน กริยา กรรม แต่ในภาษามือ มันดันเป็น ประธาน กรรม กิริยา” พี่เนย์อธิบายอย่างฉะฉาน ซึ่งผมก็เข้าใจ แต่ที่ยังใช้ผิดเพราะผมมึนนี่แหละ ยิ่งตอนจำชื่อภาษามือของเพื่อนนะ ให้ตายเถอะ ผมโคตรปวดประสาท เพราะการตั้งชื่อในภาษามือเนี่ย เขาจะเอาลักษณะเด่นมาใช้ อย่างเช่นไอ้หมอก มันตัวสูงและมีขี้แมลงวัน ส่วนไอ้คิน มันก็ตัวสูงและคิ้วเข้ม ขณะที่ผม ขาวและยิ้ม แล้วไหนจะเพื่อนในห้องอีก บางคนก็มีทั้ง เตี้ยและตาตี่ บ้างก็สูงกับลักยิ้ม
คือแบบ ผมต้องจำลักษณะเด่นของพวกมันทั้งรุ่น เพื่อใช้ในการเรียกชื่อนี่แหละ ซึ่งผมขอสารภาพเลย ว่าผมจำได้ไม่หมด เพราะที่จำได้แม่นๆก็มีแค่ไอ้หมอกไอ้คินกับตัวเองแค่นั้น

“ผม..ก็..เข้า..ใจ..นะ..พี่..นะ..เอ..แต่..ว่า..ความ..สับ..สน..ก็..ยัง..มี..อยู่..มาก”
“กูถึงบอกให้มึงแยกประสาทให้ได้ไง สมองมึงต้องประมวลผลให้เร็วและจดจำโครงสร้างให้ขึ้นใจและขึ้นสมองด้วยครับ แต่ก็นะ กูเข้าใจว่ามันยาก เพราะกูก็ผ่านอาการแบบมึงมาก่อน” พี่เนย์ว่าพลางยกยิ้ม แล้วไม่นานข้าวต้มปลาและปลาลวกจิ้มก็มาเสิร์ฟ บทสนทนาของเราจึงหยุดลงแค่นั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้กินแบบเป็นจริงเป็นจังนัก ในเมื่ออีกฝ่ายออกปากไว้แล้วว่าแค่ให้นั่งกินเป็นเพื่อน ถ้ากินไม่หมดเดี๋ยวเจ้าตัวจะกินต่อเอง ไม่ร้อนก็ช่างมัน

“กูวางแผนจะไปฝึกงานที่กรุงเทพนะ” ทันทีพี่เนย์พูดขึ้น ทำเอาผมชะงักตะเกียบที่กำลังจะคีบปลาลวกจิ้มตรงหน้า
“อ้อ..ครับ” ผมพยักหน้าเข้าใจ

“คือ.. กูคิดเผื่ออนาคตว่าการฝึกงานที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ มันอาจจะทำให้กูได้งานที่นั่นด้วย มึงก็รู้ว่าบ้านกูอยู่กรุงเทพ” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่เจ้าตัวก็แอบเหลือบสายตามองปฏิกิริยาของผมด้วย
“ผม..เข้า..ใจ..ครับ” ผมตอบพลางใช้ภาษามือที่แสดงถึงคำว่า ‘เข้าใจ’ โดยกำมือข้างขวาหลวมๆ ตรงข้างขมับ จากนั้นก็พยักหน้าลงก่อนจะชูนิ้วชี้ขึ้น และเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

“อืม”
“…”

“เพราะแบบนั้น กูถึงอยากให้เราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะหาโอกาสได้ยาก” พี่เนย์ว่าพลางคีบเนื้อปลาลวกตรงหน้า ก่อนจะจิ้มน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวและเอาเข้าปาก
“…” ผมยิ้ม แม้ว่าจะรู้สึกใจหาย เพราะที่ผ่านมา เราสองคนต่างก็มีความสุขกับการได้ทำอะไรร่วมกันจนกลายเป็นความเคยชิน จึงทำให้ลืมไปว่า อนาคตเราจะต้องโตเป็นผู้ใหญ่ และบางสิ่งบางอย่างที่เราอยากจะทำ มันก็มักจะมีข้อจำกัด
ซึ่งข้อจำกัดระหว่างผมกับพี่เนย์ ก็คือระยะทาง เนื่องจากผมยังต้องเรียนอยู่ที่นี่จนกระทั่งขึ้นปีห้า

ทันทีที่พี่เนย์จอดรถเรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายก็รีบเดินนำหน้าผม พลางขึ้นบันไดทีเดียวถึงสองขั้น เพราะเจ้าตัวต้องการไปเปิดเครื่องทำความชื้นให้กับเขี้ยวกุด ส่วนอาหารพี่เขาได้ให้ลูกชายไปแล้วตั้งแต่ก่อนไปออกกำลังกาย   ผมที่ไม่ได้รีบร้อนหรือมีธุระอะไรก็เลยเดินขึ้นห้องตามปกติ กระทั่งมาถึงที่หมาย ผมก็จัดการถอดรองเท้าเอาไว้ตรงมุมปากประตูห้องที่เป็นมุมประจำของผม

“มึงจะทำหน้าเศร้าทำไมวะรัน กูแค่จะไปฝึกงาน แล้วก็ใกล้จะเรียนจบ ถึงยังไงเราก็ต้องได้เจอกันอยู่ดี เพราะเราไม่ได้เลิกกันนี่หว่า” พี่เนย์หันมาพูดกับผม ที่กำลังยืนมองเจ้าเขี้ยวกุดเดินเล่นอยู่ในตู้กระจก ที่ภายในนั้นมันเต็มไปด้วยละอองฝ้าจากเครื่องทำความชื้น
“ผม..แค่..ใจ..หาย..ครับ..เพราะ..ที่..ผ่าน..มา..ผม..ทำ..เป็น..มอง..ข้าม..เรื่อง..นี้..มา..ตลอด..แล้ว..ก็..เพราะ..ผม..มี..ความ..สุข..มาก.. จน..ไม่..ได้..คิด..ถึง..ตอน..ที่..จะ..ไม่..มี..พี่..อยู่..ข้างๆ” ผมพูดพลางตัดสินใจใช้ภาษามือเพราะอีกฝ่ายเองก็มองผมอยู่ ซึ่งขณะที่กำลังสื่อสาร ผมก็มองตรงยังใครคนนั้น ที่เป็นเจ้าของห้องๆนี้ และยังเป็นเจ้าของความสุขของผมด้วย

“มึงใช้ภาษามือผิด ต้องโดนทำโทษ” พี่เนย์พูดแค่นั้น แล้วก็รั้งตัวผมเข้ามาใกล้ จนทำให้ปลายเท้าของผมเกยอยู่บนฝ่าเท้าของอีกฝ่าย ส่งผลให้ช่วงใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน จากนั้นริมฝีปากอันคุ้นเคย ก็ประทับลงบนริมฝีปากของผม ในลักษณะที่พวกไอ้หมอกไอ้คินมันชอบให้คำจำกัดความว่า..
เราสองคนกำลัง ‘ทาลิปมัน’  ยี่ห้อเดียวกัน

ซึ่งผมก็ยินยอมพร้อมใจที่จะทาลิปมันยี่ห้อเดียวกับรุ่นพี่จากสาขาจิตวิทยาแต่โดยดี จนถึงขนาดเผลอไผลเอื้อมแขนไปคล้องคอเจ้าของสัมผัสนั้นไว้ พร้อมกับตอบรับบทจูบอันเคล้าคลออย่างเพลิดเพลิน
เพราะลึกๆแล้ว ผมก็อดปฏิเสธไม่ได้ ว่าผมเองก็คิดถึงรสจูบของพี่เนย์

“ทำไมรันมองพี่ด้วยสายตาแบบนี้” เมื่อเราผละออกจากกัน พี่เนย์ก็รีบดุผมทันที ซึ่งผมไม่รู้ว่าผมกำลังมองอีกฝ่ายในลักษณะไหน แต่ถ้าให้เดาก็คงไม่ยาก
เพราะผมรู้สึกว่า การจูบเมื่อครู่นี้ มันยังไม่เพียงพอ

“มึงอยากให้กูต่อจากเมื่อกี้?” คนกำลังจะได้เปรียบ รีบเอ่ยปากถาม พร้อมกับหรี่ตาเพื่อคอยจับผิด
“อื้อ” ผมหันหน้าหนีสายตาของอีกฝ่าย ที่กำลังมองจ้องในลักษณะที่เป็นประกายจนหัวใจของผมมันเริ่มเต้นระรัวหนักขึ้น

“อะไรของมึง อารมณ์ไหนวะเนี่ย ทำเอากูไปไม่เป็นเลย” ดูเอาเถอะ คนกำลังไปไม่เป็นที่ไหนเขาจะยิ้มกว้าง แถมสายตายังเป็นประกายขนาดนี้ แต่ในเมื่อเวลาที่เราจะได้อยู่ใกล้ชิดกัน มันก็เริ่มจะเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ผมเองก็จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง โดยต้องบังคับไม่ให้ความเขิน เข้ามาเป็นอุปสรรค
“เรา..มี..วะ..เว..ลา..อยู่..ด้วย..กัน..แค่..ทะ..เทอม..นี้.. ผม..ก็..เลย..คิด..ว่า.. ผม..ควร..ต้อง..สะ..แสดง..ความ..รู้..สึก..ของ..ตะ..ตัว..เอง..อย่าง..ตรง..ไป..ตะ..ตรง..มา..บ้าง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าปกติ อีกทั้งยังออกเสียงได้กระท่อนกระแท่นกว่าทุกครั้ง เพราะใบหน้าของผมกำลังร้อนเห่อ และริมฝีปากมันก็ยังรู้สึกชาๆ ขณะที่หัวใจมันก็เต้นรัวในระดับที่มีแต่จะมากขึ้น จนผมอดจะนึกสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ ผมจะกลายเป็นโรคหัวใจไปเลยหรือเปล่า ก็เล่นเต้นจนผิดจังหวะขนาดนี้

“มึงพลาดมากนะ ที่พูดออกมาแบบนี้” ผมเหลือบมองพี่เนย์ด้วยความไม่เข้าใจ ว่าผมไปพลาดที่ตรงไหน ซึ่งกว่าจะรู้ตัว แผ่นหลังของผมก็จมลงกับฝูกที่นอน ขณะที่ริมฝีปากของผมก็ถูกจับจองเป็นเจ้าของอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้คนที่ทาบทับอยู่บนร่างของผม เขาก็มอบบทจูบที่ลึกล้ำขึ้น โดยการบดคลึงกลีบปากทั้งบนและล่าง ก่อนจะลากไล้เรียวลิ้นไปจนถ้วนทั่วอย่างเชื่องช้า จากนั้นถึงค่อยหันมากวาดต้อนปลายลิ้นของผมราวกับท่าทีของ ‘แมวที่กำลังไล่จับหนู’ พร้อมกับเกี่ยวกระหวัดรัดแน่นจนเหยื่อไม่สามารถหนีรอดไปได้ ผมจึงต้องเอื้อมมือไปรั้งลาดไหล่ของอีกฝ่ายไว้ ขณะที่ดวงตาก็หลับสนิท เพราะผมไม่มีความกล้าพอที่จะมองใบหน้าของพี่เขาได้
ในเมื่อครั้งนี้ มันก็ไม่ต่างจากการที่ผมเป็นฝ่ายเชิญชวน

“อ๊ะ” ผมสะดุ้งจนสุดแรง พลางลูบต้นคอด้วยความตกใจ หลังจากที่สภาพจิตใจมันได้กลายร่างเป็นก้อนปุยนุ่นอันไร้น้ำหนัก ที่กำลังลอยคว้างอยู่ในอากาศอย่างไร้ทิศทาง แต่แล้วลมกรรโชกแรงก็พัดเข้ามาฮวบใหญ่ ปุยนุ่นก้อนที่ว่าจึงร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน ณ จุดๆเดิม สติสัมปชัญญะของผม ถึงรับรู้ได้ต่อการกระทำอันอุกอาจของรุ่นพี่ตรงหน้า ที่จู่ๆก็มาแสดงความเป็นเจ้าของ
โดยการ ‘ตีตราจอง’ หรือที่คนทั่วไปชอบเรียกกันจนติดปากว่า ‘คิสมาร์ก’

“…” ผมมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเหวอๆ เพราะกำลังตกใจ และไม่คิดว่าพี่เขาจะชอบทำอะไรแบบนี้ด้วย
“พอแค่นี้แหละ เดี๋ยวกูหยุดตัวเองไม่ได้ เพราะกูชอบมึงมาก กูถึงไม่อยากรีบร้อนเหมือนที่ผ่านๆมา” ใบหน้าของคนที่กระทำการอุกอาจเมื่อครู่ กำลังแดงเป็นเปื้อน คล้ายกับเจ้าตัวกำลังขัดเขิน จนไม่สามารถมองตรงมาที่ผมได้ ทั้งๆที่เรายังคงอยู่ใกล้กันมาก อีกทั้งพี่เขาก็ยังใช้วงแขนในการจำกัดอิสรภาพของผมอยู่

“กูจะไปอาบน้ำแล้ว” พี่เนย์หันหน้ามามองผม ที่อยู่ใต้วงแขนของเจ้าตัวอีกครั้ง จากนั้นริมฝีปากที่เคยจูบผม ก็เอื้อนเอ่ยเอาตัวรอด พลางขยับตัวให้ออกห่างจากกัน แต่มือใหญ่ก็ยังไม่วายจะเอื้อมมายีหัวผมอีก
ขณะที่ผม ก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของร่างสูง ที่ค่อยๆหายลับเข้าไปในห้องน้ำจนสุดสายตา..
เพราะรอบนี้มันไม่ใช่แค่การ ‘ทาลิปมัน’ ยี่ห้อเดียวกันแล้ว แต่นี่พี่เขาเล่น ‘แทะ’ กันแบบนี้ แล้วผมจะกล้ามองหน้าอีกฝ่ายโดยไม่คิดลึกได้ยังไง?

-----------------------------------------------------------------

สำหรับตอนนี้น้องรันก็น่ารักเพราะภาษามืออีกแล้ว ลองนึกภาพตามตอนที่น้องบอกว่าอิ่มสิคะ เอ็นดูวววว
ส่วนพี่เนย์ก็แบบ นี่แหละ อาการไสๆ ของคนไม่เนียน จีบไม่เป็น ตามที่พี่เขาว่ามาตั้งแต่ต้นเรื่อง 5555
ตอนนี้ก็แอบแฝงความรู้เรื่องภาษามืออีกนิดเนอะ หลายคนจะได้เข้าใจความงงงวยของน้องรัน ว่ามันเข้าใจยากแค่ไหน
กับการที่จะต้องใช้ภาษามือ ทั้งๆที่กำลังฝึกพูดไปด้วย แล้วก็ถ้าใครเจอคำผิด รบกวนเมนต์บอกเราทีนะคะ จะได้มาตามแก้
เพิ่มเติมอีกนิด พี่เนย์เรียนจิตวิทยา สาขาคลินิกนะคะ ดังนั้นจบออกมาจะเป็นนักจิตบำบัด ไม่ใช่จิตแพทย์ ซึ่งนักจิตบำบัดจะทำงานโดยการพูดคุยกับผู้ป่วย หรือให้ผู้ป่วยทำแบบทดสอบ แต่จิตแพทย์ จะเน้นที่การใช้ยารักษาเป็นหลัก และจิตแพทย์จะต้องเรียนแพทย์ และต่อเฉพาะทางจิตเวชด้วย แต่พี่เนย์เป็นแค่นักจิตบำบัด

ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 3 ♥ หน้า 6 (up 19/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-11-2017 16:40:33
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 3 ♥ หน้า 6 (up 19/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-11-2017 16:43:58
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 3 ♥ หน้า 6 (up 19/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-11-2017 17:10:46
มากับความรู้เสมอ  o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 3 ♥ หน้า 6 (up 19/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-11-2017 19:35:20
แค่ " แทะ " ยังหน้าแดง ถ้าได้กินพี่เนย์จะเป็นยังไงหนอ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 3 ♥ หน้า 6 (up 19/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-11-2017 13:49:47
 :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 4 ♥ หน้า 6 (up 20/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-11-2017 19:09:26
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 4

ตามที่เคยตกลงกันไว้ หากวันไหนเป็นวันหยุด ผมจะกลับไปนอนค้างที่หอในกับเพื่อน ซึ่งวันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ผมไม่รู้สึกประดักประเดิดต่อเรื่องเมื่อวาน เพราะเช้าวันนี้ พี่อาคเนย์เขามีเรียนตั้งแต่แปดโมง เห็นทิ้งข้อความเอาไว้ว่า อาจารย์มีนัดสอนเพิ่ม โดยที่เจ้าตัวก็ลืมบอกผมไปเสียสนิทใจ จึงทำให้เราไม่ได้เจอหน้ากัน
ซึ่งผมก็คิดว่ามัน เป็นเรื่องที่ดีแล้ว

เมื่อคืนเป็นคืนแรกที่เราต่างนอนหันหลังให้กัน เหตุเพราะความเก้อเขิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเราจะหลับสนิท ด้วยต่างคนต่างก็พลิกตัวไปมา จนกระทั่งบังเอิญหันหน้าเข้าหากัน เราจึงแกล้งทำเป็นหลับตา เพื่อให้ดูสมจริงว่า ที่เอาแต่พลิกตัวไปมาอยู่นั้น สาเหตุของมัน ก็มาจากการนอนที่ไม่สบายตัว หาใช่การนอนไม่หลับ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้
“จะ..แดก..อะไร..มั้ย” ผมโทรหาไอ้คิน เพราะไอ้นี่มันตื่นเช้าที่สุด

“โจ๊กได้ป่ะ กูอยาก”
“ได้..แล้ว..ไอ้..หมอก..ล่ะ” ผมถามถึงเพื่อนอีกคน จะได้ซื้อเข้ามาให้ทีเดียว

“แดกเหมือนกันน่ะแหละ มึงเองก็มากินพร้อมกันดิ พี่เนย์มีเรียนวันนี้ไม่ใช่เหรอ”
“เออ..แล้ว..เจอ..กัน” ผมกดวางสาย จากนั้นก็ยืนมองความเรียบร้อยของตัวเองตรงหน้ากระจกอีกครั้ง โดยวันนี้ผมเลือกที่จะใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน เพื่ออำพลางร่องรอยไม่พึงประสงค์ให้ผู้อื่นพบเห็น ซึ่งมันก็น่าจะรอดจากสายตาเหยี่ยวข่าวผู้รอบรู้อย่างไอ้หมอกไอ้คินได้มาก อยู่ เพราะปกติแล้ว ผมจะชอบใส่เสื้อเชิ้ตคู่กับกางเกงขาสามส่วน พร้อมด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาวที่มันเริ่มจะมอซอ เพราะไม่ได้โอกาสซักสักที เนื่องจากผมเป็นพวกชอบใช้รองเท้าจนมันพังก่อน ถึงจะยอมซื้อคู่ใหม่ ก็เลยทำให้มีรองเท้าไม่เยอะ

ผมกำลังจะเดินออกจากห้อง หลังจากตรวจตราดูความเรียบร้อยจนมั่นใจแล้ว แต่ที่ต้องหยุดชะงักการกระทำนั้นลง ก็เพราะเจ้าเขี้ยวกุดกำลังออกมาวิ่งไล่จับจิ้งหรีด ที่พี่เนย์หย่อนไว้เป็นอาหาร ผมเลยถือโอกาสเปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดอีกสักครั้ง เพราะพี่เนย์เคยบอกว่าวันหยุดก่อนที่ผมจะกลับหอ ถ้าเป็นไปได้ ให้เปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดอีกสักรอบ ส่วนช่วงอื่นๆ พี่เขาจะรับหน้าที่ดูแลเองทั้งหมด
“นี่..แก..น่า..รัก..ตั้ง..แต่..เมื่อ..ไหร่..นะ..เจ้า..เขี้ยว..กุด” ผมโน้มตัวลงดูเจ้าเขี้ยวกุดที่กำลังล่าเหยื่อ โดยที่จิ้งหรีดตัวเล็กก็พยายามจะดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ดูเหมือนการปีนขึ้นไปยืนอยู่บนปลายจมูกของเจ้าเขี้ยวกุด จะกลายเป็นความคิดที่ผิดมหันต์

แชะ!

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา พลางกดถ่ายรูปเจ้าเขี้ยวกุดกำลังพยายามจะขย้ำเหยื่อ แต่จนแล้วจนเล่ามันก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะจิ้งหรีดตัวนั้นเหมือนจะรู้เท่าทันชะตากรรมของตัวเองดี มันจึงปีนป่ายไปยังส่วนหัวของเจ้าเขี้ยวกุดอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่ผมถ่ายรูปตอนที่เจ้าเขี้ยวกุดถูกจิ้งหรีดเหยียบจมูกได้ ไม่งั้นคงเสียดายแย่ เพราะมันเป็นภาพที่น่ารักและน่าตลกดี ซึ่งผมก็ทึกทักเอาเองว่าพี่เนย์น่าจะชอบ ผมจึงส่งรูปนั้นให้อีกฝ่าย ผ่านทางแอพพลิเคชั่นสำหรับการแชท
พร้อมแนบข้อความสั้นๆว่า ‘พี่น่าจะชอบรูปนี้นะครับ’

เช้าวันนี้หยาดฝนโปรยปรายเล็กน้อย ผมเลยเดินกลับขึ้นไปบนห้อง เพื่อไปเอาเสื้อแขนยาวแบบมีฮู้ดมาใส่ ละอองฝนจะได้ไม่ทำให้ผมป่วย ซึ่งครั้งนี้ผมตัดสินใจเสียบหูฟังและเปิดเพลงจังหวะเบาๆ เย็นๆ ที่เหมาะกับยามเช้าในวันที่ฝนตก
และบทเพลงเหล่านั้น ก็คงจะหนีไม่พ้น เพลงที่พี่อาคเนย์เขาชอบหยิบยกมันขึ้นมาใช้แทนความรู้สึก

กระทั่งได้ทุกอย่างตามที่ต้องการภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากผมเอาแต่เดินทอดอารมณ์ตั้งแต่ออกจากห้อง จนไปถึงร้านโจ๊กที่พี่เนย์เคยพาไป จากนั้นผมก็เดินเอื่อยเฉื่อยมาขึ้นสะพานลอยที่ในช่วงสายไม่ค่อยอันตรายสักเท่าไหร่ จนเมื่อเข้ามาในเขตรั้วมหาวิทยาลัย ผมก็เริ่มก้าวเดินไปตามเส้นขอบสีขาวริมถนน พร้อมกับจินตนาการว่า พื้นที่นอกเหนือจากเส้นสีขาว คือน้ำทะเลที่ข้างล่างชุกชุมไปด้วยฉลาม แบบที่ชอบทำเป็นประจำ เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองตามลำพัง

“อ้าว” ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อตัวเองเผลอไปชนกับใครสักคนเข้า
“จะ..ไป..ไหน..เหรอ..ครับ?” ผมเอาหูฟังออกข้างหนึ่ง พร้อมกับดึงฮู้ดลง พลางถามอีกฝ่ายที่ถูกผมชน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพี่อาคเนย์ คนที่มีนิสัยชอบจินตนาการเป็นเด็กๆ เหมือนกับผม

“โรงอาหาร อาจารย์ให้ทำงานกลุ่ม แต่เมื่อเช้ากูไม่ได้กินข้าวไง เลยขอแว๊บมาหาอะไรกิน พอดีเพื่อนอนุญาตด้วยแหละ ไม่งั้นวันนี้แม่งต้องเป็นวันเหี้ยๆของกูแน่” อีกฝ่ายว่า พลางหลบทางให้ผมได้ก้าวเดินต่อไปบนแนวเส้นสีขาว ขณะที่รุ่นพี่ผู้ไม่ได้กินข้าวเช้า ก็เดินทอดน่องอยู่ข้างๆ ผมจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับคำบอกเล่าของเจ้าตัว เพราะว่าผมเองก็เข้าใจดี ว่าคนเคยกินข้าวเช้าทุกวัน อยู่มาวันนึงเกิดไม่ได้กินข้าวขึ้นมา ท้องคงร้องโครกครากจนไม่มีสมาธิแน่ๆ แถมยังพาลจะหงุดหงิดไปทั้งวันด้วย
“มอง..อะไร..ครับ” ผมใช้ภาษามือถาม พลางฝึกพูดไปด้วย เมื่อแอบเห็นว่าอีกฝ่ายเขาพยายามจะเหลือบมองมาที่ผมอยู่บ่อยครั้ง

“กูแค่จะสำรวจว่ามึงแต่งตัวเรียบร้อยดีมั้ย กูไม่อยากให้ใครเห็น” พี่เขาพูดพลางมองออกไปยังถนนอีกฟาก ซึ่งประโยคเมื่อครู่ มันก็ทำเอาผมหน้าร้อนผ่าว เพราะถึงแม้ว่าประโยคเรียบๆนั่น จะฟังดูไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้ว มันมีเต็มๆ เพราะ ‘ร่องรอย’ ที่เกิดขึ้นจากเมื่อค่ำคืนวาน มันคือสิ่งที่ทำให้พี่เขา เริ่มต้นสำรวจการแต่งตัวของผม พร้อมกับออกปากว่าไม่อยากให้ใครเห็น
“…” ผมกระชับคอเสื้อให้แนบชิดลำคอมากขึ้น เมื่อความรู้สึกประหม่ามันเริ่มหวนกลับมา

“กูไม่อยากให้ใครมองมึงไม่ดี แต่ก็นั่นแหละ กูห้ามตัวเองไม่ได้ไง” ตัวต้นเหตุพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“…” ผมเสสายตามองไปทางต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ข้างทาง พลางนึกโทษระยะทางที่วันนี้มันยาวไกลกว่าปกติ

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้” พี่เขาโยกหัวผม พลางวิ่งเหยาะๆไปยังโรงอาหารกลาง เพื่อหาอะไรใส่ท้อง ขณะที่ผมก็ได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย ที่ค่อยๆหายลับไปจากประตูทางเข้าโรงอาหารกลาง
บ้าชะมัด! จู่ๆก็โผล่หน้ามาทำให้ผมคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืนจนได้
 
หลังจากกินโจ๊กเรียบร้อยแล้ว โดยที่ตัวเองไม่ต้องเป็นฝ่ายล้างจาน ผมก็รีบปีนขึ้นมานอนเก็บตัวบนชั้นสอง เพื่อป้องการสายตาของเหยี่ยวข่าวอันไม่พึงประสงค์ จากนั้นผมก็อาศัยโอกาสนี้ เสิร์จหาบทความที่ตัวเองชอบ เพื่อลองฝึกอ่านอีกครั้ง

“นัก..บวช..ใน..สมัย..อี..ยิปต์..โบ..ราณ” ผมนอนตะแคงข้าง ขณะที่วางโทรศัพท์พิงกับหมอนข้าง เพื่อที่จะได้ไม่เมื่อยเวลาที่ต้องฝึกอ่านเป็นระยะเวลานาน
“นัก..บวช..จะ..สืบ..เชื้อ..สาย..มา..จาก..ครอบ..ครัว..ที่..ทำ..งาน..อยู่..ใน..วิหาร”

“ไอ้เชี่ยคิน มึงนี่ไอเดียดี แต่กูจะบอกให้นะครับ ว่ามึงใช้ภาษามือมั่วกว่าไอ้รันอีก ประโยคเมื่อกี้ที่ไอ้รันมันอ่าน ในภาษามือมันต้องเรียงแบบนี้เว้ย มึงอย่าคิดถึงไวยากรณ์ภาษาไทยดิวะ” ผมที่กำลังจะอ้าปากอ่านข้อความในประโยคต่อไป ก็มีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อเสียงโต้เถียงกันในเชิงวิชาการของเพื่อน กลับดังขึ้นขัดจังหวะ ผมจึงชะโงกหน้าลงไปดู เลยเห็นว่าไอ้หมอก ไอ้คิน มันกำลังนั่งฝึกภาษามือจากเรื่องที่ผมอ่าน ซึ่งก็ตรงตามหัวเรื่องที่พวกเราเรียนอยู่ และอีกไม่นานก็จะถึงช่วงสอบนอกตารางเกี่ยวกับการเล่าข่าวแล้ว
“ก็สมองกูยังแยกไม่ได้นี่หว่า เออ.. ว่าแต่จะสอบอยู่แล้ว กูยังไม่ได้เลือกข่าวที่จะเล่าเลยว่ะ ไหนจะงานสาขาอีก ที่พี่ทีมบอกให้สายรหัสเลือกทำคลิปภาษามือจากรายการโทรทัศน์ ข่าวสาร หนังสั้น หรือนิทาน อะไรก็ได้น่ะ แต่สายกูแม่งยังเงียบกริบอยู่เลยจ้า ชิวมากเว่อร์ ไม่ใช่มาเร่งตอนกูจะสอบภาษามือนะมึง”

“สายกูก็ยังกริบเหมือนกัน เป็นตัวตั้งตัวตีด้วยนะมึงสายกูเนี่ย แต่เห็นพี่ทีมบอกว่าจะให้น้องปีหนึ่งเป็นคนเล่าเรื่อง แล้วพวกเราก็คอยช่วยเรื่องภาษามือไม่ใช่เหรอวะ คนที่รับบทหนักคือโน่นครับ น้องปีหนึ่ง
“แคม..เปญ..นี้..จะ..เริ่ม..ทำ..กัน..เมื่อ..ไหร่” ผมที่กำลังโน้มตัวข้ามราวกั้นก็รีบถามไอ้สองเพื่อนซี้ที่นั่งอยู่ข้างล่าง

“เออ กูลืมบอกมึงไปเลยว่ะ พี่ทีมบอกว่าจะเริ่มหลังจากสอบมิดเทอมยาวไปจนถึงโอเพ่นเฮ้าส์ของปีนี้เลย แล้วจากนั้นก็จะเอาคลิปโปรเจคของปีนี้ ไปใส่ในแอพพลิเคชั่นที่คณะของเราร่วมทำกับคณะไอทีเหมือนเดิม เพราะในแอพนั้นมันมีแต่เล่านิทานให้คนตาบอดฟัง โปรเจคที่เอื้อต่อคนหูหนวกเลยเกิดขึ้นในปีนี้แหละ”
“มึงพี่โตสุดของสาย กูว่ามึงใช้อภิสิทธิ์ในการตัดสินใจ เลือกทำโปรเจคเป็นข่าวเดียวกับที่จะสอบนอกตารางไปเลยเว้ย กูว่าทุ่นแรงมึงได้เยอะเลย” ไอ้คินมันแนะนำพลางใช้ภาษามือ

“แต่..มัน..จะ..ยาก..สำ..หรับ..น้อง..เกิน..ไป..น่ะ..สิ.. กู..คง..ให้..น้อง..เล่า..นิ..ทาน” ผมตอบพวกมันแค่นั้น ก่อนจะกลิ้งตัวลงนอนตามเดิม จากนั้นก็เริ่มค้นหาข่าวและนิทานสักเรื่อง เพื่อเตรียมตัวสำหรับเอาไปใช้ในการสอบนอกตาราง และโปรเจคของสาขาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อที่ผมจะได้มีเวลาในการสอนภาษามือให้กับโบว์และปาล์มมากขึ้น เพราะขนาดตัวผมเองตอนปีหนึ่ง ยังต้องใช้เวลาตั้งนานกว่าจะคล่องคาราโอเกะภาษามือสักเพลง แล้วนี่ดันข้ามขั้นมาเล่านิทานเลยนะ สำหรับน้องใหม่ก็ต้องรู้สึกว่ายากอยู่แล้ว ในเมื่อปีหนึ่งจะเรียนภาษามือเป็นคำๆ ส่วนปีสองนี่ปกติจะมีการสอบย่อยเกี่ยวกับการเล่านิทานสั้นๆอยู่บ่อยๆ ซึ่งตามธรรมเนียมแล้ว มันก็ต้องมีการฝึกฝนอย่างหนักถูกไหมล่ะ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ทำการสอบได้ดี แต่เวลาคุยกันตามปกติ ก็ยังมีความสับสนกันต่อไป
ดังนั้นแคมเปญนี้จึงไม่ถือว่ายากมากนัก เรียกได้ว่าพี่ทีมเมตตาพวกเรามากแล้วที่ให้ทำงานกันเป็นกลุ่ม

‘โบว์ ปาล์ม พี่เลือกนิทานที่จะใช้ทำโปรเจคได้แล้วนะ ถ้าว่างเมื่อไหร่เรานัดเจอกันเลยก็ได้นะ เพราะว่าเดี๋ยวพี่จะมีสอบนอกตารางอีก ปีเราก็มีสอบนอกตารางเหมือนกันหนิ พี่ว่าถ้าเราทำโปรเจคกันตั้งแต่อาทิตย์นี้ เราจะได้มีเวลาเตรียมตัวสอบภาษามือด้วย’ ผมไลน์ไปบอกน้องๆ เพื่อให้ทั้งสองคนเตรียมตัว เพราะผมไม่แน่ใจว่าน้องๆพอจะทราบข่าวนี้กันแล้วหรือยัง
‘นิทานเรื่องอะไรคะพี่รัน’

‘นกเค้าแมวผู้รอบรู้’ ผมบอกชื่อและแนบลิงค์ลงในกรุ๊ปแชทของสายรหัสทันที
‘วันพฤหัสนี้พวกหนูไม่มีเรียนค่ะ พี่รันว่างไหมคะ เราจะได้นัดเจอกันที่คาเฟ่แถวมหาลัยหรือนอกมหาลัยก็ได้ค่ะ’ โบว์ตอบอย่างกระตือรือร้น ซึ่งผมก็เบาใจไปเปราะนึง จะเหลือก็แต่ปาล์มที่ยังไม่ได้อ่านข้อความของผมนี่แหละ

‘พวกพี่มีเรียนน่ะสิ แต่แค่ครึ่งวัน ช่วงบ่ายเราค่อยไปหาที่นั่งคุยกันตามที่โบว์ว่าก็ได้ ยังไงพี่ฝากบอกปาล์มด้วยนะ เผื่อเขาไม่ค่อยได้เล่นไลน์น่ะ’ ผมตกลงกับโบว์เป็นที่เรียบร้อย เหลือก็แต่ปาล์มที่ยังคงเงียบกริบ
‘อ๋อ ได้ค่ะ พี่รันไม่ต้องห่วง เดี๋ยวหนูจะตามจิกปาล์มมาหาพี่เอง!’

‘หนูเพิ่งรู้ว่าพี่รันก็เป็นคนดังกับเขาด้วย! เมทหนูชอบพี่มากเลย กับพี่อีกคนนึงที่ชื่อ..’ ผมกำลังจะสลับโหมดมายังซาฟารี เพื่อที่จะได้ค้นหาข้อมูลสำหรับการสอบนอกตารางของตัวเองอยู่แล้ว แต่น้องโบว์กลับส่งข้อความมาอีกหนึ่งประโยคเสียก่อน
‘อาคเนย์ค่ะ หนูไปถามมันเมื่อกี้’ ผมอมยิ้ม เพราะเข้าใจดีว่าเมทของน้องโบว์ชื่นชอบผมเพราะอะไร
ก็เล่นมีชื่อพี่เนย์เอ่ยออกมาด้วยขนาดนี้

‘หนูเลยไปเจอคลิปที่พี่รันสอนภาษามือ โหแบบ คนคอมเมนต์เพียบเลย แชร์ก็เยอะด้วย’ โบว์ดูตื่นเต้นจริงๆ ที่รู้ว่าคนให้ความสนใจในตัวผมเยอะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ผมตัดสินใจพูดกับสามสาวจากคณะบัญชี เรื่องความกลัวของผม ก็ทำให้กลุ่มคนที่ชื่นชอบผมและพี่เนย์ต่างก็พากันเก็บตัวเงียบยิ่งกว่าเดิม
‘แต่พี่ไม่ชอบเลยนะ’

หนูก็ไม่ชอบ! พี่รันทำอะไรก็น่ารักจนหนูหวงเลย ถ้าจะมีแฟน ต้องผ่านด่านหนูก่อน เพราะหนูสถาปนาตัวเองเป็นน้องสาวของพี่แล้ว’ ผมขำกับคำพูดของน้องรหัส ที่ตอนกลับจากงานเลี้ยงสาย เจ้าตัวก็ได้สถาปนาตัวเองเป็นน้องสาวของผมอย่างแน่วแน่ ดูท่าคงจะอยากมีพี่ชายจริงๆ ขนาดปาล์มที่ว่านิ่งๆ ยังต้องหลุดหัวเราะกับคำพูดและท่าทางของเธอเลย
‘มาตรฐานเราสูงหรือเปล่า ถ้าใช่ พี่ก็คงต้องขึ้นคานแน่ๆ’ ผมพูดแกมหยอก เพราะดูท่าแล้ว โบว์คงจะไม่รู้ว่าเพื่อนเมทของเธอนั้น ที่บอกว่าชอบผมกับพี่เนย์น่ะ เป็นการชอบในลักษณะที่เฉพาะกลุ่มมากๆ
ซึ่งโบว์คงจะไม่ใช่ สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับสาวๆ คณะบัญชี ที่มักจะเรียกตัวเองว่า ‘สาววาย’ หรอก

‘ต้องสูงค่ะ แต่ว่าห้ามสูงเกินพี่รัน แล้วก็ต้องสวยด้วย ห้ามหยิ่งนะคะ เพราะหนูไม่ชอบผู้หญิงแบบนั้น’ ทันทีที่น้องรหัสตอบผมมาแบบนั้น ผมก็ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อ ‘แฟน’ ตัวจริงเสียงจริงของผม ไม่ได้สวย แล้วก็ยังสูงกว่าผมด้วย แถมยังไม่ใช่ผู้หญิงด้วย
มีอย่างเดียวที่น่าจะถูกสเปคคือ ‘ไม่หยิ่ง’
แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าถึงได้ง่ายๆ

‘แล้วถ้าเขาไม่ตรงสเปคเลยล่ะ น้องสาวพี่จะให้ผ่านไหม?’
‘อย่างนี้ก็ต้องดูกันที่นิสัยอื่นๆประกอบค่ะ หนูไปเรียนแล้วนะ หมดเวลาพักเบรกแล้ว’

Akane Akarawin added 1 new photo with Neran P.

พี่เนย์โพสต์รูปที่ผมส่งไปให้เมื่อเช้าลงในเฟซบุ๊ก ราวกับต้องการจะตอบคำถาม โดยที่ไม่ต้องใช้ข้อความในการสื่อสาร แต่แสดงให้เห็นกันแบบชัดๆไปเลยว่าชอบหรือไม่ชอบ
เพราะถ้าถึงขนาดเอารูปที่ผมถ่ายมาลงเฟซเนี่ย..
ก็แสดงว่าพ่อของเจ้าเขี้ยวกุดเขาชอบภาพนั้นอยู่นะ


----------------------------------------------
[edit 22/11/2017 คำผิด พักเบรค > พักเบรก / เมด > เมท (รูมเมท)]
ตอนแรกเราว่าจะเขียนตอนทำโปรเจคเลย แต่เราว่าควรต้องมีตอนนี้สักหน่อย จะได้เห็นสายสัมพันธ์ของสายรหัสรันบ้าง พี่เนย์ก็กลับมาเป็นตัวประกอบต่อไปนะ 5555

แล้วก็ตอนหน้า พูดได้เลยว่านานแน่ๆค่ะกว่าจะเขียนได้ เพราะเรายังงงกับภาษามือที่จะใช้สำหรับตอนหน้าอยู่เลย มันจะพีคขึ้นจากเดิม เพราะคือการเล่านิทาน ซึ่งเรากำลังงงในงงในงง T___T

แต่ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณ ผู้ให้ข้อมูลจริงๆค่ะ รบกวนหลายอย่างมากๆ จนเรารู้สึกเกรงใจจริงๆ ก่อนหน้าที่จะถามเรื่องเล่านิทาน เราคิดแล้วคิดอีก เปิดดูคลิปก็มีแต่ภาษามือ ไม่มีคำพูดประกอบเลย เราก็นั่งงง จนสุดท้ายต้องตัดสินใจรบกวนอีกรอบ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลยค่ะ แต่เราอยากเขียนให้สมจริงให้มากที่สุด T[]T

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 4
ไอคุปต์พันทาวน์. “นักบวชในอียิปต์และแถบเมโสโปเตเมีย”. (Detectiveoat13). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  iyakoop.pantown.com. [16 พ.ค. 2554].
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 4 ♥ หน้า 6 (up 20/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-11-2017 19:30:17
 :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 4 ♥ หน้า 6 (up 20/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-11-2017 00:40:52
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 4 ♥ หน้า 6 (up 20/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Ashita ที่ 21-11-2017 08:23:54
สนุกมากเลยค่ะ นึกถึงละครช่วงหลายปีก่อนที่พี่จุ๋ย วรัทยาเล่นเลย แสดงเป็นคนที่ไม่ยอมพูดจนคนอื่นคิดว่าเป็นใบ้ และหูหนวก ในเรื่องใช้ภาษามือด้วย ตอนนั้นเพื่อนดูแล้วอินมาก จนไปหัดเรียนภาษามือ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 4 ♥ หน้า 6 (up 20/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-11-2017 09:11:30
อยากรู้จังว่าถ้าน้องโบว์รู้ว่าแฟนพี่รันคือพี่เนย์จะเป็นยังไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 4 ♥ หน้า 6 (up 20/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: +pEnGuIn+ ที่ 21-11-2017 13:25:05
ดีใจที่น้องพูดได้แล้วเป็นคำๆ ถึงจะยังไม่คล่อง
แต่มันก็ดีมากเลย น่ารัก ละมุนมากค่าาาาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 4 ♥ หน้า 6 (up 20/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 21-11-2017 17:49:28
น้องโบว์ต้องเซอร์ไพรส์แน่ๆ พี่เนย์น้องรันเค้าไม่ใช่แค่คู่จิ้น เค้าคู่เรียลนะเออ  :-[
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 4 ♥ หน้า 6 (up 20/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 21-11-2017 21:18:14
พี่เนน้องรันน่ารัก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 5 ♥ หน้า 6 (up 22/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 22-11-2017 11:02:38
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 5


ก่อนหน้านี้ผมได้ไลน์ไปหาพี่ทีม เพื่อบอกหัวข้อเรื่องที่จะใช้ทำโปรเจค ซึ่งปรากฏว่า พวกเราได้คิวเกือบท้ายๆ เพราะว่ารุ่นพี่ปีสี่เขาได้มีการจับฉลากกันไปแล้ว ว่าใครจะได้คิวที่เท่าไหร่ ส่วนสายรหัสไหนที่มีแค่รุ่นพี่ปีสอง พี่ปีสี่เขาก็เสียสละให้เป็นคิวท้ายๆ เพื่อที่น้องๆ จะได้มีเวลาเตรียมตัวกันมากขึ้น
ก็เท่ากับว่ากลุ่มของผม มีเวลาเตรียมตัวจนเกือบจะถึงงานโอเพ่นเฮ้าส์
แต่ยังไง ผมก็คิดว่าหากเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นผลดีต่อเรามากกว่า..

“มึง..อา..จารย์..งด..เรียน” ผมจัดการโทรหาเพื่อนสนิท เพื่อบอกข่าวการงดเรียนวิชาจิตวิทยาสำหรับคนหูหนวกในวันนี้ ซึ่งมันคงจะเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอน แต่สำหรับผมที่อาบน้ำแต่งตัว กินข้าวจนเสร็จตั้งแต่เช้าตรู่ เหตุเพราะวันนี้ พี่เนย์จะไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยอื่น พร้อมกับพวกพี่เอ้และเพื่อนคนอื่นๆในสาขา ก็เลยต้องเข้ามารับเพื่อนที่พักอยู่ที่หอใน ผมจึงถือโอกาสติดรถมาด้วย
แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอแจ็กพอตอะไรแบบนี้

“แล้วเพื่อนคนอื่นรู้กันยัง?” ไอ้คินถามกลับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย เพราะเวลานี้มันเพิ่งจะเจ็ดโมงสี่สิบห้าเท่านั้น
“น่า..จะ..ยัง”

“เออๆ งั้นเดี๋ยวกูโทรบอกให้” ไอ้คินวางสายไปแล้ว ส่วนผมก็ตัดสินใจเดินลงบันไดทีละขั้น พลางคิดลำดับกิจกรรมที่ควรจะทำในวันว่างๆอย่างนี้ กระทั่งเดินออกจากอาคารเรียนมาจนถึงห้องสมุดโดยไม่รู้ตัว ผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งเล่นในนั้น และก็รอจนกว่าเวลาจะล่วงเลยมาถึงตอนเก้าโมง ผมถึงค่อยส่งข้อความไปบอกน้องๆ ว่าเช้าวันนี้ผมว่าง

‘เช้าวันนี้พี่ว่างนะ พอดีอาจารย์งดสอน ถ้าจะนัดเจอกันตอนนี้ก็ได้ หรือว่าจะเจอกันตอนบ่ายก็แล้วแต่เลย’ เมื่อช่วงเวลาที่หมายตาเดินทางมาถึง ผมก็พักการอ่านหนังสือเอาไว้ก่อน เพื่อที่จะได้ส่งไลน์บอกน้องๆ
แต่ดูเหมือนว่า เวลาเช้าๆอย่างนี้ น้องๆอาจจะยังไม่ตื่น หรือไม่ก็อาจจะยังซักผ้า ตากผ้าอยู่ก็ได้

จะว่าไปพอนึกถึงเรื่องงานบ้านงานเรือนแบบนี้ขึ้นมา ผมก็อดคิดถึงเรื่องๆหนึ่งไม่ได้ คือทุกช่วงวันหยุดที่ผมต้องกลับไปค้างที่หอในตั้งแต่สมัยปีหนึ่งเทอมสอง พี่เนย์จะชอบแอบมาซักผ้าให้ผมประจำเลย ผมเคยบอกตั้งหลายทีแล้วว่าไม่ต้อง แต่คนขยันก็ทำเพียงแค่รับปากไปงั้นๆ แล้วพอวันหยุดเวียนมาอีกครั้ง เสื้อผ้าที่ใส่แล้วของผม ก็มักจะถูกซักจนสะอาด พร้อมกับพับเก็บไว้ในตู้อย่างดี
จนตอนนี้ผมก็คร้านที่จะพูด
เพราะเมื่อพูดไปแล้ว พี่เนย์ก็ไม่ยอมฟังที่ผมพูดเลย

หากถามว่าประทับใจมั้ย ก็ตอบได้เลยว่าผมประทับใจมาก ที่พี่เนย์มาทำอะไรแบบนี้ให้ คือพูดตรงๆเลยว่า อยู่กับพี่เนย์ ผมสบายจริงๆ แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะล้างห้องน้ำ ล้างจาน ซักผ้า ตากผ้า เพราะพี่เนย์เขาทำของเขาเองหมด แล้วก็ไม่เคยจะบ่นด้วย
เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียวที่บ่นเยอะหน่อย ก็คือช่วงที่ผมแอบไปฝึกบริหารปากแล้วอีกฝ่ายไม่เห็น จนเข้าใจผิดไปนั่นแหละ

ติ้ง!

‘ผมโอเคนะพี่รัน ยังไงวันนี้ก็ว่างทั้งวันอยู่แล้ว’
‘ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอโบว์ให้คำตอบก่อน ไม่รู้ว่าติดธุระอะไรหรือเปล่าถึงยังไม่อ่านไลน์ จะโทรไปหาพี่ก็ไม่มีเบอร์ แล้วก็เกรงใจด้วย’

‘เดี๋ยวผมโทรตามให้’ ปาล์มบอกแค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็หายเงียบไป ผมจึงกลับมาอ่านหนังสือฆ่าเวลาอีกครั้ง

ติ้ง!

‘หนูตากผ้าเสร็จแล้ว ขออาบน้ำแป๊บเดียวค่ะ พี่รันเราจะนัดเจอกันที่ไหนดีคะ?’ เมื่อน้องโบว์ก็ส่งข้อความแสดงการมีตัวตนกลับมา ผมจึงอ่านข้อความนั้นผ่านทางโนติตรงหน้าจอโทรศัพท์
‘ตอนนี้พี่อยู่ห้องสมุด นัดเจอกันที่โรงอาหารกลางมั้ย?’ ผมสไลด์หน้าจอโทรศัพท์เพื่อเข้าไปตอบข้อความ

‘งั้นพี่รันรออยู่หน้าหอสมุดเลยนะคะ เดี๋ยวหนูกับปาล์มไปหาเอง สักประมาณสิบโมงครึ่งเนอะ’
‘โอเคครับ’

หลังจากตกลงกับน้องรหัสเรียบร้อยแล้ว ผมก็เหลือบตามองเวลา ก็พบว่าตอนนี้มันใกล้จะสิบโมงแล้ว ผมจึงนั่งอ่านหนังสือสลับกับดูเวลาผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ จนกระทั่งน้องโบว์ไลน์มาบอกว่าตอนนี้กำลังรออยู่ที่หน้าห้องสมุด ซึ่งทั้งสองคนมารับผมก่อนเวลานัดหมายเกือบๆ จะสิบนาที
เป็นแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าเด็กๆ เขาหายไปอาบน้ำหรือว่าวิ่งผ่านน้ำกันแน่

“ทำ..ไม..มา..กัน..เร็ว..จัง.. อาบ..น้ำ..จริง..หรือ..เปล่า..เนี่ย” ทันทีที่ขึ้นมานั่งตรงเบาะหลัง ผมก็รีบเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“ก็หนูกลัวพี่รันรอนานนี่คะ ก็เลยรีบสุดชีวิต.. นี่.. หนูรีบจนไม่ทันได้แต่งหน้าด้วย” ผมขำน้องโบว์ที่หันมาโชว์หน้าสดให้ดู ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่ค่อยออกจากบ้านในขณะที่ยังไม่ได้แต่งหน้า หรือไม่ก็มีอีกกรณีนึง คือแฟนไม่ชอบให้แต่งหน้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฝ่ายหญิงก็ต้องหน้าเป๊ะในระดับนึง

“พี่รันเมื่อกี้ปาล์มมันล้อหนูด้วย นิสัยไม่ดีเนอะ” โบว์ว่าพลางหันไปเหน็บแนมสารถีที่ยังคงชอบอยู่ในความเงียบงันเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน
“ก็โบว์เร่งคนอื่น แต่ตัวเองดันชักช้าทำไมล่ะ?” ปาล์มเริ่มต่อล้อต่อเถียงขึ้น จนผมยังนึกแปลกใจ

“ก็แล้วยังไงล่ะ ทางนี้ก็รีบสุดๆแล้ว! อ้อ ที่หน้าเรามันตลก ก็เพราะเราไม่ทันได้แต่งหน้าไง ใครผิด ปาล์มนั่นแหละ รู้มั้ยว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติสำหรับผู้หญิงแค่ไหน?” โบว์ยังคงเถียงคอเป็นเอ็นใส่ปาล์มที่เป็นน้องรหัสอีกคนของผม
“…” ปาล์มไม่ตอบแต่ท่าทางจะแอบแสดงปฏิกิริยาอะไรสักอย่าง โบว์ถึงได้บ่นงุ้งงิ้งอยู่คนเดียว ขณะที่เจ้าตัวก็แต่งหน้าให้ตัวเองไปด้วย ส่วนผมที่รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นส่วนเกิน ก็ได้แต่แอบอมยิ้ม เพราะดูเหมือนน้องรหัสทั้งสองของผมจะสนิทสนมกันดี แถมยังมีแนวโน้มจะแอบชอบกันด้วยหรือเปล่า อันนี้ผมยังไม่แน่ใจ แต่ผมก็คิดว่าน่าจะใช่

“เห้อ~ ขี้เกียจพูดละ พี่รันคะ เดี๋ยวเราไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟนอกมหาลัยกันนะ ร้านนี้บรรยากาศดีมากเลยค่ะ แล้วก็เงียบสงบดีด้วย” พอโบว์เถียงกับสารถี จนอีกฝ่ายพ่ายแพ้ไปแล้ว น้องก็หันมาบอกข้อมูลของร้านที่เจ้าตัวหมายตาไว้
“อื้อ” ผมจึงส่งเสียงตอบกลับไปในลำคอ เพราะผมไม่ได้หมายตาร้านไหนเป็นพิเศษอยู่แล้ว จากนั้นผมก็นั่งเอนตัวลงแนบกับประตูด้านข้าง เพื่อมองบรรยากาศด้านนอกตัวรถ
จนกระทั่งผมตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงันไปตลอดทาง

คาเฟ่ที่โบว์เลือก บรรยากาศของร้านจะออกแนวสวนสไตล์อังกฤษ ซึ่งวินาทีแรกที่เข้ามาในร้าน ก็สามารถรับรู้ได้ถึงบรรยากาศร่มรื่นแบบเต็มๆ เพราะตั้งแต่พวกเราเดินผ่านรั้วเหล็กเข้ามา ก็จะมีต้นไม้หลากหลายชนิด มาคอยต้อนรับการมาเยือนของพวกเราอย่างแน่นขนัด จนเต็มทั้งสองข้างทาง และเมื่อเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะพบกับรูปปั้นประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ และสิ่งของสำหรับประดับตกแต่งอื่นๆ อีกมากมาย ที่มองดูแล้วก็แลเข้ากันได้ดีกับสวนสไตล์นี้
หลังจากเดินชมร้านจนเกือบจะครบทุกซอกทุกมุมแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจเลือกที่นั่งในห้องแอร์ ที่เป็นบ้านกระจกหลังเล็กๆ แซมเนื้อไม้สีขาวสะอาดตา ที่สามารถมองเห็นบรรยากาศด้านนอกจนเกือบจะรอบทิศทาง อีกทั้งวันนี้อากาศก็ยังร้อนตามปกติของประเทศไทย และเราก็มีจุดประสงค์ที่จะต้องใช้พื้นที่ของร้านเป็นเวลานานด้วย
ห้องแอร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเราในเวลานี้

“เราจะทานของหนักกันเลย หรือว่าจะเป็นของหวานเบาๆก่อนดีคะ” โบว์หันมาถามความเห็นจากผม เมื่ออีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าก็จะเที่ยงตรงแล้ว
“พี่..แล้ว..แต่..โบว์..เลย” ผมตอบ พลางเปิดเมนูที่พนักงานเอามาให้ ไปที่หน้าเมนูเครื่องดื่ม จากนั้นก็ไล่สายตามองหาบลูเลม่อนที่ผมโปรดปราน แต่แล้วผมกับพบเมนูใหม่ที่น่าสนใจ

“ลา..เวน..เดอร์..เลม่อน..โซดา” ผมหันไปสั่งกับพนักงานที่มารอรับออร์เดอร์ โดยพยายามจะรวบคำให้กระชับอย่างยากลำบาก ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร นอกจากยกยิ้มให้และก้มหน้าก้มตาจดออร์เดอร์
“โรสโซดาค่ะ” โบว์ก้มหน้าดูเมนูอยู่ครู่ใหญ่ ไม่นานน้องก็เงยหน้าขึ้นมาสั่งเครื่องดื่ม พลางยกยิ้มให้กับพนักงาน จากนั้นน้องก็พลิกเมนูไปยังหน้าเมนูของหวาน
“ผมเอาบลูเลม่อนโซดาครับ” ฝ่ายคนพูดน้อยที่สุดของกลุ่ม ก็ได้ฤกษ์สั่งเครื่องดื่มอย่างคนอื่นเขาบ้าง แต่เมนูที่เจ้าตัวสั่ง ดันทำเอาผมต้องรีบหันไปจ้องหน้า
ก็เพราะว่า มันเป็นเมนูเดียวที่ผมชอบ แล้วก็ชอบมากๆด้วย

“เอาฮันนี่โทสต์มั้ยคะ หนูกลัวจะไม่ชอบเค้กกันน่ะค่ะ” น้องโบว์เงยหน้าขึ้นมาถามความเห็นพลางยิ้มแหยๆ บ่งบอกให้รู้ว่าใจจริงแล้ว เจ้าตัวคงจะอยากสั่งเค้กมาก แต่เพราะวันนี้เธอมากับผู้ชายถึงสองคน เธอก็เลยไม่กล้าจะสั่งของหวานที่มีแนวโน้มว่าผมหรือปาล์มอาจจะไม่ชอบ ซึ่งผมก็ไม่ชอบแหละ แต่ก็กินได้

“แล้วแต่โบว์เลย”
“ฮันนี่โทสต์นั่นแหละ” ผมพูดยังไม่ทันขาดคำ ปาล์มก็แสดงความคิดเห็นต่อทันที นั่นจึงเป็นการตัดสินอันเด็ดขาด
สุดท้ายแล้วของหวานสำหรับเราในวันนี้ก็คือ ‘ฮันนี่โทสต์’

“ปะ..ปาล์ม..ชอบ..บลู..เล..ม่อน..เหมือน..กัน..เหรอ?” พอได้โอกาส ผมก็รีบหาเรื่องคุยกับน้องรหัสแสนจะพูดน้อยทันที
“ครับ” รุ่นน้องตรงหน้าตอบเพียงสั้นๆ จากนั้นก็ยกยิ้มนิดๆ แตกต่างจากตอนที่คุยกับสาวหมวยตาตี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ

“พี่..ก็..ชอบ..ไว้..พี่..จะ..กลับ..ไป..นั่ง..ลิสต์..ราย..ชื่อ..ร้าน..แล้ว..ส่ง..ให้..เอา..มั้ย” ผมเสนอตัวอย่างกระตือรือร้น เพราะผมอยากจะมีส่วนร่วมที่ทำให้ปาล์มรู้สึกดีกับสาขาวิชาของเรา จนกระทั่งเขาไม่คิดอยากจะโอนย้ายไปยังสาขาอื่น
“ถ้าไม่ลำบากพี่ ผมก็โอเคครับ” พอน้องเปิดทางให้ ผมก็รีบยกยิ้มด้วยความดีใจ

“หนูอ่านนิทานแล้วนะคะพี่รัน สั้นดีค่ะ” หลังจากเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ และโบว์ก็ได้จิบนิดๆจนสมใจ น้องก็เริ่มเกริ่นถึงประเด็นสำคัญ ที่ทำให้พวกเราสายรหัสมารวมตัวกันในวันนี้
“…” ผมหัวเราะให้กับคำวิพากษณ์วิจารณ์นั้นด้วยความเอ็นดูนิดๆ เพราะน้องยังไม่รู้ว่า ในความสั้นมันซ่อนความยากสำหรับเด็กปีหนึ่งเอาไว้มากมาย

“วันนั้นพี่ทีมบอกว่า ปีหนึ่งต้องเป็นคนเล่าเรื่องใช่มั้ยครับ แล้วเราจะแบ่งกันยังไงดี” ปาล์มถามอย่างเป็นการเป็นงาน
“พี่..ว่า..จะ..แบ่ง..กัน..คน..ละ..ครึ่ง..เรื่อง” ผมออกความคิดเห็น พลางมองหน้าน้องๆทั้งสองคน ซึ่งมันเป็นความคิดเห็นที่แฟร์ๆดี น้องก็เลยไม่คัดค้านอะไร

“กลุ่ม..เรา..มี..เวลา..ทำ..จน..จะ..ถึง..ช่วง..งาน..โอเพ่น..เฮ้าส์.. แต่..พี่..คิด..ว่า.. ถ้า..เรา..เริ่ม..ต้น..ได้..เร็ว.. เรา..ก็..จะ..มี..เวลา..ฝึก..ได้..นาน..กว่า..คน..อื่น” ผมค่อยๆพูดออกมาอย่างช้าๆ ชัดๆ จนคนฟังต้องคอยพยักหน้าเป็นระยะ เหมือนเขากำลังคอยลุ้นให้ผมพูดจนจบประโยค ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกดี เพราะว่าพี่เนย์ก็ไม่ได้มีท่าทางแบบนี้ในตอนที่ผมพูด แม้กระทั่งไอ้หมอก ไอ้คิน คุณพ่อ คุณแม่ ก็ด้วย
เพราะทุกคนต่างก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเองที่ทำให้ผมอุ่นใจ

“ก็ดีครับ เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าเทอมสองจะงานเยอะหรือเปล่าด้วย อีกอย่างสอบไฟนอลก็ท่าทางจะหนักอยู่เหมือนกัน” ปาล์มพยักหน้าพลางตอบเป็นประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา
“งั้น..เรา..เริ่ม..แปล..ภาษา..มือ..กัน..เลย..ดี..ไหม” ผมถามพลางหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า เพื่อเตรียมจะสไลด์หน้าจอและเปิดไปยังคลังรูปภาพที่ผมได้ทำการแคปนิทานเรื่อง ‘นกเค้าแมวผู้รอบรู้’ เอาไว้

“งั้นหนูจองตั้งแต่สามบรรทัดแรก สิ้นสุดตรงประโยคที่ว่าไม่มีใครเชื่อเลย” โบว์วางโทรศัพท์ของตัวเองลงกลางโต๊ะ จากนั้นก็ชี้ประโยคที่เธอจับจอง ฝ่ายปาล์มก็นิ่งเงียบ ไม่มีปากมีเสียง มติจึงเป็นเอกฉันท์

“ปาล์มฝึกพร้อมเราด้วยนะ จะได้พัฒนาภาษามือไปด้วย” พอฮันนี่โทสต์มาเสิร์ฟขัดจังหวะการเอาจริงเอาจังของเรา โบว์ก็รีบประเดิมของหวานเมนูนั้นก่อนคนแรก พร้อมกับหันไปขอความร่วมมือจากแฝดรหัสของตัวเองอย่างมีนัยยะ
“ไม่ใช่ว่าโบว์ความจำไม่ค่อยดี แล้วจะให้เราช่วยจำที่พี่รันสอนหรอกนะ” ปาล์มพูดนิ่งๆ แต่กลับทำเอาน้องโบว์เด็กหมวยถึงกับเบะปากบ่นงุบงิบอยู่คนเดียว จนผมอดจะยิ้มให้กับท่าทางน่ารักของน้องรหัสตัวเองไม่ได้

“เด็กๆ..อย่า..ทะ..เลาะ..กัน” ผมห้ามปรามแกมหัวเราะ เพราะดูท่าทางแล้ว เด็กๆจะชอบลับฝีปากใส่กันบ่อยมาก
“เริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ หนูพร้อมแล้ว!” น้องโบว์ย่นจมูกใส่ผม จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มแสดงท่าทางกระตือรือร้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงเริ่มเป็นจริงเป็นจังขึ้น

“งั้น..เริ่ม..ที่..ประ..โยค..ณ..ป่า..แห่ง..หนึ่ง..ก่อน..นะ” ผมพูดขึ้น พลางทำท่า ‘ณ ป่าแห่งหนึ่ง’ ให้น้องๆดู
“พี่รันนนนน โหยยยย ยากอ่ะ สอนแยกคำเถอะค่ะ หนูมึน” โบว์ร้องโหยหวนออกมาทันทีที่ผมทำภาษามือของประโยคเมื่อครู่ให้ดู ซึ่งมันยังไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่ของเนื้อเรื่องทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ

“ประ..โยค..นี้.. ถ้า..เป็น..การ..เล่า..นิ..ทาน.. ก็..จะ..ใช้..ท่ามือ..ท้อง..ฟ้า.. ท่ามือ..แผ่น..ดิน.. ท่ามือ..ป่า.. เพราะ..การ..เล่า..นิ..ทาน..เรา..จะ..ต้อง..เล่า..ถึง..สภาพ..แวด..ล้อม..ด้วย.. แล้ว..ก็..ต้อง..โอ..เว่อร์..แอค..ติ้ง..นิด..นึง” ผมอธิบาย พลางหันไปควานหากระดาษโน้ตกับปากกาในกระเป๋าสะพายใบโปรดของตัวเอง จากนั้นก็เขียนอธิบายให้น้องเข้าใจว่า
‘ณ ป่าแห่งหนึ่ง = ท่ามือท้องฟ้า + ท่ามือแผ่นดิน + ท่ามือป่า’

“ท่ามือ..ท้อง..ฟ้า” ผมพูดพลางทำมือจับจีบเหมือนรำไทยทั้งสองข้างในระดับอก จากนั้นก็เลื่อนมือทั้งสองข้างให้สวนทางกันเป็นครึ่งวงกลม โดยมือที่เคยจับจีบไว้ ต้องค่อยๆแบออกจนครบทั้งห้านิ้ว ซึ่งก็จะพอดีกับจังหวะการวาดมือให้สวนทางกัน จนกลายเป็นครึ่งวงกลม ขณะที่สายตาก็ต้องมองตามจังหวะการเลื่อนฝ่ามือของเราไปด้วย โดยผมได้เพิ่มแอคติ้งเข้าไปอีกหน่อย ด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ยกยิ้มแบบไม่เห็นฟัน
“ลอง..ทำ..ดู” ผมออกคำสั่งกับน้องๆทั้งสอง พลางมองแต่ละคนอย่างจดๆจ้องๆสลับกัน แต่เพราะการมองทั้งสองคนพร้อมกันมันทำให้ผมมองได้ไม่ละเอียด ผมก็เลยให้น้องทำให้ดูทีละคน

“โบว์..ก่อน” หลังจากผมออกปากให้โบว์เริ่มทำเป็นคนแรก น้องก็โชว์ภาษามือของตัวเองให้ผมดูอย่างคล่องแคล่ว เพียงแต่น้องยังไม่กล้าเล่นสีหน้ามากมายนัก คงเพราะยังอยู่ปีหนึ่งด้วยแหละ ซึ่งช่วงนั้นผมเองก็เป็น เพิ่งจะมากล้าทำแบบโอเว่อร์หน่อยก็ตอนขึ้นปีสอง เพราะต้องเล่านิทานอยู่บ่อยๆ
“ปาล์ม..ต่อ..เลย” หลังจากปาล์มทำท่า ‘ท้องฟ้า’ ให้ดูแล้ว ผมก็เข้าใจแหละว่า น้องยังไม่กล้าออกสเต็ปอะไรมาก เพราะขนาดน้องโบว์ที่เป็นผู้หญิงยังไม่กล้าทำท่าทางแบบโอเว่อร์ซักเท่าไหร่เลย

“คำ..ต่อ..ไป..เป็น..ท่ามือ..แผ่น..ดิน” ผมพูดพลางหงายข้อมือข้างขวาออกมาตรงหน้า พร้อมกับกำมือเหมือนกำลังขยำอะไรสักอย่าง จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างนั้นให้คว่ำลง ก่อนจะขยับปลายนิ้วทั้งห้าขึ้นลงเหมือนกำลังพิมพ์แชทบนแป้นคีย์บอร์ด โดยองศาของการเลื่อนมือนั้นให้เป็นครึ่งวงกลมสั้นๆ
“อันนี้ง่าย หนูทำได้” โบว์ว่าอย่างนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้จริงๆ ส่วนปาล์มเองก็ไม่มีปัญหา

“ต่อ..ไป..เป็น..ท่ามือ..ป่า” ผมพูดพลางทำมือเหมือนรูปดอกบัว โดยปลายนิ้วโป้งจะต้องแตะกับปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้าง จากนั้นก็เลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นสลับกันกลางอากาศ พร้อมกับปล่อยปลายนิ้วโป้งให้ออกห่างจากปลายนิ้วชี้ คล้ายกับท่าทางของดอกไม้กำลังเบ่งบาน ซึ่งเราจะต้องทำวนอยู่แบบนั้นประมาณสี่ห้าครั้ง เพื่อแสดงถึงการเกิดของต้นไม้ที่มีอยู่มากมายในป่า พร้อมกับอมลมไว้ในแก้มด้วย
แต่สำหรับคนทั่วไป ถ้าได้เห็นท่ามือของคำว่า ‘ป่า’ ก็จะนึกถึงตัวตลกโบโซ่ ตอนกำลังเลี้ยงลูกบอลอยู่กลางอากาศ

“ท่านี้ก็ง่าย เหมือนตัวตลกโบโซ่กำลังเลี้ยงลูกบอลเลย” น้องโบว์ใช้ภาษามือตามผม จากนั้นก็ออกปากพูดในแบบที่ผมคิดเป๊ะๆ
“ที..นี้..ลอง..ทำ..แบบ..รวบ..ทุก..คำ..เลย..นะ..โบว์..เริ่ม..ก่อน” ผมว่า พลางหันไปมองน้องโบว์ ซึ่งเธอดูเหมือนจะไม่มั่นใจนัก แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ทำได้สำเร็จ แม้ว่าจะกระท่อนกระแท่นเต็มที เพราะประโยคๆนึง ดันรวมภาษามือของคำอื่นๆถึงสามคำด้วยกัน

“ต่อ..ไป..เป็น..นก..เค้า..แมว..นะ” ผมพูด พลางทำให้น้องๆดูก่อน จากนั้นก็ฉีกกระดาษโน้ตใบแรก แปะไว้บนโต๊ะ แล้วก็เริ่มเขียนแยกคำให้น้องๆดู ว่า ‘นกเค้าแมว = ท่ามือนก + ท่ามือตาโต’
“ท่ามือ..นก” ผมพูดพลางยกมือข้างขวาขึ้น โดยชูแค่นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้ตั้งฉากกันในระดับปาก จากนั้นก็เลื่อนนิ้วชี้ลงมาจรดกับนิ้วโป้งจนมีลักษณะคล้ายกับ ‘ปากนก’ แล้วค่อยกางมือทั้งสองข้างเป็นวงแคบๆ เหมือน ‘ปีก’ ก่อนจะสะบัดข้อมือทั้งสองข้างสักหนึ่งที แสดงถึงท่าทางของการ ‘บิน’

“ท่ามือ..ตาโต” ผมพูดพลางทำมือกลมๆ เหมือนท่าที่เด็กๆชอบทำเมื่อใช้กล้องส่องทางไกล จากนั้นผมก็ให้น้องรหัสทั้งสองคนลองใช้ภาษามือแบบรวบคำ ที่มันแปลความหมายได้ว่า ‘นกเค้าแมว’

กระทั่งทั้งสองคนทำได้แล้ว ผมก็ให้เริ่มทำใหม่ตั้งแต่ประโยคแรกยันคำสุดท้ายที่ผมสอน ซึ่งครั้งแรกๆ น้องๆ ก็มึนกันไปตามระเบียบ แต่พอผมทำให้ดูแบบรวบรัดอีกครั้ง น้องก็เริ่มประติดประต่อได้ ผมจึงให้ทั้งสองคนพักทานของหวานและดื่มน้ำกันก่อน เพราะเดี๋ยวมันจะเย็นชืดไปมากกว่านี้ และอีกไม่นานก็จะเที่ยงแล้วด้วย
“พี่..ไป..เข้า..ห้อง..น้ำ..ก่อน..นะ” ผมพูดพลางยกยิ้ม และเดินออกจากโต๊ะ โดยทิ้งกระเป๋าสะพายเอาไว้ ซึ่งผมก็ลืมถามโบว์ไปเลยว่าห้องน้ำอยู่ไหน ผมจึงต้องเดินไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า ที่ลูกค้าสามารถเดินเข้ามาสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มเองได้ เพราะจะมีพนักงานคอยรับรองอยู่ตลอดเวลา

“ห้องน้ำ..ไปทาง..ไหน..ครับ” ผมพยายามจะพูดกับพนักงาน โดยการรวบคำให้กระชับอีกครั้ง แม้ว่ามันจะยากลำบากมากๆ แต่ที่ต้องทำ ก็เพราะผมต้องการจะปกป้องตัวเองจากความหวาดกลัวในส่วนลึกที่ยังคงมีอยู่
“เดินเลยบ้านเรือนกระจกไปจนสุด จากนั้นนั้นก็เลี้ยวซ้ายค่ะ” พนักงานฉีกยิ้มพลางให้คำแนะนำอย่างดี จนผมต้องยิ้มตอบและก้าวเดินออกมาด้วยความโล่งใจ พลางอดคิดไม่ได้ว่า อนาคตผมจะเป็นล่ามภาษามือได้จริงๆน่ะเหรอ

“โดดเรียนเหรอ?” หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย จนจะเดินออกมาล้างมือข้างนอก ผมก็สะดุ้งด้วยความตกใจ เพราะไม่ทันเห็นว่ามีคนมายืนรออยู่ตรงหน้าทางเข้าห้องน้ำ ซึ่งใครคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากผู้ชายที่เมื่อเช้าทำหน้าที่เป็นสารถีมาส่งผมจนถึงโรงอาหาร ส่วนเจ้าตัวเขาก็เลยไปรับเพื่อนที่อยู่หอใน
“อาจารย์..งด” ผมส่ายหัวพลางตอบคำถามพี่เนย์ ที่ไม่รู้ว่าทราบได้ยังไงว่าผมกำลังอยู่ในห้องน้ำ

“มึงเอาแต่เหม่อ เลยไม่เห็นกู” พี่เนย์พูดขึ้น ราวกับอ่านใจผมได้ ขณะที่ผมก็ทำได้แค่ส่งยิ้มให้คนในกระจก ขณะที่กำลังล้างมือข้างนอก

“แล้วตอนกลับ จะกลับพร้อมกันมั้ย?” พี่เนย์ถาม เมื่อผมกำลังดึงกระดาษทิชชู่มาซับฝ่ามือให้แห้ง
“ยัง..ไม่รู้..เลย..ครับ..ว่า..จะ..เสร็จ..เมื่อ..ไหร่” ผมตอบพลางทิ้งกระดาษทิชชู่ลงถังขยะใกล้ๆมือ

“แสดงว่าต่างคนต่างกลับ.. ถ้างั้นก็เจอกันที่ห้อง” พี่เขาพูดพลางยกมือขึ้นยีหัวผม จากนั้นก็เดินนำหน้าไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่ผมก็เดินตามแผ่นของอีกฝ่ายไปเงียบๆ

“แล้วมึงมายังไง?” จู่ๆพี่เนย์ก็หยุดเดิน จนผมแทบจะเบรกฝีเท้าของตัวเองไม่ทัน
“น้อง..รหัส..เอา..รถ..ยนต์..มา”

“อืม” ผู้ชายที่ผมเจอโดยบังเอิญ เขาพูดเพียงแค่นั้น แล้วก็เดินหายลับไปกับสวนสวยๆของคาเฟ่แห่งนี้ทันที

ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย โปรเจคของสาขาก็ยังย่ำอยู่กับที่ เพราะถ้าหากผมยัดน้องมากไป น้องก็จะสับสน ผมเลยให้พวกเขาทบทวนภาษามือแค่สองประโยคแรกก่อน เนื่องจากรายละเอียดของมันก็เยอะมากพอสมควร ซึ่งระหว่างนั้นผมก็ถือโอกาสไปเดินเล่นรอบๆร้าน ทำให้ผมไปเจอมุมนั่งเล่นริมแม่น้ำท่าจีน ที่ทั้งร่มรื่นและเงียบสงบ ผมจึงนั่งเล่นอยู่แถวนั้นประมาณชั่วโมงนึง ถึงค่อยกลับไปดูน้องๆ ว่าซักซ้อมกันไปถึงไหน จากนั้นผมก็เริ่มสอนประโยคต่อไปอีกสามประโยค ก่อนจะให้สายรหัสทั้งสองได้เริ่มทบทวนภาษามือตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงประโยคสุดท้าย แต่พอน้องยังดูสับสนและไม่ค่อยคล่อง ผมก็ให้เวลาพวกเขาได้ทบทวนในสิ่งที่ผมสอนกันตามลำพังอีกสักหนึ่งชั่วโมง โดยครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินไปสั่ง ‘บลูเลม่อน’ ที่ปาล์มออกปากว่าอร่อย ซึ่งอร่อยที่ว่า รสชาติของมันจะต้องเข้มข้นเท่าเทียมกัน ไม่ใช่มีเพียงรสใดรสหนึ่งที่โดดเด่น แถมส่วนมาก รสที่โดดออกมาก็มักจะเป็นรสเปรี้ยว ของเลม่อนเพียงอย่างเดียว มันจึงทำให้เมนูนี้ ไม่อร่อยเท่าที่ควร แต่สำหรับร้านนี้ ผมให้คะแนนเต็มสิบ เพราะว่ามันอร่อยอย่างที่ปาล์มว่าจริงๆ

ผมถือแก้วบลูเลม่อนแบบที่ใช้สำหรับนำกลับบ้าน เดินผ่านโซนบ้านไม้ที่ถูกตกแต่งด้วยข้าวของสไตล์วินเทจ เรื่อยมาจนถึงม้านั่งยาวใต้ร่มไม้ บริเวณริมแม่น้ำท่าจีน ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งปักหลักอยู่ที่นี่อีกหน
ตอนนี้เวลาประมาณห้าโมงเย็นแล้ว เพราะเมื่อครู่ผมใช้เวลาสอนน้องไปนานพอสมควร ทำให้ท้องฟ้าขณะนี้เริ่มมองดูแล้วสบายตา จากนั้นผมก็ขยับตัวเพื่อหยิบโทรศัพท์ที่เอายัดไว้ที่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะสไลด์หน้าจอเข้าสู่แอพพลิเคชั่นสำหรับการแชท และส่งข้อความไปหาใครบางคนที่เจอกันเมื่อตอนเที่ยง
‘ไว้เรามาฝึกอ่านออกเสียงที่นี่ด้วยกันดีไหมครับ’ 

ติ้ง!

‘อืม ตอนนี้กูอยู่หอแล้วนะ’
‘อ้อ’

‘มึงจะหาอะไรกินเข้ามาเลย หรือว่าจะรอกินพร้อมกัน’
‘ผมกินไปเลยดีกว่าครับ ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับเมื่อไหร่’

‘ครับ’

ประมาณสามทุ่มตรง ผมก็มาถึงหอพี่เนย์โดยสวัสดิภาพ เพราะปาล์มอาสาจะขับรถมาส่งให้ถึงที่ เนื่องจากไฟฟ้าแถวๆนั้น จู่ๆก็ดับมืดตลอดทาง จนน้องเกรงว่าจะอันตรายหากทิ้งผมลงตรงหน้าปากซอยตามที่เอ่ยปาก ด้วยความที่วันนี้น่าจะเป็นคืนเดือนมืด ขณะที่ผมเดินเข้าไปในหอ ผมก็ต้องใช้แสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์ และต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ตัวเองพลาดท่าตกบันได หรือไปชนอะไรเข้า
กระทั่งมาถึงห้องพัก ผมก็ตั้งท่าจะเคาะประตู แต่ก็แอบกลัวว่าพี่เนย์อาจจะหลับไปแล้ว เพราะอีกฝ่ายคงไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำนอกจากการนอน ระหว่างรอให้ไฟติดแน่ๆ ผมก็เลยตัดสินใจไขกุญแจเข้าไปเงียบๆ ก่อนจะถอดรองเท้าให้เบาที่สุด และทำตัวให้ชินกับความมืด โดยการค่อยๆก้าวเดินไปยังที่วางกระเป๋า ซึ่งก็คือหลังตู้ใส่หนังสือจนแทบจะเหมือนโจรย่องเบาอยู่แล้ว

“ค่อย..ยัง..ชั่ว” หลังจากนั้นผมก็ลองเดินไปเปิดก๊อกน้ำตรงริมระเบียงที่พี่เนย์เปิดประตูอ้าเอาไว้ เพื่อทดสอบว่ามีน้ำหรือไม่
เพราะถ้าไม่มี ผมคงต้องยอมนอนเน่าแบบไม่สบายตัวทั้งคืน

เมื่อเตรียมเสื้อผ้าและหยิบผ้าเช็ดตัวจนครบแล้ว ผมก็เดินตรงไปยังห้องน้ำ จากนั้นก็ล็อคประตูอย่างแน่นหนา พลางถอดเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว เพราะผมคิดถึงเตียงนอนจะแย่แล้ว

“รัน” ผมชะงักการก้าวเดิน เมื่อได้ยินเสียงของพี่เนย์ดังก้องอยู่ในห้องน้ำอันมืดมิด
“พี่..อยู่..ใน..นี้..เหรอ..ครับ?” ผมถามด้วยความไม่มั่นใจ หรืออีกนัยน์นึงก็หมายความว่า ผมวาดหวังว่าอย่าให้เป็นแบบนั้น

“อยู่ดิ มึงน่ะเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือเลย” พี่เนย์พูดขึ้นท่ามกลางความมืด
“…” ผมจึงได้แต่นิ่งเงียบ เพราะสิ่งที่ผมหวัง มันกลับไม่กลายเป็นจริง จนพาลอยากจะโทษพี่เนย์ที่ไม่ยอมจุดเทียนให้แสงสว่างขณะอาบน้ำ

“ไฟแม่งดับตั้งแต่ทุ่มนึง เห็นว่าหม้อแปลงระเบิด มึงคิดดูว่ากูอยู่กับความมืดมานานแค่ไหน” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ที่มันฟังดูแล้วให้ความรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้ง เพราะเนื้อเสียงของอีกฝ่าย มันฟังดูแหบพร่าเป็นพิเศษ
“…” ผมเงียบ ขณะที่สมองกำลังประมวลคำพูดอ้อมโลกของพี่เนย์ ที่บอกว่าไฟดับนานแล้ว และเจ้าตัวก็อยู่กับความมืดมานานเหมือนกัน ดังนั้นการที่เราอยู่ท่ามกลางความมืด มันก็จะทำให้เราชินกับความมืดนั้น
และ..
มองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้ชัดเจน


--------------------------------------------------------

ตอนนี้ปั่นเสร็จเร็วกว่าที่คิดไปซะงั้น เราใช้เวลานั่งงมอยู่หนึ่งวันเต็มๆ เพราะมันยากมากกับการตีความ คำบรรยาย เราเลยไปหาวีดิโอดู แล้วค่อยเขียนให้ผู้รู้ตรวจอีกที ซึ่งครั้งนี้ทำให้เราก็รับรู้ได้ถึงความยากของการจินตนาการจากการเขียนบรรยายเป็นรูปภาพภาษามือหนักมาก เพราะขนาดเราบางคำยังจินตนาการไม่ออก แล้วคนอ่านจะมองภาพออกมั้ย คือเราพยายามจะใช้คำเปรียบเปรยโดยเอาสิ่งที่คนทั่วไปใช้กัน มาบรรยาย แต่บางทีเราก็นึกไม่ออกว่าท่าทางนั้นมันควรเรียกว่าอะไร สรุปว่ายากมากจริงๆค่ะ

ปล. 1 พี่เนย์ใสๆ อาบน้ำไม่จุดเทียน อิอิ  ให้ซีนเค้าหน่อยเนอะ ช่างเป็นพระเอกที่มีบทน้อยมาก
ปล. 2 ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ > จิ้ม (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 5 ♥ หน้า 6 (up 22/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-11-2017 11:40:52
 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 5 ♥ หน้า 6 (up 22/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-11-2017 13:57:15
2 คนในห้องน้ำโดยที่ไม่มีเสื้อผ้า :z1: :z1: :z1: :z1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 5 ♥ หน้า 6 (up 22/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-11-2017 18:09:16
 :o8:

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 5 ♥ หน้า 6 (up 22/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 22-11-2017 20:48:49
กรี๊ดดดดดดด
แบบนี้พี่เนย์ก็เห็นน้องชัดแจ๋วเลยสิ
 :jul1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 5 ♥ หน้า 6 (up 22/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-11-2017 12:14:28
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 6 ♥ หน้า 6 (up 24/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 24-11-2017 22:02:21
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 6

คืนนั้นในวันที่ไฟดับ ทุกอย่างรอบกายมืดมิด แต่ความรู้สึกของผมกลับชัดเจน จำได้ว่าตอนนั้น คำถามต่อมาของผม หลังจากที่พี่เนย์พูดอ้อมโลกเสียยืดยาว ก็คือ ‘จะอาบน้ำ แล้วทำไมพี่ถึงไม่จุดเทียน หรือว่าล็อกประตูล่ะครับ’ จากนั้นฝ่ายที่กำลังสระผมอยู่ท่ามกลางความมืดและเงียบสงบ ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ จนดังก้องห้องน้ำว่า..
‘ก็อย่างที่บอก กูชินกับความมืดแล้วไง อีกอย่างเทียนที่ซื้อไว้ แม่งก็ไม่รู้ว่าเอาไปเก็บไว้ที่ไหน แล้วใครจะคิดวะ ว่ามึงจะรีบจนไม่ดูตาม้าตาเรือ’ 

ผมจึงรีบเถียงกลับ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า ยังไงซะ ภาพที่พี่เขาเห็น มันก็ไม่น่าจะแตกต่างจากผมที่เริ่มคุ้นชินกับความมืดมิดมากนัก ซึ่งภาพๆนั้น มันก็เป็นเพียงเงาดำลางๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างชัดเจน
ในเมื่อห้องน้ำของเรา มีหน้าต่างระบายอากาศอยู่เพียงแค่ช่องเดียว อีกทั้งไฟฟ้าก็ยังดับจนทั่วซอย แถมโชคยังเข้าข้างที่วันนั้นเป็นคืนเดือนมืด
ผมจึงไม่ได้คิดที่จะแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ ว่าตัวเองกำลัง ‘เขินอาย’ มากแค่ไหน

‘แล้วมึงเป็นอะไร ทำไมถึงรีบขนาดนั้น’
‘ผม..ง่วง’

‘งั้นก็รีบมาอาบน้ำ จะได้รีบไปนอน’

และนั่น ก็คือที่มาของความรู้สึกอันหลากหลาย

เราต่างคน ต่างก็สระผมอยู่เคียงข้างกัน ภายใต้ฝักบัวอันเล็ก ขณะที่ผมในเวลานั้น ไม่ได้มีใจคิดอยากจะสระผมสักเท่าไหร่ แต่เพราะการกระทำมันพาไป ทุกอย่างมันถึงได้ลงเอยแบบนี้ จากนั้นบทสนทนาอันเรียบง่ายก็ดำเนินต่อไป
ในรูปแบบที่ไม่มีความเงอะๆงะๆ เข้ามาแทรกแซง

‘งานมึงคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว’
‘จะ..ว่า..คืบ..หน้า..มัน..ก็..คืบ..หน้า..ครับ แต่..จะ..ว่า..ไม่..คืบ..หน้า..มัน..ก็..ไม่..คืบ..หน้า’

‘ตอบอะไรของมึงวะ เพี้ยนๆนะ’

คนตัวสูงท่ามกลางความมืดมิด เขาอาศัยจังหวะทีเผลอ เอื้อมมือมาเฉดหัวผมจนเซหงาย จากนั้นเราต่างก็ยืนถูสบู่อยู่เคียงข้างกัน ขณะที่ข้างแขน ก็พาลแต่จะสัมผัสกันโดยบังเอิญอยู่หลายครั้ง เพราะระยะห่างระหว่างเรา ดูท่าจะเหลือเพียงน้อยนิด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม เราถึงต้องมายืนใกล้ๆกัน ทั้งๆที่ห้องน้ำ มันก็ไม่ได้คับแคบอะไรขนาดนั้น

‘ผม..อยาก..เป็น..ล่าม..ภา..ษา..มือ’
‘ก็ดีแล้วหนิ’

‘แต่..ผม..คิด..ว่า ผม..คง..เป็น..ไม่..ได้..แน่ๆ’

คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมเปิดใจกับพี่เนย์ว่าผมอยากจะเป็น ‘ล่ามภาษามือ’ เหมือนกับที่พี่เขาเคยบอกกับผมว่า สาเหตุที่อีกฝ่ายเลือกเรียนจิตวิทยา จริงๆแล้วมันเป็นเพราะว่า เจ้าตัวไม่ได้หัวดีเหมือนกับคุณพ่อหรือคุณแม่ ที่ต่างก็ทำอาชีพเป็นคุณหมอและพยาบาลทั้งคู่
ซึ่งการเรียน ‘จิตวิทยา สาขาคลินิก’ มันก็ทำให้พี่เขารู้สึกว่า ถึงแม้ตัวเองจะไม่ได้เรียนหมอ แต่ก็น่าจะทำให้พวกท่านรู้สึกภูมิใจได้บ้าง แต่ไปๆมาๆ พี่เขาก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับสาขาที่ตัวเองเลือก และเริ่มมีความคิดอยากจะเป็น ‘นักจิตบำบัด’ เพราะว่าเจ้าตัวรู้สึกมีความสุข กับการได้ล้วงลึกไปถึงปัญหาภายในของจิตใจมนุษย์ จนกระทั่งช่วยบำบัดให้เขามีความสุขกับชีวิตของตัวเอง เลิกหวาดกลัวในสิ่งที่กังวล หรืออาจจะช่วยบรรเทาความทรมานภายในจิตใจของอีกฝ่ายให้ลดน้อยลง
และนอกจากนี้พี่เขายังเคยบอกอีกว่า… เคสของผม ทำให้เจ้าตัวมั่นใจ ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดในทางทฤษฎี มันคือเรื่องที่ถูกต้อง

‘กูเคยอ่านข้อความนึง เขาบอกว่า Feelings are much like waves, we can't stop them from coming but we can choose which one to surf. (by Jonatan Martensson)
‘กูเชื่อว่ามึงจะรับมือกับความหวาดกลัวพวกนั้นได้ เพราะมึงก็ข้ามผ่านมันมาได้แล้วตั้งครึ่งทาง เพราะตอนนี้ มึงก็มีทั้งเพื่อนสนิท รุ่นพี่ทั้งในสาขาและนอกสาขา ไหนจะน้องรหัสของมึงอีก แถมยังมีเพื่อนต่างสาขาอีกตั้งสามคน นอกจากนั้นมึงยังมีกู ที่เป็นแฟนคนแรก แถมก่อนหน้านี้กูยังเคยบอกกับมึงว่า คนที่ไร้ข้อบกพร่อง ใช่ว่าเขาจะใจร้ายต่อกลุ่มคนที่มีข้อบกพร่องเสมอไป มึงเองก็เคยเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ว่าสิ่งที่กูพูดมันคือความจริงหรือเรื่องหลอกลวง มึงอย่าเอาคนแค่กลุ่มเดียวที่มึงเจอ มาตัดสินคนอีกหลายๆกลุ่มเลย อีกอย่างนะ คนเราพอโตขึ้น ความคิดก็เริ่มเปลี่ยน กูเชื่อว่าสังคมที่เคยทำให้มึงมีอคติ ป่านนี้มันก็น่าจะเปลี่ยนไปแล้ว เพราะทุกคนต่างเติบโตขึ้น เริ่มมีวิจารณญาณกันมากขึ้น ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว ว่าจะรับมือกับสิ่งเหล่านั้นยังไง แต่ถ้ามึงคิดว่ามันรับมือยาก มึงก็เลือกมองพวกเขาเป็นแค่หนังสือเล่มนึง ที่มึงบังเอิญเปิดอ่านก็ได้นี่ ถ้าชอบก็เก็บเข้าลิสต์ ไม่ชอบก็ปล่อยทิ้งไป กูเชื่อว่าสักวัน มึงต้องได้เป็นล่ามภาษามือแน่ๆ และวันนั้น วันที่มึงประสบความสำเร็จ จนสามารถเอาชนะความกลัวในใจของตัวเองได้ กูจะส่งยิ้มให้มึงอยู่ตรงนี้ ตรงที่เดิม

หัวใจของผมในตอนนั้น รู้สึกเหมือนกำลังถูกสั่นคลอน ด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจ จนความไม่มั่นใจ ความกังวล ความอ่อนแอ ที่เคยกักเก็บไว้ ถูกเติมเต็มด้วยกำลังใจที่มีมากมายมหาศาล ผมจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปหาไออุ่น ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่กลับรับรู้ได้ด้วยใจอย่างไม่ลังเล

‘รู้มั้ยว่าพี่เริ่มชอบรันเพราะอะไร?’
‘ไม่..รู้..สิ..ครับ’

‘เพราะเราชอบเดินบนเส้นขอบถนน แล้วก็ชอบจินตนาการเป็นเด็กๆเหมือนกัน จากนั้นพี่ก็เริ่มชอบบทสนทนาของเรา แล้วก็กลายเป็นว่า พี่เคยชอบรันเพราะรอยยิ้ม’
‘เคย..ชอบ?’

‘ใช่ พี่เคยชอบ เพราะตอนนี้ พี่รักรอยยิ้มของรัน จากนั้นพี่ก็เริ่มหลงรักทุกอย่างที่เป็นรัน’
‘พี่เน..นะ..เอ’

ค่ำคืนนั้นผมเกือบจะทำแผนเซอร์ไพรส์พี่เนย์ในอนาคต ที่ตัวเองวางเอาไว้จนพังยับเยิน เพราะจู่ๆ คนปากหนักที่มักจะแสดงความรู้สึกผ่านทางบทเพลง สายตา และการกระทำ กลับใช้คำพูดที่มันหาฟังได้ยากในเวลาแบบนั้น
จนผมไม่ต้องมาคอยนั่งจินตนาการเอาเองว่า สิ่งที่พี่เขาแสดงออก มันหมายความแบบนั้น หรือว่าหมายความแบบนี้
เพราะอีกฝ่าย ได้พูดมันออกมาอย่างชัดเจนแล้ว

‘ให้ทาย ตอนนี้กูกำลังคิดอะไรอยู่..’
‘คำ..ถาม..ตอบ..ยาก..ครับ ขอ..ใช้..ตัว..ช่วย’

‘เรื่องใต้สะดือ กับ จินตนาการในความมืด’
‘…’

‘กูเฉลยเลยแล้วกัน..’
‘…’

‘ทั้งสองอย่าง’
‘เพราะฉะนั้น ถ้าหากรันอยากให้พี่หยุดคิด ก็ต้องหยุดกอดพี่ แล้วรีบอาบน้ำให้เสร็จและเดินออกไป’

‘แต่ถ้าไม่..’
‘เรื่องคืนนี้ พี่จะเก็บซ่อนไว้ในความทรงจำให้ลึกที่สุด เพื่อที่รันจะได้ไม่ต้องวางตัวลำบากในวันพรุ่งนี้’

คำพูดหว่านล้อมและน้ำเสียงแหบพร่าของอีกฝ่าย เอาแต่ดังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่สัมผัสนุ่มชื้น ก็เอาแต่ไล้วนอยู่ข้างๆใบหู จนส่งผลให้ขนอ่อนตั้งชันแทบทั้งร่าง ขณะที่ฝ่ามืออันซุกซนของชายหนุ่มท่ามกลางความมืด ก็เริ่มลากไล้แปะป่ายไปจนถ้วนทั่วแผ่นหลังของผมที่กำลังถูกล็อกตัวอยู่ภายใต้อ้อมกอดที่ตัวเองไขว่คว้า
ซึ่งสมองของผมในเวลานั้น มันขาวโพลนจนไม่สามารถคิดตริตรองอะไรได้ นอกจากคอยโอนอ่อนไปตามน้ำเสียงที่ชวนลุ่มหลง และวาบหวามไปกับสัมผัสเคล้าคลอ ที่คนในความมืดหยิบยกให้ จากนั้นทุกอย่างก็เหมือนจะกลับตาลปัตร เมื่ออารมณ์เริ่มถูกปลุกเร้ามากขึ้นๆ จนส่งผลให้ภาพในจินตนาการค่อยๆออกมาโลดแล่นสู่ภายนอก เวลานั้น ผมจึงมองเห็นรูปร่างของพี่เนย์อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเห็นภาพของตัวเอง ที่กำลังถูกอีกฝ่ายปลุกเร้าอย่างง่ายดาย
ทั้งๆที่ความมืดยังคงเกาะกินอยู่รอบๆกายเราไม่แปรเปลี่ยน..

‘ผม..จะ..ไม่..ออก..ไป’

เราจูบกันท่ามกลางความมืด ขณะที่อ้อมกอดก็ยังคงไม่ห่างหายไปไหน ส่งผลให้ผิวกายของเราสัมผัสเสียดสีกันอย่างวาบไหว หัวใจของผมมันเต้นระรัวจนอกแทบระเบิด ฝ่ามือของผมมันสั่นจนเกือบจะควบคุมไม่ได้ เพราะเราสองคน แทบจะไม่เคยเกินเลยกันในลักษณะที่เป็นอยู่ ดังนั้นการจูบที่เคยคุ้นชิน มันจึงเป็นการจูบที่แปลกใหม่
ฟองแชมพูที่ยังคงฟูฟ่องอยู่เต็มหัว จู่ๆก็เริ่มกลายเป็นอุปสรรค พี่เขาจึงต้องเปิดฝักบัวเพื่อชำระล้างทุกสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ให้หมดไป ขณะที่เจ้าตัว ก็ดันแผ่นหลังของผมให้แนบชิดกำแพงกระเบื้องเรียบรื่นและเยือกเย็น จากนั้นโฟกัสทางสายตาของผมก็เริ่มพร่าเลือน จนไม่อาจคาดเดาได้ว่า สาเหตุมันเป็นเพราะอีกฝ่ายโน้มใบหน้าเข้ามาแลกเปลี่ยนบทจูบระหว่างกันของเรา หรือว่าเป็นเพราะกระแสน้ำที่ยังคงร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกกันแน่
แต่ที่แน่ๆ ผมกำลังรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
เพราะจูบของพี่เนย์ มันไม่เหมือนกับจูบที่เคยผ่านมา..

ในเวลานั้นเสียงหอบหายใจของผม มันกลับดังก้องไปทั่วห้องน้ำ หลังจากที่พี่เนย์ปิดฝักบัวจนผมนึกอาย ขณะที่ใบหน้า ก็เริ่มจะบิดเบี้ยว เมื่อพี่เขาลากไล้ปลายลิ้นไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย ราวกับจะสำรวจว่า ส่วนใดบ้างที่พี่เขาสมควรจะแสดงความเป็นเจ้าของ และส่วนใดบ้างที่พี่เขาจะสัมผัสเร้าอย่างหยอกเอิน ผมจึงได้แต่บิดกายไปมาอย่างหวามไหว เมื่อสมองมันกำลังจินตนาไปถึง ใบหน้า รวมไปถึงลักษณะท่าทางของอีกฝ่าย ราวกับภาพระดับฟูลเฮชดี ที่เต็มไปด้วยสีสันและความคมชัด
เดิมที ผมเคยนึกว่าความมืดจะเป็นตัวช่วยอำพรางที่ดี
แต่เปล่าเลย ความมืดนั่นแหละ คือ ‘ตัวอันตราย’

‘พี่อยากให้รันคิดว่ามันคือการ ‘เมคเลิฟ’ ไม่ใช่การทำรักเพราะความอยาก อย่าเกร็ง อย่ากังวลไปเลยนะ’

พี่เนย์ในเวลานั้น ทั้งอ่อนโยนและร้อนแรง แต่ถึงอย่างนั้น ความรักที่อีกฝ่ายมีให้ผม ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ผ่านทางสัมผัสอันกระชับแน่น ที่เกิดจากฝ่ามือของเรา ที่กอบกุมกันไว้ข้างหนึ่ง รวมไปถึงรอยยิ้มของพี่เนย์ ที่สว่างสดใสอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ที่แม้แต่แสงจันทร์ก็ยังเล็ดลอดเข้ามาไม่ถึง
จากนั้นไม่นานลมพายุก็โหมกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อปลายลิ้นร้อนของพี่เขากำลังโลมไล้ยอดอกของผมจนชิ้นแฉะ ส่งผลให้ร่างทั้งร่างคล้ายกับถูกไฟช็อตทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงอารมณ์ของผู้ชักนำ แผ่นอกของผมจึงกระเพื่อมไหวอย่างถี่กระชั้น เสียงหอบหายใจดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมไม่คิดจะสนใจ เพราะตอนนั้นร่างกายของผม มันเหมือนกับไม่ใช่ของผม อีกทั้งช่วงล่างก็เริ่มมีอาการที่ผมเองก็รู้ดีว่ามันคืออาการของอะไร

‘พี่เนย์’

แต่แล้ว ความก็แตกจนได้ เพราะในตอนนั้น จู่ๆ ผมก็เผลอครางเรียกชื่อของพี่เนย์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อความเสียวกระสันกำลังพุ่งตรงเข้าเล่นงาน เหตุก็เพราะริมฝีปากหนานุ่ม ที่เคยมอบรสจูบที่อ่อนโยนบ้าง ร้อนแรงบ้าง กำลังปรนเปรอช่วงล่างของผมอย่างชำนาญ
จนผมรู้สึกดี..
และมันก็ดีกว่าตอนที่ผมเคยปรนเปรอให้ตัวเอง

พี่เนย์เปลี่ยนมาโอบกอดผมไว้จากทางด้านหลัง โดยที่เจ้าตัวเขาจับผมให้ยืนซ้อนกันไว้ ขณะที่วงแขนแข็งแรงข้างหนึ่งก็คอยโอบล้อมรอบเอวผม ส่วนฝ่ามืออีกข้างกลับสร้างความเสียวซ่านให้กับส่วนอ่อนไหวไม่เคยขาด พร้อมด้วยริมฝีปากหนาที่ตอนนี้เอาแต่จะวนเวียนข้างๆหู จนทำเอาร่างกายของผมคล้ายกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านแบบอันลิมิต ผมจึงได้แต่กำฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเอง เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์อันมากมายที่แม้แต่ผมก็อธิบายไม่ถูก ขณะที่เสียงหอบหายใจ สลับกับเสียงครางเบาๆของเรา ก็ยังคงดังเคล้าคลอกันไม่แปรเปลี่ยน

‘รันทำให้พี่บ้าง’

เสียงทุ้มกระซิบเป็นการชักชวน เพียงแต่ฝ่ามือหนากลับกระทำการอุกอาจ เมื่ออีกฝ่ายเขาถือโอกาสชักจูงให้ผมทำบางสิ่งบางอย่างโดยที่ผมก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะทั้งเนื้อทั้งตัว กำลังถูกใครบางคนที่กำลังปลุกเร้าโอบกอดเอาไว้ จนไม่มีหนทางให้หลีกหนี
‘ความมืด’ ผมเคยบอกแล้วว่ามันน่ากลัว และในเวลาแบบนั้น มันก็น่ากลัวขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อความอุ่นร้อนจากส่วนแข็งแกร่งของอีกฝ่ายมันกำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผม แต่จากนั้นเพียงไม่นาน พี่เนย์ก็เริ่มชักจูงอย่างเชื่องช้า และถ้าหากผมไม่ยอมทำตาม พี่เขาก็จะลงโทษโดยการแกล้งให้ผมทรมานกับอาการค้างคา จนผมต้องยอมขยับไหวฝ่ามือสั่นๆของตัวเอง ไปตามจังหวะที่ฝ่ามือใหญ่ก้าวนำ และเมื่อแรงอารมณ์ปะทุ จังหวะการปรนเปรอก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ช่วงล่างของผมจึงเริ่มอุ่นชื้นจนหยาดเยิ้ม หากแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ราวกับต้องการจะให้ผมปลดปล่อยออกมาอีกรอบพร้อมๆกัน
จนครั้งนี้ ผมเองก็เกือบจะแย่
เพราะสัมผัสของพี่เนย์ มันเร่าร้อน จนผมไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ใดๆได้อีก

ตุ้บ!

“เชี่ยรัน!” ผมสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อไอ้หมอกมันทุบโต๊ะจนเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงกลัวเลยว่าเรากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด
“เมื่อกี้มึงได้ฟังที่พวกกูติวมั้ยวะ?” ไอ้คินถามพลางเหล่มองอย่างจับผิด

“ฟัง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อมันไม่ใช่เรื่องจริง ในเมื่อตั้งแต่ต้น ผมก็เอาแต่นึกไปถึงเรื่องราวในคืนนั้น แม้ว่ามันจะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ผมก็ยังจดจำทุกอย่างได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือแม้แต่สัมผัสที่เกิดขึ้น ขณะที่พี่เนย์เขากลับใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ แต่ผมกลับไม่กล้ามองหน้าพี่เนย์ จนผมต้องทำเนียนมานอนค้างที่หอในเพื่อใช้เวลาทั้งหมดไปกับการติวหนังสือสำหรับการสอบมิดเทอม
“ฟังเชี่ยไร โกหกโคตรๆ กูถามนั่น มึงก็ตอบอื้อ กูถามนี่ มึงก็ตอบอื้อ กูลองเรียกชื่อ มึงก็ตอบอื้อ ไอ้สัส ฟังห่าไรวะ ใจลอยไปถึงไหนต่อไหนละ จะสอบอยู่วันสองวันแล้วมั้ย ตั้งใจติวหนังสือสิ” ไอ้หมอกยังคงบ่นไม่หยุด ซึ่งผมก็ได้แต่ก้มหน้ายอมฟังคำตักเตือนแต่โดยดี เพราะผมมันบ้าบอ คิดอะไรไม่เข้าท่า ทั้งๆที่จะสอบอยู่แล้ว มันก็ควรแหละ ที่เพื่อนจะดุอย่างเป็นห่วง

“มึงไม่ได้แค่ท่าลิปมันยี่ห้อเดียวกับพี่เนย์แล้วแน่ๆ ถูกป่ะ?” ไอ้คินมันถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง คล้ายกับว่ามันไม่ได้อยากจะละลาบละล้วง เมื่อฝ่ามือของมัน ดันกำคอเสื้อเชิ้ตของตัวเองหนึ่งที ราวกับต้องการจะบอกอะไรสักอย่าง ผมจึงเผลอกำคอเสื้อเชิ้ตของตัวเองบ้าง เพราะเมื่อครู่มันคงจะแหวกไปจนเห็นร่องรอยที่ใครอีกคนฝากไว้
“เห้อ ถ้างั้นกูก็พอจะเข้าใจอยู่ แต่มึงต้องอย่าไปทะลึ่งคิดถึง ‘เรื่องนั้น’ ให้มากนัก เดี๋ยวผลสอบมึงจะแย่” ไอ้หมอกมันว่า ผมจึงได้แต่ยกมือขึ้นปิดใบหน้าของตัวเอง เพราะผมกำลังหน้าร้อนจนแทบระเบิด จนไม่อาจกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ได้อีกต่อไป

“คราวหลังถ้าจะแทะกัน มึงอย่าแทะตอนใกล้จะสอบ โอเค๊”

----------------------------------------
[edit คำผิด 24/11/2017 ถูกอย่าว > ทุกอย่าง / ละลาบละล่วง > ละลาบละล้วง
edit คำผิด 25/11/2017 เคล้อคลอ > เคล้าคลอ / จนจึง > ผมจึง
edit เพิ่มจุดในประโยคคำพูดของรัน 28/11/2017]
เราขอถามหน่อย สำหรับความคิดของรัน ควรปล่อยให้มันไม่มีจุดแบบนี้ต่อไป หรือว่าควรเพิ่มคะ ตามความคิดเราแล้ว คิดว่าไม่น่าจะต้องมี เพราะว่ามันคือความคิด ที่ไม่ได้กระท่อนกระแท่นเหมือนการออกเสียงค่ะ
ปล. ใช้เวลาเขียนนานกว่าภาษามืออีกค่ะ เพราะว่าเราไม่ได้เขียนฉากแบบนี้นานมากแล้ว กลัวเขียนไม่ดีด้วย แต่ที่ต้องเขียนเพราะมันคือการพัฒนาความรักในรูปแบบหนึ่งค่ะ อยากให้มองมันเป็นส่วนประกอบมากกว่า และเราพยายามจะเขียนให้มันสวยงาม อีโรติคนิดๆ แต่ไม่รู้จะใช่มั้ย 555
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 6 ♥ หน้า 6 (up 24/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: benceii ที่ 24-11-2017 22:15:19
น้องรันของพี่โดนแทะแล้ววววว // ไม่ต้องจุดก็ได้ค่ะ เวลาอ่านจะได้ไม่สะดุด
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 6 ♥ หน้า 6 (up 24/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 25-11-2017 05:29:21
 :3123:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 7 ♥ หน้า 6 (up 25/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 25-11-2017 20:46:13
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 7

“วัน..นี้..พี่..สอบ..เสร็จ..กี่..โมง..ครับ” ผมถาม ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาตักถั่วฝักยาวใส่ในจานของพี่เนย์ ตามที่อีกฝ่ายเคยบอกไว้ว่า ถ้าหากผมไม่กินอะไร ก็ให้ตักมาให้พี่เขาให้หมด
ทุกวันนี้อีกฝ่ายก็เลยกลายเป็นเจ้าหน้าที่เทศบาล คอยจัดการสิ่งที่ผมไม่พึงประสงค์

“สี่โมง ทำไม? วันนี้มึงจะมาค้างกับกูเหรอ?” ผมชะงักกับคำถามของรุ่นพี่ตรงหน้า ขณะที่อีกฝ่าย กลับสวาปามมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อย
“ผม..จะ..แวะ..ไป..เอา..ชีท..ของ..พี่ทีม..ให้..ไอ้หมอก..ก็..เลย..จะ..ให้..พี่..รอ” ผมเงยหน้า พลางเสตามองโต๊ะ และตอบคำถามอย่างใจเย็น

“อืม ได้เดี๋ยวกูรอ” พี่เนย์ตอบเรียบๆ พลางพยักหน้า จากนั้นเจ้าตัวก็ก้มหน้าก้มตาทานมื้อเช้าของตัวเองต่อ โดยไม่คิดที่จะทักท้วงอาการพูดแล้วไม่ยอมมองหน้าของผมแต่อย่างใด
คล้ายกับเจ้าตัวกำลังปฏิบัติหน้าที่ ผู้รักษาสัญญาอย่างดีเยี่ยม

กระทั่งมื้อเช้าผ่านพ้นไป เราสองคนจึงเดินทางออกจากโรงอาหารกลาง เพื่อมายังคณะศิลปศาสตร์ อันเป็นตึกที่ใช้สำหรับการสอบของเราทั้งคู่ในวันนี้

“ถ้ามึงเสร็จก่อน มึงก็นั่งรอที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตึกก็แล้วกัน” พี่เนย์พูดขึ้น หลังจากที่เรากำลังเดินลัดเลาะจากลานจอดรถ เพื่อมายังหน้าตึกคณะ กระทั่งสายตาของอีกฝ่าย มองไปเห็นม้าหินอ่อนหน้าคณะเข้าพอดี เจ้าตัวก็เลยถือโอกาสนัดแนะให้เป็นกิจจะลักษณะ
“ครับ”

“มึงสอบชั้นไหน”
“สาม..ฝั่ง..ขวา..มือ” ผมตอบพลางเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ จึงทำให้ทราบว่า ขณะที่ผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตา เพื่อหลีกเลี่ยงใบหน้า และสายตาของคนข้างๆ พี่เขากลับเอาแต่จ้องมองผมไม่วางตา ซึ่งพอผมหันไปมองสบเข้าโดยบังเอิญ พี่เนย์ก็มักจะทำเป็นหันหน้าหนีแบบเนียนๆ เพื่อไม่ให้ผิดสัญญาที่เคยให้ไว้ในค่ำคืนนั้น
แต่ดูท่า มันคงทำได้ยาก..

“กูสอบชั้นสอง โชคดี” พี่เนย์ตอบ ขณะที่เราก็เดินมาจนถึงชั้นสองเข้าพอดี อีกฝ่ายจึงอวยพรด้วยคำสั้นๆ พร้อมกับใช้ภาษามือประกอบ โดยการทำมือเหมือนกับท่า ‘โอเค’ ที่คนทั่วไปชอบใช้ จากนั้นก็ขยับมือไปข้างหน้าสองครั้ง พร้อมกับยกยิ้มตรงมุมปาก ขณะที่สายตาก็เป็นประกายในแบบที่ใครเห็นก็เป็นต้องใจสั่น
“ช..โชค..ดี” ผมที่พูดคุยออกเสียงได้ยากอยู่แล้ว ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เมื่ออีกฝ่ายเล่นส่งสายตาแบบนั้นอย่างเปิดเผย ขณะที่มือของผมที่กำลังใช้ภาษามือในการตอบโต้ก็สั่นระริก จากนั้นผมก็รีบเดินแทรกอีกฝ่าย เพื่อหนีไปยังห้องสอบของตัวเอง

“รัน” แต่แล้วผมก็ชะงักฝีเท้าในการวิ่งขึ้นบันได เพราะใครคนนั้นเขากำลังร้องเรียกอยู่ที่ชั้นสอง
“…” ผมชะโงกหน้ามองลงไปตรงช่องบันได เลยทำให้เห็นพี่เนย์ที่ก็เงยหน้ามองขึ้นมาข้างบน ผ่านทางช่องบันไดเดียวกัน

“มึงเริ่มพูดเก่งแล้ว ตอนเย็นมึงลองฝึกพูดเป็นประโยคดิ ถ้าพูดไม่ได้ กูจะทิ้งมึงไว้ที่คณะนี่แหละ” พี่เนย์พูดพลางยักคิ้วอย่างท้าทาย
“กล้า ?” ผมพูดพลางพยักหน้าท้าทายอีกฝ่ายราวกับว่าตัวเองน่ะถือไพ่เหนือกว่า

“…” พี่เขากำมือขวา พลางเคาะไปที่หน้าอกข้างซ้าย จากนั้นก็แบมือออกมาตรงหน้า พร้อมกับส่ายหัว และแสดงสีหน้าขึงขังใส่ เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายน่ะ ‘กล้า’ แค่ไหน
“…” ผมอมยิ้ม พลางย่นจมูกใส่อีกฝ่ายผ่านทางช่องบันไดแคบๆนั่น ที่มันกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเราเป็นการชั่วคราว เพราะเนื่องจากเวลานี้ มันยังเช้าอยู่มาก นักศึกษาจึงยังไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่
จากนั้นผมก็รีบผละตัวเองออกจากบริเวณนั้น เพื่อมุ่งตรงไปยังห้องสอบที่อยู่ริมสุดทางฝั่งขวามือ

กระทั่งสอบตัวสุดท้ายเสร็จ ผมก็เดินลงบันไดมาพร้อมกับพวกไอ้หมอกไอ้คิน ที่กำลังเปิดชีทเพื่อหาคำตอบ ว่าไอ้สิ่งที่ตัวเองทำไปมั่วๆ เมื่อครู่มันถูกต้องสักข้อไหม
“ไอ้สัส กูไม่ดูเฉลยแม่งละ ตายเป็นตาย” ไอ้หมอกยัดชีทลงในกระเป๋าเป้ของตัวเอง พลางบ่นออกมาอย่างเหลืออด เมื่อคำตอบที่มั่วไป ดูท่าจะไม่ถูกจนใจเริ่มเสีย

“ไอ้นี่ก็เงียบ ออกจากห้องคนสุดท้าย ถามจริง ตอนพวกกูนอนนี่มึงแอบมาซุ่มอ่านหนังสือป่ะวะ” ไอ้คินเองก็เก็บชีทอย่างอารมณ์เสียเช่นกัน จากนั้นมันก็หันมาไล่บี้ผม
“ตลกแดก..แล้วมึง” ผมกำลังจะพูดตามปกติ แต่พอนึกไปถึงคำสั่งของพี่เนย์ ผมก็ลองพูดควบประโยคเหมือนตอนสั่งเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน

“ทีเวลาด่าล่ะพูดรัวๆได้ มึงนะมึง” ไอ้หมอกมันล็อกคอผม จนแทบจะหายใจไม่ออก แถมยังต้องลำบากเดินลงบันไดทั้งสภาพนั้นอีก
“เดี๋ยวมันก็หายใจไม่ออกตาย หรือไม่ก็มึงสองคน คงจะตกบันไดจนคอหักนี่แหละวะ” ไอ้คินมันบ่น แต่มันน่ะตัวดีเลย ดันมาล็อกคอพวกผมไว้ตรงใต้รักแร้ของตัวเองคนละข้าง แต่ดีนะที่เราเดินมาจนถึงใต้ถุนตึกแล้วน่ะ

“แล้วเจอกันโว้ย” พอมาถึงหน้าตึก พวกมันก็รีบบอกลาผม และทำท่าจะเดินกอดคอกันไปยังพื้นที่สำหรับจอดรถจักรยาน ส่วนผมก็ตั้งท่าจะเดินเข้าไปหาพี่เนย์ที่กำลังนั่งรอผมอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าคณะ พร้อมกับพวกพี่เอ้
“เออไอ้รัน” ไอ้หมอกมันเรียกผมไว้ ผมจึงหันหลังกลับไปมอง

“อย่าไปแอบแทะกันนะมึง กูรอเอาชีทอยู่”
“ไอ้สัส” ผมด่าไอ้หมอก พลางวิ่งไล่เตะไอ้เพื่อนกวนประสาทเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน

“เนี่ย! มึงเวลาด่าล่ะโปรมาก” ไอ้หมอกมันยังพูดไม่หยุด พร้อมกับวิ่งอ้อมหน้าอ้อมหลังไอ้คินยกใหญ่ ผมเลยได้แต่ก้าวซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ตามการหลอกล่อของไอ้เพื่อนบ้านั่น
“พอเลย พวกมึงนี่” ไอ้คินพูดเสียงเข้ม หากแต่การกระทำของมันกลับไม่ได้เข้มตามไปด้วย เพราะแม่งเจ็บชิบหาย ไอ้เวรนี่ก็อีกคน เวลาจะห้ามทัพทีไร แม่งไม่ค่อยจะห้ามแบบปกติหรอก แต่ชอบห้ามแบบตบกะโหลกจนแทบร้าว
แล้วพวกผมจะทำอะไรได้ นอกจากต้องหยุดน่ะสิ เพราะมันเจ็บ!

“ปกติเวลามึงทะเลาะกันแบบคนนึงพูดมาก อีกคนไม่พูด กูก็ปวดหัวจะแย่ แต่พอพวกมึงพูดทั้งสองตัว ไอ้สัส กูล่ะปวดกะบาล แยกย้ายเว้ย มึงไปหาพ่อมึงนู่น ส่วนมึงมากับกูนี่ รู้ว่ามันเขินก็ยังจะล้อไม่เลิก” ไอ้คินว่า พลางลากคอเสื้อไอ้หมอกให้เดินแยกตัวไปยังสถานที่สำหรับจอดรถจักรยานอย่างรวดเร็ว ผมก็เลยต้องเดินเลี่ยงไปหาพี่เนย์ที่กำลังนั่งรออยู่
“เอาไว้มึงได้แทะ กูก็ล้อ ไม่ต้องน้อยใจ” ผมถึงกับหลุดขำ เมื่อแอบได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากเพื่อนทั้งสองคน ที่ยังเดินไปไม่ไกลนัก

“มึงแกล้งอะไรเพื่อนมึงน่ะ?” พี่เนย์ลุกขึ้น พลางเดินเข้ามาถาม พร้อมกับล็อกหัวผมเอาไว้ด้วย
“ผมไม่ได้..แกล้ง” ผมส่ายหน้า พลางเอื้อมไปดึงมือกาวของอีกฝ่ายที่วางแปะอยู่บนหัว ก่อนจะเค้นเสียงพูดจนมันกลายเป็นประโยคที่ไม่ตะกุกตะกักนัก

“สอบเต็มเวลาเลยนะรัน กะดึงมีนเลยใช่มั้ย” หลังจากผมยกมือไหว้พี่ๆทุกคนและทิ้งตัวลงลงนั่งแทนที่พี่เนย์ พี่เอ้ก็ถามกึ่งแซ็วๆ ส่วนพี่เนย์ก็ยืนเอามือท้าวหัวผม เพราะเจ้าตัวไม่มีที่นั่ง
“ทำไม่ได้..มากกว่า..ครับ..ก็เลยคิด..นาน” ผมพยายามพูดให้เป็นประโยคโดยไม่ติดขัดอะไร แต่เพราะประโยคนี้มันยาว ก็เลยกระท่อนแท่นไปสักหน่อย
แต่พี่เนย์ไม่ได้ว่าอะไรก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ

“โห ไม่ได้เจอกันพักเดียว พูดเก่งขึ้นเยอะเลย แบบนี้แหละเนอะ เขาถึงได้กล่าวว่า Success is the sum of small efforts, repeated day in and day out (by Robert Collier)” พี่เอ้ท้าวคางพลางยกยิ้ม คล้ายกับว่าความสำเร็จของผมในครั้งนี้ ทำให้เธอมีความสุข เพราะหนึ่งในความสำเร็จนั้น ก็มีเธอคอยช่วยเหลือ แม้ว่าจะไม่มากมาย แต่การซื้อหนังสือมาให้ผมอ่าน ทั้งๆที่ไม่จำเป็น ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่แล้ว ในเมื่อหนังสือเล่มนึง ราคาไม่ใช่ถูกๆเลย
“…” ผมยิ้มให้พี่เอ้ ก่อนจะยิ้มให้พี่ๆทุกคนที่ก็ยิ้มตามคำพูดของผู้หญิงหนึ่งเดียวของกลุ่ม

“ว่าแต่..ทำไมรอบ..นี้..พวกพี่ถึง..ออก..ก่อนหมดเวลา..ได้ล่ะครับ” ผมถามอย่างสงสัย
“ก็ทำกันไม่ได้ไง เลยต้องออกเร็ว” พี่เปรมพูดขึ้นพลางแอบถอนหายใจอย่างปลงตก ดูท่าวิชานี้คงจะโหดสำหรับพวกพี่เขามาก แม้แต่พี่เนย์ที่ชอบจองคิวออกคนสุดท้ายยังต้องยอมแพ้

“พี่..นะ..เอ ก็ด้วย..เหรอ..ครับ...แปลก..”
“ไอ้ห่านั่นน่ะนะ แม่งก็บ่นว่าทำไม่ได้ตลอดแหละ แต่พอผลออกมา อ้าวมึงนี่มันตัวดึงมีนชัดๆ สาดดดด” พี่ตี๋บาสพูดขึ้น พลางหันไปพูดคำสุดท้ายใส่หน้าคนตัวสูงที่กำลังใช้หัวผมเป็นที่วางแขน

“ของแบบนี้มันอยู่ที่มันสมองเว้ยมึง” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“สัส กวนตีน สอบเสร็จมึงมาดวนกันหน่อยมั้ย เผอิญหมั่นไส้นิดหน่อย” พี่บาสแฟนพี่เอ้ถึงกับด่าเพื่อนตัวเองยกใหญ่ แต่ดูเหมือนตัวดึงมีนที่ว่า จะไม่ได้สะทกสะท้านอะไร

“เอาดิ แต่กูเอาไอ้เด็กนี่อยู่ทีมกู” พี่เนย์ผละออกห่างจากผมครู่เดียว เจ้าตัวก็เอาแขนแข็งๆมาเกี่ยวคอผม เพื่อบังคับให้อยู่ทีมเดียวกัน
“โห ไอ้สัสเนย์ แค่มึงคนเดียวกูก็แย่แล้วป่ะวะ แต่เดี๋ยวนะ ที่กูบอกว่าจะดวนกัน คือกูหมายถึงต่อยครับมึง ไม่ได้หมายถึงแบด สาดดดด” พี่บาสบ่นอุบ เพราะเจ้าตัวเล่นแบดไม่เก่ง

“เอาๆ ตกลงตามนี้นะคะ ไปๆ แยกย้าย” พี่เอ้พูดแทรกขึ้น พลางปรบมืออย่างสนุกสนาน พร้อมกับหัวเราะคิกคักไปด้วย ท่าทางว่าจะกำลังสนุกที่ได้แกล้งแฟนตัวเองไม่น้อย
“โห่ เอ้ ไม่ตลก” พี่บาสบ่น พลางเดินตามแฟนสาวของตัวเองพร้อมกับใบหน้าบึ้งๆ พวกเราที่เหลือก็เลยถือโอกาสแยกย้ายกันกลับหอใครหอมัน

“มึงจะแวะกินอะไรก่อนมั้ย?” พี่เนย์ถามขณะที่เรากำลังเดินตรงไปยังลานจอดรถ
“แซลม่อน..บลูเลม่อน..เลี้ยงด้วย” ผมพูดพลางหันไปมองพี่เนย์อย่างคาดหวัง

“แดกของแพง เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรไม่ทราบ?” พี่เนย์ย้อนถามพลางดันหัวผมจนเซ
“ค่าตัว..ไปเล่นแบด” ผมตอบพลางกลั้วหัวเราะ

“ค่าตัวสูงเนอะ”
“…” ผมยิ้มไม่ปฏิเสธ เพราะวันหน้าผมต้องใช้แรงเยอะนะ จู่ๆเล่นมาทาบทามกึ่งบังคับแบบนี้ ผมก็ต้องเรียกร้องสิทธิของตัวเองบ้าง

“ทีแบบนี้ล่ะทำมามองหน้ากู”
“…” ผมหุบยิ้มแทบจะทันที เมื่ออีกฝ่ายพูดประโยคนั้นออกมา ขณะที่รอบกายก็เริ่มเงียบสงบ เพราะสิ่งๆที่เดียวผมรับรู้ได้ ก็คือความเก้อเขิน

“กูต้องจัดการกับมึงยังไงดี หืม?
“…” พี่เนย์ลงท้ายคำถาม ด้วยคำว่า ‘หืม’ พร้อมด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มในแบบที่ผมมักจะแพ้ทาง จนผมนึกอยากจะบอกกับเจ้าตัวว่า พี่ไม่ต้องลงมือจัดการอะไรอีกแล้ว เพราะตอนนี้ขนาดพี่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร ผมก็แทบจะแย่ ในเมื่อคำลงท้ายเมื่อครู่ มันเป็นคำที่ให้อารมณ์ไม่ต่างจาก ‘ครับ’ ที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่
ซึ่งมันก็เป็นคำที่ไม่ได้หวือหวาอะไร
แต่ผมกลับชอบฟังเป็นพิเศษ

---------------------------------------------------
วันนี้ปั่นได้เร็ว เพราะไม่มีฉากยากอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้ามีฉากยากๆ ก็นานหน่อย สำหรับตอนนี้เพื่อนพี่เนย์กลับมาแล้วค่ะ เค้ายังมีตัวตนกันอยู่ 5555 คาดว่าตอนพิเศษน่าจะยืดมากกว่า 10 ตอนรึเปล่าไม่รู้ค่ะ นี่เพิ่งได้ครึ่งทางเอง 5555
ปล. จริงๆเค้ายังไม่ได้แทะกันครบทุกขั้นตอนนะคะ เห็นมีบางคนตีความผิด เค้าแค่ช่วยเหลือกันในความมืดนิดหน่อย เราไม่อยากเร่งเขียนฉากนี้เร็วนัก เอาแบบค่อยเป็นค่อยไปดีกว่าค่ะ ถ้ามันงงๆ ก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ ไม่ถนัดซีนแบบนั้นเลย

คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี) (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 7 ♥ หน้า 6 (up 25/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-11-2017 23:50:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 7 ♥ หน้า 6 (up 25/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 26-11-2017 01:56:35
น้องจะพูดยาวๆได้แล้วว
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 7 ♥ หน้า 6 (up 25/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-11-2017 10:10:07
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 7 ♥ หน้า 6 (up 25/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 26-11-2017 11:13:50
น้องรันพูดเก่งขึ้นเยอะเลย
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 7 ♥ หน้า 6 (up 25/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-11-2017 15:07:26
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ อธิบายข้อมูลเพิ่มเติม ♥ หน้า 7 (up 26/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 26-11-2017 23:20:31
♥ Fall in you ♥
[!!] ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้องรัน หมอก และพี่บอส (กรณีพูดไม่ได้ + บกพร่องทางการได้ยิน)
*พอดีในเว็บอื่นที่เราลงไว้ มีคอมเมนต์ตั้งข้อสงสัย เราเลยเอามาลงที่นี่ด้วยค่ะ เผื่อหลายๆคนที่อ่านที่นี่ก็อาจจะมีคำถามในใจเช่นกัน*


* กรณีของน้องรัน (พูดไม่ได้ แต่ทำไมออกเสียงได้)
เราต้องขอชี้แจงก่อนนะคะ คือปมของน้องรันเนี่ย เราไม่ได้บอกโต้งๆ ภายในตอนเดียว แต่มันจะมีแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่องเลยค่ะ เราจะค่อยๆคลายออกมาว่าทำไมน้องถึงเป็นแบบนี้ น้องคิดอะไรอยู่ ซึ่งล้วนเป็นบทบรรยายทั้งสิ้นเลยค่ะ

(บทบรรยายที่เกี่ยวข้องกับตัวน้องรัน)
ทั้งนี้เราจะแคปให้เป็นส่วนๆ เลยนะคะ แต่จะขอแปะแค่ลิงค์เพื่อป้องกันคนที่ไม่ต้องการให้สปอยเนื้อหา ซึ่งเราจะมาอธิบายต่อไปอีกว่า ตกลงแล้วทำไมน้องถึงอุทานออกมาได้


https://i.imgur.com/uwLEVGy.jpg
ในส่วนนี้ สามารถตีความได้ว่า น้องคือคนปกติคนหนึ่ง เพียงแค่ ต่อมามีเหตุให้พูดไม่ได้ ซึ่งเรายังไม่ได้เฉลยในตอนนั้น
https://i.imgur.com/xQFrCYY.jpg
สาเหตุที่ทำให้น้องพูดไม่ได้ (คือมันเป็นเชิงอุบัติเหตุที่ส่งผลต่อจิตใจค่ะ)เท่ากับว่าน้องเป็นเด็กที่เคยพูดได้ แต่เพราะเหตุการณ์นี้ มันส่งผลต่อจิตใจอย่างมาก คนที่เคยพูดได้ ก็เลยพูดไม่ได้ ซึ่งก็เท่ากับว่า กล่องเสียงของเขาไม่ได้ถูกทำลาย ดังนั้นการส่งเสียง จึงสามารถทำได้นะคะ เช่นเดียวกับคนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (คนหูหนวก) คือจริงๆแล้ว สาเหตุที่เขาพูดไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยได้ยินเหมือนกับเรา เขาเลยไม่รู้ว่าควรจะต้องออกเสียงยังไง เราจึงสื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจค่ะ (ในส่วนนี้เราอธิบายไว้ตรงพี่บอสกับหมอกค่ะ)
https://i.imgur.com/zkiV0a9.jpg
นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้องพูดไม่ได้ ซึ่งมันเกี่ยวเนื่องกับปมต้นเหตุค่ะ แต่เป็นด้านจิตใจที่มีต่อครอบครัว (จริงๆปมน้องเยอะมากค่ะ แต่จะเฉลยในเรื่องทั้งหมด)
https://i.imgur.com/Inc0y6N.jpg
ทีนี้พอคนเรามีความรัก หรือมีความอึดอัดใจจนทนไม่ไหว เขาจึงเลือกที่จะพูด เราก็จะเขียนให้น้องพูดไม่รู้เรื่อง ใครฟังก็ไม่เข้าใจ

โรคที่น้องรันเป็นในทางการแพทย์คือ
โรค PTSD หรือ Post-traumatic stress Disorder (โรคเครียดหลังประสบเหตุการณ์สะเทือนใจ กับความผิดปกติทางอารมณ์ที่กระทบต่อการดำเนินชีวิต)
ในกรณีของเด็กพญ. เบญจพร ปัญญายง จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า หากผู้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเป็นเด็กเล็ก อายุ 20 เดือน - 6 ปี การสื่อสารจะทำได้ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นผู้ปกครองอาจวินิจฉัยโรคได้จากการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งมักจะพบว่าเด็กจะเสียทักษะทางพัฒนาการที่เคยทำได้ เช่น เคยพูดได้ กลับพูดไม่ได้ ปัสสาวะรดที่นอนทั้งๆที่เคยควบคุมได้ หรือมีอาการแปลกๆเกิดขึ้นใหม่ เช่น กังวลกับการพลัดพราก ก้าวร้าว หรือกลัวสิ่งต่างๆที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ทั้งนี้อาการจะค่อยๆเกิดขึ้นและหายไปได้เองในราวๆ 4-6 สัปดาห์ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ และเมื่อผ่านไปสามเดือนแล้ว เด็กจะรู้สึกดีมากขึ้น แต่หากยังไม่หายก็ต้องบำบัดรักษาแก้ปัญหากันต่อไป โดย
1. บำบัดทางจิตใจ
2. การให้คำปรึกษาครอบครัว

ที่มา : https://t.co/F4QAyP9dOc

***** ในเนื้อเรื่องเรามีบอกอยู่ค่ะว่าน้องเป็นตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ซึ่งน้องยังเด็กมากๆ และที่น้องยังคงเป็นต่อเนื่องมา เราก็ได้แก้ปมไว้แล้วว่าทำไม น้องคิดอะไรถึงไม่ยอมไปรักษา แต่ครอบครัวน้องก็ดูแลน้องนะคะ คุณแม่ลาออกมาเพื่อดูแลน้องเลยค่ะ นั่นจึงรวมไปถึงการที่คุณแม่ไปปรึกษาคุณหมอด้วย จริงๆเรื่องของรันเนี่ยมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางจิตใจมากกว่าค่ะ ไม่ได้เกี่ยวกับน้องเป็นใบ้ อย่างที่คนอื่นๆว่าน้อง เรียกให้เข้าใจง่ายๆก็คือ อาการช็อคค่ะ ซึ่งมันก็จะเกี่ยวเนื่องไปถึงการรักษาให้น้องกลับมาพูดได้อีกครั้ง แต่ทั้งนี้ก็ต้องหลังจากที่สภาพจิตใจของน้องดีขึ้น ซึ่งเราได้มีเขียนเอาไว้แล้วว่าอะไรบางอย่างได้ช่วยให้น้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังมีปมในอยู่ จนทำให้อาการดีขึ้นแค่สภาพจิตใจ

ภาวะเสียการสื่อความ
1. รักษาสาเหตุของภาวะเสียการสื่อความ เช่น การผ่าตัดเมื่อสาเหตุเกิดจากเนื้องอกในสมอง หรือ การใช้ยาต้านเกล็ดเลือดเมื่อสาเหตุเกิดจากสมองขาดเลือด เป็นต้น
2. รักษาด้วยการฝึกพูดและสื่อความหมาย โดยนักฝึกพูดและสื่อความหมายทั้งนี้ กรณีภาวะเสียการสื่อความหมาย เป็นไปแบบไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะค่อยๆดีขึ้น และหายเป็นปกติ แต่ถ้าความผิดปกติเป็นแบบ ภาวะเสียการสื่อความแบบรับรู้และแสดงออกผิดปกติ มักจะหายเป็นปกติยากมาก
ถ้าผิดปกติเฉพาะการพูดหรือการเรียกชื่อ จะเริ่มเห็นว่าอาการดีขึ้นชัดเจนประมาณ 3-6 เดือน แต่กรณีอื่นๆ จะใช้เวลามากกว่า 1 ปี

****** ในเนื้อเรื่องก็ได้มีการเขียนถึงส่วนนี้เช่นกันค่ะ

กรณีหมอก และพี่บอส

(บทบรรยายที่เกี่ยวข้องกับพี่หมอกพี่บอส)
https://i.imgur.com/HHFSrYf.jpg
หมอกเนี่ยเราบรรยายไว้ว่าใส่เครื่องช่วยฟัง เท่ากับว่าหมอกเป็นผู้บกพร่องทางการได้ยินประเภทหูตึงค่ะ
https://i.imgur.com/UmofB8G.jpg
พี่บอส เราบรรยายว่า ไม่ได้ยินและพูดไม่ได้ เท่ากับว่าพี่บอสเป็นผู้บกพร่องทางการได้ยิน ประเภทหูหนวกค่ะ

ผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง บุคคลที่บกพร่องหรือสูญเสียทางการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดเจน ตั้งแต่ระดับรุนแรงจนถึงระดับน้อย
1. หูหนวก หมายถึง สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ และถ้าวัดระดับการได้ยินที่ 500 - 2000 จะมีการพูดตอบสนองของหูข้างที่ดีกว่าต่อเสียงบริสุทธิ์ตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
2. หูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินจนไม่สามารถเข้าใจคำพูดและการสนทนา ซึ่งจำแนกตามเกณฑ์การพิจารณา อัตราการของหูของสมาคมโสต ศอ นาสิก แพทย์แห่งประเทศไทย โดยใช้ค่าเฉลี่ยการได้ยินที่ความถี่ 500,1000 และ 2000 ในหูของที่ดีกว่า เด็กหูตึงจึงแบ่งได้ตามระดับการได้ยิน 4 กลุ่ม
- เด็กหูตึงระดับ 1 มีการได้ยินเฉลี่ย 26 - 40 dB (ตึงเล็กน้อย) จะมีปัญหาในการฟังเสียงเบาๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงจากที่ไกลๆ เด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติในห้องเรียนธรรมดาได้ (หากมีเครื่องช่วยฟังก็จะเป็นประโยชน์มาก) และหากอยู่ในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าคนพูด ดังนั้นเมื่อพูดด้วยเสียงธรรมดาก็จะไม่ได้ยิน หรือได้ยินไม่ชัดจับใจความไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบาหรือเสียงผิดปกติ
- เด็กหูตึงระดับ 2 มีการได้ยินเฉลี่ย 41 - 55 dB (ตึงปานกลาง) จะมีปัญหาในการฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับเด็กหูตึงระดับ 1
- เด็กหูตึงระดับ 3 มีการได้ยินเฉลี่ยน 56-70 dB (ตึงมาก) มีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงที่ดังเต็มที่ ก็จะยังไม่ได้ยิน มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน เช่น เสียงในห้องประชุม มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าเด็กปกติ พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
- เด็กหูตึงระดับ 4 มีการได้ยินเฉลี่ยน 71-90 dB (ตึงรุนแรง) มีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก จะได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆหูในระยะทาง 1 ฟุต ต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง จึงจะได้ยิน และถึงแม้จะใช้เครื่องช่วยฟังก็จะมีปัญหาในการแยกเสียง อาจจะแยกเสียงสระได้ แต่จะแยกเสียงพยัญชนะได้ยาก มักพูดไม่ชัด และมีความผิดปกติ บางคนไม่พูด

ที่มา : https://t.co/kymJAYg960

ทั้งนี้ เราหวังว่าทุกคนจะเข้าใจกันมากขึ้นนะคะ ว่าคนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินเนี่ย ใช่ว่าเขาจะพูดไม่ได้เลย ดูท่าแล้ว จะมีคนเข้าใจผิดเยอะมากค่ะ ทีแรกเราจะไม่เอาบทความทางวิชาการลงนะคะ เราคิดว่ามันคงจะหนักไปสำหรับนิยาย แต่พอเราเห็นคอมเมนต์ในเชิงที่ไม่เข้าใจว่า สรุปแล้วที่น้องรันอุทานเนี่ย ตกลงคือพูดได้หรือไม่ได้ แล้วก่อนหน้าก็ยังมีคนอ่านไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วใครพูดได้บ้างไม่ได้บ้าง เราเลยตัดสินใจนำข้อมูลที่เราหาไว้มาให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ คือก่อนที่เราจะเขียนเรื่องนี้ เราทำการบ้านมาเยอะพอสมควร แต่อาจจะไม่ได้เขียนข้อมูลเชิงวิชาการออกไปโต้งๆ ก็อย่างที่เคยบอกค่ะ สำหรับเรื่องผู้ที่มีความบกพร่อง เราจะใช้คำที่เลี่ยงไม่ให้กระทบต่อความรู้สึกของพวกเขา หลายๆคนจึงอาจจะไม่เข้าใจ แต่ทั้งนี้เราอยากให้ทุกคนอ่านให้ครบทุกตัวอักษรนะคะ ในเนื้อเรื่องเรามีเขียนเอาไว้หมดแล้ว เพราะถ้าหากอ่านไม่ครบ ก็จะไม่เข้าใจลักษณะทางกายภาพของตัวละคร หรือความรู้สึก ความนึกคิดของตัวละครเลยค่ะ และอาจจะทำให้อ่านเรื่องนี้ไม่เข้าใจไปด้วย แต่ถ้าหากยังไ่ม่เข้าใจ สามารถ dm ทวิตเตอร์ @kwang_chomin มาถามได้เป็นการส่วนตัวเลยค่ะ เราจะได้ทราบว่ามุมไหนที่เราพลาดไปบ้าง เพราะโครงหลักของเรื่องคือเราต้องการเน้นที่ภาษามือค่ะ เพราะเราอยากจะเผยแพร่ภาษามือ เราก็เลยไม่ได้ลงลึกตรงส่วนอื่นมากนัก ดังนั้นในเรื่องจึงไม่มีการกล่าวว่าน้องป่วยเป็นโรคอะไร แต่เราคิดว่าเราอาจจะต้องเพิ่มช่วงที่ขาดหายไป ตอนที่น้องไปหาหมอซะแล้วค่ะ อาจจะเป็นในมุมของพี่เนย์ แต่คงต้องรอจบตอนพิเศษก่อน เพื่อให้เรื่องสมบูรณ์มากขึ้นค่ะ เพราะเนื้อเรื่องหลักและตอนพิเศษ เราจะเขียนในมุมน้องรันทั้งหมด น้องจึงพูดหรือคิดโดยใช้อารมณ์สื่อความหมายผ่านการบรรยายค่ะ 
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ อธิบายข้อมูลเพิ่มเติม ♥ หน้า 7 (up 26/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-11-2017 23:36:10
  o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ อธิบายข้อมูลเพิ่มเติม ♥ หน้า 7 (up 26/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 26-11-2017 23:59:20
ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ
 :pig4:

ปล. ส่วนตัวไม่มีข้อสงสัยเท่าไหร่เพราะคนเขียนใส่ไว้ในเนื้อหาครบแล้ว ยังแอบชมในใจเลยค่ะว่าหาข้อมูลมาแน่นดี :katai2-1:

หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ อธิบายข้อมูลเพิ่มเติม ♥ หน้า 7 (up 26/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 27-11-2017 09:38:25
สำหรับการแทะของคนพี่นั้นน น่ารักและสมูทดีนะสำหรับเรา ฮ่าๆ แอบเขินแทนน้องเลย

ข้อมูลเเน่นมากได้ความรู้อีกหลายอย่างเลยอ่ะ

เป็นกำลังใจให้คนเเต่งนะคะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ อธิบายข้อมูลเพิ่มเติม ♥ หน้า 7 (up 26/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 27-11-2017 20:43:36
ฉากในความมืดที่รันพูดได้ไม่มีสะดุด แม้จะน้อยก็แปลกๆนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ อธิบายข้อมูลเพิ่มเติม ♥ หน้า 7 (up 26/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 27-11-2017 23:37:31
ละมุนมาก รักกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 8 ♥ หน้า 7 (up 28/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 28-11-2017 09:12:23
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 8

ยิ่งใกล้ไฟนอลของปลายเทอมนี้มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้น เพราะไหนจะต้องสอบเก็บคะแนนของภาษามือที่มีแทบทุกคาบ แล้วไหนจะโปรเจคของสาขาที่ยังไม่ค่อยคืบหน้าอีก ไหนผมยังจะต้องเดินทางกลับบ้านไปหาหมอ เพื่อประเมินผลการพูดว่ามันคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว จากนั้นก็ต้องรีบเดินทางกลับมายังมหาลัยภายในวันเดียวกัน เพราะว่าวันรุ่งขึ้น ผมมีเรียนวิชาสำคัญซึ่งก็คือภาษามือ จะมาขาดเรียนเหมือนวิชาภาษาอังกฤษที่สามารถกลับมาอ่านทบทวนทีหลังไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าผมจะขาดเรียนไปแค่วันเดียว แต่ภายในหนึ่งวันนั้น ก็ใช่ว่าเนื้อหาจะไม่เยอะ

ติ้ง!

‘หมอว่ายังไงบ้าง?’ ผมที่กำลังนั่งเหม่อเพราะกำลังขบคิดไปถึงเรื่องเรียน ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับหอ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น และเมื่อหยิบขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่าใครอีกคนเขากำลังเป็นห่วง
‘หมอก็ทดสอบการพูดเยอะเลยครับ ทั้งชื่อเดือน ชื่อวัน สูตรคูณ แต่พวกนี้ผมผ่านนะ แต่พอหมอให้ลองพูดแบบเป็นประโยคดู ก็เป็นอย่างที่พี่รู้ หมอเลยแนะนำว่า เวลาไปกินข้าวหรือทำกิจกรรมอะไร ให้ผมมีความมั่นใจ จะได้พูดให้เป็นธรรมชาติ เพราะตอนนี้ผมยังพูดเหมือนกับท่องจำอยู่เลย’ ผมรัวปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดตรงหน้าจอสี่เหลี่ยมอย่างรวดเร็ว ขณะที่ในใจก็แอบท้อแท้
เพราะเหมือนกับว่าตอนนี้ ทุกอย่างมันดูรุมเร้าไปหมด

‘อืม ไม่เป็นไร ค่อยๆฝึกต่อไป นัดประเมินรอบหน้าหมอต้องชมมึงแน่’ ผมอมยิ้มกับคำปลอบใจของพี่เนย์ จากนั้นก็รีบก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว
‘ครับ’

‘กว่าจะถึงหออีกนานหรือเปล่า หิ้วท้องมากินที่นี่ไหวมั้ย วันนี้กูไม่ขี้เกียจ จะทำมื้อเย็นให้ ฝากชวนแม่มึงด้วย’ ผมอ่านข้อความของพี่เนย์ พลางกระพริบตาปริบๆ เพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา
เพราะตอนนี้ ความอ่อนโยน ความใส่ใจของพี่เนย์ มันทำให้ผมอยากจะร้องไห้ อยากจะปลดปล่อยความอึดอัดในใจทุกๆเรื่อง แต่ที่หนักสุดก็คงจะเป็นผลตรวจของตัวเอง ที่ยังคงเหมือนย่ำอยู่กับที่
แม้ว่าคุณหมอจะพูดปลอบใจแล้วว่า อันที่จริงผลการประเมินมันก็พอจะคืบหน้าอยู่บ้าง

แต่เพราะผมรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าจริงๆแล้ว มันอาจจะไม่คืบหน้าเลย ถ้าหากพี่เนย์ไม่ได้พูดกระตุ้นแบบกึ่งบังคับ ให้ผมลองฝึกพูดแบบควบประโยค รอบนี้ผมก็อาจจะถูกคุณหมอดุเอาได้
ในเมื่อรอบก่อน ตอนช่วงวันหยุดที่ผมเคยไปรับการประเมินครั้งที่สอง ผมก็พูดแบบกระท่อนกระแท่นทีละคำๆ นี่แหละ ซึ่งคุณหมอก็เคยให้คำแนะนำมาแล้ว แต่พอผมลองกลับมาทำด้วยตัวเองดู ก็พบว่ามันยากมากๆ ผมก็เลยชอบแอบมาฝึกพูดแค่ตอนอาบน้ำ เหมือนกับตอนที่คุณหมอให้ผมลองฝึกบริหารปากนั่นแหละ
จึงทำให้พี่เนย์ต้องยื่นคำขาดแบบนั้น

พูดง่ายๆก็คือ เรื่องการฝึกพูด พี่เนย์จะแอบซีเรียสมากๆ เพราะปกติพี่เขาจะไม่ค่อยออกปากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ถ้าหากมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริงๆ เหมือนกับช่วงที่อีกฝ่ายไม่เห็นผมฝึกบริหารปากนั่นแหละ เพียงแต่รอบนี้ พี่เขาแค่เตือนเหมือนกับพูดเล่นๆ
ซึ่งถ้าหากได้ลองนึกย้อนกลับไป ก็จะรับรู้ได้ทันทีว่า จริงๆแล้ว พี่เนย์เขาแอบดุผมอยู่นะ เพราะแววตาของอีกฝ่ายไม่ได้มีรอยยิ้มอยู่ในนั้นเหมือนทุกครั้ง และการที่ผมย้อนถามกลับไปในทำนองที่ว่า ‘พี่กล้าลงโทษผมเหรอ’ พี่เนย์ก็ตอบกลับมาด้วยความจริงจัง ทั้งจากภาษามือและคำพูด ซึ่งมันก็เท่ากับว่า นั่นคือบทลงโทษที่แท้จริงของคนที่ไม่ยอมเชื่อฟัง แต่กว่าผมจะรู้ตัว เรื่องมันก็ผ่านมาได้สักพักแล้ว แถมพี่เนย์ก็ยังกระตุ้นพัฒนาการทางด้านการพูดของผมจนสำเสร็จไปแล้วด้วย
แม้ว่าในตอนนั้น ผมจะไม่รู้ตัวเลยก็ตาม
ว่าอีกฝ่ายกำลังแอบอบรมผมอยู่เงียบๆ

‘ผมหิ้วท้องไปกินไหวครับ เดี๋ยวถ้าใกล้จะถึงแล้ว ผมจะไลน์ไปหาอีกทีนะ’

ประมาณทุ่มกว่าๆ ผมก็มาถึงที่หอพี่เนย์ โดยที่คุณแม่ก็เอาแต่แซ็วผมไม่หยุด เรื่องจะรอไปกินข้าวกับอีกฝ่าย ผมเลยต้องอธิบายให้แม่ฟังจนเข้าใจ ว่าพี่เนย์เขาอยากจะทำอาหารปลอบใจเรื่องการฝึกพูด แล้วอีกอย่างแฟนผมเขาไม่ใช่คนที่จะทำอาหารให้ใครกินง่ายๆนะ ถึงเพื่อนจะขอร้อง บังคับ หรืออะไรก็ตาม ถ้าหากเจ้าตัวขี้เกียจก็จะไม่ยอมทำเด็ดขาด
ขนาดมีครั้งนึง พี่เนย์เขาถึงกับโทรมาจองตัวผมเลย แต่ตอนนั้นผมไม่สะดวกจะตอบรับคำเชิญ จำได้ว่าวันนั้น อีกฝ่ายถึงกับทำเสียงหงอยๆ แต่หลังจากนั้น พี่เขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นอีก ซึ่งผมก็ยังไม่ลืมหรอก แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่ ว่าอาหารฝีมือของคุณอาคเนย์เขาน่ะ ใช่ว่าใครจะได้กินกันง่ายๆ ผมก็เลยไม่อยากจะทักท้วง รอให้เจ้าตัวเขาออกปากอยากทำเอง มันก็น่าจะดีกว่า

“แม่ไม่อยากกลับดึก ยังไงแม่ฝากขอโทษพี่เนย์เขาด้วยนะรัน”
“ครับ ขับรถดีๆ..นะครับ ถึงแล้ว..ไลน์มาบอก..ผมด้วย” ผมก้มหน้าลงไปในระดับเดียวกับคุณแม่ ที่ลดกระจกลงจนเกือบสุด จากนั้นคุณนายระพี ก็ขับรถออกจากหอพักของพี่เนย์ ส่วนผมก็หันหลังและเดินเข้าไปยังตัวอาคารอย่างรวดเร็ว
เพราะว่าวันนี้ผมดันกลับมาถึงหอช้ากว่าที่คิด

คลิก

“ถึงแล้วครับ” ผมไขกุญแจ พลางแทรกตัวเข้าไปในห้อง พร้อมกับพูดแสดงการมีตัวตนอย่างสดใส อีกทั้งคำพูดในประโยคนี้ ก็ยังฟังดูเป็นธรรมชาติมากๆ ด้วย
“วันนี้พี่..ไม่ได้เบี้ยว..ผมใช่มั้ย?” ผมถอดรองเท้า พลางถามคนที่กำลังนั่งหันหลังเกลากีตาร์เล่นอยู่ตรงปลายเตียง

“กูบอกแล้วไง ว่าวันนี้กูไม่ขี้เกียจ เออ แล้วคุณแม่ของมึงล่ะ” พี่เขาถามนิ่งๆ จากนั้นก็หยุดกิจกรรมส่วนตัว เพื่อมาทำอาหารง่ายๆจากไมโครเวฟให้ผมกิน ซึ่งพ่อครัวหัวป่าเขาบอกไว้ว่า ไม่อยากจะทำไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวมันชืดแล้วจะกินไม่อร่อย
“แม่ฝากมา..ขอโทษครับ..พอดีแม่กลัว..จะถึงบ้าน..ดึก” พอพี่เนย์พยักหน้ารับรู้ ผมก็ตัดสินใจไปอาบน้ำ รออีกฝ่ายที่กำลังจะทำมื้อค่ำให้กิน

ซึ่งครั้งนี้ ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานพอสมควร เพราะผมจะลองฝึกพูด ให้มันดูเป็นธรรมชาติแบบเมื่อครู่ แต่ผลการฝึกก็คือทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และส่วนใหญ่ที่ทำไม่ได้ ก็เพราะผมเลือกจะพูดควบประโยคทีเดียวถึงสี่คำ
“พี่ทำอะไร..ให้ผมกิน..เหรอครับ” ผมเดินไปยืนเช็ดหัว ตรงโต๊ะญี่ปุ่นสำหรับตั้งไมโครเวฟ พลางมองวัตถุดิบต่างๆ ที่วางเกลื่อนอยู่เต็มโต๊ะตัวนั้น ขณะที่พี่เนย์กำลังเอาเนื้อไก่ที่ผ่านการอบมาแล้ว ไปเรียงไว้ในถ้วยใบหนึ่งที่มีข้าวสวยสีขาวถูกโปะหน้าด้วยผักที่ก็ผ่านการเวฟมาแล้ว

“โอยาโกะด้ง” พี่เนย์ตอบสั้นๆ พลางคว้าถ้วยที่ใส่ไข่ไก่เอาไว้หนึ่งฟอง ส่วนอีกฟองพี่เขาเอาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ตอกไข่ใส่ลงในถ้วยใบเดิม พร้อมปรุงรสอีกนิดหน่อย และใส่ต้นหอมลงไป แล้วก็นำไปราดลงในถ้วยใบหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นถ้วยสำหรับนำมาเสิร์ฟผม ก่อนจะเอาเข้าเวฟ ผมจึงนำผ้าเช็ดตัวไปตาก แล้วก็พาตัวเองกลับมานั่งรอบนเตียง เพราะไม่อยากจะเข้าไปเกะกะอีกฝ่าย
“มึงแลจะชอบอาหารญี่ปุ่น กูเลยจะทำเมนูนี้ให้” พี่เนย์หันมาพูดกับผม พร้อมด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเจ้าตัวก็หันกลับไปเฝ้ามองตัวเลขที่ค่อยๆนับถอยหลังลงเรื่อยๆ กระทั่งกลายเป็นเลขศูนย์ เครื่องไมโครเวฟก็ส่งเสียงร้องออกมา พี่เนย์จึงเปิดฝาและใส่ถุงมือกันความร้อน ก่อนจะหยิบถ้วยโอยาโกะด้งออกมา จากนั้นก็ตั้งอกตั้งใจทำอะไรบางอย่างกับจานนั้นอีกครั้ง แล้วก็นำเข้าไมโครเวฟอีกรอบ

“แล้วพี่กินข้าว..หรือยังครับ” ผมย้ายตัวเองลงมานั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นสำหรับทานข้าวตรงมุมห้องใกล้ๆระเบียง จากนั้นก็ถามไถ่พ่อครัวหัวป่าที่เขานำอาหารมาเสิร์ฟด้วยความเป็นห่วง เพราะกว่าจะทำได้แต่ละจานก็ใช้เวลานานมาก
“กินแล้ว ก็ตอนนั้นมึงบอกให้กูหาอะไรกินก่อนไม่ใช่หรือไง?” พี่เนย์ถอดถุงมือกันความร้อนออก พลางเดินเอาไปวางไว้ตรงหลังเตาไมโครเวฟ

“ครับ..ทำไมพี่เป็น..เด็กดีจัง” ผมย้อนถามพี่เนย์ พลางตักข้าวโอยาโกะด้งเข้าปากคำแล้วคำเล่า
“ใครจะเหมือนมึง ดื้อเงียบ วันนี้เป็นหนูจำไมเหรอ” คุณพ่อครัวหัวป่าเขาก็รีบย้อนกลับมาทันที ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูด มันคือเรื่องจริงที่ไม่อาจเถียงได้

“หมอบอกให้..ฝึกพูดให้..เป็นธรรม..ชาติ..ไงครับ” ผมพูดคุยตอบโต้กับพ่อครัวหัวป่าที่กำลังทยอยหยิบจานที่ใช้สำหรับเตรียมวัตถุดิบไปเก็บล้างตรงระเบียงห้อง
“แต่ทำไมกูรู้สึกเหมือนมึงกำลังกวนตีนกูวะ” พี่เนย์ที่กำลังล้างจานรีบตะโกนตอบกลับมาทันที ผมที่กำลังกินข้าวฝีมือเจ้าตัวก็เลยได้แต่แอบอมยิ้มจนเต็มแก้ม

“เปล่าสักหน่อย” ผมแก้ตัว จากนั้นก็รีบกวาดทุกอย่างในถ้วยโอยาโกะด้งลงท้อง ก่อนจะรีบนำถ้วยเปล่าเลอะๆนั่น ไปส่งให้อีกฝ่ายที่กำลังล้างจาน พร้อมกับย่อตัวลงนั่งยองๆ อยู่ตรงปากประตู
“เป็นอะไรของมึง” พี่เนย์ถาม พลางนำจานที่เลอะฟองน้ำยาล้างจาน ไปล้างน้ำเปล่าจากปลายก๊อก ก่อนจะยื่นจานสะอาดเอี่ยมมาให้ผมที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเจ้าตัว แถมยังไม่ไกลจากที่คว่ำจานด้วย

“ผมแค่คิด..ว่า..วันนี้ผม..โชคดีจัง..ที่ได้กินอาหาร..ฝีมือพี่..นะ..เอ” ผมอธิบาย พลางขยับมานั่งยองๆตรงปากประตูอีกครั้ง เพื่อรอรับจานใบต่อๆไป
“รู้ไว้ก็ดี พลาดแล้วพลาดเลย เพราะกว่าจะได้กิน มึงต้องรอให้กูขยันก่อนนะ เพราะกูขี้เกียจมานั่งล้างจานนี่แหละ” พี่เนย์ว่าพร้อมกับยื่นจานอีกใบส่งมาให้

“แม่ผม..ก็ชอบ..บ่นแบบนี้..เวลาทำ..อาหารเสร็จ” ผมพูดพลางกลั้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“นั่นแหละ หัวอกของคนทำอาหาร ตอนทำก็มีความสุข แต่ตอนเก็บล้างนี่มันนรกชัดๆ” คุณพ่อครัวเขาพูดขึ้นขณะที่จานใบสุดท้ายก็ถูกล้างน้ำเปล่าจนสะอาดเอี่ยม อีกฝ่ายจึงส่งมาให้ จากนั้นก็สะบัดน้ำใส่หน้าผมที่ยังไม่ทันได้ขยับไปไหน เท่านั้นไม่พอ ร่างสูงยังลุกขึ้นยืนพร้อมกับวางฝ่ามือลงบนศีรษะของผมและขยี้มันเบาๆ จนหัวของผมมันยุ่งไปหมด
แต่ว่าก็ว่าเถอะ เมื่อกี้ผมเพิ่งจะสระผมไปเองนะ

“พี่ครับ..เราจะพูดยังไง..ให้ดูเป็น..ธรรมชาติ..ไม่เหมือนกับ..ท่องจำ..ดีครับ” ผมชันเข่าทั้งสองข้างบนที่นอน ส่วนสองแขนก็กอดเข่าเอาไว้แน่น พลางวางปลายคางเอาไว้ที่หัวเข่า ขณะที่สายตาก็มองจ้องไปยังชายหนุ่มในเสื้อยืดสีดำสนิท ที่กำลังเช็ดโต๊ะตรงหน้าเตาไมโครเวฟ
“ให้ใช้ความรู้สึกมั้ง ประมาณว่ามึงต้องเข้าใจในประโยคที่มึงพูดด้วย แต่จริงๆกูว่าหมอน่าจะหมายถึงให้มึงมั่นใจในตัวเองเวลาที่มึงพูด ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็ขอให้ฝึกให้สม่ำเสมอมันจะได้เคยชิน แล้วคำไหนที่พูดไม่ได้ก็น่าจะให้พูดย้ำๆ เพื่อที่มึงจะได้บริหารปากของตัวเองบ่อยๆ ความคล่องตัวจะได้กลับมาไง” พี่เนย์อธิบายในมุมมองของตัวเอง จากนั้นก็ลุกเดินออกไปข้างนอกระเบียงเพื่อไปซักผ้าขี้ริ้วและตากให้เรียบร้อย

“แต่เวลาที่..ผมพูด..สมองของผม..ก็ต้องคิดถึง..ไวยากรณ์..ของภาษามือ..เพราะผมต้อง..ฝึกทั้งสอง..อย่างพร้อมๆ..กัน” ผมเม้มปากพลางอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจปัญหาของผม ที่มันซับซ้อนกว่านั้น ซึ่งมันก็จำเป็นต่อผมทั้งสองอย่าง
“แต่ส่วนใหญ่เวลาที่มึงอยู่กับกู มึงก็ไม่ค่อยได้ฝึกภาษามือแล้วไม่ใช่เหรอ มึงก็ลองใช้เวลาที่มึงอยู่กับกู สนใจแต่เรื่องการพูดก็ได้ ส่วนตอนอยู่กับเพื่อน มึงจะฝึกภาษามืออย่างเดียวก็ได้ ของแบบนี้มันเปลี่ยนวิธีการกันได้เว้ยรัน เพราะถ้ามึงทำแบบนั้นแล้วไม่โอเค มึงก็ลองแบบใหม่ เดี๋ยวมึงก็เจอความพอดี ที่มันพอเหมาะกับมึงเองน่ะแหละ คนบางคนเขาอาจทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน แล้วทำได้ดีเท่าๆกัน แต่กับคนบางคนเขาต้องทำทีละอย่าง มันถึงจะออกมาดีทั้งคู่ ตอนนี้มึงอาจจะเป็นคนประเภทที่สองไงรัน เราก็แค่ต้องปรับวิธีการกันใหม่แค่นั้นเอง” พี่เนย์เดินมาหาผม พลางวางมือลงบนศีรษะแน่นิ่ง น้ำตาที่กำลังคลออยู่บนหน่วยตาของผมมันก็พาลจะไหล เพราะผมรู้สึกเครียดมาก แต่ผมก็พยายามที่จะไม่ร้องไห้

“นอนดิ เดี๋ยวกูร้องเพลงให้ฟัง วันนี้ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว” พี่เนย์เขาออกคำสั่ง พลางบังคับให้ผมนอนลงบนเตียง จากนั้นเจ้าตัวก็เดินไปหยิบกีตาร์ที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่งของเตียง ก่อนจะเดินกลับมานั่งบนพื้นที่อันน้อยนิดที่อยู่ใกล้ๆผม โดยที่นักดนตรีมือสมัครเล่น เขาก็หันหน้าเข้าหาผู้ฟังท่ามกลางพื้นที่อันจำกัด

พี่เนย์เปิดหาคอร์ดกีตาร์ของเพลงที่เจ้าตัวจะเล่นในโทรศัพท์มือถืออยู่พักใหญ่ จากนั้นเสียงเกลากีตาร์ก็ดังขึ้น และตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ขับร้องบทเพลงที่ผมไม่เคยฟังทีละท่อน จนผมต้องแอบเมมโมรี่ไว้ในใจว่า บทเพลงๆ นี้อีกไม่นานก็คงจะเป็นอีกเพลง ที่ผมจะต้องเปิดฟังบ่อยๆ ในช่วงเวลาที่ไม่มีพี่เขาอยู่ใกล้ๆ

บนหนทางที่ผ่าน เจอเรื่องราวต่างๆ เท่าไร
อาจมีทั้งลบ หรือดีแค่ไหน
เมื่อฉันเลือกแล้ว ว่าฉันจะต้องข้ามไป

ผ่านดวงดาว บินขึ้นไปบนฟ้า
จนถึงท้องนภา มองเห็นแสงจันทรา
จับมือเธอ ท่องไปตามความฝัน
มันช่างสวยเหลือเกิน ทางที่ฉันเลือกเดิน


พี่เนย์เงยหน้าขึ้นมามองผมพลางยกยิ้มให้ คล้ายกับพี่เขาต้องการจะบอกว่า การที่เจ้าตัวอยู่ข้างๆ ผมไม่ว่าจะในเวลาไหน มันก็เป็นทางเลือกที่สวยงามที่สุดแล้ว

ฝนกำลังเริ่มตก ฟ้ากำลังเริ่มเปลี่ยน
เหมือนจะเป็นบทเรียน ชีวิต ให้เราได้เรียนรู้
ชีวิตคือการรู้จัก ชีวิตคือการเริ่มใหม่
ทักทายวันสดใส แล้ววิ่งออกไปทำความฝัน


(หนึ่ง – วัชราวลี)

ดูเหมือนนักดนตรีมือสมัครเล่นเหมือนเขาจะเล่นไม่จบเพลง เพราะจู่ๆก็หยุดเล่นไปดื้อๆ ทั้งๆที่เพิ่งจะเริ่มเล่นไปได้ไม่นานเท่าไหร่ สาเหตุคงเป็นเพราะเนื้อเพลงที่เจ้าตัวต้องการจะสื่อมันมีอยู่แค่นี้

“เรามาเริ่มต้นพยายามกันใหม่นะรัน ค่อยๆปรับ ค่อยๆจูนกันไป สักวันเราต้องไล่ตามความฝันที่เป็นเหมือนความสำเร็จได้แน่ๆ มึงอย่าลืมสิ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มึงอยากเป็นล่ามภาษามือ หรือว่าเรื่องของการฝึกพูด กูก็พร้อมจะอยู่ข้างๆมึงตรงนี้ ตรงที่เดิมไง” พี่เนย์วางกีตาร์ลงกับพื้นข้างเตียง ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะต้นขาของผมเบาๆ พลางพูดปลอบใจจนน้ำตาที่เคยเหือดแห้งไป เริ่มกลับมาคลอที่หน่วยตาอีกครั้ง
“…”

“กูรู้ว่าตอนนี้มึงกำลังท้อ กำลังเหนื่อยใจ แต่ของอย่างนี้มันต้องใจเย็นๆนะรัน”
“…” ทันทีที่พี่เนย์พูดประโยคนั้นจบ น้ำตาของผมก็หยดแหมะลงบนที่นอนอย่างไม่คิดที่จะเขินอายอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เพราะผมอดกลั้นความรู้สึกท้อแท้ทั้งจากการเรียนภาษามือ และการฝึกพูดมาสักพักแล้ว
จนกระทั่งผลการประเมินมันดูท่าจะไม่คืบหน้า ความอัดอั้นตันใจทั้งหลายก็เริ่มตีตื้นขึ้นมา จนกระทั่งมีใครสักคนมาคอยพูดปลอบใจ ความอ่อนแอมันก็เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ

“…” ยิ่งพี่เนย์โน้มตัวลงมากอดและจูบแก้มของผมเบาๆ ผมก็ยิ่งสะอื้นจนตัวสั่น เพราะความอ่อนโยน มันทำให้ผมแพ้ แพ้ไปหมดทุกอย่าง
“ผม..ท้อ..ฮึก..ท้อมาก..ฮึก..ผมเหนื่อย” ผมพูดไปสะอื้นไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันอัดอั้นจนผมรู้สึกเหมือนกับโลกทั้งใบมันหล่นทับ จนผมแทบหายใจไม่ออก เนื่องจากปัญหาของผมมันเยอะเกินไป
เยอะจนผมรู้สึกท้อที่จะรับมือกับมัน

“วันนี้ไม่ต้องคิดอะไรแล้วนะรัน เชื่อพี่” พี่เนย์กระซิบชิดใบหน้า พลางจูบซับน้ำตาของผมไม่หยุด แต่ผมกลับห้ามตัวเองไม่ให้อ่อนแอไม่ได้ เพราะมันคล้ายกับว่า พอเราได้ปลดปล่อยออกมาแล้ว มันก็ต้องปล่อยให้สุด
“เชื่อพี่นะ” พี่เนย์ย้ำกับผมอีกรอบ แต่ผมก็ยังไม่เชื่อฟัง จนกระทั่งอะไรบางอย่าง มันตกกระทบลงบนใบหน้าของผม ส่งผลให้การกระทำทุกอย่างเริ่มหยุดนิ่งลง เพื่อคิดตริตรองว่าความรู้สึกเมื่อครู่นี้มันคืออะไร
คงไม่ใช่ว่า..
พี่เนย์เขาปลอบผม จนพี่เขาไม่อาจกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ได้หรอก ใช่มั้ย?


----------------------------------------------------------------

โอยาโกะด้ง คือข้าวหน้าไก่ สไตล์ญี่ปุ่น
เท่าที่ทราบมา คนที่เรียนสาขาเดียวกับรัน ถึงกับเสียน้ำตาเพราะความยากของภาษามือกันเยอะ ดังนั้นน้องรันที่ต้องฝึกทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน พร้อมกับอะไรหลายๆอย่างที่เข้ามารุมเร้า ก็เลยกดดัน เครียด จนทำให้รู้สึกท้อแท้และเหนื่อยใจมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ 
ปล. เห็นมีคอมเมนต์บอกว่าสะดุดตรงที่น้องรันพูดแบบไม่มีจุด ในตอนพิเศษ 6 เดี๋ยวเราจะแก้อยู่ค่ะ แต่จริงๆ อันนั้นมันคือความคิดทั้งหมดเลยค่ะ จะมีความเป็นจริงแค่ช่วงที่สามเพื่อนซี้มารวมตัวกัน แต่มีคนบอกแล้วว่าน่าจะมีจุดแค่ตรงช่วง '...' จะดีกว่า
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 8 ♥ หน้า 7 (up 28/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-11-2017 13:18:47
 :L2: :L1: :pig4:

กำลังใจ สำคัญมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 8 ♥ หน้า 7 (up 28/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-11-2017 14:13:18
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 8 ♥ หน้า 7 (up 28/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 28-11-2017 14:56:11
พี่เนย์นี่ผู้ชายอบอุ่นมากอ่ะ เป็นกำลังใจสำคัญเลยนะเนี่ย น้องรันสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 8 ♥ หน้า 7 (up 28/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 29-11-2017 07:43:11
เราเพิ่งมาเจอ เราน่าจะเจอกันเร็วกว่านี้ เรานับถือคุณมากในการเล่นประเด็นนี้ ซึ่งมันแปลกใหม่สำหรับเรามาก หาข้อมูล การเรียบเรียงปมต่างๆของแต่ละตัวละคร วิธีการก้าวข้ามปัญหาของตัวละคร แง่มุมต่างๆของคนที่บกพร่องและไม่บกพร่องมันสวยงามและลื่นไหลดีมากกกก นอกจากเป็นนิยายที่อบอุ่นหัวใจแล้ว มันยังได้ความรู้และความเข้าใจด้วย ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 8 ♥ หน้า 7 (up 28/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-11-2017 10:45:15
 :pig4: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 9 ♥ หน้า 7 (up 30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 30-11-2017 15:55:51
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 9

“ทำอะไรครับ?” ผมงัวเงียลุกขึ้นมานั่งบนที่นอน พลางออกปากถามใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้อง ที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ตรงหน้าเตาไมโครเวฟ
“วันนี้กูขยัน ไม่ต้องเข้ามอเช้าก็ได้” พี่เนย์หันมาตอบเพียงครู่ จากนั้นร่างสูงในเสื้อยืดสีดำสนิทก็หันกลับไปสนใจกิจกรรมของตัวเองต่อ ส่วนผมก็ล้มตัวลงนอนตามที่อีกฝ่ายแนะนำอย่างว่าง่าย โดยไม่ได้นึกแปลกใจอะไร เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดของพี่เขา ดังนั้นเจ้าตัวจะขยันตั้งแต่เช้า มันก็ไม่แปลก เพราะถึงยังไงก็ยังมีเวลาพักอีกถมเถ

ผมยังไม่หลับ อาจเป็นเพราะเคยชินกับการที่ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อรีบอาบน้ำแต่งตัว และเผื่อเวลาในการกินข้าวเช้า ที่ร้านใกล้ๆหอ หรือที่โรงอาหารกลาง ดังนั้นเวลานี้ ผมจึงทำเพียงแค่หลับตา เลยทำให้รู้ว่าช่วงเวลาที่ผมไม่รู้สึกตัว พี่เนย์เขาแอบใช้ฝ่ามือใหญ่ๆคู่นั้น ลูบศีรษะของผมอย่างแผ่วเบา ซึ่งการกระทำแบบนี้ มันสามารถเป็นไปได้ทั้งสองทาง ในทำนองว่า เพราะเรื่องเมื่อวาน ทำให้พี่เขารู้สึกไม่ดี ก็เลยอยากจะปลอบใจและให้กำลังใจผมในแบบของตัวเอง หรือในอีกกรณีนึง มันก็อาจจะเป็นเพราะ อีกฝ่ายเขาชอบแอบทำแบบนี้กับผมจนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะผู้ชายอบอุ่นคนนี้เขาก็มักจะตื่นเร็วกว่าผมเสมอ
แต่จะเป็นเพราะแบบไหนก็ช่าง ยังไงผมก็ชอบความอบอุ่นของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ อยู่ดี

“เออ วันนี้พวกกูว่าจะไปนั่งทำสัมมนาที่ร้านกาแฟต่อ แล้วก็อาจจะกลับมาทำที่ห้องด้วย เลยคิดว่าจะทำมื้อเย็นกินกันเอง มื้อนี้กูเป็นเจ้ามือ เพราะกูยกเลิกท้าดวนแบดไปแล้ว กูว่าจะชวนพวกไอ้บอส ไอ้ทีมมาด้วย มึงเองก็ชวนเพื่อนมึงมาด้วยสิ” หลังจากผมอาบน้ำเสร็จภายในเวลาเจ็ดโมงครึ่ง เพราะบังคับให้ตัวเองนอนต่อไม่ได้ ผู้ชายในชุดเสื้อยืดสีดำเขาก็กลับไปง่วนอยู่ตรงหน้าเตาไมโครเวฟอีกครั้ง พลางเริ่มต้นคำเชิญชวนแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ซ้ำยังเผื่อแผ่คำเชิญนั้นไปถึงเพื่อนของผมด้วย
“ผมจะลอง..ชวนดู..แล้วกันครับ..ไม่แน่ใจ..ว่าพวกมัน..จะว่างหรือเปล่า” ผมตอบพลางเดินไปหวีผมให้เข้าที่เข้าทางตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ที่พวกเรามักจะเรียกมันว่าโต๊ะเขียนหนังสือ

“ยังไงมึงบอกกูอีกทีแล้วกัน จะได้ซื้อของให้มันพอดีคน”
“ครับ” ผมตอบพลางเดินอ้อมไปนั่งรออยู่ตรงหน้าโต๊ะญี่ปุ่นใกล้ๆกับประตูบานเลื่อนที่เชื่อมไปยังราวระเบียงสำหรับซักล้าง ขณะที่พี่เนย์ก็นั่งจ้องตัวเลขที่ค่อยๆนับถอยหลังตรงหน้าเตาไมโครเวฟ ผมจึงนั่งจ้องแผ่นหลังของอีกฝ่ายนิ่งๆ ท่ามกลางความเงียบอีกที จนกระทั่งเสียงร้องเตือนของเครื่องใช้ไฟฟ้าดังขึ้น สายตาของผมจึงปรับเปลี่ยนโฟกัสไปที่อื่น

“ทำไมช่วงนี้..พี่ไม่ค่อยชวน..ผมไปซื้อ..อาหารให้..เขี้ยวกุด..เลยครับ..รอบก่อน..พี่ซื้อมาเยอะเหรอ” ผมถามพี่เนย์ด้วยความสงสัย
“ช่วงนี้กูออกไปนั่งทำสัมมนาข้างนอกบ่อยๆไง กูเลยแวะซื้อเข้ามาเลย” พี่เนย์ว่าพลางเดินเอาเมนูอาหารเช้ามาเสิร์ฟ ก่อนจะเดินกลับไปหยิบอาหารเช้าอีกถ้วยมาวางตรงที่ว่างฝั่งตรงข้าม

“กินนมมั้ย กูจะได้อุ่นเผื่อ” พี่เนย์เดินไปเปิดตู้เย็นที่อยู่ข้างๆโต๊ะญี่ปุ่นสำหรับวางเตาไมโครเวฟ
“ครับ”

“เออ มึงไปเปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดมันหน่อย แล้วก็ดูด้วยว่ามันกินอาหารหมดหรือยัง ช่วงนี้กูให้มันทีเดียวอาทิตย์นึงเลย เพราะกูไม่ค่อยว่างเท่าไหร่” พี่เนย์เทนมใส่ลงในแก้วอ้วนๆ สีขาวสะอาดสองใบ จากนั้นก็นำมันเข้าไปอุ่นเพียงครู่ ส่วนผมก็ลุกขึ้นไปดูเจ้าเขี้ยวกุดตามที่พี่เขาสั่ง
“พี่ให้..จิ้งหรีด..หรือไส้เดือน..ครับ” ผมก้มลงดูความเป็นไปในตู้กระจก แต่ก็ไม่พบเหยื่อที่ว่า แถมยังไม่เห็นเจ้าเขี้ยวกุดด้วย ท่าทางวันนี้มันจะตื่นสาย

“กูให้หนอน” พี่เนย์ถือแก้วอ้วนๆ โดยใช้ถุงมือกันความร้อนเข้าช่วย ก่อนจะนำมาวางยังโต๊ะสำหรับทานมื้อเช้าของเราทีละใบ ขณะที่เจ้าตัวก็ตอบคำถามของผมไปด้วย
“ไม่มีแล้ว..นะครับ” ผมตอบ พลางเอื้อมมือไปเปิดเครื่องทำความชื้น ไม่นานควันสีขาวก็ลอยคลุ้งอยู่เต็มตู้ จากนั้นละอองฝ้าก็พากันเกาะบานกระจกใสเป็นแถบๆ ส่งผลให้ต้นไม้ภายในนั้นดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น แต่เจ้าเขี้ยวกุดแสนขี้เซาก็ยังไม่ยอมโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อนตัว

“มากินไข่ถ้วยดิ ยังไม่ถึงเวลา ต่อให้เอาอาหารไปล่อก็เถอะ เจ้าเขี้ยวกุดมันก็ไม่ยอมออกมาหรอก”
“วันนี้..พ่อเจ้าเขี้ยวกุด..คิดยังไง..ถึงทำมื้อ..เช้ากินเอง..ครับ..ขอสัมภาษณ์..หน่อย” ผมทิ้งตัวลงนั่ง พลางกำมือเหมือนไมโครโฟน ยื่นไปจ่อตรงริมฝีปากของใครอีกคน พลางยกยิ้มอย่างที่ชอบทำ

“กินๆไปเถอะน่า จะสงสัยอะไรมากมาย” พี่เนย์เขาบ่นอุบ พลางขมวดคิ้วมุ่น ซ้ำยังปัดมือผมออกห่างจากตัวเองอีก จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินไข่ถ้วย ฝีมือของตัวเองไม่หยุด ผมจึงได้แต่อมยิ้ม ก่อนจะหันกลับมาสำรวจเมนู ‘ไข่ถ้วย’ ที่ว่าแบบละเอียด ซึ่งส่วนประกอบของมันก็จะมีขนมปัง ไข่ไก่ ชีส แฮม โดยพ่อครัวหัวป่าเขาใช้ขนมปังรองตรงก้นแก้ว และมีแฮมกับชีสที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ วางประดับตกแต่งอยู่รอบๆ ปากแก้วอ้วนๆ ขณะที่ตรงกลางก็ถูกเติมเต็มด้วยไข่ยางมะตูมหน้าตาน่าทาน
“ขอบคุณ..นะครับ..พี่..นะ..เอ” ผมจงใจวางฝ่ามือลงบนหลังมือของอีกฝ่าย ทำเอาคนถูกแตะเนื้อต้องตัวอย่างกะทันหัน จำต้องละสายตาจากมื้อเช้า เพื่อมองมายังผม และเลื่อนสายตาไปมองยังฝ่ามือของเราที่กำลังแตะต้องกันอยู่

“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ฝ่ามือใหญ่กลับเป็นฝ่ายกอบกุมมือเล็กๆของผมไว้ ผมจึงได้แต่หันหน้าไปยิ้มให้กับที่นอน ตู้หนังสือ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่อีกฝ่าย
“…”

“กินดิ”
“อื้อ” ผมหันกลับมาให้ความสนใจกับมื้อเช้าตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อพ่อครัวหัวป่าเขาเริ่มย้ำอีกหน ฝ่ามือของเราก็เลยต้องผละออกจากกัน เพื่อมาวางเอาไว้ในตำแหน่งที่ควรจะอยู่ เพราะไม่อยากนั้น เราคงจะกินมื้อเช้ากันอย่างยากลำบากน่าดู
เช้าวันนี้ จึงเป็นเช้าวันใหม่
ที่เราได้เริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ไปพร้อมๆกัน

“เฮ้ย! ทำไมตาบวมงั้น” ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ด้านข้าง ไอ้หมอกก็รีบร้องทัก
“…” ผมส่ายหน้าพลางยกยิ้มบางๆ ซึ่งมันก็พอดีกับช่วงที่อาจารย์จะเริ่มการเรียนการสอน

ครืด ครืด

ผมหันไปมองไอ้หมอกทันที ที่โทรศัพท์ของผมสั่น หลังจากที่มันเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่สนใจกิจกรรมการเล่าเรื่องของเพื่อนๆตรงหน้าชั้นเรียน ซึ่งพอมันเห็นผมเอาแต่หันไปมอง มันก็พยักพเยิดหน้าให้ผมเปิดข้อความอ่าน ผมก็เลยต้องทำตามอย่างจำยอม

‘เมื่อคืนมึงร้องไห้เหรอวะ?’
‘อืม’ ผมตอบสั้น และตั้งท่าจะไม่สนใจสิ่งอื่นใด นอกจากกิจกรรมตรงหน้าชั้นเรียนเท่านั้น

‘เป็นเชี่ยไร?’ ไอ้คินที่นั่งอยู่ริมสุด ติดกำแพงห้อง เป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นมาอีกคน
‘เครียดนิดหน่อย’

‘กูว่าไม่น่าจะนิดมั้ยวะ ตามึงบวมชิบหาย มีอะไรก็บอกพวกกูได้นะเว้ย เราเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?’ ไอ้หมอกรัวแป้นพิมพ์มาอย่างไว
‘กูเครียดเรื่องภาษามือ เรื่องโปรเจค เรื่องการฝึกพูด เครียดแม่งทุกอย่างเลยไอ้สัส โคตรท้อ’ ผมพิมพ์ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งพอได้ระบายให้เพื่อนฟังแล้ว ผมก็รัวออกมาอยู่หลายประโยค

‘ฝึกพูดมันก็ต้องใจเย็นๆไงมึง หรือไม่ถ้ามึงท้อ มึงก็ตั้งเป้าหมายไว้เลยเว้ย ว่าถ้ามึงทำสำเร็จมึงจะได้เป็นแบบนี้นะ หรือจะได้ทำแบบนั้นนะ อะไรก็ว่าไป เอาสิ่งที่มึงอยากทำจริงๆ เป็นเป้าหมายไปเลย มันจะได้ช่วยกระตุ้นมึงมากกว่าการไม่มีจุดหมาย ส่วนเรื่องโปรเจค มันพลาดไปแล้ว มึงก็แค่ต้องนัดน้องมาซ้อมใหม่ กลุ่มมึงยังมีเวลาอีกตั้งเยอะนะเว้ย โอเพ่นเฮ้าส์มันจัดตั้งเทอมหน้า มึงบอกให้น้องเอาไปฝึกช่วงปิดเทอมยังได้ อีกอย่างน้องมันก็บอกมึงแล้วนี่ ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยฝึกกันใหม่ก็ได้ มึงจะเก็บเอาไปคิดมากทำไม’ ไอ้หมอกใช้เวลารัวแป้นพิมพ์อยู่นาน และเมื่อข้อความนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา เพราะอย่างน้อย มันเองก็มีคำแนะนำดีๆ ให้กับผมไม่ต่างจากพี่เนย์ อีกทั้งเรื่องโปรเจค ก็ไม่มีใครเข้าใจปัญหาพวกนี้ได้เท่าพวกมันอีกแล้ว
‘เพราะกูไม่รอบคอบไง กูน่าจะถามมึงก่อน รู้ทั้งรู้ว่าภาษามือกูมันยังไม่แม่นมาก แต่ก็ยังมั่นหน้าไปสอนน้อง ทำให้น้องต้องเสียเวลา ทำให้น้องต้องสับสน แถมผลตรวจกูก็เหี้ยอีก จะไม่ให้กูเครียดได้ยังไงวะ’

‘เอาน่า เรื่องฝึกพูดก็ตามที่ไอ้หมอกมันว่า มึงต้องใจเย็นๆ อย่าหงุดหงิดตัวเอง ส่วนเรื่องงาน คนเรามันผิดพลาดกันได้เว้ยมึง ต่อไปมึงก็เซฟตัวเองให้มากขึ้น แล้วก็ค่อยแก้ปัญหากันไป กูเข้าใจนะเว้ย กลุ่มมึงมันหนัก เพราะมึงเป็นพี่โตสุด พอจะเจียดเวลาไปถามใคร ก็ไม่มีใครว่างให้คำตอบ เพราะทุกคนต่างก็พากันไปซ้อมให้น้องสายของตัวเอง และกูก็เชื่อว่าน้องๆมันเองก็เข้าใจมึง เออนี่กูได้ยินมาว่า ไอ้ตัง มันก็เจอปัญหาเหมือนมึงเลย เพราะมันก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร แต่มันแก้ปัญหาโดยการนัดน้องไปซ้อมใกล้ๆกับกลุ่มของเพื่อนมัน พออันไหนไม่รู้ มันจะได้เดินไปถามรุ่นพี่ได้’ ไอ้คินเริ่มร่ายยาวมาอีกคน
‘เอาจริงๆนะเว้ย มึงถามกูได้ตลอดเลย ยังไงสายกูก็มีพี่คนอื่นๆคอยช่วยอยู่แล้ว กูก็แค่ไปนั่งเล่นกับนั่งแดกแค่นั้น โคตรจะมีประโยชน์เลยมั้ย เพราะฉะนั้นในเมื่อมึงรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าประโยคไหนมึงไม่มั่นใจ มึงก็วีดิโอคอลมาหากูเลย เดี๋ยวกูช่วยเอง ช่วงนี้มึงนัดน้องไปซ้อมทุกวันหยุดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ’

‘อื้อ ขอบใจพวกมึงนะเว้ย’
‘ไม่เป็นไรเหมือนกันเว้ย เรื่องแค่นี้ ไม่ได้ยากอะไรสำหรับกูเลย’ ไอ้หมอกเป็นฝ่ายตอบกลับมาคนแรก

‘เออ เราเพื่อนกันนี่หว่า ถ้าใครมีปัญหา เราก็ต้องใส่ใจและให้คำปรึกษากันหน่อยสิวะ’ ไอ้คินตอบกลับมาเป็นคนที่สอง
‘อื้อ รักพวกมึงว่ะ’

‘อ้วกกกกกกกกกกกกก’
‘อ้วกกกกกกก’

‘สัส! กูจะเกลียดพวกมึงก็ตรงนี้ สามัคคีกันดีนัก’

หลังจากการเล่านิทานตรงหน้าชั้นเรียนผ่านพ้นไป พวกเราก็ได้ฤกษ์กินข้าวกลางวันกันสักที แต่เพราะผมจะแวะซื้อบลูเลม่อนที่ร้านเจ้าประจำด้วย ก็เลยให้ไอ้หมอกมันสั่งข้าวเผื่อ ซึ่งเมนูที่จะกิน ผมก็ลอกมันเด๊ะๆ จนมันบ่นอุบ
“บลูเลม่อนสอง..สตรอว์เบอร์รี..โยเกิร์ตหนึ่ง..ครับ’ ผมสั่งเมนูที่หน้าเคาน์เตอร์ พลางรับเครื่องเรียกคิว ไปหาที่นั่งรอ จากนั้นผมก็ไลน์ไปบอกน้องๆทั้งสองคน ว่าผมสั่งซื้อเครื่องดื่มมาไถ่โทษที่ทำให้เสียเวลา ซึ่งสายรหัสของผมก็เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมก็ทำเนียนบอกว่าตัวเองจ่ายเงินแล้ว ให้มารอเอาที่ร้านได้เลย

ครืด ครืด

เครื่องเรียกคิวสั่นไหวอยู่บนโต๊ะไม้เล็กๆ เรียกสติผมที่กำลังหลุดลอยไปที่ไหนสักแห่ง จากนั้นผมก็ลุกเดินไปยังเคาน์เตอร์ พลางจ่ายเงิน และถือถุงพลาสติกสำหรับใส่เครื่องดื่มติดมือมาด้วยหนึ่งถุง พร้อมกับถือแก้วบลูเลม่อนเพียวๆอีกหนึ่งแก้วด้วยมือข้างขวา จากนั้นก็กลับมานั่งปักหลักที่เดิม เพื่อรอให้น้องรหัสมารับเครื่องดื่มตามนัด

“พี่รันอ่ะ หนูบอกแล้วว่าไม่เป็นไร” น้องโบว์เดินหน้างอเข้ามาหา พลางยกมือไหว้และทิ้งตัวลงนั่ง ส่วนเพื่อนของน้องอีกสองคนก็ยกมือไหว้ผมและเดินเลี่ยงไปนั่งอีกโต๊ะที่กำลังว่าง และไม่ใกล้ไม่ไกลจากโต๊ะที่ผมนั่งมากนัก
“ปาล์มล่ะ?” ผมย้อนถาม พลางเลื่อนถุงเครื่องดื่มไปให้กับน้องโบว์ ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก เพราะน้องติดทำรายงาน ช่วงนี้เราก็เลยมีเวลาซักซ้อมกันแค่วันเดียว แถมยังเป็นช่วงเย็นด้วย

“ใช้ให้หนูมาเอาคนเดียวเนี่ย” น้องโบว์บ่นอุบ จนผมถึงกับหลุดหัวเราะ
“แล้วกินข้าว..กันหรือยัง?” ผมถามเพื่อที่จะเข้าเรื่อง เนื่องจากเวลาพักของพวกเรามันมีแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น

“ยังเลยค่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ หนูหิว”
“ไปสิ” ผมตอบรับ พลางลุกขึ้นยืน โดยไม่ลืมจะถือแก้วบลูเลม่อนติดมือไปด้วย ขณะที่น้องโบว์และเพื่อนๆ ก็เดินนำหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมนัก

“ขอบคุณนะคะพี่รัน แต่ทีหลังไม่ต้องเลี้ยงไถ่โทษแล้วนะ หนูเข้าใจนะคะ ว่ากลุ่มเราไม่เหมือนกับกลุ่มอื่น ที่มีพี่ๆปีสามปีสี่ช่วยสแกนให้ เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูฝึกใหม่ได้ ช่วงปิดเทอมมีเวลาตั้งถมเถ เชื่อหนูสิ เปิดภาคเรียนใหม่มา พี่รันต้องอึ้งแน่ๆ”
“ขนาดนั้น..เลย” ผมขำ พลางอดจะแซวน้องรหัสของตัวเองไม่ได้

“นี่ใคร! โบว์นะคะ พี่รันรู้จักหนูน้อยไป” น้องโบว์หันมาชี้หน้าตัวเองให้ผมดู จากนั้นเจ้าตัวก็ทำสายตามุ่งมั่น จนผมหยุดขำไม่ได้
“หนูไม่ใช่ตลกน้า พี่รันอ่ะ หยุดขำได้แล้ว” พอเห็นโบว์ทำหน้ายุ่ง ผมก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้เส้นผมของอีกฝ่ายให้ฟุ้งกระจาย

“ยุ่งหมดแล้วอ่า” น้องโบว์บ่น พลางจัดแต่งทรงผมของตัวเองให้วุ่นวายไปหมด
“เฮ้ย แต้ว ปิ่น อะไรเนี่ย มองพี่เราตาเป็นประกายเลย” น้องโบว์กอดแขนผม พลางหันไปทำหน้าดุใส่เพื่อนของตัวเอง จนผมได้แต่ยิ้มกับท่าทางของเจ้าตัวดี ที่ไม่ว่าจะเจอกันกี่ที ผมก็อดจะเอ็นดูไม่ได้

“เบื่อพี่รัน คนชอบเยอะ หนูไม่ไหวจะกันท่า”
“เอ้า แล้วกัน” ผมขำขึ้นมาอีกหน เมื่อเจ้าตัวดีแกล้งดันตัวผมออกห่างด้วยท่าทางแสนงอน

“เอ้อ แต่หนูสงสัยอยู่เรื่องนึง ทำไมเพื่อนเมทของหนูมันชอบพูดจาแปลกๆ แล้วก็ชอบเอารูปพี่อาคเนย์กับพี่รันมาให้หนูดูด้วย แถมมันยังเอาแต่บอกฟินๆ อะไรของมันก็ไม่รู้ หนูล่ะปวดหัว”
“โบว์มันซื่อบื้อเนอะพี่รัน” เพื่อนน้องโบว์รู้สึกจะชื่อปิ่น เดินนำหน้าพวกเราสองคน ก่อนจะหันมาถามความเห็นกับผม

“ซื่อบื้ออะไรวะ พี่รันขำอะไรไม่ทราบคะ”
“ถึงโรงอาหาร..แล้ว ไว้เจอกัน..นะ” ผมไม่ตอบคำถามใดๆ นอกจากยิ้มเพียงอย่างเดียว จากนั้นก็ถือโอกาสเดินนำหน้าทั้งสามสาวรุ่นน้องเข้าไปยังด้านในของโรงอาหารกลาง จากนั้นก็โทรหาเพื่อนซี้ เพื่อถามถึงตำแหน่งที่พวกมันนั่งปักหลักกันอยู่

“รันนนนนนนน” ผมที่กำลังจะเดินไปยังโต๊ะที่เพื่อนบอก ก็ต้องรีบหันไปมองยังด้านหลัง เมื่อใครสักคนกำลังร้องเรียก
“ว่า?” ผมยกยิ้มให้สามสาวคณะบัญชี

“สู้ๆ” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกัน และทำท่า ‘สู้ๆ’ เหมือนกับที่คนทั่วไปชอบทำ ขณะที่ริมฝีปากของทั้งสามสาวก็ฉีกยิ้ม จนผมอดไม่ได้ที่ยิ้มตาม
“ไอ้คิน ไปนินทา..อะไรเราหรือ..เปล่าเนี่ย” ผมย้อนถามนิ้งที่เดินนำหน้า

“คินไม่ได้เล่าอะไรหรอก แค่บอกให้พวกเราให้กำลังใจรันเยอะๆ” แอ้มที่เดินอยู่ข้างๆผมพูดขึ้น
“จริงๆ พวกเราก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าต้องทำยังไงรันถึงจะมีกำลังใจมากๆ แต่เมื่อกี้ถึงมันจะดูเป็นหนทางที่โง่ๆไปหน่อย แต่พวกเราก็หวังนิดๆ ว่ามันจะช่วยให้รันได้กำลังใจเยอะๆนะ” อิ๋มที่เดินรั้งท้ายพูดขึ้นบ้าง

“อื้อ..ช่วยได้เยอะ..เลย..ขอบคุณนะ”

หลังจากทานข้าวกันจนใกล้จะอิ่ม ผมก็ถือโอกาสนี้สอบถามเพื่อนๆทุกคนว่าจะมาทานมื้อเย็นด้วยกันที่ห้องของพี่เนย์ไหม ซึ่งพวกไอ้คิน ไอ้หมอก มันก็ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด เพราะยังไงพวกมันก็รู้จักกับพี่เนย์และพี่ๆคนอื่นอยู่แล้ว แต่สามสาวคณะบัญชีเขาดูไม่ค่อยมั่นใจ ว่าตัวเองควรจะไปงานนี้ตามคำเชิญของผม เนื่องจากพวกเธอไม่ได้สนิทกับใครเลย เพราะถึงแม้ทั้งสามครจะแอบปลื้มพี่เนย์เป็นการส่วนตัวกันหมด แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะรู้จัก แถมพี่เขายังเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงมาก สำหรับคนอื่น สาวๆคณะบัญชีก็เลยลังเล
“เราบอก..พี่เนย์แล้ว..พี่เขาโอเคนะ..ตกลงจะให้..พี่เอ้ทำสุกี้..สองหม้อใหญ่” ผมบอกกับสาวๆ พลางยื่นหน้าต่างแชทไปให้อ่าน
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้” นิ้งพูดออกมาเบาๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างเก้อเขิน ฝ่ายแอ้มกับอิ๋มก็ออกอาการไม่ต่างกัน ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะขำนิดๆ

“แล้วก็อย่าไปทำอะไรแปลกๆเข้าล่ะ เดี๋ยวได้โดนพี่เนย์ไล่ออกจากห้อง คินไม่ช่วยนะ” ไอ้คินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบๆ
“เราจะไปทำอะไรแปลกๆเล่า คินก็” แอ้มแก้ตัวป้อยๆ จนไอ้คินต้องทำเป็นยักไหล่

“คินเอาฮาป่ะเนี่ย พวกเราจะไปทำอะไรแปลกๆกันเล่า คือตอนนี้พวกเราเลิกเชียร์คู่ของรันแล้ว” นิ้งทำหน้าบู้แก้ตัว
“ใช่ เห็นจนเบื่อแล้ว เพราะบางวันก็เห็นพี่เนย์เอาบลูเลม่อนมาส่งให้ตอนกลางวันงี้ เดี๋ยวก็ไลน์คุยกันงี้ เดี๋ยวก็โทรหากันงี้ ตอนนี้ถ้าจะเหลืออยู่ก็แค่ความอิจฉานี่แหละ” อิ๋มก็พาลจะบ่นอุบด้วยเช่นกัน ทำเอาผมหน้าร้อนเห่อขึ้นมาซะได้

“ใช่ หวานกว่าคู่เราอีก แฟนเรานี่ยังกับหิน โอ้ย!”  ทันทีที่แอ้มพูดจบ ไอ้คินที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงกันข้ามก็ตีหน้าผากสาวเจ้าเข้าให้
“เราเจ็บนะคิน” แอ้มบ่นอุบ พลางลูบหน้าไม่หยุด ส่วนไอ้คินที่นั่งอยู่ข้างๆผม ก็เอาแต่ขยับปากไปมา เป็นคำสั้นๆว่า ‘สมน้ำหน้า’

“ไปเรียนกันได้แล้ว วู้ว!” ไอ้หมอกลุกขึ้นจากโต๊ะเป็นคนแรก จากนั้นทุกคนก็เริ่มทยอยกันเอาจานไปเก็บ ก่อนจะนัดเจอกันที่หน้าโรงอาหาร เพราะพี่เนย์จะแวะมารับผมด้วยตัวเอง

สิบสามคนภายในห้องเล็กๆ ทำเอาแทบไม่มีที่จะเดิน อีกทั้งบนเตียงก็แทบจะไม่มีพื้นที่ให้นั่ง เพราะงานของพี่เนย์ที่คงทำค้างกันเอาไว้ ในเวลานี้ได้ถูกวางเกลื่อนอยู่บนที่นอน มีทั้งโน้ตบุ๊ก หนังสืออะไรต่อมิอะไรอีกมากมายเต็มไปหมด แม้กระทั่งดินสอ ปากกา ก็ยังวางราวกับถูกโยนแหมะไว้อย่างไม่ได้ใส่ใจ
สภาพห้องตอนนี้ เลยทั้งรก ทั้งคับแคบไปถนัดตา

“กูว่าระหว่างที่ยังทำไม่เสร็จ ให้คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องไปนั่งรอที่ห้องกูดีกว่ามั้ย ห้องมึงแม่งแทบไม่มีที่จะเดิน ไหนจะงาน ไหนจะคน” พี่ทีมที่กำลังนั่งหลบมุมอยู่บนหลังตู้หนังสือพูดขึ้น
“เออ กูก็ว่างั้น” สิ้นเสียงของพี่เนย์ พี่ทีมผู้เป็นเจ้าของห้องข้างๆกัน ก็เดินนำขบวนออกไป ผมจึงถอดกระเป๋าสะพายวางเอาไว้บนหลังตู้หนังสือ และตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง แต่พี่เนย์ดันบอกให้เปลี่ยนเสื้อซะก่อน ผมก็เลยต้องเดินเลี่ยงไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่วางตั้งอยู่ใกล้ๆกับตู้หนังสือ จากนั้นก็เดินหลบเข้าไปในห้องน้ำ กระทั่งอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว และกางเกงสีดำขาสามส่วนเรียบร้อยแล้ว ผมถึงได้ฤกษ์เดินไปเคาะประตูห้องของพี่ทีมอย่างเกรงใจ แต่คนที่มาเปิดประตูกลับกลายเป็นน้องสายรหัสของพวกพี่เขาซะงั้น

‘เอามั้ย?’ พี่บอสเดินไปเปิดตู้เย็น พร้อมกับหยิบไอศกรีมออกมาสองถุง จากนั้นก็กอดเอาไว้แน่น เพราะรุ่นพี่ตรงหน้าเขาต้องการจะใช้ภาษามือในการสื่อสารกับผม
‘ขอบคุณมากครับ’ ผมจึงยกมือขึ้นตั้งฉาก คล้ายกับกำลังจะพนมมือไหว้ แต่ไม่ได้ประกบกันจนชิด จากนั้นผมก็โน้มตัวไปข้างหน้า พร้อมกับค่อยๆแยกฝ่ามือทั้งสองข้างให้ออกห่างจากกัน พลางยกยิ้มให้กับพี่บอส พร้อมกับหัวเราะออกมานิดๆ ฝ่ายรุ่นพี่ตรงหน้าก็ยกยิ้ม พร้อมกับยื่นไอศกรีมยาคูลท์ส่งมาให้

‘ไปกินตรงนอกระเบียงกัน’ พี่บอสหมุนฝาเกียวตรงปากถุงของไอศกรีมโยเกิร์ต จากนั้นเจ้าตัวก็งับมันไว้ พร้อมกับใช้ภาษามือในการชักชวน ผมจึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ และเดินตามกันไป
ขณะที่มือหนึ่งก็หมุนเกียวเพื่อเปิดฝา ก่อนจะดูดเนื้อไอศกรีมเข้าปากตามพี่บอส
กระทั่งออกมารับลมเย็นๆข้างนอกได้ ผมก็วางสองแขนลงบนราวระเบียงเหมือนกับพี่บอส พร้อมกับวางปลายคางลงบนข้างแขนอีกที ขณะที่ปากของเราก็ยังคงดูดไอศกรีมที่ว่านั่นอย่างเอร็ดอร่อย
 
‘มื้อนี้ ไอ้เนย์มันจัดขึ้นเพื่อรันเลยนะ’ ผมหันไปมองพี่บอส เมื่ออีกฝ่ายแตะข้อศอกผมเบาๆ จากนั้นรุ่นพี่ตรงหน้าก็ใช้ภาษามือในการสื่อสารกับผมอีกครั้ง
‘จริงเหรอครับ?’ ผมคาบจุกสำหรับดูดเนื้อไอศกรีมเอาไว้ พลางถามพี่บอสกลับเป็นภาษามือ

‘จริง’ พี่บอสจึงตอบกลับมาโดยการชูนิ้วชี้ออกมาเพียงนิ้วเดียว จากนั้นก็สะบัดขึ้นลง คล้ายกับท่าทางของอาจารย์เวลาชี้นิ้วเพื่อจะย้ำกับเด็กนักเรียนว่าให้ทำการบ้าน พร้อมกับเม้มปากและพยักหน้าเพื่อสนับสนุนถ้อยคำข้างต้น
‘มันบอกว่ารันกำลังคิดมากในแบบที่มันไม่เคยเห็น มันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง มันได้แต่หวังว่า ถ้าทุกคนมารวมตัวกัน รันจะได้ลืมเรื่องเครียดๆได้บ้างน่ะ’ ผมหันไปยิ้มให้พี่บอส พลางวางข้างแขนลงบนราวระเบียง และแตะปลายคางลงบนนั้นอีกที ขณะที่สายตาก็มองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าที่ยังคงสว่างไสว

‘หมดยัง?’ พี่บอสถามพลางแบมือออกมาตรงหน้าผม
‘หมดแล้วครับ เดี๋ยวผมเอาไปทิ้งให้เองดีกว่า’ เมื่อใช้ภาษามือสื่อสารจบ ผมก็แบมือออกไปตรงหน้าของพี่บอสบ้าง

‘ไม่เป็นไร พี่จะไปเอามากินอีก กว่าพวกนั้นจะทำกันเสร็จคงอีกนาน เพราะพวกมันเพิ่งจะเริ่มทำกันเมื่อกี้เอง เห็นว่าทำงานกันเพลินไปหน่อยน่ะ’ ผมยิ้มพลางพยักหน้าและยื่นถุงไอศกรีมที่หมดเกลี้ยงแล้วให้พี่บอสเอาไปทิ้ง
จากนั้นผมก็หันกลับมาสนใจบรรยากาศตรงนอกระเบียงอีกครั้ง

‘ขอบคุณครับ’ พี่บอสนำไอศกรีมยาคูลท์มาให้ผมอีกถุง ซึ่งทีแรกผมก็ส่ายหัวปฏิเสธ เพราะผมเกรงใจ แต่รุ่นพี่ตัวเล็กกลับไม่ยอม จากนั้นเราก็ต่างคนต่างดูดไอศกรีมกันเงียบๆ แม้ว่าจะยืนอยู่ข้างๆกันก็ตาม เพราะรุ่นพี่ตรงหน้าเขาหมดธุระที่จะคุยกับผมแล้ว
ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพี่บอสเขาเอาวิธีปลอบใจคนอื่นแบบนี้มาจากไหน แต่มันก็ทำให้ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ซ้ำยังทำให้ผมอุ่นใจด้วย ที่อย่างน้อย ก็ยังมีอีกหลายๆคน ที่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ผม

“มากินกันได้แล้ว” เสียงตะโกนของพี่เนย์ ดูเหมือนจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกำแพงกั้นห้องตรงราวระเบียงมากนัก ผมจึงหันไปบอกพี่บอสด้วยภาษามือ จากนั้นเราสองคนก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ซึ่งก็พอดีกับช่วงที่เพื่อนคนอื่นๆ กำลังจะเดินออกไป ส่วนพี่ทีมก็กำลังจะเดินเข้ามาตามพวกเราสองคนให้ไปยังห้องพี่เนย์
ทั้งผมทั้งพี่บอสจึงต้องรีบดูดไอศกรีมลงท้องให้หมด

กว่ามื้อเย็นที่มันค่อนไปทางมืดจะสิ้นสุดลง ท้องของพวกเราทั้งหมดก็แทบจะแตก เพราะพวกพี่เขาซื้อทั้งผัก ทั้งเนื้อมาเยอะมาก แต่เพราะพี่เอ้ทำน้ำซุปอร่อย พวกเราก็เลยฝืนกินกันจนหมด จากนั้นพี่เนย์ก็ต้องทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็น ในการขับรถไปส่งพวกเพื่อนๆของผมที่หอใน ผมก็เลยถือโอกาสติดรถอีกฝ่ายเข้าไปในมอด้วย เพราะผมอยากกินบลูเลม่อนโซดามากๆ ถึงแม้ว่ามื้อนี้จะกินเป็นมื้อที่สองแล้วก็ตาม แต่อะไรเย็นๆ เปรี้ยวๆอมหวาน มันก็น่าจะช่วยให้ผมรู้สึกโอเคขึ้น
เพราะตอนนี้ผมทั้งเลี่ยน ทั้งแน่นท้องไปหมดแล้ว

“กินมั้ย ?” พอขึ้นมาบนรถ ผมก็ถามสารถีจำเป็นที่กำลังนั่งไถหน้าจอโทรศัพท์เล่น พร้อมกับยื่นแก้วบลูเลม่อนไปตรงหน้าอีกฝ่าย โดยปลายหลอดก็จ่ออยู่ตรงริมฝีปากของพี่เขาพอดีเป๊ะ
“อืม” พี่เนย์ตอบในลำคอ จากนั้นอีกฝ่ายก็งับปลายหลอดเพื่อดูดบลูเลม่อนของผมไปอึกใหญ่ กระทั่งสารถีเขาเลิกให้ความสนใจกับโทรศัพท์แล้ว พี่เขาก็เริ่มขับรถเพื่อกลับไปยังหอของตัวเอง ส่วนผมก็นั่งหันหน้าออกไปมองยังด้านนอกหน้าต่าง
พร้อมกับดูดบลูเลม่อนจากปลายหลอดเดียวกันเงียบๆ

“มึงมันคนเจ้าเล่ห์ เมื่อกี้แอบหลอกจูบกูทางอ้อมนี่หว่า”

-----------------------------------------------------------------
21/01/2018 แก้คำผิด รอบครอบ > รอบคอบ
เนื่องจากเราลงนิยายเรื่องนี้ไว้ทั้งสามเว็บ ก็เลยมีคอมเมนท์จากอีกเว็บนึงที่น่าสนใจ เราเลยเอามาแบ่งปันให้ได้อ่านกันให้ครบทุกเว็บที่ลง
Q : ภาษามือของไทย กับภาษามือของต่างชาติเหมือนกันหรือเปล่า
Ans : จากบทความที่เคยอ่านนะคะ ภาษามือของแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกันค่ะ แต่ว่าภาษามือก็จะมีภาษาสากลเหมือนกัน เรียกว่า ไอเอส (International Sign : IS) หรือ เกสตูโน (Gestuno) แต่ว่าไม่เป็นที่นิยมมากนัก และมักจะใช้ในงานระดับนานาชาติค่ะ เช่น งานประกวด Miss & Mister Deaf Thailand ซึ่งในบางครั้งก็อาจจะต้องใช้ล่าม เพื่อแปลภาษามือในประเทศนั้นให้เป็นภาษามือสากลอีกทีหนึ่ง เพื่อสื่อสารกับคนชาติต่างๆ
ที่มา : http://themomentum.co/happy-life-5-stories-about-sign-language

ตอนนี้น่าจะยาวกว่าทุกตอนแล้ว ใช้เวลาเขียนนานเหมือนกันค่ะ เพราะลบทิ้งอยู่หลายรอบ กว่าจะได้เนื้อเรื่องที่มันน่าพอใจ คาดว่าตอนหน้าหรือไม่ก็อีกตอนนึง น่าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้ว ที่พี่เนย์กับรันจะอยู่ด้วยกัน หลังจากนี้ก็จะต้องแยกกันอยู่คนละจังหวัด เนื้อเรื่องก็จะเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย คาดว่าน่าจะจบไม่เกิน 15 ตอนนะคะ แต่ถ้าเกินก็คงจะไม่เกิน 20 ตอนค่ะ
ปล. เป็นตอนพิเศษที่ควรเรียกว่าภาค 2 ฮ่าๆ
คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี) (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 9 ♥ หน้า 7 (up 30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-11-2017 16:04:03
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 9 ♥ หน้า 7 (up 30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-11-2017 16:50:29
ตอนนี้อาจจะดูหนักและเหนื่อยมากกว่าที่จะผ่านมันมาได้ แต่เชื่อเถอะเมื่อเราผ่านมันมาแล้วและมองย้อนไปดู เราจะรักและภูมิใจกับสิ่งนั้นๆมาก เหมื่อนตอนเราเรียนภาษาญี่ปุ่น กว่าจะสอบผ่านเล่นเอาท้อ หลายรอบมากทำให้เรียนไม่จบสักที 5555
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 9 ♥ หน้า 7 (up 30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaamnutt ที่ 30-11-2017 18:19:02
พี่เนย์ คนดีย์ ใส่ใจน้องรันมากกกก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 9 ♥ หน้า 7 (up 30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 30-11-2017 18:23:12
ชอบพี่เนย์จังค่ะ พี่เค้าก็อบอุ่นในแบบของเค้า ตอนพิเศษนี่ยาวพอๆกับเนื่อหาหลักเลยยยย รักกกก o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 9 ♥ หน้า 7 (up 30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-11-2017 20:41:07
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 9 ♥ หน้า 7 (up 30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 01-12-2017 00:40:05
งื้ออ พี่เนย์น่ารักอ่ะ เพื่อนๆน้อง เพื่อนๆพี่เนย์ก็น่ารัก ชอบบรรยากาศของเรื่องมาก เป็นสังคมที่อบอุ่นดีจัง
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 9 ♥ หน้า 7 (up 30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 01-12-2017 23:35:11
พี่เนย์อบอุ่นมากกก ขอสักคนนึงง
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 9 ♥ หน้า 7 (up 30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 02-12-2017 08:31:52
พี่เนย์มีวิธีปลอบใจน้องดีจริงๆค่ะชอยการแทรกความรู้ภาษามือที่เราถึงกัยทำตามคำอธิบายขอบคุณและเป็นกำลังใจสำหรับตอนต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 9 ♥ หน้า 7 (up 30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 04-12-2017 08:41:26
ชอบการปลอบใจของพี่เนย์
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 10 ♥ หน้า 7 (up 04/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 04-12-2017 21:01:19
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 10

“โอเค..เดี๋ยวพี่..ลงไปรับ” ผมรับสายน้องโบว์ ที่โทรมาหาตามที่ตกลงกันไว้ เพราะตลอดทั้งเทอมหลังจากนี้ ไอ้หมอก ไอ้คิน มันบอกให้ผมอยู่ที่หอกับพี่เนย์ซะให้พอ เพราะถ้าหากพ้นจากเทอมนี้ไป ผมจะหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีก นั่นจึงเป็นสาเหตุแรกที่มีส่วนทำให้ผมต้องนัดน้องรหัสมาซ้อมโปรเจคของสาขาที่ห้องพี่เนย์ ส่วนอีกสาเหตุนึงก็คือ ช่วงอาทิตย์นี้คุณอาคเนย์เขาต้องเร่งทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานสัมมนาให้เสร็จ จะได้มีเวลาอ่านหนังสือสอบเยอะๆ และหลังสอบจะได้มีเวลาท่องสคริปต์ที่จะต้องพูด เพราะกำหนดการพรีเซ็นต์สัมมนาของอีกฝ่ายก็คือช่วงหลังจากสอบไฟนอลวันสุดท้ายหนึ่งวัน สภาพของรุ่นพี่ต่างสาขาทั้งห้าคนก็เลยพากันหัวฟูกันเป็นแถว โชคดีหน่อยที่ทุกวันนี้พวกพี่เขาเรียนกันแค่วันละตัว ไม่อย่างนั้นคงจะไม่มีเวลานอนพักอย่างเต็มที่ เหมือนตอนช่วงที่ทำวิจัยแน่ๆ
ดังนั้นช่วงอาทิตย์นี้ คนตัวโตเขาก็เลยปลีกเวลาไปรับผมจากคาเฟ่ที่มอช่วงดึกๆไม่ได้ เพราะไฟเริ่มลนก้นอีกแล้ว แถมจะสละให้น้องรหัสเป็นคนมาส่งที่หอ พี่เขาก็ไม่ยอม เพราะรู้นิสัยของผมดีว่า เดี๋ยวคงต้องมีสักครั้ง ที่ผมบอกให้น้องมาส่งแค่หน้าปากซอย ซึ่งผมก็ต้องเดินเข้าซอยมืดๆคนเดียว ยังไงซะมันก็น่ากลัวและไม่น่าไว้ใจอยู่ดี ส่วนน้องๆเขามีรถใหญ่แบรนด์ญี่ปุ่น ถ้าหากกลับดึก ยังไงซะก็ปลอดภัยกว่าผมที่ต้องเดินเข้าซอยหอพักเพียงคนเดียวอยู่แล้ว เพราะน้องๆต่างคนต่างก็พักกันอยู่ที่หอใน
มันเลยกลายเป็นว่า เจ้าของห้องคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด
เด็กๆก็เลยต้องมาซ้อมที่หอของพี่เนย์

“มึง” ผมที่กำลังจะอ้าปากร้องเรียกพี่เนย์ เพื่อบอกว่าจะลงไปรับน้องรหัสข้างล่าง ก็จำต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น เมื่ออีกฝ่ายเขาตัดหน้าเรียกผมที่กำลังนั่งอยู่บนที่นอนเสียก่อน    
“ครับ”

“พวกกูว่าจะไปกินก๋วยเตี๋ยวกันเลย มึงจะไปกินพร้อมกันมั้ย แล้วน้องรหัสมึงจะมาเมื่อไหร่?” พี่เนย์ถามพลางลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจอยู่หลายที จากนั้นพี่ๆคนอื่นๆที่นั่งล้อมรอบโต๊ะญี่ปุ่น ก็พากันยืนตามแล้วก็บิดขี้เกียจเสียยกใหญ่
“น้องมาแล้วครับ..แต่ผมไม่แน่ใจ..ว่าน้องกินข้าว..หรือยัง..ถ้ายังไง..พี่ซื้อมาให้..กินที่นี่..สามถุงแล้วกันครับ..ถ้าเกิดน้องกินแล้ว..เราเก็บเอาไว้..กินมื้ออื่น..ก็ได้” ผมตอบพี่เนย์พลางลุกขึ้นยืน ส่วนอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับและเดินอ้อมไปหยิบกระเป๋าสตางค์ตรงลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียงด้านซ้ายมือ

“งั้นกูสั่งมาเหมือนมึงหมดเลยนะ” พี่เนย์ย้ำอีกครั้ง ขณะที่ผมกำลังล็อกประตูห้อง
“ครับ” ผมตอบพลางยกยิ้มให้ จากนั้นอีกฝ่ายก็เดินไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่นำหน้าไปก่อนแล้ว ส่วนผมก็เดินตามหลังพี่เนย์ โดยทิ้งช่วงห่างเอาไว้เยอะพอสมควร เพราะพวกรุ่นพี่ต่างสาขา แลจะหิวกันมาก พากันเดินจ้ำเอาๆ ราวกับว่าถ้าหากเดินช้ากว่านี้ ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ อาจจะเก็บร้านหนีเสียก่อน

“พี่รันนนน!” ขาของผมยังไม่ทันจะแตะพื้นบันไดขั้นสุดท้ายอย่างมั่นคงนัก เสียงของน้องโบว์ก็ร้องเรียกความสนใจเข้าเสียก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยยัยตัวแสบที่กำลังส่งยิ้มแป้นแล้นมาแต่ไกล ส่วนปาล์มน้องรหัสอีกคน ก็ยังคงทำตัวนิ่งเงียบเหมือนเคย
“นี่เด็กปีหนึ่ง..หรือเด็กสาม..ขวบ ฮึ?” ผมแกล้งถามยัยน้องรหัสตัวดี พลางยกมือทำเป็นกำปั้น และเคาะลงไปบนศีรษะของน้องโบว์เพียงเบาๆ

“ขำอะไรปาล์ม” แทนที่โบว์จะได้เอาเรื่องผม กลับต้องไปเอาเรื่องคู่ปรับของตัวเองแทน เพราะจู่ๆคนนิ่งๆเงียบๆอย่างปาล์ม ก็หลุดหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น จึงส่งผลให้ดวงตาเรียวเล็กสไตล์หมวย ต้องตวัดหันไปมองชายหนุ่มที่สูงกว่าเธออยู่หลายเซ็นอย่างเข่นเขี้ยว เท่านั้นไม่พอริมฝีปากเล็กก็ยังงอง้ำจนน่าดีดเสียให้เข็ด
“เปล่า” ปาล์มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พลางยักไหล่อย่างกวนประสาท ก่อนจะยกมือไหว้ผมที่กำลังมองไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มพอดิบพอดี

“ไปๆ เลิกตี..กันได้แล้ว” ผมรีบห้ามทัพ พร้อมกับก้าวเดินนำหน้าเด็กๆทั้งสอง ที่ยังคงส่งเสียงซุบซิบคล้ายกับจะตีกันต่อ แต่พอผมแกล้งทำเป็นหันหลังไปมอง เด็กๆก็รีบหันหน้าหนีไปคนละทิศละทางแบบไม่เนียน
“แล้วกินข้าว..มากันหรือ..ยัง?” ผมถามพลางก้าวเดินขึ้นบันไดทีละขั้นอย่างไม่รีบร้อน

“ยังเลยค่ะ หนูรอมากินพร้อมพี่รัน”
“งั้นก็พอดี..เลย พี่ฝากซื้อ..ก๋วยเตี๋ยว..เผื่อเราสอง..คนไว้ แต่เส้นเป็น..แบบเดียว..กับพี่นะ” ผมหันไปยิ้มให้น้องโบว์กับปาล์มที่เดินตามอยู่ข้างหลัง ซึ่งน้องๆทั้งสองคน ก็พากันพยักหน้าหงึกหงักอย่างไม่มีใครคิดจะปฏิเสธ ท่าทางว่าเด็กๆคงจะหิวกันมาก เพราะพอเลิกเรียน ทั้งสองคนก็รีบตรงดิ่งมาหาผมถึงหอเลย   

“พี่รันเลี้ยงอะไรคะนั่น” หลังจากถอดรองเท้าไว้ตรงมุมห้องเรียบร้อยแล้ว น้องโบว์ก็วิ่งดุ๊กๆ ไปยังตู้ของเจ้าเขี้ยวกุดอย่างสนอกสนใจ คงเพราะเล็งเอาไว้ตั้งแต่กวาดสายตามองจนทั่วห้องของพี่เนย์แล้ว
“จิ้งเหลน” ผมตอบ พลางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เพื่อหยิบผ้านวมของตัวเองที่ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ แต่วันนี้แหละ ผ้านวมผืนนี้จะมีประโยชน์ขึ้นมาแล้ว เพราะผมจะเอามาปูรองนั่งกับพื้นตรงมุมขวามือใกล้ๆห้องน้ำ จะได้แบ่งโซนกันทำงานอย่างชัดเจนไปเลย

“หื้ออออ” น้องโบว์ลากเสียงยาว จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย แต่พอเห็นเด็กๆสองคนไปยืนมุงดูเขี้ยวกุดในตู้อย่างสนอกสนใจ ผมก็ได้แต่แอบขำ เพราะท่าทางของน้องรหัสทั้งสองคน เหมือนกับเด็กกำลังโตที่ต้องการ การเรียนรู้
“มานั่งนี่..ได้แล้ว..ทั้งสองคน..เลย” ผมว่า พลางปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อเอาหมอนลงมากอด

“พี่รัน ตามันเป็นสีแดง แถมตัวยังเป็นเกล็ดๆเหมือนลูกมังกรเลย” น้องโบว์พูดด้วยท่าทางตื่นเต้น พลางนั่งลงบนผืนผ้านวมที่ผมเพิ่งจะปูเสร็จหมาดๆ
“โบว์อยากเล่นมั้ยล่ะ ถ้าอยากก็ลองขอให้พี่รันจับออกมาให้เล่นดูสิ” ปาล์มพูดขึ้นด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์แบบที่ผมไม่เคยเห็น

“หึ ไม่เอา” สิ้นคำถาม น้องโบว์ก็รีบส่ายหัวดิ๊ก
“ขำกันใหญ่เลยนะคะ” น้องรหัสตัวดีเริ่มทำหน้างอใส่ทั้งผมทั้งปาล์มซะแล้ว เพราะเมื่อครู่เราดันพากันหัวเราะสาวเจ้ามากไปหน่อย

“เอาล่ะ..เดี๋ยวเริ่มเล่า..นิทานให้พี่..ดูก่อน..จะได้เช็คเป็น..จุดๆไปเลย..รอบนี้พี่ไม่..น่าจะพลาดแล้ว” พอพูดจบ ผมก็ยกยิ้มพลางดีดนิ้วมือดังเป๊าะ เพื่อร้องเรียกความมั่นใจของทีมให้กลับคืนมา จากนั้นน้องโบว์ก็เริ่มเล่านิทานโดยที่ไม่ต้องเปิดโพยเหมือนผมเลยด้วยซ้ำ แถมเจ้าตัวดียังพูดได้ตรงเป๊ะแทบทุกประโยค ส่วนภาษามือที่น้องทั้งสองคนใช้ก็ดูมีความมั่นใจมากขึ้น คงเพราะเจ้าตัวใช้เวลาว่างหมดไปกับการฝึกแน่ๆ เห็นอย่างนี้ผมก็อดชื่นชมน้องๆไม่ได้ เพราะทั้งสองคน ถือว่าเก่งกว่าผมมาก เพราะตอนปีหนึ่งช่วงทำโปรเจค ผมต้องคอยให้รุ่นพี่ประกบอยู่ตลอดเวลา แต่กับน้องทั้งสอง ผมมีเวลาประกบแค่หนึ่งวันต่อสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งถ้าหากผมสอนน้องไม่ผิด บางทีเราอาจจะจบโปรโจคได้ภายในอาทิตย์นี้พร้อมกับกลุ่มของไอ้หมอกไอ้คินเลยก็ได้ เพราะเหลือสอนอีกไม่เยอะก็จะจบเรื่องแล้ว
“พี่ว่า.. เราน่าจะเขียน..ใส่กระดาษ..โน้ตเหมือนเดิม..ดีกว่า..เพราะถ้าพี่..ทำให้ดูอย่างเดียว..โอกาสที่พี่..จะทำให้ดู..แล้วไม่เหมือนกัน..ในแต่ละครั้ง..มันก็จะ..น้อยลง..ด้วย” ผมพูดพลางขมวดคิ้วไปด้วย จากนั้นก็ลุกเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่มักจะถูกเรียกว่าโต๊ะเขียนหนังสือ เพื่อหยิบกระดาษโน้ตและดินสอสักแท่งมาเขียนกำกับเอาไว้เลยว่า ประโยคนั้นๆ มันประกอบด้วยท่ามืออะไรบ้าง และต้องเรียงลำดับท่ามืออันไหนมาก่อนและอันไหนมาหลังให้ชัดเจน เพราะไอ้หมอกบอกว่าการทำแบบนี้ มันจะลดความผิดพลาดสำหรับคนที่ยังไม่แม่นภาษามือได้เยอะ ซึ่งผมก็ทำแค่ช่วงแรกๆ ไง แต่พอหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ทำแล้ว เพราะผมต้องเตรียมฝึกพูดเพื่อไปรับการประเมินผลการพัฒนาการจากคุณหมอ พร้อมด้วยการเตรียมตัวสอบย่อยภาษามือที่ช่วงนี้มีแทบจะทุกคาบที่เข้าเรียน
จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมใส่ใจกับงานโปรเจคของสาขาน้อยลง

ผมเริ่มจรดปลายดินสอลงบนกระดาษสีเขียวอ่อนช้าๆ ทีละประโยคเป็นคำว่า ‘ผู้ชายถือปืน = ท่ามือผู้ชาย + ท่ามือคน + ท่ามือถือปืน’ จากนั้นก็ฉีกกระดาษแผ่นนั้นแปะลงตรงกลางวง โดยเรียงประโยคตามคำบอกเล่าในนิทาน ก่อนจะเขียนอีกหนึ่งประโยคลงบนเนื้อกระดาษสีอ่อนเป็นคำว่า ‘ผู้ชายยิงนก = ท่ามือนก + ท่ามือบิน + ท่ามือเคลื่อนไหวไปตามทิศทางต่างๆ ซ้ายและขวา + ท่ามือผู้ชาย + ท่ามือคน + cl ยืน + ท่าทางยิงปืน + ท่ามือนกบิน + cl นกร่วงหล่น’ ก่อนจะฉีกกระดาษใบนั้น และแปะไว้ตรงกลางวงตามการเรียงลำดับของการเล่าเรื่อง ซึ่งผมทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวังในทุกๆประโยค โดยต้องคิดจนถี่ถ้วนแล้ว ผมถึงยอมเขียนข้อความต่างๆลงไปในนั้น
เพื่อที่ครั้งนี้ ผมจะได้ไม่ผิดพลาด และไม่ทำให้น้องๆสับสน จนไม่กล้าเอ่ยปากบอกเหมือนครั้งก่อนๆอีก

“มึงว่าเราเลือกหัวข้อสัมมนาผิดป่ะวะ เรื่องนี้แม่งโคตรยาก” เสียงของพี่บาสดังเล็ดลอดเข้ามาภายในห้องทันทีที่เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้น
“แต่แม่งง่ายสุดตรงเคสที่มึงไม่ต้องไปนั่งเมคเองนะเว้ย การเมคเรื่องขึ้นไปพูดไม่ง่ายนะสัส พี่รหัสกูบอกจารย์เบญแม่งจัดหนักจ้า ใส่หมัดฮุคแล้วฮุคเล่าจนมึงน่วม ยิ่งเรื่องที่เมคเองมึงยิ่งเจอดี นี่เราเอาเคสจริงมาจากแก ยังไงก็ไม่น่าจะโดนหนักมากป่ะวะ อย่างน้อยถ้าจะโดนกูว่าก็คงโดนแค่รูปเล่มด๋อยๆ กับพรีเซ็นต์นั่นแหละวะ” พี่เอ้พูดพลางทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าจอโน๊ตบุ๊กอย่างเคย จากนั้นพี่ๆคนอื่นก็เดินตามมาสมทบจนครบ เหลือก็แต่เจ้าของห้องที่ยังไม่เดินขึ้นมาสักที

“น้ำกับก๋วยเตี๋ยวของมึง” คิดยังไม่ทันจะถึงห้านาที พี่เนย์ก็เดินเข้ามา พร้อมกับล็อกห้องอย่างแน่นหนา จากนั้นร่างสูงก็ชูแก้วเครื่องดื่มสีฟ้าขึ้นกลางอากาศพร้อมด้วยก๋วยเตี๋ยวสามถุง วางเอาไว้บนหลังตู้ใส่หนังสือ ส่วนตัวเองก็เดินดูดบลูเลม่อนอีกแก้ว ก่อนจะนั่งลงตรงที่เดิมของตัวเอง ซึ่ง ณ เวลานั้นท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสก็เริ่มมืดมิดลงทุกทีๆ
“กินก๋วยเตี๋ยว..กันก่อนมั้ย..จะได้ยิงยาว..ทีเดียวเลย” ผมลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปหยิบบลูเลม่อนมาดูด จากนั้นก็หิ้วถุงก๋วยเตี๋ยวไปวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้าเตาไมโครเวฟ เพราะเกรงว่าความร้อนจะทำให้ตู้หนังสือเสียหาย

“ก็ได้ค่ะ” น้องโบว์เป็นคนตอบ จากนั้นน้องรหัสทั้งสองก็ตามมาสมทบตรงพื้นที่บริเวณหน้าเตาไมโครเวฟ ด้วยท่าทีที่สงบนิ่งกว่าเดิม เมื่อในห้องๆนี้ ไม่ได้มีแค่ผมที่เจ้าตัวสนิทสนมด้วยเท่านั้น
“ปาล์มช่วยพี่..แกะใส่ถ้วย..หน่อย..เดี๋ยวพี่ไป..เอาน้ำมาให้” ผมลุกขึ้นไปหยิบถ้วยตรงที่คว่ำจานมาสามใบ จากนั้นก็เอามาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตรงที่น้องๆกำลังนั่งปักหลักอยู่ ก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดตู้เย็น เพื่อหยิบน้ำออกมาหนึ่งเหยือกแล้ววางไว้กลางวง พร้อมด้วยแก้วที่วางคว่ำอยู่ตรงชั้นบนสุดของที่คว่ำจานที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมนัก

“เออ ไอ้เนย์มึงติดต่อเจ้าของเคสได้หรือยัง” พี่เปรมพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ จึงทำให้น้องๆกลุ่มผมยิ่งเกร็งกันไปใหญ่
“ยังเลยว่ะ เห็นอาจารย์บอกแกทำงานโรงแรมนะ อาจจะติด MOD อยู่” พี่เนย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ว่าแต่ MOD แม่งคืออะไรวะ แล้วพรีเซ็นต์เคสเราจะทันมั้ยวะ ไอ้เหี้ย หนังสือกูก็ยังไม่ได้อ่านสักตัว เทอมสุดท้ายแล้วด้วย” พี่ตี๋บาสบ่นอุบอย่างเคร่งเครียด ซึ่งพี่ๆทุกคนก็ดูจะเครียดไม่ต่างกัน เพราะเทอมนี้คือเทอมสุดท้ายที่จะทำคะแนนให้ออกมาเป็นที่น่าพอใจแล้ว เนื่องจากเทอมหน้าทั้งเทอม พวกพี่เขาต้องไปฝึกงาน และเรียนรู้อะไรอีกมาก ที่ไม่ได้มีแค่ในตำราเรียน
“ไม่รู้เว้ย อาจารย์แกพูดมา คงเป็นศัพท์งานโรงแรมมั้ง ซึ่งกูไม่ได้เรียนโรงแรมและไม่ได้ทำงานโรงแรมมั้ยไอ้สัส แล้วไอ้ที่มึงบอกว่าไม่ได้อ่านหนังสือสักตัว แม่งก็เป็นกันทั้งรุ่นมั้ยครับมึง บ่นจริงบ่นจัง มาช่วยกูคิดสคริปต์ตอนยกเคสมาพูดนี่” พี่เนย์บ่นพร้อมกับเอาดินสอปาใส่พี่ตี๋บาสแบบแกล้งๆ

“กูพูดพรีเซ็นต์เนื้อหาแล้ว ส่วนพูดยกเคส นั่นหน้าที่มึงเลยครับ ส่วนใครจะแสดงเป็นนักจิตวิทยา คุณหมอจิตเวชอะไรก็ค่อยว่ากันอีกที เพราะยังไงก็ต้องเอามาเกลารวมกันอยู่ดี ว่าแต่พวกมึงคิดออกยังว่าจะเอาอะไรเป็นของแจกวันสัมมนา ไหนจะอาหารกลางวันอีก กลุ่มเราแม่งเสือกได้ช่วงพักพอดีเลย สาด เพิ่มงาน!” พี่ตี๋บาสยังคงบ่นไม่เลิก เพราะอะไรๆก็ยังดูไม่พร้อมนัก
“เนี่ยกูว่าจะรีบทำรูปเล่มกับพรีเซ็นต์ให้เสร็จ จะได้หาเวลาไปเลือกของชำร่วยที่กรุงเทพด้วยกัน ส่วนบทพูดตอนยกเคสก็เดี๋ยวติดต่อคุณคนนั้นได้ ก็ค่อยรวบรวมข้อมูล แล้วเอามาเกลากันอีกทีว่าแต่ละส่วนควรจะเพิ่มอะไรอีกบ้างงี้” พี่เอ้พูดอย่างเป็นการเป็นงาน และดูมีสติที่สุดแล้ว เพราะพี่คนอื่นๆ แลท่าทางจะเครียดจนทำอะไรไม่ถูกกันไปหมด

กว่าจะทานกันจนเสร็จ ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผมเลยบอกให้น้องๆเอาชามกองรวมกันไว้ เดี๋ยวฝึกกันเสร็จผมค่อยเอาไปล้างเองทีเดียว ดังนั้นทั้งห้องจึงมีแค่เสียงของผมที่คอยอธิบายภาษามือตั้งแต่ประโยคแรกที่แฝงความผิดพลาดเอาไว้ ให้น้องๆเข้าใจ ว่าประโยคนั้นๆต้องใช้ภาษามือในท่าใดบ้าง จากนั้นผมค่อยเริ่มสอนให้น้องรหัสทั้งสองคนใช้ภาษามือในประโยคใหม่ของนิทานเรื่องเดิม ซึ่งเหลืออีกประมาณสองบรรทัดเห็นจะได้ โดยวิธีการของผมก็คือทำเหมือนเดิมทุกอย่าง เริ่มจากเขียนแยกส่วนประกอบให้น้องๆมองเห็นภาพได้ง่ายขึ้น จากนั้นถึงค่อยสอนท่ามือของประโยคนั้นๆ แล้วก็เริ่มให้น้องทบทวนตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงประโยคใหม่ที่ผมเพิ่งจะสอนเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เพื่อความคล่องแคล่ว

“สวัสดีครับ คุณระพีหรือเปล่าครับ ใช่ครับ พอดีผมอยากจะขอข้อมูลเกี่ยวกับโรค PTSD น่ะครับ พอดีอาจารย์เบญจวรรณท่านแนะนำที่ผมมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับคุณระพีน่ะครับ”  ผมหันไปมองพี่เนย์ด้วยความสนใจ เมื่อชื่อของบุคคลที่อีกฝ่ายโทรไปหาเหมือนกับคุณแม่ของผมเป๊ะ แถมยังทำงานโรงแรมเหมือนกันด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะชื่อของแม่ผมก็ออกจะโหลพอสมควร
“อ่า..ใช่ครับ ผมอาคเนย์เองครับคุณแม่ ครับๆ ได้ครับ สักครู่นะครับ” ผมหันไปมองยังพี่เนย์อีกครั้ง เมื่อบทสนทนาของทั้งสองฝ่ายดูเป็นกันเองเกินความจำเป็น ทำเอาผมสลัดความคิดแรกที่แว๊บเข้ามาในหัวไม่ได้ ยิ่งพี่เขารีบลุกเดินออกไปคุยที่ระเบียงด้านนอก พร้อมกับปิดประตูกระจกด้วย ก็ยิ่งน่าสงสัย ผมจึงคอยลอบมองไปยังคนตัวสูงที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่กับคนที่คาดว่าจะเป็นแม่ของผม แต่ก็ยังไม่ชัวร์นัก เพราะผมไม่เข้าใจว่าพี่เนย์จะโทรไปปรึกษาแม่เกี่ยวกับโรค PTSD ทำไม ในเมื่อที่บ้านผมไม่น่าจะมีคนป่วยด้วยโรคนี้ ซึ่งคำว่า ‘เคส’ ของพวกพี่เนย์มันก็น่าจะตีความหมายได้ว่าคนที่อีกฝ่ายโทรหาคือแหล่งข้อมูลชั้นดี แต่อาการรีบร้อนลุกออกไป พร้อมกับเสี้ยวหนึ่งที่ดวงตาคมคู่นั้นเหล่มองผมเพียงครู่ มันก็เลยทำให้ผมเก็บข้อสงสัยเอาไว้ไม่อยู่

“พี่เอ้ครับ” ผมปีนขึ้นไปนั่งบนเตียง พลางโน้มตัวลงไปกวนพี่เอ้ที่กำลังนั่งพิมพ์รายงานอยู่
“ว่าไงรัน” พี่เอ้ถาม ขณะที่ดวงตาของเธอ ยังคงจดจ้องเนื้อหาในหนังสือ สลับกับหน้าจอโน๊ตบุ๊กอยู่หลายที


-อ่านต่อด้านล่าง-
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 10 ♥ หน้า 7 (up 04/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 04-12-2017 21:02:16
“โรค..PTSD..คืออะไร..เหรอครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้ เพราะยังคงติดใจกับข้อสันนิษฐานของตัวเองอยู่
“อ้อ PTSD เนี่ยเป็นโรคเครียดที่เกิดขึ้นหลังจากประสบเหตุการณ์สะเทือนใจ ทำให้มีความผิดปกติทางอารมณ์จนส่งกระทบต่อการดำเนินชีวิตจ๊ะ” พี่เอ้หันมาตอบพร้อมด้วยรอยยิ้ม ส่วนผมก็ทำได้แค่ยิ้มบางๆตอบกลับไปเพียงเท่านั้น เพราะว่าข้อสันนิษฐานของผมมันดูท่าจะเป็นจริง เนื่องจากว่าในครอบครัวของผม ก็เห็นจะมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่เคยประสบเหตุการณ์ร้ายแรงจนเข้าข่ายที่น่าจะป่วยเป็นโรค PTSD

“แล้ว..อาการของมัน..เป็นยังไงครับ” ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เพราะพูดตรงๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีโรคเครียดแบบนี้ด้วย ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าผมป่วยหนักกว่าที่ตัวเองเข้าใจ
“อาการในเด็กกับผู้ใหญ่จะแตกต่างกันนะ”

“ผมอยากรู้..แค่ของเด็ก..ครับ” ผมรีบพูดแทรกอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน
“ถ้าในเด็กอายุประมาณ 20 เดือนถึง 6 ปี การสื่อสารจะค่อนข้างจำกัดนะรัน ผู้ปกครองจะต้องเป็นคนวินิจฉัยโรค โดยสังเกตจากพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะพบว่า เด็กจะสูญเสียทักษะทางการพัฒนาที่เคยมีน่ะ แต่ทักษะทางด้านไหนบ้างพี่ยังไม่ได้ข้อมูลที่แน่นอนเลยรัน แต่ว่าไอ้เนย์ติดต่อกับคุณระพีได้แล้ว เราน่าจะได้ข้อมูลที่แน่นอนขึ้น” พี่เอ้ตอบพลางมองผมด้วยสายตาสงสัย ที่จู่ๆ ผมก็หันมาให้ความสนใจกับหัวข้องานสัมมนาของตัวเอง ทั้งๆที่ร้อยวันพันปีผมไม่เคยสนใจ ผมจึงยิ้มบางๆให้อีกฝ่ายอีกครั้ง จากนั้นก็หดตัวกลับมานั่งตัวตรงบนที่นอน พลางเหลือบมองไปยังบรรยากาศด้านนอกระเบียง ที่ตอนนี้ผมไม่สามารถมองเห็นพี่เนย์ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าตัวเขาไปยืนหลบแถวๆที่ๆผ้าม่านมันบังเอาไว้จนมิด

ผมนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองเป็นนานสองนาน ซึ่งความคิดมันก็เอาแต่วนเวียนอยู่กับเรื่องของโรค PTSD ว่ามันจะเป็นไปได้ไหมว่า การที่ผมพูดไม่ได้ จะเป็นอาการของโรคเครียด เพราะที่ผ่านมา ตั้งแต่เด็กจนโต ผมก็คิดและเข้าใจเอาเองมาตลอดว่า สาเหตุที่ทำให้ผมพูดไม่ได้ มันเป็นเพราะพ่อกับแม่ขู่ผมตอนที่ผมต้องนั่งชิงช้าสวรรค์ที่มันค้างต่องแต่งอยู่ด้านบนสุด เกือบๆจะครึ่งชั่วโมงด้วยความหวาดกลัว
กลัวจนถึงกับไม่ยอมพูดออกมาอีกเลย
จากนั้นในใจลึกๆของผม ก็เอาแต่โกรธพ่อกับแม่มาตลอด

ซึ่งถ้าหากอาการทุกอย่างที่ผมเป็น มันเกิดจากอาการป่วยที่ผมไม่เคยรู้ และถ้าหากคนที่มาวาดรูปเล่นกับผมตอนเด็กๆ คือคุณหมอ ไม่ใช่พี่สาวข้างบ้าน ที่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ใหม่อย่างที่ผมเข้าใจ นั่นก็เท่ากับว่าผมได้รับการใส่ใจจากครอบครัวมากกว่าที่คิดไว้ แม้ว่ายังไงซะ สาเหตุของเรื่องมันจะเกิดจากเหตุการณ์เดียวกันก็ตาม แต่มันก็สามารถกลายเป็นเรื่องเล็กๆไปได้ มันก็เลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ที่ผมเคยนึกโกรธพวกท่านอยู่หลายปี
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ตัวแปรสำคัญของเรื่องนี้ มันเกิดขึ้นเพราะกลไกการปกป้องตัวเองของร่างกายต่างหาก

ครืดดดด

“ได้ข้อมูลอะไรมาบ้างวะ?” พี่บาสแฟนพี่เอ้เงยหน้าขึ้นถาม เมื่อได้ยินเสียงพี่เนย์กำลังเปิดประตูระเบียง
“เยอะอยู่ แต่กูขอคุยกับแฟนกูก่อน รันมึงออกมาคุยกับกูข้างนอกหน่อยดิ” พี่เนย์ตอบเพื่อนๆที่กำลังให้ความสนใจกับตัวเองสั้นๆ จากนั้นก็ละสายตามายังผมที่กำลังนั่งคุดคู้จนลืมงานลืมการจนหมดสิ้น

“ปิดประตูระเบียงด้วย” พอผมก้าวเดินเข้ามายังส่วนของระเบียงห้องเรียบร้อยแล้ว พี่เนย์ก็หันมาออกคำสั่ง ผมเลยต้องหมุนตัวกลับไปปิดประตูกระจกให้มิดชิด
“…” พอทำทุกอย่างตามที่มีคนร้องบอกเรียบร้อย ผมก็ยืนคว้างอยู่ที่เดิม จนพี่เนย์ต้องมาลากแขนผมให้เดินเข้ามาหลบมุมตรงส่วนที่ผ้าม่านบังจนมิด ซึ่งก็คือบริเวณริมกำแพงกั้นห้องทางฝั่งขวามือ ห่างไกลจากส่วนซักล้างที่วันนี้ยังไม่ได้แตะต้องมัน น้ำจึงยังไม่เจิ่งนองเหมือนทุกที

“มึงรู้หรือเปล่าว่ามึงเคยป่วยเป็น PTSD หรือโรคเครียดจากเหตุการณ์ร้ายแรงน่ะ” พี่เนย์ขยับตัวเข้ามายืนใกล้ๆ จากนั้นก็วางแขนข้างหนึ่งค้ำยันกำแพงด้านหลังผมไว้ ทำให้ตอนนี้ผมเหมือนถูกกักขังให้อยู่ในพื้นที่เล็กๆที่อีกฝ่ายมีให้เพียงเท่านั้น
“…” ผมส่ายหน้า
“อืม กูเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ตอนมึงเคยเล่าให้ฟัง กูก็ไม่ได้เอะใจถึงเรื่องนี้มาก่อน”
“…”

“มึงยังโกรธพ่อกับแม่อยู่หรือเปล่า?” ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่เนย์อย่างรวดเร็ว ทันทีที่อีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดของผมจนหมดสิ้น
“…”

“พ่อกับแม่ท่านรู้นะว่ามึงโกรธ ตอนพูดถึงอาการของมึงตอนนั้น ท่านก็ร้องไห้ด้วย” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ก็แฝงความนิ่มนวลเอาไว้ทุกประโยค ราวกับเจ้าตัวเข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
“มันก็จริงอยู่ ว่าสาเหตุที่ทำให้มึงป่วยเป็นโรคนี้ และเรื่องอื่นๆ มันทำให้มึงพบเจอแต่เรื่องที่ไม่ค่อยโอเค แต่ว่าท่านก็ดูแลมึงอย่างดีเลยไม่ใช่เหรอ กูว่ามันน่าจะไถ่โทษกันได้นะ” ผมเม้มปากแน่น เพราะผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าความโกรธของผมมันเป็นความลับที่เก็บงำเอาไว้คนเดียวและเนิ่นนานมากแล้ว ถ้าหากว่าจู่ๆ ผมเดินเข้าไปบอกพ่อกับแม่ว่าผมไม่ได้โกรธอะไรท่านแล้ว ท่านจะเข้าใจผมไหม หรือว่าการพูดออกไป จะยิ่งไปตอกย้ำบาดแผลในใจของท่านให้มากขึ้นกันแน่

“ที่กูพูด กูไม่ได้จะตำหนิมึงนะรัน กูไม่อยากให้มึงเข้าใจกูผิด กูแค่เห็นใจท่าน เลยอยากจะช่วยพูดให้ ทั้งๆที่ท่านห้ามไม่ให้กูเอาความลับนี้มาบอกกับมึงก็เถอะ”
“ตอนนั้น.. ท่านไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มึงกลัวนะ ท่านแค่อยากให้มึงได้เที่ยวให้สนุกเหมือนกับเด็กคนอื่น ท่านก็เลยพามึงไปเที่ยวสวนสนุก แล้วก็พาไปนั่งชิงช้าสวรรค์เล่น เพราะมึงจะได้เห็นวิวสวยๆ แบบที่ท่านชอบ แต่เพราะการทำงานโรงแรมมันทำให้ท่านไม่ค่อยมีเวลาให้มึง ท่านถึงไม่เคยรู้ว่ามึงกลัวความสูง พอมึงร้องไห้ ท่านก็ไม่รู้จะปลอบมึงยังไง เพราะส่วนใหญ่แล้ว มึงจะอยู่กับพี่เลี้ยงแล้วก็เนอสเซอรี่กับโรงเรียนมากกว่า แถมพอโตมา มึงก็อยู่กับแมวมากกว่าอยู่กับท่านอีก กูไม่อยากให้ระหว่างมึงกับพ่อแม่มีช่องโหว่ใหญ่ๆแบบนี้เลยรัน ถ้ามึงหายโกรธท่านแล้ว และไม่กล้าพูดรื้อฟื้นมันอีก กูอยากแนะนำให้มึงลองกอดท่าน หรือไม่ก็ทำอะไรก็ได้ที่มึงไม่เคยทำให้พวกท่านมาก่อน กูว่ามันน่าจะเติมเต็มช่องว่างนั้นได้นะ” พี่เนย์พูดด้วยท่าทีสบายๆพร้อมด้วยรอยยิ้ม แต่ผมกำลังน้ำตาไหลอาบแก้ม เพราะผมเสียใจที่เพิ่งรู้ว่าพ่อกับแม่เสียใจกับเรื่องของผมมากกว่าที่คิด อีกทั้งอาการของผมในตอนนั้นมันก็น่าจะสร้างบาดแผลให้ท่านคิดโทษตัวเองไม่น้อย แล้วผมยังจะไปซ้ำเติมให้มันกลายเป็นแผลลึกมากขึ้นๆ เพราะเอาแต่นึกถึงแต่ตัวเองอยู่อีก

“กูจะไม่ห้ามให้มึงหยุดร้องไห้ เพราะกูเข้าใจว่ามึงคงเจ็บปวดกับเรื่องนี้มาตลอด และท่านเองก็เจ็บปวดกับเรื่องนี้เหมือนกัน กูถึงอยากช่วยให้อะไรๆมันดีขึ้นบ้าง” พี่เนย์พูดพลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ผมเงียบๆ อยู่อย่างนั้น แม้ว่าผมจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้เลยก็ตาม
“อะ..อาการ..ผะ..ผม..ตะ..ตอนนั้น..เป็น..ฮึก..ยังไง..ครับ..แม่เล่า..หะ..ให้พี่..ฟัง..ใช่ไหม” ผมถามพลางสะอื้นฮักๆ เพราะยิ่งมีคนปลอบ หัวใจมันก็ยิ่งวูบวาบ เพราะความเศร้าที่ค่อยๆแผ่กระจายไปทั่ว

“ตอนแรกพวกท่านคิดว่ามึงโกรธ เลยไม่ยอมพูดด้วย แต่อาการแปลกๆของมึงมันก็เริ่มมีมากขึ้น อย่างแรกคือ มึงฉี่รดที่นอนทั้งๆที่มึงเคยควบคุมตัวเองได้ แล้วมึงก็ดูกลัวและหวาดระแวงแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งความกลัวของมึง มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชิงช้าสวรรค์สักนิด จากนั้นมึงก็เริ่มก้าวร้าว ไม่ใช่เด็กน่ารักคนเดิม เอาแต่ขว้างปาข้าวของจนเสียหาย มิหนำซ้ำบางทีมึงก็ฉลาดเกินไป รู้จักล็อกห้องไม่ให้ใครเข้านอกจากแชมเปญอีกต่างหาก แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เรื่องที่มึงพูดไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่การไม่ยอมพูด ซึ่งกว่าพ่อกับแม่ของมึงจะรู้ ท่านก็ต้องไปปรึกษาจิตแพทย์อยู่หลายครั้ง เออ แล้วมึงจำพี่สาวข้างบ้านได้ไหม ที่เขาบอกว่าชอบเลี้ยงแมวเหมือนมึงน่ะ เขาคือคนที่พูดเกลี้ยกล่อมให้มึงยอมเปิดประตูปล่อยเจ้าแชมเปญออกไปกินข้าวไง” ผมเม้มปากพลางกำเนื้อผ้าบริเวณหน้าอกของพี่เนย์แน่น เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจทุกอย่างออกมา
“จริงๆ พี่สาวคนนั้น ก็คืออาจารย์เบญวรรณที่สอนกูในตอนนี้นี่แหละ แต่มึงสบายใจได้ ท่านคงจำมึงไม่ได้หรอก เพราะตอนนั้นท่านมาช่วยบำบัดตั้งแต่มึงยังเด็กแค่ประมาณสี่ห้าขวบเองมั้ง” ผมยกยิ้มพลางพยักหน้า เพราะผมยังจำพี่สาวคนนั้นได้ เพียงแต่จำได้แค่ลางๆเท่านั้น

“อดีตมันกลับไปแก้ไขไม่ได้ มึงก็แค่ต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เข้าใจหรือเปล่า เรื่องบางเรื่อง ปล่อยเอาไว้นานมันก็ไม่ดีหรอก มึงจะเอาแต่เปิดใจให้คนอื่น แต่ไม่ยอมเปิดใจให้พ่อกับแม่ กูเองก็ไม่เห็นด้วยนะรัน สิ่งที่กูพูด กูแค่แนะนำ ไม่ได้บังคับ เข้าใจหรือเปล่า” ผมพยักหน้ารับรู้ทุกคำบอกกล่าวด้วยความหวังดีจากอีกฝ่าย
“ผมจะ..กลับ..ไป..กอดท่าน..แบบนี้” ผมพูดพลางเลื่อนมือไปโอบกอดรอบเอวของพี่เนย์ไว้ พลางฝังใบหน้าลงกับแผ่นอกแข็งแรงของอีกฝ่าย ส่งผลให้กลิ่นหอมอันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของพี่เนย์ลอยคลุ้งไปทั่วจมูก ซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นกลิ่นหมือนกับอะไร นอกจากรู้แค่ว่า ผมชอบกลิ่นนี้..
เพราะกลิ่นนี้มันทำให้ผมรู้สึกสงบ ปลอดภัย ไร้ความกังวล ก็เท่านั้น

“อืม ดีแล้ว” พี่เนย์ลูบหัวผมด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ยังคงกักขังผมไว้ไม่เปลี่ยน
“เรื่องของมึงกับเคสโปรเจคของกู มันบังเอิญมากจริงๆรัน กูคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว แต่มึงไม่ต้องห่วง กูจะไม่บอกใครเรื่องรายละเอียดที่ชี้ไปถึงตัวบุคคล แต่กูสัญญาว่ากูจะพูดแค่สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาแค่นั้น ไม่ว่าใครก็จะไม่มีทางรู้ว่าเคสนั้นคือเรื่องของมึง มันจะเป็นความลับระหว่างเรา มึงโอเคไหม?” ผมพยักหน้าพลางส่งเสียงอู้อี้ตอบกับอกแน่นๆ หอมๆ ของพี่เนย์

“รัน”
“ครับ”

“มึงหลอกลวนลามกูอีกแล้วใช่มั้ยน่ะ” พี่เนย์ดันตัวผมที่กำลังจมลงสู่ความหอมที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจนลืมความเศร้า ให้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“…” ใบหน้าของผมตอนนี้คงแดงแปร๊ด เหมือนกับตอนที่พี่เนย์จับได้ว่าผมหลอกจูบพี่เขาทางอ้อมแน่ๆ
น่าอายชะมัด

“ทีหลังถ้ามึงอยากจูบ อยากกอด หรืออยากทำอะไรกับกู แค่มึงพูดหรือแสดงออกมาให้มันชัดๆเท่านั้น”
“…”

“เพราะกูสามารถประเคนตัวเองใส่พานให้มึงได้ทุกเวลาเลย รู้มั้ยรัน”

-------------------------------------------------------------------------
Cl จะเป็นการทำมือโดยชูแค่นิ้วโป้งกับนิ้วก้อยค่ะ
MOD ย่อมาจาก Manager on duty หรือที่คนโรงแรมเรียกกันว่า 'มด' ค่ะ ส่วนใหญ่แล้ว กรณีที่ยังไม่มีผู้จัดการใหญ่หรือผู้จัดการที่ได้รับมอบหมายให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ภายในโรงแรมโรงแรม ก็จะมีการมอบหมายให้หัวหน้าแผนกต่างๆ หมุนเวียนกันเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยภายในโรงแรม และเป็นผู้บัญชาการในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่างๆ เช่น ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ฆาตกรรม ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากแขก หรือเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานโรงแรม

สำหรับตอนนี้จะว่าเราเพิ่งเพิ่มเข้ามาก็ได้ เพราะว่าทีแรกเราจะเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับโรค PTSD ในมุมมองของพี่เนย์ แต่เรากลัวว่ามันจะแลกระโดดไปกระโดดมา ก็เลยเขียนแทรกเป็นงานสัมมนาของพี่เนย์แทนดีกว่า เพราะนักจิตบำบัดก็มีส่วนช่วยในการบำบัดผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับทางจิตเวชได้เหมือนกัน ส่วนโครงเรื่องที่น้องป่วยอันนี้เราคิดไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้จะเขียนออกมายังไง เพราะน้องรันไม่รู้ตัวว่าตัวเองป่วยเป็นโรคเครียด และได้รับการดูแลมาอย่างดี เพราะตอนนั้นน้องยังเด็กมาก ไม่มีทางเข้าใจข้อมูลเชิงวิชาการพวกนี้ แถมยังปิดกั้นตัวเองจากพ่อแม่นิดๆด้วย
ปล. ตอนนี้อาจจะไม่ได้เน้นภาษามือมาก เพราะเราอยากจะเน้นที่ความรู้สึกของน้องต่อครอบครัวมากกว่าค่ะ ซึ่งก็สบโอกาสเหมาะพอดีที่จะแก้ไขช่องว่างระหว่างครอบครัวของน้องรัน เนื่องจากตอนแรกเราวางเอาไว้ว่าจะเป็นตอนพิเศษอีกช่วงนึง

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 10
“โรคเครียด PTSD ป่วยทางใจ หลังประสบภัยรุนแรงในชีวิต”. (เว็บไซต์ kapook). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : health.kapook.com.
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 10 ♥ หน้า 7 (up 04/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-12-2017 21:20:30
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 10 ♥ หน้า 7 (up 04/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-12-2017 21:44:52
 o13  o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 11 ♥ หน้า 7 (up 05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 05-12-2017 17:24:37
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 11

หากเปรียบพี่เนย์เหมือนกับรถไฟเหาะ ก็คงเป็นรถไฟเหาะสัญชาติ USA ที่น่าหวาดเสียวที่สุดในโลก เพราะเดี๋ยวอีกฝ่ายก็ดึงอารมณ์ผมให้ร่วงลงสู่จุดต่ำสุด จากนั้นภายในเวลาไม่นาน ผู้ชายคนนี้ก็ดึงอารมณ์ของผมจนพุ่งไปถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมปรับเปลี่ยนจากอารมณ์เศร้า มาเป็นเก้อเขินแทบไม่ทัน
แต่ก็นั่นล่ะ นั่นคือวิธีที่อีกฝ่ายใช้ในการปลอบใจ เพื่อไม่ให้ผมเศร้าไปกับเรื่องที่ได้พูดคุยกันมากมายนัก น้ำตาของผมมันก็เลยขังคลออยู่ตรงหางตา แม้ว่าแก้มจะแดงระเรื่อ และหน้าจะกำลังร้อนเห่อมากๆเลยก็ตาม

“วันนี้กินต้มเลือดหมูกัน กูอยากกินมาหลายวันแล้ว” พี่เนย์ที่อยู่ในชุดนักศึกษาจนเต็มยศ กำลังประคบประหงมเจ้าเขี้ยวกุด พลางแอบถ่ายเจ้าลูกชายเอาไว้เหมือนเดิม เพียงแต่ช่วงนี้เจ้าตัวไม่ค่อยจะมีเวลาอวดเจ้าเรดอายสกิ้งค์ตัวนี้สักเท่าไหร่ เพราะงานเริ่มรัดตัวมากขึ้นทุกที เรียกได้ว่า อาการเห่อลูกชายค่อยๆหดหายไปตั้งแต่พี่เนย์เริ่มทำวิจัย จนกระทั่งจะเรียนจบ
“ก็ได้ครับ” ผมยิ้มบางๆขณะกำลังส่องกระจกเพื่อหวีผมให้เข้าที่เข้าทาง พลางตอบคนชักชวนอย่างเอาใจ เพราะผมไม่ได้อยากกินอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว

“วันนี้มึงเรียนครึ่งวันเหมือนกูใช่มั้ย?”
“ครับ” ผมตอบพลางวางหวีเอาไว้ตรงมุมเดิมของมัน

“กลับพร้อมกูดิ”
“ทำไมครับ?” ผมเดินเข้าไปถามพ่อเจ้าเขี้ยวกุด ที่กำลังเปิดเครื่องทำความชื้นก่อนเจ้าลูกชายอาจจะต้องทนอยู่กับความอบอ้าวไปอีกหลายชั่วโมง

“วันนี้พวกกูต่างคนต่างไปเคลียร์งานห้องใครห้องมัน กูเลยอยากให้มึงอยู่ด้วยกัน” พี่เนย์เอามือท้าวตู้เจ้าเขี้ยวกุดข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็วางเอาไว้บนหัวของผม
“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากยกยิ้มให้อีกฝ่าย พลางพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ

“ไปเถอะ เดี๋ยวจะสาย” พอพี่เนย์ออกปากอย่างนั้น ผมก็รีบเดินไปหยิบกระเป๋าใบโปรดมาสะพายข้างอย่างรวดเร็ว โดยไม่ลืมจะถอดปลั๊กทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนจะออกจากห้อง
“วันนี้เดินไปนะ เรายังพอมีเวลาอยู่” คนตัวสูงที่กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในโทรศัพท์อยู่ข้างๆ เอ่ยปากขึ้น ทำเอาผมที่กำลังจะล็อคประตูได้แต่หันไปมองอย่างแปลกใจ เพราะดูท่าทางวันนี้พี่เขาจะอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ

“วันนี้..อารมณ์ดี..อะไรครับ?” ผมถามอย่างสงสัย พลางเดินอยู่ใกล้ๆอีกฝ่าย ที่เอาแต่ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ลูกเดียว แถมยังเดินลงบันไดด้วยนะ ผมล่ะเสียวกลัวพี่เขาจะตกบันไดชะมัด
“พรีเซ็นต์ไอ้ตี๋บาสทำเสร็จแล้ว ตอนนี้เหลือแค่รูปเล่มกับสคริปต์ แต่กูคิดว่าสคริปต์วันนี้ก็น่าจะเสร็จอีกอย่าง” รุ่นพี่ผู้ติดเกมอย่างกะทันหัน ตอบด้วยท่าทีสบายๆ ส่วนผมก็ต้องจับแขนพี่เขาไว้ตลอดทาง เพราะไม่อาจไว้ใจได้เลยจริงๆ ก็พี่เขาเล่นทำตัวเหมือนเด็กขนาดนี้

“กูเพิ่งรู้ว่าการถูกดูแล มันทำให้รู้สึกดีอย่างนี้” พี่เนย์พูดขึ้น ระหว่างที่เรากำลังเดินอยู่ริมถนน เพื่อไปยังร้านต้มเลือดหมูเจ้าเดิมที่พี่เขาชอบพาไปกิน โดยผมเป็นฝ่ายดันให้พี่เขาเดินอยู่ด้านใน ส่วนผมก็เดินตามประกบอีกที
“ยังไงครับ?” ผมถามพลางยิ้มบางๆ เพราะผมเองก็รู้สึกดีที่พี่เขาชอบถูกดูแลเหมือนกัน

“กูเคยเป็นแต่ผู้ให้ พอวันนึงได้มาเป็นผู้รับกับเขาบ้าง มันก็เลยรู้สึกเหมือนกับหัวใจกำลังพองโตเป็นลูกโป่งไปเลยว่ะ” คุณอาคเนย์เขาพูดด้วยท่าทางสดใส มิหนำซ้ำเกมที่เล่นๆมาตั้งนาน ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงไปซะได้ จากนั้นอีกฝ่ายก็ดันตัวผมเข้าไปยืนด้านใน ส่วนเจ้าตัวก็เปลี่ยนออกมายืนด้านนอก เหมือนกับทุกครั้งที่เราเคยเดินด้วยกันตรงริมถนน
“ตอนเที่ยง..ก่อนกลับหอ..เราแวะซื้อ..ของใช้ก่อน..ก็ดีนะครับ..เพราะ..เหมือนว่ามัน..จะหมดหลายอย่าง..เลย”

“เออ กูก็ว่าจะบอกมึงอยู่ ดันมัวแต่เล่นเกม จนลืมไปเลย” เราเดินคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระมากมาย จนท้ายที่สุดปลายทางของเราก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า และก็เหมือนเดิมคือผมเป็นฝ่ายเดินไปจองโต๊ะกับตักน้ำ ส่วนพี่เนย์เป็นฝ่ายเดินไปสั่งเมนูกับเจ้าของร้าน ก่อนจะเดินกลับมานั่งยังโต๊ะที่ผมจับจองไว้ กระทั่งมื้อเช้ามาเสิร์ฟ เราต่างคนต่างก็นั่งกินกันเงียบๆ
หากแต่เป็นความเงียบ ที่ไม่ได้มีความอึดอัดใจแต่อย่างใด

“อาจารย์นะอาจารย์ งดเรียนเองแท้ๆ แต่กลับหางานมาให้แทน” ไอ้หมอกบ่นอุบ เมื่อวันนี้อาจารย์ประจำรายวิชาจรรยาบรรณล่ามภาษามือเพิ่งจะให้งานมาสดๆร้อนๆ เหตุเพราะคาบนั้นที่เคยงดเรียนไปอย่างกะทันหัน จนบัดนี้อาจารย์ก็ยังไม่สามารถหาห้องบรรยายมาทดแทนตามวันเวลาที่นักศึกษาสามารถเข้าเรียนได้ อาจารย์จึงต้องแก้ปัญหาโดยการให้งานเพิ่ม แต่แปลงงานดังกล่าวให้กลายเป็นคะแนนเก็บอย่างงงๆ
“บ่นอยู่นั่น อาจารย์ก็แค่ให้เขียนประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจรรยาบรรณวิชาชีพล่ามเท่านั้นเองมั้ยมึง มันเป็นคำถามปลายเปิด ไม่มีผิดไม่มีถูก ยังไงถ้ามึงทำ มึงก็ได้คะแนนเต็มอยู่แล้วป่ะวะ นี่มันงานช่วยชีวิตชัดๆนะเว้ย” ไอ้คินเถียงอย่างไม่เห็นด้วย ซึ่งไอ้นี่มันก็พูดถูก เพราะที่ผ่านมาอาจารย์ชอบเอาแต่คะแนนสอบ ทำให้เวลาจะสอบในตารางแต่ละที นักศึกษาต้องอ่านหนังสือ อ่านชีท จนแทบจะต้มแดกกันให้ได้อยู่แล้ว แต่นี่จู่ๆอาจารย์ก็ให้งาน แถมยังจะให้คะแนนอีก ถึงสาเหตุมันจะเป็นเพราะอาจารย์เบี้ยวสอนก็เถอะ แต่ก็นับว่ามันยังพอจะทดแทนกันได้อยู่

“เออ งานช่วยชีวิตวิชานี้ แต่วิชาอื่นมึงตายนะครับ อย่าลืมว่าภาษามือมีสอบนอกตารางนะมึง เห็นว่าให้ทำตามคำบอกด้วยนะเว้ย ไม่เครียดเหรอ หรือว่ามึงลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ ให้กูตบบ้องหูเรียกความจำหน่อยมั้ย?” ไอ้หมอกมันยกมือขึ้น พลางทำท่าจะตีไอ้คินจริงๆ
“ไอ้สัสหมอก มึงสบายที่สุดแล้วป่ะวะ เครียดทำเชี่ยไรเนี่ย?”

“เออ เครียดเชี่ยไร?” ผมกอดอก พลางพยักพเยิดหน้าไปทางไอ้หมอกอย่างหาเรื่องเต็มที่
“เพราะกูเป็นห่วงพวกมึงนี่ไง สาดดดด” ไอ้หมอกมันตบหัวพวกผมเรียงคน จากนั้นก็สาดคำสบถมาอีกกระบุงใหญ่ ซึ่งถ้าหากคำสบถมันสามารถปรากฏเป็นตัวๆ ให้เราเห็นได้ ป่านนี้มันคงแปะอยู่กลางใบหน้าของผมกับไอ้คินเรียบร้อย
ดีนะมึง น้ำลายไม่กระเซ็นใส่กูน่ะ

“แดกข้าวกัน” พอสบถจนสาแก่ใจแล้ว พ่อหนุ่มเส้นเสียงแข็งแรงก็รีบแทรกตัวเข้ามากอดคอผมกับไอ้คินคนละข้างอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! กูมีนัด..กับพี่เนย์..แล้วว่ะ” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ เพราะดันลืมไปเสียสนิทใจเลยว่า ผมนัดกับพี่เนย์เอาไว้ ป่านนี้อีกฝ่ายน่าจะรอนานแล้วมั้ง เพราะอาจารย์ก็ปล่อยช้า แถมเรายังพากันเดินเอ้อระเหยอีก

“เออๆ ไว้เจอกันพรุ่งนี้เว้ย” ไอ้หมอกมันผลักผมออกจากกลุ่มทันที พร้อมกับทำเป็นโบกมือลาหยอยๆจนน่าถีบ
“กวนตีน!” ผมด่ามันจบ ก็ซัดป๊าปเข้าที่หน้าขาของไอ้เพื่อนคู่อริ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปให้ห่างจากช่วงขายาวๆของมันทันที แต่ดูเหมือนคู่ปรับตัวฉกาจ มันจะอาฆาตแค้นหนักมาก มันถึงได้วิ่งไล่กวดผมแบบนี้

ผมจึงได้แต่มองซ้ายมองขวา เพื่อหาใครสักคนที่เป็นเจ้าของนัดให้เจอ ก่อนที่ไอ้หมอกมันจะลากคอผมไปเตะคืน เพราะถ้าหากผมเจอพี่เนย์ก่อน ไอ้เพื่อนซี้มันก็จะไม่กล้าทำอะไรผม นับว่าได้เปรียบสุดๆ แต่ตอนนี้ผมยังมองไม่เห็นพี่เนย์เลย แถมตอนนัดกัน ผมก็ดันลืมถามด้วยว่าเจ้าตัวจะไปนั่งรอผมอยู่ตรงไหน
“พี่..นะ..เอ” พอหันไปเห็นเป้าหมายที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมก็รีบร้องเรียกพลางวิ่งเข้าไปหา ส่วนไอ้หมอกก็ถึงกับชะงักไปนิด จากนั้นมันก็รีบยกมือไหว้พี่เนย์ พร้อมกับขอตัวไปหาไอ้คิน ที่กำลังเดินหัวเราะมาแต่ไกล พลางยกมือไหว้ทักทายคนตัวสูง ที่ดูท่าจะงงงวยกับเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น้อย

“พวกมึงเล่นอะไรกันวะ?”
“…” ผมส่ายหัวไม่ยอมตอบ

“ไปกันเถอะว่ะ กูเริ่มหิวแล้ว ว่าจะไปหาอะไรกินแถวหอนี่แหละ” พี่เนย์พูดพลางเดินนำหน้า ส่วนผมก็รีบตามก้นไปติดๆ เพราะด้านหลังยังมีไอ้เพื่อนตัวแสบคอยเดินตามไม่ห่าง กระทั่งพ้นจากรัศมีของการเอาคืนได้ ผมก็ดันเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ ซึ่งมันก็พอดีกับตอนที่ภายในรถกำลังเงียบกริบไปซะงั้น

“เป็นไรมึง?” พี่เนย์ถาม พลางสตาร์ทรถและเปิดแอร์เบอร์แรงสุด เพราะรถถูกจอดตากแดดเอาไว้นานแล้ว ทำให้อุณหภูมิภายในคล้ายกับอยู่ในเตาอบ เนื่องจากแดดของประเทศไทย ดันทำหน้าที่ได้ดีจนเกินความจำเป็น ซึ่งผมเคยเสิร์จเจอนะ แต่เป็นข่าวต่างประเทศ ว่ามีคนเอาคุกกี้เข้าไปอบในรถด้วย และมันก็ประหลาดสุดๆ ที่คุกคี้ดันพร้อมเสิร์ฟ เพียงแค่คุณมีดวงอาทิตย์ที่ให้ความร้อนในระดับ 35 องศาเซลเซียส หรือ 95 องศาฟาเรนไฮด์เท่านั้นเอง
ที่ไทยก็น่าจะทำได้นะ เพราะช่วงนี้มีแต่ร้อนกับร้อนตลอดเลย

“เปล่าครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม จากนั้นก็เอื้อมมือไปปัดแอร์ให้หันมาทางตัวเองทั้งด้านซ้ายและขวา
“วันนี้ร้อนชิบหาย ลูกกูจะไม่เหี่ยวตายคาตู้ใช่มั้ยเนี่ย” พี่เนย์บ่นอุบ พลางปลดกระจกลงเพื่อไล่ความร้อนเล็กน้อย กระทั่งอุณหภูมิ เริ่มคงที่ พี่เขาถึงได้ยอมปิดกระจก พร้อมกับปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกอีกสองเม็ด เพราะการเข้ามาอยู่ในรถที่กำลังจอดตากแดด มันทำเอารู้สึกอึดอัด แถมยังร้อนจนหายใจไม่ค่อยออกแปลกๆ

ตุ้บ!

หลังจากกินข้าวและซื้อของใช้เรียบร้อย พี่เนย์ก็รีบตรงดิ่งมายังห้องพักอย่างรวดเร็ว และทันทีที่ผมเปิดประตูห้องได้ อีกฝ่ายก็รีบแทรกตัวเข้ามายังด้านใน พร้อมกับถอดรองเท้าเอาไว้ที่พื้น ทั้งๆที่ปกติพี่เขาจะชอบถอดเอาไว้บนชั้นวางรองเท้าให้เรียบร้อย ผมเลยต้องเป็นฝ่ายเก็บรองเท้าคู่ดังกล่าวให้คุณชายเขาแทน จากนั้นถึงค่อยถอดรองเท้าของตัวเองวางเอาไว้ตรงมุมประจำ เพราะรองเท้าของผมไม่ได้เยอะแยะมากมายอะไร ซึ่งพอหันมาอีกที ข้าวของเครื่องใช้ที่พี่เขาถือมา ก็ถูกวางทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจ จนมันกระเด็นกระดอนออกมานอกถุงเกือบหมด
ท่าทางว่าเสียงดังตุ้บที่ผมได้ยิน คงจะเป็นเสียงตอนที่พี่เขาวางของแน่ๆ
ส่วนคนทำน่ะเหรอ ตอนนี้แทบจะกลืนหายไปกับฟูกที่นอนแล้ว!
 
“เหนื่อยเหรอครับ?” ผมก้มตัวลงมองคนที่วันนี้ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆอยู่หลายที พลางเอื้อมมือไปปัดผมหน้าม้าของอีกฝ่ายจนเผยให้เห็นหน้าผากอันชื้นแฉะไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“อืม เมื่อคืนพวกกูนั่งทำงานกันจนเพลิน ตีสองนู่นกว่าจะได้ฤกษ์แยกย้าย วันนี้กูเลยหลับคาห้องเรียนตั้งแต่ต้นคาบยันท้ายคาบ” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“งั้นก็นอน..พักเถอะครับ” ผมว่าพลางเลิกกวนอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินไปเปิดแอร์ให้คนตัวโตที่ไม่กะจิตกะใจจะทำอะไรแล้ว
“มึงเปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดด้วย” พี่เนย์ออกคำสั่งเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นทั้งห้องก็มีแต่เสียงลมหายใจแผ่วเบาของอีกฝ่ายที่คงจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว

ส่วนผมหลังจากจัดการอำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าเขี้ยวกุดเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มหันมาจัดการกับตัวเองบ้าง กระทั่งเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาว และกางเกงขาสั้นบานๆ ที่มีอยู่ตัวเดียว แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใส่ไปไหนมาไหนบ่อยนัก เพราะพี่เนย์ไม่ค่อยชอบ เอาแต่บ่นว่ามันสั้นไป ถ้าจะใส่ ให้ใส่แค่ในห้องเท่านั้น แล้วก็ห้ามใส่ตอนที่มีแขกมาที่ห้องด้วย
ที่สำคัญ หากจะออกจากห้องไปกรอกน้ำ หรือทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากผมใส่ตัวนี้ ผมจะต้องเปลี่ยนเป็นตัวใหม่ในทันที ซึ่งถ้าหากช่วงที่ผมอยู่หอ เวลาขี้เกียจๆ หรือว่าอยากจะเดินลงไปข้างล่าง เช่น ซักผ้า หรือไปกรอกน้ำดื่ม ผมก็มักจะเดินลงไปทั้งอย่างนั้น เพราะคนอื่นๆ ก็มักจะสวมแค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวแทบทั้งนั้น แต่นี่ผมใส่ครบชุดเลยนะ ไม่ได้มีอะไรน่าเกลียดสักนิด ไอ้หมอก ไอ้คิน มันก็ไม่ได้บ่นอะไรด้วย
พี่เนย์นั่นแหละ จะอคติอะไรกับกางเกงตัวนี้มากมายนัก

“เห้อ” ผมเผลอถอนหายใจออกมา หลังจากนั่งเหม่อระหว่างที่กำลังจัดของใส่ตู้เย็น เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่พี่เนย์ออกปากพูดอย่างชัดเจนว่าผมคือแฟนของเจ้าตัว น้องโบว์ก็ดูเงียบๆจนผิดปกติ ส่วนปาล์มก็ทำเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆให้ผมแค่นั้น แถมการฝึกของเราก็ดันจบลงแค่เมื่อวานซะด้วย กว่าจะนัดเจอกันอีกทีก็ตอนช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ในวันอัดจริงเท่านั้น
“ช่างเถอะ” ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน จากนั้นก็เร่งเอาขนมกับอะไรต่อมิอะไรที่คนตัวโตเขาซื้อมาแช่ตู้เย็นให้ครบ จากนั้นก็ย้ายตัวเองไปอยู่ตรงหน้าตู้หนังสือ เพื่อเก็บสบู่และยาสระผมไว้ในนั้น เนื่องจากของเก่ามันยังพอจะใช้ได้อยู่ แต่ก็น่าจะใช้ได้แค่วันนี้เท่านั้น เพราะขวดแต่ละขวดเริ่มจะเบาหวิวแล้ว

กระทั่งทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ตัดสินใจจะฝึกอ่านหนังสือ โดยใช้หนังสือเรียน เพื่อเป็นการเตรียมสอบล่วงหน้าไปในตัว ส่วนคนตัวโตก็ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวต่อไป กว่าพี่เขาจะตื่นก็โน่นสามโมงเย็นแล้ว ทำเอาเจ้าตัวบ่นอุบที่เสียเวลาทำงานไปมากมายหลายชั่วโมง

“มึงลองช่วยกูทำแบบทดสอบหน่อยดิ กูว่าจะเอาไปใช้เป็นกิจกรรมระหว่างทำสัมมนา” พี่เขาพูดขึ้น พลางลุกเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อหยิบดินสอและสมุดจดเลคเชอร์ของตัวเองติดมือมาด้วย จากนั้นพี่เนย์ก็เปิดหน้ากลางของสมุดเล่มนั้น ก่อนจะดึงออกมาวางตรงหน้าของผม
“อ้อ ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบดินสอมาวางไว้บนกระดาษหนึ่งคู่ที่พี่เนย์ฉีกมาให้

“มึงลองวาดรูปอะไรก็ได้ ที่เวลาว่างๆแล้วมึงชอบเผลอวาดน่ะ” พอพี่เนย์พูดจบ ผมก็ได้แต่จับดินสอจรดลงบนหน้ากระดาษนิ่งๆ เพราะผมนึกไม่ออกว่าผมชอบวาดรูปอะไรนี่สิ
“ไม่ต้องรีบ วาดออกเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” เจ้าของบททดสอบทางจิตวิทยาพูดขึ้น จากนั้นเจ้าตัวก็ละเลงปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดต่อจากเมื่อวานนี้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนผมก็ได้แต่จดๆจ้องๆหน้ากระดาษที่มีเส้นบรรทัดอยู่หลายขั้น

ผมตัดสินใจเขียนชื่อของตัวเองลงไปในนั้น โดยใช้เป็นชื่อย่อ แม้ว่าจะไม่มั่นใจนักว่ามันจะผิดกฎของคนตรงหน้าหรือเปล่า แต่เวลาเผลอๆ ผมคิดว่าผมน่าจะชอบเขียนชื่อตัวเองบ่อยๆ จากนั้นผมก็เริ่มวาดบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิดเอาไว้เหนือชื่อของตัวเอง ก่อนจะเติมก้อนเมฆลอยล่องอยู่เบื้องบน ต่อมาก็เป็นดอกไม้

“เสร็จแล้วครับ” ผมร้องบอกพลางยื่นกระดาษให้อีกฝ่าย
“อ้อ” พี่เนย์ก้มหน้าดูภาพวาดของผมนานมาก ราวกับเจ้าตัวกำลังสังเกตอะไรบางอย่าง ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก ว่าทำไมอีกฝ่ายต้องมองอย่างตั้งอกตั้งใจขนาดนั้น

“เขาบอกว่าคนที่ชอบเขียนชื่อย่อของตัวเองไม่ว่าจะภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ จะเป็นคนที่มีเสน่ห์และน่าประทับใจสำหรับคนรอบข้าง แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง แต่ก็มีความมุ่งมั่นที่ดีที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ”
“…” ถามว่าตรงไหม ผมว่ามันก็ตรงนะ เพราะผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ แต่เรื่องมีเสน่ห์และน่าประทับใจสำหรับคนรอบข้างนี่ ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่

“ถ้าชอบวาดก้อนเมฆ จะแทนความรู้สึกวิตกกังวลกับการคาดหวังอะไรบางอย่าง ที่อาจจะดูเลื่อนลอยและไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริงได้มั้ย”
“…” ถ้าจำไม่ผิด มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนเบื่อๆในคาบเรียน ผมจะชอบแอบวาดรูปก้อนเมฆไว้ตรงมุมหนังสือจริงๆ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมคาดหวังว่าจะเป็นล่ามภาษามือ แต่ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเอง จึงทำให้ผมคิดอยู่เสมอว่า บางทีผมอาจจะไม่สามารถเป็นล่ามภาษามืออย่างที่ตั้งความหวังเอาไว้ได้ ในคืนนั้น คืนที่ทุกอย่างมืดมิด จึงเป็นคืนเดียวที่ความคิดของผม มันสะท้อนออกมาเป็นคำพูด

“ถ้าชอบวาดรูปบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด จะแทนความรู้สึกปลื้มใจกับความอบอุ่นบางอย่าง ที่มันแสดงถึงความอบอุ่น อ่อนโยน ปลอดภัย และความรักสงบ”
“…” ข้อนี้ผมไม่รู้ว่าตัวเองเคยวาดมันบ่อยๆไหม แต่ว่าความรู้สึกอบอุ่นใจ อ่อนโยน และปลอดภัย มันก็มักจะเกิดขึ้นเพราะเจ้าของบททดสอบตรงหน้านั่นแหละ
ไม่เห็นจำเป็นต้องชอบวาดรูป ‘บ้านที่มีรั้วมิดชิด’ เลย

“ถ้าชอบวาดรูปดอกไม้ จะแทนความรู้สึกเซ็งๆ อยากจะหลุดพ้นหรือหลีกหนีจากอะไรบางอย่าง เพื่อไปสู่ความรื่นรมย์ในชีวิต ไม่ว่าจะจากปัญหาหรือความวุ่นวายต่างๆ ก็ตาม หรืออีกนัยหนึ่งรูปดอกไม้ก็เป็นรูปวาดประจำสำหรับคนอ่อนไหว ที่มีความสุภาพเรียบร้อย และไวต่อความรู้สึกรอบตัว นอกจากนี้ยังเป็นคนโรแมนติคและช่างจดจำด้วย” พี่เนย์วางกระดาษของผมลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ใช้หนังสือของตัวเองวางทับอีกที คล้ายกับจะไม่คืนผลงานการทดสอบให้ผม
“กูว่ามันแลตรงกับมึงทุกอย่างเลยนะ” พี่เนย์พูดขึ้น พลางเงยหน้ามายิ้มให้ผมที่กำลังถูกอ่านใจโดยไม่รู้ตัว

“จริงๆวิธีการไขความลับของเด็กที่โดนทำร้ายทางจิตใจ ก็คือการวาดรูปนี่แหละ มึงพอจะจำได้ไหมว่าตอนนั้นมึงวาดรูปอะไรให้อาจารย์เบญดูบ้าง?” พี่เนย์ขมวดคิ้วมุ่น จนหัวคิ้วแทบจะผูกติดกันให้ได้อยู่แล้ว จากนั้นปลายนิ้วชี้ข้างขวาก็เคาะลงบนโต๊ะไม้เบาๆเป็นจังหวะ บ่งบอกถึงความเคร่งเครียดของเจ้าของคำถามไม่น้อย ท่าทางว่าพี่เขาอาจจะกังวลว่าคำถามของตัวเองมันจะกระทบต่อจิตใจของผมในตอนนี้หรือไม่ แต่ครั้นจะไม่ถาม ก็อาจจะไม่ได้คำตอบไปต่อยอดกับงานของตัวเอง
“แม่ไม่ได้บอก..พี่เหรอครับ” ผมย้อนถามอย่างสงสัย เพราะคนที่น่าจะรู้ดีที่สุดน่าจะเป็นแม่ของผมนะ

“ท่านก็บอก แต่ปัญหาคือท่านจำไม่ค่อยได้แล้วว่ามึงวาดรูปอะไรไปบ้าง ครั้นจะไปถามอาจารย์ กูก็ไม่กล้าแล้วว่ะ เพราะกลุ่มกูขอข้อมูลจากแกมาเยอะแล้ว จากที่จะได้คะแนนดี มันจะกลายเป็นโดนจี้หนักตอนพรีเซ็นต์แทนน่ะสิ” พี่เนย์หมุนดินสอในมือของตัวเองเล่นอยู่หลายตลบ
“จริงๆ..ผมมีเก็บไว้..รูปนึงนะครับ..มันเป็นรูปที่..ผมไม่ค่อยอยาก..ให้ใครเห็น..ก็เลยเอาติดตัว..มาด้วย..แต่ไม่แน่ใจ..ว่ามันจะใช่..รูปที่ใช้ไขความลับ..อะไรนั่นหรือเปล่า” ผมพูดพลางลุกขึ้นยืน และเดินไปยังตู้หนังสือ เพื่อเปิดกระเป๋าสะพายใบเก่ง และค้นเอากระเป๋าสตางค์ของตัวเอง จากนั้นก็หยิบกระดาษใบหนึ่งที่ถูกพับเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาจากช่องใส่บัตร ก่อนจะนำมายื่นให้ว่าที่นักจิตบำบัดมือใหม่

ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่พี่เนย์สังเกตรายละเอียดของภาพที่ผมวาดอย่างตั้งใจ ราวกับอีกฝ่ายพิจารณาทุกสิ่งอย่างตั้งแต่แรงกดของเส้น คุณภาพของเส้น  ความครบถ้วนและรายละเอียดของภาพ ไม่ว่าจะเป็นความสมดุล การแรเงา หรือแม้กระทั่งรอยลบต่างๆ
“ในภาพนี้ ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย กำลังยืนมองชิงช้าสวรรค์ตรงหน้า ส่วนกล่องสี่เหลี่ยมๆเป็นซี่ๆเหมือนลูกกรงนั่น หมายถึงกระเช้าชิงช้าสวรรค์ แต่ทำไมกระเช้าอันอื่นๆถึงไม่เหมือนกับกระเช้าด้านบนสุด..” พี่เนย์พูดพึมพำเบาๆ ราวกับกำลังพูดอยู่กับตัวเอง แต่เพราะเราสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน จึงทำให้ผมได้ยินที่อีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจน

“แถมยังระบายเป็นสีดำแล้วเหลือพื้นที่สีขาวเป็นรูปเหมือนคนด้วย”

ก๊อก ก๊อก

“กู..เอ้อ.. พี่ทำแกงเขียวหวานไว้เยอะ ไปเอาจานมาตักแบ่งสิ” ผมยกยิ้มให้พี่ทีม จากนั้นก็พยักหน้ารับ และเดินกลับเข้ามาในห้อง แต่พี่เนย์ก็ยังคงดำดิ่งลงสู่การพิจารณาภาพวาดภาพนั้น ผมจึงเดินไปหยิบถ้วยตรงที่คว่ำชาม และเดินออกไปจากห้องของพี่เนย์ เพื่อไปเคาะประตูยังห้องของรุ่นพี่ร่วมสาขา ที่วันนี้ใจดีทำแกงเขียวหวานเอาไว้เยอะ พวกเราก็เลยไม่ต้องออกไปหาซื้อมื้อเย็นกินกันเอง

‘ไปตักเลยๆ’ พี่บอสเป็นคนมาเปิดประตูให้ จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้ภาษามือคุยกับผม
‘…’ ผมจึงทำได้แค่ยิ้ม เพราะมือยังไม่ว่างต่อการสื่อสารกันด้วยภาษามือ

“โปรเจคไปถึงไหนแล้วล่ะ พอไหวมั้ย?” พี่ทีมที่มายืนคุมให้ผมตักเนื้อไปเยอะๆ เอ่ยถามขึ้น
“ก็พอไหวครับ..เปิดเทอมหน้า..คงจะได้อัดคลิป..อย่างจริงๆจังๆ..สักที”

“อืม ถ้าไม่ไหวก็บอกพวกพี่ได้นะรัน เห็นไอ้หมอกมันบอกเราเครียดจนร้องไห้ พี่ก็เพิ่งจะเข้าใจที่ไอ้เนย์มันเป็นบ้าจัดปาร์ตี้สุกี้นี่แหละ”
“อ่า.. ฮ่าๆ” ผมหัวเราะน้อยๆ กับคำพูดของพี่ทีม เพราะนึกภาพของคนตัวโตในห้องออกเลยแหละ

“สู้ๆเว้ย เดี๋ยวปีสามมึงก็ได้ร้องไห้อีกรอบเหมือนไอ้บอสนี่แหละ เพราะเรื่องศัพท์ทางการแพทย์กับกฎหมาย มันเป็นอะไรที่ยากสุดๆแล้ว”
“ขนาดนั้น..เลยเหรอครับ?” ผมถามด้วยความหวั่นใจ เพราะขนาดพี่บอสรู้ภาษามือแบบขั้นเซียนแล้วนะ พี่เขายังท้อจนร้องไห้แบบผมเลยเหรอวะ แล้วผมจะไหวมั้ยนั่น

“พอขึ้นปีสาม ทุกอย่างแม่งก็ใหม่หมด เพราะมันไม่ใช่ศัพท์ที่ใช้กันจนคุ้นเคยไง”
“สู้ๆโว้ย” พี่ทีมพูดพลางบีบไหล่ผมเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าประโยคเมื่อครู่ เจ้าตัวน่าจะพูดเพื่อบอกตัวเองด้วยแน่ๆ เพราะสีหน้าของพี่เขาแลดูล้าๆไม่ต่างกัน

“ขอบคุณนะครับ” ผมบอกพี่ทีมพลางหันไปก้มหัวให้พี่บอสในเชิงบอกลา จากนั้นผมก็เดินกลับห้อง ซึ่งพี่เนย์ก็ยังคงหลงอยู่ในวังวนของความเงียบเหมือนเดิม ผมจึงเดินเอาจานแกงเขียวหวานไปวางไว้ตรงเตาไมโครเวฟ และตั้งท่าจะไปหยิบกระเป๋าสตางค์เพื่อลงไปซื้อข้าวแช่แข็งมาอุ่นกินกับแกงเขียวหวานของพี่ทีม
“อะไรครับ?” ผมถามด้วยความสงสัยปนตกใจ เมื่อจู่ๆพี่เนย์ก็พุ่งเข้ามากอดผมจากทางด้านหลังเสียแน่นเลย

“ตอนนี้มึงยังรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่หรือเปล่า?” พี่เนย์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะสั่น คล้ายกับความรู้สึกของผมมันส่งตรงจากภาพวาด จนทำให้คนที่รับรู้ถึงมันได้ เกิดอาการสั่นไหวในจิตใจ
“ไม่แล้วครับ” ผมตอบพลางพลิกตัวเข้าไปกอดอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนพี่เนย์จะกอดผมแน่นมากกว่าปกติ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร แม้ว่าตัวเองจะเจ็บเพราะแรงกอดของพี่เขาอยู่ก็ตาม เพราะผมเข้าใจว่านักจิตบำบัดมือสมัครเล่น เขาคงจะสะเทือนใจกับภาพสะท้อนในวัยเด็กของผมที่แลจะส่อเค้าความหว้าเหว่และหวาดกลัวจนสุดพลังขนาดนั้น

“มึงจะไปไหน?” พี่เขาปล่อยผมให้เป็นอิสระ พลางถามด้วยน้ำเสียงที่ยังคงไม่ต่างจากเดิม
“ไปซื้อข้าวครับ เดี๋ยวเรามา..กินด้วยกัน..นะ พี่ทีมกับพี่บอส..แบ่งแกงเขียวหวาน..มาให้”

“อืม” ผมยกยิ้มให้อีกฝ่ายที่ตอบรับในลำคอแผ่วเบาเสียเหลือเกิน และทันทีที่ผมเดินออกมาจากในห้อง ผมก็รู้สึกโล่งใจ ที่ไม่ต้องปั้นหน้าว่าตัวเองไม่รู้สึกหวั่นไหวไปกับท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่าย
พูดตรงๆ ผมไม่เคยอยากให้ใครเห็นภาพนั้นเลย
เพราะถ้าหากพวกเขาได้เห็น ก็จะต้องรู้สึกสะเทือนใจไม่ต่างจากที่พี่เนย์กำลังรู้สึก


-----------------------------------------------
[edit 09/12/2017 เพิ่มคำตกหล่น]
ตอนที่แล้วพี่เนย์เขาไม่ได้ตั้งใจจะหวานเล้ย พี่เขาแค่ไม่อยากให้น้องเศร้าเท่านั้นเอ๊ง
ส่วนตอนนี้ก็แนวกึ่งๆวิชาการสักเล็กน้อย พร้อมด้วยการปล่อยลูกแมวใส่ขาสั้นออกไปข้างนอก 5555

แบบทดสอบรูปวาดทีเผลอ เราเอามาจากบทความนี้ค่ะ > https://t.co/tDm7WrSGKh
ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับการไขความลับจากภาพวาดเนี่ย จะเป็นการไขความคิดและความรู้สึกของเด็กคนนั้น ซึ่งนักจิตบำบัดเขาจะให้แค่กระดาษ กับดินสอ หรือสี และไม่มีการกำหนดหัวข้อใดๆ ซึ่งนักจิตบำบัดเนี่ย เขาจะคอยสังเกตการลงเส้นสายของลายเส้น และการลงสี จากนั้นก็ค่อยเปิดโอกาสให้เด็กเล่าถึงเรื่องราวที่เขาวาด โดยไม่มีการวิจารณ์ภาพวาดนั้นๆ แต่เป็นการรับฟังเรื่องราว ซึ่งจะบ่งบอกให้ผู้ใหญ่ได้เข้าใจความคิดและความรู้สึก ณ ขณะนั้นของเด็ก ที่อาจจะเป็นอดีตอันแสนหวาน หรืออาจเป็นอนาคตที่ใฝ่ฝัน  หรือในทางตรงกันข้ามอาจเป็นความขมขื่นใจ หรือความคับข้องหมองใจ ที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น นักจิตบำบัดจึงต้องอาศัยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและเวลาในการสร้างความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวในการสังเกตเด็กแต่ละคน เพื่อที่จะตีความภาพวาดของเด็กๆได้ถูกต้อง
ที่มา : http://hpc10.anamai.moph.go.th/ewt_news.php?nid=653&filename=km

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 11
Admin@no_สวยสึดๆ. “32 รูปวาดทีเผลอ บ่งบอกอะไรในตัวคุณ!?”. (ตาโตดอทคอม). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  http://www.tartoh.com.[11 มิ.ย. 2558].
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 11 ♥ หน้า 7 (up 05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-12-2017 18:42:27
ตั้งแต่อ่านเรื่องบอกตามตรง เราตั้งใจกับการดูช่องเล็กๆในจอทีวีมากขึ้นเยอะเลยค่ะ จากแต่ก่อนมองบ้างแบบว่า เขาเท่เขาเก่งจังเลย บางครั้งก็แสดงอาการแบบโอเวอร์แอคติ้งค์เยอะด้วย แต่เดียวนี้ดูแล้วก็พยายามทำความเข้าใจด้วย
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 11 ♥ หน้า 7 (up 05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 05-12-2017 20:36:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 11 ♥ หน้า 7 (up 05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-12-2017 09:27:26
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 12 ♥ หน้า 8 (up 06/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 06-12-2017 16:35:06
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 12

ตั้งแต่พี่เนย์เขาเห็นรูปที่ผมเคยวาดเมื่อตอนยังเด็ก พี่เขาก็ดูนิ่งๆเงียบๆ จนผมรู้สึกว่ามันผิดปกติ แต่ถ้าหากผมเข้าใจผิดไปเอง มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า พี่เขาคงจะเหนื่อยจากการเตรียมสัมมนา จากนั้นก็ต้องหันมาทุ่มให้กับการสอบปลายภาค และเมื่อการสอบดังกล่าวผ่านพ้นไป พี่เนย์ก็ยังต้องมาเตรียมตัวสำหรับการพรีเซ็นต์สัมมนาอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งวันสุดท้ายของการสอบ พวกรุ่นพี่ต่างสาขาก็พากันยกโขยงมาปักหลักที่ห้องของพี่เนย์ จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาซ้อมพรีเซ็นต์ พร้อมกับการยกเคสขึ้นมาพูด อีกทั้งยังต้องฝึกเอ็นเตอร์เทรนผู้ฟังให้เป็นด้วย ส่วนผมที่หมดห่วงทุกอย่างแล้ว ก็ได้แต่นอนแผ่อยู่บนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทุ่มอ่านหนังสือติดๆกันเป็นระยะเวลาอันยาวนาน อีกทั้งความสัมพันธ์ของผมกับน้องรหัส ก็แลจะมีช่องโหว่เกิดขึ้นยังไงก็ไม่รู้ เพราะน้องไม่ได้ติดต่อมาหาผม เพื่อคุยเล่นเหมือนปกติ แถมเรายังเรียนอยู่คณะเดียวกันด้วย แต่ก็ดันไม่ค่อยได้เจอหน้าค่าตาสักเท่าไหร่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าน้องตั้งใจหลบหน้า หรือว่ามันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว ผมจึงได้แต่ปล่อยผ่าน
เพราะถึงยังไงเรื่องทุกอย่างมันก็ต้องลงเอยแบบนี้อยู่ดี

“ทำไมท้องฟ้า..วันนี้มันดู..เศร้าๆชะมัด..ดาวก็ไม่มี..สักดวง” ผมอดจะบ่นออกมาไม่ได้ หลังจากเฝ้ามองท้องฟ้าอยู่ตรงริมระเบียงห้องมาเนิ่นนานแล้ว ส่วนคนตัวโต ตั้งแต่กลับมาจากพรีเซ็นต์งานสัมมนาก็น็อคคาหมอนแทบจะทันที ข้าวยงข้าวเย็นพี่เขาไม่สนใจจะกินหรอก เพราะคนอดนอนมาทั้งคืนเขาต้องการเตียงมากกว่า
“เป็นอะไร?” พี่เนย์ที่ไม่รู้ว่าตื่นนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ ดันเอากระป๋องเบียร์เย็นๆมาทาบแก้มผม ก่อนที่จะส่งเสียงถามไถ่กันซะอีก

“ไม่รู้สิครับ” ผมขยับตัวไปทางขวามือ เพื่อแบ่งพื้นที่ให้คนตัวโตเข้ามายืนเกาะระเบียงห้องเพื่อดูบรรยากาศด้านนอกด้วยกัน
“พี่เหนื่อย..หรือว่า..ยังรู้สึกไม่ดี..เรื่องของผม..เหรอครับ?” ผมมองตรงไปข้างหน้า ขณะที่ริมฝีปากก็สอบถามอีกฝ่าย ถึงเรื่องที่ค้างคาใจมาหลายเดือน

“อาจจะทั้งสองอย่างมั้ง” รุ่นพี่ด้านข้างพอตอบคำถามเสร็จ เขาก็รีบยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม อึกแล้วอึกเล่า
“ทำไมเหรอครับ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงติดสั่น เพราะผมไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บกับเรื่องในอดีตของตัวเอง ในเมื่อตอนนี้ผมก้าวผ่านมันมาได้แล้ว ผมก็อยากให้มันกลายเป็นเงาที่คอยไล่ตามผม แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางไล่ตามได้ทัน

“ตั้งแต่เห็นรูปนั้น กูแทบไม่อยากจะไปฝึกงานที่กรุงเทพเลย” พี่เนย์พูดพลางสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด จากนั้นมือซ้ายของอีกฝ่ายก็รีบยกขึ้นปัดป่ายตรงปลายจมูก คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังหักห้ามไม่ให้ความอ่อนไหวออกมาเพ่นพ่านข้างนอก
“แต่มันคงจะดี..นะครับ..ถ้าหากพี่ทำได้..แค่คิด” ผมตอบพลางก้มหน้าลงมองฝ่ามือของตัวเอง และอดคิดไปถึงภาพๆนั้นไม่ได้ เพราะมันเป็นภาพที่น่าหดหู่ใจ ผมรู้ดี ในเมื่อเหตุการณ์จริงในวันนั้น พ่อกับแม่ท่านก็อยู่ข้างๆผมในกระเช้าชิงช้าแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนขังให้อยู่ในนั้นเพียงลำพัง ดังนั้นความหวาดกลัวและความเศร้าโศกของผมจึงถูกแทนที่ด้วยสีดำอันมืดมิด ที่กำลังรายล้อมอยู่รอบๆกายของตัวเอง ที่ได้ถูกแทนที่ด้วยสีขาวอันว่างเปล่า อีกทั้งรูปหน้าที่ไร้อวัยวะในการมองเห็น การสูดดม หรือแม้กระทั่งการได้กลิ่น และการลิ้มรส มันก็แสดงออกถึงการถูกบีบบังคับจากมือที่มองไม่เห็น เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดจากคำพูดข่มขู่ จากคนสองคนที่กำลังยืนมองตัวผมอยู่ด้านล่าง

“ทำไม?”
“การฝึกงานมัน..คืออนาคต..ของพี่ไม่ใช่..เหรอครับ” ผมจิกปลายเล็บลงบนราวระเบียงใกล้ๆมือ ขณะที่ปลายจมูกก็ต้องคอยซูดน้ำมูกเป็นระยะๆ เมื่อจู่ๆ หน่วยตามันเริ่มจะขังคลอไปด้วยหยาดน้ำแห่งความอ่อนแอ

“มันก็ใช่ แต่..”
“แต่ถ้า..พี่ไม่ไป..ฝึกงานที่..กรุงเทพ..มันก็เท่ากับผม..ทำลาย..อนาคตของพี่” ผมรีบพูดตัดหน้าอีกฝ่าย พลางเม้มปากแน่นเป็นระยะๆ เพราะเหตุผลที่ได้พูดออกไป มันคงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเจ็บปวด ถ้าหากมันเกิดขึ้นจริง

“อืม มึงสบายใจได้ ที่ผ่านมากูก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อกูดำเนินเรื่องจนเรียบร้อยหมดแล้ว มึงเองก็ต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้นะ เพราะมึงก็คืออนาคตของกูเหมือนกัน” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองร่างสูงที่เอาแต่กระดกเบียร์ไม่หยุดหย่อน ทั้งๆที่ตั้งแต่เจ้าตัวกลับมา ก็ยังไม่ได้ทานข้าวเลยแม้แต่นิด จนนี่ก็ปาเข้าไปจะสี่ทุ่มแล้วด้วย แต่เพราะคำพูดของพี่เนย์ที่บอกว่าผมคือ ‘อนาคต’ ของเขา มันกลับทำให้ผมลืมสิ้นแล้วทุกอย่าง
จนได้แต่ปล่อยให้ม่านสายตา มีแต่ใบหน้าของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ ปรากฏอยู่ในนั้น

“ถ้ามึงรู้สึกโดดเดี่ยว มึงโทรหากูได้เสมอนะรัน หรือไม่ ถ้ามึงกลัวว่ากูจะไม่ว่าง มึงก็วาดรูปส่งมาให้กูดูก็ได้ กูจะได้รู้ว่ากูควรต้องปลอบมึงยังไง” พี่เนย์หันมายิ้มให้ พลางยกมือข้างที่ว่าง โยกศีรษะของผมไปมาเบาๆ จนผมที่น้ำตาซึมอยู่แล้ว ก็ยิ่งกลั้นความอ่อนไหวของตัวเองได้ยากขึ้นไปอีก
เพราะในที่สุด วันที่เราจะต้องห่างกัน มันก็ขยับเข้ามาใกล้เพียงแค่เอื้อม

“กูจะไม่สัญญานะ แต่ในระหว่างที่กูไม่ได้อยู่ใกล้ๆมึง กูจะพยายามทำให้มึงไม่รู้จักคำว่า ‘โดดเดี่ยว’ ที่มึงเคยได้สัมผัสอีกแล้ว” พี่เนย์พูด พลางตั้งท่าจะเดินกลับเข้าไปในห้อง
“อันที่จริง..ตั้งแต่ผม..มาเรียนที่นี่..จนผมได้มาเจอ..กับพี่..ผมก็ไม่เคยได้รู้จัก..กับคำนั้นอีกเลย..แม้แต่ความ..กลัว..ความเศร้า..ผมก็แทบ..จะไม่รู้จักมันอยู่แล้ว..เพราะพี่..นะ..เอ..ทำให้ผมลืมเรื่องทุกอย่าง..และพร้อมที่จะสู้กับมัน..อนาคต..ถึงแม้พี่..จะไม่ได้อยู่..ข้างๆผม..ตรงนี้แต่ผม..ก็คิดว่า..ผมคงจะไม่มีทาง..ได้สัมผัสคำ..นั้นเหมือนเดิม”

“อืม กูเชื่อมึง” เจ้าของห้องเขายกยิ้มอันสดใสให้ผมเป็นครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน เพราะเจ้าตัวคงมัวแต่คิดลังเลเกี่ยวกับสถานที่ฝึกงานของตัวเอง หรือไม่บางทีพี่เขาก็อาจจะนำไปปรึกษาอาจารย์มาแล้ว แต่ทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามที่หวัง พี่อาคเนย์ถึงได้เงียบๆ นิ่งๆ จนผิดปกติ ขณะที่ผมผู้ที่ได้รับรอยยิ้มแบบนั้น อีกทั้งยังได้รับคำพูดตอบกลับอันแสนเรียบง่าย แต่กลับทำให้ใจของผมสั่นอย่างแรงกล้า เพราะคำว่า ‘เชื่อ’ มันคือคำที่ดูมีค่ามากกับบริบทที่เราสองคนกำลังพูดคุยกัน
“เราจะอยู่ด้วยกันนานๆเป็นคืนสุดท้ายแล้ว ดื่มดิ ไว้พรุ่งนี้ค่อยเก็บของ กว่าพ่อแม่กูจะมาช่วยขนของก็คงมืด” พี่เนย์ยื่นขวดฟูลมูนที่เปิดฝามาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นอีกฝ่ายก็ยกมือข้างที่ถือเบียร์กระป๋องที่สองขึ้นกลางอากาศ ราวกับจะชวนผมชนก่อนดื่ม ขณะที่มือซ้ายของเจ้าตัว ก็ถือแซนวิสง่ายๆจากเซเว่นเอาไว้

“ที่ผ่านมากูไม่เคยเห็นด้วยกับคำพูดอันสวยหรู ที่เพื่อนๆกูชอบแชร์เกี่ยวกับเรื่องความรักเลยนะ เพราะตอนนั้นกูคงยังไม่รู้จักความรักดีพอก็ได้มั้ง” หลังจากเราชนเครื่องดื่มกันเพียงเบาๆ พี่เนย์ก็ยืนดื่มสลับกับกินแซนวิสไปเรื่อยๆ จนหมด จากนั้นคนตัวสูงข้างๆ ก็พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ขณะที่ดวงตาคมคู่นั้นก็จ้องมองออกไปยังที่ๆไกลแสนไกล ผมจึงหันไปมองยังจุดๆหนึ่ง ที่คิดว่ามันกำลังตกเป็นเป้าสายตาของพี่เนย์
“ถ้ากูพูดไป มันอาจดูไม่ดี แต่กูรู้สึกว่ากูสมควรพูดมันในตอนนี้ว่ะ เพราะที่ผ่านมา ถึงกูจะคบกับใครอยู่ แต่กูก็ไม่เคยเข้าใจคำพูดพวกนั้นเลย แต่ถ้าหากกูเห็นคนแชร์ข้อความที่ว่า Sometimes all you need is one person that shows you that it’s okay to let  your guard down, be yourself, and love with no regrets (by heartfeltquotes) อีกครั้ง กูก็คงจะเห็นด้วย เพราะตอนนี้กูเจอคำตอบของมันแล้ว” พี่เนย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่ดวงตาคมคู่นั้น ก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนโฟกัสมาเป็นใบหน้าของผม

“พี่บอกว่า..พี่ไม่เชื่อ..แต่ผมกลับ..มองตรงกันข้าม..นะครับ” ผมยกยิ้มพลางอธิบายความคิดของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง
“ลึกๆแล้ว..พี่คงหวัง..ว่าจะมีใคร..สักคน..ที่ทำให้..พี่เข้าใจ..คำพูดพวกนั้น..เพราะไม่อย่าง..นั้น..พี่คงไม่มีทาง..จำข้อความ..ยาวๆแบบนี้..ได้แม่นหรอก..ผมถึงได้บอกว่า..มันคือสิ่งที่พี่หวัง..เพียงแต่พี่อาจจะ..ไม่รู้ตัว”

“ก็คงใช่ เพราะที่ผ่านมา ไม่ว่ากูจะคบกับใคร กูก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าคนเรามันจะสามารถรักใครสักคนได้โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย หรือแม้กระทั่งการเป็นตัวของตัวเอง กูก็ไม่เคยได้เป็น พูดง่ายๆคือ กูไม่ค่อยรู้จักความรักในแบบที่กูอยากจะมีเลยจริงๆ แต่พอกูได้เจอมึง ประโยคนี้มันก็แว๊บขึ้นมาในหัว ทั้งๆที่กูยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าสมองของกูมันไปจดจำคำพูดพวกนั้นที่กูแค่อ่านผ่านๆได้ยังไง”
“รันมึงรู้ใช่มั้ยว่าคำตอบที่กูพูด มันหมายถึงมึง” พี่เนย์หันกลับไปมองยังเบื้องหน้า ขณะที่เจ้าตัวก็กระดกเบียร์กระป๋องขึ้นดื่ม พลางถามผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลหากแต่หนักแน่นในความรู้สึก

“ครับ” ผมได้แต่ตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่มือขวาก็ต้องยกฟูลมูนขึ้นดื่มแก้เก้อ ส่วนพี่เนย์เขาก็ทำได้แค่หลุดหัวเราะในลำคอเพียงเท่านั้น คล้ายกับว่า เจ้าตัวเขาชื่นชอบในคำตอบที่ได้รับอยู่มาก เพียงแต่ไม่กล้าจะแสดงออกให้ผมรู้อย่างโจ่งแจ้ง    
เพราะในตอนนี้ ผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ เขากำลังหน้าแดง หูแดง แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เราต่างพากันดื่มต่อไปเรื่อยๆ ขวดแล้วขวดเล่า กระป๋องแล้วกระป๋องเล่า แต่ก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุด มิหนำซ้ำยุงน่ารำคาญก็ยังขับไล่เราสองคนที่กำลังอยากจะใช้เวลาร่วมกันเงียบๆไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกที ต่างคนก็ต่างเมาจนสติเริ่มพร่าเบลอ จนต้องพากันหอบสารรูปที่มันคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอลล์ กลับมายังเตียงนอนหลังใหญ่ ที่ได้ถูกเพิกเฉยมาเป็นเวลานาน

“รัน” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงของคนที่กำลังมึนงงไปกับของมึนเมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอ่อนโยนกับผมเสมอ เพราะเนื้อแท้ของผู้ชายคนนี้ เขาไม่ใช่คนแข็งกระด้างเหมือนที่ชอบแสดงออก แต่กลับเป็นคนอบอุ่น อ่อนโยน เหมือนกับคุณพ่อและคุณแม่ของเจ้าตัว
“ครับ” ผมขานรับ พลางหันไปมองคนหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ แต่กลับถูกความมืดมิดจากแสงไฟบดบังจนแทบมองไม่ออก เพราะภายในห้องของเรา มันมีเพียงแค่แสงจากดวงจันทร์ที่ส่องเข้ามาตรงปากประตูบริเวณที่ยังไม่ได้ปิดผ้าม่านเท่านั้น

“เวลาที่กูได้ศึกษาเคสแต่ละเคส กูไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง นอกจากน้ำตาซึมไปบ้างกับเรื่องราวที่พวกเขาพบเจอ แต่พอเป็นเคสที่เกิดจากคนใกล้ตัว แถมเขายังเป็นคนที่กูรัก มันทำเอากูรู้สึกเหมือนถูกดูดกลืนลงไปในความรู้สึกของเขาด้วย เพราะเวลาที่กูวิเคราะห์ ความรู้สึกที่มันแฝงอยู่ในภาพวาด กลับพุ่งเข้าใส่กูจากทุกทิศทุกทาง จนกูตั้งรับไม่ทัน กูเพิ่งรู้ก็ตอนนั้นเองว่ากูเป็นคนเก็บสีหน้าไม่เก่ง ทำตัวให้ปกติก็ยังไม่เป็น มึงถึงจับสังเกตได้ แต่กูก็ดีใจนะ ที่มึงมองเห็นความผิดปกติของกู เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครใส่ใจกูว่าชอบอะไร กลัวอะไร หรือแม้กระทั่งกูกำลังรู้สึกยังไง พวกเขารอแค่กูพูด แต่บางเรื่องมันไม่ใช่เรื่องที่กูควรจะพูด กูก็พูดไม่ได้ แต่กับมึงแค่กูเป็นตัวของตัวเอง กูกลับได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่กูเคยไขว่คว้า มันเลยทำให้กูเข้าใจว่า คนเราไม่ต้องการคนที่ดีพอ แต่กลับต้องการคนที่พอดีต่างหาก ดังนั้นกูสามารถเป็นคนที่อ่อนแอได้ ถ้าหากใครคนนั้นคือมึง” พี่เนย์ฉวยเอาข้อมือของผมไปจูบซ้ำๆ จนผมได้แต่เสมองไปทางอื่น
เพราะความร้อนมันเริ่มลามไล้จากใบหูมาสู่ใบหน้า

“รันกูหวงมึงนะ กูถึงพยายามไม่ให้มึงใส่ขาสั้นตัวนั้น เพราะมันชอบมีคนแอบมองขาของมึง ขนาดกูยืนอยู่ด้วยแท้ๆ แต่มึงมันก็ดื้อเงียบไง กูเผลอเมื่อไหร่ มึงก็ชอบใส่ออกไปเดินนอกห้องตลอด จนบางทีกูนี่อยากจะหยิกขามึงให้เนื้อเขียวเลย แต่กูก็บ้า เพราะกูกลัวมึงเจ็บ มึงทำกูแพ้ทางให้มึงทุกอย่างขนาดนี้ได้ยังไงวะ โคตรไม่ยุติธรรมเลย” พี่เนย์พลิกตัวขึ้นมาคล่อมผมไว้ทั้งร่าง จากนั้นดวงตาคมคู่นั้นก็เริ่มวางอำนาจร่ายมนต์ให้ผมไม่อาจวอกแว่กไปสนใจสิ่งอื่นใดได้ นอกจากร่างสูงตรงหน้า

“นี่กูลงโทษมึงย้อนหลังได้มั้ยน่ะ?” พี่เนย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า คล้ายกับแอลกอฮอลล์มันกำลังทำปฏิกิริยากับร่างกายให้เริ่มไวต่อความรู้สึกและการสัมผัส จากนั้นข้อมือทั้งสองข้างของผม ก็ถูกรวบไว้เหนือศีรษะด้วยฝ่ามือใหญ่เพียงข้างเดียว
“พี่จะหยิกผม..เหรอครับ” ผมแกล้งถามอย่างเฉไฉ แม้ผมจะรู้ดีว่า สถานการณ์ในตอนนี้ มันควรจะต้องดำเนินไปในทิศทางไหน

“ไม่.. พี่จะทำให้รันแพ้ทางพี่บ้าง” ริมฝีปากหนานุ่มกระซิบชิดริมหู จนทำเอาผมขนลุกซู่ เพราะความจักจี้จากลมร้อนที่อีกฝ่ายเป่าออกมาในยามที่กำลังพูดคุยสื่อสารกัน
“…”

“แพ้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องบนเตียง” หัวใจของผมเต้นตึกตักหนักกว่าที่เคย เมื่ออีกฝ่ายเขาลั่นวาจาออกมาอย่างนั้น โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้เลยว่า
ผมน่ะ.. แพ้ทางในแบบที่พี่เขาต้องการมาตั้งนานแล้ว

“อือ” ผมส่งเสียงงืมงำในลำคออย่างไม่ได้ศัพท์ เมื่อความชื้นแฉะเริ่มเข้ามาทักทายตั้งแต่ใบหูจวบจนถึงสันคอ เรื่อยมาจนถึงลำคอและปลายคาง จากนั้นก็ไล้ไปยังข้างแก้มที่เริ่มป่องนิดๆ เพราะช่วงนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงเจริญอาหาร กระทั่งดวงตาทั้งสองข้างก็ยังได้รับความหวามไหวอย่างเท่าเทียม และปิดท้ายด้วยริมฝีปากอันซุกซนคู่นั้น ที่ค่อยๆแนบชิดกับริมฝีปากของผม
ส่งผลให้สถานการณ์ในตอนนี้ มันเริ่มส่อเค้าอันตรายมากขึ้นทุกที แต่ผมก็ยังไม่มีทีท่าจะร้องห้ามอีกฝ่ายแต่อย่างใด และที่มันเป็นอย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ที่นานๆจะดื่ม หรือว่ามันคือความต้องการในส่วนลึกของจิตใจกันแน่ ในเมื่อตอนนี้ ร่างกายของผม มันเริ่มไม่ใช่ร่างกายของผมอีกครั้ง ความรู้สึกที่เคยถูกกักเก็บไว้ในใจตรงส่วนที่ลึกที่สุด ขณะนี้มันกลับค่อยๆผุดผาดออกมาเรื่อยๆ รวมไปถึงสมองที่มันค่อยๆขาวโพลนจนน่ากลัว เพราะมันทำให้ผมมองหาทางออกไม่เจอ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันกลมกลืนจนเป็นเนื้อเดียวกัน

“อ๊ะ” ผมแอ่นตัวขึ้นด้วยความเสียวกระสัน เมื่อปลายลิ้นร้อนเริ่มแตะแต้มไปทั่วผิวกายภายใต้ร่มผ้า ที่ไม่รู้ว่ามันถูกดึงรั้งไปวางแหมะไว้ตรงใต้ปลายคางเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีร่างทั้งร่างของผมก็ถูกใครบางคนบงการไปซะแล้ว
ผมเริ่มหอบหายใจหนักขึ้น เมื่อส่วนไวสัมผัสบริเวณหน้าอกเริ่มถูกปรนเปรอจนหนักหน่วง ขณะที่ร่างกายทุกสัดส่วนก็เริ่มมีปฏิกิริยามากกว่าที่เคย ส่งผลให้ช่วงล่างเริ่มมีอาการน่าเป็นห่วง แต่เพราะอีกฝ่ายทาบทับอยู่บนตัวของผม จึงทำให้ผมไม่อาจหลีกหนีจากความทรมานของอาการวูบวาบราวกับถูกไฟช็อตไปได้

“พ..พี่เนย์” ผมสะดุ้งโหยง เมื่อความชื้นแฉะเริ่มลามไล้ในส่วนที่ต่ำลงเรื่อยๆ จนทำเอาสมองเริ่มไม่จดจำแล้วว่าผม อยากจะเก็บการเอื้อนเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย เอาไว้เป็นของขวัญในวันที่พี่เขาประสบความสำเร็จ ซึ่งก็คือวันรับปริญญา เพราะมันคือวันที่พี่เขาและครอบครัวน่าจะมีความสุขที่สุด ดังนั้นผมจึงอยากให้ของขวัญที่ไม่ได้มีค่าเป็นรูปธรรม แต่กลับมีคุณค่าทางจิตใจ เนื่องจากผมทราบมาตลอดว่าพี่เขามักจะน้อยใจเสมอ ที่ผมสามารถร้องเรียกชื่อของคนอื่นได้อย่างชัดเจน แต่กลับมีเพียงแค่เจ้าตัวเท่านั้นที่ผมยังคงพูดไม่ได้ ซึ่งถ้าหากพี่อาคเนย์ได้ยินผมเรียกชื่อของเขาในวันรับปริญญา มันคงทำให้พี่เขามีความสุขมากขึ้นไปอีก ผมจึงอยากเก็บมันไว้ เพื่อที่จะพูดในวันนั้น แต่กลับกลายเป็นว่า ในวันนี้ ดันเป็นวันที่ความลับของผมแตกกระจายโดยสมบูรณ์ เพราะอีกฝ่ายกลับมีสติมากกว่าที่คิด เนื่องจากริมฝีปากอันซุกซนคู่นั้น จู่ๆก็รีบเอื้อนเอ่ยออกมาว่า
“รันลองเรียกชื่อพี่อีกสิ ไม่ชัดก็ไม่เป็นไร” ตั้งแต่นั้น คนเจ้าเล่ห์เขาก็เริ่มใช้เล่ห์เหลี่ยมจนเต็มที่ ทำเอาผมเผลอเอื้อนเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าบัดนี้ ตัวเองกำลังเปลือยกายอยู่ใต้ล่างของคนมากเล่ห์เข้าให้แล้ว

สัมผัสของพี่เนย์ในวันนี้ ไม่เหมือนกับคืนนั้นที่ไฟทุกดวงดับสนิท อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ที่มันทำให้ ผู้ชายที่อ่อนโยนกับผมไม่ว่าเวลาไหน ค่อยๆจางหายไปกับสายลม จะหลงเหลือก็แต่เพียงผู้ชาย ที่มาพร้อมกับสัมผัสอันรุนแรงจนผมอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองจะช้ำมือไปก่อนหรือเปล่า
“อื้อ..พี่เนย์..พี่” ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมา พลางขยุ้มเรือนผมของอีกฝ่าย เมื่อสองมือถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เพราะคนมากเล่ห์เขากำลังไล้จูบไปทั่วเรียวขาของผม ที่เจ้าตัวหวงแหน ซ้ำยังแอบสร้างร่องรอยเอาไว้ที่ต้นขาด้านในอีก จากนั้นปลายจมูกรวมไปถึงริมฝีปากของอีกฝ่ายก็เอาแต่ปัดป่ายผ่านส่วนอ่อนไหวของผม จนมันได้แต่ร้องประท้วงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พี่เนย์ก็หาได้เห็นใจไม่
คนที่ต้องทรมานจึงกลายเป็นผมแค่คนเดียว

“รัน อยากให้พี่จูบตรงไหน หืม?” เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยถาม ขณะที่ริมฝีปากของพี่เนย์ก็เฝ้าจูบไล้ปลายเท้าของผมอย่างไม่นึกรังเกียจ
“ตะ..ตรง..น..นี้” ผมพูดอย่างตะกุกตะกัก พลางเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของอีกฝ่าย มาแตะต้องบริเวณส่วนอ่อนไหวของตัวเอง ที่มันอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว ขณะที่ผมก็ต้องใช้ข้างแขนของตัวเองในการปกปิดดวงตา เพื่อไม่ให้มองเห็นใบหน้าอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มของอีกฝ่าย หรือแม้กระทั่งดวงตาที่มักจะมองผมด้วยความปรารถนาอันปิดไม่มิด แม้ว่าแสงจันทร์จะสาดส่องความสว่างเข้ามาในห้องก็ตาม

“ตรงนี้นะ” พี่เนย์ถามย้ำอย่างขี้เล่น แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะตอบอะไรกลับไปแล้ว เพราะตอนนี้ผมกำลังอายมาก เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นวิธีการช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากความทรมาน หรือว่าการเลือกให้พี่เนย์ช่วย
ทั้งสองทางมันก็ล้วนแต่จะทำให้ผมไม่กล้ามองหน้าของพี่เนย์แทบทั้งนั้น
แต่ในเมื่อตอนนี้ ผมมาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับแล้ว ผมจึงทำให้ได้แค่ข่มความอายให้มิดชิดเท่านั้น

“พี่เนย์..ทำไม..ครับ” ผมลุกขึ้นนั่งพลางชะโงกหน้ามองอีกฝ่าย ที่จู่ๆก็ทิ้งขว้างให้ผมค้างคา ส่วนตัวเองดันลุกมาค้นหาอะไรบางอย่างในลิ้นชักตรงข้างเตียง
“วันนี้เราต้องใช้ตัวช่วยนะ” พี่เขาว่าอย่างนั้น ผมก็เข้าใจได้ทันที เพราะผมเองก็ใช่ว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ยากเย็นนัก จึงได้แต่เหม่อมองอีกฝ่าย ที่เอาแต่รื้อค้นข้าวของจนมันกระจุยกระจาย

“ต่อนะรัน มันอาจจะเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ แต่ไม่ต้องกลัวนะ” พี่เนย์ว่าพลางจัดแจงให้ผมนอนคว่ำไปกับที่นอนนุ่ม ผมจึงได้แต่สังเกตการณ์ผ่านเงาที่สะท้อนอยู่บนกำแพง จึงทำให้ทราบความเป็นไปของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะกำลังเทอะไรบางอย่างใส่ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่ง จากนั้นเงาร่างของพี่เนย์ก็ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เงาร่างของผม จนมันกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
“พี่” ผมได้แต่อุทานเรียกพี่เนย์ด้วยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะจู่ๆพี่เขาก็ยกสะโพกของผมให้สูงขึ้น จากนั้นความอุ่นร้อนก็เข้ามาทักทายภายในตัวผมเพียงครู่ ส่งผลให้หน้าท้องเริ่มกระอักกระอล่วน ขณะที่ช่วงล่างเริ่มไหวระริกจากการถูกรุกราน

“อืม..อ่า..พี่เนย์” ผมครางเสียงแหบพร่า เมื่อความเย็นจากสิ่งแปลกปลอมที่พี่เขาชโลมไว้ที่ฝ่ามือ กำลังไล้ช่องทางอ่อนไหวของผมจนภายในเต้นเร่าราวกับจะประท้วง เพราะสัมผัสนั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของร่างคุ้นเคย กระทั่งปลายนิ้วแทรกซึมเข้าไปยังส่วนนั้น ร่างกายของผมก็เกร็งแน่น ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างก็ได้แต่กำผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ ส่วนริมฝีปากก็ได้ขบเม้มเอาไว้อย่างอัดอั้น
เนื่องจากร่างกายมันค่อยๆกลายเป็นของพี่เนย์อย่างสมบูรณ์แบบ

ขณะที่ความรู้สึกนึกคิดของผมก็เริ่มล่องลอยออกไปไกลแสนไกล เมื่อความรู้สึกแปลกใหม่ กำลังทำให้ผมสูญเสียความเป็นตัวเองยิ่งกว่าที่เคย อีกทั้งเสียงหอบหายใจก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงครางแผ่วของความสุขสม เมื่อปลายนิ้วเรียวกำลังไล้วนสร้างความคุ้นชินได้เป็นอย่างดี จนผู้ควบคุมค่อยๆหันมาปลุกเร้าผมด้วยวิธีอื่น ซึ่งมันก็เป็นวิธีที่ทำเอาขนอ่อนตั้งชันแทบทั้งร่าง เมื่อริมฝีปากหนาเอาแต่พรมจูบไปตามแนวกระดูกสันหลัง ส่งผลให้ส่วนอ่อนไหวเริ่มฉ่ำชื้น แต่ภายในเวลาไม่นาน คนตัวโตก็เริ่มหันมาให้ความใส่ใจกับส่วนนั้น ผมที่ต้องรับศึกหนักทั้งหน้าและหลัง จึงได้แต่ครวญครางให้อีกฝ่ายเชยชมจนสมใจ
 “พี่ใจเย็นต่อไปไม่ไหวแล้วรัน” สิ้นคำพูดนั้น ทุกอย่างก็พลันหยุดนิ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคล้ายกับพลาสติกกำลังถูกฉีกแยกออกจากกัน ผมจึงค่อยๆลืมตาขึ้น พลางลอบสังเกตเงาร่างสูงใหญ่ของพี่เนย์ กระทั่งรู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังสวมเครื่องป้องกันอยู่ ผมก็รีบมุดหน้าลงกับที่นอนทันที เพราะไม่อยากให้ภาพมันติดตา จนตัวเองเก็บเอาไปคิดเป็นตุเป็นตะแบบแต่ก่อน
ความเย็นฉ่ำชโลมไล้ด้านหลังของผมอีกครั้ง คล้ายกับผู้ที่กำลังจะถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของร่างกายของผม เขาหวาดกลัวว่าผมจะเจ็บปวดจากการกระทำของตัวเอง ตัวช่วยจึงถูกใช้มากมายเป็นพิเศษ จนผมรู้สึกเหนอะหนะ จากนั้นไม่นาน เงาร่างของเราก็หลอมรวมกันอีกครั้ง โดยที่ในความเป็นจริง มันก็ไม่ต่างจากเงาสะท้อนเหล่านั้นแม้แต่นิด

ร่างกายของเราต่างไหวเอนไปตามจังหวะการสอดแทรก ราวกับต้นไผ่ที่กำลังลิ่วลม ทำเอาผมสั่นสะท้านจนแทบรับมือไม่ไหว ซ้ำยังต้องทนฟังเสียงหอบหายใจสลับกับเสียงทุ้มนุ่มที่ดังคลออยู่ข้างใบหูตลอดกิจกรรมนี้ ไหนจะยังเสียงโยกไหวของเตียงนอนหลังกว้างที่รองรับเราทั้งคู่อีก ทำเอาผมแทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เสียให้ได้ ดีที่ว่าพวกพี่ทีม พี่บอส เพิ่งจะกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่รู้จะมองหน้าพวกพี่เขายังไง
และจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังอยากจะยืนยันคำเดิมว่า..
พี่เนย์คือคนที่ผมไม่ควรจะปล่อยให้หลุดมือ ไม่ว่าจะในตอนนี้หรือแม้แต่อนาคตข้างหน้าก็ตาม

“พี่รักรันนะ รู้ใช่มั้ย?” กระทั่งทุกอย่างในคืนนี้เริ่มกลับสู่เหตุการณ์ปกติ พี่เนย์ก็ทอดถอนกายออกจากตัวผม จากนั้นใบหน้าชื้นเหงื่อหากแต่เปื้อนรอยยิ้ม กลับถามผมด้วยเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเมื่อครู่ คล้ายกับพี่เขากำลังพยายามสร้างสถานการณ์ไม่ให้ผมแตกตื่นไปกับความสัมพันธ์ของเรา ที่มันพัฒนาไปจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว
“รู้ครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม หากแต่สายตาก็ยังไม่กล้าจะมองเสี้ยวหน้าที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนท่ามกลางความมืดสลัว

“แล้วพี่ก็รู้ใช่มั้ย..ว่าผมก็รัก..พี่” ผมตัดสินใจถามอีกฝ่ายคืนบ้าง โดยไม่รู้ว่าอะไรมันโดนใจให้ถามออกไปอย่างนั้น
“รู้สิ” พี่เนย์ตอบเพียงเบาๆ ขณะที่ฝ่ามือหนาที่ไม่ได้เปรอะเปื้อนคราบอะไรต่อมิอะไร ก็เอื้อมมาปัดปอยผมอันชื้นเหงื่อเพียงเบาๆ จนทำเอาผมเริ่มจะเคลิ้มหลับ

“ฝันดีครับ” ผมทำได้เพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น เพราะม่านตาของผมเริ่มหนักอึ้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความเหนื่อย หรือมันเป็นเพราะสัมผัสจากพี่เนย์ที่กำลังลูบไล้ปอยผมตรงหน้าผากให้เม็ดเหงื่อมันอันตรธานหายไปกันแน่
แต่ที่รู้ๆ ก็คือ..
ตอนนี้ผมได้พี่เนย์คนที่อบอุ่นและอ่อนโยน กลับคืนมาแล้ว



-----------------------------------------------------------------------
[edit 09/12/2017 แก้คำเกิน]
จริงๆ เราชอบฉากริมระเบียงมากเลย แม้ในความเป็นจริง ยุงคงหามไปแดรกก็เถอะ 555
แต่มันทำให้ต่างคนต่างดูโตขึ้น และน้องก็จะเข้มแข็งขึ้นด้วย เพราะเป้าหมายของน้องรันยังเหมือนอยู่ไกลเกินเอื้อม แต่ถ้าไม่มีพี่เนย์แล้ว มันอาจจะเป็นแรงผลักดันให้น้องก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อความฝันของตัวเอง เราว่าแบบนี้มันน่าภาคภูมิใจมากกว่า สปอยเรื่องเฉย 555
ต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้เราไม่ได้เน้นดราม่า ไม่ได้เน้นให้ตื่นเต้น หรือตื่นตาตื่นใจ แต่อีกหนึ่งอย่างที่เราอยากเน้นคือการที่คนสองคนเข้าใจกัน และรักกัน โดยที่ต่างคนต่างก็มีโลกเป็นของตัวเอง อุปสรรคของเรื่องมันเลยกลายเป็นว่า น้องรันต้องก้าวผ่านความกลัวของตัวเองให้ได้ เพราะความกลัวในใจของมนุษย์มันคือสิ่งที่ก้าวข้ามไปได้ยากที่สุด ยิ่งน้องเคยป่วย น้องจะยิ่งก้าวเดินไปได้ยากขึ้น รวมไปถึงการพูดที่เหมือนจะคืบหน้าด้วยเช่นกัน ทุกอย่างสำหรับน้องมันจึงยากไปหมด และชวนให้ท้อแท้ 
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 12 ♥ หน้า 8 (up 06/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-12-2017 18:25:29
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 12 ♥ หน้า 8 (up 06/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-12-2017 18:46:49
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 12 ♥ หน้า 8 (up 06/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 06-12-2017 19:18:55
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 12 ♥ หน้า 8 (up 06/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 06-12-2017 23:52:08
โอยยยย อบอุ่นจนร้อนเบอร์นี้
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 12 ♥ หน้า 8 (up 06/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 07-12-2017 04:13:20
น้องงงงง ยอมเลยถ้าจะหวานได้ขนาดนี้นะพี่เนย์ เขินแทนน้องเลย
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 12 ♥ หน้า 8 (up 06/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 07-12-2017 13:48:16
กรี๊ดดดดดดดด :m25:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 13 ♥ หน้า 8 (up 07/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 07-12-2017 20:47:55
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 13

ผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งอาทิตย์ หากแต่เรื่องราวที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำ ก็ดูจะหนีไม่พ้นเรื่องราวในคืนนั้น คืนที่เรากลายเป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์ จำได้ว่าวันรุ่งขึ้น ผมแทบไม่กล้ามองหน้าพี่เนย์แม้แต่ปลายหางตา ซึ่งพี่เขาก็เหมือนจะรับรู้ได้ แต่เจ้าตัวก็ทำเป็นเมินเฉย เอาแต่เก็บของใส่กล่องพลาสติกขนาดใหญ่ ที่เจ้าตัวเพิ่งออกไปหาซื้อเมื่อตอนสาย ส่วนผมก็ทำเพียงแค่เก็บเสื้อผ้าที่ใส่แล้วยัดใส่กระเป๋า และหอบผ้านวมของตัวเองกลับบ้าน เพื่อเอาไปซัก เพราะข้าวของส่วนใหญ่ ผมได้ทยอยขนไปไว้ที่หอในบ้างแล้ว ผมจึงช่วยพี่เนย์เก็บของแทบทั้งวัน เพราะอีกฝ่ายสมบัติเขาเยอะมาก
ดีหน่อยที่ไม่ถึงขนาดต้องขนตู้อื่นๆกลับ เพราะแค่ไมโครเวฟ โต๊ะญี่ปุ่นสองตัว ที่คว่ำจาน และชั้นวางรองเท้าก็เยอะมากพอแล้ว ไหนจะยังมีหนังสือเรียนที่พี่เขาตั้งใจจะเก็บเอาไว้ เพราะมันมีประโยชน์ต่อวิชาชีพของตัวเองในอนาคตอีกตั้งหลายเล่ม แต่ที่หนักสุด ก็เห็นจะเป็นตู้เลี้ยงเจ้าเขี้ยวกุดนี่แหละ เพราะระบบอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้มันเยอะแยะเหลือเกิน

กระทั่งคุณพ่อกับคุณแม่ของพี่เนย์เดินทางมาถึง ลูกชายตัวโตก็รีบเดินรี่เข้าไปหา พร้อมกับโอบกอดท่านไว้เป็นอันดับแรก จากนั้นพี่เขาก็จูบปากคุณแม่ของตัวเองไปหนึ่งที ฝ่ายคุณแม่ก็รีบคว้าใบหน้าของลูกชายสุดที่รักมาหอมจนแก้มย้วย ส่วนคุณพ่อดูเหมือนท่านจะเขินๆ ที่ผมมายืนมองอยู่ตรงนี้ ท่านก็เลยไม่ยอมให้ลูกชายแสดงความรักในแบบที่เคย
อาจเป็นไปได้ว่า เพราะคราวก่อนผมยืนแอบอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ขณะที่สมาชิกในครอบครัวเขากำลังแสดงความรักกันอยู่ คุณพ่อท่านก็เลยไม่ทันเห็นผม วันนี้จึงทำให้ลูกชายตัวดีต้องเปลี่ยนมากอดเอวท่าน เพื่อพาไปยังตู้ของเจ้าเขี้ยวกุด จากนั้นสองพ่อลูกก็ช่วยกันม้วนสายอะไรต่อมิอะไรเงียบๆ ผมกับคุณแม่ก็เลยแยกย้ายกันไปเก็บของลงกล่องพลาสติกราคาหลายบาทจนเสร็จ แต่กว่าจะเดินทางไปถึงบ้านของพี่เนย์ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร อีกทั้งเรายังต้องแวะทานมื้อเย็นที่ค่อนไปทางดึกอีก มันก็เลยเสียเวลากว่าที่คิดไปมาก ผมจึงตัดสินใจโทรบอกแม่ว่าผมจะกลับบ้านในเช้าวันพรุ่งนี้แทน
คืนนั้นจึงเป็นคืนแรก ที่ผมได้นอนค้างที่บ้านของพี่เนย์ 

กระทั่งวันรุ่งขึ้น พี่เขาก็พาผมมาส่งที่บ้าน ตามที่ได้ลั่นวาจาไว้กับคุณแม่ แต่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ให้กำลังใจผมในการเปิดใจให้กับพ่อแม่ของตัวเอง เพราะเนื่องจากพี่เนย์ต้องกลับไปจัดการธุระเรื่องคอนโด เห็นเจ้าตัวเขาบอกว่า ช่วงที่ยังไม่มีเงินเดือนคุณพ่อกับคุณแม่จะเป็นฝ่ายออกให้ก่อน แต่ถ้าหากได้เงินเดือนเมื่อไหร่ พี่เนย์จะต้องผ่อนคืนให้ครบ ฝ่ายรุ่นพี่ที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่ได้คิดจะต่อรองอะไร เพราะพี่เขาตั้งใจไว้แล้วว่า หลังจากนี้คงต้องค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่ออนาคต
ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้ม เพราะเรื่องแบบนั้นมันยังแลห่างไกลจากตัวผมนัก
 
วันนี้ผมจัดการซักผ้า ตากผ้า ให้กับทุกคนในบ้านจนเหงื่อตก ดีหน่อยที่แม่ซื้อน้ำแดงกับโซดาติดบ้านเอาไว้ ผมจึงตั้งเป้าหมายว่าจะออกไปนั่งเล่นตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างหลังบ้าน แถวๆพื้นที่ซักล้างนั่นแหละ เพราะบริเวณนั้นเป็นบริเวณเดียวที่ร่มเย็นที่สุดท่ามกลางแสงแดดจ้าๆ

“เย็นนี้..จับแก..อาบน้ำ..สักหน่อย..ดีมั้ย” ผมเกาคางเจ้าแชมเปญที่เอาแต่เดินนวยนาดตามหลังผมมาติดๆ จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นมาบนโต๊ะม้าหินอ่อนตัวที่ผมจับจองไว้ พร้อมกับค่อยๆนอนอืดอยู่ข้างๆหนังสือที่ผมตั้งใจจะเอามาฝึกอ่านแก้เบื่อ ผมจึงต้องขยับหนังสือและแก้วน้ำแดงโซดาฝีมือของตัวเองให้ออกห่างจากเจ้าตัวยุ่ง
“ไหนมาให้หอม..หน่อย” ผมอุ้มเจ้าแชมเปญขนปุยโดยจงใจให้สองขาหลังของมันวางแหมะอยู่บนตัก ส่วนสองขาหน้าก็วางแหมะเอาไว้ที่อกของตัวเอง จากนั้นก็ก้มลงไปฟัดเจ้าแมวหน้ากลมด้วยความหมั่นเขี้ยว

“อยู่นี่เอง กูเกือบจะกลับแล้ว ดีนะโทรไปถามแม่มึงก่อน ทำไมไม่พกโทรศัพท์วะ” พี่เนย์ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนทางฝั่งตรงข้าม
“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากยกยิ้มแก้ตัวใส่คนหน้าบูด เพราะเรื่องของเรื่อง ผมก็ตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์ลงมาด้วยนั่นแหละ แต่ดันเผลอเลือกหนังสือนานไปหน่อย ทีนี้พอได้เรื่องที่ต้องการแล้ว ผมก็รีบวิ่งตึงตังลงไปข้างล่าง เพื่อชงน้ำแดงมาดื่มแก้กระหาย

“ดีนะแม่มึงรับสาย ไม่งั้นวันนี้กูคงไม่ได้เจอมึงหรอก” พี่เขายังคงบ่นอุบ
“อ่า..ใช่..พรุ่งนี้พี่ต้อง..เริ่มฝึกงาน..แล้ว” ผมพูดพลางวางเจ้าแชมเปญลงบนโต๊ะ

“เออดิ” ร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีขาวแซมด้วยลวดลายแนวขวางตั้งแต่ช่วงหัวไหล่จนถึงหน้าอก พร้อมด้วยกางเกงยีนส์ขายาวง่ายๆหนึ่งตัว เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะเคืองนิดๆ พลางถอดแว่นกันแดดสีดำวางลงบนโต๊ะ
“หงุดหงิดทำไม..ครับ อยากเจอผม..ขนาดนั้นเลย..เหรอ” ผมเอื้อมไปคว้ามือใหญ่ๆ ของพี่เขามากุมไว้ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบด้วยความง้องอน อย่างที่ไม่เคยคิดจะทำต่อกันมาก่อน

“อืม” ฝ่ายคนกำลังถูกง้อ เขากลับทำเป็นนิ่งเฉย แถมยังเสหน้ามองไปทางอื่นอีก แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้ทำตัวเย็นชามากนัก เพราะคำตอบรับในลำคอเบาๆ มันบ่งบอกให้ผมรู้ว่า อีกฝ่ายเขาอยากเจอหน้าผมมากแค่ไหน เขาถึงได้ลงทุนขับรถมาจากกรุงเทพ เพียงเพื่อที่จะได้เจอหน้าผม ก่อนที่เราจะหาโอกาสมาเจอกันได้ยาก
“แต่ตอนนี้ก็เจอผม..แล้วไงครับ..หายโกรธกันนะ” ผมยังคงง้องอนอีกฝ่าย แม้ว่าจะเก้อเขินมากแค่ไหน แต่ก็ต้องทำ เพราะตอนนี้คนตัวโตเขากลายร่างเป็นคนขี้งอนไปแล้ว

“กูไม่ได้โกรธ แต่แค่เซ็งนิดหน่อย ถ้าเกิดมาเสียเที่ยว” พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง โดยที่ดวงตาคู่นั้น ก็ยอมหันมาโฟกัสที่ใบหน้าของผมสักที
“…” ผมยังคงจับมือพี่เนย์ไว้ พลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย จนพี่เขาต้องยอมหลุดยิ้มออกมา

“มึงนี่มันจริงๆเลย” พี่เนย์บ่นอุบ คล้ายกับว่าเจ้าตัวเขายอมแพ้ให้กับผมแล้ว
“…” ผู้ชนะอย่างผมจึงได้แต่ยิ้มแป้นจนตาปิด อีกฝ่ายจึงเอื้อมมือมาดันหัวผมจนแทบหงายหลัง แต่ผมก็ยังคงยิ้มจนดวงตาเริ่มกลายเป็นเส้นตรง

เราพากันนั่งอยู่ตรงใต้ร่มไม้จนเกือบๆจะสามโมง ก็ต้องกลับขึ้นไปนั่งตากแอร์เย็นๆบนห้องนอนแทน เพราะว่าแสงแดดมันเริ่มไล่ที่เราจนไม่สามารถนั่งอยู่ตรงนั้นได้อีก เวลานี้พี่เนย์เขาเลยถือโอกาสเดินสำรวจห้อง โดยมีเจ้าแชมเปญคอยเดินตามไม่ห่าง ราวกับมันหวาดระแวงว่าพี่เนย์จะมาขโมยของผมอย่างนั้นล่ะ

“นั่นสมุดอะไร?” ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่เอามาฝึกอ่าน พลางมองตรงไปยังร่างสูงที่กำลังเขย่งเท้ามองหาอะไรบางอย่าง ที่มันถูกวางทิ้งเอาไว้บนหลังตู้หนังสือ โดยที่โผล่ชิ้นส่วนบางเสี้ยวของมันถึงได้โผล่พ้นตรงขอบตู้จนเป็นที่สะดุดตา
“ไม่รู้สิครับ” ผมตอบอย่างเฉไฉ เพราะผมรู้ดีว่าอะไรบางอย่างที่พี่เขากำลังสนใจอยู่นั้น มันเปรียบเสมือนห้องแห่งความลับของตัวเอง

“ขอดูได้ไหม?” ร่างสูงสมส่วนหันมาสอบถามผมที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง
“ครับ” ผมนิ่งคิดไปพักใหญ่ เพราะยังลังเลอยู่ไม่น้อย เนื่องจากผมยังจำวันที่พี่เนย์ได้เห็นภาพวาดที่ผมเก็บซ่อนไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้ดี แต่ที่ตัดสินใจให้อีกฝ่ายดูก็เพราะว่า มันไม่ได้มีแค่เพียงรูปที่ผมเคยวาดในตอนเด็ก แต่กลับมีรูปที่ผมวาดในตอนโต ช่วงสมัยปิดเทอมตอนปีหนึ่ง

“นั่นแมวเหรอ?” พี่เนย์เปิดสมุดวาดภาพ พลางพิจารณารูปที่ผมวาดอยู่นาน จากนั้นริมฝีปากหนาก็เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับปลายนิ้วที่ชี้ไปยังภาพของสัตว์ตัวเล็กๆ ที่มันมองแทบจะไม่ออกว่าคือตัวอะไร เมื่อจิตรกรคือเด็กอายุ 5 ขวบในอดีต แต่ที่ยังพอจะเดาได้ว่ามันเป็น ‘แมว’ ก็เพราะผมได้วาดหูของมันเป็นรูปสามเหลี่ยม และใบหน้ากลมๆของมันก็มีเส้นตรงสั้นๆข้างละสามเส้นแปะอยู่
“แชมเปญ” ผมตอบโดยไม่ต้องขยายความอะไรมากมาย พี่เนย์ก็สามารถเข้าใจได้ว่าเจ้าสัตว์ตัวนั้นมันคือตัวอะไร ส่วนเจ้าของชื่อ เมื่อได้ยินผมเรียก มันก็รีบวิ่งรี่เข้ามาหา พลางกระโดดขึ้นมานั่งบนเตียง พร้อมกับมองหน้าผมอย่างสงสัย ราวกับอยากจะถามว่า เมื่อครู่ผมเรียกชื่อมันทำไม ผมก็เลยเอื้อมมือไปลูบหัวมันเบาๆ

“แชมเปญโผล่หน้ารอดประตูออกมาแค่ครึ่งตัว ทั้งๆที่ประตูยังปิดอยู่?” พี่เนย์บ่นพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง ขณะที่ผมก็เริ่มไม่มีสมาธิจะอ่านหนังสือ
“พื้นหลังถูกระบายด้วยสีดำ ส่วนตัวของแชมเปญเป็นสีขาว..” พี่เนย์เหลือบมองไปยังแชมเปญที่กำลังนอนพิงตัวผม พลางกระดิกหางอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นสายตาคู่คมก็หันกลับมาสนใจภาพวาด ภาพเดิมอีกครั้ง กระทั่งเสียงกระดาษขูดกับเสื้อยืดของพี่เขา แสดงถึงการเปลี่ยนหน้าหนังสือ ผมจึงเหลือบมองไปยังภาพที่ปรากฏอยู่ในมือของอีกฝ่าย

“ทุกอย่างว่างเปล่า มีแค่แชมเปญอยู่ตรงกลาง ส่วนพื้นหลังถูกระบายด้วยสีดำ.. สามรูปเลยแฮะ” ผมเหลือบมองอีกฝ่ายที่เอาแต่บ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเปิดสมุดวาดรูปในหน้าถัดไปอีกสามหน้า ก็พบว่ารูปที่ผมวาดยังคงเป็นรูปเดิม แสดงให้เห็นถึงการเดินทางอันแสนยาวนานของแชมเปญ ตั้งแต่มันเริ่มลักลอบมุดประตูเข้ามาในห้องๆหนึ่ง
“เด็ก..กอดเข่าตรงมุมห้อง..ใบหน้าเป็นสีดำ..พื้นหลังเป็นเส้นขยุกขยุย” เสียงของพี่เนย์เบาหวิว เมื่อหน้ากระดาษที่มันถัดจากรูปของแชมเปญคือภาพๆหนึ่ง ที่เริ่มสร้างความสะเทือนใจให้กับอีกฝ่าย โดยเฉพาะพื้นหลังที่มันแสดงออกถึงความว้าวุ่นใจของผู้วาด

“พี่เนย์” ผมเรียกพี่เขา พลางยกยิ้มให้
“…” ฝ่ายคนถูกเรียกก็ทำได้แค่หันมาฝืนส่งยิ้มให้ พลางเปิดสมุดวาดรูปหน้าต่อไป ที่เริ่มมีแชมเปญโผล่เข้ามาใกล้กับเด็กชายไร้รูปหน้า ที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้อง

“ทำไมจู่ๆ แชมเปญถึงสวมปลอกคอล่ะ?” พี่เนย์ตั้งคำถามกับตัวเอง พลางมองจ้องภาพของแชมเปญที่จู่ๆก็มีปลอกคอ ขณะที่ภาพพื้นหลังกลับเต็มไปด้วยเส้นขยุกขยุยเหมือนกับภาพของเด็กชายไร้ใบหน้าไม่มีผิด บ่งบอกได้ว่าตอนนี้ เจ้าแมวตัวดังกล่าวได้ก้าวเดินเข้ามายังอาณาเขตของเด็กชายคนนั้นเรียบร้อยแล้ว
“ผู้หญิงถือเชือก? หมายถึงพี่สาวข้างบ้าน? แต่ทำไมถึงต้องเป็นเชือกล่ะ”

“เข้าใจแล้ว แชมเปญสวมปลอกคอที่ถูกเชื่อมด้วยสายจูงจากผู้หญิงคนนี้.. ส่วนพื้นหลังเริ่มมีสีขาวแซมเล็กน้อย” พอเจ้าตัวเขาวิเคราะห์จบ ริมฝีปากที่ไร้รอยยิ้มก็ค่อยๆขยับยิ้มบางๆ จนผมที่แอบมองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ ก็เผลอยิ้มตามคนตัวโตไปด้วย ขณะที่ในหัวใจของผมมันกลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น โดยที่พี่เขาไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไร
“เส้นตรง? หมายถึงถึงอะไรนะ ระยะห่างของแชมเปญที่สวมปลอกคอโดยมีผู้หญิงคนนั้นจับจูง หรือว่าระยะห่างของทั้งคู่ที่มันห่างไกลจากเด็กผู้ชายคนนั้น?” พี่เขาขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง พลางเปิดกลับหน้าไปมา เพื่อวิเคราะห์ภาพที่วาดต่อเนื่องกัน โดยที่อีกฝ่ายไม่คิดจะถามความเห็นจากผม คล้ายกับเจ้าตัวไม่กล้าที่จะเอ่ย และพี่เนย์ก็น่าจะไม่รู้ตัวด้วยว่า ทุกครั้งที่พี่เขาวิเคราะห์ ริมฝีปากอบอุ่นคู่นั้นก็มักจะเอื้อนเอ่ยออกมาเพียงแผ่วเบา ซึ่งถ้าหากไม่ตั้งใจฟัง ก็จะฟังไม่รู้เรื่อง

“แชมเปญนั่งมองเด็กชายไร้หน้า ที่กำลังนั่งก้มหน้ากอดเข่า ทั้งๆที่ยังมีสายจูง? ส่วนพื้นหลังไม่มีสีขาวอีกแล้ว”
“…” พี่เนย์นิ่งเงียบไปนานมาก โดยที่ดวงตาคมคู่นั้นไม่ได้ละสายตาไปจากภาพที่ผมวาดเลย ซึ่งผมเข้าใจดีว่าคนที่ตีความภาพวาดที่มันสะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดของใครสักคนเป็น เขาคนนั้นจะต้องสะเทือนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นแน่ๆ แต่จะมากหรือน้อย มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของภาพวาดเขาเป็นคนใกล้ตัวหรือเปล่า
เพราะอันที่จริงแล้ว สมุดเล่มนี้ แม้แต่พ่อกับแม่ก็ยังต้องเสียน้ำตาให้มัน ผมถึงต้องเอามาแอบไว้บนหลังตู้หนังสือ โดยที่ลืมนึกไปว่าบางทีพวกท่านก็อาจจะทราบการมีอยู่ของมัน จึงทำให้เสี้ยวหนึ่งของสมุดวาดรูปมันโผล่พ้นออกมาจากขอบตู้แบบนั้น แสดงว่าใครสักคนคงจะหยิบยืมมันไปดู ซึ่งก็ไม่น่าจะพ้นคุณนายระพี ที่เพิ่งจะได้คุยกับพี่เนย์ถึงเรื่องนี้ไปหมาดๆ ผมจึงได้แต่หวังว่าหน้าสุดท้ายของสมุดภาพเล่มนั้น มันจะทำให้พ่อกับแม่สบายใจได้บ้าง

“ขีดๆเส้นเล็กๆนั่นคืออะไร” พี่เนย์เริ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง เมื่อรูปที่ผมวาดมันมักจะมาพร้อมกับปริศนา
“ฝน” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทำเอาคนที่กำลังนั่งจ้องสมุดภาพถึงกับหันมามอง

“พ่อกับแม่ยืนตากฝน” ผมพูดพลางเปิดสมุดภาพหน้าถัดไป
“ทำไม?” พี่เนย์ถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ขณะที่ขอบตาของผมก็เริ่มปริ่มไปด้วยน้ำใสๆทีละนิด

“ฝนคือน้ำตา” ทันทีที่พูดจบ น้ำตาของผมก็หยดแหมะ เพราะผมเพิ่งจะเข้าใจก็วันนี้ ว่าจริงๆแล้ว อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมเปิดใจยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น คือ ‘พ่อกับแม่’ ไม่ใช่แชมเปญ
“เด็กคนนั้น..คือผม” ผมอธิบาย พลางพลิกหน้ากระดาษไปยังหน้าถัดไป ซึ่งเป็นภาพของเด็กชายกำลังเงยหน้ามองตรงไปยังที่ไหนสักที่ โดยพื้นหลังรอบๆตัวเขา ค่อยๆกลายเป็นเส้นตรง ไร้ความยุ่งเหยิง ขณะที่แชมเปญก็เข้ามาคลอเคลียเด็กชายคนนั้น เพื่อให้เขาไม่รู้สึกเศร้า

ผมค่อยๆไถลตัวลงนอนราบ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้า พลางร้องไห้จนตัวโยน เพราะทุกความรู้สึกในตอนนั้น ผมยังคงจดจำมันได้ชัดเจน ขณะที่ผมก็เพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้ว่า ‘อคติ’ มันเป็นอะไรที่น่ากลัว ทั้งๆที่จิตใต้สำนึกของเราจริงๆ มันกลับไม่ได้คิดเห็นแบบนั้น ซึ่งก็เท่ากับว่า ในใจลึกๆของผม ไม่เคยคิดจะโกรธหรือโทษพวกท่านเลย แต่ที่ผ่านมา สิ่งที่ผมทำลงไปก็แค่ปกป้องจิตใจอันอ่อนแอของตัวเอง โดยลืมนึกไปถึงความรู้สึกของคนอื่น
ซึ่งคนอื่นที่ว่าก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นพ่อกับแม่ของผมเอง

“พี่เนย์” ผมอุทานเสียงแผ่ว เมื่อสัมผัสอุ่นๆจากคนข้างๆ แตะแต้มลงบนศีรษะของผม
“ไม่เป็นไรนะ.. ตอนนั้นรันยังไม่เข้าใจความคิดของตัวเอง.. อะไรที่มันผ่านมาแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไป.. ดีไหม? พี่ขอโทษที่เป็นคนขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีก รันยกโทษให้พี่นะ” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ขณะที่ผมก็ได้แต่สะอื้น พลางพยายามเอาผ้านวมเช็ดหน้าเช็ดตาให้แห้ง

“ไม่เป็นไรครับ..ผมต้องขอบคุณ..พี่ด้วยซ้ำที่..หยิบสมุดวาดรูปมาดู..เพราะไม่อย่างนั้น..ผมคงไม่มีทางเข้าใจว่า..จริงๆแล้ว..ผม..ไม่เคยโกรธพ่อกับแม่เลย..กลับกัน..ผมเสียใจ..ต่างหากที่ทำให้..ท่านร้องไห้..แล้วผมก็เกลียดตัวเอง..ที่..พูดไม่ได้..ส่วนที่ไม่ยอมไปรักษา..เพราะว่า..ผมกลัว..การใช้ชีวิตในสังคมปกติ..ผมเลยยอมที่จะเป็นแบบนี้..เท่ากับว่าผมยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น..ได้..ก็เพราะสถานการณ์..บังคับ..ให้ผมต้องยอมรับมัน” ผมลุกขึ้นนั่ง พลางเปิดไปยังหน้าที่เด็กชายในภาพวาดเริ่มมีคิ้ว ดวงตา จมูก และริมฝีปากประดับใบหน้า ขณะที่พื้นหลังก็ยังคงเต็มไปด้วยเส้นตรงอันไร้ซึ่งความซับซ้อน จากนั้นผมก็เปิดข้ามไปยังเด็กชายในชุดนักเรียนที่ถูกผู้คนรุมล้อมจนแทบไม่มีพื้นที่ให้หายใจ เปรียบได้กับการที่ผมถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนรังแกทางคำพูด ถัดมาก็เป็นรูปที่เด็กชายคนนั้น ใบหน้าของเขาเริ่มไม่มีอวัยวะต่างๆบนรูปหน้าอีกครั้ง โดยเนื้อตัวของเขาประดับด้วยเครื่องแต่งกายที่เรียกกันว่า ‘ชุดนักเรียน’ แต่เมื่อเปิดไปยังหน้าถัดไป เด็กชายในชุดนักเรียนคนนั้น กลับมีดวงตา จมูก ปาก จนครบถ้วน และเมื่อพลิกหน้ากระดาษไปยังหน้าถัดไป ก็จะพบกับ ‘บ้าน’ ที่เป็นตัวแปรที่ทำให้เด็กชายคนนั้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่พออยู่ที่โรงเรียน เขากลับไร้รูปหน้าเหมือนอย่างเคย
ซึ่งมันก็วนลูปไปแบบนี้ จนกระทั่งเด็กคนนั้นเติบโตขึ้น

“ทำไมผมต้องเพิ่งมา..เข้าใจรูปที่ตัวเอง..วาดเอาตอนนี้..ด้วย” ผมกอดพี่เนย์พลางต่อว่าตัวเองอย่างเสียใจ ที่ปล่อยให้อะไรๆ มันกลายเป็นแบบนี้ จนเกิดเป็นช่องโหว่ใหญ่ๆ โดยไม่ทันจะรู้ตัว

“ตอนนั้นมึงยังเด็ก มึงอาจจะกำลังสับสนไง เลยทำให้ไม่เข้าใจภาพที่ตัวเองต้องการจะสื่อ แต่กูคิดว่าบางทีพ่อกับแม่มึงเขาน่าจะเข้าใจความคิดของมึงนะ เพียงแต่สิ่งที่มึงแสดงออกมันสวนทางกัน พวกท่านก็เลยไม่แน่ใจ แต่ว่าวันนั้นที่มึงกลับถึงบ้าน มึงก็ทำตามคำแนะนำของกูไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“อื้อ” ผมส่งเสียงตอบในลำคอพลางพยักหน้าขึ้นลงเบาๆตรงลาดไหล่ของอีกฝ่าย

“ในเมื่ออดีตมันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ มึงก็แค่ต้องทำวันนี้และอนาคตให้ดีที่สุด เช่น การที่มึงประสบความสำเร็จในเป้าหมายของตัวเอง กูคิดว่าพวกท่านจะต้องดีใจแน่ๆ ดูอย่างตอนนี้สิ มึงเริ่มพูดได้ตั้งเยอะ พ่อกับแม่ของมึงท่านพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ กูเห็นเต็มสองตาเลยนะ”
“ครับ” ผมผละตัวออกจากอ้อมกอดของพี่เนย์ พลางยกยิ้มและพยักหน้ารับคำของอีกฝ่ายอย่างแข็งขัน

“ในที่สุด มึงก็ยิ้มในแบบที่กูชอบได้สักที” พี่เนย์พูดพลางใช้ปลายนิ้วโป้งไล้มุมปากของผมเบาๆ ขณะที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง หากแต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับฉายแววเศร้าสร้อยไปกับเรื่องราวของผมเหมือนอย่างเคย

ฟู่ววว!

“ได้โปรดลืม..เรื่องในอดีต..ของผมไป..เถอะนะครับ” ผมกล่าวพลางจูบลงบนเปลือกตาของพี่เนย์ทีละข้าง คล้ายกับว่าถ้าหากทำแบบนั้นแล้ว ความทรงจำทั้งหมดมันจะย้อนคืนกลับมาที่ผม
“ผมไม่ชอบ..ดวงตาเศร้าๆ..ของพี่เลย” ผมผละออกห่างจากพี่เนย์ พลางยกยิ้มให้อีกฝ่าย พร้อมกับบอกความในใจที่กักเก็บไว้ ตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นท่าทางและแววตาของพี่เนย์ที่ค่อยๆเปลี่ยนไป
เพียงเพราะรูปวาดเพียงรูปเดียว


----------------------------------------------------------
[edit 09/12/2017 แก้คำสลับ
25/08/2018 แก้ช่วงที่เรียกชื่อพี่เนย์]
รูปสุดท้ายที่น้องรันวาดคือรูปอะไรรรรรร >.<
ตอนนี้อาจมีเศร้าปนหวานนิดหน่อย ทำให้ทราบอดีตอันยากลำบากของน้องเนอะ
ว่าแต่ว่าเถอะ ตอนพิเศษอาจจบที่ไม่เกิน 20 ตอนจริงๆค่ะ ยังไม่ได้เคลียร์ปมอื่นเลย เนื้อหาเยอะไปหน่อย 555
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 13 ♥ หน้า 8 (up 07/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-12-2017 10:55:30
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 14 ♥ หน้า 8 (up 08/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 08-12-2017 11:20:47
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 14

ภาคเรียนใหม่ แต่ทุกอย่างยังคงเดิม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือแม้กระทั่งสถานที่ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่ผมได้เห็นจนคุ้นเคย ต่างกันก็แค่เพียง ไม่ว่าจะวันนี้ หรือวันไหนๆ ต่อให้ผมเดินอยู่บนแนวเส้นขอบถนนสักกี่พันครั้ง ณ ปลายทางตรงนั้น ก็ไม่มีวันปรากฏรูปร่างของผู้ชายที่แสนอบอุ่นคนหนึ่ง
และเราก็ไม่มีวันได้บังเอิญมาเดินชนกันอีกแล้ว

ท้องฟ้าวันนี้ แม้ว่ามันจะสดใส แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันกำลังหม่นเศร้า อาจเป็นเพราะผมรู้สึกเคว้งคว้างที่ในวันนี้และวันต่อๆไป ผมจะไม่ได้เห็นหน้าของพี่เนย์ทุกวัน และจะไม่ได้พูดคุยกันเหมือนแต่ก่อน ซ้ำยังไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนอย่างเคย ความรู้สึกแบบนี้มันถึงได้เล่นงานผมที่ยังคงปรับตัวไม่ได้ เพราะการที่เราต้องทนอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่เคยมีด้วยกัน มันทำให้ผมอดคิดไปถึงวันเวลาเหล่านั้น จนในอกมันจุกเสียด แต่ทุกครั้งที่ภาพเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความนึกคิด ริมฝีปากของผมก็มักจะคลี่ยิ้มอยู่เสมอ

Akane Akarawin added 1 new photo with Neran P.
เดี๋ยวนี้เขี้ยวกุดตื่นเช้าเป็นแล้วนะ

ผมวางช้อนส้อม พลางโน้มตัวลงไปดูโนติตรงหน้าจอโทรศัพท์ จากนั้นก็สไลด์หน้าจอเข้าไปยังเฟซบุ๊ก เพื่ออ่านรายละเอียดที่ชายหนุ่มจากกรุงเทพเขานึกอยากจะแบ่งปัน ซึ่งก็ไม่พ้นการอัพเดตเรื่องราวของเจ้าลูกชายตัวดี ที่ตอนนี้ได้มาอยู่ห้องใหม่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนผมก็ต้องทนเห็นแค่วอลเปเปอร์ บนฝาผนังห้องของพี่เนย์ต่อไป

ผมอมยิ้ม พลางกดไลก์ข้อความดังกล่าว ก่อนจะนั่งกินข้าวตรงโต๊ะตัวใหม่ ที่อยู่ด้านนอกโรงอาหารกลาง และสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างชัดเจน ซึ่งโต๊ะตัวนั้นก็เป็นตัวเดียวกับตอนที่ผมย้ายมานั่งมองฝน แล้วพี่เนย์เขาบังเอิญมาส่งเพื่อนที่มหาลัยในวันหยุด เราสองคนก็เลยได้ทานมื้อเช้าด้วยกันเหมือนทุกวัน

“พี่รันนนน” ผมเงยหน้ามองต้นเสียงด้วยความตกใจ เพราะกำลังหวนคิดอะไรเพลินๆ แต่พอเห็นเป้าหมาย ผมก็ได้แต่ยกยิ้มบางๆให้น้องโบว์ ที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดตรงหน้าโรงอาหารทางประตูฝั่งขวามือ ตามด้วยเพื่อนๆของเธอ ที่พากันยกมือไหว้ผม ก่อนจะส่งซิกกับน้องรหัสผมในทำนองที่ว่า ถ้าเสร็จธุระแล้ว ก็ให้โทรหา
“หนูฝึกพร้อมแล้วนะคะ อัดวันนี้เลยก็ได้” น้องโบว์ทิ้งตัวลงนั่ง พลางพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น

“แล้วปาล์มล่ะ รายนั้น..พร้อมแล้วเหรอ?” ผมย้อนถามไปถึงน้องรหัสอีกคน เพราะไม่มั่นใจว่าช่วงปิดเทอมน้องเขาจะว่างฝึกภาษามือหรือเปล่า
“เดี๋ยวหนูถามให้ค่ะ” น้องโบว์ว่า พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายรูปลักษณ์ทันสมัย พลางก้มหน้าก้มตาพิมพ์แชทไปถึงใครบางคนที่เจ้าตัวรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี และดูท่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ได้ดีพอสมควร เพราะผมเคยได้ยินไอ้หมอกมันบ่นอิจฉาน้องปาล์มอยู่บ้าง

“ปาล์มโอเคนะคะพี่รัน” น้องโบว์พูดขึ้นพลางเก็บโทรศัพท์ จากนั้นก็ยกยิ้มแฉ่งใส่ผม จนผมทำตัวไม่ถูก เพราะหลายๆอย่างมันยังคงค้างคาอยู่ในใจ
“โบว์รับได้มั้ย เรื่องของ..พี่กับพี่เนย์?” ผมถามพลางก้มหน้าเขี่ยข้าวในจานเล่น

“พี่เนย์ใส่ใจพี่รันมากเลยนะคะ ทำไมหนูถึงจะรับไม่ได้ อีกอย่างเพื่อนเมทมันก็ชอบพูดกรอกหูอยู่บ่อยๆ จริงๆหนูก็พอจะเข้าใจนะคะ แต่ที่ทำเป็นไม่เข้าใจ เพราะหนูคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง หนูก็เลยไม่อยากพูดอะไรมาก เดี๋ยวจะเสียเพื่อนด้วย เพราะพี่รันดูเท่มากๆ แถมยังเป็นสุภาพบุรุษในสายตาของหนูเลยนะ หนูก็เลยคิดว่าพี่รันน่าจะชอบผู้หญิง แถมยังใจดีมากๆด้วย ที่สำคัญพี่ชอบยิ้มให้หนู พี่ชอบเอ็นดูหนูเหมือนเด็กๆ จนทำให้หนูรู้สึกเหมือนกับมีพี่เป็นพี่ชายจริงๆ และถ้าหนูจะมีแฟน หนูก็อยากได้แฟนนิสัยแบบพี่รันนะ แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะคนๆนั้นที่หนูชอบ มีนิสัยต่างกับพี่รันสุดๆ ที่เห็นเงียบๆน่ะ จริงๆโคตรกวนตีนเลยพี่รัน” น้องโบว์ยิ้มบางๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น อีกทั้งแววตาของเจ้าตัวก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เธอมองผมเป็นพี่ชายที่เธอนับถือจริงๆ
“แล้วทำไม..โบว์ถึง..เงียบหายไป”

“หนูเครียดเรื่องสอบน่ะสิคะ ฮือออ มหาลัยมันปรับตัวยากชะมัด เกรดหนูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไฟนอลหนูเลยต้องทุ่มสุดพลัง ปาล์มมันติวเข้มหนูจนแทบอ้วก” น้องโบว์พูดพลางทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ จนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปยีหัวอีกฝ่าย
“พี่รันทำผมหนูยุ่งอีกแล้ว” เจ้าน้องรหัสตัวดีบ่นอุบ จนต้องเปลี่ยนมาจัดทรงผมของเธอให้เข้าที่เข้าทาง

“ฮือ หนูจะกินข้าวไม่ทันแล้ว หนูไปก่อนนะคะ พี่รันอย่าลืมไลน์มานัดเวลากันอีกทีนะคะ” น้องโบว์ลุกขึ้นจากโต๊ะพลางวิ่งพรวดพราดเข้าไปยังด้านในของโรงอาหาร ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มกับตัวเอง เพราะอันที่จริงแล้ว เรื่องของน้องโบว์มันแทบไม่มีอะไรให้น่ากังวลใจเลย แต่ที่ผ่านมา ผมกังวลกลัวว่าน้องจะรับไม่ได้กับความรักของผม จนทำให้เธอผิดหวังในตัวของพี่ชายคนนี้ ผมก็เลยคิดมาก แต่ก็พยายามจะปลอบใจตัวเองให้ปล่อยวาง ซึ่งถ้าหากผมปล่อยวางได้จริงๆ ผมจะมองเห็นว่า
อันที่จริงผมกับน้องโบว์ หรือแม้กระทั่งปาล์ม พวกเราก็ไม่ได้พูดคุยแชทกันบ่อยๆ เป็นปกติอยู่แล้ว

“เฮ้ย ใบ้!” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อไอ้มอส เพื่อนจากโรงเรียนเดียวกัน มันเดินเข้ามาทักทาย พร้อมกับกอดคอผมอย่างสนิทสนม
“…” ผมเงียบ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความไม่ชอบใจที่มันค่อยๆ ประทุ พร้อมกับนึกหงุดหงิดใจไปด้วย ที่ตัวเองดันลงทะเบียนวิชาเลือกวิชาเดียวกับพวกไอ้หมอก ไอ้คิน ไม่ทัน ผมก็เลยต้องซวยมาเจอคนแบบนี้

“กูนึกว่าจะไม่มีเพื่อนแล้ว ค่อยโล่งอกหน่อย” ไอ้เด็กนิเทศมันว่าอย่างนั้น ส่วนผมก็พยายามคิดไปถึงคำบอกกล่าวของพี่เนย์ว่า ถ้าหากผมอยากประสบความสำเร็จ โดยที่เป้าหมายคือการเป็น ‘ล่ามภาษามือ’ ผมจะต้องกำจัดอคติต่างๆของตัวเองออกไปให้หมด ผมถึงจะสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้โดยไม่อึดอัด อีกทั้งพี่เนย์ยังเคยบอกว่า ป่านนี้เพื่อนในสมัยมัธยม มันก็คงจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันไปหมดแล้ว เพราะพวกเราต่างก็เติบโตขึ้นไปตามกาลเวลา วุฒิภาวะก็เริ่มมากขึ้นตามไปด้วย
“กูชื่อรัน” ผมเอาแขนของมันออกจากลาดไหล่ของตัวเอง พลางพูดชื่อของตัวเองให้มันรู้กลายๆ ว่าผมไม่ชอบให้มันเรียกผมอย่างนั้น

“อ้อ” ไอ้เด็กนิเทศ มันทำได้แค่ตอบรับในลำคอเพียงเท่านั้น ผมจึงยิ่งต้องกำมือของตัวเองแน่น เพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์โมโห
ไอ้ใบ้เป็นคำที่..มึงไม่ควร..ไปเรียกใครแบบ..นั้นอีก เพราะมันจะ..ทำให้เขา..รู้สึกไม่ดี” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วก็เดินเข้าห้องบรรยายลักษณะสโลปในทันที

“กูขอโทษนะเว้ยรัน กูไม่ได้ตั้งใจให้มึงรู้สึกไม่ดี” ไอ้มอสมันรีบเดินจ้ำอ้าวมาแก้ตัวยกใหญ่
“งั้นทำไม..มึงถึงต้อง..เรียกกูแบบนั้น” ผมหันไปย้อนถามไอ้เด็กนิเทศด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

“กู..จำชื่อมึงไม่ได้” มันตอบพลางก้มหน้าลงมองปลายเท้าของตัวเอง ส่วนผมก็ได้แต่แสยะยิ้มมุมปาก ด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง ที่ใครต่อใครต่างก็พากันเรียกผมว่า ‘ไอ้ใบ้’ จนไม่มีใครจดจำชื่อจริงๆของผมได้เลย
“แต่ที่ผ่านมา..มึงไม่ใช่..จำชื่อกูไม่ได้นะ..แต่มึงกำลังสนุก..กับการล้อเลียน..ปมด้อยของคนอื่นต่างหาก!!!” ผมผลักอีกฝ่าย พลางเดินจ้ำอ้าวไปนั่งยังชั้นเกือบๆท้ายสุด ขณะที่แขนก็ต้องคอยยกขึ้นปาดน้ำตาที่มันไหลรินไม่มีทีท่าจะหยุด พร้อมด้วยภาพคืนวันเก่าๆ ที่มันค่อยๆฉายชัดในความรู้สึก แรงสะอื้นของผมจึงมีมากขึ้น กระทั่งอาจารย์เข้าสอน ผมก็ยังเรียนไม่รู้เรื่อง โชคดีที่รอบๆตัวผมไม่มีใครมาจับจอง คงเพราะกิริยาเกรี้ยวกราดของผมเมื่อครู่ มันคงทำให้ใครหลายๆคนเข็ดขยาด

ผมจึงได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ในห้องเรียนอย่างเงียบๆ เพราะภาพคืนวันเก่าๆ ที่เพื่อนร่วมชั้นพากันรุมรังแก มันทำให้ผมอดทนเข้มแข็งต่อไปไม่ไหว ไม่จะเป็นเหตุการณ์ที่ผมถูกแกล้งโดยการเอารองเท้ากับสมุดการบ้านไปซ่อน หรือแม้กระทั่งการปาชอล์กใส่ เพื่อหลอกล่อให้ผมยอมพูดออกมา ทั้งๆที่พวกเขาก็รู้ว่าผมพูดไม่ได้ และเมื่อผมไม่ยอมพูด พวกเขาก็จะพากันสาดคำล้อเลียนว่า ‘ไอ้ใบ้’ จนผมแทบอยากจะหายไปจากตรงนั้น เพราะในใจลึกๆ มันยังไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้
จนกระทั่งความอดทนของผมหมดลง ผมจึงต่อยคนเหล่านั้นจนน่วม ไม่ว่าจะชายหรือหญิงผมก็สู้เขาหมด เพราะเขาทำร้ายผม จากนั้นมา ผมก็เริ่มเก็บตัว แต่ถึงอย่างนั้น พวกที่มันนึกอยากจะลองดี มันก็ยังไม่ไปผุดไปเกิด ผมเลยจำเป็นต้องเข้มแข็งและยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ได้ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด และทำเป็นหูทวนลมได้อย่างตลอดรอดฝั่ง เพราะถึงยังไง ผมก็คลุกคลีอยู่กับสังคมแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เพียงแต่ระดับความรุนแรง มันจะค่อยๆมากขึ้นไปตามวัย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่ผมจะปรับเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง ต่อกลุ่มคนที่ไม่มีความบกพร่อง
แต่พอได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ผมก็เริ่มรู้จักผู้คนที่หลากหลาย มุมมองต่างๆของผมจึงเริ่มเปลี่ยนไป
เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง มันก็อาจปรับเปลี่ยนได้ยากเย็นไปสักหน่อย

“พี่เนย์” หลังเลิกคลาส ผมตัดสินใจนั่งรถราง เพื่อไปยังริมทะเลสาบ แม้ว่าแดดในเวลาเที่ยงตรงมันจะร้อนมากมายแค่ไหน แต่สถานที่นั้นในเวลาแบบนี้ คงเป็นสถานที่เดียวที่สามารถเป็นหลุมหลบภัยให้ตัวเองได้ กระทั่งทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ผมก็รีบกดโทรหานักจิตบำบัดฝึกหัดในทันที ซึ่งก็รอสายเพียงไม่นาน
“มึงเป็นอะไร ทำไมน้ำเสียงแลไม่ค่อยโอเค?” ทันทีที่พี่เขาถามไถ่อย่างเป็นห่วง ทั้งๆที่ผมแค่เอ่ยปากเรียกชื่อของพี่เขาเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของผม น้ำตาที่เริ่มเหือดแห้งไป ก็เริ่มปริ่มอยู่เต็มขอบตาอีกครั้ง จนผมต้องกะพริบตาปริบๆ เพื่อบังคับไม่ให้มันไหลออกมา เพราะต่อหน้าพี่เนย์ ในช่วงระหว่างที่เราอยู่ห่างไกลกันแบบนี้ ผมอยากเป็นคนที่เข้มแข็งให้สมกับคำพูดที่เคยลั่นวาจาไว้

“ผมลองทำตาม..คำแนะนำของ..พี่แล้วนะครับ”
“…”

“แต่ทำไมความ..จริงที่ได้รู้มัน..ถึงทำให้ผม..เจ็บปวด” ผมพูดพลางสูดน้ำมูกเป็นระยะ หากแต่น้ำตา กลับยังคลออยู่แค่ตรงหน่วยตา
“…”

“อันที่จริงแล้ว..ที่ไอ้มอสมัน..เรียกผมว่า..ไอ้ใบ้..เป็นเพราะมันจำ..ชื่อของผมไม่ได้..ทั้งๆที่มันฝากบาดแผลใน..ใจผมเอาไว้..ตั้งมากมาย ทำไมโลกถึง..ไม่ยุติธรรม..กับผมเลยครับพี่เนย์” ผมกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เพราะการที่คนๆนึงต้องทนอยู่กับการล้อเลียนปมด้อยมาตลอดชีวิต กลับมีเพียงแค่เหตุผลโง่ๆ เช่นว่า..
กูจำชื่อมึงไม่ได้
ก็ใช่สิ ใครมันจะมาจำชื่อของผมได้ ในเมื่อผมถูกเรียกว่า ‘ไอ้ใบ้’ มาตลอดชีวิต

“ผมคิดถึงพี่..ผมอยากให้พี่อยู่..ข้างๆผม” ผมก้มหน้าลงพลางชันเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นแรงสะอื้นทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับหยดน้ำตา
“…”

“ผมรับปากพี่ว่า..ผมจะเข้มแข็งให้..มากกว่านี้..แต่ว่า..แค่วันแรก..ผมก็ทำไม่ได้..แล้ว”
“รันฟังพี่นะ คนที่เข้มแข็งไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เคยร้องไห้ และคนที่ร้องไห้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังอ่อนแอ มันก็เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้านนั่นแหละ บางคนเขาอาจร้องไห้ในวันนี้ เพื่อให้เข้มแข็งในวันหน้า หรือบางคนอาจจะเข้มแข็งในวันนี้ แล้ววันข้างหน้าเขาก็ร้องไห้เพราะอดทนต่อไปไม่ไหว ทีนี้รันก็เห็นแล้วใช่ไหม ว่าคนเราสามารถกลับมาหยัดยืนได้ใหม่เสมอ”

“พี่ครับ”
“หืม?”

“ผมรักพี่นะครับ” ผมพูดพลางยกยิ้มทั้งน้ำตา
“พี่ก็รักรันนะ แล้วพี่ก็อยากบอกให้รันรู้ด้วยว่า จริงๆแล้ววันนี้เราเก่งมาก ที่เปิดใจคุยกับเพื่อนคนนั้นได้บ้างแล้ว ถึงแม้ผลลัพธ์ที่ได้ มันอาจจะไม่ตรงใจเรานัก แต่ความฝันของรัน มันเริ่มใกล้เข้ามาแล้วนะ เพราะปกติรันไม่เคยพูดกับคนอื่นที่ไม่ได้อยู่สาขาเดียวกัน หรือว่าไม่ใช่เพื่อนของพี่เลย” ผมใจเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพี่เนย์เขาเตือนสติว่า ความฝันของผมในตอนนี้ มันเริ่มขยับเข้ามาใกล้อีกขั้นแล้ว

“วันนี้แฟนพี่เป็นคนเข้มแข็งนะ ไม่ใช่คนอ่อนแอ”


--------------------------------------------------------------------
[edit 09/12/2017 แก้คำตกหล่น]
วันนี้มาลงเร็วหน่อย เพราะปั่นเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนเลยค่ะ อาจจะสั้นมาก เพราะอยากให้จบตอนแบบนี้ 555
ตอนแต่งก็เศร้านิดหน่อย แต่คนอ่านจะเศร้ามั้ยก็อีกเรื่อง สำหรับประเด็นของน้องรัน จะเห็นได้ว่าเกิดขึ้นในโรงเรียนบ่อยๆนะคะ แต่อาจจะไม่หนักเท่าก็ได้ เพราะบางคนอาจเจอล้อเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก หรือบางคนอาจโดนล้อเพียงแค่เพราะเราชอบกินอะไรสักอย่างบ่อยๆ หรือบางทีเราเป็นคนไม่ค่อยพูด ก็มากดดันให้เราพูด หรือบางทีแค่เราหัวเราะกับอะไรสักอย่างที่ทำให้มีความสุข ก็มักจะมีคนประเภทที่ชอบพูดเสียดสี  ซึ่งบางครั้งเราไม่ชอบ เราไม่ได้สนุกด้วย แต่พอเรามีปฏิกิริยาตอบโต้ ก็มักจะทำให้คนเหล่านั้นสนุกสนาน หรือไม่พอใจ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เจ็บปวดสำหรับคนที่ต้องรับมือมากจริงๆ แต่น้องรันเนี่ย มาเจอล้อเรื่องที่ ลึกๆแล้วตัวเองยังไม่สามารถยอมรับมันได้ น้องก็เลยเจ็บปวดกับมันมาเยอะ ขนาดเรายังเคยโดยแกล้งถีบเก้าอี้ใส่ หรือว่าหยิกแขนในห้องเรียนเลยค่ะ ตอนนั้นนิ้วเท้าเราห้อเลือดไปเลยมั้ง ถ้าจำไม่ผิด คือเดินลงบันไดไม่ได้ ร้องไห้จนต้องให้ที่บ้านขึ้นมาอุ้มถึงห้องเรียนเลยค่ะ โชคดีที่เกิดเรื่องตอนใกล้จะเลิกเรียน 5555 แล้วสุดท้ายคนที่ทำก็บอกเพียงแค่ไม่ได้ตั้งใจ และขอโทษ ซึ่งมันก็โอเค แต่ควรต้องเจ็บตัวขนาดนี้รึ ? นั่นล่ะค่ะ น้องถึงได้คิดว่าโลกไม่ยุติธรรม
ปล. หวังว่าทุกครั้งที่อ่านเรื่องนี้ คนอ่านจะได้อะไรที่มันมากกว่าความฟินและความหวือหวาของเรื่องนะคะ >.<
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 14 ♥ หน้า 8 (up 08/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 08-12-2017 11:47:04
 :mew2: :mew2: :mew2:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 14 ♥ หน้า 8 (up 08/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-12-2017 13:02:34
เอาใจช่วยนะรัญ ให้ก้าวพ้นทุกปัญหาให้ได้
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 14 ♥ หน้า 8 (up 08/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 09-12-2017 03:26:07
เข้าใจรันนะฮื่อออกอดปลอบคนเก่งของเรา(โดนพี่เนย์ตบ) o13 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 14 ♥ หน้า 8 (up 08/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 09-12-2017 09:09:12
รันเก่งมากค่ะอีกนิดเดียวจะก้าวผ่านปมทั้งหมดในใจแล้ว
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 15 ♥ หน้า 8 (up 09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 09-12-2017 20:07:00
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 15

‘กำลังใจ’ ใครว่าไม่สำคัญ แต่สำหรับผมมันสำคัญมาก ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม มันก็สามารถทำให้ผมล้มแล้วลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง แต่ถ้าหากกำลังใจนั้น มาจากผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ มันก็น่าแปลกมาก ที่พี่เขาทำให้ผมล้มแล้วลุกขึ้นวิ่งออกไปได้อีกไกล ราวกับเส้นชัยมันอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม
ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว เส้นชัยของผม มันก็ยังคงห่างไกล
เพียงแต่ไม่ได้ ‘ไกล’มากเท่าแต่ก่อน

“ช่วงนี้มึงเป็นอะไรของมึงวะ จิตใจดูไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย” ไอ้คินถาม ขณะที่สถาปนาตัวเองมาเป็นช่างเป่าผม เพราะไม่ว่ายังไง นิสัยเดิมของผมมันก็ยังแก้ไม่หาย ไอ้เพื่อนรักมันก็เลยต้องบีบบังคับให้มาเป่าผมก่อนที่จะล้มตัวลงนอน
แต่ถ้าหากผมอยู่กับพี่เนย์น่ะเหรอ เราต่างคนต่างก็นอนกันทั้งๆที่ผมยังคงชื้นอยู่นั่นแหละ
“…” ผมส่ายหัว เพราะขี้เกียจจะเล่า และไม่อยากให้พวกมันรู้สึกไม่ดีไปด้วย อีกอย่างไอ้หมอกมันเองก็เหมือนผม ถ้าหากผมเล่าออกไป ไอ้ตัวที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง มันจะเผลอคิดไปถึงเรื่องของตัวเองเข้าให้หรือเปล่า
“เออ ไอ้เชี่ย พรุ่งนี้เรียนคหกรรมนี่หว่า” ไอ้หมอกขยับตัวเอี๊ยดอ๊าดอยู่บนเตียง บ่งบอกได้ว่าไอ้เพื่อนซี้มันกำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากที่นอน ทันทีที่มันนึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้ จะมีเรียนวิชาที่มันไม่ชอบ แถมยังไม่ถนัดเอามากๆ

“แล้ว?” ไอ้คิน ย้อนถาม ขณะกำลังถอดปลั๊กออกจากเต้าเสียบ จากนั้นมันก็จัดการม้วนสายเก็บให้เรียบร้อย ส่วนผมก็ลุกเดินไปนั่งยังเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง โดยหันหน้าไปยังเตียงของไอ้หมอก

“ก็กูทำอาหารไม่เป็นไงล่ะ สาดดด” ไอ้เพื่อนตัวดีมันขยับตัวเล็กน้อย เพื่อสอดขาระหว่างซี่เหล็กกั้นของเตียงสองชั้น พลางแกว่งไกวไปมา ราวกับมันกำลังนั่งไกวชิงช้าที่สนามเด็กเล่น
“ไอ้รันแม่งก็ทำไม่เป็น ไม่เห็นมันจะบ่นมากเหมือนมึงเลย?” ไอ้คินมันว่า พลางเดินไปหยิบน้ำดื่มของส่วนกลาง ขึ้นมาเปิดฝาและกระดกดื่มอย่างหิวกระหาย

“โห่ เพื่อนคิน มึงพูดเหมือนกูกับมันเป็นคนๆเดียวกันเลยเนอะ” ไอ้หมอกบ่นอุบ พลางเอี้ยวตัวไปข้างหลัง จากนั้นมันก็ขว้างหมอนข้างใส่ไอ้คินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือข้างๆผม
“อ้าว เดี๋ยวนี้มึงไม่ติดหมอนข้างแล้วเหรอวะ ขอบคุณนะ” พอไอ้คินมันคว้าหมับเข้าให้ ร่างสูงโย่งของมันก็ลุกขึ้นยืน พลางโยนหมอนข้างของไอ้หมอกไปไว้บนเตียงที่อยู่ข้างบนโต๊ะหนังสือ

“ไอ้เชี่ยยยยย เอาคืนกูมา!” ไอ้หมอกมันเคลื่อนไหวตัวเองอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวมันก็ลงมายื้อแย่งหมอนข้างกับไอ้คินซะแล้ว ผมจึงได้แต่ส่ายหัวให้กับความวุ่นวายที่มีให้เห็นทุกครั้ง เมื่อผมมาค้างที่หอใน

ครืด ครืด

ผมละความสนใจจากไอ้เพื่อนซี้ทั้งสอง จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู กระทั่งเห็นว่าใครเป็นคนโทรมา ผมก็แอบอมยิ้ม พลางกดรับสายและเดินออกไปยืนคุยด้านนอกระเบียง โดยไม่ลืมที่จะปิดประตูกระจกให้มิดชิด แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังไม่ได้ยินสุ้มเสียงของอีกฝ่ายเล็ดลอดออกมา
เพราะขณะนี้ เสียงบรรเลงกีตาร์ มันกำลังโดดเด่นอยู่ในปลายสาย

“เครียดว่ะมึง” สักพักเสียงตะกุกตะกักก็ดังมาตามสาย จากนั้นเสียงทุ้มนุ่มที่ผมมักจะคุ้นเคยก็ค่อยๆเข้ามาแทนที่
“ทำไมครับ..ฝึกงานมีปัญหา..เหรอ?” ผมย้อนถามอย่างเป็นกังวลตามไปด้วย

“ไม่เชิงว่ะ แต่กูแค่ไม่เข้าใจคนไข้ คงเพราะเป็นเด็กเล็กด้วยแหละ” พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“แต่พี่เนย์เก่ง..อยู่แล้ว..ต้องรับมือได้..แน่ๆ” ผมยืนพิงกำแพง พลางมองออกไปยังพื้นที่ด้านนอกระเบียง ที่มีเพียงแค่สนามหญ้าขนาดย่อม และรั้วกั้นอาณาเขต

“มึงพูดชื่อกูได้นานหรือยัง?” ผมสะดุดใจไปพักใหญ่ เพราะจู่ๆ คนกรุงเทพเขาก็ตั้งคำถามใหม่อย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายคงไม่อยากจะเปิดเผยข้อมูลของคนไข้มากนักก็เป็นได้
“นานแล้วครับ” ผมตัดสินใจตอบไปตามความจริง เพราะถึงยังไงความลับมันก็แตกไปแล้ว

“เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่ช่วง..ปิดเทอมใหญ่..ตอนจะขึ้นปีสอง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่ใจกลับลุ้นระทึกในผลตอบรับของอีกฝ่ายอย่างมากมาย

“นานขนาดนั้นเลย? แต่ทำไมมึงถึงเพิ่งมาหลุดเอาตอนนี้ หรือว่ามึงวางแผนจะแกล้งอะไรกู?” พี่เนย์ทำเสียงเข้ม ราวกับจะข่มขู่ แต่กลับไม่ได้ทำให้ผมหวาดกลัวเลย
“ผมรู้ว่าพี่น้อยใจ..ที่ผมยังพูดชื่อ..ของพี่ไม่ได้แค่..คนเดียว..แต่ในความจริง..แล้ว..พี่คือคนที่สามลองจาก..พ่อกับแม่..ที่ผมสามารถพูดชื่อ..ออกมาได้” ผมอธิบาย ขณะที่ในใจมันก็เต้นระรัวด้วยความเก้อเขิน เพราะการที่ต้องมาพูดสาธยายถึงสิ่งที่ตัวเองทำ โดยที่อีกฝ่ายเขาก็ตั้งใจรับฟังเป็นอย่างดี มันจึงทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เขาให้ความสำคัญกับตัวผมมากแค่ไหน

“ผมอยากจะ..เก็บมันไว้เป็น..ของขวัญ..วันที่พี่รับปริญญา..เพราะมันเป็นวันที่พี่ประสบ..ความสำเร็จ..แถมครอบครัวของ..พี่ก็ยังภูมิใจในตัวพี่..ผมเลยคิดว่า..ถ้าหากผมพูดชื่อของพี่..ในวันนั้น..มันอาจจะทำให้พี่..มีความสุขมากกว่าเดิม”
“มึงนี่คิดอะไรซับซ้อนดีเนอะ” พี่เนย์ค่อนแคะเพียงเล็กน้อย ขณะที่ผมก็ได้แต่หัวเราะทั้งความคิดของตัวเอง และอีกฝ่ายที่กำลังเก้อเขิน แต่กลับทำเป็นไม่รับรู้อะไร

“ผมเคยแอบอวยพรให้พี่ฝันดี..พร้อมกับพูดชื่อของพี่..ต่อหน้าพี่..ตั้งแต่ช่วงเปิดเรียนใหม่ๆแล้ว..แต่เป็นเพราะพี่หลับ..พี่ก็เลยไม่ได้ยิน”
“…”

“ผมเคยเผลอ..ทำความลับแตก..ในวันนั้นที่เรากอดกัน..ท่ามกลางความมืด..ในห้องน้ำ” ผมเม้มปากแน่น ขณะที่กำลังเอื้อนเอ่ยไปถึงเรื่องราวในคืนนั้น ที่พี่เขาเคยบอกว่าจะเก็บมันไว้ในความทรงจำให้ลึกจนสุดใจ
“…”

“แต่สุดท้ายพี่ก็จับได้..ในคืนวันที่เรา..กอดกัน..หลังจากพากันดื่ม..จนกลิ่นแอลกอฮอลล์..มันคลุ้งไปหมด”
“มึงรู้มั้ย จนป่านนี้กูยังคิดถึงเรื่องในวันนั้นอยู่เลย เพราะกูรู้สึกว่า วันนั้นเป็นวันที่มึงดูมีเสน่ห์มากกว่าทุกวัน ไม่ว่าท่าทาง และน้ำเสียง ไม่สิ สำหรับกู ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมึงในตอนนั้น มันค่อยๆ ทำให้กูคิดถึงเรื่องของเรา ตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งปัจจุบัน รัน.. มึงคิดดูสิ แค่กูคิดถึงมึง มันก็ทำให้กูมีความสุขแล้ว ทีนี้เป็นไงล่ะ ผลสุดท้ายความยุติธรรมก็ไม่ยอมอยู่ข้างๆกูเหมือนเดิม”

“…” ผมอมยิ้มจนเริ่มปวดแก้ม เพราะถ้อยคำธรรมดาๆ มันกลับทำให้รู้สึกใจเต้น เมื่อผู้พูดเขาพูดมันออกมาจากความคิดและหัวใจ
“กูคิดถึงมึงมาก จริงๆนะรัน จากที่เคยได้นอนกอดมึง ตอนนี้กลับต้องมานอนกอดหมอนข้าง ซึ่งมันแย่ว่ะ ไม่ได้อุ่นไม่ได้หอมเหมือนตอนที่กอดมึงเลย” ผมเขินมากกับคำบอกเล่าของอีกฝ่าย จึงได้แต่ขบเม้มริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น

“เวลาฝนตก แล้วมีฟ้าแล่บ หรือแม้แต่ตอนที่ฟ้าผ่า มันก็ยังทำให้กูคิดถึงมึง เพราะถ้าหากกูอยู่กับมึง คนอ่อนโยนแบบมึงก็จะตลบผ้าห่มขึ้นมาคุมโปงเราทั้งคู่ จากนั้นมึงก็จะเอามือทั้งสองข้างของตัวเองมาปิดหูกู”
“แต่พี่เคยบ่นว่า..มันไม่ช่วยอะไร” ผมเถียงแก้เก้อ ซึ่งมันไม่ได้ผิดไปจากความจริงนัก เพราะพี่เนย์เขาบ่นอุบทันทีที่ผมทำแบบนั้น ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรสักนิด เพราะเสียงฟ้าผ่าก็ยังดังมากเท่าเดิม จะมีก็แต่ฟ้าแล่บเท่านั้นล่ะ ที่ผ้าห่มยังช่วยเอาไว้ได้

“แต่กูก็ไม่เคยปฏิเสธเลยไม่ใช่หรือไง” อีกฝ่ายเถียงกลับมาทันควัน
“…”

“รัน”
“ครับ?”

“คิดถึงพี่มั้ย?” พี่ฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงติดจะอ้อนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาผมใจเต้นเพราะหนุ่มกรุงเทพคนนี้อีกแล้ว
“คิดถึงสิครับ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล

“อื้ม แค่นี้ก็พอแล้ว” พี่เนย์ตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใส ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย
เพราะแค่เรายังคงคิดถึงกัน
เพียงแค่นั้น มันก็พอแล้วจริงๆ

ระหว่างคุยกับพี่เนย์ ไอ้หมอกมันก็แกล้งมาเคาะประตูกระจกอยู่หลายครั้ง ผมก็ทำได้แค่ยกนิ้วกลางให้อย่างละมุนละม่อม เท่านั้นล่ะ ไอ้เพื่อนตัวกวนมันก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี จากนั้นมันก็เดินไปปิดไฟ เพื่อเตรียมตัวเข้านอนอย่างรวดเร็ว ผมจึงค่อยๆ เลื่อนโทรศัพท์ออกห่างจากหู เพื่อดูเวลา กระทั่งเห็นว่ามันดึกมากแล้ว ผมจึงเป็นฝ่ายบอกให้พี่เนย์วางสาย เพราะพรุ่งนี้พวกเราต่างก็ต้องตื่นกันแต่เช้า เพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเอง
คืนนี้จึงเป็นคืนแรก ที่ผมอวยพรให้พี่เนย์ฝันดี พร้อมกับเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายอย่างชัดถ้อยชัดคำ

คลิปโปรเจคของกลุ่มผมถูกปล่อยออกมาในเช้าวันใหม่ ผมจึงกดแชร์ไปที่เฟซบุ๊กของตัวเอง แม้ว่าภายในคลิปนั้นจะไม่มีภาพหรือแม้แต่ชื่อของผมปรากฏอยู่ในนั้นก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า โปรเจคของสาขาในครั้งนี้ น่าจะเจาะกลุ่มเป้าหมายไม่ตรง แต่ถ้าพูดถึงประโยชน์ของมัน ผมกล้ารับรองได้เลยว่า นิทานแต่ละเรื่อง สามารถสร้างความสุขให้กับกลุ่มคนที่มีข้อบกพร่องอย่างแน่นอน
ฉะนั้นโอเพ่นเฮ้าส์ในครั้งนี้ อาจจะไม่ได้รับความสนใจอย่างมากมายนัก

วันนี้แม้จะมีเรียนคาบคหกรรม แต่ผมก็ยังต้องตื่นแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวไปทานข้าวที่โรงอาหารกลาง เนื่องจากว่าคาบนี้อาจารย์ท่านจะสอนทำขนมไทยประยุกต์ ผมจึงต้องตุนอาหารไว้รองท้องให้อิ่ม เพราะเมนูดูถ้าจะไม่เหมาะกับการแอบกินในคาบเรียน
“ฝนตก” ผมยื่นมือออกไปรองรับละอองฝนที่ค่อยๆโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากตัวอาคารหอพัก เพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารกลาง ด้วยความที่วันนี้ไม่มีแสงแดดอ่อนๆ แต่กลับมีเม็ดฝนโปรยปราย ผมจึงต้องรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าปกติ กระทั่งมาถึงโรงอาหาร ผมก็มุ่งตรงไปยังร้านข้าวแกงเจ้าประจำ จากนั้นก็จ่ายเงินและรับข้าวยำไข่ดาวกับหมูแหนมทอดมาถือไว้ ก่อนจะเดินตรงไปยังร้านขายน้ำ เพื่อซื้อน้ำเปล่าสักขวด และเมื่อได้ทุกอย่างครบ ผมก็มุ่งหน้าเดินไปยังที่นั่งมุมประจำในยามเช้าของตัวเอง

Neran P. added 1 new photo
Rainy days makes me think about you a lot

ผมถ่ายภาพสายฝนพรำตรงหน้าโรงอาหาร พลางโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน เพราะยิ่งนั่งมองฝนอยู่เงียบๆแบบนี้ ผมก็ยิ่งคิดไปถึงวันที่ผมติดฝนอยู่ที่ร้านกาแฟตรงแถวหอพี่เนย์ วันนั้นพี่เขารีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหา จากนั้นเราก็นั่งมองฝนด้วยกันเงียบๆ กระทั่งฝนไม่มีทีท่าจะตก ผมจึงต้องอาศัยห้องของอีกฝ่ายเป็นที่พักพิงชั่วคราว
อีกทั้งในคืนนั้น ก็เป็นคืนที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรา ไม่ใช่แค่เพียงรุ่นพี่และรุ่นน้องอีกต่อไป

หลังจากวันนั้น ไม่ว่าจะเห็นฝนตกในระดับไหน เรื่องราวในวันนั้นก็มักจะลอยวนเวียนอยู่ในความนึกคิดเสมอ และผมก็หวังว่าพี่เนย์จะยังคงคิดเห็นแบบเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง
“อ้าว รันมานั่งอยู่นี่เอง เราก็ว่า ทำไมตั้งแต่เปิดเทอมไม่เห็นรันมากินข้าวเช้าที่โรงอาหารกลางเลย” สาวๆคณะบัญชีเดินเข้ามาทักทายผม
“เปลี่ยนบรรยากาศน่ะ” ผมตอบสั้นๆ พลางยกยิ้มให้ทั้งสามสาว

“งั้นเดี๋ยวเรามานั่งด้วย ขอไปซื้อข้าวก่อน” นิ้งพูดพลางวางกระเป๋าและหนังสือเรียนไว้ทางฝั่งตรงข้าม ทันทีที่ผมพยักหน้าอนุญาต จากนั้นแอ้มกับอิ๋มก็ทยอยกันเอาของมาวางบ้าง และก่อนจะเดินไปซื้อข้าว หนึ่งในสามสาวก็ไม่ลืมฝากให้ผมดูแลสัมภาระให้พวกเธอด้วย

Akane Akarawin recently liked your photo

“รันนั่งยิ้มอะไร?” อิ๋มเดินมาถึงโต๊ะเป็นคนแรก จากนั้นเธอก็หรี่ตามองผมอย่างหยอกล้อ
“…” ผมไม่ตอบ แต่กลับยิ้มจนตาปิดให้อิ๋ม ฝ่ายนั้นก็หัวเราะเบาๆ คล้ายกับรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร

“พี่เนย์สบายดีมั้ย?” แอ้มที่ย้ายตัวเองมานั่งข้างๆ เอ่ยถามไปถึงว่าที่นักจิตบำบัดคนไกล
“อื้อ แต่ก็มีบ่น..ว่าเครียดๆเรื่อง..งานบ้างน่ะ” ผมตอบพลางตักข้าวเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน เพราะตอนนี้ยังไม่สายมากนัก ส่วนแอ้มก็พยักหน้ารับ จากนั้นเราต่างคนต่างก็ก้มหน้าทานข้าวเช้าของตัวเอง สลับกับพูดคุยเรื่องทั่วๆไปบ้าง ก่อนจะแยกย้ายกันไปเข้าเรียน เมื่อท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่ง

“สำหรับส่วนผสมของทาร์ตสาคูมะพร้าวอ่อน จะประกอบด้วยแครกเกอร์ เนยเค็มละลาย สาคู น้ำเปล่า น้ำตาลทราย น้ำใบเตยคั้นเข้ม ข้าวโพดสุก เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นชิ้น ใบเตยมัดรวมกันประมาณ 2-3 ใบ” อาจารย์อธิบายส่วนผสมที่ต้องใช้ในวันนี้อยู่ตรงหน้าห้องเรียน ส่วนพวกผมที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อน ซ้ำยังใส่หมวกคลุมผมอย่างถูกสุขอนามัย ก็ได้แต่มองไปที่อาจารย์ผู้ให้ความรู้ ส่วนด้านข้างก็มีพี่ล่ามมาคอยถอดความจากภาษาพูดให้กลายเป็นภาษามือ เพื่อที่เพื่อนๆ ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน จะได้เข้าใจเนื้อหาการเรียนการสอนในวันนี้ด้วย
“ต่อมาเป็นส่วนผสมของหน้ากะทินะคะ จะประกอบไปด้วย กะทิ เกลือป่นหยาบ น้ำตาลทราย และแป้งข้าวเจ้า” ผมเหลือบมองไปยังพี่ล่าม ก็เห็นพี่เขาสื่อสารเป็นภาษามือของคำว่า ‘เกลือ’ เข้าพอดี โดยพี่ล่ามสุดหล่อของเรา เขายกมือขวาคล้ายกับกำลังหยิบจับอะไรสักอย่างขึ้นมาจรดที่ริมฝีปาก หรือถ้าหากคนทั่วไปมองก็คงจะคล้ายกับท่าทางของคนที่กำลังจะเป่านกหวีด ขณะที่สีหน้าของพี่เขาก็แสดงออกถึงความเค็มปี๋ ดวงตาทั้งสองข้างถึงได้หรี่ปรือจนเป็นเส้นตรง จากนั้นก็เลื่อนปลายนิ้วชี้ไปยังข้างลำตัวในระดับหัวไหล่ พร้อมกับลากปลายนิ้วเป็นเส้นตรงจากบนลงล่างกลางอากาศ

“มึงรู้ป่ะ พี่เขาเป็นไอดอลกูเลย” ไอ้หมอกมันทำเนียนพาดแขนขึ้นบนลาดไหล่ผม จากนั้นมันก็ค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับกระซิบบอกความลับของตัวเองให้ผมทราบ
“…” ผมพยักหน้ารับรู้

“แถมยังป๊อปในโรงเรียนของคนที่มีข้อบกพร่องด้วยนะมึง” พอไอ้หมอกมันพูด ผมเองก็ทำได้แค่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะพี่ล่ามเขาหน้าตาดีมากจริงๆ แถมยังสุภาพมากๆ ด้วย สาวๆสาขาผมนี่ พากันหลงใหลได้ปลื้ม ‘พี่อั้ม’ กันเป็นแถว
และถ้าจำไม่ผิด พี่เขาน่าจะเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ตั้งแต่ต้นปีเองมั้ง

จากนั้นไม่นาน พวกเราต่างก็ต้องแยกย้ายไปรวมกลุ่มที่ได้จับจองกันไว้ตั้งแต่คาบที่แล้ว ซึ่งจำนวนนักศึกษาในแต่ละกลุ่ม จะขึ้นอยู่กับหัวข้อความยากง่ายในการเรียนการสอน ขณะที่อาจารย์ท่านก็ค่อยๆอธิบายวิธีการทำอย่างละเอียด
แต่ถ้าหากยังจำไม่ได้ก็พอจะมีชีทอันเป็นสมบัติล้ำค่าให้ได้เปิดดู

“มึงไปบดแครกเกอร์ไปไอ้หมอก ส่วนมึงไอ้พีทมาช่วยกูเหมือนเดิม” ผมผู้ที่ไม่มีหน้าที่ใดๆ ก็เลยถือโอกาสไปช่วยไอ้หมอกผสมแครกเกอร์กับเนยสดละลาย แล้วก็คนให้เข้ากัน จากนั้นก็ช่วยกันเอาแครกเกอร์ที่ผ่านการคลุกเคล้าเรียบร้อย มาอัดไว้ตรงก้นภาชนะสำหรับใส่สาคู กระทั่งพวกไอ้คินและไอ้พีทช่วยกันต้มสาคูจนสุก รวมไปถึงการปรุงรสพร้อมเสิร์ฟ พวกมันก็ช่วยกันยกหม้อสาคูมาวางพักไว้ให้คลายความร้อน ก่อนที่พวกมันจะไปช่วยกันเตรียมหน้ากะทิเป็นรายการต่อไป
“ไม่จืดไปเหรอวะมึง?” ไอ้หมอกย้ายตัวเองเข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ตรงหน้าหม้อบรรจุสาคู พลางเอ่ยถามความคิดเห็นหลังจากถือวิสาสะชิมฝีมือนักศึกษาหนุ่มทั้งสอง

“เดี๋ยวถ้าราดด้วยกะทิ มันจะพอดีเว้ยมึง” พอไอ้พีทมันการันตีอย่างนั้น คนทำอาหารไม่เป็นอย่างไอ้หมอกจึงทำได้แค่พยักหน้า ขณะที่ผมก็คอยเช็คความร้อนว่ามันคลายตัวลงหรือยัง จะได้รีบตักสาคูใส่ลงในแก้วพลาสติกขนาดเหมาะมือ เพราะเดี๋ยวเราต้องเอาไปแช่เย็น ก่อนจะต้องออกไปเร่ขาย เพื่อหาเงินมาเป็นกองกลางสำหรับซื้อวัตถุดิบในคาบต่อไป
ระหว่างรอให้สาคูเย็นตัวลง อาจารย์ก็เรียกพวกเรามายืนรวมกันตรงหน้าห้องเรียน จากนั้นก็แจ้งถึงเมนูที่เราจะต้องทำกันในคาบต่อไป และให้พวกเราจับกลุ่มกันประมาณหกถึงเจ็ดคน กระทั่งการเรียนการสอนในวันนี้จบสิ้นลง พวกเราทั้งหมดก็ต้องนำทาร์ตสาคูมะพร้าวอ่อนไปเร่ขายตามคณะต่างๆ โดยอาจารย์เป็นคนกำหนดให้เอง เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ไปซ้ำคณะกัน โชคดีที่กลุ่มผมได้ขายให้กับคณะของตัวเอง ก็เลยเบาใจหน่อย เพราะถ้าหากบังเอิญเจอรุ่นพี่กับรุ่นน้องประจำสาขา ขนมของพวกเราก็คงจะขายหมดเร็วกว่าใครเพื่อน

“พี่รัน ขายอะไรเอ่ย สาคูมะพร้าวอ่อนเหรอคะ?” น้องโบว์เดินมาพร้อมกับปาล์ม พลางยกยิ้มอย่างสดใสเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็น จากนั้นทั้งสองคนก็ยกมือไหว้พวกผมจนครบถ้วน
“ทาร์ต..สาคูมะพร้าวอ่อน” ผมยิ้มพลางตอบลูกค้ารายแรก

“หนูเอาสองค่ะ” ทันทีที่น้องโบว์สั่ง ไอ้หมอกที่ยืนอยู่ข้างๆก็เป็นคนหยิบแก้วพลาสติกบรรจุสาคู พร้อมกับช้อนพลาสติกใส่ลงในถุง และแลกเปลี่ยนสินค้ากับเงินอย่างชำนาญ ขณะที่พวกไอ้คินกับไอ้พีทเองก็ไปเดินเร่ขายให้กับพวกพี่ๆน้องๆ ที่นั่งกันตามโต๊ะม้าหินอ่อนนอกอาคารเรียน หรือไม่ก็กลุ่มคนที่พากันเดินไปมาอย่างขวักไขว่ในเวลาเที่ยงตรง
“หนูไปกินข้าวก่อนนะคะพี่รัน พี่หมอก” น้องโบว์โบกมือให้ผม พลางหันไปไหว้ไอ้หมอก ขณะที่ปาล์มก็ยังทำตัวนิ่งๆตามสไตล์ แต่ถึงอย่างนั้นน้องมันก็ยังไหว้ทักทายพวกเราทุกครั้ง

“เฮ้ย นั่นพี่รหัสกู เดี๋ยวมา” กระทั่งคนเริ่มซา เราก็ยังขายไม่ค่อยได้ เพราะมันเป็นขนมหวานด้วยแหละ แถมเวลานี้คนส่วนใหญ่ก็ต้องรีบไปกินข้าวกันทั้งนั้น ดีหน่อยที่เจอรุ่นน้องเข้ามาช่วยอุดหนุน ส่วนรุ่นพี่ผมยังมองไม่เห็นสักคน แต่โชคดีที่ไอ้หมอกมันตาไว มันจึงหอบขนมเข้าไปสะกัดเป้าหมายไว้ได้ทัน
“รัน” ผมตัวแข็งเกร็งทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกอันไม่พึงประสงค์

“ขายขนมเหรอ เท่าไหร่?” ไอ้เด็กนิเทศเดินเข้ามาทักทายผมพร้อมกับเพื่อนอีกสี่ห้าคน
“ห้าสิบ” ผมตอบเกินราคา เพื่อที่จะไล่มันไปให้พ้นทาง เพราะผมไม่อยากจะยุ่งกับมันแล้ว

“งั้นกูเอาสี่แก้ว” ไอ้มอสมันรีบตอบอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นมองมันทันควัน ส่วนเพื่อนคนอื่นๆของมันก็ได้แต่ส่งยิ้มมาให้ผม เมื่อเราบังเอิญเผลอสบตากัน
“อืม” ผมตอบรับเพียงเบาๆ พร้อมกับพาตัวเองไปยังโต๊ะว่างใกล้ๆ เพื่อที่จะได้หยิบจับอะไรได้สะดวก

“ที่ผ่านมากูขอโทษจริงๆ กูจะไม่แก้ตัว เพราะกูผิดจริงๆ รัน” ทันทีที่ไอ้มอสมันแก้ตัว มือของผมที่กำลังเคลื่อนไหวก็หยุดชะงักแน่นิ่ง แต่หลังจากนั้น ผมก็จัดแจงเอาขนมใส่ลงในถุง พร้อมกับหยิบช้อนใส่ลงไปให้ครบตามจำนวน
“สองร้อยบาท” ผมยื่นถุงให้มัน พร้อมกับแบมือรอรับเงินอย่างเย็นชา

“มึงต้องขายให้หมดนั่นเลยใช่ไหม?” พอเสร็จธุระ และผมกำลังจะเดินเข้าไปเร่ขายให้กับพวกพี่ทีม ไอ้มอสมันก็เข้ามาขวางทางเสียก่อน จึงทำให้พวกพี่เขาไม่เห็นผม เลยทำให้พลาดโอกาสในการขาย
“มอส..กูว่ามึงไปกิน..ข้าวเถอะ” ผมหันกลับมาสนใจไอ้มอสอีกครั้ง พร้อมกับออกปากไล่ไปตรงๆ

“เฮ้ยพวกมึง มาช่วยกันขายทาร์ตสาคูหน่อยดิ ถือว่าช่วยเพื่อนกูหน่อย มันจะได้รีบไปกินข้าว” ไอ้มอสกลับไม่สนใจ ซ้ำยังคว้าข้อมือของผมไว้ ทำให้ผมหลีกหนีจากมันไม่พ้น ครั้นจะสะบัดให้หลุด ผมก็เกรงว่าขนมจะเละจนขายไม่ได้ ทีนี้คงทำให้กลุ่มเราต้องเดือดร้อนแน่ๆ
“เราต่างคนต่าง..อยู่กันไม่ได้..เหรอวะ..สิ่งที่มึงเคยทำ..กับสิ่งที่มึงพยายาม..จะทดแทน..มันไม่ช่วยให้กูกับมึง..เข้าหน้ากันติดหรอก” ผมพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ แม้ว่าไอ้เด็กนิเทศมันจะกำลังช่วยผมขายของอยู่ก็ตาม แต่เพราะอคติของผมมันยังไม่หมดไป ผมถึงได้ค้านจนหัวชนฝา เพื่อแสดงความจำนงว่าผมจะไม่ยอมรับข้อเสนอใดๆของมัน
ทั้งๆที่ผลประโยชน์มันจะตกอยู่ที่ตัวผมเองแท้ๆ

“กูรู้ แต่ถึงอย่างนั้นกูก็ยังอยากจะทำ เพราะว่ามันก็ยังดีกว่ากูปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป โดยที่มึงไม่รู้ว่าตอนนี้กูรู้สึกผิดมากแค่ไหน จะว่ากูเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่กูอยากให้มึงรับรู้ไว้เฉยๆ ว่ากูรู้สึกผิดจริงๆ” ไอ้มอสมันพูด พลางหยิบทาร์ตสาคูไปเร่ขายให้กับสาวๆคณะผม จากนั้นไม่นานมันก็ได้เงินสดกลับมา รวมถึงเพื่อนๆของมันด้วย
“ทุกคนฝากบาดแผล..เอาไว้ในใจกู..มากเกินไป..จนกูเข้ากับคนอื่นไม่ได้..แม้แต่การจะขายของ..ให้คนกับคณะเดียวกัน..แต่แค่ต่างสาขา..กูยัง..ทำไม่ได้เลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว พลางกำขอบถาดแน่ ด้วยความขุ่นหมองปนโมโห
ที่เรื่องราวในอดีตมันส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน

-อ่านต่อด้านล่าง-
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 15 ♥ หน้า 8 (up 09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 09-12-2017 20:07:29
“รัน” ผมหันไปตามเสียงเรียงของไอ้หมอกที่วิ่งเข้ามาหา โดยไม่ได้สนใจไอ้มอสอีกเลย
“มึง!” ไอ้หมอกทำตาโตด้วยความตกตะลึง เพราะมันไม่คิดว่าแค่เวลาเพียงไม่นาน ในระหว่างที่มันไปขายขนมให้พี่รหัส ผมจะสามารถขายขนมที่เหลือบอยู่จนเกือบหมด

“นี่เงิน” ไอ้มอสมันเดินเข้ามาหา พร้อมกับยื่นเงินให้ ทำให้ไอ้หมอกมันเข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมผมถึงขายขนมได้จนเกือบหมด ทั้งๆที่วันนี้พวกรุ่นน้องหรือแม้กระทั่งรุ่นพี่ของสาขาก็แทบจะไม่โผล่หน้ามาให้เห็น
“ใครวะ” ผมละสายตาจากไอ้มอส เพื่อมองไปยังไอ้หมอกที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ เท่านั้นมันก็เข้าใจได้แล้วว่าผมไม่อยากจะพูดถึง ไอ้หมอกมันเลยคว้าถาดในมือผม เข้าไปเร่ขายให้กับสาวๆสาขาอื่นที่เดินผ่านเข้ามาพอดี

ผมจึงได้แต่มองดูเพื่อนสนิทของตัวเองด้วยความอิจฉา เพราะตั้งแต่มันได้รู้จักกับเพื่อนของพี่เนย์ รวมไปถึงเพื่อนของแอ้ม อคติของมันก็ค่อยๆจางหายไปกับสายลม
จะเหลือก็เพียงแค่ผม ที่ยังคงถูกกักตัวเอาไว้ในม่านหมอกแห่งความหวาดกลัว

ช่วงเย็นวันหยุดแบบนี้ อยู่ๆผมก็นึกอยากจะกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่อยู่ใกล้กับหอที่พี่เนย์เคยอยู่ ผมจึงออกปากชวนไอ้สองเพื่อนซี้ให้ไปกินเป็นเพื่อน แต่ดันกลายเป็นว่าพวกมันไม่อยากกิน แต่ผมคิดถึงรสชาติและบรรยากาศของนั้นร้าน ผมจึงตัดสินใจเดินทางไปที่ร้านนั้นคนเดียว ทั้งๆที่พวกมันก็ไกล่เกลี่ยแล้วว่า พรุ่งนี้จะยอมไปกินด้วย แต่อารมณ์ผมในตอนนี้ มันบอกได้แค่ว่า ผมต้องได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวเจ้านั้นในวันนี้ และด้วยความที่ผมเป็นคนดื้อเงียบเป็นทุนเดิม ผมจึงไม่ลังเลที่จะไป
ผมเลือกนั่งปักหลักในคาเฟ่ก่อน เพราะตอนนี้มันยังไม่ทันจะหกโมง จากนั้นผมก็เลือกจับจองที่นั่งตรงมุมเดิมที่ผมเคยนั่งติดฝนกับพี่เนย์ กระทั่งสัญญาณเรียกคิวดังขึ้น ผมก็เดินไปรับเครื่องดื่มพร้อมกับชำระค่าเสียหาย และย้อนกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง ผมนั่งแช่อยู่อย่างนั้นด้วยความเพลิดเพลิน หรือเรียกง่ายๆว่าผมกำลังนั่งเหม่อมองรถราที่กำลังวิ่งสวนกันไปมาตรงหน้าร้าน จนกระทั่งท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใส กลับค่อยๆมืดสนิทลง จากนั้นดวงจันทร์และดวงดาวนับร้อย ก็ค่อยๆโดดเด่นอยู่บนฟากฟ้า เวลานั้นผมถึงได้รู้ตัวว่า เป้าหมายของตัวเองในตอนแรกคืออะไร ผมจึงเลือกที่จะเดินออกจากคาเฟ่ที่บลูเลม่อนรสชาติยังคงอร่อยไม่เปลี่ยน เพื่อมุ่งตรงไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้มากนัก

“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มากินเลยนะ อีกคนที่มาด้วยกันบ่อยๆ หายไปไหนซะแล้วล่ะ?” คุณป้าเจ้าของร้านดูท่าจะจดจำพวกเราสองคนได้ พอวันนี้เห็นผมมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวคนเดียว ท่านจึงเอ่ยทัก
“ไปฝึกงานแล้วครับ” ผมตอบ พลางเอื้อมมือไปหยิบกระติกน้ำมารินใส่แก้วบรรจุน้ำแข็ง ที่คุณป้าเป็นคนนำเสิร์ฟ

“พ่อหนุ่มนั่นจะเรียนจบแล้วเหรอเนี่ย เร็วจริงๆ แล้วเราล่ะอีกกี่ปีถึงจะเรียนจบ” คุณป้าชวนผมคุยอีกครั้ง
“อีกสามปีครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม

“ยังไงก็แวะมากินบ่อยๆเลยนะ เดี๋ยวป้าจะให้ลุงแถมเกี๊ยวให้เยอะๆ”
“ครับ” ผมตอบรับพลางยิ้มให้คุณป้าอีกครั้ง ขณะที่ท่านก็ยิ้มตอบและเดินกลับไปง่วนอยู่กับการเสิร์ฟอาหารให้กับลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ส่วนผมก็ได้แต่มองตามท่าน พลางครุ่นคิดกับตัวเองว่าเมื่อครู่ ทำไมผมถึงสามารถเปิดใจคุยกับคุณป้าโดยที่ไม่อึดอัดใจเลยแม้แต่น้อย
แสดงว่าผมกำลังขยับก้าวเข้าไปใกล้เส้นชัยอีกขั้นแล้วหรือเปล่า?

ผมยกยิ้มจนตาปิด พลางหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งถ้าหากใครกำลังแอบมองผมอยู่ เขาจะต้องนินทาว่าผมเป็นบ้าแน่ๆ ที่จู่ๆก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว กระทั่งก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ ซึ่งคราวนี้ผมได้เกี๊ยวเยอะกว่าปกติจริงๆ ผมจึงถ่ายรูปและส่งไปอวดพี่เนย์ เพื่อให้เจ้าตัวเขาอิจฉาเล่น เพราะทันทีที่พี่เขาหายหน้าหายตาไป คุณป้าก็ปลอบใจผมด้วยการแถมเกี๊ยวให้ตั้งเยอะ คนชอบกินเกี๊ยวอย่างพี่เนย์ต้องบ่นอุบแน่ๆ

ติ้ง!

‘อะไรวะ กูกินของกูมาตั้งนาน ป้าไม่เคยแถมให้กูเลย’
‘หึหึหึ’

ผมหลุดยิ้มออกมาอีกแล้ว เพราะปฏิกิริยาของพี่เนย์มันไม่ต่างไปจากที่ผมคิดไว้สักนิด ซึ่งถ้าหากให้ผมนึกถึงใบหน้าของอีกฝ่ายล่ะก็ ป่านนี้หน้าหล่อๆของพี่เขาคงจะหงิกงอมากแน่ๆ

‘มึงเดินไปบอกป้าเลย ว่าถ้ากูมากินที่ร้านอีกเมื่อไหร่ ป้าต้องแถมให้กูมากกว่ามึงด้วย กูเป็นลูกค้ามาสี่ปีเลยนะเว้ย ไหงลำเอียงกันแบบนี้’
‘พี่ก็ ผมจะกล้าไปบอกได้ยังไงครับ ของซื้อของขาย’

‘วู้ว! มึงนี่ไม่ได้ดั่งใจเลย’
‘เดี๋ยวดึกๆค่อยคุยกันใหม่นะครับ ขอผมกลับถึงหอก่อน’

‘เออๆ กูก็กำลังขับรถอยู่ รถแม่งโคตรติด อย่างเซ็ง’

ผมไม่ตอบอะไรกลับไป นอกจากปล่อยให้ข้อความนั้นของพี่เนย์มันขึ้น ‘Read’ ต่อไป แค่นั้นอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าผมไม่ได้ละเลย เพียงแต่ไม่อยากจะรบกวนเวลาขับรถของพี่เขามากกว่า และอีกนัยหนึ่งก็เพื่อบังคับไม่ให้อีกฝ่ายเล่นโทรศัพท์ขณะที่กำลังขับรถไปด้วยในตัว กระทั่งจ่ายค่าเสียหายเรียบร้อย ผมก็เดินออกมาจากร้าน และมุ่งตรงไปยังสะพานลอยที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้
แต่แล้วเรื่องที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น   

ผมถูกโจรชิงทรัพย์ บนสะพานลอยอันร้างไร้พูดคน แต่ด้วยความไม่ยอมแพ้ ผมจึงรีบวิ่งไล่มันไปอย่างขาดสติ เพื่อหวังจะเอากระเป๋าสะพายที่เต็มไปด้วยข้าวของอันมีค่ากลับคืนมา และด้วยความที่ผมเตะต่อยได้แค่งูๆปลาๆ ผมจึงพลาดท่าถูกมันแทงเข้าให้

“เจ็บชะมัด” ผมได้แต่บ่นกับตัวเอง พลางกัดปากจนห้อเลือด เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวผมไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง ดังนั้นผมคงทำได้แค่ช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นไปจากสถานการณ์นี้ให้ได้ แม้ว่าความเจ็บมันจะตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆก็ตาม
บันไดข้ามสะพานลอยที่เคยรู้สึกว่ามันไม่เยอะขั้นมากนัก พอร่างกายได้รับบาดเจ็บ มันก็ชักจะกลายเป็นอุปสรรค จากนั้นความคิดมันก็หวนนึกไปถึงคำเตือนของพี่เนย์ เมื่อตอนที่เรายังอยู่ด้วยกัน ผมถึงเข้าใจว่าเวลาแบบนี้ ผมไม่ควรจะเดินข้ามสะพานลอยคนเดียว เพราะรอบๆตัวผมก็ยังไม่มีใครกล้าเฉียดเข้ามาใกล้สถานที่แห่งนี้ในยามมืดค่ำ เนื่องจากพวกเขาต่างพากันเสี่ยงชีวิตโดยการข้ามถนนใหญ่กันเสียมากกว่า เพราะอย่างน้อย มันก็อาจจะมีความปลอดภัยมากกว่าการข้ามสะพานลอยในยามวิกาล

“ช่วยด้วย” ผมพูดอย่างอ่อนแรง พลางทรุดตัวลงใส่คนตรงหน้า ที่กว่าจะรู้ว่าเป็นไอ้มอส มันก็สายไปแล้ว แต่ถึงผมจะรู้ล่วงหน้า ผมก็คงต้องขอความช่วยเหลือจากมันอยู่ดี เพราะผมไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหยัดยืนอีกต่อไป เนื่องจากผมใช้พลังทั้งหมดไปกับการพาตัวเองให้หลุดพ้นจากหนทางอันยาวไกลของสะพานลอยอันแสนอันตรายนั่น
“เฮ้ย ไอ้รัน! มึง! ลืมตาดิ!” ไอ้มอสตบหน้าของผมอยู่หลายครั้ง พร้อมกับร้องเรียกด้วยความตื่นตระหนก จนกระทั่งเพื่อนของมันออกปากเตือนให้พาผมไปส่งโรงพยาบาล มันถึงได้สติ ส่วนผมเองก็ฝืนลืมตาต่อไปไม่ไหวแล้ว
เพราะว่าแผลมันเจ็บมาก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ามันจะลึกสักแค่ไหน
กลางดึกคืนนี้ ดันกลายเป็นคืนที่ทำให้ผมไม่ได้คุยโทรศัพท์กับพี่เนย์เหมือนเคยซะแล้ว

-----------------------------------------------------------------
หากเจอคำผิด คำสลับ รบกวนแจ้งทีนะคะ บางทีอาจจะอ่านเพลินจนข้ามคำนั้นไป 555
สามารถติดแท็ก #ฟอลอินยู ได้นะคะ
คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี) (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 15 ♥ หน้า 8 (up 09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-12-2017 20:37:11
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 15 ♥ หน้า 8 (up 09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-12-2017 21:12:58
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 15 ♥ หน้า 8 (up 09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-12-2017 21:17:26
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 15 ♥ หน้า 8 (up 09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 09-12-2017 21:20:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 15 ♥ หน้า 8 (up 09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 09-12-2017 23:38:17
ฮือออ น้องงงงง

ค้างมากเลยอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 15 ♥ หน้า 8 (up 09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: iiamerror_ ที่ 10-12-2017 19:36:45
น้องรันลูก อย่าเป็นอะไรมากนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 15 ♥ หน้า 8 (up 09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-12-2017 21:06:29
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 16 ♥ หน้า 8 (up 10/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 10-12-2017 23:51:27
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 16

ผมฟื้นขึ้นมา ก็ตอนที่พยาบาลกำลังทำความสะอาดบาดแผล บริเวณหน้าท้องข้างซ้ายด้านล่าง ขนาดแผลของผมกว้างประมาณสองเซ็นเห็นจะได้ เลือดสีแดงจึงไหลซึมออกมาด้านนอก รวมไปถึงผ้าก๊อซที่ปิดแผลไว้ โชคดีที่ไอ้โจรนั่นไม่ได้แทงโดนจุดสำคัญ ไม่อย่างนั้นผมคงจะอาการแย่กว่านี้มาก
แต่ถึงอย่างนั้น บาดแผลที่มันฝากไว้ ก็สร้างความร้าวรานให้กับผมเป็นอย่างดี

“เป็นยังไงบ้างวะรัน?” ทันทีที่บุรุษพยาบาลเข็นผมออกมาจากห้องฉุกเฉิน ไอ้มอสและเพื่อนของมันก็รีบวิ่งเข้ามาดูอาการผมกันใหญ่ ส่วนบุรุษพยาบาลก็แยกตัวไปเดินเรื่องเพื่อติดต่อรับยาให้แทน
“เจ็บ” ผมตอบเบาๆ พลางนั่งตัวยืดตรง เพื่อไม่ให้แผลมันกดทับ ซึ่งเป็นการนั่งที่เมื่อยมาก

“แล้วเจ็บมากมั้ย?” ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามโง่ๆ แต่พอเห็นสีหน้าเป็นห่วงของมันแล้ว ผมก็จำต้องตอบคำถามแต่โดยดี
“อืม”

“แล้วทำไมเข้าไปแป๊บเดียวเองวะ เขาไม่ได้เย็บแผลให้มึงเหรอ?” ไอ้มอสทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของโรงพยาบาล ขณะที่ผมกำลังถูกล็อคตัวด้วยรถเข็นสำหรับคนไข้
“เปล่า” ผมตอบพลางส่ายหน้า

“ได้ไงวะ มึงโดนแทงจนสลบเลยนะเว้ย แค่ล้างแผลอย่างเดียวเนี่ยนะ?” ไอ้มอสย้อนถามอย่างมีน้ำโห
“อืม กูยืมโทรศัพท์หน่อย” ทันทีที่ไอ้มอสมันส่งโทรศัพท์มาให้ มันก็ลุกเดินออกไป ผมจึงไม่ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะกะจะโทรหาพวกไอ้หมอก คาดว่าป่านนี้พวกมันน่าจะเป็นห่วงผมจะแย่แล้ว
ไหนจะพี่เนย์ที่คืนนี้ดันติดต่อผมไม่ได้อีก
ป่านนี้ทุกคนคงจะวิ่งเต้นกันน่าดู

“บ้าชะมัด..จำเบอร์ใคร..ไม่ได้เลย” ผมลูบหน้าตัวเองอย่างหงุดหงิด เพราะความไม่ได้ดั่งใจ
“หมอ! เพื่อนผมมันโดนแทงจนสลบเลยนะครับ แต่พยาบาลของคุณกลับแค่ทำแผลให้ จริงๆมันควรต้องเย็บแผลด้วยหรือเปล่า พวกคุณบริการประชาชนกันยังไง ทำไมไม่ใส่ใจกันเลยครับ นั่นเขาถูกแทงจนถึงกับสลบไปเลยนะ” ผมหันไปให้ความสนใจกับไอ้มอส ที่กำลังตะโกนโวยวายจนลั่นโรงพยาบาล โดยมีเพื่อนของมันสองคนเข้าไปห้ามปรามไว้ เพื่อไม่ให้มันพุ่งตัวเข้าใส่คุณหมอเวรฉุกเฉิน

“ใจเย็นๆก่อนนะครับคุณ”
“จะให้ผมใจเย็นยังไง หมอดูเพื่อนผม หน้าตามันซีดเซียวแค่ไหน แถมมันยังเจ็บแผลมากด้วยนะหมอ แล้วนี่อะไร คุณปล่อยให้มันกลับบ้านเลยเนี่ยนะ หมอครับ ที่มันเจ็บแผล อาจเป็นเพราะแผลของมันฉีกขาดก็ได้ พยาบาลของคุณเล่นไม่ยอมเย็บแผลให้มันแบบนี้น่ะ ทีนี้คุณเห็นถึงความผิดพลาดหรือยัง?” ผมได้แต่มองไปที่ไอ้มอสแน่นิ่ง เพราะไม่ทันได้คิดว่ามันจะเป็นห่วงผมมากขนาดนี้ อีกอย่างมันดันสงสัยในสิ่งที่ผมไม่เคยสงสัย เนื่องจากพยาบาลบอกมาว่ายังไง ผมก็เชื่ออย่างนั้น
แต่มันเป็นใครกัน กลับมารักษาสิทธิ์ให้ผม

“คุณครับ เบื้องต้นหมอได้ทำการตรวจร่างกายของคนไข้เรียบร้อยแล้ว และอาการของคนไข้ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติครับ แขนขาไม่หัก อีกทั้งบาดแผล ก็ไม่ได้ลึกจนถึงขั้นต้องเย็บแผล และไม่ได้โดนอวัยวะที่สำคัญด้วยนะครับ ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ประสงค์จะไม่นอนที่โรงพยาบาลก็ได้ครับ แต่ถ้าหากญาติไม่สบายใจ จะให้ผู้ป่วยนอนสังเกตอาการสัก 1 คืนก็ได้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนไข้หมดสติ เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ”
“กลับเถอะ..ผมขอโทษแทนเพื่อน..ด้วยนะครับ..หมอ” ผมไสรถเข็นเข้าไปใกล้ พลางดึงแขนไอ้มอสไว้ จากนั้นก็หันไปก้มหน้าขอโทษขอโพยคุณหมอผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องออกมารับหน้าแทนพยาบาลที่เป็นคนดูแลบาดแผลของผม จากนั้นบุรุษพยาบาลก็ยื่นยามาให้ แต่เพราะผมไม่มีเงินสดเหลือติดตัวสักบาท เพื่อนของไอ้มอสที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผม จึงเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายให้ และนั่นก็ทำให้ผมชะงักอีกครั้ง เพราะการที่คนๆนึง ไม่ได้รู้จักอะไรกับเราเลย แต่เวลาที่เราเดือดร้อน เขากลับมีน้ำใจยื่นมือเข้ามาช่วย ขณะที่อีกคน อดีตเคยเป็นหัวโจกในการสร้างบาดแผลเอาไว้ในใจของผมตั้งมากมาย บัดนี้เขากลับรักษาสิทธิ์ให้ผมเป็นอย่างดี แล้วไหนจะเพื่อนอีกคนของไอ้มอสที่ผมไม่รู้จักชื่ออีก มันเป็นฝ่ายอาสาจะเข็นรถเข็น พาผมออกไปจากที่นี่ เมื่อจัดการธุระต่างๆเรียบร้อยแล้ว
จากเหตุการณ์นี้ ผมควรจะเปิดใจ และมองข้ามอคติทั้งหมดไปใช่ไหม?
เพราะถ้าหากไม่ได้พวกมัน บางทีผมอาจจะต้องนอนตายอยู่ตรงหน้าป้ายมหาวิทยาลัยก็ได้

“จริงๆมึงไม่ต้อง..มาออกเงิน..ค่ารักษา..ให้กูก็ได้นะ” ผมหันไปพูดกับคนที่กำลังพยุงผมขึ้นบันไดหอ หลังจากโดยสารรถยนต์ส่วนตัวของมันกลับมายังมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว โดยมีเพื่อนมันอีกสองคนเดินตามหลัง ซึ่งคนหนึ่งถือถุงยาให้ผมโดยไม่ปริปากพูดอะไร
“ถือว่ากูไถ่โทษกับเรื่องที่กูเคยทำไว้กับมึงก็แล้วกัน” ไอ้มอสมันเอ่ยปากอย่างหนักแน่น หลังจากมันเอาเงินของตัวเองให้กับเพื่อนคนนั้นแทนผมที่เป็นต้นเรื่อง
“อืม”
“เฮ้ย ไอ้รัน เป็นอะไรวะ?” ไอ้โชคเพื่อนร่วมสาขาที่อยู่ข้างๆห้องเอ่ยถาม เมื่อมันบังเอิญเดินลงมาเจอผมในสภาพหอยทากกำลังคลานขึ้นบันได

“โดนแทง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงเต็มที
“ชิบหาย! มึงรีบโทรบอกเพื่อนมึงเลย มันสองตัวยืมมอไซค์กูไปตามหามึงข้างนอกโน่น” ไอ้โชคที่กำลังกอดขวดพลาสติกเพื่อเตรียมมากรอกน้ำข้างล่าง รีบล้วงกระเป๋ากางเกงและยื่นโทรศัพท์ส่งมาให้

“มึงมีเบอร์..พวกมันใช่..ป่ะ..โทรบอกให้กู..ที” ผมขอร้องให้อีกฝ่ายเป็นธุระให้ เพราะแค่เดินขึ้นบันได ผมก็สะเทือนจะแย่แล้ว
“เออๆ” ไอ้โชคมันว่า พลางเดินย้อนขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง ขณะที่มันก็กำลังโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนของผมด้วย

“ไอ้เชี่ยคิน ไอ้รันมันกลับมาหอแล้วนะเว้ย มึงแว้นมาด่วนเลย แม่งโดนแทงมาเนี่ย.. น่าจะไปหาหมอมาแล้วนะ กูเห็นมันหิ้วถุงยากลับมาด้วย เออๆ เดี๋ยวกูถามแม่งก่อน ไอ้คินมันถามว่ามึงไปเดินทะเร่อทะร่าให้โจรปล้นมาใช่มั้ย แล้วก็แผลเป็นไงบ้าง ลึกหรือเปล่า?”
“เออ..แผลประมาณ..สองเซ็น”

“ถูกต้องครับ เพื่อนมึงโดนโจรปล้น ไม่มีข้าวของติดตัวมาสักอย่าง นอกจากถุงยาหนึ่งใบ กับแผลอีกสองเซ็น เออ เดี๋ยวกูให้แม่งเข้าไปรอในห้องกูก่อน มึงไม่ต้องห่วง” พอไอ้โชคคุยกับไอ้คินเรียบร้อย มันก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงทันที
“ไอ้รัน มึงโดนไอ้เชี่ยคินสับเละแน่ เสียงแม่งยังกับนักฆ่า ไอ้สัส กูล่ะขนลุก”

“อืม กูไม่ระวังเอง..แหละ..ก็สมควรให้..มันบ่น”
“ว่าแต่มึงไปโดนจี้แถวสะพานลอยหน้ามอป่ะวะ อาทิตย์ก่อนเพิ่งจะมีคนโดนไปแหม่บๆ เห็นว่ารายนั้นถูกแทงจนเสียชีวิตเลยนะเว้ย ถือว่ามึงยังดวงดี ทีหลังก็อย่าไปคนเดียวเลยมึง เออ เมื่อกี้ไอ้คินแม่งร้อนใจมากเลยมึงรู้ป่ะ เสือกด่ากูแทนมึงไปยกนึงเนี่ย”

“โทษทีว่ะ”
“ไม่เป็นไรเว้ย ทีหลังมึงก็อย่าไปข้างนอกมืดๆคนเดียว มันอันตรายจะตายห่า เป็นผู้ชายก็ใช่ว่าจะพลาดไม่ได้นะมึง ทีหลังจะออกไปข้างนอกก็มายืมรถกูนี่”

“คร๊าบบบบ” ผมแกล้งรับปากด้วยน้ำเสียงยานคาง
“มึงแม่ง ยังจะมีอารมณ์มากวนตีนกูอีก” ผมยิ้มบางๆ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จนกระทั่งถึงหน้าประตูห้องของไอ้โชค ซึ่งพวกเราก็เสียเวลายืนรอให้คนข้างในมาเปิดประตูให้อยู่พักใหญ่ และปฏิกิริยาของใครคนนั้นก็ไม่ต่างจากไอ้โชคตอนเห็นสภาพของผมนัก

‘เป็นอะไรรัน?’ ไอ้ทูผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน รีบสอบถามผมยกใหญ่
‘โดนแทง’ ผมตอบเป็นภาษามือ โดยใช้มือข้างขวาทำท่าเหมือนกำลังถือมีด จากนั้นก็ดันกำปั้นออกไปข้างหน้า เหมือนกับลักษณะของไอ้โจรนั่นที่กำลังหันปลายมืดเข้าหาผม ขณะที่ใบหน้าก็ทำให้มันขึงขังเข้าไว้
เท่านั้นแหละ ไอ้ทูมันก็ยิ่งทำหน้าตาตื่นตระหนกมากกว่าเดิม

ส่วนไอ้โชคพอเข้ามาในห้องได้ มันก็รีบคว้าเก้าอี้ออกมาวางไว้ตรงกลางห้อง เพื่อให้ผมนั่งระหว่างรอเพื่อนสนิทมารับ ขณะที่ไอ้ทูกำลังอธิบายให้ไอ้อิฐเพื่อนผู้มีความบกพร่องอีกคนเข้าใจ ผมจึงต้องเป็นฝ่ายบอกพวกมันด้วยตัวเองว่าผมได้จัดการไปหาหมอและได้ยามารักษาเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเลย

“รัน กูกลับก่อนนะ หอใกล้ปิดแล้วว่ะ” ผมหันกลับมาให้ความสนใจกับไอ้มอสอีกครั้ง เมื่อมันพูดแสดงการมีตัวตน
“ขอบคุณ” ผมพูดกับมันสั้นๆ แค่นั้นก็ทำเอาไอ้เด็กนิเทศถึงกับยกยิ้มจนเต็มแก้ม

“ทั้งสองคนด้วยนะ..ถ้าไม่ได้พวกมึง..วันนี้กูคงแย่” ผมเอี้ยวตัวไปมองเพื่อนอีกสองคนของไอ้มอส พลางยกยิ้มให้พวกมันเป็นครั้งแรก
“ไม่เป็นไร” พวกมันตอบรับเพียงแค่นั้น ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะยื่นถุงยามาให้ แล้วก็พากันทยอยเดินออกไป กระทั่งทั้งห้องเหลือเพียงแค่เพื่อนร่วมสาขา ทั้งหมดต่างก็เข้ามาสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดยิบ

ก๊อก ก๊อก

ครู่ใหญ่ เสียงเคาะประตูตรงหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเดินไปเปิดประตูให้คนที่ผมก็รู้ว่าใคร เพื่อที่จะได้กลับห้องของตัวเองสักที เพราะผมรบกวนพวกไอ้โชคมานานมากแล้ว

“ไอ้เชี่ยยยย!” ทันทีที่ไอ้หมอกเห็นหน้าผม มันก็สาดคำด่าเข้าใส่พร้อมด้วยการโผเข้ามากอดพร้อมกับร้องไห้อย่างไม่อายใคร แต่ผมนี่สิ เจ็บชิบหายเลย แต่ไม่กล้าแม้แต่จะผลักมันออกจากตัว
“ไอ้เชี่ยหมอก! ไอ้รันมันเจ็บตัวอยู่นะเว้ย มึงไปกระโจนใส่แบบนั้น เกิดแผลมันปริขึ้นมาล่ะวะ” ไอ้คินมันลากคอเสื้อของไอ้เพื่อนตัวดีให้รีบออกห่างจากผมอย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าตัวก็ยินยอมให้ลากแต่โดยดี จากนั้นเพื่อนหน้าบูดของผมก็แทรกตัวผ่านผมเพื่อยื่นกุญแจรถคืนให้ไอ้โชค ขณะที่ไอ้หมอกกำลังเลี่ยงไปไขกุญแจห้องข้างๆ

“มึงแม่งดื้อ!” พอผมเข้ามาในห้อง ไอ้หมอกก็รีบเปิดฉากต่อว่าทันที ซึ่งผมก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพราะผมดื้ออย่างที่มันว่า แถมยังประมาทและไม่รู้ลิมิตตัวเองด้วย
“มึงไม่รู้หรือไงว่าพวกกู กลัวว่ามันจะเป็นแบบนี้ พวกกูถึงได้บอกให้มึงรอไปกินพรุ่งนี้พร้อมกัน จะได้ยืมรถไอ้โชคไป” ไอ้หมอกพูดอีกประโยค จากนั้นมันก็เดินเข้ามากอดผมพลางร้องไห้อีกระลอก ส่วนไอ้คินที่ยืนนิ่งเงียบมานาน มันเองก็เดินเข้ามากอดผมกับไอ้หมอกอีกที
ทำเอาผมสะเทือนใจมาก ที่ตัวเองทั้งวู่วามและประมาท

“ขอโทษ” ผมยกมือขึ้นกอดพวกมันคนละข้าง พลางเอ่ยปากขอโทษเพียงเบาๆ หากแต่ความรู้สึกผิดที่ทำให้พวกมันเป็นห่วง กลับหนักอึ้งไปทั้งใจ ยิ่งตอนที่ไอ้คินมันบอกให้ผมโทรไปรายงานความคืบหน้าให้พ่อกับแม่และพี่เนย์ทราบ ผมก็ยิ่งใจหาย และพยายามบังคับตัวเองไม่ร้องไห้ ทันทีที่ได้ยินเสียงของแม่ถามไถ่ทั้งน้ำตาด้วยความเป็นห่วง ตามด้วยน้ำเสียงร้อนรนของพ่อ จากนั้นท่านทั้งสองก็ไม่ลืมจะย้ำเตือนให้ผมโทรไปหาพี่เนย์
เพราะอีกฝ่ายร้อนใจมาก และยังเป็นคนแรกที่ทราบข่าวจากไอ้คินด้วยว่าผมได้รับบาดเจ็บ

ผมโยนถุงยาวางไว้บนโต๊ะ พลางเดินเลี่ยงออกไปข้างนอกระเบียงพร้อมกับเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของพี่เนย์จากเครื่องของไอ้คิน แล้วก็รอเพียงไม่นาน อีกฝ่ายก็รีบกรอกเสียงมาตามสายด้วยความร้อนรน จนผมฟังคำถามแทบไม่ทัน เลยต้องเอ่ยย้ำให้อีกฝ่ายค่อยๆถามทีละประโยค ซึ่งอีกฝ่ายก็ถึงชะงักงันไปพักใหญ่ คงเพราะพี่เขาไม่ทันได้คิดว่าผมจะเป็นฝ่ายใช้โทรศัพท์ของไอ้คินในการติดต่อสื่อสาร

“มึงมันดื้อ” ผมเงียบและยอมรับฟังแต่โดยดี แม้ว่าจะฟังคำนี้มาจากไอ้หมอกแล้วก็ตาม
“…”

“กูเคยบอกมึงแล้วไม่ใช่เหรอว่าแถวสะพานลอยมันมีคนถูกชิงทรัพย์อยู่บ่อยๆ ทำไมมึงไม่รอไปพรุ่งนี้”
“…”

“กูถาม” พี่เนย์ใช้น้ำเสียงแข็งกร้าว จนน้ำตาเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะผมไม่รู้จะบอกอีกฝ่ายยังไง
“…”

“ตอบดิ” น้ำเสียงเย็นชาของพี่เนย์ ทำเอาผมอ้าปากพูดไม่ออก แต่ถ้าหากผมยังคงเงียบอยู่แบบนี้ อีกฝ่ายต้องดุมากขึ้นแน่ๆ
“ผมคิดถึง..ก๋วยเตี๋ยวร้าน..นั้น..ก็เลยต้องไปกิน..วันนี้ให้ได้” ผมเม้มปากแน่น เพราะเหตุผลของผมมันไร้สาระมาก ยิ่งอีกฝ่ายถอนหายใจคล้ายกับหงุดหงิด น้ำตาของผมก็ยิ่งคลอเบ้าหนักขึ้น

“มึงประมาทเกินไปนะรัน มึงรู้มั้ยว่าใครต่อใครเขาเป็นห่วงมึงมากแค่ไหน อ่อ แล้วก่อนหน้านี้กูก็จัดการด่าเพื่อนมึงสองตัวไปแล้วเรียบร้อย ถือว่ามีความผิดร่วมกัน ที่สุดท้ายก็ยังปล่อยมึงไปคนเดียว ทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันอันตราย” ผมเม้มปากแน่น ซ้ำยังรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ที่ทำให้เพื่อนสนิทถูกพี่เนย์ต่อว่า ทั้งๆที่คนที่ผิดคือผมเต็มๆ
“แล้วแผลมึงสองเซ็นนี่ลึกหรือเปล่า?” ขณะที่ถาม น้ำเสียงของพี่เนย์ก็เริ่มอ่อนโยนขึ้นบ้างแล้ว

“ไม่ลึกครับ..หมอบอกว่าให้..ไปทำแผลทุกวัน..แล้วก็ต้องฉีดบาดทะยักอีกสามเข็ม..ประมาณอาทิตย์หรือ..สองอาทิตย์ก็น่าจะหาย” ผมชิงอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องถาม
“แล้วมึงเจ็บมากมั้ย?” น้ำเสียงของพี่เขาแผ่วเบาเสียจน ใจของผมมันเริ่มหวิวไหว

“ครับ” ผมเน้นย้ำทีละคำอย่างตรงไปตรงมา เพราะผมไม่อยากโกหก เกิดมาจับได้ทีหลัง พี่เนย์ได้ดุผมอีกแน่
“แต่กูเจ็บมากกว่าสองเท่า เพราะกูไม่ได้อยู่ใกล้มึง กูต้องรอฟังข่าวอยู่ที่ห้อง ได้แต่เดินวนไปวนมา สลับกับดูนาฬิกาทุกวินาที ความรู้สึกแบบนี้มันไม่สนุกเลยนะมึง ดูแลตัวเองหน่อยดิวะ”

“ผมขอโทษ”
“กูไม่ได้ต้องการคำขอโทษ กูต้องการให้มึงรับปากว่าจะดูแลตัวเอง” พี่เนย์ย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ครับ ผมจะระวังตัวเอง..ให้มากกว่านี้”
“มึงรับปากกับกูแล้วนะ”

“ครับ” ผมรับปากเสียงอ่อย เพราะพี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชามากๆ ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้แค่ให้ผมรับปากส่งๆเท่านั้น แต่พี่เขากำลังจดจำและบันทึกเอาไว้ในหัวเลยว่า เราเคยสัญญากันไว้แบบนี้ หากเกิดเรื่องเมื่อไหร่ ผมได้เจอดีแน่

“แล้วของมีค่าหายหมดเลยหรือเปล่า?”
“ก็หายหมดเลยครับ”

“แล้วพ่อกับแม่มึงว่ายังไงบ้าง?”
“เดี๋ยวท่านจะโอนเงิน..มาให้ใหม่ครับ..น่าจะประมาณ..พรุ่งนี้ช่วงเที่ยงๆ”

“งั้นมึงไปนอนพักได้แล้วไป ถ้าพรุ่งนี้มีเรียนแล้วไปเรียนไม่ไหว มึงก็ไปหาหมอเอาใบรับรองแพทย์ซะ”
“พรุ่งนี้ผมหยุด..ครับ”

“ถ้างั้นก็ดี มึงจะได้นอนพักผ่อนให้เยอะๆ”
“อ้อ แล้วกูก็จะไม่รับสายหรือโทรหามึงสองอาทิตย์ พร้อมกับล้มเลิกแผนที่จะไปหามึงในวันหยุดด้วย”
“…”

“มึงรู้ใช่มั้ยว่าเพราะอะไร?” พี่เนย์ย้อนถาม
“รู้ครับ” ผมตอบเสียงอ่อย

“ที่กูลงโทษ นี่ยังถือว่าน้อยไป กับการที่มึงทำให้พ่อกับแม่ของมึงต้องเป็นกังวล และทำให้กูต้องเป็นห่วงเพราะความประมาทของมึงเอง”

----------------------------------------------------------------
[11/12/2017 เพิ่มจุดบางประโยคที่ลืมใส่]
วันนี้มาช้ามากกกก พอดีติดธุระถึงบ้านดึกไปหน่อยค่ะ แล้วก็ให้น้องที่เป็นพยาบาลเช็คข้อมูลด้วยว่ามันถูกต้องมั้ย ทั้งนี้ต้องบอกก่อนว่า จริงๆแล้ว รพ ที่น้องเราทำเนี่ย แผลแค่ 0.5 เซ็นเขาก็เย็บให้แล้วค่ะ แต่ที่เราเขียนแบบนี้ เพราะเราเจอกระทู้นึง เขาไม่เย็บให้ เพราะแผลไม่ได้ลึกและไม่โดนจุดสำคัญ เราเลยเอามาเป็นทางลงให้กับคุณมอสและผองเพื่อน ให้น้องเริ่มมองคนที่ไร้ข้อบกพร่องในแง่ที่ดีขึ้น โดยยึดหลักที่อีกฝ่ายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญอะไรในชีวิตของรัน และมันก็ดูสมเหตุสมผลที่จะทำเป็นมองข้ามเรื่องที่ผ่านมาได้ เพราะว่าถ้าหากไม่ได้พวกมอส น้องก็ต้องเสียเลือดมาก บวกกับการรักษาสิทธิ์ให้ตัวเอง น้องก็เลยเริ่มมองเพื่อนคนนี้ในแง่ใหม่ แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าเพื่อนหัวโจกคนอื่นๆจะคิดได้แบบมอสทุกคนเนอะ 

ปล. พี่เนย์โหดมาก เพราะพี่เขาเป็นคนจริงจังค่ะ ดูได้จากคำพูดคำจา และการใช้ชีวิตของเขาเนอะ ซึ่งคนที่ผ่านการหน้ามืดตามัว เพราะความหลงมาแล้ว ก็ต้องคิดได้กันนิดนึง เรียกว่าใช้ชีวิตแบบมีสติดีกว่า 5555

คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี) (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 16 ♥ หน้า 8 (up 10/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 11-12-2017 00:17:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 16 ♥ หน้า 8 (up 10/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-12-2017 00:47:10
 :pig4: :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 17 ♥ หน้า 8 (up 11/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 11-12-2017 19:19:56
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 17

“ไอ้รันน่ะเหรอพี่” ผมเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากที่วางสายกับพี่เนย์ไปพักใหญ่ ไอ้หมอกมันก็รีบทำไม้ทำมือให้ผมเงียบเสียงที่สุด ผมจึงได้แต่เลิกคิ้วใส่ด้วยความสงสัย พลางส่งโทรศัพท์คืนไอ้คินที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ
“มันกำลังอาบน้ำ” ผมชะงักการก้าวเดิน พลางหันไปมองไอ้หมอกด้วยความสงสัย เพราะมันก็เห็นๆอยู่ ว่าผมยังอยู่ในสภาพเน่าๆเหมือนเดิม แต่กลับบอกปลายสายว่าผมกำลังอาบน้ำซะงั้น

“อะไรของพี่วะ เป็นห่วงมันแล้วทำไมไม่คุยกันให้จบๆไปเลยล่ะ” ไอ้หมอกมันบ่นอุบด้วยสีหน้ากวนประสาทยังไงชอบกล
“โห โดนเล่นข้อหานี้ คนมีชนักติดหลังอย่างผม ก็ต้องยอมดิ สักครู่ครับ.. ไอ้รันเว้ย อาบน้ำระวังแผลโดนน้ำนะ” ผมจ้องไอ้หมอกที่ทำเป็นตะโกนใส่ผม ส่วนฝ่ายถูกจ้อง ก็รีบขยับปากแบบไม่มีเสียงพูดว่าปลายสายที่คุยกับมันคือ ‘พี่อาคเนย์’ คนที่เพิ่งจะดุและทำโทษผมไปเมื่อครู่

‘มึงตะโกนตอบรับดิวะ’ ไอ้หมอกมันทำการใหญ่โดยเปิดลำโพงโทรศัพท์ พลางวางเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของผม พร้อมกับใช้ภาษามือสั่งผมด้วย
“เออ!”

“ไอ้หมอก”
“ครับ” เจ้าของชื่อรีบเสนอหน้าเข้าไปจุ่มใส่โทรศัพท์ เพื่อพูดคุยกับรุ่นพี่ต่างสาขาอย่างรวดเร็ว

“พรุ่งนี้มึงรีบพามันไปแจ้งความเลยนะ”
“ครับผม!”

“ส่วนเรื่องค่ากิน เดี๋ยวกูจะช่วยออกให้มัน จนกว่าจะหาย เพราะว่าช่วงนี้ มันน่าจะต้องจ่ายค่าทำแผลเยอะอยู่”
“แล้วไงพี่ จะเอาบัญชีธนาคารของไอ้รันเหรอ?” ไอ้หมอกยังคงรับหน้าต่อไป ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มกับคนโหดไม่จริง ที่สุดท้ายก็แอบใจอ่อนให้ผมอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้น ผมเองก็ไม่ได้คิดว่าความใจดีของพี่เขามันคู่ควรกับผมในเวลานี้หรอก
เพราะผมทำผิดจริงๆ ผมถึงได้ไม่คิดว่า พี่เขาทำเกินกว่าเหตุ

“เดี๋ยวกูโอนเข้าบัญชีมึง แล้วมึงไปซื้อ เออ อย่าลืมเตือนเพื่อนมึงให้ไปอายัดบัตรด้วยล่ะ เมื่อกี้กูก็ลืมเตือนมันไปเลย”
“อ้อได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกมันให้ ส่วนของกินนี่คือพี่จะให้ผมทำทีเป็นคนซื้อมาให้งี้เหรอ แล้วถ้ามันเกิดมันเกรงใจไม่ยอมรับของล่ะพี่” ไอ้หมอกถาม พลางหันมาขยิบตาใส่ผม

“นั่นเป็นปัญหาของมึง อย่าลืมพามันไปแจ้งความกับไปล้างแผลนะเว้ย”
“ครับผม” หลังจากวางสายแล้ว ไอ้หมอกมันก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองมายัดใส่มือผมพลางยักคิ้ว ก่อนจะปีนขึ้นไปนอนเล่นบนที่นอน ส่วนผมก็รีบจัดการอายัดบัตรให้เรียบร้อย ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้ไอ้หมอก พลางบอกมันว่าพรุ่งนี้หลังจากไปโรงพักให้มันแวะพาผมไปธนาคารด้วย เพราะแม่จะโอนเงินมาให้พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ดังนั้นผมต้องรีบดำเนินเรื่องให้เสร็จก่อนที่แม่จะพักกลางวัน ไม่อย่างนั้นแม่ต้องเสียเวลาลางานเพื่อไปทำธุระให้ผมแน่ จากนั้นผมก็ถือโอกาสเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เพื่อหยิบเอาชุดนอนที่ใส่สบายๆ มาสักตัว แล้วก็เดินเข้าไปยังห้องน้ำ เพื่อเอาน้ำลูบๆเนื้อตัวสักหน่อย เพราะพยาบาลบอกผมว่า แผลต้องห้ามโดนน้ำ
ช่วงนี้ผมก็อาจจะต้อง อยู่อย่างซกมกไปก่อน

หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ผมก็เดินเยื้องย่างออกมาจากห้องน้ำ และพอหันไปมองยังบริเวณเตียงนอนของตัวเอง ก็พบว่าฟูกที่นอนที่เคยอยู่ด้านบน บัดนี้มันถูกระเห็จมากองอยู่ข้างล่างไปซะแล้ว
“มึงนอนข้างล่างนั่นแหละ รอให้แผลหายก่อนค่อยย้ายขึ้นไปนอนข้างบน” ไอ้คินมันว่าอย่างนั้น ผมจึงได้แต่พยักหน้ารับ พร้อมกับตอบรับในลำคอเพียงเบาๆ จากนั้นไม่นานโทรศัพท์ของไอ้เพื่อนคนนั้นก็สั่นครืดคราด ผมจึงมองจ้องไปที่มันซึ่งนอนห่มผ้าแล้วเรียบร้อย

“ว่าไงแอ้ม” ทันทีที่ได้ยินว่าปลายสายคือใคร ผมก็เดินไปปิดไฟ และกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนฟูกที่นอน ที่น้ำหนักไม่ใช่น้อยๆเลย พวกมันสองคนคงต้องช่วยกันเคลื่อนย้ายลงมาแน่ๆ ผมจึงแอบอมยิ้มให้กับความใส่ใจของเพื่อนทั้งสองคน พร้อมกับนึกไปถึงบทสนทนาที่พี่เนย์ฝากฝังเอาไว้กับไอ้หมอกด้วย ซึ่งผมตั้งใจว่าผมจะเก็บเงินของพี่เขาไว้ แล้วถ้ามีโอกาสก็อยากจะคืนให้ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าพี่เขาจะรู้ว่าไอ้หมอกมันคิดการใหญ่ ทีนี้เพื่อนของผมคงได้โดนด่าอีกกระทงแน่
ที่ทำให้การลงโทษของอีกฝ่ายไม่มีประสิทธิภาพมากเท่าที่ควร

“มันโดนจี้ชิงทรัพย์น่ะสิ แถมยังถูกแทงมาด้วย อืม มันไปหาหมอมาแล้ว เห็นบอกพ่อกับแม่ว่าต้องไปล้างแผลทุกวัน แล้วก็ฉีดยากันบาดทะยักสามเข็ม เราคงต้องพาไปช่วงหลังเลิกเรียนน่ะ พี่เนย์น่ะเหรอ ด่ายับจนไม่กล้าบ่นมันต่อเลยเนี่ย เพราะเราก็ผิดจริงที่ปล่อยให้มันไปคนเดียว ทั้งๆที่ก็รู้ว่าโอกาสที่มันจะถูกจี้แม่งมีสูงขนาดไหน”
“…”

“จะเหลือเหรอ ไอ้หมอกแม่งก็โดน ขวัญใจเธอโคตรโหด เสียงเหมือนนักฆ่ายิ่งกว่าเวลาเราโมโหสักร้อยเท่าได้ ฮ่าๆ” ผมแอบหลุดขำกับคำเปรียบเปรยของไอ้คินที่มีให้กับพี่เนย์ ซึ่งผมยังไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแบบนั้น และก็ไม่ได้ประสงค์อยากจะได้ยินด้วย เพราะแค่พี่เนย์ทำน้ำเสียงเย็นชาใส่ ใจของผมมันก็เจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูกแล้ว
“เออแอ้ม พรุ่งนี้โทรปลุกเราหน่อยดิ ว่าจะไปซื้อข้าวต้มมาให้ไอ้รันมันทานตอนเช้าสักหน่อย ไอ้นี่มันติดกินข้าวเช้าทุกวันไง ครับ ฝันดีนะ” ไอ้คินวางสายไปแล้ว เพราะตอนนี้ห้องทั้งห้องกำลังมืดสนิท เพราะไอ้หมอกมันน่าจะหลับไปนานแล้ว มันถึงได้ไม่เอ่ยปากแซวหรือกวนตีนใส่ไอ้คินเวลาคุยโทรศัพท์กับแฟน ผมจึงได้แต่นอนลืมตามองด้านบนที่เป็นเตียงชั้นสอง ส่วนด้านข้างก็ติดกับตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเขียนหนังสือ โดยสองเพื่อนซี้ได้ทำการลากเก้าอี้ของผมไปวางสุมไว้กับเก้าอี้ตรงบริเวณโต๊ะเขียนหนังสือของไอ้หมอก เพื่อให้มีพื้นที่ในการวางที่นอนตรงพื้นที่ส่วนตัวของผม
จากนั้นผมก็นอนคิดอะไรเพลินๆ แล้วก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปในที่สุด

ช่วงนี้หลายๆคณะต่างก็ยุ่งกับการจัดงานโอเพ่นเฮ้าส์ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดการแล้ว อีกทั้งช่วงสอบมิดเทอมก็เริ่มใกล้เข้ามาทุกที โดยการสอบภาษามือของเราก็ยังคงมีการสอบนอกตารางเหมือนอย่างเคย และเป็นการสอบตามคำบอก โดยกั้นเป็นห้องๆ ทำให้ไม่มีโอกาสได้ชำเลืองมองกันเลยแม้แต่นิด
ส่วนผมนับว่าเทอมนี้เริ่มมีสติมากขึ้นหน่อย ก็เลยไม่ได้กังวลเรื่องภาษามือมากมายแล้ว เพราะช่วงนี้ส่วนใหญ่เราจะอาศัยการฝึกฝนผ่านการพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้เริ่มคุ้นชินไปในตัว  ซึ่งเดี๋ยวนี้พวกผมแทบจะไม่คุยกันผ่านทางคำพูด มีแต่คุยกันผ่านภาษามือแทน จนพวกแอ้มต้องออกปากบ่นอยู่หลายครั้ง ว่าพวกเธอไม่เข้าใจที่พวกผมสื่อสารกันเลย ดังนั้นกฎใหม่จึงเกิดขึ้นว่า ถ้าหากพวกเรามาทานข้าวพร้อมกับสาวๆคณะบัญชี พวกเราจะต้องหยุดฝึกภาษามือกันสักครู่ หรือไม่ก็ให้ใช้ภาษามือไปด้วย แล้วก็พูดออกเสียงไปด้วย เล่นเอาพวกเราสามเพื่อนซี้ถึงกับหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะเข้าใจกันดีว่าการสื่อสารด้วยวิธีการทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน มันสามารถสร้างความงงงวยและความเครียดให้กับผู้ใช้เป็นอย่างมาก
ดังนั้นพวกเราจึงรีบตอบรับข้อตกลงอันแรก ว่าจะพูดคุยกันด้วยคำพูดอย่างพร้อมเพียง

“รัน” ผมหันไปตามเสียงเรียกของใครบางคน พอเห็นว่าเป็นไอ้มอส ผมจึงตัดสินใจยกยิ้มให้มันเป็นครั้งแรก
“วันนี้กูนั่งด้วยคนดิ” ไอ้เด็กนิเทศมันเอ่ยปากถามอย่างกล้าๆกลัวๆ พลางเดินขึ้นบันไดไปยังห้องบรรยายของวิชาที่พวกเราบังเอิญลงเรียนไว้เหมือนกัน

“อืม”
“แล้วแผลเป็นไงมั่ง กูว่าจะถามข่าวมึง ก็ไม่รู้จะถามจากใคร” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะถึงจะเรียนมหาลัยเดียวกัน แต่ว่าคนละคณะก็ยิ่งเจอกันได้ยาก

“ก็ดีขึ้นแล้ว..นี่มันผ่านมาจะ..อาทิตย์นึงแล้ว..นะเว้ย” ผมตอบพลางหันไปมองหน้าคู่สนทนา จึงเห็นว่ามันกำลังพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ
“เออจริง ช่วงนี้โคตรยุ่งเลย จนกูแม่งลืมวันลืมคืนไปหมดแล้ว” ไอ้เด็กนิเทศเอ่ยปากชวนคุยขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงพยักหน้า เพราะเข้าใจว่าตอนนี้มันเองก็คงยุ่งกับการช่วยน้องปีหนึ่งเตรียมงานโอเพ่นเฮ้าส์ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อีกทั้งยังใกล้จะสอบแล้วด้วย จึงทำให้เทอมนี้รับบทหนักมากกว่าเทอมแรก ส่วนผมดีหน่อยที่ทั้งเพื่อนๆและพี่ๆ บังคับไม่ให้ผมเข้ามายุ่งกับงานสาขา เพราะผมกำลังเจ็บตัวอยู่ อีกทั้งยังลุกลามไปถึงวันงานด้วย เนื่องจากทุกคนเกรงว่าถ้าหากคนเยอะๆ แล้วมาเบียดโดนแผลผมเข้า ก็อาจจะซวยจนถึงขั้นแผลปริได้ ผมจึงอาศัยช่วงนี้ไปหลบอ่านหนังสือเตรียมสอบที่คาเฟ่ในมหาลัยเจ้าเดิมเพียงลำพัง ในเมื่อไอ้หมอกกับไอ้คินมันไม่ว่าง เพราะต้องไปช่วยน้องๆปีหนึ่งเตรียมงานนั่นแหละ

พอนึกถึงน้องปีหนึ่ง ผมก็อดนึกไปถึงน้องโบว์กับปาล์มไม่ได้ ทั้งสองคนพอทราบข่าวก็ออกอาการห่วงผมกันยกใหญ่ โดยเฉพาะหญิงสาวตัวแสบ ถึงกับร้องไห้จนตาบวมไปหมด เดือดร้อนถึงผมต้องเข้าไปปลอบ จากนั้นทั้งสองคนก็หาซื้อนมมาบำรุงผมใหญ่ เรียกได้ว่าใจปล้ำแข่งกับพี่เนย์ จนผมมีของกินมากมายเกินไปด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้นเงินของผมก็แทบเกลี้ยง เพราะต้องเอาไปจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาล

“เออนี่ ไว้ถ้ามึงต้องขายของในคาบคหกรรมอีก มึงเรียกใช้กูได้เลยนะ สนุกดี”
“ไม่เป็นไร..แล้วมึงไม่มี..เรียนหรือไง?” ผมย้อนถาม

“อ้อ วันนั้นกูหยุด” ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“อืม งั้นเอาเป็นว่า..ถ้ามึงบังเอิญ..มาเจอกู..มึงก็ค่อยเข้ามาช่วยกู..แล้วกัน” ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะผมยังเปิดใจให้มันได้ไม่เต็มที่

“หลังมิดเทอมโรงเรียนเราจะจัดงานเลี้ยงศิษย์เก่า ไปกันไหม?” พอเข้ามาหาที่นั่งให้ตัวเองได้ ระหว่างรออาจารย์ ผมก็นั่งไถหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ กระทั่งไอ้มอสมันเอ่ยชวน ผมถึงได้เงยหน้าขึ้นไปสนใจมัน
“มึงคิดว่าโรงเรียน..เป็นความทรงจำ..ดีๆของกู..เหรอวะ?” ผมย้อนถาม พลางหัวเราะเย้ยหยันตัวเองไปสักหนึ่งที

“กูรู้ แต่ที่กูชวน เพราะกูแค่อยากทำให้โรงเรียนมันกลายเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับมึงในปีนี้เว้ย”
“ด้วยการไป..งานศิษย์เก่า..เนี่ยนะ” ผมย้อนถามอย่างไม่เข้าใจไอ้มอสนัก

“เออดิ มึงเชื่อใจกูหรือเปล่าล่ะ ถ้าเชื่อมึงก็แค่ตอบตกลง หรือถ้าไม่เชื่อมันก็สิทธิ์ของมึง กูไม่มีสิทธิ์ไปเรียกร้องอะไรอยู่แล้ว”
“ถ้าให้พูดตรงๆ..กูบอกได้เลยว่า..ตอนนี้กูยังไม่เชื่อใจมึง” ผมตอบอย่างหนักแน่น เพื่อให้มันเข้าใจในจุดยืนของตัวเองด้วย

“แต่กูอยากให้มึงไปนะ มึงอาจจะได้รับอะไรดีๆกลับมาก็ได้ ขนาดกูยังเปลี่ยนไปแล้วเลย” ไอ้มอสมันพูดได้แค่นั้น แล้วอาจารย์ก็เข้ามาสอน ผมจึงไม่มีโอกาสได้ครุ่นคิดหรือตัดสินใจอะไรอีก
ก็เลยได้แต่นิ่งเงียบคล้ายกับเราไม่เคยพูดคุยกันด้วยหัวข้อนั้นมาก่อน

ในที่สุดวันงานโอเพ่นเฮ้าส์ก็มาถึง วันนี้ผมจึงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงพยาบาล เพราะช่วงสายไอ้หมอกกับไอ้คินมันต้องลงไปช่วยน้องดูบูธ เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกของงานดังกล่าว อีกทั้งสาขาของเราก็ไม่ได้มีนักศึกษามากมายเท่าสาขาอื่น ดังนั้นอะไรที่ช่วยกันได้ ก็คงต้องช่วยกันไป ส่วนผมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและถูกสั่งห้ามไม่ให้มาเดินเพ่นพ่าน หลังจากหาหมอและทานข้าวเรียบร้อย ก็ต้องนอนซมอยู่บนห้องเพียงลำพัง
จนสุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว เพราะผมเบื่อ ในเมื่อนั่งนานๆ มันก็เจ็บ จะนอนแผ่อยู่ตลอดเวลา มันก็เซ็ง ผมเลยตัดสินใจไปเดินเล่นรอบๆมอแทน โดยผมเลือกจะไม่เดินเข้าไปใกล้ๆ กับส่วนจัดงาน เพราะวันนี้มีผู้มาเข้าร่วมงานเยอะมากๆ เนื่องจากไม่ได้มีแค่นักศึกษา แต่ยังมีนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ อีกทั้งยังมีคุณครู ผู้ปกครอง รวมไปถึงบุคคลภายนอกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านวิชาการ เช่น แฟนคลับของดารานักแสดงที่กำลังศึกษาอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อครู่ผมเห็นพวกเขาพกกล้องถ่ายรูปมาด้วย
ก็อย่างว่า ปีนี้งานมันมีวันเสาร์กับอาทิตย์นี่เนอะ มันเลยดูวุ่นวายเป็นพิเศษ

เวลาสามโมงเย็น อีกประมาณหนึ่งชั่วโมง งานโอเพ่นเฮ้าส์ในวันนี้ก็จะจบลงแล้ว ดีหน่อยที่แดดร่มลมตก ทำให้การก้าวเดินไปตามแนวเส้นสีขาวของริมขอบถนนเป็นไปอย่างง่ายดาย โดยวันนี้ผมไม่ได้คิดจินตนาการใดๆ เพียงแต่เดินไปเรื่อยๆ ด้วยความคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่ทำให้ผมได้เจอกับพี่เนย์เท่านั้น
เพราะการที่เราไม่ได้เจอ และไม่ได้ยินเสียงของกันและกัน
มันก็มีทางแก้แค่เพียง ผมต้องคิดถึงเรื่องเก่าๆ เพื่อปลอบใจตัวเองเท่านั้น

“พี่เนย์” ผมหยุดการก้าวเดิน พลางร้องเรียกใครอีกคนที่ผมบังเอิญเจอโดยไม่ทันคาดคิด จากนั้นริมฝีปากที่ไม่ค่อยได้คลี่ยิ้มด้วยความดีใจ ก็ค่อยๆปรากฏขึ้น อีกทั้งดวงตาทั้งสองข้างของผมก็ยังกลายเป็นเส้นตรงแบบทุกครั้งที่ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ดีขึ้นหรือยัง?” พี่เนย์เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา พลางถามไถ่อาการของผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่จากการที่พี่เขาโทรไปหาไอ้หมอกหรือไม่ก็ไอ้คินทุกวัน โดยที่พวกมันก็ได้กระทำการใหญ่ แอบเปิดลำโพงให้ผมฟังความห่วงใยของพี่เนย์ทุกครั้ง ผมจึงรู้ว่า ในเวลาแบบนี้พี่เนย์ต้องทำใจแข็งมากแค่ไหน ที่จะไม่ยิ้ม และไม่ใช้น้ำเสียงแบบที่ผมเคยได้ฟังมันบ่อยๆ

“ดีขึ้นแล้วครับ..แต่เวลานั่งเรียนนานๆ..ก็จะลำบากหน่อย”
“อืม” พี่เนย์ส่งเสียงตอบในลำคอ พลางพยักหน้ารับ จากนั้นเราก็ต่างคนต่างนิ่งไป โดยที่ยังคงยืนประชันหน้ากันอยู่

“เราไปนั่งเล่นที่..สนามเด็กเล่น..กันดีไหมครับ?” ผมลองเอ่ยปากถามอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงกลั้นใจถาม เพราะผมอยากต่อเวลาในการอยู่ใกล้ๆ กับพี่เนย์อีกสักนิด
“อืม” ทันทีที่พี่เขาตอบ ผมก็เป็นฝ่ายเดินออกจากแนวเส้นสีขาวตรงริมขอบถนน เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามเด็กเล่นที่ต้องใช้เวลาเดินอีกสักพักใหญ่

“ไปรถกูดิ” พี่เนย์คว้าแขนของผมไว้ พลางออกปากชวน ผมจึงพยักหน้ารับพร้อมยกยิ้มจนตาปิด ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังคงทำหน้านิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น ฝ่ามือใหญ่ก็ยังคงกำรอบข้อมือของผมไว้ตลอดทาง
จนกระทั่งเรามาถึงรถญี่ปุ่นคันสีดำอันคุ้นเคย
ฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นก็ค่อยๆจางหายไป

ผมนั่งยืดตัวนิดๆ พลางไสเท้าไกวชิงช้าเบาๆ ขณะที่อีกฝ่ายทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆ จนความเงียบปกคลุมอยู่รอบกายเราทั้งสองคน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดทำลายมันลง

“มึงน้อยใจหรือเปล่า ที่กูลงโทษไปแบบนั้น?” ผมหันไปมองผู้ถามแน่นิ่ง จากนั้นก็อมยิ้มเพียงเล็กน้อย
“ไม่หรอกครับ..ผมเข้าใจ..พี่เนย์นะ..แล้วผมก็..ผิดเต็มๆด้วย”

“กูไม่อยากให้มันมีครั้งที่สอง สาม หรือสี่ตามมา เพราะถ้าหากกูปล่อยผ่าน แล้วพอเวลาผ่านไปนานๆเข้า มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าตัวเองต้องเผลอทำเหมือนเดิมแน่”
“ที่จริง..ผมโดนแทงครั้งนี้..ผมก็เข็ดเหมือนกัน..นะครับ..ตอนนั้นถึงกับตกใจ..จนหมดสติเลยด้วยซ้ำ..แต่ที่น่ากลัวกว่า..คือการที่ผมทำให้คนอื่น..เป็นห่วง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เพราะผมรู้ตัวดีว่าความผิดครั้งนี้มันทำให้ผมสะเทือนใจแค่ไหน แล้วยิ่งมาเจอพี่เนย์ทำโทษ ผมก็ยิ่งไม่กล้าประมาทในการใช้ชีวิตอีกแล้ว

“อืม กูยกโทษให้มึง” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและแผ่วเบา จากนั้นคนตัวสูงก็ลุกขึ้นยืน พลางก้าวเดินไปข้างหน้า ส่วนผมก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยอาการนิ่งงัน เพราะทันทีที่ประมวลผลลัพธ์ที่ได้ ความยินดีมันก็จุกอกเสียจนผมพูดอะไรไม่ออก
เพราะนี่มันก็อาทิตย์กว่าๆแล้ว ที่เราไม่ได้ติดต่อหากันเลย

“รัน” ผมหลุดออกจากภวังค์แห่งความคิด ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของพี่เนย์ พร้อมกับอ้อมแขนที่อ้าออก คล้ายกับจะให้ผมพาตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดนั้น ผมจึงค่อยๆลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินเยื้องย่างเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ เนื่องจากผมไม่มั่นใจว่าผมคิดถูกหรือเปล่า ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะใจเย็นเสียเหลือเกิน เพราะกว่าผมจะเอาตัวเองเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นแบบนั้นได้ ก็ใช้เวลานานพอสมควร
“ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ กูก็แพ้ทางมึงตลอดเลย” พี่เนย์ฝังใบหน้าของตัวเองลงกับลาดไหล่ของผมที่ตัวเตี้ยกว่า ขณะที่วงแขนของอีกฝ่ายก็โอบกอดผมไว้อย่างแผ่วเบาราวกับปุยนุ่น ส่วนริมฝีปากของผู้ที่ผมไม่ได้เจอหน้า และไม่ได้ยินเสียงมาเป็นเวลานาน ก็ค่อยๆเลื่อนเข้ามาแตะตรงข้างแก้มของผมอย่างแรง
เหมือนกับตอนที่เจ้าตัวเขาถูกคุณแม่หอม จนแก้มยุบลงไปข้างนึงนั่นแหละ


-----------------------------------------------------------------
พี่เนย์ผู้แพ้ทางน้องรันยังไงก็ยังคงแพ้ทางอย่างนั้นนะคะ 555
และการมีเพื่อนดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง 5555
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 17 ♥ หน้า 8 (up 11/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-12-2017 19:38:07
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 17 ♥ หน้า 8 (up 11/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 11-12-2017 19:50:41
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 17 ♥ หน้า 8 (up 11/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-12-2017 20:59:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 17 ♥ หน้า 8 (up 11/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 11-12-2017 21:15:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 17 ♥ หน้า 8 (up 11/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-12-2017 21:28:43
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 17 ♥ หน้า 8 (up 11/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 11-12-2017 22:50:26
แพ้ทางตลอด แถมรันยังมีตัวช่วยเพียบ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 18 ♥ หน้า 9 (up 12/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 12-12-2017 22:26:10
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 18

ช่วงสอบมิดเทอม พี่เนย์ไม่ได้มาหาผมในวันหยุด เพราะพี่เขาตั้งใจจะปล่อยให้ผมได้อ่านหนังสือให้เต็มที่ ส่วนช่วงเวลาก่อนนอน เราสองคนยังคงคุยโทรศัพท์กันเหมือนแต่ก่อน เพียงแต่ไม่นานมากนัก ส่วนคดีชิงทรัพย์ก็ดูท่าจะไม่คืบหน้า เนื่องจากสถานที่ตรงจุดเกิดเหตุเป็นมุมอับสายตา อีกทั้งยังไม่มีพยานรู้เห็น ซ้ำร้ายไอ้โจรนั่นดันฉลาด เพราะมันดันถอดซิม พร้อมปิดทั้งอินเตอร์เน็ตและ GPS ทำให้เราทราบแค่ที่อยู่ครั้งล่าสุด ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก และยังเป็นจุดๆเดิมที่คนร้ายทิ้งหลักฐานเอาไว้ให้ดูต่างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ตำรวจก็แนะนำให้เอาใบแจ้งความไปยื่นกับทางค่ายมือถือที่ผมใช้บริการ เพื่อให้ทางนั้นติดตามเครื่องจากเลขอีมี่อีกที เพราะทางบริษัทจะสามารถติดตามได้ว่า อีมี่นี้มีการใช้งานโทรเข้าโทรออกหรือรับเข้าจากเบอร์ไหนบ้าง แต่ก็ต้องแห้วไป เพราะผมซื้อโทรศัพท์มานานแล้ว ทำให้ไม่รู้ว่าเอากล่องไปเก็บไว้ที่ไหน ส่วนอีกที่นึงที่สามารถเช็คได้ก็คือด้านหลังเครื่อง ซึ่งตอนนี้ก็ถูกซิวไปแล้ว ผมเลยถือซะว่าฟาดเคราะห์ให้กับตัวเองที่ประมาทมากไปหน่อย ทั้งๆที่ข่าวคราวเกี่ยวกับการถูกจี้ชิงทรัพย์แถวสะพานลอยหน้ามหาลัย ผมก็ออกจะได้ยินอยู่บ่อยๆ แถมช่วงที่พี่เนย์ยังเรียนอยู่ที่นี่ อีกฝ่ายก็เคยพูดเตือนให้ผมเลี่ยงที่จะไปยืนคอยแถวๆสะพานลอยในช่วงดึก จนพักหลังเรามักจะกลับหอพร้อมกัน เพราะการต่างคนต่างกลับ โดยที่ผมต้องเดินข้ามสะพานลอย มันอันตรายเกินไป ขนาดตอนเตรียมโปรเจคของสาขา ผมต้องสอนน้องรหัสจนดึกดื่น พี่เนย์ยังอาสาจะไปรับเองถึงที่ เพราะพี่เขาไม่อยากให้ผมเดินเข้าซอยหอมืดๆคนเดียว ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เพื่อความปลอดภัยของผมทั้งนั้น เพียงแต่ผมได้รับมันจนบ่อยเกินไป เลยทำให้มันกลายเป็นความเคยชิน จนเผลอลืมไปว่า สาเหตุของการกระทำทั้งหมดมันเป็นเพราะอะไร พอเกิดเรื่องดังกล่าว ผมถึงนึกขึ้นได้ว่า สิ่งที่พี่เขาเคยพูดเคยเตือน ทั้งผมและเพื่อนต่างก็ลืมมันจนสนิทใจ
พวกเราถึงได้โดนบ่นกันยกแก๊งค์

ส่วนการเงินช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีปัญหาแล้ว เพราะว่าแผลของผมแห้งสนิท จึงไม่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นอีก เหลือก็แต่ผมต้องไปฉีดยากันบาดทะยักเข็มที่สองตามที่หมอสั่ง โดยนับจากเข็มแรกไปอีกหนึ่งเดือน ส่วนโทรศัพท์มือถือตอนนี้ผมก็มีเครื่องใหม่แล้ว แม่เพิ่งจะโอนเงินมาให้เมื่อไม่นานนี้ ไอ้หมอกกับไอ้คินและสามสาวจากคณะบัญชีเลยอาสาพาผมเข้าเมืองไปซื้อเป็นการด่วน
กระทั่งการสอบได้ผ่านพ้นไป พี่เนย์ก็เริ่มไปมาหาสู่ผมเหมือนปกติ เพราะกรุงเทพกับจังหวัดที่ผมเรียน มันก็ใช้เวลาเดินทางแค่ไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งพี่เขาก็ยังมีเวลาพักผ่อนเมื่อกลับไปถึงคอนโด ผมจึงไม่ได้ห้ามปรามอะไร
แถมช่วงที่อีกฝ่ายมาหาถึงที่นี่ พี่เขาก็ยังมีที่หลับที่นอนอย่างดีด้วย

“ผมควรไปงาน..เลี้ยงศิษย์เก่า..ดีไหมครับ?” ผมถามพี่เนย์ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะครั้งแรกผมเพียงแค่เล่าให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ ว่าช่วงเวลาที่เราห่างกัน เส้นชัยของผม มันเริ่มขยับเข้ามาใกล้อีกนิดแล้ว
“แล้วมึงเชื่อใจเพื่อนคนนั้น เหมือนอย่างที่เขาต้องการให้มึงเชื่อหรือเปล่าล่ะ ?” พี่เนย์เงยหน้าขึ้นมาถาม ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มลงไปกินเกี๊ยวที่ครั้งนี้คุณป้าท่านยอมแถมให้กับลูกค้าเจ้าประจำที่เพิ่งจะโผล่หน้ามาวันนี้เป็นวันแรก

“ผมยังไม่ถึงขนาด..เชื่อใจจนร้อย..เปอร์เซ็นต์..หรอกครับ” ผมตอบไปตามตรง
“ตามความคิดของกู การไปงานเลี้ยงศิษย์เก่ามันก็ดีอยู่หรอก เท่ากับว่าตอนนี้มึงมีโจทย์ให้ต้องคิด ว่าถ้าหากไปแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งการบ้านของมึงก็คือ มึงต้องเตรียมตัวตั้งรับกับปัญหานั้นให้ได้ เพราะถ้าหากมึงผ่านมันไปได้ ก็เท่ากับว่ามึงสอบผ่านบททดสอบที่มันยากขึ้นมาอีกขั้น กูว่ามันก็เป็นอะไรที่ท้าทายดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมึงนะ ที่กูพูดมันก็แค่ความคิดเห็นจากมุมมองของกูเท่านั้น” ผมรับฟังพี่เนย์ พร้อมกับใช้ความคิด ตามที่อีกฝ่ายพูดเป็นสเต็ป
ซึ่งก็พบว่าผลดีของ ‘โจทย์’ ข้อที่ว่า มันก็ดูเป็นรางวัลชั้นดีไม่หยอก

“แล้วอีกอย่าง คนที่มึงควรจะเชื่อใจ ก็คือตัวเอง ไม่ใช่เพื่อน”  ว่าที่นักจิตบำบัดกล่าว พลางหันไปสั่งบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงเพิ่มอีกหนึ่งจาน ส่วนผมก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดเหมือนเดิม
“ได้คุยกับพี่เนย์..ทีไร..ผมสบายใจขึ้น..ทุกทีเลยครับ” ผมจิ้มตะเกียบลงในชามก๋วยเตี๋ยว พลางยกยิ้มประกอบคำพูด ทำเอาคนได้รับคำชมถึงกับยกยิ้มตาม

“คนเรานะเว้ย คิดลบไปก็เท่านั้น ดีแต่ทำร้ายจิตใจตัวเองเปล่าๆ เพราะถึงยังไงชีวิตคนเรามันก็ต้องมีอุปสรรคอยู่แล้ว กูถึงพยายามมองทุกๆเรื่องให้มันเป็นบวกเข้าไว้ แม้ว่าตอนนั้นเรื่องราวที่กูเจอ มันจะเหี้ยแค่ไหนก็เถอะ” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้า แต่กลับมั่นคงในความรู้สึกจนผมสัมผัสได้
“ก็จริงครับ” ผมตอบพลางกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็ยิ้มจนตาปิด ไม่นานบะหมี่ที่พี่เนย์สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ผมจึงถือโอกาสเบิ้ลชามที่สองกับเขาบ้าง

“เออ มึงจะแวะซื้ออะไรที่เซเว่นป่ะ กูว่าจะแวะเข้าไปเอากระเป๋าที่หอไอ้ทีม แล้วก็ค่อยไปส่งมึงที่มอก่อนเข้ากรุงเทพ จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา” ผมส่ายหัวตอบ เพราะข้าวของเครื่องใช้ผมเพิ่งจะซื้อไปอาทิตย์ก่อนเอง
“จริงๆผมไม่อยาก..ให้พี่เดินทางตอน..มืดๆเลย..เพราะกว่าจะถึง..มันก็ดึก..แถมอันตรายด้วย” ผมพูดขึ้น ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังนั่งรอผมจัดการบะหมี่ถ้วยที่สองของตัวเองให้เสร็จ เพราะเดี๋ยวนี้พี่เนย์ชอบกลับกรุงเทพประมาณสองสามทุ่มทุกที เนื่องจากเจ้าตัวมักจะชวนผมไปหาอะไรกินเป็นครั้งสุดท้ายของมื้อที่เราอยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะต้องกลับไปนั่งทานคนเดียวแบบเหงาๆ อีกเกือบหนึ่งสัปดาห์

“มึงอย่าห่วงเลย เมื่อวานกูก็ไปส่งมึงก่อนหอปิด พอกลับหอไอ้ทีม กูก็หลับเป็นตาย ส่วนวันนี้กว่ากูจะตื่นก็สองโมงแล้ว กูนอนเยอะขนาดนี้ มึงยังคิดว่ากูจะง่วงจนหลับในอีกเหรอวะ”
“ผมแค่เป็นห่วงพี่เนย์” ผมตอบพลางยิ้มบางๆ

“กูรู้ แต่ให้ทำไงได้ เรามีโอกาสเจอกันแค่สองวันต่ออาทิตย์เองนะ มึงจะรีบไล่กูกลับทำไมเร็วนัก”
“ถ้างั้นพี่เนย์..ต้องสัญญานะครับ..ว่าจะไม่ขับรถเร็ว” ผมกล่าวย้ำกับอีกฝ่าย แม้ว่าพี่เขาจะไม่ได้ขับรถเร็วอย่างที่เป็นห่วงนัก แต่ผมก็อยากแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่าพี่เขายังมีคนที่หวังดีรออยู่ตรงนี้นะ

“สาบานเลยว่ากูจะขับรถ ด้วยความเร็วในระดับที่คนทั่วไปเขาขับกัน กูจะไม่ตีนผี โอเคมั้ย?” พี่เนย์พูดพลางยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ราวกับจะปฏิญาณตน
“ครับ”

ผมตัดสินใจไปงานเลี้ยงศิษย์เก่าตามที่ไอ้มอสมันชักชวน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะพี่เนย์ หรือไอ้มอส แต่มันเป็นเพราะผมเลือกที่จะก้าวเดินเข้าไปหาความหวาดกลัวของตัวเอง โดยผมได้เก็บเอาคำพูดของพี่เนย์มาใช้ในการรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หรืออาจจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งผมก็คิดว่า หากครั้งนี้ผมถูกเรียกว่า ‘ไอ้ใบ้’ ผมคงจะไม่เจ็บปวดมากเท่าครั้งอื่น เพราะผมรู้มาจากไอ้มอสแล้วว่า พวกมันแค่จดจำชื่อของผมไม่ได้ ดังนั้นการรับมือของผมก็มีแค่ทางเดียวคือ บอกพวกเขาไปว่าผมชื่ออะไร พร้อมกับมองข้ามความหมายของคำว่าไอ้ใบ้
ที่มันแปลว่า บ้าใบ้ โง่ ทึบ ไร้สมอง
เพราะอันที่จริง คนทั่วไปเขาอาจจะไม่ได้คิด จนถึงขั้นลึกซึ้งขนาดนั้น

ก่อนไปงานเลี้ยงศิษย์เก่าในค่ำคืนวันศุกร์แบบนี้ ช่วงบ่ายผมต้องไปหาคุณหมอ เพื่อประเมินผลความคืบหน้าอีกครั้ง ซึ่งไอ้มอสมันก็อาสาจะกลับบ้านพร้อมผมเลย ทีแรกผมก็ไม่ยอม แต่พอมันบอกว่าวิชาที่ต้องเรียนเป็นวิชาเลือกที่สามารถโดดได้ และมันก็ขี้เกียจพอดี ผมเลยคร้านจะใส่ใจ เพราะถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของผมอยู่แล้ว ดังนั้นเกรดของมันจะดีหรือแย่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวมันเอง

“ไอ้รัน อย่าเพิ่งไปสิเว้ย แลกเบอร์กันก่อนดิ ไม่งั้นกูจะติดต่อกับมึงยังไงล่ะครับ” ผมที่กำลังจะเดินเข้าไปยังอาคารส่วนหน้าของทางโรงพยาบาล ก็ถึงกับชะงักเมื่อไอ้เพื่อนต่างสาขามันถือโอกาสวนรถมาส่งผมข้างบน ราวกับผู้ป่วยหนัก จนผมเกรงใจบุรุษพยาบาลที่ตั้งท่าจะเดินเข้ามารับ ผมก็เลยต้องรีบเดินเข้าไปข้างใน
“มึงรีบๆไปได้แล้วเว้ย..ตรงนี้เขาใช้สำหรับ..ส่งตัวผู้ป่วยฉุกเฉิน” ผมรีบจิ้มเบอร์ใหม่ของตัวเองลงในโทรศัพท์ของไอ้มอส ที่เอี้ยวตัวมายังเบาะนั่งข้างคนขับ เพื่อให้ผมหยิบโทรศัพท์ของมันไปกดหมายเลขตามที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
จากนั้นผมก็รีบมุ่งตรงไปยังจุดนัดหมายของแม่ที่มานั่งรอผมได้สักพักแล้ว

ผลการประเมินในคราวนี้ คุณหมอบอกว่าผมดูพูดได้คล่องขึ้นมาก ซึ่งถ้าหากใช้ความพยายามอีกนิด เป้าหมายของผมก็น่าจะสำเร็จในไม่ช้า เพราะในบางครั้ง ตอนทีเผลอ ผมก็มักจะพูดแบบมีอารมณ์ร่วมไปกับบทสนทนานั้นๆ ด้วย
นับได้ว่าตอนนี้ผมเริ่มก้าวขึ้นมาอีกขั้น ทั้งจากเรื่องของการพูดและอคติที่ตัวเองเคยมี

ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ผมตัดสินใจโทรหาพี่เนย์ด้วยความดีใจมากเป็นพิเศษ เพราะผมอยากจะอวดให้อีกฝ่ายรู้ว่า ความพยายามของผมตอนนี้มันใกล้จะสมบูรณ์มากขึ้นทุกทีแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะคำพูดของพี่เนย์ที่เคยบอกไว้ว่า ‘คนบางคนเขาอาจทำทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน แล้วทำได้ดีเท่าๆกัน แต่กับคนบางคนเขาต้องทำทีละอย่าง มันถึงจะออกมาดีทั้งคู่’

“พี่เขาทำงานอยู่หรือเปล่ารัน เอาไว้เลิกงานค่อยบอกก็ยังไม่สาย” คุณแม่พูดขึ้น เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่โทรหาอีกฝ่ายจนมือเป็นระวิง ผมจึงหันไปยิ้มให้ท่านที่กำลังนั่งมองผม ขณะที่รถกำลังจอดติดไฟแดง
“ครับ” ผมตอบพลางยิ้มจนตาปิด แม่ก็เลยเอื้อมมือมาลูบหัวผมด้วยความเอ็นดู กระทั่งสัญญาณไฟแดงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเขียว บทสนทนาของเราสองแม่ลูกจึงจบลงเพียงแค่นั้น โดยที่ผมก็หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์ข้อความส่งผ่านทางแอพพลิเคชั่นสำหรับการแชท เพราะถึงยังไง ผมก็ต้องบอกพี่เขาในตอนนี้ให้ได้
ส่วนอีกฝ่ายจะอ่านข้อความของผมตอนไหน ก็แล้วแต่ความสะดวกของเจ้าตัวเขาเลย

งานเลี้ยงศิษย์เก่าในค่ำคืนนี้ ถูกจัดในลักษณะของโต๊ะจีนจำนวนหลากหลายโต๊ะ อีกทั้งบนเวทีก็ยังมีการแสดงของนักเรียนในระดับชั้นต่างๆ ที่ให้ความเพลิดเพลินไม่ขาดสาย จนเสียงดนตรีมันดังออกมาจนถึงบริเวณหน้าโรงเรียนที่ผมกำลังยืนรอใครบางคนที่เป็นฝ่ายเร่งให้ผมมาให้เร็วๆ แต่ตัวเองกลับมาช้าเสียเอง นึกแล้วมันก็น่าด่าให้เข็ดอยู่เหมือนกัน เพราะผมไม่ค่อยชอบคนที่ไม่ตรงเวลาสักเท่าไหร่

“กูไม่ผิดสัญญานะเว้ย ที่ช้าเพราะมัวแต่หาที่จอดรถโน่น” ไอ้มอสมันรีบแก้ตัวสลับกับหอบหายใจอย่างน่าสงสาร
“เข้าไปในงานกันเถอะ” ผมตัดบท เพราะดูจากท่าทางของมันแล้ว อีกฝ่ายก็คงจะไม่ได้ตั้งใจจะผิดเวลานัดสักเท่าไหร่

“ถึงแล้วเว้ย กูกำลังจะเข้าไปในงานเนี่ย เออๆ” พอเราเดินเข้ามาใกล้ในส่วนจัดงานมากเท่าไหร่ เสียงดนตรีก็ยิ่งดังกลบทุกสิ่งทุกอย่างมากขึ้นเท่านั้น ยังดีที่ไอ้มอสมันตั้งระบบสั่นไว้ ผมจึงถือโอกาสนั้นเสียมารยาทแอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่ายด้วยจิตใจอันลุ้นระทึก
ว่าหนทางข้างหน้า ผมจะต้องเจอกับสถานการณ์ในรูปแบบไหน

“พร้อมหรือยังมึง?” ไอ้มอสมันหันมาส่งยิ้มให้ ทันทีที่เราเดินมาถึง ปากทางเข้าสู่งานเลี้ยงอันเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ที่บ้างก็พากันเดินให้ขวักไขว่ บ้างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตที่แต่ละคนได้พบเจอมา
“อืม” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางตอบไอ้มอสในลำคอเพียงเบาๆ จากนั้นสองขาของผมก็ค่อยๆก้าวเดินตามอีกฝ่ายที่มีรอยยิ้มแจกจ่ายคนอื่นเขาไปทั่ว เพราะเดิมทีมันก็เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายอยู่แล้ว จึงทำให้มีเพื่อนอยู่ห้องโน้น ห้องนี้เต็มไปหมด ขณะที่ผมกลับรู้สึกอึดอัด คล้ายกับไม่มีตัวตน หรือไม่ก็เหมือนคนที่มาผิดที่ หรือแต่งตัวผิดธีมงานอะไรเทือกนั้น แต่แล้วเพื่อนต่างสาขาผู้มีอัธยาศัยดีก็รีบแนะนำผมให้คนอื่นๆได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามอย่างกระตือรือร้น หากแต่คนเหล่านั้นกลับจดจำผมไม่ได้ ซึ่งผมก็พอจะรับรู้อยู่แล้ว จึงสามารถตั้งรับกับสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญได้เป็นอย่างดี

“ไอเชี่ยยยยย คิดถึงมึงว่ะ” กระทั่งเดินมาจนถึงโต๊ะที่ไอ้มอสเป็นคนจับจอง คนตัวสูงข้างๆผมมันก็รีบพุ่งเข้าไปหาเพื่อนสนิทของมันที่ตอนนี้สอบติดในมหาลัยที่กรุงเทพด้วยความยินดี เนื่องจากพวกมันไม่ค่อยได้เจอหน้าค่าตากันแล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้กลับมาที่เมืองแห่งการท่องเที่ยวบ่อยนัก
“ไอ้เชษฐ์ มึงจำไอ้รันได้มั้ย ที่กูเล่าให้มึงฟังวันนั้นไง” พอพวกมันสองคนกอดคอกันเสร็จ ไอ้มอสก็เริ่มแนะนำผมกับเพื่อนสนิทของตัวเอง ที่ครั้งหนึ่งพวกมันก็เคยร่วมมือกันรังแกผม

“…” ไอ้เชษฐ์นิ่งเงียบไปพักใหญ่ สีหน้าของมันคล้ายกับคนกำลังวางตัวไม่ถูก ผมจึงตัดสินใจยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย จากนั้นสีหน้าของมันก็ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรอีก แค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่ามันยังคงจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้
“ไปนั่งกัน” ไอ้มอสหันมาพูดพลางยกยิ้มให้ จากนั้นมันก็เดินนำไปยังเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ โดยที่มันเลือกให้ผมนั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่ติดหน้าเวที ราวกับมันรู้ว่าผมอาจจะต้องอึดอัด หรือไม่ก็อาจจะเบื่อได้ มันก็เลยเลือกที่นั่งตรงนี้เก็บไว้ให้

“ขอโทษ” ขณะที่ผมกำลังจะเดินแทรกตัวเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ตัวดังกล่าวที่ไอ้มอสมันจับจองไว้ ไอ้เชษฐ์ก็พูดขึ้นเพียงเบาๆ แต่เพราะความใกล้ชิด ทำให้ผมได้ยินถ้อยคำที่มันเอื้อนเอ่ยอย่างชัดเจน ผมจึงยืนนิ่งงันอยู่ตรงที่เดิม พลางเม้มปากแน่น ขณะขบคิดกับตัวเองว่าผมควรจะยกโทษให้มันง่ายๆดีไหม แต่ฉับพลัน ผมก็คิดไปถึงคำกล่าวของพี่เนย์ที่เคยบอกว่า ‘มึงก็เลือกมองพวกเขาเป็นแค่หนังสือเล่มนึง ที่มึงบังเอิญเปิดอ่านก็ได้นี่ ถ้าชอบก็เก็บเข้าลิสต์ ไม่ชอบก็ปล่อยทิ้งไป’
ดังนั้นตอนนี้ ผมควรจะมองทุกคนให้เป็นหนังสือสักเล่ม ที่ยังอ่านไม่จบ จึงสามารถรับรู้ได้แค่เพียง ด้านที่มันแย่ๆ ซึ่งในบรรดาหนังสือจากกองนั้น ก็มีเพียงแค่ หนังสือที่ชื่อว่า ‘มอส’ และ ‘เชษฐ์’ ที่ผมเริ่มจะมองเห็นด้านใหม่ๆ ส่งผลให้มุมมองที่ผมเคยมีต่อหนังสือสองเล่มนี้มันค่อยๆเปลี่ยนไป
โดยเริ่มจากคำว่า ‘ขอโทษ’ และแววตาแห่ง ‘ความจริงใจ’
ซึ่งทั้งไอ้มอสและไอ้เชษฐ์ กลับมีสองสิ่งนี้กันคนละอย่าง

“อืม” ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะที่ยังคงมีเพื่อนอีกหลายคนนั่งล้อมวงกันอยู่ ซึ่งไอ้มอสก็เป็นฝ่ายแนะนำผมให้คนอื่นๆ รู้จัก ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่ผมคิดมากนัก เมื่อไอ้มอสมันเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของผมแล้ว ทุกคนจะทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก แต่พอมีใครสักคนพูดขึ้นว่า ‘อ๋อ ไอ้ใบ้’ ทุกคนก็เริ่มนึกเรื่องราวของผมออก
ซึ่งมันก็ออกจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้า
จนผมทำได้แค่เพียง กำมือของตัวเองเอาไว้แน่น ขณะที่ใบหน้าก็กำลังยกยิ้ม

ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของงานเลี้ยงที่ผมไม่เคยคิดจะมา ทั้งโต๊ะจึงมีเพียงคนเดียวที่ผมกล้าพูดคุยด้วย ซึ่งก็คือไอ้มอส จนกระทั่งมันขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ผมจึงมีโอกาสได้ให้ความสนใจกับไอ้เชษฐ์ เลยทำให้ผมทราบว่า เพื่อนคนนี้มันเริ่มชอบแมว ตั้งแต่มันได้มีโอกาสเก็บแมวที่ได้รับบาดเจ็บไปรักษา จากนั้นมันก็เลี้ยงดูเจ้าแมวแก่ตัวนั้นด้วยความสงสาร เราสองคนก็เลยยิ่งคุยกันถูกคอ

“ถ้าแมวเริ่มแก่แล้ว..มึงต้องให้อาหารที่มันย่อยง่ายๆ..อย่างเช่นพวกอาหารเหลวที่..เป็นถุงน่ะ..หรือไม่ก็อาหารเม็ดของรอยัลคานินก็ได้..มันจะมีสูตรสำหรับแมวแก่อยู่” ผมรีบให้คำแนะนำกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงแมวทันที
“หาซื้อที่ไหนวะ ไอ้ยี่ห้อที่มึงบอกเนี่ย กูไม่เห็นจะรู้จักเลยวะ” ไอ้เชษฐ์ถึงกับทำหน้างุนงง เมื่อเจอชื่อยี่ห้ออาหารแมวเข้าไป

“ก็ซื้อที่คลินิกรักษาสัตว์..นั่นแหละ..บอกเค้าเอาสูตร vet.. เพราะร้านทั่วไปจะไม่มีสูตรนี้”
“โอเค เดี๋ยวกูจะลองไปหาซื้อตามที่มึงแนะนำดู” ไอ้เชษฐ์มันว่า พลางก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อมูลลงในโทรศัพท์ของตัวเอง

“จริงๆ..ปลาทูให้กินมากก็ไม่ดี..นะ..เพราะมันเค็มเกินไปสำหรับแมว..อาจทำให้มันเป็นโรคไต..ได้” พอมันพูดถึงปลาทู ผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมต้องเตือนมันเรื่องนี้ด้วย
“อ้าวจริงดิวะ” ไอ้เชษฐ์ทำหน้าตกใจ ส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้าสนับสนุน เพื่อให้มันเชื่อว่าสิ่งที่ผมแนะนำคือสิ่งที่ดีสำหรับแมวแน่ๆ

-อ่านต่อด้านล่าง-
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 18 ♥ หน้า 9 (up 12/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 12-12-2017 22:26:50
“คุยเชี่ยไรกันวะ เคร่งเครียดชิบหาย” ไอ้มอสกลับมาถึงโต๊ะ พลางถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นผมกับเพื่อนสนิทของมันสุมหัวคุยกันอยู่สองคน
“เรื่องแมว” พอไอ้เชษฐ์ตอบคำถาม ไอ้มอสมันก็เลิกสงสัย เลยหันกลับไปสนใจวงสนทนากลางโต๊ะ
จากนั้นคำถามที่เคยคุยกันในวงแคบๆ ก็เริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น จนมาถึงผม

“อ้อ..กูเรียนคณะ..ศิลปศาสตร์..สาขาวิชา..หูหนวกศึกษา” ผมตอบเพื่อนที่ชื่อเอก ที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงกันข้าม พลางยกน้ำอัดลมขึ้นดื่ม ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหารโต๊ะจีนที่เขาเอามาเสิร์ฟ
“ไม่เห็นจะเคยได้ยินสาขานี้เลยเนอะ” แก้มหญิงสาวหน้าตาสะสวยเอ่ยขึ้นมาบ้าง ซึ่งผมก็เข้าใจดี เพราะแม้แต่ญาติของผมเอง ก็ยังไม่รู้จักเลย ผมถึงทราบโดยอัตโนมัติว่า สาขาที่ผมเลือกเรียน มันน่าจะไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายนัก
เพราะถึงช่วงนี้จะมีคนรู้จักมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะมากกว่ากลุ่มคนที่ไม่เคยรู้

“ก็เรียนเกี่ยวกับ..ภาษามือน่ะ” ผมขยายความสั้นๆ แต่ทุกคนก็น่าจะมองภาพกันออก
“แล้วแบบนี้คนใบ้ที่เป็นคนไทย กับคนใบ้ที่เป็นต่างชาติเขาจะคุยกันรู้เรื่องไหม?” ไอ้เชษฐ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นมาบ้าง

“ที่จริงภาษามือในแต่ละ..ประเทศจะไม่เหมือนกัน..แต่ถ้าผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน..สองคนทราบภาษามือ..ที่เป็นภาษากลาง..ก็จะสามารถสื่อสารกันได้”
“…”

“แล้วจริงๆ เราก็ไม่ควรจะเรียก..กลุ่มคนที่มีความบกพร่อง..ทางการได้ยินว่า..ไอ้ใบ้ด้วย..เพราะมันเป็นความหมายในแง่..ลบ” ผมถือโอกาสพูดเรื่องนี้ที่ค้างคาใจมานานทันที
“อ้อ” ไอ้เชษฐ์ถึงกับชะงักขึ้นมาอีกหน แต่พอผมยกยิ้มให้ มันก็เริ่มกลับมาทำตัวเป็นปกติ ส่วนคนอื่นๆที่นั่งร่วมโต๊ะ เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องที่ผมพูดมากนัก ซึ่งผมก็พอจะคาดเดาได้อยู่หรอก แต่มันก็อดจะรู้สึกแย่ไม่ได้ ที่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญในสิ่งที่ผมพูดเลย

“ที่จริง..ผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน..เขาก็แบ่งออกเป็นสองประเภทด้วย” หลังจากเห็นว่าไอ้มอสและไอ้เชษฐ์มันยังคงตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมพูด ผมจึงถือโอกาสอธิบายให้คนที่คิดจะรับฟังได้เข้าใจต่อไป เพื่อที่อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ไปสร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจให้กับคนอื่นอีก
“ประเภทแรกก็คือกลุ่มคนหูหนวก..เป็นผู้ที่สูญเสียการได้ยิน..และไม่สามารถพูดคุยสื่อสารได้..หากไม่ได้รับการฝึกฝน..ส่วนประเภทที่สอง..ก็คือหูตึง..จะแบ่งเป็นหลายระดับหน่อย..แต่รวมๆแล้ว..คนกลุ่มนี้มีความได้ยินนะ..แต่จะมากหรือน้อย..ก็ขึ้นอยู่กับระดับค่าเฉลี่ย..ที่สมาคมโสต..สอ..นาสิก..แพทย์..แห่งประเทศไทย..เขาจำแนกออกมาน่ะ..แถมบางคนก็พูดได้..บางคนก็พูดไม่ได้..มันขึ้นอยู่กับความฝึกฝนน่ะ” หัวใจของผมเต้นระรัวขณะที่กำลังได้พูดอธิบายให้คนที่ผมคิดว่าตัวเองสามารถเปิดใจได้อย่างเต็มที่รับฟัง ส่งผลให้ผมมองเห็นเส้นชัยอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม เพราะอย่างน้อยวันนี้ผมก็สามารถเข้ากับไอ้เชษฐ์ได้ดี แค่เพียงเรามีเรื่องที่สามารถจูนกันติด ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ผมก็ไม่ได้มีความอึดอัดมากกว่าที่คิด เรียกได้ว่าเรื่องราวในวันนี้ มันผิดคาดจากที่ผมคิดเอาไว้มาก อาจเป็นเพราะผมทำใจกับโจทย์ที่จะได้รับมานานหลายวัน อีกทั้งยังคิดหาวิธีการแก้โจทย์หัวข้อนั้นๆมาแล้ว พอได้เจอสถานการณ์จริง ผมก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น
ซึ่งมันต่างกับทุกครั้ง ที่ผมไม่มีความมั่นใจ
ทั้งนี้ คนที่ทำให้ผมคิดได้ ก็เห็นจะหนีไม่พ้น ‘พี่อาคเนย์’

ครืด ครืด

“มึงกลับบ้านหรือยัง?” ผมเดินออกมารับสายตรงใต้ต้นพิกุล ที่อยู่ห่างไกลจากบริเวณงานมากขึ้นหน่อย เสียงลำโพงจะได้ไม่ดังรบกวนการพูดคุยของเรา
“ยังเลยครับ” ผมตอบพลางเอาเท้าเขี่ยดินเล่นไปพลางๆ

“อืม แล้วก็เรื่องผลการประเมิน กูดีใจด้วยนะรัน” พี่เขาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นผ่านมาตามสายโทรศัพท์ จนทำเอาผมรู้สึกอุ่นไปทั้งใจ
“ครับ”

“ใจจริงกูอยากจะแสดงความยินดีตั้งแต่ที่เห็นข้อความแล้วล่ะ แต่กูไม่สะดวกจะตอบ พอเลิกงานกูเลยกะจะรอโทรศัพท์มาพูดกับมึงด้วยตัวเองเลยดีกว่า”
“อื้อ” ผมตอบรับพลางอมยิ้มจนตาปิด กับความใส่ใจของพี่เนย์

“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่าย พลางยกมือขึ้นรองรับดอกพิกุลที่กำลังจะร่วงหล่นลงสู่พื้น จากนั้นปลายนิ้วของผมก็หมุนก้านเล็กๆของมันเล่นด้วยความเพลิดเพลิน
“หือ?”

“วันนี้ผมได้หนังสือ..ที่เก็บเข้าลิสต์..ของตัวเองมาสอง..เล่มแล้วนะครับ” ผมอมยิ้มพลางมองจ้องดอกพิกุลสีขาวขุ่นที่กำลังบานสะพรั่ง
“อืม ดีแล้ว”

“ผมได้พูดอธิบาย..เกี่ยวกับคำพูด..ที่ไม่ควรพูดต่อ..คนที่มีความบกพร่อง..แล้วก็ได้บอกให้พวกมัน..เข้าใจด้วยว่ากลุ่มคนประเภทนี้..มีความแตกต่างกันนะ..ผมดีใจที่พวกเขา..รับฟังผมแล้ว..พี่เนย์..ผมเปิดใจให้พวกเขาง่ายไป..หรือเปล่าครับ”
“มันไม่หรอกง่ายไปหรอก เพราะกว่าที่มึงจะมาถึงจุดนี้ได้ มันก็ต้องแลกมากับความหวาดกลัว ความเสียใจของตัวมึงเอง แล้วอีกอย่าง วันนี้มึงก็เตรียมรับมือมาอย่างดี มันก็แน่นอนว่า ถ้าหากเขามาทำดีด้วย มึงก็ต้องเปิดใจได้ง่ายอยู่แล้ว จะยากหรือง่าย มันก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า มึงได้โลกที่สดใสของตัวเองกลับคืนมาหรอก”

“มึงปล่อยวางได้มันก็ดี กูเองก็ดีใจด้วย เพราะความสุขของมึง ก็คือความสุขของกูเหมือนกัน
“ครับ..งั้นผมวางสายก่อนนะ..เดี๋ยวถ้างานเลิกแล้ว..ผมจะโทรหา” ผมอมยิ้มพลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายใบโปรดที่มักจะพกติดตัวไปด้วยเสมอ จากนั้นก็ยกดอกพิกุลขึ้นมาดมเป็นระยะ พร้อมกับก้าวเดินกลับไปยังส่วนของการจัดงานด้วยความรู้สึกที่มั่นใจมากกว่าเดิม

“ไอ้ใบ้แม่งฮาว่ะ พูดเหมือนคนไร้ความรู้สึก ตลกชิบหาย ฟังก็ยาก เป็นกูนะ กูไม่พูดเลยดีกว่า พูดไปก็อายคนอื่นเขาเปล่าๆ” ผมหยุดชะงักการก้าวเดินแทบจะทันที เมื่อได้ยินบทสนทนาของผู้ร่วมโต๊ะ ที่ดูจะตลกขบขันกับปมด้อยของผมไม่เปลี่ยน
“หยุดพูดได้แล้วน่า” ไอ้มอสเป็นฝ่ายเอ่ยห้าม ทั้งๆที่มันยังมองไม่เห็นผมเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อย การกระทำของมันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ไปกับการเปิดใจในครั้งนี้ของตัวเองมากนัก

“มึงอย่ามาทำเป็นห้ามกูหน่อยเลย ทีแต่ก่อน มึงน่ะเป็นหัวโจกที่คอยแกล้งไอ้ใบ้มันด้วยซ้ำ นึกถึงตอนนั้นแล้วแม่งโคตรตลกเลยว่ะ มึงจำได้ป่ะ ตอนนั้นที่มีคนขังไอ้ใบ้ไว้ในห้องน้ำตรงตึกวิทย์ ที่เขาว่ากันว่าผีดุน่ะ ฮ่าๆ ไอ้ใบ้แม่งร้องไห้จ้าเลย กูล่ะโคตรฮาแม่งจริงๆ ปกติเห็นไร้ความรู้สึกชิบหาย แต่ก็นะ ว่าก็ว่าเถอะ แม่งแอ๊บหรือเปล่าก็ไม่รู้ มึงดูดิ อย่างวันนี้ จู่ๆแม่งก็พูดได้เฉย ที่ผ่านมาแม่งเรียกร้องความสนใจแบบที่กูบอกชัวร์ๆ” ไอ้โอ๊ตพูดขึ้นอย่างสนุกสนาน จนผมได้แต่กำมือทั้งสองข้างจนแน่น ส่งผลให้ดอกพิกุลในมือแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี ขณะที่ริมฝีปากของผมก็เม้มแน่นขึ้น เพื่อสะกดกลั้นไม่ให้ความอ่อนแอปรากฏให้ใครเห็น
“มันไม่ได้แกล้งเว้ย มึงอย่าพูดถึงเรื่องเก่าๆได้ไหมวะ กูสงสารมัน เกิดมันมาได้ยินเข้าจะทำยังไงวะ” ยิ่งไอ้มอสมันพูดด้วยความห่วงใย น้ำตามันก็ยิ่งคลอหน่วยตามากขึ้น
เพราะอย่างน้อยผมก็เลือกที่จะเปิดใจให้ไม่ผิดคน

“จะทำไง ก็ทำได้แค่ร้องไห้น่ะสิวะ นู่นน่ะ” ผมกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เมื่อทุกคนที่อยู่ในโต๊ะนั้น ยกเว้นไอ้เชษฐ์และไอ้มอส กลับทำสีหน้าตลกขบขัน
“…”

“ถ้าคนที่เขาเป็นจริงๆ กูก็เห็นใจเขานะ แต่กับไอ้นี่ กูสมเพชว่ะ เรียกร้องความสนใจไม่เข้าท่า แอ๊บทั้งทีแต่กลับแอ๊บไม่เนียน ถามหน่อยเถอะ คนใบ้ที่ไหนเขาจะอุทานเสียงอะไรออกมาได้วะตลก” ไอ้สิน เพื่อนร่วมห้องอีกคนกอดอกพลางพูดกับไอ้เชษฐ์และไอ้มอสที่กำลังหน้าถอดสี ก่อนจะปลายสายตามาทางผมตรงคำว่า ‘ตลก’
“…”

“มึงหยุดพูดเลยไอ้เหี้ย!” สุดท้ายไอ้เชษฐ์มันก็ทนฟังคำต่อว่าแทนผมต่อไปไม่ไหว มันก็เลยซัดหน้าไอ้คนพูดจนบรรยากาศรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป ซึ่งผมเพิ่งจะมารู้ตัวก็ตอนที่เสียงซุบซิบเริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมจึงทำได้แค่เพียงรีบเดินออกจากที่แห่งนั้น
ที่ๆเต็มไปด้วยความทรงจำอันเลวร้ายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


------------------------------------------------------------
[edit : แก้ตรงส่วนข้อมูลของการฉีดยากันบาดทะยักนะคะ เข็มที่สองนับจากเข็มแรกไป 1 เดือน]
เอาใจช่วยน้องรันกันด้วยเน้อ อีกนิดเดียวเท่านั้น T[]T
จากสองตอนก่อนหน้านี้ เราเห็นมีคอมเมนต์เคืองพี่เนย์ที่ดุน้อง เราอยากให้มองในอีกมุมนึงดูนะคะ ก่อนหน้านี้เราเคยเขียนไว้แล้วว่าพี่เนย์มักจะชอบบอกให้น้องรอพี่เขาที่ไหนก็ได้ ที่ๆมันไม่ใกล้กับสะพานลอย ยิ่งตอนกลางคืนพี่เขาจะไม่ให้ใช้เลยค่ะ พี่เขาถึงไปรับไปส่งอยู่บ่อยๆ ส่วนตอนกลางวันพี่เนย์ไม่เคยบ่นน้องเลย เพราะว่ามันปลอดภัย อีกทั้งเพื่อนของน้องก็ยังรู้ข่าวเรื่องที่ว่ามีโจรปล้นบ่อยๆ ซึ่งจากความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราได้ยินข่าวแบบนี้ เราจะต้องไม่ประมาทถูกไหมคะ แต่นี่น้องไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี เพราะได้รับความห่วงใย และการดูแลจากพี่เนย์จนเคยชินไป ว่าสาเหตุที่พี่เขาคอยดูแลไปรับไปส่งตอนช่วงมืดๆเนี่ย ก็เพราะมีโจรมันดักรออยู่นะ ที่เราแต่งให้พี่เนย์ดุแทนที่จะโอ๋ เพราะน้องมีคนโอ๋เยอะมากแล้วค่ะ ถ้าหากพี่เนย์โอ๋ขึ้นมาอีก น้องรันก็จะดื้อเงียบและปล่อยให้ความเคยชินครอบงำต่อไป วันข้างน้องก็อาจจะทำแบบนี้อีกก็ได้ อารมณ์แบบรู้ทั้งรู้ แต่มันสะดวกแบบนี้ ก็เลยทำ แบบนั้นน่ะค่ะ ซึ่งมันอันตรายกับตัวเองทั้งนั้นถ้าหากปล่อยไว้ไม่มีการเตือน เหตุการณ์นี้เราตีความว่าประมาทนะคะ ไม่ใช่สุดวิสัย เพราะถ้าสุดวิสัยมันต้องไม่เคยมีข่าวคราวมาก่อน ซึ่งจริงๆแล้ว พี่เขาก็ไม่ได้อยากลงโทษหรอกค่ะ เพราะต่างคนต่างก็ทรมานเท่าๆกัน
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 18 ♥ หน้า 9 (up 12/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-12-2017 22:48:42
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 18 ♥ หน้า 9 (up 12/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-12-2017 23:01:56
บางครั้งบางอย่างบางคนก็เปลี่ยนยาก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 18 ♥ หน้า 9 (up 12/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 12-12-2017 23:23:37
ไอ้โอ๊ตนี่จิตใจทำด้วยอะไร :fire: :angry2:
อยากจะตบบ่องหู 
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 18 ♥ หน้า 9 (up 12/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-12-2017 23:39:24
 :z6:  :z6:  :z6: ใจมันร้อนมากๆ ถ้าอยู่ตรงนั้นด้วยจะเอาอะไรฟาดปากมันเลย
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 18 ♥ หน้า 9 (up 12/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 14-12-2017 02:27:47
ตามอ่านตั้งแรกจนจบรวดเดียว จะบอกว่ามันดีมากๆเลยค่ะ แต่ตอนล่าสุดนี่เพื่อนชื่อโอ๊ตแย่มากจริงๆ อยากให้พี่เนย์เอาตีนยัดยอดหน้ามันซักดอก พูดละโมโหหหห
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 19 ♥ หน้า 9 (up 14/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 14-12-2017 14:08:25
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 19

หากเปรียบผมเหมือนกับเจ้าของชั้นหนังสือ ก็คงจะมีหนังสือแค่เพียงไม่กี่เล่ม ที่วางเรียงรายอยู่บนนั้น โดยหนังสือเล่มโปรดที่มักจะถูกดูแลเป็นอย่างดี ด้วยการใส่ถุงซิปล็อค ไปจนถึงใส่ที่กันความชื้น ก็คงจะหนีไม่พ้นหนังสือที่มีชื่อว่า ‘อาคเนย์’
เพราะหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงหนังสือเล่มเดียวที่ผมมักจะนึกถึงเสมอ

“ถึงบ้านแล้วเหรอวะ?” ผมนิ่งฟังเสียงเรียบเรื่อยของอีกฝ่าย อยู่ภายในร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับโรงเรียนมากนัก อีกทั้งยังเป็นร้านที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย
“เฮ้ย! มึงละเมอโทรมาหากู หรือว่าเป็นอะไรน่ะ?” สิ้นคำถามคล้ายกับจับความผิดสังเกตได้ ความอดทนที่สะสมมาทั้งหมด ตั้งแต่ตอนเกิดเรื่อง ก็ค่อยๆพังทลายลงทีละนิด ส่งผลให้หยดน้ำตามันไหลอาบแก้ม โดยไร้เสียงสะอื้น หล่นแหมะลงในแก้วบลูเลม่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากแต่ผมก็ยังไม่คิดที่จะปริปากตอบ

“รัน มึงเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น?” น้ำเสียงของพี่เนย์เริ่มร้อนรนมากยิ่งขึ้น เมื่อผมทำเพียงแค่นิ่งเงียบและรับฟัง
“มึงพูดกับกูดิ ตี๊ด---” ผมตัดสินใจกดตัดสาย ก่อนจะเข้าไปยังแอพพลิเคชั่นสำหรับการแชท จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความส่งถึงอีกฝ่าย สลับกับการกดตัดสาย
จึงทำให้ข้อความง่ายๆ มันกลายเป็นข้อความที่พิมพ์ออกมาได้ยากเย็น

‘ผมอยากไปหาพี่เนย์’
‘แล้วมึงจะมายังไง?’

‘ผมจะนั่งรถเมล์ไปครับ ถ้าคืนนี้ผมถึงเอกมัยแล้ว พี่มารับผมได้ไหม?’
คืนนี้? เฮ้ยรัน! กูถามจริงๆนะ มันเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้เรายังคุยกันดีๆอยู่เลย’ น้ำตาของผมหยดลงบนหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง เมื่อพี่เขาถามถึงสาเหตุของการกระทำแปลกๆที่ผมกำลังเป็น

‘ผมอยากไปหาพี่เนย์’ ผมเลี่ยงที่จะตอบให้ตรงคำถาม โดยเลือกใช้ข้อความเดิมในการย้ำความต้องการของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้
‘อืม แต่กูขอคุยกับแม่ของมึงก่อนได้หรือเปล่า ถ้าหากท่านไม่มีปัญหาอะไร มึงจะมาหากูตอนนี้เลยก็ได้ แล้วถ้ามึงมาถึงเมื่อไหร่ เดี๋ยวกูจะไปรับมึงเอง แต่เวลาที่กูโทรหา มึงต้องรับสายกูนะ แล้วก็ห้ามกดตัดสายเด็ดขาด เข้าใจมั้ย?’
‘ครับ’

ผมตัดสินใจนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปยังสถานีขนส่งใกล้ๆกับศาลาว่าการประจำเมือง จากนั้นผมก็จัดการซื้อตั๋วด้วยความเก้ๆกังๆ เพราะต้องเขียนจุดหมายปลายทางลงในกระดาษโน้ตให้เจ้าหน้าที่ทราบมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งก็ต้องประคองโทรศัพท์ที่มีใครบางคนรออยู่ที่ปลายทาง
ไม่ต่างกับตอนที่กำลังเจรจากับวินมอเตอร์ไซค์แม้แต่นิด

กระทั่งนั่งรอเวลาในการเดินทาง พี่เนย์ก็ยังคงสรรหาเรื่องราวต่างๆ เพื่อมาพูดคุยกับผม โดยไม่คิดที่จะถามถึงสาเหตุที่ทำให้ผมเอาแต่เงียบงันใส่อีกฝ่ายแม้แต่น้อย
คล้ายกับเจ้าตัวเขาทราบแล้วว่า สถานการณ์ในตอนนี้มันเป็นยังไง

“มึงจะถึงเมื่อไหร่ ส่งไลน์มาบอกกูหน่อย” ผมกดหมายเลขหนึ่ง เพื่อตอบรับอีกฝ่าย จากนั้นก็ส่งไลน์ไปบอกเวลานัดหมายที่ผมจะเดินทางไปถึง พลางสอบถามสาเหตุที่คุณแม่ยินยอมให้ผมเดินทางไปกรุงเทพด้วยตัวเองในยามค่ำคืนด้วยความสงสัย และทันทีที่ผมกดหมายเลขบนแป้นโทรศัพท์ เพื่อส่งสัญญาณตอบรับไปถึงใครบางคน
พี่เขาก็รีบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันขี้เล่นว่า ‘ความลับ’

“เดี๋ยวกูเล่นกีตาร์ให้ฟัง มึงก็ตั้งใจฟังล่ะ” ผมกดแป้นโทรศัพท์เพื่อตอบรับคำบอกกล่าวของอีกฝ่าย จากนั้นก็ลุกเดินไปยังรถประจำทางที่ภายในมีเครื่องปรับอากาศอย่างดี ขณะที่สายตาก็มองเลขที่นั่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอที่นั่งเป้าหมาย ผมก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง ก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบหูฟังมาใส่ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องคอยถือโทรศัพท์จนเมื่อยมือ
ไม่นานเสียงกีตาร์ก็เริ่มดังมาตามสาย ผมจึงได้แต่นั่งเอาหัวพิงกระจก พลางฟังท่วงทำนองที่อีกฝ่ายกำลังนำเสนอ โดยที่ความคิดของผมก็พยายามจะโฟกัสไปที่ปลายสายให้ได้มากที่สุด เพราะผมเข้าใจจุดประสงค์ของพี่เนย์ดี ว่าทำไมจู่ๆ พี่เขาถึงได้ลุกขึ้นมาเล่นกีตาร์ในเวลาสี่ทุ่มแบบนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะพี่เขาต้องการจะปลอบใจและพยายามจะทำให้อะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้ผมต้องคิดไปถึงเรื่องที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
นั่นล่ะ นั่นคือความห่วงใย ที่แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ผมก็ยังสามารถรับรู้มันได้   

เวลากว่าสองชั่วโมงที่ผมต้องนั่งข้างๆ คนไร้ข้อบกพร่อง ตามข้อจำกัดของการนั่งรถโดยสารสาธารณะ ผมเอาแต่หันหน้าออกไปทางนอกหน้าต่าง ขณะที่หูทั้งสองข้างก็เสียบหูฟังไว้ แม้ว่าตอนนี้บุคคลปลายสายเขาจำเป็นจะต้องไร้การติดต่อไปชั่วขณะ เนื่องจากผมไม่อยากให้พี่เขาใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ เราก็เลยตกลงกันผ่านทางข้อความแชทว่า ถ้าหากพี่เขาถึงสถานีที่เอกมัยเมื่อไหร่ ก็ค่อยโทรมาหา เพราะตอนนี้ผมเข้าสู่เขตตัวเมืองของกรุงเทพเรียบร้อยแล้ว อีกสักพักใหญ่ก็น่าจะถึงที่หมาย
ดังนั้นการปล่อยผมทิ้งไว้เพียงลำพัง จึงไม่มีปัญหาอะไร

“รัน” หลังจากที่ลงจากรถประจำทางตรงสถานีเอกมัย ผมก็ยืนหันรีหันขวางอยู่นาน เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปอยู่ตรงไหนดี อีกทั้งมองๆไปก็ยังไม่เห็นคนตัวโตมารอรับเหมือนอย่างที่สัญญากันไว้ แต่แล้วใครบางคนในความคิดก็เอ่ยเรียกผมอย่างแผ่วเบา ผมจึงค่อยๆหันไปมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาทางด้านหลัง
“กูไปเข้าห้องน้ำมา” พี่เขาตอบพลางยกยิ้ม ผมจึงพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็เริ่มทำตัวเงียบงันเหมือนเคย

“มึงหิวมั้ย?” พี่เขาเดินเข้ามาโอบไหล่ จากนั้นก็ถามไถ่อย่างใส่ใจ
“…” ผมก็ได้แต่ส่ายหัว เพราะต่อให้หิวมากแค่ไหน ผมก็รู้สึกกินอะไรไม่ลง ในเมื่อความรู้สึกแย่ๆ มันยังคงตกค้างอยู่ในใจตลอดเวลา แต่ที่ผมยังคงวางตัวได้เป็นปกติขนาดนี้ นั่นก็เพราะผมพยายามจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งให้ได้มากที่สุด
แม้ว่าจิตใจของผมมันจะพังตามคำพูดของคนเหล่านั้นไปแล้วก็ตาม

“กูมีที่นึงอยากพามึงไป แต่เราคงต้องเดินทางกันนานหน่อย” พอเดินมาจนถึงรถคันคุ้นเคย พี่เนย์ก็เปิดประตูให้ผมเข้าไปนั่ง จากนั้นอีกฝ่ายก็โน้มตัวลงมาใกล้ โดยค้ำยันประตูกับหลังคารถเอาไว้ พลางเอ่ยบอกจุดหมายปลายทางของเรา ที่ไม่ใช่คอนโดอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้
“…” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย พลางพยักหน้ารับรู้

“มึงจะนอนพักสายตาไปเลยก็ได้นะ เดี๋ยวถึงแล้วกูค่อยปลุก”
“…” ผมมองตาอีกฝ่ายแน่นิ่ง เพราะใจจริงผมไม่อยากให้พี่เขาต้องเหนื่อย เพื่อพาผมไปไหนไกลๆเลย แล้วอีกอย่างถ้าเกิดผมหลับ โดยปล่อยให้พี่เขาขับรถเพียงคนเดียว เกิดอีกฝ่ายเผลอหลับในขึ้นมาคงยุ่งแน่ๆ

“ไม่ต้องห่วง กูอัดกาแฟมาเพื่อมึงเรียบร้อยแล้ว” พี่เขาพูดพลางเกลี่ยปอยผมที่ปรกอยู่ตรงหน้าผากเบาๆ จากนั้นรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ผมมักจะได้เห็นบ่อยๆก็ปรากฏขึ้น ทำเอาขอบตาของผมร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“…” ผมยกยิ้มน้อยๆ พลางซ้อนฝ่ามือลงบนหลังมือของอีกฝ่ายแน่นิ่ง

“นอนซะ” แต่แล้วความอบอุ่นจากฝ่ามือคู่นั้นก็ค่อยๆจางหายไป เมื่อเจ้าของต้องเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นสารถี เพื่อพาผมเดินทางไปยังที่ไหนสักแห่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นความลับ เพราะว่าที่นักจิตบำบัดไม่มีวี่แววแม้แต่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติม
“เออนี่ กูมีข่าวดีมาบอก คาดว่าถ้าฝึกงานเสร็จ กูคงได้งานทันทีเลยว่ะ” ขณะขับรถ พี่เขาก็พูดเรื่องราวของตัวเองขึ้นมา คงเพราะเห็นว่าผมยังไม่ยอมนอน ตามที่อีกฝ่ายแนะนำเมื่อครู่

“…” ผมได้แต่แอบยิ้มให้กับความสำเร็จของอีกฝ่าย ที่มันเริ่มเข้าใกล้เส้นชัยขึ้นมาอีกขั้น โดยที่ปฏิกิริยาอื่นๆ ก็ยังคงไร้การตอบรับเหมือนอย่างเคย
“กูไม่รู้ว่ามึงไปเจออะไรมา แต่กูกับพ่อแม่ของมึง เป็นห่วงมึงนะ” คนตัวโตที่กำลังทำหน้าที่สารถีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล พลางเอื้อมมือมากอบกุมมือของผมไว้ ส่งผลให้ความอบอุ่นจากทั้งคำพูดและการกระทำ มันทำลายทำนบน้ำตาของผมจนแตกกระจาย เพราะยิ่งผมนึกไปถึงพ่อกับแม่ ที่ตอนนี้อาจจะเป็นห่วงที่ผมหนีมากรุงเทพเพียงคนเดียว ผมก็ยิ่งสะอื้นจนตัวโยน จากนั้นผมก็ตัดสินใจปล่อยมือคนข้างๆ เพื่อเปิดกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ขึ้นมาพิมพ์ข้อความบอกท่านทั้งสองว่าตอนนี้ผมเจอกับพี่เนย์แล้ว พวกท่านจะได้ไม่เป็นห่วง

“ตอนนี้มึงโอเคมั้ย กูถามจริงๆ” ขณะที่รถกำลังติดไฟแดง พี่เนย์ก็เริ่มตั้งคำถามขึ้นมาเป็นคำแรก หลังจากที่ผมกลับมานั่งเหม่อมองไปยังบรรยากาศด้านนอกตัวรถ ที่เต็มไปด้วยแสงไฟจากร้านรวงต่างๆ ที่กำลังทยอยปิดการให้บริการ
“…” ผมหันไปมองอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่ผม จากนั้นก็ค่อยๆส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า พร้อมด้วยน้ำตาที่หยดแหมะลงบนข้างแขนของตัวเอง เมื่อสายตาและน้ำเสียงของคนถามเขาดูเจ็บปวดกับการกระทำของผมในตอนนี้

“อยู่กับกู มึงอ่อนแอได้นะรัน มึงไม่จำเป็นต้องเข้มแข็ง เพื่อรักษาคำสัญญาของเราขนาดนี้ก็ได้” ทันทีที่พี่เขาอนุญาต น้ำตาที่กักเก็บไว้ก็เริ่มพรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนแตก ซ้ำยังสะอื้นไห้จนตัวโยน เพราะผมเจ็บปวดกับคำพูดดูถูกพวกนั้น จนแทบไม่อยากจะมองหน้าใครต่อใครอีกแล้ว เนื่องจากผมไม่มีทางได้รู้เลยว่า การกระทำของตัวเอง มันจะกลายไปเป็นเรื่องตลกขบขันให้กับใครต่อใครอีกหรือเปล่า
แล้วพี่เนย์จะอายมั้ย ที่มีแฟนเป็นคนพูดจาได้ไร้ความรู้สึกขนาดนี้
นึกๆดูแล้ว ผมไม่มีอะไรที่คู่ควรกับพี่เนย์เลยสักอย่าง

เพียงแค่คิดถึงเรื่องข้อบกพร่องของตัวเอง ผมก็เริ่มคิดไปต่างๆนาๆ ซึ่งหลายๆเรื่อง ก็มักจะเกี่ยวข้องกับพี่เนย์ คนที่มีความอบอุ่นให้กับผมเสมอ และถ้าหากวันนึง ผมต้องเสียพี่เขาไป ผมก็คาดเดาได้ทันทีว่าชีวิตของผมในช่วงเวลานั้นมันจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากการมีอยู่ของผม มันจะทำให้พี่เขาต้องมาคอยแปดเปื้อนไปกับความคิดอันสกปรกของคนเหล่านั้น ที่เปรียบเสมือนสีดำสนิทของจิตใจ ที่ค่อยๆป้ายความมืดมนลงบนตัวผม จนกลืนกินความสว่างสดใสของพี่เนย์
ความรู้สึกของผมคงต้องพังยิ่งกว่านี้แน่ๆ

“เคยมีคนกล่าวไว้ว่า having a soft heart in a cruel world is courage, not weakness (by Katherine Henson)” ผมหยุดสะอื้นไห้ พลางจ้องมองไปยังคนที่กำลังขับรถ ขณะที่ผมกำลังนิ่งคิดในสิ่งที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย
“เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะวันที่มึงร้องไห้ หรือวันที่มึงยิ้มได้ หรือจะเป็นวันไหนๆ มึงก็เข้มแข็งสำหรับกูเสมอ เพราะมึงเป็นคนที่มีหัวใจที่อ่อนโยน และมึงก็มักจะคอยแต่ห่วงความรู้สึกและคิดเห็นของคนรอบข้างมากเกินไป จนลืมดูแลความรู้สึกของตัวเอง กูถึงอยากให้มึงเข้มแข็งให้มากกว่านี้อีกนิด มึงจะได้ปกป้องความรู้สึกของตัวเองได้ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีวันไหนเลย ที่กูไม่ภาคภูมิใจในตัวมึง” คำพูดของพี่เนย์เหมือนกับเครื่องซักใจอันเต็มไปด้วยบาดแผลของผม ให้กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมอีกครั้ง เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ครุ่นคิดในแบบที่ผมกำลังหวาดกลัว ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า ต่อให้ตัวผมถูกสีดำจากจิตใจอันมอดไหม้ของใครต่อใครกลืนกิน แต่แสงสว่างจากพี่เนย์ก็มักจะปัดเป่าสีอันสกปรกแบบนั้นให้หลุดหายไปได้
ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็คงไม่สามารถทำให้คนที่มีจิตใจอบอุ่นแบบพี่เนย์ต้องแปดเปื้อนได้แน่ๆ

“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่าย พลางยกยิ้มทั้งน้ำตา พร้อมกับกุมชายเสื้อของพี่เขาไว้แน่น เมื่อความรู้สึกดีๆ มันเริ่มเข้ามาแทนที่ความรู้สึกแย่ๆ จากคนกลุ่มหนึ่งเพียงน้อยนิด
“กูขอยืนยันอีกครั้ง ว่ามึงเหมาะกับรอยยิ้ม ไม่เหมาะกับน้ำตาหรอก” เมื่ออีกฝ่ายเขาพูดแบบนั้น ผมก็ยกยิ้มจนตาปิด ทั้งๆที่ไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองจะสามารถส่งยิ้มออกมาได้
ทั้งๆที่ผมได้พบเจอกับเรื่องราวแย่ๆ จนแทบจะก้าวเดินต่อไปไม่ไหว

ท้องทะเลในยามค่ำคืน ใครต่อใครเขาต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่ามันน่ากลัวและไม่ปลอดภัย แต่สำหรับผมในเวลานี้ กลับรู้สึกว่ามันเป็นสถานที่ที่แสนพิเศษ ซึ่งในความพิเศษนั้นกลับไม่ใช่เพราะปัจจัยรอบด้าน แต่กลับเป็นเพราะผู้ชายคนหนึ่ง ที่เขากำลังพยายามจะลบความเศร้าหมองในจิตใจของผมให้หมดไป ด้วยการพาผมเดินทางมายังจังหวัดเพชรบุรี โดยเราได้จองห้องพักในราคาถูกที่สุดของทางโรงแรม เพียงเพราะต้องการจะใช้ชายหาดส่วนตัวที่มันปลอดภัยกว่าชายหาดบริเวณอื่น พร้อมกับเสียงเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ข้างๆหูของเรา ทันทีที่เรากำลังแบ่งปันหูฟังกันคนละข้าง ขณะเดินย่ำน้ำทะเลอันเย็นเฉียบ ที่เคล้าคลอไปกับเสียงของเกลียวคลื่นที่กำลังซัดสาดกระทบกับข้อเท้าของเราเป็นระยะๆ โดยที่ฝ่ามือข้างหนึ่งของเราต่างก็กอบกุมกันเอาไว้แน่น ขณะที่บทเพลงก็ยังคงบรรเลงต่อไปอย่างเป็นใจ

ในวันที่ฝน เปลี่ยนเป็นเมฆขาว
อากาศเช้าๆ สวยงามกว่าใคร
มือเธอและฉัน จับจูงกันไป
เดินด้วยกันนะ

เราผ่านเรื่องราวอะไรๆ มากมาย
อาจมีทั้งร้ายและดี เข้ามาในบางครั้ง
แต่ขอแค่เธอ ขอแค่เธอ


ผมยังคงจำบทเพลงนี้ได้ดี เพราะมันเป็นเพลงที่สามารถปลอบโยนหัวใจอันอ่อนล้าของผมได้ดีเสมอ และคนที่แนะนำให้ผมได้รู้จักกับบทเพลงนี้ ก็คือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่ไม่ว่าจะในเวลานี้ หรือเวลาไหน ผมก็มักจะหันไปเจออีกฝ่ายเสมอ

ยังจำได้ไหม ตอนที่เธอท้อ
ตอนที่เธอล้า หัวใจแทบหมดแรง
คำพูดของฉัน บอกเธอวันนั้น
ให้เธอโปรดเข้มแข็ง

เมื่อเธอทุกข์ใจ ให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ
ปล่อยความทุกข์ลอยไปกับทะเลและฟ้าสีคราม
จากวันนั้น ฉันและเธอ


ผมเผลอร้องไห้ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ อาจเป็นเพราะวันนี้ผมอ่อนแอมากเป็นพิเศษ การฟังเพลงๆนี้มันถึงได้ส่งผลให้ผมไม่สามารถหักห้ามน้ำตาที่กำลังรินไหลได้อีกครั้ง ยิ่งการกระทำของพี่เขาในตอนนี้ด้วยแล้ว มันก็ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี เพราะผมไม่ทันคาดคิดว่าการที่อีกฝ่ายเขาพาผมมาจนถึงทะเลชะอำ ก็เพื่อที่จะพาผมมาปลดปล่อยความทุกข์ไปกับท้องทะเล ตามที่บทเพลงเขาแนะนำ
เหตุเพราะอาการของผมในวันนี้มันหนักหนามากเกินไป
พี่เขาก็เลยต้องรับมือด้วยการพามาเปิดหูเปิดตาในสถานที่ใหม่ๆ

จุดเริ่มต้นความรัก นั้นล้วนมาจากใจ
อาจไม่มีเหตุผล แต่ฉันรู้ว่ามันใช่
เธอเติมเต็มให้ฉัน รับรู้ได้ด้วยหัวใจที่สุขล้น

(Jeep – วัชราวลี)

“เวลาที่ผมพูด..มันตลกจริงๆเหรอครับ..แต่ผมก็พยายามเต็มที่แล้ว..ผมพยายามแล้วจริงๆ” ผมหันไปกอดพี่เนย์พร้อมกับระบายความในใจที่กักเก็บเอาไว้ทั้งน้ำตา เพราะบทเพลงนี้มันเปิดใจของผม ให้ยอมแบ่งปันความทุกข์ของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้ แม้ว่าการที่ผมพูดออกไป มันจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ที่เกาะกินหัวใจทีละนิด ตั้งแต่ที่ได้ยินคำพูดที่มันทำร้ายจิตใจพวกนั้น
“กูเคยบอกเหรอว่ามันตลก?” พี่เนย์ย้อนถาม พลางยกมือข้างนึงขึ้นโอบเอวผมไว้ ขณะที่หูฟังที่เราแบ่งปันให้แก่กัน ก็ถูกละเลยจนแทบจะละลงไปกับท้องทะเลอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่นิด

“แต่คนอื่น..”
“แล้วเขาสำคัญกับมึงแค่ไหน? สำคัญมากพอให้มึงเอามาบั่นทอนความรู้สึกของตัวเองเลยหรือเปล่า?” ทันทีที่พี่เนย์พูดขึ้น ผมก็เริ่มนิ่งคิด ซึ่งมันก็จริงที่ว่าคนพวกนั้น ไม่ได้มีความสำคัญมากพอที่ผมจะเอาคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ
แต่ถึงความเป็นจริงมันจะเป็นแบบนั้น ยังไงซะความเจ็บปวดจากคำพูดอันไร้ค่า ก็เหมือนกับมีดคมๆเล่มหนึ่ง ที่ค่อยๆกรีดลงบนหัวใจของผมอย่างช้าๆ หากแต่เน้นในทุกรายละเอียดของการบาดลึก

“จริงอยู่ที่กูเคยบอกให้มึงเปิดใจ แต่การเปิดใจไม่ได้หมายถึงการที่เราจะต้องรับเอาทุกอย่างมาใส่ใจนะรัน”
“…”

“คนพวกนั้นที่มันจิตใจสกปรก ก็เหมือนกับหนังสือชั้นเลวที่ไม่มีใครคิดอยากจะหยิบมาอ่าน แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ทำลายได้ยาก เพราะว่ามันเขียนขึ้นมาได้ง่าย ซึ่งคุณค่าของมันกลับไม่มีเลยแม้แต่นิด ดังนั้นหนังสือทุกเล่มที่มึงหยิบมาอ่าน มึงจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บเข้าลิสต์เสมอไป และไม่จำเป็นต้องอ่านมันให้จบ แต่ถ้าเรื่องไหนที่มึงคิดว่ามันดีกับใจของมึง การจะอ่านให้จบ มันก็คือเรื่องที่สมควรทำ แล้วอีกอย่างหนังสือที่มึงเคยชอบ พออ่านๆไปมึงก็อาจจะพบเจอกับเรื่องราวที่มึงไม่ชอบ หรือไม่ใช่แนว หรือแม้กระทั่งดูไม่สมเหตุสมผล มึงก็สามารถขายมันทิ้งไปได้ และไม่ต้องเสียดาย เพราะบนโลกใบนี้ยังมีหนังสืออีกหลายเล่ม รอให้มึงเก็บเข้าชั้นหนังสือ”
“ขนาดหนังสือมันยังมีตั้งหลายแนวเลย แล้วทำไมคนจะมีหลายประเภทไม่ได้ ในเมื่อเขาเกิดมาจากครอบครัวที่หลากหลาย ไม่ต่างกับหนังสือที่เกิดขึ้นจากนามปากกาของนักเขียนหลายๆคน มึงต้องปล่อยวางนะรัน ที่กูพูด ไม่ได้หมายถึงมึงเสียใจไม่ได้ แต่หมายถึงตอนที่มึงเจอหนังสือชั้นเลว มึงก็แค่ต้องใส่หน้ากากให้แน่นหนา แล้วแสดงให้มันเห็นว่ามึงไม่ได้ดิ้นไปตามคำพูดของมัน แค่นั้นมันก็จะแพ้ภัยตัวเอง อีกอย่างกูดีใจนะ ที่มึงเลือกที่จะมาระบายกับกูแทนการใช้กำลัง เพราะถ้ามึงใช้กำลัง มันก็จะยิ่งสร้างความบาดหมางมากขึ้น ทีนี้พอมึงบังเอิญเจอหนังสือประเภทนั้นอีกครั้ง คำพูดแย่ๆของมันก็คงจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เหตุการณ์นี้ถ้าให้กูเดา มันคงจะเกิดขึ้นกลางงานเลยสินะ กูว่าป่านนี้หนังสือชั้นเลวของมึง คงจะกำลังถูกสังคมตัดสินไปแล้วล่ะมั้ง”

“รันมึงอาจจะลืมที่กูเคยพูดไปแล้ว ว่ากูแพ้ทางเวลาที่มึงพูดกับตอนที่มึงใช้ภาษามือ วันนี้กูขอย้ำอีกครั้งว่าจนถึงตอนนี้ ความรู้สึกของกูก็ยังไม่เปลี่ยน กูไม่อยากให้มึงหมดความมั่นใจในเรื่องของการพูดเลยรัน ถ้าเป็นไปได้กูก็อยากให้มึงนึกถึงคำพูดนี้ของกูเข้าไว้ ส่วนคนอื่นเขาจะตลก หรือจะรู้สึกอะไรก็ช่างเขา เพราะคนที่รักมึงเขาชอบ มึงคิดแค่นี้ก็พอ” พี่เนย์ผละตัวออกห่างจากผม ก่อนจะเก็บหูฟังให้มันเข้าที่เข้าทาง จากนั้นเราก็พากันเดินจูงมือไปยังทางเข้าที่เชื่อมต่อระหว่างโรงแรมและชายหาดส่วนตัวอันเงียบสงบ
“ก่อนหน้านี้คุณหมอเขาก็บอกมึงไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้ามึงพยายามอีกนิด ขาของมึงก็จะก้าวเข้าสู่เส้นชัยแล้ว มึงเชื่อคนที่สมควรจะเชื่อไม่ดีกว่าเหรอ?” พี่เนย์โน้มศีรษะของผมเข้าไปซบกับข้างแขนของตัวเอง พลางพูดเตือนสติไม่ให้ผมคล้อยตามคำพูดดูถูกเหล่านั้น

“ครับ” ผมตอบรับพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบเอวของอีกฝ่ายอย่างหาญกล้า เพราะในช่วงเวลาที่มันใกล้จะสว่างแบบนี้
คงไม่มีใครมาให้สนใจกับผู้ชายสองคน ที่กำลังยืนอิงแอบแนบชิดกันหรอก


----------------------------------------------------------------
สำหรับตอนนี้ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากน้องรันเข้มแข็งขึ้นมากกกกก และได้รับกำลังใจที่ดี พร้อมกับได้รับคำแนะนำให้มองปัญหาในมุมใหม่ๆ ก็เลยทำให้น้องไม่กลับไปก้าวถอยหลังเหมือนอย่างช่วงแรกที่น้องเป็น หลังจากนี้ถ้าหากน้องปล่อยวางโดยการเลิกยึดติดกับการเปิดใจแบบผิดๆได้ น้องก็จะสามารถก้าวไปถึงเส้นชัยได้ด้วยตัวเอง ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันที่น้องภาคภูมิใจในตัวเองมากๆวันนึงค่ะ เพราะมันจะหมายถึงความพยายามของน้องไม่ได้สูญเปล่าเลย สำหรับตอนที่แล้ว เราแอบคิดว่าเขียนแรงไปหรือเปล่า แต่จริงๆแล้ว คนแบบนี้ยังมีอยู่อีกเยอะค่ะ และใช้คำพูดรุนแรงกว่านี้มาก ซึ่งคำพูดของเค้าสามารถฆ่าใครต่อใครได้เลย ซึ่งการที่เราเขียนให้มีทั้งคนที่เปลี่ยนและไม่เปลี่ยน มันจะทำให้น้องมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นตามคำแนะนำของพี่เนย์ค่ะ ว่าเราไม่จำเป็นต้องเก็บหนังสือที่ได้อ่านเข้าลิสต์หนังสือที่เราชอบเสมอไป เราสามารถทิ้งมันไปได้ ซึ่งที่ผ่านมา น้องไม่เคยทิ้งมันไปสักเล่ม น้องถึงยังก้าวเดินได้แค่นี้

เราเห็นคอมเมนต์ของคนที่มีความคิดและรู้สึกแบบเดียวกับน้องรันเข้ามาอ่าน แล้วบอกว่านิยายของเราสามารถลดอคติในใจต่างๆไปได้เยอะ เราเองก็ดีใจนะคะที่นิยายของเราทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น มันเป็นอะไรที่ดีที่สุดสำหรับการแต่งนิยายเลยค่ะ และเราก็หวังว่าถ้าหากคุณกำลังท้อ นิยายเรื่องนี้จะทำให้คุณลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง เราเป็นกำลังใจให้คุณเหมือนกันนะคะ

ปล. เราวางแผนไว้ว่าจะจบ 20 ตอน แต่ว่าปลายทางของเรื่องนี้ มันจะห่างกันประมาณ 1 ปี เราเลยจะขยายเรื่องออกไปอีกหน่อย เพราะไม่อย่างนั้น เรื่องมันจะกระโดดมากเกินไป เราอยากให้มันจบแบบสมบูรณ์ที่สุด แม้ว่าตอนพิเศษอาจจะยาวพอๆกับเนื้อเรื่องหลักก็ตาม T_T
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 19 ♥ หน้า 9 (up 14/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-12-2017 14:32:22
 o13  o13  o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 19 ♥ หน้า 9 (up 14/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-12-2017 14:42:52
ดีจังเลยที่ได้พี่เนย์เป็นแฟน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 19 ♥ หน้า 9 (up 14/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 14-12-2017 15:17:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 19 ♥ หน้า 9 (up 14/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-12-2017 15:58:24
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 19 ♥ หน้า 9 (up 14/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 14-12-2017 18:13:40
ตกหลุมรักพี่เนย์อีกแล้ว หล่อทั้งตัวทั้งจิตใจ :hao5: :L1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 19 ♥ หน้า 9 (up 14/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-12-2017 18:52:57
 :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 19 ♥ หน้า 9 (up 14/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 14-12-2017 21:31:34
โกรธไอ้พวกนั้นมาก นิสัยไม่ดี สงสารน้องรัน ดีใจที่รันได้พี่เนย์เป็นแฟน ดูแลกันต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 20 ♥ หน้า 9 (up 15/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 15-12-2017 17:45:33
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 20

เพราะการเดินทางอันฉุกละหุก ทำให้กว่าเราสองคนจะตื่น ก็ปาเข้าไปตั้งสิบเอ็ดโมงแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าเรามีเวลาอาบน้ำเตรียมตัวสำหรับการเดินทาง แค่คนละครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากเราต้องรีบเช็คเอาท์ตามกฎระเบียบของโรงแรม ที่ถ้าหากอยู่นานกว่านั้น ก็อาจจะถูกชาร์ตค่าใช้จ่ายเพิ่มเอาได้ ดังนั้นภายในเวลาบ่ายโมงกว่าๆแบบนี้ พวกเราจึงยังคงวนเวียนอยู่ในชะอำ เพื่อตะเวนหามื้อเช้าที่มันค่อนไปทางบ่าย

“กินร้านนั้น..มั้ยครับ?” ผมชี้ไปยังร้านๆหนึ่งที่เราขับผ่าน ซึ่งดูท่าทางน่าจะทำอร่อยด้วย เพราะว่าคนเต็มร้านไปหมด
“โห คนโคตรเยอะเลยว่ะ จะมีที่นั่งหรือเปล่า” พี่เนย์บ่นอุบ แต่ก็ยอมมองหาที่จอดรถ ตามความต้องการของผม ซึ่งก็เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว เพราะร้านนี้มีทั้งโซนในร้านและนอกร้าน ผมจึงเลือกนั่งที่โซนนอกร้าน ที่มันให้อารมณ์เหมือนกับเรามานั่งเตียงผ้าใบแล้วกินอาหารทะเลแบบนั้นแหละ เพียงแต่เก้าอี้ของร้านนี้ไม่ใช่เตียงผ้าใบแค่นั้นเอง

“พี่ออกค่าโรงแรมไปแล้ว..ผมออกค่า..อาหารนะครับ” หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ผมก็รีบตกลงกับผู้ชายตรงหน้าที่กำลังนั่งท้าวคางมองไปยังท้องทะเลอันเวิ้งว้าง เนื่องจากเราบังเอิญได้โต๊ะนั่งตัวสุดท้ายที่อยู่ริมหาด ซึ่งสามารถมองวิวรอบๆทิศทางได้อย่างชัดเจน
“อืม” อีกฝ่ายตอบรับง่ายๆ คงเพราะรู้ว่าช่วงนี้ผมไม่ได้ลำบากเรื่องเงินเหมือนช่วงที่ต้องไปล้างแผล เพราะฉะนั้นหากกลับจากชะอำ ผมคงต้องงดบลูเลม่อนสักระยะ

“มองอะไร?” พี่เนย์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อหันมาเจอสายตาของผม ที่ยังคงมองตรงไปที่อีกฝ่ายแน่นิ่ง
“…” ผมส่ายหน้า พลางยกยิ้ม เพราะผมไม่มีเหตุผลของการกระทำให้ต้องมานั่งอธิบาย ฝ่ายคนถูกมองเขาก็ทำเฉย พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเป็นครั้งแรกในรอบวัน

“ข่าวมึง”   
“ครับ?” ผมรับโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาถือไว้ พลางเงยหน้าขึ้นไปมองว่าที่นักจิตบำบัด ที่กำลังพยักพเยิดหน้าให้ผมลองดูเนื้อความด้วยตัวเอง

“เอ้าเชี่ย!” ผมสบถอย่างตกใจ เพราะทันทีที่กดดูคลิป เสียงจากลำโพงโทรศัพท์ของพี่เนย์ก็ดังก้องออกมา จนผมกดปิดแทบไม่ทัน จากนั้นผมก็รีบสไลด์หน้าจอขึ้นไปข้างบน ก่อนจะสไลด์กลับลงมายังคลิปเป้าหมายอีกครั้ง เพื่อให้มันเล่นแบบไม่มีเสียง ไม่นานภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนวานก็ปรากฏ
“…” ผมนั่งมองคลิปๆนั้นแน่นิ่ง แม้ว่าคลิปดังกล่าวจะถูกเล่นแบบไม่มีเสียงก็ตาม แต่ผมผู้ซึ่งตกเป็นเป้าหมายของหนังสือชั้นเลว กลับสามารถจนจำทุกคำพูดที่อีกฝ่ายพ่นออกมาได้อย่างชัดเจน เพียงเท่านั้นฝ่ามือของผมก็ต้องกอบกุมโทรศัพท์ของพี่เนย์เอาไว้แน่น

“มึงต้องปล่อยวางให้ได้นะรัน ไม่อย่างนั้นชีวิตของมึงจะไม่มีความสุขจริงๆสักที คนเราห้ามปากใครไม่ได้ ห้ามความคิดใครก็ไม่ได้ สิ่งเดียวที่เราจะห้ามได้ก็คือตัวเอง” พี่เนย์เอื้อมมากุมมือของผมไว้ พลางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่ออีกฝ่ายเขาเห็นว่าผมเอาแต่นิ่งมองคลิปเหตุการณ์นั้นแน่นิ่ง
“ครับ” ผมตอบรับเสียงเบา พลางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายและยกยิ้มให้

“ไอ้โอ๊ต..มันถูกสังคมลงโทษ..แบบที่พี่ว่าจริงๆ..ด้วย” หลังจากอ่านคอมเมนต์คร่าวๆ ของบุคคลต้นเรื่องที่เป็นคนแชร์คลิปเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนนี้ พบว่าหลายๆคนในโลกโซเชียล ต่างพากันด่าทอไอ้โอ๊ตอย่างหนักหน่วง บางรายถึงกับขุดหาเฟซบุ๊กของมันจนเจอ ก็มีการแท็กไปให้เห็นจนเต็มสองตา
“อืม ผลจากการกระทำของมัน ก็น่าจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตแน่ๆ อย่างน้อยก็ต้องมีเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง อาจารย์ หรือแม้กระทั่งญาติๆของตัวเอง ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำแย่ๆแบบนั้น ยิ่งช่วงนี้มีการรณรงค์เรื่องการบูลลี่ด้วยแล้ว สังคมยิ่งตื่นตัว พอมาเจอเรื่องของมึงเข้า หนังสือเล่มนั้นก็เลยเละอย่างที่เห็น” ผมส่งยิ้มบางๆให้กับพี่เนย์ จากนั้นก็คืนโทรศัพท์ให้กับเจ้าของ เพราะผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปอ่านข้อความที่คนอื่นด่าทอคนที่ทำร้ายผม ซึ่งผมจะถือซะว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันคือบทเรียนของตัวเอง ที่จะทำให้ผมก้าวหน้าไปอีกขั้น และก็เป็นบทเรียนให้กับคนที่แม้ว่าจะโตขึ้น แต่ความคิดกลับไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย ซึ่งคนแบบนี้พี่เนย์ได้บอกเอาไว้แล้วว่า มันมีอยู่เยอะ เพราะมันก็เหมือนกับหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นมาได้ง่าย มันจึงไม่มีค่า ไม่มีราคามากพอให้ผมต้องเอามาใส่ใจ

ดังนั้นหากผมจะเปิดใจให้ใคร ผมก็ควรที่จะใช้วิธีการเดียวกันกับไอ้มอสหรือไอ้เชษฐ์ โดยผมจะต้องมองพวกเขาเป็นหนังสือที่ยังไม่ได้แกะซีล ซึ่งเราจะไม่ทราบเนื้อหาอันเป็นแก่นแท้ข้างใน แต่จะทราบแค่เพียงคำโปรยตรงด้านหลังปกเท่านั้น ที่จะเป็นตัววัดว่าหนังสือเล่มนี้มันใช่แนวที่เราชอบอ่านหรือไม่ เพราะถ้าหากชอบ เราก็ต้องลงทุนซื้อ ซึ่งการลงทุนมันก็มักจะมีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว ว่าเนื้อหาด้านใน จะใช่แนวที่เราชอบจนสามารถอ่านได้จนจบเล่มหรือเปล่า อีกทั้งหนังสือทุกเล่มก็ใช่ว่าจะมีคนรีวิวทั้งหมด หรือบางทีหนังสือเล่มเดียวกัน คนรีวิวก็ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเลย และมันก็เป็นไปได้ว่าเราอาจจะเห็นต่างกับรีวิวพวกนั้น เพราะการอ่านหนังสือ หรือการเรียนรู้ใครสักคน มันก็เหมือนกับการที่เราค่อยๆ เปิดอ่านไปทีละหน้าอย่างช้าๆ เพื่อทำความเข้าใจในบริบทนั้นๆ
กระทั่งเราอ่านจบและประทับมากๆ
เราก็แค่เก็บหนังสือเล่มนั้นไว้ในลิสต์ของเรา

“พี่เนย์..ผมขอไป..โทรหาไอ้มอส..ได้ไหมครับ..ตั้งแต่เกิดเรื่อง..ผมก็ยังไม่ได้คุยกับมันเลย” พอน้ำมาเสิร์ฟผมก็ออกปากขอตัวไปหามุมคุยกับไอ้มอสสักครู่ เพราะว่าผมเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าผมทิ้งมันเอาไว้ในงาน แล้วไหนจะไอ้เชษฐ์อีก มันเล่นซัดหน้าคนอื่นซะกลางงานแบบนั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง
“อืม” พอพี่เนย์อนุญาต ผมก็เดินตรงไปยังริมทะเล เพราะเป็นมุมที่ปราศจากคน และเงียบสงบ เหมาะกับการพูดคุยกันด้วยเรื่องส่วนตัวมากทีเดียว

“กูนึกว่ามึงจะโกรธกูซะแล้วว่ะ ที่พาไปเจอเรื่องอะไรแบบนั้น” ไอ้มอสพูดขึ้นทันทีที่ผมโทรหาเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้เบอร์ของมันจากการโทรมาบอกสถานที่ในการนัดหมายก่อนจะเข้างานเลี้ยงศิษย์เก่าเมื่อค่ำวานนี้
“เปล่า..กูแค่รู้สึกแย่..ก็เลยรีบเดินออกมา”

“แล้วมึงเป็นยังไงบ้างวะ พวกกูเป็นห่วงนะเว้ย ตามหาจนทั่วงานก็ไม่เจอ จะโทรไปก็กลัวว่ามึงจะโกรธ ที่กูพามึงมาเจอเรื่องเหี้ยๆแบบนี้” ไอ้มอสบรรยายความรู้สึกของมันผ่านทางคำพูดด้วยความรู้สึกอัดอั้น คล้ายกับมันทนเก็บความรู้สึกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“กูโอเคขึ้นแล้ว..ยังไงกูก็ต้อง..ขอบคุณมึงนะ..ที่ทำให้กูสามารถ..ก้าวเดินไปได้อีกขั้น..และทำให้กูได้เข้าใจอะไรๆมากขึ้น”

“ยังไงวะ?” ปลายสายถามด้วยความงุนงง
“…” ผมได้แต่อมยิ้ม ไร้ซึ่งคำตอบ เพราะคำกล่าวนั้นคงจะมีแค่ตัวผมและพี่เนย์เท่านั้นที่เข้าใจ ว่าทำไมเหตุการณ์ร้ายๆในค่ำคืนนั้น มันถึงได้กลายเป็นเหตุการณ์ที่ดีสำหรับผมในวันนี้

“มึงรู้ป่ะ ไอ้เชษฐ์แม่งจัดหนักชิบหายเลย ซัดไม่เลี้ยง โต๊ะเต๊อะพังกระจายชิบหาย แต่แม่งโคตรแมน มีการควักเงินเป็นค่าเสียหายวางแหมะเอาไว้บนโต๊ะด้วยนะเว้ย กูนี่ได้แต่ยืนอึ้งไปเลย ไอ้สัสนี่แม่งเลือดร้อนไม่เปลี่ยน” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ พลางนึกไปถึงเพื่อนผู้แสนเลือดร้อนของไอ้มอส ที่ครั้งหนึ่งมันเคยตีแบดอัดใส่ผม เพราะรำคาญกับท่าทางเฉยชาจนน่าหงุดหงิด
“เหมือนมึงแหละ” ผมย้อนเข้าให้

“โห่มึง พวกกูสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
“อืม”

“เออนี่ มึงเห็นหรือยัง มีคนถ่ายคลิปไว้ แม่งโดนด่ากระจายเลยว่ะ เห็นมีเอาไปลงพันทิพย์ด้วย เรื่องแลจะไปกันใหญ่ แต่นึกๆดูแล้วก็สะท้อนใจว่ะ ถ้าหากตอนนี้กูไม่เปลี่ยนสันดาน กูก็คงจะถูกด่าไปพร้อมกับมันนี่แหละ แต่สิ่งที่มันพูดเมื่อคืน มันคือเรื่องจริงที่ทำให้มึงโดนแบบนั้นนะเว้ย เพราะฉะนั้นมึงอย่าอ่อนแอให้ใครเห็น เพราะเขาจะยิ่งสนุกจนลืมลิมิตของตัวเอง อีกอย่างมึงต้องแสดงความจริงใจให้คนอื่นเขาเห็นด้วยรู้หรือเปล่า เพราะการที่พวกกูชวนมึงคุย แล้วมึงทำเมินเฉย มันก็ไม่ต่างกับการถูกตบหน้าเลยนะเว้ย แล้วยิ่งมาได้ยินมึงอุทานแบบตกใจได้ พวกกูก็เลยเหมารวมว่ามึงโกหกทุกคนว่ามึงพูดไม่ได้ พวกกูถึงได้พยายามจะกระชากหน้ากากของมึงออกมา แถมเรื่องของเรื่องที่มันเป็นชนวนสาเหตุ แม่งก็เพราะพวกกูมีความรู้ไม่มากพอแค่นั้นเองเหรอวะ โคตรไม่ยุติธรรมกับมึงจริงๆน่ะแหละ เพราะพอกูได้มาฟังมึงอธิบายเรื่องของคนที่มีความบกพร่อง พวกกูถึงได้เข้าใจว่า ความรู้หากมีไม่มากพอ แม่งก็นำพามาสู่ความขัดแย้งได้จริงๆ คิดๆแล้วกูก็รู้สึกแย่จริงๆว่ะ ถ้าหากตอนนั้นพวกกูพยายามจะทำความเข้าใจกับมึง มันก็คงจะดีเนอะ”
“ตอนนั้นกูป่วยกว่าที่คิด..แล้วกูเองก็เพิ่งจะรู้..เมื่อไม่นานมานี้ด้วย..กูถึงได้ไม่ค่อยแสดง..การตอบสนองอะไรกับใคร..เพราะส่วนนึงกูยังรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นไม่ได้..แล้วกูก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่..อายุสี่ขวบแล้ว..แต่ที่กูกลับมาใช้ชีวิตปกติได้บ้าง..ก็เพราะกูทำเพื่อพ่อกับแม่..กูสงสารท่านที่ต้องมาร้องไห้กับพฤติกรรมของกู..พอมึงบอกว่าการกระทำของกู..มันเหมือนกับไม่มีความจริงใจให้..กูเองก็เพิ่งจะเข้าใจ..แต่ว่ากูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครรู้สึกแย่..หรือรู้สึกไม่ชอบใจในการกระทำของกูเลย..ส่วนเรื่องความรู้..มันก็จริงอย่างที่มึงว่าน่ะแหละ..แต่ช่างมันเถอะ..ตอนนี้กูไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว..กูจะเริ่มต้นใหม่..มึงเองก็เริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะ..ไอ้เชษฐ์ก็ด้วย”
“มึงพูดจริงดิวะ เฮ้ยยยย!” เสียงไอ้เชษฐ์ดังทะลุกลางปล้องออกมา จนทำเอาผมต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากข้างหู
“อืม กูขอไปกินข้าวก่อนนะ”

ครืด ครืด

“ว่า?” ผมรับสายที่โทรเข้ามาได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี
“กูเพิ่งรู้เรื่อง มึงโอเคมั้ยวะ?” ไอ้หมอกพูดขึ้นทันที โดยไม่ต้องรอให้ผมย้ำถามให้มากความ

“กูโอเคแล้ว”
“แน่นะมึง” ไอ้คินย้ำถามขึ้นมาอีกคน ผมจึงเข้าใจได้ทันทีว่าพวกมันใช้ฟังก์ชั่นการประชุมสายมาเพื่อสิ่งนี้

“อืม..ตอนนี้กูอยู่กับพี่เนย์แล้ว..กูสบายใจขึ้นเยอะ”
“เออๆ กูจะได้โทรบอกแอ้ม รายนั้นเขาก็เป็นห่วงมึง เห็นบอกไลน์ไปแต่มึงไม่ตอบ โหลดสติ๊กเกอร์ฟรีเยอะก็งี้ เลยไม่รู้ว่าใครส่งแชทมาหาบ้าง” ไอ้คินมันว่าแกมหยอก ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาจนได้

“เออ กูโหลดของฟรีไว้เยอะ..เดี๋ยวกูจะทยอยจัดแฟนทอล์ก..ให้นะ”
“กวนตีนไอ้สัส เพื่อนๆพี่ๆคนอื่นเขาก็เป็นห่วงมึงกันทั้งนั้น ถึงขั้นโทรมาถามกูจนสายแทบไหม้ มึงก็รีบตอบไลน์ให้มันครบๆล่ะ” ไอ้หมอกพูดขึ้นมาบ้าง

“เออรู้แล้วน่า..กูขอกินข้าวก่อนได้ป่ะ..ตอนนี้กูโคตรหิวเลย” พอพวกมันอนุญาต ผมก็รีบวางสายและเดินกลับไปที่โต๊ะ ก็พบว่าอาหารมาเสิร์ฟจนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมื้อนี้เราจัดหนักกันสุดๆ โดยเฉพาะปูนึ่ง ผมจะชอบมาก ก็เลยสั่งมากิโลนึงเต็มๆ ผมถึงได้ยอมอดบลูเลม่อนไปสักระยะนี่แหละ

“ไอ้หมอกกับไอ้คินเพื่อนสนิทมึง ร่ายยาวข้อมูลของผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมาเต็มเลยว่ะ ส่วนไอ้เอ้เพื่อนกูจัดหนักเกี่ยวกับความรู้เรื่อง PTSD มาเฉย มันรู้ได้ยังไงวะ มึงเคยเล่าให้มันฟังเหรอ?” พี่เนย์ย้อนถามด้วยความสงสัย
“พี่เอ้คงจะจับสังเกตได้จากตอนที่ผมเนียนๆถามเกี่ยวกับข้อมูลของเรื่องนี้ หลังจากที่ได้ยินพี่เอ่ยชื่อของแม่มั้งครับ” ผมหยุดแกะปู พลางตอบอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก

“มีสิทธิ์เป็นไปได้ เพราะหลังจากที่กูคุยกับแม่มึงเสร็จ กูก็เรียกมึงไปคุยด้วยตั้งนาน ไอ้เอ้มันคงจะจับสังเกตได้จริงๆน่ะแหละ อีกอย่างตั้งแต่ทำสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ กูเองก็เปลี่ยนไปด้วย แต่ก็ถือว่าดีแล้วแหละ คนเหี้ยๆที่เคยเข้าใจผิด ถ้ามันได้เข้าแท็กของมึง ก็จะได้มีความรู้ติดหัวเอาไว้บ้าง ไม่ใช่ว่ายึดติดแค่กับความคิดของตัวเอง จนไม่คิดจะทำความเข้าใจกับคนอื่นเลย” พี่เนย์พูดอย่างใส่อารมณ์นิดหน่อย คงเพราะเจ้าตัวได้ฟังคำพูดดูถูกของอีกฝ่ายที่มีต่อผมแล้ว คนใจเย็นแบบพี่เนย์ถึงได้โมโหแบบเก็บอาการ
“พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกหรอกครับ..ผมเองก็เพิ่งจะรู้ตัว..ว่าการเมินเฉย..ไม่พูดไม่จาไม่แสดงออกอะไร..มันจะเป็นชนวนสาเหตุที่ทำให้..ถูกเข้าใจผิดจนลุกลามได้”

“กูไม่เห็นด้วยว่ะ อย่างกูกับมึงตอนเจอกันครั้งแรก มึงเองก็เมินเฉย นิ่งเงียบ ไม่แสดงออกอะไรเลย กูยังไม่เห็นจะคิดแบบนั้นเลยวะ เพราะกูเข้าใจไง ว่าคนเรามันก็ต้องมีเหตุผลที่เขาทำแบบนั้น กูว่ามันเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเลยว่ะ แต่ก็นะ คนเรามันต่างคนต่างความคิด ยังไงมันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ทั้งนั้น กูจะไม่ไปดิสคัสใครส่งๆ” พี่เนย์พูดพลางตักน้ำต้มยำไปซดอย่างเอร็ดอร่อย
“…” ผมอมยิ้มพลางแกะปูนิ่งในมือต่ออีกครั้ง เพราะผมสามารถมองเห็นภาพหนังสือแต่ละประเภทได้อย่างชัดเจน และสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้

“ไม่กินปูเหรอครับ?” ผมถาม หลังจากสังเกตอีกฝ่ายมาสักพักแล้ว
“ไม่ว่ะ กูแกะไม่เป็น” พี่เนย์ตอบสั้นๆ ขณะที่เจ้าตัวกำลังโซ้ยตำไทยอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งผมก็เข้าใจว่าที่นักจิตบำบัดตรงหน้าอยู่หรอก เนื่องจากคนกรุงเทพอย่างพี่เนย์ ก็น่าจะแกะปูไม่ค่อยเป็นเหมือนกับน้องแพรญาติทางฝั่งแม่ของผม ทีนี้พอมาเจอกันทีไร ผมก็ต้องคอยแกะให้สาวเจ้าทุกที เหตุเพราะครั้งแรกผมหวังดี อยากให้เธอลองกินของอร่อยๆที่ไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มรส
จากนั้นมาเจ้าตัวก็ติดอกติดใจใหญ่ เวลาไปกินร้านอาหารทะเลพร้อมกันทีไร เธอจะนั่งเกาะติดผมแจเลย

“ผมแกะให้ครับ” ผมรับอาสา พลางคาดเดาไว้แล้วว่า พี่เนย์จะต้องตกเป็นทาสปูนึ่งอร่อยๆ เหมือนกับน้องแพรแน่ๆ ทีนี้ต่อไปหน้าที่ของผมก็คือการแกะปูให้อีกฝ่ายกินนี่แหละ

วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มออกมาเยอะมาก อาจเพราะผมปล่อยวางทุกอย่างแล้วก็เป็นได้ จึงทำให้การแกะปูให้อีกฝ่าย จนตัวเองแทบจะไม่ได้กิน ก็ทำให้ผมมีความสุข จนแทบไม่อยากจะปล่อยให้เวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วเลยจริงๆ
“มึงแกะกินเองด้วยสิ ชอบไม่ใช่เหรอ?” ผมยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มแกะให้ตัวเอง ตามคำบอกกล่าวของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ได้ตกเป็นทาสปูนึ่งเหมือนผมเรียบร้อยแล้ว

“มึงอยากไปไหนต่อหรือเปล่า?” พี่เนย์ถามขณะที่เรากำลังเดินกลับมาที่รถ หลังจากชำระค่าเสียหายเรียบร้อยแล้ว
“กลับเลยดีกว่าครับ..พี่จะได้พักผ่อนด้วย” ผมส่ายหน้าพลางตอบอีกฝ่าย ขณะเปิดประตูและแทรกตัวเข้าไปในรถสีดำคันคุ้นเคย

“พรุ่งนี้กูก็หยุด ยังมีเวลาพักอีกถมเถ”
“แต่เมื่อคืนพี่ขับรถมาตั้งไกล..เชื่อผมสักครั้งนะ” ผมตอบพลางหันไปมองอีกฝ่ายที่เอามือมาท้าวตรงเบาะข้างคนขับ พร้อมกับหันไปมองทางด้านหลัง เพื่อให้สะดวกต่อการถอยรถออกจากซองจอด

“อืม” พี่เนย์ตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในลำคอ แต่กลับชัดเจนในความรู้สึกของผมอย่างมากมาย
“ขอบคุณนะครับ..ที่เชื่อคำพูดของผม”

“ถือว่ากูให้เป็นของรางวัล ที่มึงเดินจนเกือบจะไปถึงเส้นชัยก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้น..พี่ต้องรอผมที่ปลาย..ทางของเส้นชัย..ด้วยนะครับ..ถ้าหากผมเรียนจบ..แล้วได้เป็นล่ามภาษามือ..พี่ต้องส่งยิ้มให้ผมจากตรงนั้นนะ”

“อืม” สิ้นคำตอบรับอันแผ่วเบา หากแต่หนักแน่น ว่าที่นักจิตบำบัดเขาก็ส่งยิ้มมาให้ ขณะที่ผมก็ได้แต่ยิ้มตอบอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ไม่ต่างจากวันแรกๆ ที่เราส่งยิ้มให้กัน

ผมชอบบทสนทนาของเรา ที่พูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วไป
ผมชอบรอยยิ้มของเรา ที่ไม่ว่าจะในสถานการณ์แบบไหน ก็ยังคงมีให้กันเสมอ
ผมชอบที่เราค่อยๆเติบโตไปด้วยกัน อย่างช้าๆ แต่กลับมั่นคง
ผมชอบที่เราสามารถเป็นกำลังใจให้กันและกันได้
ผมชอบที่เราไม่ต้องพยายามจะปรับเปลี่ยนตัวเอง แต่กลับพยายามจะทำความเข้าใจอีกฝ่าย เท่าที่เราจะทำได้
ผมชอบที่พี่เขามีข้อคิดดีๆให้กับผม ในยามที่ท้อแท้และอ่อนแอ
ผมชอบที่พี่เขาพยายามจะจูงมือผม เพื่อให้เราเดินไปจนถึงเส้นชัย แม้จะไม่พร้อมกัน แต่มันก็อบอุ่น
ผมชอบความรักของเรา ที่ไม่ได้หวือหวา แต่กลับอุ่นใจทุกครั้งที่นึกถึง
ผมชอบที่พี่เขานึกถึงครอบครัวของผม และไม่คิดจะปล่อยให้มันเกิดช่องว่างจนเกินจะควบคุม
ผมชอบที่การกระทำของพี่เขา มันแฝงไปด้วยความห่วงใย ที่ไม่อาจสังเกตเห็น ถ้าหากไม่ตั้งใจมอง
ผมชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรา เพราะมันทำให้ผมมีความสุข และก้าวเดินต่อไปได้
เพราะทั้งหมดทั้งมวล มันคือความรู้สึกของคำว่า ‘รัก’  ที่ไม่ใช่แค่ ‘รัก’ ด้วยความรู้สึกอันฉาบฉวย
   
----------------------------------------------------------------------
     เกือบจะเป็นบทสรุปแล้วค่ะ 555 แต่เรามีตอนจบในใจของเราอยู่ เพราะมันจะเกี่ยวกับภาพวาดที่น้องรันวาดตอนช่วงปิดเทอมด้วย และเกี่ยวข้องกับคอนเซ็ปของตอนพิเศษด้วยค่ะ สำหรับตอนนี้หลายคนอาจจะไม่พอใจในบทสรุปของโอ๊ตก็ได้ แต่เราอยากเขียนให้มันเหมือนกับความเป็นจริง ที่คนๆนึงหมดแรงที่จะสู้ไปแล้ว เขาถึงได้เลือกที่จะเดินออกมา และสุดท้ายสังคมก็เป็นฝ่ายลงโทษคนๆนั้นเอง เพราะการเหยียดคนอื่น ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมองว่ามันเป็นพฤติกรรมที่ควรยกย่อง ถือว่าเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้เลยเนอะ อีกอย่างสาเหตุของการกระทำอันบานปลาย มันก็เกิดจากความไม่เข้าใจกัน ไม่เปิดใจให้กันด้วยส่วนนึงค่ะ แต่ก็อย่างที่พี่เนย์บอกว่าพี่เขาไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ต่างคนต่างมุมมอง อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ และหลายๆครั้ง ความไม่รู้ก็มักจะนำพามาซึ่งความเข้าใจผิด และลุกลามเป็นเรื่องราวใหญ่โต ถึงว่าได้เรียนรู้กันทั้งสองฝ่าย
     ปล.เราเห็นมีคนสอบถามถึงเรื่องการรวมเล่มเข้ามา คือตอนนี้เรากำลังรอการพิจารณาจาก สนพ อยู่ค่ะ ถ้าหากทราบเรื่องที่แน่นอนแล้ว เราจะมาแจ้งข่าวอีกทีนะคะ ตอนนี้ก็อ่านกันไปเรื่อยๆก่อนเนอะ เราเองก็ยังไม่รีบร้อนค่ะ ระหว่างนี้ก็อยากจะเขียนให้มันดีที่สุดก่อน
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 20 ♥ หน้า 9 (up 15/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-12-2017 18:18:19
 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 20 ♥ หน้า 9 (up 15/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-12-2017 18:54:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 20 ♥ หน้า 9 (up 15/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-12-2017 19:18:34
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 20 ♥ หน้า 9 (up 15/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 15-12-2017 19:27:08
สะใจ โดนด่าเลยเป็นไง หัดหาความรู้ใส่หัวบ้างนะโอ๊ตนะ พี่เนย์ยังดีต่อใจน้องเหมือนเดิมมม
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 20 ♥ หน้า 9 (up 15/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-12-2017 21:15:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 21 ♥ หน้า 9 (up 16/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 16-12-2017 18:09:01
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 21

ช่วงก่อนสอบปลายภาค เป็นช่วงที่งานชุกชุมมากจริงๆ ไหนจะสอบภาษามือนอกตารางที่ผมต้องเผชิญจนคุ้นเคยอีก กว่าจะผ่านไปได้ก็แทบจะหมดแรง ผมโชคดีอย่างนึงคือได้ไอ้มอสมันคอยช่วยเรื่องการเข้ากลุ่มทำกิจกรรมมากๆ เพราะมันเป็นคนประเภทกระตือรือร้น เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ดังนั้นต่อให้ผมยังปิดกั้นตัวเอง ผมก็เชื่อว่าตัวเองจะไม่เดือดร้อนในเรื่องนี้ ส่วนไอ้เชษฐ์ ตอนนี้เราก็กลับมาห่างเหินกันเหมือนเดิม ด้วยความที่เรียนกันคนละที่ แต่เวลามันมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องแมว มันก็จะไลน์มาถามผมบ้าง
ก็นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่แย่

ส่วนพี่เนย์ตอนนี้ก็ฝึกงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังบรรจุเป็นนักจิตบำบัดประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพ จากนั้นช่วงต้นเทอมพี่เขาคงต้องทำเรื่องจบเพื่อเอาทรานสคริปต์ไปยื่นให้กับทางฝ่ายบุคคลของทางโรงพยาบาล และกว่าจะได้รับปริญญาก็คงจะประมาณเทอมสองของปีหน้าโน่น   
ขณะที่ผมก็ยังคงต้องพยายามก้าวตามอีกฝ่ายให้ทัน เพื่อที่พี่เขาจะได้ไม่ต้องยืนรออย่างโดดเดี่ยว ผมจึงตั้งใจเรียนมากขึ้น สอบปลายภาครอบนี้ก็เลยไม่เครียดเท่ากับครั้งก่อนๆ

ปิดเทอมครั้งใหญ่นี้ ผมจึงอดจะไปนั่งละเลียดดื่มบลูเลม่อนที่ร้านเจ้าประจำในเขตเมืองท่องเที่ยวไม่ได้ เพราะหลังจากออกค่าอาหารช่วงที่ไปชะอำ ผมก็แทบจะกินแกลบ แม้ว่าหลังจากนั้นผมจะยังได้ค่าขนมตามปกติก็เถอะ แต่ว่าการอ่านหนังสือจนติดพัน มันก็ทำให้ผมไม่ค่อยได้แวะเข้าร้านกาแฟ เนื่องจากเทอมนี้ เพื่อนๆนัดติวกันที่โรงอาหารกลาง ผมก็เลยซื้อแต่น้ำเปล่าหรือไม่ก็น้ำเก็กฮวยแก้วละไม่กี่บาทดื่ม
สำหรับการเดินทางมายังร้านโปรด ผมก็อาศัยวิธีเกาะท้ายรถของคุณพ่อเหมือนอย่างเคย โชคดีที่พ่อยังคงเข้างานกะบ่าย ไม่อย่างนั้นผมคงจะเดินทางไปไหนมาไหนลำบาก ส่วนขากลับ ผมไม่เคยซีเรียสอยู่แล้ว เพราะว่าคุณแม่เลิกงานเวลาเดียวกับพนักงานออฟฟิศ ผมจึงรอทานข้าวพร้อมแม่แล้วก็กลับบ้านพร้อมกันในเวลาไม่เกินสามทุ่ม

“นั่นรถพี่เนย์หรือเปล่าน่ะรัน?” แม่ถามขึ้น เมื่อเราขับรถเข้ามายังเขตหมู่บ้าน กระทั่งภาพตรงหน้าปรากฏรถญี่ปุ่นสีดำคันหนึ่ง
“ใช่ครับ..แต่พี่เขาไม่เห็นบอกผมเลยว่า..จะมาหา” ผมตอบแม่ พลางคุ้ยหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย ปรากฏว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ผมคงลืมหยิบมาด้วย และป่านนี้ก็คงจะนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงนอนนั่นแหละ
งานนี้พี่เนย์ บ่นผมหูฉีกแน่

ก๊อก ก๊อก

ผมเดินไปเคาะกระจกรถที่อีกฝ่ายเปิดแง้มไว้นิดๆ ขณะกำลังหลับใหลจนได้ที่ ไม่นานว่าที่นักจิตบำบัดเขาก็ขยับตัวเบาๆ พร้อมกับลืมตาขึ้น จากนั้นเจ้าของรถคันดังกล่าวก็ลดกระจกลงอีกนิด
เป๊าะ!

“ทำไมปิดเทอมทีไร มึงไม่พกโทรศัพท์ตลอดเลยวะ” ทันทีที่ผมก้มหน้าลงไปหาอีกฝ่าย เพื่อจะชักชวนเข้าบ้าน มือใหญ่ก็ถือโอกาสดีดหน้าผากผมจนดังลั่น พร้อมกับบ่นออกมาอีกคำรบนึง
“…” ผมไม่ได้แก้ตัวอะไร นอกจากส่งยิ้มใส่คนหน้าบึ้ง ที่คงจะมารอผมนานแล้ว

“ทั้งสองคน รีบเข้าบ้านกันก่อนดีไหมครับ?” หลังจากที่แม่จัดการเปิดไฟหน้าบ้านจนสว่างโล่แล้ว แม่ก็เดินเข้ามาหาเราสองคน พลางยกยิ้มบางๆ และถามไถ่อย่างชักชวน
“ครับ” ผมหันไปตอบพลางยกยิ้มให้กับแม่ที่เอื้อมมือมาลูบหัวผมตรงข้างรถของพี่เนย์เบาๆ

“แม่ลืมเอาโทรศัพท์มาจากที่ทำงานหรือเปล่าครับ ผมโทรไปไม่มีคนรับเลย” เมื่อล็อครถเรียบร้อยแล้ว พี่เนย์ที่กำลังจะเดินเข้าบ้าน ก็ถามคุณแม่ของผมด้วยความสงสัย เพราะวันนี้เจ้าตัวไม่สามารถติดต่อใครได้เลย
“ใช่จ๊ะ แม่ลืมไว้ที่ลิ้นชักในห้องทำงาน พอดีรีบๆน่ะ กลัวรันเขาจะรอนานด้วย ออดิทเข้าทีก็แย่หน่อย แม่ล่ะปวดหัว” พี่เนย์เดินเคียงข้างไปกับคุณแม่ของผม จนกระทั่งเข้าไปยังในตัวบ้าน

“เอ้อ แล้วงานของเนย์เป็นยังไงบ้าง โอเคมั้ย เห็นรันบอกว่าตอนนี้ได้บรรจุแล้ว”
“ก็โอเคครับแม่ โชคดีที่ได้งานที่โรงพยาบาลที่ผมไปฝึกด้วย ก็เลยไม่ต้องปรับตัวมากนัก” พี่เนย์กับแม่นั่งตรงโซฟารับแขก พลางคุยกันด้วยเรื่องที่มันยังห่างไกลจากตัวผมนัก เพราะสาขาที่ผมเรียน จะต้องเรียนถึงห้าปีแน่ะ
ผมเลยถือโอกาสไปเอาน้ำเย็นๆมาบริการแม่กับพี่เนย์จะดีกว่า

หลังจากจัดการในครัวจนเรียบร้อย ผมก็มายืนลังเลอยู่ตรงหน้าปากประตูเชื่อมกับห้องรับแขกกลางบ้านว่าจะเข้าไปขัดจังหวะผู้ใหญ่เขาคุยกันดีไหม แต่สงสัยจะคิดนานไปหน่อย ก็เลยยิ่งหาช่องว่างเข้าแทรกได้ยาก เพราะดูท่าทางทั้งแม่ ทั้งพี่เนย์จะคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ
“ส่วนใหญ่ตำแหน่งนักจิตบำบัด ทางโรงพยาบาลจะไม่ค่อยเปิดรับกันเท่าไหร่นะครับ จริงๆ ถ้าหากมีตำแหน่งนี้ในทุกโรงพยาบาลของไทยได้ ผมว่ามันก็ดี ถือเป็นทางเลือกและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยด้วย”
“นั่นสิ แม่เองก็เห็นด้วย เพราะในชลบุรีเท่าที่ทราบ เหมือนจะมีแค่สองที่เองมั้ง”

“เนย์ แม่ต้องขอบคุณมากๆเลยนะ ที่ทำให้รันสามารถเปิดใจให้กับคนอื่นได้ ตั้งแต่น้องได้รู้จักกับเนย์ น้องดูสดใสขึ้นมาก แม่ดีใจมากเลยเนย์รู้ไหม แถมช่องว่างของครอบครัวเราก็ลดน้อยลงแล้วด้วย แม่กับพ่อไม่รู้จะขอบคุณเนย์ยังไง น้องโชคดีมากที่ได้รู้จักกับเนย์” ผมซ่อนตัวเองไว้กับกำแพงบ้าน พลางกระพริบตาปริบๆ เพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลกับสิ่งที่แม่พูด
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับแม่ ผมก็แค่เอาเรื่องที่เรียนมาใช้กับรันเฉยๆเองครับ จริงๆแล้วที่ผมเป็นผมอย่างทุกวันนี้ได้ ส่วนนึงก็เพราะรันด้วย น้องทำให้ผมรู้ว่าตัวเองอยากทำอาชีพอะไร มันก็เหมือนกับอนาคตของผมมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ก็เพราะเขานะครับ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ผมก็อาจจะยังล่องลอยอยู่ก็ได้ เพราะที่ผ่านมา ผมไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร ง่ายๆคือไม่มีเป้าหมายในชีวิตน่ะครับ เพราะฉะนั้นแม่ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ในเมื่อทั้งผมทั้งรัน เราต่างก็วินๆกันทั้งคู่ อีกอย่างกว่าเราจะได้เจอกัน น้องเองก็เข้มแข็งเพราะพ่อกับแม่นะครับ ส่วนผมเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามีเป้าหมาย มีทัศนคติที่ดีขึ้นแค่นั้นเอง และที่สำคัญทุกคนรอบๆตัวเขาต่างหากครับ ที่ทำให้อะไรๆมันเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น” พี่เนย์พูดอย่างถ่อมตัว แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นจริงที่ไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย จึงยิ่งทำให้ผมประทับใจในตัวอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะทั้งๆที่พี่เนย์มีโอกาสจะพูดเอาความดีเข้าตัวเพียงคนเดียว แต่เจ้าตัวกลับไม่ทำ 
และผมก็เชื่อว่าแม่จะต้องประทับใจในจุดนี้เหมือนกัน

“แม่ไปนอนดีกว่า เนย์ก็พักที่นี่สักคืนนะ ยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดอยู่แล้วด้วย”
“ครับแม่”

แม่เดินขึ้นชั้นสองไปแล้ว ตอนนี้ในห้องรับแขกก็เลยเหลือแค่พี่เนย์ที่กำลังนั่งมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่ผมกลับยังไม่กล้าจะก้าวขาเดินเข้าไปในห้องนั้น เหมือนกับว่าคำพูดของอีกฝ่าย มันทำให้ผมหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก

“แอบฟังจนจบแล้ว ก็เข้ามาดิ” ผมสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อจู่ๆ พี่เนย์ก็พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ
“ทำไมพี่ถึงมาหาผมวันนี้ล่ะครับ” ผมทิ้งตัวลงนั่ง พลางเอ่ยปากถามด้วยเรื่องไม่เข้าท่า

“คิดถึง” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พร้อมกับเอื้อมมือมาหยิบน้ำไปดื่ม ส่วนผมก็ได้แต่นั่งเม้มปากแน่น ขณะที่ใจก็เต้นแรงเหมือนอย่างเคย เพราะนานๆที พี่เขาจะยอมพูดคำหวานๆประเภทนี้ออกมา ซ้ำร้าย นี่ยังเป็นวันแรกที่เราเจอกัน หลังจากที่ผมสอบเสร็จซะด้วย คำว่า ‘คิดถึง’ จึงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินจริง เมื่อคืนวันศุกร์แบบนี้ เป็นคืนแรกที่ตรงกับวันหยุดของอีกฝ่าย อีกทั้งยังเป็นคืนแรกหลังจากที่ผมสอบเสร็จซะด้วย
“อืม”

“จริงๆ วันนี้เป็นวันเกิดกู” ผมเหลือบมองไปยังนาฬิกาที่ชี้เลขเก้า บ่งบอกเวลาสามทุ่มกว่าๆ
“ไม่เห็นพี่จะเคยบอกผมเลยครับ”

“มึงก็ไม่เห็นจะถามกูนี่”
“เพราะผมมองว่ามันเป็นวันธรรมดาวันนึง..แล้วจากการที่เราคบกันมาจะสองปีแล้ว..ผมก็คิดว่าพี่น่าจะคิดเห็นไม่ต่างจากผม..ก็เลยไม่เคยได้ถาม..อีกอย่าง..พอเข็มยาวกับเข็มสั้นชี้ที่เลขสิบสอง..วันนั้นก็จะเป็นวันเกิดของผมเหมือนกัน” ผมตอบพลางหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย

“งั้นเหรอ แล้วเราควรจะฉลองดีมั้ย?”
“…” ผมส่ายหน้า เพราะผมไม่เคยมีงานฉลองวันเกิดอะไรหรอก

“จริงๆวันนี้กูรู้สึกดาวน์ว่ะ” พี่เขาพูดพลางเอนศีรษะพิงไหล่ของผมช้าๆ
“กูพยายามเตือนตัวเองตลอดนะ ว่าคนไข้ก็มีทั้งดื้อและไม่ดื้อ จนกระทั่งกูค้นพบสัจธรรมอย่างนึงว่า เราไม่สามารถช่วยทุกคนๆให้หลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเองได้ ถ้าหากเขาไม่ให้ความร่วมมือ”

“แล้วสุดท้ายคนไข้คนนั้นของกู เขาก็ฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า กูเลยรู้สึกแย่ที่กูช่วยเขาไม่ได้ ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา กูดาวน์จนกูอยู่คนเดียวต่อไปไม่ไหว กว่าจะเสร็จงานศพ กูต้องคอยแต่ภาวนาให้มึงสอบเสร็จเร็วๆ กูจะได้รีบมาหามึง” ผมฟังอีกฝ่ายพูดด้วยความสะเทือนใจ จนต้องเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายที่เอนซบลงบนลาดไหล่ของผมเบาๆ ด้วยความรู้สึกที่คล้ายกับ พี่เนย์เหมือนแก้วบางๆที่พร้อมกับจะแตกหักได้ง่ายๆ เพราะเจ้าตัวเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหว และอ่อนโยน บางครั้งการทำงานตรงนี้ มันก็กระทบต่อจิตใจของอีกฝ่ายด้วย เนื่องจากนักจิตบำบัดเองก็เป็นมนุษย์คนนึง ที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง
“…” ผมปลอบใครไม่เก่ง จึงทำได้แค่ลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆอยู่อย่างนั้น พร้อมกับนึกถึงอาการผิดสังเกตของเจ้าตัวที่ไม่เคยแสดงออกให้ผมรับรู้ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมก็เลยนึกเป็นห่วง กลัวว่าพี่เขาจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าไปด้วยอีกคน เพราะเอาเข้าจริง ตอนเด็กๆผมเองก็น่าจะพ่วงด้วยโรคนี้เข้าไปด้วย
เพียงแต่ลึกๆ ผมยังมีพ่อกับแม่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้

“เราอาบน้ำพร้อมกันดีไหมครับ?” หลังจากนิ่งเงียบกันมานาน จนเกือบๆชั่วโมงนึง ผมก็เอ่ยถามอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับทำใจหากอะไรๆมันจะต้องเกินเลย แต่ผมก็คิดออกแค่วิธีนี้เท่านั้น
“อืม”

“เขาบอกว่าสระผมแล้วจะช่วย..ให้สมองโล่งขึ้นนะครับ” ผมพูดพลางยกยิ้มให้อีกฝ่าย ขณะที่ผมกำลังลงมือสระผมให้กับคนกรุงเทพที่กำลังมีเรื่องไม่สบายใจจนต้องเดินทางมาหากันถึงที่นี่
“ก็จริง กูชอบสระผมตอนเช้า ตาสว่างดีด้วย” พี่เนย์ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างกัน พูดพลางเอามือเขี่ยต้นเฟิร์นสุดรักสุดหวงของแม่ที่ห้อยอยู่ตรงกำแพงข้างๆฝักบัวสำหรับอาบน้ำ

“บ้านมึงแปลกดีเนอะ ปลูกต้นไม้เลี้ยงปลาในห้องน้ำ” พี่เขาพูด พลางขยับตัวไปชะเง้อดูโหลแก้วกึ่งกลมกึ่งแบน ที่แขวนประดับไว้ตรงข้างกำแพงอย่างแน่นหนา โดยบางอันภายในประดับเพียงแค่เปลือกหอยสีสันสวยงามกับเม็ดทรายสีขาวสะอาด บางอันประดับด้วยต้นพลูด่างอย่างเรียบง่าย และบางอันก็เลี้ยงปลากัดเอาไว้ในนั้น
“ถ้าเอาไว้ข้างนอก..แชมเปญมันทำแตกหมดเลยครับ..เพราะขนาดหลังโทรทัศน์มันยังปีนขึ้นไปนอนได้..แม่เลยต้องเอามาไว้ในห้องน้ำ..แต่ผมชอบนะครับ..เข้ามาแล้วสดชื่นดี..แถมห้องน้ำยังสวยพอๆกับ..โรงแรมเลยด้วย”

“แม่มึงน่ารักดีเนอะ ใจดีมากๆด้วย”
“พ่อกับแม่พี่เนย์ก็ใจดีครับ” ผมตอบพลางเอื้อมหยิบฝักบัวลงมาล้างฟองแชมพูออกจากศีรษะของอีกฝ่าย

“พ่อมึงก็ใจดีเหมือนกัน แต่ติดจะนิ่งกว่าพ่อกูเยอะ”
“…” ผมเอื้อมมือเอาฝักบัวเก็บเข้าที่ จากนั้นก็หันมาเจอกำแพงมนุษย์ในระยะประชิด

“ถ้าเราเกินเลยกันที่นี่ แม่มึงจะเอามีดฟันหัวกูหรือเปล่า?”
“…” ผมเม้มปากแน่น พลางลูบสายตาลงต่ำ เพราะทนสู้สายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของอีกฝ่ายไม่ไหว แต่แล้วผมก็ตัดสินใจได้ว่า ผมควรจะต้องตอบรับอีกฝ่ายอย่างไร
ในเมื่อสัมผัสของค่ำคืนนั้น ยังคงตราตรึงใจไม่ห่างหาย

“ผมจะไม่เสียงดัง”
“…”

“มึงมันคนร้ายกาจ” พี่เนย์เขาว่าพลางงับปลายจมูกของผมเบาๆ พร้อมกับคว้าตัวผมเข้าไปแนบชิด ส่งผลให้ปลายเท้าของผมเกยอยู่บนหลังเท้าของอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นโฟกัสทางสายตาก็พร่าเบลอกว่าที่เคย เมื่อริมฝีปากของเรากำลังเคล้าคลอกันอย่างคิดถึง
จากนั้นอะไรๆมันก็เริ่มเกินเลย ไปตามความเคยชิน
กว่าจะรู้ตัวอีกที เราต่างก็หลงใหลอยู่ในวังวนของความหอมหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า


------------------------------------------------------
ไม่มีตอนคัทนะคะ ไปจิ้นต่อกันเอง เพราะเรามีฉากอีกฉากนึงในใจในเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ค่ะ
ต่อไปน้องรันจะขึ้นปีสามแล้ว ส่วนพี่เนย์จะเป็นพี่บัณฑิตเต็มตัวแล้ว แต่ตอนนี้กลายเป็นนักจิตบำบัดเต็มตัวไปก่อน เพราะหลายๆคนก็มักจะได้งานก่อนจะรับปริญญาเนอะ ซึ่งงานของพี่เนย์เนี่ย จะประจำอยู่ในโรงพยาบาล คนส่วนใหญ่จะเรียกกันว่าคุณหมอค่ะ มีห้องให้เข้าพบเหมือนคุณหมอเด๊ะๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 21 ♥ หน้า 9 (up 16/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-12-2017 18:26:05
ค่อยๆเติบโตกันไปนะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 21 ♥ หน้า 9 (up 16/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 16-12-2017 18:46:28
ดูแลกันดีมากกก
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 21 ♥ หน้า 9 (up 16/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 16-12-2017 19:02:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 21 ♥ หน้า 9 (up 16/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 16-12-2017 19:32:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 21 ♥ หน้า 9 (up 16/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-12-2017 20:00:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 21 ♥ หน้า 9 (up 16/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 17-12-2017 00:05:50
เพิ่งได้มาอ่าน ชอบมากเลยค่ะ  o13  :L2:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 21 ♥ หน้า 9 (up 16/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 17-12-2017 17:57:59
อ่านแล้วรู้อยากเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่บ่งพร่องทางด้านร่างกายในด้านต่างๆมากๆเลย :L2: :กอด1: :L2:
จริงเราว่าการนำเอาปมด้อยหรือความไม่มั่นใจของคนอื่นมาล้อเลียนเนี่ย เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆเลยนะไม่ต้องถึงกับมีความบ่งพร่องทางร่างกายหรอก แค่ผิวดำกว่า อ้วนกว่า หรือไม่สวยตามพิมม์นิยม ก็ถูกยกมาล้อด้วยกันทั้งนั้น เราก็คนนึงที่เคยถูกล้อตั้งแต่เด็กๆทำให้เสียสูญเรื่องความมั่นใจในตัวเองไปซ่ะเยอะ แต่พอเราโตขึ้นเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างมากขึ้นมันก็ทำให้เราเรียนรู้ว่าจริงๆแล้วไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบหรอก แต่เราดูดีและมั่นใจได้ในแบบที่เราเป็นต่างหาก :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 21 ♥ หน้า 9 (up 16/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: knxiiviii ที่ 17-12-2017 20:00:44
สะดุดก็ตรงผมจะไม่เสียงดังนี่แหละ 555 เอาใจช่วยเนรันให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง :)
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 22 ♥ หน้า 10 (up 17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 17-12-2017 22:57:54
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 22

ชีวิตของผมในช่วงปิดเทอม มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อ โชคดีหน่อยที่พี่เนย์ยังแวะมาหาทุกอาทิตย์ และเราก็ยังคุยโทรศัพท์กันเหมือนเดิมทุกวัน ต่างกันก็แค่ช่วงนี้พี่เนย์ไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลหนักๆ เหมือนช่วงที่ผมกำลังสอบ ซึ่งเป็นช่วงที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญกับปัญหาเข้าพอดี
แถมเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อน ผมได้มีโอกาสเจอกับพี่เอ้ที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ เนื่องจากรุ่นพี่สาวแสนใจดี เขามาเที่ยวกับเพื่อนที่ทำงาน โดยตอนนี้พี่เอ้ได้ถือโอกาสหั่นผมยาวๆของตัวเอง จนอยู่ในระดับที่มันสั้นปรกไหล่ เราสองคนเลยมีโอกาสได้คุยกันถึงเรื่องของพี่เนย์ ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากที่ผมคิดนัก เพราะเธอเองก็ทราบสถานการณ์ของเพื่อนในกลุ่มเป็นอย่างดี ผมเลยพอจะเบาใจได้บ้าง  แต่ถึงอย่างนั้น พี่เอ้ก็มักจะย้ำเสมอว่า..
ผมคือคนสำคัญที่สามารถทำให้พี่เนย์สบายใจได้มากที่สุด

Rrrrrr

“นอนยัง?” เวลาสี่ทุ่มตรง พี่เนย์ก็โทรมาหาผมตามที่คาดไว้ ผมจึงรับสายอีกฝ่าย พลางนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง
“ยังครับ รอโทรศัพท์พี่อยู่” ผมตอบพลางลุกขึ้นไปปิดไฟ ก่อนจะเอาผ้าห่มมาคลุมตัวเองจนมิดถึงคอ

“วันศุกร์นี้ กูได้ข่าวว่าจะมีฝนดาวตก”
“ครับ” ผมรับคำ เพราะช่วงนี้ข่าวออกเกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์เยอะเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยสนใจ และไม่เคยจะตื่นขึ้นมาดูด้วย

“เรามาดูด้วยกันมั้ย?”
“ให้ผมขึ้นไปหาเหรอครับ?” ผมย้อนถาม พลางแอบอมยิ้มขณะที่คุยกับปลายสาย

“ไม่ เดี๋ยวกูไปหามึงเอง”
“ครับ วันนั้นไม่มีใครอยู่บ้านด้วย..เพราะที่โรงแรมจัดงานสต๊าฟปาร์ตี้” ผมนิ่งเงียบพลางใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตอบรับอีกฝ่ายเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“พี่ว่า ผมพูดได้เป็นธรรมชาติขึ้น..หรือเปล่าครับ?” ผมตัดสินใจถามอีกฝ่าย เพราะช่วงนี้ผมลองสังเกตตัวเองแล้ว รู้สึกว่าผมมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก แถมบางทีก็สามารถพูดประโยคยาวๆได้คล่องปากแล้วด้วย
“อืม เดี๋ยวนี้เวลามึงพูด กูสามารถเดาสีหน้าของมึงได้จากน้ำเสียง” พี่เขาตอบพลางกลั้วหัวเราะ

“งั้นพี่ลองเดาหน่อยสิครับ..ว่าตอนนี้ผมกำลังทำหน้ายังไง?” ผมย้อนถาม
“มึงแอบยิ้ม เพราะเสียงมึงจะดูบีบๆ กูบอกไม่ถูก แต่กูรู้สึกได้ว่ามึงแอบยิ้ม” พี่เนย์พูดเหมือนมีตาทิพย์

“…” ผมอมยิ้มพลางนอนมองเพดานมืดๆในห้องเงียบๆ กระทั่งบทสนทนาต่อมาของอีกฝ่ายดังขึ้น
“แล้วก็ช่วงอาทิตย์ก่อน น้ำเสียงของมึงฟังดูเศร้าๆ เพราะมึงคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่กูเล่า แต่ตอนนี้กูโอเคขึ้นแล้วนะ เพราะวันก่อนจิตแพทย์ได้ให้ข้อคิดอะไรกูหลายๆอย่าง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า The best thing one can do when it's raining is to let it rain (by Henry Wadsworth Longfellow) มันกินใจกูมาก แล้วมันก็ทำให้กูย้อนคิดไปถึงมุมมองที่มึงเคยมอง กูถึงได้เข้าใจว่ามันยาก ที่เราจะปล่อยวางความรู้สึกที่มันติดค้างอยู่ในใจของเราได้”

“ใช่ครับ มันยาก แต่มันก็ไม่ยากไปกว่า..ความพยายามของเรา”
“มึงเป็นคนที่มีเสน่ห์มากเลยรู้มั้ยรัน ยิ่งรู้จัก กูก็ยิ่งตกหลุมรักมึงมากขึ้นทุกทีๆ”

“ต่อไปถ้าหากพี่ไม่สบายใจ พี่บอกผมได้เสมอเลยนะครับ..ผมสามารถสละเวลามาฟังความทุกข์ใจของพี่ได้..พี่ไม่ต้องกังวลว่าจะรบกวนผมหรอกครับ..โดยเฉพาะช่วงสอบ..พี่ก็สามารถเล่าให้ผมฟังได้นะ”
“อืม”

“พี่เนย์” ผมร้องเรียก เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็เงียบหายไป
“…” ผมหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง เมื่อคุยกันอยู่ดีๆ พี่เนย์ก็เผลอหลับไปซะได้ ซึ่งมันเป็นแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว คงเพราะเจ้าตัวอาจจะเพลียจากการทำงาน ก็เลยทำให้เรามีเวลาพูดคุยกันน้อยลงกว่าแต่ก่อน เนื่องจากตอนนี้พี่เนย์เข้ามาลุยงานจนเต็มตัวแล้ว

“ฝันดีครับ”

สองวันมานี้ชลบุรีฝนตกบ่อยมาก ทำให้ผมได้นั่งดมกลิ่นไอดินแทบทั้งวัน เลยพอจะหายเบื่อได้บ้าง อีกอย่างกลิ่นดอกไม้หอมที่แม่ปลูกไว้ ก็พากันส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน จนผมเริ่มไม่อยากจะให้ถึงเวลาเปิดเรียนซะแล้ว แถมน้ำดื่มที่บ้านเดี๋ยวนี้ก็แทบจะกลายเป็นน้ำลอยดอกมะลิไปแล้ว เหตุเพราะคุณระพีเธอบอกว่าเวลาดื่มแล้วมันสดชื่นดี จนบางครั้งถ้าแม่หยุดงาน แม่ก็จะนั่งทำน้ำแข็งผสมดอกมะลิตามไอเดียในอินเตอร์เน็ตด้วย แถมในห้องรับแขกก็ยังมีน้ำลอยดอกมะลิวางตั้งเอาไว้บนโต๊ะด้วย แต่แม่ใช้ขันเงินแทนนะ เพราะกลัวเจ้าแชมเปญมันจะทำแตกเหมือนกับโหลปลากัดอีก

“พี่เนย์มาบ้านอีกที..ต้องช็อกแน่ๆเลยเนอะ” ผมก้มหน้าคุยกับเจ้าแชมเปญที่ถือโอกาสมานอนบนตักผมราวกับคุณชาย
“เหมี๊ยว” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะคุณชายของบ่าวเขาดันฟังรู้เรื่องเฉยเลย

Rrrrr

“ว่า?” ผมรับสาย เมื่อเห็นว่าเป็นไอ้หมอกโทรมา
“เบื่อไอ้สัส ไม่รู้จะทำเหี้ยอะไรละ”

“เออ เหมือนกัน”
“มึงยังคุยกับแมวได้ แต่กูนี่ เขาไปทำงานกันหมด” ไอ้หมอกบ่นอุบ แถมดันเดาถูกด้วยว่าผมเหงาจนต้องพูดกับแมว

“ว่าแต่ไอ้คิน แม่งไปเดททุกวันเลยเหรอวะ”
“ไม่รู้ดิ กูไม่ค่อยได้เข้าเฟซ” ผมตอบ พลางเดินไปยืนมองฝนอยู่ตรงปากประตูบ้าน จากนั้นผมก็พิงทั้งตัวไว้กับขอบประตู ซึ่งถ้าหากแม่มาเห็น แม่ต้องดุผมแน่ ที่เปิดบ้านต้อนรับโจรขนาดนี้

“เออมึง แค่นี้นะ กูว่ากูนอนดีกว่า มีประโยชน์ที่สุดละ ตี๊ด---” ไอ้หมอกมันร่ายยาวเพียงแค่นั้น แล้วมันก็กดตัดสายไปทันที
แม่งมาเร็ว ไปเร็ว ยิ่งกว่าจรวดอีก

ผมจัดการล็อคประตูบ้าน และเดินกลับมานั่งที่โซฟาอีกครั้ง พลางตัดสินใจเปิดดูหน้าเฟซบุ๊กของพี่เนย์ เพื่อวิเคราะห์อย่างจริงๆจังๆอีกครั้ง ว่าที่ผ่านมา อีกฝ่ายเขารู้สึกและคิดเห็นแบบไหน เนื่องจากช่วงที่พี่เขาดาวน์ ผมก็แทบจะไม่มีเวลามาเปิดเฟซบุ๊กเล่นเลย เพราะช่วงนั้นผมกำลังสอบไฟนอล จนกระทั่งสอบเสร็จ ผมถึงได้มีโอกาสมาเปิดดู แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร แต่พอได้คุยกับพี่เอ้ ผมถึงได้ย้อนกลับมาคิดอีกครั้ง ว่าข้อความที่อีกฝ่ายโพสต์ มันหมายความว่ายังไง เพื่อนๆของพี่เขาถึงได้เป็นห่วงแบบนั้น

Akane Akarawin added 1 new photo
The way I see it, if you want the rainbow, you gotta put up with the rain (by Alan Watts)

ผมนั่งจ้องข้อความนั้นอยู่นานมาก เพราะผมไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร แต่แล้วผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เวลาที่พี่เขาสอนหรือให้กำลังใจผม พี่เขามักจะใช้ข้อความเปรียบเปรยที่ตัวเองชอบอ่าน ผมจึงเริ่มจับจุดได้ว่า ‘สายรุ้ง’ ในความคิดของพี่เนย์ก็อาจจะหมายถึงอาชีพนักจิตบำบัด ส่วน ‘สายฝน’ ก็น่าจะหมายถึงอุปสรรค ซึ่งก็มีอยู่เรื่องเดียว คือเรื่องของคนไข้คนนั้น

Akane Akarawin added 1 new photo
One can find so many pains when the rain is falling (by John Steinbeck )

ยิ่งผมตีความเข้าใจ ผมก็ยิ่งรู้สึกเศร้า และเข้าใจความรู้สึกของพี่เนย์ที่กำลังแบกรับชีวิตของคนๆหนึ่งไว้ จนกระทั่งทุกอย่างพังทลายลง ความเจ็บปวดจากการช่วยเหลือที่ล้มเหลว ก็ส่งผลให้ความรู้สึกแย่ๆ มันติดอยู่ในใจ จนทำให้ผมรู้สึกว่า ดีแล้วที่พี่เนย์เลือกที่จะขับรถมาหาผมในวันนั้น และผมก็เลือกที่จะโอบกอดพี่เขาไว้ โดยไม่ต้องพูด ไม่ต้องซักถามอะไร เพียงแค่โอบกอดให้แน่นๆ
นั่นคือสิ่งที่พี่เนย์กำลังต้องการ

Akane Akarawin added 1 new photo
Rainy days should be spent at home with a cup of tea and a good book (by Bill Watterson)

ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจกับข้อความนี้ที่พี่เขาเลือกมาโพสต์ เพราะเท่าที่ทราบ ‘ฝน’ ก็หมายถึงอุปสรรค แต่การอยู่ที่บ้าน แล้วดื่มชากับอ่านหนังสือดีๆสักเล่ม มันหมายถึงอะไร ผมนั่งครุ่นคิดอยู่นาน จนกระทั่งฉุกคิดไปถึงประโยคนึงที่พี่เขาเคยเอ่ยออกมาว่า ‘กว่าจะเสร็จงานศพ กูต้องคอยแต่ภาวนาให้มึงสอบเสร็จเร็วๆ กูจะได้รีบมาหามึง’
ถ้าอย่างนั้น บ้าน น้ำชา และหนังสือ ก็หมายถึงผมน่ะสิ

Akane Akarawin added 1 new photo
Let a smile be your umbrella on a rainy day. (by Jimmy Dorsey)

หลังจากอ่านข้อความในเฟซบุ๊กของพี่เนย์จบ ผมก็แทบไม่ต้องเดาให้มากความ เพราะมีใครหลายคนเคยบอกว่าผมยิ้มสวย และพี่เขาเองก็ชอบรอยยิ้มของผม ดังนั้นในข้อความนี้ ‘รอยยิ้ม’ ก็อาจจะหมายถึงผม และ ‘วันที่ฝนตก’ ก็ยังคงจะหมายถึงอุปสรรค และเมื่อคิดรวมไปกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูด ในทำนองที่ว่า อยากจะเจอผมเร็วๆ ดังนั้น ‘ร่ม’ ก็คงจะหมายถึงอีกไม่นาน เราก็จะได้เจอกัน และวันนั้นรอยยิ้มอย่างผม ก็จะสามารถปกป้องพี่เขาจากสายฝนได้

จู่ๆผมร้องไห้ด้วยความสะเทือนใจ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะผมสามารถตีความจากข้อความของพี่เขาได้ จึงทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง ต่างกับตอนแรกที่ผมยังคิดอะไรตื้นๆ จนส่งผลให้พี่เขาดาวน์หนักขึ้นเรื่อยๆ บวกกับสถานการณ์ในตอนนั้น ผมกำลังอยู่ในช่วงสอบไฟนอล เราก็เลยได้คุยโทรศัพท์กันไม่นานเท่าไหร่ และผมเองก็ยุ่งอยู่กับการอ่านหนังสือ จนทำให้ไม่มีเวลาคิดไปถึงเรื่องอื่น

ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่คิดว่าพี่เนย์จะเป็นคนที่เข้าใจยาก แต่พอได้พบกับเหตุการณ์นี้ ผมกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มีความคิดซับซ้อน และก็มักจะชอบการเปรียบเปรยอยู่เสมอ
ดังนั้นโอกาสที่ผมจะไม่เข้าใจอีกฝ่ายก็ย่อมมีสูง

ผมนอนอ่านข้อความที่พี่เนย์โพสต์ จนกระทั่งเผลอหลับไปทั้งน้ำตาเปื้อนแก้ม รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โทรศัพท์มันสั่นอยู่ข้างๆตัว ซึ่งพอรับสาย อีกฝ่ายก็รีบบอกจุดประสงค์ของตัวเองก่อนที่สายจะตัดไป ผมจึงเดินไปเปิดประตูบ้าน ให้ผู้ชายที่เป็นเจ้าของนัด สำหรับกิจกรรมดูฝนดาวตกในคืนนี้

“มึงกินอะไรหรือยัง กูซื้อมาเผื่อ” ผมส่ายหน้า พลางเดินไปเปิดไฟให้ความสว่าง เพราะทั้งบ้านมืดสนิท เนื่องจากเวลานี้หกโมงเย็นแล้ว
“งั้นเดี๋ยวกูเอาไปจัดการในครัวก่อน วันนี้กูซื้อต้มยำไก่บ้าน กับข้าวเปล่ามาแค่สองถุง เพราะกูกลัวมึงจะกินข้าวแล้ว ก็เลยไม่ได้ซื้อมาหลายๆอย่าง” ผมเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในครัว พลางยืนกอดอกมองหนุ่มกรุงเทพที่ดูจะชำนาญที่ทางในบ้านของผมเสียเหลือเกิน

“เขาบอกว่ากอดแบบนี้ จะทำให้คนถูกกอดรู้สึกเหมือนโดนปกป้อง” ผมเดินเข้าไปหาพี่เนย์ที่กำลังเทต้มยำใส่ถ้วย และเทข้าวสวยหนึ่งถุงลงในจานใบหนึ่ง และข้าวสวยจากอีกหนึ่งถุงก็แบ่งใส่ในจานข้างๆ โดยที่ผมก็โอบกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง พลางเอาหน้าซุกแผ่นหลังกว้างของพี่เขาไว้
“มึงหลอกกอดกูป่ะเนี่ย ปล่อยเลย เร็วๆ กูหิวข้าว” พี่เนย์ตีมือผมเบาๆ ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้ม และยอมปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ กระทั่งพี่เขายื่นจานข้าวใบหนึ่งมาให้ผมถือ ผมถึงได้เห็นว่า สองข้างแก้มของพี่เนย์กำลังแดงก่ำ

“พี่เขินผม” ผมวางจานข้าวลงบนโต๊ะกระจกตรงห้องรับแขก พลางทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะเอ่ยปากล้ออีกฝ่ายขึ้นมา
“กูขอแนะนำนะรัน ถ้ามึงไม่อยาก อดกินข้าว แล้วก็ไม่อยาก อดดูฝนดาวตก มึงก็รีบก้มหน้ากินข้าวของมึงไปเลย” พี่เนย์จ้วงข้าวคำใหญ่เข้าปาก พลางดุผม พร้อมเอาช้อนชี้หน้ากำกับด้วย จนผมต้องยอมทำตามอีกฝ่าย แต่ก็ไม่วายจะแอบอมยิ้ม เพราะการกระทำของผมเมื่อครู่ อีกฝ่ายเขารับรู้มันได้ แต่กำลังทำฟอร์มไม่เข้าใจ เพราะความเก้อเขิน

“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำให้นะครับ” ผมว่าพลางลุกเดินกลับเข้าไปในครัว เพราะคาดว่าตัวเองคงจะหยุดยิ้มไม่ได้ และมันก็อาจจะทำให้ตัวเองต้องลำบากในอนาคต

“น้ำลอยดอกมะลิเหรอวะ?” พี่เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม หลังจากดื่มแก้กระหายไปอึกใหญ่
“ครับ ช่วงนี้มะลิออกดอกเยอะ..แม่เลยเอามาลอยน้ำกิน..แล้วก็เอามาทำน้ำแข็ง..ขนาดในห้องรับแขกยังมีน้ำลอยดอกมะลิตั้งเอาไว้เลยครับ” พี่เนย์พยักหน้าในทำนองว่าเข้าใจ เพราะเจ้าตัวเป็นคนเคลื่อนย้ายขันใส่น้ำลอยดอกมะลิ ที่แม่ทำไว้ เพื่อให้เวลาที่เราเปิดแอร์ มันจะได้ส่งกลิ่นหอมกระจายจนทั่วบ้าน

“แม่มึงปลูกไว้ข้างบ้านใช่ป่ะ”
“หลังบ้านด้วยครับ ตอนเราดูฝนดาวตก..น่าจะได้กลิ่นดอกไม้หลายชนิดอยู่นะ..เพราะว่าแม่เพิ่งจะให้พ่อเอาไม้หอมมาปลูกเมื่อช่วงกลางปีนี้เองครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม เมื่อพูดถึงพ่อกับแม่ ฝ่ายพี่เนย์ก็ส่งยิ้มมาให้ผมด้วย คล้ายกับเจ้าตัวเขามีความสุขไปกับเรื่องที่ผมกำลังเล่า

“งั้นกูไปเดินเล่นข้างนอกนะ” หลังจากทานข้าวจนหมด เราสองคนก็ช่วยกันขนจานชามและแก้วมาวางไว้ที่อ่างล้างจาน โดยผมเป็นฝ่ายอาสาจะล้างด้วยตัวเอง พี่เขาก็เลยขอตัวออกไปเดินเล่นข้างนอก กระทั่งผมล้างจานเสร็จก็เดินตามอีกฝ่ายไป โดยมีเจ้าแชมเปญคอยเกาะติดไม่ห่าง
“ฝนดาวตก เขาว่ามีตอนห้าทุ่ม..เราไปนอนกันก่อนไม่ดีเหรอครับ” ผมถามพี่เนย์ที่กำลังเดินก้มหน้าดมดอกไม้แต่ละชนิด คล้ายกับอีกฝ่ายเขากำลังสงสัยว่า กลิ่นหอมต่างๆ ที่ลอยตลบอบอวล หลังจากฝนเพิ่งหยุดไปเมื่อช่วงเย็นนั้น มันคือกลิ่นของดอกอะไร

“กูไม่ตื่นแน่ๆ” พี่เนย์ส่ายหัว พลางย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง
“แสดงว่าพี่ก็ไม่เคยตื่นมาดูฝนดาวตก..เหมือนกันเหรอครับ?” ผมย้อนถาม

“อืม”

“แม่ผมชอบดอกแก้วเจ้าจอมกับมะลิ..เพราะมันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ..ส่วนพ่อชอบดอกชมนาด..เพราะมันส่งกลิ่นหอมตอนช่วงพลบค่ำจนถึงเช้า..พ่อเลยมักจะได้กลิ่นของมันบ่อยๆ..ท่านเลยชอบบอกผมว่ากลิ่นดอกชมนาด..ทำให้ท่านหายเหนื่อยจากงาน”
“แล้วมึงชอบดอกอะไร?” พี่เนย์หันมาถามผมที่กำลังเล่าไปยิ้มไป

“ผมไม่มีดอกไม้ที่ชอบเป็นพิเศษ..เพราะผมชอบแค่กลิ่นดินตอนฝนตก..แต่วันนี้ผมคิดว่าผมชอบกลิ่นหอมของดอกไม้..ตอนที่ฝนกำลังตกด้วย”
“แล้วพี่เนย์ล่ะครับ ชอบดอกอะไร?” ผมย้อนถามขึ้นมาบ้าง

“กูไม่มีดอกอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ” อีกฝ่ายตอบพลางโคลงหัวไปมา ก่อนจะเดินย่ำผืนหญ้าชื้นๆ ไปเรื่อยๆ
“แต่ตอนนี้กูคิดว่ากูชอบดอกไม้ทุกดอกที่บ้านมึง”

“เพราะอะไรครับ?”
“เพราะมันทำให้กูรู้สึกหายเหนื่อย เหมือนอย่างที่คุณพ่อท่านว่าจริงๆนั่นแหละ” พี่เนย์ตอบพลางยกยิ้ม จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นกันเกรา ที่เราเคยไปนั่งด้วยการตอนช่วงปิดเทอม

“แชมเปญมันติดมึงจริงๆ” พี่เนย์พูดพลางเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าแมวอ้วนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มบนโต๊ะม้าหินอ่อน
“มันอ้อนพี่ใหญ่เลย” ผมว่าพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเจ้าแมวอ้วนมันเอาหัวไปถูไถกับฝ่ามือของพี่เนย์ที่เลื่อนกลับมาวางประสานกัน ตรงหน้าของเจ้าตัว

“ผมเข้าใจพี่เนย์แล้วนะครับ..เรื่องข้อความในเฟซบุ๊ก” ผมพูดขึ้น หลังจากที่เราต่างคนต่างก็นั่งข้างกันเงียบๆ
“อืม”

“ผมขอโทษนะครับ..ที่ผมโง่ไปนิด..ก็เลยตีความสิ่งที่พี่เนย์..กำลังรู้สึกในตอนนั้นไม่ออก” ผมพูดด้วยน้ำเสียงติดสั่น
“ไม่เป็นไร มึงไม่ต้องรู้สึกแย่ตามกูหรอก อีกอย่างตอนนี้กูก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว”

“ผมแค่รู้สึกไม่ดี ที่ปล่อยพี่ไว้คนเดียว..ในเวลาแบบนั้น” ผมพูดพลางร้องไห้ออกมาจนได้ ผมเลยต้องรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตัวเอง เพราะผมไม่ได้อยากจะแสดงด้านที่อ่อนแอให้พี่เขาเห็น ทั้งๆที่เจ้าตัวเขาเพิ่งจะผ่านช่วงเวลาที่อ่อนแอมาหมาดๆ
“รันมึงไม่ได้ทิ้งกู ตอนนั้นมึงแค่มีความจำเป็นที่สำคัญมากๆ มึงถึงต้องมุ่งโฟกัสไปที่จุดนั้น แต่พอเรากลับมาติดต่อกันเหมือนเดิม
น้ำเสียงของมึง มันก็แสดงออกทุกครั้ง ว่ามึงเป็นห่วงกู และมันก็ทำให้กูรู้สึกดีมากๆ” พี่เขาพูดพลางโน้มใบหน้าของผมให้ไปซบลงตรงลาดไหล่ของตัวเอง

“ครั้งต่อไป..พี่ต้องบอกผมตรงๆนะ..ผมเป็นผู้ฟังที่ดี พี่ก็รู้”
“อืม”

“จริงๆแล้ว มึงไม่ใช่คนแรกที่ไม่เข้าใจความคิดของกูหรอก”
“…”

“มึงเคยสงสัยใช่มั้ย ว่าทำไมกูที่ดีกับมึงขนาดนั้น ถึงยังเป็นโสดจนกระทั่งได้มาเจอกับมึง คำตอบของคำถามนั้น ก็คือสิ่งที่ทำให้มึงต้องร้องไห้ในวันนี้”
“กูเป็นคนเข้าใจยาก ในแง่ของการใช้ความคิดเพื่อสื่อสารกับตัวเอง หลายๆคนก็เลยเข้าไม่ถึงตัวตนของกู มันเลยนำไปสู่การไม่เข้าใจกัน และสุดท้ายก็จบลงที่การทะเลาะกัน”

“อย่างเช่นข้อความพวกนั้น หากคนอื่นได้อ่าน เขาก็จะตีความแบบตรงตัว แต่ถ้าคนที่เข้าใจพี่ เขาก็จะตีความในลักษณะที่มันลึกซึ้งมากกว่านั้น ซึ่งก็มีแค่เพื่อนของพี่ที่เรียนจิตวิทยามาด้วยกัน แล้วก็เพิ่งจะมีรันเพิ่มเข้ามาอีกคน พี่ถึงได้บอกว่าไม่เคยมีใครมาเป็นห่วง หรือว่ามาคอยสนใจว่าพี่ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เพราะเขาไม่ได้ช่างสังเกตุเหมือนมึง”
“เอาจริงๆ ถ้าหากไม่ได้พี่เอ้..ผมก็คงยังไม่เข้าใจพี่หรอกครับ..เพราะฉะนั้นเรามาเดินกันคนละครึ่งทาง..เหมือนตอนที่พี่สอนผม..ดีกว่าไหมครับ”

“กูจะพยายามนะรัน ดีแล้วที่มึงพูดกับกูตรงๆ เพราะมันทำให้กูรู้ว่า ต่อไปกูควรจะต้องปรับ ต้องจูนให้เราเข้าใจตรงกันด้วยวิธีไหน” พี่เนย์ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่สดใส จนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามอีกฝ่าย กระทั่งเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ผมก็อาสาเข้าไปเอาผ้าใบพลาสติกที่ใช้สำหรับปิกนิกในสวนสาธารณะ เพื่อเอามาปูรองนอน ระหว่างรอเวลาที่ฝนดาวตกจะปรากฏตัว
“มึงอุ้มแชมเปญไว้ด้วย เดี๋ยวมันเตะยากันยุงล้มล่ะยุ่งเลย” พี่เนย์พูดพลางวางขวดแก้วที่มียากันยุงห้อยอยู่บนนั้น ลงบนเก้าอี้ตัวเล็กที่ใช้สำหรับนั่งซักผ้า จากนั้นอีกฝ่ายก็ทิ้งตัวลงนั่งบนผ้าใบพลาสติกผืนเดียวกัน ขณะที่กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้หลากหลายชนิด ก็ยังคงล่องลอยไปตามสายลมอยู่ตลอดเวลา เคล้าด้วยเสียงของจิ้งหรีดเรไร ที่กำลังร้องระงม
ราวกับตื่นเต้นไปกับกิจกรรมที่เราสองคนกำลังรอคอย

เวลาห้าทุ่มตรงตามตารางการเกิดฝนดาวตก ท้องฟ้าเบื้องบนไร้เมฆหมอกบังตา อีกทั้งแสงจันทร์ก็ไม่ได้สว่างไสวมากมายนัก ส่งผลให้ดวงดาวน้อยใหญ่พากันอวดโฉมอยู่บนนั้น กระทั่งลำแสงสีขาว ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเคลื่อนผ่าน สายตาของผมก็จดจ้องไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อเกิดลำแสงใหม่ สายตาของผมก็เริ่มโฟกัสไปยังทิศทางดังกล่าวอย่างตื่นตาตื่นใจ 

“ขอบคุณนะรัน ที่ยอมให้พี่ได้อ่อนแอบ้าง”
“พี่ก็คนนะครับ ไม่ใช่หุ่นยนต์สักหน่อย” ผมหันไปหาอีกฝ่าย จึงทำให้รู้ว่าโฟกัสทางสายตาของเราไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกัน จากนั้นจึงตอบคำถามของพี่เนย์อย่างติดตลก พลางยกยิ้มให้พี่เขาอุ่นใจ เพราะผมไม่ได้ซีเรียสอะไรกับเรื่องที่พี่เขาพูดอยู่แล้ว ในเมื่อผมเข้าใจดีว่า คนเรามันก็ต้องมีช่วงเวลาที่อ่อนแอกันทุกคนนั่นแหละ

“หึ” พี่เนย์หลุดขำออกมาเบาๆ จากนั้นสายตาของอีกฝ่ายก็เลื่อนขึ้นไปจ้องมองฝนดาวตกบนฟากฟ้า ที่ยิ่งดึกก็ยิ่งมีจำนวนมากขึ้นทุกที ขณะที่ผมก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถกันบ้าง เพราะการกอดแชมเปญนานๆ ทั้งๆที่มันหลับปุ๋ยไปแล้ว ส่งผลให้แขนของผมมันชายุบยิบไปหมด ผมจึงค่อยๆ ดึงแขนซ้ายมาวางบนผืนผ้าใบตรงพื้นที่ว่างๆ
แต่แล้ว ปลายนิ้วก้อยของใครอีกคน ก็แตะลงบนปลายนิ้วก้อยของผมเพียงเล็กน้อย ผมจึงหันไปมองอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ เลยเห็นว่าพี่เขากำลังจ้องมองฝนดาวตกด้วยใบหน้าของเด็กชายอาคเนย์ ที่กำลังปรากฏรอยยิ้มอันสดใส ขณะที่ปลายนิ้วของเรากำลังเกาะเกี่ยวกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมจึงเหลือบมองกลับมายังฝ่ามือของเรา พร้อมยิ้มบางๆกับตัวเองคนเดียว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองยังฝนดาวตกบนฟากฟ้า
โดยไม่คิดแม้แต่จะดึงมือออกห่าง จากความอบอุ่นเพียงเสี้ยวเดียวที่ได้รับ


----------------------------------------------
[edit 26/12/2017 แก้คำตกหล่น]
ประกาศนะคะ ช่วงนี้คอมจะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้เลยค่ะ ถ้าหายไปนานๆ คือคอมซ่อมนะคะ ตอนนี้มันกำลังโกงความตายอยู่ 555
สำหรับตอนที่เราแอบทิ้งปมไว้เล็กๆ ก็มาขยายกันที่ตอนนี้สักหน่อย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ พี่เนย์เป็นคนจริงจัง ก็เลยรู้สึกแย่ ที่ช่วยคนไข้คนนั้นไม่ได้ อีกทั้งเค้ายังจากตาย ไม่ได้จากเป็นด้วย ก็เลยอาการหนักนิดหน่อย น้องก็อยู่ห่างไกล แถมยังสอบไฟนอลครั้งสำคัญอีก แล้วยังเป็นคนเข้าใจยากอีก 555
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 22 ♥ หน้า 10 (up 17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-12-2017 23:23:26
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 22 ♥ หน้า 10 (up 17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 18-12-2017 06:05:55
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 22 ♥ หน้า 10 (up 17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-12-2017 10:04:26
 :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 22 ♥ หน้า 10 (up 17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 18-12-2017 10:06:41
น้องรันเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจอ่ะ อิจพี่เนย์
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 22 ♥ หน้า 10 (up 17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-12-2017 22:47:27
ปลื้ม เข้าใจกันมากขึ้นเรื่อยๆเนอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 22 ♥ หน้า 10 (up 17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-12-2017 11:29:58
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 22 ♥ หน้า 10 (up 17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: gemgems ที่ 19-12-2017 13:12:32
เป็นกำลังใจให้พี่เนย์อีกแรงนะคะ พี่เนย์เก่งอยู่แล้ว แล้วยังได้กำลังใจดีๆอีก  :-[
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 22 ♥ หน้า 10 (up 17/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-12-2017 01:07:12
 :katai5: มารอจ้ะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 23 ♥ หน้า 10 (up 22/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 22-12-2017 17:34:06
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 23

หลังจากดูฝนดาวตกด้วยกันในคืนนั้น พวกเราก็มีโอกาสได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคนไข้ผู้ล่วงลับ จากนั้นผมก็ไม่ได้เจอหน้าพี่เนย์อีกเลย จนกระทั่งเปิดเรียน เนื่องจากอีกฝ่ายต้องเตรียมงานสัมมนาเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช ซึ่งเป็นกิจกรรมของทางโรงพยาบาล จึงส่งผลให้พี่เขาไม่ทราบข่าวดีบางอย่างของผม
เพราะทุกครั้งที่เราคุยโทรศัพท์กัน ผมมักจะทำตัวเหมือนปกติ

ดังนั้นการเปิดเรียนในคราวนี้ นอกจากผมจะกลายเป็นรุ่นพี่ชั้นปีที่สามแล้ว ผมยังกลับมาพร้อมกับความแปลกใหม่อีกอย่าง ที่ทำให้ทั้งเพื่อน รุ่นพี่ และรุ่นน้อง ต่างพากันตื่นเต้นเสียยกใหญ่ แต่กลุ่มคนที่ออกอาการมากที่สุด ก็เห็นจะหนีไม่พ้นพวกไอ้หมอก ไอ้คิน ไอ้มอส ไอ้เชษฐ์ และสามสาวจากคณะบัญชี รวมไปถึงสายรหัสของผม และสายรหัสของเพื่อนทั้งสองคน ที่เฝ้ามองพัฒนาการของผมมาเนิ่นนาน
จนในที่สุด ความพยายามมันก็ส่งผลเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ

“เจอกันที่ห้องเว้ย” ผมวาดขาลงจากรถจักรยานของไอ้หมอก เมื่อมันจอดเทียบท่าตรงหน้าคาเฟ่ อันเป็นที่นัดหมายของผมกับพี่เนย์ที่วันนี้แวะมาทำเรื่องจบการศึกษา พลางบอกกล่าวไอ้เพื่อนซี้ตัวดีทั้งสอง ที่มีแพลนจะไปเดินเล่นที่ตลาดนัดในมอ ก่อนจะไปนั่งจับกลุ่มตรงสนามหญ้าหน้าหอพยาบาล อันเป็นกิจกรรมที่พวกผมกับสามสาวจากคณะบัญชีชอบทำ ในวันสุดท้ายของการเรียนในสัปดาห์นั้น
“เออๆ แต่ถ้ามึงเปลี่ยนใจจะตามมา มึงก็ลองโทรหากูก่อนนะเว้ย” ไอ้คินพูดเตือนอย่างไม่มั่นใจนัก เพราะในแต่ละอาทิตย์ แพลนเตร็ดเตร่ของพวกเรา ก็จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว

“โอเค” ผมตอบพลางทำมือเป็นสัญลักษณ์ที่ทราบกันดีตามคำพูดที่ผมเพิ่งจะพูดออกไป จากนั้นผมก็ก้าวเดินเข้าไปภายในร้าน ที่ตอนนี้มีการขยายต่อเติมออกไปเยอะมาก
“รอนานมั้ยครับ?” เมื่อมองหาอีกฝ่ายจนพบ ผมก็รีบเดินเข้าไปหา พลางถามและยกยิ้มให้อีกคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับด้านจิตวิทยาเงียบๆ พร้อมกับถอดกระเป๋าสะพายข้าง วางไว้บนโต๊ะ และทิ้งตัวลงนั่งทางฝั่งตรงข้าม ที่มีแก้วบลูเลม่อน ที่น้ำแข็งยังไม่ทันจะละลายวางเสิร์ฟอยู่ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า นักจิตบำบัดตรงหน้า เขากะเวลาในการมาถึงของผมได้ดีแค่ไหน

“ไม่หรอก” พี่เขาตอบพลางปิดหนังสือเล่มดังกล่าว
“เดี๋ยวนี้พี่ดื่มกาแฟแบบนี้ด้วยเหรอครับ?” ผมถามด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นบนโต๊ะมีที่ชงกาแฟประเภทหนึ่งวางตั้งอยู่ ซึ่งด้านบนของที่ชงกาแฟชนิดนี้ จะเป็นโถบรรจุน้ำแข็งและน้ำเย็น ขณะที่ส่วนกลางจะเป็นกระบอกสำหรับใส่กาแฟบด ส่วนด้านล่างคือเหยือกสำหรับใส่กาแฟที่ผ่านการสกัดมาเป็นระยะเวลายาวนานหลายชั่วโมง

“กูไม่ได้สั่งกาแฟ นี่มันชาอาร์ติโชคแบบ cold drip พอดีทางร้านเขาแนะนำ กูก็เลยลองดู แก้เบื่อดี” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัย ว่ามันแก้เบื่อได้ยังไง
“ก็เวลาที่กูอ่านหนังสือเบื่อๆ พอลองเปลี่ยนมานั่งมองชาค่อยๆหยดลงในเหยือกทีละหยดสองหยด มันก็เพลินดีออก กูว่าตอนมึงอ่านหนังสือเตรียมสอบ มึงจะลองดูก็ได้นะ มันน่าจะเป็นการพักผ่อนสมองที่โอเคอยู่” ผมอมยิ้ม พลางนั่งจ้องหยดน้ำสีน้ำตาลอ่อน ที่ค่อยๆตกกระทบลงสู่เบื้องล่าง จนเกิดการสะท้อนของผิวน้ำในวงกว้าง ขณะที่ปากก็คาบหลอดสีขาวเพื่อดูดน้ำสีฟ้าสดอยู่หลายอึก

“เอ้อ ผมว่าจะถามพี่ แต่ก็ลืมไปเลย” พอผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ก็พบว่าพี่เขากำลังมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว
“ว่า?” พี่เนย์เลิกคิ้วถาม พลางยกแก้วชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง

“เพื่อนพี่กลับกันหมดแล้วเหรอครับ?”
“อืม” พี่เนย์พยักหน้าพลางส่งเสียงตอบรับในลำคอ จากนั้นอีกฝ่ายก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของตัวเองต่อ ผมเลยนั่งมองน้ำชาค่อยๆหยดลงในเหยือกต่อไปเรื่อยๆ จนผมเริ่มจะเห็นด้วยกับคำพูดของพี่เนย์แล้วว่า การนั่งมองเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ มันกลับเพลิดเพลินจนทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้มากกว่าที่คิด

“อ้าวเฮ้ย! ไอ้รัน! มานี่หน่อย” ผมหันไปมองทางต้นเสียง พบว่าเป็นไอ้มอสที่เข้ามาซื้อเครื่องดื่ม พร้อมกับเพื่อนคนหนึ่งที่ผมมองหน้าไม่ชัด และถ้าหากจำไม่ผิด ครั้งล่าสุดที่ผมเจอมัน ก็คือที่โรงอาหารกลางตอนช่วงเปิดเทอมอาทิตย์แรกๆ มันเลยได้มีโอกาสทราบความเปลี่ยนแปลงของผมด้วย จากนั้นก็ได้มันนี่แหละ ที่เป็นคนคาบข่าวไปบอกไอ้เชษฐ์ที่หายหัวไปไม่บอกไม่กล่าว
“อ้าว ไอ้เชษฐ์! ทำไมมึงหายหน้าหายตาไปเลยวะ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้เชษฐ์ พลางถามไถ่ด้วยความยินดี เพราะหลังจากวันที่มันส่งแชทมาแสดงความยินดี เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย

“เรียนหนักว่ะมึง กูเลยแวะมาหาเพื่อนแก้เครียด” ไอ้มนุษย์ผู้หลงใหลแมววิเชียรมาศ เอ่ยพร้อมกับยิ้มบางๆอย่างเหนื่อยอ่อน
“พอกันเลยว่ะ กูก็ใกล้จะแย่ละ นี่ขนาดแค่เพิ่งเริ่มเรียนภาษามือด้านการแพทย์ไปนะมึง กูยังเกือบตาย” ผมบ่นอุบ ทำเอาไอ้หมอตัวจริงถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ เพราะมันคงเข้าใจดีว่า ภาษาทางการแพทย์แม่งโคตรของโคตรงานหินจริงๆ

“แล้วนี่มึงจะกลับมอวันไหน?”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้กูก็กลับแล้ว” พอมันไขข้อข้องใจจบ ผมก็พยักหน้ารับ พลางหันไปมองคนตรงหน้า

“เออ แล้วนี่มึงยังต้องเรียนคหกรรมอยู่ป่ะ?” ไอ้มอสเอ่ยถามขึ้นบ้าง ท่าทางมันจะติดใจกิจกรรมขายของในคาบคหกรรมของผมจริงๆ เพราะถ้าให้พูดตรงๆ ก็มันนี่แหละ ที่มีส่วนช่วยในการขายของ ยิ่งคาบไหนต้องไปขายที่ตึกนิเทศ คาบนั้นผมแทบจะนั่งเอ้อระเหยเลยก็ได้ เพราะไอ้นี่แม่งรู้จักคนเยอะจริงๆ ไม่ว่าใครจะเดินผ่านไปผ่านมา กี่คนต่อกี่คน ไอ้มอสแม่งก็เรียกเขามาเสียเงินกันหมด
แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ งานคหกรรมของกลุ่มผม แม่งก็ขายดีจนเกลี้ยงถาดเลย

“ไม่มีแล้ว ตอนนี้เหลือแต่ตัวหินๆของกูทั้งนั้นแหละ”
“กูก็ด้วยเว้ย ช่วงนี้เข้าห้องอัดเสียง เข้าสตูเป็นว่าเล่น มึงดูตากู หมีแพนด้าถามหาไหมล่ะ สาดดดด เวลานอนนี่กูแทบจะนับชั่วโมงได้เลยเว้ย” ไอ้มอสว่า พลางชี้ใต้ตาอันดำคล้ำของตัวเอง

“แต่กูว่าถึงมึงจะนอนจนเต็มอิ่ม มึงก็ยังเหมือนหมีแพนด้าอยู่ดีนะเว้ย” ผมพูดพลางหันไปมองหน้ากับไอ้เชษฐ์อย่างรู้กันดี ว่าไอ้เพื่อนต่างคณะ มันมีใต้ตาอันดำคล้ำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
“ไอ้รัน มึงนี่แม่งเล่นกูแล้วไง” ไอ้มอสบ่นอุบ เพราะมันมักจะถูกเพื่อนเรียกด้วยฉายาหมีแพนด้าบ่อยๆ ซึ่งมันไม่ค่อยชอบ บ่นแต่ว่าฉายาเชี่ยไร ไม่เท่ ไม่เร้าใจ สักนิด
สงสัยมันจะทำงานจนเป็นบ้านะผมว่า

“ขอโทษคร๊าบบบ” ผมแกล้งโน้มตัวจนเกือบจะชิดโต๊ะ พลางลากเสียงยานคางใส่พวกมัน

“กูบอกแล้วว่าไอ้นี่มันร้าย” ไอ้เชษฐ์แกล้งป้องปากคุยกับไอ้มอส คล้ายกับผมจะไม่มีทางได้ยินในสิ่งที่มันพูด
“เออ กูเชื่อ” ด้วยความที่สนิทกันมากขึ้นแล้ว ผมเลยกล้าเอาเท้าเตะหน้าแข้งของมันสองคนโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรให้มากความ

“ถึงคิวกูแล้วว่ะ แยกย้ายๆ ไว้เจอกันเมื่อบังเอิญแล้วกันมึง” ไอ้มอสมันว่า พร้อมกับคว้าเครื่องเรียกคิวขึ้นมาชูตรงหน้าผม จากนั้นมันก็เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ ผมจึงลุกเปิดทางให้ไอ้เชษฐ์ ก่อนจะร่ำลากันเล็กน้อย ถึงค่อยกลับมานั่งที่โต๊ะกับพี่เนย์ตามเดิม

“เป็นอะไรครับ?” ผมถามพลางยกยิ้มแป้นใส่คนที่กำลังมองจ้องผมไม่วางตา
“มึง..”

“ครับ?” ผมแกล้งเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง คล้ายกับไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าพี่เขากำลังตกใจในเรื่องอะไร
“เมื่อกี้มึงพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงปกติเลยรัน แถมมึงยังไม่พูดติดๆขัดๆเหมือนกับตอนช่วงปิดเทอมแล้วด้วย นี่มึง.. หายแล้ว?” พี่เนย์เอื้อมมาจับมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางยกยิ้มแบบตลกๆ จนผมยังอดจะขำไม่ได้

“ผมทำมันสำเร็จตอนที่พี่ติดสัมมนานั่นแหละครับ แต่ที่พี่ไม่รู้ เพราะผมตั้งใจไว้ว่า ผมจะบอกข่าวดีกับพี่ด้วยตัวเอง” ผมยกยิ้มจนตากลายเป็นเส้นตรงจำนวนสองเส้น พลางไล้ปลายนิ้วโป้งกับหลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ เพราะดูท่าทางพี่เนย์จะยังเซอร์ไพร์สไม่หาย
“พี่ไม่โกรธใช่มั้ยครับ ที่ผมไม่ได้บอกพี่เป็นคนแรก?” ผมย้อนถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“กูจะโกรธมึงทำบ้าอะไร พูดเหมือนไม่รู้จักนิสัยกู” พี่เนย์เลื่อนมือออกจากการกอบกุม จากนั้นอีกฝ่ายก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นดีดตรงหน้าผากของผม จนเสียงดังลั่นเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ เวลาที่ผมชอบพูดอะไรไม่เข้าท่า
“เพราะรู้ ถึงได้ถามไงครับ” ผมย่นจมูกพลางยกยิ้ม พร้อมกับลูบหน้าผากตรงบริเวณที่บาดเจ็บไปด้วย

“หึ ไปคอนโดกูมั้ย เดี๋ยววันอาทิตย์กูมาส่ง” พี่เนย์ท้าวคางพลางมองมาที่ผม ก่อนจะหลุดขำออกมาเพียงครู่ แล้วจู่ๆอีกฝ่ายก็ถือโอกาสชักชวนผมไปที่คอนโดของตัวเองเฉย
“นึกยังไงถึงได้ชวนผมไปครับ?” ผมย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่เปิดเรียนมา อีกฝ่ายไม่เคยชวนผมไปที่คอนโดสักครั้ง

“เพราะมึงทำสำเร็จมั้ง กูเลยคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้ว” อีกฝ่ายพูดขึ้น พลางอมยิ้มในลักษณะที่เข้าใจอยู่คนเดียว เพราะการที่ผมกลับมาพูดได้จนเป็นปกติ มันมาเกี่ยวข้องกับการถูกเชิญไปที่คอนโดในครั้งนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้
“ยิ่งพูดยิ่งงงนะครับ” ผมพูดพลางหัวเราะ จากนั้นพี่เนย์ก็ออกปากให้รีบเตรียมตัว จะได้ไปถึงที่คอนโดไม่ดึกมากนัก ผมเลยถือโอกาสไปเข้าห้องน้ำ และโทรบอกเพื่อนสนิทด้วยว่า..
วันนี้ผมถูกว่าที่บัณฑิตเขาลักพาตัวไปกรุงเทพ

ในระหว่างการเดินทาง ด้วยความที่แอร์มันเย็นฉ่ำ อีกทั้งสารถีเจ้าประจำ ยังเปิดเพลงเบาๆคลอไปด้วย ผู้ร่วมเดินทางอย่างผม จึงนั่งสัปหงกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนบางครั้งก็เผลอเอาหัวไปโขกกระจก จนเรียกเสียงหัวเราะจากพี่อาคเนย์ได้เป็นอย่างดี ผมเลยต้องขยับหัวมาพิงเบาะด้วยสภาพเอียงกระเท่เร่จนปวดคอ

“เหนื่อยเหรอวะ มึงหลับได้หมดสภาพมาก” พี่เนย์ลงจากรถพร้อมกับเดินอ้อมมาปลุกผม ที่ถึงแม้จะตื่นแล้ว แต่ก็ยังงัวเงียจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ก็นิดหน่อยครับ” ผมตอบพลางลูบหน้าลูบตาจนบิดเบี้ยว

“งั้นมาล้างหน้าก่อน” พี่เนย์เดินไปเปิดประตูด้านหลัง พร้อมกับหยิบขวดน้ำมายื่นให้
“พี่ล้างให้หน่อย” ผมถือโอกาสอ้อนอีกฝ่าย ทำเอาพี่เขายกยิ้มพร้อมกับส่ายหัว ก่อนจะย่อตัวลงนั่งยองๆ ตรงปากประตูด้านที่ผมนั่ง ผมจึงค่อยๆโน้มตัวออกไปด้านนอกรถ ไม่นานสัมผัสเย็นๆ ของน้ำ ก็ปกคลุมไปทั่วใบหน้า พร้อมๆ กับความอบอุ่นจากฝ่ามือของพี่เนย์
“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่าย พลางลุกออกมาจากตัวรถ และยืนมองพี่เขากำลังมุดตัวเอาขวดน้ำเข้าไปเก็บที่เบาะหลังตามเดิม
“ว่า?” เจ้าของรถเขาปิดประตู พลางล็อครถอย่างแน่นหนา พร้อมกับเดินเข้ามากอดคอ เพื่อพาผมเข้าไปยังตัวคอนโด ที่ดูแล้วระบบรักษาความปลอดภัย ท่าทางจะแน่นหนา

“ผมอยากกินซาซิมิแซลม่อน”
“อะไรมึง เป็นเด็กชอบเรียกร้องของรางวัลเหรอ?” พี่เขาย้อนถามพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ผมจึงพยักหน้าตอบ แต่อีกฝ่ายก็ยังไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ แถมยังเอาแต่ลากคอผมให้เปลี่ยนทิศทางการเดิน โดยมุ่งตรงไปยังเซเว่นใต้คอนโดตรงด้านซ้ายมือ

“เวลาตั้งปีนึง กับแซลม่อนซาซิมิเองครับ ผมสืบมาแล้ว ที่กรุงเทพมีส่งเดลิเวอรี่ด้วย มันสะดวกสบายไม่ต่างกับสั่งเคเอฟซีเลย”
“หึ รู้ดี แต่กูก็ยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่ตกลง แค่กำลังคิดว่า เราควรจะซื้ออะไรไปดื่มนิดหน่อย ไหนๆก็จะฉลองกันแล้วไม่ใช่หรือไง?” พี่เนย์ว่าพลางเดินตรงไปยังตู้เครื่องดื่ม จากนั้นก็หยิบเบียร์และฟูลมูนออกมาอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับจ่ายเงินเองเสร็จสรรพ

“หารกันดีไหมครับ?” ผมถาม ขณะเดินตรงไปยังลิฟต์ ตามที่อีกฝ่ายนำทาง
“ถ้าหารกัน แล้วมันจะเรียกว่ากูเลี้ยงมึงได้ยังไง? อีกอย่างเวลาปีนึงกับราคาอาหารมื้อนี้มันเทียบกันไม่ได้เลยรัน หลังจากนี้กูประหยัดๆหน่อยก็ได้ อีกอย่างกูวางแพลนไว้แล้ว ว่าจะทำงานพิเศษที่คลินิกเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพจิตนี่แหละ” ผมมองจ้องตัวเลขที่ค่อยๆทะยานขึ้นด้านบนอย่างใจจดใจจ่อ หากแต่ในหัว กลับคิดถึงข้อความแอบแฝงที่อีกฝ่ายต้องการจะบอก
กระทั่งพบว่า งานพิเศษนั่น อาจจะทำให้เราไม่ได้เจอกันมากขึ้น ผมก็อดใจหายไม่ได้

“เดี๋ยวกูขอแม่ให้ แต่มึงต้องหาวิธีนั่งรถมาเองนะรัน” เสียงลิฟต์ดังขึ้นในชั้นที่หก จากนั้นเจ้าของห้องเขาก็เดินนำหน้า พร้อมกับหยิบยื่นข้อเสนอที่มันอาจเป็นไปได้ยาก แต่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นไปแล้ว ผมจึงเริ่มวางใจ เพราะถ้าหากพี่เนย์เป็นคนพูด พ่อกับแม่ต้องไว้วางใจ และยอมปล่อยให้ผมเดินทางมาหาพี่เนย์ เหมือนกับตอนนั้น ที่ผมกำลังจะหมดเรี่ยวแรงในการต่อสู้กับปัญหา
“ครับ”

สิ่งแรกที่เห็น เมื่อเปิดประตูเข้ามายังคอนโดของพี่เนย์ ก็คือชั้นวางรองเท้าแบบบิวท์อินขนาดใหญ่ทางฝั่งขวามือ ผมจึงถอดรองเท้าหนังสีดำ วางคู่กับรองเท้าหนังสีเดียวกันของพี่เนย์ ส่วนฝั่งซ้ายมือคือห้องครัวอันกว้างขวาง จากนั้นผมก็เดินตามอีกฝ่ายไปยังมุมรับแขก ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากระเบียงห้องนัก จึงทำให้เห็นมุมมองของการตกแต่งได้ว่า มันเป็นไปในโทนขาวดำ โดยวอลเปเปอร์เป็นสีดำสลับขาว ส่วนผ้าม่านชั้นแรกเป็นผ้าสีขาวบางๆ ขณะที่ชั้นที่สองเป็นสีดำสนิท โดยผูกปมไว้ตรงมุมข้างด้วยความเรียบร้อย ส่วนเฟอร์นิเจอร์ก็มีทั้งสีขาว และสีออกดำเทาปะปนกัน

“เดี๋ยวกูเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน มึงโทรสั่งเองเลยแล้วกัน” พี่เนย์พูดอย่างให้อิสระ จากนั้นเจ้าตัวก็เดินหายไปทางด้านขวามือ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอน รวมไปถึงห้องแต่งตัวด้วย ส่วนห้องน้ำ ผมคิดว่าน่าจะอยู่ในห้องนอน หรือไม่ก็น่าจะเป็นห้องที่อยู่ติดกับชั้นวางรองเท้าก็เป็นได้ และเมื่อทั้งห้องเงียบสนิท ผมก็ถือโอกาสเสิร์จหาเบอร์โทรของร้านซาซิมิแบบเดลิเวอรี่จากมือถือของตัวเอง จากนั้นก็ตั้งท่าจะกดเบอร์และโทรออกด้วยโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่าย ที่เจ้าตัวเขาทิ้งเอาไว้ให้ แต่ก็ต้องล้มเลิกไป เพราะผมไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับคอนโดของพี่เนย์เลย

ก๊อก ก๊อก

ผมตัดสินใจลุกขึ้นยืน และเดินไปยังห้องที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอนของอีกฝ่าย จากนั้นก็เคาะประตู จนกระทั่งได้ยินเสียงอนุญาต ผมถึงเปิดเข้าไป ซึ่งก็พอดีกับจังหวะที่พี่เนย์กำลังสวมเสื้อยืดสีขาวจนเรียบร้อย

“ผมไม่รู้ทางมาคอนโด” ผมเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย พลางยื่นโทรศัพท์ไปให้
“เออ กูก็ลืมไป งั้นมึงไปเอาเครื่องดื่มที่กูวางไว้บนโต๊ะไปแช่เย็นให้หน่อย” ผมพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอนของพี่เนย์ เพื่อมุ่งตรงไปยังโซนรับแขก จากนั้นผมก็หิ้วถุงเครื่องดื่มเดินตรงมายังโซนห้องครัว ที่มีการตกแต่งแบบครบครัน หากแต่ความสดใหม่ ก็สามารถบ่งบอกได้ว่า เจ้าของห้องเขามีโอกาสใช้อุปกรณ์ในโซนนี้ ไม่มากนัก

ตู้เย็นของพี่เนย์เต็มไปด้วยน้ำเปล่า กับขนมขบเคี้ยวบ้างเล็กน้อย อาจเพราะมีเซเว่นอยู่ใต้คอนโด พี่เขาก็เลยไม่ได้ซื้ออะไรมาตุนไว้มากมายนัก เหมือนกับตอนที่ยังอยู่หอ

“ทำอะไรครับ?” รอบนี้ผมถือโอกาสเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของพี่เนย์อีกครั้ง จึงพบว่าเจ้าของห้องเขายังคงวุ่นวายอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินอยู่ดี
 “หาเสื้อให้มึงใส่” ผมอมยิ้ม โดยไม่คิดจะถามอะไรต่อ จากนั้นผมก็เดินเข้าไปยืนเอนตัว พิงกำแพงสีขาวสะอาด ข้างๆตู้เสื้อผ้าของอีกฝ่าย กระทั่งเห็นตู้เลี้ยงเจ้าเขี้ยวกุด ผมเลยเดินเข้าไปหา จึงพบว่าภายในตู้เต็มไปด้วยหมอกควันคละคลุ้ง ราวกับว่าเจ้าของห้องเขาเพิ่งจะเปิดเครื่องทำความชื้นเมื่อครู่นี้

“ไงเขี้ยวกุด ไม่เจอกันนานเลย” ผมก้มลงไปทักทายเจ้าเขี้ยวกุดที่กำลังเงยหน้ามองมาทางผม คล้ายกับมันกำลังสงสัยว่าไอ้ผู้ชายคนนี้ ทำไมมันหายหน้าหายตาไปตั้งนาน แล้วจู่ๆก็โผล่หัวมาหากันเฉย
“ลืมกันแล้วมั้ง” ผมเอานิ้วจิ้มๆกระจก พลางหัวเราะกับตัวเอง ที่นอกจากจะพูดกับแมวได้เป็นตุเป็นตะ ผมยังสามารถพูดกับเรดอายสกิ้งค์ได้อีกด้วย

“ทำไมหาให้ผมหลายตัวจังครับ?” ผมยืนพิงตู้สีขาวสำหรับวางที่อยู่เจ้าเขี้ยวกุด พลางกอดอกถามอีกฝ่ายที่กำลังรื้อค้นเสื้อผ้า โดยที่ตัวไหนเหมาะกับผม พี่เนย์เขาก็จะโยนกองไว้บนเตียง
“มึงจะได้ไม่ต้องแบกเสื้อไปๆมาๆให้ลำบากไง” อีกฝ่ายเขาว่าอย่างนั้น โดยที่ยังคงก้มหน้าก้มตาหาเสื้อกับกางเกงที่ตัวเองใส่ไม่ได้ แต่ผมยังสามารถใส่ได้ต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ผมได้แต่มองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว กับกางเกงผ้ายืดสีเทา

“ห้องนี้ท่าทางจะแพงนะครับ” ผมพูดขึ้น พลางเดินไปพับเสื้อที่พี่เนย์เป็นคนเลือกมาโยนๆไว้บนเตียงนอนสีเทาอันเรียบง่าย
“อืม”

“เพราะแบบนี้ พี่เลยต้องทำงานมากขึ้น?” ผมย้อนถาม พลางพับเสื้อและกางเกงให้แยกกองกัน
“ก็ประมาณนั้น เพราะคอนโดนี้ กูตั้งเป้าหมายไว้ว่า มันจะเป็นทรัพย์สินของเราสองคน จากนั้นเราก็ค่อยขยับขยายไปเรื่อยๆ จะได้ไม่ลำบากตอนแก่” ทันทีที่ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายจบ ผมก็อดจะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะสิ่งที่พี่เขาพูด มันเป็นแผนการอันยาวไกลมากจริงๆ

“ขำอะไรรัน กูจริงจังนะเว้ย เพราะอนาคตเราจะมีกันแค่นี้ ไหนจะยังมีพ่อแม่ที่เราต้องดูแลอีก กูเริ่มทำงานแล้ว กูก็ต้องคิดไว้บ้าง เดี๋ยวถ้ามึงเดินไปถึงเส้นชัยเมื่อไหร่ มึงก็ต้องคิดแบบกูนั่นแหละ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

“แต่มึงหัวเราะ” พี่เนย์พูด พลางเหวี่ยงเสื้อมาทางนี้ จนมันหล่นแหมะลงบนหัวผมได้อย่างพอดิบพอดี คล้ายกับคนโยนเขาเพ่งเล็งเอาไว้นานแล้ว
“ตอนนี้ผมอาจจะยังมองอนาคตที่พี่คาดหวังเป็นเรื่องไกลตัว แต่ผมก็เชื่อนะครับ ว่าสิ่งที่พี่คิด ที่พี่วางแผนไว้ มันจะต้องดีกับเราสองคนแน่ๆ” ผมเดินเข้าไปกอดเอวของอีกฝ่าย พลางฝังหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างหอมๆ ที่ตัวเองไม่ค่อยได้ใกล้ชิดมากนัก
“ช่วงที่กูฝึกงาน พ่อกับแม่ยกยอดค่าคอนโดให้ เพราะพวกท่านเห็นด้วยกับความคิดของกู แล้วท่านก็เอ็นดูมึงด้วย ต่อจากนี้กูถึงต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น เพราะกูไม่อยากไปรบกวนท่านอีก ในเมื่อที่ผ่านมา กูก็รบกวนท่านมามากเกินพอแล้ว”
“…”

“อีกอย่างกูไม่รู้หรอกนะ ว่ามึงจะมาทำงานที่กรุงเทพมั้ย แต่กูก็อยากวางแผนเผื่อไว้ก่อน เพราะถ้ามึงเรียนจบ กูกะจะไปพูดกับพ่อและแม่ของมึงอย่างจริงๆจังๆเกี่ยวกับเรื่องของเราสักที”
“อือ อันที่จริงเป้าหมายของผม คือล่ามภาษามือ ที่อยู่ในโทรทัศน์น่ะครับ ยังไงก็คงต้องเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ”

“แต่ก่อนหน้านี้ ผมลองเกริ่นๆกับแม่ช่วงปิดเทอมไปบ้างแล้ว ท่านก็เงียบๆ ไม่ได้ว่าอะไร ผมเลยยังไม่แน่ใจว่าท่านจะเห็นด้วยมั้ย แต่ผมเชื่อว่าถ้าหากผมมาอยู่กับพี่เนย์ ท่านจะต้องเบาใจขึ้น”
“เอาไว้เดี๋ยวมึงไปไหนมาไหนได้เอง เดี๋ยวท่านก็วางใจในตัวมึงเองนั่นแหละ แต่ก่อนอื่น กูต้องหาวิธีพูดโน้มน้าวให้สำเร็จก่อน เพราะรอบนั้นที่ท่านปล่อยมึงมา มันคือเหตุจำเป็น แต่รอบนี้มันไม่เหมือนกัน” พี่เนย์พูด พลางหันหน้าเข้าหา จึงทำให้ผมต้องคลายอ้อมกอดของตัวเองลง

“ครับ แต่ถ้าผมมาอยู่ด้วย เราต้องหารค่าใช้จ่ายกันนะ”
“อืม กูรู้ กูยังจำข้อตกลงของเราได้” พี่เนย์คว้าผมเข้าไปกอด พลางหอมศีรษะของผมที่วางแนบอยู่บนเนินไหล่ของอีกฝ่ายพอดิบพอดี จนทำเอาผมนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

“พี่ครับ ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดัน ที่ทำให้ผมกลับมาพูดได้อีกครั้งนะครับ วันแรกที่ผมทำสำเร็จพ่อกับแม่ดีใจมากกว่าที่ผมคาดคิดเอาไว้เสียอีก วันนั้นผมเลยรู้สึกดีใจ แล้วก็ภูมิใจมากๆเลยครับ ที่ผมทำให้พวกท่านยิ้มได้ ในแบบที่ไม่เคยยิ้มได้มากเท่านี้มาก่อน” ผมกอดพี่เนย์แน่นขึ้น พลางเปลี่ยนมาฝังใบหน้าลงกับซอกคอของอีกฝ่าย
“มึงเก่งมาก” พี่เขากระซิบพลางลูบศีรษะของผมครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับกอดรอบเอวให้แน่นขึ้น จนผมหลุดหัวเราะ เพราะคำชื่นชมจากพี่เนย์ มันทำเอาหัวใจของผมรู้สึกพองโตอย่างบอกไม่ถูก
คล้ายกับว่า ในเวลานี้ คือเวลาอันสมควรแล้ว ที่ผมจะรับฟังคำกล่าวชมนั้นอย่างเต็มภาคภูมิ

“ที่กูพูด ไม่ได้เพื่อเอาใจมึงนะ แต่กูพูดเพราะกูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ มึงเก่งมากในสายตาของกูมานานแล้ว แถมยังเก่งกว่ากูซะอีก” พี่เนย์งัดใบหน้าของผมขึ้นมาสบกัน พร้อมกับพูดประโยคหนึ่งอย่างช้าๆชัดๆ จนทำเอาผมใจเต้นแรง บวกกับนัยน์ตาคมกริบของอีกฝ่าย กำลังสะท้อนภาพใบหน้าของผม ที่กำลังยกยิ้มจนตาปิด เพราะกำลังดีใจที่ได้รับคำชมนั้นอย่างจริงใจ
“ขอบคุณที่อยู่ข้างๆผมนะครับ เพราะการที่มีใครสักคนยืนอยู่ตรงนั้น มันทำให้ผมอุ่นใจมากจริงๆ” ผมมองเข้าไปนัยน์ตาของอีกฝ่าย พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่บังคับไม่ให้สั่น พร้อมกับยกยิ้มในแบบที่ชอบทำ

“ถ้าไม่มีพี่เนย์ ผมคงไม่มีวันก้าวเดินไปข้างหน้าได้แน่ๆ เพราะถึงผมจะมีเพื่อน แต่บางครั้ง เพื่อนก็ไม่สามารถเติมเต็มอะไรบางอย่างได้เหมือนกับความรักในรูปแบบของคนรัก และอะไรบางอย่างของความรักในแบบคนรัก ก็ไม่สามารถทดแทนมิตรภาพของเพื่อนได้ หรือแม้แต่ความรักของพ่อกับแม่ก็ด้วย มันต่างกันหมดเลยครับ”
“…”

“แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็เคยคิดเอาไว้อีกอย่างนึงนะครับ ว่าถ้าหากผมสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีพี่เนย์ได้ ผมจะยังสามารถเดินไปจนถึงเส้นชัยได้หรือเปล่า เพราะหลายๆสิ่งที่ผมเจอ มันทำให้ผมท้อแท้ใจ และคิดอยากจะยอมแพ้อยู่หลายครั้ง แต่เพราะในความเป็นจริง คำพูดของพี่เนย์ มันคอยทำให้ผมกลับมาหยัดยืนได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นคำตอบของคำถามที่ผมคิด มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่เลย ผมไม่มีทางทำสำเร็จ ถ้าหากไม่มีพี่คอยยืนอยู่ข้างๆ” ผมยิ้มขณะที่พี่เนย์กำลังลูบหน้าลูบตาของผมอย่าวแผ่วเบา พร้อมกับอมยิ้มตรงมุมปากตลอดการรับฟังความในใจจากผม ที่ไม่เคยได้บอกใคร นอกจากอีกฝ่าย
“กูเองก็โชคดี ที่มีมึงอยู่ข้างๆเหมือนกัน” พี่เนย์พูดเพียงแค่นั้น แล้วโฟกัสทางสายตาของผมก็เริ่มพร่าเลือน เมื่อริมฝีปากของเรากำลังเกาะเกี่ยวแนบชิดกัน ก่อนจะเล็มไล้ตักตวงความหอมหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ และกว่าจะรู้ตัวอีกที แผ่นหลังของผมก็สัมผัสลงบนผิวที่นอนนุ่ม ที่เต็มไปด้วยกองเสื้อผ้า ทั้งจากที่พับแล้ว และยังไม่ได้พับ

ติ้งต่อง~

“ฮ่าๆ” ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้น เมื่อเราสองคนกำลังจะเริ่มสานต่อความสัมพันธ์กันอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าซาซิมิแซลม่อนดันมาส่งได้ถูกเวลาซะนี่ ผมกับพี่เนย์เลยต้องดีดตัวออกจากกัน โดยที่คนนึงเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ พร้อมกับเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปจ่ายค่าเสียหาย ส่วนผมก็ลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆเตียง ที่ในตอนนี้ ผ้าที่พับไว้เป็นกองๆ ดันเละเทะจนไม่เหลือสภาพเดิม

“รันมึงออกมากินข้างนอกเร็วๆ” พี่เนย์ตะโกนเรียกจากด้านนอก ผมจึงรีบขานรับ พร้อมกับลุกเดินออกจากห้องนอน และไม่ลืมจะปิดประตูให้สนิท
เพราะการฉลองในวันนี้ มันคงจะอีกยาวไกล

-----------------------------------
[edit 26/12/2017 แก้คำตกหล่น]
กลับมาแล้วค่ะ เพิ่งแจ้งไปเองว่าคอมโกงความตาย สุดท้ายมันก็ต้องเอามันไปซ่อมจริงๆ กว่าจะกลับมาจับจุดเขียนต่อได้ ยากเหมือนกัน

Cold Drip Coffee คือ วิธีการชงกาแฟด้วยน้ำเย็นแทนที่การชงด้วยน้ำร้อนในแบบเดิมๆ ทำให้ได้กาแฟที่มีรสชาติดีกลมกล่อม หอม และหวานละมุนนุ่มกว่าเดิมเป็นพิเศษ โดยวิธีการชง Cold Drip Coffee มีขั้นตอนและวิธีการชงโดยผ่านเครื่องชงแบบเย็น โดยมีลักษณะส่วนบนเป็นโถใส่น้ำแข็งซึ่งมีวาวล์อยู่ด้านล่าง ส่วนตรงกลางเป็นกระบอกสำหรับใส่กาแฟบด ที่มีฟิลเตอร์สำหรับกรองน้ำ ลงมาในเหยือกที่รองรับน้ำกาแฟที่จะหยดลงมา โดยเวลาชงนั้นเป็นการเติมน้ำเย็นลงไป ใส่กาแฟบดลงไปในกระบอก แล้วปรับวาล์วให้น้ำเย็นค่อยๆ หยดลงมา ซึ่งในการชงกาแฟสกัดเย็นนั้นจะใช้เวลานานมาก เนื่องจากต้องค่อย ๆ ปล่อยให้กาแฟหยดลงมาอย่างช้าๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานาน 12 – 14 ชั่วโมง กว่าจะได้กาแฟ 1 แก้วไว้รับประทาน
ที่มา : http://suzuki-coffee.com/cold-drip-coffee/

ปล. ในเรื่องเป็นชานะคะ แต่ใช้วิธีชงแบบกาแฟ ถ้าใครสนใจดูรูปเครื่องชงกับต้นอาร์ติโชคและอื่นๆ สามารถดูได้ที่เด็กดีค่ะ
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=53
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 23 ♥ หน้า 10 (up 22/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-12-2017 17:55:25
ปลื้มใจกับทุกความสำเร็จที่รันและเนย์ได้เจอะเจอ ภูมิใจด้วยเหมือนตัวเองเป็นแม่ที่เฝ้าดูการเติบโตของทั้งคู่เลย 5555
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 23 ♥ หน้า 10 (up 22/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 22-12-2017 18:38:27
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 23 ♥ หน้า 10 (up 22/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 22-12-2017 19:26:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 23 ♥ หน้า 10 (up 22/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 22-12-2017 19:49:48
ดีใจกับน้องรันด้วย เย้!! หายเป็นปกติแล้วว
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 23 ♥ หน้า 10 (up 22/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 22-12-2017 22:23:56
ปกติแล้ววว เย้!!!!!!!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 23 ♥ หน้า 10 (up 22/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-12-2017 09:20:18
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 23 ♥ หน้า 10 (up 22/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-12-2017 11:34:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 24 ♥ หน้า 10 (up 24/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 24-12-2017 11:20:10
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 24

เมื่อวานตอนก่อนจะกลับมายังมหาวิทยาลัย พี่เนย์พาผมแวะไปหาคุณแม่ที่บ้าน ส่วนคุณพ่อท่านเข้าเวร เราก็เลยไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากัน ซึ่งมันประจวบเหมาะกับวันนั้น คุณแม่ท่านต้มปูเอาไว้เป็นหม้อๆ ผมก็เลยลาภปาก เพราะได้กินจนหายอยาก แถมยังมีโอกาสสอนพี่เนย์แกะปูด้วย ซึ่งพออีกฝ่ายเขาแกะเป็น ทีนี้เราสองคนก็แทบจะตีกันให้ได้
คุณแม่ท่านก็เลยต้องแบ่งปูในส่วนของผมและของพี่เนย์ ไว้คนละฝั่งของถาดใบใหญ่

“ไอ้เชี่ย วันนี้พี่ล่ามมา แต้มบุญของทุกคนในสาขาวันนี้มันน้อยนิดขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวตามไอ้หมอก ที่เปิดประตูชะโงกหน้าเข้าไปยังห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว แต่สายตาของมันดันประสบเข้ากับพี่ล่ามสุดยอดไอดอล ไอ้นี่มันเลยถึงกับเบรกฝีเท้าจนหัวทิ่ม พร้อมกับรีบปิดประตูแทบไม่ทัน

คือเรื่องของเรื่อง สาขาของเราในชั้นปีที่สาม จะมีเรียนภาษามือทั้งด้านการแพทย์และกฎหมาย ซึ่งทุกคาบจะมีอาจารย์ที่บกพร่องทางการได้ยิน กับอาจารย์ที่ไร้ข้อบกพร่องมาเข้าสอนพร้อมๆกัน โดยอาจารย์จะสุ่มเรียกชื่อเพื่อให้ไปยืนแปลภาษามือตรงหน้าชั้นเรียน จากนั้นอาจารย์ที่ไร้ข้อบกพร่อง จะเป็นคนพูดเรื่องรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับโรค เช่นว่า มีสาเหตุมาจากอะไร อาการเป็นยังไง การรักษาต้องทำยังไง แล้วการป้องกันล่ะเป็นยังไง ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ล้วนเต็มไปด้วยศัพท์ทางการแพทย์แทบทั้งนั้น นี่คือสาเหตุที่ผมกังวล แต่ก็ยังไม่เครียดมากเท่าพวกไอ้หมอก ไอ้คิน เพราะผมยังไม่เคยถูกสุ่มเรียกชื่อ ซึ่งไอ้เพื่อนซี้ของผม แม่งดวงดีตั้งแต่สัปดาห์แรกๆของการเรียนการสอนเลยทีเดียว แถมที่พีคไปกว่านั้น ก็คือพี่ล่ามแกมานั่งดูด้วย ทุกคนเลยพากันเกร็งชิบหายวายวอด เพราะการที่พี่ล่ามเขาปรากฏตัว มันก็ให้อารมณ์เหมือนกับโวลเดอมอร์ จากเรื่องแฮรี่พ็อตเตอร์ ปรากฏตัวน่ะแหละ ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพี่เขาน่ากลัว โหดร้าย หรืออะไรเลย เพียงแต่เวลาเรียน พี่ล่ามจะดุและจริงจังมาก แต่นอกเวลาเรียนนี่จะเล่นหรือจะอะไร พี่เขาก็รับได้ทุกสถานการณ์ ดังนั้นถ้าหากเจอพี่ล่ามในคาบเรียน จึงหมายความว่าวันนั้นแต้มบุญของทุกคนรวมกันยังมีไม่มากพอที่จะทำให้พวกเราโชคดี
เนื่องจากหลายๆครั้ง เวลาที่เพื่อนหน้าชั้นเรียนอธิบายไม่ชัดเจน พี่ล่ามจะเสนอแนะให้เราอธิบายให้ครอบคลุมขึ้น ส่งผลให้อาจารย์ที่มีข้อบกพร่องทางการได้ยินเริ่มกระจ่างแจ้งว่า เออ นักศึกษาเธอทำผิดแล้วนะ แต่ถ้าคาบไหนไม่มีพี่ล่าม อาจารย์แกจะแค่นั่งขมวดคิ้ว ซึ่งนั่นคือสัญญาณเตือนว่าอาจารย์ไม่เข้าใจภาษามือของเรา แต่จะทำอะไรได้ครับ ในเมื่ออาจารย์อีกท่านก็ยังคงพูดข้อมูลของโรคดังกล่าวต่อไป ส่งผลให้เราบรรยายออกมาเป็นภาษามือให้อาจารย์รับรู้ได้ไม่ครบถ้วน แถมยังมีสายตามากกว่าสิบคู่ของเพื่อนร่วมสาขาที่มองมายังเราอีก ใครไม่เกร็งและเครียด หรือสั่นจนสมองประมวลผิด ประมวลถูก ก็เก่งแล้ว จากนั้นท้ายชั่วโมงอาจารย์ก็จะเสนอแนะ และติงบางคำเท่าที่แกจับใจความได้ แต่ถ้าพี่ล่ามอยู่ ก็จะถูกติงเยอะหน่อย ฉะนั้นทุกๆคาบ ผมได้แต่ภาวนาให้แต้มบุญของผมมันเพียงพอที่จะไม่ต้องออกไปบรรยายภาษามือตรงหน้าชั้นเรียน
แม้ผมจะรู้ตัวดีว่า ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้
แต่อย่างน้อย การพึ่งไสยศาสตร์ มันก็ทำให้เราอุ่นใจดีนี่หว่า

ส่วนคาบกฎหมาย ก็ไม่ต่างกันเลย เปลี่ยนแค่จากข้อมูลทางการแพทย์ มาเป็นข้อมูลเบื้องต้นของกฏหมาย เช่น กฎคุ้มครองสิทธิ์ผู้พิการ จรรยาบรรณล่ามเกี่ยวกับผู้พิการ  ซึ่งมีการสุ่มเรียกให้ออกมาบรรยาภาษามือตรงหน้าชั้นเรียนเหมือนกันเป๊ะ แล้วท้ายคาบก็ต้องมีการการบ้านเหมือนกันเป๊ะ ซึ่งการบ้านก็ไม่ได้นอกเหนือไปจากเนื้อหาที่เรียนแต่อย่างใด ประมาณว่าคาบนั้นเรียนโรคหรือหลักสิทธิอะไร ก็ต้องอัดวีดิโอเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ มาส่งก่อนจะเริ่มคาบเรียนในครั้งต่อไป ซึ่งการบ้านแบบนี้ มันเป็นอะไรที่พวกเราชาวหูหนวกศึกษาคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็เลยไม่วุ่นวายอะไรมาก
เรียกได้ว่าเราปรับตัวเข้ากับการศึกษาได้ดี เหมือนกับปลาดุกจำศีลตอนหน้าแล้ง

“เนรัน” ผมยกแผ่นไม้สำหรับเขียนเลคเชอร์ขึ้น พลางลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบกระเป๋าสะพายใบเก่งติดมือมาด้วย ก่อนจะกลับหลังหันเข้าหาเพื่อนร่วมสาขา เพื่อวางกระเป๋าใบโปรดลงบนที่นั่ง พร้อมกับทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ใส่พวกไอ้หมอกไอ้คินที่นั่งอยู่ข้างๆ หลังจากที่วันนี้อาจารย์ดันสุ่มเรียกชื่อผมจนได้
“ซวย” ไอ้หมอกมันขยับปากพูดแบบไม่มีเสียง พลางหัวเราะคิกคักอย่างสะใจ เพราะการโดนสุ่มเรียกของผมในครั้งนี้ สถานการณ์มันก็ไม่ต่างอะไรกับตอนที่พวกมันสองคนถูกสุ่มเรียกเลยสักนิด ดังนั้นเพื่อนสนิทอย่างพวกมันถึงได้ดูสะใจเป็นพิเศษ

“โรคไข้เลือดออก” พอผมเดินไปหยุดยืนตรงหน้าห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว อาจารย์วิมลก็เริ่มพูดถึงโรคที่เราจะเรียนกันในวันนี้ ผมจึงยกมือซ้ายขึ้นตั้งฉาก ในแนวราบตรงระดับอก ขณะที่มือขวาก็จับจีบเหมือนรำไทย โดยคว่ำปลายจีบให้จิ้มลงบนหลังมือขวา คล้ายกับปากแหลมๆของยุงที่กำลังจะดูดเลือด จากนั้นก็ยกมือที่จับจีบขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะตีลงบนหลังมือด้านซ้าย คล้ายกับท่าทางของการโดนยุงกัดแล้วเราก็ตีมัน ก่อนจะเอาหลังมือข้างขวาขึ้นไปแตะตรงหน้าผาก พร้อมกับปรือตาเหมือนคนกำลังไม่สบาย
“เป็นโรคติดเชื้อ ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสเดงกี โดยมียุงลายบ้านเป็นพาหะนำโรค” พอผมแปลภาษามือของโรคดังกล่าวจบ อาจารย์ก็เริ่มบรรยายถึงสาเหตุของการเกิดโรค ขณะที่ผมก็ต้องใช้สมองอย่างหนักหน่วง เพราะการออกมายืนอยู่ตรงหน้าชั้นเรียน โดยมีอาจารย์สองท่าน รวมถึงพี่ล่าม และเพื่อนๆคนอื่นจ้องมองมาที่ผมคนเดียว มันก็อดจะตื่นตระหนก จนแปลสารคลาดเคลื่อนไม่ได้ ยิ่งเจอศัพท์ทางการแพทย์อย่าง ‘เชื้อไวรัสเดงกี’ ผมก็ยิ่งมึน เพราะเหมือนมันติดอยู่ในใจ แต่กลับคิดไม่ออก กระทั่งเหลือบไปเห็นไอ้หมอกกำลังทำท่ามือ ‘หนอน’ โดยการแบมือซ้ายขึ้น พร้อมกับใช้นิ้วชี้ข้างขวาจรดลงตรงกึ่งกลางของฝ่ามืออีกข้าง ก่อนจะขยับนิ้วชี้ให้เหมือนกับลักษณะการเดินของหนอนไปตามความยาวของฝ่ามือข้างนั้น ผมก็เลยเริ่มจะประติดประต่อได้
เพราะท่ามือ ‘หนอน’ สามารถใช้สื่อถึงคำว่า ‘เชื้อไวรัส’ ได้

จากนั้นผมก็เริ่มแปลภาษามือเป็นคำว่า ‘เดงกี’ ซึ่งต้องใช้การประสมคำของพยัญชนะและสระ โดยเริ่มที่ ‘สระเอ’ ด้วยการแบมือข้างซ้ายขึ้นตั้งฉาก พร้อมกับใช้นิ้วชี้จิ้มที่ปลายนิ้วนางข้างซ้าย ต่อด้วย ‘ด’ โดยการชูนิ้วชี้ข้างขวาขึ้น คล้ายกับสัญลักษณ์ของเลขหนึ่งที่คนทั่วไปทราบกันดี ตามด้วย ‘ง’ เริ่มจากการชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางข้างขวาขึ้นและหุบลง ก่อนจะเปลี่ยนมาชูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ในแนวราบ คล้ายกับการแอคท่าหล่อๆที่คนทั่วไปชอบวางแปะไว้ตรงปลายคางขณะที่กำลังโพสต์ท่าถ่ายรูป จากนั้นก็ต่อด้วย ‘ก’ โดยการชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางด้านขวาขึ้น พร้อมกับเอานิ้วโป้งแตะลงตรงกึ่งกลางระหว่างสองนิ้วนั้น ต่อด้วย ‘สระอี’ โดยการชูมือขวาขึ้นพร้อมกับงอนิ้วทั้งห้าแนบลงกับฝ่ามือ ก็เป็นอันจบภาษาทางการแพทย์
“กล่าวคือยุงลายตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออก แล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียง ในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร ซึ่งจะเป็นการแพร่เชื้อไปให้บุคคลอื่น ๆ ต่อไป อีกทั้งยุงชนิดนี้ ยังเป็นยุงที่ออกหากินในเวลากลางวันและกลางคืน และชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ แจกัน จานรองตู้กับข้าว กระป๋อง ฝากะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ หลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น” อาจารย์วิมลยังคงบรรยายต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่ได้นึกถึงสมองน้อยๆของผมเลย ว่าจะประมวลผลทันหรือไม่ ยิ่งเจออาจารย์พิสมัยขมวดคิ้วด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งห่อเหี่ยวใจจนไม่กล้ามองไปยังพี่ล่ามอีกเลย พร้อมกับรู้ตัวดีว่า หลังจากจบการบรรยายสาเหตุของโรคแล้ว ผมน่าจะโดนพี่ล่ามให้คำแนะนำเป็นคนแรก จากนั้นอาจารย์พิสมัยผู้มีความบกพร่องทางการได้ยินก็จะคอมเมนต์ยาวๆ เพื่อต่อยอดจากข้อมูลของพี่ล่ามให้ครบถ้วน เพราะว่าพี่เขาทั้งได้ยินและเข้าใจภาษามือ จึงสามารถเก็บรายละเอียดยิบย่อยได้เยอะ
ดังนั้นพวกเราจะกลัวพี่ล่ามมากกว่าอาจารย์พิศมัยก็ไม่แปลก

“โหดเชี่ยๆ เลยโว้ย! พี่เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ไม่ว่าจะหมอหรือนักกฎหมาย พี่ก็เป็นได้!” หลังจากหมดคาบเรียน พร้อมกับได้การบ้านมาคนละชิ้น ผมก็อดจะบ่นออกมาไม่ได้
“ไงล่ะมึง เข้าใจอารมณ์เครียดและกดดันของกูหรือยัง?” ไอ้คินมันหัวเราะอย่างตลกขบขัน เมื่อเห็นผมโวยวายออกมาเป็นครั้งแรก ซ้ำยังยีหัวตัวเองจนยุ่งเหยิง ไม่ต่างกับวันที่มันถูกเรียกให้ไปแปลภาษามือเรื่องต้อกระจก ซึ่งมีศัพท์ทางการแพทย์ที่มันหินๆ ไม่ต่างกับโรคไข้เลือดออกของผมเลย และวันนั้นทั้งไอ้คินไอ้หมอก ก็เสือกดวงดี โดนเรียกติดๆกันด้วย ครั้นพอจบคาบ พวกแม่งก็ยีหัวจนยุ่งเหยิง ขณะที่ผมกลับหัวเราะด้วยความชิวเว่อร์ เพราะผมไม่โดนเรียกไง ส่วนการบ้านเราก็มีเวลาปรึกษาหารือกับเพื่อนได้ ฉะนั้นผมจะเครียดไปทำไม

“เออ ไม่โดนกับตัว แม่งไม่รู้เลยว่ามันหินชิบหาย กังวลตอนสอบเลยว่ะ กูตายแน่ พี่ล่ามแม่งต้องเข้ามาดูแน่ๆ” ผมพูดพร้อมกับทำสีหน้าสยดสยอง เพราะภาษามือหินๆ ที่เราเรียนมันไม่ได้มีแค่ด้านการแพทย์นี่สิ
ท่าทางว่าช่วงสอบมิดเทอม ผมคงได้ตายคูณสองแน่ๆเลยว่ะ

“งั้นพวกเรามายืนไว้อาลัยแด่มิดเทอมในปีนี้พร้อมกันสามนาที” ไอ้หมอกมันว่า พลางควงแขนพวกผมคนละข้าง พร้อมกับยืนตรงแหน่ว อีกทั้งยังก้มหน้าอย่างสำรวมตรงหน้าตึกคณะอย่างไม่เกรงใจสายตาใคร
“ตลก!” ผมเฉดหัวไอ้เพื่อนสุดกวนประสาทสักหนึ่งที จากนั้นผมก็เดินตรงไปยังที่จอดรถจักรยาน เพราะขณะนี้มันก็เที่ยงตรงแล้ว เราก็ควรหาอะไรแดกแก้เครียดท่าจะดี

“เอาจริงๆ กูเริ่มเครียดแล้วว่ะ คืนนี้ลองสุ่มแปลภาษามือโรคที่เคยๆเรียนดูดีกว่ามั้ย” ผมถามขณะกำลังกินข้าวผัดทะเลที่โรงอาหารกลางพร้อมกับไอ้เพื่อนซี้และสามสาวจากคณะบัญชี
“เออ กูว่าก็ดีนะ แถมปีนี้ปีเราไม่มีแคมเปญด้วย ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกเยอะ” ไอ้คินพยักหน้าพร้อมกับแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน

“มึงเลิกขี้เกียจเลยไอ้หมอก งานนี้มึงชิวไม่ได้นะเว้ย” ผมเตะขาไอ้เพื่อนรักที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับชักจูงให้มันเลิกทำตัวชิวเหมือนที่ผมเคยเป็น เนื่องจากไอ้หมอกมันเป็นคนที่อารมณ์แจ่มใสมากเว่อร์ เครียดอะไรไม่ค่อยจะนานหรอก สุดท้ายก็ชิวเกินจนเกือบจะซวย ดีที่พวกผมเคี่ยวเข็ญมันได้ ไม่ต่างกับวิชาภาษามือของปีก่อนๆ ที่มันเองก็ช่วยเคี่ยวเข็ญพวกผมอย่างสุดความสามารถ
“เออๆ กูรู้น่า เริ่มสักสามสี่ทุ่มแล้วกันนะมึง กูขอพักสมองก่อน” ผมพยักหน้าอนุญาต เพราะบ่ายนี้ผมกะจะไปนั่งจิบชา ตามคำแนะนำของพี่เนย์เพื่อแก้เครียดด้วยเหมือนกัน

กระทั่งเวลาใกล้จะบ่ายโมง สามสาวจากคณะบัญชีเขาก็ต้องไปเรียนต่อ ส่วนเพื่อนอีกสองคนก็ขอตัวกลับไปนอนเอาแรง ขณะที่ผมก็ยังคงมีจุดยืนที่ชัดเจน จึงเดินแยกมาที่คาเฟ่เจ้าประจำเพียงลำพัง และเมื่อมาถึงร้าน ผมก็เดินไปสั่งเมนูที่เคาน์เตอร์ พร้อมกับสอบถามประเภทชาแบบ cold drip ว่ามันมีให้เลือกกี่ประเภท

“เมนูแบบ cold drip ของทางร้านเราก็จะมีชาเอิร์ลเกรย์ฮันนี่ไลม์จินเจอร์ รสชาติจะออกหวานๆเปรี้ยวๆของน้ำผึ้งผสมมะนาว แล้วก็ชาอู่หลงฮันนี่ไลม์มินท์ ตัวนี้ก็จะมีกลิ่นมินท์เพิ่มความโดดเด่นเข้ามาค่ะ ส่วนชาจัสมินฮันนี่ไลม์เลมอนกราส กลิ่นจะเบาๆหน่อย แต่ก็เข้ากันได้ดีกับกลิ่นสดชื่นของตะไคร้ ส่วนรสชาติก็จะผสมผสานความเปรี้ยวหวานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนอีกเมนูนึงที่อยากแนะนำก็คือชาอาร์ติโชค เป็นชาตัวใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมมากๆเลยค่ะ”
“ผมขอเป็นเอิร์ลเกรย์ดีกว่าครับ” ผมตอบพลางยกยิ้ม จากนั้นก็รับเครื่องเรียกคิวมาถือไว้ ก่อนจะเดินหามุมสงบของร้านในการนั่งเอ้อระเหย โดยผมเลือกนั่งตรงซอกหลืบเล็กๆ ข้างๆ เคาน์เตอร์ที่ไม่ค่อยมีคน อีกทั้งยังเป็นมุมที่ค่อนข้างเงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากๆ มุมหนึ่ง แถมบนโต๊ะยังประดับด้วยแจกันดอกไม้แห้งและยังมีตุ๊กตาน่ารักๆสองตัววางเอาไว้ข้างๆ ซึ่งถ้าหากผมจำไม่ผิด ที่นั่งมุมประจำของผมกับพี่เนย์จะไม่มีตุ๊กตาแบบนี้วางไว้
แสดงว่าทางร้านเขาคงจะเลือกวางเฉพาะมุมเล็กๆของร้านล่ะมั้ง

‘น่ารักมั้ยครับ?’ หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ผมก็ส่งไลน์ไปให้หนุ่มกรุงเทพ ผู้ชื่นชอบสัตว์แปลกๆ จากนั้นผมก็เป็นหาข้อมูลของสัตว์ประหลาดตัวที่ว่า เพราะผมคุ้นๆเหมือนกับว่าตุ๊กตาสองตัวนี้จะเป็นจิ้งจกน้ำ หรืออะไรสักอย่างที่มีขายอยู่ในร้านเดียวกับที่พี่เนย์ไปเจรจาซื้อขายเจ้าเขี้ยวกุดนั่นแหละ
‘จิ้งจกน้ำเม็กซิกัน เหมือนเพื่อนรักเจ้าเขี้ยวกุดเลยนะครับ’ ผมอมยิ้มพลางกดส่งข้อความไปให้นักจิตบำบัดที่ตอนนี้คงจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอยู่ และกว่าจะรู้ว่าผมกำลังล้อเจ้าลูกชายของตัวเองก็คงจะเลิกงานโน่นเลย ซึ่งระหว่างนี้ ผมก็ฆ่าเวลาด้วยการเฝ้ามองหยดน้ำทองอ่อนๆ ที่ค่อยๆตกกระทบลงในภาชนะสำหรับรองรับน้ำชาที่เกิดจากการกลั่นตัวของผงชาเอิร์ลเกรย์อันขึ้นชื่อจากประเภทอังกฤษตามคำโฆษณาของพนักงาน

ติ้ง!

‘เหมือนยังไงไม่ทราบ?’ หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พี่เนย์ก็ส่งไลน์มาถาม ผมจึงรีบอมยิ้ม พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาจะอธิบายความเหมือนของเจ้าซาราแมนเดอร์สัญชาติแม็กซิโกกับเรดอายสกิ้งค์ลูกรักของคุณอาคเนย์
‘ประหลาดเหมือนกันไงครับ พี่ดูสิจิ้งจกน้ำมันมีหนวดเหมือนนกยุงตอนกำลังลำแพนหาง แต่หน้าตาของมันกลับเหมือนปลาดุกชนเขื่อน ส่วนขาของมันดันเหมือนจิ้งจก แต่ตัวดันเหมือนลูกอ๊อด’ ผมขำคิกคักอย่างชอบใจ แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกแหย่อีกฝ่าย เพราะท่าทางว่าพี่เนย์จะมาพักเข้าห้องน้ำ ก็เลยสามารถโต้เถียงกับผมได้ ก่อนจะหายไปแบบไม่บอกไม่กล่าว

ติ้ง!

‘วอนซะแล้วมึง ไอ้ที่บรรยายมานี่ ไม่ได้เสี้ยวของลูกกูเลย แล้วอีกอย่างลูกกูออกจะเท่เหมือนมังกร ไม่ได้ประหลาดเหมือนไอ้ตัวอะไรนั่นที่มึงว่า’ แต่หลังจากนั้นไม่นาน พี่เนย์ก็ส่งไลน์มาหาผม พร้อมกับพิมพ์สาธยายเสียยืดยาว โดยที่อ่านดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเขาใส่อารมณ์มากแค่ไหน

Rrrr

“กล้ารังแกลูกกูเหรอมึง เดี๋ยวจะโดน” หลังเลิกงาน นักจิตบำบัดเขาก็รีบโทรหาผม พร้อมกับพูดจาหาเรื่อง เพื่อปกป้องเจ้าเขี้ยวกุดสุดพลัง
“ขำนะมึง ขำเข้าไป” พี่เนย์รีบพูดสวนขึ้นมาทันที ที่ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆในลำคอของผม พร้อมกับทำน้ำเสียงดุๆ แต่มันก็ไม่เคยน่ากลัวสำหรับผมเลยสักนิด

“เสาร์นี้มาหากูด้วย”
“แม่อนุญาตแล้วเหรอครับ?” ผมรีบถามขึ้นด้วยความตกใจ เพราะผ่านไปแค่ไม่กี่วัน แต่พี่เนย์กลับเจรจาจนสำเร็จ

“อืม”
“ทำไมพี่ถึงขอแม่ได้เร็วจังครับ?” ผมยังคงซักถามต่อไป

“ความลับ แค่นี้นะ กูจะไปเดินตลาด” พี่เนย์ตอบเพียงแค่นั้นแล้วก็วางสายไป ผมจึงได้แต่มองหน้าจอโทรศัพท์ที่ค่อยๆดับสนิทด้วยความคาใจ ครั้นจะโทรไปถามแม่ ผมก็คิดว่าแม่ต้องไม่ยอมบอกแน่ๆ ในเมื่อพี่เนย์เล่นบอกแต่ความลับๆ ป่านนี้แม่คงจะโดนพี่เขาซื้อใจจนคล้อยตามไปหมดแล้วมั้ง ผมจึงยักไหล่พร้อมกับโคลงหัวไปมาอย่างปล่อยวาง
โดยเลือกคิดซะว่า ถ้าอันไหนที่พี่เขาอยากให้รู้ ก็คงจะบอกด้วยตัวเองไปแล้ว แต่ถ้าอันไหนที่พี่เขาไม่อยากให้รู้ ก็ต้องกลายเป็นความลับแบบนี้ต่อไปนั่นแหละ
 
หลังจากละเลียดความสบายใจจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องมานั่งคร่ำเคร่งทบทวนภาษามือทั้งกฎหมายและการแพทย์ พร้อมกับช่วยกันทำการบ้านไปด้วย จะได้ไม่ต้องไฟลนก้นเอาภายหลัง
ขณะที่วิชาอื่นๆ ก็ไม่ค่อยจะมีรายงานหรืออะไรสักเท่าไหร่ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ

“ครับ” ผมออกมารับสายพี่เนย์ข้างนอกระเบียง ขณะกำลังถกกับเพื่อนเรื่องภาษามือยังไม่จบ
“มึงกินขนมปลากริมไข่เต่าเป็นป่ะ วันนี้มีป้ารถเข็นแกมาขายที่โรงพยาบาล กูเลยซื้อมาลองกินดู อร่อยดี ไว้มึงมาหาจะได้ซื้อเก็บไว้ให้” พี่เขาร่ายยาวเข้าประเด็นอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ก็กินได้ครับ” ผมตอบพลางขมวดคิ้ว เพราะไม่รู้จักขนมชนิดนี้ แต่เคยได้ยินอยู่บ้าง
“อืม แล้วนี่ทำอะไรอยู่?”

“กำลังทบทวนภาษามือ แล้วก็เคลียร์การบ้านน่ะครับ”
“งั้นมึงไปทำงานเถอะ เสร็จเมื่อไหร่ก็ค่อยโทรมา” อีกฝ่ายรีบออกปากไล่ทันที ไม่มีอิดออด

“พี่จะไม่หลับก่อนเหรอครับ ไม่เหนื่อยเหรอ?” ผมถามพลางอมยิ้มนิดๆ
“เหนื่อย แต่ฟังเสียงมึงแล้วมันหาย” พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย คล้ายกับว่าเจ้าตัวใกล้จะหลับเต็มที

“ครับ งั้นเดี๋ยวผมโทรหาอีกทีนะ” ผมรับปาก แม้ว่าจะเดาออกเลยว่าอีกฝ่ายน่าจะหลับสนิทก่อนที่งานของผมจะลงตัวซะที เพราะตั้งแต่พี่เขาทำงาน เราก็ยังไม่เคยได้คุยกันนานๆเลย กระทั่งผมเคลียร์ความเข้าใจในเรื่องการบ้านเท่าที่พอจะเคลียร์ได้เสร็จ ผมก็ลองโทรหาอีกฝ่าย แต่ก็ไม่มีคนรับ ผมเลยถือโอกาสอาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอน
โดยไม่คิดจะโทรกลับไปรบกวนอีกฝ่ายซ้ำๆอีก แต่กลับเลือกที่จะส่งข้อความสั้นๆ ที่ไม่น่าจะรบกวนการนอนของพี่เขาแทน ซึ่งเป็นคำอวยพรให้หลับฝันดีแบบมีนัยยะไม่โจ่งแจ้งมากนัก ด้วยประโยคที่ว่า..

‘Don’t let the bedbugs bite’


----------------------------------------------------
สำหรับตอนนี้ เราขอใส่รายละเอียดเกี่ยวกับการเรียนภาษามือที่เพิ่มระดับขึ้นมาหน่อยเนอะ จะได้เห็นภาพรวมว่ามันเป็นยังไง อันนี้เราให้ผู้ให้ข้อมูลลองตรวจเช็คอีกรอบแล้วค่ะ เป็นสาขาที่ยาก แต่ก็มีประโยชน์มากๆจริงๆ เราจะเจาะแค่วิชาภาษามือนะคะ วิชาอื่นไม่ขอเอ่ยถึงดีกว่า เดี๋ยวมันจะเยอะเกิน และตอนนี้ปิดท้ายด้วยประโยคคูลๆในภาษาอังกฤษ ที่มันแปลตรงตัวว่า 'อย่าให้แมลงที่เตียงกัดนะ'  เป็นคำอวยพรที่น่ารักและดูมีความหมายแอบแฝง เหมาะกับคนชอบตีความอย่างพี่เนย์ที่สุดค่ะ ไว้ให้เฉลยในเนื้อเรื่องอีกทีนะ 555
ปล. คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี) (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)

ชาเอิร์ลเกรย์ เป็นชาที่รสชาติเบา มีสีทองอ่อน และมีกลิ่นบางๆ จัดอยู่ในประเภทชาผสม (หรือเรียกว่า เบนที) โดยการนำใบชาดำ มาผสมกับน้ำมันหอมระเหยของพืชตระกูลส้ม เพื่อแต่งกลิ่นให้หอมละมุน คล้ายกลิ่นมะกรูด มะนาว ซึ่งน้ำมันหอมระเหยนี้ดีต่อระบบย่อยอาหาร เพราะจะไปกระตุ้นการหลั่งเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ช่วยให้ระบบย่อยทำงาน ได้ดีขึ้น
ที่มา : http://www.question.in.th/answer_view.php?id_ques=963

จิ้งจกน้ำเม็กซิกัน ( Mexican Axolotl ) เมื่อโตเต็มที่สามารถมีความยาวถึง 30 เซ็นติเมตร แต่ทั่วไปจะมีขนาดประมาณ 15 เซ็นติเมตร และมีสีดำ และจุดสีน้ำตาล แต่ก็มีพวกสีเผือก และเมื่ออยู่ตามธรรมชาติมีอายุประมาณ 15 ปี พวกมันกิน พวกหอย หนอน ตัวอ่อนแมลง ลูกปลาซึ่งในสมัยก่อนจิ้งจกน้ำเม็กซิกัน ถือว่าเป็นผู้ล่าอันดับต้นๆของห่วงโซ่อาหารในแหล่งน้ำ แต่ปัจจุบันพวกมันถูกลุกลานจากปลาใหญ่ที่คนนำมาปล่อย หรือเพาะเลี้ยง และนกนักล่าจำพวกนกกระสา
ที่มา : http://wowboom.blogspot.com/2009/02/mexican-axolotl.html

ปล 2. รูปประกอบสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=54

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 24
“ไข้เลือดออก อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคไข้เลือดออก 7 วิธี !!”. (เว็บไซต์เมดไทย). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : https://medthai.com. [15 ก.ค. 2559].
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 24 ♥ หน้า 10 (up 24/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 24-12-2017 13:18:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 24 ♥ หน้า 10 (up 24/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 24-12-2017 13:59:06
เขี้ยวกุดนี่แตไม่ได้เลยน้าาาา
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 24 ♥ หน้า 10 (up 24/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-12-2017 14:14:34
 o13  o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 24 ♥ หน้า 10 (up 24/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 24-12-2017 14:22:42
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 24 ♥ หน้า 10 (up 24/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 24-12-2017 15:53:20
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 24 ♥ หน้า 10 (up 24/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-12-2017 20:42:10
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 25 ♥ หน้า 10 (up 26/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 26-12-2017 12:06:20
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 25

ช่วงอาทิตย์ก่อนที่ผมจะเริ่มมีการสอบนอกตารางของวิชาภาษามือ จนกระทั่งฤดูกาลสอบมิดเทอมมาถึง ผมกับพี่เนย์ทำเพียงแค่ส่งข้อความผ่านทางแชทไลน์หากันสั้นๆ เพราะว่าการสอบนอกตารางในวิชาภาษามือของชั้นปีที่สาม มันเป็นอะไรที่เครียดมาก เนื่องจากในวันนั้น ไม่ว่าเราจะบรรยายภาษามือ ได้เข้าใจมากน้อยเท่าไหร่ ตกหล่นมากแค่ไหน ก็ได้คะแนนไปแค่ไหน และสุดท้ายอาจารย์ก็จะให้คำแนะนำเหมือนกับคาบเรียนปกติ เพียงแต่คะแนนนี่แหละที่ไม่ปกติ
ดังนั้นก่อนที่การสอบนอกตารางจะเกิดขึ้น ผมต้องเตรียมตัวทบทวนข้อมูลเป็นอย่างดี ทั้งทางด้านการแพทย์และด้านกฎหมาย พี่เนย์ก็เลยให้เวลาผมได้จมจ่อมอยู่กับเนื้อหาเหล่านั้นให้เต็มที่ อีกทั้งตอนนั้นเจ้าตัวก็เริ่มทำงานที่คลินิกของคุณหมอจิตเวชที่ร่วมงานกันแล้ว จึงส่งผลให้เวลาพักผ่อนของพี่เขาเริ่มจะน้อยลง
ลำพังแค่ส่งข้อความหาผม ก็ถือว่าพี่เขาเก่งมากแล้ว ส่วนผมก็ทำได้แค่อวยพรด้วยข้อความเดิมๆ ในเวลาเดิมของทุกๆวัน

“ทำไมเงียบจัง ตอนนี้พี่เนย์ไม่ได้เข้าคลินิกไม่ใช่เหรอ?” ผมบ่นงึมงำกับตัวเองด้วยความสงสัย เมื่อสแกนบัตรเข้าคอนโดของพี่เนย์แล้ว พบว่าห้องทั้งห้องมันมืดสนิทจนน่าแปลกใจ เพราะเท่าที่จำได้ คลินิกที่พี่เขาทำงาน วันเสาร์กับอาทิตย์มันเปิดแค่ครึ่งวันเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้เวลาหกโมงตรง พี่เนย์จะต้องกลับมาถึงคอนโดแล้วสิ อีกอย่างตอนคุยโทรศัพท์ก็ไม่เห็นพี่เขาจะบอกเลยว่าไม่ได้อยู่ที่คอนโด
“ก็อยู่นี่ แล้วทำไมไม่เปิดไฟ หรือว่าสลบเหมือดไปแล้ว” ผมถอดรองเท้าใส่ในตู้บิวท์อินพลางอดบ่นเจ้าของห้องไม่ได้ เมื่อพบคีย์การ์ดวางเสียบอยู่ตรงช่องเสียบ จากนั้นรอบๆตัวก็เริ่มรู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆของเครื่องปรับอากาศที่เปิดเอาไว้เพียงเบาๆ ก่อนจะหลุดขำออกมา เมื่อเข้าใจได้แล้วว่า อีกฝ่ายเขาคงจะหมดสภาพนอนหลับอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้อง ถึงได้ปิดไฟจนมืดสนิทขนาดนี้ ผมก็เลยเลือกจะเดินคลำทางเอาเอง เพราะไม่อยากจะรบกวนคนที่มีเวลาพักผ่อนอันน้อยนิด

“มึงหลงทางอีกแล้วเหรอวะ?” พี่เนย์พูดขึ้นอย่างงัวเงีย เมื่อผมเผลอไปเตะข้อเท้าของอีกฝ่ายที่นอนราบอยู่ตรงพื้นหน้าโซฟาในโซนรับแขกเข้าให้
“เปล่าครับ พอดีภาษามือด้านกฎหมายเปลี่ยนมาสอบช่วงหลังมิดเทอม ก็เลยออกจากมหาลัยช้าหน่อย พี่กลายเป็นคนขี้ลืมไปแล้วเหรอครับ?” ผมอธิบายพลางทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าของพี่เนย์ ผู้ซึ่งฝังใจในการเดินทางมายังกรุงเทพด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกของผมมากๆ เพราะวันนั้นผมดันหลงทางจนวุ่นวายไปหมด ขนาดว่าก่อนจะมานี่ ผมได้ลองปรึกษากับไอ้คินและแอ้มมาบ้างแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง หนทางของกรุงเทพมันซับซ้อนกว่านั้น แถมผมดันงก ไม่อยากนั่งแท็กซี่ เสล่อไปต่อรถเมล์ แล้วเป็นไงล่ะ ได้ทัวร์กรุงเทพซะสนุกเลย
สุดท้ายวันนั้นก็เล่นเอาพี่เนย์แทบจะพ่นไฟใส่ผมจนวอดวาย แต่กว่าจะจับจุดได้ ก็ต้องขอบคุณเทคโนโลยีอย่างการแชร์โลเกชั่นทางไลน์ให้พี่เขาทราบ ซึ่งอีกฝ่ายก็ลั่นวาจาว่าจะมารับผมด้วยตัวเอง ส่วนผมให้อยู่นิ่งๆเป็นที่เป็นทางก็พอ เพราะเดี๋ยวมันจะหลงทางกันไปใหญ่ ซึ่งผมก็ได้แต่นั่งหงอยตรงหน้าป้ายรถเมล์ เพราะกลัวว่าพี่เขาจะดุและทำโทษเหมือนกับตอนถูกโจรปล้นอีก
แต่สุดท้าย เมื่อเรากลับถึงห้อง อีกฝ่ายกลับเข้ามากอดผมไว้ อย่างหวงแหน
ที่สำคัญ วันนั้นผมก็ไม่ถูกทำโทษหรือว่าถูกดุอะไรเพิ่มอีกเลย งงเหมือนกัน แต่ก็ดีแล้ว

“กวนตีนได้ตลอดนะมึงน่ะ” พี่เนย์ว่าพลางเอื้อมมือมาผลักหัวผมจนเซ ซึ่งผมที่ยังไม่ชินกับความมืดก็ต้องเสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ
“แต่สาเหตุที่ทำให้มาช้าจริงๆ ก็เพราะผมไปแวะเดินตลาดวังหลังนี่แหละครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสดใส พลางวางข้าวของที่ตัวเองหอบหิ้วมา ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเปิดไฟให้ความสว่างจนทั่วห้อง

“อ่อ สรุปว่าเดินทางไม่หลง แต่เสือกหลงในตลาดแทน ดีจริงๆ แล้วนั่นขนมบ้าบิ่นตรงข้ามโรงพยาบาลใช่มั้ย?” ผมหัวเราะเมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้ พร้อมกับพยักหน้าหลังจากที่พี่เขาถามถึงขนมที่ตัวเองซื้อมา
“มึงตาถึงนะเนี่ย” ผมหัวเราะ เมื่อพี่เขาออกปากชม พลางเคี้ยวตุ้ยๆจนแก้มยุ้ย

“เออ เห็นมึงซื้อทับทิมกรอบมา กูก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ เมื่อวานนี้กูไม่เจอลุงแกเข็นขนมปลากริมไข่เต่ามาขายเลยว่ะ เพราะฉะนั้นมึงอดนะครับ” พี่เนย์ว่าพลางเอามือข้างที่หยิบขนมบ้าบิ่นมายีหัวผมจนยุ่ง แบบนี้ผมก็ต้องสระผมใหม่น่ะสิ ไอ้พี่นี่เว้ย
“พี่เนย์! ผมเพิ่งจะสระผมมาเองนะ” ผมปัดมืออีกฝ่าย พลางทำหน้ายุ่งไม่หยุด ส่วนพี่เขากลับหน้าระรื่น จนคล้ายกับคนไม่ได้เพิ่งตื่นนอน

“เหรอวะ?” พี่เขาย้อนถาม ก่อนจะลุกขึ้นยืน และเดินตรงไปยังห้องครัว เพื่อล้างหน้าล้างตา แต่ท่าทางของนักจิตบำบัด ตอนที่เขาย้อนมาถามผมนี่ มันเหมือนกับนักกวนประสาทที่น่าต่อยสักหมัดจริงๆ
“กวนตีน” ผมแกล้งพูดแบบไม่มีเสียง เมื่ออีกฝ่ายเขาเดินกลับมานั่งรื้อของที่โต๊ะตรงโซนรับแขก

“มึงนั่นแหละกวนตีน กูยังจำที่มึงว่าไอ้เขี้ยวกุดได้นะเว้ย” พี่เนย์สะบัดหยดน้ำที่ยังเกาะฝ่ามือของตัวเองใส่หน้าผม พร้อมกับชี้หน้าคาดโทษซะด้วย ผมก็ได้แต่ยิ้ม โดยไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงอะไร
“ทำไมมึงซื้อแบบตายอดตายยากชิบหายเลยวะ” พี่เนย์บ่นอุบ ส่วนผมก็แค่ยักไหล่ เพราะผมซื้อเฉพาะที่ผมอยากกิน หรือได้ยินว่ามันเป็นของขึ้นชื่อของตลาดนี้ ก็เลยมีแต่ ทับทิมกรอบ ซ่าหริ่ม ขนมบ้าบิ่น ทาโกะยากิ ลูกชิ้นปลาทอดกรอบ กระเพาะปลา หอยครกทอดกรอบ แล้วก็ยังมีผลไม้อีกนิดหน่อย ส่วนซูชิตอนแรกก็ว่าจะซื้ออยู่หรอก แต่เพราะเคยกินบ่อยแล้ว เลยกะเอาไว้กินวันหลังดีกว่า ผมจะได้สั่งสารพัดเมนูแซลม่อนได้เยอะๆด้วย 

“พรุ่งนี้พี่พาผมไปกินก๋วยจั๊บญวนหน่อยสิครับ เห็นว่าแถวนี้มีร้านดังขึ้นชื่อ”
“อืม แต่หลังกูเลิกงานนะ” ผมพยักหน้า เพราะไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ในเมื่อขากลับ พี่เนย์มักจะเป็นคนไปส่งผมที่มหาลัย ฉะนั้นจะกินตอนไหนก็ได้ ขอแค่ให้ได้กินก็พอ

“ครับ เดี๋ยวผมไปเอาชามมาใส่กระเพาะปลาก่อน” ผมว่าพลางลุกเดินเข้าไปในครัว เพื่อหยิบชามและช้อนซ้อมมาใส่กระเพาะปลาที่ผมตัดสินใจซื้อมาเป็นมื้อเย็นในวันนี้ เพราะคาดว่าพี่เนย์น่าจะยังไม่ได้กินอะไรแน่ๆ ซึ่งผมก็คิดถูก แต่จริงๆ ที่ตลาดนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากจะกิน แต่ว่ามื้อหนัก เรากินแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว
“วันนี้เหนื่อยอีกแล้วเหรอครับ พี่ถึงมานอนหมดสภาพที่พื้นแบบนี้?” ผมถามพลางตักกระเพาะปลาเข้าปาก

“ไม่เท่าไหร่ กูนอนเล่นไง ตื่นแล้วแต่ไม่ยอมลุก จนเผลอหลับไปอีกรอบ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มึงมาถึงห้องแล้ว” พี่เนย์ตอบพลางตักกระเพาะปลาและหน่อไม้เข้าปาก ผมจึงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเราต่างก็นั่งกินทุกอย่างที่ซื้อมาจนหมด ผมถึงค่อยแยกตัวเข้าไปอาบน้ำ ส่วนพี่เนย์ก็ทำหน้าที่ล้างจาน พร้อมกับเก็บโต๊ะทำความสะอาดให้เรียบร้อย จากนั้นอีกฝ่ายก็มาเปิดเครื่องทำความชื้นให้เขี้ยวกุดถึงค่อยมาอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวดูหนังตามโปรแกรมที่เจ้าตัววางไว้
กระทั่งเราสองคนอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อย พี่เนย์ก็บอกให้ผมขนหมอนกับผ้าห่มออกไปข้างนอก เพราะในห้องนอนไม่มีโทรทัศน์ เราจึงต้องไปเกลือกกลิ้งกันที่พื้นตรงโซนรับแขก

“พี่จะดูเรื่องอะไรเหรอครับ?” ผมนอนตะแคงจองที่ด้านหน้าติดขอบทีวี พร้อมกับห่มผ้าและหนุนหมอนใบใหญ่อย่างเตรียมพร้อม จะเหลือก็เพียงแค่ผมยังไม่รู้เลย ว่าพี่เขาจะเลือกหนังเรื่องอะไรและแนวไหนมาดูในวันนี้
“Side effects เห็นว่าเป็นหนังเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช” พี่เนย์ตอบพลางง่วนอยู่ตรงหน้าโทรทัศน์ ก่อนจะโยนกล่องใส่ดีวีดีมาให้ผมอ่าน เรื่องย่อก็จะประมาณว่า เอมิลีตัวเอกของเรื่อง ต้องต่อสู้กับความโดดเดี่ยว หลังจากที่มาร์ติน สามีของเธอต้องติดคุกเพราะคดีความทางการเงิน ขณะที่เอมิลีก็ต้องเข้ารับการบำบัดและกินยา เพื่อรักษาอาการของโรคซึมเศร้าโดยจิตแพทย์โจนาธาน แบงส์ กระทั่งมาร์ตินพ้นโทษ ชีวิตคู่ก็แลจะไปได้สวย แต่แล้ววันหนึ่งเอมิลีก็ตื่นขึ้นมา และพบว่ามาร์ตินถูกฆาตกรรมภายในห้องพักของตัวเอง
ผมอ่านคำโปรยหลังปกยังไม่ทันจบ ไฟก็ดับสนิทจนเหลือเพียงแค่แสงสว่างจากหน้าจอสี่เหลี่ยมของโทรทัศน์ พร้อมกับเจ้าของห้องที่เดินกลับมาซุกตัวลงนอนภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

“เธอจะฆ่าตัวตายแน่ๆ” ผมพูดขึ้น เมื่อเห็นเอมิลีตัวเอกของเรื่อง เอาแต่จ้องมองไปที่คำว่า ‘Exit’ อย่างแน่วแน่ และยังไม่ทันจะสิ้นคำถาม รถคันดังกล่าวก็ขับพุ่งเข้าชนกำแพงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“อืม สาเหตุที่เธอตัดสินใจทำแบบนั้น คงเพราะเธอต้องการจะหลุดพ้นจากความเป็นตัวเองที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีดำปนเทาจากความหม่นหมอง อีกอย่างเราจะเห็นได้ว่า ตอนต้นเรื่อง สามีของเธอก็อยู่ในคุกแล้ว แสดงว่าทุกอย่างรอบกายของเธอต้องเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ขนาดที่ว่าถึงสามีของเธอจะกลับมา แต่การเปลี่ยนแปลงในอดีตมันยังคงเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ จึงส่งผลให้เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้า” พี่เขาวิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมต่างๆของหนัง เพราะในความเป็นจริงแล้ว นักจิตวิทยาอย่างพี่เนย์ จะทราบข้อมูลเหล่านี้ผ่านทางแบบทดสอบในด้านต่างๆ เช่น แบบทดสอบด้านเชาว์ปัญญา แบบทดสอบด้านบุคลิกภาพ และอีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นแบบทดสอบที่ได้มาตราฐานในทางจิตวิทยา ซึ่งจะเลือกใช้ตามที่จิตแพทย์ต้องการจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเอามาประกอบการวินิจฉัยโรค และหากว่าจิตแพทย์ลงความเห็นว่าผู้ป่วยจะต้องได้รับการเยียวยาทางจิตใจ นักจิตวิทยาก็จะรับช่วงต่อในการพูดคุยให้คำปรึกษา รวมไปถึงการทำจิตบำบัดในรูปแบบเดี่ยวหรือกลุ่ม  โดยการให้คำปรึกษา ทั้งทางด้านสุขภาพทั่วไป สุขภาพจิต ทักษะการใช้ชีวิต รวมไปถึงปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวัน ที่จะเน้นให้ผู้ป่วยแก้ไขปัญหาได้ด้วยหนทางที่ตัวเองต้องการ และพึงพอใจให้มากที่สุด เพื่อให้มีการเจริญเติบโตทางด้านจิตใจที่มากขึ้นด้วยวิถีทางของตัวเอง หรือพูดง่ายๆก็คือ นักจิตวิทยาจะไม่ใช่ผู้หาทางออกให้กับผู้ป่วย แต่จะช่วยให้ผู้ป่วยค้นหาทางออกของตัวเองให้ได้ดังนั้นนักจิตวิทยาจึงไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนผู้ป่วย หรือบอกว่าสิ่งที่ผู้ป่วยกำลังทำนั้นมันผิดหรือถูก เนื่องจากนักจิตวิทยาจะต้องเคารพในสิทธิและความคิดของผู้ป่วย โดยการรับฟังและประคับประคองสภาพจิตใจของผู้ป่วยให้เป็นในทิศทางที่ดีขึ้นตามทฤษฏีต่างๆที่ได้เรียนมา
ซึ่งผมก็เพิ่งจะเข้าใจความแตกต่างระหว่างจิตแพทย์และนักจิตวิทยาก็ตอนที่พี่เนย์เขาบอกว่า ถ้าแค่พูดคุย นักจิตอย่างเราไม่สามารถอ่านใจของผู้ป่วยได้เป็นประโยคเหมือนกับในหนัง แต่จะสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ป่วยได้จากการที่เขา walkin เข้ามาพบ รวมไปถึงการสัมภาษณ์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงการทำแบบทดสอบในเชิงจิตวิทยาที่จะสามารถทำให้นักจิตวิทยาเข้าใจถึงภาพรวมของสภาพจิตใจ และมองเห็นบุคลิกภาพ พฤติกรรมของคนๆนั้นได้ชัดเจนขึ้น

“ผลข้างเคียงของยานี่มันส่งผลให้เธอฆ่าสามีของตัวเองโดยไม่รู้ตัวได้เลยเหรอ?” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจอีกครั้ง เมื่อฉากที่ตัวเอกของเรื่องปลอดภัยจากการคิดทำร้ายตัวเองมาถึงสองครั้ง กระทั่งหมอแบงส์ได้เปลี่ยนยารักษาตัวใหม่ ตามคำแนะนำของแพทย์เจ้าของไข้เดิม แต่มันกลับมีผลข้างเคียงที่ทำให้เอมิลีนอนไม่หลับและเดินละเมอ จนลุกขึ้นมาทำอะไรโดยไม่รู้ตัว เช่นว่าจัดปาร์ตี้ในตอนกลางคืน กระทั่งวันหนึ่งผลข้างเคียงของมัน กลับส่งผลให้เธอกลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าสามีของตัวเอง จึงยิ่งตอกย้ำให้ผมเข้าใจว่า บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่มันดีจนครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ หรือแม้กระทั่งยารักษา ก็ยังสามารถพบกับผลข้างเคียงของมันได้ ซึ่งก็ไม่ต่างกับการที่เหรียญยังมีสองด้าน อยู่ที่ว่าเราจะเลือกมองในด้านดีหรือว่าด้านไม่ดี แต่ถ้าหากเป็นไปได้ ผมว่าการเลือกมองทั้งสองด้าน แล้วมาชั่งน้ำหนักเอาทีหลัง มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“โรคที่มันเกี่ยวข้องกับจิตใจ อะไรก็เกิดได้ทั้งนั้น ไม่ว่ามูลเหตุของมันจะมาจากอะไรก็เถอะ” ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และก็เริ่มอินไปกับเนื้อเรื่องในด้านของเอมิลีที่ตกเป็นเหยื่อของการรักษา ขณะที่จิตแพทย์ผู้เป็นเจ้าของไข้เองก็น่าเห็นใจ เพราะในทางกฎหมายเขาเองก็เสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี และอาจถึงขั้นหมดอนาคตในด้านวงการแพทย์

“กูว่าหนังเรื่องนี้คงไม่ใช่แค่หนังในเชิงจิตวิทยาซะแล้วว่ะ” พี่เนย์พูดขึ้นในขณะที่หน้าจอโทรทัศน์ กำลังปรากฏภาพของคุณหมอจิตเวชที่มองจ้องไปยังโฆษณาของระบบความปลอดภัยอย่างแอร์แบ็คและเข็มขัดนิรภัย
“ยังไงครับ?” ผมหันไปถามอีกฝ่ายที่กำลังนอนท้าวศีรษะอยู่ด้านหลังด้วยความสงสัย เพราะผมยังจับสังเกตอะไรไม่ได้เลย

“มึงลองดูต่อไปดิ เดี๋ยวปมมันก็เผยออกมาเรื่อยๆ จากตัวหมอนั่นแหละ” พี่เขาพูด พลางเอื้อมมือข้างที่ว่างมาผลักหัวผมอีก ส่วนผมก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เพราะตั้งแต่ดูมา ผมดันมุ่งประเด็นไปที่การเชื่อถือในตัวเอก และมองแบบตั้งข้อสงสัยต่อคนรอบข้างของเธอ แต่พี่เนย์กลับเลือกตั้งข้อสงสัยในตัวเอกของเรื่อง โดยที่ผมยังมองไม่เห็นถึงข้อสงสัยนั้น

“นี่มันหนังเสียดสีวงการแพทย์ชัดๆ”  ผมพูดออกมาอย่างอึ้งทึ่ง เมื่อตัวหนังพูดถึงการปั่นหุ้นในช่วงที่เกิดคดีฆาตกรรมของตัวเอก อันเป็นสาเหตุมาจากยารักษา ซึ่งผมก็เริ่มเอะใจแล้วว่าแพทย์เดิมที่แนะนำยาตัวนี้กับคุณหมอคนปัจจุบัน จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาตัวนี้ด้วยหรือเปล่า เพราะอะไรหลายๆอย่างมันดูประจวบเหมาะกันเกินไป
“ก็นะ กลิ่นเงินมันก็มักจะหอมหวานเสมอ” ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะถึงยังไง เงินก็คือปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง และอาจจะสำคัญมาก เมื่อสิ่งที่เราต้องการมันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็น อาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่ หรือแม้กระทั่งเครื่องนุ่งห่ม ก็ล้วนแล้วแต่ต้องมี ‘เงิน’ เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้น จึงไม่แปลกที่กลิ่นของมันมักจะหอมหวานยั่วยวนใจใครต่อใครได้ง่ายๆ

“พีคมั้ยล่ะมึง” พี่เนย์พูดขึ้น ทันทีที่หนังเริ่มเฉลยปมเรื่องที่มันเริ่มพลิกโผ ผมจึงได้แต่อึ้ง เพราะคิดไม่ถึงว่าหนังแนวจิตวิทยามันจะกลายมาเป็นแนวอื่นไปได้ อีกทั้งปมต่างๆที่เกี่ยวกับตัวเอก ก็ยังตลบกลับไปกลับมาจนน่าเหลือเชื่อ
ช่างเป็นหนังที่ควรจะรู้เนื้อเรื่องให้น้อยที่สุดจริงๆ
จะได้มาเจอกับความพีคเหมือนผมนี่

“นอนนี่เลยแล้วกัน กูขี้เกียจย้ายที่ละ” พี่เนย์พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ เมื่อโทรทัศน์และเครื่องเล่นดีวีดีถูกปิดลง พร้อมกับเจ้าตัวที่คลานกลับมาซุกตัวภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ก่อนจะรวบตัวผมมากอดไว้หลวมๆ

“รัน” ผมขยับตัวหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ตามเสียงเรียก ส่งผลให้ลมหายใจของพี่เขาเป่าลดใบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ปลายนิ้วโป้งของชายหนุ่มตรงหน้า ก็เอาแต่ลูบไล้ข้างแก้มซ้ำไปซ้ำมา โดยที่ผมก็ได้แต่นอนนิ่งๆ ให้พี่เขาแตะต้องได้ตามใจนึก ตั้งแต่ดวงตา เรื่อยมาจนถึงปลายจมูก และปิดท้ายที่ริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง กระทั่งสายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืด
ผมถึงได้รู้ตัวว่า อีกฝ่ายกำลังคิดจะใช้ส่วนอื่น เข้ามาทดแทนการสัมผัสจากปลายนิ้วข้างนั้น

“คิดถึง” สิ้นคำกระซิบชิดริมฝีปาก พร้อมด้วยโฟกัสทางสายตาที่มันพร่าเลือน หัวใจของผมก็เริ่มเต้นระส่ำเหมือนกับครั้งแรกที่รู้สึกตัวว่ากำลังตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ ที่กำลังมอบรสจูบอันแสนอบอุ่น เหมือนกับกระไอแดดในยามเช้า ส่งผลให้อารมณ์ที่มันซุกซ่อนอยู่ภายใน เริ่มค่อยๆหลั่งไหลออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเผลอไผลตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างอีกฝ่ายด้วยความหลงใหล
บทจูบครั้งแล้วครั้งเล่าจึงเกิดขึ้น โดยที่เราต่างก็ผลัดกันรุกไล่อย่างรู้ใจ

“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เมื่อฝ่ามืออุ่นร้อนค่อยๆเข้ามาซุกตัวอยู่ภายใต้กางเกงบอลผิวเรียบลื่น พร้อมกับลูบไล้ไปทั่วผิวเนื้อกลึมกลึงที่มีเพียงผืนผ้าบางๆ อันเป็นปราการชิ้นสุดท้ายขวางกั้นอยู่ ส่งผลให้ขนอ่อนของผมชูชันไปทั่วร่าง ขณะที่เลือดในกายมันก็พลันเดือดพล่านอย่างลิงโลด อีกทั้งริมฝีปากก็คอยแต่จะโหยหาสัมผัสหวามไหวเหมือนเมื่อครู่ แต่อีกฝ่ายเขากลับไม่ยินยอม ผมจึงได้แต่ลากไล้เล็มเลียซอกคออันหอมกรุ่นของนักจิตวิทยาหนุ่มอย่างหลงใหล สลับกับฝากฝังร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
“คิดถึงพี่ใช่มั้ย” อีกฝ่ายถามไถ่ด้วยน้ำเสียงติดจะเอ็นดูจนผิดเวล่ำเวลา ซ้ำยังจุมพิตลงบนเรือนผมอันชื้นเหงื่อของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างของพี่เขา ก็ยังคงรุกรานเบื้องล่างอย่างหนักหน่วง จนส่งผลให้ความอึดอัดร้อนรุ่มเริ่มจะตีตื้นขึ้นมาจนน่ารำคาญ

“หืม?” พี่อาคเนย์เริ่มย้ำถามในลำคออีกครั้ง เมื่อผมไม่ยอมตอบ
“ค..คิดถึง” ผมตอบเสียงสั่น เมื่อฝ่ามือร้อนคู่นั้นเริ่มรุกไล่เข้ามายังปราการชิ้นสุดท้าย เพื่อเป็นการคาดคั้นเอาคำตอบ ก่อนจะค่อยๆลากผ่านผิวเนื้อนุ่มลื่นบริเวณบั้นท้ายมายังข้างสะโพก จวบจนกระทั่งแน่นิ่งลงที่ส่วนไวสัมผัส ผิวกายของผมก็เริ่มมีปฏิกิริยา โดยไม่อาจทราบว่าสาเหตุของมัน เกิดจากการออสโมซิสความร้อนจากผิวกายของอีกฝ่าย หรือว่ามันเป็นเพราะความต้องการที่ใกล้จะระเบิดออกมาจนเต็มทนกันแน่

“งั้นเรามาทำอะไรให้หายคิดถึงกันดีไหม?” พี่เนย์พลิกตัวผมขึ้นมาคล่อมทับบนตัวเอง พร้อมกับยกยิ้มอย่างอ่อนโยน หากแต่คำถามกลับส่อเคล้าจาบจ้วงอยู่ในที
“ย..ยังไงครับ” ผมถามแบบแกล้งโง่ แม้ในความเป็นจริง ผมจะเข้าใจสถานการณ์ต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดีก็ตาม แต่เพราะผมกำลังตื่นเต้น ที่จู่ๆ ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเรา มันกลับเข้ามาทักทายอีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่ผมอาจต้องเป็นคนเริ่มต้น

“…” พี่เนย์ไม่ตอบ แต่กลับย้ายฝ่ามือมาทำหน้าที่ปลดรั้งกระดุมออกจากรังดุมทีละเม็ดอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเผยให้เห็นผิวกายภายใต้อดีตเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายอย่างไม่โจ่งแจ้งมากนัก จากนั้นอีกฝ่ายก็ลูบไล้ปัดป่ายไปทั่วผิวเนื้อของผม ราวกับนักสำรวจฝีมือดี ก่อนจะสะกิดลงบนพื้นที่ที่เจ้าตัวครุ่นคิดเป็นอย่างดีแล้วว่า ณ จุดนั้น มันสมควรจะต้องได้รับการใส่ใจมากเป็นพิเศษ
แต่แล้วนักสำรวจเขาก็เริ่มจะรุกล้ำพื้นที่มายังเบื้องล่าง พร้อมกับขยับสะโพกของผมให้คลอเคลียไปกับช่วงล่างที่กำลังซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ร่มผ้า ผมจึงได้แต่เม้มปากแน่น พร้อมกับเสมองไปทางอื่น พลางรู้สึกว่าตัวเองไม่น่ารีบคุ้นชินกับความมืดได้เร็วนักเลย ไม่อย่างนั้นผมคงไม่จำเป็นต้องมาหลบหน้าพี่เนย์ให้วุ่นวายแบบนี้หรอก

“หึหึหึ”  แต่แล้วพี่เขาก็หัวเราะในลำคอติดกันจนตัวสั่น พร้อมกับรั้งศีรษะผมให้เอนลงมาแนบชิดกัน

“พี่แกล้งผมเหรอครับ?” ผมถามเสียงเข้ม ขณะที่ใบหน้าก็แดงซ่าน อีกทั้งยังร้อนระอุอย่างบอกไม่ถูก เพราะสถานการณ์เมื่อครู่มันน่าอายชะมัด ในเมื่อเหตุการณ์นี้มันเหมือนกับกิจกรรมรักของเรากำลังจะโลดโผนขึ้นมาอีกนิด
“หึหึหึหึ” พี่เนย์ยังคงไม่ตอบ แต่กลับล็อคศีรษะของผมไว้แน่น ผมจึงทำได้เพียงซุกใบหน้าลงกับหมอนตรงบริเวณซอกคอของอีกฝ่าย ขณะที่โสตประสาทก็ต้องทนฟังเสียงหัวเราะอันน่าโมโหนั่นด้วย

“กูไม่ได้แกล้ง แต่กูคิดจริง แล้วก็อยากให้มึงทำจริงๆด้วย” พี่เขาพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบด้วยน้ำเสียงจริงจัง หากแต่ชวนให้คล้อยตามอย่างบอกไม่ถูก
“แต่กูให้เวลามึงทำใจก่อนก็ได้” พี่เขาพูดอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ พร้อมกับพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว จากนั้นริมฝีปากหนาก็ตรงเข้าบดคลึงกลีบปากทั้งบนและล่างของผมด้วยความเสน่หา ก่อนจะส่งปลายลิ้นเข้ามาสำรวจภายในด้วยความสงสัยใคร่รู้ กระทั่งอารมณ์แห่งความปรารถนาเริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เรียวลิ้นของเราต่างก็สัมผัสรัดรึงกันอย่างโหยหา ก่อนจะผลัดเปลี่ยนมารุกไล่กันอย่างเอาใจ จนส่งผลให้เสียงสัมผัสดังก้องไปทั่วห้องพักอันเงียบสงัด ขณะที่แสงจันทร์ก็สาดส่องเข้ามายังบริเวณประตูกระจกที่เชื่อมต่อกับส่วนของระเบียงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณโซนรับแขกมากนัก
เวลานี้ ผมจึงสามารถมองเห็นสภาพของพี่เนย์ ที่ก็เริ่มจะไม่เรียบร้อยเหมือนคราแรกได้อย่างชัดเจน

“เพื่อความเท่าเทียมนะรัน” พี่เขากล่าวพลางทิ้งร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้ในตำแหน่งเดียวกับที่ผมเผลอฝากฝังเอาไว้ที่อีกฝ่าย จนผมได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดใบหน้า พร้อมกับหัวเราะด้วยความเก้อเขิน เมื่อพี่เขาหยอกล้อกับการกระทำที่มันเป็นไปโดยธรรมชาติของจิตใต้สำนึก ที่มันแอบซ่อนเอาไว้ว่า ‘ตัวผมน่ะหวงแหนพี่เนย์มากแค่ไหน’   
“มึงรู้มั้ยว่าทุกครั้งที่เราทำแบบนี้ กูรู้สึกได้ว่าเราต่างก็สามารถเติมเต็มกันและกัน ในด้านของความรู้สึกที่ไม่ใช่แค่เรื่องฉาบฉวย แต่มันกลับผสมไปด้วยทุกความรู้สึก มากเท่าที่มนุษย์คนนึงจะสัมผัสมันได้ในด้านบวก” พี่เขาพูดพลางเล็มไล้ผิวเนื้อตั้งแต่ช่วงคอ ลงไปยังลาดไหล่ ก่อนจะไล่ลงมายังบริเวณท้องน้อย และลากผ่านบริเวณกึ่งกลางของแผ่นอก และจบลงที่การเล็มไล้ปลายลิ้นไปตามแนวซี่โครงแต่ละข้างจนผมหวามไหว และรู้สึกดีที่ความสัมพันธ์ของเรามันคือเรื่องที่สวยงามมากกว่าแค่เรื่องฉาบฉวย

“ครับ” สกิลการประมวลผลข้อความที่อีกฝ่ายบอกกล่าวของผมในตอนนี้ มันแทบจะติดลบซะให้ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากถามว่าผมจับใจความได้ไหม ก็ถือว่าได้ เพียงแต่ประสาทสัมผัสมันกลับทำงานได้ดี จนผมรู้สึกว่าร่างกายมันเริ่มจะไม่ใช่ของผมอีกต่อไป เพราะมันกลับกลายเป็นของพี่เนย์ ผู้ที่สามารถควบคุมมันได้ดีกว่าตัวผม ผู้ซึ่งทำได้แค่เพียงเผยอปากเพื่อผ่อนคลายความเสียวกระสันที่วิ่งวนอยู่ภายในกายอย่างร้อนรน ส่งผลให้ช่วงล่างชื้นแฉะด้วยแรงอารมณ์จนน่าอับอาย
“รันคิดถึงพี่มากจริงๆด้วย” พี่เนย์กล่าวอย่างหยอกล้อ พลางยกยิ้มจนเต็มแก้มอย่างน่าหมั่นไส้ เมื่อฝ่ามืออุ่นของอีกฝ่ายกำลังแตะแต้มลงบนส่วนอ่อนไหวผ่านทางเนื้อผ้า ผมจึงได้แต่หันหน้าหนี และเสมองไปทางอื่น เนื่องจากว่าเรื่องแบบนี้ผมแทบจะไม่ได้คิดเลย เพราะวันๆผมเอาแต่ยุ่งอยู่กับภาษามือที่เจอแต่ความหินของมันครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมรับว่าเครียดจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นนั่นแหละ
ซึ่งพอถูกปลุกเร้าเข้าหน่อย มันก็ย่อมจะอ่อนแอเอาได้ง่ายๆ

“อ..อือ..พี่เนย์” กระทั่งปราการชิ้นสุดท้ายก็ไม่อาจปกปิดสิ่งใดได้อีก ผมก็ได้แต่หลับตาครางเครือเสียงแผ่ว เมื่อช่วงล่างกำลังถูกปลุกเร้าขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความอุ่นชื้นจากริมฝีปากคู่นั้นที่ผมคุ้นเคยกับมันดี กระทั่งสัมผัสเริ่มหนักแน่นขึ้น ผมก็เผลอลืมตามองความเป็นไปรอบๆตัว พร้อมกับแอ่นกายรับสัมผัสนั้นอย่างย่ามใจ ก่อนจะเม้มปากแน่นเป็นระยะ เมื่อภาพเงาสะท้อนตรงหน้ากลับเป็นภาพของเราสองคนในท่วงท่าที่ล่อแหลม

“อ๊ะ” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ พี่เนย์ก็ดึงรั้งผมให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรุนหลังให้โน้มตัวลงบนโต๊ะกระจกอันเรียบเย็น ขณะที่ในใจของผมมันก็เริ่มเต้นระส่ำขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสมองกำลังประมวลผลว่าพี่เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่แล้วก็ต้องหลับตาปี๋ เมื่อสภาพกายของตัวเองมันช่างน่าอาย เพราะในตอนนี้มันแทบจะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่บนร่างอีกแล้ว ยิ่งมาอยู่ในท่วงท่าแบบนี้อีก
แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสัมผัสอุ่นชื้นค่อยๆเล็มไล้บริเวณด้านหลังอย่างแผ่วเบา ส่งผลให้ความรู้สึกมันเริ่มตีรวนขึ้นมาอีกหน กระทั่งความรู้สึกใดๆ ก็ไม่อาจกักเก็บเอาไว้ได้อีก ผมจึงได้แต่ครางแผ่วอย่างรัญจวนใจ พร้อมกับขยับไหวผิวกายเสียดสีไปกับความเรียบเย็นของแผ่นกระจก ส่งผลให้เสียงหอบหายใจ ดังสลับกับเสียงครวญครางอย่างกลั้นไม่อยู่

-อ่านต่อด้านล่าง-
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 25 ♥ หน้า 10 (up 26/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 26-12-2017 12:06:57
“เราไปต่อที่ห้องนอนกันเถอะ” จู่ๆ พี่เขาก็ฉุดรั้งห้วงแห่งอารมณ์ของผมให้หล่นวูบลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการชักชวนให้ไปต่อในห้องนอน ทั้งๆที่ก่อนหน้าเจ้าตัวยังบ่นขี้เกียจอยู่เลย ให้ตายสิ ทีเวลาอย่างนี้กลับมาขยัน เพราะต้องการจะแกล้งผมชัดๆ
“ไม่อยากไป ระวังเจ็บตัวนะมึง ตัวช่วยอยู่ในนั้น เข้าใจ๋?” อีกฝ่ายยิ้มร่าอย่างหยอกล้อ แต่ผมนี่สิเหมือนถูกตบหน้าจนชาไปหมดแล้ว

“มึงตัวหนักว่ะ” พี่เนย์ปรามาสทันทีที่ตัดสินใจอุ้มผมแล้วเดินตัวปลิวเข้าห้องนอน โดยไม่คิดแม้แต่จะปิดประตูสักนิด
“แล้วพี่จะอุ้มผมทำไมครับ?” ผมย้อนถาม

“มึงช้า กูใจร้อน” สิ้นคำตอบ พี่เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างแรง จนร่างของเราจมลงสู่ฟูกที่นอนไปด้วยกัน เพียงแต่โพซิชั่นมันเริ่มจะกลับมาแปลกๆอีกแล้ว
นี่เวลาในการเตรียมใจของผม มันใกล้จะหมดลงแล้วจริงๆเหรอวะ?
จะขอต่อเวลาอีกสักสิบนาที ไม่สิ ขอแค่ห้านาทีก็ไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย?

“เดี๋ยวกูหลับตา มึงเชื่อใจกูได้” พี่เขาโน้มตัวผมเข้าหาจนปลายจมูกของเราแนบชิดกัน ขณะที่ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบกับการยื่นข้อเสนอของอีกฝ่าย
“อื้อ” ผมหลับตา พลางสูดลมหายใจจนเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วในลำคอเพื่อเป็นการตอบตกลง เพราะไม่ช้าก็เร็ว ยังไงผมก็ต้องได้รับโอกาสนี้จากพี่เขาอยู่ดี

ขั้นแรกผมเริ่มจากการเปลื้องอาภรณ์ช่วงบนด้วยการปลดกระดุมชุดนอนของอีกฝ่ายทีละเม็ดด้วยฝ่ามืออันสั่นเทา ขณะที่สายตาก็คอยแต่จะเหลือบมองไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย เพื่อตรวจเช็คว่าพี่เขาแอบขี้โกงหรือไม่ กระทั่งเห็นว่านักจิตวิทยาเขาไม่ได้ลืมตาแอบมองตามที่สัญญาไว้ ผมก็ค่อยแตะแต้มริมฝีปากของตัวเองลงบนผิวกายแน่นๆ ที่ตอนนี้เริ่มจะแอบมีเนื้อหนังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เนื่องจากอาหารการกินในบริเวณนี้ มันอร่อยจนผมยังติดอกติดใจ
แล้วพี่เขาล่ะ อยู่แถวๆนี้ทุกวัน จะไม่ให้อุดมสมบูรณ์ขึ้นก็คงยาก

ผมอาศัยลักจำเอาจากพี่เนย์ เท่าที่สติของผมจะเก็บรายละเอียดได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเก้ๆกังๆอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มต่ำครางเครืออย่างพึงพอใจ ใบหน้าของผมก็เริ่มแดงซ่าน อีกทั้งยังช่วยปลุกอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองที่มันขาดห้วงให้มันพุ่งสูงขึ้นได้ง่ายๆ

“มึงเก่งมากรัน” ผมชะงักเมื่อได้ยินคำชมจากพี่เนย์ ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆปรากฏขึ้น เพราะคำชมจากอีกฝ่าย มันเหมือนกับน้ำหล่อเลี้ยงในจิตใจจากผมได้ทุกเรื่อง และมันยังเป็นคำที่สามารถเพิ่มความกล้าที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าให้กับผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เวลานี้ผมจึงสามารถเป็นฝ่ายควบคุมพี่อาคเนย์ให้อยู่ภายใต้ความต้องการของผมได้
“อ่า รันดี อึก มาก” พี่เขายังคงออกปากชม เหมือนกับรู้จุดอ่อนในข้อนี้ของผมดี จนทำให้การปรนเปรอด้วยริมฝีปากมันค่อยๆเป็นไปอย่างราบรื่น กระทั่งถึงจุดๆหนึ่ง พี่เนย์ก็รีบรั้งกายของผมให้เข้ามารับรสจูบแห่งความชื่นชม ก่อนที่อีกฝ่ายจะบอกที่ซ่อนของตัวช่วยที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ผมจึงเอื้อมมือเปิดลิ้นชักตรงข้างเตียง พร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีออกมา

“มึงทำเองเลย มึงจะได้มั่นใจว่ามันมากพอที่จะไม่ทำให้มึงเจ็บ” พี่เขาว่าอย่างจริงจังไม่ได้มีแววล้อเล่น แต่ผมกลับอึ้ง เพราะไม่คิดว่าวันหนึ่ง ผมจะต้องมาพึ่งพาตัวช่วยด้วยน้ำมือของผมเอง ซึ่งมันออกจะน่ากระดากอายมากกว่าเดิมเสียอีก
“เดี๋ยวกูจะหันไปมองทางอื่น” พี่เขาลุกขึ้นนั่งในท่วงท่าที่ถนัดขึ้น ก่อนจะหันหน้ามองไปทางอื่น พร้อมกับคว้าหัวผมไปวางแปะอยู่ตรงลาดไหล่อันเปลือยเปล่า ผมจึงได้แต่เหลือบมองสารหล่อลื่นที่วางอยู่ใกล้ๆมืออย่างแน่นิ่ง
ก่อนจะตัดสินใจใช้มัน

“อึก พ..พี่เนย์” ผมคุกเข่าพลางโน้มตัวลงฝังใบหน้าเข้ากับกลุ่มผมอันหอมกรุ่นของอีกฝ่าย พร้อมกับทำตามการลักจำของตัวเองอีกครั้ง กระทั่งปลายนิ้วเริ่มจากหนึ่งเป็นสองตามลำดับ ก่อนจะขยับไหวอย่างกล้าๆกลัวๆ
“อ๊ะ..อือ..พี่” ผมเงยหน้าขึ้น พร้อมกับยืดตัวตรงอย่างประหม่า เมื่อฝ่ามือของตัวเองมันเริ่มขยับตามการชักนำของผู้มีประสบการณ์ ที่ยังคงทำตามสัญญาว่าจะไม่หันมามอง ส่งผลให้จิตใจของผมเริ่มล่องลอยไปในอากาศอีกครั้ง เมื่อความหวามไหวกำลังเข้ามาทักทาย กระทั่งภายในเริ่มเต้นตุบๆ ความเสียวกระสันก็เริ่มตามมาอย่างไม่รีรอ และสุดท้ายผมก็สามารถทำใจ สวมใส่เครื่องป้องกันให้พี่เขาจนได้ ก่อนจะขึ้นมาคล่อมทับบนเรือนร่างกำยำของอีกฝ่ายตามการชักนำ ขณะที่ความอุ่นร้อนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน กลับทวีความคับแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนพี่เขาต้องเริ่มนำทางให้ผมขยับไหวไปตามการแนะนำของผู้ช่ำชอง

เวลานี้ตัวผมจึงคล้ายกับดอกแดนดิไลออนอันแสนแผ่วเบา ที่สามารถโบยบินไปตามการชักนำของสายลม เป็นระยะทางอันยาวไกลอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง เพราะน้ำหนักของมันก็ไม่ต่างกับความไร้ซึ่งประสบการณ์ในเรื่องที่เรากำลังทำอยู่ สายลมอย่างพี่เนย์จึงต้องคอยเป็นไกด์นำทางแบบตัวต่อตัว จนผมค่อยๆล่องลอยไปตามจังหวะเนิบช้าบ้าง ร้อนแรงบ้าง จนร่างทั้งร่างมันสั่นคลอนอย่างไร้การควบคุม แต่แล้วสายลมก็หายเงียบไป จึงส่งผลให้ดอกแดนดิไลออนอย่างผม ต้องค่อยๆงัดความกล้าทั้งหมดมาประกอบกันเป็นหน้ากาก เพื่ออำพรางตัวตนอันเก้อเขินของผมไว้ จากนั้นจังหวะรักก็เริ่มถูกชักนำไปตามความต้องการของตัวผมเอง
“เก่งมาก อืม อ่า ดีมากรัน” ผมอมยิ้มตรงมุมปากอย่างพึงพอใจเล็กๆ ที่พี่เขาออกปากชมแม้กระทั่งเรื่องแบบนี้ ก่อนจะค่อยๆโน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่าย พร้อมกับมอบจูบอันลึกซึ้ง และขยับไหวไปตามแรงอารมณ์ที่เริ่มพุ่งสูง
กระทั่งฝั่งฝันมันอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อม

จากนั้นผมก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง จนพี่เขาต้องเป็นฝ่ายถอดถอนกายออกจากตัวผม ก่อนจะขอตัวออกไปหยิบหมอนและผ้าห่มกลับมาให้ เพราะกลัวว่าผมจะหนาว
“Don’t let the bedbugs bite” หลังจากเจ้าของห้องเขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเดียวกัน พร้อมกับคลี่ผ้าห่มให้คลุมกายของเราทั้งสอง พี่เขาก็ขยับตัวหันหน้าเข้าหา ผมเลยยอมขยับกายที่มันร้าวระบมไม่ต่างกับครั้งแรกของเรา จากนั้นคนตัวโตก็ขโมยประโยคบอกฝันดีของผมไปใช้ พร้อมกับจุมพิตลงบนหน้าผากอย่างอบอุ่น ขณะที่ผมก็ได้แต่หัวเราะ พร้อมกับเล่นปอยผมของพี่เนย์อย่างเพลิดเพลิน

“เดี๋ยวนี้ความเป็นกูมันออสโมซิสเข้าหามึงไปแล้วเหรอ?” พี่เขาถามพลางยิ้มบางๆ
“เปล่าครับ ผมแค่คิดว่ามันเหมาะกับพี่เนย์ดี ก็เลยลองใช้ดู แล้วเป็นไงครับ พี่ตีความออกตอนไหน?” ผมถามด้วยความอยากรู้ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ

“แรกๆ กูก็งงว่ามึงเป็นบ้าอะไร อยู่ๆมาบอกกูว่าอย่าให้แมลงที่เตียงกัดนะ มึงรู้ป่ะ วันนั้นกูรื้อที่นอนซะกระจุยกระจายไปหมด คิดว่ามึงเคยเจอแมลงบนเตียงกู แล้วเพิ่งนึกออก ก็เลยส่งข้อความมาบอก”
“ฮ่าๆ” ผมขำจนเสียงดังลั่น เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายเขาจะตีความตรงๆตั้งแต่ทีแรก

“ก็ใครมันจะไปคิดว่ามึงอยากจะสื่อความหมายเหมือนกูนี่หว่า มึงไม่ใช่คนแบบนั้น กูก็ต้องคิดในแบบที่เป็นมึงดิ แต่ว่ากูชอบนะ มันเป็นคำอวยพรที่น่ารักดี แถมยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นใจอีกต่างหาก อีกอย่างประโยคแบบนี้กูก็เพิ่งจะเคยได้ฟังจากมึงเป็นคนแรกนี่แหละ มันรู้สึกดีชะมัด ที่มึงเหมือนกับเข้าถึงตัวตนทางความคิดของกูได้” พี่เนย์พูดด้วยแววตาเป็นประกาย จนผมอดจะยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้ พร้อมกับหัวใจที่มันค่อยๆพองโตกลับคำบอกกล่าวของพี่เขาอย่างช้าๆ
“Don’t let the bedbugs bite” ผมพูดประโยคดังกล่าว ก่อนจะหลับตาและแตะริมฝีปากลงบนกลีบปากของพี่เนย์ที่มันลอยล่องอยู่ตรงหน้า แล้วผละออกมา แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้น เพราะตอนนี้ผมเริ่มจะง่วงนอนเข้าให้แล้ว เนื่องจากกิจกรรมเมื่อครู่มันทำให้ผมเสียพลังงานมากกว่าทุกครั้ง
ผมจึงได้แต่หวัง..
ว่าเราสองคนจะหลับฝันดี และไม่มีอะไรมารบกวน ตามคำอวยพรที่เราต่างก็ได้รับจากกันและกัน


-----------------------------------------
[edit 26/12/2017 คำผิด กระเพราะปลา > กระเพาะปลา / 28/12/2017 คุมกาย > คลุมกาย
28/12/2017 แก้คำตกหล่น]
สำหรับตอนนี้เราใช้เวลาเขียนนานมาก เพราะมันมีเรื่องของวิชาการกับเลิฟซีนนี่แหละค่ะ เราเลยต้องนั่งหาคลิป หาบทความเกี่ยวกับจิตวิทยาคลินิกอ่านจนหัวหมุน เพราะต้องการจะเขียนถึงความแตกต่างระหว่างจิตแพทย์และนักจิตวิทยา รวมไปถึงการทำงานของนักจิต คือฟังคลิปแล้วจับใจความจนมึนไปหมด แล้วดูเขียนออกมากระจึ๋งนึง 5555 ส่วนเลิฟซีนนี่ปราบเรามากจริงๆ ไม่ค่อยชอบเขียนเท่าไหร่ มันคิดคำให้ดูไม่ล่อแหลม และมองเห็นภาพแบบลางๆได้ยากมาก พยายามจะให้ภาษามันสวยๆ แต่เขียนทีเหนื่อยมาก เพราะเราไม่รู้จะขุดเอาคำอะไรมาเขียนฉากนี้ คือเขียนๆนอนๆ จนเริ่มรู้สึกว่า ทำไมไม่จบสักทีวะ 5555
ปล 1. สองตอนหน้าคงจะจบจริงๆแล้วแหละ คิดว่านะ เพราะเราไม่มีรายละเอียดอะไรมากแล้ว เท่ากับตอนพิเศษเท่ากับตอนหลักเลยค่ะ แปลกๆ 55555
ปล 2. เราอยากแนะนำให้ดูเรื่อง Side effects จริงๆค่ะ สนุกดี ในเรื่องก็เขียนสปอยไปซะเยอะเลย แฮร่

ดอก Tampopo หรือแดนดิไลออน เป็นดอกไม้แห่งความสุข ความร่าเริงและความหวัง ในการ์ตูนแอนิเมชันหลายเรื่องรวมถึงโดราเอมอนได้แสดงให้เห็นว่าเมล็ดของ Tampopo กำลังปลิดปลิวไปทั่ว เพื่อสื่อความหมายของความสุขสดชื่นในวันที่อากาศดี และสำหรับประเทศที่มีการงอกงามของต้นแดนดิไลออน ผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าการอธิษฐานและเป่าเพียงครั้งเดียวเพื่อให้เมล็ดของแดนดิไลออนทั้งหมดหลุดออกจากฐานรองดอกจะทำให้สมหวังในคำอธิษฐาน
ที่มา : http://anngle.org/th/j-lifestyle/tampopo-dandelion.html


อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 25
“side effects (2013) สัมผัสอันตราย”. (เพจHidef12UP). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  www.movieshunsa.com. [23 พ.ย. 2560].
“นักจิตวิทยาคือใคร แตกต่างกับจิตแพทย์อย่างไร?”. (เพจTU Psychiatry). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.facebook.com.[16 มิ.ย. 2557].
“3บทบาทนักจิตวิทยาคลินิก”. (แอคเคาน์ Winai Thongchai). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.youtube.com.[13 มี.ค 2554].
“4บทบาทการประเมินทางจิตวิทยา”. (แอคเคาน์ Winai Thongchai). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.youtube.com.[14 มี.ค 2554].
“บทบาทด้านจิตบำบัด”. (แอคเคาน์ Winai Thongchai). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.youtube.com.[19 มี.ค 2554].
“8 จิตบำบัดคืออะไร”. (แอคเคาน์ Winai Thongchai). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.youtube.com.[8 เม.ย 2556].
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 25 ♥ หน้า 10 (up 26/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-12-2017 14:33:18
 :man1: หมั่นเขี้ยวอะ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 25 ♥ หน้า 10 (up 26/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 26-12-2017 19:34:40
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 25 ♥ หน้า 10 (up 26/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-12-2017 22:24:45
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 25 ♥ หน้า 10 (up 26/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-12-2017 23:54:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 25 ♥ หน้า 10 (up 26/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 27-12-2017 01:03:06
หุยยย น้องรันแซ่บขึ้นนะ :hao6:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 25 ♥ หน้า 10 (up 26/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 27-12-2017 05:41:42
เป็นเลิฟซีนที่ดีมากกกก เก๊าชอบบบ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 28-12-2017 13:39:01
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 26

ตั้งแต่น้องรหัสของผมเริ่มคบหากันในสถานะ ‘คนรัก’ อย่างเป็นทางการ พอเปิดภาคเรียนใหม่ ก็ถูกแซวกันระงม เพราะว่าทั้งสองคนชอบอ้างว่าพี่รันนัดไปนั่น พี่รันนัดไปนี่ ส่วนพี่รันตัวจริงน่ะเหรอ ได้แต่ฟังแล้วก็อมยิ้ม โดยไม่ได้คิดจะโกรธเคืองที่ถูกแอบอ้างแต่อย่างใด เพราะผมเข้าใจว่า แรกๆทั้งสองคนอาจจะยังอยู่ในขั้นจีบกันน่ะแหละ ก็เลยยังไม่กล้าออกตัวมาก พอความสัมพันธ์มันไปได้ดี ทั้งสองคนถึงได้เปิดเผย พี่รหัสคนนี้เลยกลายเป็นหมาหัวเน่าไปซะ แต่พองอนกันที ผมล่ะโคตรจะวุ่นวาย
แต่ที่วุ่นวายนี่ ก็เพราะน้องโบว์นะ ไม่ใช่ปาล์ม

พอพูดถึงสายรหัส ผมก็นึกขึ้นได้ว่าสายของผมมันเริ่มขยายใหญ่ขึ้นตั้งแต่ภาคเรียนก่อน เพราะปีนี้ได้รับน้องเข้าสายรหัสด้วยกันถึงสองคน แล้วก็เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ แต่ผมไม่ค่อยสนิทกับน้องมากนัก อาจเพราะผมเป็นผู้ชายแล้วก็อยู่ปีที่สูงกว่าด้วย ก็เลยไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับน้องๆนั่นแหละ น้องกิ๊ฟกับน้องเฟิร์นก็เลยสนิทกับน้องโบว์มากกว่า และด้วยความที่น้องรหัสรายนี้ของผม เป็นคนพูดเก่งอยู่แล้ว เรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย แถมแคมเปญโปรโมทสาขายังตกเป็นหน้าที่หลักของปีหนึ่งกับปีสองอีกต่างหาก แต่คราวนี้ง่ายๆ ไม่ยากนัก เห็นว่าให้เลือกท่อนเด็ดๆของเพลงอะไรก็ได้มาสักหนึ่งเพลง แล้วแปลภาษามือในท่อนนั้นส่งให้พี่ทีมที่เป็นประธานรุ่น ที่ตอนนี้กำลังหัวหมุนจนได้ที่ เพราะปีสี่จะเรียนภาษามือเกี่ยวกับกฎหมาย โดยมีการจำลองสถานการณ์เหมือนตอนว่าความกันจริงๆ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับพวกพี่เขา
เพราะลำพังแค่มาตรากฎหมายก็ยากมากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังต้องมาจำลองสถานการณ์เสมือนจริงอีก คงจะสั่นและตื่นเต้นกันน่าดู

“พี่รันของที่ให้ฝากหาค่ะ” ผมกำลังจะเข้าหาห้องเรียนวิชาภาษามือในด้านกฎหมายอยู่แล้ว แต่เผอิญผมได้ยินเสียงเรียกของน้องโบว์เข้าเสียก่อน ก็เลยยืนรอเธออยู่ตรงหน้าห้อง ขณะที่เพื่อนๆ ก็ทยอยกันเข้าไปด้านในอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะยื่นมือออกไปรับถุงกระดาษใบขนาดกลางที่น้องโบว์ยื่นมาให้พลางก้มหน้าหอบแห่กๆ
“หนูไปก่อนนะคะ จะเข้าเรียนแล้ว” น้องก้มลงนาฬิกาข้อมือของตัวเองสักพัก จากนั้นก็รีบวิ่งจากไป จนแม้แต่ผมก็ยังหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจ่ายเงินแทบไม่ทัน ผมจึงได้แต่ส่ายหัวกับความกระโดกกระเดกของน้องรหัสคนนี้ พลางเดินเข้าไปในห้องเรียน พร้อมกับแหวกถุงดูของที่ให้น้องโบว์ไปช่วยหาซื้อให้ที่กรุงเทพ เพราะว่าของชนิดที่ว่า มันเป็นตุ๊กตา ซึ่งผมไม่ค่อยจะรู้แหล่งในการซื้อขายนัก แต่เพราะมันเป็นตุ๊กตา ‘เขี้ยวกุด’ จากภาพยนตร์แอนนิเมชั่นชื่อดัง ที่ผมอยากจะมอบให้พี่เนย์เป็นของขวัญคู่กับรูปวาดที่ผมเพิ่งจะกลับไปเอาจากที่บ้าน เมื่อตอนช่วงปิดเทอมหลังสอบไฟนอลที่ผ่านมา

ซึ่งช่วงเตรียมตัวสำหรับการรับปริญญา ผมได้เจอพี่เนย์บ่อยกว่าปกติ เพราะว่าพี่เขาต้องลางาน เพื่อมาวัดตัวสำหรับเตรียมตัดชุดครุยที่มหาลัย จากนั้นก็ต้องลางานมารับชุด อีกทั้งยังต้องมาซ้อมย่อยถึงสองครั้ง กระทั่งวันนี้ที่การซ้อมใหญ่ดำเนินมาถึง และวันมะรืนก็จะเป็นวันรับจริง ซึ่งพ่อกับแม่ของผมก็จะมาด้วย ส่วนผมคงจะมาหาพี่เขาช้าหน่อย เพราะว่าผมมีเรียนแทบทั้งวัน และกว่าจะเลิกเรียนก็สี่โมงเย็นแล้ว แต่ก็คิดว่าน่าจะพอดีกับเวลาที่พี่เขาเสร็จจากพิธีการรับปริญญาเลยล่ะมั้ง  หรือถ้าไม่ ผมก็แค่นั่งรอ โดยบังคับให้เพื่อนสองคนรอเป็นเพื่อนก็แค่นั้น
“เนี่ยเหรอที่มึงให้น้องโบว์หาให้?” ทันทีที่ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ไอ้หมอกมันก็หยิบถุงกระดาษใบนั้นไปเปิดดู

“อืม”
“ว่าแต่มะรืนนี้ กูกับไอ้คินรวมเงินกันซื้อช่อดอกไม้ให้พี่เนย์ มันจะโอเคไหมวะ?” ไอ้หมอกยังคงตั้งคำถาม เพราะเราไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แต่ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าส่วนใหญ่เขามักจะให้อะไรเป็นของขวัญเพื่อแสดงความยินดี เพียงแต่พี่เนย์ไม่ได้มีวี่แววว่าจะชอบทั้งตุ๊กตาและดอกไม้เลยแม้แต่นิด ไอ้หมอกมันก็เลยไม่ค่อยมั่นใจ อีกทั้งสาขาของเรายังเป็นสาขาที่เพิ่งจะเปิดได้ไม่นาน จึงยังไม่เคยมีพี่บัณฑิตให้ต้องไปร่วมแสดงความยินดี แต่ในเทศกาลรับปริญญาเราก็มักจะเห็นพี่บัณฑิตผู้ชายเดินหอบดอกไม้และตุ๊กตากันเยอะแยะไป

“ปีก่อนกูเห็นพี่ผู้ชายเขาถือดอกไม้กันเยอะแยะ ชอบไม่ชอบก็เรื่องของพี่เนย์ มึงมาแสดงความยินดี จริงๆไปตัวเปล่ายังได้” ผมว่าอย่างนั้น เพราะผมคิดว่าการมาแสดงตัว มันก็คือการแสดงความยินดีอย่างนึงแล้ว แต่ในส่วนของผม ที่มีของขวัญจะให้อีกฝ่าย นั่นก็เพราะผมอยากจะให้ ไม่ได้ให้ตามมารยาทเหมือนกับคนอื่น ส่วนตุ๊กตาเขี้ยวกุด ผมก็แค่คิดว่ามันน่าจะดีกว่าให้ตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาหมา เหมือนคนอื่นๆ อีกอย่างเขี้ยวกุดมันก็สื่อถึงลูกรักของพี่เนย์ด้วย ผมก็เลยให้ทั้งเขี้ยวกุดทั้งรูปวาดเน่าๆของตัวเอง
เพราะอย่างน้อยเขี้ยวกุดมันก็ยังดูมีสกุลรุนชาติและภาษีดีกว่าภาพวาดของผมน่ะ

“จะบ้าเหรอวะ เสียมารยาท” ไอ้คินมันด่าเข้าให้ ขณะที่ไอ้หมอกมันก็พยักหน้าเห็นด้วย ผมจึงได้แต่ยักไหล่ เพราะถึงยังไงมันก็เป็นปัญหาของพวกมัน จะคิดจะตัดสินใจอะไรก็เป็นสิทธิของพวกมันอยู่ดี
“วันนี้กูก้าวขาออกจากห้องผิดข้างเหรอวะ” ผมแอบบ่นเบาๆกับเพื่อนซี้ เมื่ออาจารย์เริ่มคาบด้วยการเรียกชื่อผมให้ออกไปบรรยายภาษามือในด้านกฏหมาย ต่อจากอาทิตย์ที่แล้วที่เราเรียนค้างกันไว้

“การคุ้มครองสิทธิของคนพิการ ตามกฎหมายไทย” ทันทีที่ผมหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าชั้นเรียน อาจารย์ผู้ที่ไร้ความบกพร่องทางการได้ยินก็เริ่มบรรยายข้อมูลทางด้านกฎหมายที่เราจะเริ่มเรียนกันในวันนี้ ส่วนอาจารย์ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ท่านก็มองจ้องมาที่ผมอย่างตั้งใจ
โดยผมเริ่มคิดประมวลผล เป็นภาพของท่ามือ ‘ไทย + กฎหมาย + สิทธิ + คนพิการ + ดูแล’

ผมเริ่มยกนิ้วชี้ข้างขวาให้ขนานราบกับพื้นในระดับจมูกก่อนจะลากลงมาในระดับอก เพื่อแสดงถึงท่ามือของคำว่า ‘ไทย’ และต่อด้วยการยกมือซ้ายขึ้นตั้งตรง ขณะที่มือขวาก็ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้น โดยแตะปลายนิ้วกลางเข้ากับปลายนิ้วกลางด้านขวา ก่อนจะวาดนิ้วออกเป็นครึ่งวงกลมขนาดเล็ก และจรดปลายนิ้วเดิมลงบนฝ่ามือซ้ายบริเวณใกล้ๆกับนิ้วก้อย เพื่อแสดงถึงท่ามือของคำว่า ‘กฎหมาย’
จากนั้นผมก็เริ่มทำมือทั้งสองข้างให้งองุ้ม พร้อมกับนำมาบรรจบกัน เป็นท่ามือของคำว่า ‘เสมอ’ ก่อนจะหมุนวนฝ่ามือทั้งสองข้างออกด้านนอก แล้วถึงค่อยวนกลับเข้าหาตัว เพื่อประกอบเป็นคำว่า ‘สิทธิ’ ต่อมาผมเริ่มทำท่ามือของคำว่า ‘คนพิการ’ โดยการยื่นมือทั้งสองข้างไปด้านหน้าในแนวราบ พร้อมกับทำสันมือให้ตั้งตรงในแนวนอน ก่อนจะใช้มือซ้ายตัดเข้าที่แขนขวา ตามด้วยมือขวาตัดเข้าที่แขนซ้าย  ปิดท้ายด้วยท่ามือของคำว่า ‘ดูแล’ เริ่มจากชูนิ้วชี้และนิ้วกลางทั้งสองข้าง ก่อนปาดวนเป็นลักษณะครึ่งวงกลมทั้งซ้ายและขวาเข้าหาตัวประมาณสองครั้ง ก็เป็นอันจบหัวข้อใหญ่ที่เราจะเรียนกันในวันนี้

“1.3.17 พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ” ผมเริ่มประมวลผล พลางนึกถึงภาพของท่ามือ ‘เลขหนึ่ง จุด เลขสาม จุด เลขสิบเจ็ด + พอ จุด รอ จุด บอ จุด + คนพิการ + เรียน + จัดการ’ ก่อนจะเริ่มชูนิ้วชี้ข้างขวา อันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘เลขหนึ่ง’ ที่คนทั่วไปรู้จัก จากนั้นก็ชี้นิ้วดังกล่าวไปด้านหน้า แสดงถึงคำว่า ‘จุด’ ก่อนจะชูนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง อันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘เลขสาม’ จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ ชี้ไปข้างหน้า ตามด้วยการกำข้อมือขวา โดยหันหลังมือออกจากตัว เหมือนกับตอนจะเคาะประตูห้อง ก่อนจะรีบบิดข้อมือให้หันออกจากตัว และแบมือออกพร้อมกับจรดปลายนิ้วโป้งกับนิ้วนางเข้าหากัน อันเป็นท่ามือของ ‘เลขสิบเจ็ด’ และเมื่อประกอบรวมทุกท่ามือเข้าด้วยกัน ก็จะเท่ากับ ‘1.3.17’
ต่อมาเป็นท่ามือของ ‘พ’ โดยชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางในลักษณะเหมือนคนกำลังก้าวเดินด้วยเท้าซ้ายเป็นก้าวแรก ที่เปรียบเสมือนกับนิ้วชี้ของเรา ก่อนจะชูนิ้วชี้ไปข้างหน้า ตามด้วยการไขว้นิ้วกลางทับกับนิ้วชี้ข้างขวา ซึ่งเป็นท่ามือของ ‘ร’ จากนั้นก็ชูนิ้วชี้ไปข้างหน้า และตามด้วยการทำมือข้างขวาเหมือนเลขสี่ที่คนทั่วไปรู้จักในระดับเอว อันเป็นท่ามือของคำว่า ‘บ’ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการชูนิ้วชี้ไปข้างหน้าอีกครั้ง เพื่อแสดงถึงท่ามือของคำว่า ‘จุด’ จนประสมกันเป็นคำว่า ‘พระราชบัญญัติ หรือ พ.ร.บ’ และตามด้วยท่ามือของ ‘คนพิการ’ เหมือนกับที่เคยทำไปก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ตามด้วยท่ามือ ‘เรียน’ โดยการแบมือซ้ายขึ้น ก่อนมือขวาจะทำท่าเหมือนกำลังกินข้าวแบบไทยโบราณ จากนั้นก็ดึงมือข้างขวาขึ้นมาวางแหมะลงตรงหน้าผาก และตามด้วยท่ามือของคำว่า ‘จัดการ’ โดยการทำมือทั้งสองข้างให้หงิกงอทั้งห้านิ้ว เหมือนกับตอนกำลังจะยีขนแมวที่อยู่ตรงหน้าเล่นสักสองที ก็เป็นอันจบหัวข้อย่อยที่กำลังจะเริ่มต้นในวันนี้

“มาตรา 5 คนพิการมีสิทธิทางการศึกษาดังนี้” อาจารย์พูดพลางเว้นวรรคให้ผมหายใจหายคอ ผมจึงยังไม่รนอะไรมาก แต่ก็ใช่ว่าจะมีเวลามาวอกแวกแต่อย่างใด สติต้องมีอย่างเหลือล้น ไม่งั้นผมพลาดแน่ๆ
 “ข้อหนึ่ง ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิด หรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมทั้งได้รับเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ข้อสอง เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคำนึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลนั้น ข้อสาม สิทธิได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษา ที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล” สมองผมเริ่มเบลอไปชั่วขณะ เมื่อสุดท้ายแล้วอาจารย์ก็ยังรัวเนื้อหาทางกฎหมายใส่ผมเต็มๆ จนผมจับใจความได้ทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ก็ยังถือว่าใจความสำคัญน่าจะพอจับจุดได้หมด เพราะอาจารย์พิสมัยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ ที่เป็นไปในเชิงน่าหวาดเสียว ซึ่งสาเหตุของมัน ก็ไม่ใช่เพราะว่าผมเก่ง หรือโปรมากแต่อย่างใด
อย่าลืมว่าวันนี้พี่ล่ามไม่ได้เข้ามาดูการเรียนการสอนต่างหาก ผมถึงได้ไม่ถูกเชือด!

“ไอ้เชี่ย ยากโว้ย ยากชิบหาย” ทันทีที่เดินออกมาจนพ้นตึกคณะแล้ว ผมก็ร้องตะโกนออกมาอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น เพราะกฎหมายแม่งยากกว่าการแพทย์อีก ในเมื่อระดับความต่างของภาษามันออกจะสุดขั้วขนาดนี้ พูดตรงๆ ผมเครียดกับการเรียนภาษามือด้านกฎหมายชิบหายเลย มิดเทอมรอบก่อนก็เกือบแย่ เล่นเอาเส้นเลือดเต้นตุบๆ ตอนกำลังสอบกันเลยทีเดียว
“น็อตหลุดอีกแล้วเหรอมึง?” ไอ้คินถามพลางขำเบาๆ ด้วยสีหน้าระรื่น ก็ใช่สิ ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยจะโวยวายอะไร ออกจะเงียบๆ เรื่อยๆ เปื่อยๆ เกินไปซะด้วยซ้ำ แต่พอถูกเรียกออกไปหน้าห้องเมื่อไหร่คือพัง ทุกอย่างพังหมด!

ปึ่ก!

“มึงขำเชี่ยไร ทำเป็นลืมเรื่องราวก่อนสอบมิดเทอมนะไอ้คิน” ผมเอาถุงของขวัญฟาดไอ้คินอย่างแรงอยู่หลายที แถมไอ้เพื่อนตรงหน้ามันยังมาเยื้อแย่งกับผมอีก สุดท้ายถุงกระดาษก็ขาด และตุ๊กตาเขี้ยวกุดก็ลอยไปตกอยู่ที่พื้นโน่น
“มึงก็ไปแกล้งมันเนอะ” วันนี้ผีตัวไหนเข้าสิงไอ้หมอก ผมก็ไม่รู้ แต่อยากจะขอบคุณมาก ที่เลือกเข้าสิงได้ถูกคนแถมถูกเวลาอีก

“พี่เนย์มา” ผมหันไปมองทางด้านหลังตามการชักนำของไอ้คิน ผมถึงได้เข้าใจในพฤติกรรมของไอ้หมอกด้วย สรุปคือแม่งหน้าไหว้หลังหลอกนี่หว่า
ถ้าเกิดพี่เนย์ไม่เดินเข้ามาหา มึงกับไอ้คินก็จะรวมหัวกันแกล้งกูสินะ

“ไปยัง หิว” พี่เนย์พยักหน้าทักทายไอ้เพื่อนซี้สองคนของผม พลางเหลือบมองไอ้เขี้ยวกุดในมือไอ้หมอกเพียงเสี้ยวหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก จึงหันมาถามความเห็นจากผมที่เพิ่งจะเลิกเรียน ผมก็เลยพยักหน้าเป็นคำตอบ เพราะพอจะเข้าใจความเหนื่อยและความหิวที่อีกฝ่ายเจอมาจากพิธีซ้อมรับปริญญาอยู่หรอก
“กูไปนะ” ผมหันไปบอกลาเพื่อนทั้งสอง พลางพูดกับไอ้หมอกแบบไม่มีเสียงว่า ‘ฝากเก็บด้วย’ ก่อนจะรีบก้าวเดินตามพี่เนย์ไปยังลานจอดรถของคณะ เพราะสามวันนี้ผมถูกลักพาตัวไปอยู่หอนอก ที่พี่เนย์เช่าไว้ เนื่องจากมะรืนนี้ก็จะถึงวันรับจริงแล้ว พี่เขาก็เลยลางานรวดเดียวเลย ส่วนวันรุ่งขึ้นคุณหมอก็ให้พี่เนย์พักอีก เลยไม่ต้องมาทำงานที่คลินิก
แบบนี้แสดงว่าทั้งสองฝ่าย น่าจะคุยกันถูกคอมากๆเลยนะนั่น

“วันนี้กินอะไรดีครับ?” ผมถามว่าที่บัณฑิตที่กำลังมุดตัวเข้าไปเก็บชุดครุยและหมวกแขวนไว้ที่เบาะหลัง
“ก๋วยเตี๋ยว”

“อื้อ” ผมตอบรับในลำคอ พลางนั่งรออีกฝ่ายจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ จะได้ขับรถออกจากมหาลัยสักที
“วันรับจริง พวกไอ้เอ้มันนัดเลี้ยงทุกคนเลยนะ ชวนเพื่อนมึงมาด้วยล่ะ” ผมตอบรับในลำคอ พลางเอื้อมมือไปปัดแอร์ให้หันออกไปนอกกระจก เพราะมันเป่าเข้าจมูกจนเกินไป

“เราจะรอที่ห้อง หรือว่าไปรอที่ร้านกาแฟ กูก็ดันลืมไปเลย ว่าร้านมันเปิดหกโมง”
“ที่ห้องดีกว่าไหมครับ จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย” ผมเสนอทางเลือกอย่างรวดเร็ว เพราะผมอยากจะนอนพักสมองสักหน่อย วิชาภาษามือสุดโหดนั่นสูบพลังผมได้ดีชะมัด

“แล้วพวกพี่คนอื่นพักที่ไหนกันเหรอครับ?” ผมถามพี่เนย์ขณะที่กำลังเดินเข้าหอเก่าของเจ้าตัว เพียงแต่จองได้คนละชั้น เพราะอีกฝ่ายเขาอาศัยใช้สายสืบอย่างพี่ทีมกับพี่บอสให้ช่วยหาให้ ก็เลยจองได้ใกล้มหาลัย แต่พี่คนอื่นๆ ไม่ยอมบอกพี่เนย์ไว้ก่อน ก็เลยต้องระหกระเหินไปอยู่ไกลจากมหาลัยหน่อย
“เข้าไปในซอยแถวหอเรานี่แหละ แต่ก็เข้าไปลึกพอสมควร ไม่รู้ชื่อหออะไร กูจำไม่ได้” ผมพยักหน้าในเชิงรับรู้ พลางเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับคนตัวสูง ที่วันนี้เซ็ตผมซะเรียบร้อยเชียว

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ผมก็นอนแผ่อยู่บนเตียง ส่วนพี่เนย์ก็นั่งไถโทรศัพท์เงียบๆคนเดียว เพราะเจ้าตัวเกรงว่าจะหลับเพลิน แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว พี่เขาเลยต้องมานอนแหมะอยู่ข้างๆ แล้วเราก็เผลอหลับไป จนกระทั่งผมสะดุ้งตื่นขึ้น พลางหยิบโทรศัพท์มากดดูเวลา ก็พบว่าเวลานี้มันสองทุ่มกว่าแล้ว ผมจึงหันไปปลุกพี่เนย์ พร้อมกับเขย่าตัวอย่างแรง เพราะอีกฝ่ายท่าทางจะเพลียมาก ถึงได้ปลุกยากปลุกเย็น เนื่องจากต้องตื่นแต่เช้า เพื่อขับรถมาซ้อมใหญ่ถึงต่างจังหวัด

“เหมือนเดิมป่ะ?” พี่เนย์ถาม เมื่อเราเดินกันมาจนถึงร้านก๋วยเตี๋ยวอันคุ้นเคย
“ครับ” ผมตอบพลางเดินแยกไปจองโต๊ะ จากนั้นป้าก็เอาน้ำมาเสิร์ฟ และไม่นานเราก็ได้บะหมี่หมูแดงมากินคนละชาม แต่ด้วยความที่เราต่างก็เสียพลังงานกันมากมายในวันนี้ ชามที่สองและสามจึงตามมาได้ไม่ยาก พวกเราเลยตกลงกันว่าจะไปนั่งย่อยที่สนามเด็กเล่น เพราะเนื่องจากพี่เขาอยู่ในแวดวงการแพทย์มาสักระยะนึงแล้ว ก็เลยได้รับการเตือนว่าหากกินแล้วนอนเลย จะทำให้เป็นกรดไหลย้อน เห็นว่าต้องรออีกสักสองชั่วโมงก่อน ถึงจะนอนได้

“มึงนั่งดิ” พอเดินย้อนกลับไปเอารถ พี่เขาก็รีบขับเข้ามาในมหาลัย และมุ่งตรงไปยังสนามเด็กเล่นที่ไม่ค่อยมีใครมาใช้บริการนัก จากนั้นพี่เนย์ก็ดันตัวผมนั่งลงบนม้ากระดกด้านหนึ่ง จึงทำให้ที่นั่งของม้ากระดกอีกด้านยกสูงขึ้น แต่ก็ไม่เกินความสามารถของนักจิตวิทยาอย่างพี่เขาหรอก ทีนี้ที่นั่งทางฝั่งผมก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ผมเลยพยายามจะออกแรงกดที่นั่งตรงฝั่งของตัวเองให้ทิ้งตัวลงกับพื้นบ้าง เพื่อที่พี่เขาจะได้ลอยอยู่ในอากาศเหมือนกับผมเมื่อครู่ แต่ปรากฏว่าพี่เนย์ตัวใหญ่ ผมเลยสู้แรงไม่ไหว
“พี่เนย์” ผมร้องเรียกอีกฝ่ายพลางทำเสียงยานคาง เพราะตัวเองไม่สามารถกลับลงสู่พื้นเบื้องล่างได้ ส่วนอีกฝ่ายก็เอาแต่ยักคิ้วใส่อยู่นั่น แต่พอจู่ๆ นึกจะตามใจกัน ก็ไม่ยอมบอกกล่าว จนผมเกือบจะร่วงเข้าให้แล้ว เพราะเมื่อกี้ไม่ทันได้ตั้งตัว

“ปีหน้ากูว่าจะสอบ License คงต้องเตรียมตัวอีกเยอะเลย” ผมเอามือท้าวคางกับที่จับ พลางมองจ้องไปที่พี่เนย์ที่ลอยอยู่ในอากาศ ขณะที่ผมอยู่ด้านล่าง
“คืออะไรเหรอครับ?” ผมย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะพี่เขาดูจริงจังมากเป็นพิเศษ ท่าทางจะมีความสำคัญต่ออีกฝ่าย และก็น่าจะยากพอสมควรด้วย

“ใบประกอบโรคศิลป์น่ะ ถ้ามีใบนี้ กูจะสามารถเซ็นรับรองเอกสารที่มีผลทางกฎหมายได้ แต่ตอนนี้กูต้องทำงานแบบมีพี่เลี้ยงไปก่อน ก็เลยยังไม่ได้แสดงฝีมือเต็มที่เท่าไหร่” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะสถานการณ์ของอีกฝ่าย มันก็ไม่ต่างกับการก้าวเดินได้ด้วยขาของตัวเองเป็นครั้งแรก
“เท่าที่ดูมันจะมีสอบด้านความรู้ทางจิตวิทยา แล้วก็ด้านกฎหมายวิชาชีพ อาจต้องเตรียมตัวเยอะหน่อย แต่จริงๆ กูก็เริ่มๆเตรียมตัวตั้งแต่ตอนไปฝึกงานแล้วแหละ เพราะพี่แป๊ะกับพี่กันต์แกช่วยแนะนำว่าต้องเดินไปในทางไหนต่อ มันถึงจะดี อะไรแบบนี้น่ะ นี่ถ้าไม่ได้พี่แก กูก็แย่เหมือนกันนะ ที่สำคัญพวกเขาเป็นคุณหมอและนักจิตวิทยาที่เก่ง แถมยังวิเคราะห์ได้เฉียบขาดเลยแหละ ถือเป็นโชคดีของกูเลย” พี่เนย์พูดพลางยิ้มๆบาง เมื่อผู้ไปถึงคุณหมอจิตเวชและนักจิตวิทยารุ่นพี่ที่ตัวเองคลุกคลีด้วยจนสนิทกัน เลยทำให้ได้มาร่วมงานกันที่คลินิกแถวๆวังหลัง

“จริงๆ พี่เนย์ก็เก่งเหมือนกันนะครับ ผมว่ายังไงมันก็ต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่ๆ” ผมพูดพลางยกยิ้มจนตาปิด จนอีกฝ่ายถึงกับหลุดหัวเราะ เพราะคำพูดเอาใจที่ผมหยิบยื่นให้

“ทำไมพี่ถึงไม่ชอบให้คนเรียกชื่อเล่นล่ะครับ ชื่อฮ่องเต้ก็เท่ดีออก” หลังจากหมดเรื่องคุย เราก็พากันนั่งเงียบๆ ผมเลยนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่เคยสงสัย แต่ยังไม่มีโอกาสได้ถาม ก็เลยถือโอกาสนี้สัมภาษณ์คุณอาคเนย์เขาเสียหน่อย

“ไม่มีเหตุผล ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ” พี่เนย์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางเปลี่ยนมาส่งตัวผมขึ้นกลางอากาศบ้าง
“แสดงว่าพี่เคยถูกเพื่อนล้อแน่ๆเลย ใช่ไหมครับ?” ผมถามพลางยกยิ้ม

“หึ ไม่ใช่ จริงๆ มันเป็นเพราะชื่อสองพยางค์ เวลาที่แม่ขี้เกียจเรียกยาวๆ แม่ก็จะเรียนฮ่องมานี่หน่อย เต้มานี่หน่อย ยิ่งเวลาแม่เรียกกูว่าฮ่องรัวๆนะ ดันกลายเป็นโฮ่งๆ ทุกที พ่อเลยสงสารกู ถึงอนุมัติให้กูเปลี่ยนชื่อได้” พอได้ทราบเหตุผลที่แท้จริง ผมก็อดจะขำไม่ได้
“แล้วทำไมพี่ถึงไม่ชื่อเต้ล่ะครับ?” ผมรีบย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะชื่อเต้ก็พยางค์เดียว แถมยังเรียกง่ายเหมือนกันด้วย

“แล้วไง? ก็พ่อกูชอบชื่อนี้มากกว่า” ผมหัวเราะ พลางพยักหน้าเบาๆ กับเหตุผลน่ารักๆ ของอีกฝ่าย ที่มันบ่งบอกได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัว ที่ถึงแม้จะดูเหมือนห่างเหินกัน แต่จริงๆ กลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย
“แล้วมึงล่ะ ทำไมชื่อเนรัน มันไม่มีความหมายอะไรไม่ใช่เหรอวะ?” พี่เนย์ถามพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง

“แต่ก่อนแม่ชอบดูหนังญี่ปุ่นครับ” ผมตอบพลางหัวเราะออกมานิดๆ เพราะเหตุผลของเรา มันก็แทบจะไม่ต่างกัน
“อืม แต่ก็สมกับมึงดีออก” พี่เขาพูดพลางพยักหน้า คล้ายกับเห็นด้วยที่แม่ตั้งชื่อนี้ให้ผม

“แต่ตอนนี้แม่ผมเปลี่ยนมาติดซีรีย์เกาหลีแล้วครับ ถ้าผมเกิดช้ากว่านี้หน่อยคงได้ชื่อปาร์คแน่ๆ” ผมเผาแม่พลางขำออกมาเบาๆ
“ทำไมวะ?”

“แม่ชอบนักแสดงที่ชื่อปาร์คอะไรสักอย่างนี่แหละครับ”
“ดีแล้วที่มึงเกิดเร็ว ชื่อนี่โคตรไม่เหมาะกับมึงเลย” พี่เนย์ค่อยๆถีบขาเพื่อดันตัวเองขึ้นกลางอากาศบ้าง

“วันนี้ดาวสวยดีนะครับ แถมยังเยอะดีด้วย แต่ก็ยังไม่สวยเท่าฝนดาวตกที่เราดูด้วยกันวันนั้นเลย” ผมเงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้า พลางอมยิ้มขณะที่พูด
“อืม กูก็เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่าฝนดาวตกมันจะสวยขนาดนั้น” ผมหันหน้าไปมองอีกฝ่าย แต่ปรากฏว่าพี่เขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงยกยิ้มให้จนเต็มแก้ม เหมือนอย่างทุกครั้งที่พี่เนย์มักจะชอบแอบมองผมอยู่บ่อยๆ จนผมชักสงสัยว่าทำไมพี่เขาถึงชอบแอบมองผมนัก ทั้งๆที่เราก็คบกันมานานแล้ว แถมยังเกินเลยกันก็หลายครั้ง แต่พฤติกรรมชอบแอบมอง หรือการเผลอยิ้มตามผม มันก็ยังคงอยู่ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากผม ที่ชอบเขินอีกฝ่าย แม้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันจะพัฒนาไปไกลแล้ว
ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น มันก็อาจเป็นเพราะความเคยชิน หรืออาจเพราะความชื่นชอบส่วนตัว ผมเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าหากวัดจากความรู้สึกของตัวเอง มันก็คงจะเป็นเพราะพฤติกรรมอันเป็นธรรมชาติของการได้อยู่ใกล้กับคนที่เรารัก เราก็เลยมักจะชอบเขินใส่เขาทุกทีที่มีโอกาส แล้วอีกอย่างเวลาอยู่กับพี่เนย์ ผมก็มักจะชอบยิ้มออกมาอยู่เรื่อย ทั้งๆที่แต่ก่อนผมไม่ใช้คนยิ้มง่ายขนาดนี้

“วันรับจริง ผมมีของขวัญจะให้นะครับ”
“จริงๆมึงให้วันนี้เลยก็ได้นี่” พี่เขาออกความเห็นอย่างไม่คิดมาก

“ให้วันรับจริงดีกว่าครับ แต่พี่อย่าคาดหวังนะ เพราะมันคงไม่ดีเท่ากับของขวัญ ที่ผมเคยอยากเตรียมไว้ให้พี่ตั้งแต่แรก” ผมรีบเอ่ยดักคออีกฝ่ายเอาไว้ก่อนเลย เพราะของขวัญชิ้นนี้ ถ้าเทียบกับการพูดชื่อของพี่เขา ยังไงมันก็เทียบกันไม่ติด
“จริงๆ มึงจะให้อะไร กูก็ชอบทั้งนั้น เพราะคุณค่าของมัน ขึ้นอยู่กับใครเป็นคนให้เรามากกว่า” พี่เขาตอบพลางมองจ้องมาที่ผมแน่นิ่ง จนผมสู้สายตาไม่ไหว เลยต้องหันไปมองทางอื่น

“หรือจะไม่ให้อะไรเลย กูก็ไม่คิดมาก”
“แต่วันสำคัญแบบนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยๆนะครับ” ผมรีบแย้ง

“ใครว่า กูยังมีแพลนจะเรียนต่ออยู่หรอก แต่คงรอให้อะไรๆมันลงตัวก่อน ไว้มึงอยากจะแสดงความยินดีอีกกี่รอบ ก็เรื่องของมึงเลย” ผมได้แต่หัวเราะ กับเหตุผลของอีกฝ่ายที่ผมไม่ได้คาดคิดไว้อีกแล้ว
“อีกอย่าง แค่มีมึงอยู่ข้างๆ กูก็ถือว่ากูได้ของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว กูเลยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรจากมึงอีก แล้วก็ไม่เคยคิดจะเรียกร้องอะไรด้วย”

“เพราะสำหรับเรา ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันก็ดีอยู่แล้ว”

-----------------------------------------------------
[edit 28/12/2017 แก้คำเบิ้ล / แก้คำผิด ล่วง > ร่วง]
คลิปภาษามือประกอบการอ่าน (ลงในเด็กดี) (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1716971&chapter=17)
ตอนหน้าจบแล้วจ้า ส่วนตอนนี้ก็วิชาเยอะหน่อยเป็นการปิดท้าย 555

เราเห็นมีคนถามความหมายของประโยค 'Don’t let the bedbugs bite' จากเว็บอื่นที่เราไปลงด้วย เลยจะบอกกันอีกทีว่า ความหมายแอบแฝงของมันคือ ฝันดีนะ ขออย่าให้อะไรรบกวน เราเขียนสรุปไว้ในประโยคตัดจบของตอนที่แล้วเลยค่ะ

มาถึงเรื่องการสอบใบประกอบโรคศิลป์ หรือ License ของด้านจิตวิทยา จากข้อมูลที่อ่านมา เขาบอกว่า สามารถสอบได้เฉพาะสาขาจิตวิทยาคลินิกค่ะ สาขาอื่นไม่สามารถสอบได้ หรือหากต้องการจะสอบ ก็ต้องต่อ ป. โท ด้านจิตวิทยาคลินิก แล้วก็ต้องผ่านการฝึกงานมาแล้วด้วย ถึงจะสอบได้ค่ะ หรือถ้าหากมีใบอนุญาตมาจากต่างประเทศแล้ว กลับมาไทยก็ต้องสอบเหมือนกันค่ะ เท่ากับว่าไปทำงานประเทศไหนก็ต้องสอบใบอนุญาตของประเทศนั้น ส่วนถ้าจบจิตวิทยาคลินิก แต่ยังไม่ได้ไปสอบใบประกอบโรคศิลป์ ก็สามารถทำงานได้ แต่ไม่มีสิทธิ์เซ็นใบรับรองที่มีผลทางด้านกฎหมาย และต้องทำงานภายใต้การดูแลของผู้มีใบประกอบโรคศิลป์ค่ะ
เผื่อใครสนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.thaiclinicpsy.org/index.php/2015-04-06-00-59-32/2015-04-17-15-52-38

อ้างอิง:  Fall in you ตอนพิเศษ 26
“กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ”. (กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ). [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก :  http://dep.go.th/th/home. [1 เม.ย. 2558].
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-12-2017 13:59:53
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 28-12-2017 14:24:58
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 28-12-2017 15:02:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-12-2017 16:02:31
 o13  o13  o13
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-12-2017 16:55:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 28-12-2017 18:53:44
ยังคงน่ารักกันต่อไปป อิจฉาความรักของทั้งสองคน มันดีมากกก ดูแลกันดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 28-12-2017 22:12:30
ข้อมูลแน่นเหมือนเคย สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-12-2017 00:38:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 29-12-2017 01:04:01
หวานนนน
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 26 ♥ หน้า 11 (up 28/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 29-12-2017 10:05:52
เพิ่งตามอ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ
ชอบความหาข้อมูลของคนเขียนมากกกก ชอบคอนเซปที่อยากจะอธิบายภาษามือ และหลงรักตัวละครทุกคนมาก
รันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในขณะเดียวกันคนเขียนก็ไม่ลืมความรู้สึกของพี่เนย์
หลงรักพี่เนย์เลยค่ะ ชอบผู้ชายคนนี้ ขอแบบนี้สักคนได้ไหมคะ 555 :กอด1:
หัวข้อ: Re:♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 30-12-2017 14:14:46
♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 27

ด้วยความที่พี่เปรมเปลี่ยนแพลนจะกลับกรุงเทพพร้อมกับครอบครัว วันนี้พวกเราทั้งหมดเลยต้องมารวมตัวกันที่ร้านอาหารทะเลกว่าสิบชีวิต สามทุ่มคืนนี้ ถึงได้ฤกษ์พากันกลับหอ พร้อมกับฝนที่มันตกปรอยๆ แต่ทันทีที่เดินเข้าไปยังตัวอาคารหอพัก มหกรรมฝนคะนองก็สาดเทลงมาอย่างโหดร้าย
ฝ่ายคนกลัวฟ้า ก็เอาแต่บ่นอุบตลอดทาง ว่าอีกเดี๋ยวฟ้าต้องร้อง และอาจมีฟ้าผ่าตามมาแน่ๆ

“กูอาบก่อน มึงค่อยอาบทีหลังโน่น” พอเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับเปิดไฟจนเรียบร้อย ผมก็วางกระเป๋าเป้ที่ไอ้หมอกเอามาให้ตอนไปรับที่หอใน ก่อนจะไปงานเลี้ยงไว้บนเตียง จากนั้นก็หยิบเสื้อกับกางเกงออกมาเตรียมไว้ แต่คนตัวโตเขาถือโอกาสแซงคิวกันซะงั้น คงเพราะกลัวว่าฝนจะตกหนัก แล้วฟ้าจะผ่า ก็เลยจะรีบอาบน้ำเพื่อมานอนคุมโปงนั่นแหละ
“ตามสบายครับ” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง พลางพูดเปิดทางให้ พร้อมกับมองไปที่นักจิตวิทยาผู้กลัวฟ้าผ่า จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินหายลับเข้าไปในห้องน้ำ ผมก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียง โดยที่ขาก็ยังวางอยู่กับพื้น พลางนึกไปถึงช่วงนึง ที่ผมบังเอิญเห็นว่าขาของพี่เนย์เป็นแผลยาวๆ เหมือนรอยโดนอะไรบาด ผมจึงไล่บี้ถาม ถึงได้รู้ว่าเจ้าตัวเขาทำจานแตกตอนฟ้าผ่าอีกแล้ว
เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงไม่ค่อยชอบสถานการณ์ของเราในตอนนี้สักเท่าไหร่
และเรื่องนี้ ก็เป็นแค่เรื่องเดียวจริงๆ ที่ทำให้นักจิตวิทยาคนเก่ง เขาดูแลตัวเองไม่ค่อยได้

เปรี้ยง!

“เชี่ยเอ้ย!” หลังจากอาบน้ำเสร็จ ว่าที่บัณฑิตที่จะต้องรับปริญญาในวันพรุ่งนี้ ก็ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ พลางเอาผ้าเช็ดตัวปิดตา พร้อมกับสบถอย่างหัวเสีย ที่จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมา โดยไม่มีแม้แต่เสียงคำราม หรือแม้แต่แสงของฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นการนำล่อง
“อะไรของมึง?” พี่เนย์ถาม เมื่อผมเดินไปโน้มศีรษะของอีกฝ่ายมาซบที่ไหล่ของตัวเอง

“เพราะแบบนี้ไงครับ ผมถึงได้ไม่ชอบสถานการณ์ที่เรากำลังเป็นอยู่ เพราะมันทำให้ผมก้าวเดินตามพี่ไม่ทันตั้งหลายก้าว” ผมกอดเอวอีกฝ่ายไว้ พลางให้เหตุผลที่เมื่อวานผมคัดค้านคำกล่าวของอีกฝ่ายที่ว่า ‘สำหรับเราที่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันก็ดีอยู่แล้ว’ เพราะในความเป็นจริง ยังมีเรื่องเล็กๆ ที่พี่เนย์มองข้ามมันไปอีกเรื่อง สถานการณ์ของเรา มันก็เลยให้อารมณ์ประมาณว่า จะดีก็ดีไม่สุด
“ก็มึงอยากเกิดช้าเองนี่หว่า” คนกลัวฟ้าผ่ากล่าวพลางกลั้วหัวเราะ

“นั่นก็ใช่ครับ ผมไม่เถียง แต่ถ้าผมอยู่ด้วย เวลาที่พี่เนย์ดูแลตัวเองไม่ได้ ก็ยังมีผม แต่ตอนนี้มัน..” ผมหัวเราะเบาๆ ตามอีกฝ่าย เพราะสิ่งที่พี่เขาพูดเมื่อครู่ มันก็ถูก แต่ใจความสำคัญจากผมมันก็ยังมี
“มึงจำได้มั้ย กูเคยบอกว่า ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราไปหมดทุกอย่างหรอก เอาเป็นว่าต่อไปกูจะระวังตัวเองให้มากกว่านี้” พี่เนย์รีบพูดแทรกขึ้น เมื่อเจ้าตัวเริ่มจะคาดเดาความคิดของผมออก

“ผมเป็นห่วงพี่เนย์นะครับ ถ้าผมเดินตามพี่ทันเมื่อไหร่ ผมสัญญาว่าจะชดเชยให้ พี่จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวเพราะตกใจตอนฟ้ากำลังผ่าอีก” ทันทีที่ผมพูดจบ พี่เนย์ก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขำอะไรครับ ?” ผมย้อนถาม พลางผละตัวออกจากกัน
“เปล่า กูแค่รู้สึกดีมากๆ ที่มึงเป็นห่วงกู” พี่เนย์พูดพลางยิ้มจนตาปิด ผมก็เลยอดจะยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้
“รู้ไหมครับว่าพี่เนย์เป็นห่วงผมตอนที่โดนแทงมากแค่ไหน ผมก็เป็นห่วงพี่เนย์ตอนที่กลัวฟ้าผ่าแล้วเผลอทำร้ายตัวเองมากแค่นั้น”

“รัน กูสัญญาว่าจะไม่หยิบจับอะไรทั้งสิ้น จนกว่าฟ้าจะเลิกผ่า” พี่เนย์ยกมือขึ้นราวกับลูกเสือกำลังจะปฏิญาณตน พลางพูดอย่างหนักแน่น จนผมอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
“แค่อยู่ห่างๆจากของมีคม แล้วก็ของที่มันแตกได้ก็พอครับ เพราะเวลาที่พี่ตกใจมากๆ ไอ้ของพวกนี้นี่แหละ มันจะชอบย้อนกลับมาทำร้ายพี่ตลอด”

“ครับๆ โอเคครับ รับทราบครับ ไปอาบน้ำได้แล้วครับ” พี่เนย์ก้มลงมาหยิบเสื้อผ้าที่ผมเตรียมไว้บนที่นอน พลางรุนหลังผมเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะยัดเสื้อผ้าใส่ในอ้อมแขน แล้วก็ปิดประตูให้เสร็จสรรพ กระทั่งอาบน้ำเสร็จ ก็เห็นว่าคนเก่งของผมเขานอนคลุมโปงไปแล้ว ผมจึงต้องรีบจัดการตัวเองให้เสร็จ จะได้รีบเข้านอนเหมือนอีกฝ่ายบ้าง

“ยังไม่หลับอีกเหรอครับ?” ผมถามว่าที่บัณฑิต ที่ขยับตัวเข้ามากอดทันทีที่ผมล้มตัวลงนอน

“อืม”
“พี่กำลังตื่นเต้นหรือว่ายังกลัวฟ้าผ่าอยู่ครับ?” ผมลูบศีรษะของอีกฝ่าย พลางถามด้วยความสงสัย

“สองอย่าง”
“แต่ก็ต้องนอนนะ ไม่งั้นพรุ่งนี้พี่เหนื่อยแย่ แถมยังต้องตื่นแต่เช้าอีก” ผมรีบออกปากเตือนทันที

“เออ ไอ้เอ้แม่งต้องป่วนทุกคนให้ตื่นขึ้นมาแต่งตัวพร้อมมันแน่ๆ ไม่รู้แม่งจะตื่นเร็วไปไหน”
“ก็พี่เขาเป็นผู้หญิงนี่ครับ วันสำคัญทั้งที ก็ต้องแต่งหน้าทำผมให้สวยๆไง” ผมอธิบายอย่างเข้าใจ เพราะแม่ผมเองก็แต่งตัวนานเหมือนกัน แต่ที่เป็นอย่างนั้น มันก็เพราะอาชีพของท่านทำให้ต้องดูแลตัวเองมากเป็นพิเศษ ด้วยความที่เป็นถึงฝ่ายบุคคลน่ะแหละ ก็เลยต้องเป็นตัวอย่างให้กับผู้อื่นเสมอ จนส่งผลมาถึงพฤติกรรมส่วนตัวก่อนจะออกจากบ้านไปด้วย

“เรานอนกันเถอะครับ”
“อืม” ผมอมยิ้มโดยไม่พูดอะไรอีก แต่กลับลูบผมของพี่เนย์ไปเรื่อยๆ เพราะวิธีนี้ ผมเคยใช้ตอนที่ฟ้าร้องหนักๆ สลับกับฟ้าผ่าบ่อยๆ จนพี่เนย์นอนไม่ได้
ซึ่งผลของมัน ก็ไม่น่าจะต่างกันนัก

เช้าวันนี้ผู้คนมากมายเป็นพิเศษ เพราะมีงานรับปริญญา ส่วนผมที่มีหน้าที่เรียน ก็ต้องนั่งปักหลักอยู่ตรงแถวโรงอาหารกลาง เพื่อรอเวลาเข้าเรียน ขณะที่พี่เนย์ก็ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆ ตามสถานที่นัดหมาย กระทั่งเวลาเก้าโมงตรง ผมก็ต้องมานั่งปวดหัวกับภาษามือเหมือนปกติ แต่คราวนี้โชคดีหน่อย ที่ผมไม่ถูกสุ่มเรียกให้ออกไปบรรยายภาษามือตรงหน้าชั้นเรียน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังแอบเครียดอยู่ดี เพราะว่าพอจะรู้แนวทางในการสอบของวิชานี้แล้ว ว่ามันหินมากแค่ไหน ฉะนั้นเทอมนี้ก็ต้องทำคะแนนให้ดีกันต่อไป
จะได้มีชีวิตรอดง่ายๆหน่อย

“มึงว่าพี่เนย์จะออกมาตอนกี่โมงวะ?” ระหว่างกินข้าวไอ้หมอกเริ่มชวนคุยถึงกิจกรรมที่กำลังได้รับความสนใจในวันนี้บ้าง
“น่าจะสามสี่โมงเลยมั้ง คณะเรารับช่วงบ่ายด้วยนี่” ผมตอบพลางเอาตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวกินอย่างรวดเร็ว เพราะความมึนจากในห้องเรียน มันส่งผลไปถึงสุขภาพกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี
“กูว่าแดกข้าวเสร็จ ก็ไปหาซื้อดอกไม้กันเลยดีกว่า พอเลิกเรียนจะได้ไม่ต้องแวะ” ไอ้คินเสนอขึ้นมาอีกคน ผมก็เลยพยักหน้าตอบตกลง ส่วนของขวัญของผม พวกมันก็หิ้วมาให้ตั้งแต่เช้าแล้ว แถมยังใส่ถุงพลาสติกกากๆมาให้อีก ดีนะที่น้องรหัสของผมยังพอจะมีถุงกระดาษหรือถุงอะไรก็ได้ ที่มันไม่น่าเกลียดอยู่บ้าง
ไม่งั้นนะ พี่เนย์ได้หิ้วถุงกากๆนี่เดินร่อนจนทั่วมหาลัยกันพอดี

“เอาดอกไม้แห้งดีกว่ามั้ยมึง มันยังพอเก็บได้” ผมออกความเห็น เมื่อพวกเราพากันมาเดินดูร้านขายของสำหรับมอบให้พี่บัณฑิต แถวๆคณะ เพราะว่าเดี๋ยวช่วงเย็นก็น่าจะทยอยกันมาที่นี่ ส่วนผมกะว่าถ้าเลิกเรียนแล้วพี่เนย์ยังไม่มา ก็คงจะไปหาอีกฝ่ายที่หอประชุมแล้วเดินมาด้วยกันเลย เพราะว่าพ่อกับแม่ทั้งของผมและของพี่เนย์ก็รออยู่ที่นั่นด้วย แต่พอผมชวนให้พวกท่านมาทานข้าวด้วยกันก็ไม่ยอมมา คงเพราะท่านไม่อยากเดินฝ่ากระไอแดดที่มันร้อนระอุของเมืองไทยในเวลาเที่ยงตรงนี่แหละ ครั้นพอผมจะหาซื้ออะไรไปให้ พวกท่านก็บอกว่าไม่ต้อง เพราะตึกของผมกับบริเวณที่ท่านอยู่ มันก็ออกจะไกลกันพอสมควร อีกทั้งบริเวณนั้นก็พอจะมีร้านอาหารอยู่ ถ้าหากพวกท่านหิว จะพากันไปกินแน่นอน พร้อมกับย้ำปิดท้ายว่าผมไม่ต้องห่วง พวกท่านจะกินข้าวแน่ๆ ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย

“มึงเลือก” ทันทีที่มาถึงร้านขายช่อดอกไม้ที่มันเด่นสะดุดตา ไอ้หมอกมันก็รีบบุ้ยปากมาทางผม
“มึงซื้อให้พี่เนย์นะเว้ย มึงก็เลือกเองดิ” ผมเถียง เพราะไม่เห็นด้วย ของขวัญใครคนนั้นก็ต้องเลือกเองดิ

“มึงเลือกนั่นแหละดีแล้ว” ผมส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เมื่อไอ้คินมันก็ออกปาก ให้ผมเลือกของขวัญให้อีกคน แล้วแบบนี้เสียงเดียวหรือจะสู้สองเสียงได้กันล่ะ ผมก็เลยต้องจำใจเมียงมองช่อดอกไม้แต่ละช่อ กระทั่งเห็นช่อหนึ่งที่มันมีดอกกุหลาบสีแดงอยู่ตรงกลาง ส่วนด้านนอกถูกล้อมรอบด้วยดอกสแตติส และดอกยิปโซสีขาว ขณะที่ตัวช่อถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษสาสีขาว และผูกด้วยริบบิ้นสีแดงเล็กๆ ดูเรียบๆ และไม่หวานจนเกินไป ผมก็เลยเลือกเอาดอกไม้แห้งช่อนี้ ส่วนเพื่อนสองคนก็หารเงินกันไป จากนั้นเราก็เข้าเรียนวิชาถัดไป จนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน ผมก็เลยโทรหาแม่ จนได้ความว่าพี่เขาออกมาจากหอประชุมเมื่อครู่ ตอนนี้กำลังถ่ายรูปอยู่กับเพื่อน ผมเลยบอกให้แม่ฝากบอกพี่เนย์ด้วย ว่าผมกำลังจะไปหาที่หอประชุม
ขณะซ้อนท้ายจักรยานของไอ้หมอก ผมก็ถือช่อดอกไม้และถุงของขวัญของตัวเอง ส่วนไอ้หมอกกับไอ้คินก็ต้องบังคับจักรยานให้ดี เพราะในตอนนี้นักศึกษาจากสาขาอื่น ได้เริ่มทยอยมารวมกลุ่มกัน เพื่อทำกิจกรรมบูมให้พี่บัณฑิต ส่วนสาขาของผม หลังเลิกเรียนเราก็ต่างคนต่างก็กลับหอใครหอมัน เนื่องจากในปีนี้ สาขาของเราก็ยังไม่มีพี่บัณฑิตเหมือนอย่างเคย

“พี่เนย์อยู่แถวทะเลสาบ” ผมตะโกนบอกไอ้หมอก หลังจากวางสายกับแม่ จากนั้นไอ้เพื่อนตัวดีมันก็ปั่นจักรยานมุ่งตรงไปยังลานจอดรถสำหรับจักรยาน จากนั้นเราก็เดินเข้ามายังส่วนของสนามหญ้าพร้อมๆกัน ขณะที่สายตาก็สอดส่ายมองหาคนคุ้นเคยไม่หยุด แต่ก็ยังไม่พบ เพราะวันนี้ผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศ ต่างก็มารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยของเรา
“รัน!” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็พบกับพี่เอ้ที่กำลังกระโดดโหยงเหยง พลางโบกมือให้ผมอยู่ ผมจึงยิ้มกว้างพลางเดินรี่เข้าไปหาอีกฝ่าย จนกระทั่งเจอพี่ๆทุกคนอย่างครบถ้วน รวมทั้งพี่เนย์และพ่อกับแม่ของผมและของพี่เขาด้วย

“ยินดีด้วยนะครับ” ผมบอกกับพี่ๆทุกคน พร้อมกับยกยิ้มกว้าง โดยไม่ต้องกลัวว่าพวกพี่เขาจะมองว่ามันเสียมารยาทแต่อย่างใด เพราะเนื่องจากเมื่อวานนี้ พี่เอ้นี่แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตี คอยบอกพวกผมไม่ให้ซื้อของขวัญมาให้ เพราะว่าพวกพี่เขาเกรงใจ แล้วอีกอย่างเวลาที่สายรหัสเขาซื้อของให้ พวกเขาก็จะรวมเงินกันซื้อเป็นของชิ้นใหญ่ๆสักชิ้น หรือไม่ก็ช่อดอกไม้สักช่อแค่นั้น แต่ถ้าหากพวกผมซื้อให้พวกพี่เขา ก็ต้องซื้อให้ตั้งหลายช่อ เพราะในกลุ่มของพี่เนย์ก็มีกันตั้งหลายคน แต่กับพี่เนย์ ที่พวกไอ้หมอกไอ้คินมันตัดสินใจจะซื้อให้ ก็เพราะผมเป็นตัวกลางระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยนั่นแหละ และพวกมันก็เจอกับพี่เนย์บ่อยกว่าพี่คนอื่นๆ

“มึงมายังไง? กูโทรหากะจะบอกว่าให้รอที่คณะไปเลย เพราะยังไงกูก็ต้องไปที่นั่น” นักจิตบำบัดในชุดครุยสีดำ เดินเข้ามาหาผม พร้อมกับถามด้วยความสงสัย เมื่อหันมาเห็นผมเดินฉายเดี่ยวเข้ามาหา
“ปั่นจักรยานมากับพวกไอ้หมอกไอ้คินครับ” ผมตอบพลางหันไปมองหาเพื่อนทั้งสองคน ถึงได้เห็นว่าสองคนนั้นกำลังยืนคุยกับสามสาวคณะบัญชี ที่คงจะมาร่วมแสดงความยินดีกับพี่บัณฑิตในสายรหัสของตัวเองด้วยเหมือนกัน ผมเลยขอตัวเดินเข้าไปทักทาย พวกเธอจึงฝากช่อดอกไม้มาให้พี่เนย์ด้วย ผมเลยถือโอกาสเดินไปตามให้เจ้าตัวเขามารับเอาเองเลย ไหนๆวันนี้ก็ถือเป็นโอกาสดีๆแล้วนี่นะ

“แล้วนั่นของขวัญของพี่เนย์หมดเลยเหรอครับ?” พอร่ำลากับสามสาวต่างคณะเสร็จ ผมก็เดินเข้ามาหาพ่อกับแม่ พลางไหว้พวกท่านและทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า ใกล้ๆกับแม่ของพี่เนย์ ขณะที่ดาวเด่นของเราในวันนี้ กำลังจับกลุ่มถ่ายรูปกับเพื่อนร่วมสาขาคนอื่นๆ พร้อมกับต้องคอยรับของขวัญเป็นระยะๆ เพราะมีหลายๆคนที่ถือโอกาสนี้ นำของขวัญมาให้พี่เนย์กันเยอะแยะ
“ใช่แล้ว ลูกชายแม่ดังเหมือนกันเนอะ” คุณแม่กระซิบกระซาบพลางนินทาลูกชายในระยะเผาขน ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่คุณพ่อกับคุณแม่ท่านคงไม่เคยรู้ ก็เลยดูตื่นเต้นกันมากๆ

“ไอ้หมอก” ผมหันไปเรียกเพื่อนสนิทที่ยืนมองคนโน้นทีคนนี้ที พลางยื่นช่อดอกไม้ไปให้ เพื่อที่มันจะได้เอาไปให้กับพี่เนย์ด้วยตัวเอง จากนั้นผมก็มานั่งช่วยแม่หอบดอกไม้ไปที่รถของคุณพ่อ ที่จอดเทียบท่าอยู่ตรงริมถนน ขณะที่พ่อกับแม่ของผม ท่านก็ช่วยกันหอบของทั้งหมดตามมาด้วย เพราะของพวกนี้ พี่เนย์จะไม่เอากลับไปที่คอนโด แต่ให้เอากลับไปไว้ที่บ้าน ส่วนช่อดอกไม้ เห็นพี่เนย์บอกว่าให้พ่อกับแม่แบ่งกันเอาไปจัดใส่แจกันที่บ้านได้ ทำเอาแม่ผมปลื้มสุดๆไปเลย เพราะว่าแม่ชอบตกแต่งบ้านอยู่แล้ว แถมเรื่องดอกไม้ ยิ่งเป็นเรื่องที่แม่กำลังเห่อมากๆ
วันหยุดคราวนี้ ท่าทางว่าแม่ของผม คงจะสนุกกับการเอาดอกไม้ของพี่เนย์ ไปจัดตกแต่งบ้านแน่ๆ

“พ่อกับแม่ได้ถ่ายรูปกับพี่เนย์หรือยังครับ?” ผมถามพวกท่าน พลางมุดตัวเข้าไปในรถ ขณะกำลังจัดเรียงดอกไม้ทีละช่อไว้ตรงมุมรถ ส่วนตุ๊กตาก็เอาวางไว้ข้างล่างตามคำแนะนำของผู้เป็นเจ้าของ จากนั้นพ่อของผมท่านก็ขอแยกตัวไปเอารถมาจอดตรงริมถนน เพื่อขนช่อดอกไม้ใส่หลังรถบ้าง ส่วนพ่อกับแม่ของพี่เนย์และแม่ของผมระหว่างยืนรอ ท่านก็เล่าให้ผมฟังว่าได้ถ่ายรูปมุมไหนกับดาวเด่นของเราไปแล้วบ้าง จากนั้นท่านก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่มีรูปคู่กับพี่เนย์เลย คุณแม่ก็เลยถือโอกาสเดินไปตามลูกชายของท่านที่กำลังรวมกลุ่มอยู่กับสายรหัสเพื่อมาถ่ายรูปกับผม โดยการขอยืมตัวตากล้องประจำกลุ่มมาเก็บภาพสักครู่ กระทั่งพ่อผมขับรถเข้ามาจอดเทียบท่าใกล้ๆ บริเวณที่เรากำลังยืนอยู่ เราถึงได้ถ่ายรูปครอบครัวพร้อมกันอีกครั้ง โดยที่ผมกับพี่เนย์ยืนอยู่ตรงกลาง
จากนั้นก็ต้องรีบลำเลียงของขวัญของนักจิตวิทยาคนเก่งไปใส่ไว้ที่ท้ายรถของพ่อผมอย่างเร่งด่วน เพราะเพื่อนของพี่เนย์มาบอกว่าจะเดินไปที่คณะกันแล้ว พ่อกับแม่ของเราจึงขอแยกตัวกลับบ้าน เนื่องจากไม่อยากถึงบ้านมืด และก่อนจะจากกัน ผมก็เลยกอดพ่อกับแม่คนละที ขณะที่พี่เนย์ก็จุ๊บปากกับคุณแม่เหมือนทุกที ส่วนคุณพ่อ เจ้าตัวกลับทำได้แค่เพียงกอดเอวท่านเท่านั้น เพราะตอนนี้คนเยอะ คุณพ่อท่านก็เลยไว้ฟอร์ม แต่ถ้าเป็นปกติ หรือว่าอยู่ต่อหน้าผม เดี๋ยวนี้ท่านจะไม่ค่อยอิดออด เวลาที่ลูกชายขอจุ๊บปากแล้ว

หลังจากส่งพ่อกับแม่ของพวกเราทั้งคู่ขึ้นรถจนเรียบร้อยแล้ว เราสองคนก็เดินกลับมารวมตัวกับพวกพี่เอ้ เลยเจอกับพี่ทีมและพี่บอสที่มาร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนสมัยเด็กของตัวเอง จากนั้นพวกเราทั้งหมดเลยถ่ายรูปเล่นด้วยกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่สายรหัสของพี่เนย์จะเดินเข้ามาหา พวกเราก็เลยยังไม่ได้ฤกษ์จะเดินกลับไปที่ตึกคณะกันสักที เพราะว่าพี่เนย์จะต้องถ่ายรูปรวมกับสายรหัสของตัวเอง ที่ผมเคยเจออยู่ครั้งนึง ตอนผมนัดทานข้าวกับพ่อและแม่ช่วงปีหนึ่ง
จากนั้นผมกับไอ้หมอกไอ้คินก็เลยถูกเรียกตัวให้ไปถ่ายรูปเล่นกับพี่ๆคนอื่นๆ จนมั่วไปหมด เพราะว่าพวกพี่เขาพาเราไปแจมกับใครก็ไม่รู้ ซึ่งผมก็ไม่ได้เกร็งอะไร เนื่องจากผมไม่ได้มีอคติแบบเมื่อก่อนแล้ว และผมก็เลือกที่จะมองคนให้เป็น ตอนนี้อุปสรรคที่เคยยิ่งใหญ่จนน่าหนักใจ มันกลับกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่อาจทำอะไรผมได้อีก
นี่แหละ เขาถึงได้บอกว่าความเจ็บปวดจากอดีต มันคือบทเรียนราคาแพงของชีวิต

“ขำอะไร?” ผมหลุดขำออกมาทันที เมื่อหันไปเห็นพี่เนย์เขาใส่มงกุฎดอกไม้ ตามการบังคับของสายรหัส ขณะที่ใบหน้าของผู้ใส่ก็หงิกงอจนได้ที่ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่ชอบอะไรแบบนี้ แต่เพราะขัดพี่เจตไม่ได้ พี่เขาก็เลยต้องใส่ เนื่องจากพี่เจตคอยเดินคุมอยู่ไม่ห่าง
“ไม่เหมาะกับพี่เลยครับ” ผมรับช่อดอกไม้จากอีกฝ่ายที่ให้ช่วยถือ พร้อมกับมองไปที่มงกุฎดอกไม้ พลางเฉลยความคิดของตัวเองให้อีกฝ่ายทราบ ขณะเดินไปตามริมขอบถนน เพื่อมุ่งตรงไปยังตึกคณะ ส่วนเพื่อนของผมมันก็ขอแยกตัวกลับหอไปพร้อมกับพี่ทีมและพี่บอสได้สักพักแล้ว

“เออดิ ไอ้พี่เจตแม่งกวนตีน” พี่เนย์บ่น
“ปีก่อนมึงเสือกแกล้งกู มันก็ช่วยไม่ได้นะไอ้น้อง กูมีรูปแบ๊วๆขนาดนั้น มึงก็ต้องมีเหมือนกันครับ” พี่เจตเดินเข้ามาเกาะไหล่พวกเราสองคน ที่เดินอยู่ข้างๆกัน จนผมถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ ส่วนพี่เนย์ก็ทำหน้ายุ่งพลางถอดมงกุฏดอกไม้บนศีรษะมาถือไว้ เพราะไม่อาจทานทนกับของขวัญที่พี่เจตนำมาให้แล้วก็ไม่สามารถจะโต้แย้งอะไรได้ซะด้วย เพราะตัวเองเป็นฝ่ายไปหาเรื่องคนอื่นเขาก่อน

“เฮ้ย! เดี๋ยวกูล่วงหน้าไปก่อนเว้ย พวกมึงรีบๆตามไปเร็วๆนะ คนอื่นเขาไปออกันที่คณะหมดแล้ว” พี่เจตรับโทรศัพท์พลางทำท่ารีบร้อน ก่อนจะหันมาบอกพวกเรา แล้วก็เดินหายลับไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่พี่เนย์ก็บ่นอุบ เพราะคนที่ทำให้ช้าน่ะ มันคือพี่แกชัดๆ
ซึ่งพี่เนย์ก็ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนกับพี่ๆคนอื่นๆนัก พวกเราก็เลยพากันเดินรั้งท้าย และก็ไม่มีใครคิดที่จะเร่งด้วย คงเพราะพวกพี่เขาเข้าใจกันดี ว่าพี่เนย์ไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ที่ต้องไป ก็เพราะการบูมมันเป็นสีสันของงานนี้ แถมไอ้ต้นหลานรหัสของพี่เนย์ยังขอร้องจนแทบจะกราบกรานพี่เขาซะให้ได้อยู่แล้ว เพราะว่าการบูมให้พี่บัณฑิต ก็ถือเป็นหนึ่งในวิธีการหาเงินเข้าสาขาด้วย ดังนั้นไอ้ต้นกับพี่แก้วเลยไม่ยอมปล่อยให้พี่เนย์ไปไหนได้ง่ายๆ โดยการให้น้องแพรที่เป็นสายรหัสคนสุดท้อง คอยอยู่บูมให้พี่เขาที่คณะ
นักจิตวิทยาจากเมืองกรุง ก็เลยหาทางเลี่ยงไปไหนไม่ได้อีก

-ต่อด้านล่าง-
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 30-12-2017 14:16:39
“นี่ของผมครับ” กระทั่งรอบๆตัวเราจะเริ่มร้างไร้ผู้คน ผมก็ยื่นถุงกระดาษที่เกี่ยวไว้ตรงปลายนิ้วก้อยส่งไปให้คนข้างๆที่กำลังเดินอยู่บนเส้นสีขาวตรงริมขอบถนน ขณะที่ผมก็ยังคงกอดช่อดอกไม้เอาไว้จนเต็มอ้อมแขน พร้อมกับเพิ่มพร็อบเสริมมาอีกหนึ่งอย่าง ก็คือมงกุฎดอกไม้ ที่เจ้าของเขาให้เหตุผลว่า ถือเอาไว้แล้วมันดูของขวัญไม่สะดวก ก็เลยถือโอกาสวางแหมะไว้บนหัวผม ผู้ซึ่งไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะมือไม่ว่าง ส่วนปากถึงพูดไปก็ใช่ว่าพี่เนย์จะรับฟัง
“เขี้ยวกุด?” พี่เนย์หยิบตุ๊กตาออกมาจากถุง พลางพลิกไปพลิกมาด้วยท่าทางเหมือนเด็ก

“เดี๋ยวกูเอาไปวางตรงข้างตู้เขี้ยวกุดแล้วกัน มันจะได้มีเพื่อน” ผมหัวเราะให้กับความคิดอันแสนน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย ที่ไม่ว่ายังไง ก็ดูจะเป็นห่วงลูกชายตัวโปรดมากเหลือเกิน
นี่ถ้าหอบมาด้วยได้ ผมก็คิดว่าพี่เขาคงจะเอามาด้วยแล้ว

“นี่อะไร ?” พี่เนย์หยิบม้วนกระดาษขึ้นมา พลางถามอย่างสงสัย ขณะที่เจ้าตัวก็ถือโอกาสยัดเจ้าเขี้ยวกุดเวอร์ชั่นตุ๊กตาใส่ลงไปในถุงกระดาษ

“ลองเปิดดูสิครับ” ผมไม่ตอบ แต่กลับแนะนำให้พี่เขาหาคำตอบด้วยตัวเอง
“นี่คือของขวัญจริงๆ ที่มึงตั้งใจจะให้กูใช่มั้ย?” อีกฝ่ายค่อยๆแกะปมเชือกพลางซักถามเอาความจริง

“ถ้าตัดเซอร์ไพร์สที่ผมเคยบอกไป อันนี้ก็คือของขวัญจริงๆที่ผมตั้งใจจะให้พี่” ผมตอบพลางมองอีกฝ่ายค่อยๆแก้ปมริบบิ้นที่ถูกผูกกันจนเป็นโบว์อย่างสวยงาม กระทั่งเจ้าตัวเขาหย่อนริบบิ้นสีขาวลงในถุงกระดาษ ก่อนจะค่อยๆคลี่กระดาษในมือให้กางออก หัวใจของผมก็เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง เมื่อสายตาคมที่เคยมองจ้องกัน กำลังจดจ้องไปที่ภาพวาดกากๆของผมอย่างตั้งใจ พลางแอบอมยิ้มนิดๆ
“พี่เห็นอะไรในภาพนั้นครับ?” ผมเริ่มตั้งคำถาม เพื่อประเมินว่าอีกฝ่ายเข้าใจภาพนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

“ภาพนี้แบ่งออกเป็นสามช่องตามแนวนอน ช่องแรกมีคนสองคนกำลังเดินก้มหน้าอยู่คนละฟากฝั่ง แต่ทั้งคู่กลับเดินอยู่บนสะพานเล็กๆที่เชื่อมต่อกัน ผู้ชายที่อยู่ในมุมใกล้มีตา หู จมูก ปาก ครบถ้วน เพียงแต่ริมฝีปากของเขากลับวาดเป็นเส้นตรง น่าจะหมายถึงไม่เคยยิ้ม ไม่เคยมีความสุข เพราะฉลามกลับว่ายวนอยู่รอบๆบริเวณสะพานเล็กๆ ที่ผู้ชายคนนั้นกำลังก้าวเดิน ซึ่งฉลามในรูปนี้ กูคิดว่าน่าจะหมายถึงอคติหรือไม่ก็อุปสรรคต่างๆ ถูกไหม ? ส่วนท้องฟ้าในยามค่ำคืน ที่ยังพอจะมีดวงดาวระยิบระยับให้เห็นบ้าง ก็หมายถึงจิตใจของผู้ชายคนนั้นที่เริ่มค้นพบแสงสว่างขึ้นมาแล้ว แต่มันก็ยังน้อยนิดมากๆ และถ้าหากกูไม่เข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป ภาพนี้ตรงช่องแรกก็น่าจะแปลได้ว่า ตอนที่เราสองคนยังไม่รู้จักกัน จิตใจของมึงยังคงมืดมัว แม้ว่ามึงจะมีเพื่อน มีพ่อแม่ หรือมีใครก็ตาม แต่อคติของมึง มันก็ยังเต็มไปหมด จนมึงไม่รู้จักความสุขที่แท้จริง ว่ามันหน้าตาเป็นยังไง”
“ส่วนช่องที่สอง ผู้ชายในภาพนั้นต่างเริ่มมองไปที่กันและกัน โดยที่ริมฝีปากของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับระยะห่างระหว่างกัน ที่ค่อยๆถอยหล่นลงมา ขณะที่คีบฉลามก็ยังคงว่ายวนอยู่รอบๆ ในปริมาณที่ยังเท่าเดิม แต่ท้องฟ้าในยามค่ำคืน กลับมีดวงดาวระยิบระยับกระจัดกระจายอยู่บ้าง ซึ่งมันก็แปลได้ว่า หลังจากที่เรารู้จักกันและได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แม้ว่าอคติของมึงจะยังคงมีอยู่เท่าเดิม แต่ว่าจิตใจของมึง กลับพบความสุขบางอย่าง ที่มึงไม่เคยได้สัมผัส เพราะริมฝีปากของมึงกำลังยิ้ม และริมฝีปากของกูก็กำลังยิ้ม แปลได้ว่าภาพนี้หมายถึงช่วงที่เราสองคนใจตรงกันแล้ว แต่ยังไม่รู้จักกันดีพอ ก็เลยยังมีระยะห่างระหว่างกันอยู่บ้าง”

“ส่วนช่องที่สาม ผู้ชายสองคนในภาพกำลังยืนเผชิญหน้ากัน พลางมอบรอยยิ้มให้กัน แต่คราวนี้ต่างกันตรงที่ ผู้ชายคนนึงดวงตาของเขากลับถูกวาดด้วยรูปครึ่งวงกลม ส่วนริมฝีปากก็โค้งได้รูปเหมือนกับภาพที่สอง แต่บรรยากาศรอบๆ เริ่มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะคีบฉลามมีลูกศรปักอยู่ แสดงถึงอุปสรรค หรืออคติต่างๆ ค่อยๆหายไป ส่วนท้องฟ้าที่เปรียบเสมือนจิตใจก็เริ่มเต็มไปด้วยดวงดาวมากขึ้น แถมยังมีขีดๆ เหมือนฝนดาวตกด้วย ซึ่งน่าจะหมายถึงตอนที่เราคบกันมาสักพักนึงแล้ว และช่วงนั้นมึงเจอแต่อุปสรรคหนักๆถาโถมเข้าใส่จนใกล้จะล้มลงตั้งไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่สุดท้ายมึงก็ยังผ่านมันไปได้ เพราะมีกูคอยอยู่ข้างๆมึง?” ผมพยักหน้าให้พี่เนย์พร้อมกับยิ้มอย่างดีใจ ที่พี่เขายังคงอ่านความรู้สึกของผมผ่านทางภาพวาดได้เหมือนเคย และถึงแม้ว่าภาพนี้ผมจะวาดเมื่อนานมาแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะให้พี่เนย์ ผมก็ได้แต่งเติมฝนดาวตกเข้าไปด้วย เพราะว่ามันจะได้แสดงถึงความรู้สึกของผม ที่มีมาตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันนี้ 
“ยังมีอีกครับ พี่ลองมองดูดีๆ พี่เห็นอะไรอีก?” แต่ผมก็ต้องถามจี้ไปอีกขั้น เพราะว่าสิ่งที่พี่เขาวิเคราะห์มันยังไม่หมดแค่นั้น

“ความรักของมึงไง” พี่เนย์ตอบ พลางหันมาจ้องมองผมที่เดินอยู่ข้างๆ
“…”

“เพราะท้องฟ้าที่เปรียบเสมือนจิตใจของมึง มันค่อยๆสว่างไสวเพราะดวงดาวมากขึ้นทุกทีๆ นั่นก็เพราะใจของมึงกำลังบอกกูผ่านภาพๆนี้ ว่ากูคือคนที่ทำให้มึงรู้สึกดี” ผมเริ่มหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่า สายตาของพี่เนย์กำลังสะกดผมให้หลงใหลอยู่ในวังวนที่เจ้าตัวสร้างขึ้น

“ถึงพี่จะไม่ค่อยแสดงออก แต่รันก็รู้ใช่มั้ยว่าพี่รู้สึกยังไง” ผมพยักหน้า พลางกระชับมืออีกฝ่ายที่สอดเข้ามากอบกุมกันไว้ เพื่อบอกกลายๆว่า ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
“ยินดีกับทุกความสำเร็จของพี่ด้วยนะครับ”

“ขอบคุณนะ แล้วก็.. พี่ชอบของขวัญชิ้นนี้มากจริงๆ” พี่เขาส่งยิ้มอย่างอบอุ่นมาให้ ผมจึงได้แต่กระชับฝ่ามือของเราให้แน่นขึ้น และเฝ้ารอวันที่เราสองคน จะได้ก้าวเดินไปพร้อมๆกันอีกครั้ง ซึ่งวันนั้นคงจะเป็นวันที่มีความสุขมากแน่ๆ

เพราะเราสองคน จะสามารถเฝ้ามองภาพวิวภาพเดียวกันได้ทุกวัน
เพราะเราสองคน จะสามารถเดินอยู่บนถนนเส้นเดียวกันได้ทุกวัน
เพราะเราสองคน จะสามารถกินของอร่อยๆด้วยกันได้ทุกวัน
เพราะเราสองคน จะสามารถดูแลกันและกันได้ทุกวัน
เพราะเราสองคน จะสามารถดูหนังแผ่นแล้วก็พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติต่อหนังเรื่องนั้นด้วยกันได้ทุกวัน
เพราะเราสองคน จะสามารถทำกิจกรรมที่เราชอบร่วมกันได้ทุกวัน

“ตั้งแต่วันนี้ พี่จะตั้งตารอวันที่รัน ค่อยๆก้าวเดินมาจนถึงเส้นชัยอย่างมั่นคง ด้วยสองขาของตัวเอง จากนั้นเราสองคน ก็ค่อยเดินไปข้างหน้าพร้อมๆกันนะ”
“ครับ” ผมตอบอย่างหนักแน่นและไม่คิดจะลังเลเลยแม้แต่น้อย
เพราะผมเชื่อในตัวเอง แล้วก็เชื่อในตัวพี่เนย์ด้วย

“วันข้างหน้า แม้บนเส้นทางที่เราเลือกเดิน มันอาจจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่พี่ก็เชื่อว่ามันจะไม่มีอะไรน่ากลัว ถ้าหากเรายังคงอยู่เคียงข้างกันแบบนี้”
“ครับ ผมก็เชื่ออย่างนั้น”

“พี่รักรันนะ”
“ผมก็รักพี่เนย์ครับ”



♥ REAL END ♥

[edit 31/12/2017 แก้คำตกหล่น และคำเกิน]
ในที่สุดฟอลอินยูก็จบลงแล้ว ขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะ ที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ มันอาจจะเป็นแนวๆเรียบๆเรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่ความรักของทั้งสองคนในเรื่อง เราเขียนในเชิงที่มันค่อยๆเติบโตไปพร้อมกัน ไม่ใช่รักแบบวัยรุ่น แม้ว่าวัยของทั้งสองคนในเรื่องจะเป็นแบบนั้น แต่มันคือรักที่ต่างคนต่างก็วางแผนไว้ในอนาคต ว่าเขาจะยังคงอยู่เคียงข้างกัน และคอยดูแลกัน ค่อยๆสร้างอะไรไปด้วยกัน จะเห็นได้ว่าในเรื่องนี้ ดราม่าจะไม่เชิงเป็นดราม่า แต่มันเหมือนเป็นอุปสรรค ที่สามารถพบเจอได้ในชีวิตจริง เพราะการก้าวผ่านอคติของตัวเองมันยากมาก และการจะมองโลกในแง่ดีแบบพี่เนย์มันก็ยากมากเช่นกัน และสุดท้ายนี้ เราเองก็รู้สึกดีที่ได้เขียนนิยายที่สอดแทรกเรื่องภาษามือเข้ามา และทำให้หลายๆคนสนใจเรื่องนี้ มันดีมากจริงๆค่ะ อีกทั้งหลายๆอย่างในเรื่องนี้สามารถให้ข้อคิดและกำลังใจดีๆ กับคนอ่านทุกคน เราเองก็ดีใจมากๆเหมือนกันค่ะ
ปล. รูปวาดของน้องรัน เป็นรูปที่เราอยากเขียนบรรยายออกมามากๆ เพราะมันเป็นการบอกรักโดยที่เจ้าตัวแทบไม่ต้องพูดอะไรออกมาเลย และมันยังสามารถบอกได้ด้วยว่า กว่าน้องจะเดินมาจนถึงจุดนี้ได้ น้องก็เคยล้มมาก่อน แต่เพราะความพยายามที่น้องมี มันเลยทำให้น้องประสบความสำเร็จ ส่วนกำลังใจไม่ว่าจะคน สัตว์ หรืออะไรก็ตาม มันก็สามารถฮีลเราได้ทั้งนั้น เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจของเรื่องที่เลือกจะโฟกัสเนอะ
Happy New Year ล่วงหน้านะคะ >.<
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-12-2017 14:53:46
 o13  o13   o13   :pig4:  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-12-2017 16:10:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: ujen ที่ 30-12-2017 16:36:48
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 30-12-2017 18:24:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 30-12-2017 19:13:49
อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นเลยค่ะ ทำให้รู้สึกว่าคนที่มีปัญหามากกว่าเราเค้ายังมีความพยายามในการใช้ชีวิต เค้าต้องอดทนสู้ปัญหาต่างๆ เพราะงั้นเราต้องปล่อยวางปัญหาของเราแล้วสู้ต่อไปให้ได้ น้องรันและพี่เนย์โชคดีที่มีกันและกันคอยเป็นกำลังใจให้กัน ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ที่ทั้งสนุกและมีแง่คิดดีๆนะคะ :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 30-12-2017 19:30:05
ขอบคุณมากค่ะที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 30-12-2017 19:32:07
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-12-2017 21:19:14
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 30-12-2017 22:18:56
เนื้อเรื่องน่ารัก พระเอก นายเอก ก็น่ารัก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 31-12-2017 08:28:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 31-12-2017 09:24:03
ฮือออ จบซะแล้ว เราชอบนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ พี่เนย์กับน้องรันดูแลกันได้ดีจริงๆ เราเชื่อว่าพวกเขาจะเดินเคียงคู่กันได้แน่นอน
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 31-12-2017 13:30:32
 :L1: :mc4: :o8:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 31-12-2017 13:44:11
ขอบคุณสำหรับนิยายที่มีความหมายต่อการใช้ชีวิตในการให้กำลังใจ อ่านแล้วรู้สึกมีพลัง
อ่านแล้วรู้สึกว่ารักแท้ยังมีอยู่จริงๆ อบอุ่นมากๆ 
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 31-12-2017 21:57:23
จบแล้ว อ่านแล้วรู้สึกดี เหมือนค่อยๆเห็นโลกสีหม่นๆค่อยๆสดใสขึ้น จนมันเป็นสีฟ้าที่สวยและสว่างไสว

ตอนแรกอ่านก็นึกกลัวว่าจะมีดราม่าหนักๆ แต่กบับมีความหวานละมุนอยู่ในทุกๆตอน

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 02-01-2018 09:37:10
ชอบมาก ไม่อยากให้จบเลย :o8:
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ 27 ♥ หน้า 11 [Real End]
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 08-01-2018 18:02:36
 o13ผู้เขียนเก่งมากกกกกก
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆคะ
หัวข้อ: Re:[End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ And we ♥ หน้า 12 [up 08/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 08-01-2018 20:36:09
♥ Fall in you Special: And we ♥

สายลมเอื่อยๆพัดรอบกาย ยามที่เรือข้ามฟาก กำลังลอยล่องอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นบรรยากาศที่ผมคุ้นเคยทุกๆวันศุกร์ เพราะเนื่องจากเป็นวันที่ผมจะต้องไปเป็นล่ามภาษามือให้กับทางสถานีโทรทัศน์ ซึ่งผมจะไม่ขับรถของพี่เนย์ไปด้วย เพราะกว่าผมจะเลิกงานก็ประมาณทุ่มนึงแล้ว ผมเลยตัดสินใจพักสมองด้วยการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า เพื่อที่จะได้มาร่องเรือข้ามฟาก โดยปล่อยให้กระไอเย็นจากสายลมในยามค่ำคืน พัดพาเอาความเหนื่อยล้าจากการทำงานให้หมดไป เพราะการเป็นล่ามภาษามือจะต้องใช้ทั้งสมองและสายตาพร้อมๆกัน ซึ่งผมจะเลือกใช้วิธีผ่อนคลายแบบนี้ แค่วันที่ผมจะต้องทำช่วงข่าวภาคค่ำเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มเท่านั้น ส่วนวันพุธผมก็ยังต้องขับรถไปที่มหาวิทยาลัยเหมือนอย่างเคย เพราะวันนั้นผมจะต้องทำช่วงข่าวภาคเที่ยง แล้วก็ต้องรีบบึ่งรถกลับมาสอนตอนช่วงคาบบ่าย
ซึ่งการทำงานกับสถานีโทรทัศน์ เราจะต้องไปเตรียมตัวก่อนเวลาออกอากาศประมาณหนึ่งชั่วโมง เพื่ออ่านสคริปต์และพูดคุยกับนักข่าวว่าวันนี้จะมีการเล่าข่าวอะไรบ้าง  มันเลยทำให้สมองของผมล้าอย่างบอกไม่ถูก เพราะลำพังแค่สิบห้านาทีก็เริ่มจะเบลอแล้ว อีกอย่างการทำงานล่ามภาษามือในโทรทัศน์ จะมีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันทุกเดือน ดังนั้นเดือนหน้า ผมก็อาจจะไม่ได้ทำวันพุธและศุกร์เหมือนเดือนนี้ เผลอๆโชคร้ายหน่อยก็อาจจะซวยเจอวันเสาร์อาทิตย์
แต่ถึงอย่างนั้นล่ามในโทรทัศน์ ก็ยังเป็นอาชีพที่ใครต่อใครต่างก็หมายตา เพราะรายได้ดี อีกทั้งเรายังสามารถรับงานนอกในช่วงวันหยุดได้อีกด้วย

ดังนั้นช่วงเวลาที่ผมไม่ได้ทำงานล่ามในโทรทัศน์ ผมจึงรับงานล่ามภาษามือที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ที่มีการเปิดสอนภาษามือ เพียงแต่ไม่ใช่สาขาที่ได้รับความนิยมมากเท่ากับมหาวิทยาลัยที่ผมจบมา โดยการทำงานของผมจะขึ้นอยู่กับตารางเรียน เช่นวันนี้มีคาบเช้า พรุ่งนี้มีคาบบ่าย
ซึ่งอาชีพนี้ ตามปกติแล้ว เราจะสามารถทำงานได้เต็มที่แค่วันละสามชั่วโมงเท่านั้น เพราะไม่อย่างนั้น สมองของเราจะล้ามากจนเกินไป ส่วนเงินเดือนก็ถือว่าได้น้อยมาก เมื่อเทียบกับการเป็นล่ามภาษามือในโทรทัศน์ ส่วนคุณนักจิตวิทยาเขาก็จะสะดวกสบายหน่อย เพราะเนื่องจากสถานที่ทำงานกับคอนโดก็อยู่ใกล้กัน จนสามารถเดินไปทำงานก็ยังได้ ส่วนขามาคลินิก พี่เขาก็อาศัยรถคุณหมอจิตเวชคนสนิท จึงทำให้การเดินทางของอีกฝ่ายสะดวกสบายจนน่าอิจฉา
ดังนั้นรถคันที่เจ้าตัวเขาใช้เป็นประจำ ก็เลยตกเป็นของผมไปโดยปริยาย

อีกทั้งกว่าคลินิกจะปิดก็ประมาณสี่ทุ่ม ผมจึงถือโอกาสหาคาเฟ่ใกล้ๆ บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในการนั่งคอยอีกฝ่าย เพื่อที่เราจะได้ทานมื้อเย็นพร้อมกัน ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายหาซื้อ แล้วก็เอากลับไปนั่งกินที่คอนโด เพราะว่าร้านแถวๆคอนโดที่เราอยู่ จะปิดเร็วมาก โชคดีที่ผมแวะกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำจนคุ้นเคยกันดี ซ้ำยังคุ้นเคยกับเจ้าของคาเฟ่ที่อยู่ใกล้กับร้านขายก๋วยเตี๋ยว ในวันศุกร์ที่ผมจำเป็นต้องเลิกงานดึกกว่าทุกที เธอจึงเป็นธุระในการรับฝากมื้อเย็น ที่มันค่อนไปทางดึกมาก โดยที่ผมจะฝากเงินเอาไว้ที่เธอทุกๆวันพฤหัส

“บลูเลม่อนเหมือนเดิมครับพี่ตา” ผมเดินเข้ามายังคาเฟ่อันอบอุ่น ที่ผสมผสานกลิ่นอายของการตกแต่งในสไตล์ลอฟต์ได้อย่างลงตัว
“ได้เลยจ้า แล้ววันนี้ทำงานเป็นไงมั่ง?” พี่สาวผู้เป็นเจ้าของร้าน เริ่มสอบถามอย่างเป็นกันเอง

“ก็เหมือนเดิมครับ ล้าๆ แต่ก็สนุกดี” ผมตอบพลางยกยิ้ม เพราะพี่สาวคนนี้ เป็นคนเดียวที่จำผมได้ ว่าผมคือล่ามภาษามือที่กำลังทำหน้าที่แปลความให้กับผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินสามารถรับรู้ข่าวสารต่างๆของบ้านเมืองได้เทียบเท่ากับคนทั่วไป ซึ่งสาเหตุที่เธอช่างสังเกตขนาดนั้น ก็เพราะว่าลูกชายของเธอเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ประเภทหูหนวกแต่กำเนิด อีกทั้งสามีของเธอก็ยังรู้ภาษามือด้วย
ดังนั้นตรงช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ไม่ค่อยจะมีคนสนใจ จึงตกอยู่ในความสนใจของครอบครัวนี้

กระทั่งชำระค่าเครื่องดื่ม พร้อมกับรับก๋วยเตี๋ยวต้มยำ อันเป็นมื้อเย็นในวันนี้แล้ว เครื่องดื่มที่ผมสั่ง ก็เสร็จเรียบร้อยพอดี ผมจึงเดินออกไปตรงโซนเอาท์ดอร์ของร้าน เพื่อนั่งลงยังมุมประจำของตัวเอง ที่สามารถมองเห็นบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในยามค่ำคืนได้เหมือนทุกครั้ง คล้ายกับว่า พี่สาวเจ้าของร้าน เขา ใช้อำนาจมืดในการจับจองที่นั่งให้ผมเลย
เพราะไม่ว่าจะมาที่ร้านนี้ กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมก็ยังสามารถหานั่งที่มุมๆนี้ ได้ตลอดเวลา

จะว่าไป ปีนี้ก็ก้าวเข้าสู่ปีที่สองแล้ว ที่ผมสามารถเดินเคียงข้างไปกับนักจิตวิทยาอย่างพี่เนย์ได้ ซึ่งอุปสรรคของเรา ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องปากท้องนี่แหละ เพราะว่าค่าคอนโดก็ถือว่าแพงพอสมควร แต่โชคดีที่ผมได้งานเป็นล่ามภาษามือ ที่สถานีโทรทัศน์เมื่อต้นปีนี้ เงินเดือนของผมในส่วนนี้ จึงพอจะช่วยแบ่งเบาอะไรได้อีกเยอะ เราก็เลยไม่ค่อยลำบากมากเท่าแต่ก่อน
ยิ่งพี่กันต์ที่เคยเป็นพี่เลี้ยงให้กับพี่เนย์ ตอนช่วงที่พี่เขาเพิ่งได้งานใหม่ๆ ก็เพิ่งมาลาออกไป เมื่อช่วงต้นปี พี่เนย์จึงต้องรับบทหนักมากขึ้น แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเขาก็แลแฮปปี้ดี ผมก็เลยเบาใจ ส่วนเจ้าเขี้ยวกุด ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีต่อกี่ปี มันก็ยังคงเป็นลูกรักของพี่เนย์เหมือนอย่างเคย ส่วนแชมเปญของผม มันเสียไปตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นปีที่ห้า เพราะมันแก่มากแล้ว

 “ผมกลับก่อนนะครับ” ประมาณสามทุ่มครึ่ง ผมก็เดินไปร่ำลาพี่เจ้าของร้านตามปกติ ก่อนจะเดินไปยังเส้นทางที่มุ่งตรงไปสู่คลินิกจิตเวชของคุณหมอเจษฏา หรือพี่แป๊ะที่พี่เนย์เขาชอบพูดถึงอยู่บ่อยๆ ซึ่งกว่าผมจะเดินไปถึงที่หมาย ก็ประมาณสี่ทุ่มตรงพอดี แต่พอไปถึงก็ใช่ว่าจะกลับได้เลย เพราะว่าพี่เนย์เขาชอบช่วยพี่แป๊ะปิดร้าน จึงทำให้เวลาเลิกงานช้าลงนิดหน่อย แต่ผมก็ยังมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงที่หมายให้ตรงเวลา เพราะว่าพี่เขาจะได้ไม่ต้องคอยนาน ส่วนผมจะเป็นฝ่ายรอหรือไม่ อันนั้นผมไม่ซีเรียสอยู่แล้ว
เพราะถ้าคิดมาก ผมคงไม่ทนกินขนมจุกจิก เพื่อรอมากินมื้อเย็นที่มันค่อนไปทางดึกขนาดนี้หรอก

“ทำไมวันนี้ปิดเร็วนักล่ะครับ?” ผมยกมือไหว้พี่หมอแป๊ะ แล้วเราก็แยกย้ายกัน จากนั้นผมจึงถือโอกาสหันไปสอบถามคนข้างๆสักหน่อย เพราะทุกที คลินิกไม่เคยปิดตรงเวลาขนาดนี้
“ลูกค้าหมดพอดีน่ะ”

“พี่กินอะไรรองท้องไปบ้างหรือยังครับ?” ผมถามขณะที่เรากำลังก้าวเดินด้วยจังหวะเดียวกัน บนถนนเส้นเดียวกัน ภาพวิวเดียวกัน ตามที่สมัยเรียน ผมเคยวาดฝันให้เวลานี้มันมาถึงโดยเร็ว
“กูกินมาบ้างแล้ว ขนมปังน่ะแหละ แล้วมึงล่ะ?”

“ผมก็กินมาบ้างแล้วเหมือนกันครับ แต่มื้อดึกวันนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำเหมือนเดิมนะ” ผมตอบพลางชูถุงก๋วยเตี๋ยวให้อีกฝ่ายดู ซึ่งพี่เขาก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับเพียงเบาๆ เพราะอีกฝ่ายเข้าใจในข้อจำกัดของผมดี ว่าวันศุกร์แบบนี้ กว่าผมจะเลิกงานมันก็ดึกมากแล้ว จึงไม่สามารถเลือกกินได้ตามใจปาก

“เหนื่อยมั้ย?” พี่เนย์ย้อนถาม ขณะที่เราเริ่มเดินเข้าใกล้ตัวคอนโดมากขึ้นทุกที
“มากกกกก แต่ก็สนุกดีครับ” ผมลากเสียงยานคาง พลางหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะต่อประโยคให้จบ เพราะถึงแม้งานนี้มันจะเหนื่อยล้าสมอง มากไปสักหน่อย
แต่ผมก็ชอบงานที่ผมกำลังทำ แล้วก็มีความสุขไปกับมัน มากกว่าที่คิด

“ก็ดีแล้ว” พี่เนย์กล่าว พลางเอื้อมมือมากอบกุมฝ่ามือของผม ที่กำลังถือถุงก๋วยเตี๋ยวต้มยำเพียงเบาๆ ขณะที่รอบกายของเราต่างก็เงียบเชียบ จึงไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแอบมองหรือให้ความสนใจมากมายนัก
กระทั่งมาถึงคอนโด พวกเราก็อุ่นก๋วยเตี๋ยวมานั่งกินด้วยความหิวโหย จากนั้นผมก็รับหน้าที่ไปล้างจานเหมือนปกติ แต่ยังล้างไม่ทันเสร็จ คนเมืองกรุงเขาก็ตรงเข้ามากอดเอว พร้อมกับฝังใบหน้าเอาไว้ตรงลาดไหล่เข้าเสียก่อน

“เป็นอะไรครับ? จะเติมพลังให้ผมหายเหนื่อยเหรอ?” ผมถามพลางขยับตัวหยิบจานไปคว่ำไว้ตรงที่คว่ำจาน ก่อนจะเช็ดมือให้แห้ง
“อืม แล้วมึงหายเหนื่อยหรือยังล่ะ?” อีกฝ่ายตอบรับ พลางถามกลับ ผมจึงได้แต่แอบอมยิ้มจนปวดแก้ม

“ครับ” ผมตอบรับเพียงเบาๆ โดยไม่อาจขยับไปไหนได้อีก เพราะคนตัวโตเข้าล็อคตัวผมไว้ ด้วยอ้อมแขนอันแข็งแรง
“อาบน้ำกัน” อีกฝ่ายชักชวนด้วยน้ำเสียงติดกระซิบ

“แค่อาบอย่างเดียวนะครับ ห้ามคิดอย่างอื่น” ผมรีบพูดดักคอไว้ก่อน เพราะวันไหนที่ผมต้องทำงานหน้าที่ล่ามภาษามือในโทรทัศน์ วันนั้นผมจะเหนื่อยมากเป็นพิเศษ แถมยังอยากจะนอนเร็วๆ ด้วย เพราะลำพังแค่รอกินมื้อดึกพร้อมกัน ผมก็ต้องใช้ความพยายามในขั้นสูงมากๆ แล้ว ถ้าจะให้มาตามใจอีกฝ่ายในเรื่องแบบนั้นเหมือนตอนช่วงแรกๆอีก ก็เห็นทีจะไม่ไหว
เพราะคราวนั้น เล่นเอาผมหมดเรี่ยวแรงแบบสุดๆ แถมวันรุ่งขึ้นก็ยังต้องรีบตื่นไปเข้าสอนอีก

“รู้แล้วน่า เออ วันนี้กูได้ดูมึงตอนช่วงข่าวภาคค่ำด้วย” พี่เนย์ตอบด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก คล้ายกับอีกฝ่ายเขาเก้อเขิน ที่ผมพูดดักคออย่างรู้ใจ พลางเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ขณะที่ผมก็เดินเข้ามารื้อเสื้อผ้าทั้งของตัวเองและของอีกฝ่าย เพื่อเอาไว้ใส่หลังจากที่เราอาบน้ำเสร็จ

“แล้วเป็นไงครับ ผมเก่งไหม?” ผมย้อนถามอีกฝ่าย แม้จะรู้ดี ว่าคำตอบที่ได้รับมันจะออกมาในรูปแบบไหน
“สำหรับกู มึงเก่งที่สุด” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อคำตอบที่ได้ มันก็ไม่ต่างไปจากที่คิดมากนัก เพราะถ้าอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับความฝันของผม พี่เนย์จะไม่เคยแกล้งเอามาพูดเล่นๆ
เพราะพี่เขารู้ว่า กว่าที่ผมจะมายืนจนถึงจุดนี้ได้ มันยากเย็นมากแค่ไหน
ดังนั้นคำชื่นชม ย่อมเป็นน้ำหล่อเลี้ยงที่ดี ที่จะทำให้ผมสู้ต่อไป แม้ว่างานที่ตัวเองใฝ่ฝัน มันจะเหนื่อยล้ามากก็ตาม

“สำหรับผม พี่เนย์ก็เก่งที่สุด” ผมพาดเสื้อผ้าของเราไว้ตรงราวเหล็กใกล้ๆกับบริเวณที่พี่เนย์แขวนผ้าเช็ดตัว จากนั้นผมก็เป็นฝ่ายโอบกอดพี่เขาจากทางด้านหลัง พร้อมกับกล่าวชมอีกฝ่ายให้ได้ชื่นใจอย่างเท่าเทียมกัน
“กูว่าวันนี้มึงไม่ต้องรีบเข้านอนแล้วล่ะมั้ง” ชายหนุ่มตรงหน้ารีบหมุนตัวกลับมา พร้อมกับออกปากบอกในเชิงสองแง่สองง่าม จนผมได้แต่ยกมือขึ้นตีไหล่คนเจ้าเล่ห์ ที่กำลังทำสายตาแพรวพราวไม่หยุดหย่อน

“พี่เนย์ ผมง่วงแล้ว” ผมลากเสียงอ่อนเรียกอีกฝ่าย พลางปัดป้องตัวเองเป็นพัลวัน ขณะที่ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกลับดูสนุกสนานกับการจับผมเปลื้องผ้าเสียเหลือเกิน
“กูรู้หรอกน่า แต่อยากแกล้งมึง มีปัญหามั้ย?” อีกฝ่ายผละตัวออกจากผม ก่อนจะหันไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองทีละเม็ดจนกระทั่งเม็ดสุดท้าย เจ้าตัวเขาถึงได้ถอดเสื้อตัวดังกล่าวออก แล้วก็เอาไปหมกไว้ตรงซอกที่มันพอจะยัดเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเข้าไปได้ ผมจึงได้แต่ส่ายหน้าให้กับความขี้แกล้งของใครบางคน ที่นับวันจะยิ่งมีมากขึ้นทุกที

“เออ พรุ่งนี้มึงจะกลับไปเยี่ยมแม่ หรือว่าจะพักก่อน แล้วค่อยไปวันอาทิตย์?” พี่เนย์ถาม ขณะที่เราสองคนกำลังเปลือยเปล่า และตั้งหน้าตั้งตาฟอกสบู่ให้ทั่วตัว
“ถ้าพี่เนย์ไม่เหนื่อย ผมยังไงก็ได้ครับ” ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะเสาร์อาทิตย์ อีกฝ่ายก็ยังคงต้องไปทำงานที่คลินิกจนถึงเที่ยง บ่ายถึงได้มีเวลาส่วนตัวกับเขาบ้าง ซึ่งเราตกลงกันไว้ว่า ทุกวันเสาร์หรืออาทิตย์ เราจะแวะไปหาพ่อกับแม่ของเราหนึ่งวัน โดยสลับอาทิตย์กัน เช่นว่าอาทิตย์ที่แล้วไปหาพ่อกับแม่ของพี่เนย์มาแล้ว อาทิตย์นี้ก็ต้องไปหาพ่อกับแม่ของผมบ้าง

“งั้นไปพรุ่งนี้เหมือนเดิมน่ะแหละ วันอาทิตย์บ่ายจะได้พักยาว” พี่เนย์เสนอ พลางเอื้อมไปหยิบฝักบัวมาจ่อที่ตัวเอง เพื่อล้างคราบสบู่ออกให้หมด จากนั้นก็หันมาล้างตัวให้ผมบ้าง
“ครับ เดี๋ยวยังไงช่วงเช้า ผมจะโทรบอกแม่ไว้” ผมตอบพลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนมาห่อตัวเองไว้ พร้อมกับต่างคนต่างแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำ ขณะที่พี่เนย์ก็เป็นฝ่ายหอบเสื้อผ้าที่ใส่แล้วโยนลงตระกร้า ส่วนผมหลังจากที่ตากผ้าเช็ดตัวเอาไว้ที่ราวไม้ตรงหน้าห้องน้ำได้ ผมก็รีบทิ้งตัวลงนอนกางแขนกางขาบนเตียงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหลับตาซึมซับกลิ่นไอของที่นอน ที่มันตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นกายของเราจนเต็มไปหมด

“คิดถึงเตียงขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” พี่เนย์ถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ จากนั้นเจ้าตัวก็เดินกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงข้างๆกัน ผมจึงพลิกตัวไปกอดอีกฝ่ายตรงบริเวณช่วงคอ โดยวางฝ่ามือเอาไว้ตรงหมอนใบนุ่ม ขณะที่ใบหน้าก็ซุกเข้าหาซอกคออันหอมกรุ่นของอีกฝ่าย ที่ไม่ว่าจะแอบสัมผัสสักกี่ครั้ง มันก็เป็นกลิ่นกายที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ และหลับฝันดีได้ง่ายๆ
“อื้อ” ผมหลับตาพลางตอบในลำคอด้วยน้ำเสียงติดจะงัวเงียเต็มทน

“งั้นก็นอนซะ ฝันดี”
“ฝันดีเหมือนกันครับ” ผมพูดจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่องขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ แต่ความรู้สึกสุดท้ายก็คือ อีกฝ่ายเขาหันมาจุมพิตตรงบริเวณหน้าผากของผมเบาๆ ประมาณหนึ่งทีละมั้ง
หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ไม่รู้สิ เพราะตอนนั้นผมง่วงจนเบลอไปหมด

วันหยุดแบบนี้ หลังจากโทรบอกแม่แล้ว ว่าช่วงบ่ายเราจะไปหา ผมก็ถือโอกาสซักผ้าตากผ้าตรงระเบียงห้องจนเสร็จสรรพ จากนั้นก็มาเปิดเครื่องทำความชื้นให้กับเจ้าเขี้ยวกุดอีกสักที เนื่องจากพี่เนย์เขาจัดการกับเจ้าลูกชายไปตั้งแต่ตอนเก้าโมงครึ่งแล้ว พอตกเที่ยงผมเลยแถมให้เจ้าเขี้ยวกุดมันสักหน่อย เพราะว่าเจ้านี่มันชอบอยู่ในบรรยากาศชื้นๆ ส่วนอาหารของเจ้าลูกชาย เห็นว่าพี่เนย์จะไปซื้อให้หลังจากเลิกงานที่คลินิกในวันพรุ่งนี้

“สรุปเจ้าตุ๊กตานี่ มันช่วยให้แกหายเหงาได้จริงดิ?” ผมถามเจ้าเขี้ยวกุด พร้อมกับหยิบตุ๊กตาที่ผมซื้อให้พี่เนย์เป็นของขวัญในวันรับปริญญาขึ้นมาชูตรงหน้าเจ้าลูกรักของผู้เป็นเจ้าของตุ๊กตาตัวจริง พลางหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เพราะต่อให้ถามไป ก็คงจะไม่ได้คำตอบ
“มึงอาบน้ำยัง กินเสร็จจะได้ไปกันเลย” ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา ก็พบว่ามันเที่ยงครึ่งแล้ว พี่เนย์เขาถึงได้กลับมาที่ห้อง พร้อมกับหอบหิ้วมื้อเที่ยงของเราเข้ามาด้วย

“ยังเลยครับ” ผมเดินมายืนพิงโซฟาตรงโซนรับแขก ขณะที่ในมือก็ยังถือผ้าขี้ริ้วอยู่ เพราะขนาดผมกลั้นใจตื่นนอนก่อนคนที่จะต้องไปทำงานแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เคยทำงานบ้านเสร็จ ก่อนที่พี่เขาจะเลิกงานเลยสักครั้ง
“งั้นก็มากินก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำต่อ” พี่เขาเสนอ พลางเดินเข้าไปในครัว เพื่อเอาชามมาใส่ก๋วยจั๊บญวนเจ้าประจำ ส่วนผมก็รีบเดินกลับเข้าไปในห้องนอน เพื่อไปซักผ้าขี้ริ้วในห้องน้ำ ก่อนจะเอาออกมาตากตรงริมระเบียงห้อง แล้วถึงค่อยมาร่วมวงทานมื้อเที่ยงกับนักจิตวิทยาผู้หิวโซ

หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ ผมก็ต้องรีบไปอาบน้ำ ส่วนพี่เนย์ก็เป็นคนเคลียร์โต๊ะกับล้างจาน จากนั้นถึงได้ฤกษ์ออกเดินทางไปยังจังหวัดชลบุรี ซึ่งใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงนิดๆก็ถึงแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้พี่เนย์ไม่ค่อยจะขับรถแบบตีนผีสักเท่าไหร่ มีแต่ผมนี่แหละ ที่ชอบขับแบบนั้น เพราะด้วยหน้าที่การงานมันบังคับ เช่นว่าวันนี้ผมมีทำข่าวภาคเที่ยง แล้วตอนบ่ายมีสอน ผมก็ต้องรีบเหยียบคันเร่ง เพื่อที่จะมาให้ถึงมหาลัยได้ทันเวลา
กระทั่งมาถึงบ้าน พี่เนย์ก็อยู่คุยกับคุณแม่ของผมสักพัก ส่วนคุณพ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว ผมก็เลยไล่ให้พี่เขาขึ้นไปนอนบนห้อง เพราะกว่าเราจะกลับถึงคอนโด ก็น่าจะดึกมากแล้ว แถมวันนี้พี่เขายังต้องทำงานตั้งแต่เช้า ส่วนช่วงบ่ายก็ยังต้องมาพาผม มาหาแม่อีก ผมก็เลยอดจะเห็นใจนักจิตวิทยาผู้แสนใจดีคนนี้ไม่ได้

“วันนี้ทำปูนึ่งเหรอครับ พี่เนย์ลาภปากแน่ๆ” หลังจากพี่เนย์ขึ้นไปบนชั้นสอง ผมก็เดินตามแม่เข้ามาในครัว ก่อนจะมายืนเมียงมองแม่กำลังเตรียมทำมื้อเย็น
“แม่ว่าคงไม่ใช่แค่พี่เนย์หรอกมั้งที่ลาภปากน่ะ เพราะคนแถวนี้แม่จำได้แม่นเลยนะ ว่าชอบกินปูนึ่ง กับน้ำจิ้มซี้ฟู๊ดของแม่มากแค่ไหน” ผมนั่งหัวเราะอยู่บนโต๊ะตรงมุมห้องครัว ที่แม่มักจะเอาไว้นั่งเด็ดพริก หั่นโน่นหั่นนี่ไปเรื่อยๆ เพราะในห้องครัวของบ้านเรา แม่มักจะเปิดหน้าต่างระบายอากาศเอาไว้ เลยทำให้ไม่ร้อนอบอ้าว แล้วยิ่งถ้าหากช่วงนั้น ต้นไม้ที่ปลูกมันเริ่มจะออกดอก กลิ่นหอมต่างๆเหล่านั้น ก็จะลอยลมเข้ามารวมตัวกันอยู่ในห้องครัวเหมือนกับตอนนี้

“อ้อ มะลิออกดอกแล้วนะรัน ถ้าเราจะเก็บไปไว้ที่คอนโดก็หาอะไรไปใส่เอาเลย”
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมมานะ” ผมขอตัวพลางเดินออกจากห้องครัว และมุ่งตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง เพื่อไปหยิบโหลแก้วที่แม่ให้ไว้ตั้งแต่คราวก่อน ที่ผมเอาใส่ดอกมะลิกลับคอนโด จากนั้นก็ใช้โหลนี้แหละทำเป็นอ่างลอยน้ำดอกมะลิหอมๆ กระทั่งมันเริ่มจะเน่า ผมก็เอาโหลแก้วกลับมาไว้ที่บ้านเหมือนเดิม

“ทำอะไร?” พี่เนย์ถาม หลังจากที่ผมรื้อข้าวของจนเสียงดังรบกวนเวลานอนของอีกฝ่าย แม้ว่าผมจะพยายามระมัดระวังจนเต็มที่แล้วก็ตาม
“จะเอาโหลไปเก็บดอกมะลิกลับคอนโดครับ” ผมตอบพลางยกโหลแก้วให้คนตาปรือเขาดู

“อืม” กระทั่งพี่เขาพยักหน้า และตอบงืมงำในลำคอ ผมถึงได้โอกาสแทรกตัวออกจากห้อง และมุ่งตรงไปยังสวนหลังบ้าน ที่แม่ปลูกไม้หอมเอาไว้จนเต็มไปหมด และเวลานี้ ไม้หอมเหล่านั้น ต่างก็ส่งกลิ่นทักทายการมาเยือนของผม ราวกับอยากจะพากันชวนให้ผมย้อนระลึกไปถึงวันวาน ที่เคยมานอนดูฝนดาวตกกับพี่เนย์ ผู้ที่กำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่บนห้อง ที่มีผ้าม่านสีขาวปลิวไสวอยู่ตรงด้านหลัง เพราะห้องของผม เป็นมุมที่สามารถมองเห็นสวนหลังบ้านได้ชัดเจนที่สุด ดังนั้นเวลาที่แม่หรือพ่ออยู่บ้าน ทั้งคู่มักจะเข้ามาเปิดหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศภายในห้อง เลยทำให้ทุกครั้ง เวลาที่ผมกลับมาที่นี่ จะไม่เคยได้กลิ่นอับอันไม่พึงประสงค์เลยสักนิด แถมเวลาที่แม่มีดอกไม้ใหม่ๆ ที่สามารถเอามาทำดอกไม้แห้งประดับบ้านได้ แม่ก็จะไม่ลืมเอามาประดับไว้ในห้องของผมด้วย
ยิ่งตอนช่วงที่ผมกับพี่เนย์รับปริญญานะ แม่จะมีดอกไม้แห้งเอาไว้ตกแต่งบ้านจนเยอะแยะเต็มไปหมด ท่านก็เลยต้องแบ่งให้เราสองคนเอาไปตกแต่งที่คอนโดบ้าง ตอนนี้ตรงมุมรับแขก แล้วก็ตรงมุมห้องน้ำ และห้องครัวของเรา ก็ยังมีดอกไม้แห้งจากแม่ และดอกไม้แห้งที่ผมเป็นคนเลือกให้ไอ้หมอกกับไอ้คิน เพื่อเอามามอบให้กับพี่เนย์ วางตั้งอยู่ในแจกัน ที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้ากระสอบ และผูกด้วยริบบิ้นสีขาว ซึ่งเป็นฝีมือการตกแต่งของคุณแม่เหมือนอย่างเคย

“แม่ไล่ให้ขึ้นมานอนรอพ่อเลิกงานก่อนครับ” ประมาณห้าโมงเย็น แม่ก็ไล่ให้ผมขึ้นมานอนบนห้อง เพราะกว่าพ่อจะกลับถึงบ้านก็ประมาณทุ่มนิดๆ และทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนอน พร้อมกับยื้อแย่งผ้าห่มจากคนที่กำลังหลับใหล อีกฝ่ายก็รู้สึกตัวตื่นจนได้ ผมจึงต้องตอบคำถาม พร้อมกับเอาตัวเองเข้ามาซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ขณะที่พี่เนย์เขาก็หันมากอดผมโดยอัตโนมัติ
จากนั้นเราก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปด้วยกัน

“เนย์รัน ตื่นได้แล้วลูก พ่อเขากลับมาแล้วนะ ไปกินข้าวกัน”
“อื้ออออ แม่” ผมงัวเงียพลางลากเสียงยานคาง คล้ายกับคนไม่อยากตื่น แต่จริงๆแล้ว ผมแค่อยากจะอ้อนแม่เฉยๆ ก็เลยทำเป็นงอแงไปอย่างนั้น เพราะปกติ ผมไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ทำแบบนี้มากนัก อาจเพราะปมในอดีตมันทำให้ผมไม่ค่อยกล้าจะทำอะไรแบบนี้ด้วย และอย่างมากสุดที่ผมเคยทำ ก็แค่กอดเอวพ่อกับแม่ ตอนที่ผมประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาแล้วก็เท่านั้น
จะมีก็แต่ตอนนอน ที่มันเป็นโอกาสอันดี เพราะแม่ต้องขึ้นมาปลุกผมนี่แหละ ผมเลยชอบทำเนียนออดอ้อนคนเป็นแม่ จนพี่เนย์ชอบเอาเรื่องนี้ไปล้ออยู่บ่อยๆ
เพราะจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังเขินๆ และไม่ค่อยกล้าจะแสดงออกแบบนี้กับพ่อและแม่ของตัวเองนัก

“ลูกคนนี้ ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาเลย ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงปลุกยากปลุกเย็นนักนะ” แม่บ่นไม่หยุด แต่ก็ยังแฝงไปด้วยน้ำเสียงเอ็นดูปนขำขัน กับท่าทางที่หาดูได้ยากจากผม เพราะขนาดพี่เนย์ ผมยังไม่เคยอ้อนมากขนาดนี้มาก่อน
“หึ” ผมรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะของพี่เนย์ จากนั้นก็รีบเดินเข้าห้องน้ำ เพื่อไปล้างหน้าและบ้วนปากอย่างรวดเร็ว
ขณะที่โสตประสาททางการได้ยิน ก็แอบจับใจความที่พี่เนย์พูดคุยกับแม่ได้ว่า

“จริงๆ เมื่อกี้รันเขากำลังอ้อนแม่อยู่นะครับ”
“หืม ? พูดเป็นเล่นน่า” น้ำเสียงของแม่ฟังดูตื่นเต้น จนผมต้องหลุดขำออกมาจนได้

“จริงๆครับ เพราะน้องอ้อนใครไม่ค่อยเป็น ผมเลยดูเขาออก” พี่เนย์รีบพูดสนับสนุนความคิดของตัวเองอย่างรวดเร็ว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด เพราะครั้งล่าสุดที่ผมเคยอ้อนพี่เนย์ ก็น่าจะเป็นช่วงที่ผมกำลังเรียนมหาลัย
แล้วพอต้องมาทำอะไรแบบนี้กับแม่ มันก็เลยดูไม่เป็นธรรมชาติ อย่างที่เห็น

“งั้นแม่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็แล้วกัน ส่วนเนย์ก็ช่วยเร่งน้องให้รีบลงไปกินข้าวด้วยนะ พ่อเขาน่าจะหิวโซแล้วล่ะ”
“ได้ครับ”

“ส่วนมึงก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ว่ากูทำความลับของมึงแตกด้วยนะ” หลังจากเสียงปิดประตูห้องเงียบลงไป พี่เนย์ก็เดินมายืนพิงตรงขอบประตูห้องน้ำ ขณะที่ผมก็ได้แต่ยืนมองกระจกที่มันสะท้อนใบหน้าของตัวเองแน่นิ่ง
“ถ้าไม่โอเคแล้วผมจะทำอะไรได้ครับ?” ผมย้อนถาม โดยไม่ได้คิดจะโกรธเคืองอะไร
“ก็นั่นน่ะสิ” นักจิตวิทยาคนเก่งเขาตอบพลางยักไหล่ จากนั้นก็เบียดตัวผมให้ออกห่างจากอ่างล้างหน้า เพื่อที่ตัวเองจะได้ใช้งานมันบ้าง ขณะที่ผมก็ต้องเปลี่ยนมายืนมองอีกฝ่าย ที่กำลังเอามือรองน้ำจากก๊อก ก่อนจะเอาหน้าเข้าไปใกล้ เพื่อไม่ให้หยดน้ำมันกระจายลงพื้นมากนัก
“ป่ะ ไปกินข้าว” พี่เนย์ดีดน้ำใส่หน้าผม ก่อนจะดึงข้อมือแบบกึ่งลากกึ่งจูงให้เดินออกจากห้อง เพื่อลงไปสมทบกับพ่อและแม่ที่กำลังนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหาร ที่มีปูนึ่งพร้อมด้วยน้ำจิ้มซีฟู๊ดแสนอร่อยรอคอยอยู่
และผมก็คาดว่า มื้อนี้พวกเรา คงจะต้องเจริญอาหารมากแน่ๆ


-----------------------------------------
สวัสดีทุกคนค่ะ พอดีช่วงนี้กำลังปั่นตอนพิเศษสำหรับในเล่มอยู่ค่ะ แต่ว่าผลการพิจารณายังไม่ออกนะคะ คาดว่าปลายเดือนนี้ก็น่าจะทราบผลแล้ว เราก็เลยปั่นไปเรื่อยๆ ก่อน คร่าวๆ เราวางพล็อตเอาไว้ประมาณ 18 ตอน แต่ดูท่าทางเราน่าจะเขียนร่นลงเรื่อยๆ จนตอนนี้ 13 ตอนก็น่าจะจบ 555 เป็นแนวจิตวิทยา สอบสวนค่ะ แต่แนวนี้เราไม่เคยเขียนมาก่อนเลยในชีวิตนี้ ส่วนโปรเจคเรื่องต่อไป ทีแรกเรากะจะเขียนแนวทะเลทราย นักโบราณคดี หรือไม่ก็ย้อนยุคอียิปต์โบราณไปเลย แต่พอมาเขียนแนวจิตวิทยาสอบสวน เราก็รู้สึกว่ามันสนุกดี ถ้าเกิดมีโอกาสได้ออกรูปเล่ม แล้วทุกคนรู้สึกว่าแนวนี้มันโอเค เราก็ว่าจะใช้เป็นธีมเรื่องของโปรเจคต่อไปค่ะ
ทีนี้เราก็เลยเอาตอนสั้นๆ มาให้อ่านกันค่ะ จะได้รู้เรื่องราวของพี่เนย์และน้องรัน โดยนับจากวันที่น้องเรียนจบ และทำงานมาได้ 2 ปีแล้ว เป็นวัยทำงานที่ก้าวไปอีกขั้นค่ะ อย่างที่บอกว่าตอนพิเศษนี้ จะเน้นจิตวิทยา สอบสวน ก็เลยทำให้งานด้านน้องรันจะไม่ได้กล่าวถึงแบบลงลึกมากนัก แต่ก็ยังมีภาษามือให้ได้ลองทำตามอยู่บ้างค่ะ แต่สำหรับตอนพิเศษที่เอามาลงนี้ จะเป็นแค่ฉากหวานๆ เรียบๆ ของทั้งสองคนเฉยๆ 5555
ปล. ตอนพิเศษนอกรอบนี้ จะมาในธีมเพลง And we ของคยูฮยอนในอัลบั้ม 3 ค่ะ เป็นเพลงที่ลึกซึ้งและอบอุ่นมากๆ อารมณ์ของเพลงจะสื่อถึงคนสองคนที่ได้สัญญาบางอย่างต่อกันไว้ แล้วจากนั้นโลกของเค้าก็เริ่มเปลี่ยนไป ทุกย่างก้าว ที่ได้ก้าวเดิน มันทำให้รู้สึกเหมือนกับโลกมันยิ่งใหญ่ แต่พอได้นั่งนิ่งฟังลมหายใจของอีกฝ่าย ก็จะรู้สึกสบายใจ เหมือนกับการเดินทางบนโลกที่กว้างใหญ่ได้สิ้นสุดลงแล้ว มันก็เลยสอดคล้องกับคำสัญญาของน้องรันและพี่เนย์ที่เคยให้กันไว้ในตอนจบว่าแค่เพียงเราได้อยู่ข้างๆกัน มันก็จะไม่มีอะไรน่ากลัว
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ And we ♥ หน้า 12 [up 08/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-01-2018 22:03:16
ยิ้มไม่ยอมหุบเลยค่ะ ยามเห็นความสำเร็จของรัน หลังจากที่เฝ้าติดตามและเห็นถึงความพยายามของน้องมาตลอด ปลื้ม~~~~ ใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ And we ♥ หน้า 12 [up 08/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 08-01-2018 22:22:19
เรียบง่าย แต่อบอุ่นอบอวลไปด้วยความรัก :mew1:
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ And we ♥ หน้า 12 [up 08/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 09-01-2018 23:32:33
 :m3: เป็นเรื่องที่เนื้อเรื่องไม่หวือหวา..แต่ก็ไม่น่าเบื่อ..อ่านได้ลื่นไหลจนจบ  :L1:

เนื้อหาทางวิชาการแน่นมาก..เป๊ะมาก..ชอบที่สุด  o13

พ่อเนย์ แม่รัน หนูเขี้ยวกุด..น่ารักจริง ๆ  :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ And we ♥ หน้า 12 [up 08/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 14-01-2018 22:22:47
สนุกมากเลยค่ะ
เพิ่งเคยได้อ่านอะไรแบบนี้ครั้งแรก
เป็นการเปิดประสบการณ์ผ่านตัวอักษรจริงๆ
ไม่เคยรู้เลยว่ามีระดับของการหูตึงด้วย
ความรู้ไม่เพียงพอนี่สร้างความเข้าใจผิดได้ง่ายจริงๆ
ชอบสำนวนในเรื่องมากๆเลย
ทำให้เข้าใจนักจิตบำบัดมากขึ้น
ทุกคำพูดทุกการสื่อสารที่แสดงออกมา
สามารถกลายเป็นลักษณะของคนได้หมด
ชอบที่สุดของคนเขียนคือการอ้างอิงแหล่งที่มาตลอด
หาได้ยากที่มีการอ้างอิงเนื้อความที่เอามาเขียนแบบนี้
ขอชื่นชมคนเขียนที่ใส่ใจทุกอย่างของเนื้อเรื่องเลย
ชอบมากจริงๆค่ะ จะรอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ And we ♥ หน้า 12 [up 08/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-01-2018 10:27:22
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ And we ♥ หน้า 12 [up 08/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 17-01-2018 12:13:34
สวัสดีค่ะเรามาอ่านเรื่องนี้เพราะชื่อเรื่องค่ะ เป็นอีกคนที่ชอบเพลงนี้ แล้วตอนนี้ก็ตกหลุมรักเรื่องนี้ด้วยค่ะ อ่านแล้วได้ความรู้กลับมาเยอะมากๆเลยทำให้มุมมองต่อบุคคลอื่นทีเราไม่ชอบหน้าเปลี่ยนไปด้วยเลยค่ะขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆอ่านแล้วอบอุ่นใจแบบนี้สามารถทำให้เราฮีลลิ่งตัวเองได้ง่ายขึ้นขอบคุณจริงๆค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ And we ♥ หน้า 12 [up 08/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 17-01-2018 19:54:31
 :katai2-1: :katai2-1:


คิดถึงเขี้ยวกุด
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ ตอนพิเศษ And we ♥ หน้า 12 [up 08/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 19-01-2018 10:09:07
ดีใจที่รันทำสำเร็จจนได้ น้องต้องเข้มแข็งจริงๆ
พี่เนย์ถึงจะไม่โรแมนติกแต่ก็เป็นคนอบอุ่นที่คิดถึงรันตลอด
ขอบคุณค่าา  :pig4:
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ แจ้งข่าวการตีพิมพ์ ♥ หน้า 12 [up 01/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 01-02-2018 15:33:51
แจ้งข่าวการตีพิมพ์

สวัสดีคนอ่านทุกคนนะคะ ตอนนี้นิยายเรื่อง Fall in you จะได้ตีพิมพ์กับทาง Hermit books นะคะ ยังไงก็หยอดกระปุกรอกันก่อนเนอะ เพราะตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานค่ะ คร่าวๆ จากที่ได้คุยกับทางสำนักพิมพ์ เขาแจ้งว่าเรื่องนี้จะมี 2 เล่มค่ะ เพราะถ้าเล่มเดียวจะหนาเกินไปมาก  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากทราบรายละเอียดที่แน่นอนแล้ว เราจะรีบมาแจ้งให้กับทุกคนทราบอีกครั้งค่ะ

ส่วนเรื่องรายละเอียดของตอนพิเศษที่ไม่มีลงในเว็บ จะเป็นตอนเต็มๆ ของคอนเซ็ป And we ที่จะเน้นหนักไปทางด้านจิตวิทยาสืบสวน แต่ก็ยังคงความอบอุ่นเอาไว้เหมือนเดิมแน่นอนค่ะ เราแต่งไปประมาณ 15 ตอนค่ะ ยังไงฝากรอติดตามกันด้วยนะคะ

----------------------------------------------------------------

เรามีเปิดเรื่องใหม่ไว้ ชื่อเรื่องในป่าสนค่ะ เป็นเรื่องของญาติพี่ตี๋บาสเพื่อนพี่เนย์ค่ะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65693.0
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ แจ้งข่าวการตีพิมพ์ ♥ หน้า 12 [up 01/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ม่านหมอก ณ ปลายฝัน ที่ 27-02-2018 05:06:11
ประทับใจในทุกๆตัวอักษรที่คุณนักเขียนถ่ายทอดออกมาเลยค่ะ

เราเพิ่งมาอ่านก็จริง

แต่เราสัมผัสได้ถึงพลังด้านบวกอันมหาศาลของคุณ

และสัมผัสความอบอุ่นได้จากพี่เนย์กับน้องรันค่ะ

เป็นกำลังใจให้

และรอคอยนิยายเรื่องใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ แจ้งข่าวการตีพิมพ์ ♥ หน้า 12 [up 01/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 09-03-2018 23:24:37
 :L1: บอกได้คำเดียวว่า  ชอบ  สุดเลยค่ะ  ขอบคุณนักเขียนมากเลยค่ะ เรื่องมันมีมากกว่าแค่ความรักค่ะ
 มีทั้งปมปัญหา อุปสรรค ปรัชญา ข้อคิด คำคม วิธีคิด การเผชิญน่ากับปัญหา การก้าวผ่านอดีต  มันสุดๆมากเลยค่ะ กับพล๊อตแบบนี้ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ สนุกจริงๆค่ะ  :mew1: :3123:
หัวข้อ: Re: [End] ♥ Fall in you #ฟอลอินยู ♥ แจ้งข่าวการตีพิมพ์ ♥ หน้า 12 [up 01/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: heyguy ที่ 27-03-2018 21:07:11
น่ารักมากๆเลยค่ะ อบอุ่นในหัวใจจ
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ ร่างปก ♥ หน้า 12 [up 20/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 20-05-2018 13:51:18
♥ Fall in you ♥

สวัสดีค่ะทุกคน พอดีวันนี้พี่ บ.ก. ส่งร่างปก fall in you มาให้เราดูค่ะ และมันก็สวยมากๆ  ถูกใจเรามากจริงๆ ถึงแม้ว่าจะยังลงสีไม่เสร็จ แต่ความอบอุ่น และความเหงา มันก็สามารถสื่อออกมาได้ดีมาก เราเลยขอพี่ บ.ก. เอามาลงให้ทุกคนดูก่อน

อยากจะบอกว่าเราภูมิใจนำเสนอภาพปกมากจริงๆ ค่ะ เรื่องนี้มีทั้งหมด 2 เล่ม แต่เราเอามาให้ดูเล่มเดียวก่อนเนอะ คอนเซ็ปของปกจะตรงกับภาพวาดที่น้องรันมอบให้พี่เนย์เป็นของขวัญในวันรับปริญญาค่ะ สาเหตุที่เลือกภาพที่น้องวาดเป็นปกก็เพราะว่า ภาพนี้มันสามารถบอกอะไรหลายๆ อย่าง ว่ากว่าที่น้องรันจะเป็นน้องรันได้ในวันนี้ น้องต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมายแค่ไหน ซึ่งอุปสรรคก็เปรียบได้กับหูฉลามที่ว่ายวนอยู่ในท้องทะเล และท้องฟ้าที่มืดมนจนเกือบจะไร้แสงดาวก็หมายถึงจิตใจของน้องรัน ส่วนเล่มที่สองก็จะเป็นภาพที่สดใสขึ้น และอุปสรรคก็ค่อยๆ ถูกทำลายลงทีละอย่าง ความหมายลึกซึ้งมากกก 55555

ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ ตอนนี้ยังไม่ทราบกำหนดการว่ารูปเล่มจะพร้อมเมื่อไหร่  แต่รับรองว่าภาพประกอบจะต้องถูกใจทุกคนมากแน่ๆ ค่ะ >.<

(https://i.imgur.com/oHeYxuO.jpg)
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ ร่างปก ♥ หน้า 12 [up 20/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: erng ที่ 29-05-2018 17:30:24
เป็นนิยายที่น่ารักมากจริงๆค่ะ ชอบความสัมพันธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปนี้
ชอบความรู้สึกของทั้ง 2 คน มันให้อารมณ์แบบคู่ชีวิตที่หันไปมองกี่ครั้งก็เจอ ไม่ได้ประคบประหงมมาก แต่เป็นการดูแล ใส่ใจ
อ่านแล้วรู้สึกดี สบายใจ
ขอบคุณมากนะค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ ร่างปก ♥ หน้า 12 [up 20/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 04-06-2018 10:00:27
นิยายดี ความรู้แน่น  o13 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ ร่างปก ♥ หน้า 12 [up 20/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: joko ที่ 19-08-2018 12:44:17
ขอบคุณมากนะคะ สำหรับเรื่องราวน่ารัก ความรู้หลายๆอย่างเกี่ยวการพูด การได้ยินและภาษามือ และกำลังใจที่แต่ละคนได้มีให้กัน อ่านแล้วทำให้เกิดกำลังใจที่ดีเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ ร่างปก ♥ หน้า 12 [up 20/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 29-08-2018 20:10:46
เข้ามาเพราะชื่อเพลง แต่ไม่ใช่เพลงเดียวกะคนแต่ง แต่ชื่อคล้ายกัน
เป็นนิยายอีกเรื่องที่ดีมาก ผู้ที่บกพร่องทางร่างกาย ไม่ว่าส่วนไหน ล้วนมีปัญหาเรื่องการล้อเลียนทั้งสิ้น ต่อให้ใจแข็งผ่านประสบการณ์มาโชกโชนแค่ไหนก็มาเฟลตรงการล้อจุดอ่อนนี่แหละ
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Chomin ที่ 12-10-2018 19:36:52
สวัสดีคนอ่านทุกท่านเลยค่ะ เรามาแจ้งข่าวเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ของนิยายเรื่อง Fall in you ค่ะ
ยังไงเราฝากรับพี่เนย์และน้องรันไปดูแลด้วยนะคะ

สำหรับในรูปเล่ม เรามีการปรับแก้บางส่วน ที่มีคนทักมาเกี่ยวกับเรื่องคำพูดของพี่เนย์ ในเชิงบังคับให้น้องรันพูด ว่าจริงๆ แล้วบริบทนั้นๆ มันคือการหยอกล้อ ไม่ใช่ข่มขู่อย่างที่เข้าใจค่ะ ตรงส่วนนี้ เราเขียนเพิ่มแบบตรงประเด็นไปเลย จะได้เข้าใจตรงกันทั้งผู้เขียนและผู้รับสารเนอะ

และในส่วนของตอนพิเศษสำหรับรวมเล่ม เราเขียนไปทั้งหมด 15 ตอน จำนวน 100 กว่าหน้า เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการค้นหาความจริงว่าใครคือผู้ทำร้ายเด็กชายผู้บกพร่องทางการได้ยิน ซึ่งพี่เนย์และน้องรัน ต้องมาร่วมงานกันในจุดนี้ค่ะ

ตอนนี้เรามีเพจ facebook แล้วนะคะ สามารถติดตามการอัพเดตข่าวสารได้ที่เพจ
https://m.facebook.com/Chomin.writer/

เรื่อง  Fall in you 

ผู้เเต่ง Chomin

ในเล่ม ที่คั่น โปสการ์ด

ของแถมพิมพ์ครั้งที่ 1 : การ์ตูนแก๊ก 12 หน้า

ราคาหนังสือ 2 เล่มจบ :  640 บาท    Boxset  :  840 บาท 

ราคาพิเศษหน้างาน / หน้าร้าน That’s Y / เว็บ Hermit  : หนังสือ 2  เล่มจบ :  576 บาท    Boxset  :  750บาท 

วันที่จำหน่ายทั้งหน้างานและหน้าร้าน เว็บร้าน That’s Y : ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2561

รอบไปรษณีย์ที่เว็บ www.hermitbookshop.com :จะแจ้งกำหนดภายหลัง

(https://pbs.twimg.com/media/DpTcs-qUYAI4gLH.jpg)


วันที่ 20 ต.ค. เราจะไปแจกลายเซ็นที่บูธ Hermit (N40)

เวลา : 13.30-15.00 น.
ผลงาน : เรื่องยาว Fall in you / เรื่องสั้นแลกซื้อ บันทึกรักนักเดินทาง

 เราเอาของที่ระลึกไปแจกด้วยนะคะ เป็นมินิการ์ดจิบิ ที่วาดจากฉากในตอนพิเศษของรูปเล่มจ้า ใครว่างก็ไปเจอกันนะคะ

(https://pbs.twimg.com/media/DpTcs-nUwAEkDEb.jpg)
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: AngPao1932 ที่ 20-10-2018 09:04:42
ดีเทลละเอียด เนื้อหาดี ไม่มีตัวร้าย ไม่มีดราม่าหนักหน่วง ถึงจะไม่สดใสถึงขั้นฟิลกู๊ดแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี สอนให้เลือกที่จะคิดบวก ชอบบบบบบบ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 30-10-2018 23:41:58
เป็นนิยายที่ดีจริงๆ​ ให้อะไรหลายๆอย่าง​ ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 05-12-2018 13:12:32
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 05-12-2018 20:31:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
 :กอด1: :L2: :mew1:
หัวข้อ: Re: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:07:44
 :pig4: