Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fall in you #ฟอลอินยู [End] ♥ แจ้งข่าวรูปเล่ม ♥ หน้า 12 [up 12/10/2018]  (อ่าน 130492 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
«ตอบ #30 เมื่อ27-10-2017 18:30:56 »

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
«ตอบ #31 เมื่อ27-10-2017 19:52:21 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
«ตอบ #32 เมื่อ27-10-2017 19:58:06 »

‘สำหรับไอ้เนย์ การชมผู้ชายไม่แปลกหรอก’
หมายความว่าจะใด๋

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
«ตอบ #33 เมื่อ27-10-2017 21:12:50 »

หน่อววววววววววว

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
«ตอบ #34 เมื่อ27-10-2017 21:58:41 »

 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 9 [up 27/10/2017]
«ตอบ #35 เมื่อ27-10-2017 22:02:08 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
«ตอบ #36 เมื่อ28-10-2017 15:26:42 »

♥ Fall in you ♥
ตอน 10



“มึงว่าฟ้าจะผ่าไหมวะ แลตกหนักขึ้นเรื่อยๆเลยว่ะ” เจ้าของห้องที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว พูดขึ้นอย่างหวาดๆระหว่างที่กำลังหาเสื้อผ้าให้ผมใส่
“กูกลัวฟ้าผ่ากับฟ้าแลบมาตั้งแต่เด็กแล้ว” ผมเงยหน้าขึ้นจากการรายงานความเป็นไปของตัวเองว่าจะไม่กลับหอให้เพื่อนๆรับรู้ จากนั้นก็แอบอมยิ้ม เมื่ออีกฝ่ายเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง

“ถ้ามีของอะไรอยู่ในมือนะมึงเอ้ย กูเขวี้ยงแม่งทิ้งหมดแหละ”
“นึกถึงตอนนั้นแล้วโคตรตลก กูโยนถ้วยทิ้งเลยเว้ย ป๊อปคอร์นงี้หล่นกระจายเต็มพื้นจนแม่ด่า.. กูว่ามึงน่าจะใส่ได้นะ ตัวเล็กสุดละ เพราะกูซื้อให้ไอ้บอสแต่ดันซื้อผิดทีมไง แถมยังเคราะห์ดีอีก ซื้อทีมไหนไม่ซื้อครับ กูดันไปซื้อทีมคู่แข่งของทีมที่แม่งเชียร์ แถมเงินก็ไม่ได้คืน คิดๆดูแล้วกูไม่น่าออกเงินให้มันก่อนเลย” ผมขำพลางรับเสื้อบอลทีมแมนยูมาถือ และเดินเข้าไปอาบน้ำเป็นรายต่อมา

“คืนนี้กูไม่ปิดไฟนะมึง ประสาทจะแดก ฟ้าแม่งก็แล่บอยู่นั่น กูก็เกร็งไปดิ แต่แม่งก็ไม่ได้ผ่าแรงๆแบบที่กูกลัวสักทีไง”
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้าตอบ ก่อนจะชูผ้าเช็ดตัวให้อีกฝ่ายในเชิงถามว่าจะตากได้ตรงไหน

‘ตอนเด็กผมก็กลัวชิงช้าสวรรค์พอๆกับที่พี่กลัวฟ้าฝ่าเลยครับ’ พอพี่เขาเปิดใจเล่าเรื่องของตัวเองพร้อมกับแสดงออกว่าตัวเองกลัวสิ่งที่ว่านั่นจริงๆ ผมก็เลยคิดอยากจะบอกให้อีกฝ่ายได้รู้เรื่องที่ผมกลัวบ้าง
“แสดงว่าตอนที่มึงกลัว มึงต้องร้องไห้ด้วยดิ?” อีกฝ่ายเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเล่าต่อ

‘ร้องสิครับ ร้องจนเหมือนจะขาดใจตาย จนแม่ต้องขู่ไม่ให้ผมร้อง จากนั้นมาผมก็…’ หลังจากตากผ้าเช็ดตัวที่ราวตากผ้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินกลับมาหยิบโทรศัพท์ที่วางเอาไว้บนเตียงนอนขึ้นมาพิมพ์ต่อ แต่ก็พิมพ์ๆลบๆในประโยคหลังอยู่หลายครั้ง
“เวลาฟ้าผ่ากูก็ร้องไห้นะ แต่พอโตมาสักสิบขวบก็ไม่ร้องแล้ว แต่เปลี่ยนมาโยนทุกสิ่งอย่างที่ถือไว้ในมือแทน” พี่เขาว่าอย่างนั้น แล้วก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนทางฝั่งซ้ายมือ
และสุดท้ายคำบอกเล่าของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมตัดสินใจพิมพ์ข้อความที่ค้างไว้ให้จบ

ติ้ง!

‘ร้องสิครับ ร้องจนเหมือนจะขาดใจตาย ร้องจนแม่ต้องขู่ไม่ให้ผมร้อง จากนั้นมาผมก็…พูดไม่ได้

หลังจากส่งข้อความผ่านทางแชทไลน์เรียบร้อยแล้ว เสียงแจ้งเตือนก็เป็นเสียงแรกที่ผมได้ยิน ส่วนเสียงที่สองก็คือเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังเปิดเอาไว้ในอุณหภูมิยี่สิบห้าองศา จนทำให้วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะหยุดหมุน ซ้ำแรงโน้มถ่วงของโลกก็ยังคล้ายกับหยุดทำงานไปอีก และถ้าหากผมไม่อาจรับรู้ได้ถึงลมหายใจของตัวเอง ผมก็คงจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้น มันได้เกิดขึ้นจริงเข้าให้แล้ว

“เอาไว้มึงเรียนภาษามือจนคล่องแล้ว เรามาลองใช้ภาษามือคุยกันดีกว่า” พี่เขาพูดขึ้นมาเป็นประโยคแรกหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบงันเข้ายึดอาณาเขตในห้องของตัวเองมานาน
‘ครับ’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป พร้อมพยักหน้าและยกยิ้มให้กับคนที่กำลังนอนแผ่อยู่บนเตียง แต่แล้วรอยยิ้มกว้างๆของผมก็ต้องหุบลง เพราะใบหน้าของผมมันร้อนเห่อ อีกทั้งในใจก็ยังรู้สึกเก้อเขินที่อีกฝ่ายมองมาที่ผมอย่างใจจดใจจ่อคล้ายกับต้องการจะสำรวจว่าใบหน้าของผมมันมีสิ่งใดผิดปกติอยู่บ้าง

“ไอ้ทีมมันลงคลิปแล้วนี่หว่า” ผมนึกขอบคุณเหลือเกินที่อีกฝ่ายไม่ได้ทักท้วงใดๆออกมา เพราะว่าพี่เขากำลังมีเรื่องที่น่าให้ความสนใจมากกว่านั้น ซึ่งเรื่องใหม่ที่รุ่นพี่ตรงหน้ากำลังให้ความสนใจอยู่
ก็แลจะเรียกความเก้อเขินให้ผมได้ไม่หยอก

คือเมื่อวานตอนที่กำลังถ่ายวีดิโออยู่นั้น พวกพี่ทีมให้ผมยิ้มออกมากว้างๆ เพราะรอยยิ้มของผมมันเป็นจุดขายที่จะโปรโมทให้ใครหลายๆคนยอมเสียเวลามานั่งดูคลิปวีดิโอตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นพวกเขาก็อาจจะเกิดความสนใจในภาษามือที่เราใช้ สื่อการสอนที่พวกไอ้หมอกและไอ้คินเป็นคนทำก็จะช่วยเสริมได้อีกส่วนนึง

หลังจากที่รุ่นพี่เจ้าของห้องเปิดคลิปดังกล่าวแล้ว พี่เขาก็เอาแต่จ้องมองหน้าจอสี่เหลี่ยมๆนั่น แล้วก็ยิ้มมุมปากน้อยๆ กระทั่งเนื้อเพลงดำเนินมาจนถึงท่อนที่สอง ที่มีใจความว่า…

เธอทำให้ฉันรู้และเข้าใจคำว่าสองเรา
ไม่ว่าจะร้อนหรือว่าจะหนาวก็ไม่กลัว
มีเธอที่รักข้างในจิตใจ
ให้ฉันก้าวเดินต่อไป ต่อจากนี้


รุ่นพี่ผู้ไม่ได้เรียนภาควิชาเดียวกัน กลับค่อยๆใช้ภาษามืออย่างคล่องแคล่ว โดยการผายมือขวามาข้างหน้าซึ่งก็คือบริเวณที่ผมกำลังยืนอยู่จากนั้นก็รั้งฝ่ามือเข้ามาแนบตรงหน้าอกข้างซ้าย ก่อนจะยกมือขึ้นมาชูสองนิ้วเหมือนที่หลายๆคนชอบโพสถ่ายรูป และแตะที่ข้างขมับพร้อมกับเอียงหัวส่วนปลายนิ้วคู่นั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นท่าทางเหมือนกับตอนสั่งข้าว ที่เวลาป้าถามว่าเอากี่จาน และเราอยากกินแค่จานเดียว ก็ชูไปแค่เลขหนึ่ง แต่การชูเลขหนึ่งในที่นี้จะต้องหันหน้ามือเข้าหาตัวเอง จากนั้นก็หมุนกลับมาชูเลขสอง เข้าทำนองที่แสดงถึง ‘เราสองคน’

เธอและฉัน จับมือเคียงกันนับจากนี้
ผ่านความเดียวดายที่สองเรานั้นเคยมี
เมื่อมีเธอที่แสนดีอยู่ตรงนี้

มากกว่านั้น ยิ่งมีกันและกันมากแค่ไหน
มีเพียงคำว่ารักที่สองเรานั้นเข้าใจ
รักเพียงเธอและตลอดไป แค่เธอกับฉัน


(ของขวัญ - Musketeers)

มนุษย์ร่างสูงในชุดนอนคนนั้นยังคงใช้ภาษามือไปพร้อมๆกับผมในหน้าจอสี่เหลี่ยมอย่างสนุกสนาน เพราะตลอดเวลาที่เจ้าตัวกำลังใช้ภาษามืออยู่นั้น รอยยิ้มเล็กๆมักจะติดอยู่ที่มุมปากเสมอ จนสมองของผมมันชักจะเบลอๆ ไม่รับรู้ว่าเพลงมันเล่นไปถึงท่อนไหนแล้ว และอีกฝ่ายกำลังใช้ภาษามืออย่างถูกต้องหรือไม่ ในเมื่อหัวใจของผมมันกำลังดังแข่งกับเสียงเพลง อีกทั้งสายตาของผม มันก็กลายเป็นฝ่ายที่กำลังจ้องมองพี่อาคเนย์ไปซะแล้ว
พี่เขาจะรู้ตัวไหมว่า.. ท่าทางของเขา มันทำให้ผมรู้สึกเหมือน..

กำลังตกหลุมรัก..

“เป็นอะไร?” ผมสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมา และสอบถามด้วยความสงสัย
“…” ผมส่ายหัวด้วยสีหน้าที่เรียกได้ว่าตื่นตระหนกเต็มที่

“ว่าแต่.. ทำไมเวลากูอยู่ด้วย มึงชอบทำผิดบ่อยนักวะ?” อีกฝ่ายยิงคำถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ที่มองดูจากดาวอังคารก็รู้ว่าพี่อาคเนย์คนนี้ เขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ต้องมาคาดคั้นกันแบบนี้
“มึงเขิน เกร็ง หรือว่าไม่มีสมาธิ?” ริมฝีปากหนาขยับสาดคำถามเข้ามาสำทับอีกระลอก จนผมรู้สึกเหมือนจะล้มทั้งยืนให้ได้ เพราะดูเหมือนว่า การตัดสินใจที่จะเปิดใจ จนนำพาไปสู่การตกหลุมรักอันเต็มรูปแบบ จะทำให้ผมแสดงออกไปโดยที่อีกฝ่ายก็สามารถมองจากดาวอังคาร แล้วยังรู้ลึกไปถึงความรู้สึกข้างใน..

“หรือว่า.. รวมๆกัน” รุ่นพี่ตรงหน้าลุกขึ้นมานั่งเพื่อทอดสายตามองผมให้ถนัดขึ้น และจะได้คาดคั้นเอาคำตอบอย่างเต็มรูปแบบ
“…” ผมกลายเป็นเป้านิ่งที่ใจคิดอยากจะหนี แต่ร่างกายไม่ยอมทำตามที่คิด ทำเอาใบหน้าร้อนเห่อจนเหมือนกับผมได้สารภาพออกมาแล้วว่า ตลอดระยะเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน ผมค่อยๆซึมลึกในความเป็น ‘พี่อาคเนย์’ ที่เอาใจใส่ความรู้สึกของผมด้วยการไม่ถามไถ่ว่าทำไมผมถึงพูดไม่ได้ หรือการที่พี่เขามักจะใช้วิธีการอัดเสียงรอบๆข้างเพื่อบอกกล่าวว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน จนผมต้องเป็นฝ่ายตอบกลับในรูปแบบเดียวกัน เพื่อความเท่าเทียม อีกทั้งรุ่นพี่คนนี้ก็ยังคอยกระตุ้นให้ผมใช้ภาษามือให้เป็นเร็วๆ เพราะมันคือสิ่งจำเป็นที่จะอำนวยความสะดวกให้กับผมได้มากมาย ในเมื่อผู้คนรอบๆตัวผม พวกเขาต่างก็ทราบความหมายของภาษามือกันดีอยู่แล้ว

“ถ้ามึงรู้สึกรวมๆกัน แสดงว่าเราก็ใจตรงกันน่ะสิ”
“…” ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจที่จู่ๆก็ได้ยินประโยคดังกล่าว

“พี่ไม่รู้หรอกนะ ว่าเผลอไปตกหลุมรักรันเอาตอนไหน.. เมื่อไหร่.. รู้อีกทีมันก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
“…”

“ถึงตอนนี้มันจะยังเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้มากมายรุนแรงอะไร แต่วันข้างหน้าพี่คงไปไหนไม่รอด
“…” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน ด้วยไม่รู้ว่าจะเอาเรี่ยวแรงจากที่ไหนไปยืนนิ่งๆเหมือนเดิม เพราะการที่เราเพิ่งจะเตรียมเปิดใจและค้นพบได้ไม่นานว่า เรากำลังรู้สึกนึกคิดอะไรด้วยระยะเวลาเพียงสั้นๆ จึงไม่อาจตั้งรับกับความรู้สึกที่ดูเหมือนจะมากมายของอีกฝ่ายได้ทัน

“ถ้ารู้สึกเหมือนกัน ก็ทำอะไรหน่อยสิ อย่าทำให้ใจหายใจคว่ำได้มั้ยวะ” ดูเอาเถอะ รุ่นพี่คนนี้อ่อนโยนได้ไม่ทันจะถึงนาทีก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาอีกแล้ว
“…”

“ที่ร้านกาแฟ มึงสร้างความหวังให้กูมากนะ จู่ๆมึงจะพังมันลงภายในเวลาไม่ทันจะข้ามวันเลยเหรอ ใจร้ายเกินไปแล้ว”
“…”

เมื่ออีกฝ่ายต่อว่าขึ้นมาแบบนั้น ผมที่กำลังไม่เป็นตัวของตัวเองมากถึงมากที่สุด ก็ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งกลับไปให้อีกฝ่ายอ่านเพื่อความเท่าเทียม

ติ้ง!

‘ผมก็รู้สึกเหมือนพี่ครับ และคิดว่าวันหน้า ก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน..’

 -------------------------------------------------------
[27/01/2018 แก้คำผิด ฟ้าแล่บ > ฟ้าแลบ]
จริงๆแล้ว ตอนนี้จะเป็นตอนจบจริงๆของเรื่องนี้ตามที่วางเอาไว้ค่ะ เพราะชื่อเรื่องคือ 'Fall in you' แสดงถึงการตกหลุมรัก ส่วนที่เหลือจะเป็นสเปที่คาดว่าคงยาวกว่าเนื้อเรื่องหลักเยอะ แต่เราคิดไปคิดมาอีกที เรารวบสเปเป็นตอนที่ 11 12 13 ดีกว่า แต่เนื้อเรื่องก็ยังคงคอนเซ็ปเหมือนเดิมตามที่ตั้งใจไว้ เราแต่งไปล่วงหน้าได้เยอะพอสมควรแล้ว อาจจะลงได้ทุกวันเหมือนเดิม แต่ถ้าหากหมดสต๊อกก็คงต้องรอกันนิดนึงเนอะ เพราะถึงตอนนึงจะสั้นแต่เราก็ใช้เวลาในการเขียนนานมากๆ ต้องอ่านจากในคอมแล้วก็มาอ่านทวนในโทรศัพท์อีกรอบด้วย ถ้าคำผิดยังหลงเหลืออยู่ก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ ตาลายหาไม่เจอจริงๆ สุดท้ายนี้ก็หวังว่าทุกคนจะชอบนิยายเรื่องนี้เช่นกันค่ะ มันอาจจะเรียบจนเอื่อย และน่าเบื่อ แต่เราก็หวังว่าทุกคนจะชอบนิยายแนวนี้นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 18:48:59 โดย Chomin »

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
«ตอบ #37 เมื่อ28-10-2017 16:03:21 »

สเป สเป สเป
เขินจริง ><

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
«ตอบ #38 เมื่อ28-10-2017 16:55:39 »

  :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
«ตอบ #39 เมื่อ28-10-2017 17:55:13 »

อมยิ้มตามเลยนี่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
« ตอบ #39 เมื่อ: 28-10-2017 17:55:13 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Fall in you ♥ -- ตอน 10 -- >หน้า 2< (up 28/10/2017)
«ตอบ #40 เมื่อ28-10-2017 18:47:25 »

ชอบเรื่องนี้มากขนาดที่ทำให้เรานั่งดูวีดีโอฝึกภาษามือเลย
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องดีดี

 :L2: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-10-2017 19:59:53 โดย Billie »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
«ตอบ #41 เมื่อ29-10-2017 20:05:23 »

♥ Fall in you ♥
ตอน 11



“รันวันนี้มีเรียนกี่โมง” ผมขยับตัวเล็กน้อยเมื่อกำลังถูกรบกวนเวลานอน แต่พอหันหน้าไปอีกทางก็กลายเป็นว่าแสงจากทางหน้าต่างมันส่องสะท้อนจนต้องยอมแพ้ ผมจึงหรี่ตามองคนถามด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น
“…” ผมชูเลขเก้าเป็นเชิงตอบโต้ แต่พฤติกรรมอื่นๆกลับนิ่งสนิท เนื้อตัวยังคงจมอยู่บนที่นอนหลังใหญ่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง

“ไปอาบน้ำดิ จะได้รีบไปกินข้าว ต้องกลับไปเปลี่ยนชุดที่หออีกไม่ใช่เหรอ” ผมจำต้องลุกจากที่นอนอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็ควานหาโทรศัพท์ที่เมื่อคืนหย่อนลงในกระเป๋าสะพายที่วางเอาไว้ข้างๆเตียงนอนเพื่อดูเวลา
“อึนเวอร์ เอ้าผ้าเช็ดตัว” ผู้ชายที่เมื่อคืนทำเอาผมใจเต้น ยื่นผ้าเช็ดตัวมาให้พร้อมกับตีหน้ายักษ์ ขณะที่ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขาก็เรียบร้อยดีแล้ว

ให้ตายเถอะตื่นเร็วชะมัด! แสดงว่าเมื่อคืนหลับสบายเลยสิท่า ทีผมนี่กว่าจะได้นอนก็ต้องจัดการตากเสื้อผ้าให้เรียบร้อยระหว่างทำใจไม่ให้เขินจนตัวแตกตายไปซะก่อน แต่วินาทีที่ล้มตัวลงนอนข้างๆที่อีกฝ่ายเว้นเอาไว้ให้ก็ทำให้ผมทราบคำตอบเป็นอย่างดีว่า การทำใจเมื่อครู่ ช่างไม่มีประโยชน์อะไรเอาเสียเลย
แถมพอตื่นขึ้นมา คนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เป็นปกติได้ ก็มีแค่ผมคนเดียว!

“กินโจ๊กนะ เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึง” หลังจากล็อคห้องเรียบร้อยแล้ว คนตัวโตในสภาพพร้อมจะเรียนก็หันมาเสนอความคิดเห็น ซึ่งผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว ขอแค่ได้ทานมื้อเช้าก็พอ เพราะผมติดนิสัยต้องกินข้าวเช้ามาจากตอนที่อยู่บ้าน ถ้าวันไหนไม่ได้กินจะรู้สึกหิวเหมือนไปใช้แรงงานมาสักครึ่งวัน
‘พี่ครับแถวนี้มีพวกน้ำเต้าหู้หรือเปล่า’ หลังจากพิมพ์ข้อความส่งไปถามเพื่อนรักทั้งสองอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบ พวกเราก็เดินจนพ้นเขตรั้วของหอพักแล้ว ผมเลยตัดสินใจเอาเองว่าจะซื้อไปฝากพวกมัน

“มี เดินไปอีกนิดก็เจอแล้ว จะซื้อไปฝากเพื่อนเหรอ?” ผมพยักหน้าตอบ พลางสังเกตระยะห่างระหว่างเราขึ้นมา ก็พบว่ามันลดน้อยลงไปมาก เพราะปกติเราจะไม่เดินใกล้กันจนหลังฝ่ามือสัมผัสกันได้แบบนี้
“ไว้ค่อยซื้อตอนขากลับแล้วกัน จะได้ไม่เย็นก่อน” พี่เนย์หันมาตกลงกับผมเรื่องน้ำเต้าหู้อีกรอบ ผมจึงพยักหน้าแสดงความคิดเห็นกลับไป จากนั้นคนที่ได้คำตอบเขาก็ยกยิ้มมาให้ ผมก็เลยยิ้มตอบ ก่อนจะเสสายตามองหลังมือของเราที่ยังคงสัมผัสกันเบาๆ

“เรากินโจ๊กไม่ใส่อะไรบ้าง” พี่เขาถามเมื่อมองเห็นร้านดังกล่าวอยู่ไม่ไกล
‘เครื่องในครับ’

“ของอร่อยเลยนะนั่น ไม่กินได้ไงวะ” อีกฝ่ายประท้วงราวกับกลัวว่าผมจะเสียผลประโยชน์ที่ไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสชาติเครื่องในหมู แต่ขอเถอะเรื่องนี้ ต่อให้ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด ผมก็ไม่เชื่อหรอก คนมันไม่ชอบ ยังไงก็ไม่ชอบนั่นแหละ

“ยิ่งผัดกะเพราเครื่องในนะมึงเอ้ย อร่อยสุดๆ พูดแล้วซี๊ดปาก มื้อกลางวันกูได้เมนูละ” อีกฝ่ายพูดต้อยๆ แล้วก็ยกยิ้มเรี่ยราดไปทั่ว แต่ผมก็รู้สึกชอบมองรอยยิ้มแบบนี้ของอีกฝ่ายอยู่ดี
“มึงไปตักน้ำ จองโต๊ะ เดี๋ยวกูสั่งให้” เมื่อเดินมาจนถึงปากประตูของร้านขายโจ๊กที่เป็นตึกแถวไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวหอมากนัก พี่เนย์ก็หันมาสั่ง ก่อนจะเดินไปหาป้าคนขายที่กำลังวุ่นอยู่กับหม้อใบใหญ่

เมื่อสั่งเสร็จรุ่นพี่ต่างสาขาก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม ซึ่งสามารถมองเห็นหน้าค่าตากันได้อย่างชัดเจน จนผมนึกอยากจะย้ายตัวเองไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆอีกฝ่าย หรือไม่ก็ไปนั่งตรงมุมโต๊ะอีกข้างนึงก็ได้

“มึงกินเลือดหมูมั้ย?” พี่เขาถามขณะที่สายตาได้ย้ายมาให้ความสนใจกับโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้ว ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ ที่ไม่เอาแต่นั่งจ้องกัน
‘ทำไมครับ?’ ผมย้อนถามกลับไปในหน้าแชท เพราะอยากจะทราบเจตนาของผู้ชายตรงหน้าว่าจะมาไม้ไหนต่อ

“ไว้คราวหน้าจะได้ไปกินด้วยกันอีก” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไร เหมือนการทานข้าวเช้าด้วยกันระหว่างเรามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่หลังจากคืนเมื่อวาน ทุกการกระทำ และทุกคำพูดของอีกฝ่าย ผมกลับไม่อาจตีความได้ว่าไม่มีนัยยะสำคัญ ก็ในเมื่อผมไม่ได้อยู่ที่นี่ และแน่นอนว่าเรื่องที่จะมาค้างคืนเพราะเหตุสุดวิสัยมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ

‘จะชวนผมกินข้าวเช้าด้วยหรือไงครับ?’
‘กูไม่ได้จะชวนกินข้าว เราก็กินด้วยกันเป็นปกติอยู่แล้วนี่ แต่ที่กูพูด กูจะชวนเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนรสชาติอาหาร’

‘อ้อ ครับ’
‘ครับคือไรมึง ตอบอย่ากำกวม’

‘ก็ถ้าวันไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ก็นัดมาแล้วกันครับ ที่สำคัญต้องมารับผมนะ ผมไม่ลงทุนเดินไปถึงหน้ามอ เพื่อกินข้าวข้างนอกแน่’
‘รู้แล้วน่า ว่าแต่มึงยังไม่ตอบกูเลยว่ากินเลือดหมูมั้ย’

‘ไม่กินครับ กินแต่หมู หรือไม่ก็ตือฮวน’
‘กินแต่หมู มันจะเรียกว่าต้มเลือดหมูได้ยังไงวะ’

เราต่างถกเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระอยู่ครู่เดียว โจ๊กที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมจึงหยิบช้อนส่งให้กับคนตัวโตที่กำลังถือกระดาษทิชชู่ไว้รอเพื่อเช็ดทำความสะอาด จากนั้นผมจึงหยิบช้อนให้ตัวเองบ้าง

“มานี่เช็ดให้” วันนี้ท่าทางพี่เนย์จะอารมณ์ดีมากจนถึงขนาดเช็ดช้อนให้ผมด้วย เพราะปกติเวลามากินข้าวด้วยกัน เราต่างก็บริการตัวเอง ซึ่งผมก็รู้สึกโอเคกับทั้งสองแบบ เพราะคงไม่มีใครไม่ชอบการถูกบริการอย่างเอาใจใส่ และคงไม่มีใครที่ทำอะไรไม่เป็นจนถึงขั้นต้องคอยพึ่งพาการบริการจากอีกฝ่ายอยู่อย่างเดียว ในเมื่อมือและแขนของผมยังปกติดี ผมก็โอเคที่จะบริการตัวเองด้วย และถูกดูแลด้วยในบางครั้งคราว

‘ทำไมกินโจ๊กต้องใส่น้ำส้มกับพริกด้วยครับ ผมว่าไม่เห็นจะเข้ากันเลย’
‘เอ้า มันเป็นเรื่องของรสนิยมการกินครับคุณรัน’ อีกฝ่ายวางมือจากการคนโจ๊กให้เข้ากัน เพื่อมาถกเถียงกับผมต่อ

‘ไม่เห็นมีตับเลยพี่’ หลังจากปรุงรสด้วยซอสพอให้มีรสชาติแล้ว ผมก็คนโจ๊กให้เข้ากันพร้อมกับควานหาตับยกใหญ่
“ตับมันก็เครื่องในมั้ยมึง” พี่เขาตอบกลับมา จากนั้นก็ตักตับจากในจานของตัวเองมาให้

‘นั่นแหละ ผมกิน’ ผมพิมพ์ตอบเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นก็ตักตับขึ้นมากิน แต่ก็ไม่ค่อยจะปลื้มเท่าไหร่นัก เพราะว่ารสชาติความเปรี้ยวและเผ็ดมันฟุ้งกระจายไปทั่วปาก ซึ่งผมเกลียดรสชาติความเปรี้ยวในก๋วยเตี๋ยวและโจ๊กมาก

ก่อนกลับหอเราแวะซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก จากนั้นรุ่นพี่สายเปย์ก็เดินนำผมไปที่รถ และขับออกมาส่งผมที่หอใน

“เย็นนี้ไปเดินตลาดนัดกัน” ก่อนลงจากรถ พี่อาคเนย์ก็รั้งผมไว้ด้วยคำเชิญชวน
“…” ผมพยักหน้าตกลง พลางชี้ไปที่นาฬิกาเพื่อสอบถามว่าจะมาเจอกันตอนกี่โมง

“หกโมง” อีกฝ่ายเหลือบมองนาฬิกาในรถ จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบออกมา ผมเลยพยักหน้าตอบตกลงและปิดประตูรถ แล้วรีบเดินเข้าไปยังหอพัก เพราะเกรงว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันจะกินกันไม่ทัน

ผมก้าวท้าวขึ้นบันไดทีละขั้น แต่ดูเหมือนจะไม่ทันใจเท่าไหร่ เลยตัดสินใจก้าวทีละสองขั้น เพราะห้องของผมอยู่ชั้นที่สามทางฝั่งซ้าย ซึ่งเป็นฝั่งของห้องพักที่มีเครื่องปรับอากาศให้บริการ
เมื่อถึงที่หมาย ผมก็หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าสะพาย พอไขเข้าไปเจอเพื่อนทั้งสองคนกำลังแต่งตัวอยู่ข้างใน ผมก็ชูถุงน้ำเต้าหู้ขึ้น จากนั้นก็เอาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นที่คาดว่าพวกมันน่าจะแอบไปซื้อกันเมื่อวาน ในเมื่อที่ผ่านมาผมไม่เคยเห็นโต๊ะตัวนี้มาก่อน

“พี่เนย์เลี้ยง ?” ไอ้คินถาม พลางหรี่ตามองผม
“…” ผมพยักหน้าส่งๆ จากนั้นก็เดินถอดกระเป๋าเอาไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ และเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเอาชุดนักศึกษาที่รีดเตรียมเอาไว้แล้ว แต่เห็นทีว่าวันนี้กลับมาคงต้องรีบรีดตุนเอาไว้อีก เพราะนี่ก็เหลือเสื้อที่เคยรีดไว้ตัวสุดท้ายแล้ว และคาดว่าวันหยุดที่ใกล้จะถึงนี้ ผมคงต้องรีบซักผ้าด้วย

“มึงไม่คิดจะอัพเดตอะไรเลย ?” ไอ้หมอกที่กำลังเดินไปหยิบแก้วน้ำที่โต๊ะเขียนหนังสือของตัวเองถามขึ้น
“…” ผมพยักหน้า จากนั้นก็จัดการถอดเสื้อตัวเมื่อวานออก และใส่ชุดนักศึกษาตัวใหม่แทน เพราะว่าผมอาบน้ำมาจากห้องของพี่เนย์เรียบร้อยแล้ว
“สรุปยังไง ทำไมจู่ๆ ถึงได้ไปค้างห้องพี่เขา ?” ไอ้หมอกยังคงถามไม่เลิก แต่ผมก็เงียบท่าเดียว บอกตามตรง ผมไม่เคยรู้สึกชอบการพูดไม่ได้ของตัวเองมากขนาดนี้มาก่อนเลย
“ไม่เล่าก็ไม่ได้อยากรู้เว้ย” ไอ้หมอกมันว่าอย่างนั้น พลางยักไหล่ ซึ่งผมเองก็ยินดีด้วยที่มันคิดแบบนั้น

เมื่อหมดเรื่องพูดคุย ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ไอ้เพื่อนสองคนรวมหัวกันนั่งกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่ผมซื้อมาฝาก ส่วนผมก็กำลังหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันช่วงล่างเพื่อผลัดเปลี่ยนกางเกงสแลคสีดำตัวใหม่ ผมใช้เวลาในการแต่งตัวรวดเร็วพอๆกับที่สองเพื่อนซี้มันกินได้พอดิบพอดี พวกเราเลยรีบออกจากห้องกันอย่างเร่งด่วน เพราะเหลือเวลาอีกไม่นานนักก็จะถึงเวลาเรียนแล้ว แถมวันนี้เรายังมีเรียนที่ตึกไอทีอีก เพราะว่าวิชาที่เราลงเรียนเอาไว้มันเกี่ยวข้องกับพวกคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับคนหูหนวก

‘เออ พวกมึง’
‘เย็นนี้พี่เขาชวนกูไปตลาดนัด พวกมึงไปด้วยกันดิ’ เมื่อฟังอาจารย์สอนไปได้สักพัก อาจารย์ก็สั่งงานให้เราทำส่งท้ายคาบตามที่ได้สอนไปเมื่อต้นชั่วโมง ผมเลยถือโอกาสนี้ชักชวนให้เพื่อนทั้งสองไปด้วยกัน
   
‘ชวนพวกกูทำเชี่ยอะไรครับ ไอ้สัส มึงไม่มีความรู้ในเรื่องความรักเลยเหรอ?’ ไอ้คินมันย้อนถาม
‘ก็ไม่นะ กูไม่เคยมีแฟน ขนาดเพื่อนกูยังเพิ่งมามีเอาตอนนี้เลย’

‘งั้นกูถามหน่อย พี่เขาได้ออกปากให้มึงชวนพวกกู หรือไม่ก็พูดทำนองว่าเพื่อนเขาเองก็ไปด้วยมั้ย?’
‘ก็ไม่’

‘มึงครับ เขาชวนมึงเพราะอยากไปกับมึงแค่สองคน’ ผมก็รู้อยู่หรอกว่าพี่เขาชวนเพราะอยากจะไปกับผมแค่สองคน แต่ที่ผมชวนพวกมัน ก็เพราะผมไม่อยากให้พวกมันคิดว่าผมทิ้งมันเพราะเห็นคนอื่นดีกว่า
ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น

‘ไปเหอะน่า มึงชอบพี่เขานี่หว่า พวกกูจะไปเป็นก้างทำไม’ ไอ้หมอกมันรบเร้า
   
หลังเลิกเรียน เราตัดสินใจไปทานข้าวที่โรงอาหารกลาง เพราะช่วงบ่ายยังมีเรียนต่ออีกตัว ระหว่างทานข้าวพวกรุ่นพี่ก็พากันส่งข่าวผ่านทางสายรหัสของตัวเอง ทำนองว่าคณะเรากับคณะเทคโนโลยีสารสนเทศมีโปรเจคนึงที่ทำร่วมกันอยู่ เป็นโปรเจคเขียนแอปพลิเคชันที่เอื้อประโยชน์ต่อบุคคลที่มีข้อบกพร่อง คร่าวๆว่ารายละเอียดของแอปตัวนี้จะเป็นแหล่งที่ให้พวกเราช่วยกันเข้าไปอ่านหนังสือให้กับคนตาบอดฟัง หรือไม่ก็อัดวีดิโอที่เราถอดความจากคำพูดเป็นภาษามือแล้วอัพโหลดผ่านแอป เพราะรายการโทรทัศน์ไม่ว่าจะเป็นด้านบันเทิง สารคดี หรือด้านอื่นๆ ยังไม่ค่อยอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลกลุ่มนี้
ถ้าหากแอปพลิเคชันนี้เสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ พวกอาจารย์เขาอยากจะขอแรงพวกเราให้ความร่วมมือกับโครงการนี้ จากนั้นถึงค่อยประชาสัมพันธ์ให้กับคณะอื่นๆได้ทราบ แล้วถึงค่อยขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ

‘เมื่อเช้าผมลืมถาม เราจะไปเจอกันที่ไหนดีครับ หน้าหอผม?’ หลังจากนั่งจดตามที่อาจารย์บรรยายมาจนเกือบจะหมดคาบแล้ว ผมก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเรายังไม่ได้นัดสถานที่กันเลย
‘หน้าโรงอาหารกลางแล้วกัน พอดีวันนี้กูมีนัดออกกำลังกายกับเพื่อนช่วงเย็นว่ะ’

‘โอเคครับ’

ปริ้นๆ

ผมยืนเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มาตามนัด แต่พอไม่ได้ใส่ใจจะมองไปตรงถนนเท่านั้นแหละ บุคคลที่ผมกำลังรอคอยก็เลยต้องบีบแตรเรียกอยู่หลายที

“โทษทีว่ะ กูรีบสุดๆแล้ว” ผมหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อสื่อว่าผมไม่ได้ถือสาอะไร
“กูลงทุนขนาดไม่ไปอาบน้ำที่หอไอ้เปรมเลยนะเว้ย เหม็นเหงื่อชิบหาย” พี่เขาบ่น พลางสะบัดเสื้อกีฬาโชว์กล้ามแขนของตัวเองไปมา ส่วนเส้นผมของอีกฝ่ายเองก็เปียกซกไม่ต่างกัน

ผมนั่งเงียบไปตลอดทาง เพราะผมไม่ค่อยอยากชวนอีกฝ่ายคุยนัก เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ แต่พอรถติดไฟแดงเมื่อไหร่ รุ่นพี่ในมาดหนุ่มรักสุขภาพก็ชอบหันมาชวนผมคุยทุกที และเรื่องที่คุยส่วนใหญ่ก็สัพเพเหระมากๆ
ถ้าหากว่าเมื่อวาน พวกเราไม่เคยพูดคุยกัน ว่าเราต่างก็ตกหลุมรักกันเข้าให้แล้ว ผมคงไม่มีทางคิดหรอกว่าพี่เขาจะชอบผม และก็คงไม่คิดที่จะเปิดปากพูดความรู้สึกของตัวเองด้วย

“ฟังเพลงมั้ยมึง?”
“…” ผมส่ายหน้าตอบ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันมามอง

“อืม กูกลัวมึงจะเบื่อเฉยๆ”
“…” ผมอมยิ้มขณะมองออกไปตรงนอกหน้าต่าง

ผมอยากบอกอีกฝ่ายว่า ผมไม่เบื่อหรอกเพราะผมชินกับการนั่งเงียบๆแบบนี้แล้ว แต่อีกฝ่ายน่าจะเบื่อ เพราะความไม่คุ้นชินกับสถานการณ์อย่างนี้ ในเมื่อรอบๆตัวของพี่เนย์สามารถพูดคุยโต้ตอบกับพี่เขาได้ แม้กระทั่งพี่บอสก็ด้วย
   
“เมื่อคืนกว่ากูจะหลับก็เกือบเช้า” ผมหันไปมองอีกฝ่ายทันทีด้วยเพราะคิดไม่ถึง ในเมื่อตอนเช้ารุ่นพี่ข้างๆยังทำตัวปกติสุดๆใส่ผมอยู่เลย
“…” ตอนนี้ใจผมเต้นแรงมากจริงๆ แต่ก็ต้องทำตัวให้ปกติเข้าไว้

“กูไม่เคยชอบฝน เพราะฝนมักจะมาคู่กับฟ้าแลบและฟ้าร้อง แต่เมื่อวานเป็นวันแรกที่กูชอบ และนึกอยากให้มันตกนานๆ กูจะได้อยู่กับมึงได้นานกว่าทุกครั้ง” ผมขยับตัวและหันหน้าเข้าหากระจกจนคอเกร็งไปหมด ส่วนริมฝีปากก็ขบเม้มกันไว้แน่น
แต่พอรถหยุดการเคลื่อนตัว ผมก็หันกลับไปมองกระจกด้านหน้า หางตาจึงเหลือบไปเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองผมอยู่ และเมื่อผมหันไปมองตอบ พี่เขาก็ส่งยิ้มกลับมาให้ ซึ่งเป็นยิ้มที่เห็นทีไร ผมก็ต้องยอมแพ้ตลอด
และสุดท้ายผมก็อดยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้
   
ตลาดนัดที่คนชำนาญพื้นที่พาผมมานั้น อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ มันเป็นตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เรียกได้ว่าใครๆก็ต้องมาเช็คอินที่นี่ เพราะตลาดแห่งนี้กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของจังหวัดที่ผมเรียนอยู่ คาดว่าที่นี่นอกจากจะเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมนักศึกษาจากมหาลัยผมด้วย

“กูไม่ถ่ายนะรูปน่ะ แล้วก็ไม่เช็คอินด้วย” ระหว่างที่เรากำลังเดินผ่านจุดที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
‘ผมก็ด้วย ไม่ชอบเหมือนกัน’ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่งและพิมพ์ข้อความก่อนส่งให้คนข้างๆอ่าน พร้อมกับสองขาของเราที่ค่อยๆก้าวเดินผ่านรถที่คล้ายกับรถทหารขนาดใหญ่จำนวนสองคันที่จอดเอาไว้เพื่อเป็นฐานให้กับเครื่องบินที่อยู่ด้านบน ซึ่งเป็นจุดเด่นตามชื่อของตลาดแห่งนี้
   
“กิน” เมื่อเดินเข้ามาในตลาด ก็รู้สึกได้ว่าของกินละลานตามาก ซึ่งคงเรียกน้ำย่อยของคนข้างๆได้ดี เจ้าตัวถึงได้แวะซื้อหมึกย่างมากินอย่างไม่รีรอ และก็ยังไม่ลืมเอื้อเฟื้อมาถึงผมด้วย
“แตงโมปั่นหนึ่งครับ” คนรักสุขภาพพอเจอของกินละลานตาก็ถึงกับสติแตก จับจ่ายใช้สอยอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรทั้งนั้น เราเดินกินกันไปเรื่อยๆ โดยซื้อมาแบ่งกันกินอย่างละนิดละหน่อย

หลังจากจ่ายเงินซื้อน้ำแตงโมปั่นของโปรดจนสบายใจแล้ว คนชำนาญพื้นที่ก็ทั้งตักทั้งดูดอย่างเอร็ดอร่อย ที่แอบเก๋ก็คือภาชนะใส่น้ำแตงโมของร้านนี้ก็คือแตงโมที่คว้านไส้ออกแล้วนี่แหละ แต่ใช้ลูกเล็กนะ ถ้าใช้ลูกใหญ่ก็คงจะน่าสงสารคนซื้อไม่น้อย
‘ผมเคยอ่านเจอมา เขาบอกว่าแตงโมเป็นผลไม้ที่ฉีดยาฆ่าแมลงเยอะที่สุด เคยมีคนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะมันแล้วด้วย’ ผมพิมพ์ข้อความให้คนอารมณ์ดีอ่าน เมื่อเขายื่นน้ำแตงโมปั่นมาให้กินบ้าง

“แล้วไง หรือจะไม่กิน?” อีกฝ่ายย้อนถามหน้าตาเฉย เหมือนรู้ว่ามีอันตรายแต่เห็นทีคงจะไม่สน
“…” ผมพยักหน้าตอบ อีกฝ่ายเลยเอื้อมมือมาขยี้หัว

“มึงนี่นะ” ผมยิ้มขำ ก่อนจะเอื้อมมือไปประคองผลแตงโมและดูดสักอึกสองอึกพอให้ชื่นใจ
“สมัยนี้กูว่ากินอะไรก็อันตรายทั้งนั้นมั้ย กล้วยทอดเอย ลูกชิ้นทอดเอย”

“ไอ้ใบ้” จังหวะการก้าวเดินของผมสะดุดลง เมื่อจู่ๆประสาทการรับรู้ก็ได้ยินใครสักคนใช้คำต้องห้าม ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเรียกใคร เพราะผมมั่นใจว่าที่นี่ไม่น่าจะมีคนที่ผมรู้จักหรอก แต่พอกวาดสายตามองจนทั่วแล้ว ผมก็พบกับเพื่อนสมัยมอต้นที่ชอบล้อผม ซึ่งก็คือไอ้หัวโจกนั่น
สีหน้ายิ้มแย้มของผมหงิกงอทันที เพราะผมหมายหัวมันไว้แล้วว่าไอ้นี่แหละคือศัตรูของผม

“ไงวะมึง ช่วงนี้ดังใหญ่เลยนะ” อีกฝ่ายยกยิ้มพูดคุยราวกับเราไม่เคยแลกหมัดกันมาก่อนเพราะคำๆนั้น
“เพื่อนมึงเหรอ?” ผมหันไปมองคนถาม จึงเห็นว่าคนข้างๆ กำลังตีหน้าบึ้งเต็มที่

‘เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน’
“กูเรียนอยู่นิเทศ เห็นมึงจากเพจสาขามึงน่ะ ไม่นึกว่าจะย้ายมาเรียนที่เดียวกัน” ผมยิ้มแบบขอไปที เพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร และกำลังพยายามข่มใจตัวเองไม่ให้ระเบิดเพราะท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของมันด้วย

“กูขอตัวเพื่อนมึงก่อนนะ พอดีรีบน่ะ มีนัดต่อ” พี่อาคเนย์ออกหน้าให้ จึงทำให้ไอ้มอสมันยอมล่าถอยไป แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่วายจะเรียกผมว่า ‘ไอ้ใบ้’ อยู่ดี
“มึงจะกำมืออีกนานมั้ยรัน ถ้าไม่เลิกพี่จะได้เดินไปต่อยมันให้” พอพี่เนย์พูด ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอกำมือกันจนแน่น

"ถ้าให้กูเดา มึงคงไม่ชอบที่มันเรียกมึงอย่างนั้น เพราะดูจากท่าทางของมันก็แลจะนิสัยโอเคอยู่”
‘โอเคที่ไหนกันครับ มันล้อผมจนผมคิดอคติกับคนอื่นๆไปหมด เพราะพอมันล้อคนนึง อีกหลายๆคนก็เริ่มทำตามๆกัน’ ผมพิมพ์อย่างรวดเร็วลงในห้องแชทของพี่เนย์ จากนั้นก็เดินนำหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์

“เออๆ นิสัยไม่ดีก็ไม่ดี” พี่เขาว่าอย่างนั้น ก็เอาแขนมาวางบนศีรษะผม ก่อนจะโยกไปมาเบาๆ คล้ายกับปลอบใจ
“…” ท่าทางอบอุ่นในแบบฉบับของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ ทำเอาผมอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก
และแล้วในวันนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเพราะผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ อีกครั้ง

ความใกล้ชิดที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมเริ่มจะชินกับการที่พี่เนย์เอามือมาท้าวไหล่ ท้าวหัว มากขึ้นแล้ว เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของเราขยับก้าวขึ้นมาอีกขั้น แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลา แต่ทุกมื้อเช้าเราก็ยังคงเจอกันเหมือนที่ผ่านมา ส่วนตอนเย็น บางทีเราต่างก็มีกิจกรรมเป็นของตัวเอง มีโลกเป็นของตัวเอง เพียงแต่ไม่ได้ขลุกอยู่แต่ในโลกของตัวเองกันอย่างเดียว เพราะเรามักจะแบ่งเวลาไว้ใช้ร่วมกันบ้าง

“ถ้าเบื่อมึงก็นั่งเล่นโทรศัพท์หรือจะทำอะไรก็ได้ตามใจมึง” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนอัฒจรรย์ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสนามบาสที่พวกพี่เขานัดแข่งขัน แต่ไม่ได้แข่งกันอย่างจริงจังนัก เพราะการแข่งนัดนี้จริงๆก็เหมือนกับการนัดเจอเพื่อนเก่าเท่านั้น พี่เขาบอกว่าวันนี้เด็กสายศิลป์นัดแข่งกับพวกสายวิทย์
“…” ผมพยักหน้า พลางแอบนึกค้านในใจว่า แล้วอีกฝ่ายจะให้ผมมาทำไม หรือแค่มาให้เห็นหน้าเท่านั้นก็พอแล้ว พอคิดได้แบบนี้ ผมก็นึกย้อนไปถึงตอนที่พี่เขาบอกว่าชอบให้ฝนตกเป็นครั้งแรกเพราะอยากจะอยู่กับผมนานๆ
วันนี้ความนัยที่ซ่อนอยู่ในการกระทำของคนๆนั้น ก็คงไม่ต่างไปจากเหตุผลเดิมๆ

ผมนั่งดูอีกฝ่ายเล่นบาสได้ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มเบื่อ เพราะผมไม่ค่อยถูกโฉลกกับกีฬาอื่นๆนอกจากแบดมินตันมากนัก ดูก็ไม่ค่อยจะเป็น มองพี่เขาวิ่งไปวิ่งมาในสนามแค่ไม่กี่วินาที ผมก็พอใจแล้ว เลยคิดว่าจะนั่งทบทวนภาษามือไปพลางๆด้วย เพราะกว่าพี่เขาจะแข่งเสร็จก็น่าจะอีกนาน เพราะนักกีฬาในสนามเล่นแข่งไปก็คุยกันไปแบบนี้ ทำให้ลืมผลคะแนน ก็ต้องเริ่มนับใหม่ไปเรื่อยๆ ขนาดผมนั่งดูเป็นพักๆยังเหนื่อยใจแทนเลยน่ะ
เพราะการแข่งขันครั้งนี้แลจะป่วงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

ผมเลือกทบทวนบทเรียนในหมวดของ ‘โรค’ เป็นหมวดแรก เพราะถึงจะเรียนผ่านไปแล้ว แต่หมวดนี้เป็นหมวดที่ผมจำได้ห่วยที่สุด โรคแรกที่ผมเลือกคือ ‘อาการปวดฟัน’ เพราะภาษามือของคำนี้ง่ายพอที่ผมจะจดจำใส่สมองน้อยๆ ของตัวเอง โดยผมใช้นิ้วชี้ข้างขวาชี้ไปที่ฟัน แล้วก็ยกฝ่ามือข้างนั้นขึ้นมาขยุ้มอยู่ตรงข้างแก้มสักทีสองที ขณะที่ใบหน้าก็ต้องแสดงออกถึงอาการปวดด้วย
คำที่สองที่ผมเลือกคือ ‘เป็นลม’ ซึ่งผมต้องเปิดคลิปดูถึงสามสี่รอบ เพราะภาษามือของคำนี้ยากมากจริงๆ ขั้นแรกผมต้องยกมือขวาขึ้นและใช้ปลายนิ้วโป้งแตะลงตรงหางคิ้ว พร้อมกับทำหน้าเหมือนคนกำลังจะเป็นลมด้วย จากนั้นก็เอียงคอไปทางซ้ายและหลับตาลงพร้อมกับเลื่อนปลายนิ้วทั้งสี่มาบรรจบกับนิ้วโป้ง ก่อนจะแบมือข้างซ้าย และข้างขวาทำมือเหมือนเขาควาย แต่ปลายนิ้วก้อยข้างนั้นจะต้องแตะลงบนฝ่ามือที่แบไว้ จากนั้นก็พลิกมือข้างที่ทำเหมือนเขาควายให้วางราบไปกับฝ่ามือ ขณะที่หัวผมก็ต้องเอียงไปทางซ้ายด้วย
   
ผมลองทำคำนี้อยู่หลายครั้ง จนกว่าจะคล่อง แล้วก็เลือกทบทวนคำว่า ‘เป็นหวัด’ ผมเปิดคลิปดูครั้งเดียวก็จำได้ จึงเริ่มยกมือข้างขวาขึ้น โดยใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแตะตรงปลายจมูก จากนั้นก็พองแก้มนิดนึง ก่อนจะขยับปลายนิ้วทั้งสองขึ้นลง
คำที่หินไม่ต่างจากอาการเป็นลม ก็คือ ‘การแพ้ยา’ คำนี้ผมก็เปิดดูคลิปอยู่หลายรอบ จากนั้นก็เริ่มทำไปพร้อมกับอาจารย์ด้วย โดยแบมือข้างซ้ายขึ้น ส่วนมือข้างขวาให้ทำเหมือนท่าทางที่คนทั่วไปชอบใช้บอกไอเลิฟยู แต่ปลายนิ้วชี้จะต้องแตะที่กลางมือข้างซ้าย จากนั้นก็เลื่อนมือออกมาตั้งขนานกัน โดยที่ปลายนิ้วชี้จะต้องหุบลงไป กลายเป็นรูปเหมือนเขาควาย จากนั้นมือทั้งสองก็กำไว้และเลื่อนเข้ามาใกล้กับบริเวณใบหน้าและแบออกเหมือนอะไรสักอย่างระเบิดกระจายไปแล้ว ส่วนปากก็ขยับเป็นคำว่า ‘ปั้ง!’ แถมสีหน้าก็ยังต้องเน้นด้วย จนผมรู้สึกอยากจะกัดลิ้นตายซะให้ได้ เมื่อรายละเอียดมันเยอะมาก
ผมจึงเกิดอาการ จำคำนั้นได้ คำนี้ก็ลืม

ปวดประสาทชะมัด ผมว่าผมต้องไม่รอดแน่ๆ ขนาดผมทบทวนบ่อยอยู่นะ แล้วก็ทบทวนตั้งแต่หมวดแรกเลยด้วย แต่ความยากก็ยังไม่บรรเทาลง ผมขยี้หัวตัวเองอย่างโมโห เพราะไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จากนั้นก็เอนตัวลงกับพนักพิงด้านหลังและหลับตาลงเพื่อสงบจิตสงบใจ เพราะเดี๋ยวอาทิตย์หน้า ผมก็ต้องสอบเก็บคะแนนแล้วด้วย

“เครียดเหรอวะ” พี่เขามายืนเช็ดหน้าเช็ดตาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย ถ้าหากไม่ทักขึ้นมา ผมก็คงจมลงอยู่กับความไม่ได้ดั่งใจของตัวเองนี่แหละ
“…” ผมพยักหน้า

“สู้ๆ” อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็หยิบขวดน้ำดื่มที่วางอยู่ข้างๆผมไปกระดก และก่อนผละจากกันเพื่อลงสนามแข่ง ฝ่ามือใหญ่ๆ ก็ขยี้หัวของผมจนเส้นผมฟุ้งกระจายราวกับให้กำลังใจทางกาย และไม่วายจะให้กำลังใจทางคำพูดด้วย
ผมยกมือขึ้นจัดแต่งทรงผมของตัวเอง พลางส่ายหัว แล้วก็เริ่มตั้งสมาธิเพื่อทบทวนบทเรียนอีกครั้ง ส่วนพี่เนย์ก็กลับลงไปโลดแล่นอยู่บนคอร์ดบาสอีกหน

“แฮ่กๆ เมื่อยชิบ” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว การแข่งขันถึงได้จบลง จนคนในสนามพากันแยกย้ายกลับหอ ส่วนคนที่ชักชวนผมมาเชียร์ก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆกัน ก่อนจะยืดแข้งยืดขาเพื่อเอายามานวดคลายกล้ามเนื้อจนกลิ่นฟุ้งเข้าจมูก
“มึงทำกูเสียสมาธิ แพ้เลยเนี่ย” อีกฝ่ายกล่าวโทษ เมื่อเห็นผมเลิกสนใจกิจกรรมของตัวเองแล้ว

‘แบบนี้เขาเรียกว่าแพ้แล้วพาลหรือเปล่าครับ’ ผมย้อน
“ไม่ได้พาล กูพูดความจริง”

‘ยังไงครับ’ ผมพิมพ์แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้อีกฝ่ายอ่านอีกครั้ง
“สายตากูแม่ง มองแต่มึงเลยเนี่ย”

----------------------------------------------
[edit 28/11/2017 คำผิด กระเพรา > กะเพรา / 27/01/2018 แอพพลิเคชัน > แอปพลิเคชัน / แอพ > แอป / ฟ้าแล่บ > ฟ้าแลบ]
สรุปสเปเปลี่ยนเป็นตอน 11 นะคะ มีให้อ่านกันเรื่อยๆต่อไป
สำหรับตอนนี้จะยาวหน่อย แต่ตอนต่อไปก็น่าจะสั้นเหมือนเดิม 555
เราตัดตามประโยคจบที่อยากให้ปิดตอนค่ะ มันเลยสั้นๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 18:56:16 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
«ตอบ #42 เมื่อ29-10-2017 20:40:19 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
«ตอบ #43 เมื่อ29-10-2017 20:56:44 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
«ตอบ #44 เมื่อ29-10-2017 21:43:54 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
«ตอบ #45 เมื่อ30-10-2017 07:55:38 »

ชอบมากเลย น้องรันน่ารักมาก

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 11 ♥ หน้า 2 (up 29/10/2017)
«ตอบ #46 เมื่อ30-10-2017 09:14:47 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
«ตอบ #47 เมื่อ30-10-2017 17:43:44 »

♥ Fall in you ♥
ตอน 12


สอบเก็บคะแนนวันนี้ ผมยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร คาบหน้าผมจะต้องมาสอบแก้มืออีกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อนๆที่มีปัญหาแบบเดียวกันจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่เคยมีพื้นฐานของภาษามือมาก่อน ตอนนี้ผมเลยกังวลมาก เพราะถ้าหากผมเกิดซวยติดเอฟวิชาภาษามือขึ้นมา ผมก็ต้องเสียเวลาเรียนไปอีกหนึ่งปี เพื่อรอให้วิชานี้เปิดให้ลงเรียนใหม่อีกครั้ง ถึงจะเรียนตัวต่อๆไปของวิชาภาษามือได้ 

‘หรือกูจะชิวเกินไปวะ เลยสอบไม่ผ่าน’ ผมพิมพ์บ่นถึงการสอบเก็บคะแนนที่มีเพียงครั้งเดียวลงในกรุ๊ปแชท ยิ่งการสอบในครั้งนี้เป็นการสอบนอกตารางมิดเทอม ผมก็ยิ่งเครียดหนักขึ้น
‘กูว่าเราก็ทำเต็มที่แล้วนะ ทบทวนบทเรียนก็บ่อย’ ไอ้คินค้านอย่างมีเหตุผล เพราะมันเองก็สอบไม่ผ่านเหมือนกัน

“งั้นเอางี้ ช่วงก่อนสอบแก้ตัวครั้งสุดท้าย พวกมึงก็ไปหามุมสงบติวให้ตัวเองดีมั้ย ในเมื่อติวเป็นกลุ่มแล้วไปไม่รอดแบบนี้น่ะ” ไอ้หมอกออกความเห็นอย่างใส่ใจเราสองคนเต็มที่ เพราะทั้งกลุ่มมีมันคนเดียวที่หายห่วงกับวิชานี้ ส่วนวิชาอื่นผมกับไอ้คินก็ผลัดกันช่วยเคี่ยวเข็ญอยู่บ่อยๆ

เมื่อตกลงทางเลือกให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ผมก็แยกตัวกับสองเพื่อนซี้ เพราะตั้งใจจะไปนั่งอ่านทบทวนภาษามือเพื่อเตรียมสอบสำหรับครั้งหน้าตรงริมทะเลสาบใกล้หอประชุม
“แล้วมึงจะไปยังไง ให้พวกกูไปส่งมึงก่อนจะไปคืนจักรยานดีมั้ย?” ไอ้คินถาม เมื่อเราต่างพากันเดินมาที่ลานจอดรถจักรยานตรงหน้าตึกเรียน ซึ่งคราคร่ำไปด้วยเหล่านักศึกษาที่เลิกเรียนในช่วงเวลาเดียวกัน

‘พี่เนย์ให้กูรอเจอก่อนว่ะ เดี๋ยวกูคงวานให้พี่แกไปส่งอีกทีน่ะ’ ทันทีที่ไอ้คินกับไอ้หมอกมันอ่านข้อความของผมจบ พวกมันก็ถึงกับหยุดการเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพียง
“ตกลงยังไงวะ เรื่องมึงกับพี่เขาน่ะ คบกันยัง?” ไอ้หมอกถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นได้ยินมากนัก

‘ก็ทำนองนั้นมั้ง’
“ตอบแบบขอไปทีมากไอ้สัส แถมยังต้องให้กูตีความจากไทยเป็นไทยอีก แต่เอาจริงคบไม่คบก็เหมือนคบอยู่ดี” ไอ้คินมันว่าอย่างนั้น จนผมนึกสงสัย

‘ทำไมวะ ?’
“มึงครับ งานจบแต่คนไม่จบ มีพาไปกินข้าว พาไปเดินตลาดนัด แชทหากันก็บ่อย ถ้าไม่เรียกว่าใจตรงกันจะเรียกว่าอะไร แถมวันก่อนมึงก็ไปนั่งเชียร์พี่เขาแข่งบาสถึงขอบสนาม เพราะอีกฝ่ายขอร้องทั้งๆที่มึงกำลังนั่งติวภาษามือกับพวกกู”

“เป็นกูนะ ถ้าแสดงออกจนถึงขนาดนี้ กูไม่ปล่อยไว้นานหรอก” ไอ้คินมันแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็ตรงกับการกระทำของรุ่นพี่ต่างสาขาที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาอันน่าสนใจ
“กูก็ด้วย” พอไอ้หมอกมันเสริมขึ้นมาอีกคน ใบหน้าของผมก็เริ่มร้อนฉ่ามากกว่าเดิมแล้ว

ติ้ง!

‘กูรออยู่หน้าตึกแล้ว มึงอยู่ไหน?’ ผมแอบถอนหายใจ พลางก้มหน้าพิมพ์ข้อความเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรออยู่ที่เดิม เพราะผมจะเดินไปหาพี่เขาเอง
ขืนปล่อยให้เดินมาตรงนี้ล่ะก็ ผมคงตกเป็นเป้าหมายในการหยอกล้อของไอ้สองเพื่อนซี้แน่ๆ

‘พี่เขามารอแล้วว่ะ กูไปก่อนนะ’
“เออๆ แล้วเจอกันที่ห้องเว้ย” ไอ้หมอกไอ้คินมันพยักหน้ารับรู้ พลางอมยิ้มกรุ้มกริ่มเพื่อล้อเลียน จนผมหน้าแดงเห่อไปหมดแล้ว

‘ไม่ว่าเรื่องของกูกับพี่เขาจะคืบหน้าไปมากแค่ไหน แต่พวกมึงสองคนก็ยังเป็นเพื่อนคนสำคัญของกูนะเว้ย’ผมก้มหน้าก้มตาพิมพ์ ขณะที่กำลังเดินไปหาคนสำคัญอีกคน ที่ช่วงนี้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมมากมายเหลือเกิน
‘เออ กูรู้น่า’ ไอ้คินตอบกลับมาเป็นคนแรก

‘โห วลีเด็ดก็มาว่ะ กูต้องเขินมั้ยวะ?’ ไอ้หมอกก็ยังคงเป็นไอ้หมอก ที่สุดท้ายก็ทำเอาอารมณ์ซึ้งระหว่างกันหดหายไปหมด แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ดี

“ยิ้มอะไร ?” ผมหยุดการก้าวเดินลง เมื่อได้ยินเสียงของคนที่เป็นเจ้าของการนัดหมายในวันนี้
“…” ผมไม่ตอบอะไร แต่กลับยื่นหน้าต่างแชทระหว่างผมกับเพื่อนไปให้ใครอีกคนอ่าน

“แล้วกูล่ะ ไม่สำคัญสำหรับมึงเหรอ?” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จนผมใจแกว่ง
‘สำคัญคนละอย่างกันครับ’

“ยังไง?”
‘ไอ้หมอก ไอ้คิน มันก็สำคัญในแง่ของเพื่อน แต่พี่.. สำคัญในแง่ของ..’ ผมพิมพ์ข้อความแชทอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกดส่งไปหาอีกฝ่าย เพื่อให้ตัวเองได้มีเวลาหายใจสำหรับคำสุดท้ายที่ยังไม่ได้พิมพ์ออกไป

“แฟน?”เมื่อพี่เนย์อ่านจบ พี่เขาก็พูดต่อประโยคของผมจนครบถ้วน ก่อนจะยิ้มแบบที่ผมมักจะแพ้ทางอยู่เสมอ ผมจึงยิ้มพลางพยักหน้ายืนยันว่าคำที่พี่เขาพูดออกมาคือคำที่ผมอยากจะเขียน ขณะที่สองของขาของผมก็ค่อยๆก้าวเดินนำหน้าไปยังลานจอดรถของคณะที่เดี๋ยวนี้ผมมักจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“วันนี้กูไม่ได้เอารถมาว่ะ” เมื่ออีกฝ่ายรั้งข้อมือผมไว้พลางอธิบายพร้อมกับเปลี่ยนทิศทาง พาผมเดินออกจากบริเวณคณะด้วยสองขาของตัวเอง
“ที่กูนัดมึงกะทันหัน เพราะกูกำลังซื้อเวลาทำใจ”

‘ยังไงครับ ?’ ผมเดินพิมพ์ข้อความอยู่บนริมฟุตปาธข้างถนน ส่วนอีกคนก็อ่านข้อความของผมขณะที่กำลังเดินไปตามแนวเส้นสีขาวของถนนลาดยาวในมหาลัย
“ไอ้ทีมกับไอ้บอสน่ะสิ แม่งคาดคั้นจะเอาคำตอบจากกูให้ได้ ว่าสรุปเป็นแฟนกับมึงหรือยัง กับเพื่อนคนอื่นๆกูไม่เขินนะเว้ย ถ้ามันถามกูก็ตอบไปตามตรง แต่กับพวกมันสองคน กูเขินว่ะ มึงเก่งกว่ากูอีก” พี่เนย์เก็บโทรศัพท์ของตัวเองลงในกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็อธิบายให้ผมเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย พร้อมกับฝ่ามือหนาที่เอื้อมมือมาจับข้อมือผมไว้ เพื่อให้ตัวเองทรงตัวอยู่บนแนวเส้นของขอบถนนที่จะมุ่งหน้าไปสู่ทะเลสาบเล็กๆในมหาลัย

“วันนี้กูเลยนัดมึงกะทันหัน แล้วก็ไม่ได้เอารถมาจากหอนี่ไง”
‘พี่กลัวพวกพี่เขาจะไปดักรอ แล้วโดนล้อเอาเหรอครับ?’ ผมอมยิ้มขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความนี้ และเมื่อส่งไปให้อีกฝ่ายอ่านผมก็ยังมีรอยยิ้มติดใบหน้า

“เออดิ แม่งล้อที กูเสียศูนย์เลยนะเว้ย”
‘ทำไมครับ พี่ไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลยเหรอ?’

“มีดิ แต่กูไม่เคยจีบใครก่อน มีแต่มึงนี่แหละ ที่กูเริ่มก่อน พวกมันถึงได้จ้องจะล้อกูอยู่นี่”
‘ผมหมายถึงแฟนผู้ชายนะ’ ขณะที่พิมพ์ข้อความ ผมก็ใจเสีย เพราะจู่ๆ ก็ดันคิดว่าที่พี่เขาอาย มันอาจจะเป็นเพราะพี่เขามีแฟนเป็นผู้ชายเป็นคนแรก แถมยังลงทุนจีบเองด้วยหรือเปล่า

“กูไม่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงนะ” คำตอบของพี่เนย์ ทำเอาผมหยุดการก้าวเดินลงจนนิ่งสนิท
“กูพูดจริงๆ มึงสบายใจได้ ที่กูเขินเพราะกูจีบมึงก่อน แถมยังใช้วิธีเสนอหน้าเข้ามายุ่งกับงานสาขาของพวกมึงด้วย มึงจะไม่ให้กูเขินได้ไงวะ ก็กูดันเล่นใหญ่ขนาดนั้น เพราะกูจีบใครไม่เป็น มันเลยไม่เนียน

“มึงจำได้มั้ย ตอนนั้นกูเคยบอกมึงว่ากูเล่นกีตาร์ไม่เป็น จริงๆแล้วกูเล่นเป็น กูเลยอาสาจะช่วยพวกมึงซ้อม แต่ไอ้ทีม ไอ้บอส มันไม่เห็นด้วย มันบอกว่าเปิดเพลงเอาน่าจะง่ายกว่า แต่กูก็ตื้อจนพวกมันจับได้ว่ากูคิดยังไงกับมึง หลังจากซ้อมเสร็จกูถึงได้มีโอกาสไปส่งมึงที่หอทุกวัน” พี่เขาปล่อยมือผม จากนั้นก็พาตัวเองเดินตัวตรงเพื่อไม่ให้เสียการทรงตัวจนหล่นออกจากเส้นขอบถนน
“หลังๆมึงก็เห็นว่ากูแทบไม่ได้โชว์เท่ต่อหน้ามึงเลย เพราะรุ่นพี่มึงน่ะ เอาแต่ใช้ให้กูถ่ายเบื้องหลังให้ วันนั้นกูถึงได้บอกมึงไง ว่าถ้ามึงรู้สึกเขิน เกร็ง ไม่มีสมาธิ แสดงว่ามึงก็รู้สึกแบบเดียวกับกู เพราะกูเองก็ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย รุ่นพี่สาขามึงถึงได้สนุกกับการกลั่นแกล้งกู โดยที่มึงก็ไม่ได้รับรู้อะไรเลย” หัวใจผมเต้นแรงมาก เพราะผมไม่เคยรู้ในมุมนี้ของอีกฝ่ายมาก่อน และตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วด้วยว่าทำไมพี่บอสถึงได้บอกว่า การชมใครสักคนว่าน่ารักของพี่เนย์ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะพี่เนย์เขาชอบผู้ชาย ดังนั้นการคิดชื่นชมผู้ชายด้วยกันมันจึงไม่แปลก 

‘พี่บอกว่าพี่จีบใครไม่เป็น ทำอะไรไม่เนียน แต่ผมกลับคิดว่าเรื่องพวกนี้น่ะ พี่เข้าขั้นเซียนเลยนะ’
“มึงก็พูดเกินไป เซียนเซินอะไร ในหัวกูตอนนั้นคิดแค่ว่าทำอะไรแล้วมึงและตัวกูมีความสุข ก็ให้จีบไปแบบนั้น” อีกฝ่ายเดินขึ้นมาบนฟุตปาธพร้อมกับดีดหน้าผากผมเข้าอย่างจัง จนเสียงดังลั่น

“…” ผมลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ พลางแอบบ่นอีกฝ่ายในใจ แต่สุดท้ายเรื่องขุ่นมัวทั้งหลายก็ต้องจางหายไป เมื่อคนตัวสูงเขาขยับขึ้นมาเดินบนริมฟุตปาธและกอดคอผมพร้อมกับก้าวเดินไปด้วยกัน
ขณะที่คำพูดเมื่อครู่ ก็ยังคงลอยล่องอยู่รอบๆ ตัวผม ไม่หายไปไหน คล้ายกับโสตประสาทมันบันทึกเอาไว้แล้วว่า คำกล่าวนั้นมันน่าประทับใจจนผมอยากจะฟังแล้วฟังอีกไม่มีเบื่อ

“แล้ววันนี้เป็นไง สอบผ่านไหม?”
“…” ผมส่ายหัว พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย

‘คาบหน้าผมต้องรอสอบแก้ตัวครั้งสุดท้ายครับ วันนี้เลยกะว่าจะหามุมเงียบๆติวคนเดียว’
“แบบนี้กูก็กวนมึงน่ะสิ” ผมไม่ได้ตอบ แต่กลับยิ้มให้อีกฝ่ายตีความเอาเอง

เมื่อมาถึงที่หมาย พี่อาคเนย์ก็ปล่อยให้ผมทบทวนภาษามือของตัวเองคนเดียว โดยที่พี่เขาก็นั่งสรุปบทเรียนของวันนี้จากไฟล์เสียงออกมาเป็นขุมทรัพย์ลายแทงที่เจ้าตัวโอ้อวดเอาไว้ว่า ช่วงใกล้สอบเพื่อนๆในสาขามักจะเอาสรุปของเจ้าตัวไปถ่ายเอกสารและส่งต่อกันเป็นทอดๆ ทำเอาผมเริ่มจะคาดเดาได้เองว่า อีกฝ่ายน่าจะเรียนเก่งไม่เบา
“เอ้า ไอ้เอ้ มึงเอาหมามาขี้เหรอ?” ผมหันไปมองยังทิศทางที่พี่เนย์กำลังมองตรงไป จากนั้นก็เห็นลูกหมาพันธุ์มอลทีสสีขาวปุกปุยเดินมากับเจ้าของ

“เออ ขี้ใส่หน้ามึงได้มั้ย?” พี่ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของหมาเดินเข้ามาพูดคุยกับพี่เนย์ด้วยความเป็นกันเอง ท่าทางทั้งสองคนจะสนิทสนมกันมาก พอๆกับพี่บาสที่อยู่สาขาเดียวกัน

“ลองดิ มิดเทอมนี้กูไม่ให้มึงเอาสรุปกูไปถ่ายเอกสารแน่ๆ” พี่เนย์พูดอย่างเหนือกว่า จากนั้นก็อุ้มเจ้าลูกหมาตัวนั้นมาเล่นด้วยการปล้ำจูบอยู่นาน แต่ลูกหมาสีขาวตัวนั้นก็ไม่ยอม
“ไอ้สัสเนย์ พอเลยลูกกูมันกลัวมึงจนหัวหดแล้ว มันไม่คุ้นคนแปลกหน้า” พี่ผู้หญิงที่ชื่อเอ้ ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าใกล้ๆกับพี่เนย์ จากนั้นก็อุ้มลูกหมาของตัวเองเข้ามากอด และจุ๊บเบาๆราวกับปลอบใจ

“นั่นใครวะ มึงไม่แนะนำหน่อยเหรอ?”
“คนที่มึงก็รู้ว่าใครนั่นแหละ อย่ากวนมันดิวะ มันกำลังท่องหนังสือ” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง เมื่อรู้ตัวว่าที่ตรงนี้ยังมีผมอีกคนที่กำลังใช้สมาธิในการทบทวนบทเรียน

“เออๆ งั้นกูไม่กวนละ บายมึง บายน้องรัน ไว้ค่อยทักทายกันอย่างเป็นทางการอีกทีเนอะ” หญิงสาวหนึ่งเดียวกล่าวพร้อมกับยกยิ้มสดใสที่ทำเอาใครเห็นก็น่าจะพากันหลงใหลในรอยยิ้มนั้น เพราะพี่เอ้เป็นผู้หญิงที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า พี่เขายิ้มสวยมากๆ
“แล้วมึงกลับหอยังไง ไอ้เชี่ยบาสล่ะ?”

“มันไปวิ่ง เห็นว่าเหลือรอบสุดท้ายก็ครบโควต้าละ” พี่เนย์พยักหน้ารับรู้ จากนั้นพี่เอ้ก็เดินจากไปพร้อมกับน้องหมาหน้าตาน่ารักที่ผมยังไม่รู้ชื่อ

“เพื่อนสนิทอีกกลุ่มของกูเอง เห็นสวยๆอย่างนั้น แดกเหล้ายังกับอาบ เวลาไปกินด้วยกันที แม่งต้องคอยแบกไอ้บาสกลับบ้านทุกที เพราะตลกร้าย แม่งเสือกคอแข็งกว่าแฟนตัวเอง”
“กลุ่มกูมีบาสสองคน ไม่ใช่บาสคนที่มึงเคยเจอหรอก ไว้หาโอกาสเหมาะๆได้ กูจะพามึงไปแนะนำให้รู้จักอีกทีแล้วกัน” ผมพยักหน้าตอบ แม้ใจนึงจะไม่ค่อยอยากรู้จักใครเพิ่มนัก แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเพื่อนของพี่เนย์ อีกใจของผมก็เลยอยากจะลองทำความรู้จักพวกเขาไว้ แต่ผมก็อดกลัวไม่ได้ว่า เพื่อนกลุ่มนี้จะรังเกียจผมไหม เพราะว่าพวกเขาต่างก็แตกต่างจากเพื่อนอีกกลุ่มของเนย์ราวสีขาวกับสีดำ
ซึ่งสีขาวคือฝั่งเพื่อนที่ไร้ข้อบกพร่อง และสีดำก็คือฝั่งเพื่อนที่มีความบกพร่อง

‘ถ้าหาวันเหมาะๆได้แล้ว พี่ช่วยบอกให้ผมรู้ล่วงหน้าสักสามสี่วันนะครับ’ ผมขอร้องอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
“ได้ดิ ว่าแต่ทำไมวะ มึงตื่นเต้นเหรอ?”

‘จำได้ไหมครับ วันที่ผมเจอไอ้มอสที่ตลาดนัด ผมเคยไม่พอใจมันมาก และเถียงจะเอาชนะพี่ให้ได้ว่ามันนิสัยไม่ดี เพราะผมเคยถูกมันกับเพื่อนเกือบทั้งห้องล้อว่าเป็นไอ้ใบ้อยู่หลายปี ตอนนั้นผมเข้ากับใครไม่ได้เลย และตั้งแต่นั้นผมก็ไม่เคยมีความสุขกับการไปโรงเรียน ทุกวันนี้ผมก็เลยมีอคติกับคนไร้ข้อบกพร่อง นี่คือสาเหตุจริงๆที่ผมเลือกเรียนสาขานี้ เพราะผมคิดว่าเพื่อนๆที่นี่คงจะไม่มีใครมองผมเป็นตัวตลกเหมือนเดิมอีก’
“แต่กูมั่นใจว่าเพื่อนกูไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ เพราะตอนที่กูบอกพวกมันเรื่องของมึง พวกมันก็ยินดีกับกูนะ”

‘พวกพี่เขาอาจจะไม่รู้หรือเปล่าครับว่าผมคือใคร ก็เลยไม่ได้พูดอะไร แต่ถ้ารู้ว่าผมเป็นแบบนี้..’
“รันมึงฟังกูนะ.. ตอนนี้ใครๆเขาก็รู้จักมึงกันทั้งนั้น แถมมึงยังมีแฟนคลับเยอะด้วยนะ ไอ้เอ้มันเอาเพจมาให้กูดู เขาถ่ายรูปมึงไว้เยอะเลย ทีนี้มึงเห็นมั้ย คนไร้ข้อบกพร่องเขาไม่ได้ใจแคบกันทุกคน” พี่เนย์เปิดเฟซบุ๊กหน้าเพจที่เกี่ยวกับผมให้ดู พร้อมกับเลื่อนไทม์ไลน์ของเพจนั้นอย่างช้าๆ จึงทำให้ผมได้เปิดโลกทัศน์แคบๆของตัวเอง เพราะตลอดมาผมเข้าใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นที่สนใจมากมายอะไร เมื่อจบแคมเปญทุกกระแสก็คงจะเงียบลง แต่เปล่าเลย ผมเพิ่งจะรู้ก็วันนี้ ว่ามีคนชื่นชอบผมทั้งๆที่ผมไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนอย่างคนอื่นมันมีอยู่จริง
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความชื่นชอบที่น่ากลัวสำหรับผมอยู่ดี

“รัน.. ถึงมึงจะมีโลกเป็นของตัวเองแล้ว แต่นอกจากนี้ สังคมอื่นๆก็สำคัญเหมือนกันนะมึง ที่กูพูดไม่ได้หมายความว่ามึงต้องไปทำความรู้จักกับทุกคน แต่กูหมายถึงให้มึงเปิดใจให้มากกว่านี้ เพราะอนาคตพอมึงต้องทำงาน มึงก็จะพบเจอกับผู้คนที่หลากหลาย และถ้ามึงเข้ากับคนอื่นไม่ได้ มึงก็จะอึดอัด กดดัน เพราะการทำงานมันต้องอาศัยความเป็นทีมเวิร์ค แม้กระทั่งงานกลุ่มก็ด้วย เท่าที่กูจำได้ มึงน่าจะไม่ได้เรียนแค่กับเพื่อนร่วมสาขาอย่างเดียว แต่บางวิชามึงต้องเรียนรวมกับสาขาอื่นด้วย หรือบางทีมึงอาจจะต้องเรียนรวมกับคณะอื่นด้วยไม่ใช่เหรอวะ แล้วถ้ามีงานกลุ่มล่ะ มึงจะทำยังไง? ขอทำเดี่ยวงั้นเหรอ?”
“มึงต้องค่อยๆเปิดใจ เริ่มจากเข้ามาทำความรู้จักกับคนไร้ข้อบกพร่องในโลกของกูก่อน แล้วจากนั้นมึงก็ค่อยๆขยับเข้าไปทำความรู้จักกับคนอื่นเมื่อมึงพร้อม เวลาที่มึงจำเป็นต้องพึ่งพวกเขา มึงจะได้ไม่ลำบากเพราะอคติของมึงเอง รันกูเชื่อว่ามึงทำได้ เพราะคนไร้ข้อบกพร่องในโลกของมึง เขายังทลายกำแพงที่มึงสร้างเอาไว้ได้เลย แล้วไหนจะกูอีก ที่มึงยอมเปิดใจพูดคุยด้วย ตัวอย่างก็มีให้เห็นตั้งมากขนาดนี้ มึงต้องทำได้สิ” พี่เนย์ว่าพลางขยี้หัวผมและยิ้มในลักษณะที่อ่อนโยนกว่าทุกครั้ง จนผมเริ่มมีกำลังใจ และมีความคิดใหม่ๆ ที่จะคล้อยตามอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

‘ครับ ผมจะลองเปิดใจตามที่พี่แนะนำ’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป พร้อมยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน จนกระทั่งพี่เขาพยักหน้ารับรู้ ผมก็เอื้อมมือไปจับมือใหญ่ๆของอีกฝ่ายมาบีบไว้ เพื่อทำสัญญาที่เป็นรูปธรรม
“มึงเข้มแข็งกว่าไอ้บอสอีก รายนั้นนะกูพูดจนปากจะฉีก มันก็เอาแต่กลัวท่าเดียว คงเพราะมันเคยเรียนแต่โรงเรียนที่สอนกลุ่มคนพิเศษแบบมันด้วย มันก็เลยไม่ค่อยมั่นใจกับสังคมที่ไม่เคยเจอ แต่กูก็เข้าใจมันนะ เลยไม่ค่อยกล้าพูดอะไรมาก มีแต่ไอ้ทีมแหละที่กล้าพูด โชคดีที่ไอ้บอสมันเชื่อคำพูดของไอ้ทีมมากกว่ากูด้วยแหละ แต่กับมึงนี่ ถ้ามึงไม่เชื่อคำพูดของกูเหมือนมันนะ กูคงเครียดแย่เลยว่ะ เพราะกูอยากเป็นที่พึ่งอีกที่ของมึง” พี่เขาเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายกอบกุมมือของผมไว้และบีบเบาๆ
ความรู้สึกอุ่นใจจึงค่อยๆไหลบ่าเข้ามาจนแทบรับไว้ไม่ทัน

---------------------------------------
[แก้คำผิด 27/01/2018 ฟุตบาธ > ฟุตปาธ]
ตอนนี้เป็นตอนที่จริงจังมากอีกตอนนึงของเรื่องนี้เลย 555
มาค่ะ มาสู้ไปกับรันเนอะ เพราะน้องอยู่กับคำล้อเลียนปมด้อยของตัวเองมานาน มันก็เลยต้องค่อยๆเริ่มต้น
และตอนนี้ก็เฉลยคำพูดของพี่บอสแล้วว่าทำไมการชมผู้ชายของพี่เนย์มันถึงไม่แปลก คึคึคึ
ไม่รู้ว่าเราเขียนอืดเกินไปมั้ย แต่เราอยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป และอยากเขียนถึงมุมมองอื่นๆที่ไม่ใช่แค่ความรักแบบแฟนอย่างเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 19:00:31 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
«ตอบ #48 เมื่อ30-10-2017 18:23:00 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
«ตอบ #49 เมื่อ30-10-2017 21:15:38 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
« ตอบ #49 เมื่อ: 30-10-2017 21:15:38 »





ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
«ตอบ #50 เมื่อ31-10-2017 01:28:39 »

น้องรันสู้ๆนะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 12 ♥ หน้า 2 (up 30/10/2017)
«ตอบ #51 เมื่อ31-10-2017 01:48:00 »

ค่อยๆเปิดใจไปนะ สู้ๆนะรัน

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
«ตอบ #52 เมื่อ31-10-2017 16:49:56 »

♥ Fall in you ♥
ตอน 13


ผมผ่านการสอบภาษามือเรียบร้อยแล้ว และมันก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาของการสอบมิดเทอม ซึ่งมันทำให้เวลาระหว่างผมกับพี่อาคเนย์ค่อยๆลดน้อยถอยลงไป เพราะเราต่างก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทุกวันนี้ได้เจอหน้ากันแค่ตอนมื้อเช้าที่โรงอาหารกลางเท่านั้น ส่วนเรื่องที่พี่เขาเคยพูดว่าจะนัดมาเจอเพื่อนอีกกลุ่มของตัวเอง ผมได้บอกปัดออกไปตั้งแต่ช่วงสอบภาษามือเสร็จใหม่ๆแล้ว เพราะว่าผมไม่ต้องการคิดเรื่องอื่นนอกจากการสอบ
ฤกษ์งามยามดีที่ผมกับพี่เขาตกลงกันไว้ ก็คือช่วงหลังสอบมิดเทอม เพราะเราต่างก็ไม่ได้กลับบ้านหรือมีกิจกรรมอะไรที่ไหนอีก เพราะทันทีที่สอบเสร็จ วันรุ่งขึ้นก็ยังต้องมาเรียนตามปกติ

“ไอ้เชี่ย กูประสาทจะแดก ไอ้สิ่งที่มึงติวให้กูเมื่อคืนไม่ได้ทะลุเข้าแกนสมองของกูเลย แม่ง เกือบได้ส่งสมุดเปล่าแล้ว” ไอ้หมอกมันบ่นโวยวายออกมา เมื่อเราทั้งกลุ่มออกมาจากห้องกันครบแล้ว และเริ่มเดินลงจากอาคารเรียนที่ขณะนี้แปรสภาพเป็นอาคารสำหรับการสอบมิดเทอม
เรื่องของเรื่องวันนี้สาขาของเรามีสอบวิชาคณิตศาสตร์ขั้นปรับพื้นฐานเป็นวิชาแรก ซึ่งเป็นวิชาโหดสำหรับไอ้หมอกผู้รั้งตำแหน่งท็อปประจำวิชาภาษามือไทย แถมอาจารย์ยังออกข้อสอบได้โหดสุดๆ เพราะให้โจทย์มาสิบข้อใหญ่ แต่นักศึกษาสามารถเลือกทำได้ห้าข้อ แต่ถ้าใครสามารถทำได้มากกว่านั้นก็ให้ทำมา เพราะอาจารย์จะได้เลือกข้อที่ได้คะแนนมากที่สุดมาคิดคำนวณ ฟังดูแล้วเหมือนอาจารย์จะใจดีใช่ไหมล่ะ แต่เปล่าเลย ให้มาสิบข้อก็โหดแม่งทุกข้อ สมุดเขียนหนึ่งเล่มที่แจกให้แทบไม่มีความหมาย เพราะหลายๆคนต่างก็พากันเขียนแค่โจทย์เพื่อแบ่งหน้าสมุดเอาไว้ ทำนองว่า เดี๋ยวกูจะทำข้อนี้ในหน้านี้แหละ
แต่สุดท้ายก็อาจไม่ได้แสดงความสามารถใดๆ นอกจากลอกโจทย์ทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า

“แดกข้าวกันดีกว่าว่ะ จะได้รีบกลับไปอ่านหนังสือต่อ” ไอ้คินมันออกความคิดเห็นเมื่อเดินมาจนถึงลานจอดรถจักรยาน
“เออ เอาดิ เครียดๆอย่างนี้ต้องแดกเท่านั้นถึงจะช่วยได้”

‘พวกมึงสั่งเนื้อผัดน้ำมันหอยใส่เห็ดฟางให้กูด้วย กูจะไปซื้อบลูเลม่อน’ ผมก้มหน้าพิมพ์ข้อความแล้วยื่นให้พวกมันสองคนอ่าน
“งั้นเอางี้ มึงขี่จักรยานกูไป ส่วนกูจะไปซ้อนท้ายไอ้คิน พอกินข้าวเสร็จแล้วเราค่อยเอาคันนั้นไปคืน”

เมื่อตกลงกันได้ ผมก็รีบปั่นจักรยานสีขาวที่มักจะใช้เป็นประจำอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผมเองก็หิวข้าวมากแล้ว แต่อยากกินบลูเลม่อนก่อน เพราะช่วงนี้ผมไม่ค่อยจะได้กินสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะหนักไปทางกาแฟ เพื่อให้ตัวเองสามารถอยู่อ่านหนังสือได้นานๆ
“รัน!” หลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จ ผมก็มานั่งหลบมุมอยู่ตรงโต๊ะข้างๆเคาน์เตอร์ แต่กลับมีคนรู้จักร้องเรียกความสนใจ จนผมต้องเงยหน้าขึ้น และมองไปรอบๆ แต่เพราะที่นั่งที่ผมเลือกมันอยู่ตรงมุมลับตาคน ผมเลยต้องเดินออกไปยืนตรงแถวๆหน้าเคาน์เตอร์ เลยเห็นพี่เนย์นั่งอยู่กับเพื่อนคนอื่นๆ กำลังติวหนังสือกันอย่างจริงจังทีเดียว ผมจึงเดินเข้าไปหาและยกมือไหว้รอบโต๊ะอย่างเลี่ยงไม่ได้

“สอบวันนี้ทำได้ไหม ?” พี่เขาเปิดปากถามเป็นอย่างแรก
‘น่าจะพอได้นะครับ’ ผมพิมพ์ตอบก่อนจะยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน

“แล้วนี่ยังไง มาสั่งบลูเลม่อนย้อมใจเหรอวะ?”
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้า

‘ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลยเนอะ คิดถึง’ พี่เนย์พิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ของผมที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังไม่ได้คืนให้ ทำเอาผมที่เพิ่งอ่านข้อความจบถึงกับหน้าแดง เพราะจู่ๆ พี่เขาก็มาบอกว่าคิดถึงกัน แถมยังบอกต่อหน้าเพื่อนๆคนอื่นที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือด้วย
‘มื้อเช้าที่โรงอาหารก็เจอนี่ครับ ทำไมยังคิดถึงอยู่อีก’ ผมย้อนถามไปอย่างนั้น เพื่อเอาตัวรอดจากอาการเก้อเขินที่แทรกซึมเข้ามา

‘เจอกันแค่วันละรอบ มันไม่หายคิดถึงหรอก’ พี่เขาส่งโทรศัพท์มือถือของผมคืน พร้อมกับข้อความในเชิงอ้อนนิดๆ ที่ปรากฏอยู่ในนั้น
“…” ผมยกยิ้มไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากชูเครื่องเรียกคิวในมือที่กำลังสั่นกระพริบจนเห็นไฟสีแดง พร้อมกับโบกมือลาอีกฝ่ายและแยกตัวกลับไปยังเคาน์เตอร์เพื่อรับเครื่องดื่มที่สั่งไว้ พร้อมกับรีบจ่ายเงินให้เรียบร้อย เพราะกลัวว่าใครอีกคนจะเข้ามาชิงตัดหน้าจ่ายให้ผมก่อน ซึ่งก็โชคดีที่ผมรู้ทัน ไม่อย่างนั้นพี่อาคเนย์ต้องออกเงินให้ผมอีกแน่ แค่ทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน พี่เขาก็มักจะออกให้อยู่บ่อยๆ จนบางทีผมต้องยื่นคำขาดให้หารกัน ถ้าไม่ยอมหาร ผมจะไม่มากินด้วย พี่เขาถึงยอม แต่ถ้าผมลืมดักคอไว้ อีกฝ่ายก็มักจะหาเรื่องเลี้ยงผมอยู่ร่ำไป

“รู้ทันตลอด แล้วนี่กลับยังไง?” พี่เขาถาม พลางเดินตามประกบจนออกมาจากตัวร้าน
“…” ผมชี้ไปทางจักรยาน พลางยื่นแก้วบลูเลม่อนให้อีกฝ่ายถือ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายและก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความยื่นให้อีกฝ่ายอ่าน

‘ตั้งใจอ่านหนังสือสอบนะครับ ขอให้มิดเทอมผ่านมีนเยอะๆ จะได้ A ตอนปลายภาคเยอะๆ’
“สมพรปากเถอะมึง” พี่เขาว่าพลางเอื้อมมือมาลูบหัวจนเส้นผมกระจุยกระจายไปหมด

“มึงเองก็ขอให้มิดเทอมผ่านมีนเยอะๆ จะได้ A ตอนปลายภาคเยอะๆ เหมือนกัน”
“…” ผมพยักหน้าพลางยิ้มกว้าง แสดงออกอย่างเต็มที่ว่าอยากได้ A มากแค่ไหน

‘ผมฝากลาเพื่อนๆพี่ด้วยนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมเห็นพวกพี่เขากำลังอ่านหนังสือกันอยู่ ก็เลยไม่กล้ารบกวน’
“อืมได้ ขี่ดีๆนะมึง ระวังรถใหญ่ด้วย” พี่เขาเดินมาส่งผมที่ลานจอดรถสำหรับจักรยานและมอเตอร์ไซค์ พลางกล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง ผมจึงตะเบ๊ะรับอย่างแข็งขัน ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะอย่างชอบใจ ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเงยหน้าขึ้นไปเห็นเพื่อนๆของพี่เขา ที่กำลังมองพวกเราผ่านทางกระจกใสของร้านเข้าพอดี

ท่าทางทะเล้นๆแบบเมื่อครู่ จึงค่อยๆหายไป เมื่อทุกคนกำลังหันมาให้ความสนใจจนผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง พี่เนย์เลยหันไปมองตามสายตาของผม ก็เลยเห็นเพื่อนๆของตัวเองกำลังมองมาทางนี้ อีกฝ่ายเลยโบกไม้โบกมือให้เพื่อนของตัวเองหันไปมองทางอื่น แต่กลับไม่ได้รับปฏิกิริยาอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะเพื่อนๆของพี่เนย์เริ่มล้อเลียนท่าทางของผมตอนที่ตะเบ๊ะรับคำสั่ง และตอนที่พี่เนย์กำลังขยี้หัวผมด้วยความมันเขี้ยว จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ทำท่าเหมือนกับจะอ้วกให้กับความหวานของพวกเราสองคนที่ไม่ได้ตั้งใจทำต่อกันแต่อย่างใด
ผมก็เลยหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ไปได้แล้ว พวกมันล้อใหญ่แล้วเนี่ย” พี่เนย์ออกปากไล่ จากนั้นก็ช่วยผมขยับรถจักรยานออกจากซองจอด พร้อมกับไสออกไปจากรั้วบริเวณของร้าน และยืนรอจนผมถีบจักรยานออกไปจนไกลจากรัศมีของร้าน พี่เขาถึงจะยอมเดินกลับเข้าไปข้างในร้านอีกครั้ง
ขณะที่ผมที่กำลังปั่นจักรยานอยู่นั้น มือนึงก็ยกแก้วบลูเลม่อนขึ้นจิบผ่านทางปลายหลอดใส ส่วนปากที่ว่างจากการคาบหลอดดูดน้ำก็ยกยิ้มขึ้นอย่างสดใส
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบลูเลม่อน หรือเพราะเมื่อครู่ผมถูกพี่ๆคนอื่นแซ็ว จนพี่อาคเนย์เป็นฝ่ายเขินเสียเองกันแน่

ติ้ง!

‘เพื่อนกูแม่งแบล็คเมล์ แอบถ่ายรูปเราไว้ แต่กูชอบ มึงตั้งเป็นหน้าล็อคสกรีนด้วยนะ’ หลังจากปั่นจักรยานจนมาถึงโรงอาหารเรียบร้อยแล้ว ผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูข้อความ เพราะระหว่างทางผมได้ยินเสียงแจ้งเตือน พอเปิดไลน์ดูจึงเห็นว่าอีกฝ่ายแบ่งปันรูปภาพที่ผมกำลังตะเบ๊ะรับคำอย่างแข็งขันหนึ่งรูป กับอีกรูปหนึ่งคือภาพที่พี่อาคเนย์เอื้อมมือมาลูบหัวผม
ซึ่งทุกรูปที่ส่งมา มันก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแทบทั้งนั้น

ผมไม่ตอบอะไรกลับไป นอกจากปล่อยให้มันขึ้น ‘Read’ เอาไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ในการกระทำจริงๆ ผมก็ยอมเปลี่ยนรูปหน้าล็อคสกินของตัวเองตามที่อีกฝ่ายแนะนำ จากนั้นผมก็ไลน์ไปถามที่นั่งกับเพื่อนตัวเอง เพราะเมื่อเข้ามาในโรงอาหารแล้ว ผมกลับมองไม่เห็นพวกมันสองคน

Rrrrrr

“กูนั่งอยู่ใกล้ๆเวที ตรงทางเข้าโรงอาหารขวามือน่ะ” ทันทีที่ผมรับสาย ไอ้คินมันก็รัวสถานที่ที่มันสิงสถิตอย่างรวดเร็ว ผมจึงเดินมุ่งตรงไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องหยุดชะงักการก้าวเดินเมื่อพบว่าที่โต๊ะมีสาวๆที่เรียนอิ้งเซคเดียวกันนั่งรวมอยู่ด้วย
“พวกแอ้มจะติวอิ้งให้ มึงจะอยู่ติวมั้ย?” เมื่อผมทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ข้างๆไอ้หมอก ไอ้คินก็ถามความคิดเห็น

“ถ้าตกลง เดี๋ยวกินเสร็จเราจะได้ย้ายออกไปนั่งตรงนั้น พวกเราจองโต๊ะไว้แล้ว” แอ้มสาวจากคณะบัญชีหันมากล่าวกับผมด้วยน้ำเสียงสดใส พลางชี้ออกไปที่โต๊ะตัวข้างนอก ซึ่งเหมาะกับการติวหนังสือ เพราะเสียงไม่ดังมากเท่าข้างในนี้
“…” ผมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าตกลง เพราะคำพูดของพี่เนย์ที่เคยบอกให้ผมลองเปิดใจเรียนรู้สังคมใหม่ๆ ที่ไม่ได้มีแค่กลุ่มคนที่ผมคุ้นเคย

“พี่เต้ยกับพี่เบสนี่ มากินข้าวด้วยกันอีกแล้ว” ผมหันไปมองตามทิศทางที่สามสาวกำลังนั่งมอง แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเธอกำลังพูดถึงใคร เพราะผมก็ไม่ได้มีเพื่อนมากมายอะไร
“ซีรีส์กำลังดังก็ต้องสร้างกระแสกันหน่อยสิ” อิ๋มหญิงสาวอีกหนึ่งคนกล่าวขึ้น จึงทำให้ผมได้คำตอบแล้วว่าบุคคลที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึง คงจะเป็นดารานักแสดงจากสังกัดไหนสักช่อง เพราะผมเองก็ทราบมาว่ามหาลัยของเรามีดารานักแสดงวัยรุ่นเรียนกันเยอะพอสมควร 
ดังนั้นการจะพบเจอกับคนในอาชีพนี้ จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่

“แต่เราว่าพี่เขาดูเฟคๆเกินไปหน่อย เล่นดีก็จริงแหละ แต่เฟคในชีวิตจริงเราก็ไม่ค่อยจะอินว่ะ ดูดิทำเหมือนคบกันนอกจอเลยน่ะ” นิ้งสาวสวยที่มีดีกรีเป็นถึงดาวคณะบัญชีแสดงความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง ซึ่งพวกเราสามหนุ่มก็ได้แต่นั่งเงียบกันไป เพราะไม่สามารถเข้าร่วมวงสนทนานี้ได้
“คนอื่นอาจจะฟิน แต่เราไม่ฟินว่ะ เพราะเราได้ข่าวว่าพี่เต้ยจริงๆชอบผู้หญิงนะ มีแฟนแล้วด้วยอยู่บัญชีนี่แหละ แต่ไม่รู้ว่าใคร พี่เขาไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวเท่าไหร่ ส่วนพี่เบสตอนยังไม่เข้าวงการ ก็สร้างกระแสจนแฟนตัวเองทนไม่ไหวถึงกับขอเลิก เพราะชอบเอาเรื่องของตัวเองไปทำให้คนสนใจ พอมีคนสนใจมากๆก็ต้องเซอร์วิสจนแทบไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวเลย เพราะมีแต่เรื่องของส่วนรวม แต่พูดก็พูดเถอะ เพราะทำแบบนั้นไง ถึงได้มีแมวมองมาชวนเข้าวงการนี่แหละ สำหรับเรานะ เซย์โนเรื่องส่วนตัวว่ะ แต่เรื่องผลงานต้องยอมรับว่าเล่นดีมาก เล่นดีจนเกือบจะอินจนมาเชียร์ให้ชอบกันนอกจออยู่แล้ว แต่พอรู้ความจริงก็เชียร์ไม่ลงว่ะ มันไม่สุด” พอสาวๆพูดมาถึงตรงนี้ ผมก็ทราบได้ทันทีว่าซีรีส์เรื่องที่ว่าเป็นแนวเฉพาะกลุ่มที่คงจะดังไม่น้อย เพราะจากตอนแรกที่ผมไม่รู้ว่าบุคคลที่สาวๆต่างคณะกำลังพูดถึงเป็นใคร มาตอนนี้ผมทราบแล้ว เนื่องจากหลายๆคนต่างก็ยกมือถือออกมาถ่ายรูปกันใหญ่ และบางคนก็ถึงกับเข้าไปขอถ่ายรูปก็มี

‘กูไปซื้อน้ำก่อนนะ’ หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็พิมพ์ข้อความบอกเพื่อนตัวเอง พร้อมกับชี้ไปที่ขวดน้ำเปล่าเพื่อบอกเพื่อนใหม่และลุกออกจากโต๊ะมายังร้านขายน้ำ
“สองขวดครับ” ไม่รู้ว่าพี่เนย์มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมยังรีบสั่งน้ำพร้อมกับชี้นิ้วให้คิดเงินรวมกับของผม ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้จ่ายเงินค่าน้ำให้ผมอีก

‘คนละครึ่งนะ’ ผมแบมือขอโทรศัพท์จากอีกฝ่ายมาพิมพ์ข้อความแชทเพื่อโต้เถียง
“คนละครึ่งได้ไงล่ะ”

‘ถ้าอย่างนั้นผมเลี้ยงเอง’ ผมส่งโทรศัพท์คืนพร้อมกับข้อความที่ต้องการเอาชนะ จากนั้นก็หยิบเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเอื้อมไปคว้ามือของอีกฝ่ายให้แบออก เพื่อรับค่าเสียหายที่ในวันนี้ผมเป็นคนจ่ายทั้งหมด
“ก็ได้ๆ ดุจริง เดี๋ยวเดินไปส่ง” พี่เขาถอนหายใจอย่างยอมแพ้ จากนั้นก็นำเศษเหรียญที่ผมจ่ายคืน ใส่ลงในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะรุนหลังผมให้เดินนำไปที่โต๊ะ

‘ไปส่งทำไมครับ แค่นี้เอง ผมเดินไปได้น่า’ ผมหันไปคว้าโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายถือเอาไว้ ก่อนจะรีบพิมพ์ส่งให้พี่เขาอ่าน
“อยากไปส่ง มีอะไรมั้ย?” พี่เขาย้อน พลางรุนหลังผมให้เดินมั่วๆอีกหน จนผมต้องตีมืออีกฝ่าย และเริ่มนำทางไปยังโต๊ะที่เพื่อนผมกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่

แต่พอเดินมาถึง และได้เห็นจำนวนคนที่นั่งอยู่ พี่เนย์ก็หันมาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ที่ผมทำตามที่อีกฝ่ายพูดได้รวดเร็วทันใจ เพราะสาวๆคณะบัญชีเขาห้อยป้ายชื่อสำหรับเข้ากิจกรรมรับน้องตามระเบียบของคณะตัวเอง พี่เนย์ก็เลยทราบว่าสาวๆกลุ่มนี้คือเพื่อนกลุ่มใหม่ที่ผมเริ่มเปิดใจตามคำแนะนำของเจ้าตัว

“ฝากติวเข้มเลยนะ” พี่เขากดตัวผมให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ จากนั้นก็ฝากฝังผมอย่างกระตือรือร้นกับสาวๆกลุ่มนี้ ทั้งยังหันไปพยักหน้าให้กับพวกไอ้คินไอ้หมอกอย่างอารมณ์ดีอีก
“กูไปกินข้าวก่อน ไว้เจอกันมะรืนนี้ เพราะพรุ่งนี้กูไม่มีสอบ” ร่างสูงของรุ่นพี่ที่ยืนค้ำหัวพูดให้ได้ยินกันเพียงเบาๆ จากนั้นก็จากไปพร้อมกับสัมผัสอุ่นๆที่ขยี้เรือนผมอย่างที่เจ้าตัวมักจะชอบทำเป็นประจำ จนผมต้องหันกลับไปมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ค่อยๆเดินกลับไปนั่งยังโต๊ะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากร้านขายน้ำที่ผมไปซื้อ
ก็เท่ากับว่า เหตุการณ์เมื่อครู่ได้อยู่ในสายตาของเพื่อนๆพี่เนย์อีกแล้วน่ะสิ!

“ถ้ากินกันอิ่มแล้ว ย้ายไปโต๊ะนั้นได้เลยนะ” สาวๆจากคณะบัญชีลุกเอาจานไปเก็บ พร้อมกับชี้ไปที่โต๊ะเดิมที่พวกเธอวางหนังสือจองที่เอาไว้ ผมจึงเปิดฝาขวดน้ำและเทลงในอดีตแก้วบลูเลม่อนที่ยังคงมีน้ำแข็งหลงเหลืออยู่บ้าง จากนั้นก็รีบดื่มแก้กระหาย พร้อมกับลุกขึ้นจากโต๊ะและสะพายกระเป๋าไว้ข้างตัว ก่อนจะถือจานข้างหนึ่ง ถือแก้วอีกข้างหนึ่ง ส่วนขวดน้ำผมก็ใช้ให้ไอ้หมอกมันถือ เพราะสัมภาระของมันไม่รุงรังมากนัก และเมื่อเดินไปยังโต๊ะดังกล่าว พวกเราก็เริ่มติวกันอย่างรวดเร็ว ใครมีทริกอะไรดีๆ ก็เอามาแลกเปลี่ยนกันจนหมดไส้หมดพุง เพราะวิชานี้เราจะสอบกันในวันพรุ่งนี้ แต่ด้วยความที่ผมอ่านล่วงหน้ามาบ้างแล้ว ก็เลยพอที่จะแลกเปลี่ยนกับเพื่อนคนอื่นได้บ้าง

Rrrrrr

“มึงยังอยู่โรงอาหารหรือเปล่า? กูกำลังจะกลับแล้ว” ไม่รู้พี่เนย์นึกยังไงถึงได้โทรมาหาผม ทั้งๆที่ก็รู้นะว่าผมไม่สะดวกที่ใช้ฟังก์ชั่นนี้สักเท่าไหร่
“ถ้ายังอยู่ กดเลขอะไรก็ได้มาหนึ่งครั้ง แต่ถ้ากลับหอแล้วให้กดสองครั้ง” ผมกดเลขหนึ่งไปตามคำแนะนำของอีกฝ่าย

“กูกลับแล้วนะ อย่ากลับดึกนักล่ะ พรุ่งนี้สอบเช้าด้วยนี่”
“อ..อะ” ผมตัดสินใจส่งเสียงเพื่อที่จะตอบรับให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ฝันดีนะรัน” พี่เขาวางสายไปแล้ว ผมเลยทักแชทไปบอกอีกฝ่ายว่า ถ้าถึงแล้วให้ไลน์มาบอกด้วย ก่อนจะตบท้ายด้วยคำว่า ‘ฝันดี’ เหมือนกับใครบางคน ที่ตอนนี้คงจะกำลังขับรถเลยไม่มีเวลามาอ่านข้อความจากผม

ติ้ง!

‘กูถึงแล้วนะ กำลังจะอ่านหนังสือต่อ’ ประมาณยี่สิบนาทีหลังจากนั้น พี่เนย์ก็ส่งข้อความมารายงานตัว ผมจึงยกยิ้มและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า เพราะผมเองก็จะเลิกติวแล้วเช่นกัน

“พรุ่งนี้ขอให้โชคดีเหมือนกันนะ บาย” สาวๆคณะบัญชีอวยพรพวกผม ก่อนจะแยกตัวไปเป็นกลุ่มแรก ส่วนพวกผมกะจะแวะเซเว่นเพื่อซื้อขนมหรือไม่ก็พวกลูกอม หมากฝรั่ง และกาแฟ ขึ้นไปเป็นเสบียงสำหรับยับยั้งความง่วงนอน เพื่อที่เราจะได้อ่านหนังสือได้นานขึ้นอีกหน่อย เพราะเรายังมีอีกหลายวิชาให้ต้องฝ่าฟัน
 “พอพวกแอ้มมาติวให้ กูว่ากูฉลาดขึ้นเยอะเลย” ไอ้หมอกกล่าวพลางตีหัวตัวเองราวกับจะเคาะให้ดูว่าในนี้ไม่มีขี้เลื่อยแล้วนะ

“ไอ้สัส ตั้งใจเพราะสาว กูนี่อยากจะโบกมึงสักที” ไอ้คินบ่นอุบ จนผมต้องหัวเราะ เพราะก็จริงของมัน ก็ไอ้หมอกน่ะ เวลาที่พวกผมติวให้ มันไม่ค่อยจะตั้งใจฟังแบบนี้หรอก เพราะเดี๋ยวมันก็บ่นง่วง บ่นนู่น บ่นนี่ไม่หยุด
นี่ถ้าเกิดมันไม่ได้หัวดีอยู่แล้วนะ ผมว่าพวกเราคงหนักใจที่จะเคี่ยวเข็ญมันน่าดู
แต่ก็นะ ถึงแม้จะยากเย็นสักแค่ไหน ผมก็ปล่อยมันไปตามยถากรรมไม่ได้หรอก


-------------------------------------------------------------
[แก้คำผิด 27/01/2018 หมั่นเขี้ยว > มันเขี้ยว]
สำหรับตอนนี้อาจจะยังไม่มีรายละเอียดอะไรมาก แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการเปิดใจเนอะ
แล้วก็ถือว่าเปิดใจได้เยอะด้วย เพราะตอนแรกๆเวลาเรียนอิ้ง รันจะรีบกินข้าวแล้วจะได้รีบไปจองที่นั่งที่ไม่ต้องนั่งกับติดใคร
ปล. นี่พี่เนย์เป็นพระเอกหรือตัวประกอบ 555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2018 19:03:25 โดย Chomin »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
«ตอบ #53 เมื่อ31-10-2017 17:17:24 »

คงไม่ใช่ว่าพี่เบสเป็นแฟนเก่าพี่อาคเนย์นะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
«ตอบ #54 เมื่อ31-10-2017 17:26:42 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
«ตอบ #55 เมื่อ31-10-2017 17:33:41 »

น่ารักกกก

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
«ตอบ #56 เมื่อ31-10-2017 20:18:20 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
«ตอบ #57 เมื่อ31-10-2017 22:40:13 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
«ตอบ #58 เมื่อ01-11-2017 00:55:37 »

จะรออ่านนะคะ สู้ๆนะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ♥ Fall in you ♥ ตอน 13 ♥ หน้า 2 (up 31/10/2017)
«ตอบ #59 เมื่อ01-11-2017 13:09:24 »

 :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด