♥ Fall in you ♥
ตอน 11
“รันวันนี้มีเรียนกี่โมง” ผมขยับตัวเล็กน้อยเมื่อกำลังถูกรบกวนเวลานอน แต่พอหันหน้าไปอีกทางก็กลายเป็นว่าแสงจากทางหน้าต่างมันส่องสะท้อนจนต้องยอมแพ้ ผมจึงหรี่ตามองคนถามด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น
“…” ผมชูเลขเก้าเป็นเชิงตอบโต้ แต่พฤติกรรมอื่นๆกลับนิ่งสนิท เนื้อตัวยังคงจมอยู่บนที่นอนหลังใหญ่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง
“ไปอาบน้ำดิ จะได้รีบไปกินข้าว ต้องกลับไปเปลี่ยนชุดที่หออีกไม่ใช่เหรอ” ผมจำต้องลุกจากที่นอนอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็ควานหาโทรศัพท์ที่เมื่อคืนหย่อนลงในกระเป๋าสะพายที่วางเอาไว้ข้างๆเตียงนอนเพื่อดูเวลา
“อึนเวอร์ เอ้าผ้าเช็ดตัว” ผู้ชายที่เมื่อคืนทำเอาผมใจเต้น ยื่นผ้าเช็ดตัวมาให้พร้อมกับตีหน้ายักษ์ ขณะที่ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขาก็เรียบร้อยดีแล้ว
ให้ตายเถอะตื่นเร็วชะมัด! แสดงว่าเมื่อคืนหลับสบายเลยสิท่า ทีผมนี่กว่าจะได้นอนก็ต้องจัดการตากเสื้อผ้าให้เรียบร้อยระหว่างทำใจไม่ให้เขินจนตัวแตกตายไปซะก่อน แต่วินาทีที่ล้มตัวลงนอนข้างๆที่อีกฝ่ายเว้นเอาไว้ให้ก็ทำให้ผมทราบคำตอบเป็นอย่างดีว่า การทำใจเมื่อครู่ ช่างไม่มีประโยชน์อะไรเอาเสียเลย
แถมพอตื่นขึ้นมา คนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เป็นปกติได้ ก็มีแค่ผมคนเดียว!“กินโจ๊กนะ เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึง” หลังจากล็อคห้องเรียบร้อยแล้ว คนตัวโตในสภาพพร้อมจะเรียนก็หันมาเสนอความคิดเห็น ซึ่งผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว ขอแค่ได้ทานมื้อเช้าก็พอ เพราะผมติดนิสัยต้องกินข้าวเช้ามาจากตอนที่อยู่บ้าน ถ้าวันไหนไม่ได้กินจะรู้สึกหิวเหมือนไปใช้แรงงานมาสักครึ่งวัน
‘พี่ครับแถวนี้มีพวกน้ำเต้าหู้หรือเปล่า’ หลังจากพิมพ์ข้อความส่งไปถามเพื่อนรักทั้งสองอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบ พวกเราก็เดินจนพ้นเขตรั้วของหอพักแล้ว ผมเลยตัดสินใจเอาเองว่าจะซื้อไปฝากพวกมัน
“มี เดินไปอีกนิดก็เจอแล้ว จะซื้อไปฝากเพื่อนเหรอ?” ผมพยักหน้าตอบ พลางสังเกตระยะห่างระหว่างเราขึ้นมา ก็พบว่ามันลดน้อยลงไปมาก เพราะปกติเราจะไม่เดินใกล้กันจนหลังฝ่ามือสัมผัสกันได้แบบนี้
“ไว้ค่อยซื้อตอนขากลับแล้วกัน จะได้ไม่เย็นก่อน” พี่เนย์หันมาตกลงกับผมเรื่องน้ำเต้าหู้อีกรอบ ผมจึงพยักหน้าแสดงความคิดเห็นกลับไป จากนั้นคนที่ได้คำตอบเขาก็ยกยิ้มมาให้ ผมก็เลยยิ้มตอบ ก่อนจะเสสายตามองหลังมือของเราที่ยังคงสัมผัสกันเบาๆ
“เรากินโจ๊กไม่ใส่อะไรบ้าง” พี่เขาถามเมื่อมองเห็นร้านดังกล่าวอยู่ไม่ไกล
‘เครื่องในครับ’
“ของอร่อยเลยนะนั่น ไม่กินได้ไงวะ” อีกฝ่ายประท้วงราวกับกลัวว่าผมจะเสียผลประโยชน์ที่ไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสชาติเครื่องในหมู แต่ขอเถอะเรื่องนี้ ต่อให้ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด ผมก็ไม่เชื่อหรอก คนมันไม่ชอบ ยังไงก็ไม่ชอบนั่นแหละ
“ยิ่งผัดกะเพราเครื่องในนะมึงเอ้ย อร่อยสุดๆ พูดแล้วซี๊ดปาก มื้อกลางวันกูได้เมนูละ” อีกฝ่ายพูดต้อยๆ แล้วก็ยกยิ้มเรี่ยราดไปทั่ว แต่ผมก็รู้สึกชอบมองรอยยิ้มแบบนี้ของอีกฝ่ายอยู่ดี
“มึงไปตักน้ำ จองโต๊ะ เดี๋ยวกูสั่งให้” เมื่อเดินมาจนถึงปากประตูของร้านขายโจ๊กที่เป็นตึกแถวไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวหอมากนัก พี่เนย์ก็หันมาสั่ง ก่อนจะเดินไปหาป้าคนขายที่กำลังวุ่นอยู่กับหม้อใบใหญ่
เมื่อสั่งเสร็จรุ่นพี่ต่างสาขาก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ทางฝั่งตรงข้าม ซึ่งสามารถมองเห็นหน้าค่าตากันได้อย่างชัดเจน จนผมนึกอยากจะย้ายตัวเองไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆอีกฝ่าย หรือไม่ก็ไปนั่งตรงมุมโต๊ะอีกข้างนึงก็ได้
“มึงกินเลือดหมูมั้ย?” พี่เขาถามขณะที่สายตาได้ย้ายมาให้ความสนใจกับโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้ว ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ ที่ไม่เอาแต่นั่งจ้องกัน
‘ทำไมครับ?’ ผมย้อนถามกลับไปในหน้าแชท เพราะอยากจะทราบเจตนาของผู้ชายตรงหน้าว่าจะมาไม้ไหนต่อ
“ไว้คราวหน้าจะได้ไปกินด้วยกันอีก” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไร เหมือนการทานข้าวเช้าด้วยกันระหว่างเรามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่หลังจากคืนเมื่อวาน ทุกการกระทำ และทุกคำพูดของอีกฝ่าย ผมกลับไม่อาจตีความได้ว่าไม่มีนัยยะสำคัญ ก็ในเมื่อผมไม่ได้อยู่ที่นี่ และแน่นอนว่าเรื่องที่จะมาค้างคืนเพราะเหตุสุดวิสัยมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ
‘จะชวนผมกินข้าวเช้าด้วยหรือไงครับ?’
‘กูไม่ได้จะชวนกินข้าว เราก็กินด้วยกันเป็นปกติอยู่แล้วนี่ แต่ที่กูพูด กูจะชวนเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนรสชาติอาหาร’
‘อ้อ ครับ’
‘ครับคือไรมึง ตอบอย่ากำกวม’
‘ก็ถ้าวันไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศ ก็นัดมาแล้วกันครับ ที่สำคัญต้องมารับผมนะ ผมไม่ลงทุนเดินไปถึงหน้ามอ เพื่อกินข้าวข้างนอกแน่’
‘รู้แล้วน่า ว่าแต่มึงยังไม่ตอบกูเลยว่ากินเลือดหมูมั้ย’
‘ไม่กินครับ กินแต่หมู หรือไม่ก็ตือฮวน’
‘กินแต่หมู มันจะเรียกว่าต้มเลือดหมูได้ยังไงวะ’
เราต่างถกเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระอยู่ครู่เดียว โจ๊กที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมจึงหยิบช้อนส่งให้กับคนตัวโตที่กำลังถือกระดาษทิชชู่ไว้รอเพื่อเช็ดทำความสะอาด จากนั้นผมจึงหยิบช้อนให้ตัวเองบ้าง
“มานี่เช็ดให้” วันนี้ท่าทางพี่เนย์จะอารมณ์ดีมากจนถึงขนาดเช็ดช้อนให้ผมด้วย เพราะปกติเวลามากินข้าวด้วยกัน เราต่างก็บริการตัวเอง ซึ่งผมก็รู้สึกโอเคกับทั้งสองแบบ เพราะคงไม่มีใครไม่ชอบการถูกบริการอย่างเอาใจใส่ และคงไม่มีใครที่ทำอะไรไม่เป็นจนถึงขั้นต้องคอยพึ่งพาการบริการจากอีกฝ่ายอยู่อย่างเดียว ในเมื่อมือและแขนของผมยังปกติดี ผมก็โอเคที่จะบริการตัวเองด้วย และถูกดูแลด้วยในบางครั้งคราว
‘ทำไมกินโจ๊กต้องใส่น้ำส้มกับพริกด้วยครับ ผมว่าไม่เห็นจะเข้ากันเลย’
‘เอ้า มันเป็นเรื่องของรสนิยมการกินครับคุณรัน’ อีกฝ่ายวางมือจากการคนโจ๊กให้เข้ากัน เพื่อมาถกเถียงกับผมต่อ
‘ไม่เห็นมีตับเลยพี่’ หลังจากปรุงรสด้วยซอสพอให้มีรสชาติแล้ว ผมก็คนโจ๊กให้เข้ากันพร้อมกับควานหาตับยกใหญ่
“ตับมันก็เครื่องในมั้ยมึง” พี่เขาตอบกลับมา จากนั้นก็ตักตับจากในจานของตัวเองมาให้
‘นั่นแหละ ผมกิน’ ผมพิมพ์ตอบเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นก็ตักตับขึ้นมากิน แต่ก็ไม่ค่อยจะปลื้มเท่าไหร่นัก เพราะว่ารสชาติความเปรี้ยวและเผ็ดมันฟุ้งกระจายไปทั่วปาก ซึ่งผมเกลียดรสชาติความเปรี้ยวในก๋วยเตี๋ยวและโจ๊กมาก
ก่อนกลับหอเราแวะซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก จากนั้นรุ่นพี่สายเปย์ก็เดินนำผมไปที่รถ และขับออกมาส่งผมที่หอใน
“เย็นนี้ไปเดินตลาดนัดกัน” ก่อนลงจากรถ พี่อาคเนย์ก็รั้งผมไว้ด้วยคำเชิญชวน
“…” ผมพยักหน้าตกลง พลางชี้ไปที่นาฬิกาเพื่อสอบถามว่าจะมาเจอกันตอนกี่โมง
“หกโมง” อีกฝ่ายเหลือบมองนาฬิกาในรถ จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบออกมา ผมเลยพยักหน้าตอบตกลงและปิดประตูรถ แล้วรีบเดินเข้าไปยังหอพัก เพราะเกรงว่าไอ้เพื่อนตัวดีมันจะกินกันไม่ทัน
ผมก้าวท้าวขึ้นบันไดทีละขั้น แต่ดูเหมือนจะไม่ทันใจเท่าไหร่ เลยตัดสินใจก้าวทีละสองขั้น เพราะห้องของผมอยู่ชั้นที่สามทางฝั่งซ้าย ซึ่งเป็นฝั่งของห้องพักที่มีเครื่องปรับอากาศให้บริการ
เมื่อถึงที่หมาย ผมก็หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าสะพาย พอไขเข้าไปเจอเพื่อนทั้งสองคนกำลังแต่งตัวอยู่ข้างใน ผมก็ชูถุงน้ำเต้าหู้ขึ้น จากนั้นก็เอาวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นที่คาดว่าพวกมันน่าจะแอบไปซื้อกันเมื่อวาน ในเมื่อที่ผ่านมาผมไม่เคยเห็นโต๊ะตัวนี้มาก่อน
“พี่เนย์เลี้ยง ?” ไอ้คินถาม พลางหรี่ตามองผม
“…” ผมพยักหน้าส่งๆ จากนั้นก็เดินถอดกระเป๋าเอาไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ และเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเอาชุดนักศึกษาที่รีดเตรียมเอาไว้แล้ว แต่เห็นทีว่าวันนี้กลับมาคงต้องรีบรีดตุนเอาไว้อีก เพราะนี่ก็เหลือเสื้อที่เคยรีดไว้ตัวสุดท้ายแล้ว และคาดว่าวันหยุดที่ใกล้จะถึงนี้ ผมคงต้องรีบซักผ้าด้วย
“มึงไม่คิดจะอัพเดตอะไรเลย ?” ไอ้หมอกที่กำลังเดินไปหยิบแก้วน้ำที่โต๊ะเขียนหนังสือของตัวเองถามขึ้น
“…” ผมพยักหน้า จากนั้นก็จัดการถอดเสื้อตัวเมื่อวานออก และใส่ชุดนักศึกษาตัวใหม่แทน เพราะว่าผมอาบน้ำมาจากห้องของพี่เนย์เรียบร้อยแล้ว
“สรุปยังไง ทำไมจู่ๆ ถึงได้ไปค้างห้องพี่เขา ?” ไอ้หมอกยังคงถามไม่เลิก แต่ผมก็เงียบท่าเดียว บอกตามตรง ผมไม่เคยรู้สึกชอบการพูดไม่ได้ของตัวเองมากขนาดนี้มาก่อนเลย
“ไม่เล่าก็ไม่ได้อยากรู้เว้ย” ไอ้หมอกมันว่าอย่างนั้น พลางยักไหล่ ซึ่งผมเองก็ยินดีด้วยที่มันคิดแบบนั้น
เมื่อหมดเรื่องพูดคุย ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ไอ้เพื่อนสองคนรวมหัวกันนั่งกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ที่ผมซื้อมาฝาก ส่วนผมก็กำลังหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันช่วงล่างเพื่อผลัดเปลี่ยนกางเกงสแลคสีดำตัวใหม่ ผมใช้เวลาในการแต่งตัวรวดเร็วพอๆกับที่สองเพื่อนซี้มันกินได้พอดิบพอดี พวกเราเลยรีบออกจากห้องกันอย่างเร่งด่วน เพราะเหลือเวลาอีกไม่นานนักก็จะถึงเวลาเรียนแล้ว แถมวันนี้เรายังมีเรียนที่ตึกไอทีอีก เพราะว่าวิชาที่เราลงเรียนเอาไว้มันเกี่ยวข้องกับพวกคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับคนหูหนวก
‘เออ พวกมึง’
‘เย็นนี้พี่เขาชวนกูไปตลาดนัด พวกมึงไปด้วยกันดิ’ เมื่อฟังอาจารย์สอนไปได้สักพัก อาจารย์ก็สั่งงานให้เราทำส่งท้ายคาบตามที่ได้สอนไปเมื่อต้นชั่วโมง ผมเลยถือโอกาสนี้ชักชวนให้เพื่อนทั้งสองไปด้วยกัน
‘ชวนพวกกูทำเชี่ยอะไรครับ ไอ้สัส มึงไม่มีความรู้ในเรื่องความรักเลยเหรอ?’ ไอ้คินมันย้อนถาม
‘ก็ไม่นะ กูไม่เคยมีแฟน ขนาดเพื่อนกูยังเพิ่งมามีเอาตอนนี้เลย’
‘งั้นกูถามหน่อย พี่เขาได้ออกปากให้มึงชวนพวกกู หรือไม่ก็พูดทำนองว่าเพื่อนเขาเองก็ไปด้วยมั้ย?’
‘ก็ไม่’
‘มึงครับ เขาชวนมึงเพราะอยากไปกับมึงแค่สองคน’ ผมก็รู้อยู่หรอกว่าพี่เขาชวนเพราะอยากจะไปกับผมแค่สองคน แต่ที่ผมชวนพวกมัน ก็เพราะผมไม่อยากให้พวกมันคิดว่าผมทิ้งมันเพราะเห็นคนอื่นดีกว่า
ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น‘ไปเหอะน่า มึงชอบพี่เขานี่หว่า พวกกูจะไปเป็นก้างทำไม’ ไอ้หมอกมันรบเร้า
หลังเลิกเรียน เราตัดสินใจไปทานข้าวที่โรงอาหารกลาง เพราะช่วงบ่ายยังมีเรียนต่ออีกตัว ระหว่างทานข้าวพวกรุ่นพี่ก็พากันส่งข่าวผ่านทางสายรหัสของตัวเอง ทำนองว่าคณะเรากับคณะเทคโนโลยีสารสนเทศมีโปรเจคนึงที่ทำร่วมกันอยู่ เป็นโปรเจคเขียนแอปพลิเคชันที่เอื้อประโยชน์ต่อบุคคลที่มีข้อบกพร่อง คร่าวๆว่ารายละเอียดของแอปตัวนี้จะเป็นแหล่งที่ให้พวกเราช่วยกันเข้าไปอ่านหนังสือให้กับคนตาบอดฟัง หรือไม่ก็อัดวีดิโอที่เราถอดความจากคำพูดเป็นภาษามือแล้วอัพโหลดผ่านแอป เพราะรายการโทรทัศน์ไม่ว่าจะเป็นด้านบันเทิง สารคดี หรือด้านอื่นๆ ยังไม่ค่อยอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลกลุ่มนี้
ถ้าหากแอปพลิเคชันนี้เสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ พวกอาจารย์เขาอยากจะขอแรงพวกเราให้ความร่วมมือกับโครงการนี้ จากนั้นถึงค่อยประชาสัมพันธ์ให้กับคณะอื่นๆได้ทราบ แล้วถึงค่อยขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ
‘เมื่อเช้าผมลืมถาม เราจะไปเจอกันที่ไหนดีครับ หน้าหอผม?’ หลังจากนั่งจดตามที่อาจารย์บรรยายมาจนเกือบจะหมดคาบแล้ว ผมก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเรายังไม่ได้นัดสถานที่กันเลย
‘หน้าโรงอาหารกลางแล้วกัน พอดีวันนี้กูมีนัดออกกำลังกายกับเพื่อนช่วงเย็นว่ะ’
‘โอเคครับ’
ปริ้นๆ
ผมยืนเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มาตามนัด แต่พอไม่ได้ใส่ใจจะมองไปตรงถนนเท่านั้นแหละ บุคคลที่ผมกำลังรอคอยก็เลยต้องบีบแตรเรียกอยู่หลายที
“โทษทีว่ะ กูรีบสุดๆแล้ว” ผมหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อสื่อว่าผมไม่ได้ถือสาอะไร
“กูลงทุนขนาดไม่ไปอาบน้ำที่หอไอ้เปรมเลยนะเว้ย เหม็นเหงื่อชิบหาย” พี่เขาบ่น พลางสะบัดเสื้อกีฬาโชว์กล้ามแขนของตัวเองไปมา ส่วนเส้นผมของอีกฝ่ายเองก็เปียกซกไม่ต่างกัน
ผมนั่งเงียบไปตลอดทาง เพราะผมไม่ค่อยอยากชวนอีกฝ่ายคุยนัก เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้ แต่พอรถติดไฟแดงเมื่อไหร่ รุ่นพี่ในมาดหนุ่มรักสุขภาพก็ชอบหันมาชวนผมคุยทุกที และเรื่องที่คุยส่วนใหญ่ก็สัพเพเหระมากๆ
ถ้าหากว่าเมื่อวาน พวกเราไม่เคยพูดคุยกัน ว่าเราต่างก็ตกหลุมรักกันเข้าให้แล้ว ผมคงไม่มีทางคิดหรอกว่าพี่เขาจะชอบผม และก็คงไม่คิดที่จะเปิดปากพูดความรู้สึกของตัวเองด้วย
“ฟังเพลงมั้ยมึง?”
“…” ผมส่ายหน้าตอบ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันมามอง
“อืม กูกลัวมึงจะเบื่อเฉยๆ”
“…” ผมอมยิ้มขณะมองออกไปตรงนอกหน้าต่าง
ผมอยากบอกอีกฝ่ายว่า ผมไม่เบื่อหรอกเพราะผมชินกับการนั่งเงียบๆแบบนี้แล้ว แต่อีกฝ่ายน่าจะเบื่อ เพราะความไม่คุ้นชินกับสถานการณ์อย่างนี้ ในเมื่อรอบๆตัวของพี่เนย์สามารถพูดคุยโต้ตอบกับพี่เขาได้ แม้กระทั่งพี่บอสก็ด้วย
“เมื่อคืนกว่ากูจะหลับก็เกือบเช้า” ผมหันไปมองอีกฝ่ายทันทีด้วยเพราะคิดไม่ถึง ในเมื่อตอนเช้ารุ่นพี่ข้างๆยังทำตัวปกติสุดๆใส่ผมอยู่เลย
“…” ตอนนี้ใจผมเต้นแรงมากจริงๆ แต่ก็ต้องทำตัวให้ปกติเข้าไว้
“กูไม่เคยชอบฝน เพราะฝนมักจะมาคู่กับฟ้าแลบและฟ้าร้อง แต่เมื่อวานเป็นวันแรกที่กูชอบ และนึกอยากให้มันตกนานๆ กูจะได้อยู่กับมึงได้นานกว่าทุกครั้ง” ผมขยับตัวและหันหน้าเข้าหากระจกจนคอเกร็งไปหมด ส่วนริมฝีปากก็ขบเม้มกันไว้แน่น
แต่พอรถหยุดการเคลื่อนตัว ผมก็หันกลับไปมองกระจกด้านหน้า หางตาจึงเหลือบไปเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองผมอยู่ และเมื่อผมหันไปมองตอบ พี่เขาก็ส่งยิ้มกลับมาให้ ซึ่งเป็นยิ้มที่เห็นทีไร ผมก็ต้องยอมแพ้ตลอด
และสุดท้ายผมก็อดยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้ ตลาดนัดที่คนชำนาญพื้นที่พาผมมานั้น อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ มันเป็นตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เรียกได้ว่าใครๆก็ต้องมาเช็คอินที่นี่ เพราะตลาดแห่งนี้กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของจังหวัดที่ผมเรียนอยู่ คาดว่าที่นี่นอกจากจะเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมนักศึกษาจากมหาลัยผมด้วย
“กูไม่ถ่ายนะรูปน่ะ แล้วก็ไม่เช็คอินด้วย” ระหว่างที่เรากำลังเดินผ่านจุดที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
‘ผมก็ด้วย ไม่ชอบเหมือนกัน’ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่งและพิมพ์ข้อความก่อนส่งให้คนข้างๆอ่าน พร้อมกับสองขาของเราที่ค่อยๆก้าวเดินผ่านรถที่คล้ายกับรถทหารขนาดใหญ่จำนวนสองคันที่จอดเอาไว้เพื่อเป็นฐานให้กับเครื่องบินที่อยู่ด้านบน ซึ่งเป็นจุดเด่นตามชื่อของตลาดแห่งนี้
“กิน” เมื่อเดินเข้ามาในตลาด ก็รู้สึกได้ว่าของกินละลานตามาก ซึ่งคงเรียกน้ำย่อยของคนข้างๆได้ดี เจ้าตัวถึงได้แวะซื้อหมึกย่างมากินอย่างไม่รีรอ และก็ยังไม่ลืมเอื้อเฟื้อมาถึงผมด้วย
“แตงโมปั่นหนึ่งครับ” คนรักสุขภาพพอเจอของกินละลานตาก็ถึงกับสติแตก จับจ่ายใช้สอยอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรทั้งนั้น เราเดินกินกันไปเรื่อยๆ โดยซื้อมาแบ่งกันกินอย่างละนิดละหน่อย
หลังจากจ่ายเงินซื้อน้ำแตงโมปั่นของโปรดจนสบายใจแล้ว คนชำนาญพื้นที่ก็ทั้งตักทั้งดูดอย่างเอร็ดอร่อย ที่แอบเก๋ก็คือภาชนะใส่น้ำแตงโมของร้านนี้ก็คือแตงโมที่คว้านไส้ออกแล้วนี่แหละ แต่ใช้ลูกเล็กนะ ถ้าใช้ลูกใหญ่ก็คงจะน่าสงสารคนซื้อไม่น้อย
‘ผมเคยอ่านเจอมา เขาบอกว่าแตงโมเป็นผลไม้ที่ฉีดยาฆ่าแมลงเยอะที่สุด เคยมีคนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะมันแล้วด้วย’ ผมพิมพ์ข้อความให้คนอารมณ์ดีอ่าน เมื่อเขายื่นน้ำแตงโมปั่นมาให้กินบ้าง
“แล้วไง หรือจะไม่กิน?” อีกฝ่ายย้อนถามหน้าตาเฉย เหมือนรู้ว่ามีอันตรายแต่เห็นทีคงจะไม่สน
“…” ผมพยักหน้าตอบ อีกฝ่ายเลยเอื้อมมือมาขยี้หัว
“มึงนี่นะ” ผมยิ้มขำ ก่อนจะเอื้อมมือไปประคองผลแตงโมและดูดสักอึกสองอึกพอให้ชื่นใจ
“สมัยนี้กูว่ากินอะไรก็อันตรายทั้งนั้นมั้ย กล้วยทอดเอย ลูกชิ้นทอดเอย”
“ไอ้ใบ้” จังหวะการก้าวเดินของผมสะดุดลง เมื่อจู่ๆประสาทการรับรู้ก็ได้ยินใครสักคนใช้คำต้องห้าม ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเรียกใคร เพราะผมมั่นใจว่าที่นี่ไม่น่าจะมีคนที่ผมรู้จักหรอก แต่พอกวาดสายตามองจนทั่วแล้ว ผมก็พบกับเพื่อนสมัยมอต้นที่ชอบล้อผม ซึ่งก็คือไอ้หัวโจกนั่น
สีหน้ายิ้มแย้มของผมหงิกงอทันที เพราะผมหมายหัวมันไว้แล้วว่าไอ้นี่แหละคือศัตรูของผม“ไงวะมึง ช่วงนี้ดังใหญ่เลยนะ” อีกฝ่ายยกยิ้มพูดคุยราวกับเราไม่เคยแลกหมัดกันมาก่อนเพราะคำๆนั้น
“เพื่อนมึงเหรอ?” ผมหันไปมองคนถาม จึงเห็นว่าคนข้างๆ กำลังตีหน้าบึ้งเต็มที่
‘เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน’
“กูเรียนอยู่นิเทศ เห็นมึงจากเพจสาขามึงน่ะ ไม่นึกว่าจะย้ายมาเรียนที่เดียวกัน” ผมยิ้มแบบขอไปที เพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร และกำลังพยายามข่มใจตัวเองไม่ให้ระเบิดเพราะท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของมันด้วย
“กูขอตัวเพื่อนมึงก่อนนะ พอดีรีบน่ะ มีนัดต่อ” พี่อาคเนย์ออกหน้าให้ จึงทำให้ไอ้มอสมันยอมล่าถอยไป แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่วายจะเรียกผมว่า ‘ไอ้ใบ้’ อยู่ดี
“มึงจะกำมืออีกนานมั้ยรัน ถ้าไม่เลิกพี่จะได้เดินไปต่อยมันให้” พอพี่เนย์พูด ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอกำมือกันจนแน่น
"ถ้าให้กูเดา มึงคงไม่ชอบที่มันเรียกมึงอย่างนั้น เพราะดูจากท่าทางของมันก็แลจะนิสัยโอเคอยู่”
‘โอเคที่ไหนกันครับ มันล้อผมจนผมคิดอคติกับคนอื่นๆไปหมด เพราะพอมันล้อคนนึง อีกหลายๆคนก็เริ่มทำตามๆกัน’ ผมพิมพ์อย่างรวดเร็วลงในห้องแชทของพี่เนย์ จากนั้นก็เดินนำหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์
“เออๆ นิสัยไม่ดีก็ไม่ดี” พี่เขาว่าอย่างนั้น ก็เอาแขนมาวางบนศีรษะผม ก่อนจะโยกไปมาเบาๆ คล้ายกับปลอบใจ
“…” ท่าทางอบอุ่นในแบบฉบับของผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ ทำเอาผมอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก
และแล้วในวันนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเพราะผู้ชายที่ชื่อ ‘อาคเนย์’ อีกครั้ง ความใกล้ชิดที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมเริ่มจะชินกับการที่พี่เนย์เอามือมาท้าวไหล่ ท้าวหัว มากขึ้นแล้ว เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของเราขยับก้าวขึ้นมาอีกขั้น แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลา แต่ทุกมื้อเช้าเราก็ยังคงเจอกันเหมือนที่ผ่านมา ส่วนตอนเย็น บางทีเราต่างก็มีกิจกรรมเป็นของตัวเอง มีโลกเป็นของตัวเอง เพียงแต่ไม่ได้ขลุกอยู่แต่ในโลกของตัวเองกันอย่างเดียว เพราะเรามักจะแบ่งเวลาไว้ใช้ร่วมกันบ้าง
“ถ้าเบื่อมึงก็นั่งเล่นโทรศัพท์หรือจะทำอะไรก็ได้ตามใจมึง” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนอัฒจรรย์ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสนามบาสที่พวกพี่เขานัดแข่งขัน แต่ไม่ได้แข่งกันอย่างจริงจังนัก เพราะการแข่งนัดนี้จริงๆก็เหมือนกับการนัดเจอเพื่อนเก่าเท่านั้น พี่เขาบอกว่าวันนี้เด็กสายศิลป์นัดแข่งกับพวกสายวิทย์
“…” ผมพยักหน้า พลางแอบนึกค้านในใจว่า แล้วอีกฝ่ายจะให้ผมมาทำไม หรือแค่มาให้เห็นหน้าเท่านั้นก็พอแล้ว พอคิดได้แบบนี้ ผมก็นึกย้อนไปถึงตอนที่พี่เขาบอกว่าชอบให้ฝนตกเป็นครั้งแรกเพราะอยากจะอยู่กับผมนานๆ
วันนี้ความนัยที่ซ่อนอยู่ในการกระทำของคนๆนั้น ก็คงไม่ต่างไปจากเหตุผลเดิมๆผมนั่งดูอีกฝ่ายเล่นบาสได้ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มเบื่อ เพราะผมไม่ค่อยถูกโฉลกกับกีฬาอื่นๆนอกจากแบดมินตันมากนัก ดูก็ไม่ค่อยจะเป็น มองพี่เขาวิ่งไปวิ่งมาในสนามแค่ไม่กี่วินาที ผมก็พอใจแล้ว เลยคิดว่าจะนั่งทบทวนภาษามือไปพลางๆด้วย เพราะกว่าพี่เขาจะแข่งเสร็จก็น่าจะอีกนาน เพราะนักกีฬาในสนามเล่นแข่งไปก็คุยกันไปแบบนี้ ทำให้ลืมผลคะแนน ก็ต้องเริ่มนับใหม่ไปเรื่อยๆ ขนาดผมนั่งดูเป็นพักๆยังเหนื่อยใจแทนเลยน่ะ
เพราะการแข่งขันครั้งนี้แลจะป่วงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาผมเลือกทบทวนบทเรียนในหมวดของ ‘โรค’ เป็นหมวดแรก เพราะถึงจะเรียนผ่านไปแล้ว แต่หมวดนี้เป็นหมวดที่ผมจำได้ห่วยที่สุด โรคแรกที่ผมเลือกคือ ‘อาการปวดฟัน’ เพราะภาษามือของคำนี้ง่ายพอที่ผมจะจดจำใส่สมองน้อยๆ ของตัวเอง โดยผมใช้นิ้วชี้ข้างขวาชี้ไปที่ฟัน แล้วก็ยกฝ่ามือข้างนั้นขึ้นมาขยุ้มอยู่ตรงข้างแก้มสักทีสองที ขณะที่ใบหน้าก็ต้องแสดงออกถึงอาการปวดด้วย
คำที่สองที่ผมเลือกคือ ‘เป็นลม’ ซึ่งผมต้องเปิดคลิปดูถึงสามสี่รอบ เพราะภาษามือของคำนี้ยากมากจริงๆ ขั้นแรกผมต้องยกมือขวาขึ้นและใช้ปลายนิ้วโป้งแตะลงตรงหางคิ้ว พร้อมกับทำหน้าเหมือนคนกำลังจะเป็นลมด้วย จากนั้นก็เอียงคอไปทางซ้ายและหลับตาลงพร้อมกับเลื่อนปลายนิ้วทั้งสี่มาบรรจบกับนิ้วโป้ง ก่อนจะแบมือข้างซ้าย และข้างขวาทำมือเหมือนเขาควาย แต่ปลายนิ้วก้อยข้างนั้นจะต้องแตะลงบนฝ่ามือที่แบไว้ จากนั้นก็พลิกมือข้างที่ทำเหมือนเขาควายให้วางราบไปกับฝ่ามือ ขณะที่หัวผมก็ต้องเอียงไปทางซ้ายด้วย
ผมลองทำคำนี้อยู่หลายครั้ง จนกว่าจะคล่อง แล้วก็เลือกทบทวนคำว่า ‘เป็นหวัด’ ผมเปิดคลิปดูครั้งเดียวก็จำได้ จึงเริ่มยกมือข้างขวาขึ้น โดยใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแตะตรงปลายจมูก จากนั้นก็พองแก้มนิดนึง ก่อนจะขยับปลายนิ้วทั้งสองขึ้นลง
คำที่หินไม่ต่างจากอาการเป็นลม ก็คือ ‘การแพ้ยา’ คำนี้ผมก็เปิดดูคลิปอยู่หลายรอบ จากนั้นก็เริ่มทำไปพร้อมกับอาจารย์ด้วย โดยแบมือข้างซ้ายขึ้น ส่วนมือข้างขวาให้ทำเหมือนท่าทางที่คนทั่วไปชอบใช้บอกไอเลิฟยู แต่ปลายนิ้วชี้จะต้องแตะที่กลางมือข้างซ้าย จากนั้นก็เลื่อนมือออกมาตั้งขนานกัน โดยที่ปลายนิ้วชี้จะต้องหุบลงไป กลายเป็นรูปเหมือนเขาควาย จากนั้นมือทั้งสองก็กำไว้และเลื่อนเข้ามาใกล้กับบริเวณใบหน้าและแบออกเหมือนอะไรสักอย่างระเบิดกระจายไปแล้ว ส่วนปากก็ขยับเป็นคำว่า ‘ปั้ง!’ แถมสีหน้าก็ยังต้องเน้นด้วย จนผมรู้สึกอยากจะกัดลิ้นตายซะให้ได้ เมื่อรายละเอียดมันเยอะมาก
ผมจึงเกิดอาการ จำคำนั้นได้ คำนี้ก็ลืม ปวดประสาทชะมัด ผมว่าผมต้องไม่รอดแน่ๆ ขนาดผมทบทวนบ่อยอยู่นะ แล้วก็ทบทวนตั้งแต่หมวดแรกเลยด้วย แต่ความยากก็ยังไม่บรรเทาลง ผมขยี้หัวตัวเองอย่างโมโห เพราะไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จากนั้นก็เอนตัวลงกับพนักพิงด้านหลังและหลับตาลงเพื่อสงบจิตสงบใจ เพราะเดี๋ยวอาทิตย์หน้า ผมก็ต้องสอบเก็บคะแนนแล้วด้วย
“เครียดเหรอวะ” พี่เขามายืนเช็ดหน้าเช็ดตาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย ถ้าหากไม่ทักขึ้นมา ผมก็คงจมลงอยู่กับความไม่ได้ดั่งใจของตัวเองนี่แหละ
“…” ผมพยักหน้า
“สู้ๆ” อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็หยิบขวดน้ำดื่มที่วางอยู่ข้างๆผมไปกระดก และก่อนผละจากกันเพื่อลงสนามแข่ง ฝ่ามือใหญ่ๆ ก็ขยี้หัวของผมจนเส้นผมฟุ้งกระจายราวกับให้กำลังใจทางกาย และไม่วายจะให้กำลังใจทางคำพูดด้วย
ผมยกมือขึ้นจัดแต่งทรงผมของตัวเอง พลางส่ายหัว แล้วก็เริ่มตั้งสมาธิเพื่อทบทวนบทเรียนอีกครั้ง ส่วนพี่เนย์ก็กลับลงไปโลดแล่นอยู่บนคอร์ดบาสอีกหน
“แฮ่กๆ เมื่อยชิบ” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว การแข่งขันถึงได้จบลง จนคนในสนามพากันแยกย้ายกลับหอ ส่วนคนที่ชักชวนผมมาเชียร์ก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆกัน ก่อนจะยืดแข้งยืดขาเพื่อเอายามานวดคลายกล้ามเนื้อจนกลิ่นฟุ้งเข้าจมูก
“มึงทำกูเสียสมาธิ แพ้เลยเนี่ย” อีกฝ่ายกล่าวโทษ เมื่อเห็นผมเลิกสนใจกิจกรรมของตัวเองแล้ว
‘แบบนี้เขาเรียกว่า
แพ้แล้วพาลหรือเปล่าครับ’ ผมย้อน
“ไม่ได้พาล กูพูดความจริง”
‘ยังไงครับ’ ผมพิมพ์แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ไปให้อีกฝ่ายอ่านอีกครั้ง
“สายตากูแม่ง มองแต่มึงเลยเนี่ย”----------------------------------------------
[edit 28/11/2017 คำผิด กระเพรา > กะเพรา / 27/01/2018 แอพพลิเคชัน > แอปพลิเคชัน / แอพ > แอป / ฟ้าแล่บ > ฟ้าแลบ]
สรุปสเปเปลี่ยนเป็นตอน 11 นะคะ มีให้อ่านกันเรื่อยๆต่อไป
สำหรับตอนนี้จะยาวหน่อย แต่ตอนต่อไปก็น่าจะสั้นเหมือนเดิม 555
เราตัดตามประโยคจบที่อยากให้ปิดตอนค่ะ มันเลยสั้นๆ